พิมพ์หน้านี้ - ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 01-10-2015 04:12:28

หัวข้อ: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 01-10-2015 04:12:28
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

  :110011: :z7:
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

  :write-a-letter: เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

หัวข้อ: Re: ❖ แค่ขนมหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 1 เกิดจากแค้น ❖ 1/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 01-10-2015 04:15:44
บอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ผู้ชายท้องได้ ซึ่งหลายคนอาจจะเบื่อ หุหุ แต่ก็อยากลองดู
เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนในการอ่านเป็นอย่าสูง ใครอ่านจนจบได้ถือว่าสายดราม่า55


แฟนเพจเด็กหญิงเย็นชา2 (https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B22-1785826901682401/)

❖เมนูของหวาน❖

จานที่ 1 เริ่มต้นแห่งตราบาป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.2)
จานที่ 2 สิ่งมีชีวิตในร่างกาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.6)
จานที่ 3 สิ่งมีค่าที่หวงแหน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.7)
จานที่ 4 โชคชะตานำพา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.19)
จานที่ 5 ก้าวแรกของการเอาคืน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.42)
จานที่ 6 ชะล่าใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.59)
จานที่ 7 สิ่งที่ต้องการ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.62)
จานที่ 8 สั่นคลอน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.80)
จานที่ 9 ยัดเยียด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.104)
จานที่ 10 เจ็บใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.132)
จานที่ 11 หวงเกินเหตุ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.153)
จานที่ 12 ถ้อนคำที่ถูกเมิน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.179)
จานที่ 13 ผลกระทบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.223)
จานที่ 14 ลักพาตัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.250)
จานที่ 15 คุณพ่อมือใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.277)
จานที่ 16 ป่วย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.290)
จานที่ 17 หมอนข้าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.298)
จานที่ 18 วังวนความคิด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.311)
จานที่ 19 ไร้ประโยชน์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.360)
จานที่ 20 ยิ้มเล็กๆ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.374)
จานที่ 21 แย่งหรือขโมย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.384)
จานที่ 22 ดิ้นรน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.399)
จานที่ 23 ผิดพลาดหรือจงใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.416)
จานที่ 24 ปู่กับหลาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.422)
จานที่ 25 ดูแล (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.448)
จานที่ 26 ปล้น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.456)
จานที่ 27 แพ้ท้อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.464)
จานที่ 28 กลลวง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.472)
จานที่ 29 ความลับที่ปกปิด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.491)
จานที่ 30 ขอร้อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.517)
จานที่ 31 แผนการร้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.522)
จานที่ 32 คนที่ไม่รู้จัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.524)
จานที่ 33 บทเรียนราคาแพง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.533)
จานที่ 34 แก้ตัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.539)
จานที่ 35 ความรู้สึกที่ถูกเปลี่ยน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.548)
จานที่ 36 อีกด้านของตัวร้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.564)
จานที่ 37 ความสุขของครอบครัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.607)
จานที่ 38 ความช่วยเหลือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.608)
จานที่ 39 กระโปรงตัวเล็กๆ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.625)
จานที่ 40 เซอร์ไพรส์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.646)
จานที่ 41 เสี้ยนหนาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.668)
จานที่ 42 ติดตาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.686)
จานที่ 43 หวาดรแวง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.691)
จานที่ 44 ตัวประกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.704)
จานที่ 45 คำตอบของหัวใจ [จบ] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.715)
จานที่ 46 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49093.)




สารบัญถ้ามีเวลาจะมาทำให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ❖ แค่ขนมหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 01-10-2015 04:30:24
1 จุดเริ่มต้นแห่งตราบาป

 

         ‘ปิญญ์ชานนท์ อนันตไพลิน’ นี่คือชื่อที่เขาเกลียดสุดขั้วหัวใจ ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มเยาะเย้ยส่งมาให้เขา…ดูถูกแคลนเขา…ยามที่เขาไม่รู้จะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่พังพินาศ

“พูดธุระของนายมาซะสิ ฉันไม่มีเวลามากพอมานั่งดูนายยืนทำหน้าตาน่าสมเพชแบบหรอกนะขนมผิง”

เสียงทุ้มก้องกังวานของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเขามันทำให้เขากดดัน ขนมผิงกำมือแน่น จิกเล็บเข้าที่ฝ่ามือจนเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดทางกายก็ยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดทางใจที่เกิดขึ้น

            ‘เขากำลังท้อง’

            กำลังตั้งท้องลูกของผู้ชายตรงหน้า…คนที่ย่ำยีศักดิ์ศรีที่มีอยู่ของเขาจนมันไม่เหลือชิ้นดี

            ทั้งหมดเป็นเพราะร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งเป็นของพี่สาวฝาแฝดที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เกิด…ร่างกายที่ทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเอง

            เพราะตอนเกิดสมองของพี่สาวขาดออกซิเจนทำให้แม่ต้องตัดสินใจเสียสละชีวิตของพี่สาวเพื่อช่วยเขาเอาไว้ หนึ่งชีวิตแลกกับหนึ่งชีวิต…นำพามาซึ่งความอัปยศ

            ‘สมเพช’ นั่นคงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้ ขนมผิงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า มองดูกายสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้บุนวมราคาแพงลิบ

            ปิญญ์ชานนท์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา ยกแขนขึ้นมากอดอก หรี่ตามองเขาด้วยท่าทีเหยียดหยามราวกับว่าเขาเป็นสิ่งของไร้ค่า ปิญญ์ชานนท์ชอบคิดแบบนั้น เพราะตัวเขาถูกซื้อด้วยเงิน…เงินที่เขาไม่เต็มใจรับมัน

            “นายมีอะไรก็พูดมาสักที ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะมารอฟังนายพูดหรอกนะขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์ถามย้ำเอนกายพิงโต๊ะทำงานราคาแพง กดดันให้ขนมผิงเม้มปากเป็นเส้นตรง กัดริมฝีปากจนห้อเลือด

            “ผม…”

            ราวกับว่าริมฝีปากมันหนักอึ้งจนแทบจะยกไม่ขึ้น ขนมผิงกำลังตัวสั่น ร่างกายมันชาดิกราวกับโดนพิษของสัตว์ร้ายต่อยจนแน่นิ่ง

            “หรือว่านายต้องการเงินล่ะ…ถ้านายต้องการเงินเพิ่มทำไมไม่ลองไปหาน้องชายของฉันล่ะ บางทีเขาอาจจะเต็มใจใช้บริ…”

            “ไม่ใช่!! ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”

            “หืม…นายอย่าทำตัวเป็นนักโทษที่ไม่ยอมรับความผิดไปหน่อยเลยในเมื่อหลักฐานมันมัดตัวแน่นขนาดนี้”ปิญญ์ชานนท์แสยะ

            “ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด!!”

            “แล้วยังไง ในเมื่อคืนนั้นนายก็ดูจะชอบมาก…หรือว่าเป็นแค่การบริการ”เอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกก่อนที่สายตาหยาบโลนจะจ้องมองมาที่ขนมผิงหัวจรดเท้า

            เป็นอย่างนี้เสมอ…ปิญญ์ชานนท์มักดูถูกคนและตีค่าของคนอื่นต่ำกว่าตัวเอง

            “คุณจะว่ายังไงผมก็ไม่สน…ที่ผมมาวันนี้”พูดด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้มันเกือบจะไหลลงมาเต็มทน “ผมแค่…จะมาบอกคุณว่า…ผม…ท้อง…ท้องลูกของคุณ”

            ในที่สุดก็พูดออกไป สิ่งที่มันย้ำเตือนความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก้อนเนื้อเล็กๆที่กำลังเติบโตอยู่ภายในร่างกาย เล็บที่จิกลงในอุ้งมือบาดลึกลงจนเลือดซิบ ความเจ็บเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความชาชิน…ไร้ความรู้สึก

            ขนมผิงจ้องมองดวงตาคมกริบมองมาที่เขาด้วยใจที่กำลังสั่นเทา แววตาที่มองมามันเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยามเสียเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า

            “หึ!! นายบอกฉันว่านายท้องอย่างนั้นเหรอ ขนมผิง นี่นายอับจนถึงขนาดต้องปั้นเรื่องเลยรึยังไงกัน นายนี่เกินความคาดหมายของฉันจริงๆ”

            ชายหนุ่มหัวเราะในรำคออย่างเย้ยหยัน ย่างก้าวเข้าหาร่างสูงโปร่งนัยน์ตาสีโศกอย่างย่ามใจ มันใกล้จนขนมผิงรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดใบหน้า หัวใจดวงเล็กเต้นกระหน่ำจนแทบรู้สึกว่ากำลังจะตายซะให้ได้

            “คุณจะเชื่อหรือไม่ผมไม่บังคับ ที่ผมมาหาคุณในวันนี้ผมแค่ต้องการให้คุณยืนยันคำตอบ”

            “หึหึ คำตอบอะไรล่ะนายลองเสนอมาสิ…เผื่อฉันจะสนใจ”น้ำเสียงที่เย็นชาถูกส่งเข้ามาในโสตประสาตพร้อมกับมือที่ร้อนราวกับเหล็กนาบไฟช้อนกรอบหน้าของเขาให้เงยขึ้นละจ้องตอบดวงตาดุดันคู่นั้น

            “คุณ…จะยอมรับลูกในท้องของผมว่าเป็นลูกของคุณไหม…ถ้าไม่ผมจะถือว่าคุณปฏิเสธ และนับตั้งแต่วันนี้ไปผมจะไม่เข้ามายุ่งในชีวิตของคุณอีก คุณเองก็ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของผมกับลูกอีกต่อไป”บอกด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว พยายามบังคับไม่ดวงตาสั่นระริกเมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนั้น

            ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มเล็กกับคำตอบของขนมผิง ราวกับเป็นเรื่องที่น่าขบขันก็ไม่ปาน ชายหนุ่มไม่คิดว่าขนมผิงจะท้องจริงๆ

            “นายมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่านายท้อง”ปิญญ์ชานนท์ถามก่อนจะแตะมือที่ปลายคางของอีกฝ่ายปัดมันจนขนมผิงกันไปตามแรงอย่างดูแคลน

            ขนมผิงได้แต่กัดฟันจ้องมองด้วยความโกรธเคือง ปิญญ์ชานนท์ไม่เชื่อที่เขาท้อง เพียงแค่จ้องมองดวงตาคู่นั้นเขาก็รู้ดี ขนมผิงพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นกลัวกับท่าทีของอีกฝ่าย ดวงตาจดจ้องมองไปที่ร่างของปิญญ์ชานนท์เดินกลับไปนั่งลงบนเก้ากี้บุนวมราคาแพงแล้วไขว้ขาอย่างวางท่าที ดวงตาดุดันราวกับดวงตาของพญามัจจุราชจับจ้องมาที่ขนมผิงราวกับว่ากำลังจะคาดคั้นเอาคำตอบ

            ขนมผิงหยิบซองจดหมายสีขาวสะอาดขึ้นมา วางมันลงบนโต๊ะกับเรียกให้ปิญญ์ชานนท์มองด้วยความสนใจทั้งที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันแสนชั่วร้ายยังคงประดับอยู่ที่มุมปาก

            “นี่เป็นหลักฐานจากโรงพยาบาลที่ผมไปตรวจ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่ามันเป็นของจริง คุณตรวจสอบมันได้อยู่แล้ว”

            ปิญญ์ชานน์หยิบซองเอกสารสีขาวสะอาดขึ้นมาเปิดอ่านก่อนจะเหยียดยิ้มแล้วโยนมันลงกลับที่เดิมราวกับว่ามันเป็นสิ่งของที่ไร้ค่า

            “ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าเด็กในท้องนั่นเป็นลูกของฉัน มันอาจจะเป็นของน้องชายฉันหรือลูกค้าคนอื่นๆของนายก็ได้ จะให้ฉันมั่นใจได้ยังไงกัน”

            “นั่นมันเรื่องของคุณว่าคุณจะคิดยังไง ผมแค่ต้องการคำตอบจากปากคุณว่าคุณจะรับหรือว่าปฏิเสธเด็กคนนี้เป็นลูก”ขนมผิงถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มันเป็นทางเดียวที่จะปกป้องสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของเขาได้

            “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าเด็กนั่นเป็นลูกของใครแต่ถ้าคิดจะมาจับฉันด้วยวิธีนี้ล่ะก็นายเลิกหวังซะเถอะ เพราะคนอย่างนายมันไม่มีค่าพอที่ฉันจะลดตัวลงไปแตะรอบที่สองแน่นอน”

            “นั่นผมจะคิดเอาเองว่าคำตอบของคุณคือปฏิเสธ”

            “ถ้านายคิดจะรวยทางลัดด้วยการจับใครสักคนโดยใช้เด็กที่นายคิดว่ามีอยู่ในท้องของนายนายจะลองเข้าหาน้องชายของฉันก็ได้นะ บางที…หมอนั่นอาจจะพิจารณา อ้อไม่สิ อาจจะเต็มใจเลยด้วยซ้ำ”

            “ขอบคุณสำหรับคำตอบ”ขนมผิงตัดบท คงไม่มีอะไรที่เขาจะต้องพูดคุยกับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

            “หวังว่าเจอกันอีกทีนายคงไม่เป็นเมียของน้องชายของฉันนะ ฉันสงสารคนดีดีแบบเจ้าวุฒิที่ต้องติดกับคนชั้นต่ำอย่างนาย”คำพูดนั้นทำให้ขนมผิงชะงักฝีเท้า มือสองข้างกำเข้าหากันแน่น ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันอย่างเจ็บใจกับถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม

            “ครับ…หวังว่าเราคงจะไม่เจอกันอีก”

            บอกลาอย่างไม่เต็มใจ จบสิ้นกันสักทีที่ต้องแบกหน้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนของบ้านอนันตไพลิน ถ้าไม่ใช่เพื่อลูกในท้องเขาจะไม่มีวันเหยียบย่างเข้ามาที่นี่เด็ดขาด

            จะไม่มีวันพาร่างกายที่เคยถูกย่ำยีมาที่นี่เพื่อให้ปิญญ์ชานนท์มองด้วยสายตาดูแคลนราวกับว่าเขาเป็นสิ่งของที่ไร้ค่า

            ‘ปิญญ์ชานนท์ อนันตไพลิน’ ถ้าหากฟ้ามีตาจริง สักวันเขาจะต้องบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกเหลวสมกับที่เคยโดนอีกฝ่ายกระทำกับราวกับเป็นสิ่งของที่ไร้หัวใจ…ผู้ชายที่ไม่ยอมรับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง

 

            สามเดือนก่อนหน้านี้ที่เขาเจอกับปิญญ์ชานนท์ เป็นครั้งที่สองที่เคยเจอกับอีกฝ่ายสำหรับเขา ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ดูถูกดูแคลนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

            ดวงตาดุดันคู่นั้นทำให้ขนมผิงนึกกดดันจนแทบอยากจะอาเจียนออกมา วันนั้นเป็นวันรับปริญญาของเขาและเพื่อนรุ่นพี่ว่าที่กุมารแพทย์คนใหม่อย่างคุณวุฒิ

            หากเขารู้มาก่อนว่าเพื่อนรุ่นพี่ที่เขาสนิทด้วยอย่างคุณวุฒิเป็นลูกพี่ลูกน้องกับปิญญ์ชานนท์และเป็นหนึ่งในคนของอนันตไพลิน เขาจะไม่มีวันข้องเกี่ยวกับคุณวุฒิเด็ดขาด

            หากแต่ทุกอย่างมันกลับสายไปแล้ว ความรู้สึกดีดีที่เขามีต่อคุณวุฒิมันมีมากจนเขาไม่อาจทำใจตัดตัดความสัมพันธ์นี้ให้ขาด

            ปิญญ์ชานนท์มาร่วมแสดงความยินดีกับน้องชายด้วยดอกไม้ช่อใหญ่ ความโดดเด่นของอีกฝ่ายแยกให้เห็นถึงความแตกต่างจากผู้คนรอบตัวโดยสิ้นเชิง ความสนิทความเอ็นดูของคุณวุฒิที่มีต่อเขาทำให้ปิญญ์ชานนท์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ขนมผิงรับรู้มันได้ทางสายตาที่มองมาที่เขา

ช่วงเย็นเขาถูกเชิญมางานเลี้ยงเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่นายแพทย์คนใหม่พร้อมกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆอีกไม่กี่คน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น…รอยของตราบาปที่กำลังถูกประทับโดยไม่มีวันลบเลือน

 

            “ลูกไม้คงจะหล่นไม่ไกลต้นสินะ”น้ำเสียงที่ดูแคลนถามขึ้นขณะที่ขนมผิงกำลังก้มหน้าลงไปล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื่นหลังจากที่รู้สึกมึนเมากับเครื่องดื่มต่างๆที่เพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่ม

            ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามองกระจกเบื้องหน้าเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่ซับหน้าตัวเองอย่างไม่สนใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร

คนของอนันตไพลิน…พวกที่เห็นแก่ตัวและใส่ร้ายแม่ของเขา

            ในห้องน้ำเวลาดึกสงัดทำให้ขนมผิงและอีกฝ่ายอยู่กันตามลำพัง สายตาของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงอึดอัดจนต้องเดินหนีออกมา ทว่าข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้และถูกดึงจนเซไปทางด้านหลังปะทะเข้ากับแผงอกของอีกฝ่าย

            “จะ…ทำอะไร!!”นัยน์ตาสีโศกเบิกกว้างอย่างตกใจไม่คิดว่าปิญญ์ชานนท์จะดึงเขาเอาไว้

            “เดี๋ยวสิจะรีบไปหาเหยื่อรึไง”คำพูดไม่กี่ประโยคแต่กลับแสดงออกถึงความดูถูกเขาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับที่คนของอนัตไพลินกล่าวหาแม่ของเขา…ว่าเป็นผู้หญิงขายตัว ทรยศ

            “ผมว่าคุณคงจะเข้าใจอะไรผิด”

            “หึ เข้าใจอะไรผิดล่ะ ถ้านายคือขนมผิง วารีจินดา ลูกของผู้หญิงทรยศคนนั้นล่ะก็ ฉันคงไม่เข้าใจผิดอะไร”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มจ้องมองมาที่เขาราวกับของไร้ค่า

            “คนอย่างพวกคุณไม่มีสิทธิมาตัดสินคนอื่น พวกคุณมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวที่ใช้อำนาจของเงินตัดสินค่าของคนจากภายนอก”ขนมผิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวพร้อมกับดวงตาที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ

            เลว....ความเลวร้ายที่ตีตราลงบนครอบครัวของเขา ตีตราลงมาที่แม่ของเขามันโหดร้ายมากเกินกว่าที่จะรับไหว ในฐานะลูกชายของผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นพวกขายตัวและทรยศ

            “นายจะพูดยังไง ความไร้ค่าที่ส่งผ่านมาทางสายเลือดมันก็ไม่หายไปหรอกนะ อย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้ว่านายคิดจะจับน้องชายฉัน ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ตราบใดที่ฉันคนนี้ยังอยู่ คนไร้ค่าอย่างนายอย่าหวังว่าจะก้าวเข้ามายุ่งกับอนันตไพลินอีก อ้อ! ถึงแม้ว่านายวุฒิจะไม่ได้ใช้นามสกุลอนันตไพลินแต่ฉันก็ถือว่าเขาเป็นคนของตระกูล นายอย่าหวังว่าจะได้นายสิ่งที่คิด”

            “คุณบ้ารึไงพูดเป็นตุเป็นตะ ขอตัว!! ผมไม่คิดว่ามีอะไรจะต้องพูดกับพวกอนันตไพลินที่ชอบคิดเองเออเอง อีกอย่าง พี่วุฒิเขาไม่ได้เป็นเหมือนพวกอนันตไพลินที่ชอบคิดเอาเอง ถึงคุณจะรู้ว่าผมเป็นใครจะสืบอะไรมาเกี่ยวกับตัวผมบ้าง แต่ผมไม่มีอะไรที่อยากจะข้องเกี่ยวกับพวกคุณอีก โชคดี” เขาตอบกลับด้วยท่าทางที่แข็งกร้าวถึงแม้ว่ามือที่กำจนแน่นมันกำลังสั่นอยู่ก็ตาม เดินหนีออกมาจากห้องน้ำโดยที่ไม่สนว่าปิญญ์ชานนท์จะเดินตามมาหรือไม่ หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบบ้าเมื่อปิญญ์ชานนท์พูดถึงเบื้องหลังที่น่าอับอายที่เขาพยายามจะปกปิดมันเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

            ถึงแม้จะเป็นโรงแรมใจหรูใจกลางเมืองแบบนี้ แต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจะดึกมากทำให้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านสักเท่าไร

            “เท่าไรล่ะ ถึงจะซื้อนายได้”น้ำเสียงเย็นชาถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมือแข็งราวกับคีมเหล็กดึงกระชากตัวเข้าให้เข้าไปหา

            ครั้งนี้มันไม่ง่ายที่ขนมผิงจะสะบัดมือออก ดวงตาคมนิ่งจ้องมองไปที่ร่างสูงของอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ ปิญญ์ชานนท์กำลังตีค่าเขาด้วยสายตาและรอยยิ้มชั่วร้ายที่จุดอยู่บนริมฝีปาก ขนมผิงรู้สึกโกรธกับคำพูดของอีกฝ่ายจนตัวสั่น

            “ถ้าคุณกำลังพูดถึงเรื่องทุเรศๆอยู่ล่ะก็ คุณคงจะพูดด้วยผิดคน”ขนมผิงตอบโต้พยายามแกะมือที่บีบข้อมือของเขาเอาไว้

            “หึ อย่าทำเป็นเล่นตัวไปหน่อยเลยขนมผิง หรือนายคิดจะไปกับนายวุฒิล่ะ”

            “คุณมันบ้า โรคจิต!! ไม่มีใครเขาคิดแบบคุณหรอก ปล่อยแขนผม ไม่งั้นผมจะร้องให้คนช่วย”

            “ก็เอาสิ นายคงไม่รู้ว่าฉันมีหุ้นอยู่ที่นี่ คิดดูเอาว่าเขาจะเชื่อฉัน…หรือว่าคนไร้ค่าอย่างนาย”

            “คุณต้องการอะไร!!”

            “ฉันต้องการให้นายเลิกยุ่งกับคุณวุฒิน้องชายของฉัน”

            “คุณจะบ้ารึไง ทำไมผมจะต้องเลิกยุ่งกับพี่วุฒิด้วย ผมจะยุ่งหรือไม่ยุ่งกับใครมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”

            “เกี่ยวสิ!!ทำไมจะไม่เกี่ยว นายเป็นลูกของผู้หญิงทรยศ ฉันจะไม่ยอมให้ลูกของผู้หญิงทรยศคนนั้นมาเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลฉันอีกเด็ดขาด”

            ผลั๊วะ!!

            ราวกับเป็นคำพูดที่ทำให้ขนมผิงสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว ปล่อยหมัดเล็กๆไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ

            “ประสาท!! คุณมันก็แค่ไอ้พวกตระกูลโรคจิตที่เอาแต่มองคนอื่นจากคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ คุณไม่มีสิทธิมาว่าแม่ของผมอย่างนั้น!!”

            ปิญญ์ชานนท์หันไปตามแรงหมัดที่ส่งมาเล็กน้อยก่อนใบหน้าคมคายจะหันกลับมามองขนมผิงด้วยแววตาเกรี้ยวกราด

            “นายนี่มัน!!”

            สิ้นเสียงชายหนุ่มก็กระชากร่างของขนมผิงเข้าไปอีกครั้ง มือใหญ่กร้านจับดึงเอาใบหน้าเกลี้ยงเกลาของขนมผิงเอาไว้แล้วบีบกรอบหน้าจนขนมผิงรู้สึกเจ็บ

            “ปล่อย!!”

            “นายมันก็แค่ลูกของอีตัวที่เอาแต่พูดปฏิเสธความไร้ค่าความโสโครกของตัวเอง นายอย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้ความคิดของนาย”ปิญญ์ชานนท์พูดด้วยน้ำเสียงตะคอก มือของเขาบีบลงบนกรามของขนมผิงแน่น แขนที่ถูกบีบเอาไว้เจ็บแสบขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงเล็บที่จิกลงมาบนผิวเนื้อ

            “ปล่อยผม”

            ขนมผิงพยายามดันตัวออกห่างจากพันธนาการที่หยาบคายของปิญญ์ชานนท์แต่กลับไม่ได้ผลเมื่อมือที่กุมเอาไว้นั้นแข็งบีบแน่นจนแกะไม่ออก

            “เท่าไรล่ะ นายถึงจะเลิกยุ่งกับนายวุฒิ”อีกครั้งที่ปิญญ์ชานนท์เสนอมูลค่าของเงินเพื่อแลกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ

            “เท่าไรดีล่ะ ล้านนึงคุณจ่ายไหวไหมล่ะ”ขนมผิงพูดออกไปด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทนกับคนตรงหน้า ในเมื่อปิญญ์ชานนท์เสนอเขาก็จะสนอง

            “มันไม่แพงไปหน่อยรึไง สำหรับคนไร้ค่าอย่างนาย”ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม

            “ไม่หรอกถ้าเทียบกับทั้งหมดในชีวิตของเขาที่ผมต้องการจะได้มา”ขนมผิงพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจ้องตอบอีกฝ่ายอย่างทระนงตน

            ในเมื่อปิญญ์ชานนท์ต้องการที่จะยืดเยื้อแต่เขาต้องการที่จะจบ ทางเดียวที่คิดได้ก็คงเป็นการตอบรับไปส่งๆ แต่นั่นมันทำให้เขารู้สึกสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่มันผิด

            “ก็ได้ หนึ่งล้านแลกกับการที่นายจะเลิกยุ่งกับน้องชายฉันและอนันตไพลิน.....แล้วก็หนึ่งคืนกับบริการบนเตียงให้กับฉัน!!”

            สิ้นเสียงปิญญ์ชานนท์ก็ดึงเอาร่างขนมผิงให้เดินตามโดยไม่ฟังเสียงห้ามไปยังลิฟท์ที่อยู่ริมทางเดิน อ้อมแขนแข็งแรงดึงรั้งเอาขนมผิงเข้าไปกอดเพื่อพันธนาการเอาไว้ไม่ให้หนีรอดไปได้

            ลิฟท์หยุดลงที่ชั้นสามสิบกว่าพร้อมกับแรงกระชากทำให้ขนมผิงเซจนเกือบล้ม ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยการ์ดก่อนที่ขนมผิงจะถูกผลักเข้าไปในห้องล้มลงบนพื้นพรมราคาแพง

            แววตาที่หยาบโลนจ้องมองมาที่เขาก่อนประตูจะถูกปิดลงขวางกั้นอิสรภาพเอาไว้ ถึงแม้ว่าพยายามจะร้องให้คนช่วยแค่ไหนก็ไร้ผล ร่างสูงใหญ่ของปิญญ์ชานนท์ก้าวเข้าหาพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตอย่างใจเย็นรอยยิ้มที่น่ากลัวของอีกฝ่ายเหยียดยิ้มออกมาราวกับร้อยยิ้มของปีศาจก็ไม่ปาน

            ขนมผิงถอยหลังหนีพลางมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง ไม่เข้าใจว่าปิญญ์ชานนท์ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร แขนถูกจับกระชากเหวี่ยงขึ้นไปบนเตียงอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บจุกที่ช่วงท้อง กายสูงเปลือยท่อนบนอวดแผงอกคืบคลานมาที่เขาราวกับราชสีห์กำลังล่าเหยื่อด้วยท่าทางคุกคาม

ทั้งที่เขาไม่เต็มใจ แต่ก็กลับถูกกดลงกับเตียงด้วยแรงมหาศาล เสื้อยืดตัวโปรดถูกดึงออกด้วยแรงมากจนมันฉีกออก ปิญญ์ชานนท์ไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเขาแต่อย่างใด

            “บริการให้สมราคาด้วยล่ะ”

            สิ้นเสียงริมฝีปากที่พูดพร่ำแต่ถ้อยคำดูถูกระดมจูบลงมาที่ริมฝีปากของเขาอย่างรุนแรง กลิ่นเลือดจางๆพร้อมกับรสชาติฝาดเฝื่อนคละคลุ้งอยู่เต็มโพลงปาก ลิ้นร้อนราวกับเล็กที่นาบไฟสอดเข้ามาอย่างจาบจ้วงพร้อมกับมือที่ฟอนเฟ้นไปทั่วร่างของเขา

            "ปล่อย”

            เสียงหวีดร้องขอความเมตตากลับไม่ช่วยอะไร กลับยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ป่าเถื่อนของอีกฝ่ายให้โหมกระหน่ำ ร่างกายกำลังสั่นเทากับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

            เขากำลังถูกข่มขืน…โดยผู้ชายที่มาจากตระกูลที่เขาเกลียด

            “อยู่เฉยๆน่า!!”

            ปิญญ์ชานนท์ขู่เมื่อขนมผิงดิ้นรนหาหนทางรอดก่อนจะปลดเข็มขัดของตัวเองออก ขบกัดบนผิวเนื้อของขนมผิงอย่างหื่นกระหาย ความรุนแรงและความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกายจนขนมผิงแทบรู้สึกบ้า

            “ปล่อยผม อึก อย่าทำอย่างนี้ อย่า”ร้องขอน้ำเสียงสั่นพร่า

            “อย่าสำออยไปหน่อยเลย”

            “อะ โอ้ย”ฟันคมขบลงมาบนยอดยกขบกัดลงมาจนเลือดซึมทั้งรุนแรงและไร้ความปราณี ลิ้นร้อนชื้อตวัดเลียมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนรู้สึกแสบ

            ฝ่ามือร้อนกับสัมผัสที่หยาบกร้านกำลังฟอนเฟ้นไปทั่วร่างกาย บีบเคล้นแรงให้เจ็บ…เจ็บจนร้องไม่ออกทั้งที่ใจกำลังกรีดร้องทุรนทุราย

            นิ้วแข็งแรงลุกล้ำเข้ามาในร่างกายไร้ความปราณี ขนมผิงพยายามเบี่ยงสะโพกหลบแต่ก็ถูกกดเอาไว้ ร่างกายจุกงอทันทีเมือหมัดที่ไม่ถึงกับแรงมากแต่ก็พอที่จะทำให้จุกส่งมาที่ช่องท้อง ความเจ็บแล่นพล่านไปทั่วร่างเมื่อสิ่งที่ทั้งทั้งใหญ่โตแข็งขืนยิ่งกว่านิ้วลุกล้ำเข้ามาข้างในโดยไม่มีความลังเล

            “ปล่อย…ผมเจ็บ”

            ร้องขอพลางจิกเล็บลงบนลาดไหล่ของชายหนุ่มเพื่อบรรเทาความเจ็บ แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย

            “อยู่เฉยๆ อย่าเกร็ง!!”น้ำเสียงเข็งกร้าวตวาดก้องบีบมือลงบนบั้นเอวของเขาแน่น ขาทั้งสองข้างถูกจับให้อ้ากว้างตอบรับท่อนกายใหญ่โตเข้ามาในร่างกาย

            แต่สิ่งที่น่าอัปยศมากกว่านั้นก็คืออารมณ์ร่วมของเขาที่เกิดขึ้นมา…มันสวนทางกับจิตใจของเขาอย่างสิ้นเชิง

            ดวงตาที่แข็งกร้าวราวกับสัตว์ป่าจ้องมองร่ายกายเขาโลมเลียผ่านทางสายตาหยาบคายพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยามฉายอยู่บนใบหน้า

            “อะ เอาออก ขอร้อง”ร้องขอออกไปเสียงสั่นพร่า พยายามดันสะโพกสอบที่กำลังขยับเข้าออกให้สิ่งที่อยู่ภายในหลุดออกไป แต่มันกลับเป็นเหมือนกับแรงกระตุ้นให้ปิญญ์ชานนท์ขยับเข้าออกอย่างรุนแรงมากกว่าเก่าโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าเขาจะเจ็บแค่ไหน

            มันเหมือนกับคมมีดที่กรีดมาในร่างกาย ความแสบที่เหมือนกับแผลที่ปริแตกมันแผ่ซ่านจนขนมผิงแทบไม่อยากที่จะขยับตัว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ปิญญ์ชานนท์สอดกายเข้าไปในร่างของขนมผิง...ความโหดร้ายที่โหมกระหน่ำยามค่ำคืน

            เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าค่ำคืนที่เลวร้ายมันจะไม่จบลงเพียงแค่นั้น แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ฝังบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในร่างกายของเขา

            สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล

 

            หลังจากวันนั้นอีกเพียงไม่กี่วัน เช็คมูลค่าหนึ่งล้านก็ถูกส่งมาที่บ้านของเขา ราวกับตอกย้ำความโสมมของจิตใจที่หยาบช้าของปิญญ์ชานนท์

            เงินที่อีกฝ่ายบูชาและคิดว่าสามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง…เขาไม่ต้องการ ขนมผิงส่งมันคืนให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ใยดีเลยสักนิดเพื่อตอกย้ำสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ดูถูกเขากับแม่ หลังจากคืนที่เลวร้ายมากที่สุดในชีวิตคืนนั้น เขาก็ไม่เจอกับปิญญ์ชานนท์อีกเลย

----------------------------------------------------------------------------

มีต่อ
หัวข้อ: Re: ❖ แค่ขนมหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 1 เกิดจากแค้น ❖ 1/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 01-10-2015 04:36:32
ต่อ

            “กลับมาแล้วเหรอผิง”ผู้เป็นแม่ทักทายหลังจากที่ขนมผิงเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนกับการต่อรองที่จบลง

            “ครับ”

            “เป็นไงบ้าง ไปคุยกับพ่อของเด็กเขาว่ายังไง”ลำดวนเดินเข้าไปหาลูกชายแล้วแตะลงที่แขนเบาๆด้วยความเป็นห่วง

            ขนมผิงรู้ว่าแม่ของเขารู้สึกผิดที่ทำให้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นลูกของผู้หญิงทรยศ แต่เขาไม่เคยโกรธแม่เลยสักนิด กลับตรงกันข้ามที่เขากลับโกรธเกลียดและชิงชังพวกคนที่ทำให้เขาและแม่เป็นแบบนี้มากกว่า

            “เขาไม่ยอมรับว่าเด็กในท้องเป็นลูกของเขา”ขนมผิงตอบเสียงแข็ง แม่ของเขาไม่รู้ว่าพ่อของเด็กในท้องคือใครเพราะเขาไม่เคยบอกและไม่ต้องการที่จะให้ใครรู้

            ขนมผิงกำเครื่องอัดเสียงในกระเป๋าแน่น สิ่งที่จะปกป้องลูกของเขาได้ก็คงจะเป็นสิ่งนี้

            ใจจริงเขาอยากที่จะให้ปิญญ์ชานนท์เซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรเลยด้วยซ้ำเพื่อไม่ให้ปิญญ์ชานนท์เข้ามาข้องเกี่ยวกับเขาและลูก หากแต่คนอย่างปิญญ์ชานนท์คงจะไม่ยอมเซ็นอะไรให้กับใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับเขา เอกสารที่บ่งบอกว่าเขากำลังตั้งครรภ์ ปิญญ์ชานนท์มองมันราวกับเป็นเรื่องตลกหลอกลวง ซึ่งนั่นมันก็เข้าทางของเขาเพราะหลังจากนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ปิญญ์ชานนท์เข้ามายุ่งกับชีวิตของเขากับลูกได้

            “แล้วเรื่องนี้ตั้งใจว่าจะบอกพ่อเขาเมื่อไรล่ะ”

            ขนมผิงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อของเขา…พ่อที่เขาพึ่งจะรู้ว่ามีตัวตน

            พ่อซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ของเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเลวเพราะพ่อคือเจ้าของมณีรัตน์กรุ๊ป คู่แข่งของอนันตไพลินกรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่

            แม่ให้อนันตไพลินมาเกือบสิบปี เป็นเพียงผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของลูกเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีเงินมากพอจะเลี้ยงแม่กับเขาได้สบาย

            เขาเกิดขึ้นมาด้วยความรักของแม่ที่มีต่อพ่อ แต่สุดท้ายพ่อก็ทิ้งไปตั้งแต่แม่ยังไม่รู้ตัวว่าท้องจนกระทั่งเกิดเขาขึ้นมา แม่เลี้ยงเขามาด้วยตัวคนเดียว เป็นพนักงานในเครืออนันตไพลินกรุ๊ปไต่เต้าจนได้เป็นผู้ช่วยเลขาของอาทิตย์ประธานคนเก่าซึ่งเป็นพ่อของปิญญ์ชานนท์

            อาทิตย์เป็นคนที่เข้ามาจีบแม่ของเขาแต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะใจของแม่ยังไม่ลืมพ่อ เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มต้นที่พ่อของเขากลับมาและสารภาพว่าถูกที่บ้านบังคับให้แต่งงาน แต่ภรรยาใหม่ของพ่อก็เสียโดยที่ไม่มีลูกจึงกลับมาหาแม่ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างพ่อกับแม่โดยที่แม่ของเขาเป็นคนที่อยู่ภายใต้อำนาจของอนันตไพลินกรุ๊ป

            อาทิตย์กลับไม่พอใจและใส่ร้ายว่าแม่ของเขาเป็นผู้หญิงทรยศและเป็นนกสองหัว เห็นแก่เงิน ขายบริการให้พ่อและอีกมากมายที่เขาจะตีตราบาปลงมาได้

            หลังจากที่แม่ของขนมผิงถูกไล่ออกอาทิตย์ก็เกิดเส้นเลือดในสมองแตกจนทำให้เป็นอัมพาตไปครึ่งร่าง แม่ของเขาก็ถูกประณามมาตลอดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดทั้งที่ไม่ได้ทำ

            ความอ่อนโยนทำให้แม่ของเขาเลือกที่จะไม่โกรธเคืองอีกฝ่ายถึงแม้จะโดนต่อว่าและดูถูกมากมายก็ตาม หลังจากที่ถูกไล่ออกแม่ของเขาก็พาเขาย้ายมาอยู่ที่บ้านของพ่อ…ในฐานะภรรยาและลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย

            และขนมผิงกำลังก้าวขึ้นมาเป็นทายาทของมณีรัตน์คนต่อไป เขาวาดเป้าหมายเอาไว้ด้วยความเจ็บใจ…สักวันเขาจะบดขยี้อนันตไพลินที่ตีตราบาปให้กับเขาและแม่ของเขาให้ได้

            “ถ้าพ่อกลับมาแล้วผิงจะบอกพ่อเอง ผิงคิดว่าผิงพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้งานจากพ่อ”

 

            --------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ แค่ขนมหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 1 เกิดจากแค้น ❖ 1/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 01-10-2015 05:33:21
อืม สงสัยมานานแล้วว่ากรณีอย่างนี้สามารถทำอะไรเพื่อไม่ให้พระเอกมาทวงลูกคืนในอนาคตได้บ้าง คนมีเงินมีอำนาจจะทำอะไรก็ได้จริงไหม เชื่อถืออะไรได้กับคำพูด วันนี้เด็กยังไม่มีประโยชน์ พอแก่ๆแล้วอาจจะกลับใจอยากมีลูกขึ้นมาก็ได้แต่ไม่เอาแม่ไรเงี้ย นายเอกก็ซวยสิ
หัวข้อ: Re: ❖ แค่ขนมหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 1 เกิดจากแค้น ❖ 1/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-10-2015 09:26:27
น่าจะทำเป็นลายลักษณ์อักษรเลยนะ ว่าไม่ยอมรับเป็นลูก
ว่าแต่เรื่องที่มีผู้ชายอื่นมาพัวพันนี่ยังไง
หัวข้อ: Re: ❖ ข น ม ห ว า น ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 02-10-2015 03:36:14
2 สิ่งมีชีวิตในร่างกาย

 

            สามเดือนผ่านมาชีวิตของนักศึกษาจบใหม่ของขนมผิงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หน้าท้องที่แบนราบเริ่มพองนูนขึ้นมาราวกับคนลงพุง ขนมผิงไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะออกจากห้องของตัวเองหากด้วยซ้ำหากไม่จำเป็น เพราะกลัวว่าจะถูกมองเป็นตัวประหลาด

            ร่างสูงโปร่งยืนจ้องมองป้ายหลุมศพของพี่สาวตัวเองในสุสานด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย เขาไม่อยากจะคิดว่าหากคนที่จะต้องจากโลกนี้ไปในวันแรกที่ลืมตาขึ้นมาคือตัวเขามันคงจะดี เขาจะได้ไม่แบกรับความอัปยศที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้รู้สึกราวกับถูกฝังทั้งเป็น

            หลังจากที่ศักดิ์ศรีถูกบกขยี้ด้วยน้ำมือของปิญญ์ชานนท์ วันที่เดินก้าวเข้าไปในพื้นที่ของอนันตไพลินเพียงเพื่อจะไปบอกคนคนนั้นเรื่องลูกในท้อง

            เขาได้เรียนรู้งานจากเลขาคนสนิทของบิดาทีละเล็กทีละน้อยจนเริ่มเข้าใจของระบบงานภายในของมณีรัตน์มากขึ้น

            การนั่งอ่านเอกสารอยู่แต่ในบ้าน ในห้องสี่เหลี่ยมแคบยังไม่ยากเท่ากับอาการแพ้ท้องที่กำเริบอยู่เป็นระยะ ขนมผิงต้องพยายาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ไม่เคยรอบคอบของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นเพื่อสิ่งมีชีวิตที่ฝังตัวอยู่ในท้อง…ถึงสิ่งๆนั้นเขาจะไม่เคยต้องการก็ตาม

            ฝ่ามือผอมลูบลงบนผิวท้องผ่านเสื้อตัวคลุมด้วยความรู้สึกหวงแหน ดวงตาสีโศกหลุบตามองป้ายหลุมศพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเช็ดหยดน้ำตาที่ซึมออกมาที่หางตา

            “ผิงกลับก่อนนะพี่เมไว้ผิงจะมาใหม่”ขนมผิงบอกลา

 

            “จะไปไหนต่อดีครับคุณหนู”ลุงแม้นคนขับรถของบ้านหันมาถาม

            “ไปห้างที่อยู่ใกล้คอนโดครับลุง”ขนมผิงยิ้มบางให้ลุงแม้นก่อนจะตอบ

            “แปลกนะครับ ปกติไม่เห็นคุณหนูเดินเล่น”

            “ผิงนัดเพื่อนไว้ครับลุง”

            เพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่เชิงว่าเป็นเพื่อน ขนมผิงมีความรู้สึกดีดีต่อคุณวุฒิคนที่ปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกของผู้หญิงที่ถูกประณามจนชีวิตพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี มีแค่คุณวุฒิที่ยังคงดีกับเขาและคอยอยู่เคียงข้างมาตลอด จนระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาหลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ความสะดวกสบายและชีวิตราวกับว่าถูกเปลี่ยนเป็นคนละคน

            เขาตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ลบล้างความทรงจำที่เลวร้ายเพื่อก้อนเนื้อที่กำลังเติบโตอยู่ในร่างกาย ขนมผิงยอมตัดแม้กระทั่งความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนรุ่นพี่และคนอื่นๆ แต่จนแล้วจนรอดคุณวุฒิก็ได้เบอร์มาจากเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่งที่บังเอิญเจอแม่ของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว

            คุณวุฒิเป็นฝ่ายโทรมาตัดพ้อแล้วคะยั้นคะยอให้เขาออกมาเจอ ซึ่งแน่นอนว่าตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะตกลงตามคำเรียกร้องของอีกฝ่ายเพียงเพราะความรู้สึกลึกๆที่อยู่ภายในผลักดันให้เขาตอบรับคำเชิญ

            ขนมผิงก้าวเข้าไปในร้านอาหารที่นัดกันเอาไว้ ทันทีที่อีกฝ่ายที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วเงยหน้าขึ้นมารอยยิ้มปิติก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดวงตาภายใต้กรอบแว่นระยิบระยับราวกับเด็กที่พึ่งจะได้ของเล่นใหม่ที่ถูกใจ

            “นั่งสิผิง”คุณวุฒิรีบลุกขึ้นมาเลื่อนเก้าอี้ให้อย่างเอาใจ

            “รอนานไหมครับ”

            “ไม่เลย พี่เองก็พึ่งมา”คุณวุฒิตอบถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะมาก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะความตื่นเต้น

            “สั่งอาหารเลยไหมครับ คงจะหิวแย่”

            ขนมผิงส่งยิ้มให้ ดวงตาสีโศกดูโปร่งประกายขึ้นมาเล็กน้อยจากเดิมที่มีเพียงความเศร้าโศกฉายอยู่ในแววตาตลอดเวลา จ้องมองเพื่อนรุ่นพี่แย้มยิ้มให้กับพนักงานอย่างเป็นมิตรสั่งเมนูอาการหลายอย่างที่เขาชอบอย่างรู้ใจ

            “มองอะไร นี่พี่ยังไม่ได้คิดบัญชีที่ผิงหายไปสามเดือนโดยไม่ติดต่อพี่มาเลยนะครับ”คุณหมอหันมาบ่นอุบคล้ายกำลังดุคนไข้ที่ไม่มาตามนัด

            “ผิงย้ายบ้านน่ะ”คำถามข้อแรกตอบไปตามความจริง

            “แล้วทำไมถึงไม่โทรติดต่อพี่บ้างเลยล่ะ อย่างน้อยก็ให้พี่ไปช่วยขนของบ้างก็ได้นี่”

            “โทรศัพท์ผิงหายแล้วผิงก็จำเบอร์ใครไม่ได้เลย อีกอย่างใครจะไปกล้าใช้คุณหมอมายกของล่ะครับ คนไข้รู้เข้าล่ะต่อว่าผิงแย่”ขนมผิงยิ้มทั้งที่คำตอบที่เพิ่งจะตอบไปเป็นคำโกหกเกือบแทบทั้งหมด

            “ช่างเถอะ ว่าแต่ทำไมช่วงนี้อยู่ดีกินดีหรือว่าอะไรทำไมพี่ถึงได้รู้สึกว่าผิงดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมากกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน หรือว่ายังไม่ได้ทำงานแล้วนอนกินตีพุงอยู่บ้าน”

            “ก็ประมานนั้นแหละครับ รู้ทันผมทุกทีสิน่า”ขนมผิงแสร้งเออออยกมือขึ้นกุมท้องตัวเองกลัวว่าคุณวุฒิจะสังเกตเห็น ใบหน้าขาวสะอาดเริ่มซีดเผือดด้วยความระแวง

            “ให้พี่ช่วยให้พ่อฝากงานให้เอาไหมครับ”

            “มะ ไม่เอา!!”เพราะมันคงไม่พ้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับอนันตไพลินแน่ ขนมผิงปฏิเสธออกไปทันที

            “เป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าซีดๆไปนะ”คุณหมอเด็กมือใหม่ยกมือข้ามทาบลงมาบนหน้าผากมน

            “มะ ไม่เป็นไรครับ อาหารมาแล้วกินกันดีกว่า”ขนมผิงเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเมื่อหัวใจที่อยู่ในอกมันกำลังเต้นระรัวด้วยความดีใจที่อีกฝ่ายนั้นเป็นห่วงตน

            “กินเต็มที่เลยนะครับมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง ฉลองที่ได้เจอกันหลังจากไม่ได้เจอกันมาตั้งสามเดือน”

            “ครับๆ จ่ายไม่ไหวอย่ามาบ่นใส่ผมนะ”ขนมผิงเบ้ปากเล็กๆประชดใส่พ่อบุญุทุ่ม

            จนอาหารจานสุดท้ายที่สั่งไปยกมาเสิร์ฟจนครบ ความรู้สึกคลื่นเหียนอยากจะอาเจียนก็กำเริบขึ้นมาเมื่ออาหารจานเนื้อที่เป็นเมนหลักวางลงบนโต๊ะ

            “ผิงเป็นอะไรรึเปล่า ดูสีหน้าท่าทางไม่ดี”คุณวุฒิทักด้วยท่าทีตกใจเมื่อเห็นว่าขนมผิงมีท่าทางคล้ายกำลังจะอาเจียนออกมา

            “นะ เนื้อครับ เอาเนื้ออกไปทีผิงเหม็น”

            “โอเคครับ เดี๋ยวพี่สั่งให้พนักงานเอาออกไปให้”คุณวุฒิรีบหยิบจานเนื้อส่งให้พนักงาน

            เมื่ออาหารจานเนื้อที่มักจะคลื่นไส้ทุกครั้งที่อาเจียนถูกยกออกไป ขนมผิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

            “ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ”

            “ผิงขอโทษที่ทำให้พี่วุฒิลำบาก”

            “ไม่เลย พี่ไม่ลำบาก มีแต่ผิงที่เหมือนจะอาการไม่ค่อยดีเท่าไร ไปหาหมอดีกว่าไหมครับ”

            “ไม่ ไม่ไปครับ!!”ขนมผิงเผลอพูดออกมาเสียงดังจนโต๊ะที่อยู่ด้านข้างหันมามอง “อะ เอ่อ ผมหมายถึงจะไปทำไมในเมื่อพี่วุฒิก็เป็นหมอ”

            “นั่นสินะครับ แต่ถ้าพี่ไม่รู้ว่าผิงเป็นผู้ชาย พี่คงวินิจฉัยว่าผิงท้องไปแล้ว”คุณวุฒิตอบซึ่งนั่นก็ทำให้ขนมผิงกำมือเล็กๆด้วยความอึดอัดใจกับสิ่งที่ปกปิดเอาไว้

            “ผมเป็นผู้ชายจะท้องได้ยังไงกัน”ผมขนมผิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น

            “ดูทำหน้าเข้า พี่แค่ล้อเล่นน่ะ”

            “ช่างเถอะครับ กินกันดีกว่าผิงหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”

            “ทำเป็นหิวไป กินจนอ้วนขนาดนี้แล้ว

            “ใครบอกว่าผิงอ้วน ผิงบอกแล้วไงว่าผิงแค่กินเยอะ” ขนมผิงตัดบทกลับมายิ้มให้คุณหมออีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็ร้อยยิ้มที่แสร้งยิ้มออกมาเพื่อปิดบังสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในใจ

 

            “ดูสิว่าฉันเจอใคร ไม่ยักรู้ว่านานสองคนยังติดต่อกันอยู่”

            ผ่านไปได้สักพักที่จัดการกับอาหารตรงหน้า จู่ๆเสียงทักทายของบุคคลที่สามก็ดังเหนือขึ้นไปทำให้ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามอง

            ความรู้สึกที่ราวกับถูกน้ำเย็นจัดสาดจนร่างกายด้านชาถาโถมเข้ามากัดกินจนช้อนที่อยู่ในมือร่วงหล่นกระทบจานข้าวเสียงดัง ฝ่ามือผอมเกาะกุมท้องตัวเองด้วยความหวงแหนแทบจะทันทีเมื่อสายตาดูแคลนนั้นเหยียดมองมาที่ตน

            “มาทานที่นี่เหมือนกันเหรอครับพี่ปิญญ์ ว่าแต่เดหลีล่ะครับได้มาด้วยกันรึเปล่า”คุณวุฒิถามถึงคู่หมั้นคู่หมายของญาติผู้พี่

            “ไปเข้าห้องน้ำน่ะอีกเดี๋ยวก็คงตามมา ว่าแต่เปลี่ยนไปมากเลยนะขนมผิง เปลี่ยน…จนเกือบจะจำแทบไม่ได้”

            ปิญญ์ชานนท์ก้มตัวลงมาจงใจเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและดูถูกจนฝ่ามือที่กำลังกุมท้องอยู่สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้

            ขนมผิงไม่ตอบโต้อีกฝ่าย แต่เลือกที่จะเบือนหน้าหนีเรียกให้ชายหนุ่มหน้าชาเมื่อถูกปฏิเสธการพูดคุยที่ตนเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน เดือดร้อนคุณวุฒิต้องรับแก้ต่างแทนให้

            “พอดีผิงเขาไม่สบายน่ะครับ”

            “อ้อ งั้นเหรอ ไม่สบายเป็นอะไรล่ะถึงได้กุมท้องซะแน่นขนาดนั้น” ปวดหัว ตัวร้อน หรือว่า ‘ท้อง’ กันล่ะ”

            “คุณปิญญ์!!”ขนมผิงปรามเสียงดังเมื่อปิญญ์ชานนท์พูดคำต้องห้ามขึ้นมาแทงใจดำ

            “เป็นอะไรไป เรียกฉันซะเสียงดังเชียว ฉันแค่จะบอกว่าท้องเสียน่ะ งั้นไม่กวนแล้วล่ะ กินกันให้อร่อยล่ะ หวังว่าเราคงจะได้เจอกันในอีกเร็ววันนะขนมผิง”

            พูดจบปิญญ์ชานนท์ก็เหยียดยิ้มร้ายส่งมาให้อีกครั้งก่อนจะเดินจากไปเมื่อเห็นว่าคู่หมั้นสาวสวยของตัวเองเดินเข้ามาภายในร้าน

            “ว่าแต่อิ่มรึยัง เดี๋ยวก็ท้องแตกหรอก”คุณหมอแซวเมื่ออาหารส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ในจานของขนมผิงเสียหมด

            “ยังครับ ยังได้อีกเยอะ”ขนมผิงยิ้มตอบทั้งที่ใจยังคงนึกถึงแต่รอยยิ้มเหยียดหยามนั้นติดตา

            “กินเยอะระวังจะท้องแตกเอานะครับ”

            “ไม่กลัวหรอกครับ มีหมอคนเก่งอยู่ทั้งคน”แสร้งตอบอย่างเป็นปกติ แต่มือก็ยังคงกอบกุมอยู่ที่ท้องของตัวเองด้วยความหวาดระแวง

เพราะกลัวว่าคนเลวอย่างปิญญ์ชานนท์จะมาแย่งลูกที่อยู่ในท้องไป

           

            ----------------------------------------------------------

 

            “ให้พี่ไปส่งนะครับ”คุณวุฒิบอกพลางจับมือขนมผิงอย่างเคยชินเมื่อกำลังเดินออกมาจากโรงหนังที่คนกำลังพลุกพล่านอีกมือถือถังป๊อบคอร์นตัวการ์ตูนเรื่องที่เพิ่งจะดูจบไปเมื่อครู่

            “เดี๋ยวผิงกลับเองก็ได้ รบกวนพี่วุฒิเปล่าๆ อีกอย่างมันก็คงละทางกันเลยนะครับ”

            “ให้พี่ไปส่งเถอะนะจะได้เห็นบ้านใหม่ของผิงด้วย พี่จะได้วางใจว่าเวลาที่ผิงหายไปพี่จะได้ไปตามถูก”

            “ก็ได้ครับก็ได้ ตามใจคุณหมอ”

            สุดท้ายก็ตามใจลูกอ้อนปล่อยให้คุณวุฒิไปส่งจนได้ แต่สถานที่ที่ไปนั้นไม่ใช่บ้านที่เขากำลังอยู่ ไม่ใช่บ้านมณีรัตน์หลังใหญ่ที่เพิ่งจะย้ายเข้าไป แต่กลับเป็นคอนโดห้องใหญ่ที่ผู้เป็นพ่อซื้อเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว เอาไว้พักผ่อนเวลาที่เลิกงานดึกแล้วไม่อยากขับรถกลับบ้านไกลๆ

            “ผิงอยู่ที่นี่เหรอ”คุณวุฒิถามทันทีเมื่อขับรถมาจอดเบื้องหน้าตึกคอนโดหรูใจกลางเมืองด้วยความประหลาดใจ

            “ครับ ที่นี่พ่อเป็นคนซื้อให้แม่น่ะ”จงใจใช่คำพูดให้ดูกำกวมให้คุณวุฒิคิดว่าพ่อที่ว่าคือผู้ชายคนใหม่ของแม่อย่างที่คนอื่นชอบคิดกัน

            “น่าอยู่กว่าเดิมเยอะเลย ว่าแต่เจ้าของบ้านจะใจดีเชิญพี่ขึ้นไปกินน้ำกินท่ารึเปล่านี่สิ พี่ก็รอฟังคำเชิญอยู่”

            “ถึงจะออกปากไล่ก็คงไม่ยอมไปง่ายๆใช่ไหมล่ะครับ แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่านอกจากน้ำแล้วไม่มีขนมหรืออย่างอื่นให้กินแล้วนะ”ขนมผิงยิ้ม

            “ครับๆ พี่เป็นคุณหมอเด็กไม่ใช่เด็กนะจะได้ร้องขอขนม”

            “ผิงไม่ยักกะมองเห็นความแตกต่าง”

            “เอาเข้าไป เอาเข้าไป”คุณวุฒิประชดเดินตามเจ้าของบ้าน

            มือผอมกดรหัสลงบนแป้นตัวเลขหน้าประตูสามสี่ครั้งจนเสียงปลดล็อกดังขึ้นแล้วผลักประตูเข้าไป ห้องสีขาวสะอาดเฟอร์นิเจอร์ครบครัน หากแต่ดูโล่งตาไม่ค่อยมีสิ่งของจุกจิกเหมือนมีคนอาศัยอยู่ทำให้คุณหมอย่นหน้าเล็กๆ

            “แล้วแม่ผิงล่ะครับ ไม่อยู่เหรอ”

            “แม่ออกไปข้างนอกกับพ่อน่ะ ไม่รู้จะกลับเมื่อไร”ขนมผิงโกหกอีกครั้ง

            “ห้องโล่งจังเลยนะ ถ้าไม่บอกนี่พี่คงคิดว่าไม่มีใครเคยอยู่ที่นี่จริงๆ”คุณวุฒิพูดตามจริงทำให้ดวงตาคมนิ่งสีโศกเริ่มหลุกหลิก

            “จะไม่ให้มีคนอยู่ได้ไงล่ะครับพี่วุฒิก็ว่าไปนั่น ห้องแค่นี้จะไปเทียบอะไรกับห้องใหญ่ๆของพี่วุฒิ”ขนมผิงเบ้ปากใส่ประชดประชัน

            เวลาผ่านไปนับหลายชั่วโมงที่เวลาสามเดือนยังไม่อาจจะเทียบได้กับประโยคตอบถามพูดคุยที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะร่วน ซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่กำลังโกหกลืมเรื่องราวน่าหดหู่ไปได้พักใหญ่

 

            “ต้องกลับแล้วสิครับ น่าเสียดาย ห้องผิงน่าอยู่จนพี่ชักจะอยากมาขออาศัยอยู่ด้วยให้แม่ผิงช่วยเลี้ยงพี่เป็นลูกอีกสักคน พอจะมีที่ว่างให้พี่บ้างรึเปล่าครับ”

            “พี่ บ้านตัวเองก็ออกจะใหญ่โต รีบกลับได้แล้วครับพรุ่งนี้ต้องไปเข้าเวรแต่เช้าไม่ใช่รึไง”

            “ครับๆ หมูอ้วนขี้บ่น”

            “ว่าคนอื่นเขาเป็นหมูแบบนี้ไม่ดีนะครับ ขับรถดีดีนะครับคุณหมอ”ขนมผิงโบกมือลาส่งยิ้มให้ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในตึกของคนโด

มือผอมกระชับเสื้อคลุมเมื่ออากาศในเย็นจนเกือบจะค่ำเริ่มเย็นตัวลง ด้วยความเป็นห่วงลูกที่อยู่ในท้องของตนเอง

            นิ้วเรียวกดรหัสลงบนแห้นตัวเลขอีกครั้งก่อนจะผลักประตูให้เปิดออก วินาทีที่ประตูกำลังจะปิดลงมือปริศนาก็ผลักมันเข้ามาอย่างแรง

            ตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อร่างสูงใหญ่ที่ดูคุ้นตาดีแทรกตัวเข้ามาในห้องของตน สัญชาติญาณสั่งให้ก้าวเท้าถอยหนีไปครึ่งก้าวเพื่อตั้งหลักและยกมือขึ้นกุมท้องอย่างหวาดระแวง

            “คุ คุณปิญญ์”ขนมผิงหลุดปากเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว

            “ไง คิดว่าฉันจะเป็นเจ้าวุฒิรึไงกันถึงได้ดูผิดหวังซะขนาดนี้”ถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

            “คุณ ตามผมมา”ขนมผิงพึมพำยกมือขึ้นกุมท้องตัวเองด้วยความหวงแหนสิ่งที่อยู่ในร่างกาย

            “อย่าหลงตัวเองสิ ที่ฉันตามมาน่ะไม่ใช่นายแต่เป็นนายวุฒิต่างหาก นายกล้าดีนี่ที่ยังไม่เลิกยุ่งกับน้องชายของฉันอีก หน้าด้านหน้าทนซะจริง แล้วนี่ยังไง!!ทนไม่ไหวถึงต้องมากันมาพลอดรักถึงที่เลยรึไง”

            “ถ้าคุณจะมาพูดไร้สาระล่ะก็กลับไปเถอะ ผมต้องการพักผ่อน”

            “คงเหนื่อยสินะ เป็นไงล่ะชอบไหม นายวุฒิกับฉันชอบใครมากกว่ากันล่ะ”

            “คุณไม่ควรลากน้องชายของคุณมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่ำๆแบบตัวเอง”ขนมผิงปรามเมื่อปิญญ์ชานนท์กำลังดูถูกคุณวุฒิ

            “แล้วไง นายกำลังจะออกโรงปกป้องเหยื่อของตัวเองอยู่รึไง”ปิญญ์ชานนท์พูดเสียงกร้าวออกแรงกระชากขนมผิงให้เข้าไปหาจนร่างสูงโปร่งเซเข้าไปเกือบปะทะกับแผงอก

            “คุณทำบ้าอะไร อย่ามาทำกิริยาต่ำๆแบบนี้ในที่ของคนอื่นเขานะ”

            ขนมผิงพยายามยื้อแขนเอาไว้ไม่ให้ถูกดึงเข้าไปใกล้มากกว่านี้ ทั้งที่ใจจริงอยากจะออกแรงต่อต้านให้มันรู้แล้วรู้รอด หากแต่ความเป็นห่วงลูกในท้องกลัวว่าความรุนแรงอาจจะทำให้กระทบกระเทือนทำให้ต้องหักความใจเอาไว้

            “แล้วใครกันนะที่เป็นเมียของคนกิริยาต่ำๆอย่างฉันคนนี้”ปิญญ์ชานนท์ออกแรงบีบที่แขนมากขึ้นจนขนมผิงเริ่มรู้สึกเจ็บ

            “คนอย่างคุณมันไม่มีสิทธิแม้แต่จะมาเอ่ยสถานะเกี่ยวข้องกับผมด้วยซ้ำ”

            สิ้นเสียงร่างก็ถูกกระชากเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงลมหายใจที่พ่นออกมาจากอีกฝ่าย ความอุ่นร้อนของลมหายใจกำลังตกกระทบลงบนใบหน้าซีดเผือดของขนมขนมผิง ดวงตาคมนิ่งจ้องมองตอบดวงตาคู่ดุไม่วางตา

            “ปากดีนักนะขนมผิง ฉันจะเตือนนายอีกแค่ครั้งเดียวให้นายเลิกยุ่งกับนายวุฒิไปซะ ไม่อย่างนั้นนายได้เห็นดีกับฉันแน่”

            “คุณก็ลองไปถามพี่วุฒิเขาดูสิ ว่าใครเป็นฝ่ายมายุ่งกับใคร แล้วอีกอย่างออกไปจากห้องนี้ได้แล้ว แค่หายใจร่วมโลกอยู่กับคุณมันก็แย่พอแรงอยู่แล้ว”

            ขนมผิงกลั้นใจตอบออกไปด้วยถ้อยคำที่ไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายมันมากเกินพอที่จะผลักดันให้แข็งกร้าวและกล้าต่อกรออกไป…ถึงแม้ว่าส่วนลึกกำลังกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาแย่งลูกที่อยู่ในท้องของตนก็ตาม

            “นายนี่มันจริงๆเลยนะขนมผิง ลองดูสิว่านายจะลืมสิ่งที่ฉันทำกับนายไปแล้วรึยัง”

            พูดจบร่างกายก็ถูกดึงรั้งเข้าไปกอดรัด ถูกพาเข้าไปในห้องนอนที่เปิดประตูทิ้งไว้แล้วผลักลงบนเตียง

            “ปล่อยผมนะ!! คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!!”ขนมผิงต่อว่าพลางดิ้นออกจากอ้อมแขนที่กอดรัด เบือนหน้าหนีริมฝีปากที่ฉกฉวยลงมาเกลือกกลัวบนใบหน้า

            “อย่าทำเป็นไม่เคยไปหน่อยเลยน่า อยู่นิ่งๆหน่อยสิวะ”

            ปิญญ์ชานนท์ตวาดก้อง ผลักร่างสูงโปร่งกดเอาไว้กับผืนเตียงกว้างด้วยมือข้างเดียวในขณะที่มืออีกข้างบีบรัดกรอบหน้าของขนมผิงเอาไว้ให้หันมาจ้องมองตน

            “คุณมันเลวเกินที่ผมจะบรรยายได้จริงๆ”ขนมผิงต่อว่าพยายามขดตัวเข้าหากันเพื่อปกป้องลูกในท้อง

            หากแต่ปิญญ์ชานนท์กลับโน้มกายเข้าหา จมูกโด่งรั้นยื่นเข้ามาจนเกือบชิดใบหน้าซีด ความใกล้ชิดที่มีมากจนเกินไปทำให้ขนมผิงรู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้กลับเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ติดตัวมากกับอีกฝ่าย

            “ปะ ปล่อยผม อะ แหวะ”ขนมผิงรีบปิดปากแล้วกลืนสิ่งที่ขย้อนออกมาลงคอเข้าไปทันที ในขณะที่มืออีกข้างยังคงกุมท้องเอาไว้อย่างหวงแหน ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์ยอมผละออกไปเล็กน้อย

            “เป็นอะไร สำออยรึไง”ปิญญ์ชานนท์ต่อว่าไม่วายส่งสายตาเหยียดหยามดูแคลนไปให้ขนมผิงเช่นเคย

            “เหม็น”

            “อะไรของนาย อย่ามาทำเป็นเสแสร้งไปหน่อยเลย”ปิญญ์ชานนท์ว่าพลางจ้องมองมือผอมกุมท้องที่นูนออกมา

            “กลิ่นของคุณมันเหม็น…เหม็นจนน่าสะอิดสะเอียน”ขนมผิงเหยียดยิ้มแบบเดิมส่งกลับคืนให้

            “นายว่าอะไรนะ!!”

            “ก็บอกว่ากลิ่นของคุณมันเหม็นจนน่าสะอิดสะเอียนยังไงล่ะ”

            “มันจะมากไปแล้วนะขนมผิง แล้วนั่นอะไร!! ที่นายกุมท้องอยู่อย่าบอกนะว่ายังไม่เลิกคิดอยู่อีกว่าตัวเองท้อง

            “นั่นมันก็แล้วแต่คุณจะคิด เรื่องทุกอย่างผมได้บอกคุณไปหมดแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ เลิกยุ่งกับชีวิตของผมสักที!!”

            “ฉันคงเลิกยุงกับเมียตัวเองไม่ได้หรอกนะ นายเป็นเมียของฉัน ฉันจะไม่มีวันปล่อยนายไปยุ่งกับใคร โดยเฉพาะนายวุฒิ หมอนั่นอ่อนไหวเกินกว่าจะมาถูกนายหลอกได้”

            ผลั๊ว!!

            กำปั้นเล็กๆส่งออกไปกระทบใบหน้าคมคายถึงจะออมแรงเอาไว้เพราะกลัวว่าจะกระทบกระทั่งลูกในท้อง แต่มันก็พอที่จะทำให้ปิญญ์ชานนท์รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่กำลังคละคลุ้งอยู่ในโพลงปากได้

            “นายกล้ามากนะขนมผิง ที่ทำแบบนี้!!”

            ปิญญ์ชานนท์ประกาศกร้าวก่อนจะกดร่างของขนมผิงจนแทบจะจมลงไปในที่นอนด้วยแรงมหาศาล ริมฝีปากหยักมีเลือดผุดซึมออกมาอย่างน่ากลัวเรียกให้ขนมผิงใจสั่น ขนมผิงพยายามดิ้นแต่ยิ่งดิ้นเท่าไรปิญญ์ชานนท์ก็ยิ่งออกแรงตรึงร่างของเขาเอาไว้

            “คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ คุณก็รู้ว่าผมท้อง”ขนมผิงร้องห้ามเมื่อปิญญ์ชานนท์ดูเหมือนจะไม่ฟังคำ

            “นายเลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว ไม่มีใครเชื่อเรื่องโกหกของนายหรอกน่า แต่ไม่ต้องห่วงฉันจะพยายามไม่รุนแรง เห็นแก่ที่นายสำออยคอยกุมท้องเอาไว้ตลอดเวลา”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มชั่วร้าย

            ดึงรั้งเสื้อเชิ้ตตัวบางออกจากร่างสูงโปร่งที่พยายามขืนเอาไว้ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มชะงักเมื่อท่อนบนของอีกฝ่ายเปลือยเปล่า แผ่นท้องที่เคยแบนราบกลับนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไม่ได้ใส่เสื้อปิดบังร่างกาย

            “ดูท่านายจะกินเยอะไปนะ”ถึงจะตกใจและแปลกใจไม่น้อยแต่ปิญญ์ชานนท์ก็ไม่วายพูดถากถางอีกเช่นเคย

            ริมฝีปากร้อนระดมจูบไปทั่วร่าง ฝ่ามือกร้านเคล้นคลึงและลูบผ่านทุกอณูของผิวกายให้ขนมผิงขืนกายด้วยความทรมาน รอยจูบแดงเรื่อตีตราลงบนร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเป็นดอกกุหลาบที่แปดเปื้อนราคีไม่มีวันลบล้างมลทิน

            ขนมผิงได้แต่นอนขดกายเข้าหาตัวเอง ปล่อยให้ปิญญ์ชานนท์ย่ำยีอีกครั้งเพราะไม่สามารถขัดขืนอีกฝ่ายได้ ร่างกายทั่วทั้งร่างถูกสัมผัสจนหนำใจ เว้นเสียแต่หน้าท้องที่นูนออกมาเท่านั้นที่ปิญญ์ชานนท์ละเอาไว้ด้วยความสมเพชเวทนา

           

            -----------------------------------------------------------

 
 
หัวข้อ: Re: ❖ ข น ม ห ว า น ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 02-10-2015 04:03:13
3 สิ่งมีค่าที่หวงแหน

 

            ฤดูหนาวของประเทศอังกฤษ เกร็ดหิมะสีขาวบริสุทธิ์เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเมื่อความมืดเข้ามาปกคลุม ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยเกร็ดน้ำแข็งขาวโพลนดูแล้วละลานตาต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ที่กำลังมาถึง

            ภายในเซฟเฮ้าส์สองชั้นหลังขนาดพอดี ร่างสูงโปร่งเหยียดกายอยู่บนโซฟา ใบหน้าขาวสะอาดแดงระเรื่อซุกหน้าเข้าหาผ้าพันคอจากอากาศหนาวเย็นที่ยังคงเล็ดลอดเข้ามา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเนื้อหาที่อยู่ในเอกสารที่อ่านอยู่นั้นทำให้เขาข้องใจ

            เส้นผมสีดำสลวยที่เคยสั้นบัดนี้ถูกปล่อยปะละเลยให้ยาวคลอเคลียช่วงลาดไหล่ขับให้ใบหน้ายิ่งดูอ่อนเยาว์ถึงแม้อายุจะล่วงเลยวัยเบญจเพสไปแล้วก็ตาม

            “ปลากริมครับ ดูน้องอย่าให้ไปเข้าใกล้ต้นไม้นะครับ เดี๋ยวจะล้มทับเอา”บอกลูกชายคนโตให้ดูน้อง

            “แต่หลิ่มอยากติดดาวนี่ฮับปะป๊า ดาวสวยๆ”สลิ่มหันมาตอบ

            “เดี๋ยวรอให้คุณอาทัพมาก่อนนะครับ ปะป๊าทำงานอยู่ มาเล่นหุ่นยนต์ตรงนี้ก่อนนะครับ”ขนมผิงออกอุบายหยิบเจ้าหุ่นยนต์บับเบิ้ลบีสีเหลืองขึ้นมาหลอกล่อลูกชายให้ไปนั่งเล่นใกล้ๆตัว

            ขนมผิงยิ้มพลางลูบหัวเด็กร่างอ้วนท้วนจ้ำม่ำทั้งสองคนสลับกัน คนโตมีชื่อว่าปลากริมมีผิวสีแทนสะอาดซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าสีผิวเหมือนกับใคร ส่วนคนเล็กที่กว่าชื่อสลิ่มมีผิวขาวสะอาดเหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน

            เขาจงใจตั้งชื่อของลูกแฝดทั้งสองเป็นขนมไทยให้เหมือนกับเขาและพี่สาวฝาแฝดที่ชื่อตังเม เพราะเดิมทีชื่อของมารดาของเขาคือลำดวนที่มาจากกลีบลำดวนที่เป็นขนมอีกเช่นกัน

            “ปะป๊า บีบีถ่านหมด ใส่ให้หน่อยฮับ”เจ้าตัวแสบคนน้องยื่นหุ่นยนต์เหลืองสีสดส่งมาให้พลางปีนขึ้นมาบนโซฟานั่งเงยหน้ามองขนมผิงแกะช่องใส่ถ่านออกมาด้วยความสนใจ

            “พี่กิมหลิ่มมาช่วยแล้ววววว”พอรับหุ่นยนต์ที่ใส่ถ่านเรียบร้อยแล้วก็กระโดดลงจากโซฟากระโจนหาแฝดคนพี่ด้วยความดีใจ

            “มาสิ ตอนนี้สัตว์ประหลาดเยอะมากเลย ต้องมีหุ่นยนต์อีกตัวมาช่วยถึงจะปราบได้”เจ้าตัวโตกว่าหันมายิ้มให้น้องชายจนแก้มปริจาหยี ขยับให้น้องชายเข้าร่วมวงปราบหุ่นยนต์สัตว์ประหลาดมากมายที่คุณตาเห่อหลานมานะส่งมาให้จากไทย

            ขนมผิงจ้องมองลูกชายทั้งสองเล่นกันสนุกสนาน เวลาสามปีกับลูกชายสองคนมันมากพอที่จะเติมเต็มและเยียวยาจิตใจของเขาให้ลืมเรื่องเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น 

             เขาไม่คิดว่าเด็กที่เกิดมาจะเป็นแฝด ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าตัวเองได้ลูกแฝดใจของเขามันสั่นรัวอย่างบอกกไม่ถูก กลัวว่าลูกในท้องจะเกิดมาแล้วมีปัญหาเหมือนกับเขาและพี่สาว

            พ่อของเขาได้ติดต่อทางสถานทูตผ่านทางเส้นสายที่รู้จักกับบิดาเพื่อขอให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับและออกสูติบัตรให้ชื่อของเขาเป็นพ่อเด็กโดยต้องยอมแลกกับเวลาหนึ่งปีที่ต้องอยู่ในการดูแลและการวิจัยขององค์การแพทย์เอกชนแห่งหนึ่งที่เสนอข้อตกลงทำคลอดให้และเฝ้าสังเกตการเจริญเติบโตของเด็กแฝดระยะหนึ่งอย่างใกล้ชิด

            แต่ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเมื่อทางสถานทูตมอบสิทธิพิเศษด้วยการให้เด็กที่เกิดมาถือสัญชาติอังกฤษถึงเพื่อที่จะปกป้องสิทธิพลเมืองที่เกิดจากบุคคลพิเศษในโครงการลับของสถาบันแพทย์หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการผูกมัดไม่ให้องค์กรอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องทำการเฝ้าสังเกตการก้าวก่ายกับเด็กแฝดที่เกิดขึ้นมาเนื่องด้วยต้องการเก็บเอาข้อมูลทางวิทยาการแพทย์เอาไว้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

            สามปีที่ผ่านมากับการที่ทั้งเรียนไปด้วยและเลี้ยงลูกไปด้วย อีกทั้งยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกิจการของครอบครัวมันค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่หนักเอาการ แต่นั่นมันก็เทียบเท่ากับการที่เขาต้องถูกปิญญ์ชานนท์ดูแคลนไม่ได้เลย

            โชคดีที่ได้แทนทัพลูกชายคนสนิทของบิดาที่เป็นคนช่วยประสานงานเกี่ยวกับเอกสารต่างๆเพื่อเป็นการฝึกงานรับช่วงต่อและเป็นการช่วยเขาดูแลเด็กๆไปในตัว ทำให้ขนมผิงถูกแบ่งเบาภาระไปได้เยอะ และเพียงแค่สองปีเขาก็เรียนจบปริญญาโทในสาขาที่เกี่ยวกับการบริหารเพื่อนำมาใช้ในกิจการของครอบครัวที่ตนจะต้องรับช่วงต่อจากผู้เป็นพ่อ

            “ยังทำงานอยู่อีกเหรอครับ”

            น้ำเสียงนุ่มหูถามเมื่อแทนทัพเปิดประตูบ้านเข้ามาพบกับร่างสูงโปร่งนอนอ่านเอกสารอยู่

            “พอดีผมไม่มั่นใจว่าทางเราพร้อมที่จะขยายตลาดออกไปต่างประเทศรึเปล่า”ขนมผิงยิ้มบางให้กับแทนทัพผู้ที่จะต้องมารับช่วยต่อจากพ่อของตัวเอง ซึ่งก็คือคนที่จะต้องมาทำงานกับเขาในอนาคต

            ร่างสูงใหญ่ของแทนทัพเดินเข้ามาแล้ววางถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยสายรุ้งและของประดับมากมายลงบนพื้นใต้ต้นสนสูงท่วมหัว

            “อย่ากังวลไปเลยครับ ผมเชื่อว่าคุณทำได้ แต่ก่อนอื่นตอนนี้คุณน่าจะวางเอกสารแล้วมาช่วยผมตกแต่งต้นไม้นี่ดีกว่า วันนี้วันคริสต์มาสนะครับ เราจะมาพักผ่อนให้สมกับเป็นวันหยุดกัน จริงไหมครับเด็กๆ”แทนทัพหันไปถามเรียกให้เจ้าสองแสบที่มัวแต่เล่นหุ่นยนต์ไม่สนใจสิ่งรอบข้างจนไม่รู้ว่าเขากลับมาเมื่อไร พอได้ยินก็หูผึ่งกระโดดขึ้นมาเกาะแข้งเกาะขากันยกใหญ่

            “คุณอาทัพฮับ ติดดาวกัน ติดดาวววว”

            “กิมก็อยากติดฮับอาทัพ อุ้มกิมหน่อย”เจ้าตัวแสบแย่งกันเกาะแข้งเกาะขาทั้งที่เมื่อครู่ยังเล่นด้วยกันสนุกสนาน

            “ไม่ต้องแย่งกันครับ ปีนี้อาทัพมีดาวมาสองดวง”แทนทัพหันไปยิ้มให้กับขนมผิงด้วยความแสบซนที่ไม่รู้ว่าสรรหามาจากไหนถึงได้มากมายขนาดนี้

            “เย้ๆ ดาวสวยๆ ปะป๊าอุ้ม ติดดาวหน่อยฮับ”

            “อาทัพอุ้มกิมด้วยฮับ กิมก็จะติดดาว”

            พอแบ่งดาวกันเรียบร้อยดีเจ้าสองแสบก็กระตุกชายเสื้อผู้ใหญ่ทั้งสองชูมือชูไม้ร้องให้อุ้มเมื่อยอดของต้นสนอยู่สูงลิบ จนสุดท้ายก็ติดดาวลงไปบนปลายยอดสองดวงโดยไม่ต้องมาแย่งกันเหมือนกับปีที่แล้ว

             “ปะป๊าฮับ ซานต้าจะมาหาพี่กิมกะหลิ่มไหมฮับ หลิ่มอยากขอให้ซานต้าเสกพ่อให้หลิ่ม”

            สลิ่มกอดคอซบหน้าลงกับอกของขนมผิง ทว่าคำถามที่ไร้เดียงสานั่นกับทำให้ทั้งขนมผิงและแทนทัพชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติตอบในสิ่งที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดออกไป

            “สลิ่มมีป๊าอยู่แล้วนี่ครับจะเอาพ่อมาทำไมอีก ไม่รักป๊าแล้วเหรอครับ”

            “รักฮ๊าบบบ หลิ่มรักปะป๊า ไม่เอาพ่อแล้วก็ด้ายยย”สลิ่มส่ายหน้าซุกหน้าลงบนอกของขนมผิงอย่างออดอ้อน

            ขนมผิงถอนหายใจออกมาเล็กน้อยทั้งที่ก้อนเนื้อในอกมันกำลังสั่นกับสิ่งที่ลูกร้องขอเมื่อครู่

            ความเกลียดชังและความโกรธเคืองมันเริ่มตอกย้ำและผุดขึ้นมาจากส่วนลึกอีกครั้ง เขาไม่อยากจะยอมรับว่าปิญญ์ชานนท์เป็นพ่อของลูก และจะไม่มีวันที่จะยอมรับแน่นอน

 

            หลังจากพาเจ้าสองแฝดตัวแสบเข้านอน ขนมผิงก็กลับมาจมอยู่กับเอกสารกองเดิมอีกครั้งเพื่อที่จะตรวจเช็คบางสิ่งบางอย่างให้รอบคอบ

            “ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”แทนทัพถามเสียงเบา

            “พอดีผมกำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อยน่ะ”

            “เมอรี่คริสต์มาสครับ”แก้วโกโก้ร้อนควันกรุ่นถูกยื่นมาให้

            “เมอรี่คริสต์มาสเช่นกันครับ”ขนมผิงยิ้มตอบ

            “อีกไม่ถึงสัปดาห์เราก็จะได้กลับบ้านกันแล้วนะครับ”แทนทัพชวนคุย

            “ครับ คิดถึงอาหารไทยจะแย่”

            “ว่าแต่กลับไปแล้วคุณผิงจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรกล่ะครับ”

            “ก็คงไม่พ้นหาอะไรเผ็ดๆกินอีกนั่นแหละ แล้วคุณล่ะคุณแทนทัพ”

            “ก็คงไปกินของเผ็ดๆกับคุณ”แทนทัพพูดติดตลก

            “ผมคิดว่าคุณจะรีบกลับไปหาแฟนดีดีสักคนแล้วก็แต่งงานมีลูกซะอีก”

            “คงไม่มีใครเขาสนใจผมหรอกครับ”แทนทัพพูดคล้ายตัดพ้อยกแก้วโกโก้ร้อนขึ้นมาจิบ

            “จะไม่มีได้ยังไง คุณเองก็หน้าตาดีแถมยังเก่งขนาดนี้ สาวๆคงจะสนใจคุณเยอะน่าดู จะว่าไปสาวผมบลอนด์ที่มหาลัยก็ถามหาคุณกันหลายคนเวลาที่คุณไปรับผมหลังเลิกเรียน”

            “นั่นไม่ใช่แบบที่ผมชอบสักหน่อย”แทนทัพปฏิเสธแทบจะทันทีกับสาวผมบลอนด์เพื่อของขนมผิงแต่ละคนที่ดูจะแก่แดดและแสบซ่ากันไม่ใช่น้อย

            “แล้วแบบไหนที่คุณชอบล่ะครับ”

            “ก็คงจะแบบคุณผิงมั้งครับ”

            คำตอบของแทนทัพทำเอาขนมผิงนิ่งเงียบ จ้องมองใบหน้าสีเข้มตาปริบๆ

            “เอ่อ คุณหมายถึงผู้ชายน่ะเหรอ”

            “ฮ่า ฮ่า ดูทำหน้าเข้า นั่นผมล้อเล่น แต่ที่บอกว่าชอบผู้ชายนั่นเรื่องจริงนะครับ อยากให้คุณผิงปิดเป็นความลับ เรื่องนี้ให้พ่อผมรู้ไม่ได้เด็ดขาด”แทนทัพหัวเราะร่วนทั้งที่หัวใจกำลังเจ็บราวกับถูกบีบคั้นด้วยมือที่มองไม่เห็น

            “อ่าครับ”ขนมผิงตอบรับ ยิ้มแห้งเมื่อไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆแล้วแทนทัพพูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่

            แต่จะยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้ใจของเขากำลังจดจ่อกับระยะเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ วันที่เขาจะได้กลับไปยังทีที่ได้จากมา…ที่ที่เต็มไปด้วยอดีตมากมายที่ยากจะลบเลือน

           

            -----------------------------------------------------------

 

             “ที่นายพูดมามันหมายความว่ายังไงกัน!! ใช้เวลาเพื่อตามหาคนๆเดียวถึงสามปีแต่ก็ยังไม่เจอ นายไม่คิดว่าเวลาที่เสียไปมันมากไปหน่อยรึไงกัน”น้ำเสียงแข็งกระด้างกรอกลงไปในเครื่องมือสื่อสารด้วยความหงุดหงิด

            สามปีแล้วที่เขาเฝ้าตามหาคนคนนั้นที่หายไปโดยไร้ซึ่งวี่แวว ไม่มีแม้แต่ข้อมูลใดใดหลงเหลืออยู่ราวกับว่าคนคนนั้นไม่มีตัวตน

            ‘ผมก็พยายามเต็มที่แล้วนะครับ แต่ข้อมูลของคนคนนี้มันเหมือนกับถูกซ่อนหรือถูกลบไปทำให้หาตัวได้ยาก’

            “จะบอกฉันว่ามีคนช่วยปิดบังข้อมูลของคนไร้ค่านั่นเอาไว้รึไง มันเป็นไปไม่ได้ที่คนชั้นต่ำแบบนั้นจะปกปิดตัวเองได้นานถึงสามปี สามปีแล้วนะที่นายไม่มีอะไรคืบหน้ามาให้ฉันเลย”ปิญญ์ชานนท์กระแทกเสียงไม่พอใจ

            ‘แต่ครั้งนี้ผมได้ข้อมูลที่น่าสนใจมานะครับ เกี่ยวกับคอนโดที่คุณให้ผมสะกดรอยตามเขาไป’

            “ข้อมูลอะไร”

            ‘คอนโดนั้นถูกซื้อในชื่อของคุณพิศนุ มณีรัตน์ประธานของมณีรัตน์กรุ๊ปครับ ซึ่งผมคิดว่ามันเชื่อมโยงกับเรื่องของคุณลำดวนที่ถูกครหาว่าเข้ามาสืบข้อมูลของอนันตไพลินได้พอดีเลยนะครับ’

            “เป็นแบบนี้นี่เอง คิดแล้วว่ามันคงจะไม่พ้นเรื่องแบบนี้ ครั้งหน้าฉันต้องการให้มีอะไรคืบหน้ามากกว่านี้ ฉันอยากรู้ว่าคนไร้ค่าคนนั้นนั่นไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่ ถึงได้รอดสายตาของฉันได้นานขนาดนี้”

            ‘ครับผมจะพยายามสุดความสามารถ’

            จบการสนทนากับปลายสายรอยยิ้มชั่วร้ายก็แสยะขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดเขาก็ได้ข้อมูลที่ตัวเองตามหามาตลอดสามปี ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ขนมผิงได้เป็นอิสระ ในเมื่อขนมผิงเป็นลูกของผู้หญิงทรยศที่ทำให้พ่อของเขาต้องล้มป่วย

            เวลาสามปีที่ขนมผิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางราวกับลูกนกปีกหักน่าสมเพช เข้ามาบอกกับเขาว่าตั้งท้องลูกของเขาทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้เลยแม้จะมีเอกสารที่จะยืนยันก็ตามที

            ถึงแม้ขนมผิงจะปิดบังที่อยู่ซ่อนตัวไว้ได้นานถึงสามปี แต่ในที่สุดเขาก็จะตามลากตัวของขนมผิงกลับมาให้ได้ กลับมารับโทษที่ทำตัวเป็นปรสิตกัดกินความคิดของเขาอยู่ทุกตลอดเวลา

            ด้วยอำนาจของเงินในกำมือของเขา ต่อให้มีใครต้องการที่จะปิดบังตัวตนของขนมผิงเอาไว้ เขาก็จะใช้ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างแล้วดึงให้ขนมผิงมาศิโรราบอยู่แทบเท้าของเขาจนได้

 

            ----------------------------------------------------------

 มีต่อ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 02-10-2015 09:29:09
เอาให้พระเอก มันช้ำในตายเลยนะ ขอนายเอกแบบแรงๆๆ ร้ายทันคน อิอิ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 02-10-2015 15:58:32
 o13  o13
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ekuto ที่ 02-10-2015 20:53:58
มันส์ๆ พระเอกอย่างงี้ต้องสั่งสอนให้เข็ด
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-10-2015 22:19:55
มาติดตาม มันส์มากเื่องนี้ :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 02-10-2015 22:41:03
สนุก รอน่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 02-10-2015 23:25:40
สนุกอ่ะ นายเอกดูเก่งดูสู้คนดี ปักหมุดไว้เลยรอติดตามตอนต่อไป o13
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 03-10-2015 03:38:32
พระเอกปากจัดแท้
นายเอกก็ไม่ยอม
ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบรสหวาน ❖ MP ❖ จานที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 03-10-2015 15:37:59
เอาให้พระเอก มันช้ำในตายเลยนะ ขอนายเอกแบบแรงๆๆ ร้ายทันคน อิอิ

จัดปายจ้าาา

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 2 เริ่มต้นตราบาป❖ 2/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 17-10-2015 01:04:44
 :pig4: ขอบคุณทุกคนจ้า กำลังมาลงตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 3 หวง❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 17-10-2015 02:31:12
ต่อ

            “เจอกันพรุ่งนี้ที่งานเลี้ยงนะครับ”แทนทัพบอกลาส่งยิ้มให้กับขนมผิง

            “ครับ เจอกันพรุ่งนี้”ขนมผิงบอกลาเช่นกันเมื่อมาถึงสนามบินของประเทศไทยรุ่งเช้าวันที่สองของปี “บ๊ายบายอาทัพกันสิครับ”

            “บ๊ายบายฮับอาทัพ”

            “บ๊ายบายฮับ”

            เจ้าสองแฝดตัวกลมพลัดกันยกมือยกไม้โบกมือลาแทนทัพท่าทางร่าเริงผิดกับเมื่อครู่ที่นอนหลับเป็นเด็กขี้เซาอยู่บนเครื่องบิน

            ขนมผิงจับเจ้าแฝดตัวกลมทั้งคนพี่คนน้องนั่งบนรถเข็นกระเป๋า ต่างก็หัวเราะกันคิกคักชอบใจราวกับได้ของเล่นหลังจากที่นอนกันมาอย่างเต็มอิ่ม

 

            “กลับมาแล้วเหรอตาผิง พ่อกับแม่รอตั้งนาน ไหนปลากริมสลิ่มมาให้ยายกอดหน่อยสิ”ทันทีที่เสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านลำดวนก็ปรี่มารอหน้าประตูบ้านทันทีด้วยความคิดถึงหลานๆ

            “คุณยาย/คุณยาย”เจ้าสองแสบพอได้เห็นคุณยายก็วิ่งกระโดดเข้าแย่งกอดคุณยายจนคุณยายเกือบจะล้มเซไปทางด้านหลัง

            “หอมหลิ่มก่อนนะฮับ”สลิ่มดึงแขนคุณยาย

            “หอมกิมก่อนนนน”ปลากริมเองก็ไม่ยอมน้องง่ายๆดึงยื้อกันไปยื้อกันมาจนคุณยายเริ่มรู้สึกว่าตาลายกับเจ้าสองแสบเดือดร้อนให้ขนมผิงต้องเข้ามาปราบก่อนที่มารดาจะตาลายจนเป็นลมไปเสียก่อน

            “เอาอย่างนี้นะครับ ทั้งสองคนหอมแก้มคุณยายพร้อมๆกันจะได้ไม่มีใครเสียเปรียบ ตกลงไหม”

            “ตกลงฮ๊าบ/ตกลงฮ๊าบ”

            เจ้าเด็กตัวกลมพยักหน้าหงึกๆจนหัวคลอนหอมแก้มคุณยายไปกันคนละฟอดใหญ่

            “ไม่มีใครสนใจตากันบ้างเลยเรอะ ตาน้อยใจแย่ ลำดวนก็ไม่เรียกผมเลย”พิศนุเดินตามออกมาเมื่อได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลานๆดังลั่นบ้าน

            “แหมก็คุณทำงานอยู่นี่คะ จะให้ลำดวนไปเรียกก็กระไรอยู่”

            “จะเก็บหลานไว้คนเดียวไม่แบ่งผมผมไม่ยอมหรอกนะ”คุณตามือใหม่ตัดพ้อเรียกให้เด็กๆหัวเราะกันคิกคักวิ่งกระโดดเข้าใส่คุณตาพร้อมกันสองคนจนคุณตาถึงกับรับแทบไม่ทัน

            ลำดวนและพิศนุรู้ทันทีเลยว่าการปรามเจ้าเด็กแฝดแสนซนสองคนทีเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ยิ่งด้วยวัยที่กำลังโตและแสบเอาเรื่องไม่อยากจะคิดเลยว่าบ้านหลังนี้จะหาวันที่สงบเงียบได้อีกเมื่อไร

            ขนมผิงจ้องมองพอกับแม่ด้วยความคิดถึง แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่พอใจอยู่เล็กๆที่พ่อกับแม่ของตนแทนตัวเองด้วยคำว่าตายายไม่ใช่ปู่ย่าอย่างที่ตนเองหวัง

 

            ----------------------------------------------------------

 

            “ลงมาทำไมล่ะตาผิง ทำไมไม่นอน ยังปรับเวลาไม่ได้ไม่ใช่รึไง”พิศนุคุณตาเห่อหลานถามเมื่อเห็นลูกชายเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่เขาเรียกให้สถาปนิกมาปรับรูปโฉมเปลี่ยนใหม่เป็นสวนสนุกขนาดย่อมเพื่อเอาใจสองหลานจอมแสบ

            “จะให้ผิงนอนได้ยังไงล่ะครับ นี่มันยังบ่ายโมงอยู่เลย”ขนมผิงส่ายหน้านั่งลงบนพื้นบุโฟมกันกระแทกมองดูลูกชายวิ่งเล่นไปทั่วห้องนั่งเล่นโฉมใหม่ด้วยความดีใจ

            อันที่จริงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ปลากริมและสลิ่มได้ย่างก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้หลังจากที่เขาปล่อยให้ลูกๆต้องอยู่ห่างบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองนานกว่าสามปี ด้วยสถานที่และบรรกาศที่แปลกใหม่ทำให้ทั้งคู่ค่อนข้างจะตื่นเต้นกับเป็นพิเศษ

            “นั่นสินะ ยังบ่ายอยู่คงจะนอนไม่หลับเหมือนเจ้าลูกหมูสองตัวนี่”

            “ครับ ผิงเองก็คิดว่าจะเหนื่อยเดินทางจนซนไม่ออกซะอีก”ขนมผิงตอบรับก่อนจะนิ่งเงียบ

            “ที่ไหนได้ วิ่งไปวิ่งมาจนพ่อตาลาย อันที่จริงพ่ออยากให้ผิงหาพี่เลี้ยงมาช่วยดูเด็กๆอีกแรงนะ เด็กๆยิ่งโตก็ยิ่งซน”

            “ไม่หรอกครับ ผิงอยากเลี้ยงเด็กๆเอง”ขนมผิงปฏิเสธคำแนะนำแทบจะทันที

            เขาต้องการที่จะให้ลูกๆอยู่ข้างๆตัวเองตลอดเวลา ความระแวงที่เกิดขึ้นในจิตใจทำให้เขาเลี้ยงที่จะปล่อยปะละเลยลูกไว้กับคนที่ไม่ไว้ใจได้ เพราะถ้าหากถ้าเขาประมาท มันอาจจะหมายถึงการที่เขาจะต้องสูญเสียลูกไป

            “นั่นสินะ เลี้ยงเองย่อมดีกว่า…พ่อผิดเองที่ปล่อยให้ผิงกับแม่ลำบาก”

            “ไม่หรอกครับ เรื่องนั้นมันผ่านมานานแล้ว ผิงว่าเราอย่าพูดถึงกันเลยดีกว่า ตอนนี้พ่อมีหลานสองคนต้องช่วยเลี้ยง ผิงไม่อยากให้พ่อคิดถึงเรื่องอื่น”ขนมผิงเอนตัวเข้าไปซบไหล่บิดา

            คนที่เขาสมควรจะโกรธเกลียดไม่ใช่บิดาของตนหากแต่เป็นอนันตไพลินต่างหากที่พังชีวิตของตนและแม่จนไม่เหลือชิ้นดี

            “พ่อดีใจที่ผิงกับแม่ไม่โกรธพ่อ พ่อสัญญาว่าเวลาที่เหลือพ่อจะทดแทนทำให้ดีที่สุดเพื่อพวกเรา”ฝ่ามือกร้านของชายชราแตะลงบนหัวลูกชายอย่างอ่อนโยนทดแทนในสิ่งที่เขาไม่เคยทำให้กับลูกชายของตนเองตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา

            “คุณตาฮับกิมร้อนถอดเสื้อให้กิมหน่อยฮะ”เสียงเจื้อยแจ้วมาแต่ไกลก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของพิศณุยกมือให้ชวยถอดเสื้อตัวนอกออกให้

            “หลิ่มด้วยฮะ ไม่ใส่หลายตัวแล้ว ที่นี่อากาศดีกว่าตั้งเยอะ ที่นู่นหน๊าวหนาว”ว่าแล้วเจ้าแสบคนน้องก็กอดตัวเองทำท่าสั่นเรียกให้ทั้งขนมผิงและคุณตาเห่อหลานหัวเราะร่วนไปกับท่าทางน่าเอ็นดู

            “ที่นู่นมีหิมะตกด้วยฮะคุณตา เย็นเหมือนน้ำแข็งเลยฮะ กิมหนาวมากเลย”พ่อหันมาทางคนน้องคนพี่ก็พูดบ้างจนคุณตาต้องหันไปมาสลับกันจนขนมผิงเห็นแล้วก็ปวดคอแทน

            “โอ้ยตายๆ แม่เห็นละก็เวียนหัวตาลายแทน ไม่รู้ว่าผิงเลี้ยงคนเดียวไหวได้ไงกัน”คุณยายเห่อหลานไม่แพ้คุณตาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนที่จะเห็นเจ้าแฝดพากันชวนคุยให้หันไปหันมาน่ามึนงง

            “เด็กๆเชื่อฟังครับ ถ้าบอกให้หยุดก็จะหยุด แต่ถ้าไม่ก็จะเป็นอย่างที่เห็น”

            “ก็นั่นน่ะสิ แม่ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าไม่จ้างพี่เลี้ยงเด็กน่ะ แต่เห็นแล้วแม่ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำงานด้วยเลี้ยงด้วยยังไงไหว”

            “ไหวสิครับแม่ ลูกผิงผิงต้องเลี้ยงเองไหวอยู่แล้ว อีกอย่างอยู่ที่นู่นผิงเองก็ทั้งเลี้ยงลูกทั้งเรียนไปด้วยไม่เห็นจะเป็นอะไร”

            “ก็นั่นน่ะสิ แม่บอกแล้วว่าอยู่ที่นู่นมันลำบากให้กลับมาที่ไทยก็ไม่เชื่อ”ลำดวนส่ายหน้าเล็กๆกับความดื้อดึงของลูกชาย

            “ทำไงได้ล่ะครับ ค่านิยายสมัยนี้หากไม่จบสูงๆพนักงานที่อยู่ระดับต่ำกว่าจะไม่ให้ความเคารพเชื่อถือเอาได้นะครับ ผิงทนได้ถ้าเพื่อผลตอบแทนที่มันคุ้มค่า”ผมขนมผิงยิ้มให้มารดา

            บันไดที่เขาอดทนสร้างขึ้นมาตลอดระยะเวลาสามปี…เพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ที่สูงแล้วขึ้นไปเหยียบอีกฝ่ายให้จมดิน

            “แล้วพรุ่งนี้ผิงจะไปงานกับพ่อเขาไหวไหมล่ะ พึ่งจะเดินทางมาเหนื่อยแท้ๆเชียว”

            “ไหวสิครับ ถึงผิงจะเป็นคนอุ้มท้องเด็กๆแต่ผิงก็เป็นผู้ชาย”

            “นั่นสินะ แม่ก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าป่านนี้พ่อของเด็กๆเขากำลังทำอะไรอยู่ จะรู้บ้างไหมว่าตัวเองมีลูกน่ารักๆขนาดนี้ตั้งสองคน”

            “แม่อย่าไปพูดถึงเขาเลย!!ผิงไม่อยากจะพูดถึงเขาอีก คนอย่างเขามันไม่มีค่าพอที่เราจะไปพูดถึงเขาหรอก ผิงยอมเป็นทั้งพ่อและแม่ของเด็กๆถ้าเพื่อที่จะปกป้องเด็กๆให้ห่างจากมือของคนอย่างเขา!!”ขนมผิงพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวต่างจากเดิมจนคนเป็นแม่ถอนหายใจออกมาเมื่อลูกชายของคนยังคงยึดมั่นในความโกรธแค้นที่มีต่อพ่อเด็ก…พ่อที่ผลักไสไล่ส่งแม้กระทั่งลูกของตัวเอง

 

            ----------------------------------------------------

 

            เสียงเครื่องดนตรีของวงออเคสต้าบรรเลงไปตามตัวโน้ต  คอนดักเตอร์วาดมือไปในอากาศควบคุมจังหวะเสียงไปมาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม สอดรับแสงไฟจากโคมไฟแชนเดอเลียสว่างไปทั่วห้องจัดเลี้ยง และแสงแฟลชวูบวาบคอยถ่ายเอาบรรดาคนดังและไฮโซที่มารวบงานอยู่ตลอดเวลา

            งานเลี้ยงการกุศลรวบรวมเอาเหล่าบรรดาคนดังและนักธุรกิจรายใหญ่ๆมารวมตัวกัน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างเมื่อแท้จริงแล้วมันเป็นงานเลี้ยงที่พาบรรดาคนสวมหน้ากากมาพูดคุยกับคู่ค้าเพื่อร่วมลงทุนและหาผลประโยชน์เสียมากกว่า  และขนมผิงเองก็มางานนี้ด้วยเหตุผลเดียวกัน เขามาเพื่อแนะนำตัวให้คนอื่นๆได้รู้จักในฐานะผู้ที่จะมาสืบทอดมณีรัตน์กรุ๊ปต่อจากผู้เป็นพ่อ

            บรรยากาศภายในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างคึกคักท่ามกลางบรรดาแขกที่พากันสามหน้ากากตามคอนเซปของงาน เสียงเพลงคลาสสิกยังคงดังคลอเคลียกับเสียงพูดคุยจอแจดูน่าวุ่นวาย

            “ปะป๊าฮับ คนนั้นใส้หน้ากากสีชมพู”

            “คนนั้นก็สีดำ เท่จังฮะ”เจ้าสองแสบผลัดส่งเสียงด้วยความตื่นเต้นกับการออกงานเลี้ยงครั้งแรก

            “ชู่ววว อย่างเสียงดังครับ ถ้าเสียงดังจะถูกดุเอา”ขนมผิงปรามลูก เอื้อมมือลูบหัวลูกชายไปคนละที

            “รับทราบ/รับทราบ”สองแสบทำท่าตะเบะยิ้มหน้าระรื่นเดินจับมือขนมและคุณตาตามมาติดๆ

           

            “พ่อแน่ใจนะครับว่าจะคุมเด็กๆอยู่ ผิงไม่อยากให้เอามาด้วยเลย”ขนมผิงเริ่มกังวลเพราะเด็กๆต่างก็มองซ้ายมองขวาท่าทางตื่นเต้น

            “ทำไงได้ล่ะ พ่ออยากเอาหลานมาอวดเพื่อนพ่อบ้าง ปล่อยให้คนอื่นเขาอวดมาเยอะแล้ว”พิศนุส่งยิ้มให้ลูกชาย

            เป็นจังหวะเดียวกับที่สุพจน์เดินเข้ามาหาพิศนุแล้วกระซิบอะไรบางอย่าง ขนมผิงจึงหันไปมองรอบๆงาน มองเห็นบางคนไม่ได้ใส่หน้ากากปิดบังหน้าเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะวัตถุประสงค์หลักไม่ได้มางานเพื่อร่วมเฉลิมฉลองหากแต่การเปิดเผยใบหน้าไม่ใส่หน้ากากนั้นให้ทำให้พูดคุยธุรกิจที่สะดวกมากขึ้น

            ขนมผิงได้แต่จ้องมองผู้คนที่กำลังแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว ต่างคนต่างก็เห็นแก่ตัว มันจะต่างอะไรกันกับการที่ใส่หน้ากากในเมื่อภายใต้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มมันกำลังแอบแฝงหน้ากากเอาไว้ภายใน

            “ผิง นี่คุณกษิณ เพื่อนพ่อสมัยยังเรียน รู้จักกันเอาไว้สิ เขาเป็นเจ้าของโรงแรมนี้”พิศนุแนะนำชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งให้ขนมผิงรู้จัก

            “สวัสดีครับ”ขนมผิงยกมือไหว้ด้วยท่าทางอ่อนน้อม “ไหว้คุณตาสิครับ”หันไปบอกเด็กๆ

            “สวัสดีฮับ/สวัสดีฮัย”เจ้าสองแสบยกมือไหว้ก้มหัวเก้าสิบองสาตามที่ขนมผิงสอนท่าทางน่าเอ็นดูเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี

            “นี่น่ะเหรอขนมผิงที่เคยบอก โตมาท่าทางใช้ได้เลยนี่ น่าอิจฉาเชียวมีหลานทีเดียวสองคนแบบนี้”

            “เห็นแบบนี้ก็ซนจนจับไม่ทันเลยล่ะครับ พอจับคนพี่ได้คนน้องก็วิ่งหนีทุกที”ขนมผิงยิ้มให้กับเพื่อนพ่อ

            “นั่นสินะ ท่าทางน่าจะซนน่าดู”ชายสูงวัยหัวเราะร่วน

            “ผิงเดี๋ยวพาเด็กๆไปหาอะไรกินก่อน พ่อขอคุยกับเพื่อนสักพักเดี๋ยวจะตามไป”

            “ครับ”ขนมผิงรับคำปล่อยให้บิดาได้ใช้เวลาส่วนตัวลำลึกความหลัง

            ส่วนตัวเองก็จูงเจ้าสองแสบมายังด้านข้างของห้องจัดเลี้ยงที่จัดเป็นเก้าอี้เอาไว้สำหรับนั่งพักผ่อนหรือคุยกันตามอัธยาศัย

            “นั่งอยู่ตรงนี้กันนะครับ ห้ามไปไหน เดี๋ยวปะป๊าไปหยิบขนมมาให้กิน”

            “รับทราบ/รับทราบ”สองแสบตะเบะยิ้มตาหยีส่งให้ก่อนจะหันไปคุยกันกระหนุงกระหนิง

            ขนมผิงหยิบขนมใส่จานกับแก้วน้ำส้มเพื่อจะเอาไปให้เด็กๆที่นั่งรออยู่ ทว่าใครบางคนที่เดินไม่ระวังตัวก็มาชนเข้ากับเขาเอาจนได้

            “โอ๊ะ ขอโทษครับ”ขนมผิงรีบขอโทษถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ผิด แต่การที่ตนเองทำน้ำส้มหกใส่คนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร

            “ไม่เป็นไรครับ คุณเปื้อนตรงไหนรึเปล่า”อีกฝ่ายถามกลับมา

            แต่ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยกับกรอบแว่นตาหน้าทำให้ขนมผิงชะงักเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายง ถึงแม้จะมีหน้ากากขนนกสีน้ำตาลปิดอยู่บนใบหน้าก็ตาม แต่เขาก็จำอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

            “พี่วุฒิ”ขนมผิงหลุดปากเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาด้วยความดีใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอกับอีกฝ่ายในที่แบบนี้

            “ผิง!! ผิงใช่ไหม ผิงรึเปล่า”คุณวุฒิเงยหน้าตามเสียงเรียกแตะมือเข้ากับแขนของขนมผิงแล้วจับเอาไว้ราบกับว่าขนมผิงจะหนีหายไป “ผิงหายไปไหน ทำไมพี่ถามหากับใครถึงไม่มีใครรู้เลย”

            “จะ ใจเย็นๆครับ”

            ถึงจะรู้สึกดีที่คุณวุฒิแสดงท่าทีเป็นห่วงเขามาก แต่ด้วยสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือลูก ทำให้ขนมผิงค่อนข้างทำลำบากใจเวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

            “จะให้พี่ใจเย็นได้ยังไงในเมื่อผิงไม่ติดต่อพี่มาบ้างเลย”

            “ผิงว่าพี่วุฒิเช็ดคราบน้ำส้มที่เปื้อนออกก่อนดีกว่านะครับ”ขนมผิงว่าพลางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเช็ดคราบน้ำส้มให้คุณหมอ

            “ช่างมันเถอะมันเลอะไปแล้ว ซักเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าผิงหายไปอีกพี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้ที่ไหน”คุณวุฒิส่ายหน้าดึงมือขนมผิงออกแล้วจับเอามากุมไว้แทน “รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง”

            “ผิงก็อยู่นี่แล้วไง”

            หัวใจในอกมันเต้นรัวเมื่อคนตรงหน้าคือคนที่เขามีความรู้สึกดีด้วยตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

            “เราไปคุยกันข้างนอกดีกว่า ในนี้เสียงดัง พี่มีเรื่องอยากจะถามผิงเยอะเลย”

            “ตะ แต่”ลูกๆของเขายังรออยู่

            “นะครับ”คุณหมอยังคงดึงรั้งมือของขนมผิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

            “มีอะไรกันรึเปล่าครับ”เสียงทุ้มนุ่มหูทักเมื่อมองเห็นว่าขนมผิงกำลังถูกคนแปลกหน้าจับมือเอาไว้ราวกับว่ารู้จักสนิทสนมกันมานาน

            “ปะ เปล่า ไม่มีอะไร”

            “คนรู้จักเหรอครับ”แทนทัพถามดวงตานิ่งเฉยจ้องมองชายสวมแว่นทับหน้ากากตรงหน้าด้วยท่าทางไม่ค่อยชอบใจที่อีกฝ่ายกุมมือของขนมผิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

            “คนรู้จักน่ะ ผมรบกวนคุณช่วยไปดูเด็กๆแทนผมสักครู่ เด็กๆนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ริมห้องจัดเลี้ยงครับ”

            “ได้ครับ”แทนทัพรับคำแต่ไม่วายจ้องมองอีกคนด้วยสายตาที่เคลือบแคลงใจ

            ขนมผิงได้แต่มองตามแทนทัพ มันคงไม่เป็นไรหากเขาจะฝากเด็กๆไว้กับแทนทัพสักพัก

            “คนนั้นใครเหรอครับ พี่ไม่คุ้นเลย”คุณวุฒิถามข้องใจที่ถูกมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไร

            “คนของพ่อน่ะครับ”

            “ใช่พ่อคนที่ผิงบอกครั้งที่แล้วรึเปล่า”

            “ใช่ครับ”ขนมผิงพยักหน้ารับเพราะคุณวุฒิก็ยังคงคิดว่าพ่อที่พูดถึงก็คือผู้ชายคนใหม่ของแม่เขาอยู่ดี

            “เราไปคุยข้างนอกกันดีกว่านะครับ ข้างในเสียงดัง อีกอย่างพี่ก็เปื้อนแล้วด้วย”

            “ได้ครับ”

 

            ขนมผิงเดินตามคุณวุฒิออกมาจากงานเลี้ยงจนมาถึงส่วนที่เป็นระเบียงกว้างของตัวตึกมองเห็นวิวริมแม่น้ำได้อย่างชัดเจน

            “คราวนี้จะบอกพี่ได้รึยังว่าผิงหายไปไหนมาตั้งหลายปี”

            “ผิง…ไปเรียนต่อ”ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบจ้องมองแสงไฟเบื้องล่างยามค่ำคืน

            “แล้วทำไมถึงไม่ติดต่อพี่มาบ้างเลยล่ะ ผิงก็รู้ว่าพี่เป็นห่วงผิงมากแค่ไหน”

            “ตอนนั้นมันฉุกละหุกมากผิงบอกใครไม่ทัน”ตอบไปทั้งที่ไม่เป็นความจริง

            คุณวุฒิเดินเข้ามาใกล้จับแขนผอมดึงเข้าไปหาปลดหน้ากากสีขาวออกจากใบหน้าขาวสะอาดอย่างเบามือ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีโศกด้วยความคิดถึง มือนุ่มของหมอแตะลงบนโครงหน้าเกลี่ยปอยผมเส้นสีดำสนิทที่ถูกลมพัดจนปรกหน้าออกจากโครงหน้ากลมมน

            “พี่ไม่อยากให้ผิงหายไปอีก”

            “ผิง…ขอโทษ”ราวกับตกอยู่ในภวังค์ ความกลัวว่าสิ่งที่ปกปิดไว้กำลังจะถูกเปิดออกทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว เขาทั้งดีใจและเสียใจที่ต้องโกหก

            เขาจะปล่อยให้คุณวุฒิรู้ว่ามีลูกไม่ได้ เพราะถ้าหากคุณวุฒิล่วงรู้ว่าเขามีลูกเมื่อไร มันอาจจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไป ขนมผิงหลุบตาจ้องมองปลายเท้าของตัวเองแน่นิ่ง

            “พี่ไม่ยกโทษให้ผิงหรอกนะครับ ผิงหายไปจากชีวิตพี่ตั้งสองครั้ง”

            “ผิงเข้าใจ”

            “พี่อยากให้ผิงสัญญา ว่าต่อจากนี้ไปผิงจะไม่หายไปเหมือนกับครั้งที่แล้วมา”

             “ครับ ผิงสัญญา”ว่าจะอยู่จนกว่าจะเหยียบย่ำใครบางคนได้สำเร็จ…จะไม่มีวันหนีเหมือนกับที่แล้วมาอีกต่อไป

            “แค่ผิงสัญญาพี่ก็พอใจแล้วครับ”คุณวุฒิยอมปล่อยแขนที่กุมเอาไว้ออกแย้มยิ้มให้กับเพื่อนรุ่นน้องที่ตนแอบมีใจให้



            ---------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 3 หวง❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 17-10-2015 04:33:14
เป็นพระเอกที่ปากร้ายมาก
ขอบอก
ขนมผิงทำดีมาก ต่อซะปากแตกเลย o13
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 17-10-2015 04:43:37
4 โชคชะตานำพา

 

            แทนทัพเดินกลับเข้ามายังส่วนจัดเลี้ยงเพื่อมองหาคู่แฝดทั้งสอง ทั้งที่ใจยังคงไม่คลายความสงสัยถึงใครอีกคนที่กำลังพูดคุยอยู่กับขนมผิง  ภาพมือของคนคนนั้นกำลังจับต้องราวกับว่าสนิทสนมกำลังติดอยู่ในความคิดของเขา…ความสนิทสนมที่ทำให้เขานึกอิจฉา

            “เด็กๆ รอนานไหมครับ”แทนทัพเดินเข้าไปหาเจ้าตัวอ้วนสองคนที่นั่งเล่นกันอย่างเรียบร้อยตามที่ถูกสั่งเอาไว้

            “อาทัพฮับ ปะป๊าไปไหนเหรอฮับ”สลิ่มเอียงคอถามเมื่อแทนทัพเปิดหน้ากากออก

            “ปะป๊าไปธุระนะครับ เดี๋ยวก็มา”แทนทัพตอบไปทั้งที่ใจยังคงถูกรบกวนด้วยสิ่งที่ตนกำลังคิด

            “กิมกะน้องหลิ่มหิวแล้วฮับอาทัพ ปะป๊าบอกจะเอาขนมมาให้แต่ก็ไม่มา”เจ้าแฝดคนพี่เอียงคอบอกด้วยท่าทางน่าชัง ทำทีเป็นกุมท้อง

            “ปะป๊าไปธุระครับ เดี๋ยวอาทัพไปเอาขนมให้กินเองตกลงไหม”

            “ฮับ/ฮับ”เสียงใสตอบพร้อมเพรียง

            พอเด็กๆพากันตอบรับแทนทัพก็เดินไปยังโต๊ะอาหารอีกครั้งเพื่อที่จะหาอะไรให้เด็กๆทาน ทิ้งให้เด็กๆนั่งรออีกครั้ง

            ทว่าเด็กยังไงก็เป็นเด็กเมื่อแฝดคนพี่กระโดดลงจากเก้าอี้พาร่างจ้ำม่ำยืนจังก้าอยู่เบื้องล่างเรียกให้คนน้องมองตามตาปริบๆ

            “พี่กิมไปไหน”เจ้าตัวกลมผิวในชุดทักซิโดน่ารักร้องทักพี่ชาย

            “ไปวิ่งเล่นไง”พี่ชายฝาแฝดผิวสีน้ำผึ้งอ่อนตอบพลางยิ้มแยกเขี้ยวโชว์ฟันน้ำนมอย่างเจ้าเล่ห์

            “แต่ว่าต้องยออาทัพนะ”

            “แต่อาทัพไม่ได้บอกว่าห้ามเล่นนี่”

            “จิงด้วย อาทัพไม่ได้บอกแบบที่ปะป๊าบอก”สลิ่มยิ้มกว้างตอบพี่ชายแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งตามไปติดๆ

            “นี่ ปะป๊าบอกว่าห้ามวิ่ง”สลิ่มร้องทักเพราะพี่ชายตัวใหญ่กว่าวิ่งเร็วขึ้นจนคนอื่นๆเริ่มมอง

            “จิงด้วย งั้นเราเดินเบาเบาเอาก็ได้เนอะ มาเล่นแปลงร่างกันดีกว่า พี่เปนอุนต้าแมน หลิ่มเป็นแบทแมนนะ”

            “ก็ได้ หลิ่มเป็นแบทแมน เราไปจับผู้ร้ายกัน”สลิ่มทำท่าแปลงร่างตามพี่ชาย

 

            ขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างกำลังคุยธุรกิจเพื่อให้ได้มายังสิ่งของนอกกาย เด็กร่างจ้ำม่ำสองคนกำลังเดินย่องไปมาคุยกันกระหนุงกระหนิงกับเรื่องที่พวกเขาคิดว่าสนุก รอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้าที่เหมือนกันแต่ต่างสีผิว ไม่นานทั้งสองก็หยุดเดินและกุมท้องตัวเองพร้อมๆกัน ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันแล้วเงยหน้าขึ้นมองบนโต๊ะที่จัดขนมมากมายเรียงรายอย่างน่ากิน

            “พี่กิมหลิ่มหิวแล้ว”สลิ่มกุมท้องทำหน้าอ้อนพี่ชาย

            “พี่ก็หิวเหมือนกัน เดี๋ยวพี่หยิบให้นะ”ปลากริมเดินไปที่ริมโต๊ะก่อนจะเขย่งแล้วเอื้อมมือเพื่อหยิบขนมเค้ก

            “มันไม่ถึง ฮึ๊บ!!”เจ้าตัวอ้วนกลมบ่นพลางพยายามเขย่ง

            “พี่กิมขึ้นอีก จะถึงแล้ว สูงอีก”น้องชายยืนเชียร์ข้างๆ

นานนับหลายนาทีที่เจ้าตัวแสบทั้งสองต่างก็เขย่งเท้าพยายามจะหยิบขนมบนโต๊ะโดยไร้ซึ่งผู้ที่ผ่านไปมาจะสนใจ

            “มันม่ายถึงอ่า”ปลากริมปลดหน้ากากคาดไว้บนหัว

            “แต่หลิ่มหิว”สลิ่มนั่งยองๆข้างพี่ชายแล้วปลดหน้ากากคาดไว้บนหัวเลียนแบบ

            “พี่ก็หิวเหมือนกัน”

            “เราไปบอกให้คนนั้นหยิบให้ได้ไหม”สลิ่มเอียงคอชี้ไปยังชายร่างสูงตระหง่านยืนอยู่ไม่ไกล

            “แต่เขาตัวใหญ่มากเลยนะ ใหญ่กว่าปะป๊าอีกนะ น่ากลัวจะตายไป”ปลากริมส่ายหัว

            “แต่หลิ่มหิวอ่า”

            “งั้นก็ได้ พี่กิมจะไปบอกให้คุณลุงคนนั้นช่วยหยิบให้”ปลากริมคว้ามือน้องชายจูงไปยังชายร่างสูงเมื่อเห็นว่าน้องกำลังหิวมาก

            ทั้งสองคนมาหยุดอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่จะเอื้อมมือป้อมๆไปกระตุกชายเสื้อสูทของอีกฝ้ายเบาๆเรียกร้องความสนใจให้หันมามอง

            ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อยหันมองตามแรงดึงเจอเข้ากับร่างเล็กอวบอ้วนของเด็กแฝดต่างสีผิวยืนเงยหน้าจ้องมองตนอยู่เบื้องล่าง

            “เอ่อ เอ็กคิวมี แคนยูเฮ้วมีพลีส”แฝดคนพี่เอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าเกรงๆเขาอยู่ไม่น้อย ตาคู่คมกริบยิ่งหรี่ตามองไปยังทั้งสองเมื่อภาษาที่ใช้ไม่ใช่ภาษาไทย

            “พี่หลิ่ม ปะป๊าบอกว่าอยู่นี่ให้พูดแบบที่พูดกับปะป๊า”สลิ่มกระตุกเสื้อพี่ชายแล้วเงยหน้าจ้องคุณลุงหน้าดุ

            “มีอะไรรึเปล่า”ปิญญ์ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เรียกให้เจ้าตัวแสบทั้งสองสะดุ้งเล็กๆพากันเกร็งตัว

            “ช่วยหยิบหนมให้หน่อยได้ไหมฮับน้องหลิ่มหิว”ปลากริมตอบช้อนตากลมโตขึ้นมามอง

            “ได้สิ ว่าแต่พ่อแม่พวกเธอไปไหนล่ะถึงได้ปล่อยให้เด็กมาเพ่นพ่านแบบนี้”

            “ปะป๊าไปธุระฮับ”สลิ่มตอบเสียงใส ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเค้กชิ้นโตกำลังถูกตักใส่จาน

            “เอานี่ กินดีดีล่ะระวังเลอะ”ชายหนุ่มยื่นจานขนมส่งให้เด็กแฝด

            “ขอบคุณฮ๊าบ/ขอบคุณฮ๊าบ”สองแฝดรีบยกมือไหว้รับจานขนมเค้กมาถือเอาไว้เร็วจี๋

            รอยยิ้มกว้างอวดเหงือกสีสดเรียกให้ปิญญ์ชานนท์มองตามเด็กทั้งสองด้วยความพึงพอใจกับกริยามารยาทที่ถูกฝึกมาอย่างดี อย่างน้อยเด็กสองคนนี้ก็ไม่ได้วิ่งเพ่นพ่านเหมือนกับลูกของคนอื่นๆที่อยู่อีกฝั่งห้องจัดเลี้ยง

            ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจให้กับการพบปะโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงของงานเลี้ยง ต่างคนต่างก็ใส่หน้ากากจนเขาเริ่มที่จะเบื่อจึงผละออกมายังส่วนของอาหารที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอเด็กแฝดหน้าตาน่ารัก ถึงแม้จะมีสีผิวที่ต่างกันชวนให้น่าสงสัยอยู่ก็ตาม

            กว่าชายหนุ่มจะรู้ตัวจิตใต้สำนึกของเขามันก็สั่งให้เขาทำในสิ่งที่ตัวเองก็ต้องแปลกใจ เขาเผลอจ้องมองเด็กแฝดสองคนนั้นอยู่นาน และตัดสินใจเดินไปหยิบแก้วน้ำส้มที่ตนเองไม่ค่อยชอบสักเท่าไรติดมือมาสองแก้ว ย่างก้าวเข้าไปใกล้เด็กแฝดด้วยท่าทางสุขุมเหมือนทุกที…เขากำลังกลัวว่าเด็กแฝดจะกินขนมแล้วติดคอหากไม่มีน้ำให้กิน

            “คุณยุง”

            แฝดคนน้องเรียกเสียงยานคางเช็ดคราบครีมขาว ท่าทีหวาดกลัวกับใบหน้าเคร่งขรึม

            “นี่น้ำส้ม เผื่อจะติดคอ”ชายหนุ่มยื่นน้ำส้มให้ทั้งคู่

            “ขอบคุณฮับ/ขอบคุณฮับ”ตอบเสียงในแทบจะพร้อมกับแต่ก็ต้องทำหน้าแหยเมื่อไม่มีมือเหลือเพราะกำลังถือจานเค้กเอาไว้

            “ไม่มีมือแล้วฮับ”เจ้าตัวแสบส่ายหน้าไปมา

            “นั่นสินะ ฉันก็ลืมไป”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มมุมปาก ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกับเด็กๆ มือใหญ่ถือแก้วน้ำส้มเอาไว้ทั้งสองข้าง ตาคู่ดุจ้องมองเด็กๆกินขนมเค้กท่าทางน่าอร่อยไม่วางตา

            บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาแก้เบื่อได้ชั่วคราว งานเลี้ยงใส่หน้ากากพูดคุยแต่เรื่องเดิมๆทำเอาเขานึกเอียนเต็มที เวลานี้เขาไม่ได้ต้องการที่จะพึ่งใคร เขากำลังยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุดและไม่มีสิ่งใดที่เขาจะต้องแข่งขันและแย่งชิงอีกต่อไป

            การมานั่งจ้องมองเด็กคุยกันไปอาจจะเป็นสิ่งไร้สาระที่เขาคิดว่าดีที่สุดในตอนนี้ก็ได้ เสียงเจื้อยแจ้วของบทสนทนาแปลกๆทำเอาชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองกำลังพูดถึงอะไรกันอยู่ โดยไม่รู้ตัว ปิญญ์ชานนท์ก็เผลอยิ้มให้กับท่าทีน่ารักน่าชังของเด็กๆที่แสดงออกมาด้วยความไร้เดียงสาเรียกให้ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ

            “กินหมดแล้วฮับ”ปลากริมหันมายิ้มแล้วส่งจานของตนกับน้องให้ปิญญ์ชานนท์รับจานมาแบบมึนงงปนขุ่นเคือง นี่เด็กสองคนนี้คิดว่าเขาเป็นบริกรเก็บจานรึยังไง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับจานสองใบมาไว้ในมืออย่างช่วยไม่ได้แล้วยื่นแก้วน้ำส้มให้มือที่เอื้อมมาขอมัน

            “คุณยุงกินไหมฮะ กิมแบ่งให้”ปลากริมยื่นแก้วน้ำส้มแก้วหนึ่งคืนทั้งที่ยังไม่ได้กิน ปิญญ์ชานน์เลิกคิ้วตั้งคำถามกับแก้วน้ำส้มที่ยืนคืนมาให้หนึ่งแก้ว

            “แล้วเธอไม่กินรึไง”

            “กินอันเดียวกันก็ได้ฮับ ปะป๊าบอกพี่น้องต้องรักกัน แต่คุณยุงยังไม่ได้กิน กิมกะน้องหลิ่มแบ่งให้คุณยุงฮับ เนอะ”ปลากริมหันมายิ้มแป้นให้คุณลุงหน้าดุอย่างเขา

            “ปะป๊าสอนให้แบ่งกันฮับ”สลิ่มตอบเอียงคอส่งมาให้กับเขาเช่นเดียวกับพี่ชาย

            “นั่นสินะ”

            ปิญญ์ชานนท์รับแก้วน้ำส้มมาจิบเล็กน้อย ชายหนุ่มจับจ้องมองเด็กแฝดผลัดกันดื่มน้ำส้มในแก้วจนหมด ดูเหมือนว่าเด็กแฝดสองคนนี้จะถูกเลี้ยงมาอย่างดี พอเขาจ้องมองเด็กสองคนนี้นานๆก็ทำให้เขาเผลอนึกถึงใครบางคนขึ้นมา

            นั่นยิ่งทำให้เขานึกหงุดหงิดใจกับคนที่คอยรบกวนจิตใจเขามาตลอดหลายปี คนที่ปั้นเรื่องหลอกลวงว่าท้องลูกของเขาแล้วหายตัวไปราวอากาศ ซึ่งถ้าหากขนมผิงท้องจริงอย่างที่ปั้นเรื่องเอาไว้ เด็กที่อยู่ในท้องของขนมผิงคงจะอายุได้ประมาณนี้แล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเอง

            มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ขนมผิงจะท้องในเมื่อขนมผิงเป็นผู้ชายถึงแม้ว่าเอกสารที่อยู่ในมือของเขามันจะน่าเชื่อถือแค่ไหนแต่เข้าก็อดที่จะหักล้างมันด้วยความคิดของตัวเองไม่ได้ ความคิดที่ว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งความเป็นจริง และเขาไม่มีทางเชื่องเรื่องหลอกลวงพรรค์นั้นเด็ดขาด

            “มาอยู่ที่นี่เอง ตามหาแทบแย่”น้ำเสียงฟังดูกระวนกระวายใจเรียกให้ปิญญ์ชานนท์หันไปมองชายร่างสูงไม่ต่างจากเขาเดินตรงมายังเด็กๆ หน้ากากสีขาวที่เหมือนกับของเด็กๆทำให้ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดว่าคนคนนี้อาจจะเป็นพ่อของเด็ก

            “คุณอาทัพ/คุณอาทัพ”แต่ก็ไม่ใช่เมื่อเด็กทั้งสองต่างก็เรียกอีกฝ่ายว่าอา

            คงไม่จำเป็นแล้วที่เขาจะต้องอยู่ต่อ ปิญญ์ชานนท์ผลุดลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกมา

            “เดี๋ยวสิครับ!!”เสียงทุ้มหูเรียกเอาไว้ให้เขาหันกลับไปมอง ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงตั้งคำถามให้อีกฝ่าย

            “ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลเด็กๆ”แทนทัพกล่าวก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเด็กๆที่นั่งพึ่งท้องกันอิ่มแปร้

            ทิ้งให้ปิญญ์ชานนท์มองเด็กแฝดทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่คิดว่าถูกชะตากับเด็กสองคนนี้ทำให้เขานึกแปลกใจ บางทีเขาอาจจะทำงานมากจนไปจนเผลอคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้ก็เป็นได้

            เรื่องที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรมันย่อมไม่สำคัญสำหรับตัวเขาอยู่แล้ว เรื่องอะไรที่เขาจะต้องมานึกถูกชะตากับเด็กที่ไม่มีแม้แต่ผลประโยชน์ให้กัน!!

 

-----------------------------------------------------------------------

 

            ปิญญ์ชาในชุดสูทสีดำสนิทขับให้ดูน่าเกรงขามมองดูน้องชายผู้มีศักดิ์เป็นลูกชายของอาด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความแปลกใจ ทำไมน้องชายเขาถึงได้มาอยู่ข้างนอกนี่ได้แทนที่จะอยู่ด้านในงานในฐานะตัวแทนของพ่อตัวเอง

            แต่พลันเขาก็ต้องชะงักเมื่อคนที่อยู่กับน้องชายคือคนที่เขาตามหามาตลอดเกือบสี่ปี คนที่หายเข้าไปในกลีบเมฆไม่เคยพบแม้แต่ร่องรอยตอนนี้กลับยืนอยู่กับน้องชายเขาตรงหน้าของเขา ขนมผิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรในเมื่องานเลี้ยงนี้เป็นงานเลี้ยงของบรรดาเจ้าของผู้ประกอบการกิจการภายในประเทศรายใหญ่ทั้งนั้น แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาอีกฝ่ายไปอยู่ที่ไหนกันแน่เขาถึงได้หาตัวไม่เจอ

            มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นอย่างแค้นเคืองใจเมื่อน้องชายกำลังจับมือถือแขนกับอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของทั้งสองคนทำให้เขานึกร้อนรุ่มในใจอย่างบอกไม่ถูก อุตส่าห์เจอทั้งทีแต่อีกฝ่ายก็ดันอยู่กับคุณวุฒิเสียได้ ทั้งที่เคยบอกให้เลิกยุ่งกับครอบครัวของเขาไปแล้วแต่ขนมผิงก็กลับมา อีกทั้งยังมาทำหัวร่อต่อกระซิกกับน้อยชายเขาไม่อายฟ้าอายดิน

            คงจะมาวางแผนล่อหลอกน้องชายเขาอีกครั้งสินะ ดูจากท่าทีแล้วมันทำให้เขาคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย และคนอย่างปิญญ์ชานนท์คนนี้จะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่

            ปิญญ์ชานนท์ขบกรามแน่นด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในใจ ในเมื่อฝ่ายนั้นกล้าที่จะกลับมาทั้งที เขาก็จะให้คนแบบนั้นได้ลิ้มรสผลกรรมที่ได้ทำเอาไว้…ให้สาสมกับที่บังอาจเข้ามาก่อกวนจิตใจของเขาตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา

           

            ----------------------------------------------------

 

            “ผมว่าลมเริ่มแรงขึ้นแล้ว เรากลับเข้าไปข้างในกันดีกว่านะครับ”ขนมผิงบอกเพราะรู้สึกว่าผ่านไปพักใหญ่แล้วกับการพูดคุย อีกอย่างเขากลัวว่าเด็กๆจะเล่นซนจนเกิดเป็นอันตายหรือรบกวนคนอื่นถึงแม้จะฝากแทนทัพให้ดูแทนแล้วก็ตาม

            “แต่พี่ยังคุยกับผิงไม่เต็มอิ่มเลยนะครับ”คุณวุฒิว่าพลางทำหน้าผิดหวัง

            “แต่ข้างนอกมันหนาวนะครับเดี๋ยวจะพากันไม่สบาย อีกอย่างพี่วุฒิเป็นหมอถ้าไม่สบายคนไข้ที่ไหนจะไว้ใจล่ะครับล่ะครับ”

            “เฮ้อ ก็ได้ครับ เข้าข้างในก็ได้”อีกฝ่ายตอบอย่างจนใจ

            ถึงแม้จะรู้สึกดีที่ได้กลับมาคุยด้วยกันอีกครั้ง แต่ภายในใจของขนมผิงนั้นกลับเต็มไปด้วยความกลัว เขากลัวว่าคุณวุฒิจะเจอเข้ากับเด็กๆ เวลานี้เขายังไม่พร้อมเลยที่จะรับมือกับเรื่องแบบนี้…เขากำลังกลัวว่าเมื่อคุณวุฒิรู้ความจริงจะตีตัวออกห่างแล้วรังเกียจในสิ่งที่ตัวเขาเป็น

            “พี่วุฒิเข้าไปก่อนนะครับ ผมคิดว่าจะไปล้างมือที่ห้องน้ำ”

            “พอดีเลยล่ะ พี่ก็กำลังคิดว่าจะไปล้างคราบน้ำส้มออกจากเสื้อพอดีเชียว”

            “ครับ”ขนมผิงปั้นยิ้ม มันดูไม่ง่ายเสียแล้วกับการที่เขาจะสลัดคุณวุฒิออกจากการเกาะติด

           

            ขนมผิงเดินตามคุณวุฒิเข้ามาในห้องน้ำ ในขณะที่ล้างมือร่างสูงของคุณหมอก็จัดการถอดเสื้อตัวนอกออกมาล้างคราบออก ตาคู่สวยเหลือบเห็นชายเสื้อของคุณวุฒิที่หลุดออกมาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

            “ชายเสื้อหลุดแล้วนะครับ”

            “จริงด้วย”คุณวุฒิว่าพลางปลดเข็มขัดเตรียมจัดชายเสื้อใหม่

            “ผมว่าเข้าไปทำในห้องน้ำดีกว่านะครับ ทำตรงนี้มันดูไม่ค่อยดีเท่าไร”

             “ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็มีกันแค่สองคน”

            “ถึงจะสองคนก็ไม่ได้ครับ เป็นคุณหมออย่าดื้อสิครับ”ขนมผิงว่าพลางดันหลังให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องน้ำ

            “โอเคๆ พี่ไปจัดเสื้อใหม่ข้างในก็ได้ แต่ว่าผิงห้ามไปไหนนะครับตกลงไหม”

            “ครับ”

            ขนมผิงพยักหน้าตอบรับ รอจนได้ยินเสียงลงกลอนประตูจึงได้ถอนหายใจแล้วเดินหนีออกมา ตอนนี้สิ่งที่เขาจะเลือกก็คือลูกของตัวเอง ความระแวงทำให้ขนมผิงหันไปมองข้างในห้องน้ำเพราะกลัวว่าคุณวุฒิจะออกมาแล้วเจอว่าตนกำลังเดินหนีไปเสียก่อน

            ด้วยความไม่ระวังจึงไม่ได้มองว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนขวางทางเข้าห้องน้ำอยู่ก่อน

            ปึก!!

            แผ่นหลังของขนมผิงชนเข้ากับคนที่ยืนขวาง แม้จะไม่แรงมากแต่ก็พอที่จะทำให้เซออกมาด้วยความตกใจ

            “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”บอกออกไปด้วยความรู้สึกผิด แต่ทว่า

            “เป็นอะไรไปล่ะ ทิ้งเหยื่อแล้วหนีไปแบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ”น้ำเสียงเย้ยหยันทักด้วยคำพูดดูถูก

            ปิญญ์ชานนท์!!

            “ทำไมล่ะ เห็นหน้าฉันแล้วทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วยล่ะ”ช่างเป็นคำถามที่ทำให้เขานึกรังเกียจอีกฝ่ายจนแทบไม่อยากจะจ้องมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มดูถูก

            “หึ! ไม่ใช่ว่าผมตกใจอะไรคุณหรอกนะครับคุณปิญญ์ เพียงแค่ผมนึกสะอิดสะเอียนสายตาตัวเองมากกว่าที่ต้องมองหน้าคนอย่างคุณ”ขนมผิงเชิดหน้าขึ้น เขาพยายามตั้งสติกับการเจอกันที่ไม่ได้ตั้งใจกับอีกฝ่ายในครั้งนี้และทำทีเป็นไม่ใส่ใจทั้งที่ใจกำลังเต้นรัว

            “มันจะมากไปแล้วนะขนมผิง!! นายถือดียังไงมาพูดอย่างนี้กับฉัน!!”ปิญญ์ชานนท์ตะคอกก่อนจะดึงแขนผอมบีบเอาไว้แน่น ใบหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดกับคำพูดที่เขาพูดออกไป  อีกแล้วที่อีกฝ่ายมักจะใช้กำลังที่เหนือบกว่าบีบบังคับให้เขาต้องทนกับสิ่งที่ยิ่งเพิ่มความแค้นเคืองต่อกัน

            “ปล่อยมือคุณจากแขนของผม”ขนมผิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ปรายตามองตอบกลับกับสายตาที่ดุดันอย่างไม่ลดละ

            “หึ!! ไม่เจอกันนานดูเหมือนนายจะเปลี่ยนไป…นิดหน่อยนะ”

            มันยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกยิ่งรู้สึกราวกับถูกบีบรัดเมื่ออีกฝ่ายพูดลากเสียงแล้วจงใจมองมาที่ท้องของเขา แขนผอมดึงกลับพยายามที่จำหลุดออกจากมือใหญ่ที่ออกแรงบีบลงมา

            “นั่นมันไม่เกี่ยวกับคุณนี่ครับ”

            “ปากดีขึ้นเยอะนี่ แล้วนี่อะไร นายมาที่นี่ได้ยังไง หรือว่า…นายมาที่นี่กับลูกค้าล่ะ คงไม่ใช่ว่านายต้องการที่จะสลัดเหยื่อชิ้นโตเพื่อที่จะจับเหยื่อชิ้นที่โตกว่าหรอกนะ”

            “คิดต่ำแบบคุณในโลกนี้ก็คงไม่มีใครแล้วล่ะ เมื่อไรจะรู้ตัวสักทีล่ะครับว่าคนอย่างคุณน่ะคิดเป็นแต่เรื่องต่ำๆ”ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มมองชายหนุ่มเบื้องหน้าแน่นิ่ง

            “มันก็ถูกต้องแล้วนี่ที่คนคิดต่ำจะเจอกับคนชั้นต่ำ ถูกไหม?”

            “อย่าลากคนอื่นเขาไปเกลือกกลัวกับตัวเองเลยนะครับ คิดแล้วมันรู้สึกอยากจะอ้วกขึ้นมาเวลาที่ต้องมาใกล้คนอย่างคุณ อุตส่าห์ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แต่กลิ่นของคุณมันยังน่าคลื่นเหียนเหมือนเดิมเลยล่ะ”

            “ปากดีนักนะขนมผิง!!”ราวกับไม่มีคำพูดที่จะโต้ตอบ ขนมผิงรับรู้ได้ถึงแรงบีบที่บนลงมาบนต้นแขน

            “อึก”ขนมผิงกลืนน้ำลายลงคอนิ่วหน้าเมื่อปลายคางถูกบีบกระชากด้วยมืออีกข้างของปิญญ์ชานนท์ แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขาต้องการ

            “ดูเหมือนว่านายจะมีคนหนุนหลังดีจนน่าตกใจเลยล่ะถึงได้หายไปนานขนาดนี้ คนอย่างนายก็คงจะเดินตามรอยแม่ของนายสินะ”

            “จะดีไม่ดีผมก็ไม่รู้นะครับ แต่การที่คุณรู้ว่าผมหายไปนานแบบนี้เนี่ย…แสดงว่าคุณกำลังติดตามผมอยู่สินะ”ยิ้มมุมปากราวกับต้องการจะยั่วอารมณ์ของอีกฝ่ายให้ปะทุมากขึ้นทั้งที่แรงบีบลงมาบนคางและแขนมันกำลังมากขึ้นไปทุกที

            “ใครจะไปคิดถึงคนอย่างนาย!! ฉันไม่ได้บ้านะที่จะต้องมาคิดถึงคนอย่างนาย”พูดก่อนจะออกแรงผลักจนขนมผิงเซออกมาครึ่งก้าว

            ดูท่าจะเป็นไปในแบบที่เขาคิดจริงๆ การที่เขาจะหลุดออกจากพันธนาการของปิญญ์ชานนท์ได้คือการที่เขาจะต้องใช้ในสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์กำลังคิดเข้าสู้

            เพราะว่าคนเรามักจะพ่ายแพ้ให้กับความคิดของตนเองเสมอ…

             “อย่างนั้นเหรอครับ…ผมก็นึกว่าคุณคิดถึงผมถึงได้ตามสืบเรื่องของผมอยู่ตลอด”

            ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าปิญญ์ชานนท์คอยส่งให้คนมาตามหาตัวเขาตลอดเวลา ความช่วยเหลือของผู้เป็นพ่อช่วยทำให้เขาหลบซ่อนตัวจากเงื้อมือของคนเลวๆอย่างอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

            “นายอย่าได้คิดนะว่าฉันจะเป็นเหมือนเหยื่อคนอื่นๆของนาย ฉันไม่มีวันที่จะสนใจลูกชายของผู้หญิงทรยศเด็ดขาด นายอย่างมาหลงตัวเองไปหน่อยเลย”นัยน์ตาดุดันแสดงออกมาถึงความแข้งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นภายในนั้นมันกลับสั่นอย่างกระวนกระวาย

            แต่นี่มันแค่เริ่มต้น ขนมผิงรู้ดีว่าทุกอย่างมันคงไม่จบเพียงแค่นี้ ยิ่งเห็นปิญญ์ชานนท์รู้สึกไม่พอใจ ขนมผิงยิ่งรู้สึกพอใจขึ้นมาทันทีที่เห็นปฏิกริยาของอีกฝ่าย ก่อนที่เกมจะดำเนินไปไกลกว่านี้เสียงของคุณวุฒิก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

            “อยู่นี่เอง พี่ก็คิดว่าผิงหนีพี่ไปอีกแล้ว ทำไมออกมาไม่บอกพี่ล่ะ”

            “ผิงออกมารอข้างนอกน่ะครับเห็นท่าว่าจะนาน”ขนมผิงตอบโกหก ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของเขาทำให้ปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้มขึ้นมาเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาพูด

            “แล้วพี่ปิญญ์ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะครับ ผมคิดว่าพี่จะอยู่ในงานซะอีก”

            “ฉันไม่เห็นว่านายอยู่ในงานเลยออกมาตาม ที่แท้ก็ออกมาอยู่กับคนแบบนี้นี่เอง”

            คนแบบนี้ที่อีกฝ่ายว่าคงจะเป็นคนชั้นต่ำอย่างที่ชอบใช้ดูถูกเขาสินะ

            “พวกเราเจอกันโดยบังเอิญน่ะครับ ใช่ไหมขนมผิง”คุณวุฒิหันมาพนักหน้าให้ ริมฝีปากสวยยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

            “ครับ...บังเอิญ”ขนมผิงจงใจยิ้มตอบให้ดูเหมือนกับว่าเขาเป็นคนที่วางแผนเพื่อที่จะมาเจอกับคุณวุฒิ มันได้ผลเมื่อคิ้วหนาได้รูปของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากัน

            “กลับเข้าไปในงานได้แล้วคุณวุฒิ!!”เสียงแข็งกร้าวสั่งผู้มีศักดิ์อย่างน้องชาย

            “โถ่ ทำไมล่ะครับผมพึ่งจะได้เจอกับขนมผิงเอง”

            คุณวุฒิตัดพ้อทีเล่นทีจริงในขณะที่ปิญญ์ชานนท์กำลังทำหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อตนเอง ขนมผิงค่อนข้างจะรู้สึกเฉยเมยเมื่อตาคู่ดุนั้นมองมาที่ตน เขากลับเหยียดยิ้มกลับคืนไปเพื่อยั่วอารมณ์ของอีกฝ่ายให้ยิ่งปะทุขึ้น เพราะต่อไปนี้เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายอีกต่อไป ไม่มีวันที่จะอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ตอบโต้ในสิ่งที่ได้รับมา

            เขาจะต้องแก้แค้นให้สาสมกับสิ่งที่ได้รับ แก้แค้นให้กับการทีอีกฝ่ายทำให้ลูกๆของเขากำพร้าพ่อ

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ”มือผอมแตะลงบนไหล่ของคุณหมอพลางหันไปยิ้มให้ “พอดีพ่อของผิงพึ่งจะโทรมาตามเมื่อครู่ คงต้องรีบกลับเข้าไปข้างในแล้วล่ะครับไว้เจอกันนะครับ”

            เป็นโอกาสที่จะแยกตัวกับคุณวุฒิไปในตัว อีกอย่างเขาก็เป็นห่วงเด็กๆด้วยหลังจากที่ทิ้งให้แทนทัพดูแลแทน

            การเจอกันในครั้งนี้มันช่างเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายจริงๆสำหรับเขา ร่างสูงโปร่งจงใจเดินเบียดไหล่ชนกับหัวไหล่ของปิญญ์ชานนท์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อที่จะกระซิบบอกอะไรบางอย่างออกไป

            “เฝ้าเขาเอาไว้ดีดีนะครับ”

            รองเท้าหนังขัดมันวับจงใจเหยียบลงไปบนเท้าของอีกฝ่าย ค่อยๆบดขยี้ลงไปเต็มแรงและแนบเนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่ออยู่ต่อหน้าของคุณวุฒิ

            ตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าที่หยิ่งทระนงแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดและแค้นเคือง

            “นาย”เสียงแข็งเค้นรอดไรฟัน

            แต่นั่นคงจะไม่ทันที่จะได้จัดการกับเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ทิ้งเสียงหัวเราะในลำคอเอาไว้ด้วยความสะใจแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

 
----------------------------------------------------------------------------

มีต่อ


 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 17-10-2015 07:22:02
พระเอกแม่งเลวว่ะ มีอคติกับนายเอกแบบไม่มีเหตุผล

อล้วนี่เด็กในท้องจะเป็นอะไรไหม? :hao5:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 17-10-2015 07:55:23
สนุกมากๆ อยากให้ถึงเวลา พระเอกเจ็บบ้างจัง แล. เน้นๆๆ เลย มาลงบ่อยๆนะ อย่าหายไปนาน ชอบแนวนี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 17-10-2015 09:11:03
หนมผิงท้องอยู่ มันอันตรายนเฟ้ย!!!!
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 17-10-2015 09:42:33
พระเอกใจร้ายจริงๆฮะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 17-10-2015 10:22:10
พระเอกร้ายกาจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก               

 :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 17-10-2015 11:54:01
สรุปวุฒิเป็นพระเอกสินะ แค้นเยอะๆเลยหนูผิง แล้วเอาคืนให้สาสม ผู้แต่งก็สู้ๆนะเค้ารออ่านตอนต่อไปอยู่ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 17-10-2015 12:26:43
พระเอกเลว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 17-10-2015 14:50:53
เป็นนายเอกที่สู้คนมากลูก แล้วไปทำอีท่าไหนให้พระเอกเข้าใจผิดว่ามีอะไรกับวุฒิได้เนี่ย?
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 17-10-2015 16:08:39
ความเป็นคนอยู่ตรงไหนคะคุณพระเอก o12
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 4 ทำร้าย❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 17-10-2015 17:16:49
ต่อ

            “คุณผิงครับ คุณพิศท่านตามหาอยู่นะครับ”เลขาของพิศณุเดินมาแตะแขนของขนมผิงทันทีที่เดินกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง

            “มีอะไรเหรอครับคุณสุพจน์”

            “คุณพิศท่านอยากให้มาตามคุณผิงให้ไปทำความรู้จักกับประธานของอนันตไพลินกรุ๊ปน่ะครับ ทางนี้ครับ”

            คงไม่ต้องทำความรู้จักกันก็ได้ในเมื่อเขารู้จักกับอีกฝ่ายดี ขนมผิงได้แต่คิดในใจและเดินตามเลขาของผู้เป็นพ่อไป

            “เขาเป็นคู่แข่งของเราไม่ใช่เหรอครับคุณสุพจน์”

            “มันเป็นวิสัยของคุณพิศน่ะครับ ท่านชอบสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นแม้จะเป็นคู่แข่งกันก็ตาม”

            “นั่นสินะครับ”

            ในเมื่อพ่อของเขามักจะเป็นคนที่ชอบมองโลกในแง่ดีเสมอ

 

            “มาพอดีเลยตาผิง เดี๋ยวพ่อจะพาไปแนะนำคุณปิญญ์ชานนท์เจ้าของอนันตไพลินเสียหน่อย รู้จักกันเอาในฐานะคนที่ทำธุรกิจเหมือนๆกันจะได้ช่วยเหลือกัน รุ่นๆเดียวกับกับเราด้วยไม่น่าจะคุยกันยาก”เป็นแบบนี้ตลอด…มองโลกในแง่ดี

            “ผมมีอะไรอยากจะขอร้องพ่อสักอย่างได้ไหมครับ”ขนมผิงแตะแขนของผู้เป็นพ่อเอาไว้

            “อะไรล่ะ”

            “พ่อช่วยอย่าพึ่งบอกชื่อผิงกับเขาได้ไหม แค่แนะนำว่าผิงเป็นลูกของพ่อก็พอ”

            “ทำไมถึงบอกชื่อไม่ได้ล่ะ”

            “คือ…ผิงอายชื่อตัวเอง”แสร้งทำเป็นอายออกไปเพื่อกลบเกลื่อนเจตนาที่แท้จริง

            “อ้อ งั้นก็ตามใจก็แล้วกัน แต่ก็คงจะปิดได้ไม่นานหรอกนะพ่อบอกเอาไว้ก่อน เพราะสักวันเขาก็ต้องรู้จักชื่อของลูกอยู่ดี”

             “ครับ”ตอบรับพร้อมกับเลื่อนหน้ากากลงมาปิดบังใบหน้า ถ้าหากเขาปล่อยให้ปิญญ์ชานนท์รู้ตัวตนของเขาเร็วเกินไปเกมที่กำลังจะเริ่มมันก็คงไม่สนุก

 

            “สวัสดีครับคุณปิญญ์ชานนท์”พิศณะแตะไหล่ชายหนุ่มที่กำลังมองไปรอบๆเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่ริมฝากได้รูปจะยกยิ้มขึ้นมา

            “ครับ ไม่รู้ว่าคุณพิศณุจะมางานนี้ด้วยผมจะได้เข้าไปทักทายคุณก่อน”ขนมผิงเฝ้ามองรอยยิ้มเสแสร้งผ่านทางหน้ากาก

            “ไม่เป็นไรๆ ทางนี้เองแต่แรกก็ว่าจะไม่มาอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะพาลูกชายมาแนะนำตัวและจะพาหลานๆมาอวดเพื่อนๆด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปวิ่งเล่นกันที่ไหนแล้ว น่าเสียดาย”

            “ลูกชาย? ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคุณมีลูกชาย”ใบหน้าคมคายมีสีหน้าแปลกใจ

            “มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าผมมีลูกชายน่ะ อายุน่าจะไล่เลี่ยกับคุณเลยว่าจะพามาทำความรู้จักกันไว้ วันข้างหน้าเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”

            “ครับ งั้นผมคงไม่ต้องแนะนำตัวแล้วนะครับ ดูท่าทางนั้นคงจะรู้จักผมดีอยู่แล้ว”บอกพลางยื่นมือมาเบื้องหน้าอย่างเป็นมารยาท

            “ครับ…ผมรู้จักคุณเป็นอย่างดีเลยล่ะ”

           

            -----------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 17-10-2015 17:21:08
โอ้ย ใจคอขุ่นพระเอกทำด้วยอะไรคร้าาาเนี่ย
แล้วลูกในท้องจะเป็นยังงายยยยย :ling1:
ใจร้ายมาก มาต่อด่วน อยากให้ผิงกลับมาแก้แค้นไวไว

หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 17-10-2015 17:34:15
ทำไมลูกผิง เรียกผิงว่า ป๊าละ น่าจะเรียกม๊า หรือแม่ น่ารักกวีาอีกนะ เรียกป๊าแล้วมันยังไงไม่รู้อะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 17-10-2015 17:57:20
คุณเลขาแอบชอบผิงเหรอ? เรามาดันให้คุณเลขาเป็นพระเอกกันเถอะ อิอิ :mew3:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 17-10-2015 19:16:21
ความเข้มแข็งจงอยู่คู่กับขนมผิง~ :call:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 17-10-2015 19:21:17
เอาคืนให้หนักเลยนะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 17-10-2015 20:54:02
เด็กๆมาแล้ว
เอาคืนพระเอกให้หนักเลยนะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 17-10-2015 21:04:44
หนมผิงสู้ๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 17-10-2015 21:18:09
ติดตามจ้าาาาา ชอบผิงที่ไม่อ่อนแอ แอบตกใจชื่อน้องสลิ่มกะปลากริม5555 ป้าอยากกินน

คนแต่งจ๋า ไม่รู้เราอ่านไม่ครบรึเปล่า แต่อังกฤษไม่ได้อยู่ในทวีปอเมริกาเนาะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 17-10-2015 22:35:33
ขนมผิงอย่าไปยอมเขา
เอาให้หนัก
 :z13:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 17-10-2015 23:04:16
ขุ่นพ่อน้องแฝดเลวมาก เห็นแก่ตัวสุดๆ  :katai1:
ผิงจัดหนักเลย!
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: PingPong_Hunlay ที่ 17-10-2015 23:10:18
น้องแฝดน่ารักมากกกกก :-[
ผิงจัดการให้ราบคาบเลยนะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 5 ของสำคัญ❖ 17/10 ❖ลงเพิ่มจ้า 17.20 น
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 18-10-2015 07:33:18
อ้างจาก: me12inzy link=topic :mew1:=49093.msg3206175#msg3206175 date=1445091489
ติดตามจ้าาาาา ชอบผิงที่ไม่อ่อนแอ แอบตกใจชื่อน้องสลิ่มกะปลากริม5555 ป้าอยากกินน

คนแต่งจ๋า ไม่รู้เราอ่านไม่ครบรึเปล่า แต่อังกฤษไม่ได้อยู่ในทวีปอเมริกาเนาะ

โอ้ ขอบคุณมากเลยจ้า
สงสัยจะรีบเกินไปทำให้ใส่ผิด เดี๋ยวยังไงจะรีบแก้ให้จ้า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 18-10-2015 17:03:50
5 ก้าวแรกของการเอาคืน

              ในเช้าวันรุ่งขึ้น สำหรับขนมผิงแล้ววันนี้เป็นเหมือนกับก้าวแรกที่จะนำพาเขาไปสู่เป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะก้าวขึ้นไปยังที่สูงจากจุดที่ต่ำสุด ตาคู่สวยมองตัวเองในชุดสูทเข้ารูปผ่านกระจกเงาพลางยิ้มให้กับความคิด ตอนนี้เขากำลังจะก้าวเข้าไปรับตำแหน่งรองประธานของมณีรัตน์กรุ๊ป

              “ไปกันได้แล้วครับเด็กๆ เดี๋ยวคุณตาจะรอนานนะครับ”ขนมผิงเรียกเด็กแฝดที่กำลังนั่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวแต่เช้ากับคุณยาย

              “ฮ๊าบบบบบ/ฮ๊าบบบบบ”พากันขานรับอย่างอารมณ์ดีให้คนเป็นยายเสียดายที่ถูกหลานๆทิ้งทันทีที่ถูกขนมผิงเรียก

 

              ------------------------------------------------------------

 

              “ตามที่ทุกคนพึ่งจะทราบกันดีว่าผมมีลูกชายแล้ว ซึ่งตอนนี้ลูกชายของผมก็พึ่งจะเรียนจบมา ผมอยากให้ทุกคนรู้จักกับเขาเอาไว้ในฐานะคนที่จะมาแทนผมคนนี้ เอาเป็นผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับขนมผิงลูกชายของผมเลยก็แล้วกัน”ผู้เป็นพ่อกล่าวในห้องประชุมให้พนักงานระดับสูงในห้องประชุมพากันปรบมือต้อนรับ

              ขนมผิงยืนขึ้นก่อนจะค้อมตัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย

              “ชื่อจะน่ากินไปหน่อยยังไงก็ฝากด้วยแล้วกันนะ”พิศณุกล่าวติดตลกอย่างเป็นกันเองเรียกเสียงหัวเราะ

              “สวัสดีครับอย่างที่พ่อของผมได้แนะนำไป จะเรียกผมสั้นๆว่าผิงก็ได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะเข้ามาเรียนรู้งานจากทุกๆคน ยังไงผมก็ต้องฝากตัวและขอคำแนะนำจากทุกๆคนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

              ขนมผิงรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นรัวรัวอยู่ภายในอก เขากำลังกระหายกับผลตอบรับที่จะตามมา ใบหน้านิ่งสงบยิ้มรับกับเสียงปรบมือของทุกคนในห้องประชุม

              “หลายคนอาจจะสงสัยว่าเด็กน่ารักน่ากอดสองคนนี้เป็นใคร วันนี้ผมตั้งใจเอามาอวดกับพวกคุณโดยเฉพาะเชียวล่ะ คนแรกคนผิวสีเข้มๆหน่อยชื่อปลากริม ส่วนอีกคนชื่อสลิ่ม ชื่ออาจจะน่ากินเหมือนกับพ่อของเขา แต่อย่าพึ่งวางใจกันล่ะเพราะความแสบนี่ไม่ได้หวานตามชื่อเลย ก็ขอฝากทุกคนดูแลหลานๆของผมด้วยก็แล้วกันนะ”พิศณุยังคงกล่าวติดตลกอย่างเป็นกันเอง

              แม้สายตาหลายคู่ที่มองมาจะเต็มไปด้วยความสงสัยและมึนงงกับลูกชายและหลานที่โตขนาดนี้ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะยิ้มรับอย่างผ่อนคลายกับบรรยากาศที่รายล้อม มันคงจะเป็นเรื่องที่ปุบปับเกินไปกับการมีตัวตนของขนมผิงในครั้งนี้

              “เป็นแฝดเหรอครับ”ใครบางคนก็ยกมือขึ้นถาม

              “เป็นแฝดครับ”ขนมผิงตอบพลางยิ้ม

              “ทำไมสีผิวต่างกันจังเลยคะ”

              “อันนี้ผมก็สงสัยเหมือนกันนะครับ”

              “แล้วคุณแม่ของเด็กๆล่ะค่ะ”เป็นคำถามที่ทำให้ขนมผิงหันกลับไปมองหน้าผู้เป็นบิดา…เขายังไม่อยากให้ใครรู้ความจริงของเขา

              “เอาเป็นว่าอย่าไปสนใจเรื่องแม่เด็กเลยนะ รู้แค่ว่าหลานของผมก็พอ ยังไงก็เตรียมตัวรับมือกันให้ดีๆล่ะ รับรองว่าแสบจนลืมไม่ลงเลยล่ะ”พิศณุพูดเบี่ยงประเด็นให้ขนมผิงพรูลมหายใจออกมาเบาเบา

 

              ------------------------------------------------------

 

              “เล่มนี้ข้อมูลเปรียบเทียบของเรากับผู้ประกอบการรายอื่นนะครับ”เอกสารแฟ้มใหญ่ถูกวางบนโต๊ะด้วยมือของแทนทัพผู้ที่จะมารับงานต่อจากสุพจน์ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นเลขาส่วนตัวพ่อของขนมผิง

              แทนทัพจะเป็นคนเรียนรู้งานมาจากพ่อของตนเองก่อนจะนำมาถ่ายทอดให้กับขนมผิงอีกทีเพื่อเป็นการคัดกรอง

              “แล้วข้อมูลที่ผมอยากได้ล่ะ”

              ขนมผิงถามหาข้อมูลที่เขาเจาะจงให้แทนทัพหาให้ซึ่งเป็นข้อมูลที่เปรียบเทียบระหว่างมณีรัตน์กับอนันตไพลิน

              “อยู่ในแฟ้มแล้วครับ”

              “ขอบคุณ ผมขอดูเอกสารพวกนี้สักพักก็แล้วกัน"บอกเป็นเชิงขอเวลาส่วนตัว

               “ถ้ามีอะไรเรียกผมนะครับ ผมอยู่ด้านนอกตลอด”แทนทัพบอกก่อนจะเดินออกไป

              เหลือแค่ขนมผิงในห้องประจำตำแหน่งที่ครึ่งหนึ่งถูกเนรมิตให้เป็นสวนสนุกขนาดย่อม

              ตาคู่สวยจ้องมองกราฟแท่งเปรียบเทียบราคาของหุ้น ประกอบกับตัวเลขที่บอกผลประกอบการอย่างเป็นทางการของมณีรัตน์กรุ๊ปกับอนันตไพลิน ซึ่งผลที่แสดงอยู่ตรงหน้าก็บ่งบอกถึงความไฟแรงของผู้บริหารหนุ่มอย่างปิญญ์ชานนท์ได้เป็นอย่างดี

              แต่อีกไม่นานหรอก เขาคนนี้จะเป็นคนโค่นอีกฝ่ายและจะก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดเดียวกัน และสักวันเขาจะต้องทำให้อนันตไพลินอยู่ในจุดต่ำกว่าที่ที่เขายืนให้ได้

              ขนมผิงหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะกดปลายสายต่อไปยังเบอร์ต่างประเทศ เขากำลังต่อปลายสายไปยังเพื่อสนิท

              “สวัสดีเดล นี่ฉันเอง ผิง”กล่าวทักทายเป็นภาษาสากล

              ‘ไงผิงผิง ไม่ได้คุยกันนานนายสบายดีไหม’อีกฝ่ายทักกลับมาเป็นภาษาเดียวกัน

              “อืม สบายดี แล้วนายล่ะ”

              ‘เช่นกัน ว่าแต่โทรมามีอะไรเหรอ หรือว่านายอยู่ลอนดอน’

              “เปล่าหรอก ฉันแค่อยากจะถามนายว่านายจำเรื่องที่เราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ได้ไหม เกี่ยวกับธุรกิจของนาย”ถามลองเชิงออกไป

              ‘อ้อ!!จำได้สิ นี่นายได้ขึ้นเป็นซีอีโอแล้วเหรอ ดีใจด้วยนะ’

              “ขอบคุณ แล้วโปรเจคที่นายพูดถึงเกี่ยวกับคอลเลคชั่นหน้าร้อนล่ะเริ่มหรือยัง”ขนมผิงถามถึงคอลเลคชั่นหน้าร้อนที่เพื่อนของเขากำลังจะลงทุน

              ‘กำลังจะเริ่มทำอยู่พอดีเลยล่ะ ฉันลองถามดีไซน์เนอร์แล้วนะ เขาบอกว่าเขากำลังสนใจสินค้าที่มาจากเอเชียอยู่เลยล่ะ เพราะงานค่อนข้างจะละเอียดและดูมีคุณค่า เขาบอกว่าอยากจะลองเทสดูกับคอลเลคชั่นนี้ หากออกมาเวิร์คเขาก็จะใช้สินค้าของนายในแบรนด์ของเขาตลอดเลยล่ะ’

              “งั้นเหรอ ฉันดีใจที่นะที่ได้ยินนายบอกแบบนี้ ขอบใจนายมากนะเดล”บอกออกไปด้วยความดีใจ

              ‘ไม่เป็นไร แล้วกู๊ดบอยของฉันล่ะ สบายดีไหม’เดลถามถึงเด็กๆเพราะค่อนข้างจะรู้จักกับเด็กๆเป็นอย่างดี

              “สบายดีจนฉันแทบจะปวดหัวเลยล่ะ แต่ตอนนี้หลับไปแล้ว”ขนมผิงตอบ

              เขาคุยกับเพื่อนสนิทอยู่พักใหญ่ก่อนจะวางสาย ริมฝีปากสวยยกยิ้มให้กับบันไดก้าวแรกที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง เขาชักจะรอวันที่ได้เห็นสีหน้าหมดหวังของคนคนนั้นไม่ไหวซะแล้ว

 

              ---------------------------------------------------------------

 

              ในขณะที่คู่ควงของปิญญ์ชานนท์กำลังเลือกซื้อของอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มปลีกตัวออกมาเพราะความเบื่อหน่ายในความจุกจิกของหญิงสาวเจ้าที่ถูกผู้ใหญ่ที่รู้จักกับพ่อของตนเองแนะนำมาอีกที

              การที่ต้องสละเวลาที่มีค่ากับเรื่องไร้สาระกับเรื่องเช่นนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจ จึงได้แยกตัวออกมาในตอนที่อีกฝ่ายเผลอ

              เขาเดินมาเรื่อยๆจนถึงโซนของเล่นเด็กทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมาทำไม แต่พอเห็นของเล่นเด็กพวกนี้วูบหนึ่งก็ทำให้เขานึกถึงเด็กแฝดที่เจอในงานเลี้ยงขึ้นมาทันที ความถูกชะตาที่เขาเฝ้าย้ำว่าเป็นการคิดไปเองทำให้เขาส่ายหน้า แต่พลันราวกับโชคชะตาเล่นตลกเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับเด็กแฝดที่เขากำลังคิดถึง แต่ครั้งนี้เด็กแฝดที่ว่ากลับมีเพียงคนเดียว

              เขาเฝ้ามองร่างอ้วนท้วนของเด็กน้อยพยายามกระโดดเพื่อที่จะหยิบกล่องหุ่นยนต์บนชั้นวาง เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อร่างป้อมๆนั้นยิ่งพยายามเท่าไรก็ทำไม่ได้สักที

              “อยากได้อันนี้ใช่ไหม”ส่วนลึกที่อยู่ในจิตใจสั่งให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้กับเด็กน้อยแล้วถามออกไป

              “คุณยุงงงงงง”

              เขาไม่ได้หวังจะให้เด็กคนนี้จำเขาได้ ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกมันรู้สึกวูบวาบขึ้นมาแปลกๆจนเขาเองก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เลย

              “ว่าไงล่ะ เธออยากได้ใช่ไหม”

              “ฮับ”ปลากริมพยักหน้าเร็วรัวให้กับคำถาม

              “แล้วคนน้องล่ะ”ถามพลางยื่นกล่องหุ่นยนต์ให้

              “อยู่กับปะป๊าฮับ”เจ้าตัวรับไปกอดแนบอกแล้วยิ้มจนตาหยี

              “แล้วปะป๊าของเธออยู่ไหนล่ะ”

              ถามพลางมองดูเจ้าตัวส่ายหน้ามึนงงแล้วหันซ้ายหันขวา ดูท่าเจ้าตัวดีคงจะหลงทางกับพ่อของตัวเองมาสินะ

              “ปะป๊าหาย”คราวนี้เจ้าตัวเริ่มเบ้ปากเมื่อมองหาใครไม่เจอ

              “ปะป๊าเธอไม่หายไปไหนหรอก เดี๋ยวก็คงจะมาเอง”ปิญญ์ชานนท์พูดปลอบออกไปไม่รู้ตัว

              “จริงเหรอฮับ”คราวนี้ตาคู่กลมโตใสแจ๋วราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้ทำท่าจะร้องไห้

               “อืม”

               “นี่ คุงยุงฮับ”

              “มีอะไร”ถามเมื่อมือป้อมกระตุกมือของเขาเบาๆ

              “คือว่า…เอาอีกอันได้ไหมฮับ”

              “จะเอาไปทำอะไรตั้งสองตัว”

              “เอาให้น้องหลิ่มฮับ แบ่งกันคนละตัว มีเหมือนกันได้รักกัน”เสียงใสตอบพลางยิ้มกว้างโชว์เหงือกสีสด

              ปิญญ์ชานนท์เหลือบไปดูบนชั้นวางเพื่อที่จะหยิบเพิ่มอีกตัวแต่ก็ไม่มีหุ่นยนต์ตัวที่เหมือนกันเหลืออยู่แล้วเขาจึงส่ายหน้าตอบเด็กชายเบาๆ

              “มันเหลืออยู่แค่ตัวเดียว”

              คำตอบของเขาทำเอาเจ้าตัวหน้ากลมมุ่ยหน้าก่อนจะส่งหุ่นยนต์คืนให้

              “งั้นไม่เอาแล้วฮับ ถ้าน้องหลิ่มไม่ได้ กิมก็ไม่เอา”

              “’ถ้าอย่างนั้นเธอจะลองเลือกตัวอื่นดูไหมล่ะ ฉันจะซื้อให้”

              “จริงเหรอฮับ”ตาคู่กลมลุกวาว

              “อืม”

              “ขอบคุงฮับคุงยุง”ปลากริมยกมือไหว้แล้วก้มตัวเก้าสิบองศา

นั่นให้ชายหนุ่มอย่างปิญญ์ชานนท์ชะงักเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดที่จะต้องการได้คำขอบคุณอะไรจากเด็กคนนี้สักนิด

              เขาไม่เคยทำอะไรเพียงเพื่อที่จะได้รับแค่คำขอบคุณ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เขาทำคือการหวังผลตอบแทน

              “งั้นเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะเอาตัวไหน”

              มันก็ไม่เลวนักกับการใช้เวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์เพื่อทำอะไรที่ไม่เคยทำ ทำในสิ่งที่ไม่ได้อะไรเลยนอกจากคำขอบคุณจากเด็กที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน

 

              ------------------------------------------------

 

              ทางด้านของขนมผิงในฐานะผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารคนใหม่ของมณีรัตน์ แน่นอนว่าย่อมเป็นที่จับตามองและน่าสนใจจากหลายๆฝ่าย

              ข่าวลือมากมายที่เกี่ยวกับตัวของเขาได้แพร่กระจายไปทั่วอย่ารวดเร็ว หลายคนพยายามที่จะขุดค้นประวัติจนลุกลามไปถึงประวัติของลำดวนแม่ของเขา บางคนก็คาดเดาต่างๆนานาว่าแม่ของเด็กแฝดที่ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน บางข่าวลือก็บอกว่าแม่ของเด็กๆเสียชีวิตไปแล้ว หรือไม่ก็ถูกทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียว

              แต่นั่นขนมผิงไม่ได้ใส่ใจกับข่าวลือพวกนั้นเลย กลับกันเขากลับพึงพอใจที่ข่าวลือพวกนั้นกำลังลบล้างตราบาปที่ติดตัวแม่ของเขามานาน  ยิ่งถูกขุดคุ้ยเท่าไรตรานั้นมันก็ยิ่งลบเลือนไปมากเท่านั้น

              ตราบใดที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนอุ้มท้องเด็กๆเขาก็จะไม่สนใจว่าใครกำลังพยายามขุดคุ้ยเรื่องพวกนั้น

              “ปลากริมอย่าไปไกลนะครับ อยู่ใกล้ๆปะป๊าไว้”ขนมผิงว่าพลางเลือกซื้อผลไม้ระหว่างทางกลับบ้านตามที่แม่ของเขาได้สั่งเอาไว้

              เจ้าตัวเล็กคนพี่เดินตามพลางเกาะชายเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ตาก็มองไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น และถึงแม้เด็กแฝดจะเกิดมาพร้อมๆกันแต่อุปนิสัยบางอย่างมันก็ค่อนข้างจะต่างกัน

              คนพี่ชอบที่จะเดินเองมากกว่าเพื่อที่จะมองไปรอบๆ แต่คนน้องชอบที่จะนั่งบนรถเข็นหรือให้อุ้มเพราะมักจะรักสบายและให้คนอื่นเอาใจ

              โชคดีที่เด็กๆค่อนข้างจะสงบเพราะเขาตกลงที่จะซื้อของเล่นใหม่ให้ถ้าเด็กๆไม่ดื้อหลังจากที่พึ่งจะผ่านล็อคของเล่นมาได้อย่างทุลักทุเล

              ในขณะที่ขนมผิงกำลังเลือกผลไม้อยู่นั่งเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าตอนนี้ข้างๆตนเองไม่มีเจ้าตัวเล็กอยู่แล้ว พลันหัวใจก็ราวกับตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

               “สลิ่มครับ!! ปลากริมไปไหน สลิ่มเห็นบ้างไหมครับ”ความตกใจทำให้ถามลูกชายคนเล็กออกไปด้วยความกระตือรือร้น

              “หลิ่มไม่เห็นฮับ ไม่รู้พี่กิมไปหนาย”สลิ่มส่ายหัว คำตอบขอลูกชายคนเล็กยิ่งทำให้ร้อนรน

 

              ขนมผิงเข็นรถเข็นเดินตามหาลูกชายคนโตจนทั่วอย่างกระวนกรวายใจ ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาเมื่อก่อนหน้านั้นเขากับเด็กๆผ่านล็อคของเล่นที่อยู่ไม่ไกลจากแผนกของสดเท่าไร บางทีปลากริมอาจจะเดินย้อนไปที่นั่น

              ในเวลานี้เขารู้สึกแทบบ้าเลยทีเดียว ร่างสูงโปร่งวกรถเข้าไปในล็อคขายของเล่นอย่างรีบร้อน แต่แล้วสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาหัวใจของแทบแหลกสลาย

              ความเป็นแม่ทำให้เขาปรี่เข้าหาทันทีเมื่อเห็นลูกชายอยู่กับผู้ชายที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี

              “คุณปิญญ์!!”ขนมผิงเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ

              และดูเหมือนปิญญ์ชานนท์เองก็ตกใจไม่แพ้กันเมื่อมองเห็นเด็กแฝดคนน้องอีกคนอยู่ในรถเข็นของขนมผิง

              ตอนนี้ความคิดของขนมผิงราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด ตาคู่สวยจ้องมองพ่อที่แท้จริงของลูกกำลังจับแขนลูกชายคนโตเอาไว้ เขาแทบอยากจะเข้าไปทุบตีอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาลูกไปจากตน

              “ปะป๊า”ปลากริมเรียกด้วยความดีใจ แต่นั่นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วมองขนมผิงด้วยความประหลาดใจทันที

               “คุงยุง”สลิ่มเรียกปิญญ์ชานนท์ราวกับว่าคุ้นเคย

              มันหมายความว่ายังไงกันแน่!! กับท่าทีของเด็กๆที่มีต่อปิญญ์ชานนท์

              “คืนปลากริมมาให้ผม!!”

              “แล้วทำไมฉันต้องส่งเด็กนี่ให้นายล่ะ เด็กนี่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนายกัน”อีกฝ่ายตอบกลับมา

              รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้นทำให้ขนมผิงแทบคลั่ง เขาหวงลูกจนอยากจะตรงเข้าไปกระชากดึงเอาลูกแย่งกลับคืนมาจากอีกฝ่าย ทว่าเขาไม่ต้องการให้ลูกๆของเขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

              “ส่งเขาคืนให้ผมด้วยครับ”

              “ปะป๊า คุณยุงจะชื้อของเล่นให้กิมด้วย”ปลากริมเรียกซ้ำ แล้วกระชับมือที่ถูกมือใหญ่จับเอาไว้แน่น

              คำแทนตัวที่ปลากริมใช้เรียกขนมผิงนั้นทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเหยียดหยามทันที

              “ไม่คิดจะแนะนำให้ฉันรู้จักสักหน่อยเหรอ”

              “หวัดดีฮับคุณยุง”สลิ่มยกมือไหว้ยิ่งทำให้ขนมผิงแน่ใจได้ทันทีว่าเด็กๆเคยเจอกับปิญญ์ชานนท์มาก่อน

              “ไม่จำเป็น แค่คุณคืนปลากริมมาให้ผมก็พอ”

              บอกก่อนจะตรงเข้าหาลูกชายคนโตเพื่อที่จะแย่งกลับคืนมา ทว่าร่างสูงก็เบี่ยงตัวมาบังเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปใกล้ได้มากกว่านี้ ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งวางลงบั้นเอวของขนมผิงด้วยการอาศัยจังหวะที่เผลอ

               “คุณจะทำอะไร!!”ปัดมือนั้นออกแทบจะทันที

              “เด็กๆเป็นลูกนายอย่างนั้นเหรอ ไม่ยักรู้ว่านายมีลูกแล้วโตขนาดนี้แล้ว”ว่าก่อนจะมองมาที่ขนมผิงหัวจรดเท้า

              ใบหน้าคมคายห่างจากใบหน้าเกลี้ยงเกลาเพียงแค่คืบ ลมหายใจที่เป่ารดลงมานั่นสร้างความอึดอัดและความกลัวให้กับขนมผิงได้เป็นอย่างดี

              “นั่นมันเป็นเรื่องของผม คืนลูกของผมมาเดี๋ยวนี้!!”มันแทบจะทนไม่ไหวแล้วที่เขาจะพูดดีกับอีกฝ่ายต่อหน้าเด็กๆ

              “ฉันชักอยากรู้แล้วสิว่าใครกันที่เป็นแม่ของเด็กๆ”

              “ผม บอก ให้ คืน ลูก ผม มา”กดเสียงต่ำเน้นออกไป

              “ขอร้องฉันสิ แล้วฉันจะคืนเด็กๆให้…..แต่ก่อนอื่น”พูดเว้นเอาไว้ให้ขนมผิงต้องถามกลับ เขาไม่อยากที่จะให้เด็กๆอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายนานไปกว่านี้ “บอกฉันมาก่อนสิ ว่าใครเป็นแม่ของเด็ก”

              “จะเป็นใครก็ไม่สำคัญในเมื่อเธอไม่อยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจ”

              “จะไม่สนใจได้ยังไงในเมื่อนายเองก็เคยบอกว่านายท้องกับฉัน แล้วสามปีให้หลังนายกลับโผล่มาพร้อมกับเด็กๆ นายจะให้ฉันคิดยังไงดีล่ะขนมผิง ดูท่าทางเด็กสองคนนี้ก็คลับคล้ายคลับคลากับฉันอยู่นะ หรือว่าไม่จริง?”

              “ปลากริมกับสลิ่มไม่ใช่ลูกของคุณ!! เด็กสองคนนี้ไม่มีวันจะเป็นลูกของคุณ!! คุณไม่เชื่อนี่ว่าผมท้อง ใช่แล้ว!! สามปีที่ผ่านมาผมโกหกคุณพอใจรึยัง เพราะฉะนั้นคืนลูกมาให้ผมได้แล้ว!!”

              พูดออกไปด้วยความโมโห ใจของเขาร้อนรนด้วยกลัวว่าถ้าหากอีกฝ่ายรู้แล้วจะมาแย่งลูกเอาไป ร่างสูงโปร่งพยายามจะเบี่ยงตัวเพื่อแย่งตัวลูกชายคนโตคืน แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไรอีกฝ่ายก็ยิ่งใช้ตัวเป็นโล่กำบังซ่อนลูกชายของเขาเอาไว้ด้านหลัง

              “นายนี่มันไร้ค่าไม่เปลี่ยนจริงๆ นายจะให้ฉันคืนเด็กให้นายทั้งที่นายปล่อยให้เด็กเดินหลงมาคนเดียวเนี่ยนะ ยังมีหน้าจะมาขอเด็กนี่คืนอีกรึไง”

              “แล้วมันยังไงล่ะ ยังไงเขาก็เป็นลูกของผม คุณไม่มีสิทธิจะมายุ่งกับเขา คุณไม่มีสิทธิแม้แต่จะแตะต้องเขาด้วยซ้ำ”

              ขนมผิงพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น มือทั้งสองข้างกำลังสั่นเทาอย่างไม่อาจจะควบคุม ความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายกำลังจะแย่งลูกไปทำให้คิดอะไรไม่ออก

              “ได้โปรด คืนลูกมาให้ผม ”

              ขนมผิงยอมข้อร้องทั้งที่ไม่ต้องการจะให้มันเป็นอย่างนั้น เขาต้องการที่จะปกป้องเด็กๆจากน้ำมือของพ่อที่แท้จริง มันเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วสำหรับเขาตอนนี้

              “หึ! ไม่คิดว่านายจะเป็นถึงขนาดนี้นะขนมผิง ยังไงซะความไร้ค่าของนายมันก็ไม่ได้หายไปเหมือนกับที่นายหายไปสามปีสินะ”

               “คุณยังต้องการอะไรอีกในเมื่อผมขอร้องคุณไปแล้ว อีกอย่างหากคุณยังมีจิตสำนึกพอ อย่าได้พูดเรื่องพรรค์นี้ต่อหน้าเด็กๆ”

              “แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่นายขอล่ะ มันน่าน้อยใจออกไม่ใช่รึไงที่เมียตัวเองดันหนีหายไปสามปีแล้วไปมีชู้จนลูกโตขนาดนี้”

              ผลั่ก!!

              หมดสิ้นกับความอดทนที่มีอยู่ ขนมผิงผลักอกอีกฝ่ายจนเซถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วเค้นเสียงบอกออกไปราวกับงูที่กำลังหวงไข่

              “อย่าได้มาพูดเรื่องนี้กับผมอีก”แต่ก่อนทีเรื่องจะเริ่มยุ่งไปมากกว่านี้เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวก็ดังขึ้นแทรกสถานการณ์

              “อะไรกัน!! มีอะไรกันรึเปล่าคะ”

              “ไม่มีอะไรหรอก คนรู้จักน่ะ…รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ”ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้ขนมผิงได้ดึงปลากริมกลับไป

              ขนมผิงปรายตามองอีกฝ่ายด้วยความแค้นเคือง ใครกันแน่ที่สมควรจะถูกกล่าวหาด้วยถ้อยคำดูถูกในเมื่ออีกฝ่ายนั้นกำลังกำลังควงแขนอยู่กับผู้หญิง

              เขาอุ้มปลากริมใส่รถเข็นให้อยู่กับสลิ่มก่อนจะเข็นรถกลับไป เขาไม่แม้จะหันกลับมามองว่ากำลังมีสายตาคู่หนึ่งมองตามตนเองด้วยแววตาที่แตกต่างออกไปจนลับสายตา

 

              ---------------------------------------------------------

 

 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-10-2015 17:45:52
ผิงเป็นนานเอกที่เข้มแข็งมาก ชอบๆ o13
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 18-10-2015 18:17:59
ก่อนที่จะว่าคนอื่นก็ย้อนดูตัวเองเสียมั่งนะคะคุณพระเอก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 18-10-2015 18:34:09
อยากรู้จังตอนผิงขึ้นเป็นผู้บริหารข้างศัตรูนี่ปิญญ์จะอกแตกตายไหม เชียร์ผิงเต็มที่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 18-10-2015 19:40:19
มารอดูว่าปิญญ์จะเปนไงถ้ารู้ว่าผิงแท้จริงแล้วคือใคร
อยากให้อกแตกตายไปเลย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 18-10-2015 21:11:48
รอดูขุ่นพระเอกอกแตกตาย
เลวยังไงก็ยังงั้นเลย คิดว่าเงินเปนทุกสิ่งเหรอ แหม เด๋วให้ผิงจัดหนักให้เปนบ้าไปเลย
เด็กๆก็น่าร๊ากกก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 18-10-2015 21:54:37
ล้มเขาให้ได้นะผิง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 18-10-2015 23:00:18
คนพ่อนี่ปากแข็ง แต่ใจก็ตามหา
ผิงเล่นตัวเยอะๆ แก้แค้นกลับบ้างเลย เอาให้รู้สึก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 ค่าของเงิน❖ 18/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 19-10-2015 02:59:22
6 ชะล่าใจ

              “เข้ามาได้”

              เสียงทุ้มลึกไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดใดของเจ้าของบอกอนุญาตเลขาคนสนิท

              “มีอะไรคืบหน้าบ้างไหมเกี่ยวกับข้อมูลของเด็กสองคนนั้น”

              “ครับ ตามที่ผมลองค้นข้อมูลดูคร่าวๆ ดูเหมือนว่าในระบบข้อมูลที่เราสามารถเข้าถึงได้ในตอนนี้จะไม่มีข้อมูลระบุเอาไว้เลยว่าใครเป็นแม่ของเด็กแฝดทั้งสองคน และอีกอย่างผมได้สืบทราบมาว่า เด็กทั้งสองคนได้รับสัญชาติอังกฤษ ทั้งที่มีเชื้อชาติเป็นคนไทย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นถึงแม้ว่าเด็กจะเกิดที่อังกฤษก็ตาม”

              “เป็นไปได้ยังไงกันในเมื่อเด็กทั้งสองคนมีเป็นคนไทย ทำไมถึงได้รับสัญชาติอังกฤษได้”ถามพลางครุ่นคิด คนอย่างขนมผิงไม่มีปัญญาที่จะทำให้ลูกชายทั้งสองคนมีสัญชาติอังกฤษได้ง่ายๆแน่

              “ผมรู้มาแค่ว่าทางสถานทูตได้อนุมัติเป็นกรณีพิเศษแต่ข้อมูลไม่ได้ถูกระบุเอาไว้ว่าเป็นเพราะอะไร ดูเหมือนจะเป็นความลับของทางสถานทูตนะครับ แล้วอีกอย่าง…”

              “อีกอย่างอะไร”ปิญญ์ชานนท์เลยหน้าขึ้นมามองเลขาหนุ่ม

              “ดูเหมือนว่าข้อมูลหลายๆอย่างที่ก่อนหน้านี้พยายามตามหากำลังค่อยๆถูกเปิดเผยเหมือนกับมีคนจงใจจะทำให้มันเป็นอย่างนั้น แล้วผมได้ทราบมาอีกว่าเมื่อสามปีที่แล้วคุณขนมผิงได้เปลี่ยนนามสกุลจากวารีจินดาเป็นมณีรัตน์ แต่ด้วยเหตุผลอะไรตอนนี้ทางเรายังตามสืบกันอยู่ คาดว่าทางนั้นน่าจะเปิดเผยข้อมูลออกมาเรื่อยๆ”

              “ทำไมมันถึงได้ง่ายดายผิดปกติล่ะ”

              อะไรบางอย่างมันกำลังบอกถึงความไม่ชอบมาพากลที่ขนมผิงเปลี่ยนนามสกุลเป็นมณีรัตน์ แล้วที่บอกกับเขาว่าท้องก่อนที่จะหายตัวไปคืออะไรกัน กับกว่าสามปีที่อายุเทียบเท่ากับของเด็กๆ

              มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยรึไงที่ข้อมูลพวกนี้มันได้มาอย่างง่ายดายราวกับถูกจับมากองเอาไว้ตรงหน้า ยังไงซะเขาต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคนชั้นต่ำไร้ค่าถึงได้มีเกราะป้องกันตัวอย่างดีคอยโอบอุ้มเอาไว้ได้

              ปิญญ์ชานนท์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหาน้องชายด้วยท่าทีนิ่งเฉย โชคดีที่น้องชายของเขาไม่ได้เข้าเวรเขาจึงมีโอกาสได้ถามอีกฝ่ายทันทีในตอนที่อีกฝ่ายกดรับสาย

              ‘ว่าไงครับพี่ปิญญ์  โทรมาหาผมมีอะไรเหรอครับ ปกติไม่เคยเห็นโทรมา’ฝ่ายนั้นกรอกเสียงลงมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกได้ชัดเจนว่ากำลังข้องใจ

              “ฉันมีเรื่องอยากจะถามอะไรนายสักหน่อย”

              ‘ถามอะไรเหรอครับ’

              “นายเคยบอกฉันว่าที่ขนมผิงหายไปน่ะ เขาไปเรียนต่อใช่ไหม”

              ‘ครับเห็นว่าไปเรียนต่อ ว่าแต่พี่ปิญญ์ถามทำไมครับ’

              “เปล่าหรอก ฉันแค่อยากจะรู้เฉยๆว่าขนมผิงไปเรียนต่อที่ประเทศอะไร”ปิญญ์ชานนท์ถามพลางนึกเคืองที่น้ำเสียงน้องชายดูเปลี่ยนไปทันทีที่พูดถึงขนมผิง

              ‘ตามที่ขนมผิงบอกผมก็ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษน่ะครับ พี่ปิญญ์มีอะไรรึเปล่า’

              “เปล่าหรอก ฉันแค่อยากรู้ ”ปิญญ์ชานนท์ตัดสายพลางยกยิ้มมุมปาก อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น

              “มาลิศ ฉันมีอะไรอยากจะให้ทำเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่ง”ปิญญ์ชานนท์หยิบใบรับรองแพทย์ที่เคยรับมาจากขนมผิงออกมาจากลิ้นชัก

              “อะไรเหรอครับ”มาลิศเลขาหนุ่มถามด้วยสีหน้าฉงน

              “นายช่วยติดต่อนัดพบแพทย์คนนี้ให้ฉันหน่อยสิ”ปิญญ์ชานนท์เลื่อนกระดาษที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดีให้กับเลขาหนุ่ม

              “นี่มัน”มาลิศเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อหยิบยกเอกสารแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านคร่าวๆเพื่อเก็บข้อมูล

              “ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าข้อมูลในนั้นเป็นของจริงรึเปล่า ฉันต้องการคุยกับแพทย์คนนั้นเป็นการส่วนตัว”ปิญญ์ชานนท์จ้องมองไปที่แผ่นกระดาษนิ่ง

              ไม่ว่าจะอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาหลังจากที่ขนมผิงได้ปรากฏตัวขึ้น

              “ครับ ผมจะลองติดต่อแพทย์คนนี้ดู ถ้าได้เรื่องยังไงผมจะนัดพบให้คุณได้คุยกับเขาเป็นการส่วนตัว”มาลิศพูดจบก็ยื่นเอกสารแผ่นสำคัญคืนเจ้านาย

              “ฝากด้วยล่ะ ฉันต้องการจะคุยกันแพทย์คนนี้ให้เร็วที่สุด”

              มือใหญ่เอื้อมหยิบใบรับรองแพทย์ขึ้นมาดูอีกครั้ง ความข้องใจที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในใจยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นและกำลังก่อกวนจิตใจของเขา เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าแท้จริงแล้วแม่ของเด็กแฝดสองคนนั้นคือใคร ใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกับเขาทำให้เขาอดที่จะสงสัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ขนมผิงเคยบอกไว้ก่อนหน้าก่อนที่จะหายตัวไปไม่ได้เลย

              “แล้วก็ ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องเรียนให้คุณได้ทราบนะครับ”

              “เรื่องอะไร”ปิญญ์ชานน์ประสานมือแล้วเท้าศอกเอาไว้บนโต๊ะ ถามเลขาคนสนิท ตอนนี้จิตใจของเขามันว้าวุ่นเมื่อกำลังนึกถึงแต่เรื่องของขนมผิง

              “นี่เป็นข้อมูลราคาหุ้นที่ฝ่ายการตลาดคาดคะเนราคาหุ้นของเราเอาไว้ล่วงหน้าประจำไตรมาศที่จะถึงนี้ครับ”มาลิศยื่นแฟ้มเอกสารให้เจ้านาย

              “มีอะไรทำไมฉันถึงดูเร่งด่วน ปกติไม่เห็นมีอะไรมีปัญหานี่”ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วแล้วรับเอาแฟ้มมาเปิด

              ปกติแล้วราคาหุ้นของอนันตไพลินจะอยู่ในอันดับต้นของตลาดสิ่งทออยู่แล้วไม่มีอะไรที่ต้องกังวล ศักยภาพของลูกค้าและความเชื่อถือในตัวขององค์กรมีมากพอที่จะไม่ต้องไปกระตุ้นหรือเร่งอะไรเพราะมันได้อยู่ในจุดสูงสุดอยู่แล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่ประคับประคองมันตามที่เคยทำ

              “ทางฝ่ายการตลาดเขาคะเนราคาหุ้นของเราว่าจะตกลงไปอาจจะสองถึงห้าเปอร์เซ็นต์น่ะครับ”เลขาหนุ่มเกริ่น

              “มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกัน ตลาดหุ้นก็ปกติดีไม่มีอะไรผันผวนหรือมีแววที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของเราแล้วทำไมทางฝ่ายการตลาดถึงได้คะเนราคาหุ้นของทางเราว่าจะตกลงมาได้”ปิญญ์ชานนท์ถาม

              น้ำเสียงเริ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจในการคะเนราคาหุ้นของไตรมาศที่จะถึง มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อราคาหุ้นของอนันตไพลินอยู่ในอันดับหนึ่งมาตลอดในบรรดาธุรกิจสิ่งทอ

              “ตามที่รับรายงานมา ดูเหมือนว่ามณีรัตน์กรุ๊ปจะมีโปรเจ็คใหม่เกี่ยวกับการเปิดตลาดแบรนด์ระดับโลกที่ลอนดอนเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาครับ นั่นอาจทำให้ราคาหุ้นสิ่งทอผันผวนไปมาก แนวโน้มราคาหุ้นของมณีรัตน์มีสิทธิเพิ่มขึ้นมา แต่นั่นเป็นเพียงแค่การคาดคะเนของฝ่ายการตลาดของเราเท่านั้นครับ”

              “หึ ตลาดใหม่งั้นเหรอ แค่ของพรรค์นั้นมันจะทำให้ราคาหุ้นของอนันตไพลินตกไปได้ยังไงกัน ยังไงซะฐานลูกค้าและความน่าเชื่อถือของเราก็ยังมั่นคงอยู่แล้ว ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามณีรัตน์กรุ๊ปนั่นจะขึ้นมาเทียบอนันตไพลินได้ ไม่มีทาง!”

              ปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้มอย่างเหยียดหยามเมื่อนึกถึงคู่แข่งที่เล่นไม่ซื่อส่งคนเข้ามาดึงข้อมูลเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นผู้หญิงทรยศซึ่งเป็นแม่ของเด็กคนนั้น เด็กคนที่ทำให้เขาต้องเสียเวลาตามหามาถึงสามปีเต็ม และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่แน่ที่จู่ๆราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทคู่แข่งจะเกิดผันผวนขึ้นมา

              “เอาเป็นว่านายส่งคนไปคอยตามขนมผิงให้ดี คอยดูว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับมณีรัตน์กรุ๊ปบ้างไหม ได้เรื่องอะไรแล้วมารายงานฉันด้วยล่ะ”

              “ครับ”มาลิศรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องไป

 

              -------------------------------------------------

 

              “รายงานการคาดเดาราคาหุ้นล่วงหน้าจากฝ่ายการตลาดมาแล้วนะครับคุณผิง”แทนทัพยื่นแฟ้มเอกสารให้หลังจากที่ขนมผิงเพิ่งจะกล่อมเด็กๆให้นอนหลับอยู่ในคอกที่กั้นเอาไว้ให้เจ้าตัวโดยเฉพาะ

               “ขอบคุณ”

              “หลับกันแล้วเหรอครับ”แทนทัพถามพลางจ้องมองเด็กๆอย่างเอ็นดู

              มันทำให้วูบหนึ่งขนมผิงนึกถึงปิญญ์ชานนท์ขึ้นมา หากอีกฝ่ายมีความเป็นห่วงเด็กๆแบบนี้ก็คงจะดี ว่าแล้วก็ส่ายหัวเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดฟุ้งซ่าน

              “เป็นอะไรไปครับ”แทนทัพถามเมื่อเห็นขนมผิงส่ายหัวไปมา

              “เปล่าหรอก แค่ง่วงนิดหน่อย สงสัยจะกล่อมเด็กๆเพลิน กว่าเด็กๆจะหลับก็เล่นเอาง่วงตามเลยล่ะ”บอกปัดไปพลางยันตัวขึ้นลุก

              แต่ด้วยความที่นั่งนานไปหน่อยเลยทำให้ขาชาและเสียหลัก ดีที่แทนทัพคว้าเอาไว้ทันไม่อย่างนั้นเขาคงจะล้มลงไปบนพื้นแน่

              “ระวังหน่อยสิครับ ถ้าล้มลงไปจะแย่เอา”แขนแข็งแรงโอบเอวสอบเอาไว้แน่น

              “อะ เอ่อ ปล่อยเถอะ”ขนมผิงบอกก่อนจะดันอกอีกฝ่ายออกเมื่อความใกล้ชิดมันทำให้เขาอึดอัด

              “ครับ ขอโทษที่ผมเสียมารยาท”

              “ผมว่าเราไปคุยเรื่องราคาหุ้นกันดีกว่า”ขนมผิงบอกก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

 

              “แผ่นแรกจะเป็นข้อมูลของปัจจุบันเปรียบเทียบระหว่างเรากับอนันตไพลินกรุ๊ป ส่วนแผ่นที่สองจะเป็นการคาดเดาแนวโน้มการผันผวนของราคาหุ้นของทั้งสองฝ่ายในไตรมาศที่จะถึงนี้ครับ”แทนทัพอธิบาย

              “นี่มันแค่สองถึงห้าเปอร์เซ็นต์เอง ทำไมแนวโน้มราคาหุ้นถึงได้เพิ่มขึ้นแค่นี้ล่ะ ที่ผมคาดเอาไว้มันน่าจะสูงกว่านี้”

              “ผมคิดว่าทางการตลาดของอันตไพลินมั่นคงอยู่พอตัว ฐานของลูกค้าทางฝั่งนั้นเลยค่อนข้างที่จะมีความมั่นใจกับทางนั้นมากกว่าน่ะครับ”

              “มันต้องมีทางให้มันได้มากกว่านี้สิ”ขนมผิงบอกพลางครุ่นคิด

              แบบนี้มันช้าไป เขาต้องการที่จะล้มยักษ์ปักหลั่นตัวนั้นให้ได้ แต่ดูเหมือนว่ามันค่อนข้างจะยากพอตัวเลยล่ะ

              “นี่เป็นแบบการประเมิณราคาหุ้นหลังจากจบคอลเล็คชั่นในซัมเมอร์นี้ครับ แต่ถ้าทางเราได้เซ็นสัญญาระยะยาวผมเชื่อว่าราคาหุ้นของเราอาจจะพุ่งขึ้นมาสูงเทียบเท่าของอนันตไพลินได้”

               “จริงสิ เรายังไม่ได้เซ็นต์สัญญากับM Techเลยนี่นะ”คำตอบของแทนทัพทำให้ขนมผิงยกยิ้ม

              “หากเราได้เซ็นต์สัญญาเมื่อไร ผมว่าบางเปอร์เซ็นต์ที่ราคาหุ้นของเราจะเทียบเท่าฝ่ายนั้นจะมีสูงขึ้นเป็นเท่าตัวนะครับ”

              “ดี งั้นติดต่อไปทางต้นสังกัดของM Tech ว่าทางเราต้องการเซ็นต์สัญญาระยะยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเรื่องสินค้าทางเราจะลดราคาให้เป็นพิเศษหากทางนั้นเลื่อนระยะเวลาการร่างสัญญาให้เร็วขึ้น”

              “ครับ แล้วผมจะติดต่อฝ่ายนั้นให้เร็วที่สุด”แทนทัพรับคำก่อนจะหันหลังเดินออกไป

              “อ้อ ผมมีเรื่องจะรบกวนคุณแทนทัพอีกอย่าง”เรียกเอาไว้ให้แทนทัพหันกลับมา

              “ครับ”

              “ผมต้องการพี่เลี้ยงเด็กที่ไว้ใจได้สักสองคน”

              “ทำไมจู่ๆถึงอยากได้พี่เลี้ยงเด็กล่ะครับ ที่ผ่านมาคุณเองก็เอาแต่ยืนยันว่าจะเลี้ยงเองตลอด”

              “ผมก็อยากจะเลี้ยงเองอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้ผมอยากจะทุ่มเททุกอย่างให้กับงานมากกว่า”

              และที่สำคัญ เขากลัวว่าจะเผลอเปิดโอกาสให้ปิญญ์ชานนท์เข้าใกล้ลูกๆได้อีกเหมือนกับครั้งที่แล้ว

              “ถ้าอย่างนั้นผมจะลองหาให้ดูนะครับ แต่ไม่มั่นใจว่าจะได้ในเร็ววัน การที่จะหาใครที่ไว้ใจได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ”

               “ไม่เป็นไร เอาตามที่คุณคิดว่าดีก็พอแล้วล่ะ”

 

              -------------------------------------------------------

 

              “ปลากริมสลิ่ม ตื่นได้แล้วครับ วันนี้เราจะไปคอนโดกัน”

               “ห๊าววว อารายนะฮับ ไปคอนโดเหรอฮับปะป๊า”เจ้าตัวกลมผิวเข้มคนพี่ผงกหัวขึ้นมาขยี้ตามองงัวเงีย

              “ครับไปคอนโด”

              “ทำไมวันนี้ไปคอนโดล่ะฮับ”สลิ่มงัวเงียตามมาติดๆ

              “ไม่อยากไปเหรอ แต่ว่าถ้าใครได้ไปแล้วจะได้กินไอติมนะครับ”

              “จริงเหรอฮับ!!”

              “ปะป๊าไม่หลอกนะฮับ”

              “จริงครับ ปะป๊าไม่หลอก”

              “งั้นกิมไปฮับ ไปคอนโดปะป๊า”

              “หลิ่มก็ไปด้วย ไปคอนโดปะป๊าด้วยเหมือนกัน”

              “ถ้างั้นก่อนอื่นเราไปล้างหน้ากันก่อนดีกว่า ไหนวันนี้ใครอยากกินอะไรบ้างลองบอกปะป๊ามาสิครับ”

              “อยากกินต้มจืดฮับ”คนพี่ยกมือตอบเสียงใส

              “แล้วสลิ่มล่ะ”ขนมผิงหันไปถามเจ้าตัวแสบคนเล็กที่กำลังนั่งทำหน้ามุ่ย

              “หลิ่มไม่อยากกินผัก”

              “ไม่ได้นะครับ ถ้าไม่กินผักจะไม่แข็งแรงแล้วก็ตัวเล็ก ไม่อยากแข็งแรงแล้วตัวโตเหมือนพี่ปลากริมเหรอครับ”

              “ช่ายๆ พี่กิมกินผักเ แข็งแรงที่ซู๊ดดดด”สลิ่มเบ่งกล้ามโชว์ให้ขนมผิงอดยิ้มตามไม่ได้

              “แต่มันไม่อร่อยเลยนะ”

              “แต่จะไม่แข็งแรงเหมือนพี่กิมนะ”

              “งือ ก็ได้ กินต้มจืดแบบพี่กิมก็ได้ แต่หลิ่มอยากกินกุ้งทอดด้วยได้ไหมฮับปะป๊า”

              “ได้ครับ แต่ว่าทั้งสองคนต้องช่วยปะป๊าทำกับข้าวด้วยนะครับ”

              “เย้ กิมช่วยปะป๊าทำกับข้าว”เจ้าตัวโตกว่ากระโดดขึ้นมากอดคอให้เขาได้เซ

              “หลิ่มก็จาช่วยฮับ”เจ้าตัวเล็กก็ไม่แพ้กัน ขนมผิงเกือบจะเซหงายหลังเมื่อสองแสบโถมตัวเข้ามากอดคอเขาแน่น

              ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะโตไวจนเขาเริ่มจะตั้งรับการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบแทบไม่ไหวเลยล่ะ ขนมผิงยิ้มให้กับความแสบของลูกแฝด

 

              -------------------------------------------------------------------

 

              ระหว่างทางขนมผิงได้แวะซื้อของสดก่อนจะมาถึงคอนโด ตาคู่สวยปรายตามองเด็กๆที่แบ่งกันช่วยถือของเบาๆเดินนำเขาเข้าไปในตัวตึก ริมฝีปากเล็กๆยิ้มโชว์เหงือกสีสดให้กับคนที่เดินผ่านไปมาอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าระหว่างที่กำลังเดินผ่านล็อบบี้ชั้นล่างขนมผิงก็ต้องชะงักเมื่อถูกเรียกเอาไว้

              “ผิง!! พี่ว่าจะโทรหาอยู่พอดีเลยล่ะ”

              เสียงเรียกที่ทำให้ขนมผิงตกใจแล้วหันไปมองเป็นใครไม่ได้นอกจากคุณวุฒิ

              “พี่วุฒิ”

              “พอดีพี่ผ่านมาก็เลยว่าจะมาทักทายน่ะ”คุณวุฒิตอบ ภายใต้แว่นสายตาดวงตาของเขากับลังเป็นประกายด้วยความดีใจ

              แต่กลับขนมผิงแล้วมันกลับตรงกันข้ามเลยในเมื่อคุณวุฒิมาหาเขาที่นี่โดยไม่ได้บอกกล่าว และตอนนี้เด็กๆก็กำลังจ้องมองคุณวุฒิด้วยความสงสัย คุณวุฒิเองก็ไม่แพ้กัน จ้องมองเด็กๆพร้อมกับมองมาที่เขา

              “ในเหรอฮับปะป๊า”สลิ่มเดินมากระตุกชายเสื้อของขนมผิงเบาๆ

              “สะ…สวัสดีคุณลุงสิครับ”ขนมผิงตั้งสติก่อนจะบอกกับเด็กๆออกไป

              “สวัสดีฮับ/สวัสดีฮับ”สองแฝดยกมือไหว้ก้มตัวเก้าสิบองศาให้คุณวุฒิได้รับไหว้ด้วยท่าทีงงงวย

              “ลูก…ใครเหรอผิง”

              เขาควรจะตอบคุณวุฒิไปว่ายังไงดี เวลานี้ใจของขนมผิงนึกอยากจะโกหกอีกฝ่ายเพื่อที่จะยืดระยัเวลาความสัมพันธ์ให้นานขึ้น เขากลัวว่าคุณวุฒิจะเปลี่ยนไปหากรู้ว่าเขามีลูกแล้วและเป็นคนอุ้มท้องเด็กๆ

              “ลูกผิงเอง”

              “อะไรกัน ผิงกำลังอำพี่อยู่ใช่ไหม ผิงจะมีลูกโตขนาดนี้ได้ยังไงพี่ไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย นี่มันเป็นมุกตลกที่ไม่ขำเลยนะ”

              ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่สีหน้าจริงจังของขนมผิงนั้นทำให้คุณหมอยิ้มเจื่อนออกมา

              “ลูกผิงจริงๆ คนนี้ปลากริม คนนี้สลิ่มครับ”ขนมผิงแนะนำด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

              แนะนำออกไปแล้ว เขาบอกเรื่องที่เขาพยายามจะปกปิดออกไปแล้ว ภายใต้นัยน์ตาที่แสดงออกถึงความนิ่งเฉยนั้นกำลังรอลุ้นผลที่กำลังจะตามมา และใบหน้าของคุณวุฒิก็ซีดเผือดลงแทบจะทันที

              “ได้ยังไงกัน…แล้วแม่ของเด็กล่ะ”

              “เอาเป็นว่าเราไปคุยกันข้างบนดีกว่านะครับ”ขนมผิงบอกก่อนจะแตะแขนของคุณวุฒิเบาๆเพื่อเป็นการบอกให้อีกฝ่ายคืนสติหลังจากที่ดูเหมือนจะตกใจในสิ่งที่เขาบอก

              แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการที่เขาได้เห็นใครบางคนกำลังถือกล้องถ่ายรูปหันมาทางเขากับคุณวุฒิ และนั่นขนมผิงรู้ได้ทันทีว่าคนคนถูกส่งมาโดยใคร

 

              ขนมผิงเล่าพาเด็กๆเข้าไปในห้องนอนก่อนจะเล่าทุกอย่างให้กับคุณวุฒิฟัง ทุกอย่างที่เขาปั้นน้ำออกมาเป็นตัวเพียงเพื่อจะปกปิดความลับเอาไว้ เขาโกหกว่าแม่ของเด็กๆเสียไปตั้งแต่ตอนคลอด และสีหน้าของคุณวุฒิก็เริ่มจะดีขึ้นเมื่อเขาบอกไปแบบนั้น มือใหญ่คว้ามือทั้งสองของเขาไปกุมเอาไว้

              “ถ้าอย่างนั้น…พี่ก็ยังมีโอกาสใช่ไหม”

              “โอกาสอะไรเหรอครับ”

              “ก็โอกาสที่…จะมาหาผิงบ่อยๆไง”คุณวุฒิยิ้ม ก่อนที่จะเอื้อมมือมาลูบหัวของขนมผิงเบาๆ

              “ผมไม่ใช่เด็กนะครับ ผมเป็นพ่อคนแล้วอย่ามาลูบหัวผมจะได้ไหม”เบี่ยงหัวหลบฝ่ามือนั้นทั้งที่ก้อนเนื้อในอกนั้นเต้นรัว

              เพราะท่าทีที่ผ่อนคลายของอีกฝ่ายขนมผิงจึงเรียกเด็กๆให้ออกมาจากห้องนอนที่แยกเป็นห้องของเด็กๆโดยเฉพาะ ทั้งปลากริมกับสลิ่มต่างก็พากันเดินต้วมเตี้ยมจูงมือกันกล้าๆกลัวๆ ตาคู่กลมจ้องมองคนแปลกหน้าก่อนจะพากันปีนขึ้นไปบนโซฟาแล้วนั่งแหมะลงขนาบข้างกับขนมผิง

              “คุณยุงเป็นใครเหรอฮับปะป๊า”ปลากริมเงยหน้าถาม

              “คุณลุงคือคุณลุงวุฒิครับ คุณลุงวุฒิเป็นคุณหมอ ถ้าใครดื้อคุณลุงวุฒิจะจับฉีดยากลัวไหมครับ”

              “อื้อ/กลัวฮับ”สองแสบพยักหน้าหงึกๆทันที

              “ไม่เอาฉีดยาฮับ กิมกับน้องหลิ่มเป็นเด็กดี”

              “งั้นเด็กดีบอกคุณลุงวุฒิหน่อยสิครับว่าใครชื่ออะไรบ้าง”ขนมผิงว่าพลางดันร่างจ้ำม่ำไปข้างหน้าเพื่อให้คุณวุฒิได้เห็นชัดๆ

              “อันนี้กิมฮับ”

              “อันนี้หลิ่มฮับ”สองแสบแนะนำตัวก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ๆเมื่อคุณหมอยิ้มออกมาอย่างใจดี

              “เกือบจะแยกไม่ออกแล้วสิ”

              “อันนี้อะไรเหรอฮับคุณยุงหมอ”มือป้อมจิ้มไปที่แว่นตาของคุณวุฒิ

              “อันนี้เรียกว่าแว่นตาครับ”
              “แล้วใส่ทำไมเหรอฮับ”

              “ใส่ให้มองเห็นได้ชัดเจนครับ”

              “แล้วกิมกับน้องต้องใส่ไหมฮับ”
              “ถ้ากินผักเยอะๆก็จะไม่ต้องใส่นะครับ”

              “งั้นแสดงว่าคุณยุงหมอไม่กินผักใช่ไหมฮับ”เจ้าตัวแสบย้อนกลับมาให้คุณหมอเด็กที่คิดว่ารับมือกับเด็กๆได้ง่ายๆพลาดท่าเข้าให้

              ขนมผิงหัวเราะเสียงเบาให้คุณวุฒิได้ขมวดคิ้วอย่างอายๆ

              “หัวเราะอะไรครับ”

              “เปล่านี่ ผิงแค่หัวเราะที่คุณหมอเด็กเถียงแพ้เด็ก”

              “ได้ทีก็เอาใหญ่เลยนะ”

              “เอาเป็นว่าวันนี้ถ้าไม่รังเกียจก็อยู่กันข้าวเย็นด้วยกันนะครับ”

              ไม่เพียงแค่คุณคุณเท่านั้นที่มีท่าทีผ่อนคลาย แต่ขนมผิงเองก็เริ่มคลายความกังวลไปได้บ้างเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายและเห็นเด็กๆเข้ากับคุณวุฒิได้เป็นอย่างดี ขนมผิงจงใจที่จะยื้อเวลาชวนให้คุณวุฒิอยู่ต่อ ความต้องการจากส่วนลึกของเขามันบอกอย่างนั้น

              ได้สิ พี่นึกว่าผิงจะไม่ชวนซะแล้ว วันนี้โชคดีจังเลยนะ ได้มาเจอผิงแล้วยังจะได้กินกับข้าวฝีมือผิงอีก”

              ว่าพลางหันไปรับของเล่นจากมือเด็กๆที่ส่งมาให้อย่างอารมณ์ดี เรียกให้คุณวุฒิต้องหันไปมองเด็กๆแทนเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะมองทางไหนดี

 

              เมื่อมื้อเย็นจบลงขนมผิงก็พาเด็กๆมานั่งดูรายการเด็กหน้าทีวี

              “เดี๋ยวปะป๊าไปส่งคุณลังหมอก่อนนะครับ ห้ามซนกันนะครับเด็กๆ”

              “แล้วคุณยุงหมอจะมาอีกไหมฮับปะป๊า”แฝดคนพี่เงยหน้าถาม

              “จะมาอีกไหมฮับ”คนน้องถามบ้างอย่างเสียดายเมื่อก่อนหน้านี้ได้เล่นกับคุณลุงหมอจนสนิทกันดี

              “อันนี้คงต้องถามปะป๊าปลากริมกับสลิ่มแล้วล่ะครับว่าจะให้ลุงหมอคนนี้มาหาอีกไหม”คุณวุฒิก้มตัวบอกพลางมองมาที่ขนมผิง

              “ให้มาอีกนะฮับ ให้ยุงหมอมาอีก”

              “นะฮับปะป๊า”

              “มาได้ทุกเมื่อครับ แต่ต้องโทรมาบอกกันก่อน ปกติพวกเราจะไปนอนที่บ้านกัน ผิงไม่อยากให้พี่วุฒิรอนาน”คำตอบของขนมผิงดูเหมือนว่าจะทำให้คุณวุฒิดีใจไม่ได้ ริมฝีปากได้รูปยิ้มออกมากว้างเลยทีเดียว

              “ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าลุงหมอจะซื้อขนมมาฝากนะครับ”

              “เย้ๆๆๆ”

              “จริงๆนะฮับ”

              “จริงสิครับ”พยักหน้าตอบเด็กๆที่ลุกขึ้นกระโดดดีใจ

              “งั้นรอปะป๊าในห้องแล้วอย่าซนนะครับเข้าใจไหม”

              “เข้าใจฮ๊าบบบบ”

              “เข้าใจฮับป๋ม”

 

              “ผิงเก่งมากเลยนะที่เลี้ยงเด็กๆได้ดีขนาดนี้”

              “ก็ลูกผิงนี่ครับ ถ้าไม่เลี้ยงลูกให้ดีแล้วจะให้เลี้ยงใครล่ะครับ”บอกก่อนจะเปิดประตูห้องเมื่อเห็นว่าเด็กๆนั่งดูการ์ตูนกันเรียบร้อยดี

              “นั่นสินะ คงจะเหนื่อยแย่ ขนาดพี่เองแค่ไม่กี่ชั่วโมงยังรู้สึกเหนื่อยเลย”

              “เหนื่อยแต่ก็มีความสุขครับ”บอกออกไปก่อนจะชะงักเมื่อมือใหญ่ของคุณวุฒิแตะลงมาที่หน้าผากของเขาเบาๆเพื่อเช็ดเหงื่อออกให้

              “ถ้าพี่ช่วยได้พี่ก็อยากจะช่วยไม่ให้ผิงเหนื่อยอยู่คนเดียวแบบนี้”คุณวุฒิพูดแฝงความนัยน์

              “มืดแล้วถ้าไม่รีบกลับเดี่ยวรถจะติดเอานะครับ”

              แต่ขนมผิงก็เลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็นด้วยการเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

               “ไม่เป็นไรแค่รถติดพี่ไม่กลัวหรอกครับ กลัวว่าจะไม่ได้เจอผิงมากกว่า”

              “ต้องเจอสิครับ ผิงไม่ได้หนีไปไหน”

              “ใครบอกไม่หนีครับ สองครั้งเชียวนะครับที่หนีพี่ไปจนพี่นึกว่าจะไม่ได้เจอผิงอีก”

              คุณวุฒิบอกเสียงเบาก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ หัวใจของขนมผิงสั่นวูบเมื่อจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาผ่านกรอบแว่น ความอ่อนโยนและตัดพ้อนัยน์ตาของคุณวุฒิแสดงออกมาแบบนั้น

               “ต่อไปนี้ผิงจะไม่หนีไปไหนอีกแล้วครับ พี่วุฒิไม่ต้องกลัว”

              เพราะตอนนี้เขามั่นใจว่าเขามีกำลังมากพอที่จะไม่ได้หนี มากพอที่จะต่อสู้เพื่อตัวองและครอบครัว

               “สัญญานะครับ”เสียงทุ้มหูบอกเบาก่อนจะเอื้อมมือแตะลงบนผิวแก้มของเขาอย่างเบามือ

              “ครับ ผิงสัญญา”



              ---------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP ❖ บทที่ 6 พบเจอ❖ 19/10 ❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 19-10-2015 03:08:25
 :mew2:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 6 พบเจอ❖ 19/10 ❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 19-10-2015 03:23:25
จิ้ม
ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 6 พบเจอ❖ 19/10 ❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 19-10-2015 06:33:26
คุณเลขาแอบชอบขนมผิงอยู่จริงๆ ด้วย :o8:

ปล. คำผิดจ้า ^^

แสงแฟรช(แสงแฟลช), ไฮโว(ไฮโซ), เฉลืมฉลอง(เฉลิมฉลอง), เทศการ(เทศกาล),

ปิญญ์ชานนท์มองตามแรงดึงก็เจอเข้ากับเด็กแฝดน่ารักสงคน(สองคน),

ประปา(ปะป๊า)บอกว่าอยู่นี่ให้พูดแบบที่พูดกะปะป๊านะ,

มารยา(มารยาท), น่ากาก(หน้ากาก) พุกพ่าน(พลุกพล่าน),

ปิญญ์ชานนท์เดินไปยังร่างอ้วนลม(อ้วนกลม)ทั้งสอง,

แก้มน้ำส้ม(แก้วน้ำส้ม), เหลือยมอง(เหลือบมอง),

พอเห็นเด็กสองคนนี้ก็ถึงถึง(นึกถึง)ใครอีกคนขึ้นมาอย่างหงุดหงิด,

ใครจะไปเอ(เชื่อ)เรื่องพรรค์นั้นกัน
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 19-10-2015 06:45:18
 :mew1:

เอาไปรวมกันแล้วจ้า ทั้งครึ่งแรกครึ่งหลัง เพราะแก้ไขกับเพื่อมเติมเยอะอยู่
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 โต้ตอบ❖ 19/10 ❖ 7.00น
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 19-10-2015 07:15:21
อย่าให้โดนลากไปอีกนะ
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 โต้ตอบ❖ 19/10 ❖ 7.00น
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 19-10-2015 08:46:02
อยากให้เช็คคำผิดนะคะ คำผิดเยอะเลย ตรวจให้เรียบร้อยก่อนลงจะดีมากๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 โต้ตอบ❖ 19/10 ❖ 7.00น
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 19-10-2015 10:51:14
ก็ถูกของขนมผิงเขานะคะคุณปิณณ์ เพราะถ้าไม่นึกสนใจกันจริงๆ จะเสียเวลาตามหาทำไมตั้งสามปี :hao3:

ปล. คำผิดจ้า ^^

คนที่เขาตามมา(ตามหา)มาตลอดสามปีกว่า

ปิญญ์ชานนท์ขบกราว(กราม)แน่นจนสันกรามขึ้นนูน

มันกำลังคิดผิดที่ย้อนกลับมายยุ่งกับอนันตไพศาลอีก

เดี่ยว(เดี๋ยว)จะพากันไม่สบาย

ทำให้ผมเอาแต่จ้องประตุ(ประตู)ห้องน้ำ

แต่ถ้าคุณพุด(พูด)แบบนี้ก็แสดงว่าคุณติดตามผมอยู่

อ่าว(อ้าว) อยู่นี่เองผิง

รองเท้าหนังขัดมันอย่างดีจงใจเหยีบ(เหยียบ)ลงไปบนเท้าของเขา
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 โต้ตอบ❖ 19/10 ❖ 7.00น
เริ่มหัวข้อโดย: nutipkra ที่ 19-10-2015 13:29:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 โต้ตอบ❖ 19/10 ❖ 7.00น
เริ่มหัวข้อโดย: PingPong_Hunlay ที่ 19-10-2015 13:44:31
อ้ากกกกกก :serius2: เมื่อไรปิญจะรู้ว่าสลิ่มกับปลากริมเป็นลูกละเนี้ย คงสะใจพิลึก หึหึ   :oo1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 โต้ตอบ❖ 19/10 ❖ 7.00น
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 19-10-2015 16:50:54
ผิงสู้ อย่ายอมแพ้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 โต้ตอบ❖ 19/10 ❖ 7.00น
เริ่มหัวข้อโดย: PaTtO ที่ 19-10-2015 18:11:56
หูย นายเอกมันต้องแบบนี้
แซ่บมาก เข้มแข็งดีมากค่ะผิง
หัวข้อ: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 19-10-2015 19:52:46
7 สิ่งที่ต้องการ

              ขนมผิงกดลิฟท์ไปพลางคิดอะไรไปพลาง ริมฝีปากได้รูปยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคนที่พึ่งจะกลับไป

              ความรู้สึกราวกับถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นที่มองไม่เห็น ทำให้หัวใจเอ่อล้นไปด้วยความสุขในแบบที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานานแล้ว

              ปลายนิ้วกดรหัสหน้าประตูก่อนจะเปิดประตูห้องอย่างช้าๆพร้อมกลับรอยยิ้มที่ยังคงติดอยู่บนใบหน้า พลันรอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับเลือนหาย

              “ไง กลับมาแล้วเหรอ”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันเอ่ยทักทันทีที่ก้าวพ้นขอบประตู

              นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!! ปิญญ์ชานนท์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

              แล้วเด็กๆที่กำลังนั่งเล่นอยู่บนพื้นข้างๆกับร่างสูงราวกับว่าสนิทสนมมันอะไรกันนะ

              “คุณปิญญ์!! คุณเข้ามาได้ยังไง!!”

              “เด็กๆเปิดประตูรับฉันเข้ามา ดูท่าลูกๆของนายจะดูเป็นเด็กที่ฉลาดและว่าง่ายพอตัวนะ”อีกฝ่ายไหวไหล่ พยักหน้าไปทางเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าประตู

              ดูท่าว่าเด็กแฝดทั้งสองคนจะมองผ่านตาแมวแล้วช่วยกันเปิดประตูให้ปิญญ์ชานนท์เข้ามาสินะ

              “ออกไปซะ ที่นี่ไม่ต้นรับคุณ”บอกออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวจนเด็กๆเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองทั้งที่มือยังหยิบจับของเล่นเตรียมชวนแขกผู้มาเยือนเล่นด้วยกัน

              “ปลากริม สลิ่ม เข้าไปรอปะป๊าในห้องก่อนนะครับ”ขนมผิงหันไปสั่งเด็กๆ

              เด็กๆพยักหน้าตบรับอย่างมึนงง แต่ก็ยอมหยิบฉวยเอาของเล่นติดไม้ติดมือแล้วพากันเดินเข้าไปในห้องนอนเงียบๆ

              “อะไรกัน ฉันกำลังเล่นกับเด็กๆสนุกเลยเชียว ทำไมนายถึงสั่งให้เด็กๆเข้าไปในห้องซะได้ล่ะ”อีกฝ่ายบอกพลางเหยียดยิ้มออกมา

              มันช่างเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ชวนให้น่าอึดอัดยิ่งนัก ขนมผิงได้แต่ขบเม้มริมฝีปากของตนเองแน่น จ้องมองอีกฝ่ายเขม็งด้วยสายตาที่แค้นเคืองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนที่อยู่เบื้องหน้า

              “ออกไปก่อนที่ผมจะเรียกรปภ.มาโยนคุณออกไป”

              “ไม่มีใครเขาอยากจะยุ่งเรื่องผัวเมียหรอกน่า นายก็น่าจะรู้ดี”

              ปิญญ์ชานนท์ไม่เพียงแค่พูดย้ำในสถานะที่น่าสมเพช แต่กลับลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้ประตูห้องของเด็กๆจนขนมผิงต้องปรี่เข้าไปขวางเอาไว้

              “อย่าได้มายุ่งกับลูกของผม อย่าได้เอาความคิดต่ำๆของคุณมาแสดงออกต่อหน้าเด็กๆ”

              “ทำไมล่ะ ทีกับนายวุฒินายยังให้หมอนั่นเข้ามาอยู่ด้วยตั้งนานสองนาน ทีกับฉันที่พึ่งจะมาถึงได้ไม่กี่นาทีนายกลับไล่ฉันเหมือนหมูเหมือนหมา จะไม่ใจร้ายกับผัวไปหน่อยรึไง”

              ผล๊วะ!!

              หมัดเล็กๆส่งเข้าไปที่ริมฝีปากที่เอาแต่พูดพล่ามในสิ่งที่น่ารังเกียจ

              ใบหน้าคมคายหันไปตามแรงกระแทกเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาพร้อมกับของเหลวสีแดงสดติดอยู่มุมปาก

              ปลายลิ้นชิ้นตวัดเลียมุมปากเล็กน้อยก่อนจะกลืนรสปร่าลงคอ ส่งสายตาดุดันจ้องมองมาที่ใบหน้าของขนมผิงด้วยความไม่พอใจ

              “ถึงคุณกับพี่วุฒิจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่มันไม่ได้หมายความว่าพี่วุฒิเขาจะมีจิตใจที่สกปรกต่ำช้าแบบคุณ มันอาจจะเป็นเพราะอาหารที่คุณกินเข้าไปรึเปล่านะ มันถึงทำให้คุณพูดพล่ามแต่สกเน่าๆออกมาแบบนี้”ขนมผิงเหยียดยิ้มออกไปเพื่อยินยันในสิ่งที่ตนพูด ตาคู่สวยจ้องมองอีกฝ่ายแน่นิ่งพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว

              “นายกล้าทำร้ายผัวตัวเองขนาดนี้เลยรึไง สงสัยว่าสามปีมันจะนานเกินไปจนจำเรื่องระหว่างเราไม่ได้แล้วสินะ”

              พูดจบมือใหญ่ราวกับคีมเหล็กก็ตะปบเข้ามาที่ต้นแขนผอม บีบจนขนมผิงรู้สึกเจ็บร้าวไปถึงกระดูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเงยหน้าขึ้นจ้องตอบแววตาของอีกฝ่าย

              “อย่าเอามือสกปรกขอคุณมาแตกต้องตัวผม”

              “อย่าทำเป็นกระแดะไปหน่อยเลยในเมื่อตัวนายมันก็สกปรกพอๆกัน อย่าลืมสิว่ามือสกปรกคู่นี้มันบีบเค้นไปทั่วตัวนายรุนแรงแค่ไหน”

              ไม่หยุดแค่บีบมือลงมาที่แขน แต่ปิญญ์ชานนท์กลับใช้อีกมือยกขึ้นมาบีบกรอบหน้าของเขาเอาไว้

              ไม่ทันตั้งตัวนัยน์ตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากได้รูปกดกระแทกลงมาให้ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในโพลงปาก

              ขนมผิงพยายามที่จะผลักอกของอีกฝ่ายให้ออกห่าง แต่มันก็เท่านั้นเมื่อปิญญ์ชานนท์โถมกายและตรึงใบหน้าเขาเอาไว้แน่น บังคับให้ตอบรับจูบที่ไม่ได้เต็มใจ

              ขนมผิงเปลี่ยนเป็นใช้มือผลักอกอีกฝ่ายมาเป็นจิกเล็บลงบนลาดไหล่ ฝังปลายเล็บลงบนไหล่หนาเมื่อปลายลิ้นของอีกฝ่ายสอดแทรกเข้ามายามที่เขาเปิดริมฝีปากเพื่อสูดอากาศหายใจ

              มันยิ่งน่ารังเกียจเมื่อปลายลิ้นนั้นสอดแทรกเข้ามาลึกและพยายามเกี่ยวกระหวัดป้อนจูบที่ทั้งรุนแรงและหนักหน่วง

              กึก!!

              ขนมผิงตัดสินใจกัดฟันลงบนปลายลิ้นที่รุกราน หากแต่อีกฝ่ายกลับรู้ตัวและถอนจูบออกก่อนที่ลิ้นจะขาดเสียก่อน

              “มันจะมากไปแล้วนะขนมผิง!!”ตวาดเสียงดังก่อนจะเช็ดเลือดที่ไหลย้อนออกมาจากมุมปาก

              “หึ! ก็สมควรแล้วนี่”ขนมผิงแสยะยิ้มพลางเช็ดเลือดออกจากมุมปากไม่ต่างกัน

              มันก็สมควรแล้วนี่ ในเมื่อปิญญ์ชานนท์เป็นฝ่ายที่ทำให้เขาเสียเลือดก่อน เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายเสียเลือดมากกว่า…ให้มากกว่าเป็น

              “หมาอย่างนายนี่มันกัดไม่เลือกจริงๆ ดูท่าฉันคงจะต้องทำให้นายเชื่อสินะ ขนมผิง”

              ปิญญ์ชานนท์จ้องมองมาด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง หากแต่นั่นขนมผิงกลับไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด

              “ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองทำดูสิครับ”

              ยกยิ้มอย่างท้าทายพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในตาคู่ดุดัน

              “เก่งนักนะที่กล้ามาท้าทายคนอย่างฉัน!!”

              เหมือนว่าชายหนุ่มจะทนไม่ไหวแล้ว เขาปรี่เข้ามากระชักตัวของขนมผิงให้เซเข้าไปหาตัว

              และไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อครั้งนี้มันดูรุนแรงมากกว่าเก่า แขนแข็งแรงดอบเอาเอวสอบไว้แน่นด้วยท่าทีคุกคาม

              “ปล่อยนะ!! คุณไม่มีสิทธิมาแตะต้องตัวผม!!”

              “ทำไมล่ะ ฉันมีสิทธิเต็มที่เลยนะ นายอย่าลืมสิว่าฉันเป็นผัวนาย รึว่านายลืมไปแล้ว”

              “ไอ้โรคจิต!! อย่ามาใช้ถ้อยคำทุเรศกับผมนะ ผมจะเตือนคุณครั้งสุดท้าย ก่อนที่คุณจะต้องเป็นฝ่ายเสียหน้าถูกจับโยนออกไปจากที่นี่”

              อ้อมแขนของปิญญ์ชานนท์นั้นกอดรัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด แม้สีหน้าของขนมผิงนั้นจะเต็มไปด้วยโทสะ แต่แท้จริงแล้วภายใจใจลึกๆยังคงเป็นห่วงกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาแย่งเอาเด็กๆไป

              ทำไมกันนะ!! ในเมื่อเขายอมที่จะถอยออกมาในวันที่อีกฝ่ายไล่เขากับลูกๆออกไปจากชีวิต ทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงต้องตามตอแยตามรังควาญเขาด้วย หรือเพียงเพราะต้องการแก้แค้นให้พ่อตนเองกัน

              “ถ้านายคิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ”

              เป็นราวกับกระสุนบอกเริ่มเกม สิ้นเสียงร่างกายก็ลอยหวือตามแรงกระชากเข้าไปในห้องนอนอีกฝากกับห้องของเด็กๆ

              “จะทำอะไร!!”

              ขนมผิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว ภาพความทรงจำสุดแสนจะเลวร้ายวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

              ไม่!! เขาเฝ้าบอกตนเองนับครั้งไม่ถ้วนภายในเสี้ยววินาทีที่ถูกดึงให้ตามเข้ามาในห้องที่เคยถูกย่ำยีนี้

              ถูกย่ำยีทั้งที่ยังตั้งท้องเด็กๆอยู่!!

              “จะถามทำไมล่ะ ในเมื่อของมันเคยๆกันอยู่”

              “ไม่!! คุณมันโรคจิตคุณปิญญ์ ออกไปนะ ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้!!”

              มันยากที่จะขัดขืนด้วยแรงกายเมื่อเขาถูกดึงให้ก้าวผ่านประตูนรกเข้ามาแล้ว ภาพในอดีตยิ่งชัดเจนมากขึ้นกว่าเก่า

              ขนมผิงไม่มีทางเลือกแล้ว เขาก้มลงกัดเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่ายเต็มแรง

              “โอ้ย!! บ้าเอ้ย!! นายนี่มันไม่เชื่องง่ายๆสินะ ดูท่าฉันคงจะต้องใช้กำลังสั่งสอนนายซะแล้ว”

              เพี๊ยะ!!

              สิ้นเสียงใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็หันไปตามแรงฝ่ามือของอีกฝ่าย แรงพอที่จะทำให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งหลักเซถลาลงไปบนพื้น

              “ฮึก!! คุณมันดีแต่ใช้กำลัง ไอ้ชั้นต่ำ”ขนมผิงเค้นเสียงต่ำ เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น มือข้างหนึ่งจับใบหน้าร้อนผ่าวข้าวหนึ่งเอาไว้แน่น

              เลวไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆสำหรับปิญญ์ชานนท์!!

              “ชั้นต่ำงั้นเหรอ? หึ!! ต่ำมันก็ต้องคู่กับสกปรกก็ถูกแล้วนี่”

              ร่างสูงก้าวเข้ามาประชิดก่อนจะใช้แรงอันมหาศาลดึงเขาให้ลุกขึ้นแล้วจับทุ่มลงบนเตียง

              “อึก!!”

              เจ็บจนจุก นิ่วหน้ากุมท้องตัวเองแน่น

              “มาดูกันดีกว่าว่าฉันจะทำให้หมาอย่างนายเชื่องได้ไหม”

              มือใหญ่บีบเข้ามาที่กรอบหน้าของขนมผิงอีกครั้ง บีบแน่นให้เจ็บร้าวไปทั้งใบหน้า

              “ไม่มีวัน!! ต่อไปนี้คุณจะไม่มีวันได้สิ่งที่คุณต้องการ”

              “ก็ดี ฉันก็อยากจะรู้ว่าคนอย่างนายจะมีปัญญาขัดขืนฉันได้สักกี่น้ำ ไหนนายลองทำให้ดูหน่อยสิว่ากับคนอื่นนายล่อลวงพวกนั้นยังไง”

              “ปล่อย!!”

              ถึงจะร้องบอก แต่ก็กลับถูกกดลงบนเตียงๆเดิมกับเมื่อสามปีที่แล้ว เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกฉีกกระชากออกด้วยอารมณ์รุนแรงของอีกฝ่าย

              แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว!!

              “อุ๊ก!!”

              ปิญญ์ชานนท์ร้องออกมาก่อนจะกุมเข้าที่หน้าท้องตัวเอง

              ขนมผิงถีบเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายเต็มแรงก่อนจะคลานหนีออกมาเมื่ออีกฝ่ายเสียหลัก

              “จะไปไหน!! ฤทธิ์เยอะนักนะ!!”

              “คุณมันบ้าไปแล้ว”

              พูดพลางถอยหนีอีกฝ่ายเมื่ออีกฝ่ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ รอยยิ้มชั่วร้ายนั้นเริ่มจะทำให้ขนมผิงนึกหวั่น

              มือผอมปักป่ายไปบนโต๊ะเพื่อควานหาโทรศัพท์ หากแต่เมื่อเขาคว้ามาได้ เครื่องมือสื่อสารนั้นก็ถูกแย่งแล้วจับโยนไปยังอีกฝั่งห้อง

              “จะทำอะไร มันไม่มีใครเขากล้ามายุ่งเรื่องของผัวเมียหรอกน่า มานี่!!”

              อีกครั้งที่ถูกจับเหวี่ยงลงบนพื้น ตามด้วยร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อม ร่างกายทั่วทั้งร่างเจ็บปวดจนแทบไม่มีแรงต้าน

              “คุณต้องการอะไรกันแน่!!”

              “ต้องการอะไรงั้นเหรอ ไม่รู้สิ…”เว้นเอาไว้ก่อนจะก้มลงมากระซิบ “ฉันรู้แต่ว่าฉันต้องการที่จะทำลายนายให้ย่อยยับ ให้สมกับที่แม่ของนายทำลายพ่อฉันยังไงล่ะ”

              พูดจบริมฝีปากร้อนที่ตะโบมจูบลงมาอย่างบ้าคลั่ง ครั้งที่มันทั้งร้อนและทั้งรุนแรงยิ่งกว่าเก่า

              มันหมายความว่ายังไงกันนะกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์พูดออกมา

              ยิ่งพยายามดิ้น เสื้อที่ขาดวิ่นยิ่งถูกดึงให้หลุดออก

              “อึก!!”

              ขนมผิงสะดุ้งเฮือกก่อนจะนิ่วหน้า สัมผัสได้ถึงความเจ็บแสบที่กัดลงมาบนต้นคอ

              ไร้ซึ่งความปราณี ร่างกายถูกโถมทับลงมาเต็มแรง ถูกตรึงด้วยมือใหญ่ที่เป็นราวกับโซ่ตรวนเส้นหนา

              “ปล่อย อึก นะ คุณมันบ้าไปแล้ว!! ผมจะร้องให้คนช่วย”

              “เอาสิ ร้องดังๆเลยร้องให้ลูกของนายได้ยินและออกมาดูว่านายมันสกปรกแค่ไหน”

              ทำไมกันนะ ทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงได้เลวขนาดนี้

              ขนมผิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา จ้องมองปิญญ์ชานนท์หยัดกายขึ้นมาเหนือร่างของตนและมองมาด้วยแววตาดูถูก

              “ออกไป”

              “คนอย่างนายทำไมถึงไม่ตายๆไปซะนะ”

              ชั่วพริบตาแววตาที่ดูถูกก็กลายเป็นเกลียดชัง ขนมผิงดิ้นสุดแรงเมื่อมือใหญ่ทั้งสองข้างพาดลงมาบนต้นคอของตนและกดลงมาอย่างแรง จนเริ่มที่จะหายใจไม่ออกและพยายามที่จะทุบตีเข้าที่แขนของอีกฝ่าย

              “ปล่อย แค่กๆ ปล่อยนะ!! คุณปิญญ์”

              “อยู่นิ่งๆสิวะ!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดลั่น

              มือข้างหนึ่งละออกไปปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก ขนมผิงถึงได้หายใจได้ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังติดขัดเมื่ออีกมือของปิญญ์ชานนท์ยังคงค้างอยู่บนคอและยังออกแรงกดลงมา

              เคร้ง!!!

              เสียงเหมือนของตกกระทบลงบนพื้นทำให้ทั้งคู่ชะงัก ตาคู่ดุดันหันมาสบตาของเขาด้วยความไม่ได้ตั้งใจ

              “ปลากริม สลิ่ม”

              สัญชาติญาณความเป็นแม่ทำให้ขนมผิงผลักอีกฝ่ายออกเต็มแรงแล้วรีบวิ่งไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ

              พลันหัวใจหล่นวูบเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กนั่งร้องไห้น้ำตานองหน้า

              “สลิ่ม!! ปรากริม น้องเป็นอะไร ทำไมน้องถึงได้ร้องไห้ล่ะ”

              ขนมผิงคว้าเอาสลิ่มขึ้นมากอด ตาคู่สวยมองสำรวจไปทั่วร่างเล็กอย่างกระวนกระวายใจ

              “อย่าเข้ามานะ!!”

              เสียงแข็งร้องห้ามเมื่อเหลือบมาเห็นร่างสูงกึ่งเปลือยอกกำลังเดินพ้นประตูห้องนอนของเด็กๆเข้ามา

              “นายคิดว่าจะห้ามฉันได้รึไง”อีกฝ่ายขึ้นเสียงหึคล้ายจะเย้ย

              “ผมบอกว่าอย่าเข้ามาไง!!”ขนมผิงห้ามอีกครั้งเมื่อฝ่านยังคงก้าวเข้ามาเรื่อยๆ และเข้ามาใกล้กับลูกของเขามากเข้าไปทุกที

              “นายนี่มันไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะ”

              สิ้นเสียงทุ้มต่ำ เจ้าของเสียงก็ลดตัวลงมาข้างๆแฝดคนพี่แล้วดึงเอาร่างจ้ำม่ำเข้าไปใกล้

              “ปลากริมมาหาปะป๊า”

              “อย่ามาทำเป็นหมาหวงก้างโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เจ็บไหม”หันมาทเสียงแข็งใส่ก่อนจะถามประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มกับเจ้าตัวเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วใหญ่ลูบลงบนหน้าผากมนอย่างเบามือ

              เมื่อครู่ยังทำตัวเป็นยักษ์ใจมารใส่เขาไม่ใช่รึไง แต่ทำไมถึงได้แสดงท่าทีอ่อนโยนกับเด็กๆได้ล่ะ

              “เอาลูกผมคืนมา”

              “ถ้านายดูให้คนนั้นหยุดร้อนก่อนได้ ฉันจะยอมคืนคนนี้ให้”

              พูดราวกับว่าจะไม่ยอมคืนลูกให้ ยิ่งทำให้ขนมผิงใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

              “อย่ามาพูดบ้าๆนะ นั่นมันลูกผม”

              แม้ว่าจะเป็นลูกของอีกฝ่ายด้วยก็ตาม แต่เมื่อปฏิเสธไปแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่มีสิทธิแม้แต่จะมาเข้าใกล้เด็กๆด้วยซ้ำ

              “บอกฉันมาสิว่าเธอไปทำอะไรมาถึงได้หัวโนแบบนี้”

              ดูเหมือนปิญญ์ชานนท์จะเมินคำพูดของขนมผิงและหันไปพูดกับเจ้าตัวเล็กด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแทน

              แต่นั่นมันก็ทำให้ขนมผิงชะงักและจ้องมองไปที่หน้าปากมน เก็นรอยนูนเล็กๆปูดออกมา

              “พี่กิมเจ็บไหม ฮึกๆ หลิ่มขอโทษ”

              สลิ่มพูดพลางสะอื้นให้ขนมผิงได้ลูบหัวปลอบให้เลิกเสียขวัญ และหันไปเพ่งมองลูกอีกคนด้วยความเป็นห่วง

              “กิมปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วโหม่งกับหุ่นยนต์ฮับ แต่กิมไม่เจ็บ กิมไม่อยากร้องไห้ กัวน้องหลิ่มเสียใจ”ปลากริมตอบเสียงใสพลางยิ้มแย ยกมือป้อมลูบหัวโนๆของตัวเองป้อยๆ

              “ไปครับไปหาหมอกัน”ขนมผิงตัดสินใจอย่างเร็วพลัน

              อุ้มลูกคนแรกขึ้นมมาก่อนจะทำท่าเข้าไปคว้าอีกคน

              “นายจะไปทั้งสภาพนั้นรึไง ก็ก็นะนายคงจะไม่มียางอาย หรือว่านายชินซะแล้วล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มในสภาพที่กึ่งเปลือยของเขา

              “คืนปลากริมมาให้ผมแล้วคุณก็ออกไปซะ”

              “ใส่เสื้อซะแล้วจะๆได้พาเด็กๆไปหาหมอ ขืนนายชักช้าบางทีลูกนายอาจจะเลือดคลั่งในสมองตาย ฉันไม่รู้ด้วยนะ”ชายหนุ่มไหวไหล่

              “คุณนี่มัน!”

              “เลือกเอาว่าจะทิ้งเด็กไว้กับฉันหรือว่าจะรอจนฉันไปนายถึงจะได้พาลูกไปโรงพยาบาล”

              นั่นมันแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดด้วยซ้ำ ขนมผิงกัดฟันยอมให้เด็กๆอยู่กับอีกฝ่าย ก่อนจะออกจากห้อง เขาได้ปรายตามมองดูอีกฝ่ายจับคนน้องนั่งบนตักแล้วใช้มือลูบหัวเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็กำลังลูบหัวเจ้าตัวเล็กอีกคนที่ยืนยิ้มอย่างเริงทั้งที่เป็นคนเจ็บ

 

              “คราวนี้ส่งลูกคืนมาให้ผมได้แล้ว”ยื่นมือไปเพื่อหวังจะรับลูกๆคืนมาจากตักของอีกฝ่าย

              อดที่จะอิจฉาในรูปกายของอีกฝ่ายไม่ได้เมื่อตักกว้างนั้นสามารถให้เด็กๆนั่งได้อย่างสบายถึงสองคนพร้อมกัน

              “จะเอาคนไหนล่ะ”ยกยิ้มคล้ายจะต่อรอง

              “ทั้งสองคน”

              “นายจะอุ้มทั้งสองคนได้ยังไง”

              “เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ”

              “หึ อย่างเก่งนายก็อุ้มได้แค่คนเดียว จะอุ้มคนที่ร้องให้แล้วปล่อยคนที่เจ็บให้เดินตาม หรือว่าจะอุ้มคนที่เจ็บแล้วปล่อยให้คนที่ร้องไห้เดินตามล่ะ”

              ดูเหมือนเป็นการเยาะเย้ยกันเสียมากกว่าคำแนะนำ

              “ไปหาปะป๊าเธอสิ”เสียงทุ้มกระซิบบอกเจ้าตัวเล็กที่ยังสะอื้นไม่หาย

              แต่สิ่งที่ทำให้ขนมผิงแทบควันออกหูก็คือการที่ปลายจมูกโด่งเฉียดลงบนแก้มกลมของสลิ่ม ในขณะที่กำลังปรายตามองมาที่เขาราวกับต้องการจะยั่วยุ

              ขนมผิงรับสลิ่มขึ้นมาอุ้มห่อนจะหันมาเรียกคนพี่ให้เดินตามมา หากแต่ว่าปิญญ์ชานนท์กลับคว้าเอาคนพี่ขึ้นมาอุ้มแล้วเดินผ่านหน้าของเขาไปเสียเอง

              “นั่นคุณจะเอาปลากริมไปไหนคุณปิญญ์!!”

              “ก็พาไปหาหมอไง หรือว่านายกลัวว่าฉันจะแย่งลูกของนายไปเลี้ยงซะเอง”

              คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ก้อนเนื้อในอกกระตุกวูบ

              ยอมเดินตามอีกฝ่ายมายังลานจอดรถ น่าแปลกที่ปิญญ์ชานนท์รู้ว่าที่จอดรถประจำของเขาอยู่ตรงไหน

              แต่เวลานี้ขนมผิงกลับห่วงลูกจนไม่อยากจะใส่ใจอะไรมากไปกว่านี้ เขาจับลูกคนเล็กนั่งใส่คาร์ซีทก่อนจะหันไปขอลูกคนโตคืนจากอีกฝ่าย

              “ส่งปลากริมมาได้แล้ว”

              ครั้งนี้ปิญญ์ชานนท์ยอมคืนปลากริมให้เขาแต่โดยดี

              ขนมผิงปรายตามองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย จับให้ลูกคนโตนั่งบนคาร์ซีทอีกอันที่เบาะหลัง ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งคนขับ

              เสียบกุญแจรถยังไม่ทันกดสตาร์ทเสียงเปิดประตูด้านข้างคนขับก็ทำให้ขนมผิงชะงักด้วยความตกใจ

              หันไปมองก็เห็นเข้าไปใบหน้านิ่งเฉยปนเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย นี่มันอะไรกันนะ!!

              “คุณจะขึ้นมาทำไม ลงไปเดี๋ยวนี้”

              “ฉันจะไปด้วย”

              “คุณจะไปทำไมทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”

              “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะในเมื่อฉันเป็นผัวนาย อย่างน้อยเด็กๆก็เป็นลูกเลี้ยงของฉัน”อีกฝ่ายกระซิบบอก

              นี่มันบ้าไปแล้ว ช่างหน้าด้านหน้าทนจนขนมผิงแทบอยากคว้าเอาของที่อยู่ใกล้มือโยนใส่หน้าอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ต่อหน้าเด็กๆการที่เขาทำหน้าบึ้งตึงมันก็มากพอแรงอยู่แล้ว

              “ปะป๊าฮับ เราจะไปหาลุงหมอวุฒิใช่ไหมฮับ”สลิ่มเอ่ยถามเสียงใสมาจากด้านหลัง ซึ่งนั้นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วมองกระจกมองหลัง

              “เปล่าครับ เราไม่ได้ไปหาคุณลุงวุฒิ”

              “แต่กิมอยากไปหาคุณลุงหมอกิมชอบคุณลุงหมอ”

              คำพูดของปลากริมยิ่งทำให้คิ้วของชายหนุ่มแขกผู้ไม่ได้รับเชิญกระตุก

              “ครับ ปะป๊าก็ชอบลุงหมอเหมือนกัน”

              จากคำพูดของขนมผิง ถ้าไม่ติดว่ามีเด็กๆปิญญ์ชานนท์คงกระโจนเข้ามากัดคอเขาแน่ ขนมผิงไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคำพูดที่ไม่ตั้งใจนั้นทำให้ใครอีกคนโกรธเคืองแค่ไหน

 

              ----------------------------------------------------------------------

 

              “ถึงโรงพยาบาลแล้ว จะไปไหนก็ไปสักที”ออกปากไล่ทันทีที่มากถึงโรงพยาบาล

              แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำหูทวนลมเดินตามเข้ามาในห้องตรวจจนได้

              ตาคู่สวยพยายามไม่ใส่ใจกับส่วนเกินของครอบครัว จ้องมองหมอลูบคลำมือลงบนหน้าผากมนที่มีรอยนูนเล็กๆพลางกอดเอาเจ้าหัวเล็กที่หยุดร้องเอาไว้บนตัก

              อารการของแฝดคนพี่จอมซนไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงมากนัก หมอจึงได้ให้ยาไว้สำหรับทาและบอกให้กลับบ้านได้

              ขนมผิงพาเจ้าตัวแสบทั้งสองคนมาหยุดพักตรงเก้าอี้ม้านั่ง แต่อีกนัยน์หนึ่งก็เพื่อที่จะหาทางสลัดอีกคนให้หลุดเสียมากกว่า

              “คุณไปได้แล้ว”บอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง”

              “นายไม่ต้องไล่ฉันหรอกขนมผิง เพราะฉันได้ในสิ่งที่ฉันต้องการแล้ว”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มเจ้าเล่ห์

              มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ? สิ่งที่ต้องการที่ปิญญ์ชานนท์พูดถึง

              “สิ่งที่คุณต้องการมันหมายถึงอะไร”

              “ฉันจำเป็นต้องบอกนายรึไง คนอย่างนายมันไม่มีค่าพอที่จะก้าวเข้ามาใกล้กับชีวิตของฉันหรอกนะขนมผิง แล้วก็เด็กสองคนนี้…” พูดค้างเอาไว้ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหู “น่าสนใจดีนี่”

              “ไม่ว่าจะด้วยอะไร…คุณไม่มีวันได้สิ่งที่คุณต้องการ”แค่นเสียงบอกออกไป

              แต่ปิญญ์ชานนท์กลับลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ขนมผิงได้ทอดสายตามองตามแผ่นหลังของร่างสูงเดินไกลออกไปจนลับตา

              ท่าทีอันสบายใจของปิญญ์ชานนท์มันยิ่งเพิ่มความแค้นให้ขนมผิงเป็นทวีคุณ กลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้งติดอยู่ในโพลงปาก

              ขนมผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อปลายสายหาเลขาคนสนิท

               “นอนหรือยังครับคุณทัพ”ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ

              ‘ยังครับ ว่าแต่คุณผิงมีอะไรรึเปล่าครับ โทรมาตอนนี้’

              “ผมมีเรื่องจะรบกวนคุณทัพหน่อยน่ะ วันพรุ่งนี้ตอนบ่ายผมอยากได้รายงานราคาหุ้นชุดใหม่หลังจากที่เซ็นต์สัญญากับM Techน่ะ ช่วยเร่งฝ่ายการตลาดให้ทีนะครับ”

              ‘ได้ครับ ไม่มีปัญหา’

              “ขอบคุณมากครับ ฝันดี”ผมตอบพร้อมกับตัดสาย

 

              ถึงแม้ว่าการเซ็นสัญญาระยะยาวนี้อาจจะยังไม่มากพอที่จะล้มอนันตไพลินได้ แต่มันก็มากพอที่จะสั่นคลอนยักษ์ตัวใหญ่ให้ก้มลงมาสำรวจจุดยืนของตนเองได้บ้าง

 

 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖19.45น
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 19-10-2015 20:18:13
เอาใจช่วยผิงผิงล่ะกัน
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖19.45น
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 19-10-2015 21:19:25
รอวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการของขนมผิงนะคะ

ปล. คำผิดจ้า ^^

ทั้งยังมาทำหัวร่อต่อกระซิบ(หัวร่อต่อกระซิก)กับน้อยชาย(น้องชาย)เขาอีก

ให้มันได้สำนึกว่ามันกำลังคิดผิดที่ย้อนกลับมายยุ่งกับอนันตไพศาลอีก

อีกย่าง(อีกอย่าง)ผมก็กลัวว่าเด็กๆจะไปเล่นซนรบกวนคนอื่นเขา

เดี่ยว(เดี๋ยว)จะพากันไม่สบาย

ผมเดินถอยออกมาจากห้างน้ำ(ห้องน้ำ)เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

คำพูดถากถางพร้อมกับรอยยิ้มที่แสยะออกอย่างน่าสะอิดสะเอียด(สะอิดสะเอียน)

ผมว่าพลางหันไปยิ้มบางให้พี่วุฒิถือเป็นโอกาสที่ผมจะแยกตัวออกจากเข(เขา)เสียที

เลยอบาก(อยาก)จะแนะนำคุณพิศให้รู้จัก

เขามองผมอย่างสำรวจด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะชื่อ(เชื่อ)เท่าไร

ไม่รุ้(ไม่รู้)ว่าผมและแม่มีตัวตนใจฐานะอะไรสำหรับพ่อ

ผมรับมาอย่างเบามือแล้ววางลงบนคาร์ชีท(คาร์ซีท)

ผมเรียกเด็กแสบสองคนที่นั่งคุยกับคุณยายอยู่ในห้อนั่งเล่น(ห้องนั่งเล่น)

พ่อพูดติดตลอก(ตลก)ทำให้พนักงานยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย

เพราะนาอกจาก(นอกจาก)จะมีลูกชายที่พวกขาไม่เคยรู้จักก้าวเข้ามาแล้ว

ยังจะมี่(มี)เด็กที่เป็นหลานโตถึงขนาดนี้โผล่มาอีก

แล้วคุณแ(คุณแม่)ของเด็กๆล่ะค่ะ

ผมถามถึงคอลเลกชั่นของเสื้อ้า(เสื้อผ้า)แบรนด์ที่เขาลงทุนอยู่

เขาบก(บอก)ว่าเขาสนใจสินค้าที่มาจากเอเชียในตอนนี้

ขอบใจนายาก(มาก)นะเดล

เดลถามถึงเด็กๆเพาะ(เพราะ)ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเด็กๆดี
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖19.45น
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 19-10-2015 23:55:06
อยากให้ขุ่นพ่อรู้เร็วๆว่าน้องแฝดเป็นลูก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ MP+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 20-10-2015 01:54:11
เมื่อไรปิญญจะรู้ว่าเด็กๆเป็นลูกตัวเอง
อยากให้เสียใจ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: gatenutcha ที่ 20-10-2015 10:11:00
 :hao7:
อ่านรวดเดียวเลย ชอบมากค่ะ  มาต่อไวๆนะค่ะ
ผิงสู้ๆนะ   :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 20-10-2015 10:30:59
คำผิดอีกแล้ววว
คือผิดตอนพิมพ์ไม่เป็นไร แต่พิมพ์เสร็จให้เช็คก่อนจะเอามาลงดีกว่านะ หรือลงเสร็จแล้วกลับมาตามแก้อีกทีก็ได้ เวลาอ่านแล้วเจอคำผิดบ่อยๆมันรู้สึกหงุดหงิดน่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: nutipkra ที่ 20-10-2015 10:37:18
 o13 o13รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 20-10-2015 14:24:43
เอาคืนไอ้คุณปิญช์ให้หนักๆเลยนะขนมผิง เอาให้ร้องไห้หนักมากตุ๊ดแตกเสียจริตไปเลยยิ่งดี รอตอนต่อไปฮั๊บ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 20-10-2015 15:45:01
 o13
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 20-10-2015 20:33:35
ปิญญ์อาจจะลุ่มหลงอยากเอาชนะ  ติดใจในรสชาดแปลกใหม่
ผิงมีแต่ความแค้น แต่ชอบนะดูจะเป็นนายเอกแนวmpreg ที่เอาคืนพระเอกได้เจ็บแสบที่สุด
ไม่มีความรัก นึกไม่ออกว่าจะญาติดีกันได้ไง เห็นแต่แววทำร้ายแก้แค้น จนตายกันไปข้างมากกว่า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 20-10-2015 22:42:32
 :call:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 21-10-2015 00:56:55
 :katai2-1: :hao5:มาอ่านแล้ว

อ่านทีเดียวรวดเลย

นี่จะตีหนึ่งแล้ว

ชอบแนวนี้และก็ชอบที่นายเอกสู้คน

และที่ชอบที่สุดชอบพระเอกนิสัยแบบนี้ สุดท้ายพระเอกรู้สึกผิดและเจ็บปวด อิอิ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 22-10-2015 01:39:35
 :call:
จงมา
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-10-2015 02:58:07
อยากเห็นผิงเอาคืนเร็วๆ จัง นี่ถ้าปิญญ์รู้ว่าแฝดเป็นลูกจริงจะทำยังไงนะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 22-10-2015 13:00:36
รอดูคุณปิญญ์เจ็บกระอักค่ะ
ผิงสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 22-10-2015 17:57:08
ยิ่งรักยิ่งแค้นสินะ :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 7.2 ก้าวแรกของการเอาคืน❖ 19/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 22-10-2015 18:35:10
ผมพลาดเรื่องนี้ไปได้ไง ติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 22-10-2015 21:19:51
8 สั่นคลอน

              ในยามที่ดวงอาทิตย์พึ่งจะพ้นขอบฟ้าได้ไม่กี่ชั่วโมง ร่างสูงใหญ่ของปิญญ์ชานนท์นั่งอยู่ภายในรถด้วยท่าทีนิ่งสงบราวกับราชสีห์ที่ซุ่มรอตะปบเหยื่อ

              ด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยดุจหินผา ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าภายในใจของเขานั้นกลับสั่นไหวราวกับยอดไม้ถูกคลอนด้วยแรงลม

              “คุณปิญญ์ครับ ตอนนี้นายแพทย์วีระกำลังออกเวรแล้วครับ จะให้ผมเชิญเขามาพบคุณหรือว่าคุณจะไปพบเขาด้วยตัวเองครับ”เลขาหนุ่มถามเพื่อความมั่นใจจากด้านนอกของตัวรถ

              เรียกให้ปิญญ์ชานนท์ลดกระจกลงเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังร่างของแพทย์สูงอายุที่เดินออกมาจากตัวตึกของโรงพยาบาล

              เขาค่อนข้างจะขุ่นเคืองเมื่อเงินที่เขานับถือนั้นไม่สามารถจัดการในสิ่งที่เขาต้องการได้ เป็นอีกครั้งที่เงินของเขาถูกปฏิเสธ

              เป็นเหตุที่ทำให้เขาถ่อมาถึงที่นี่เพื่อที่จะมาพบกับนายแพทย์วีระคนนี้ คนเดียวกับที่ออกเอกสารให้กับขนมผิงเมื่อเกือบสี่ปีก่อน

              ภายในใจของชายหนุ่มกำลังร้อนรุ่มด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเงินของเขาถึงได้จัดการเรื่องนี้ไม่ได้

              นายแพทย์อาวุโสคนนี้ปฏิเสธคำเชิญของที่ต้องการจะคุยกันเป็นการส่วนตัว แม้กระทั่งข้อเสนอที่แลกด้วยเงินตราก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

               “ฉันจะเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง”

              ร่างสูงใหญ่ดูน่าเกรงขามในชุดสูทเป็นทางการของเขาย่างก้าวด้วยท่าทีนิ่งสงบเข้าไปหาคุณหมอชราวัยล่วงเข้าห้าสิบที่กำลังเก็บสัมภาระที่เบาะหลังของรถ

              “สวัสดีครับคุณหมอวีระ”กล่าวทักทายเรียกให้อีกฝ่ายละจากข้าวของตรงหน้ามามอง

              “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับ”นัยน์ตาสูงวัยดูฉลาดลอดมองผ่านแว่นสายตา

              “ผมมีเรื่องจะถามคุณสักเรื่องสองเรื่อง พอจะมีเวลาให้ผมสักนิดได้รึเปล่า”ถามพลางเหยียดยิ้ม”

              ซึ่งนั่นก็ทำให้คุณหมออาวุโสคนนี้จ้องมองมาที่ชายหนุ่มร่างสูงอย่างแน่ใจ

              “พอดีผมออกเวรแล้ว ถ้าหากมีอะไรเร่งด่วนล่ะก็ ติดต่อแพทย์ที่เป็นเวรด้านในจะสะดวกกว่านะครับ”เขาตอบอย่างระแวง

              “ผมไม่ได้ป่วยอะไรหรอก แค่ต้องการจะรู้อะไรบางอย่าง รบกวนคุณหมอช่วยตอบคำถามผมสักนิด คงจะใช้เวลาไม่นาน”

              “คุณเป็นใครกัน ผมคิดคุณไม่เคยเป็นคนไข้ของผมนะ”คุณหมอถาม เริ่มนึกปะติดปะต่อเรื่องราว

              เพราะเมื่อเร็วมานี้เขาได้รับการติดต่อจากคนของนักธุรกิจชื่อดังเพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลบางอย่าง ซึ่งนั่นก็เป็นจรรยาบรรณของแพทย์ที่สมควรจะปกปิดข้อมูลคนไข้ให้เป็นความลับ

              “ผมยินดีจ่ายให้ตามที่คุณเรียกร้องหากว่าคุณจะบอกข้อมูลที่ผมต้องการ”

              “คุณคือคนที่ส่งคนมาติดต่อผมเมื่อเร็วๆนี้ใช่ไหม”

              “ใช่แล้ว เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ผมยินดีที่จะจ่ายตามที่คุณเรียก เพื่อที่คุณจะได้สบายใจ…แลกกับข้อมูลอะไรบางอย่าง”ปิญญ์ชานนท์เปิดประเด็น

              “ถ้าเป็นเรื่องข้อมูลของคนไข้ล่ะก็ ผมขอปฏิเสธ ผมไม่สามารถบอกคุณได้หรอก ต่อให้เอาเงินมากองตรงหน้าก็ซื้อจรรยาบรรณแพทย์ของผมไม่ได้หรอก ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว ผมขอตัว”

              “แล้วถ้าผมกำลังสงสัยว่าผมเป็นพ่อของเด็กในท้องของผู้ชายที่เป็นคนไข้ของคุณเมื่อเกือบสี่ปีก่อนล่ะ”ปิญญ์ชนนนท์พูดแย้งเมื่อนายแพทย์สูงวัยเดินหนีไปยังฝั่งคนขับ

              “ยังไงผมก็บอกข้อมูลให้คุณรู้ไม่ได้อยู่ดี”นายแพทย์วีระหันมาตัดบทก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถแล้วขับออกไปทันที

              ทิ้งให้นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่างปิญญ์ชานนท์ยืนกัดฟันด้วยความไม่พอใจ

              เขาไม่สบอารมณ์สักนิดที่เงินของเขาถูกปฏิเสธง่ายดายเช่นนี้

               “ได้เรื่องไหมครับ”มาลิศทักเจ้านายพร้อมกับเปิดประตูรถให้

              “ไม่ นายลองไปสืบดูว่านายแพทย์คนนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมณีรัตน์กรุ๊ปไหม ฉันสังหรณ์ใจว่ามันอาจจะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่มากก็น้อย”

              ไม่มีทางที่นายแพทย์วัยใกล้เกษียรคนนี้จะปฏิเสธเงินก้อนโตได้ หากว่าไม่ได้รับเงินมาจากคนอื่นอยู่ก่อนหน้าแล้ว และคนอย่างขนมผิงก็ไม่มีเงินและอำนาจมากพอที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้

              ถ้าหากว่าเขาคาดการไม่ผิดล่ะก็ เรื่องนี้ต้องมีคนของมณีรัตน์หนุนหลังอยู่เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการจากอำนาจของเงินแล้ว

 

              “จะเข้าบริษัทเลยรึเปล่าครับ ดูเหมือนจะมีเรื่องเร่งด่วนรอการตัดสินใจอยู่”

              “อืม”ปิญญ์ชานนท์ตอบสั้นๆอย่างไม่ใส่ใจ

              ความคิดที่ผุดขึ้นมาในตอนนี้มันกำลังตีกันวุ่นวายไปหมด มันเพราะอะไรกัน เงินของเขาถึงทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการไม่ได้ ปกติแล้วเมื่อเขาต้องการอะไร เงินที่อยู่ในมือก็จะเป็นตัวแปรที่บ่งบอกถึงอำนาจที่มี ทำให้เขาได้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ

              แต่นี่กลับตรงกันข้าม และไม่ใช่ครั้งแรกที่เงินของเขาซื้อในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้

              เมื่อเกือบสี่ปีที่แล้วก็เช่นกันเช็คเงินสดก้อนโตที่เขาจงใจส่งไปเพื่อเหยียดหยามใครคนนั้นกลับถูกตีกลับมาอย่างไม่ใยดี ครั้งนี้ก็เช่นกัน เงินที่เขาเสนอไปถูกมองข้ามราวกับสิ่งที่ไร้ค่า ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอำนาจของเขา

              มือหนากำเข้าหากันแน่นอย่างเจ็บใจ เขาจะต้องรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับขนมผิงให้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ตาม!!

 

              -------------------------------------------------------

 

              “ตอนนี้มีรายงานสำคัญมาจากฝ่ายการตลาด ดูเหมือนจะเกี่ยวกับสรุปการเปรียบเทียบยอดราคาหุ้นของไตรมาศนี้ที่เพิ่งจะออกมาครับ”เลขาหนุ่มบอกกับเจ้านายที่ดูเหมือนว่ากำลังจะใจลอยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

              “เอามาดให้ฉันดู”ปิญญ์ชานนท์ละสมองออกจากเรื่องที่เขากำลังร้อนรนใจอยู่ตอนนี้หันไปตอบ

              “เล่มนี้เป็นรายงานราคาจริงฉบับล่าสุดค่ะ”พลอยฟ้าผู้ช่วยเลขายื่นแฟ้มงานให้เจ้านายที่กำลังไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่ก่อนสักเท่าไร

              “มีอะไรเร่งด่วนกันถึงต้องให้ฉันรีบดูขนาดนี้”ปิญญ์ชานนท์เปิดมันออกอย่างไม่ใส่ใจทำให้ผู้ช่วยทั้งสองปรายตามองหน้ากันอย่ากระอักกระอ่วน

              “คือว่า จู่ๆราคาหุ้นของมณีรัตน์ก็พุ่งสูงขึ้นมาเร็วมากเลยค่ะ”พลอยฟ้าตอบอย่างเก็บท่าที

              “แล้วยังไง”ปิญญ์ชานนท์ถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ

              ยังไงซะอนันตไพลินก็เป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจคู่แข่งที่อยู่รอบข้างสักเท่าไร

              “ตอนนี้ราคาหุ้นของมณีรัตน์จู่ๆก็พุ่งขึ้นมาเทียบเท่ากับของเราหลังจากที่เซ็นต์สัญญากับเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ลอนดอน ทำให้ลูกค้าคนอื่นๆต่างก็หันไปสนใจไปลงทุนกับตลาดใหม่ที่น่าจะมีผลตอบแทนขึ้นสูงไวกว่าของเรา”

              “มันจะเป็นไปได้ยังไง กะอีแค่เวลาสั้นๆแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่ราคาหุ้นที่อยู่ในระดับต่างกันขนาดนั้นจะพุ่งขึ้นมาเทียบเราได้”ปิญญ์ชานนท์เปิดแฟ้มออกด้วยท่าทีที่หงุดหงิดใจอย่างไม่เคยเป็น

              นอกจากเรื่องราวที่กำลังวนใจเขาอยู่ตอนนี้ยังไม่พออีกรึยังไง ยังมีเรื่องของราคาหุ้นที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอีก

              “หลังจากที่แนวโน้มราคาหุ้นของไตรมาศนี้ออกมาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ทางนั้นก็ดึงเอาลูกค้ารายย่อยของเราไปทำให้ราคาหุ้นและผลประกอบการของเราตกลง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงไปของมณีรัตน์กรุ๊ปที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของเราตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ขั้นวิกฤติ”เลขาหนุ่มชิงตอบด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ

              หากแต่คนเป็นเจ้านายที่กำลังใจร้อนอยู่เป็นทุนเดิมอยู่นั้นกลับยิ่งไม่พอใจมากยิ่งกว่าเก่า

              “แล้วทำไมไม่มีใครบอกฉัน!! รายงานฉบับที่แล้วยังไม่มีแนวโน้มว่ามณีรัตน์จะแซงเราได้ แล้วทำไมพวกนายพึ่งจะมาบอกฉันหลังจากที่เราถูกตีเสมอไปแล้ว”ปิญญ์ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด มือหนากำกระดาษในแฟ้มรายงายล่าสุดจนยับยู่ยี่แล้วกระชากมันออกอย่างไม่ใยดี

              เป็นไปไม่ได้ที่องค์กรเล็กๆอย่างมณีรัตน์ที่ไม่เคยสามารถขึ้นมาตีเสมอหรือแม้จะสั่นคลอนอนันตไพลินได้ตอนนี้จะขึ้นมาเทียบเท่าและตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว

              “อันที่จริงเมื่ออาทิตย์ก่อนมีรายงานคะเนราคาชุดใหม่ออกมา แต่ว่า”เลขาสาวพูดค้างเอาไว้ ไม่กล้าพูดต่อว่าช่วงนี้เจ้านายแทบจะไม่โผล่เข้ามาที่บริษัทเลย

              “แต่ว่าอะไร”

              “เอ่อ ช่วงนั้นคุณปิญญ์ไม่ค่อยเข้ามา พลอยโทรไปแจ้งแล้วแต่คุณปิญญ์เป็นคนบอกว่าไม่สำคัญ พลอยเลยไม่ได้รายงาน”เลขาสาวตอบเสียงแผ่ว ดูท่าวันนี้เจ้านายของหล่อนจะอารมณ์เสียไม่น้อย

              “ออกไปได้แล้ว”ชายหนุ่มไล่ผู้ช่วยเลขาสาวก่อนจะหันไปหาเลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน

              “ดูเหมือนว่าเรื่องจะเกิดขึ้นเร็วมาก ในช่วงที่คุณกำลังใส่ใจกับเขาคนนั้นนะครับ”เลขาหนุ่มพูดขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ

              “คนที่ว่าคือขนมผิงสินะ”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มเยาะ เพราะเขามัวแต่ตามขนมผิงเพราะอยากรู้เรื่องราวของอีกฝ่าย ทำให้เรื่องทั้งหมดนี่มันเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

              “ครับ ผมว่าตอนนี้คุณปิญญ์น่าจะเลิกสนใจเขาแล้วเตรียมรับมือกับประธานคนใหม่ของมณีรัตน์ดีกว่านะครับ เพราะผมคิดว่าคุณขนมผิงอาจจะเป็นตัวล่อที่ทำให้คุณไขว้เขว”

              “หมายความว่าไง ประธานคนใหม่ อ้อ จริงสิ ทางมณีรัตน์นั่นพึ่งจะเปลี่ยนประธานคนใหม่ไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายขนมผิงนั่นกัน นายถึงบอกว่าขนมผิงเป็นตัวล่อ”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมองเลขา

              “ข้อมูลที่ผมพึ่งจะได้มาเมื่อครู่มันบ่งบอกว่าคุณขนมผิงมีอะไรเกี่ยวข้องกับประธานคนปัจจุบันของมณีรัตน์กรุ๊ปไม่มากก็น้อย เพียงแต่ว่าตอนนี้เราไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร”

              “หึ ฉันคิดเอาไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันจนได้”ชายหนุ่มเหยียดยิ้มอย่างดูแคลนออกมา

              ยังไงซะคนเป็นลูกก็ต้องเหมือนกันคนเป็นแม่ไม่มีผิด ดูท่าคนชั้นต่ำอย่างขนมผิงจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับประธานคนใหม่ของมณีรัตน์อย่างลึกซึ้งไม่น้อย

              มิน่าเงินของเขาถึงดูไร้ค่าขึ้นมา เขาชักอยากเห็นหน้าประธานคนใหม่ของมณีรัตน์กรุ๊ปขึ้นมาแล้วสิ ว่าเป็นคนแบบไหน มันถึงได้หลงคนอย่างขนมผิงจนตามเก็บเบื้องหลังให้แทบทุกอย่าง

              แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญมากที่สุดก็คือราคาหุ้นของอนันตไพลินที่กำลังสั่นคลอนในเวลานี้ ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นแล้ว การถูกตีเสมอมันไม่ใช่เรื่องที่จะนิ่งเฉยได้เหมือนก่อนหน้า

              มันยิ่งทำให้ปิญญ์ชานนท์หงุดหงิดเป็นเท่าตัวมื่ออีกฝ่ายเป็นมณีรัตน์และเป็นคนที่อาจจะเกี่ยวข้องและคุ้นเคยกับขนมผิง

              ก็คิดเขาก็นึกแค้นขึ้นมาแล้ว เขาดันเผลอปล่อยให้ตัวเองมัวแต่สนใจตัวหลอกล่ออย่างขนมผิงแล้วประมาทละทิ้งจุดยืนที่บัดนี้กำลังสั่นคลอน

              “ติดต่อคุณเฉียนที่สิงคโปร์ที บอกว่าฉันมีข้อเสนอใหม่หากว่าเขาต่อสัญญาระยะยาวกับเราเร็วขึ้น”ปิญญ์ชานนท์บอกด้วยน้ำเสียงแข็ง

              ยังไงซะยักษ์ใหญ่อย่างเขาก็ไม่ยอมถูกโค่นง่ายๆเด็ดขาด อีกฝ่ายก็แค่คลื่นลูกใหม่ ก็แค่สาดเข้ามาแรงๆครั้งเดียวแล้วก็เงียบหายไป

              “ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”

              “เดี๋ยว ฉันมีอะไรจะให้นายทำอีกอย่าง”

              “อะไรเหรอครับ”

              “นายเอานี่ไปตรวจให้ฉันหน่อย ฉันอย่างรู้ว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันบ้างไหม ระหว่างเจ้าของดีเอ็นเอทั้งสามคนนี้”ผู้บริหารหนุ่มยื่นซองพลาสติกใสที่บรรจุเส้นผมสามเส้นให้กับเลขา

              ต่อให้เขาไม่ได้ข้อมูลจากนายแพทย์คนนั้น เขาก็มีทางพิสูจน์ว่าเด็กแฝดสองคนนั้นใช่ลูกของเขาหรือไม่

              มันอาจจะดูตลกกับสิ่งที่เขากำลังจะทำ แต่หลายเรื่องที่น่าสงสัยมันก็ทำให้เขาอดที่จะมองผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้เลยสักนิด

              “อย่าบอกนะครับว่าผมนี่เป็นของเด็กแฝดสองตันนั้นกับของคุณ”

              “ใช่”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้า

              “แต่มันจะดีเหรอครับ ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วอีกอย่างตอนนี้คุณก็ควรจะสนใจเกี่ยวกับราคาหุ้นที่กำลังตกลงมา”

              เลขาหนุ่มแย้ง ดูท่าเจ้านายของเขาจะสนใจเด็กสองคนนั้นมากเกินไปจนประมาทปล่อยให้มณีรัตน์กรุ๊ปที่ไม่มีแววว่าจะขึ้นมาเทียบเสมอได้กลับขึ้นมาตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว

              “ฉันสั่งให้นายไปทำนายก็ไปทำเถอะ เรื่องแค่นี้ฉันจัดการได้”

              ยังไงซะเขาก็แค่ต่อสัญญากับคู่ค้าที่สิงคโปร์ที่กำลังจะหมดลง เท่านี้ความน่าเชื่อถือของเขาก็จะกลับมาเหมือนเดิม

              แล้วคลื่นลูกใหม่ที่มันบังอาจมาเทียบชั้นกับเขาก็จะต้องดับลง พร้อมกับตัวหลอกล่อที่ต้องพินาศด้วยน้ำมือของเขา

              แฟ้มเอกสารชุดล่าสุดถูกโยนลงถังขยะอย่างไร้ปราณีหลังจากที่เลขาหนุ่มเดินออกจากห้องทำงานของเขาไป

              เขาอยากจะรู้ว่าคนอย่างขนมผิงมันมีดีอะไรถึงได้เหยื่อชั้นดีอย่างประธานคนใหม่ของมณีรัตน์มาหนุนหลังให้อย่างนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าขึ้นที่สูงมาเทียบชั้นคนอย่างเขา เขาคนนี้ก็จะทำให้ได้ร่วงกลับลงไปที่เก่า ให้ได้ลิ้มรสว่าคนอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะมาเทียบกันง่ายๆ

              เสียงข้อความโทรศัพท์เข้าทำให้ชายหนุ่มละสายตามามองเครื่องมือสื่อสารเครื่องแพงแล้วเปิดมันขึ้นมา

              รูปถ่ายของขนมผิงกับผู้ชายที่ถูกระบุว่าเป็นเลขาของประธานมณีรัตน์กรุ๊ปคนใหม่ในร้านอาหารบนห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เป็นตัวบ่งบอกชั้นดีว่าขนมผิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับมณีรัตน์กรุ๊ปแน่นอน

              ช่างเป็นผู้ชายชั้นต่ำที่ดูเย่อหยิ่งไม่น้อย ทั้งที่ทำตัวเป็นพวกปลิงเกาะคนอื่น แต่ยังมีหน้าเชิดหน้าใส่เขา ตกลงแล้วคนอย่างขนมผิงเป็นคนยังไงกันแน่!!

              คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำงานของตัวเองทันที ยังไงเขาก็จะไม่ปล่อยขนมผิงไปง่ายๆแน่ คนที่คอยรบกวนจิตใจของเขาแทบทุกเวลาแบบนี้ เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คนไร้ค่าอย่างนั้นหลุดออกไปจากความคิดของเขาสักที

 

              -------------------------------------------

 

              “จะดีเหรอครับ ที่มาเลี้ยงข้าวลูกจ้างอย่างผมแบบนี้”แทนทัพพูดทีเล่นทีจริง

              “เอาน่า คิดซะว่าเป็นการเลี้ยงฉลองที่ราคาหุ้นของเราตีเสมออนันตไพลินได้ง่ายๆแบบนี้”ขนมผิงบอกพร้อมกับตักอาหารใส่จานอีกฝ่าย

              ในเวลานี้ผลตอบแทนที่เขาได้รับมันช่างคุ้มค่ากับราคาแรงที่อุตส่าห์เสียไป

              ขนมผิงชักอยากจะเห็นสีหน้าของปิญญ์ชานนท์ซะแล้ว ว่าเวลานี้จะเป็นเช่นไรเมื่อถูกตีเสมอได้ทั้งที่ยังคงอยู่ในที่สูง

              “อย่าวางใจอะไรง่ายๆสิครับ ทางนั้นเป็นถึงอนันตไพลิน คงไม่ยอมล้มง่ายๆหรอกครับ อีกอย่างตามที่ผมคาดการณ์เอาไว้ อีกไม่นานเขาคงจะกู้สถานการด้วยการต่อสัญญากับทางคู่ค้าที่สิงคโปร์”

              “เอาน่า เรื่องนั้นผมคิดเอาไว้แล้ว อาทิตย์หน้าเราจะบินไปสิงคโปร์กัน”ขนมผิงบอกพลางยิ้ม

              เขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาก่อนในช่วงสามปีที่ผ่านมา

              “อย่าบอกนะครับว่า…”

              “ใช่ เราจะแย่งลูกค้าของอนันตไพลิน แค่นี้ยังเล็กน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่ผมต้องการจะทำ”

              “ผมคิดว่าพอแค่นี้ก่อนจะดีกว่านะครับ อีกอย่างผมเกรงว่าบุคลากรของเราอาจจะไม่เพียงพอที่จะรองรับการเติบโต”

               “คุณทัพไม่ต้องกกังวลหรอก เรื่องพวกนั้นผมคิดเอาไว้หมดแล้ว เอาเป็นว่าวันนี้เรามาฉลองกัน อย่าพูดถึงเรื่องงานเลยดีกว่า”ขนมผิงบอกปัด

              เขารู้ดีว่าแทนทัพเป็นห่วงในหลายๆเรื่องที่ของต้องการจะทำ โดยเฉพาะเป้าหมายของเขาที่ต้องการจะล้มยักษ์ปักหลั่นอย่างอนันตไพลิน เพราะถ้าหากพรากพลั้ง นั่นหมายถึงขนมผิงอาจจะต้องสูญเสียทั้งเดิมพันทั้งหมดที่มี นั่นคือสิ่งที่พ่อของเขาได้สร้างเอาไว้ แต่ทางเดียวที่จะทำให้เขาชนะได้ก็มีแต่ทางนี้เท่านั้น

              ไม่รู้ว่าป่านนี้ปิญญ์ชานนท์จะเป็นอย่างไร คงหงุดหงิดแทบบ้ากับราคาหุ้นที่ตกต่ำลงมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง

              พอนึกแล้วขนมผิงก็ยังไม่หายโกรธเคืองที่อีกฝ่ายเข้ามายุ่งย่ามกับเด็กๆ ทำให้เขาต้องตัดใจส่งเด็กๆให้อยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยงซึ่งจะคอยมาดูแลที่บ้าน แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าปิญญ์ชานนท์จะไม่มีทางเข้าใกล้เด็กๆได้ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ช่องว่างระหว่างเขากับลูกมีมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ต้องมาคอยระแวงว่าอีกฝ่ายจะโผล่มาแย่งลูกไปเมื่อไร และมีเวลาใส่ใจกับงานมากขึ้น

               “ความจริงผมก็ไม่อยากให้คุณรีบร้อนแบบนี้นะครับ อีกอย่างคุณก็น่าจะพักผ่อนบ้าง”แทนทัพตอบเสียงเบาแล้วตักอาหารใส่จานของเขา

              “ผมก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย”

              “คุณอาจจะมัวยุ่งกับงานจนลืมสังเกตไปว่าตัวเองซูบลงไปมาก”

              “คุณทัพคงจะคิดมากไปเอง เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงได้พาคุณออกมาพักสายตาและกินข้าวข้างนอก”ขนมผิงบอกปัดก่อนจะละสายตาหลบจากสายตาที่แสดงออกถึงความห่วงใย

              “ยังไงซะ ผมไม่อยากให้คุณดันทุรังทำในสิ่งที่เกินตัว”

              “ผมบอกคุณทัพแล้วไงว่าเรามาฉลอง ผมจะไม่คุยเรื่องงาน อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้ดันทุรัง”

              มันอาจจะจริงที่แทนทัพว่ามันเกิดตัวไป แต่ในเมื่อเขาได้ก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรกมาแล้ว มีแต่ต้องก้าวเดินขึ้นไปจนจุดสูงสุด…ก้าวเดินขึ้นไปเพื่อที่จะมองเห็นอีกฝ่ายจมลงไปกับตา

 

              หลังจากจบมื้ออาหารขนมผิงกับแทนทัพก็พากันเดินย่อยอาหารอยู่พักใหญ่เพื่อเตรียมตัวกลับไปทำงานต่อ ในระหว่างที่กำลังเดินด้วยความสบายใจอยู่นั่นเอง

              แขนข้างหนึ่งก็ถูกดึงเอาไว้อย่างกะทันหัน จนร่างสูงโปร่งเซไปตามแรงดึงเกือบจะล้ม

              “อยู่นี่นี่เอง ให้ฉันเดินหาแทบแย่”น้ำเสียงดูถูกแบบนี้คงเป็นใครไม่ได้นอกจากปิญญ์ชานนท์!!

              การปรากฏตัวของอีกฝ่ายทำให้ขนมผิงชะงักด้วยท่าทีตกใจ ตาคู่สวยจ้องมองร่างสูงในชุดสูทราคาแพงเขม็ง

              “อะไรของคุณ!!”บอกด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อยก่อนจะดึงมือกลับ

              ทว่าแรงบีบที่กดลงมาบนแขนกับท่าทีคุกคามของอีกฝ่ายนั้นทำให้ขนมผิงไม่ไม่สามารถสะบัดแขนออกจากการจับกุมของอีกฝ่ายได้

              “หึ ดูท่านายจะมีเหยื่อให้เลือกไม่ซ้ำหน้าเลยสินะ”เสียงทุ้มพูดอย่างเย้ยหยันก่อนจะปลายตามองชายร่างสูงที่อยู่ข้างกันกับขนมผิง

              “รู้จักกันเหรอครับ”แทนทัพเดินมาขนาบข้างพลางถามเสียงเรียบ ดวงตาคู่นิ่งเฉยจ้องมองมือของปิญญ์ชานนท์ที่กำลังบีบแขนผอมของเจ้านายนิ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจกับท่าทีคุกคามสักเท่าไร

              “ไม่ครับ ผมไม่รู้จักเขา”ขนมผิงตอบเสียงเรียบก่อนจะเบือนหน้าหนีเล็กน้อย

              ซึ่งนั่นก็ทำให้ใครอีกคนขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ

              “อย่ามาเสแสร้งไปหน่อยเลยน่าขนมผิง นายจะปฏิเสธว่านายไม่รู้จักฉันได้ยังไงในเมื่อเรารู้จักกันอย่างดี”พูดพร้อมกับบีบมือลงมาแน่นกว่าเดิม

              ดูท่าปิญญ์ชานนท์น่าจะหงุดหงิดมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาเจอเข้าแสดงท่าทีอย่างนี้ถึงได้ดูหงุดหงิดมากโข

              ขนมผิงอยากจะรู้จริงๆว่าปิญญ์ชานนท์หงุดหงิดกับเรื่องอะไรมา เพียงแค่คาดเดาก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายจะยั่วยุอารมณือีกฝ่ายให้ทวีคูณ

              “คุณพูดอะไรน่ะ ผมไม่เคยรู้จักคุณสักหน่อย”

              “มันจะมากไปแล้วนะขนมผิง!!”แทบจะทันทีที่ปิญญ์ชานนท์แสดงท่าทีก้าวร้าวตอบกลับมา

              ทว่ามือใหญ่ของแทนทัพก็รั้งแขนของปิญญ์ชานนท์เอาไว้ก่อนที่ปิญญ์ชานนท์จะกระชากร่างของขนมผิงให้ถลาเข้าไปหา

              ในเสี้ยววินาทีที่ชายหนุ่มทั้งสามคนชุลมุนวุ่นวาย นัยน์ตาคู่นิ่งเฉยก็สบเข้ากับนัยน์ตาคู่ดุดันที่แสดงออกถึงความโกรธจัด

              “คุณผิงบอกไม่รู้จักคุณ คุณก็สมควรที่จะปล่อยมือจากเขานะครับ จริงอยู่ที่คุณอาจจะรู้จักชื่อของเขา แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้จักคุณ”

              “สงสัยจะเป็นโรคจิตน่ะครับคุณทัพ ถึงได้คอยตามรังแกคนอื่นเขาอย่างนี้”ขนมผิงเสริมพร้อมกับเหยียดยิ้ม

              และนั่นก็เป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับไฟที่กำลังลุกไหม้

              “นายคงจะเป็นเหยื่ออีกคนสินะ ทางที่ดีนายอย่ามายุ่งดีกว่า ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”ปิญญ์ชานนท์ข่มเสียง จ้องมองแทนทัพด้วยท่าทางคุกคามไม่แพ้กัน

              “ผมไม่รู้หรอกครับว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร แต่คุณผิงได้ยืนยันแล้วว่าเขาไม่รู้จักคุณ คุณก็ควรจะปล่อยมือออกจากเขานะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องเรียกรปภ. คุณคงไม่อยากจะขายหน้าต่อหน้าคนมากมาย ดูท่าคุณเองก็ไม่ใช่คนทั่วไปซะด้วย ผมคงจะคิดถูกสินะครับ รบกวนช่วยปล่อยมือจากคุณผิงด้วยนะครับ”แทนทัพพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มหู

              แต่มือใหญ่ที่จับเข้าที่แขนของอีกฝ่ายนั้นกลับออกแรงบีบหนักมือให้ตาคู่ดุของปิญญ์ชานนท์วาวโรจน์

              แต่ท้ายที่สุดเมื่อทั้งสามคนเป็นจุดสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ในที่สุดปิญญ์ชานนท์ก็ยอมคลายมือออกจากแขนของขนมผิง

               “มันไม่จบง่ายๆหรอกนะขนมผิง นายได้เจอผลตอบแทนจากสิ่งที่นายทำไว้สาสมแน่”คาดโทษก่อนจะหันหลังเดินจากไป

              “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร แต่ว่า ผมเองก็จะไม่ยอมให้คุณมารังแกผมง่ายๆแน่นอน”ขนมผิงพูดให้อีกฝ่ายได้ชะงักเท้าเอาไว้ ก่อนจะเดินไปต่อพร้อมกับอารมณ์ที่ไม่มั่นคง

              ดูจากอารมณ์แล้วปิญญ์ชานนท์คงจะหงุดหงิดมาก ถึงได้มาลงอารมณ์กับเขาแบบนี้ แต่ที่เขาสงสัยก็คงไม่พ้นว่าปิญญ์ชานนท์มาเจอเขาได้ยังไง

              “นั่นคุณปิญญ์ชานนท์ประธานอนันตไพลินนี่ครับ ทำไมคุณถึงบอกว่าไม่รู้จักเขา แล้วอีกอย่างทำไมเขาถึงได้เข้ามาทำท่าคุกคามคุณอย่างนั้นล่ะครับ”หลังจากที่อีกฝ่ายเดินจากไปแทนทัพก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

              “สงสัยเขาคงกำลังหงุดหงิดกับเรื่องที่เกิด อีกอย่างคนอย่างนั้นผมไม่คิดจะรู้จักด้วยหรอก”ตอบพลางลูบแขนที่ถูกบีบเมื่อครู่เบาๆ

              ความรู้สึกเจ็บร้าวมันยังคงอยู่ไม่หาย ราวกับว่าถูกลิ่มหมุดแหลมคมตอกเอาไว้ให้ได้ฝังอยู่ในนั้นตลอดเวลา

              “ผมไม่รู้หรอกครับว่าก่อนหน้าคุณกับเขามีเรื่องอะไรกันมาก่อน แต่เป็นถึงขนาดนี้ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้”

              แทนทัพคว้าเอาแขนของขนมผิงไปลูบเบาๆ ถึงแม้จะแปลกใจจากการกระทำ แต่ขนมผิงก็เลือกที่จะดึงแขนกลับมาเบาๆ

              “อย่าห่วงเลย ยังไงตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร”

              “นั่นแหละครับ ผมถึงเป็นห่วง บางทีผมว่าคุณอาจจะต้องมีคนคอยติดตามสักคน ผมคงอยู่กับคุณตลอดเวลาไม่ได้”

              “คุณกำลังพูดถึงบอดี้การ์ดใช่ไหม”เงยหน้าถามออกไป

              อันที่จริงขนมผิงก็เคยอยู่ในจุดที่ไม่มีอะไรมาก่อน การที่จะต้องมีคนมาคอยเอาใจหรือใช่ชีวิตฟุ่มเฟือยเพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งมันก็อาจจะดูเกินไป แต่บางทีในเวลานี้มันก็อาจจะจำเป็นสำหรับเขา

 

              เพื่อที่จะรับมือกับสุนัขจนตรอกที่ไม่รู้ว่ามันจะกลายร่างเป็นหมาบ้ามาแว้งกัดเอา

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 22-10-2015 21:26:07
  o18 o18
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 22-10-2015 21:30:08
ขอคนแรก

ขอตัวไปอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 22-10-2015 21:33:40
สองคนนี้ก็มีเคมีดึงดูดกันพอสมควรนะ
เสียแต่ว่า ความแค้นมันบังตากันไปหมด กว่าจะยอมวางลงได้คงอีกนาน คาดว่าจะย่อยยับกันไม่น้อย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 22-10-2015 21:35:10
คุณแม่ใจเย็นๆน้าาาา แฝดอ้วนตกใจหมดเลย ตาพระเอกนี่ร้ายยังไงก็แย่อย่างนั้น  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 22-10-2015 21:37:21
ขนมผิง แพ้ตลอด ททำไรบ้างสิ ไหนจะแก้แค้น  ถ้ายังเป็ยแบบนี้ ก็แพ้ไปเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 22-10-2015 21:52:40
เดาว่าพระเอกเริ่มสงสัยแล้วว่า

เมื่อ3ปีก่อนที่นายเอกบอกว่าท้องอาจจะจริง

เห็นขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ

ดีแล้วที่นายเอกไม่ยอมง่ายๆ

ปล กด+จ้า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: gatenutcha ที่ 22-10-2015 21:57:59
 :z6:
เกลียดพระเอกค่ะ  ขนมผิงสู้ๆนะ เอาคืนให้เจ็บแสบเลย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: JY_JRB ที่ 22-10-2015 21:58:46
น่าเบื่ออะ นายเอกกยังงี้ .. ดีแต่ปาก  ปากก็บอกว่าจะนั่นจะนี่ ถึงเวลา.... โอ่ย นกกระจอกยังไม่ทันได้เห็นบ่อน้ำเลยเจ้าค่า


- -....   จะอ่อนแอ อ๊อง แอ๊ง ไปถึงไหน   

ปล.  ขอโทษที อารมณ์เต็มๆ   

จะเฝ้ารอนายเอกนะอิที่บอกว่า จะสู้จะเข็มแข็งนั่นน่ะ  (แต่ สงสัยจะยาก  ดูเหลวตั้งแต่เริ่มเลย  มันน่าจะเข็มแข็งแล้วค่อยๆอ่อนลงดิ่  ปวกเปียกแต่แรก ต่อไปจะเหลืออะไร หละเน้อ  ขนมผิง)
 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Abella ที่ 22-10-2015 22:06:25
นี่จะเริ่มต้นเอาคืนแล้วใช่ไหมพอเอาคืนก็อยากให้ขนมผิงเข้มแข็งเหมือนที่เคยพูดไว้ ไม่อยากให้อ่อนแอให้ใครรังแกอีก :mew5:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 22-10-2015 22:10:47
ขนมผิง คุณปิญญ์    แค้นไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ     :hao4:   

ฐิถิน่ะวางลงมั่งก็ได้  อะไรกันกันหนา  ปล่อยให้ความโกรธแค้นมาครอบงำซะได้  ต่างคนต่างเจ็บซะเปล่าๆ

ถ้าคุณปิญญ์รู้ว่า  ตัวเองมีลูกแถมน่ารักซะด้วยจะเป็นไงนะ    :katai1:   

กว่าจะกลับมารักกันคงแทบกระอักเลือดเลยมั้งเนี่ยยยยยย    :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 22-10-2015 22:21:04
ชังน้ำหน้าพระเอกจังค่ะ ความคิดแต่ละอย่างเกินเยียวยาจริงๆ 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 22-10-2015 23:15:55
แค้นด้วยกลัวด้วยนี่ไม่เรียกว่าสับสนนะ จะกลัวพระเอกมาแย่งทำไม ตัวเองก็ไม่ได้กระจอก อำนาจเงินก็มี ฟ้องศาลกันก็ยังมีข้อความที่บันทึกไว่ว่าพระเอกจะไม่รับผิดชอบและตลอดตั้งแต่นายเอกท้องจนถึงตอนนี้แม่งไม่เคยดูแล ไม่เคยสนใจ พระเอกจะฟ้องชนะก็บ้าแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 23-10-2015 01:56:12
ขนมผิงต้องเข้มเเข็งสิ

อย่าไปยอมคุณปิญญ์ง่ายๆเข้าใจว่าห่วงเด็กๆ แต่จะยอมแพ้ไม่ได้นะ

อีตาคุณปิญญ์ก็ร้าย พูดจาไม่เข้าหู มันน่าโดนขุ่นผิงตบให้ปากแตก

อินจัด :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-10-2015 04:29:01
 o18
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-10-2015 07:39:51
รำคาญปิญญ์ไม่รักไม่ชอบหรือเกลียดเค้าก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเค้าซิ ทำไมถึงไม่รู้จักปล่อยวางซะบ้าง หรือถ้าเริ่มรัก เริ่มหวั่นไหวก็จีบเค้าดีๆ เริ่มรำคาญพระเอกแล้วที่แหย่ให้นายเอกต้องหัวหมุนแบบนี้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 23-10-2015 14:42:48
อยากให้มองว่าขนมผิงรักลูกและหวงลูกมากกว่า
เพราะความเป็นแม่ยอมได้หมดหากว่าใครจะมาแย่งลูกไป
ขนมผิงจะคอยระเเวงตลอดว่าพระเอกจะมาแย่งเอาลูกของตัวเองไป
เลยทำให้ตอนนี้ ขนมผิงยอมอ่อนให้
มันเหมือนกับเป็นการลองสนาม ตอนเเรกๆ เป็นการเริ่มต้นของควมเข้มแข็ง
เพราะมาเจอกับของจริงเลย อีกทั้ง เหมือนจะแย่งลูกไป เลยทำให้ดูร้อนรนและกลัวๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 23-10-2015 16:27:47
เข้ามาให้กำลังใจคนเขียนนะฮะ :กอด1:
ขนมผิงสู้ๆ อย่ายอมให้เด็กอ้วนกลมสองคนโดนแย่งไปน้าาาา :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 23-10-2015 17:44:53
ปิญญ์เหมือนคนมีปมอะไรซักอย่าง อาจจะเป็นการถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กหรือมีเหตุการณ์ให้จำฝังใจ อยู่กับสิ่งแวดล้อมเลวๆมาจนทำให้กลายเป็นคนใจพุดเดิ้ลแบบนี้ เห็นใจพระเอกนิด แต่อยากโดดถีบมากกว่า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 23-10-2015 19:02:10
เมื่อไหร่ผิงจะสู้พระเอกได้เนี่ย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 23-10-2015 23:42:25
ขนมผิงอย่ายอมแพ้สิ
ต่อยให้หงายเลย
สู้เลยอย่ายอมเขาเราต้องเข้มแข็ง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 24-10-2015 00:03:27
นายเอกจะกลัว อะไร ถามหน่อย ไหนหลักฐานที่บันทึกเสียงไว้ ตัวเองก็มีฐานะ พอๆกับเขา อำนาจก็พอๆกัน กลัวอะำร เออถ้าจนมาก จนไม่รู้จะกินอะไร ไม่มีเงินเลย ก็ว่าไปอย่าง นายเอกดีแต่พูด จะทำแบบนั้น เอาคืนแบบนี้ ดีแต่ปากจิงๆ พอเจอพระเอกจิงๆ สั่นเป็นเจ้าเข้า เขาจะมาแย่งลูกได้ยังไง ฟ้อไปก๋แพ้ ไม่เคยมาดูดำดูดี เราดลี่ยงมาคนเดวตลอด 3 ปี แบยนี้ ศาลยังจะให้เข้า ชนะอีกเหรอ หลักฐานต่างๆก็มี พอตัวเองก็มีอำนาจ ไม่น่าจะขี้กลัวนะ ทำไปทำมา นายเอกจะหน่อมแน๋ม เข้าไปทุกที ไม่ได้ว่านิยายนะ แค่เกลียดพระเอก หาเรืรองนายเอกอยู่ได้ และอยากเห็นพระเอก ดิ้น ทุรนทุราย กับสิ่งที่ทำบ้าง อยากเหน จะรอวันนั้น
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 25-10-2015 04:15:28
ผิงใจสู้กว่านี้นิดนึงก้อยังดีนะ
รู้สึกเจอกันแล้วแพ้ทางยังไงไม่รู้สิ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 8 พบเจอ❖ 22/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 26-10-2015 04:37:33
 :call:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 29-10-2015 06:32:41
9 ยัดเยียด

 

              กำหนดการเดินทางไปสิงคโปร์ถูกยกเลิกแบบกะทันหันเมื่อเป้าหมายที่ต้องการที่ไปพบไม่ได้อยู่ที่นั่น คู่ค้ารายใหญ่ของอนันตไพลินเป้าหมายที่ได้เล็งเอาไว้กลับไปพักร้อนที่โรมแทนที่จะอยู่ที่สิงคโปร์

              “จะดีเหรอครับที่จะมาเจอกับคุณเฉียนตอนที่เขามาพักผ่อนเอาแบบนี้น่ะครับ”

              แทนทัพถามในระหว่างที่รถกำลังแล่นไปโรงแรมหรูระดับเจ็ดดาว ขนมผิงจงใจเลือกที่นี่เป็นพิเศษเพราะเป้าหมายของเขาได้พักอยู่ที่นี่

              “จะพักผ่อนหรือว่าทำงานมันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ”ตอบพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

              ไม่มีนักธุรกิจที่ไหนที่จะมาพักผ่อนไกลขนาดนี้โดยปราศจากเรื่องธุรกิจได้

              “นั่นสินะครับ แต่ผมก็ว่ามันก็ไม่เหมาะอยู่ดี มันดูไม่เป็นทางการนะครับ คุณผิงน่าจะรอพบเขาที่สิงคโปร์ดีกว่านะครับ ผมว่า”

              “ไหนๆก็มาแล้ว อย่าเครียดไปสิคุณทัพ ต่อให้ตามไปประเทศด้อยความเจริญผมก็จะไป ขืนช้ามีหวังทางอนันตไพลินคงจะเร่งเซ็นต์สัญญาก่อนที่เราจะตกลงกับเขาได้สำเร็จกันพอดี”

              “ครับๆ ว่าไงก็ว่าตาม ผมมันเป็นลูกจ้างนี่ครับ”แทนทัพทำทีตัดพ้อทีเล่นทีจริง

              “ถ้าคิดว่าเป็นลูกจ้างก็อย่างเถียงเจ้านายสิ”ยิ้มเบือนหน้าหันไปมองสองข้างทางของประเทศที่ไม่คุ้นตา

              บรรยากาศโดยรอบต่างจากที่ที่เขาคุ้นเคยโดยสิ้นเชิง ทั้งถนนและผู้คนโดยรอบ

              ส่วนลึกในใจของเขามันกำลังตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องมาในที่ที่ไกลแสนไกลและไม่คุ้นเคยอย่างนี้ แต่คำตอบหนึ่งเดียวของเขาก็คงหนีไม่พ้นคำว่าแก้แค้น เขาต้องการที่จะแก้แค้นพวกอนันตไพลิน…พวกคนที่คิดว่าตัวเองสูงส่งทั้งที่จิตใจนั้นต่ำช้า

 

              ไม่นานรถก็มาจอดที่หน้าโรงแรมหรู พนักงานต้อนรับเข้ามาจัดการยกกระเป๋าจนแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากเดินเข้าไปด้านใน ถึงขนมผิงจะเริ่มคุ้นชินในกับการที่ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายบ้างแล้ว แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่าตอนนี้เขาเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่

              “นี่ห้องของคุณนะครับ ส่วนห้องผมอยู่ข้างๆ ถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้เลย แล้วก็อย่าลืมพกโทรศัพท์มือถือไว้ตลอดเวลาด้วยนะครับ ที่นี่ไม่ใช่อังกฤษที่คุณคุ้นเคย คนที่นี่เขาไม่ใช้ภาษาอังกฤษกัน หากคุณขาดเหลืออะไรเทคโนโลยีจะช่วยคุณได้ แต่ทางที่ดีคุณอย่าไปไหนเวลาที่ไม่มีผมจะดีกว่า”แทนทัพสั่งทิ้งท้ายราวกับขนมผิงเป็นเด็ก

              “คุณพูดเหมือนผมเป็นเด็กเลยนะ ทั้งที่ผมเป็นคุณพ่อลูกสองแต่คุณยังโสด”

              “ผมก็แค่พูดกันเอาไว้ก็เท่านั้น อีกอย่างผมก็ไม่อยากให้คุณทำอะไรที่มันเกินตัว…ผมเป็นห่วงคุณนะครับ”คราวนี้กลับพูดด้วยสายตาที่จริงจัง

              “ไม่มีอะไรจะต้องห่วงไปหรอก คุณอย่าวิตกไปเลย ผมบอกคุณแล้วว่าเรามาพักผ่อน อย่าคิดมากสิ มันทำให้หน้าดูแก่ เดี๋ยวจะไม่มีผู้หญิงสวยๆมามองเอา”

              “ผมไม่สนใจผู้หญิงคนไหนหรอกครับ ตราบใดที่ยังมีคุณอยู่ข้างๆ”

              ขนมผิงไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่ากับแววตาไม่พอใจของอีกฝ่าย คำพูดที่กำกวมนั้นทำให้รู้สึกประดักประเดิดใจไม่กล้าที่จะมองตอบเลขาหนุ่ม

 

              --------------------------------------------------------

 

 

              หลังจากที่อาบน้ำเสร็จบรรยากาศด้านนอกก็เปลี่ยนแปลง อากาศเริ่มเย็นตัวลงเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท

              ขนมผิงแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีเข้มพับแขนกับกางเกงแสลคเข้ารูปพอเป็นพิธี ร่างสูงโปร่งเดินลงไปที่เล้าจ์ของโรงแรมที่เป็นบาร์กึ่งเรสเตอรองบ่งบอกถึงความหรูหรา ได้ยินเสียงเพลงจังหวะช้าช้าฟังสบายเข้ากับบรรยากาศสลัวๆ

              ขนมผิงสอดส่ายสายตามองหาคนที่ทำให้เขาต้องบินข้ามโลกมาไกลขนาดนี้ ถึงแม้เขาจะไม่เคยเจอกับคุณเฉียน แต่เขาก็เคยเห็นอีกฝ่ายจากรูปถ่ายที่แทนทัพเคยให้เอาไว้เป็นข้อมูล

              ตาคู่สวยสะดุดเข้ากับชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบ ร่างสูงใหญ่ท่าทางเจ้าชู้ตรงกับประวัติที่เขาได้มาไม่ผิดเพี้ยนกำลังนั่งจิบมาร์ตินี่อยู่ที่เค้าเตอร์ของเล้าจ์ ขนมผิงไม่แปลกใจเลยสักนิดกับประวัติที่ได้มาในเมื่อข้างกายของชายหนุ่มกำลังมีสาวผมบลอนนั่งอิงแอบแนบกายอยู่

              ขนมผิงจงใจที่จะเดินตรงเข้าไปนั่งข้างๆเพื่อที่จะดึงดูดให้อีกฝ่ายหันมามอง อย่างน้อยเขาก็เป็นคนเอเชียเหมือนกันแน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจได้บ้าง และอย่างที่คิดเอาไว้ที่อีกฝ่ายหันมามองเขา แต่ก็แค่วูบเดียวก่อนจะหันกลับไปสนใจกับมาร์ตินี่แก้วแพงกับสาวข้างกาย

              ขนมผิงเรียกบริกรก่อนจะจงใจสั่งเครื่องดื่มอย่างเดียวกับที่ คุณเฉียนสั่งสองแก้ว ยกมือส่งสัญญาณให้บริกรส่งแก้วเครื่องดื่มหนึ่งในสองแก้วเป็นอภินันทนาการให้กับอีกฝ่ายที่กำลังคลอเคลียกับหญิงสาว

              เมื่อบริกรเลื่อนเครื่องดื่มไปตรงหน้าใบหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นเอเชียก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉงนใจ แต่ก็ต้องพยักหน้าเมื่อบริกรชี้มาทางขนมผิง

              ขนมผิงยกยิ้มก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มเป็นการทักทาย

              “ไม่ทราบว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนไหมครับ ทำไมผมถึงไม่คุ้นหน้าคุณเลย”อีกฝ่ายถามเป็นภาษาอังกฤษ

              “ไม่ครับ เราไม่เคยรู้จักกัน…ไม่แม้แต่จะเคยเจอกัน”ตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

              “แล้วทำไมคุณถึง…”อีกฝ่ายเว้นวรรคก่อนจะยกแก้วมาร์ตินี่ขึ้นแล้วกระดกรวดเดียวแล้วคว่ำแก้วลงอวดให้ดูว่าไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียว “มีน้ำใจกับผมล่ะ หรือว่าคุณมีจุดประสงค์อะไร”ยกยิ้มเจ้าเล่ห์

              “แน่นนอนว่าผมมีจุดประสงค์”

              “จุดประสงค์อะไรในเมื่อผมไม่เคยรู้จักคุณ ไม่แม้แต่จะเจอกันตามที่คุณบอก”ตอนนี้ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหันมาหาขนมผิงเต็มตัวทิ้งให้สาวเจ้านั่งมองตามตาปริบๆ

              “จริงอยู่ที่เราไม่รู้จักกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำความรู้จักกันไม่ได้นี่ครับ”พูดจบขนมผิงก็กระดกแก้วมาร์ตินี่รวดเดียวแล้วคว่ำแก้วลงเพื่อให้เขาดูว่าไม่เหลือสักหยดเช่นกัน

              “ผมชักถูกใจคุณแล้วสิ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครกัน พอจะแนะนำตัวให้ผมรู้จักได้ไหม”

              “ผมชื่อขนมผิง เป็นว่าที่ประธานคนใหม่ของมณีรัตน์กรุ๊ป บริษัทสิ่งทอที่อยู่ในไทย หวังว่าคุณจะพอรู้จักนะครับคุณเฉียน”ขนมผิงพูดชื่อของอีกฝ่ายบ่งบอกเป็นนัยน์ว่ามีวัตถุประสงค์แอบแฝงในการเข้าหาเขา

              “มิน่าคุณถึงได้รู้จักผม คนไทยนี่น่ากลัวจริงๆนะครับ ถึงขั้นมากวนเวลาพักผ่อนกันขนาดนี้ ดูท่าจะเชือดเฉือนกันหนักน่าดู”อีกฝ่ายก็น่าจะรู้แล้วว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไรถึงได้ตามมากวนเวลาพักผ่อนเช่นนี้

              “ก็คงอย่างนั้น”

              “แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ ถึงได้กล้าบินมารบกวนการพักผ่อนของผม ดูท่าคุณคงมีอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจเป็นพิเศษ”พูดจบก็หันไปสั่งมาร์ตินี่เพิ่มอีกสองแก้ว

              “แน่นอน ผมมีข้อเสนอดีดีมาให้คุณ”ขนมผิงว่าพลางรับเครื่องดื่มแก้วใหม่มาไว้ในมือ

              “ถ้าคุณแน่ใจว่าคุณมีดีคุณก็ลองเสนอผมมาสิ แล้วผมจะพิจารณาดูว่ามันดี…อย่างที่ว่าไหม”

              ไม่ว่าเปล่าแต่ปลายนิ้วกลับเอื้อมมาข้างหน้า แตะลงบนผิวแก้มของขนมผิงอย่างเบามือราวกับต้องการจะลองใจว่าจะเบี่ยงหลบไหม

              “แน่นอน มันต้องดีพอสำหรับคุณ”

              ขนมผิงตอบหนักแน่น ปล่อยให้ปลายนิ้วนั้นเกลี่ยลงบนผิวแก้มและลากผ่านไปมาเบาๆ ตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าที่ดูเหมือนจะพึงพอใจของอีกฝ่ายแน่นิ่งไม่ไหวติง

              ขนมผิงรู้ดีว่าข้อเสนอแบบปากเปล่าของเขานั้นมันไม่หนักแน่นพอ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายอาจจะยังไม่เชื่อใจเขานัก แต่ระยะเวลาก็ผ่านไปนานมากพอที่ข้อเสนอทางการค้าของเขาจะถูกตีกลับด้วยคำถามและถูกโต้กลับด้วยคำตอบของเขาด้วยน้ำเสียงอันมั่นใจ

              ซึ่งแน่นอนว่าข้อเสนอที่เหมือนจะตัดราคากับคู่แข่งย่อมเป็นที่น่าสนใจมากพอ โดยเฉพาะราคาระหว่างมณีรัตน์ของอนันตไพลินที่ค่อนข้างจะห่างกันพอสมควร ถึงแม้ว่าผลประกอบการมันจะไม่สูงมาก แต่มันก็คุ้มค่าเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่คนพวกนั้นคิดว่าเป็นของตัวเองมาไว้ในครอบครอง

              “ข้อเสนอของคุณน่าสนใจอย่างที่บอกก็จริงนะผิงผิง แต่ดูเหมือนว่า บุคลากรในองค์กรของคุณจะไม่เพียงพอต่อการรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

              อีกฝ่ายพูดแย้งในจุดที่ด้อยกว่าของมณีรัตน์ ซึ่งแน่นนอนว่าจุดอ่อนพวกนั้นขนมผิงย่อมรับรู้และเตรียมแก้ไขเอาไว้แล้วเป็นอย่างดี

              “ข้อนั้นผมรู้ดี ผมขอเวลาคุณเฉียนสองเดือนในการจัดหาบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร เมื่อถึงเวลานั้นคุณกับผมเราพอที่จะร่วมทางเดินด้วยกันได้ไหม”

              “หึหึ ดูท่าคุณจะยังไม่รู้นะว่าคุณต้องเป็นฝ่ายที่ให้ผมต่อรอง ไม่ใช่เป็นฝ่ายที่จะมาต่อรองผมนะผิงผิง แต่ในเมื่อคุณกล้าที่จะมารบกวนผมถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็กล้าที่จะใช้ทางเดินเดียวกับคุณหากคุณคิดว่าจะทำมันสำเร็จภายในเวลาสองเดือน อย่าลืมล่ะว่าสัญญาของผมกับคุณปิญญ์เองก็กำลังจะหมดลงภายในสองเดือนเช่นกัน”

              “แน่นอน ผมมั่นใจว่าผมทำได้”ขนมผิงเหยียดยิ้มตอบกลับคล้ายกับท้าทายเพื่อเรียกความมั่นใจ

              “อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ คนไทยนี่ดูน่ากลัวทุกคนเวลาที่ต้องการได้อะไรมาเป็นของตัวเอง”

              “ครับ คนไทยจะน่ากลัวมากกว่านี้อีก ถ้าหากว่าโดนดูถูกเหยียดหยามนะครับ”

              “ฮ่าฮ่า คุณนี่ท่าทางมีอารมณ์ขันนะผิงผิง ดีใจที่ได้เจอคุณจริงๆ ไม่นึกเลยว่าบนโลกนี้จะมีคนที่ภายนอกดูน่าเข้าหาแต่ภายในกลับน่ากลัวแบบนี้”ว่าพลางยื่นแก้วมาชน

              “ผมก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำ”ไหวเหล่แล้วยกแก้วขึ้นดื่ม

              เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่น ทำให้ขนมผิงละความสนใจแล้วหยิบมันขึ้นมาดู โดยที่สายตาของอีกฝ่ายยังคงจ้องมองด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ไม่จางหาย

              ชื่อของแทนทัพขึ้นอวดบนหน้าจอส่งให้ขนมผิงต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

              “ดูเหมือนซินเดอเรล่าต้องกลับแล้วล่ะครับ”ขนมผิงยิ้ม

              “แฟนคุณโทรมาตามงั้นเหรอ”

              “เปล่าหรอกครับ ก็แค่ผู้ปรกครองน่ะ”พูดติดตลกออกไป

              “หวังว่าคงจะเป็นผู้ปรกครองจริงอย่างที่ว่านะครับ ท่าทางหงุดหงิดขนาดนั้นน่าจะเป็นผู้ปรกครองของคุณ”

              ใบหน้าของคู่ค้าวัยสามสิบต้นๆพยักหน้าไปยังเบื้องหลังให้ขนมผิงได้หันหลังกลับไปมอง แล้วก็เจอเข้ากับใบหน้าของเจ้าของสีผิวเข้มในแบบฉบับของคนไทย

              “นั่นแหละครับผู้ปรกครองของผม ผมคงต้องขอตัว”

              ว่าพลางลุกขึ้น แต่คงเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มที่ดื่มเข้าไป ถึงได้ทำให้ร่างสูงโปร่งโงนเงนจนคู่ค้าทางธุรกิจต้องยื่นมือมารับเอาไว้

              “ระวังหน่อยสิครับ ผู้ปรกครองคุณจะโมโหเอา”

              “ขอบคุณ”

              “กู๊ดไนท์ครับ ผิงผิง”

              “เช่นกัน”บอกก่อนจะเดินถอยออกมา ไม่ลืมที่จะทิ้งรอยยิ้มให้กับอีกฝ่าย

              จังหวะเดียวกันกับแทนทัพที่เดินมาใกล้พอดี สายตาของแทนทัพไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรในการไปไหนมาไหนโดยไม่บอกกล่าวของขนมผิงในครั้งนี้

              “คุณกล้ามากเลยนะครับที่ออกมาโดยที่ไม่บอกผมทิ้งให้ผมยืนเคาะประตูห้องอยู่ตั้งนาน”

              “ถ้าผมบอกคุณก็ตามมานะสิ”ว่าพลางเดินตามแรงจูงเข้ามาในลิฟท์

              “มันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอครับที่ผมต้องตามคุณไปทุกที่ในเมื่อผมเป็นเลขาของคุณ”

              “ผมอยากให้คุณพักผ่อน”

              “คุณผิงไม่ต้องโกหกผมหรอก ตามจริงแล้วคุณแค่ไม่อยากให้ผมคอยตามคุณไปเวลาที่คุณคุยกับคุณเฉียนใช่ไหม”

              “อาจจะใช่แล้วก็อาจจะไม่ใช่ คุณแทนทัพน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะผมว่า ผมก็บอกแล้วไงว่าเรามาพักผ่อนกัน”ตอบแบบนั้นเมื่อแทนทัพทำหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเก่า ซ้ำยังกำแขนของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

              “ข้อนั้นผมเข้าใจดี แต่การที่คุณแอบไปคุยธุรกิจโดยที่ผมไม่อยู่ตามลำพังกับเขามันเสี่ยงแค่ไหนคุณไม่รู้บ้างรึไง”

              “บ่นเป็นคนแก่ไปได้”

              “ผมก็แค่เป็นห่วงคุณ รู้ตัวบ้างไหมว่าตัวคุณมีแต่กลิ่นแอลกอฮอลล์ติดมา”แทนทัพเสียงแข็ง ดึงร่างสูงโปร่งทำท่าจะโงนเงนตามออกมา

              “ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่ต้องเป็นห่วงแล้วนะคุณแทนทัพ”

              “ถึงคุณผิงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่ดี กุญแจห้องคุณล่ะครับ ส่งมาให้ผม”

 

              -------------------------------------------------------

 

              เพียงสองวันกับอีกหนึ่งคืนเท่านั้นที่ขนมผิงเสียเวลาอยู่ในอิตาลี การตกลงทางธุรกิจที่ง่ายเกินกว่าที่คาดการเอาไว้ทำให้ใจของเขากำลังลิงโลดราวกับเด็กกำลังได้ของเล่น

              “ทำไมช่วงนี้ผิงไม่ค่อยมีเวลามาเจอพี่เลยล่ะ ปล่อยให้พี่คิดไปเองฝ่ายเดียวอีกแล้วว่าผิงหนีพี่ไปเหมือนครั้งก่อนๆ”น้ำเสียงนุ่มหูตัดพ้อ

              ตอนนี้ขนมผิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันกับคุณวุฒิในร้านอาหารชั้นสูงของโรงแรมหรูใจกลางเมือง และวันนี้ก็เป็นวันสำคัญที่ขนมผิงจำมันได้เป็นอย่างดี…วันเกิดของคุณวุฒิ

              “จะไม่มีใครหนีไปไหนทั้งนั้นแหละครับ ผมบอกแล้วไงว่าต่อไปนี้ผมจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว มีก็แต่พี่วุฒิที่เป็นฝ่ายจะหนีผมไปเอง”ขนมผิงพูดแฝงความนัยน์ออกไป

              ถ้าหากคุณวุฒิรู้ถึงความจริงที่เขาปกปิดเอาไว้ล่ะก็…อาจจะเป็นฝ่ายเดินถอยห่างออกจากเขาก็ได้

              “ผิงอย่ามาโยนเรื่องนี้ให้พี่นะครับ พี่ไม่มีวันทิ้งผิงไปก่อนแน่นอน ว่าแต่…ทำไมผิงไม่ไปงานวันเกิดพี่ตอนเย็นล่ะ”คุณวุฒิก้มมองนาฬิกาบนข้อมือเป็นเวลาเลยเที่ยงวันมาไม่เท่าไรเอง ทั้งที่ตอนเย็นที่บ้านเขาก็มีการจัดงานเลี้ยงอยู่แล้ว

              “ผิงต้องดูแลเด็กๆน่ะครับ วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่”ขนมผิงโกหก

              “งั้นเหรอครับ น่าเสียดาย ถ้าเป็นอย่างนี้ผิงคงจะอดกินเค้กวันเกิดพี่น่ะสิ”

              แม้จะพูดพร้อมกับรอยยิ้ม แต่นัยน์ตาคู่รีเล็กภายใต้กรอบแว่นกลับฉายแววตัดพ้อ มือใหญ่เอื้อมมาดึงมือของขนมผิงไปจับเอาไว้แน่น

              “ใครบอกว่าอดล่ะครับ”ขนมผิงยิ้มออกมา

              ก่อนมือผอมจะยกขึ้นส่งสัญญาณให้พนักงานยกเอาเค้กก้อนสวยประดับด้วยประกายทองคำอย่างพิถีพิถัน และนั่นก็เรียกรอยยิ้มจากร่างสูงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี

              “ผิงเตรียมเอาไว้เมื่อไรกัน หัดเป็นคนเซอร์ไพรส์เก่งแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน”

              “เป่าเทียนสิครับ อธิฐานด้วย”ขนมผิงพยักหน้าไปยังก้อนเค้กประดับด้วยเทียนแท่งสวย

              “ใจคอจะไม่ร้องเพลงให้พี่หน่อยเหรอครับ”คุณวุฒิเอียงคออ้อนเล็กน้อย

              “ไม่ครับ พี่วุฒิก็รู้ว่าผิงไม่ชอบร้องเพลง”

              “งั้นก็ได้ เห็นว่าเป็นผิงหรอกนะ พี่เลยยอม”

              “ครับๆคุณหมอ เป่าเทียนได้แล้วครับ”ขนมผิงหัวเราะเสียงเบา

              ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังตั้งอกตั้งใจอธิฐานต่อหน้าเค้กก้อนเล็ก

              และไม่ใช่แค่เค้กเท่านั้นที่ขนมผิงแอบเตรียมเอาไว้ หลังจากเป่าเทียน อาหารจานหลักที่ล้วนแล้วแต่เป็นของที่คุณวุฒิชอบถูกยกออกมาจนเต็มโต๊ะ

              “แอบมาเตรียมเอาไว้ตอนไหนทำไมไม่บอกพี่เลยล่ะครับ”

              “ถ้าบอกก็ไม่ใช่ความลับสิครับ”

              “เดี๋ยวนี้ความลับเยอะจนพี่ตามไม่ทันแล้วนะ”คุณวุฒิพูดทีเล่นทีจริง

              “ยังมีอีกเยอะครับที่พี่วุฒิยังไม่รู้เกี่ยวกับผิง”

              “ไม่เป็นไร ต่อให้พี่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ผิงไม่หายไปเหมือนกับครั้งที่แล้วก็พอ”

              “ถ้าอย่างนั้นหลับตาสิครับ ผิงมีอะไรจะให้”

              “ไม่หลับได้ไหม พี่กลัวว่าพี่ลืมตาขึ้นมาแล้วผิงจะหาย”

              “พี่วุฒิก็พูดไปเรื่อย คนทั้งคนนะครับ จะให้หายไปได้ในพริบตาได้ยังไง”ขนมผิงหัวเราะเสียงเบา

              “งั้นส่งมือผิงมาให้พี่ข้างหนึ่ง พี่จะจับเอาไว้เป็นหลักประกันว่าผิงยังอยู่”คุณวุฒิยิ้มเจ้าเล่ห์ ยื่นมือมาจับมือของขนมผิงทาบเอาไว้กับโต๊ะ

              “เรื่องมากจริงนะครับคุณหมอ”

              อดไม่ได้ที่จะประชดประชันให้อีกฝ่าย มือผอมข้างที่ว่างหยิบเอากล่องกำมะหยี่ทรงสี่เหลี่ยมใบเล็กขนาดกำลังพอดีมือวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของอีกฝ่าย รอยยิ้มสวยผุดยิ้มบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา

              “ลืมตาได้แล้วครับ”ขนมผิงบอกพลางกระตุกมือที่กุมอยู่บนโต๊ะเบาๆ

              ดวงตาภายใต้กรอบแว่นค่อยๆลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่ริมจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นกล่องกำมะหยี่ตรงหน้า

              “นี่มันอะไรกันครับ”

              “ก็ของขวัญวันเกิดไง หายากมากซะด้วย เก็บรักษาเอาไว้ให้ดีนะครับ ผิงตั้งใจหามาให้พี่วุฒิโดยเฉพาะเลยล่ะ”

              ขนมผิงหยิบกล่องกำมะหยี่ขึ้นมาเปิดออก เผยให้เห็นนาฬิกายี่ห้อหรูเรือนแพง และนั่นก็ทำให้คุณวุฒิตาลุกวาวด้วยความประหลาดใจ

              “นี่มันคอลเล็คชั่นที่พึ่งจะออกนี่ผิง!! ผิงเอามันมาจากไหน มันแพงมากไม่ใช่รึไง แล้วรุ่นนี้ผลิตออกมาไม่ถึงร้อยเรือนด้วยซ้ำ พี่รับเอาไว้ไม่ได้หรอก”

              จากที่ดีใจอยู่ก่อนหน้าตอนนี้กลับกลายเป็นเกรงใจเสียมากกว่า มือใหญ่ดันของขวัญคืนให้กับขนมผิง

              “ใสมันให้ดูหน่อยสิครับ อยากเห็น”ขนมผิงรีบรวบรัด

              “แต่พี่ว่ามันแพงเกินไป ผิงไม่น่าลำบาก”คุณวุฒิแสดงท่าทีเป็นห่วง

              อาจจะเพราะก่อนหน้านั้นขนมผิงไม่มีเงินเหมือนอย่างทุกวันนี้ และเป็นคนใช้จ่ายโดนตระหนี่มาตลอด ในเวลานี้กลับซื้อนาฬิกาเรือนแพงมาเป็นของขวัญให้กับคนอื่นเสียได้

              “ใส่สิครับ ไม่อย่างนั้นจะโกรธจริงๆนะครับ”

              “ก็ได้ แต่ผิงต้องตอบพี่มาก่อนว่าผิงเอาเงินที่ไหนมาซื้อนาฬิกาเรือนนี้ มันแพงมากเลยนะผิง”

              “พี่วุฒิไม่ต้องห่วง พอดีผิงรู้จักกับเพื่อนที่พอจะหาให้ได้ แถมได้มาในราคาที่ถูกอีกต่างหาก ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นหรอกครับ”ปลายนิ้วเรียวจิ้มลงระหว่างกลางหัวคิ้วขมวดของอีกฝ่าย

              “แน่ใจนะ”

              “แน่ใจสิครับ”

              แน่ใจว่าโกหกล้วนๆ เพราะกว่าที่ขนมผิงจะได้นาฬิกาเรือนนี้มา เขาต้องขอร้องให้เพื่อนที่รู้จักหาให้อยู่นาน และต้องซื้อมันมาในราคาที่แพงกว่าราคาจริงเกือบเท่าตัว

              “คราวหลังถ้าเป็นของแพงพี่ไม่รับแล้วนะครับ พี่ไม่ค่อยพอใจเลย”

              “ไม่ชอบของขวัญเหรอครับ”ขนมผิงแสร้งตัดพ้อ

              “ไม่ใช่ไม่ชอบ พี่แค่คิดว่ามันราคาแพงเกินไปต่างหาก แต่พี่ก็ดีใจนะที่ผิงยังจำวันเกิดของพี่ได้แบบนี้”คุณวุฒิยิ้มเล็กๆก่อนจะยอมให้ขนมผิงจัดแจงเปลี่ยนนาฬิกาเรือนแพงแทนเรือนเดิมแล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวทุยๆนั้นอย่างเบามือคล้ายกับเป็นรางวัล

              “อย่าลูบหัวสิครับ เป็นแค่คนโสดกล้ามาลูบหัวคนลูกสองได้ยังไง”พูดหยอกล้อไปแบบนั้น แต่ขนมผิงก็ยอมให้อีกฝ่ายลูบมือลงมาบนหัว

              ความอบอุ่นที่คุ้นเคยกำลังแผ่ซ่านจนรู้สึกอุ่นวาบในใจ มันทำให้ขนมผิงย้อนกลับไปคิดถึงความรู้สึกเดิมๆในวันวานที่เคยเกิดขึ้น ความรู้สึกที่ว่าเขาไม่มีใคร

              “เมื่อครู่นี้ผิงพูดถึงเด็กๆพี่ก็นึกขึ้นมาได้ พี่ซื้อขนมมาฝากเด็กๆด้วยนะแต่อยู่ในรถ ไว้ค่อยไปเอาที่รถพี่นะครับ”

              “เด็กๆท่าจะดีใจนะครับที่คุณหมอใจดีมีขนมมาฝาก”

              “ถ้าว่างๆพี่ก็อยากจะแวะเข้าไปเล่นกับเด็กๆบ้าง ไม่เจอกันนาน กลัวเด็กๆจะลืมคุณหมออย่างพี่ไปซะก่อน”

              “ไม่หรอกครับ เด็กๆถามหาคุณลุงหมอประจำ จริงสิ อีกไม่กี่วันผมต้องพาสองแสบไปฉีดวัคซีน ใจดีอย่างคุณลุงหมอพอจะมีเวลาให้เด็กๆไหมนะ”ขนมผิงพูดเป็นนัยน์ว่ากำลังเชิญชวนอีกฝ่าย

              “แน่นอนว่าพี่ต้องมีเวลาให้กับเด็กๆอยู่แล้ว ลูกผิงก็เหมือนลูกของพี่”

 

              ------------------------------------------------------------------
มีต่อ


 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 29-10-2015 08:43:24
เมื่อไหร้ปิญจะโดนบ้าง รอวันนั้น เลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-10-2015 17:02:15
รอเวลาทางนั้นกระอักเลือด
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 29-10-2015 18:22:40
การได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดว่ายากแล้ว แต่การที่จะรักษามันเอาไว้ให้คงเดิมนี่ยากกว่าอีกนะคะปิญญ์ แต่ถ้ามั่นใจขนาดนี้แล้วก็มาลองดูกันสักตั้งเถอะค่ะว่าขนมผิงจะผลักปิญญ์ให้ตกลงมาจากบัลลังก์ได้ไหม :o9:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 29-10-2015 19:55:21
รอวันที่พระเอกจะรู้ความจริง

อยากรู้ว่าเมื่อรู้ความจริงจะทำหน้ายังไง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 29-10-2015 22:38:51
ติดตามค่ะ สนุกมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 29-10-2015 23:14:16
ตอนแรกก็นึกว่าปิญโดนเสี้ยมมาเลยดูอคติจนเลวร้าย แต่ตอนนี้ชักเริ่มคิดว่าเป็นสันดานนางเองแล้ว ร้ายโดยกมลสันดาน หนมผิงสู้ๆนะ คนแต่งก็สู้ๆ เราจะรออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 30-10-2015 01:34:49
 :mew5:อยากให้พระเอกรู้ว่าเด็กๆเปนลูกของตัวเอง
อยากให้กระอักเลือดตายไปเลย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 30-10-2015 15:16:58
 :pig4:  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 30-10-2015 15:45:05
 :z3: มันแค่เริ่มต้นใช่ไหมครับผู้แต่ง ตอนต่อไปเรื่อยๆ คนฟาดฟันกันด้วยแค้นจนภายในบอบช้ำ  :hao6: จะอ่านจนถึงวันนั้น สะใจ มีความสุข  :hao7: โฮ๊ะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 30-10-2015 15:52:41
เริ่มเปิดฉากปะทะกันแล้วสิน่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 30-10-2015 20:48:38
พระเอกหนอระเอก  :m16:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 31-10-2015 01:18:30
จัดหนักๆๆให้เลย



ยังคงความโหดอยู่เลยอะ




ผิงสู้ตาย เจ้าสองแฝดน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 02-11-2015 01:38:48
เอาให้กระอักเลือดไปเลย
ร้ายนักนิสัยเสีย
จ้องแต่จะดูถูกคนอื่นเห็นแล้วมันขึ้น
อย่างนี้มันต้องเจอตอกกลับให้ยับ
 :z13:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 02-11-2015 20:02:39
ยังไม่เห็นความดีในตัวคุณพระเอก
//เขี่ยทิ้ง หาใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 ชะล่าใจ❖ 29/10 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 04-11-2015 00:37:48
 :กอด1:
 :z13:
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 06-11-2015 20:24:53
ต่อ
 

              กว่าที่คุณวุฒิจะยอมมาส่งขนมผิงที่คอนโดเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็น ขนมผิงหิ้วขนมถุงใหญ่ยืนมองรถของคุณวุฒิขับออกไปจนลับตา ดูท่าคุณหมอคงจะรู้ดีว่าลูกหมูของเขากินเยอะถึงได้ซื้อขนมมาให้สองถุงใหญ่ขนาดนี้

              ขนมผิงไม่ได้คิดจะนอนค้างที่คอนโดเลยสักนิดเพราะเขาต้องกลับไปหาลูกๆที่บ้าน แต่เขาเลือกให้คุณวุฒิมาส่งที่นี่ก็เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้จักบ้านก็เท่านั้น ขายาวเตรียมก้าวเดินไปยังลานจอดรถ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอเข้ากับร่างสูงของใครบางคนนั่งอยู่บริเวณล็อบบี้ของคอนโด

              ขนมผิงไม่ได้ค้างที่คอนโดมาพักใหญ่หลังจากที่ปิญญ์ชานนท์บุกเข้ามาในห้องของเขาวันนั้น ดูท่าว่าปิญญ์ชานนท์คงจะมาดักรอเขาและติดสินบนให้กับพนักงานและรปภ.ของที่นี่ ถึงจะไม่พอใจแต่ขนมผิงไม่ได้ติดใจที่จะพาลให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะคนอย่างปิญญ์ชานนท์ เพราะยังไงเขาก็ไม่ค่อยจะได้มาที่นี่อยู่แล้วหากไม่จำเป็น

              ใบหน้านิ่งเฉยหันไปพยักหน้าให้กับชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งรอเขาอยู่อีกฟากของล็อบบี้ ก่อนจะเดินเบี่ยงออกเดินลัดเลาะไปยังด้านข้างของตัวตึกคอนโด

              เป็นเวลาเย็นมากแล้วจนแสงแดดสีส้มค่อยๆถูกแทนที่ด้วยความมืด ระหว่างที่กำลังสาวเท้าไปข้างหน้า ขนมผิงปรายตามองมายังด้านหลังเล็กน้อย แล้วก็เป็นอย่างที่คิดที่ปิญญ์ชานนท์กำลังเดินตามเขามา

              ดูเหมือนว่าปิญญ์ชานนท์ต้องการที่จะจองล้างจองผลาญเขาให้ถึงที่สุดสินะ ทั้งที่เป็นฝ่ายผลักไสไล่ส่งเขากับลูกในวันนั้น แต่พอมาวันนี้กลับเป็นฝ่ายที่ยัดเยียดเอาตัวเองเข้ามายุ่งกับชีวิตของเขาไม่จบไม่สิ้น

              ตกลงแล้วปิญญ์ชานนท์ต้องการอะไรจากเขากันแน่!! หรือว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายต้องการที่จะทำให้เขาย่อยยับไปมากกว่าสามปีที่แล้วกัน

              “ไง หายหน้าไปหลายวัน คิดว่าจะจับเหยื่อใหม่ๆได้แล้วซะอีก ทำไมถึงได้กลับมาหาน้องชายฉันซะล่ะ”

              สิ้นเสียงคุกคามแขนของผอมก็ถูกดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้า

              “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะครับ…คุณปิญญ์”หันไปตอบด้วยน้ำเสียงยียวนไม่ต่างกัน

              ทั้งขนมผิงและปิญญ์ชานนท์หยุดยืนอยู่ริมสระน้ำของคอนโด  ในเวลาที่เย็นจัดเกือบจะมืดแล้วแบบนี้ยิ่งทำให้ไม่ค่อยเดินผ่านไปมาเลยสักคน

              “เกี่ยวสิในเมื่อนายเป็นเมียฉัน ฉันมีสิทธิทุกอย่างในตัวนาย มีสิทธิที่จะห้ามไม่ให้นายไปอ่อยคนอื่นไปทั่ว”

              คำพูดของปิญญ์ชานนท์ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันที่ตอกย้ำให้ขนมผิงรู้สึกเจ็บจนจุก ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้นมาราวกับกำลังเยาะเย้ยในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด

              “คุณเป็นโรคจิตรึไงคุณปิญญ์ถึงได้ตามราวีผมอยู่ได้ ถ้าว่างนักคุณน่าจะเอาเวลาของคุณไปใส่ใจกับราคาหุ้นที่กำลังจะตกดีกว่านะครับ”

              “นายรู้ได้ยังไง!! อ้อจริงสิ ในเมื่อนายเองก็มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยนี่ นายนี่วันหนึ่งได้เหยื่อยกี่รายกันนะ ฉันไม่อยากจะคิดถึงจำนวนเลยจริงๆ”พูดพร้อมกับเหยียดยิ้มดูแคลน

              ไม่เพียงแค่นั้น มือใหญ่ที่กุมแขนของผอมเอาไว้กลับบีบแน่นขึ้น ออกแรงดึงให้ขนมผิงเซเข้าไปหาจนใบหน้าปะทะเข้ากับแผงอก

              ขนมผิงเงยน้าจ้องมองอีกฝ่ายแน่นิ่ง ริมฝีปากยังคงไม่หยุดเหยียดยิ้มโต้ตอบแม้ว่าลมหายใจร้อนผ่าวจะเป่ารดลงมาบนใบหน้าก็ตาม

              “กี่รายผมก็ไม่รู้หรอกนะ…แต่ดูท่าคุณคงอยากที่จะเป็นรายถัดไป ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ตามผมมา”

              ราวกับต้องการจะเยาะเย้ย ขนมผิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าคมคาย ค่อยๆเบี่ยงหน้าหลบออกมาแล้วเป่าลมหายใจใส่หูของอีกฝ่ายเป็นการหยอกล้อ

               คนเรามักจะไม่ชอบในสิ่งที่เกลียด…เมื่อขนมผิงแสร้งเป็นในสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์เกลียดปิญญ์ชานนท์ย่อมไม่พอใจ มือใหญ่ยอมปล่อยแขนของเขาออกก่อนจะออกแรงผลักจนขนมผิงเซถอยออกมาครึ่งก้าว

              ใบหน้าหล่อเหลาดูถือตัวเมื่อครู่แปลเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด นัยน์ตาคู่ดุจ้องมองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่แทนที่ขนมผิงจะกลัวกลับรู้สึกสะใจในโทสะของอีกฝ่ายที่ตัวเองได้กวนจนมันขุ่น

              “ใครบอกว่าฉันตามนายมา!! คนชั้นต่ำอย่างนายอย่ามาหลงตัวเองไปหน่อยเลย คนอย่างนายมันน่าขยะแขยง!!”

              “อ้อ ถ้างั้นคุณจะบอกผมว่าที่คุณมาที่นี่ก็เพราะว่าคุณมาหาคนรู้จักของคุณงั้นสิ อืมมมม น่าเชื่อถือดีนะครับ”ขนมผิงแสร้งพยักหน้า ยิ้มราวกับกำลังสวมใส่หน้ากาก

              “ชะ ใช่ ฉันมาหาคนรู้จักของฉัน เรื่องอะไรฉันจะต้องมาหาคนอย่างนาย!! ฉันไม่มีวันที่จะสนใจคนอย่างนายจนต้องตามนายมาหรอกนะ!!”ช่างเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือดีจริงๆกับใบหน้าที่ดูลุกลี้ลุกลน

              “ถ้างั้นก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องมาคอยระแวง…ว่าคนอย่างคุณจะมาหลงเสน่ห์ผมจนตามผมไปแทบทุกที่แบบนี้”

              “มันจะมากไปแล้วนะขนมผิง!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดกร้าวอย่างไม่พอใจ

              ร่างสูงใหญ่ปรี่เข้ามาหาขนมผิงด้วยความรวดเร็ว แต่นั่นก็ไม่เร็วเท่ากับร่างที่สูงใหญ่พอๆกันเดินเข้ามาประชิดแล้วคว้าแขนที่กำลังยื่นมาหาเขาเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที

              บอดี้การ์ดที่แทนทัพส่งมาให้สามารถแสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่แรกเจอจนขนมผิงอดที่จะชื่นชมไม่ได้

              “นายเป็นใคร!!”ปิญญ์ชานนท์ถามด้วยความไม่พอใจเมื่อข้อมือถูกจับเอาไว้แน่นหนำซ้ำยังออกแรงบีบจนต้องนิ่วหน้า

              ดูเหมือนว่าปิญญ์ชานนท์คงจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เป็นฝ่ายถูกกระทำซะเอง

              “ไม่รู้สิครับ อาจจะเป็นเหยื่อรายใหม่ของผมก็ได้ ใครจะไปรู้”ขนมผิงพูดพลางสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ร่างของปิญญ์ชานนท์

              ใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายราวกับต้องการจะกวนอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่แล้วให้ปะทุมากขึ้น มือผอมยกขึ้นมาวางทาบลงบนแผงอกแข็งแรงอย่างเบามือด้วยท่าทียั่วเย้า

              เพียงเสี้ยววินาทีที่ปิญญ์ชานนท์กำลังเผลอไผลกับนัยน์ตาคู่โศกที่จ้องมองเข้ามาในดวงตา มือที่ทาบลงมาบนอกก็ออกแรงผลักให้เขาถอยไปยังด้านหลังอย่างไม่ใยดี เป็นจังหวะเดียวกับข้อมือที่ถูกบีบเอาไว้คลายออก

              ตูมมมมม!!

              ไม่ทันตั้งตัว เสียงผืนน้ำตกกระทบก็ดังสนั่นพร้อมกับละออกน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

              ขนมผิงได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เขากำลังพึงพอใจที่เห็นหมาบ้าอย่างปิญญ์ชานนท์กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในสระน้ำ

              ถึงแม้ว่าน้ำในสระนั่นจะไม่สามารถชำระจิตใจอันสกปรกของอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะชำระล้างกลิ่นกายอันกายน่าสะอิดสะเอียนไปได้บ้าง

-----------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 06-11-2015 20:54:50
จัดหนักๆเลยลูกผิง  :angry2:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-11-2015 21:49:23
พระเอกต้องการอะไรเอ่ย

จะมาตอแยทำไม

ในเมื่อตัวเองเป็นคนผลักไสไล่ส่งไปเอง

หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-11-2015 22:12:11
เอาให้หายเลย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 06-11-2015 22:23:52
เมื่อไหร่ ปิญ จะได้รับ ผลกรรมสักที รอมานานแล้ว ใจร้อน เกลียนคนนิสัยแบบปิญมาก ระรานคนอื่น ผิงเอาให้หนักเลยนะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9.2 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 06-11-2015 23:36:17
ทำหวงก้าง อยากทำนิสัยเสียๆเองนิ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9.2 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 06-11-2015 23:59:18
พระเอก? มันแค่คนหวงของที่เกิดเสียดายของที่ทิ้งแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9.2 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-11-2015 11:09:11
ก็แค่หมาหวงก้างดีๆ นี่เอง ทำอะไรไวก็รอรับกรรมไปก็แล้วกัน

ปล.นักเขียนค่ะ รีบๆ ให้ปิญญ์ได้รับกรรมไวๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9.2 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 07-11-2015 11:50:08
ปกติไม่มีใครเขามาคอยตามติดคนที่ตัวเองบอกว่าเกลียดกันหรอกนะคะปิญญ์
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9.2 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 07-11-2015 13:25:39
จัดหนักเลยผิง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9.2 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 07-11-2015 17:24:38
อีคุณปิญญ์นี่ท่าจะโรคจิตนะค่ะ
ตามราวีอยู่ได้ ตกลงเกลัยดเขาหรือว่าอะไรเนี่ย
ท่าจะบ้า แบบว่าอิน นิสัยเสีย ปากร้าย
ซาดิส ให้ผิงสั่งสอนซะให้เข็ด
 :z6:  :z6:  :z6:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 9.2 จูบรสเลือด❖ 06/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 07-11-2015 18:22:02
ปิญญ์ นายเลวมาก
 :z6:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 07-11-2015 19:40:32
10 เจ็บใจ

 

              ภายในห้องทำงานของผู้บริหารหนุ่มไฟแรงบนตึกสูงระฟ้า ปิญญ์ชานนท์นั่งกุมขมับกับปัญหาที่พึ่งจะเกิดขึ้นด้วยความหนักใจ

              เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาบุคลากรของฝ่ายการผลิตต่างพากันยื่นเรื่องลาออกกันอย่างกะทันหันเป็นจำนวนมากทำให้ทางบริษัทหาคนมาแทนไม่ทัน และถ้าหากว่าสิ้นเดือนพนักงานที่พากันลาออกพ้นสภาพการเป็นพนักงาน กำลังในการผลิตก็จะลดไปเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่าพนักงานที่ยังเหลืออยู่จะต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะผลิตสินค้าให้ทันออเดอร์ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

              และที่หนักใจที่สุดก็คงจะไม่พ้นคู่ค้าทางประเทศสิงคโปร์ที่กำลังจะดำเนินการต่อสัญญาระยะยาวที่กำลังจะหมดลงภายในอีกสองเดือน ถ้าหากทางฝ่ายนั้นรู้เข้ามีหวังการต่อสัญญาจะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะหาบุคลากรมาแทนเพื่อเพียงพอต่อกำลังการผลิต หรือไม่หากเลวร้ายกว่านั้นการต่อสัญญาระยะยาวอาจจะถูกปฏิเสธไปก็ได้

              หากการต่อสัญญาระยะยาวถูกปฏิเสธก็จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือที่ถูกมณีรัตน์ดึงเอาไปเมื่อก่อนหน้านี้  และอาจจะรวมถึงผู้ถือหุ้นรายหลักๆของอนันตไพลินกรุ๊ปเองก็อาจจะไม่วางใจและอาจจะขายหุ้นเข้าท้องตลาดอีกด้วย

              ชายหนุ่มต่อโทรศัพท์เรียกเลขาคนสนิทด้วยท่าทีนิ่งเฉย ไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายในของเขาจะร้อนรุ่มแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

              ตอนนี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยๆก็ต่างพากันไปซื้อหุ้นของทางมณีรัตน์และมีแนวโน้มว่าจะขายหุ้นของอนันตไพลินทิ้งกันหลายราย การอ่านเกมการตลาดในตอนนี้ดูเหมือนว่าทางฝ่ายนั้นกำลังไฟแรงและผลกำไรมีทีท่าว่าจะเป็นไปในแบบก้าวกระโดดเหมาะที่จะร่วมลงทุมากกว่าทางอนันตไพลิน

              หากเขาปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ เรื่องนี้จะต้องกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แน่นอน

              “เรียกผม มีอะไรเหรอครับคุณปิญญ์”

              เลขาหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านายด้วยท่าทีระวังตัวกว่าที่เคย ความเคร่งเครียดจากตัวของผู้เป็นนายทำให้ห้องที่ปกติน่าอึดอัดอยู่แล้วกลับอึดอัดมากขึ้นเป็นเท่าตัว

              “ฉันต้องการรู้ว่าทำไมจู่ๆพนักงานของเราถึงได้พากันยื่นลาออกเกือบร้อยคนแบบนี้”คนเป็นเจ้านายโยนเอกสารรายชื่อพนักงานลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ

              “ตอนนี้เท่าที่ผมทราบมา ทางมณีรัตน์ได้ปรับฐานเงินเดือนของพนักงานฝ่ายการผลิตสูงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งสวัสดิการกลุ่มที่นอกเหนือจากประกันสังคม แล้วก็โบนัสรายปีที่เพิ่มขึ้นทำให้พนักงานของเราต่างก็พากันสนใจและยื่นใบลาออกกันน่ะครับ”

              “เป็นแค่องค์กรเล็กๆไม่ใช่รึไง ทำไมถึงได้กล้าปรับสวัสดิการพนักงานขึ้นสูงขนาดนั้นกัน”

              “ดูเหมือนว่าเมื่อไตรมาศล่าสุดราคาหุ้นของฝ่ายนั้นจะขึ้นมาสูงเกินกว่าที่คาดเอาไว้ ทำให้พวกเขาค่อนข้างมั่นใจที่จะเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรของตัวเอง”มาลิศตอบ

              พอได้ฟังสิ่งที่เลขาคนสนิทบอกกล่าวความไม่พอใจของชายหนุ่มก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เขาอยากรู้ว่าประธานคนใหม่ของมณีรัตน์กรุ๊ปเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้กล้าทำในสิ่งที่มันเสี่ยงขนาดนี้

              แล้วอีกอย่าง สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่มันเป็นการเย้ยอนันตไพลินอยู่ไม่ใช่รึไง เป็นเรื่องที่กล้ามากที่จะก้าวขึ้นมาเทียบรุ่นกับองค์กรใหญ่อย่างเขาทั้งที่เป็นแค่องการณ์ที่ทำเรื่องสกปรกเมื่อครั้งหลายปีที่แล้ว

              ถึงแม้ว่าปิญญ์ชานนท์จะอยากรู้ว่าว่าที่ประธานคนใหม่ของมณีรัตน์เป็นใคร แต่ต่อให้สืบยังไงก็ไม่มีแม้แต่ข้อมูลเล็ดลอดออกมาให้เขาได้รู้อยู่ดี และที่น่าเจ็บใจมากกว่านั้นก็คือการที่เขาต้องมารับรู้ว่าคนคนนั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่ขนมผิงให้ความสนิทด้วย มันทำให้เขายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเป็นเท่าตัว

              ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆเด็ดขาด เขาจะไม่ยอมคนที่เป็นแค่เหยื่อของขนมผิงชนะไปง่ายๆ เขาต่างหากที่มีสิทธิในตัวของขนมผิงคนเดียว…เขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของของขนมผิง

              “เรื่องพนักงาน ติดต่อไปยังบริษัทจัดหางานให้หาคนมาเพิ่มให้ได้มากที่สุด บอกว่าทางเรายินดีจ่ายให้ ฉันต้องการได้คนก่อนที่สัญญาของเรากับคุณเฉียนจะหมดลง”

              “ครับ ผมจะไปจัดการตามที่คุณที่สั่ง”มาลิศรับคำก่อนจะหันหลังเตรียมที่จะเดินออกไป

              “อ้อ แล้วผลตรวจดีเอ็นเอที่ให้ไปตรวจล่ะ ว่ายังไง”ชายหนุ่มถามก่อนที่คนสนิทจะเดินออกไป

              “วันพรุ่งนี้ผลตรวจจะถูกส่งมาครับ ไว้ใจได้ครับ ครั้งนี้เจ้าหน้าที่คนที่ตรวจเขายินดีรับสินบนจากเรา”

              “อืม ไปทำงานของนายต่อเถอะ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับ

              ยังไงซะเงินที่เป็นปัจจัยสำคัญก็สามารถจัดการได้อยู่ดี

 

              หลังจากเลขาหนุ่มออกไปชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นนวดบนขมับด้วยความเคร่งเครียด หลายวันมานี้มีหลายเรื่องที่ทำให้เขาต้องเก็บเอามาคิด อีกทั้งเรื่อที่ขนมผิงทำเอาไว้กับเขาอย่างเจ็บแสบอีก กล้ามาไปแล้วที่ทำให้เขาอับอายขายขี้หน้าด้วยการรวมหัวกับผู้ชายอื่นผลักเขาตกน้ำ แค่คิดก็หงุดหงิดใจขึ้นมาอีกระรอก

              งานที่รัดตัวในเวลานี้ทำให้เขาไม่สามารถผละออกไปเพื่อที่จะไปดูหน้าอีกฝ่ายได้เลยว่าตอนนี้กำลังอยู่กับใครและกำลังทำอะไร ทั้งที่พยายามจะทุ่มเทความคิดทั้งหมดลงกับงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ทว่าสมองกลับมีแต่เรื่องของขนมผิงเต็มไปหมด เขาไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าทำไมคนอย่างขนมผิงมีค่าอะไรถึงได้เข้ามาก่อกวนความคิดของเขา

ทำให้เขาวุ่นวายใจได้ถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านของตัวเองอย่างขุ่นเคืองก่อนจะลุกออกจากห้องไป

              ยังไงซะการที่เขาคลุกอยู่กับงานตลอดเวลาโดยที่งานไม่เดินมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย

              “จะไปไหนเหรอครับ”มาลิศถามเจ้านายที่เดินออกมาจากห้องด้วยท่าทีอิดโรยปนหงุดหงิดใจ

              “ฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอกหน่อย มีอะไรก็โทรตามแล้วกัน”

 

              ---------------------------------------------------------------

 

 

              ไม่นานปิญญ์ชานนท์ก็พาตัวเองมาที่ห้างสรรพสินค้าดังใจกลางกรุงไม่ไกลจากบริษัท เขาเดินไปที่ร้านกาแฟร้านประจำที่เขาเคยมาครั้งสมัยที่เขายังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งต่อจากผู้เป็นพ่อ หลายครั้งที่มักจะมานั่งอยู่ที่นี่เวลาที่ตัวเขาเองคิดไม่ออกหรือกังวลใจเพื่อที่จะมองดูผู้คนและเปรียบเทียบว่าใครดีกว่าใคร ใครจะเป็นอย่างไรโดยคาดเดาจากภายนอก

 

              ย้อนกลับไปเกือบสิบปีที่แล้วหลังจากที่เขาเรียนจบใหม่ๆ เขาได้ถูกพาเข้าไปแนะนำตัวที่บริษัทเพื่อที่จะเรียนรู้งานในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากผู้เป็นพ่อ

           ในระหว่างที่เขากำลังจะลงไปชั้นล่างของตัวตึกและประตูลิฟท์กำลังจะปิดลง

           “รอด้วยครับ รอด้วย อย่าพึ่งไป”เสียงตะโกนปนเสียงหอบดังขึ้นทำให้เขาตัดสินใจรีบกดเปิดประตูเพื่อที่จะให้เจ้าของเสียงมาทันลิฟท์

           ไม่นานใบหน้าขาวใสของเด็กผู้ชายในชุดมัธยมปลายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าลิฟพร้อมกับหายใจหอบจนตัวโยน

           “ขอบคุณครับ”เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนบอกก่อนจะก้าวเข้ามาในลิฟและยิ้มอย่างดีใจ

           และประตูลิฟก็ปิดลงโดยที่มีเพียงเขาและเด็กผู้ชายที่ยังคงหอบหายใจอยู่เล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องรอในเมื่อเขาเป็นถึงลูกชายของเจ้าของที่นี่ แต่เขาก็ทำไปแล้ว

           “ขอโทษนะครับ ช่วยบอกชื่อคุณกับผมได้ไหม”เสียงแหบห้าวพึ่งจะแตกหนุ่มเงยหน้าถามทำให้ปิญญ์ชานนท์แปลกใจ

           ทำไมจู่ๆเด็กคนนี้ถึงมาถามชื่อเขากัน หรือว่าต้องการจะตีสนิทกับเขาเพื่อหวังผลประโยชน์เหมือนคนอื่นๆอย่างที่พ่อเคยบอกเอาไว้

           “ทำไมฉันต้องบอกนาย”เขาเชิดหน้าตรงอย่างวางท่าที

           “นะครับ บอกผมหน่อย”เด็กหนุ่มอ้อนวอน

           นายจะรู้ไปทำไม”เขาเริ่มเอะใจ

           หรือว่าเด็กนี่ต้องการจะมาสานสัมพันธ์กับเขาในแบบชู้สาวกัน ถึงได้มีท่าทีอยากจะรู้จักเขาขนาดนี้ มันก็น่าแปลกใจอยู่ไม่ใช่รึยังไง

           “นะครับ บอกผมหน่อยนะ ผมอยากรู้จักชื่อคุณจริงๆ”เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปหาลูกชายของผู้บริหารก่อนจะจับแขนเสื้อสูทแล้วดึงเบาเบาคล้ายกับเร่งให้ตอบ

           “ฉันชื่อปิญญ์ชานนท์”เขาตอบ แต่ไม่ยอมตอบนามสกุลถึงแม้ว่าการแนะนำตัวพร้อมกับนามสกุลเป็นสิ่งที่พ่อสอนเอาไว้เพื่อแสดงตัวให้เห็นว่าฐานะแตกต่างกับคนอื่นๆ

           “งั้นเหรอครับ แล้วนามสกุลล่ะครับ”เด็กชายถามท่าทีตื่นเต้นและยิ้มกว้างทำให้ปิญญ์ชานนท์นึกหวั่นอยู่ในใจ

           ใช่ว่าเขาไม่เคยมีคนเข้าหาเพราะฐานะ เพียงแต่เขากำลังคิดเข้าว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังจีบเขาด้วยวิธีที่แปลกในแบบที่เขาไม่เคยเจอ

           “อนันตไพลิน”เขาตอบทั้งที่ยังแสดงออกถึงท่าทีเรียบนิ่ง

           “ใช่จริงๆด้วย ดีจังที่วิ่งมาทัน ไม่อย่างนั้นคุณคงจะแย่”เด็กหนุ่มตอบทำให้เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด

           จนประตูลิฟท์เปิดออกโดยที่เขายังไม่หายสงสัยกับสิ่งที่เจอ

           “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะครับจะแย่เอา นี่ครับอยู่ครบทุกบาท ทุกใบ เช็คดูได้ครับ ผมเจอในห้องน้ำ คิดว่าเป็นของคุณไม่แน่ใจเลยถามชื่อดูน่ะครับ”

           มันรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งสติ มือของเขาก็ถูกมืออุ่นๆของเด็กคนนั้นดึงไปแล้วยัดกระเป๋าเงินใบคุ้นตาใส่ลงในมือ

           “ไปก่อนนะครับ ผมมีนัดกับเพื่อน เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”

           ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร หรือแม้กระทั่งถามไถ่ แต่เด็กคนนั้นก็เดินออกจากลิฟท์และวิ่งหายไปแล้ว ชายหนุ่มเดินตามออกมาจากลิฟท์ก่อนที่จะเปิดกระเป๋าเงินของตัวเองดู ของทุกอย่างอยู่ครบถ้วนดีซึ่งนั้นทำให้เขาค่อนข้างจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาได้เจอ

           เขาไม่เข้าใจว่าคนแบบนี้ก็มีอยู่โลกนี้ด้วย ทั้งที่จำนวนเงินในกระเป๋าของเขาก็ไม่น้อยพอที่จะทำให้เด็กที่น่าจะมีวุฒิภาวะที่อยู่ในวัยอยากได้โลภพอที่จะเก็บมันเอาไว้ ทำไมเด็กนี่ถึงได้อุตส่าห์วิ่งกระหืดกระหอบเอากระเป๋าเงินมาคืนเขาทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ หากเก็บเงินเอาไว้ใช้เองน่าจะเป็นความคิดที่ดีกว่า

           หัวใจของเขาเต้นรัวจนต้องยกมือขึ้นกุมอก เขาไม่เข้าใจ มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคนที่แตกต่างจากคนที่ตัวเองเคยเจอมา มันสวนทางกับความคิดที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็กของเขา และเขาก็ได้รับรู้ว่าเด็กคนนั้นคือลูกผู้ช่วยเลขาของผู้เป็นพ่อ แต่ก็ไม่นานที่คนเป็นแม่ของเด็กคนนั้นจะถูกวางให้อยู่ในฐานะของผู้หญิงที่ทรยศต่อบริษัทและเป็นคนที่เข้ามาแทรกซึมภายในองค์กร

           และที่สำคัญไปกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขามันร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความอิจฉาที่ไม่อาจอธิบายให้ตนเองเข้าใจได้ เขาได้รับรู้มาทีหลังว่าเด็กผู้ชายคนนั้นสนิทกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองมากถึงขั้นที่เขาไม่อยากจะคิด ซึ่งนั่นมันทำให้เขาเกิดความสับสนว่าตกลงนิสัยของเด็กคนนี้เป็นยังไงกันแน่

 

              เสียงจอแจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาปลุกให้เขาตื่นจากความคิดที่เกิดขึ้นมาชั่วคราว ปิญญ์ชานนท์ล้วงหยิบเอาเงินออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้าน

              ถึงจะมองภายนอกแล้วไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นยังไง แต่ยังไงซะสิ่งที่สำคัญสำหรับคนพวกนั้นก็คือเงินอยู่ดี…เงินที่สามารถทำได้ในทุกสิ่ง แม้ว่าตอนนี้ความเชื่อของเขาจะกำลังถูกสั่นคลอนบ้างแล้วก็ตาม

              ชายหนุ่มเดินผ่านผู้คนมากมายพลางมองคนแล้วคนเล่าที่เดินผ่านเขาไป ผู้คนหลายประเภทหลายฐานะที่มารวมตัวกันเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองโดยใช้ตัวกลางที่เรียกว่าเงิน

              ในระหว่างที่เขากำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเอง ขากางเกงก็ถูกดึงกระตุกด้วยแรงเล็กๆจากทางด้านหลังทำให้เขาหันไปมองด้วยความแปลกใจ เด็กผู้ชายในชุดหมีรูปร่างจ้ำม่ำผิวสีขาวกำลังยิ้มแก้มปริจนตาหยีส่งมา

              “คุณยุงจริงๆด้วย”เสียงเล็กร้องทักทั้งที่พูดยังไม่ชัดทุกคำดี

              “เดี่ยวสิ สลิ่ม ไปดึงขากางเกงคุณลุงเขาได้ยังไง อะ คุณปิญญ์”หญิงวัยเข้ากลางคนพึมพำชื่อของชายหนุ่มออกมา

              ทำให้ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าจากเจ้าตัวเล็กแล้วมองหน้าผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงทรยศที่ตนเคยรู้จัก

              “ไม่เจอกันตั้งนานนะค่ะ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นตั้งเยอะ”ลำดวนทักลูกชายของเจ้านายคนเก่าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

              ซึ่งนั้นก็ทำให้คนอย่างปิญญ์ชานนท์มองมันด้วยสายตาที่พยายามจะอ่านรอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้ด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา เขาไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้งหรือรอยยิ้มที่แท้จริงกันแน่ ซึ่งถ้ามันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่มีทีท่าว่าโกรธเกลียดเขาบ้างเลย

              “ครับ คุณก็เหมือนกัน ดูสุขภาพดีขึ้นนะครับ”ปิญญ์ชานนท์ทักกลับด้วยหัวใจที่กำลังเต้นแรง

              ตาคู่ดุจ้องมองไปยังด้านหลังของลำดวนที่มีผู้หญิงวัยประมาณยี่สิบกลางๆอยู่ด้วยอีกสองคน คาดว่าน่าจะเป็นพี่เลี้ยงของเด็กแฝดที่ตอนนี้คนโตกำลังจะปีนลงมาจากพี่เลี้ยงเพื่อที่จะมาทักทายเขา

              “สวัสดีคุณลุงก่อนสิครับปลากริม สลิ่ม”คนเป็นคุณยายสั่ง

              “หวัดดีฮับ/หวัดดีฮับ”เด็กสองคนยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มก่อนจะยกมือไหว้แล้วก้มตัวลงเรียกให้หลายคนที่เดินผ่านมองอย่างน่าเอ็นดู

              “คุณยุงมาคนเดียวเหรอฮับ”เจ้าตัวกลมโตกว่าเดินเข้าไปจับมือเขาด้วยท่าทางดีใจที่ได้เจอ

              “อืม ฉันมาคนเดียว”เขาตอบก่อนจะก้มลงมองมือที่ถูกจับไว้แน่น หากเป็นเด็กคนอื่นเขาจะสะบัดมือนั้นทิ้งไหม เขาได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ

              “ทำไมคุณยุงไม่ไปหาพวกเราเลยฮับ พวกเราคิดถึงคุณยุงมากเลย”สลิ่มเดินไปจับมืออีกข้างอย่างออดอ้อนจ้องมองชายหนุ่มตาแป๋ว

              “รู้จักกับเด็กๆด้วยเหรอค่ะ”คนเป็นยายถามด้วยรอยยิ้ม

              “ครับ เคยเจอกัน”เขาเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ

              “คุณยุง วันนี้คุณยายจะพามากินไอติม คุงยุงไปด้วยไหมฮับ”สลิ่มช้อนตาถาม เขย่ามือเขาเบาเบาคล้ายจะอ้อนวอน

              “นะครับ ไปกินไอติมกัน อาหร่อยมากเลยยยย”ปลากริมช่วยอ้อน

              “เดี๋ยวสิ ได้ยังไงกันปลากริมสลิ่ม อย่าไปรบกวนคุณลุงปิญญ์เขาสิ มาหายายเลย มาเร็ว”

              “ไม่เป็นไรครับ ผมพอมีเวลาเหลือ”

              ทั้งที่ปฏิเสธได้ แต่เขาเลือกที่จะตอบรับ

              “จะดีเหรอค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ยินดีเลยค่ะที่คุณปิญญ์จะไปกับพวกเราด้วย”ลำดวนตอบอย่างดีใจ

              เพราะเธอก็เห็นปิญญ์ชานน์มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่ม ความผูกพันมันทำให้เธอนึกถึงสมัยอดีตครั้งที่เด็กหนุ่มตามพ่อมาทำงานอีกทั้งยังแอบมาถามหาลูกชายของเธอบ่อยๆ

              ในร้านไอศกรีมของหวานที่ชายหนุ่มไม่ค่อยจะได้แตะมันสักเท่าไรหากว่าไม่จำเป็น เขามองดูเด็กแสบสองคนตักไอศกรีมเข้าปากพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า

              พี่เลี้ยงทั้งสองของเด็กแฝดแยกไปนั่งกันคนละโต๊ะทำให้ตอนนี้ค่อนข้างจะมีความส่วนตัวขึ้นมากพอควร

              “ปากเปื้อนน่ะปลากริม”คุณยายทักจากฝั่งตรงข้ามบอกหลานที่กำลังนั่งอยู่บนข้างๆชายหนุ่ม

              เจ้าตัวกลมผิวเข้มเงยหน้าตาโต หันมากระตุกแขนเสื้อของเขาเบาเบาเรียกให้เขาหันไปมอมใบหน้ากลมที่จ้องมองมาตาแป๋วเป็นการบอกใบ้

              “เช็ดให้หน่อยฮับ เปื้อนแล้ว แหะๆ”ปลากริมว่าพลางยิ้มเผล่จนตาหยี

              ใบหน้ากลมเล็กยื่นเข้ามาใกล้ให้เขาได้หยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดคราบไอศกรีมบนริมฝีปากเล็กช่างพูด เจ้าตัวจะหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีก่อนจะถือวิสาสะปืนขึ้นมานั่งบนตักให้คนเป็นยายได้ตกใจ ลำดวนกำลังจะออกปากห้ามกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธเคือง เพราะเป็นคนอารมณ์คาดเดายาก

              “ไม่เป็นไรครับ”

              ทว่าปิญญ์ชานนท์ก็ออกปากห้ามทั้งที่ยังทำสิ่งที่ลำดวนไม่คาดคิดว่าคนเย็นชาติดคนเป็นพ่อนั้นจะยกมือขึ้นลูบผมเด็กด้วยท่าทีอ่อนโยน

              “หลิ่มนั่งมั่ง ขอนั่งด้วย”

              “ไม่ได้นะสลิ่ม เดี่ยวคุณลุงจะหนักเอา”คุณยายรีบห้ามหลานคนเล็กเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดลงจากเก้าอี้

              “ไม่เป็นไรครับ ตัวแค่นี้เอง ผมไม่หนักหรอก”

              “แน่ใจเหรอค่ะ เจ้าสองแสบนี่หนักกว่าที่คิดนะค่ะ”

              “ผมเคยอุ้มมาแล้วครับ”เขายิ้มมุมปากแล้วรับเอาเจ้าตัวเล็กผิวขาวที่กำลังกางมือออกแล้วอุ้มให้นั่งตักอีกข้าง

              ลำดวนได้แต่มองอย่างเกรงใจ แต่ก็เลื่อนแก้วไอศกรีมของหลานคนเล็กให้

              “ผมขอถามอะไรสักหน่อยจะได้รึเปล่าครับ”เขาถามขึ้นหลังจากที่เงียบไปนานทั้งที่มือสองข้างกำลังโอบเด็กๆไว้กันตก

              “อะไรเหรอค่ะ”

              “ทำไมเด็กๆถึงเรียกคุณลำดวนว่ายาย แล้วทำไมคุณถึงแทนตัวเองว่ายายล่ะ”

              “เอ่อ คือ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่าใส่ใจเลย”ลำดวนยิ้ม แต่ใบหน้านั้นซีดลงเล็กน้อย

              “พวกเราออกมาจากท้องปะป๊าฮับ แต่ปะป๊าไม่ให้เรียกแม่ แต่คุณยายให้เรียกคุณยายได้”คนพี่เงยหน้าตอบอย่างอวดรู้

              ทำให้ดวงตาคู่คมกริบเบิกกว้างเล็กน้อย ถึงเรื่องนี้เขาจะรู้มาก่อนหน้าแล้ว แต่การที่ได้รู้จากปากเด็กๆนั้นก็ทำให้เขาค่อนข้างอดที่จะตกใจไม่ได้

              “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะปลากริม คุณปิญญ์อย่าถือสาเลยนะค่ะ”ลำดวนรีบแก้ตัว

              “จิงจิงนะฮับ พวกเราออกมาจากท้องปะป๊า ปะป๊ามีแผลตรงนี้ด้วย”สลิ่มทำท่าทาง

              “ใช่ฮับตรงนี้เลย”ปลากริมชี้ไปที่ท้องตัวเองบ้าง

              “นี่ ถ้ากินไปด้วยพูดไปด้วยคราวหลังยายจะไม่พามาแล้วนะ อย่าถือสาเด็กๆเลยนะค่ะ”

              “ไม่เป็นไรครับ เด็กๆก็แบบนี้”เขาตอบรับ

              เขาเริ่มคิดว่าตัวเองเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที มันทำให้เขาแทบจะอดใจรอผลตรวจดีเอ็นเอที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

              “คุณยายฮับ ถ่ายรูปให้หน่อย จะเอาไปอวดปะป๊า”เจ้าแสบตัวโตว่าทั้งกำลังมีไอศกรีมเต็มปาก

              “กินให้หมดก่อนจะพูดสิ”ปิญญ์ชานนท์อดไม่ได้ที่จะบอกพร้อมกับหยิบทิชชู่มาเช็ดปากของเจ้าสองแสบซ้ำอีกรอบ

              ลำดวนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตามใจหลานถึงแม้จะไม่ค่อยอยากก็ตาม เพราะรู้ว่าลูกชายของเธอนั้นโกรธแค้นปิญญ์ชานนท์แทนเธอมากแค่ไหน

              “ถ้าไม่รบกวน ช่วยถ่ายให้ผมด้วยนะครับ”ปิญญ์ชานนท์ยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้บ้าง

 

              จนผ่านไปพักใหญ่กว่าเด็กๆจะยอมแยกออกจากปิญญ์ชานนท์ และสิ่งที่น่าแปลกก็คือตัวเขาเองก็ยังไม่อยากให้เด็กๆรีบกลับเช่นกัน

              ในระหว่างทางกลับบริษัท เขาแวะที่ร้านถ่ายรูปโดยที่ตัวเองไม่ได้วางแผนเอาไว้เลย เขาจัดการล้างรูปที่พึ่งจะถ่ายออกมาเป็นแบบแผ่นเล็กที่สามารถเก็บใส่กระเป๋าเงินได้

              ตาคู่ดุจ้องมองรูปที่พึ่งจะล้างเสร็จหลังจากนั่งรออยู่พักใหญ่ด้วยคำถามมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว ทำไมวันนี้มีแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจเต็มไปหมด ต่อให้เขามีเงินทองมากเท่าไร ยังไงเรื่องที่เขาไม่เข้าใจเงินทองก็ไม่สามารถช่วยไม่ได้อยู่ดี

              ในวันพรุ่งนี้หากผลตรวจดีเอ็นเอออกมาเขาจะทำอย่างไรหากมันไม่เป็นตามที่เขาคาดหวัง แล้วเขากำลังคาดหวังอะไรอยู่กันแน่!! คาดหวังที่จะให้เด็กๆเป็นลูกของตัวเองหรือว่าเป็นลูกของคนอื่น แล้วถ้าไม่ใช่ลูกของเขาเขาจะทำยังไง

              เขาควรจะทำยังไง ในเมื่อตอนนี้เขาอยากเป็นเจ้าของทั้งตัวแม่และตัวเด็กๆ

 

              -------------------------------------------------------------------

 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 07-11-2015 20:04:20
ไม่ใช่ว่าแอบดึงผมเด็กๆ กลับไปตรวจ DNA ด้วยหรอกนะคะนั่น เจ้าตัวเขาถึงได้ดูกระหยิ่มยิ้มย่องดีแท้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 07-11-2015 20:47:29
คิดจะทำอะไรนะ

รอตอนหน้าจ้าาาาา ได้เวลาเอาคืน! นี่แหนะๆๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 07-11-2015 21:05:17
เพิ่งได้อ่าน สนุกดีนะ แต่บางทีคำว่าพระเอกไม่จำเป็นต้องมีก็ได้นะ

ถ้ามีแล้วมันเลวขนาดนี้ เหมือนคนบ้าอ่ะ คนที่เกลียดกันจริงๆแล้วเป็นแบบนี้หรือ

ส่วนผิง บางทีอ่านแล้วก็เบื่อนิดๆ แบบเป็นคนที่ออกจะดีไปทางความคิดและคำพูด

แต่ทำจริงๆไม่เห็นทำอะไรได้เลย บางทีนายเอกจะร้ายบ้างก็ได้ ถ้าพระเอกมันเลวขนาดนี้อ่ะ

นี่เท่าที่อ่านมา ดีแต่ขู่ฟ่อๆๆ แล้วอีกเรื่องเลยคือ เกลียดอิตาปิญ จริงหลอ ความคิดเหมือนคนคร่ำครวญ

ตลอดเวลาอ่ะ แบบทำไมต้องทำแบบนี้ เกลียดกันจริงเจอหน้ากันก็ซัดได้เลย

ปล.ผิงต้องสตรองกว่านี้นะ ตอนนี้อ่อนแอปวกเปียกมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-11-2015 21:20:33
จะจัดการอะไรอย่างไรได้หรือเห็นเถียงส่งเสียงใส่กันอย่างเดียว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-11-2015 21:27:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 07-11-2015 21:27:28
เพิ่งได้อ่าน สนุกดีนะ แต่บางทีคำว่าพระเอกไม่จำเป็นต้องมีก็ได้นะ

ถ้ามีแล้วมันเลวขนาดนี้ เหมือนคนบ้าอ่ะ คนที่เกลียดกันจริงๆแล้วเป็นแบบนี้หรือ

ส่วนผิง บางทีอ่านแล้วก็เบื่อนิดๆ แบบเป็นคนที่ออกจะดีไปทางความคิดและคำพูด

แต่ทำจริงๆไม่เห็นทำอะไรได้เลย บางทีนายเอกจะร้ายบ้างก็ได้ ถ้าพระเอกมันเลวขนาดนี้อ่ะ

นี่เท่าที่อ่านมา ดีแต่ขู่ฟ่อๆๆ แล้วอีกเรื่องเลยคือ เกลียดอิตาปิญ จริงหลอ ความคิดเหมือนคนคร่ำครวญ

ตลอดเวลาอ่ะ แบบทำไมต้องทำแบบนี้ เกลียดกันจริงเจอหน้ากันก็ซัดได้เลย

ปล.ผิงต้องสตรองกว่านี้นะ ตอนนี้อ่อนแอปวกเปียกมากอ่ะ

เวลานี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าคอมเม้ท์นนี้อีกแล้ว

แบบว่าตรงประเด็นที่คนอ่านคิด ข้องใจ อยากให้เป็น..สุดๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 07-11-2015 22:20:35
เอาคืนตั้งแต่ตอนหน้า จนเกิอบจบเลยนะ เอาใหัหนัง มห้มันทุรนทุรายบ้างนะ เกลียดพระเอกมาก อยากใหัลูกเกลียดมันจัง ไอ้ปิญ โอ้บเกลียด อยากให้นายเอกแรงกว่านี้ แล้วส่งลูดไปอยู่ในที่ ที่ปิญตามไม่เจอ จะได้ทำอะไรสะดบก ไม่งั้น ห่วงหน้า พะวงหลัง อยู่แบบนี้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 07-11-2015 23:14:24
ก็แค่คนเคยเอากัน ต้องยัดเยียดคำว่าผัว เมียให้ตลอดเลยรึไปคุณปิญญ์
รึว่าจริงๆแล้วตัวเองก็อยากอยู่ในสถานะนั้นจะแย่ แต่อ้างเรื่องความแค้นมาบังหน้า หาเรื่องจะข่มเหงผิงอยู่เรื่อย
ผิง ไอ้ความคิดลึกๆที่ว่า ปิญญ์เป็นพ่อเด็กเนียะ มันทำให้ไม่เด็ดขาดซักที
ฉาก...รอไปยาวๆดีกว่าค่ะ ถ้ามีเร็วๆนี้ก็ไม่พ้นข่มขืน ยิ่งทำให้พระเอกดูต่ำตมลงไปอีก ตั้งแต่เปิดเรื่องมายังหาดีไม่ได้เลย เปลี่ยนพระเอกเป็นพี่วุฒิน่าจะดีแก้แค้นปิญญ์ได้สะใจด้วย 555

หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Lovelyjess ที่ 08-11-2015 02:12:14
สนุกดี ชอบแนวตบจูบ
แต่จบ happy ใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 08-11-2015 06:13:27
ตอนหน้าพระเอกโดนเล่นงานใช่มั้ย
เยี่ยม จะรออ่านอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
รอฉากนี้มานานแล้ว เกลียดอิตาคุณปิญญ์เหลือเกินอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-11-2015 06:26:56
รอดูตอนหน้าว่าผิงจะเอาคืนยังไง หวังว่าจะสมน้ำสมเนื้อกับที่พระเอกได้ทำเลวๆ เอาไว้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-11-2015 07:16:03
เราเมนท์ไว้ในธันวลัยนะเรื่องการทิ้งเด็กสามขวบไว้ตามลำพัง

ในเรื่องมีการทิ้งเด็กไว้ตามลำพัง 3 ครั้ง

ที่งานเลี้ยงซึ่งเราไม่เข้าใจว่าเอาลูกไปทำไมเพราะตามมารยาทแล้วไม่ทำกันนะคะ   ทิ้งเด็กไว้ท่ามกลางคนแปลกหน้า  เลขาก็สุดสับเพร่าที่ปล่อยเด็กทิ้งไว้

ครั้งที่ 2 ที่ไปซื้อกับข้าวแล้วปล่อยลูกหลงไปแผนกของเล่น   ปกติแผนกอาหารสดไม่ติดกับแผนกของเล่นนะคะ  ขนาดโลตัสเองก็ไม่ไกล้   แล้วมหาเศรษฐีแบบปิญญ์พาสาวมาเดินโลตัส?   คือถ้าหากว่าเอาลูกมาซื้อของใช้ของเด็กในแผนกเด็กก็ยังใกล้แผนดของเล่นกว่านะคะ  ไม่พูดถึงปล่อยให้ลูกหลงหายไป

ครั้งที่ 3 ลงไปส่งวุฒิปล่อยลูกไว้ตามลำพังอีก  คือขนมผิงคลอดลุกที่อังกฤษก้น่าจะได้การดูแลลุกแบบทางนั้นมาบ้าง    ไม่โอเคค่ะ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นผิดกฏหมายนะคะเพราะคุณละเลยปล่อยลูกไว้ตามลำพัง

ข้อที่เราว่าแปลก - คือรวยระดับนั้นแล้วทำไมไม่หาพี่เลี้ยงเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนกลับมาถึง  มันดูแร้นแค้นเกินสำหรับระดับนั้น

ขนมผิงพูดติดปากอยู่ประโยคหนึ่งคือ คืนลูกมาให้ผมนะ  คือนางจะขู่ฟอดๆตลอดเลยตั้งแต่เจอปิญญ์มานี่ ไปนับกันเองแล้วกันว่าพูดออกมากี่ที   คนเป็นแม่นะคะถ้ามีคนที่เราเกลียดมาเอาลุกไปไม่บอกให้คืนลูกมาหรอกค่ะ เข้าไปคว้ามาเลยแหละ

เพื่อนเรามีลูกแฝด(ตอนนี้ 15แล้ว) ตัวนิดเดียวเอง เวลานางอุ้มลูกที่เดินได้แล้วนะคะ  คนหนึ่งอุ้มข้างหน้า อีกคนขี่หลังค่ะ ไม่ก็อีกคนขี่คอนาง เดินไม่ไกลนะคะ

ทำไมคนเลี้ยงลูกมาเองถึงได้ไม่รอบคอบ ลูกร้องไห้ ไม่ตรวจดูลูกก่อน  ต้องให้ปิญญ์ที่ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาบอก คนที่เคยเลี้ยงเด็กจะรู้ว่าจะทำยังไงค่ะ  จะสามารถควบคุมสถาณการณ์ได้เพราะเจอมาจนชินแล้ว  ขนมผิงเหมือนคนไม่เคยเลี้ยงลูกเอง ลนลานไปหมดเข้าใจว่าเพราะปิญญ์อยู่ด้วย  แต่จะกลัวอะไรหนักหนา  ไอ้ความโกรธแค้นที่มันดูถูกดูแคลนทำร้ายทั้งกายและใจมาไม่ได้ช่วยให้ตัวเองแกร่งขึ้นบ้างเลยหรือ?  จะมากลัวเรื่องลูก? ปิญญ์เป็นใครคะ? ตามกฏหมายไม่ได้เป็นอะไรเลย   ตัวเองเลี้ยงลูกมาตั้งสามปีโดยไม่มีมันมาเกี่ยวข้อง เด็กๆก็เป็นคนอังกฤษด้วย(ตรงนี้ไม่รู้ว่าได้ยังไงนะคะ  เพราะพ่อแม่ไม่ใช่คนสัญชาตินั้น)

เราไม่รู้ว่าปิญญ์ขึ้นคอนโดมาได้ไงนะคะ   รปภน่าโดนไล่ออกนัก  ที่บอกว่ารปภไม่มายุ่งเรื่องผัวๆเมียๆหรอก  แล้วรปภจะรู้ได้ไงว่าปิญญ์เป็นผัว?

นี่ขนาดขนมผิงไม่ดี ต่ำทราม สกปรก ร่าน  อิปิญญ์ยังตามติดหนึบๆขนาดนี้เลย

รีบๆลงนามสัญญาเน้อ  กลัวว่าเดี๋ยวปิญญ์มันจับทางทันแล้วตะโดนมันเล่นงานเอาสิ

ไม่ได้มาจู้จี้เพื่อบั่นทอนจิตใจ  แต่มาชี้ให้เห็นจุดบอดที่คนเขียนอาจจะมองข้ามไป  หรือจุดที่เราเห็นต่างนะคะ  รออ่านตอนหน้าที่ปิญญ์โดนเอาคืนค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 08-11-2015 09:34:23
ขออีกเม้นนะ ขนมผิง กลัวอะไรปิญ เงินอำนาจ มีพอๆกัน แล้วเรื่องลูก เอาไปอยู่ที่อื่น หรือหาคนมาดูแลได้แล้ว นางทำอะไรไม่ได้เลย ขนมผิงเขากับตำรา หมาเห่ามักจะไม่กัดมาก ขู่ฟ่อๆๆๆๆๆๆๆๆ มาตลอดทั้งเรืองแต่ยังไม่ทำอะไรเลย อ่านตอนเปิดเรื่องเหนฉลาด มีการอัดเสียงเตรียมการต่างๆนาๆ ไหงไปๆมาๆ นางเริ่มโง่ขึ้น กลัวขึ้นเรื่อยๆ งง กับนางมาก ย้ำอีกครั้งเอาลูกไปไว้กับพ่อก็ได้ บ้านก็มี จะมาอยู่คอนโดทำไม แล้วปิญ หายตัวขึ้นคอนโดไปหรอ ขึ้นง่ายจัง แถมไปโผล่ในห้องเลยด้วย ขนาดอพาตเม้นธรรมดา คนนอกยังเข้าไม่ได้เลย นี่คอนโดระดับนี้ เข้าง่ายมาก  เปลี่ยนนิสัยนะ ขนมผิง แล้วเอาลูกไปให้พ่อกับแม่ตัวเองเลี้ยงสะ จะได้ทำอะไรง่ายขึ้น แล้วช่วยทำจิงๆด้วยนะ เห่าหอน ไม่เอาแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 08-11-2015 10:23:47
ไม่ขอให้ไอ้คุณปิญญ์เป็นพระเอกได้มั้ย. โครตเลวโครตเกลียดเลยสงสารขนมผิงมาก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: JY_JRB ที่ 08-11-2015 14:02:19
ท่าทางคงจะป่วยยังงี้ทั้งเรื่อง จนตอนจบก็ยอมกันทั้งคู่มั่ง

จากเรื่อง ทำให้นึกถึงกุหลาบไร้หนาม หรือไม่ก็ สวรรค์เบี่ยง เวอร์ชั่น yaoi ไหม เอ๊อะ ยิ่งคิดก็ยิ่งใช่เนอะ

ขู่ฟอดๆ........  แค่นั้น.. มันไม่ซ่อนแล้ววว แต่ไม่มีเลยต่างหาก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 08-11-2015 15:37:03
ผิง อย่าแค่ขู่ลูก
ทำมันเลย อย่าให้มันทำเราฝ่ายเดียว
เอาให้มันล้มทั้งยืน มันเลวขนาดนี้
เอาลูกไปซ่อนเลยคร่าาาา
อย่าให้มันเจอ จะได้ทำอะไรง่ายๆไม่พะว้าพะวงแบบนี้
เกลียดคนแบบอีตาปิญญ์อ่ะ นี่พูดเลย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 08-11-2015 20:18:22
ยังไงก็อย่าเพิ่งท้อเน้อ
มาลงบ่อยๆ :z13:
สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 08-11-2015 21:12:36
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 09-11-2015 16:15:50
กำลังสนุกเลย
มาต่อไวๆนะครับ
อยากให้ผิงสู้มากกว่านี้ร้ายกว่านี้
ยังไงก็มาลงเร็วๆนะครับ
 :pig2:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 10 อุบัติเหตุ❖ 07/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 09-11-2015 20:32:05
ยินดีน้อมรับทุกคำติชมจ้า ยอมรับว่าอาจจะมีหลายจุดที่มองข้ามไปต้องขอขอบคุณคนอ่านที่น่ารักช่วยชี้จุดให้เราเห็น
แต่บางจุดต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า จะมาเฉลยทีหลังเนอะ อาจจะดำเนินเรื่องช้าไปบ้าง แต่ก็จะพยายามเต็มที่ค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่แต่งออกแนวซีเรียสและชิงชังแบบนี้ เลยตกหล่นอยู่บ้าง ยงไงก็ขอขอบคุณคนอ่านที่น่ารักทุกคนที่คอยติดตามค่ะ จะพยายามทำให้ขนมผิงเข้มแแข็งขึ้นมากกว่าเดิมหลายๆเท่า แต่พระเอกก็เป็นปิญญ์เนอะ ต่อให้เลวยังไงก็มีหัวใจค่า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 13-11-2015 20:30:57
11 หวงเกินเหตุ

 

              วันรุ่งขึ้นปิญญ์ชานนท์เข้ามาถึงบริษัทตั้งแต่พนักงานยังมาถึงกันไม่ครบดีด้วยซ้ำ เขาไม่สามารถบังคับให้จิตใจของตัวเองสงบพอที่จะพักผ่อนและหลับสนิทได้เลย มือใหญ่หยิบรูปอีกใบที่ล้างไว้เปลี่ยนใส่กรอบรูปที่อยู่บนโต๊ะโดยที่ไม่สามารถหาเหตุผลขึ้นมาอธิบายสิ่งที่เขาทำได้เลย

              เสียงเคาะประตูทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองและวางกรอบรูปนั้นลงบนโต๊ะ

              “เข้ามาได้”เขาวางท่าทีนิ่งสงบเหมือนกับทุกทีก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารวิเคราะห์ราคาหุ้นฉบับล่าสุดออกมาเปิด

              “ผลตรวจดีเอ็นเอครับ ส่วนนี่ก็การ์ดเชิญจากมณีรัตน์”ซองจดหมายสองซองถูกวางลงบนโต๊ะ

              “การ์ดเชิญอะไร?”ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วถามอย่างข้องใจ

              “อีกสองวันจะมีงานเปิดตัวประธานบริษัทคนใหม่ของมณีรัตน์ครับ”

              “จำเป็นต้องจัดงานเปิดตัวกันเลยรึไง”

              “เห็นว่าทางฝ่ายนั้นค่อนข้างที่จะไม่รู้จักใครในวงการธุรกิจเลย คาดว่างานนี้น่าจะจัดมาเพื่อทำความรู้จักกันน่ะครับ”

              “หึ เป็นแค่มือใหม่ที่ยังไม่รู้จักใครแต่กล้าจะเล่นของสูงสินะ ตกลงเป็นคนยังไงกันแน่”

              “อีกแค่สองวันเราก็จะรู้แล้วนะครับ”

              “ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันก็ไม่คิดจะสนมันอยู่แล้วในเมื่อยังไงคนพวกนั้นมันก็เหมือนๆกันหมด”

              ปิญญ์ชานน์หยิบซองแรกที่ใส่การ์ดเชิญขึ้นมาดู แม้แต่ชื่อแส้ก็ยังไม่มีระบุอยู่ในการ์ดเชิญ อีกฝ่ายเป็นคนประเภทไหนกันแน่ ทั้งที่ดูน่าจะฉลาดมีความสามารถแต่กลับตกเป็นเหยื่ออีกรายของขนมผิงไปซะได้

              “แล้วก็มีอีกเรื่องนะครับ อีกสามวันคุณเชตุพลจะกลับมาจากแคนนาดา เขาฝากบอกมาว่ามีเรื่องจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”

              “เรื่องอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเรื่องของเดหลีอีกแล้ว ถ้าเป็นเรื่องของเดหลีละก็บอกไปเลยว่าฉันไม่ได้มีเวลาว่างจาคุยเรื่องไร้สาระขนาดนั้น”ปิญญ์ชานนท์พูดถึงว่าที่คู่หมั้นที่ทางผู้ใหญ่จัดเอาไว้ให้

              “แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่นะครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องราคาของหุ้นที่เขาถืออยู่มากกว่า”เลขาหนุ่มอธิบาย

              “งั้นก็จัดเวลาให้เขามาพบฉันตอนที่ว่าแล้วกัน”

              “ครับ”

              “ถ้าไม่มีอะไรนายก็ไปทำงานต่อได้เลย”เขาโบกมือเป็นเชิงไล่

              “เอ่อ เรื่องเมื่อวานที่บอกให้ผมติดต่อไปทางบริษัทจัดหางาน ทางฝ่ายนั้นเขาแจ้งมาว่าตอนนี้ทางมณีรัตน์ก็แจ้งไปว่าต้องการคนเหมือนกับทางเรานะครับ”

              “แล้วยังไง นายคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางนั้นไม่ได้รึยังไงกัน”พอเอ่ยถึงมณีรัตน์ปิญญ์ชานนท์ก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา

              ภายในไม่กี่วันที่ผ่านมาชื่อของมณีรัตน์เข้ามาวนเวียนในหัวของเขาจนเต็มไปหมดจนเขาชักเริ่มทนไม่ไหวหากจะต้องได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง

              “ฝ่ายนั้นแจ้งมาว่าเขาไม่สามารถบังคับให้ตัวผู้หางานเลือกงานได้ แล้วอีกอย่างฐานของเงินเดือนของเราก็น้อยกว่ารวมถึงสวัสดิการ มีแนวโน้มสูงมากที่เราอาจจะได้คนงานมาไม่ทันที่จะต่อสัญญา”

              “งั้นก็ทำเรื่องไปยังฝ่ายบุคคลให้ปรับฐานเงินเดือนพนักงานฝ่ายผลิตให้หมดให้เท่ากับของมณีรัตน์ ให้มันรู้ไปว่าจะไม่มีใครอยากทำงานกับเรา”

              “แต่ถ้าทำแบบนั้นผู้ถือหุ้นคนอื่นๆจะคัดค้านเอาได้นะครับ”

              “ใครจะไปสน ถ้าไม่มีคนผลิตรายได้มันก็หายไปเหมือนๆกัน ใครไม่พอใจก็ให้มาเจอกับฉันเป็นการส่วนตัวได้ ไปได้แล้ว ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว วันนี้ยกเลิกนัดที่มีให้หมด”ปิญญ์ชานนท์สั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

              หลายสิ่งหลายอย่างมันโถมเข้ามาจนเขาแทบจะตั้งรับไม่ทัน เขามัวแต่เอาไปพะวงกับเรื่องของขนมผิงที่ในเวลานี้มีคนคอยตามติดกันไม่ให้เขาเข้าใกล้ อีกทั้งยังจะเรื่องงานที่ปัญหาเริ่มมีเข้ามาไม่รู้จบ

              ราคาของหุ้นที่ตกลงไปมีทางเดียวที่จะแก้ได้ก็คือการได้เซ็นสัญญาระยะยาวกับสิงคโปร์ ซึ่งปัญหาที่ตามมาติดๆก็คือบุคลากรทางด้านการผลิตไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อกำลังการผลิตได้ และนั่นเป็นตัวแปรสำคัญในการต่อสัญญาระยาวที่กำลังจะหมดลงครั้งนี้

              ปึง!!

              ปิญญ์ชานนท์ทุบมือลงบนโต๊ะเพื่อบัลดาลโทสะอย่างเหลืออด ปัญหามากมายวิ่งเข้ามาใส่เขาราวเป็นการจงใจของใครบางคน และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คนคนนั้นก็ทำมันสำเร็จได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เขาแทบอย่างจะบ้าคลั่งกับปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อน

              แต่ว่าเขาเองก็จะไม่ยอมง่ายๆเด็ดขาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะต้องเป็นไปตามที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เขาเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายเดินนำไม่ใช่ให้ใครหน้าไหนมาเดินแซงหรือเดินผ่านเขาไปได้

 

              ----------------------------------------------------------

 

              “เมื่อสักครู่สำนักงานจัดหางานเขาแจ้งมาว่าทางอนันตไพลินต้องการที่จะได้คนงานเพิ่มอย่างที่คุณคาดเอาไว้ครับ”

              “กะไว้แล้วไม่มีผิด แล้วยังไงมีใครสนใจรึเปล่า”ผมถามคุณแทนทัพกลับไป

              “ตอนนี้เห็นว่ายังไม่มีใครสนใจนะครับ แต่มีข่าวลือออกมาว่าทางนั้นตั้งใจจะปรับฐานเงินเดือนขึ้นมาสู้กับเรา แต่ยังไงผมก็คิดว่าผู้ถือหุ้นรายอื่นๆของเขาก็คงไม่ยอมเพราะสถานการณ์มันค่อนข้างจะไม่อำนวยสักเท่าไร”

              “ผมก็คิดว่าอย่างนั้น ให้มันได้อย่างนี้สินะ”ขนมผิงยิ้มอย่างพอใจ

              “ดูเหมือนว่าคุณกำลังมีความสุขอยู่นะครับ”

              “แน่นอนผมมีความสุข”ตอบในขณะที่หมุนเก้าอี้หันหลังไปมองวิวด้านนอกอย่างสบายใจ

              “มันไม่ดีนะครับ มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น”

              “นานๆทีก็ปล่อยให้ผมมีความสุขบ้างจะเป็นอะไรไป คุณทัพอย่าว่าผมเลยนะ”

              “งั้นก็ตามใจครับ แต่อย่าทำให้มันเกินตัวล่ะครับ ผมไม่อยากให้คุณทำงานหนักเกินไป”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

              “ไม่เป็นอะไรหรอก หนักกว่านี้ผมก็เจอมาแล้ว ว่าแต่ต้นเดือนหน้าทันทีที่พนักงานที่มายื่นใบสมัครเข้ามารายงานตัวครบคุณรีบแจ้งทางฝั่งคุณเฉียนด้วยล่ะ ผมต้องการที่จะจับเขาเซ็นสัญญาก่อนที่ทางอนันตไพลินจะได้รู้ตัว”

              “แต่ผมไม่อยากให้คุณเร่งเลยนะครับ ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”

              “ผมต้องการแน่ใจว่าผมจะได้มันมาไว้ในกำมือก่อนที่จะเจ้าของมันจะทันรู้ตัวไปซะก่อน”ขนมผิงแสยะยิ้มร้ายทั้งที่ยังจ้องมองไปยังวิวด้านนอก

              มันแน่นอนอยู่แล้วที่คนกระหายชัยชนะอย่างเขาจะรีบทำเพื่อให้มันจบๆ ขนมผิงต้องการที่จะเห็นอีกฝ่ายล้มทั้งยืนจนแทบจะอดทนรอไม่ไหว

               “แล้วก็เรื่องข่าวลือในบริษัท ผมคิดว่าอีกไม่นานมันจะเล็ดลอดออกไปภายนอก จะให้เก็บเรื่องนี้เอาไว้หรือว่าจะปล่อยให้คนนอกรู้ตามที่ควรจะเป็นดีครับ”

              “เอาสิ ปล่อยให้มันเป็นตามที่มันควรจะเป็นนั่นแหละ”

              ข่างลือที่เกี่ยวกับสถานะของแม่ของเขาที่มาก่อนภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายกำลังถูกแพร่งพรายไปทั่วบริษัท และอีกไม่นานมันคงจะถูกปล่อยไปถึงหูพวกคนใจดำที่มันถือดีมาตีตราบาปลงกับแม่ของเขา

 

              -----------------------------------------------------------

             

              วันนี้ขนมผิงเลิกงานเร็วกว่าปกติ ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีกับผลงานที่ออกมาอย่างดีเยี่ยม ตาคู่สวยจ้องมองไปยังถนนด้านนอกของตัวรถโดยที่คมสันผู้ติดตามส่วนตัวเป็นคนขับรถให้

              “ปะป๊มาแล้วววว”

              “ปะป๊าฮับบบบ”

              ยังไม่ทันจะก้าวเข้าบ้าน เสียงแหลมเล็กก็พากันร้องดีใจ เวียงลงเท้าตึงตังวิ่งมาหาเขาด้วยท่าทางตื่นเต้นที่เขาเลิกงานเร็วกว่าปกติ อีกทั้งเมื่อวานเขาไม่ได้กลับมานอนที่บ้านเพราะมัวแต่ทำงานจนดึกจึงจ้องไปนอนที่คอนโดแทน

              “เดี๋ยวปะป๊าถอดรองเท้าก่อนนะครับ”

              ขนมผิงยกมือห้ามก่อนที่สองตัวอ้วนจะกระโดดโถมมาให้เขารับ

              “คิดถึงปะป๊า”ปลากริมเงยหน้าอ้อน ตาคู่กลมโตจ้องมองมาตาแป๋วชวนให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

              “หลิ่มก็คิดถึง”เจ้าตัวเล็กกว่าเองก็ไม่ยอมแพ้

              “ปะป๊าก็คิดถึงเหมือนกันครับ ไหนวันนี้เรียนอะไรบ้างเล่าให้ปะป๊าฟังหน่อยสิครับคนเก่ง”ขนมผิงถามถึงบทเรียนที่พี่เลี้ยงสอนให้

              “กอไก่ขอไข่ฮับ”

              “มีช้างแล้วก็มีเสือด้วยยยย”

              สองแฝดพากันพูดถึงบทเรียนเสียงเจื้อยแจ้ว

              “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ท่องให้ปะป๊าฟังด้วยนะ ตกลงไหม”

              “ฮับบบบบ”

              “ฮับผม”

              สองแฝดพากันพยักหน้ารับจนหัวคลอนในขณะที่เขาเดินเข้าบ้านพร้อมกับร่างจ้ำม่ำเดินขนาบข้าง

              “แม่ก็นึกว่าวันนี้จะไม่กลับมาซะแล้ว”ลำดวนทักลูกชาย

              “ไม่กลับได้ยังไงล่ะครับ ลูกผิงรออยู่ตั้งสองคน”ขนมผิงบุ้ยปากก่อนจะเดินเข้าไปกดจมูกลงบนแก้มนุ่มของมารดา

               “ก็ดีแล้ว วันนี้แม่ทำกับข้าวไว้ตั้งเยอะ พ่อเขาก็บ่นว่าผิงเอาแต่ทำงานจนช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้า”

              “ก็มีเด็กๆไว้คอยอยู่แทนแล้วไงครับ ผิงแค่อยากให้งานออกมาดี”

              “แต่แม่ไม่เห็นว่าจะต้องขยายบริษัทอะไรอย่างที่ผิงทำอยู่ตอนนี้เลย พ่อเขาบอกว่าแค่นี้ก็มากพอแล้วไม่เห็นจะต้องทำอะไรให้มันเหนื่อยไปมากกว่านี้”

              ลำดวนดึงให้ลูกชายนั่งลงบนโซฟาก่อนจะตามด้วยเด็กๆที่ปีนขึ้นมานั่งขนาบข้างอย่างรู้งาน

              “ผิงแค่อยากทำให้พ่อภูมิใจ”บอกออกไปทั้งที่มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆของเป้าหมายที่วางเอาไว้

              “แม่รู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ แต่แม่ไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลยนะ”

              “ผิงคิดว่าผิงทำได้ ผิงว่าเราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่า ผิงไม่อยากคุยต่อหน้าลูกๆ”

              ขนมผิงรู้ดีว่ามารดาของตนต้องการที่จะให้เขาเลิกเกลียดชังอีกฝ่าย หากแต่มันเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อสิ่งที่คนพวกนั้นทำมันช่างเลวร้ายเกินกว่าที่จะทำใจให้ลืมได้ง่ายๆ

              “ตามใจแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ว่างไหม เด็กๆอยากไปกินไอติมข้างนอกกันอีกแล้ว เมื่อวานแม่ก็พึ่งจะพาไปแหมบๆ ให้ไปอีกพรุ่งนี้คนแก่อย่างแม่คงไปไม่ไหว”คุณยายมือใหม่พูดพลางส่ายหน้ากับการที่ต้องรับมือคู่แฝดตัวแสบเวลาออกไปข้างนอก

              “เมื่อวานแม่พาเด็กๆไปข้างนอกมาเหรอครับ”ขนมผิงพอได้ยินก็ถามทันที

              เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าเด็กๆไปไหนมาไหนโดยที่ตัวเองไม่รู้มาก่อน

              การที่เขายอมไม่เก็บลูกเอาไว้ข้างตัวก็เพื่อที่จะกันไม่ให้ลูกๆไปเจอกับคนที่ไม่อยากจะให้เจอ เพื่อที่เขาจะได้แน่ใจว่าจะไม่มีวันสูญเสียเด็กๆให้กับปิญญ์ชานนท์ไป แต่การที่จู่ๆแม่ของเขามาบอกว่าพาปลากริมกับสลิ่มออกไปข้างนอกโดยไม่บอกเขาสักคำมันทำให้เขาค่อนข้างไม่พอใจสักเท่าไร

               “ผิงบอกแล้วไงว่าไม่ให้พาเด็กๆออกไปข้างนอก”

              “ผิง มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน เราไม่สามารถเก็บเด็กๆไว้แต่ในบ้านนะลูก เด็กๆต้องออกไปดูโลกข้างนอกบ้าง อีกเดี๋ยวปีหน้าก็ต้องเข้าโรงเรียน”

              “แต่ผิงไม่อยากให้แม่พาเด็กๆออกไป อย่างน้อยแม่ก็น่าจะบอกกันก่อน ผิงไม่อยากให้เขาเข้าใกล้เด็กๆ”

              “แล้วเขาที่ว่าคือใครล่ะ จนป่านนี้แม่ก็ยังไม่รู้สักทีว่าเขาคือใคร แม่เองก็ไม่อยากจะขุดคุ้ยเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น แต่วันหนึ่งเด็กๆโตขึ้นมาก็ต้องอยากรู้เข้าสักวัน”ลำดวนเองก็เริ่มไม่พอใจเมื่อลูกชายทำราวกับหวงแหนเด็กๆมากเกินตัว

              “ไม่ได้!! ยังไงก็ไม่ได้ ผิงไม่ให้แม่พาลูกๆผิงออกไปไหนแล้ว”

              “ผิง ผิงจะเอาความคิดของตัวเองมาตัดสินไม่ให้เด็กๆออกไปดูโลกภายนอกไม่ได้นะ เราจะขังเด็กๆเอาไว้แต่ในบ้านไม่ได้”

              “ผิงไม่ได้ขัง ผิงแค่อยากให้ลูกๆอยู่ในสายตา ผิงไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ลูกๆของผิงเท่านั้น”

              “แค่พาไปกินไอติมแค่นี้เอง แม่ว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเลวร้ายหรอก”

              สิ่งที่ลำดวนแย้งทำให้ขนมผิงหยุดคิด มันอาจจะเป็นเพราะว่าปิญญ์ชานนท์ส่งคนมาตามติดเขามากเกินไปถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่ได้มาเอง

              แต่นั่นมันก็ไม่มีอะไรบ่งบอกได้เลยว่าปิญญ์ชานนท์จะไม่เข้ามาใกล้กับเด็กๆอีกในเวลาที่ออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาอยู่

              “นะฮับปะป๊า กิมอยากกินไอติม”เจ้าตัวแสบคนพี่กระตุกแขนเสื้อของขนมผิงจากทางด้านหลังเรียกให้หันไปมองหยดน้ำตาที่คลอบนหน่วนตาคู่กลม

              “นะฮับ ปะป๊า หลิ่มชอบกินติมมากเลยฮับ”สลิ่มเงยหน้ามองตาใส

              “ก็ได้ครับ แต่ห้ามไปไกล และห้ามไปนาน ก่อนไปต้องบอกผิงก่อน ผิงไม่อยากให้เด็กๆกลับมาแล้วไม่สบาย”

              “ไม่เป็นอะไรหรอกน่า หวงเกินไปก็ใช่ว่าจะดีนะ”ลำดวนกล่าวเตือน

              ใครจะหาว่าเขาหวงลูกมากเกินไปเขาก็ยอมถ้าหากมันจะช่วงปกป้องลูกของเขาเอาไว้ได้

              “เย้ ปะป๊าใจดี กิมรักปะป๊าฮับ”เจ้าตัวโตรีบกระโดดโถมตัวเข้ามากอดคอ ฝังจมูกลงบนแก้มของเขา

              “หลิ่มก็รักปะป๊า”คราวนี้สลิ่มยืนขึ้นมาทำท่าจะโถมตัวใส่บ้าง

              ดีที่ขนมผิงคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะโดนลูกแฝดพากันทับตายเสียก่อน

               “งั้นสัญญากับป๊านะครับว่าจะไม่คุยกับคนแปลกหน้า ต้องอยู่กับพี่นิวพี่แนนตลอดนะครับ”ต่อรองและยื่นนิ้วก้อยไปให้เด็กๆ

              “ฮับ/ฮับ”

              “ดีมาก พรุ่งนี้ปะป๊าจะพาไปกินไอติมเอง”

              “เย้ จะได้เจอคุงยุงแย้ว”สลิ่มกระโดดโลดเต้นบนโซฟาตัวยาว

              แต่คำพูดของสลิ่มทำให้ขนมผิงชะงักแล้วหันกลับไปมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาสงสัย

              “แม่ไม่ได้บอกอะไรผิงรึเปล่า”

              “เด็กๆก็พูดไปเรื่อยแหละ อย่าไปใส่ใจ”

              “เย้ คุนยุงปินป้อนไอติม”คราวนี้ปลากริมกระโดดตามบ้าง

              “แม่!! เมื่อวานเด็กๆไปเจอกับใครมา!!”ขนมผิงถามเสียงแข็ง

              “ก็แค่คุณปิญญ์นะ เจอแค่แปบเดียวเองไม่มีอะไรหรอก”ลำดวนหลบตา

              สำหรับแม่ของเขาแล้ว ในสายตาปิญญ์ชานนท์ก็คือคนที่เขาเกลียดเพราะเป็นพวกเดียวกับอนันตไพลินที่ใส่ร้ายครอบครัว แต่สำหรับเขาปิญญ์ชานนท์คือคนที่เขาทั้งเกลียดทั้งชัง เป็นราวกับสัตว์นรกที่ไม่มีจิตใจของความเป็นคนอยู่เลยสักนิด

              “แต่คุนยุงพาไปกินติมด้วยนะฮับ ถ่ายรูปด้วยเนอะหลิ่มเนอะ”

              “ช่ายๆ คุนยาย เปิดรูปๆ เอามาอวดปะป๊า”เด็กๆพากันโบกไม้โบกมือ

              “รูปอะไร”ขนมผิงคาดคั้น

              “ไม่มีอะไรหรอก แค่รูปเด็กๆให้ถ่ายตอนกินไอติม”

              “ไหนเอามาให้ผิงดู”

              “อย่าดูเลย แค่รูปเด็กๆ ไม่มีอะไรหรอก”

              “ถ้าแค่รูปเด็กๆทำไมผิงจะดูไม่ได้”

              ขนมผิงคาดคั้นจนลำดวนยอมส่งโทรศัพท์ให้ มือผอมเปิดรูปในโทรศัพท์แล้วเลื่อนดูก็เจอเข้ากับรูปเด็กๆที่นั่งประกบข้างอยู่บนตักเจ้าของใบหน้าคมคาย จู่ๆมือที่ถือโทรศัพท์นั้นก็เกร็งจนสั่นแทบจะควบคุมไม่ได้

              อีกแล้วที่ปิญญ์ชานนท์เข้าใกล้เด็กๆโดยที่เขาไม่รู้ อีกแล้วที่ต้องรู้สึกราวกับว่ากำลังสูญเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต มันเพราะอะไรกันคนเลวแบบนั้นถึงได้เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตของเขากับเด็กๆอยู่ได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายผลักไสเขากับเด็กๆราวกับสิ่งที่มีชีวิตที่ถูกโยนทิ้งขว้างเมื่อไม่ต้องการ

              “ต่อไปนี้ไม่ว่าจะยังไงก็ห้ามไม่ให้เด็กๆออกไปข้างนอกเด็ดขาดถ้าผิงไม่อนุญาต หากผิงรู้ว่ามีใครพาเด็กๆออกไปล่ะก็ผิงจะพาเด็กๆออกไปอยู่ข้างนอก วันนี้ผิงไม่กินข้าวเย็น ผิงอยากพักผ่อน”

              พูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นบนโดยที่ไม่สนใจว่าผู้เป็นแม่จะตกใจกับการกระทำของเขามากแค่ไหนและเด็กๆจะมีท่าทีกวาดกลัวยังไง เขาขอเพียงแค่ไม่มีใครเข้ามาเพื่อที่จะแย่งลูกๆไปจากเขาก็พอ

 

              -----------------------------------------------------

 

              งานเลี้ยงในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูโรงแรมเดียวกับที่จัดงานฉลองเรียนจบให้กับคุณวุฒิ มันทำให้ขนมผิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะเมื่อเกือบสี่ปีที่ผ่านมาที่นี่ก็เหมือนนรกดีดีสำหรับเขานั่นเอง

              เสียงเพลงที่เปิดคลอไปเบาๆพร้อมแขกเริ่มมากันเยอะขึ้น ผู้บริหารหรือผู้ร่วมลงทุนทางธุรกิจหลายคนต่างก็เดินทักทายกันเพื่อคุยกันตามภาษาของคนที่เอื้อผลประโยชน์ต่อกันก็เท่านั้น

              วันนี้แล้วสินะที่ทุกคนจะได้รู้ความจริงทั้งหมด วันนี้ขนมผิงจะได้เห็นสีหน้าของคนที่ถือตนเองเหนือกว่าคนอื่นๆอย่างปิญญ์ชานนท์เมื่อรู้ว่าเขาเป็นใครและได้ทำอะไรได้บ้าง

              “ผิง พี่กะแล้วว่าผิงต้องมา”เสียงนุ่มคุ้นหูทักขึ้นจากทางด้านหลังเรียกให้ขนมผิงหันไปมองเจ้าของเสียงด้วยรอยยิ้ม

              ถึงแม้ว่าจะแปลกใจแต่มันก็ไม่ค่อยจะเกินความคาดหมายสักเท่าไรที่คุณวุฒิจะโผล่มาในงานเลี้ยงนี้

              “ผิงก็กะเอาไว้เหมือนกันว่าพี่วุฒิจะมา”

              “แล้วเด็กๆล่ะ เอามาด้วยไหม พี่ซื้อขนมติดรถมาเยอะเลยกะว่าต้องเจอผิงแน่แน่”

              “เด็กๆอยู่กับพี่เลี้ยงตรงเก้าอี้ตรงนั้นครับ”ตอบพลางชี้นิ้วไปยังริมห้องจัดเลี้ยงที่เด็กๆกำลังเล่นอยู่กับพี่เลี้ยงทั้งสองคน

              “พี่อยากไปทักทายเด็กๆหน่อย ไปกันเถอะ”มือใหญ่เอื้อมมือมาจับมือของขนมผิงเอาไว้แล้วจูงให้เดินตาม”

              ขนมผิงจ้องมองข้อมือของอีกฝ่ายที่โพล่พ้นแขนเสื้อสูทออกมาเล็กน้อย นาฬิกาเรือนแพงที่อีกฝ่ายสวมอยู่เรียกรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้านั้นได้เป็นอย่างดี

              ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นจุดเปลี่นของจุดยืนที่เขายืนอยู่โดยเฉพาะในสายตาของคุณวุฒิกับปิญญ์ชานนท์ แต่ยังไงซะการที่ได้ตอกหน้าพวกคนที่ได้ตราหน้าแม่ของเขามันก็คุ้มที่จะเสี่ยง…แม้ว่ามันอาจจะทำให้ความห่างเหินระหว่างเขากับคุณวุฒิเปลี่ยนไปก็ตาม

              ขนมผิงไม่อยากจะคาดเดากับผลลัพธ์ที่จะตามมาเลยว่าท่าทีของคุณวุฒิจะมีต่อเขายังไงเมื่อได้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใคร สิ่งเดียวที่เขาหวังมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการได้เห็นสีหน้าของคนเลวพวกนั้น

              “เย้ คุนยุงหมอ”เจ้าสองตัวกลมในชุดทักซิโดน่ารักหันมาทักทายทันทีที่ได้เห็นเจ้าของร่างสูงดูใจดี

              “คุนยุงหมอใจดี”

              “ว่าไงครับ ไม่เจอลุงหมอตั้งนานคิดถึงกันรึเปล่า”

              “คิดถึงฮับ คิดถึงหนมด้วย”ปลากริมยิ้มเผล่

              “ช่ายคิfถึงหนมอาหย่อย”

              “ขนมกับเจ้าของขนมคิดถึงใครมากกว่าครับ”คุณวุฒิย่อตัวไปเสมอเด็กๆแล้วถาม ไม่วายยกมือลูบหัวเด็กๆด้วยความเอ็นดู

              “คิดถึงสองอันเลยฮับ” 

              “ช่าย คิดถึงสองอันเลย”สลิ่มยิ้มจนตาหยี

              “จริงเหรอครับ ลุงหมอว่าถ้าคิดถึงลุงหมอมากกว่าลุงหมอจะไปเอาขนมหลังรถมาให้สักหน่อย”

              พอได้ยินที่คุณวุฒิพูดเจ้าสองแสบก็พากันตาลุกวาว ยิ้มกว้างดีใจกันยกใหญ่

              “อย่าติดสินบนเด็กสิครับ”ขนมผิงพูดหยอกอย่างใจเย็นมองดูคุณหมอเด็กคุยกับเด็กๆสนุกสนาน

              “งั้นกิมคิดถึงยุงหมอมากกว่า”

              “ช่ายๆหลิ่มด้วย คิดถึงยุงหมอมากกว่า”

              “เปลี่ยนใจเร็วกันจังเลยนะครับ เหมือนใครแถวนี้ก็ไม่รู้”คุณวุฒิหันมาแซว

              “อย่าใส่ร้ายกันสิครับ”

              “ก็มันจริงไหมล่ะ ว่าแต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นรู้จักกับผิงรึเปล่า พี่เห็นเขาคอยตามผิงตลอดเลย”ใบหน้าดูใจดีพยักหน้าไปทางร่างสูงใหญ่ของคมสันที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล

              “นั่นเป็นคนของพ่อนะครับ คอยดูแลความปลอดภัยของเด็กๆ”

              “งั้นเหรอ พี่ก็ว่าแล้วว่าแปลกๆ ว่าแต่พี่เห็นผิงพูดถึงพ่อมาหลายครั้งแต่พี่ยังไม่เคยได้ทักทายท่านเลย ใจคอจะไม่แนะนำให้พี่รู้จักบางเลยเหรอ”

              “เดี๋ยวก็ได้รู้เองล่ะครับ อีกไม่นาน”ฝืนยิ้มออกไป

              ต่อจากนี้คุณวุฒิจะอยู่จะไปก็ต้องขึ้นอยู่กับความคิดของอีกฝ่าย

              “ผิงว่าไงพี่ก็ว่าตาม ว่าแต่ผิงเห็นพี่ปิญญ์บ้างไหม มาพร้อมกันแท้ๆกลับหายไปซะได้”

              “ไม่รู้สิครับ ผิงไม่ค่อยได้สนใจคุณปิญญ์สักเท่าไร”ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

              ถึงแม้ว่าตาคู่สวยกำลังจะจ้องมองร่างสูงของคนที่พูดถึงอยู่อีกฝั่งของห้องจัดเลี้ยงก็ตาม ขนมผิงจงใจยกยิ้มยั่วเมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตาราบกับต้องการจะท้าทาย

              เพราะมีผู้ติดตามคอยคุมเชิงอยู่ใกล้ตัวทำให้ปิญญ์ชานนท์ไม่กล้าที่จะเข้ามาวุ่นวายกับขนมผิงเหมือนครั้งก่อนๆ ยิ่งตอนนี้มีแขกทางสังคมที่ต้องไว้หน้า ทำให้อีกฝ่ายต้องระวังตัวไม่ให้เสียหน้าเหมือนครั้งที่แล้วมากขึ้น

              “คุณผิงครับได้เวลาแล้วครับ คุณพิศท่านรออยู่”แทนทัพเดินเข้ามาแตะแขนเบาๆเรียกให้ขนมผิงหันไปยิ้มรับ

              ทว่าตาคู่คมของแทนทัพกลับปรายตามองมายังคุณวุฒิที่กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆไม่วางตา

              “อืม เดี๋ยวผมไป”ตอบรับเสียงเบา

              “นั่นใครครับ ทำไมผมไม่เคยรู้จักมาก่อน”แทนทัพถามออกไปจนได้

              “เขาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของผมเอง รู้จักกันมานานแล้วล่ะ”ตอบพลางมองสีหน้าที่ดูไม่ดีเท่าไรของเลขาหนุ่ม

              “งั้นเหรอครับ ผมว่ารีบไปดีกว่าครับ คุณพิศท่านจะรอนาน”

              “เดี๋ยวผมตามไป”บอกย้ำอีกรอบแม้ว่าแทนทัพจะยังคงยืนรอออยู่ตรงนั้นก็ตาม

              “พี่วุฒิครับ เดี๋ยวผิงต้องไปหาคุณพ่อสักแปบนึง ถ้ายังไงก็อย่าลืมขนมเด็กๆนะครับ”ขนมผิงสะกิดแขนคุณวุฒิเบาๆ

              “ให้พี่ไปด้วยสิ จะได้ทำความรู้จักกับคุณพ่อของผิง”

              “อย่างพึ่งดีกว่าครับ ตอนนี้คุณพ่อท่านไม่ค่อยสะดวก”

              “อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ได้ พี่ก็ว่าจะไปตามพี่ปิญญ์เหมือนกัน ไม่รู้ว่าหลบไปอยู่ไหน พี่ยิ่งไม่ค่อยรู้จักใครอยู่”

              “งันเดี๋ยวเจอกันนะครับ”

              บอกออกไปแบบนั้นทั้งที่ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะยังยืนรอเขาอยู่ที่เดิมไหม หรือจะจะเดินถอยหนีไปเมื่อรู้ความจริงที่เขากำลังจะเปิดเผย

 

              -------------------------------------------------------------------
มีต่อ

หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 13-11-2015 20:57:16
คนอ่านนับวันรอให้ความลับแตกจะแย่อยู่แล้ว  :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 13-11-2015 21:18:56
งานนี้จัดหนักให้อิคุณปิญ ล้มทั้งยืนทีเถอะ  :hao7:

ลูกก็อย่าให้ได้เข้าใกล้ เมียก็เอาให้แต๊ะไม่ได้  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-11-2015 21:19:48
รออ่านอีก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 13-11-2015 21:37:23
เอาเข้าไปค่ะคุณปิญญ์ โทษได้ทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ยกเว้นก็แค่ตัวเอง อยากจะรู้จริงๆ ว่าโตมากับคนแบบไหนทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ก็ไม่รู้นะคะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Lookwa1007 ที่ 13-11-2015 21:50:31
สงสารผิงจัง โดนตามรังควานตลอดเลย ขอให้แก้แค้นสำเร็จนะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 13-11-2015 21:54:20
ขนมผิงสู้ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 13-11-2015 21:59:09
 o8 อันที่จริงตามกฎหมาย คนเป็นแม่เหมือนจะมีสิทธิ์มากกว่าคนเป็นพ่อนะ
หมอไม่มีสิทธิ์ตรวจให้ หากแม่เด็กไม่อนุญาต และถ้าฟ้องแย่งสิทธิ์
ดูทีศักยภาพในการเลี้ยงดูถ้าเท่ากันแล้วล่ะก็ จ้างทนายงัดกันยาวเลย

เพราะฉะนั้น อีขุ่นปิญญ์โรคจิตเงินใช้ไม่ได้ในกรณีนี้หรอก :a14:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 13-11-2015 22:21:06
เอาใจช่วยพระเอกกะนายเอก

ให้โอกาสแก่กันและกัน

พระเอกก็ร้ายเกิน แบบนี้ตบๆ

นายเอกก็แรง ไม่อ่อนง่ายๆแน่

แล้วแบบนี้เมื่อไร่จะมีฉากหวานๆบ้าง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 13-11-2015 22:45:39
งานนี้ผิงชนะใสๆ ดีแล้ว สู้เพื่อลูกดัดนิสัยเสียๆปิญญ์ซะบ้าง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 13-11-2015 23:16:30
คนดี อ่อนโยน ช่างดูแลอย่างแทนทัพ ก็เป็นได้แค่พระรองซินะ
~_~ แค้นมาก ทำร้ายกันมาก พูดจาดูถูกเหยียดหยาม จะรักกันอย่างไร สองแฝดนั่นคงมีบทบาทไม่น้อย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-11-2015 02:00:31
ไหน ใครไม่รู้ว่าพระเอกคือใคร แสดงตัวมา คนเขียนนี่ฮาเลย
มีแต่คนรักขุ่นปิญญ์ ให้กำลังใจขุ่นปิญญ์ทั้งน๊านนน
 :laugh:  :laugh:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-11-2015 04:47:24
ไหน ใครไม่รู้ว่าพระเอกคือใคร แสดงตัวมา คนเขียนนี่ฮาเลย
มีแต่คนรักขุ่นปิญญ์ ให้กำลังใจขุ่นปิญญ์ทั้งน๊านนน
 :laugh:  :laugh:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 14-11-2015 04:53:28
เอาให้เต็มที่ค่ะน้องผิง
เบื่ออิตาโรคจิตปิญญ์เต็มทีแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: fahhee_zeze ที่ 14-11-2015 05:04:50
เดี๋ยวขุ่นปิญญ์ได้ไส้ปลิ้นเมื่อรู้ความจริง #หมั่นไส้สุดคนนี้ :laugh3: :laugh3: :laugh3: :laugh3:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 14-11-2015 11:32:25
ขนมผิง สู้ๆ นะ ตีองร้ายกว่านี้ เอาให้ไอ้คุนปิญเหลือแต่ตัวเลยนะ ให้มันเป็นหมาจนตรอกเลย รอออวันนั้น
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 14-11-2015 14:43:47
หืออออ ขุ่นปิญญ์นี่มันโรคจิตของแท้
ต้องการอัลไลจากขนมผิงเนี่ย
สรุปนายก็เอาดีเอ็นเอไปจนได้สินะ ร้ายมาก
นายนี่มันน่าโดนเล่นงานจนไม่เหลืออะไรจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 14-11-2015 15:35:45
        สนุกคับ แต่ก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ผัว-เมียทะเลาะกันเพราะผูกโกรธอยากทำให้อีกฝ่ายเจ็บจริงๆแล้วมีเรื่องธุระกิจมาเกี่ยวข้อง มันจะมีแต่พังมั้ยน่ะ น่าติดตามตอนต่อไปคับ ตอนใหม่มาเร็วๆนะคับ รอ รอ รอ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-11-2015 17:53:39
ไหนใครโหวตให้อีตาปิญญ์ มาปรับทัศนคติด่วน?
พวกเธอซาดิสมากกก ไปโหวตให้มานทามมายยยย
 :angry2: :angry2: :angry2:
(ก็มันเป็นพระเอกไม่ใช่รึไง)
 :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kisssky ที่ 14-11-2015 23:16:29
ความโกรธ ไม่ยอม แก้แค้น ทำร้ายกัน เพื่อความสะใจ

พาร์ทนี้ มีแต่คนเชียร์นายเอก ให้เอาคืน

เดี๋ยวพอพระเอกล้ม ก็คงบอกให้นายใจอ่อน แล้วก็คืนดีกันแน่เลย

หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 15-11-2015 03:01:04
ปิญญ์ต้องการอะไรจากสังคม
นายมันโรคจิตว่ะ
 :z6: ตามอยู่ได้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 16-11-2015 19:28:31
แอบมาดัน
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 16-11-2015 19:48:00
แอบมาดัน
 :กอด1:

มาดันด้วยอีกแรงใจ

ตอนต่อไปจะมาเมื่อไร่หนอ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mpreg+ตบจูบ ❖ บทที่ 11 สั่นคลอน❖ 13/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 17-11-2015 05:44:44
มาช่วยดันอีกคน
เมื่อไรจะมารอๆ :katai3:
หัวข้อ: Re: ❖Dangerous Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 19-11-2015 01:04:18
 :katai1:  ขี้อ่อยมากนู๋ผิงของเรา

ความจริงปิญ ไม่ควรมีสิทธิอะไรในตัวของผิงตั้งแต่ผลักไสไล่ส่งผิงแล้วนะ

แล้วตอนนี้ทำมาหวงก้างทุเรศอ่ะ ทีนี้ทำมาทวงสิทธิ ส้งตีงมาก
หัวข้อ: Re: ❖Dangerous Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 19-11-2015 04:07:47
ต่อ
             

              ทางด้านของปิญญ์ชานนท์ อารมณ์ของชายหนุ่มในเวลานี้มันร้อนเสียยิ่งกว่ากลองเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้ รอยยิ้มแสยะที่ได้รับมาจากบุคคลที่อยู่อีกฟากของห้องทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองไม่ต่างจากรังผึ้งที่ถูกแหย่ให้ฝูงผึ้งแตกออกมา

              ความอิจฉาริษยาที่เกิดขึ้นในใจทำให้เขาแทบจะยอมรับไม่ได้ว่าตนเองนั้นอิจฉาลูกพี่ลูกน้องของตนมากเพียงใด ทำไมเขาจะต้องเว้นระยะและถูกผลักไสให้ออกห่างทั้งที่คุณวุฒิได้ใกล้ชิดทั้งตัวขนมผิงและเด็กๆอย่างสบายใจ ผิดกับเขาที่เป็นเจ้าของและมีสิทธิในตัวของขนมผิงมากกว่าใครๆแต่กลับไม่ได้ยืนอยู่ในที่ที่ควรจะยืน

              “พี่ปิญญ์ค่ะ เดหลีนึกว่าพี่ปิญญ์จะไม่มาซะอีก เห็นพ่อบอกว่าพี่ไม่ค่อยถูกใจฝ่ายนี้สักเท่าไร”

              หญิงสาวใบหน้าสวยโฉบเฉี่ยวเดินเข้ามาจับแขนของเขาพร้อมกับวาจาที่ใช้น้ำเสียงเหยียดไม่ต่างอะไรกับผู้เป็นพ่อ

              “แล้วเธอล่ะ มาทำไม”เขาถามกลับไป

              นึกแปลกใจไม่ต่างกันที่ว่าที่คู่หมั้นหรืออีกนัยน์หนึ่งก็คือลูกสาวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเขาจะมางานนี้ด้วย

              “ก็คุณพ่อเขายังไม่กลับมาจากแคนนาดา เดหลีเลยต้องมางานนี้แทนคุณพ่อ ไม่คิดว่าพี่ปิญญ์จะมาด้วย ไม่งั้นมาพร้อมพี่ปิญญ์ซะยังจะดีกว่า”เธอพูดพร้อมกับยิ้มยั่วเย้าด้วยริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีหวานให้กับว่าที่คู่หมั้นหนุ่ม

              “ทำแบบนี้ไม่กลัวนักข่าวเอารูปไปลงเสียๆหายๆรึไง”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับด้วยท่าทีนิ่งเฉยแล้วปัดมือหญิงสาวออก

              ซึ่งนั่นทำให้เธอค่อนข้างไม่พอใจ ในเมื่อเธอเป็นถึงดาราที่กำลังเป็นดาวรุ่งในด้านบทบาทของนางร้ายที่กำลังมาแรง แล้วทำไมคนคนนี้ที่พ่อของเธอจับวางเอาไว้ให้ถึงได้ไม่เคยเหลียวแลเธอแม้แต่น้อย

              “ก็ดีสิค่ะ จะได้รู้ๆกันว่าเรากำลังจะหมั้นกันในอีกไม่ช้า จะไปสนใจทำไมคะ ยิ่งข่าวลงมากเท่าไรเดหลีก็ยิ่งดังมากขึ้น ดีซะอีก”

              “งั้นก็แล้วแต่เธอแล้วกัน”ชายหนุ่มตอบรับด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ

              สายตาของเขากำลังจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งของขนมผิงที่กำลังเดินไปพร้อมๆกับคนที่เขาเจอที่ห้างสรรพสินค้าในวันที่ขนมผิงอ้างไม่รู้จักเขา…อีกแล้วที่คนอย่างขนมผิงยอมให้คนอื่นเข้าใกล้ได้ง่ายๆโดยที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ถูกกันออกมา

              ไม่นานคุณวุฒิก็เดินออกมาจากเด็กๆหลังจากที่ขนมผิงผละออกไป ถึงแม้ว่าใจจะค่อนข้างขุ่นเคืองกับขนมผิงที่เปลี่ยนใจไปกับคนอื่นต่อหน้าต่อตาทั้งที่ก่อนหน้าอยู่กับน้องชายของเขา แต่ตอนนี้เด็กๆที่ไม่มีใครยืนเฝ้านอกจากพี่เลี้ยงสองคนที่เคยเจอเมื่อครั้งก่อนก็ทำให้เขาละความสนใจจากขนมผิงและก้าวเข้าไปหาเด็กๆโดยไม่ใส่ใจหญิงสาวที่มองตามด้วยความไม่พอใจที่เขาผละออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว

 

              ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปถึงตัวเด็กๆ เสียงพิธีกรบนเวทีก็กล่าวทักทายแขกที่มาร่วมงานทำให้เขาละสายตามองไปมองเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อไปหาเด็กร่างจ้ำม่ำสองคนที่อยู่ในชุกทักซิโดน่าชัง

              “คุนยุงปินก็มา”ลูกหมูคนพี่เอ่ยทักอย่างดีใจ

              “มากันเยอะแยะเลย”ลูกหมูคนน้องโบกมือให้

              “อ่อ คุณค่ะ คือว่าฉันไม่อยากให้คุณข้ามาคุยกับเด็กๆน่ะค่ะ หากคุณผิงรู้เข้าพวกเราจะแย่เอา”พี่เลี้ยงคนหนึ่งเข้ามากันเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปถึงตัวเด็กๆ

              “ทำไมล่ะ ฉันดูน่าอันตรายขนาดนั้นเลยรึไง”เขาตอบด้วยท่าทีไม่พอใจขึ้นมา

              “ถือว่าช่วยกันเถอะนะค่ะ ฉันไม่อยากโดนตำหนิ”

              “นี่เธอคิดว่าฉันจะทำร้ายเด็กๆรึยังไง”

              “เปล่าหรอกค่ะ แต่พวกเราได้รับคำสั่งมาว่าห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้เด็กๆหากไม่ได้บอกเอาไว้ก่อน”หนึ่งในพี่เลี้ยงตอบ

              “มันจะมากไปแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้ถือดีกันลูกตัวเองออกจากคนอื่นอย่างนี้”

              “คุณไปเถอะค่ะ เราไม่อยากจะเดือดร้อนเพราะคุณ”

              “หึ คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาสั่งฉันได้”เขายกยิ้มที่มุมปากอย่างดูแคลน

              “เอ่อ”พี่เลี้ยงสองคนเริ่มวางท่าทีกันไม่ถูกด้วยความหวาดเกรงกลัวว่าคนคนนี้จะพาลทำให้พวกเธอเดือดร้อน

              “คุนยุง ไปหาหนมกินกัน”

              “ช่าย ไปหาหนมกินกัน”

              เจ้าสองตัวแสบวิ่งลอดแขนพี่เลี้ยงทั้งสองมาจับมือของเขาด้วยความว่องไวทำให้พี่เลี้ยงมองตามกันเลิกลั่ก และทำท่าจะเข้ามาดึงเอาตัวเด็กออกห่างจากเขาหากเขาไม่ส่งสายตาปรามไปก่อน

              หัวใจที่ด้านชาของเขาคล้ายจะเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเด็กๆวิ่งเข้ามาหาโดยที่เขาไม่ได้สั่งหรือว่าบอกอะไรเลย

              “ทำไมเธอสองคนถึงได้มาอยู่ตรงนี้ล่ะแล้วพ่อของพวกเธอไปไหน”เขาถาม

              จะว่าหลอกถามเอากับเด็กก็คงจะไม่ปฏิเสธเพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าขนมผิงให้เด็กๆอยู่กับพี่เลี้ยงแล้วตนเองตามผู้ชายไปไหนกัน

              “ปะป๊าไปหาคุนตา คุนตาอยู่บนนั้น”ปลากริมชี้ไปยังด้านหน้าของเวทีทำให้ปิญญ์ชานนท์หันไปมองด้วยความสนใจ

              คุณตาที่ว่าคงจะหมายถึงพ่อของขนมผิง…หรือจะเป็นสามีใหม่ของคุณลำดวน แต่เมื่อเขาได้หันไปมองทางเวทีเขาก็เจอกับพิศณุประธานคนเก่าของมณีรัตน์ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาแปลกใจไม่น้อยจึงต้องหันกลับมาถามเด็กๆอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

              “มั่นใจนะว่าคนนั้นเป็นคุณตาของเธอน่ะ”

              “ฮับ คนนั้นคุนตา เป็นคุนพ่อของปะป๊า”สลิ่มพยักหน้า

              คำตอบที่ปิญญ์ชานนท์ได้รับทำให้เรื่องราวที่เขาได้รับรู้มาค่อยๆปะติดปะต่อขึ้นมาราวกับจิ๊กซอว์ไม่ครบส่วน ตกลงขนมผิงเป็นลูกเลี้ยงของพิศณุรึยังไงกันแน่ แล้วขนมผิงเกี่ยวข้องอะไรกับว่าที่ประธานคนใหม่ของมณีรัตน์ ทำไมถึงได้ดูสนิทสนมกัน แล้วทำไมถึงไม่มีข่าววงในเรื่องการกระทบกระทั่งทางสถานะภายในครอบครัวนี้ออกมาบ้างเลย

              หากขนมผิงเป็นลูกเลี้ยงแล้วลูกคนปัจจุบันที่จะขึ้นมาเป็นประธานแทนพิศณุจะพอใจได้อย่างไรที่พ่อของตนรับเอาเด็กกับผู้หญิงแบบนี้เข้าไปอยู่ในครอบครัว

              ยังไม่ทันที่เรื่องราวทั้งหมดจะถูกเรียบเรียง เสียงเกริ่นนำของพิศณุก็เรียกให้เขาหันไปมองด้วยความตั้งใจ

              “ผมขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับลกชายของผมนะครับ ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาดูแลทุกอย่างแทนผมอย่างเต็มตัวนับจากวันนี้เป็นต้นไป”

              สิ้นเสียงร่างสูงโปร่งติดไปทางผอมก็เดินขึ้นไปบนเวที ปิญญ์ชานนท์แทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่ได้เห็น

              มันหมายความว่ายังไงกันแน่ที่บอกว่าขนมผิงคือว่าที่ประธานคนต่อไป แล้วลูกชายของพิศณุล่ะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!!

              “คุนยุงเป็นอะไรไปฮับ”ปลากริมกระตุกมือของเขา

              “คุนยุง”สลิ่มเรียกบ้างพลางเงยหน้ามองคุณลุงตาแป๋ว

              แต่เสียงเรียกอะไรในตอนนี้ก็ไม่สามารถปลุกปิญญ์ชานนนท์ขึ้นมาจากความคิดได้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเหมือนกับต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำและกำลังซ้ำเติมให้ต้นไม้นั้นถูกลมพัดจนใกล้จะโค่นลง

              หากขนมผิงคือว่าที่ประธานคนใหม่ แล้วปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในอนันตไพลินกรุ๊ปเป็นผลมาจากฝีมือของขนมผิงอย่างนั้นเหรอ?

              เป็นไปไม่ได้!! เรื่องนี้มันซับซ้อนเกิดกว่าที่เขาจะคาดเดาแล้วปะติดเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง เขาพยายามห้ามไม่ให้ก้อนเนื้อในอกที่เต้นรัวราวกับกลองที่กำลังถูกกระหน่ำทุบตีไม่ได้เลย


-----------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖Dangerous Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด 100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 19-11-2015 04:13:49
12 ถ้อยคำที่ถูกเมิน

 

              ขนมผิงสบตาเข้ากับนัยน์ตาคู่ดุดันที่ภายในกำลังสั่นไหวราวกับต้นไม้ถูกลมพายุพัดในขณะที่ยืนแนะนำตัวอยู่บนเวที ตาคู่สวยจ้องตอบอีกฝ่ายด้วยแววตาอันเหยียดหยามเช่นเดียวกับที่เคยถูกอีกฝ่ายจ้องมอง

              ความเป็นจริงที่ถูกเปิดเผยทำให้เขาค่อนข้างสะใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่แสดงออกมา ใบหน้าคมคายนั้นซีดลงเล็กน้อยยามที่เงยหน้ามองเขาในจุดที่เหนือกว่า แต่นั่นมันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับขนมผิงเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ถูกต้อนให้จนมุม เขาต้องการที่จะต้อนปิญญ์ชานนท์ให้จนมุม ต้องการที่จะทำให้อีกฝ่ายเป็นราวกับหมาจนตรอก เพื่อที่จะได้ลิ้มรสชัยชนะที่แท้จริง

              ขนมผิงหันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้กับคมสัน ดูท่าว่าพี่เลี้ยงเด็กคงจะทำงานได้ไม่ดีพอถึงได้ปล่อยให้ปิญญ์ชานนท์เข้าใกล้ลูกของเขาได้อีกแล้ว ถึงจะค่อนข้างจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเข้าใกล้เด็กๆได้อีกครั้ง แต่ความสะใจที่มีอยู่มากกว่าที่ได้ยินมองอีกฝ่ายราวกับถูกตีด้วยของแข็งที่เคยดูแคลนมาก่อน

 

              ในขณะที่ปิญญ์ชานนท์กำลังจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งของขนมผิงพร้อมกับคำถามมากมายที่วนเวียนขึ้นมาในความคิด แขนของเขาก็ถูกดึงด้วยน้ำมือของผู้ชายคนเดียวกับที่คอยติดตามขนมผิงอยู่ตลอด แม้จะถูกดึงให้ออกห่างจากเด็กๆอย่างอย่างสุภาพแต่แฝงไปด้วยความรุนแรง ปิญญ์ชานนท์ยอมผละออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนทำให้ไม่สีสมาธิที่จะหยิบจับเรื่องไหนมาคิดก่อน เขาถูกถึงให้เดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยงโดยที่มีสายตาสะใจของใครอีกคนมองตามมา

 

              นานพอดูกับการที่ขนมผิงถูกพาไปแนะนำตัวกับคนในงานอีกมากมาย แต่เขาก็ค่อนข้างจะพึงพอใจเมื่อคนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับเขาได้ทั้งนั้น

              “ขอบคุณที่มาร่วมงานนะครัย ยังไงผมต้อองขอตัวนะครับ”ผมกล่าวกับแขกที่ไม่รู้ว่าเป็นรายที่เท่าไรแล้ว

              จะว่าไปตั้งเขาเองก็มัวแต่สนใจปฏิกิริยาของปิญญ์ชานนท์ปิญญ์จนลืมมองดูท่าทีของคุณวุฒิไปเสียสนิท พอมองไปรอบๆห้องจัดเลี้ยงก็พบว่าคุณวุฒิไม่อยู่แล้ว

              ลมหายใจร้อนพรูออกมาอย่างปลงใจ ยังไงซะมันก็เป็นหนึ่งในคำตอบที่เขาได้คาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงจะค่อนข้างรู้สึกผิดหวังแต่ขนมผิงก็เลือกที่จะพยายามปล่อยให้มันผ่านเลยไปเพราะว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้

 

              ขนมผิงเข้ามาล้างมือในห้องน้ำเพื่อที่จะผละออกมาจากแขกที่มากหน้าหลายตาจนตาเริ่มลาย ในระหว่างที่กำลังล้างมือใจจดจ่ออยู่กับความคิดที่จะทำหลังจากนี้ว่าควรจะเอายังไงดีกับการต่อสัญญาเพื่อที่จะเร่งรัดเวลาให้อนันตไพลินล้มลงมาเร็วขึ้น

              แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเพื่อที่จะมองเงาสะท้อนในกระจก ตาก็ต้องกระตุกวูบกับสิ่งที่สะท้อนมาจากด้านหลัง เจ้าของดวงตาคมวาวโรจน์ที่ขนมผิงคิดว่ากลับไปแล้วกำลังยืนทางทับอยู่ด้านหลังของผมในระยะประชิด

              ทันทีที่สบตากันในกระจกหัวไหล่ทั้งสองข้างก็ถูกดึงให้หันหลังไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย สะโพกถูกดันให้ติดกับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าไม่ให้ถอยหนีไปไหนได้อีก

              “ฉันต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด!!”น้ำเสียงออกคำสั่งดังก้องภายในห้องน้ำอย่างแข็งกร้าว

              ยามค่ำคืนแบบนี้ทำให้ห้องน้ำที่อยู่ในชั้นของห้องจัดเลี้ยงดูเงียบสงัดไม่มีใครเข้ามาเลยสักคน ดูเหมือนว่าปิญญ์ชานนท์จะไม่ยอมเลิกลาง่ายๆสินะ ขนมผิงแสยะยิ้มออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องตอบอีกฝ่าย

              “ทำไมผมจะต้องอธิบายให้คุณฟังด้วยล่ะครับ คุณปิญญ์”

              มือที่ยังไม่แห้งดีบรรจงทาบลงบนเสื้อสูทตัวแพงของชายหนุ่มก่อนจะเช็ดไปมาจนแห้งอย่างใจเย็น จงใจแสยะยิ้มที่มุมปากเพื่อยั่วโมโห

              “มันจะมากไปแล้วนะขนมผิง!!”

              “ฮึก!”

              ขนมผิงสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกผลักผมออกจนแทบจะหงายหลังไปบนเคาน์เตอร์ ดูท่าทางปิญญ์ชานนท์คงจะโมโหอยู่มากกับสิ่งที่ไม่ได้

              “อะไรกัน อย่าใช้แต่กำลังสิครับ ตรงนี้น่ะ ใช้มันซะบ้างสิก่อนที่สิ่งที่เคยมีอยู่จะถูกแย่งเอาไปซะก่อน”

              ฝ่ามือของขนมผิงทาบลงไปบนขมับของอีกฝ่ายอย่างเบามือเป็นเชิงดูถูก แน่นอนว่าปิญญ์ชานนท์ปัดมันออกแทบจะทันทีด้วยความหงุดหงิด

              “นายจงใจทำทุกอย่างใช่ไหม คนอย่างนายนี่มันต่ำไม่เลิกจริงๆ นายจงใจหลอกฉันเพื่อที่จะเล่นสกปรกสินะ”

              หัวไหล่ทั้งสองข้างถูกกระชากให้ถลาเข้าไปหาแล้วบีบมันด้วยมือที่แข็งแรง ถึงจะเจ็บแต่ขนมผิงก็กัดฟันทนเพื่อที่จะมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนในตอนนี้

              “ถ้าใช่แล้วจะทำไม แล้วถ้าไม่ใช่จะทำไมครับ หรือว่าคนอย่างคุณที่คิดว่าตัวเองสูงส่งจะคิดกลัวคนต่ำต้อยอย่างผมขึ้นมาแล้ว”

              “หึ!! ใครจะไปกลัวคนชั้นต่ำอย่างนาย นายมันก็แค่พวกที่ร่านไปวันวัน คิดทำแต่เรื่องสกปรก”

              “ไม่กลัวก็ดีแล้วครับ คราวนี้ผมจะได้ไม่ออมมือ ของอะไรที่มันเคยเป็นของคุณ ของอะไรที่คุณเชิดชูมัน ผมจะเอามันมาเป็นของผมให้หมด ระวังตัวเอาไว้แล้วกัน”ขนมผิงตอบอย่างใจเย็น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มของผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า

              ปิญญ์ชานนท์ดูนิ่งเฉยไปชั่วครู่คล้ายกับกำลังครุ่นคิดหรือสับสนอะไรสักอย่าง มือผอมปัดเอามือที่บีบไหล่ทั้งสองข้างออก จงใจใช้มือผลักอกอีกฝ่ายให้ถอยหลังก่อนจะอาศัยจังหวะนั่นเดินหนีออกมาจากห้องน้ำ

              ในระหว่างที่เขากำลังจะก้าวออกมาจากห้องน้ำ ข้อมือก็ถูกรั้งเอาไว้แล้วกระชากเข้าไปหาจนเกือบล้มลงไปกองอยู่บนพื้นห้องน้ำ นัยน์ตาของปิญญ์ชานนท์ที่มองมานั้นวาวโรจน์ราวกับนัยน์ตาของสัตว์ร้าย

              “มีอะไรอีก อะ โอ้ย!!”

              หันไปเพื่อที่จะถามแต่ก็ถูกดึงให้เดินตามเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ด้านในสุด

              “ดูเหมือนนายมันจะยังไม่เชื่องสินะขนมผิง นายลืมไปแล้วรึไงว่าฉันเป็นใครแล้วนายเป็นใคร นายมันก็แค่คนชั้นต่ำไม่มีสิทธิมาเชิดหน้าใส่ฉันแบบนี้”

              “ปล่อยผม คุณปิญญ์ อึก!!”

              ไม่ทันขาดคำก็ต้องกัดฟันเมื่อถูกผลักให้ล้มลงไปบนพื้นห้องน้ำ แต่ที่ทำให้เจ็บยิ่งกว่าก็คือการที่หน้าผากของเขากระแทกเข้ากับชักโครกอย่างแรง ถึงมันไม่แรงมากพอที่จะปริแตก แต่ก็แรงพอที่จะทำให้บวมนูนออกมา

              ขนมผิงกองอยู่บนพื้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยแรงผลัก มือกุมหน้าปากด้วยความเจ็บปวด เงยหน้าจ้องมองไปยังใบหน้าคมคายอย่างเจ็บใจ

              สุดท้ายแล้วปิญญ์ชานนท์ก็ดีแต่ใช้กำลังอยู่ดี!!

              “นายมันหาเรื่องใส่ตัวเองนะ จะโทษฉันไม่ได้”

              ถึงแม้ว่านัยน์ตาแข็งกร้าวจะดูไหววูบแต่ริมฝีปากหยักก็ยังคงพล่ามวาจาที่เต็มไปด้วยถ้อยคำสกปรกอยู่ดี แรงกระแทกทำให้ขนมผิงรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นมา แล้วฝืนส่งยิ้มร้ายออกไป

              “ดูสิ คนที่คิดว่าตัวเองสูงส่งกำลังทำอะไรอยู่ คุณคิดว่าเรื่องที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันเป็นเรื่องที่คนสูงส่งเขาทำกันรึไง”

              “อย่ามาทำปากดีนะขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์ว่าพร้อมกับกระแทกเท้าปิดประตูห้องน้ำแล้วตรงเข้ามาผลักร่างสูงโปร่งให้หลังไปกระแทกกับผนังห้องน้ำ

              “นายลืมไปแล้วรึยังไงว่าฉันคนนี้เป็นผัวของนาย นายไม่มีสิทธิที่จะมาปากดีกับฉัน”

              ถึงจะยังมึนหัวไม่หาย แต่ถ้อยคำที่แทงใจดำมันกระแทกเข้ามาในโสตประสาททำให้ผมสะบัดหน้าไปมองเขาอย่างไม่พอใจ

              “หึ!! คุณพูดอะไรของคุณครับคุณปิญญ์ ผมไม่นับว่าคนที่ได้นอนกับผมแค่ครั้งสองครั้งจะเป็นผัวผมได้หรอกนะ บางทีผมอาจจะนอนกับคนอื่นๆมากกว่านอนกับคุณก็ได้ ใครจะไปรู้”

              ปิญญ์ชานนท์ไม่มีสิทธิที่จะมาเรียกเขาว่าเมียในเมื่อเป็นฝ่ายที่ที่จะผลักไสความรับผิดชอบที่พึงกระทำไปทั้งหมด

              และที่สำคัญ…ปิญญ์ชานนท์ไม่เคยรักเขา!!

              “นายนี่มันร่านกว่าที่ฉันคิดเอาไว้จริงๆ แค่ครั้งสองครั้งมันคงไม่พอสินะ งั้นฉันจะทำให้มันมีครั้งต่อๆไปเอง คราวนี้นายจะได้ยอมรับสักทีว่านายอยู่ในฐานะอะไรกันแน่”

              “คุณคิดว่า อื้อ”

              ยังไม่ทันที่จะตอบกลับริมฝีปากก็ถูกกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรง มันแรงมากพอที่จะทำให้รู้สึกเจ็บจนชา ความตกใจทำให้ลิ้นอันน่ารังเกียจลุกล้ำเข้ามาในริมฝีปากของเขาอย่าง่ายดาย ลิ้นที่ทั้งร้อนทั้งชื้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดภายในโพลงปากของขนมผิงอย่าเกรี้ยวกราด และเริ่มรุนแรงขึ้นอย่างบ้างคลั่งในขณะที่ใบหน้าของเขาถูกตรึงเอาไว้ไม่ให้หันหนีและยอมรับจูบที่ไม่เต็มใจ

              มันทั้งหยาบโลนและรุกเร้าไปในคราวเดียวกัน ความรู้สึกในอดีตถูกปลุกขึ้นมาในทันทีในยามที่ปลาลิ้นนั้นไล่ให้เขาจนมุมและถูกยั่วเย้าให้คล้อยตามด้วยความหยาบคาย

              ความชื้นในโพลงปากเกิดขึ้นอย่างลามก เสียงจูบน่าเกลียดดังก้องเข้ามาในหู ลิ้นของอีกฝ่ายชักนำให้เขาขยับหนีและพยายามดันมันออก แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ขนมผิงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จูบของปิญญ์ชานนท์ทำให้เขารู้สึกทั้งหวาดกลัวและเหนื่อยล้าเกินที่จะต่อต้านด้วยกำลังที่ด้อยกว่า ถึงจะไม่ต้องการแต่ก็ถูกต้อนให้จนมุมและคล้อยตามด้วยความไม่เต็มใจ

              ขนมผิงขย้ำมือลงบนเสื้อสูทตัวแพงของอีกฝ่ายอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถต่อต้านเรื่องน่ารังเกียจนี้ได้ และในที่สุดจูบที่น่าสะอิดสะเอียนก็จบลงสักที น้ำลายใสหนืดไหลย้อนลงมาที่มุมปากของเขา ท่าทีของปิญญ์ชานนท์เปลี่ยนไปเมื่อเห็นว่าเขาพ่ายแพ้ให้กับการคุกคามครั้งนี้

              ปิญญ์ชานนท์ผละออกเล็กน้อยก่อนจะหยิบแฟรชไดรฟ์อันเล็กใส่ลงมาในกระเป๋ากางเกงของขนมผิง ขนมผิงมองอย่างแปลกใจและค่อนข้างจะเริ่มกังวลขึ้นมาเมื่อไม่รู้ว่าสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ยัดเยียดมาให้นั้นคืออะไร

              “สิ่งที่อยู่ในนี้จะทำให้นายเดินมาหาฉันอีกครั้งเหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้ว และครั้งนี้จะเป็นอีกครั้งที่นายจะยอมร้องครางเหมือนพวกขายตัวอยู่ใต้ร่างของฉัน ขนมผิง”

              ผลั๊วะ!!

              ถ้อยคำที่ดูถูกมันมากเกินไปที่ขนมผิงจะยอมทน ส่งหมัดเล็กๆไปกระทบบนริมฝีปากได้รูป ถึงมันจะไม่แรงมากแต่มันก็เพียงพอที่จะทำมีเลือดซึมออกมาที่มุมปาก

              “ดูเหมือนว่าจูบเดียวมันจะไม่ทำให้นายเชื่องสินะ ขนมผิง!!”

              ปึก!!!

              คราวนี้มันรุนแรงกว่าครั้งก่อน ปิญญ์ชานนท์ผลักให้ขนมผิงหันหน้าเข้าหาผนังห้องน้ำแอย่างแรง แรงจนรู้สึกจุก เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่สั่งให้คมสันเฝ้าเด็กๆเอาไว้แทนที่จะติดตามตนเองตลอด

              ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์ไม่ต่างอะไรกับหมาบ้าโรคจิตที่พร้อมจะทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายทุกเมื่อ ร่างสูงใหญ่ตรงเข้ามาแล้วใช้มือข้างขึ้นกดลงบนลำคอของเขาทำให้เขาหายใจไม่สะดวก มืออีกข้างพลางปลดกระดุมเสื้อของเขาออกอย่างสะเปะสะปะจนน่าตกใจ

              “คุณคิดจะทำอะไรในนี้!!”

              “ทำให้คนอื่นรู้กันไปเลยไงว่านายเป็นเมียของฉัน คนอื่นจะคิดยังไงนะถ้ารู้ว่าประธานคนใหม่ของมณีรัตน์จะเป็นเมียของฉันคนนี้”

              “คุณจะบ้ารึไง!!”

              เพราะนั่นมันหมายถึงชื่อเสียงและหน้าตา ไม่ใช่แค่ของเขากับปิญญ์ชานนท์ แต่มันหมายถึงครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอีกด้วย!!

              แต่ดูเหมือนว่าปิญญ์ชานนท์ไม่ต้องการที่จะต่อปากต่อคำกับขนมผิงอีกแล้ว มือใหญ่พยายามดึงเสื้อผ้าของขนมผิงจนหลุดลุ่ย จับให้ขนมผิงหันไปตอบรับริมฝีปากที่ระดมจูบลงมาอีกครั้ง

              พอเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากนั้นก็ซุกไซร้ลงบนลำคอ และนั่นมันมากเกินกว่าที่ขนมผิงจะรับไหวกับพฤติกรรมครั้งนี้ของปิญญ์ชานนท์ มือใหญ่หยิบเอาวัตถุสีดำวาวขึ้นมาก่อนจะจี้ลงไปบนบั้นเอวของอีกฝ่าย

              ตาคู่ดุเบิกกว้าง ร่างเกร็งแข็งไปชั่วครู่ก่อนที่ตาทั้งสองข้างจะปิดลงและล้มลงไปกองอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ

              ถึงมันจะดูเลวร้ายแต่อีกฝ่ายก็เป็นคนผิดเองที่ทำให้เขาไม่มีทางเลือก ขนมผิงควรจะต้องสะใจกับเรื่องนี้ กับผลลัพธ์ที่อยู่เบื้องหน้า แต่ทำไมหัวใจของเขากลับรู้สึกไหววูบขึ้นมาจนต้องเบือนหน้าหนี

              ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องน้ำแล้วเดินหันหลังกลับไปดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งพิงกับผนังห้องน้ำด้วยท่าทางที่ดีกว่าที่ควรจะเป็น

              อย่างน้อยกับกับปิญญ์ชานนท์ก็แตกต่างกัน แตกต่างตรงที่จิตใจของเขามันไม่ได้แข็งกร้าวมาตั้งแต่เริ่มเหมือนกับอีกฝ่าย

 

-----------------------------------------------------------------------
มีต่อ

หัวข้อ: Re: ❖Dangerous Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด 100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 19-11-2015 08:27:48
อยากให้ผิง ร้ายกว่านี้ หาคู่ให้ทัพด้วยนะ สงสารทัพ รักผิงมาก ถ้าปิญไม่ใช่พระเอก เอาทัพก็ได้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 19-11-2015 12:29:48
สะใจเล็กๆ ขยะแขยงแล้วมาใกล้ทำไมปิญญ์ ให้ใจตรงกับปากหน่อย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 19-11-2015 17:26:57
อะไรของอีตาคุณปิญญ์
บ้าบอ
สมน้ำหน้า ตกน้ำไปเลย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-11-2015 18:02:10
ขอ copy คนอื่นมาหน่อย

พระเอกจั๊ดง่าว  :angry2:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 19-11-2015 18:33:17
 :laugh:  สมน้ำหน้า  อย่างอิตาปิญ เนี่ยตกน้ำไปน่ะ น้ำจะเน่ามั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 19-11-2015 19:21:12
เอากำลังใจมาส่งจ้า
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 19-11-2015 20:33:39
ผิงร้ายแล้ว

ใจหนึ่งก็อยากให้เอาคืนพระเอก

ให้สาสมกับที่ทำผิงไว้

อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากให้แก้แค้นอะ

พระเอกของเราโดนจี้ตรงจุดซินะ

กระวนกระวาย ปากกับใจไม่ตรงกันด้วย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 19-11-2015 23:34:20
สะใจมากกกก หนมผิงจัดเยอะๆเลยยยย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 20-11-2015 08:49:55
ตกน้ำเลย 555 :hao3:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 20-11-2015 10:09:46
พระเอกแค่ต้องการของเล่นที่หายไปกลับคืนมาสินะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: oumpatta ที่ 20-11-2015 11:14:49
ทำไมอ่านแล้วโคตรรำคาญอีตาปิญมากกกกกก
ตอนนั้นไล่เค้า ตอนนี้มาบอกว่าเค้าเป็นเมีย
อยากให้เอาคืนมันอ่ะ ทำไมคนๆนี้ดูไม่สำนึกหรือคิดอะไรดีๆได้เลย
แล้วขนมผิงนี่แก้แค้นแล้วเหรอ ทำไมดูเหมือนเด็กน้อยมาเถียงกัน
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 20-11-2015 15:29:18
 :z13:

คิดถึงเด็กๆ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-11-2015 17:00:38
ขอบคุณทุกกำลังใจจ้า
เอาจริงก็แอบหนักใจเรื่องทำไงให้มันตอบรับกับคนอ่านทุกคน
หลายคนบอกว่าแค่นี้ไม่พอ หลายคนบอกไม่อยากให้แก้แค้น
แต่เราก็จะเขียนตามฉบับที่เป็นเราเนอะ ยังไงก็ยังอยากให้ติดตามกันต่อไป อย่างพึ่งทิ้งกันนะจ๊ะ

ขอบคุณอีกครั้งค่า  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-11-2015 21:15:48
ขอบคุณทุกกำลังใจจ้า
เอาจริงก็แอบหนักใจเรื่องทำไงให้มันตอบรับกับคนอ่านทุกคน
หลายคนบอกว่าแค่นี้ไม่พอ หลายคนบอกไม่อยากให้แก้แค้น
แต่เราก็จะเขียนตามฉบับที่เป็นเราเนอะ ยังไงก็ยังอยากให้ติดตามกันต่อไป อย่างพึ่งทิ้งกันนะจ๊ะ

ขอบคุณอีกครั้งค่า  :pig4: :pig4: :pig4:

เอาตามนี้เลย เพราะคนอ่านมาอ่านในความเป็นคุณ

ซึ่งหมายถึง คุณจะวางตัวนิสัยพระเอก นายเอก อย่างไร และมีวิธีการดำเนินเรื่องอย่างไรต่างหาก

หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 20-11-2015 22:12:28
เย้ ได้เวลาเอาคืนซะที พระเอกเรานี่โรคจิตจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 21-11-2015 02:27:30
สะใจแทนขนมผิง
รอว่าเมื่อรัยพระเอกรึเปล่า? จะรุว่าเดกๆเปนลูก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 12 ยัดเยียด ครบ100%❖ 19/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 21-11-2015 14:16:44
ขอแรงกว่านี้อีก เย้ๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 21-11-2015 20:15:00
ต่อ
 
              “ประทานโทษนะครับ เมื่อวานผมได้ยินมาว่าคุณหมดสติไปในห้องน้ำที่งานเลี้ยง ไม่ทราบว่ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นรึเปล่าครับ”มาลิศเลขาหนุ่มของปิญญ์ชานนท์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเจ้านาย หลังจากที่เจ้านายเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองด้วยสภาพเหนื่อยอ่อน

              “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อย”ปิญญ์ชานนท์บอกปัด

ทั้งที่ตอนนี้เขาแทบจะไม่ไหวกับสภาพเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อที่ยังไม่คืนสภาพดีด้วยซ้ำ

              “ถ้ายังไงคุณลองไปตรวจที่โรงพยาบาลดูก่อนไหมครับ ผมคิดว่ามันอาจจะเกิดจากการโหมงานของคุณในช่วงนี้”

              “ไม่มีอะไรหรอก ฉันยังไหว ไม่เป็นอะไรมาก”

              แค่กล้ามเนื้อมันยังคงชาและอ่อนแรงอยู่เท่านั้น

              มันไม่เท่ากับความเป็นจริงที่เขาได้รับรู้มาเลยสักนิด เหมือนกับถูกฟ้าผ่าท่ามกลางพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่แล้ว เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องราวที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความแค้นที่มันเพิ่มขึ้นมาในใจเป็นทวีคูณ หากขนมผิงเป็นลูกชายของคุณพิศณุอยู่ก่อนแล้วแสดงว่าลำดวนก็เป็นภรรยาของพิศณุ เช่นนั้นการที่ลำดวนเข้ามาแทรกซึมอยู่ในอนันตไพลินมันก็คือการจงใจตั้งแต่แรกสินะ

              แล้วขนมผิงล่ะ?

              ความผิดของขนมผิงคือการหลอกลวง…ล่อลวงเขาให้ตายใจกับเรื่องราวที่ปิดบังเอาไว้ทั้งหมด เล่ห์เหลี่ยมและมารยาที่เขาไม่อาจจะตามทันมันยิ่งทำให้เขาเจ็บใจ และที่สำคัญยังบังอาจใช้ที่ช็อตไฟฟ้าช็อตเขาจนสลบ

              ความสามารถของขนมผิงที่มีอยู่ในตอนนี้มันไม่น้อยเลย มันกำลังทำให้เขาสั่นคลอนกับสิ่งที่ขนมผิงจงใจที่จะทำ

              “แล้วนายมีอะไรรึเปล่า”เขาถามคนสนิทพลางใช้ปลายนิ้วกดเข้าที่ขมับตัวเองเบาเบาไปมาเพื่อปลุกความคิดของตัวเองให้จดจ่อกับสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุด

              “คิดว่าคุณคงจะทราบดีแล้วจากคืนที่ผ่านมาว่าคุณขนมผิงเป็นลูกชายของคุณพิศณุ ผมเองก็ยังแปลกใจ”

              “อืมฉันรู้แล้ว เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะขนมผิง”เขาบอกปัด พยายามที่จะไล่ชื่อนี้ออกไปจากหัวและตั้งสมาธิอยู่กับงาน

              “ครับ งั้นนี่เป็นรายงานสรุปเมมโมของผู้ถือหุ้นรายย่อยเกี่ยวกับความต้องการที่จะขายหุ้นในราคาทุนที่พวกเขาเคยซื้อ”

              “ทำไมพวกนั้นจะต้องเสนอขายหุ้นคืนทั้งที่จะขายต่อให้ใครก็ได้”

              “ตอนนี้ แนวโน้มความต้องการครองหุ้นของอนันตไพลินมีน้อยมากครับ เนื่องจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างสูงราคาในตลาดจึงตกลงไป พวกเขาจึงต้องการเสนอขายหุ้นคืนในราคาทุนน่ะครับ”

              “ไว้ฉันจะดูให้อีกที นายไปทำงานของนายต่อเถอะ”

              หลังจากที่เลขาหนุ่มออกไป ห้องทำงานในชั้นสูงที่สุดของตึกระฟ้าก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง แฟ้มรายงานแสดงถึงรายชื่อและจำนวนของหุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยหลายรายต้องการที่จะขายหุ้นคืนบริษัทมันทำให้เขาค่อนข้างที่จะคิดหนักกับสถานการที่เกิดขึ้น

              เป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการไตร่ตรองเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงขณะนี้สมองของเขามันกำลังเหนื่อยล้าเต็มทน อีกทั้งยังไม่สามารถสลัดเอาคนคนนั้นออกไปจากความคิดได้เลย

              เขามีทางเลือกอยู่สองทางก็คือปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยขายหุ้นเข้าตลาดไปในราคาถูกแล้วทำให้ผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นอยู่มากกว่าตื่นตระหนกกับสถานการณ์ หรือไม่ก็เป็นเขาเองที่ซื้อหุ้นนั้นมาอยู่ในกำมือแทนที่จะทำให้สถานการณ์มันย่ำแย่ลง ชายหนุ่มพยายามครุ่นนคิดในขณะทีร่างกายเริ่มอ่อนล้าเต็มทนจนแทบจะรับสภาพที่เกิดขึ้นไม่ไหว

              ปิญญ์ชานนท์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานเพื่อที่จะพักสายตาจากเอกสารมากมายเบื้องหน้า เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหนและหลับไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีนาฬิกาบนผนังก็บอกเวลาบ่าย ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงานทำให้ต้องผงกหัวขึ้นมาดูทั้งที่รู้สึกว่าอุณหภูมิของร่างกายขึ้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น

              มาลิศถือวิสาสะแตะไหล่ของเจ้านายเมื่อท่าทีที่แสดงออกมาทั้งดูน่าเป็นกังวล ใบหน้าคมคายแดงก่ำ ตาคู่คมกริบมีแววอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด

               “คุณปิญญ์ครับ ได้เวลาที่นัดเอาไว้กับคุณเชตุพลแล้วนะครับ”

              “อืม นี่กี่โมงแล้ว ฉันเผลอหลับไปนานแค่ไหน”ปิญญ์ชานนท์ฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้ง เมื่อนับเวลาดูแล้วเขาเผลอหลับไปหลายชั่วโมงซะได้

              “ตอนนี้บ่ายโมงแล้วครับ คุณเชตุพละกำลังจะมาถึงภายในอีกสิบนาที คุณจะรับกาแฟสักแก้วไหมครับ”

               “อืม ก็ดี ขอกาแฟฉันสักแก้ว”

              “ครับ อีกสักครู่ผมจะนำมาให้”

              “มาลิศ”ปิญญ์ชานนท์เรียกเลขาหนุ่มเอาไว้ก่อนที่จะก้าวออกไปจากห้อง

              “ครับ?”

              “แจ้งไปยังผู้ถือหุ้นที่ต้องการขายหุ้นคืน บอกพวกเขาว่าฉันต้องการที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดคืนด้วยราคาทุน”

              “ครับ ผมจะแจ้งพวกเขาภายในวันนี้ครับ”เลขาหนุ่มตอบก่อนจะเดินออกไปอีกครั้ง

              ปิญญ์ชานนท์ปิดแฟ้มรายชื่อผู้ถือหุ้นรายย่อยลง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดลงไป ใจหนึ่งเขาต้องการที่จะปล่อยให้คนพวกนั้นที่ไม่เห็นค่าของสิ่งที่มีขายหุ้นให้อยู่ในมือของคนอื่นในราคาถูก แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นผู้ที่ถือหุ้นรายใหญ่กว่าจะเกิดการตื่นตระหนกและวิตกกับสถานการณ์ และถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่จะสะใจที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นขนมผิง

              ชื่อของขนมผิงวนเวียนเข้ามาในความคิดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกครั้งและอีกครั้ง มันทำให้เขาแทบบ้าเมื่อคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายทำเอาไว้ในครั้งล่าสุดที่เจอกัน แต่เขาคนนี้จะแพ้คนอย่างขนมผิงไม่ได้เด็ดขาด คนไร้ค่าพวกนั้นจะไม่มีวันชนะเขาได้

              แม้ว่าส่วนลึกในใจของเขากำลังต้องการที่จะได้ตัวของขนมผิงและเด็กๆมาอยู่ในครอบครอง พอคิดเช่นนั้นเขาก็นึกขึ้นอะไรบางอย่างได้ ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกหยิบขึ้นมาจากลิ้นชักของโต๊ะทำงาน…ผลตรวจดีเอ็นเอที่เขายังคงติดใจอยู่ไม่หาย หากเด็กพวกนั้นเป็นลูกของเขาอย่างที่ขนมผิงเคยบอก เขาควรจะทำอย่างไรในเมื่อเขาผลักไสคนพวกนั้นออกไปจากชีวิต แล้วถ้าไม่ใช่…เขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อขนมผิงไม่ได้เป็นของเขาเพียงแค่คนเดียว

              ซองเอกสารถูกเปิดออกอย่างเบามือพร้อมกับหัวใจอันด้านชากำลังเต้นกระหน่ำราวกับผืนกลองถูกระดมตี ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์ไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง ใจของเขากำลังจดจ่ออยู่กับซองจดหมายโดยไม่ได้สนใจเสียงเคาะประตูห้อง หรือแม้กระทั่งเลขาที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟ

              “กาแฟครับ คุณปิญญ์”เสียงเรียกทำให้ปิญญ์ชานนท์ชะงักมือแล้วเงยหน้ามองแก้วกาแฟ

              “ชอบใจ”เขาพยักหน้า

              “คุณเชตุพลมาถึงแล้วนะครับ จะให้เชิญเขาเข้ามาเลยไหมครับ”

              “เชิญเข้ามาเลย”

              “ครับ”

              หลังจากเลขาหนุ่มออกไปจากห้อง ปิญญ์ชานนท์ก็เก็บซองเอกสารที่ยังเขาไม่พร้อมที่จะดูลงไปแน่นิ่งอยู่ในลิ้นชักอีกครั้ง ยังไงซะเขาเองก็ยังไม่ต้องการที่จะเปิดมันออกมาในเมื่อเขายังไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง

              “ไม่เจอกันตั้งนานดูคุณจะซูบลงไปเยอะนะ คุณปิญญ์”

              “ครับ ไม่เจอกันตั้งนาน แล้วอะไรที่พาคุณมาหาผมถึงที่นี่ล่ะ”เขาตอบรับหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่จะเป็นว่าที่พ่อของภรรยาในอนาคตของเขา

              “จะมีอะไรได้นอกจากสถานการณ์ของรายได้ที่มันอยู่ในมือของผมน่ะสิ ดูเหมือนว่าคุณกำลังประมาทกับหนูตัวเล็กๆเกินไปสินะ ถึงได้เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมา”

              “นั่นมันก็แล้วแต่คุณจะคิด ผมว่าคุณเข้าประเด็นมาเลยดีกว่าครับคุณเชตุพล ผมค่อนข้างไม่ค่อยมีเวลาซะด้วยสิช่วงนี้”ปิญญ์ชานนท์ตอบพลางวางท่าทีตามที่เคย

              “หึ ผมก็แค่เห็นว่าพวกผู้ถือรายย่อยเริ่มจะวิตกกัน ไอ้รายใหญ่อย่างผมเลยไม่ค่อยจะแน่ใจกับรายได้ที่เริ่มจะลดลงสักเท่าไร”

              “เรื่องนี้ผมกำลังหาทางแก้ปัญหา แต่ถ้าคุณไม่พอใจยังไงผมยินดีจะซื้อหุ้นของคุณในราคาต้นทุนเหมือนกับพวกเขา คุณจะว่ายังไงล่ะ”

              “สถานการณ์มันย่ำแย่ขนาดนั้นเลยรึไงกัน ผมไม่คิดว่ามันจะถึงขนาดที่จะต้องทิ้งรายได้พวกนี้ไปหรอกนะ”

              “ผมกำลังจะต่อสัญญากับทางสิงคโปร์ คิดว่าความน่าเชื่อถือของเราจะกลับคืนมาเป็นปกติ”

              “แล้วเรื่องคนงานล่ะ”

              “ผมกำลังรับสมัครเพิ่มเติมอยู่”

              “แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จู่ๆคุณจะเพิ่มฐานเงินเดือนของพนักงานฝ่ายผลิตทั้งหมด มันทำให้กำไรของบริษัทลดน้อยลง แล้วยิ่งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีก คุณแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม”

              “ผมมั่นใจในสิ่งที่ผมคิดและทำ ถ้าคุณไม่มั่นใจผมก็จะยืนยันข้อเสนอเดิมกับคุณ นี่มันก็แค่เกมเล็กๆของคนที่กำลังมีไฟสร้างขึ้นมา และผมก็ไม่คิดว่าผมจะแพ้ให้กับเกมๆนี้”

              “ผมไม่สนว่ามันจะเป็นเกมหรือไม่ใช่ ผมสนแค่รายได้ที่เข้ากระเปา คุณจะทำยังไงก็ได้ให้รายได้ของผมมันไม่น้อยลงไปกว่านี้ ผมสนแค่นี้เท่านั้น”

              “งั้นก็ดี วันนี้คุณคงหมดเรื่องที่จะคุยกับผมแล้วสินะ งั้นก็เชิญครับ ผมต้องการสมาธิในการทำงาน”ปิญญานนท์จ้องมองแขกที่กำลังเผชิญหน้าด้วยสายตาราวกับสุนัขล่าเนื้อ

              ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าสุนัขล่าเนื้อตัวนี้กำลังอ่อนแรงแค่ไหนจากการต่อสู้ที่แพ้ราบคาบในครั้งล่าสุด เพราะเขาไม่แม้แต่จะแสดงมันออกมาต่อหน้าอีกฝ่าย

              “หวังว่าคุณจะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ล่ะ ไม่อย่างนั้นผมคงจะต้องตอบรับข้อเสนอที่คุณยื่นมา”เชตุพลคาดโทษ “อ้อ อีกอย่าง วันนี้ผมจะเข้าไปคุยกับพ่อของคุณเกี่ยวกับเรื่องของเดหลี เลยมาบอกไว้ก่อน คุณจะได้มีเวลาเตรียมการ”พูดจบร่างท้วมของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็เดินออกไป

              มันทำให้เขายิ่งเหนื่อยใจกับการแผนการจับคู่ที่เขาไม่เต็มใจเลยสักนิด ผู้หญิงที่เขาไม่ได้เลือกกำลังจะก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา ผู้หญิงที่ไม่ใช่คนที่ทำให้เขานึกถึงตลอดเวลา

              และเมื่อเชตุพลกลับไปไม่นานเลขาหนุ่มก็กลับเขามาอีกครั้งพร้อมกับคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

              “เป็นอย่างไรบ้างครับ เขาพอใจกับข้อเสนอของคุณรึเปล่า”

              “ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร จับตาดูเขาให้ดี ฉันคิดว่าคนอย่างเขาจะต้องอาศัยสถานการณ์นี้ทำอะไรสักอย่าง”ปิญญ์ชานนท์กำชับพร้อมกับบีบขมับที่เริ่มจะปวดหนึบขึ้นมาอีกครั้ง

              ยังไงซะเชตุพลก็คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่รองลงมาจากเขาที่เป็นเจ้าของ เขาจะประมาทอีกฝ่ายไม่ได้

              “ครับ ผมจะให้คนคอยจับตาดู”

              “ถ้าไม่มีอะไรแล้วนาย…”

              “ผมคิดว่าคุณน่าจะหยุดเรื่องงานของวันนี้เอาไว้แค่นี้แล้วไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ คิดว่าคุณคงจะรู้สึกไม่ค่อยดี”เลขาหนุ่มแทรกก่อนที่เขาจะพูดจบ

              “สภาพของฉันมันย่ำแย่จนถึงขนาดนั้นเลยรึไง”ปิญญ์ชานนท์ปรายตามองอีกฝ่าย

              “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าหากคุณไปหาหมอเพื่อให้เขาตรวจเช็คดูอาการ”

              มันก็จริงอย่างที่เลขาของเขาเตือน เขาเองก็เองก็เริ่มที่จะไม่ไหวกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย ทั้งหมดต้องโทษขนมผิงคนเดียวที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

              ยังไงซะเขาจะต้องสั่งสอนคนอย่างขนมผิงให้วิ่งกลับมาหาเขาอย่างผู้แพ้เหมือนเมื่อสี่ปีก่อน โทษที่บังอาจมาต่อกรกับคนอย่างเขา

 
              -----------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 21-11-2015 20:51:39
ขอคนแรก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 21-11-2015 20:57:50
คนอ่านไม่ใจอ่อนยกโทษให้ปิญง่ายๆ หรอกนะคะ  // เชิดหน้าใส่ปิญ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-11-2015 21:29:52
ลูกแล้วไง หลงแล้วไง ในเมื่อไอ้ทุกสิ่งที่เธอทำยังคงฝั่งลึกอยู่ในใจ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 21-11-2015 21:39:03
ยังดีที่ยังมีความคิด

เรื่องเด็กๆกับขนมผิงในทางที่ดี

แต่ที่ขัดใจคือ นายพระเอกบูชาเงินมาก

อยากใด้อะไรกะจะเอาเงินฟาดหัวอย่างเดียว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 21-11-2015 21:47:56
ไม่เหนใจปิญ ยังไงก็ต้องให้ขนมผิง เอาคืนให้ถึงที่สุดนะ ขอร้องเถอะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 21-11-2015 22:15:01
คนแต่งสู้ๆ เป็นกำลังใจให้ครับ ติดตามอยู่นะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 21-11-2015 22:24:31
หลงเด็กๆก็ทำตัวดีๆกับแม่หน่อยสิคุณปิญญ์ :hao3: :hao4:

แต่ขนมผิงคงใจแข็งน่าดู
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-11-2015 22:29:21
ลุ้นนนนนนน  :ling1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 22-11-2015 00:13:20
 o7 สู้ๆนะปิญญ์
นายกำลังจะหายโง่แล้ว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 22-11-2015 09:35:38
ยังค่ะ ยังไม่ให้อภัยขุ่นปิญญ์
นางยังคิดไม่ดีอยู่เลย
โรคจิตจริง
เด็กๆน่ารัก
แต่หนูปากโป้งไปไหมลูก
ขุ่นพ่อยิ่งจิตอยู่
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 22-11-2015 15:13:30
ไม่ให้อภัยง่ายๆหรอกนะ ชริ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 22-11-2015 17:14:11
 o18  อย่าๆ อิประสาท อย่ามาบอกแค่ว่าอยากได้แล้วต้องได้ ไม่ง่ายไปหน่อยรึ

ปล.อยากให้ ผิงเล่นงานบริษัทหนักๆเลย แล้วพอเปิดตัวว่าผิงเนี่ยแหละคือประธาน แบบเอาให้ตาปิญแทบล้มทั้งยืน  :laugh:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 23-11-2015 16:42:52
ยังไงความคดนายมันก็ยังเหนแก่ตัวอยู่ดี
อย่าหวังว่าผิงจะยอมง่ายๆไอ้ประสาทหลอนโรคจิต
ล่มจมไปซะเถอะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 23-11-2015 19:41:34
วันนี้ฉันรออ่านอยู่นะ

จะมาไหมเอ่ย
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: supamat_ice ที่ 25-11-2015 02:53:31
เห็นแก่ตัวอยุ่ดี
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 25-11-2015 15:44:28
แหม...........ยังไม่ทันดิ้น ก็จะเรียกคะแนนเห็นใจแล้วเรอะอิคุณปิญญ์
โนว...........ยังจ้ะ ทนไปก่อนนะ :laugh: o18
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 13 เจ็บใจ+เด็กๆ ❖ 21/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 27-11-2015 03:48:09
รออยู่
 :z13:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 27-11-2015 11:55:04
หวงลูกเกินไปจริงๆ ขนมผิง

ถ้าจะเจอมันก็เจอนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-11-2015 12:50:57
  กำลังสนุกจบตอนเร็วจัง  อ่านแล้วเห็นว่า ขนมผิงได้อย่างก็เสียอย่างนะ อยากเอาชนะคุณปิณณ์ด้านธุระกิจ แต่ก็ต้องมาเครียดและเสียใจที่ลูกได้เจอพ่อ เรื่องไหนน่าเครียดกว่ากันล่ะ รู้แบบนี้แล้วก็ลุ้นว่าขนมผิงจะเอายังไงต่อไป จะเอาชนะทางธุระกิจต่อไปหรือว่าจะปล่อยเรื่องงานบริษัทแล้วมาดูแลเรื่องพ่อเจอลูกล่ะ
    รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ มาเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-11-2015 13:34:35
เฮ้อออ เครียดแทนผิงจริงๆ ยิ่งไม่อยากให้เจอกลับเจอเหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง(เอ๊ะ!? หรือว่านักเขียนแกล้งผิงกันแน่ ล้อเล่นนะคะ)
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-11-2015 14:21:40
สมองคงได้แตกสักวัน
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 27-11-2015 15:18:55
อ่านตอนคุณหมอนี่เกือบรู้สึกดีเลยค่ะ   คือรู้สึกดีที่คุณหมอปฏิเสธข้อเสนอเรื่องเงินของปิญญ์ จรรยาแพทย์เหนือเงิน  แต่พออ่านต่อเสียความรู้สึกเลยค่ะ  รับเงินจากเพื่อนเพื่อรักษาความลับที่ตัวเองมีหน้าที่ต้องรักษาตามหลักการที่ได้ปฏิญาณตนมา    ตามลักษณะแล้วน่าจะเป็นหมอที่ทำมาช่วงหนึ่งแล้วไม่ก้าวหน้ามากกว่านะคะ    ระดับใกล้เกษียณอายุแล้วนั่นรุ่นอาจารย์หมอที่อยู่จุดสูงสุดของสายป่านแล้วค่ะ   คุณวุฒิ ศักดิ์ศรี เกียรติ วุฒิภาวะ ส่วนใหญ่พร้อมพรั่งกันหมดแล้วนะคะ   อีกอย่างตัวหมอเองก็เป็นเพื่อนกับพ่อขนมผิงด้วยนะคะ   นอกจากจรรยาแพทย์แล้วก็มีความความเป็นเพื่อนด้วยค่ะ

ตอนที่ขนมผิงไปหาคุณเฉินที่อิตาลี่นี่เราว่าไม่รอบคอบเลย  ไปเดี๋ยวๆ ไม่บอกแทนทัพ  แถมดื่มจนเกือบทรงตัวไม่ได้  ไม่รักตัวเองหรือ?  ขนมผิง represent บริษัทแบบไหนให้กับคนที่ตัวเองอยากร่วมลงทุนด้วย?

ขนมผิงเจอปิญญ์แล้วลนตลอด  ทำไมไม่นิ่งบ้าง? ให้อีกฝ่ายเต้นเอง   เอะอะก็กระชาก โคตรรำคาญผู้ชายแบบนี้เลย

ปิญญ์ถ้าหากว่าไม่มีเงินและอำนาจแล้วเหลืออะไรบ้าง?  เห็นการบริหารบริษัทแล้วต้องส่ายหัวให้   ปิญญ์คือรุ่นที่ 2 ที่ดำเนินบริษัทแบบ stagnant   ขนมผิงคือรุ่นต่อไปที่มารับงานบริหารแล้วพยายามขยายบริษัทสุดฤทธิ์สุดเดช  โดยที่ไม่ดูพื้นฐานว่ารองรับการขยายที่เร็วแรงไหวไหม?  ทั้งสองคนทำงานแบบมีคนทักท้วงแต่ไม่ฟังทั้งคู่  งานนี้ไม่อ่วมก็ไม่รู้ว่าไงแล้วค่ะ   เพราะว่าทั้งคู่เอาอนาคตไปแขวนไว้กับการเซ็นต์สัญญากับคุณเฉินที่สิงคโปร์  ไม่ได้มีตัวกระจายความเสี่ยงเลย

ขนมผิงดูกร้าวขึ้น  ถ้าหากว่าปิญญ์จะเข้าหาลูกได้ก็คงต้องผ่านทางแม่ขนมผิงแหละ  ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่าในเรื่องของความบาดหมางรุ่นก่อนหน้านั้น   แม่ของผิงจะไม่โกรธอีกฝ่ายบ้างเลยหรือ?  ปิญญ์ทำกับแม่ผิงดีกว่าผิงเยอะเลย ทั้งๆที่แม่ผิงเป็นตัวต้นเหตุ   

ไม่รู้ว่าคนเขียนตั้งใจหรือเปล่านะคะ  เห็นแม่ผิงใช้คำว่ายายกับเด็กๆแล้วมีการใช้การบรรยายว่าเป็นย่า  เรายังนึกเลยว่าปิญญ์จะฉุกใจหรือเปล่า?  แม่ผิงจงใจหรือเปล่า?

เขียนได้ดีขึ้นนะคะ  รบกวนตรวจทานคำสะกดหน่อยเถอะค่ะ  ผิดหลายคำเลย
ประธาน , ผู้ปกครอง ++

เรื่องการเขียนนิยายก้เขียนไปตามที่คุณตั้งใจไว้แหละค่ะ    การวิจารณ์ของคนอ่านก้มีบ้างที่เป็นส่วนสะท้อนงานที่คุณเขียนออกมาฝ่านมุมมองของคนอ่านที่มีประสบการณ์ชีวิตที่ต่างไปจากคุณบ้าง   ส่วนไหนที่คุณอ่านแล้วเก็บเอาไปทบทวน เอาไปใช้ปรับปรุงได้ก็ดีค่ะ   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนเขียนก็สมควรที่จะเห็นคล้อยตามก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข

ถ้าหากว่าคนเขียนจะเขียนพล็อตตามที่แฟนๆเรียกร้องมาก็ขอให้คิดนิดว่าเนื้อหาที่เขียนๆมามันซัพพอร์ทเนื้อเรื่องแบบนั้นไหม?  ถ้าจะไม่แก้แค้นปิญญ์แล้วที่ทำๆมามันโอเคไหม? ทั้งปิญญ์ทั้งผิง    ถ้าหากว่าจะแก้แค้นให้เต็มเหนี่ยวแบบสุดๆปิญญ์เป็นพระเอกหรือเปล่า?   จะหันกลับมาหากันได้อย่างไร?   มีจุดไหนที่สามารถทำให้มันเป็นไปได้ไหม?  เอาใจช่วยค่ะ   
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Zxjmm ที่ 27-11-2015 16:34:59
การทำงานของทั้งคู่ดูไม่เหมือนคนจบสูงมาเลย
ผิงเร่งที่จะขยายบริษัทมากไปมั้ยอ่า
พ่อเตือนยังไม่ฟังจ้องจะแก้แค้นอย่างเดียว
กลัวมันพลาดขึ้นมานี่มีแต่เสียกับเสีย
อีกอย่างพ่อของลูกกับคนที่รักไม่จำเป็นต้องคนเดียวกันเสมอไปหรอกค่ะ



ปล.ประธาน เขียนแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 27-11-2015 16:48:42
สนุกดีค่ะ อ่านรวดเดียวถึงตอนปัจจุบันเลย สงสารเด็กๆ ทั้งกิม สลิ่มที่ต้องตกอยู่ในความแค้นของพ่อกับแม่ อยากให้ปินรู้ความจริงเร็ว เชื่อว่าอย่างน้อยปินน่าจะเข้ามาพยายามดูแลลูกบ้าง ส่วนขนมผิงรู้สึกเหมือนว่าจริงๆรักปิน แต่หลอกตัวเองให้แค้น แล้วแค่ชอบคุณหมอ เพราะหลายครั้งชอบคิดว่า ถ้าเป็นปินรักเด็กอย่างแทนทัพก็คงจะดี ลึกๆ ก็คงอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ลูก พอปินปฎิเสธในตอนท้องจึงได้แค้นมากขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: น้องแมว ที่ 27-11-2015 20:25:26
ผิงหวงลูกเวอร์อ่าาาาาาาาาาาาาาาา    :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 27-11-2015 20:44:02
13 ผลกระทบ

 

              ขนมผิงไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงกับเครื่องมือเก็บข้อมูลชิ้นเล็กที่ได้รับมาจากปิญญ์ชานนท์ดี ตาคู่สวยจ้องมองแฟรชไดรฟ์นิ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึกๆแล้วใจของเขากำลังกลัวสิ่งที่อยู่ข้างใน

              ลมหายใจร้อนพรูออกมาเมื่อรูปแฟ้มสีเหลืองปรากฏอยู่บนหน้าจอเบื้องหน้า นานแล้วที่เขาเอาแต่ชี้เม้าท์ไปที่แฟ้มนี้แต่ไม่ตัดสินใจเปิดมันดูสักที เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นตลกอะไรกับเขา

              แต่แล้วในที่สุดขนมผิงก็ชั่งใจคลิกเปิดแฟ้มนั้นเมื่อความอยากรู้ของเขาสั่งการให้ทำ และทันทีที่เปิดแฟ้มนั้นออกมา ภาพลามกมายมายก็ปรากฏสู่สายตาทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบ

              มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยหากว่าคนที่อยู่ในรูปจะไม่ใช่เขา จู่ๆขนมผิงก็รู้สึกจุกหน่วงขึ้นมาที่ก้อนเนื้อในอกซ้าย หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้เห็น ร่างกายมันด้านชาราวกับถูกสาดซัดด้วยน้ำเย็นจัดจนแทบกระดิกนิ้วไม่ได้

              มันช่างเป็นการกระทำที่สุดแสนจะสกปรกและต่ำช้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ มือผอมค่อยๆกดปิดภาพตรงหน้าราวกับว่ามือนั้นแทบจะไร้เรี่ยวแรง คนอย่างปิญญ์ชานนท์สกปรกเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้จริงๆ สามารถที่จะเอาชนะและเหยียบย่ำคนอื่นให้อยู่เบื้องล่างโดยไม่เลือกวิธีการที่จะทำ

              ขนมผิงแทบอยากจะตะโกนร้องออกมาสุดเสียงกับอารมณ์ที่มันอัดอั้นอยู่ในเวลานี้

              ก๊อก ก๊อก!!

              แต่แล้วเสียงเคาะประตูห้องก็เสียงให้ร่างสูงโปร่งสะดุ้งพับปิดโน้ตบุ๊คแล้วดึงเอาอุปกรณ์เก็บข้อมูลอันเล็กออกมาทันที

              “แม่กับเด็กๆเข้าไปนะผิง”เสียงของลำดวนดังขึ้นมาพร้อมกับประตูห้องนอนที่ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ

              “มีอะไรเหรอครับ ผิงว่าจะลงไปพอดี”ขนมผิงถามพลางจ้องมองเด็กๆแอบอยู่ด้านหลังของมารดาพลางชะโงกหน้ามองมาทางเขากล้าๆกลัวๆ

              “แม่นะไม่มีอะไรหรอก แต่วันนี้หยุดแม่อยากให้ผิงพาเด็กๆออกไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายนอกบ้านบ้าง อยู่แต่ในบ้านเด็กๆจะอุดอู้เอา”

              “แต่วันนี้ผิงไม่อยากไปไหน ผิงอยากจะพักผ่อน”

              อารมณ์ของเขาในเวลานี้มันแปรปรวณจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย รูปที่ได้เห็นมันยังคงติดตาของเขาไม่หาย

              ใจของเขาคิดก็แต่รูปที่ถูกตัดมาจากวีดีโอพวกนั้น ขนมผิงไม่รู้เลยว่าปิญญ์ชานนท์ต้องการอะไรจากตัวเองกันแน่ แต่ถ้าหากว่าปิญญ์ชานนท์ต้องการที่จะให้เขาเจ็บล่ะก็ สำเร็จแล้วล่ะ เพราะตอนนี้เขาเจ็บจนแทบจะบ้าให้รู้แล้วรู้รอด หากภาพพวกนั้นหลุดออกไป ชื่อเสียงของเขาก็จะเสียหาย แต่นั่นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับชื่อเสียงของครอบครัวที่เขารักมากที่สุด

              “อะไรกัน ช่วงนี้เราเป็นอะไรน่ะผิง แม่ไม่เห็นว่าผิงจะคุยกับเด็กๆบ้างเลยนะ หรือว่าเครียดเรื่องงาน แม่อยากให้ผิงตั้งใจทำงานเอาแต่พอดี เด็กๆกำลังโตผิงน่าจะเอาเวลามาใส่ใจกับเด็กๆมากกว่า”

              “ผิงก็ไม่ได้ทิ้งลูกไปไหนนี่ ผิงก็กลับมาหาลูกทุกวัน แล้วเรื่องงานแม่ไม่ต้องห่วง ผิงรู้ว่าผิงทำอะไรได้บ้าง”พูดพร้อมกับผลุดลุกขึ้นจากเตียงทันที

              ไม่ลืมที่จะคว้าแฟรชไดรฟ์อันเล็กติดมือมาด้วย

              “นั่นผิงจะไปไหน!! แล้วเด็กๆล่ะ”

              “วันนี้ผิงไม่ว่างแล้ว ผิงจะไปทำงาน”

              “แต่วันนี้วันหยุดไม่ใช่รึไง”

              “ผิงต้องวางแผนงานล่วงหน้า จะได้ทำงานง่ายขึ้น ขอโทษนะแม่ แต่ผิงไม่ว่างจริงๆ”ขาบอกด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบกับมารดา ทว่า

              “ปะป๊า”เสียงเล็กแผ่วเบาเรียกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามอง

              “อยากอยู่กับปะป๊า”

              เสียงเรียกและคำอ้อนวอนของเด็กๆทำให้เขาแทบใจสลาย ใบหน้ากลมแป้นที่เคยยิ้มแย้มโชว์เหงือกสีสดบัดนี้กลับเศร้าหมองไม่ร่าเริงเหมือนเก่า

               “เอาไว้วันหลังนะครับ วันนี้ป๊าต้องไปทำงาน”

              พูดจบก็เดินออกมาจากห้องนอนทิ้งให้เด็กๆที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของคุณยายหันมามอง ท่าทีที่ห่างเหินไม่เหมือนเก่าทำให้ขนมผิงเริ่มรู้สึกผิด จากเดิมที่ลูกๆจะวิ่งเข้าหาเขาตอนนี้ได้แต่ยืนมองอยู่ไกลๆ

              แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ต้องการจะอยู่ใกล้กับเด็กๆทั้งที่ยังมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ได้วาดเอาไว้เขาจำเป็นที่จะต้องเสียสละในส่วนเล็กๆไปเพื่อที่จะได้ส่วนที่ใหญ่ที่สุดมาครอบครอง

 

              --------------------------------------------------------------

 

              ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลเอกชนใจกลางกรุง ปิญญ์ชานนท์จอดรถอยู่ด้านหน้าตึกของโรงพยาบาลด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เขานึกเจ็บใจกับเรื่องงี่เง่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนอยากจะบึ่งรถไปหาอีกฝ่ายแล้วบีบขย้ำอีกฝ่ายด้วยมือเขาให้รู้แล้วรู้รอด

              ความเหนื่อยที่รุมเร้าในเวลานี้ทำให้เขาแทบเดินไม่ไหว ความเมื่อยล้าความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อจากเครื่องช็อตไฟฟ้าเมื่อคืนนั้น

ทำให้ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหนาวสั่นจากอาการไข้จับ

              ถึงระดับไฟฟ้าที่โดนจะไม่แรงพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด แต่มันก็ส่งผลต่อกล้ามเนื้อและทำให้เขาสลบได้ พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนั่งพิงผนังห้องน้ำอยู่โดยที่มีพนักงานทำความสะอาดเป็นคนมาปลุกก็เมื่อเวลาผ่านเกือบไปค่อนคืน

              แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือตอนนี้เขายังรู้สึกตกใจไม่หายที่ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลของเขามันมาจากขนมผิงเพียงคนเดียว คนที่เขาเอาแต่ดูถูกดูแคลนและเหยียดหยาม

              ปึง!!

              เขาทุบพวงมาลัยรถตัวเองสุดแรงด้วยเรี่ยวแรงที่มีไม่มาก เขาต้องการที่จะระบายเรื่องราวที่อัดอั้นอยู่ในใจออกไปให้หมด มันเหมือนกับว่าตอนนี้เขากำลังจะพ่ายแพ้ให้กับคนที่เคยดูถูกมาตลอด พวงมาลัยรถคันหรูถูกกระหน่ำทุบนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อรองรับอารมณ์ของเจ้าของที่ระบายออกมาในรูปแบบของการใช้กำลัง

 

              ----------------------------------------------------------

 

              “ไม่มีอะไรมากนะครับ ไม่ต้องกังวลไป กล้ามเนื้อของคุณที่อ่อนล้าจากการถูกไฟฟ้าอ่อนๆช๊อตจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมในอีกไม่ช้า ส่วนเรื่องอาการปวดศีรษะไข้ขึ้น หมอคิดว่ามาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วก็ความเครียด เดี๋ยวหมอจะให้ยาไปทานแล้วก็พักผ่อนเยอะๆนะครับ”

              “จำเป็นที่จะต้องพักผ่อนเหรอครับ แค่ให้ยาที่ทำให้หายจากอาการก็พอ ผมไม่มีเวลาว่างมาพักผ่อนหรอก”เขาตอบด้วยท่าทางหงุดหงิด

              ปิญญ์ชานนท์ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าจะต้องป่วยจนเข้าโรงพยาบาลอย่างคนอ่อนแอแบบนี้

              “ไม่มียาแบบนั้นหรอกครับ การพักผ่อนคือยาดีที่สุดสำหรับการรักษาโรค แต่หมอคิดว่าคุณคงจะเครียดเกินไปถึงได้อาการหนักขนาดนี้ ทางที่ดีคุณน่าจะพักจากเรื่องเครียดๆสักระยะ”

              หมอเจ้าของไข้เอื้อมมือมาดึงมือของชายหนุ่มไปจับอย่างเบามือก่อนจะพลิกไปมา มือที่มีรอยช้ำจนเกือบจะปริแตกถูกจับแล้วกดเบาเบาทำเอาเขาสะดุ้งแล้วชักมือกลับด้วยความเจ็บ

              “ผมไม่ได้ต้องการให้หมอดูมือ ผมต้องการรักษาอาการไม่สบายเพื่อที่ผมกลับไปทำงานได้เร็วที่สุดแค่นั้น เรื่องอื่นผมไม่สนใจ”

              “หมอคิดว่าคุณเครียดเกินไปแล้วนะครับคุณปิญญ์ชานนท์”

              “ผมไม่ได้เครียด”

              “เหมือนกับคนบ้านั่นแหละครับ ที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองบ้า”

              “ผมไม่ได้บ้าเหมือนกัน รีบๆตรวจให้เสร็จดีกว่า ผมต้องกลับไปทำงาน”ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด

              หมอเจ้าของไข้ถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อคนไข้ที่ดูน่าจะมีภาวะทางอารมณ์จากหน้าที่งานการที่ต้องควบคุมคนมากมายกลายเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุผลเดียวที่ทำให้เป็นแบบนี้ก็คงจะมาจากความเครียดจัดและความกังวล

              “งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่าครับ หมอจะไม่ก้าวก่ายเรื่องภาวะทางอารมณ์ของคุณ แต่หมอจะให้นี่ไป เมื่อไรที่คุณคิดว่าคุณกำลังหงุดหงิดหรืออยากระบายอารมณ์ คุณอาจจะต้องการคนรับฟังหรือให้คำปรึกษา”

คุณหมอในชุดกราวน์สีสะอาดหยิบนามบัตรในลิ้นชักแล้วยื่น

              มือใหญ่รับนามบัตร์ใบเล็กมาแล้วพบว่ามันเป็นนามบัตรของจิตแพทย์ มันทำให้เขายิ่งโกรธจนแทบอยากต่อว่าหมอที่อยู่ตรงหน้าออกไปซะเดี๋ยวนั้น

              หากแต่คำพูดเตือนของหมอเกี่ยวกับสภาวะทางอารมณ์ของเขานั้นมันทำให้เขาฉุกคิดและเลือกที่จำกำมือที่ถือนามบัตรเอาไว้แน่น จนนามบัตรนั้นยับยู่ยี่

              “ไม่ต้องห่วงครับ ทุกอย่างของคนไข้จะเป็นความลับทั้งหมด คุณไม่ต้องกังวลว่าความลับของคุณจะถูกเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ คุณสามารถไว้ใจหมอได้ครับ”

              “ผมจะเก็บเอาไปคิดดู”

              นามบัตรยับย่นถูกสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท

              “เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลพาคุณไปทำแผลแล้วก็ไปรับยา หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้เอาใบนัดมาติดต่อผมได้เลย เรียบร้อยแล้วครับ อาการไม่น่าเป็นห่วง เหลือแค่คุณต้องให้เวลากับตัวเองเพื่อพักผ่อนบ้าง”คุณหมอแนะนำ

              “ขอบคุณ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับก่อนจะเดินออกมาจากห้องตรวจเพื่อไปทำแผลต่อ

              นามบัตรที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากำลังถูกเก็บไปครุ่นคิดว่าเขาควรจะพึ่งมันดีหรือไม่ แต่เขาไม่ได้เป็นผู้ป่วย ไม่ใช่คนบ้า หรือคนโรคจิต ทำไมเขาจะต้องคุยกับจิตแพทย์ด้วย

              ไม่มีทาง!!

              เข้าตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องเอาคืนขนมผิงให้เจ็บแสบ จำต้องให้ขนมผิงที่กล้าเชิดหน้าขึ้นมาต่อกรกับเขายอมเชื่องเหมือนสุนัขที่ถูกฝึกมาอย่างดีให้ได้ สุนัขที่มันไม่เชื่องจะต้องถูกสั่งสอนให้หลาบจำจะได้ไม่มาแว้งกัดเขาแบบที่กำลังทำอยู่

              ปิญญ์ชานนท์ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถยนต์คันครู เขาหยิบโทรศัพท์เครื่องแพงขึ้นมากดหาเบอร์โทรที่เขาเสียเงินเพื่อที่จะซื้อมันมาในราคาแพง ก่อนจะกรอกเสียงลงไปเมื่อทางด้านนั้นกดรับ

              “ไง เงียบไปเลยนะ หรือว่ากำลังกลัวอะไรอยู่ หึหึ”เขาหัวเราะในลำคอราบกับต้องการจะเยาะเย้ย

              อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ราวกับว่ากำลังตกใจที่รู้ว่าเขาคือใคร

              “นึกว่าจะจำเสียงผัวชั่วคราวไม่ได้ซะอีก”เขายอมรับเลยว่าค่อนข้างพึงพอใจเมื่อเสียงปลายสายดูตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าเป็นเขา

              ‘ใครบอกว่าผมจำได้ล่ะครับ ผมก็แค่เดาเอาเพราะมีไม่มีคนที่น้ำเสียงจะส่อถึงความสกปรกที่แสดงออกมา…ก็แค่นั้น’

              อีกฝ่ายตอบกลับมาในแบบที่เจ็บแสบทำเอาเขาแทบจะทุบมือลงกับพวงมาลัยรถเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอีกครั้ง

              หากแต่ผ้าพันแผลนั้นเป็นสิ่งเตือนใจให้เขาหยุดมือค้างเอาไว้

              “นั่นสินะ ฉันก็ลืมไปว่าคนอย่างนายมันเป็นพวกได้ไม่เลือกหน้า คงจะเยอะจนแทบจำไม่ได้สินะ”

              ‘มันก็แล้วแต่คุณจะคิดนะครับ แค่รู้เอาไว้ก็พอว่าคุณก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นเหมือนกัน’

              “ปากดีนักนะขนมผิง!! อย่าคิดจะเอาฉันไปเหมารวมกับพวกชั้นต่ำที่หลงเสน่ห์คนอย่างนายเชียว!!”

              ‘หึหึ ทำไมล่ะครับ หรือว่า…คุณจะไม่ยอมรับว่าหลงเสน่ห์ผมเหมือนกัน’

              “อย่ามาหลงตัวเองไปหน่อยเลย นายมันก็แค่หมาที่เลี้ยงไม่เชื่องที่กลับมาแว้งกัดเจ้าของ”เขากัดฟันจนกรามขึ้นนูน

              คำพูดของขนมผิงมันจี้ใจดำของเขาจนอยากจะกระชากอีกฝ่ายเข้ามาบดขยี้หากว่าอีกฝ่ายนั้นยืนอยู่ต่อหน้าเขา

              ‘ถ้าผมมันเป็นสุนัขที่ไม่เชื่อง ทำไมทำไมคุณไม่ลองเปลี่ยนมาเป็นสุนัขของผมบ้างล่ะ เผื่อผมอาจจะทำให้คุณเชื่องได้’

              “ปากดีนักนะ!! นายต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายที่ยอมรับความพ่ายแพ้ นายก็น่าจะรู้ดี”

              เขาพยายามควบคุมอารมณ์ที่กำลังปะทุ แล้วหยิบยกอาวุธที่เก็บเอาไว้ขึ้นมาข่มอีกฝ่าย แล้วก็ได้ผลเมื่อเสียงปลายสายขาดห้วงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาแข็งกร้าวดังเดิม หากไม่จับสังเกตให้ดี

              ‘งั้นก็ว่าธุระของคุณมาสิ ผมไม่มีเวลามาเล่นขายของเล่นกับคุณนะครับ คุณปิญญ์’

              “เดี๋ยวนายก็จะได้รู้ว่าเล่นหรือไม่เล่น”

              ‘คุณต้องการอะไร!!....หรือว่าต้องการเงินล่ะ เงินที่คุณชอบน่ะ’

              “เงินน่ะ ฉันมีเยอะแล้ว ฉันแค่อยากจะสั่งสอนหมาที่ไม่เชื่องกับเจ้าของก็แค่นั้น วันพรุ่งนี้หกโมงเย็นมาเจอฉันที่หมู่บ้าน…ล่ะ อ้อ แล้วก็มาคนเดียวด้วยล่ะถ้านายเอาชู้ของนายมาด้วยล่ะก็ฉันไม่รับประกันว่าภาพเคลื่อนไหวของนายที่กำลังร้องเหมือนพวกติดสัตว์จะถูกปล่อยออกไป”

              ‘เพล้งงง!!!’

              เสียงของแตกจากปลายสายก่อนมันจะตัดไปทำให้อารมณ์หงุดหงิดที่กำลังปะทุของเขาแทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้งทันทีปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้มออกมาที่มุมปากอย่างพอใจ

              น่าแปลกที่เขากลับอารมณ์ดีกับเรื่องแบบนี้เมื่อได้รับรู้ว่าขนมผิงหงุดหงิดเพราะเขา

 

              ---------------------------------------------------------------

 

              “แกไปไหนมา ฉันโทรเข้าไปที่ออฟฟิต พลอยฟ้าบอกว่าแกยังไม่ได้เข้าไปในออฟฟิต แต่ฉันเห็นว่าแกออกไปตั้งแต่เช้า”

              เสียงแข็งกร้าวถามขึ้นเมื่อเขาเดินเข้าไปในตัวบ้านหลังใหญ่ บ้านของตระกูลอนันตไพลินที่เขาภูมิใจนักหนากับฐานะอันมั่งคั่ง

              “ผมไปทำธุระมานิดหน่อย”

              เขาไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย และตอบกลับชายสูงวัยที่นั่งอยู่บนวิลแชร์ราคาแพง ด้านหลังมีพยาบาลส่วนตัวคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

              “แล้วนั่น มือแกไปโดนอะไรมา!!”อาทิตย์ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงแข็งคล้ายจะกำลังไม่พอใจ

              “แค่อุบัติเหตุน่ะครับ พ่อไม่ต้องใส่ใจมันมากหรอกครับ”

              “แกจะไม่ให้ฉันใส่ใจมันได้ยังไงในเมื่อแกเป็นคนที่จะต้องสืบทอดอนันตไพลินกรุ๊ป ถ้าแกเป็นอะไรไปใครจะเป็นคนสืบทอดมันล่ะ”

              “เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วพ่อไม่ต้องย้ำมากก็ได้ ผมคิดว่าผมฟังมาบ่อยมากพอแล้ว ขอตัวนะครับ ผมต้องการพักผ่อน ผมเหนื่อย”

              ถึงจะต้องการทำงานต่อ แต่ถ้าหากเขาฝืนความล้าของร่างกาย เขาคงจะถึงขั้นต้องนอนพักที่โรงพยาบาลแน่  ในเวลานี้อาการปวดหัวเริ่มรุนแรงมากขึ้น เพราะตั้งแต่เช้ามีเพียงกาแฟแก้วเดียวที่ตกถึงท้องของเขา

              “อาทิตย์หน้าฉันจะไปหาฤกษ์กำหนดงานแต่งงานของแกกับหนูเดหลี แกก็หาเวลาว่างไปด้วยกันล่ะ คุณเชตุพลเองก็บอกว่าแกไม่ค่อยมีเวลาให้กับหนูเดหลีเลย”

              “ผมไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนเขานี่ครับ ผมต้องทำงาน พ่อก็น่าจะรู้ว่าไม่ทำงานก็ไม่ได้เงิน…อย่างที่พ่อชอบพูด”

              “แกจะพูดว่าอะไรฉันไม่สนหรอกนะ อาทิตย์หน้าแกต้องไปด้วยกันกับฉัน นี่คือคำสั่ง!! แกห้ามปฏิเสธ”

              “ตามใจพ่อก็แล้วกัน ผมก็บอกไปแล้วว่าผมไม่แต่ง แต่ถ้าพ่อต้องการผมก็ไม่ขัด ผมไม่มีสิทธิเลือกอยู่แล้วนี้”เขาแสยะยิ้ม ราวกับกำลังดูแคลนตัวเอง

              “ยังไงซะแกก็ต้องแต่ง ฉันจะไม่รอให้แกทำอะไรตามใจชอบเหมือนเก่าอีกแล้ว”

              “นั่นสินะ พ่อก็แค่ต้องการคนที่จะสืบทอดเงินทองมากมายนี่ต่อจากผม ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะทำตามที่พ่อสั่งทุกอย่าง ยังไงพ่อก็ชอบเลือกนั้นเลือกนี่ให้ผมอยู่แล้ว ผมเหนื่อย ผมขอตัว”

              เขาตัดบททิ้งให้ผู้เป็นพ่อมองตามด้วยความไม่พอใจ

 

              ------------------------------------------------------------

 

              เพล้งงงง!!

              เครื่องมือสื่อสารถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับผลักห้องทำงานอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์ของเขาของที่ปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหัน

              แม้ว่าขนมผิงจะพยายามสะกดกลั้นอารมณืที่มีอยู่ทุนเดิมและตอบโต้กลับอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ปิญญ์ชานนท์หยิบยกขึ้นมาขู่นั้นเลี่ยงไม่ได้เลยที่เขาจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้วระบายมันออกมาในรูปแบบความรุนแรงที่เขาแสนจะเกลียดชัง

              โทรศัพท์เครื่องที่ใช้อย่างทะนุถนอมอย่างยาวนานตอนนี้กลับแตกละเอียดและนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้ปราณี

              ในที่สุดเรื่องสกปรกที่ขนมผิงกลัวก็ถูกหยิบยกขึ้นมาข่มขู่จนได้ ขนมผิงจะไม่ใส่ใจเลยสักนิดหากเรื่องนี้มันไม่สามารถส่งผลกระทบให้กับครอบครัวได้

              กระดาษที่เต็มไปด้วยรายชื่อของผู้เสนอขายหุ้นในราคาถูกที่พึ่งจะปริ้นท์ออกมาถูกฉีกกระชากจนยับและเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ใยดี

              เขาต้องทำยังไงกันนะที่จะตัดความรู้สึกราบกับคนบ้าออกไป จะต้องทำยังไงเพื่อที่จะทำให้คนอย่างปิญญ์ชานนท์แพ้ให้เร็วที่สุดแล้วกลับไปใช้ชีวิตเหมือนปกติอย่างที่ควรจะเป็น

 

              -------------------------------------------------------

 

              และเมื่ออารมณ์นั้นไม่สามารถดับได้ในเร็วไว ขนมผิงก็พาตัวเองมายังห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากที่ทำงานสักเท่าไร ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อสำนึกได้ว่าตนเองนั้นระบายอารมณืกับสิ่งของจนเสียหายไปแล้ว

              เขาน่าจะควบคุมอารมณ์ให้มากกว่านี้!!

              กลับกลายเป็นว่าเขาต้องเสียเวลาในการทำงานเพื่อที่จะมาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่เพราะการบัลดาลโทสะอันไร้สาระของตัวเอง

              ขนมผิงเลือกเครื่องมือสื่อสารเสร็จเรียบร้อยก็ยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงาน ทว่าเสียงแหลมขึ้นจมูกก็ทำให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหันไปมองเล็กน้อย

              “ที่สั่งไว้มารึยังค่ะ เบื่อเครื่องเก่าจะแย่แล้ว เรื่องราคาฉันไม่ติดหรอกนะค่ะ ขอแค่ของมาตรงเวลาก็พอ”

               คำพูดถือตัวที่ทำให้นึกถึงปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงอดเหนื่อยใจแทนพนักงานไม่ได้ ขนมผิงไม่แปลกใจเลยว่าทั้งคำพูดและท่าทีที่เย่อหยิ่งและถือตัวนั้นจะคลับคล้ายคลับคลากับปิญญ์ชานนท์

              ที่แท้ก็เป็นลูกสาวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอนันตไพลิน คำพูดที่ว่ากันว่าพวกเดียวกันมักจะเหมือนกันก็เป็นจริงเข้าวันนี้

              ขนมผิงจ้องมองใบหน้าที่สวยหวานต่างจากการกระทำเมื่อระลึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังจะหมั้นกับปิญญ์ชานนท์ ช่างเป็นคู่ที่ดูเหมาะสมกันดีจริงเชียว แต่อาจจะเป็นเพราะว่าขนมผิงมองเธอนานไปหน่อย เธอจึงหันมาจ้องตอบเขา

              “เอ่อ คุณ คุณ ผิงใช่รึเปล่าค่ะ”

              ในตอนแรกแววตาของหญิงสาวนั้นไม่ค่อยพอใจที่รู้ตัวว่าถูกจ้องมอง แต่เมื่อนึกขึ้นได้กับหน้าตาที่คุ้นเคยเธอก็ชะงักแล้วยกยิ้มขึ้นมา

              คงจะเหมือนกันหมดสินะ กับการเลือกที่จะใส่หน้ากากเฉพาะคนมีฐานะ

               “ครับ ยินดีที่ได้พบครับคุณเดหลี”ขนมผิงแสร้งยิ้มรับก่อนจะถามออกไป “สั่งของเอาไว้เหรอครับ”

              “ค่ะ สั่งของเอาไว้ พอดีรุ่นนี้ยังไม่นำเข้ามาเดหลีเลยสั่งพิเศษ อยากจะลองใช้ของใหม่ดู”

              “นั่นสินะครับ ใครใครก็ชอบของใหม่ที่ดีกว่า”ขนมผิงบอกอย่างแฝงความนัยน์

              “แหมคุณผิงล่ะก็ รู้ความคิดเดหลีได้ยังไงกัน ถ้าของเก่ามันน่าเบื่อก็ต้องเปลี่ยนใหม่ที่มันดีกว่าแหละค่ะ แล้วนี่มาซื้อใหม่เหมือนกันเหรอค่ะ”เธอตอบในคำตอบที่แฝงความนัยน์เช่นเดียวกัน

              “ครับมาซื้อใหม่ พอดีซุ่มซ่ามทำหล่นแตกน่ะครับ”โกหกพลางปั้นยิ้ม

              “แหม ซุ่มซุ่มจริงเชียนะคะ ไม่รู้ว่าเรื่องอื่นจะซุ่มซ่ามรึเปล่า ว่าแต่ภรรยาไม่มาด้วยเหรอค่ะ แล้วก็เด็กผู้ชายน่ารักๆอีกสองคน ไปไหนซะแล้วล่ะ”

              “ภรรยาผมเสียไปนานแล้วล่ะ ส่วนเด็กๆก็อยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ผมน่ะ วันหลังถ้าคุณว่างอยากจะไปเล่นกับเด็กๆก็ได้นะครับ เด็กๆน่าจะดีใจที่มีคนแวะไปเล่นด้วย”

              ขนมผิงกำลังโกหก เขาจงใจที่จะให้คนอื่นๆรับรู้ในเรื่องที่เขาปั้นแต่งว่าเขามีภรรยาและภรรยาได้เสียไปในตอนคลอดลูก

              “เสียใจด้วยนะคะ เดหลีไม่น่าถามเลย ขอโทษนะคะที่เดหลีถามอะไรที่ไม่น่าถามออกไป”

              หญิงสาวยอกมือขึ้นป้องปากอย่างตกใจ แต่แววตาของเธอไม่ได้แสดงออกตามท่าทีของเธอเลยสักนิด

              เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พนักงานยื่นบัตรเครดิตคืนให้กับขนมผิงและพนักงานอีกคนเอาโทรศัพท์ของเดหลีมาเช็คขนมผิงยกยิ้มก่อนจะยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานอีกครั้งแล้วกระซิบบอกพนักงานในขณะที่เธอกำลังสนใจกับมือถือเครื่องใหม่

               “นึกว่าจะไม่มาตามนัดซะแล้วเชียว”เธอหันมาบ่นเบาๆ

              มือเรียวสวยหยิบบัตรเครดิตสีทองของตัวเองออกมาก่อนจะยื่นให้กับพนักงาน แต่นั่นมันก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อพนักงานตอบกลับให้เธอให้ประหลาดใจ

              “สินค้าตัวนี้รับชำระเงินมาแล้วนะค่ะ”พนักงานโบกมือไม่รับบัตรจากเธอ

              “อะไร ฉันยังไม่ได้จ่ายเลยนะ ทำงานยังไงกันเนี่ย”เธอเริ่มหงุดหงิด

              “คือคุณผู้ชายท่านนี้เขาจ่ายให้คุณผู้หญิงแล้วค่ะ”พนักงานรีบตอบ

              และนั่นก็ทำให้เดหลีหันมามองด้วยความตกใจ

               “เป็นของขวัญการพบกันอย่างไม่เป็นทางการครับ”ขนมผิงยิ้ม

              “จะดีเหรอค่ะ แหมเดหลีเกรงใจจังเลย งั้นถ้าไม่รังเกียจให้เดหลีเลี้ยงข้าวสักมื้อเป็นการตอบแทนนะคะ ห้ามปฏิเสธนะคุณผิงไม่งั้นเดหลีโกรธจริงๆด้วย”

              “ก็เอาสิครับ ผมไม่คิดจะขัดคนน่ารักอย่างคุณอยู่แล้ว”

              “ปากหวานเชียวนะคะเนี่ย นอกจากจะหล่อรวยแล้วยังจะใจดีอีก อย่างนี้ผู้หญิงคงหลงกันเยอะแน่เลย”

              “ไม่มีหรอกครับผู้หญิงที่จะมาหลงน่ะ แต่เริ่มจะอยากลองให้มีคนหลงอย่างที่คุณบอกขึ้นมาแล้วสิ”

              ทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่เป็นเกมทั้งสิ้น ขนมผิงไม่แม้แต่จะใส่ใจว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันคืออะไร เขสนเพียงแค่ชัยชนะที่กำลังกระหายอยู่เท่านั้นเอง

 

              -----------------------------------------------------------
มีต่อ



 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 27-11-2015 20:44:27
ต่อ
 

              เป็นเวลาดึกมากแล้วกว่าขนมผิงจะกลับมาถึงบ้าน มีเพียงความเงียบสงัดเท่านั้นที่บ่งบอกว่าคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว ขนมผิงถอนหายใจด้วยความเพลียจากการที่ต้องจัดการเอกสารกองโตในช่วงเย็นหลังจากที่เขาจบมืออาการจากเดหลี

              ขนมผิงครุ่นคิดถึงผู้เล่นรายใหม่ในเกม หญิงสาวที่เป็นดาราที่กำลังเป็นดาวรุ่งในด้านบทบาทของนางร้ายอีกทั้งยังเป็นลูกสาวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอนันตไพลิน

              ใจของขนมผิงตอนนี้แทบจะไม่มีสมาธิจดจ่อกับงานเลยในเมื่อรูปลามกพวกนั้นที่ปิญญ์ชานนท์จงใจหยิบยกขึ้นมาข่มขู่นั้นมันยังคงก่อกวนเขา

              ขนมผิงเปิดประตูห้องนอนเด็กๆอย่างเบามือ กลัวว่าเด็กๆจะตื่นเพราะว่าเขามารบกวนในเวลาดึกขนาดนี้ ตาคู่สวยจ้องมองร่างจ้ำม่ำนอนกอดกันใต้ผ้าห่มผืนหนา ใบหน้าอันไร้เดียงสาเปื้อนยิ้มเล็กน้อยราวกับว่ากำลังหลับฝันดีอยู่ ร่างสูงโปร่งเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มที่ร่นลงคลุมให้ลูกหมูทั้งสองอย่างเบามือ

              ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มีเวลาให้กับเด็กๆเหมือนกับเมื่อก่อน เวลาทั้งหมดเขาเอามันไปลงกับงานเพียงอย่างเดียว มือผอมเกลี่ยเอาปอยผมเส้นเล็กที่ตกลงมาปรกบนใบหน้าเพราะกลัวว่าเจ้าตัวที่หลับในขณะที่กอดคู่แฝดของตัวเองอยู่จะตื่น

              “อือ ปะป๊า”ปลากริมลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะจับมือของขนมผิงเอาไว้แน่น

              “นอนต่อนะครับคนเก่ง”ขนมผิงลูบหัวทุยๆนั้นอย่างเบามือ

              “อือ”เจ้าตัวครางอือรับ

              “ปะป๊ารักพวกเรานะครับ”ขนมผิบอกเสียงเบาเมื่อเจ้าตัวเล็กหลับตาลง

              ขนมผิงไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงของเด็กๆทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงาน โทรศัพท์เครื่องใหม่ในกระเป๋าสั่นเรียกให้หยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสงสัยเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว

              คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเมื่อเบอร์ที่แสดงบนหน้าจอนั้นไม่คุ้นเคย ทว่าถึงเขาจะไม่ได้บันทึกเบอร์นี้เอาไว้เขาก็จำได้ดีจากเลขท้ายว่าเจ้าของเบอร์นี้คือใคร

              ปิญญ์ชานนท์!!

              ขนมผิงค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงเพราะกลัวว่าจะทำให้เด็กๆตื่น ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้องนอนของเด็กๆด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบาจนโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วส่องแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง

              ทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงได้โทรมาดึกดื่นป่านนี้!!

              เป็นครั้งที่สามที่หน้าจอสว่างขึ้น แสดงให้เห็นเบอร์เดิมที่โทรเข้ามาราวกับว่าจะไม่หยุดโทรหากว่าเขาไม่ยอมรับ ขนมผิงชั่งใจสูดหายใจเข้าปอดลึกกดรับสายในที่สุด

              “คิดถึงผมรึไงครับ ถึงได้โทรมาหาผมในเวลาแบบนี้”พยายามที่จะพูดด้วยน้ำเสียงอันยั่วเย้าทั้งที่ใจเหนื่อยล้าเต็มที

              ‘อย่ามาหลงตัวเองไปหน่อยเลย’ อีกฝ่ายตอบกลับก่อนจะเงียบไปสักพัก  ‘แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ ฉันอาจจะคิดถึงนายจริงๆ และอาจจะคิดถึงเผื่อไปถึงลูกของนายด้วย’

               “หมายความว่าไง!! คุณมีอะไรก็ว่ามา อย่ามายุ่งกับลูกของผม”

              ‘ทำไมฉันถึงจะยุ่งไม่ได้ล่ะ หรือว่านายมีอะไรกำลังปิดบังฉันอยู่’

คำถามที่แทงใจดำทำให้ขนมผิงตัวชาวาบ

              “ผมไม่มีอะไรจะต้องปิดบังคุณ คุณพูดธุระของคุณมาดีกว่าว่าคุณต้องการอะไร หรือว่าคุณเปลี่ยนใจต้องการได้เงินขึ้นมาล่ะ”

              ‘ฉันบอกแล้วไงว่าเงินน่ะฉันมีเยอะแล้ว’

              “ผมไม่มีเวลาจะมาต่อปากต่อคำกับคุณหรอกนะครับ หรือถ้าเหงาก็เอาเงินที่คุณมีอยู่เยอะไปใช้แก้เหงาสิครับ จะได้ไม่เอาเวลาเอาเวลามารังควาญคนอื่นแบบนี้”

              ‘หึหึ ปากดีให้ได้ตลอดเถอะนะขนมผิง ฉันก็แค่มาเตือนเผื่อนายจะลืมนัดของเรา แล้วก็…..’พูดค้างเอาไว้ให้คนทางปลายสายถามกลับอย่างร้อนรน

              “แล้วก็อะไร?!”

              การที่ปิญญ์ชานนท์พูดค้างเอาไว้แบบนี้ทำให้ขนมผิงเริ่มจะเป็นกังวลกับเล่ห์กลของอีกฝ่าย การที่อีกฝ่ายทำอะไรไม่เลือกวิธีนั้นมันไม่เป็นเรื่องดีเอาซะเลย

              ‘ฉันเปลี่ยนใจแล้ว วันพรุ่งนี้นายต้องมาหาฉันพร้อมกับเด็กๆตามสถานที่ที่นัดเอาไว้ แล้วก็อย่าพาใครมาด้วยล่ะ…ฉันไม่อยากพูดซ้ำ’

              “ไม่มีทาง!! ผมไม่มีวันเอาเด็กๆไปด้วยเด็ดขาด ทำไมคุณจะต้องเอาเด็กๆมาเกี่ยวด้วย”

              จู่ๆทำมิญญ์ชานนท์ถึงได้เบนความสนใจมาที่เด็กๆได้ล่ะ แล้วทำไมถึงได้บอกให้เขาเอาเด็กๆไปด้วยทั้งที่เด็กๆไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะต้องตกลงกับอีกฝ่ายได้เลย

              ความกังวลที่มีเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวจนขนมผิงแทบอยากจะตะโกนตอกกลับปลายสายไป

              ‘แค่นี้แหละที่ฉันจะบอกนาย หวังว่าพรุ่งนี้ฉันจะเจอกับเด็กๆพร้อมกับนาย ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับปากว่าภาพเคลื่อนไหวพวกนี้มันจะหลุดออกไปหาใครบ้าง’

              “คุณ!!”

              ยังไม่ทันที่จะโต้แย้งปลายสายก็ตัดไปซะก่อน

              นี่มันเรื่องบ้าอะไร!! ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้

              ขนมผิงกำโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแน่นอย่างแค้นใจ อยากที่จะปามันออกไปเพื่อระบายอารมณ์เหมือนครั้งที่แล้ว แต่เพราะว่านี่คือบ้านขนมผิงจึงทำได้แค่หายใจเข้าลึกๆก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อสกัดกลั้นอารมณ์

             

               “ผิง มาทำอะไรเงียบๆตรงที่มืดๆล่ะลูก”เสียงของลำดวนทพให้ขนมผิงหันไปมอง

               “ไม่มีอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผิงก็จะเข้านอนแล้ว”

              “มีอะไรรึเปล่า พึ่งกลับมาจากทำงานเหรอ ทำไมกลับมาดึกจัง พ่อกับแม่เป็นห่วงนะลูก”

              ลำดวนเดนมาแตะแขนผอมเบาๆ เรียกให้ความรู้สึกผิดที่มีมันแล่นเข้ามาที่หัวใจ หัวใจที่พยายามต่อเติมกำแพงให้ด้านชาพลันก็เจ็บแปลบราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเอาไว้

              เขาจะต้องทำยังไงกันนะ ถึงจะปกป้องครอบครัวที่เขารักเอาไว้ได้โดยไม่มีใครต้องเสียใจ

              “เป็นอะไร ร้องไห้เหรอผิง!!”ลำดวนถามด้วยความตกใจ

              “ปะ เปล่าผิงไม่ได้ร้องไห้”

              รู้ตัวอีกทีขนมผิก็รีบเงยหน้าขึ้นมองเพดานเมื่อหยาดน้ำอุ่นกำลังคลอเคลียอยู่ที่หน่วยตา

              “ผิง”ลำดวนเรียกย้ำ

              “ผิงไม่เป็นไร แล้วแม่ทำไมยังไม่นอนอีก ดึกแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

              “แม่น่ะนอนหลับไปแล้ว แต่แม่ได้ยินเสียงผิงแม่ก็เลยออกมาดู แต่ถ้าผิงยืนยันว่าไม่เป็นอะไรแม่ก็เชื่อ แต่แม่จะบอกไว้นะว่าพ่อกับแม่ยังรักผิงเสมอไม่ว่าผิงจะเป็นยังไง ปลากริมกับสลิ่มก็เหมือนกัน เด็กๆรักผิงมาก รอผิงจนหลับไปทุกวัน”

              ลำดวนดึงลูกขายเข้าไปกอดเอาไว้

              “ครับ ผิงรู้”

              “งั้นก็ไปนอนได้แล้วดึกมากแล้ว พักผ่อนให้เยอะๆ ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น”

              “ผิงรักแม่นะ”

              ประโยคสุดท้ายพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันเบาโหวงไม่ต่างอะไรกับเสียงของสายลม

              เขารู้สึกผิดที่ให้เวลากับครอบครัวน้อยลงไปทุกที หากแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถถอยหลังกลับได้แล้ว

 

              --------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 27-11-2015 21:06:21
เมื่อไหร่ผิงจะได้ เอาคืนแบบสาสมสะที อ่านมานี้ผิงยังทำอะไรไม่ได้เลยนะ แค่ทำหุ้นตกได้อย่างเดียว ตอนหน้าโดนขมขืนอีกแล้วจะโดนถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล หรือป่าว ถีาแบบนี้ น้ำเน่าไปอะ  :fire:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-11-2015 22:31:53
อย่างปิญญ์ก็คงทำเลว เช่น ข่มขืนและแบล็คเมล์ต่อไปแน่ๆ เลย ไม่อยากให้มีการแบล็คเมล์เลยจริงๆ เพราะแค่ข่มขืนก็แย่พอแล้ว (ที่ว่ามาทั้งหมดเดาล้วนๆ ไม่รู้ถูกหรือเปล่านะ 555)
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 27-11-2015 22:49:03
เปิดตัวแล้วววๆ

ปิญญ์เป็นไรไปเนี่ย ลุ้นๆตอนหน้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/1
เริ่มหัวข้อโดย: ben ที่ 27-11-2015 23:22:16
ผิงหวงลูกเกินไปจนน่ารำคาน #ไม่ชอบตรงนี้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 28-11-2015 00:01:17
ใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์แล้วซินะ :fire:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 28-11-2015 00:08:07
อ่านไปอ่านมา บางทีก็สงสัยนะ ว่าทำไมแฝด ถึงได้ปักจิตปักใจกับอิตาปิญขนาดนั้น ไม่เข้าใจจริงๆ จะบอกว่าสายสัมพันธ์พ่อลูกหลอ

มันเว่อร์ไป คนไม่เคยเจอกันมาก่อน ไม่เคยพบเจอกัน แค่เจอหน้ากันก็กระโจนเข้าใส่แบบนี้มันไม่ใช่ละ แสดงว่าการเลี้ยงดูของผิงนั้นมีปัญหาอย่างแรง

สอนลูกยังไงให้วิ่งเข้าใส่คนแปลกหน้า  ใครก็ไม่รู้แต่ลูกวิ่งเข้าใส่เค้าได้เนี่ย อันตรายนะ ไม่ใช่แค่ปิญเท่านั้น แต่รวมถึงคนอื่นๆ

แสดงว่าสองแฝดพร้อมจะไปกับใครทุกเมื่อเลยน่ะสิ เห็นมาหลายตอนแล้วถ้าผิงเป็นพ่อหรือแม่คนจริงๆบอกได้เลยว่าแย่มากๆถึงขั้นเลวร้ายเลย

จำได้เลยตอนไปเที่ยวห้าง มีอย่างที่ไหนปล่อยลูกขนาดนั้น ไม่ได้กลัวลูกหายเลยหลอ เซ๊นส์ของความเป็นพ่อแม่ไม่มีเลย

ถ้าจะเลี้ยงแล้วทำแบบนี้ยกให้อิตาปิญไปเลยดีกว่า เราว่าถ้าผิงฉลาดกว่านี้อีกสักนิดก็ไซโค ใส่ลูกไปเลยว่าอิตาปิญเนี่ยมันมาไม่ดี

มันจะมาแยกทำร้ายแม่ หรืออะไรก็ว่ากันไป นี่ไม่ทำ เอาแต่ป้องกันเด็กไว้อย่างเดียว ผิงควรจะเล่นไม้แข็งได้แล้ว ล้างสมองลูกไปเลย

สร้างความเกลียดชังให้ลูกเข้าไปเยอะ แบบให้อิตาปิญเจอหน้าลูกแล้วลูกกลัวร้องไห้ดังๆ หรือเหมือนเห็นผีไปเลย นั่นแหละดี

ไม่ใช่เอาพี่เลี้ยงมาเยอะๆๆๆๆ แบบนี้มันไม่ใช่ ควรจะสร้างภูมิคุ้มกันที่ตัวลูกตัวเองก่อน แล้วอีกอย่างจะปิดไว้ทำไมบอกพ่อแม่น่ะ

บอกไปเลย เค้าจะได้ช่วยกัน กันไม่ให้มันเข้าถึงลูกเรา นี่ก็อมวัดอมโบสถ์อยู่ได้ แถ+ใส่ความแม่งเลยสิ ให้เค้าเกลียดมันกันเข้าไป

**************************************

เราชอบพล็อตเรื่องนี้นะบอกเลย พล็อตสนุก แต่การแก้แค้นในแง่ธุรกิจแล้วโอเค อิตาปิญจิตแบบคนมีปัญหาทางครอบครัว

แต่บอกเลยเรื่องนี้มีส่วนนึงที่ทำให้เราอ่านแล้วบางทีก็เซ็งๆ คือ ตัวขนมผิงน่ะแหละ ความอ่อนหัดของขนมผิงในการเลี้ยงลูก ถือว่าแย่มาก

อย่างที่บอกไปข้างต้น เลี้ยงแบบนี้ เป็นคนจริงๆ ป่านนี้ได้ไปนั่งขอทานแล้ว   คนมันจะเกลียดกันมันควรเอาให้สุดๆ ไม่ใช่มาครึ่งๆกลางๆแบบผิง

แบบนี้มันยักเย่ยักยัน ออกแนวไปทางน่าลำคาญแบบละครหลังข่าว ตอนนี้เราหวังที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ปล.หากมีคำพูดไหนทำให้ไม่พอใจต้องขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย เราติแรงเกินไป แต่เราหวังดีเพื่อต้องการให้ปรับปรุงในทางที่ดีขึ้น ไม่ได้ต้องการติเพื่อทำลายความมั่นใจหรือประการใด เราจะรออ่านผลงานในตอนต่อๆไปและขอเป็นกำลังใจในการพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งๆขึ้นไปกว่าเดิม  :3123:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-11-2015 00:27:16
ปิณณ์รู้ความจริงแล้วสิ คราวหน้าก็ต่อย-จูบแล้วเสกเด็กเข้าท้องขนมผิงอีกรอบนะ ๕๕๕  ขนมผิงก็เอาคืนเรื่องธุระกิจ ปิณณ์ก็เอาคืนเรื่องลูกซึ่งทำร้ายจิตใจขนมผิงมากๆเลยนะ จะว่าไปก็แฟร์ๆนะ รอลุ้นว่าจะเป็นยังไงต่อไปคับ
    ตอนใหม่มาเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 28-11-2015 00:39:43
*เฮ้อออออออออออออ*

ถอนใจเพราะเคยเมนท์ไปแล้ว 
งานเปิดตัวประธานบริษัท
งานเลี้ยงอย่างเป็นทางการของบริษัท
ที่ต้องออกบัตรเชิญแขกผู้มีเกียรติมาร่วม
ไม่มีใครพาเด็กไปงาน Social Functions หรอกค่ะ
เพราะว่าไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง
ถ้าหากว่าเป็นงานครบรอบอะไรสักอย่างที่บรรยากาศสบายๆโอเคค่ะ
อารมณ์ประมาณพนักงานบริษัทพาครอบครัวมาร่วมได้อะไรแบบนี้
หรือว่าเมืองไทยทำได้?
ภาพพจน์ของบริษัทสำคัญนะคะ

ปิญญ์หน้ามืดตามัวจริงๆ
เป็นเราจะให้คนสืบหารายละเอียดของฝ่ายตรงข้ามตั้งนานแล้ว
นาทีนี้ขนมผิงน่าจะอยู่บนจุดสุดยอดแล้วมั๊ง?
น่าจะสะใจที่เห็นปิญญ์งงๆ
ไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าขนมผิงจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้
เราอยากรู้ว่าปิญญ์จะแก้เกมส์ยังไง
จะเลเวลอัพความเลวแบบไหน

ชอบภาษาเด็กที่พูดไม่ชัดนะคะ
น่ารักดี เห็นปิญญ์เข้ากับลุกได้ก็ดีค่ะ
เข้าทางแม่ยายดีกว่านะปิญญ์
วุฒิกับแทนทัพก็แสนดี
คุณเลขาท่าจะแกร่งกว่าคุณหมอนะ
ไม่รู้เป็นไงเราจิ้นคู่นี้แล้วอ๊ะ
แทนทัพ - วุฒิ

น่าจะขยายปูมหลังของการเลี้ยงดูของปิญญ์อีก
จะได้เห็นได้กระจ่างขึ้นมาอีกว่าทำไมปิญญ์ถึงเป็นคนนิสัยแย่ๆแบบนี้
เอาให้ปิญญ์เสียทุกอย่างก็ดีนะคะ
แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง
เมื่อไม่มีทั้งเงินและอำนาจปิญญ์จะเหลืออะไร?
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 28-11-2015 10:27:45
แปะไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 28-11-2015 17:05:44
เป็นไงล่ะปิญญ์
พอรู้อย่างนี้แล้วจะทำไง
ดูถูกคนดีนัก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-11-2015 19:12:45
 :confuse: อ่านแล้วยังมึนๆ

ปิญญ์รู้เรื่องลูกแล้วหรือยัง หรือจะเอาเรื่องลูกมาข่มขู่ผิงอีก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 28-11-2015 20:44:32
รู้สึกขนมผิงจะหวงลูกเกินไปนะ

คิดให้ดีมันเป็นวิธีที่ถูกหรือเปล่า

ที่ไม่ได้เด็กๆออกไปไหน

สรุปแล้วพระเอกยังไม่ได้ดูผลตรวจดีเอ็นเอ ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 29-11-2015 02:08:39
ตอนนี้ว่าเลวแล้วยังจะเลวขึ้นอีกเหรอ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Tfsutthirat ที่ 29-11-2015 02:57:53
เรื่องนี้นายเอกแก้แค้นโดนใจมากแต่อย่สแก้แค้นจนทำฝห้ตัวเอง้ปลี่ยนล้ะ รักลูกให้เหมือนเดิมนะ ยอมรับเลยผิงเก่งมากแบบฉลาดอ่ะ ที่อัดเสียงนายปิญไว้ นั่นคือตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเลย ชอบที่ทำให้พระเอกหวั่นได้นี่แหละโดนใจมากๆ แต่ขอเถอะให้ทุกอย่างมันพอดีอย่าให้งล่มเล้ยยยย :katai4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: นางโจร ที่ 29-11-2015 04:15:47
อ่านเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกว่าโอเคกับเรื่องและตัวละครนะคะ
จริงๆอ่านไปก็อ่านเอาเพลินๆ ไม่คิดจะใส่ใจรายละเอียดเท่าไร การดำเนินเรื่องช้าไปบ้างแต่พอให้อภัย
ยอมรับว่าเรื่องนี้ก็สนุกดีค่ะ อ่านแล้วเหมือนกับด้านมืดในตัวเราพร้อมจะระเบิดยังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆ
แต่ปัญหาหลักๆของเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกไม่โอเคเลยคือการเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารของเด็กแฝด
มันมีตั้งหลายวิธีนะคะที่คนเขียนจะเลือกใช้ในการสื่อให้เห็นถึงความเป็นเด็กไร้เดียงสา
แต่จำเป็นด้วยหรือที่คนเขียนจะหยิบเอาคำพูด(ภาษาพูด)แบบการออกเสียงเพี้ยนๆมาใช้ได้'เยอะ'ขนาดนี้
มันเยอะเกินไปจนจากความน่ารักเริ่มที่จะทำให้เราคิดว่ามันเกินความไร้เดียงสาจนอาจจะถึงขั้น
การเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้า ถ้าเลือกเอามาใช้ให้พอดีๆ แบบมีบ้าง  ออกเสียงเพี้ยนเป็นบางคำ มันก็น่ารักอยู่
แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันเยอะไป อ่านแล้วคันยุบยิบเลยอ่านข้ามไปเลยดื้อๆ

ปล. อาจจะทำให้คนเขียนไม่พอใจไปบ้าง จะมองข้ามความเห็นเราไปหรือจะแจ้งลบก็ไม่ว่ากันนะคะ  แต่เราหวังดีกับคุณและตัวเราเอง เราอยากให้นิยายของคุณเป็นนิยายที่น่าประทับใจเรื่องหนึ่งสำหรับเรา
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 29-11-2015 07:36:12
อ่านไปอ่านมา บางทีก็สงสัยนะ ว่าทำไมแฝด ถึงได้ปักจิตปักใจกับอิตาปิญขนาดนั้น ไม่เข้าใจจริงๆ จะบอกว่าสายสัมพันธ์พ่อลูกหลอ

มันเว่อร์ไป คนไม่เคยเจอกันมาก่อน ไม่เคยพบเจอกัน แค่เจอหน้ากันก็กระโจนเข้าใส่แบบนี้มันไม่ใช่ละ แสดงว่าการเลี้ยงดูของผิงนั้นมีปัญหาอย่างแรง

สอนลูกยังไงให้วิ่งเข้าใส่คนแปลกหน้า  ใครก็ไม่รู้แต่ลูกวิ่งเข้าใส่เค้าได้เนี่ย อันตรายนะ ไม่ใช่แค่ปิญเท่านั้น แต่รวมถึงคนอื่นๆ

แสดงว่าสองแฝดพร้อมจะไปกับใครทุกเมื่อเลยน่ะสิ เห็นมาหลายตอนแล้วถ้าผิงเป็นพ่อหรือแม่คนจริงๆบอกได้เลยว่าแย่มากๆถึงขั้นเลวร้ายเลย

จำได้เลยตอนไปเที่ยวห้าง มีอย่างที่ไหนปล่อยลูกขนาดนั้น ไม่ได้กลัวลูกหายเลยหลอ เซ๊นส์ของความเป็นพ่อแม่ไม่มีเลย

ถ้าจะเลี้ยงแล้วทำแบบนี้ยกให้อิตาปิญไปเลยดีกว่า เราว่าถ้าผิงฉลาดกว่านี้อีกสักนิดก็ไซโค ใส่ลูกไปเลยว่าอิตาปิญเนี่ยมันมาไม่ดี

มันจะมาแยกทำร้ายแม่ หรืออะไรก็ว่ากันไป นี่ไม่ทำ เอาแต่ป้องกันเด็กไว้อย่างเดียว ผิงควรจะเล่นไม้แข็งได้แล้ว ล้างสมองลูกไปเลย

สร้างความเกลียดชังให้ลูกเข้าไปเยอะ แบบให้อิตาปิญเจอหน้าลูกแล้วลูกกลัวร้องไห้ดังๆ หรือเหมือนเห็นผีไปเลย นั่นแหละดี

ไม่ใช่เอาพี่เลี้ยงมาเยอะๆๆๆๆ แบบนี้มันไม่ใช่ ควรจะสร้างภูมิคุ้มกันที่ตัวลูกตัวเองก่อน แล้วอีกอย่างจะปิดไว้ทำไมบอกพ่อแม่น่ะ

บอกไปเลย เค้าจะได้ช่วยกัน กันไม่ให้มันเข้าถึงลูกเรา นี่ก็อมวัดอมโบสถ์อยู่ได้ แถ+ใส่ความแม่งเลยสิ ให้เค้าเกลียดมันกันเข้าไป

**************************************

เราชอบพล็อตเรื่องนี้นะบอกเลย พล็อตสนุก แต่การแก้แค้นในแง่ธุรกิจแล้วโอเค อิตาปิญจิตแบบคนมีปัญหาทางครอบครัว

แต่บอกเลยเรื่องนี้มีส่วนนึงที่ทำให้เราอ่านแล้วบางทีก็เซ็งๆ คือ ตัวขนมผิงน่ะแหละ ความอ่อนหัดของขนมผิงในการเลี้ยงลูก ถือว่าแย่มาก

อย่างที่บอกไปข้างต้น เลี้ยงแบบนี้ เป็นคนจริงๆ ป่านนี้ได้ไปนั่งขอทานแล้ว   คนมันจะเกลียดกันมันควรเอาให้สุดๆ ไม่ใช่มาครึ่งๆกลางๆแบบผิง

แบบนี้มันยักเย่ยักยัน ออกแนวไปทางน่าลำคาญแบบละครหลังข่าว ตอนนี้เราหวังที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ปล.หากมีคำพูดไหนทำให้ไม่พอใจต้องขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย เราติแรงเกินไป แต่เราหวังดีเพื่อต้องการให้ปรับปรุงในทางที่ดีขึ้น ไม่ได้ต้องการติเพื่อทำลายความมั่นใจหรือประการใด เราจะรออ่านผลงานในตอนต่อๆไปและขอเป็นกำลังใจในการพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งๆขึ้นไปกว่าเดิม  :3123:

เราเห็นด้วยค่ะ อ่านแล้วขัดมาก ไม่อยากให้ลูกดื้อบอกว่าจะโดนจับจะโดนอะไรได้ แต่ไม่อยากให้เข้าใกล้อีตานี่กลับไม่ขู่ไม่บอกอะไรลูกเลย แถมยังปล่อยเด็กไว้กับคนที่ไม่รู้เรื่องความบาดหมางอะไรเลยแบบนี้อีก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 29-11-2015 18:44:34
ในที่สุดก็รู้สักที
แต่แอบค้างนิดนึง
ขนมผิงนี่หวงลูกจนกลัวใจเลย
เครียดแทนขนมผิง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 01-12-2015 18:40:13
 :pig4:  :pig4:  :pig4:
ขอบคุณคำแนะนำและคำติชมของทุกๆคน เป็นประโยชน์มากจริงๆค่ะ
หลายเรื่องเรามองข้ามมันไปจริงๆ ต้องขอขอบคุณมากเลยค่ะ หลายคอมเม้นเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กๆและการวางตัว
ของขนมผิง เราจะพยาพยามเก็บเอาทุกคอมเม้นไปใช้ประโยชน์เพื่อตอนต่อไปให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ดีใจมากเลยค่ะ เหมือนมีบอกอส่วนตัว(เราหลงตัวเอง?)คอยช่วยให้คำแนะนำ รู้สึกอบอุ่นจริงๆค่ะ ดีใจมาก จะว่าซึ้งใจก็ใช่เลย ปลาบปลื้มบอกไม่ถูก จะพยายามมาลงต่อบ่อยๆนะค่าาา ขอบพระคุณจริงๆค่า
 :pig4:   :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 04-12-2015 05:16:20
ยังรอ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 04-12-2015 07:48:09
ปิญญ์ถึงกับอึ้ง คงไม่คิดว่าแม่ของลูกจะทำได้สิน่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 04-12-2015 09:53:57
เดี๋ยวนะ ทิ้งลูกไว้ในงานเลี้ยงที่มีคนอื่นมาร่วมงานเต็มไปหมดกับพี่เลี้ยงที่เป็นผู้หญิง???? เป็นคนคลอดลูกมาเองจริงรึเปล่า ผิงมีปัญหาทางกระบวนการคิดอะไรหรือเปล่า รู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายคนนั้นอยู่ในงานเมื่อวันก่อนลูกก็เจอผู้ชายคนนั้นแล้วก็ไม่พอใจไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าลูกชายสนิทสนม?กับผู้ชายคนนั้น รู้ว่าผู้ชายคนนั้นนิสัยยังไง ทำไมไม่มีการ์ดมาเฝ้าลูกแฝด เฮ้ยตลกอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 04-12-2015 10:37:58
ชอบเนื้อเรื่องมากๆเลยค่ะ ติดตามนะค่ะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 04-12-2015 12:51:08
 :z13: :z13: :z13:

หายไปนานแล้วน้าาาา อัพหน่อยๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 04-12-2015 15:28:14
เห็นเมนท์เรื่องให้ผิงสอนให้ลูกกลัว เกลียดคนแปลกหน้า
อ่านแล้วเห็นภาพเลยค่ะ
เราเป็นมนุษย์แม่นะ มีลูกหลายคน เลี้ยงลูกด้วยตัวเองอยู่ยุโรป
ขอค้านเรื่องนี้หน่อย
การสอนให้ลูกเกลียดและกลัวคนแปลกหน้า   
ในกรณีนี้สอนลูกให้เกลียดพ่อ
อย่าผลักภาระให้ลูก อย่าเสี้ยม
คุณกำลังเลี้ยงลูกคุณให้โตมาเป็นอะไร?
คุณวาดมโนภาพโลกอะไรในสมองและความนึกคิดให้ลูกคุณ?
ทำแบบนั้นก็คือการทำลายเด็ก ยัดเยียดแนวคิดโลกร้ายๆ โลกเลวทราม
เราเวทนาเด็กที่โตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนี้มากๆ
เพราะว่ามันจะติดมาในระบบกระบวนการความคิดมาจนโต

ตัวละครในเรื่องนี้โดนรวมแล้วก็คือมีปัญหาที่วุฒิภาวะ
ทำให้การกระทำดูไม่สมเหตุสมผลในหลายๆตอน
คือหลายๆอย่างมันดู*เด็กๆ*ไปค่ะ

หากว่าคนเขียนไม่เคยเลี้ยงเด็กมันก็ยาก
ที่จะสามารถถ่ายทอดออกมาให้สมจริงสมจังได้
ยกตัวอย่าง ถ้าหากว่าไปซื้ออาหารที่ซุเปอร์มาร์เก็ตเอาลูกใส่ในรถเข็นเลยค่ะ
ในบางที่ๆเราอยู่จะมีรถเข็นแบบเป็นรถของเล่น Little Tikes
จับลูกให้ขับรถ 1 คน อีกคนใส่รถเข็นแล้วก็เปลี่ยนกันทีหลัง
เซ็นส์คนเป็นแม่แรงและเร็วค่ะ ลูกขยับปุ๊บหันตามทันที
ลูกสาวเราสองคนเล็ก เข้าซุเปอร์ปุ๊บคนหนึ่งวิ่งซ้าย อีกคนวิ่งขวา
เราตกลงกับสามีเลยว่าคุณดูคนนี้ ฉันจัดการคนนี้

เราถึงได้ติงเรื่องการที่เอาลูกไปงานเลี้ยงเพราะไม่สมควร
ผิงไปงานเลี้ยงได้  ส่วนลูกจ้างพี่เลี้ยงมาดูที่บ้านค่ะ 
เพราะอย่างน้อยที่สุดยังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เด็กคุ้นเคย (บ้านตัวเอง)
เอาลูกไปงานเลี้ยงบริษัทนี่แย่มากๆค่ะ  ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
ตอนที่ไปทานไอศกรีมกับปิญญ์ - โอเคผ่านเพราะคุณยายไปด้วย

การที่เด็กไม่กลัวคนแปลกหน้านั้นเราไม่ว่ากัน
เพราะว่าเจ้าแฝดโตมาที่อังกฤษ สภาพสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากเมืองไทย
ที่ยุโรปไม่เลี้ยงเด็กแบบเล่าเรื่องน่ากลัว  หลอกเด็กให้กลัว
เด็กโตมาในสภาพที่ Emotional Secured มีสภาพมั่นคงทางจิตใจมากๆ
อย่างลูกเราไม่กลัวผี เพราะไม่เคยสอนให้กลัวผี ผีฝรั่งเองก็น่ารัก (แคสเปอร์งี้) 
แต่อาจจะกลัวความมืดได้ เพราะฟังเพื่อนเล่าว่ามีสัตว์ประหลาดใต้เตียงงี้
ไม่กลัวคนแปลกหน้าไม่ได้หมายความว่ากระโดดใส่
อาจจะมีอาย หรือไม่อายแต่อยากรู้อยากเห็นได้

พล็อตเรื่องคุณสนุกนะ
คุณเลือกได้ว่าจะเขียนให้มีเหตุผล สมจริงสมจัง
หรือจะเขียนแค่เอาให้อ่านสนุกๆเฉยๆ
ถ้าคุณเลือกอย่างแรก
งานหนักค่ะ   แต่คุณมีทางก้าวหน้าพัฒนาในอนาคต
ในฐานะนักเขียน
เราชอบที่เล้านี่อย่างหนึ่งที่ต่างจากที่อื่น
ก็คือมีคนอ่านให้ฟีดแบ็คเต็มที่
ซึ่งอ่านๆมามีประโยชน์หลายจุดสำหรับการสะท้อนมุมมองคนอ่าน
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 14 หวงเกินเหตุ+เปิดตัว (ครบ100%) ❖ 27/11 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: onekiss ที่ 05-12-2015 14:54:18
สนุกคร้าาาาาาาา
แต่อย่าหายไปนานนะมาต่อไวๆนะคร้าาาา
 :hao3: :hao3: :hao3:


หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 06-12-2015 18:33:12
14 ลักพาตัว

 

              “วันนี้ผมไม่เขาบริษัทนะคุณทัพ ผมวางรายชื่อพร้อมกับราคาเสนอซื้อเอาไว้บนโต๊ะไว้ให้คุณแล้ว คุณช่วยตรวจสอบความถูกต้องให้ผมด้วยก็แล้วกัน วันนี้ผมจะพาเด็กๆออกไปกินข้าวข้างนอก ยังไงก็ฝากด้วยล่ะ”ขนมผิงกรอกเสียงลงไปในมือถือเครื่องใหม่

              ขนมผิงใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการฝากฝังงานกับแทนทัพก่อนจะวางสายไป

              ในระหว่างที่กำลังก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย หูก็ได้ยินเสียงเด็กๆพากันวิ่งเล่นสนุกสนานแต่เช้าพาลให้อดยิ้มไม่ได้กับความร่าเริงที่ทำให้เขาลืมเรื่องชวนปวดหัวได้พักใหญ่

              นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้ยิ้ม

              “ปะป๊า”

              “ปะป๊า”

              สองลูกหมูที่วิ่งซนแต่เช้าชะงักเมื่อเห็นเขา ตาคู่กลมของทั้งคู่จ้องมองมาที่เขาด้วยความสงสัยพลางเอียงคอจ้องมองเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าเขากำลังอยู่ในชุดลำลองต่างออกไปจากทุกที

               “ว่าไงครับเด็กดื้อ วิ่งเล่นกันแต่เช้าเชียว”

              ขนมผิงเดินเข้าไปหาก่อนจะลูบหัวสองลูกหมูตัวแสบที่พากันทำหน้างง พอเห็นแบบนั้นก็นึกรู้สึกผิดขึ้นมาที่มัวแต่เอาเวลาไปทำงานจนลืมให้ความสำคัญกับลูกๆ จนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกันจนได้

              “กิมไม่ดื้อฮับ”

              “หลิ่มก็ไม่ดื้อ”

              หัวกลมๆส่ายไปมา ริมฝีปากเล็กแข่งกันยิ้มอวดเหงือกสีสดน่าเอ็นดู

              “ทำไมปะป๊าไม่ใส่ชุดทำงานล่ะฮับ”

              “ปะป๊าใส่ชุดอยู่บ้าน”สลิ่มกระพริบตาปริบๆ

              “วันนี้ปะป๊าว่าจะพาเด็กดีไปเที่ยว ไม่รู้ว่าแถวนี้จะมีเด็กดีอยู่บ้างรึเปล่านะ”ขนมผิงแสร้งทำเป็นมองซ้ายมองขวา

              พอได้ยินดังนั้นเด็กๆก็ตาลุกวาวกระโดดดีใจกันยกใหญ่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ลำดวนเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นเพื่อมาตามดูเด็กๆอยู่พอดี

              “ไม่ดื้อเลยฮับ”

              “ไม่ดื้ออออฮ๊าบบบบ”

              “จริงรึเปล่า”

              “จริงฮับ ไม่เชื่อลองถามคุนยายดูก็ด้ายฮับว่ากิมกับน้องหลิ่มไม่ดื้อ”

              “ถ้าไม่ดื้อวันนี้ปะป๊าจะพาไปกินไอติมดีไหมนะ แล้วก็พาไปซื้อของเล่นใหม่ด้วย แต่ก่อนอื่นต้องกินข้าวเช้าก่อน โอเคไหมครับ”

              “โอเคฮับ/โอเคฮับ”ตอบกันพร้อมเพรียง

              ขนมผิงยิ้มอย่างมีความสุขพลางหันไปยิ้มให้กับผู้เป็นมารดาที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล

              ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาไม่ควรเอาความแค้นมาเป็นตัวตั้งทำให้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวที่เขา

 

              --------------------------------------------------------------------

 

              ในห้องนั่งเล่นที่เดิมทีวุ่นวายอยู่แล้วยิ่งวุ่นวายมากกว่าเก่า ดูท่าสองลูกหมีจะเพิ่มดีกรีความแสบมากขึ้นเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะได้กินไอติมแสนอร่อยกับได้ของเล่นใหม่ที่รอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ

               “แม่แน่ใจนะครับว่าไม่ไปด้วยกัน”

              “ไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวแม่จะพาพ่อออกไปนวดแผนโบราณสักหน่อย เห็นพ่อเขาบอกปวดแข้งปวดขา”

              “งั้นผิงไปนะครับ”

              “จ๊ะ ขับรถดีดีนะ แล้วอย่าตามใจเด็กๆมากไปล่ะ”

              “ครับ”

              ขนมผิงตอบรับก่อนจะจัดการอุ้มเอาเด็กๆนั่งลงยังคาร์ซีทเบาะหลัง จัดการรัดเข็มขัดเรียบร้อยก่อนจะขับรถออกไป

              เขาพาเด็กๆแวะมากินไอศกรีมอย่างที่สัญญาเอาไว้ ต่อด้วยการซื้อของเล่นใหม่ที่เด็กๆดูจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ กว่าที่จะเลือกของเล่นใหม่ได้ลงตัวเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็น

              อีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

              อีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นที่เขาจะต้องพาเด็กๆไปหาคนคนนั้น บอกไม่ได้เลยว่าตอนนี้ความระแวงที่มีอยู่ในใจมันมีเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน ทั้งที่ไม่ได้อยากไปเจอกับอีกฝ่ายเลยสักนิด แต่ขนมผิงก็ต้องไปอย่างจำใจเมื่อปิญญ์ชานนท์นั้นหยิบยกไพ่ที่มีแต้มเหนือกว่าขึ้นมาข่มขู่

             

              รถเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งและจอดลงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่เกือบด้านในสุด

              “ปะป๊ามาที่นี่ทำไมฮับ”เป็นคนพี่ที่มองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น         

              “ปะป๊ามาหาคนรู้จักครับ แต่ใช้เวลาไม่นานหรอก”เขาหันไปตอบเจ้าตัวเล็กด้านหลัง

              ตอนนี้มือป้อมกำลังผลัดกันลูบคลำของเล่นใหม่ด้วยความตื่นเต้นเลยไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรว่าสีหน้าของขนมผิงนั้นจะแย่แค่ไหน

              เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกให้ขนมผิงเงยหยิบมันขึ้นมารับเมื่อปลายสายคือคนที่เขาคาดเอาไว้

              “ผมมาถึงแล้ว”กรอกเสียงลงไปด้วยท่าทีนิ่งสงบ

              ‘ฉันอยู่ในรถ ข้างหลังนาย’

              “แล้วยังไงต่อ คุณจะให้ผมทำอะไร”

              ขนมผิงเปิดประเด็นโดยไม่รีรอ เพราะเขาไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก

              ‘พาเด็กๆลงมาจากรถสิ’

              “ไม่มีทาง!! คุณต้องการอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าคุณปิญญ์ ผมไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้”

              ‘นายไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรองได้ พาเด็กๆลงมาจากรถของนาย แล้วก็ล็อกรถให้เรียบร้อย’

              “ทำไมผมต้อง..”

              แต่ยังไม่ทันจะได้แย้งปิญญ์ชานนท์ก็ตัดสายไปเสียก่อน

              ความกดดันที่มีเริ่มทวีความรุนแรง ขนมผิงเองก็ไม่มีทางเลือกเมื่อยังไม่รู้ถึงเจตนาของปิญญ์ชานนท์ และอีกอย่าง เขาไม่ต้องการที่จะแสดงท่าทีอันอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็น ตอนนี้มีเพียงคำถามแค่ว่า ปิญญ์ชานนท์ต้องการอะไร?

              “ไปไหนฮับปะป๊า”ปลากริมเงยหน้าถามเมื่อเขาเปิดประตูรถด้านหลัง

              “ทำธุระนิดหน่อยครับเดี่ยวก็เสร็จครับ”เขาตอบลูกไป

              “ฮับ”คนพี่พยักหน้า

              “ฮับ”คนน้องตอบรับเบาๆ

              มือผอมปลดสายเข็มขัดของคาร์ซีทแล้วอุ้มเอาเด็กๆลงมายืนรอด้านข้างของตัวรถ

              ขนมผิงจ้องมองไปยังรถติดฟิล์มทึบที่จอดชิดอยู่ทางด้านหลัง ตาคู่สวยจ้องมองร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองดูไม่คุ้นตายืนพิงรถรอเขาด้วยท่าทีสบายใจ

              นัยน์ตาของปิญญ์ชานนท์ดูจะพึงพอใจมากเมื่อขนมผิงทำตามที่เขาสั่ง ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มอย่างอารมณืดีต่างจากที่เคยเป็น

              “คุนยุงงงงง”

              “คุณยุงปิน”

              แทบจะทันทีที่สองแฝดหันไปเห็นชายหนุ่ม เล็กเล็กๆพากันร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างดีใจที่ได้เจอ

              “ว่าธุระของคุณมาสิ”

              ไม่พูดเปล่า แต่ขนมผิงคว้าเอาเด็กๆที่กำลังพากันปรี่เข้าหาปิญญ์ชานนท์ให้หยุดและหลบเอาไว้ข้างหลัง

              ถ้าทำได้เขาก็อยากที่จะเอาเด็กๆไปซ่อนให้รอดพ้นจากสายตาคู่นี้ของปิญญ์ชานนท์ด้วยซ้ำ!!

               “ขึ้นรถสิ”ใบหน้าคมคายหยักหน้าไปที่รถ

              ซึ่งนั่นทำให้ขนมผิงชะงักกับคำสั่งของอีกฝ่าย

              “ผมกับเด็กๆจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”บอกออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ

              เดาไม่ถูกเลยว่าปิญญ์ชานนท์กำลังเล่นตลกอะไรกันแน่

              “จะไปไหนกันเหรอฮับ”คนพี่เงยหน้าถามอย่างอยากรู้อยากเห็นอีกเช่นเคย

              “ไม่ครับ เราจะไม่ไปไหน”

              “ฉันจะพาพวกเธอไปกินของอร่อย อยากไปไหมล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มให้เด็กๆ

              แต่รอยยิ้มนั้นมันเรียกให้ก้อนเนื้อในอกของขนมผิงไหววูบเมื่อมันช่างแตกต่างจากยิ้มที่เขาได้เคยเจอมา

              ทำไมจู่ๆรอยยิ้มของปิญญ์ชานนท์ถึงได้เปลี่ยนไปกันนะ

              “กิมอยากไปฮับ”

              “อยากไปๆ หลิ่มไปด้วย”

              เขาควรจะเสียใจดีไหมที่สอนให้เด็กๆเป็นคนที่เชื่อฟังและเข้ากับคนอื่นๆได้ง่ายๆ

              “งั้นก็ขึ้นรถสิ ฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดอะไรซ้ำ หวังว่านายคงจะคิดได้นะ”

              “ก็ได้ แต่ผมให้เวลาคุณแค่สองชั่วโมง เด็กๆต้องพักผ่อน”ขนมผิงต่อรอง

              แต่ทันทีที่ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูด้านหลังของตัวรถ คาร์ซีทอันใหม่เอี่ยมถูกติดตั้งเข้ากับเบาะรถด้านหลังเป็นอย่างดี นั่นทำให้ขนมผิงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจและไม่ไว้ใจในคราวเดียว

              “นายรีบไม่ใช่รึไง”

              คำพูดคล้ายกับจะเร่งของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงตัดใจละความสนใจจากคาร์ซีทอันใหม่เอี่ยม แล้วหันมาอุ้มปลากริมขึ้นไปนั่งในคาร์ซีทตัวในก่อน กลิ่นของใหม่ที่ยังไม่ผ่านการใช้งานนั้นยิ่งทำให้ขนมผิงระแวงมากกว่าเก่า

              แต่พอเขาหันกลับมาใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายก็ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงแค่คืบ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าลงมารดใบหน้าชวนให้อึดอัด ปิญญ์ชานนท์อุ้มสลิ่มเอาไว้เตรียมจะส่งให้กับเขา แต่ด้วยอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจจะวัดระยะได้ว่าใบหน้านั้นเคลื่อนใกล้เข้ามามากกว่าเดิมแค่ไหน ปลายจมูกโด่งแตะลงที่จมูกของเขาเบาๆ

              “เย้ๆ ไปเที่ยวกัน”

              เสียงแหลมเล็กร้องขึ้นอย่างดีใจเรียกให้ขนมผิงผงะ ผละใบหน้าออกมาแล้วเบี่ยงตัวหลบ

              ปิญญ์ชานน์เองก็เช่นกัน ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกระแอมเสียงเบาแล้วเบือนหน้าหนี ส่งเจ้าตัวเล็กให้กับขนมผิงเพื่อที่จะจัดแจงนั่งลงยังคาร์ซีทอีกตัว

              “ส่วนนายมานั่งข้างหน้ากับฉัน”

              ปิญญ์ชานนท์สั่งดักทางเอาไว้เมื่อขนมผิงทำท่าจะไปนั่งที่เบาะด้านหลังกับเด็กๆ สั่งเสร็จก็เปิดประตูฝั่งคนขั้บขึ้นไปนั่ง

              ขนมผิงไม่รู้ว่าตัวเองนั้นตาฝาดไปรึเปล่ากับสิ่งที่เห็น หรือว่าเขาจะคิดไปเองที่เห็นใบหน้าดูเย่อหยิ่งนั้นแดงเรื่อง มันอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศแสงสลัวยามเย็นก็ได้ที่ทำให้เขามองภาพตรงหน้าเป็นราวกับสิ่งลวงตา           

              “เราจะไปกินไอติมกันใช่ไหมฮับ”คนพี่เงยหน้าจากหุ่นยนต์ในมือขึ้นมามองคุณลุง

              “ไม่ครับ เมื่อตอนบ่ายเรากินไอติมกันไปแล้ว ถ้ากินอีกจะกลายเป็นเด็กอ้วนไม่น่ารักครับ”เป็นขนมผิงที่ดักทางเสียก่อน

              “ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ ก็แค่กินไม่เยอะก็พอใช่ไหมล่ะ”ปิญญ์ชานนท์พอเห็นดังนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนจะหันไปถามความเห็นสองแสบที่พากันยิ้มฝันหวานกับของหวานรสอร่อย

              “อย่ามาสอนสิ่งที่ไม่ดีให้กับลูกผมนะ”

              “แค่กินไอศกรีมสองครั้งภายในวันเนี่ยน่ะที่นายบอกว่าไม่ดี หึ”ปิญญ์ชานนท์แค่นหัวเราะ

              และนั่นทำให้ขนมผิงรู้สึกรางกับถูกล้อเลียน จะเอ่ยปากต่อว่าก็กระไรอยู่เมื่อเด็กๆกำลังจ้องมองมายังเบาะหลัง เขาไม่อยากให้บทสนทนาที่ไม่ดีกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กๆ

 

              รถครอบครัวคันใหญ่เลี้ยวมาจอดหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแถบชานเมืองเมื่อบรรยากาศเริ่มตกสู่ความมืด ซึ่งมันไกลจากหมู่บ้านที่ขนมผิงจอดรถทิ้งอาไว้พอสมควร

              “ทำไมต้องมากันไกลขนาดนี้”ถามพลางคิ้วเรียวขมวดมุ่น

              หันหน้าไปมองเด็กๆก็พบว่ายังคงมีท่าทีตื่นเต้นไม่หายกับการมาด้วยกันกับชายหนุ่มครั้งนี้

               “แล้วทำไมนายจะต้องถามฉันแทบทุกเรื่อง”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับ และไม่รอให้ถามไถ่อะไรไปมากกว่านี้ ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถโดยไม่รีรอ

              “ไม่ต้อง!! ลูกผมผมทำเองได้”ขนมผิงร้องห้ามแทบจะทันทีที่ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูหลังเพื่อที่จะปลดเอาเข็มขัดของคาร์ซีทออกให้เด็กๆ

              “แล้วนายจะไม่ลงมารึไง”

              ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าราวกับกำลังเหนื่อยใจ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมเล็กน้อยผิดสังเกตทั้งที่อากาศภายในรถก็เย็นกำลังดี แต่นั่นมันก็เรื่องของปิญญ์ชานนท์ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา

              ขนมผิงลงจากรถเพื่อที่จะมาจัดการกับเด็กๆ ทว่าพอลงจากรถมาแล้ว หันไปอีกทีปิญญ์ชานนท์ก็อุ้มลูกคนเล็กของเขาเดินนำเข้าไปในร้านโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ

              อะไรของปิญญ์ชานนท์กันนะ!!

              จากอารมณ์หวงแหนกลายเป็นไม่เข้าใจเอาเสียดื้อๆ ขนมผิงไม่เข้าใจกับพฤติกรรมของอีกฝ่ายเลยสักนิด

              “ปะป๊า น้องหลิ่มไปแล้ว ปะป๊าช้า”

              เสียงต่อว่าของลูกคนโตเรียกให้ขนมผิงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาจากแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย

             

              พอเดินเข้ามาในร้านพนักงานก็พาให้เขาเดินตามไปยังห้องส่วนตัวที่เป็นฉากกั้น ดูท่าปิญญ์ชานนท์ยังคงเป็นพวกไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นไม่เปลี่ยน

              ขนมผิงทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะรองฝั่งตรงข้ามกับร่างสูงก่อนจะจับเอาแฝดคนพี่นั่งลงข้างๆ ตาคู่สวยจ้องมองตัวแสบคนน้องนั่งบนตักของปิญญ์ชานนท์พลางจิ้มนิ้วลงบนเมนูอย่างสนุกสนาน

              ดูท่าความคิดที่ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบสุงสิงกับใครจะถูกขัดแย้งเล็กน้อยเมื่อปิญญ์ชานนท์นั้นดูไม่มีทีท่าว่าจะรำคาญกับเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆเลย ซ้ำยังมีรอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากอีกด้วย

               “นายรออะไรอยู่ล่ะ ทำไมไม่สั่ง”ไม่พูดเปล่า แต่หันมาเหยียดยิ้มให้ขนมผิงได้ขมวดคิ้วใส่

              “สลิ่มมาหาป๊าครับ”

              ขนมผิงเรียกให้ลูกคนเล็กที่นั่งอยู่บนตักของชายหนุ่มไปหาตน เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นจากเมนูพลางเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังตัดสินใจว่าระหว่างนั่งอยู่บนตักนิ่มๆกับนั่งข้างขนมผิง อะไรจะดีกว่ากัน

              “เธออยู่กับฉันนี่แหละ”ปิญญ์ชานนท์ก้มกระซิบข้างหูเล็กเบาๆ

              แขนแข็งแรงโอบเอาร่างจ้ำม่ำบนตักเอาไว้ราวกับต้องการที่จะกักกันไม่ให้ลุกไปไหน แต่นั่นมันก็แค่ในสายตาขอองขนมผิงเมื่อหัวทุยๆพิงเข้าที่แผงอกของชายหนุ่มแล้วถูเบาๆราวกับชอบใจที่ถูกกอด

              ขนมผิงแทบอยากจะลุกไปดึงอาลูกคนเล็กออกมาจากอกของฝั่งตรงข้าม หากแต่ท่าทีที่ไม่พอใจของเขาอาจจะทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจจึงได้แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ทำได้แต่จ้องมองไม่วางตาแทน

              ดูท่าว่าปิญญ์ชานนท์จะเอาเด็กๆมาเป็นไม้กันหมาสินะ!!

              “รีบสั่งสิ จะรออะไรล่ะ”ปิญญ์ชานนท์บอกย้ำ

              ขนมผิงเหลือบตามองอีกฝ่าย จ้องมองใบหน้าของลูกชายคนเล็กกับปิญญ์ชานนท์สลับกัน ใบหน้าที่คล้ายกันราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

              พ่อกับลูก…ยังไงขนมผิงก็ลบล้างความเป็นจริงข้อนี้ไม่ได้เลย

 

              จนอาหารมากมายยกมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะให้สองแสบตาลุกวาวกับของกินตรงหน้า ปากเล็กๆเคี้ยวหาการกินตุ้ยๆจนแก้มตุ่ย การได้มองใบหน้าที่ดูมีความสุขจากการกินนั้นทำให้ขนมผิงเผลอยิ้มและลืมเรื่องที่กำลังกังวลไปเสียสนิท

              และดูท่าว่าอาหารมากมายที่อยู่เบื้องหน้าจะตกลงไปอยู่ในท้องของเด็กๆมากกว่าท้องของผู้ใหญ่ เพราะขนมผิงมัวแต่ป้อนให้กับปลากริมสลับกับมองท่าทีของปิญญ์ชานนท์

              “กินดีดีสิ มันเลอะปาก”น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนเรียกให้ขนมผิงชะงักมือ

              ตาคู่โศกจ้องมองภาพของพ่อเช็ดคราบซอสมุมที่เลอะแก้มให้ลูก ขนมผิงจ้องมองภาพนั้นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง

              “นายไม่กินรึไง”

              “นั่นมันไม่เกี่ยวกับคุณ”

              คำตอบขอบขนมผิงทำให้ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่แล้วกินต่อ

              “ทีนี้คุณจะเอาไฟล์วีดีโอพวกนั้นมาให้ผมได้รึยัง”ในที่สุดก็ทนความอึดอัดไม่ได้และถามออกไป

              “อย่าพูดตอนกิน มันเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับเด็กๆนายก็น่าจะรู้”

              สิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ตอกกลับมาทำให้ขนมผิงแทบหน้าชา ใบหน้านิ่งเฉยจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง แต่ก็ได้รอยยิ้มยียวนเป็นการตอบกลับ คิ้วหนาเลิกขึ้นมาราวกับกำลังถามเขาว่ามีปัญหาอะไร ขนมผิงถึงได้กลืนคำต่อว่าที่จะพูดลงคอแล้วหันไปป้อนซูชิให้กับปลากริมแทน

               “ปะป๊าเอาอันนั้นฮับ”ปลากริมชี้

              “หลิ่มก็เอาอันนั้นฮับคุณยุงปิน”สลิ่มที่นั่งบนตักปิญญ์ชานนท์ชี้บ้าง

              มือใหญ่เอื้อมไปตักอาหารที่ถูกชี้ให้กับเด็กน้อยโดยไม่รีรอ มันน่าแปลกที่ปิญญ์ชานนท์จะทำตามคำสั่งคนอื่นอย่างว่าง่ายแบบนี้ มันน่าแปลกจนเริ่มไม่ไว้ใจ

 

              -------------------------------------------------

 

              กว่าที่จะจบมื้ออาหารอันน่าอึดอัดนาฬิกาก็บอกเวลาเกือบจะสองทุ่ม เด็กๆที่พากันกินจนพุงกางก็ผล็อยหลับอยู่ที่เบาะหลัง

              รถเลี้ยวเข้ามาในปั๊มน้ำมันแล้วจอดลงหน้าร้านกาแฟที่อยู่ในปั๊ม

              “คุณจะเอาไฟล์ภาพกับไฟล์วีดีโอให้ผมเมื่อไรกัน นี่มันเลยสองชั่วโมงมาแล้วนะ”

              “ก็ฉันไม่รีบนี่ นายรอไม่ได้รึไง”พูดจบก็เดินลงไปจากรถ

              ทิ้งให้ขนมผิงได้มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในร้านกาแฟ พักใหญ่ถึงจะกลับมาพร้อมกับแก้วกาแฟเย็นและนมเย็นอย่างละแก้วในมือ

              และแก้วนมเย็นก็ถูกส่งมาข้างหน้า ขนมผิงส่ายหน้าไม่ยอมรับและมองมันด้วยความไม่ไว้วางใจ

              “นายกลัวว่าฉันจะวางยารึไง”

              คำว่ากลัวทำให้ขนมผิงเชิดหน้าขึ้นแล้วรับแก้วนมเย็นเอาไว้

              “ผมไม่คิดจะกลัวคนอย่างคุณหรอกนะ”

              “หึหึ”

              เสียงหัวเราะในลำคอพร้อมกับแสยะยิ้มคล้ายดูถูกยั่วให้ขนมผิงเกิดถือทิฐิแล้วยกแก้วนมเย็นสีหวานขึ้นมาดูดอึกใหญ่

              “พอใจรึยัง ทีนี้ก็บอกสิ่งที่คุณต้องการมา แล้วเอารูปพวกนั้นมาให้ผมให้หมด ผมไม่อยากพูดซ้ำแล้วนะ”

              นี่มันค่อนข้างจะเกินเวลาที่ขนมผิงคาดเอาไว้มาก มันดูยืดเยื้อและไม่มีเป้าหมายเอาเสียเลยจนขนมผิงเริ่มคิดแล้วว่าการะเสียเวลาครั้งนี้มันจะเสียเปล่า อีกอย่างเด็กๆก็พากันหลับไปแล้วเพราะความเพลียที่เดินเล่นมาทั้งวัน

              และดูเหมือนว่าคำพูดของขนมผิงนั้นจะไม่ได้เข้าหูของอีกฝ่ายเลยเมื่อริมฝีปากหยักยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะวางแก้วกาแฟไว้บนคอนโทรลรถ ใบหน้าคมคายเปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์โน้มเข้ามาใกล้

              มันเร็วมากจนขนมผิงนึกอะไรไม่ออก จมูกโด่งเฉียดเขามาใกล้จนเกือบจะชิด ตาคู่คมกริบจ้องมองมายังในตาของเขาชวนให้อึดอัด ความใกล้ชิดทำให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดลงมาบนใบหน้า ในขณะที่ขนมผิงยังคงนิ่งไม่ไหวติงเมื่อปลายจมูกของอีกฝ่ายนั้นอยู่ใกล้เสียจนเขาไม่กล้าขยับ เพราะถ้าหากขยับเพียงนิดเดียวจมูกของอีกฝ่ายก็จะแตะลงมาบนแก้มของเขาอย่างพอดิบพอดี

              ก้อนเนื้อในอกของขนมผิงเต้นโครมครามอย่างไม่เคยเป็น ตาคู่สวยจ้องมองริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้ม แต่มันก็สุดอยู่แค่นั้น ที่จมูกนั้นอยู่ใกล้และเป่ารดลมหายใจลงมาบนใบหน้าของเขา

              ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่เขาสบตาเข้ากับตาคู่ดุของอีกฝ่าย อาจจะชั่วอึดใจหรือไม่ก็นานพักใหญ่ แต่เท่าที่รู้ก็คือเปลือตาของเขาเริ่มรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทำให้ต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อที่จะฝืนมันเอาไว้

              ทำไมกันนะ?

              จู่ๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมา รู้ตัวอีกทีจมูกโด่งก็ลากเฉียดแก้มไปทำเอาใจผมกระตุกวูบ ใบหน้าคมคายค่อยๆถอยห่างออกไป

              สิ่งที่ขนมผิงเห็นในตอนนี้มันเริ่มเลือนลาง มีเพียงรอยยิ้มดูพอใจเท่านั้นที่เขาเห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสติจะเลือนหายไป

 

              ------------------------------------------------------
มีต่อ



 
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-12-2015 18:57:16
จะว่ายังไงดี สมน้ำหน้า คุณปิญญ์ค่ะ น่าจะโดนมากกว่านี้ เอะอะก็ใช้กำลังไม่มีความเป็นผู้นำเลย ไม่มีความเยือกเย็นที่จะควบคุมสติและอารมณ์ของตัวเองเลยแย่มากๆ แล้วยังงี้จะควบคุมลูกน้องทั้งบริษัทได้ยังไง ในเมื่อยังคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แบบนี้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 06-12-2015 19:12:48
เห็นเมนท์เรื่องให้ผิงสอนให้ลูกกลัว เกลียดคนแปลกหน้า
อ่านแล้วเห็นภาพเลยค่ะ
เราเป็นมนุษย์แม่นะ มีลูกหลายคน เลี้ยงลูกด้วยตัวเองอยู่ยุโรป
ขอค้านเรื่องนี้หน่อย
การสอนให้ลูกเกลียดและกลัวคนแปลกหน้า   
ในกรณีนี้สอนลูกให้เกลียดพ่อ
อย่าผลักภาระให้ลูก อย่าเสี้ยม
คุณกำลังเลี้ยงลูกคุณให้โตมาเป็นอะไร?
คุณวาดมโนภาพโลกอะไรในสมองและความนึกคิดให้ลูกคุณ?
ทำแบบนั้นก็คือการทำลายเด็ก ยัดเยียดแนวคิดโลกร้ายๆ โลกเลวทราม
เราเวทนาเด็กที่โตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนี้มากๆ
เพราะว่ามันจะติดมาในระบบกระบวนการความคิดมาจนโต

ขอค้าน คุณ Freja นิดนึงนะ

คือเราไม่ได้ต้องการที่จะสื่อให้ผิงสอนว่าต้องกลัวสังคมต้องเกลียดคนแปลกหน้าทุกคนนะ หากแต่ต้องการให้ผิงระบุเจาะจงไปเลยว่า ปิญคืออะไรทำไมไม่ให้เข้าใกล้ เราชื่อว่าเด็กๆทุกคนจะมีคำสอนในหัวติดตัวเสมอคือ ให้ระวังคนแปลกหน้า หากแต่ไม่ได้สอนให้กลัวคนแปลกหน้า  แต่สำหรับเราแล้ว ตอนเด็กๆเราจะมีคำสอนอีกคำเพิ่มเข้ามาคือ ให้ระวังคนนั้นไว้ ให้ระวังคนนี้ไว้

เราก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไม เค้าก็จะอธิบายมาว่าเพราะอะไรยังไง ตอนนั้นก็งงๆนะ บางทีก็ไปเล่นกับคนนั้นไม่รู้ตัวหรอก แต่พอโตมาเข้าใจว่าเค้าคือใครอะไรยังไง เราก็เข้าใจพ่อแม่มากขึ้น

เหมือนกันกับแฝด ไม่ได้ต้องการให้กลัวทุกคน หากแต่ระบุเจาะจงไปเลยว่าควรจะกลัวปิญ เพราะอะไรยังไงก็ว่าไป เราว่ามันเป็นการป้องกันแบบนึง ยิ่งคนที่มีความคิดไม่ปกติแบบปิญด้วยแล้ว ต่อให้เป็นพ่อก็ควรจะกันให้ออกห่าง ทุกคนเป็นพ่อได้ แต่การทำหน้าที่ของคำว่าพ่อนั้นต้องแยกออกจากกัน พ่อที่ให้กำเนิด อาจไม่ใช่พ่อที่ดีสำหรับลูกก็ได้

ปล.ในส่วนที่เรายกมือ คือส่วนที่เราขอแย้ง ส่วนที่เหลือที่ไม่ยกมา คือส่วนที่เราเห็นด้วย  :pig4:

มาตอนนี้เราเห็นว่า สมน้ำหน้าปิญ คนที่มีความคิดแบบนนี้ต้องโดนหนัก ถึงจะรูัสึกตัวสักที

ปล.คนเขียนสู้ๆจร้า ไม่ได้ว่าอะไรมากหากแต่หวังจะได้เห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นไป สู้ๆจร้า

ปล.2 ที่ผิงใช้จัดการปิญเนี่ยเครื่องช็อตไฟฟ้าใช่มั้ย อ่านตอนแรกคิดว่าปืนอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 06-12-2015 19:33:20
ตกลงปิญญ์โมโหอะไรเนี่ยยยย

เจ็บตัวอีกแล้วขนมผิง :mew2:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-12-2015 19:34:00
ตอนแรกอ่านเพราะชอบนิสัยนายเอก

ที่เด็ดเดี่ยวสู้คน

แต่...มาอ่านถึงตอนนี้กลับไม่ค่อยปลื้มเท่าไร
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 06-12-2015 20:10:22
สมน้ำหน้าอิตาพระเอกมาก. เป็นตัวร้ายเหอะ ชิส์หมั่นไส้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 06-12-2015 20:18:35
 :katai1: หาอีโมตัวที่เบะปากไม่มี
ปิญญ์เอ๋ย   ยิ่งอ่านยิ่งไม่ปลื้ม 
จะอะไรกันนักหนา?
ชอบทำร้ายร่างกาย ดูถูกคนอื่นด้วยคำพูดต่ำๆตลอดเลย
มีปมด้อยมากๆเลยนะนี่ เพราะว่าดูเหมือนปิญญ์ไม่มีคุณสมบัติดีๆเลย
ถึงได้เป็นคนแบบนี้
คนเขียนควรระวังนิดนะคะ
คือตอนบิวท์บุคลิกตัวละครนี่มันมันส์ค่ะ
แต่ระวังมันจะหาที่ลงหรือตอนสะสางปมแล้วมันจะไม่ลงตัว(พระเอกชั่วเกิน)
แต่ถ้าปิญญ์ไม่ใช่พระเอกก็โอเคนะ

ระวังบทพูดนิดนะคะ  เห็นหลายครั้งแล้วว่าพูดออกมาซ้ำๆกันบ่อย
เหมือนเป็นคำพูดติดปากเช่น
อ้างถึง
จะมากไปแล้วนะ  เอามาให้ผมนะ
คือมันดูย้ำคิดย้ำทำไปนิด

คุณ  yymomo

ขอโทษค่ะ เราอาจจะอ่านเมนท์ผิดไป   คือเห็นมีการโควทกันอยู่
มันมีข้อแตกต่างในเรื่องของการสอนกับการเสี้ยม
เด็กๆที่เราอยู่นั้นจะมีการพูดคุย สอนถึงหลายๆเรื่อง
รวมทั้งเรื่องที่เป็นเรื่องที่น่ากลัว
เหมือนกับสอนถึงเรื่องผู้ก่อการร้ายแต่ออกแนวอ่อนๆ
ไม่ได้ให้เด็กกลัว  แต่ให้เด็กรับรู้และระวังตัว
เรื่องปิญญ์นี่เห็นด้วยว่าควรเตือน
เช่นว่าในกรณีในอนาคตว่าลุงคนนี้อาจจะอยากพาเข้าแฝดไปจากแม่
ซึ่งถ้าไปแล้วจะไม่ได้เจอแม่อีก (ก็น่าจะจริง)
แบบนี้สมควรสอน+เตือนมากๆ
ที่ไม่เห็นด้วยก็คือการบอกลูกว่าคนๆนี้เป็นคนเลว
อย่าไปใกล้นะ บลา บลา บลา
เพราะว่าไม่ใช่ปัญหาของเด็ก
แม่บางคนเสี้ยมลูกให้เกลียดพ่อที่ทิ้งไปแบบผิดๆ
เด็กจริงๆแล้วฉลาดมากค่ะ  โดยเฉพาะอยุ่กับแม่มาไม่มีทางเข้าข้างพ่อหรอก
ไม่ควรเสี้ยม ไม่ควรโกหก  แต่บอกง่ายๆว่าอะไรเป็นอะไร

หยา...ขอโทษค่ะ นี่กลายเป็นกระทู้ถกเรื่องลุกไปแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 07-12-2015 00:40:34
สมน้ำหน้าอิปิญญ์
โดนซะหลับไปเลย
หยาบคาย รุนแรง ปากก็เมียๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 07-12-2015 09:47:50
ปิญญ์ ป่วยทางจิตหรือเปล่าคะ แต่ละซีนที่โผล่ออกมาเนี่ยะ อารมณ์เหวี่ยงไม่ปกติซักรอบ สงสัยว่าEQ ต่ำอย่างนี้บริหารธุรกิจใหญ่โตได้อย่างไร
เราเบื่อผู้ชายที่ปากจัดด่าคนอื่นว่าร่าน แต่ก็ตามตอแยไม่เลิก เคยนอนกันไม่กี่ครั้ง(ซึ่งก็ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ)แต่ก็ชอบยัดเยียดสถานะผัวเมียให้..... มันดูเป็นคาแรคเตอร์ราคาถูกมากค่ะ -_-"
เรื่องลูกส่วนตัวไม่เคยเลี้ยงเด็ก  แต่ถ้าผิงคิดจะทำการใหญ่มีการแก้แค้นมีอันตรายรอบตัว สมควรกันเด็กออกไปห่างๆค่ะไปฝากบ้านใหญ่ก็ได้ ไม่ควรมาอยู่กันแค่นี้ เพราะผิงดูแลตัวเองก็ยากเต็มกลืนแล้ว มีเด็กอีกสองคนจะห่วงหน้าพะวงหลังซะเปล่าๆ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 07-12-2015 10:13:40
พาร์ทของเด็ก อยากให้ทั้งปินส์และผิงแสดงออกถึงความเป็นพ่อกับแม่มากๆค่ะ เหมือนอ่าน Mpeg ก็เพราะความน่ารักของเด็ก ของครอบครัวด้วย ส่วนพาร์ทอื่นสนุกดีแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 07-12-2015 12:51:10
โอ๊ย ติดลบครั้งที่ร้อยล้านๆๆๆๆ อิปิญญ์
อยากรู้จังพ่อมันสอนอะไรมา ถึงได้มองคนอื่น
เหมือนเป็นเชื้อโรค เป็นสัตว์ชั้นต่ำ ขนาดนี้

อีปิญญ์ อีพ่อปิญญ์ :katai1: :katai1: :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 ถ้อยคำที่ถูกเมิน ❖ 06/12 ❖ Upppp!!
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-12-2015 19:09:27
สมควรโดนซะบ้าง  o13
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15.2 สถานการณ์ ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 08-12-2015 06:26:07
ต่อ
 

              แสงแดดอ่อนๆส่งผ่านผ้าม่านโปร่งแสงที่กำลังปลิวไสวเข้ามาภายในห้อง เสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งลอยเข้ามาในหูปลุกให้เจ้าของร่างสูงโปร่งที่กำลังหลับใหลค่อยๆลืมตาขึ้นมามองเพดานห้องสีขาวสะอาด

              ที่นี่ที่ไหน?       

              ขนมผิงขมวดคิ้วให้กับเพดานห้องสีขาวไม่คุ้นตา เปลือกตาของเขามันหนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้นด้วยซ้ำ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายอยู่กับเด็กๆแล้วก็คุณปิญญ์

              แล้วลูกๆของเขาล่ะ!!

              เพียงคิดได้แค่นั้นก็ผลุดลุกขึ้นมาจากเตียงทันที เสียงเอะอะก้านนอกทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่น ลุกขึ้นมาเปิดประตูห้องนอนที่ถูกแง้มเอาไว้

              และทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ห้องนั่งเล่นขนาดพอดีก็ปรากฏสู่สายตา มองเห็นโซฟาตัวยาวตั้งอยู่กลางห้อง รอบด้านเป็นกระจกใสทำให้มองออกไปเห็นท้องทะเลสีฟ้าครามไกลสุดลูกหูลูกตา

              นี่มันอะไรกัน!! แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

              “ปะป๊าตื่นแล้ว”

              “เย้ ปะป๊า”

              พอสองลูกหมูตัวแสบเงยหน้าขึ้นมาจากกองของเล่นก็พากันเรียก เมื่อขนมผิงเดินเข้าไปใกล้ก็พบกับร่างสูงนอนทอดกายไปตามแนวยาวของโซฟาพลางจ้องมองรายการทีวีเบื้องหน้า

              “นึกว่านายจะไม่ตื่นแล้วเชียว”พูดราวกับหยอกล้อ

              แต่ขนมผิงกลับไม่สนุกด้วยเลย

              “นี่มันอะไรกัน!! ผมกับเด็กๆมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ปลากริม สลิ่ม  มาหาปะป๊า”

              ขนมผิงเรียกให้ลูกๆเข้าไปหาก่อนจะจับมือของทั้งคู่เอาไว้แน่น ความเป็นแม่ของเขาสั่งให้เขากันตัวเด็กๆเอาไว้จากอีกฝ่ายที่กำลังยันตัวลุกขึ้นจากโซฟาด้วยท่าทีสบายใจ

              ลองสังเกตดูดีดีแล้วปลากริมกับสลิ่มไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมเช่นเดียวกับเขา เวลานี้ร่างสูงโปร่งกับสวมใส่ชุดนอนตัวหลวมที่คาดว่าน่าจะเป็นของอีกฝ่าย

              อย่าบอกนะว่าปิญญ์ชานนท์เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเขา!!

              “ปะป๊าเป็นอะไรเหรอฮับ”

              “คุณลุงบอกว่าปะป๊าไม่ฉะบาย”สลิ่มเงยหน้าขึ้นมาถามบ้าง

              “ใช่แล้ว ป๊าของพวกเธอไม่ค่อยสบายสักเท่าไร”ปิญญ์ชานนท์เสริม

              “งั้นพวกเราก็เข้าใกล้ปะป๊าไม่ได้สิฮับ เดี๋ยวจะติดแล้วไม่ฉะบายเหมือนปะป๊า”ปลากริมบอก ใบหน้ากลมมุ่ยหน้ามองมาที่ขนมผิงพลางเอียงคอมอง

              “คุณพาผมกับเด็กๆมาที่นี่ทำไมกัน!!”

              “นายอยากจะให้ฉันพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเด็กๆไหมล่ะ”ตอบพลางไหวไหล่

              “ก็ได้ ปลากริม สลิ่ม เล่นกันไปก่อนนะครับ เดี๋ยวปะป๊าไปคุยกับคุณลุง ห้ามออกไปไหนนะครับ ตกลงไหม”ขนมผิงก้มบอกเด็กๆ

 

              ขนมผิงเดินนำอีกฝ่ายเข้ามาในห้องนอนก่อนจะหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่พอใจ

              “คุณบ้าไปแล้วรึไง คุณต้องการอะไรกันแน่!! เอาไฟล์วีดีโอมา แล้วก็พาผมกับเด็กๆกลับไปเดี๋ยวนี้”

              “ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากนายสักหน่อย”ปิญญ์ชานนท์เดินผ่านเขาไปนั่งลงบนเตียง

              “งั้นคุณก็ลบรูปพวกนั้นทิ้งซะสิ แล้วพาผมกับเด็กๆกลับบ้าน”

              ท่าทีสบายใจของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงโมโหจนแทบบ้า ทั้งโมโห ทั้งหงุดหงิดในคราวเดียวกัน

              “ยังกลับไม่ได้ ยังไม่ใช่ตอนนี้”

              “หมายความว่ายังไง!! ก็ได้…ถ้าคุณไม่พาผมกับเด็กๆกลับไป ผมกับเด็กๆจะไปเองก็ได้”ไม่รีรอขนมผิงก็หันหลังเตรยมเดินออกมาจากห้องนั้นทันที

              “เปล่าประโยชน์ ถ้านายคิดว่านายไปได้ก็ลองดูสิ”

              “หมายความว่าไง”ขนมผิงชะงักเท้า

              “ที่นี่เป็นเกาะส่วนตัว จะไม่มีเรือมาที่นี่จนกว่าจะครบอาทิตย์ ไง นายคิดว่าคนอย่างนายจะเก่งกาจจนสามารถออกไปจากเกาะนี้ได้ไหมล่ะนายคิดว่าตัวเองเก่งพอจะพาเด็กๆไปจากที่นี่ได้รึเปล่าล่ะ”ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้ม

              “คุณทำแบบนี้ทำไม”

              “ทำไมฉันต้องบอกเหตุผลให้คนอย่างนายฟังด้วยล่ะ”

              พูดจบก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ ขนมผิงไม่คิดที่จะถอยหนีเมื่อไม่ต้องการให้ดูเหมือนเป็นฝ่ายแพ้ ใบหน้าคมนิ่งเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ

              ปิญญ์ชานนท์ก็คือปิญญ์ชานนท์อยู่วันยังค่ำ ทั้งที่คิดว่าบางส่วนนั้นเปลี่ยนไปแต่มันกลับไม่ใช่เลย ในเมื่ออีกฝ่ายนั้นไม่เลือกแม้แต่วิธีการ

              นี่มันเป็นการลักพาตัวกันชัดๆ!!

              “คุณมันโรคจิต”

              “นั่นมันแล้วแต่นายจะคิด”

              ร่างสูงของปิญญ์ชานนท์ยังคงสาวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆอย่างใจเย็น และนั่นก็ทำให้ขนมผิงผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้จนเกือบชิด

              ฝ่ามือร้อนผ่าวราวกับเปลวเพลิงวางลงมาบนผิวแก้มของขนมผิงอย่างเบามือ ราวกับเป็นหารหยอกเย้าเมื่อปลายนิ้วค่อยๆละเลียดลากผ่านไปมา

              “หึ ผมรู้แล้ว”ขนมผิงเหยียดยิ้ม

              “นายรู้อะไร?”

              หรือว่า….คุณจะหลงเสน่ห์ผมเหมือนคนอื่นขึ้นมาแล้วล่ะ”

              ขนมผิงจงใจที่จะพูดจายียวนเพื่อกวนอารมณืให้อีกฝ่ายโมโหแล้วผละออก เพราะว่าเขารู้ดีว่าปิญญ์ชานนท์เกลียดในตัวตนของเขาในแบบที่คิด

              “อย่าเอาฉันไปรวมกับคนพวกนั้น!!”

              แต่แทนที่จะผละออก ทันทีที่เสียงตวาดห้วนดังก้อง ร่างสูงโปร่งก็ลอยหวือลงไปบนเตียง ตามด้วยร่างสูงใหญ่คร่อมทับเอาไว้

              ขนมผิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อข้อมือข้างหนึ่งถูกบีบเอาไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ

              “คุณจะทำอะไร!! อย่ามาแตะตัวผมนะ”

              การกระทำเช่นนี้ทำให้ภาพต่างๆเมื่อสี่ปีก่อนลอยเข้ามาในหัว เพียงแค่คิดร่างกายมันก็รู้สึกชาราวกับถูกน้ำเย็นซัดสาด มันเป็นความเลวร้ายที่ยากจะลืมเลือน แต่ไม่ว่าพยายามจะลืมมันมากเท่าไรความทรงจำมันยิ่งเด่นชัดมากเท่านั้น

              ขนมผิงปัดมืออีกข้างที่ยื่นเข้ามาใกล้ออกแรงจนเกิดเสียงดัง ปิญญ์ชานนท์ไม่ได้ตอบโต้แต่ก็คว้าข้อมืออีกข้างของเขาเอาไว้แล้วรวบตรึงเอาไว้ด้วยมือเดียว

              ขนมผิงพยายามที่จะดิ้นจากพันธนาการที่ไม่เต็มใจในครั้งนี้ แต่นิ่งดิ้นร่างข้างบนก็ยิ่งโถมทับ แน่นอนอยู่แล้วว่าเรี่ยวแรงของเขาไม่สามารถสู้ปิญญ์ชานนท์ได้เลย และยิ่งทำให้ขนมผิงดิ้นแรงกว่าเก่าเมื่อชายเสื้อนอนถูกเลิกขึ้นมาจนสูงถึงอกเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบ

              “คุณบ้าไปแล้วรึไง!! อย่าคิดว่าผมจะยอมเหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้วนะ”

              “อยู่เฉยๆ”

              ไม่เพียงไม่ฟัง แต่ออกแรงกดร่างของขนมผิงมากกว่าเก่า ตาคู่คมกริบทอดมองบนเรือนร่างขาวสะอาดของอีกฝ่ายไม่ว่างตาเมื่อเสื้อที่ปกปิดร่างกายถูกเลิกออก

              การที่ถูกมองด้วยตาคู่นั้นอย่างสำรวจทำให้ขนมผิงรู้สึกร้อนราวกับถูกเปลวไฟสุมอยู่รอบตัวทั้งที่ความเป็นจริงนั้นอากาศภายในห้องนั้นเย็นจัด

              ที่มากไปกว่านั้นก็คือกางเกงนอนขอบยางยืดถูกดึงให้ร่นลงไปทำให้ขนมผิงยิ่งออกแรงดิ้นหนักจนมือข้างหนึ่งหลุดออกมาจากการจับกุมได้ แต่นั่นมันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยที่จะคว้ากางเกงแล้วยื้อแย่งสู้กับแรงของปิญญ์ชานนท์ กางเกงนอนเนื้อดีถูกดึงรั้งจนแทบฉีก

              “ปล่อยสิ ไอ้คนโรคจิต!”

              ในที่สุดกางเกงนอนก็ถูกดึงจนร่นกำลงไปกองหมิ่นเหม่อยู่ด้านล่างของสะโพก เผยให้เห็นไรขนอ่อนที่ขึ้นอยู่เหนือส่วนลับน่าหวาดเสียว

              จากตาที่จ้องมองอย่างสำรวจตอนนี้ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด และด้วยอะไรก็แล้วแต่ ปิญญ์ชานนท์หยุดนิ่งชะงักราวกับเห็นผี ฝ่ามือร้อนราบกับเหล็กถูกนาบไฟร้อนๆทาบลงมาบนผิวท้อง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมดจนขนมผิงตั้งตัวไม่ทันเมื่อฝ่ามือนั้นกำลังลูบอยู่บนรอยแผลเป็นที่ทำให้เขาลืมไม่ลง รอยแผลเป็นที่ไม่ต่างอะไรกับตราบาปที่ตีลงมา

              ขนมผิงไม่เคยลืมเลยว่าครั้งหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่น่ารักทั้งสองชีวิตเคยอยู่ข้างในร่างกายของเขา

              “เจ็ดวัน”จู่ๆปิญญ์ชานนท์ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันต้องการให้นายกับลูกอยู่ที่นี่อีกแค่เจ็ดวันโดยที่ไม่ต่อต้านฉัน หลังจากนั้นฉันจะลบรูปและวีดีโอทิ้งตามที่นายต้องการ”

              ขนมผิงชะงักกับข้อต่อรองที่ยื่นมาโดยไม่ทันตั้งตัว

              “เจ็ดวันมันมากเกินไป”

              “หึ!! ยังไงนายก็ออกจากเกาะนี้ไม่ได้อยู่แล้ว กว่าเรือจะมารับก็อีกเจ็ดวัน นายต่อรองไม่ได้หรอก”พูดจบปิญญ์ชานนท์ก็ลุกอออกไป

              ทิ้งให้ขนมผิงมองตามด้วยความไม่เข้าใจกับอารมณ์แปรปรวนของอีกฝ่าย แผลจากการผ่าตัดยังคงสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ได้อย่างชัดเจน

              ทั้งที่เขาพยายามที่อยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย แต่ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกราวกับว่าถูกฉุดดึงให้กลับมาอยู่ในจุดๆเดิม

              และเจ็ดวันที่รอเขาอยู่ข้างหน้าล่ะ ขนมผิงไม่อยากจะคิดเลย เพราะเขากลัวที่จะสูญเสียในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป

 

              ------------------------------------------------
มีต่อ


ต่อ
 

              ทั้งโทรศัพท์และของอื่นๆที่ติดตัวมาปิญญ์ชานนท์ริบเอาของเขาไปเก็บไว้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เครื่องช็อตไฟฟ้าอันเล็กที่เขาพกติดตัวมาด้วย

              มือผอมทุบลงบนไปบนเตียงด้วยความเจ็บใจ เจ็บใจที่ไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นได้เลย

 

              หลังจากที่นั่งเจ็บใจกับการกระทำของอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ขนมผิงตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอนและมองไปยังร่างสูงบนโซฟา โดยที่มีเจ้าตัวอ้วนทั้งสองนั่งเบียดกันอยู่บนตัก และกำลังดูการ์ตูนที่ฉายอยู่บนจอทีวี

              “นายจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”

              เสียงเรียกทำให้ขนมผิงจ้องมองหน้าของอีกฝ่าย ทำไมกันนะเด็กๆถึงได้ชอบที่จะเข้าใกล้นักนะ

              “เรื่องของผม”

              “แต่ฉันหิวข้าว ในตู้เย็นมีของสดอยู่นายจะทำอะไรก็ทำ”

              “แล้วทำไมผมต้องทำ”ถามออกไปเสียงห้วน

              “ถ้านายไม่ทำนายกับลูกจะกินอะไร”

              มันจะไม่อะไรถ้าปิญญ์ชานนท์ไม่เอาลูกมาอ้างอยู่เรื่อย

              “จะกินอะไร!!”

              “ไม่รู้สิ แล้วพวกเธออยากกินอะไรล่ะ”เจ้าของคำถามก้มลงไปถามปลากริมและสลิ่ม

              “ข้าวต้มกุ้งฮับ กิมอยากกินกุ้ง”

              “หลิ่มก็อยากกินกุ้งฮับ”

              ดูเหมือนเด็กๆจะไม่ทุกไม่ร้อนเลยกับการที่ต้องมาติดเกาะในที่แบบนี้ เอาแต่พากันยิ้มแก้มปริอย่างอารมณ์ดี

              “งั้นก็ตามนั้น นายได้ยินใช่ไหมขนมผิง ลูกอยากกินข้าวต้มกุ้ง”หันมายกยิ้มเจ้าเล่ห์

 

              ---------------------------------------------------

              ขนมผิงเดินเข้ามาในครัวด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก นอกจากท่าทางสนิทสนมแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กๆยังพากันติดปิญญ์ชานนท์แจ ซ้ำปิญญ์ชานนท์ถือดีมาสั่งให้เขาทำอาหารเช้าให้กิน อีกฝ่ายคิดจะใช้เขาเป็นคนรับใช้ในช่วงเจ็ดวันนี้สินะ

              มือผอมเปิดตู้เย็นออกอย่างแรงราวกับต้องการจะระบายอารมณ์ ค่อนข้างจะแปลกใจเมื่อพบว่าในตู้เย็นมีของสดอัดอยู่จนแน่น อีกทั้งข้าวของอุปกรณ์เครื่องปรุงที่ยังไม่ได้ผ่านการใช้งานอีก

              ในระหว่างที่เตรียมเครื่องปรุง หม้อข้าวต้มบนเตาก็เริ่มเดือดส่งควันกรุ่น ระหว่างที่รอสมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่ยังคงค้างคาอีกครั้ง ทำไมคนที่คิดแต่จะดูถูกคนอย่างปิญญ์ชานนท์ถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไป แล้วอีกอย่างคนที่เห็นแต่เรื่องผลประโยชน์เป็นหลักอย่างปิญญ์ชานนท์ ด้วยไพ่ใบที่มีอยู่ตอนนี้ทำไมถึงไม่คิดจะแลกมันกับเงินกันนะ

              สำหรับขนมผิงแล้วสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ขอแลกเขาถือว่ามันมากเกินไป มันมากเกินไปที่เขาจะต้องมาทนอยู่กับคนที่แสนจะเกลียดชัง แล้วยิ่งอยู่โดยมีเด็กๆเป็นตัวคั่นกลางด้วยแบบนี้ มีแต่เขาคนเดียวที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ

              “ข้าวต้มมันจะล้นหม้ออยู่แล้ว นายคิดจะเหม่ออะไรของนาย”เสียงทุ้มดังข้างหูขึ้นทำให้ขนมผิงสะดุ้งหลุดจากภวังค์

              “คุณเข้ามาทำไม”

              รู้ตัวอีกทีปิญญ์ชานนท์ก็ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังของเขาเสียแล้ว

              “โอ๊ะ!!”

              เมื่อเห็นว่าข้าวต้มกำลังจะล้นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆจึงรีบหันไปปิดเตา อารมตกใจทำให้มือปัดไปโดนหม้อร้อนฉ่าจนต้องรีบชักมือออกมาด้วยความแสบร้อน

              “ทำบ้าอะไรของนาย!!”เสียงกึ่งตวาด

              มือผอมถูกดึงด้วยมือของอีกฝ่ายให้เดินตามไปที่อ่างล้างจานอย่างรวดเร็ว น้ำเย็นถูกเปิดให้ไหลรดลงมาล้างมือที่ถูกลวก

              “ปล่อยมือผมน่า!! มันไม่ตายหรอกแค่นี่”ขนมผิงชักมือกลับ ตั้งรับไม่ถูกเลยกับการกระทำของอีกฝ่าย

              “อ้อลืมไป ว่านายมันหนังหนา”อีกฝ่ายพูดประชด

              “ถ้าคุณจะเข้ามาต่อว่าผมล่ะก็ ออกไปนั่งทำตัวไร้ประโยชน์ข้างนอกดีกว่า มันเกะกะ”

              “หึ ฉันก็แค่มาดู ว่าถึงไหนแล้ว”ปิญญ์ชานนท์บอกพลางขยับเข้ามาใกล้

              “อีกเดี่ยวก็เสร็จแล้ว คุณรีบออกไปสักทีมันเกะกะ ไม่เข้าใจรึไง”

              “หวังว่านายคงไม่ได้ใส่ยาพิษให้ฉันกินหรอกนะ”

              “ผมไม่ได้คิดสกปรกเหมือนคุณนี่”

              “งั้นก็ดี ฉันไม่อยากจะตายยกครัวพ่อแม่ลูกหรอกนะ”ประโยคนี้ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเบาโหวงจนขนมผิงได้ยินไม่ชัด

              “คุณพูดว่าอะไรนะ”

              “เปล่านี่ ฉันแค่พูดกับตัวเอง รีบทำให้เสร็จๆได้แล้ว เด็กๆรอกินข้าวอยู่”

              พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้ขนมผิงได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้าง ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงก็คิดไม่ออกสักทีกับจุดประสงค์ในการที่พาเขากับเด็กๆมาอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดวัน

 

              -----------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15.2 สถานการณ์ ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-12-2015 06:41:39
ใช่ค่ะ กิจการใหญ่ๆไม่ใช่ว่าจะล้มภายในวันสองวัน
แต่การที่ปิญญ์จะทำจนกิจการล้มนั้นต่อให้โง่ขนาดไหนก็ต้องอาศัยหลายอย่างค่ะ
กิจการอาจจะไม่ล้มแต่น่าจะเสี่ยงกับการถูกเทคโอเวอร์มากกว่า
ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าผิงจะเก่งมากไปกว่าปิญญ์สักเท่าไหร่
ที่ผิงทำได้ตอนนี้ก็คือแค่อาศัยที่ปิญญ์ชล่าใจ, ใจมัวแต่พะวงกับเรื่องอื่น
มาตอนนี้ก็มีสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง
ที่เมนท์มานี้ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ปิญญ์เรียนรู้หรือพลาดอะไร
แต่แค่จะเมนท์ว่ากิจการใหญ่ๆที่ดำเนินมาได้กันนั้น
ไม่ใช่เพราะโชคช่วยแต่เพียงอย่างเดียว

ปิญญ์ก็ยังเลวเหมือนเดิม
แต่ละอย่างที่คิด  น่ารังเกียจแบบนี้
อยากรู้ตรรกะการคิดของคนแบบนี้จังเลยว่ามองชีวิต
มองโลกด้วยสายตาแบบไหน?

ไม่รู้ว่ามีลับลมคมในอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรุ่นก่อนอีก
แฟลชไดรฟ์นั้นเป็นความลับบริษัทหรือเปล่านะ?
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 08-12-2015 07:39:04
ยังรอ ความพินาศความสูญเสีย ของปิญนะ รอวันเจ็บปวดบ้าง อยากให้ลูกเกลียดมันด้วย มันจะได้รู้ว่าการที่เราโดนไล่ ผลักไส มันเป็นยังไง อยากให้เหลือแค่ตัว เป็นหมาตัวนึง เลวมากคิดแต่เรื่องเลวๆ ไอ้ปิญ
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-12-2015 07:42:05
คนที่คิดแบบนี้ไม่น่าจะเป็นผู้นำได้เลย คิดแต่ในทางแง่ลบตลอดเลย แย่จริง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 08-12-2015 10:40:07
 :fire: :L3:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 08-12-2015 12:49:23
เปิดดูผลเซ้.. ทำไมไม่เปิด  :katai1:

เปิดแล้วปรับปรุงตัวด้วยนะ :seng2ped:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 08-12-2015 17:49:41
อีปิญญ์ทำไทมแกไม่เปิดผลตรวจดูล่ะว้าาาาา
บทจะหว่าวก็หว่าวเกิ๊นนนน
อีบร้านี่ แล้วเมื่อรัยจะรู้สักทีว่าเปนลูกตัวเอง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 08-12-2015 19:26:53
เฮ้อ..ต่างคนต่างเอาแต่โทษคนอื่น

ทำไมไม่ดูการกระทำของตัวเองบ้าง
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 08-12-2015 19:39:28
ทำไมไม่เปิดูผลตรวจอ่ะ จะได้รู้ๆไปเลยยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-12-2015 20:15:10
ขัดใจเรื่องไม่ยอมเปิดดูผลตรวจนี่แหละ  :katai1:

หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 09-12-2015 00:22:13
ทำไมปิญไม่เปิดผลตรวจดู
อะไรของนายนะปิญ
สมควรที่โดนแบบนี้
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 09-12-2015 00:31:45
เรื่องนี้สุดยอด. ขอบอกเลยมันมาก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 09-12-2015 15:37:49
ถอนหายใจหนักๆ
อยากให้ปิญญ์ล้มให้หนัก
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 09-12-2015 23:14:53
งง คนทั่วไปไม่น่าต่อสู้กับความอยากรู้อยากเห็นได้ 100 % เลยต้องรีบเปิด ดูว่าเป็นลูกตัวเองหรือเปล่า  อาการปินส์ไม่ปกติมาก อ่านแล้วรู้สึกว่า มันตะงิดใจมากค่ะ ????
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 15 สถานการณ์ (ครึ่งหลัง) ❖ 08/12 ❖ 100%
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 10-12-2015 21:10:40
เอือมอีตาปิญญ์แล้วอ่ะ นิสัยเดิมๆเลย เห็นว่ายอมรับว่าตัวเองผิดก็ไม่รับให้หมด
ยังจะคาดโทษคนอื่นอีก(จริงๆ มันก็ไม่ได้ผิดทั้งหมดนิ พ่อเค้าปลูกฝังมา)
หนมผิงเอาให้มันลงมาเดินดิน เด็ดปีกเทวดาทรามๆ ที่ชื่อปิญญ์ให้ร่วงเลยลูก
ให้มันมาเริ่มใหม่จากศูนย์ :katai1: :katai1: :a14: :a14:
หัวข้อ: Re: ❖ กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13/12 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 13-12-2015 03:38:48
15 คุณพ่อมือใหม่

 

              มื้อเช้าจบลงด้วยบรรยากาศที่แสนจะอึดอัด หน้าที่เก็บโต๊ะถูกโยนโครมลงมาที่ขนมผิงโดยปริยาย ถ้าเขาไม่ทำแล้วจะเป็นใครไปได้ บางทีการที่ปิญญ์ชานนท์ทำแบบนี้คงต้องการที่จะแก้แค้นให้เขาได้เจ็บใจ ต้องการที่จะให้เขาต้องอยู่ในความบงการโดยเอาภาพพวกนั้นมาข่มขู่ แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือการที่อีกฝ่ายเอาลูกๆมาแอบอ้างใช้เป็นตัวประกันเพื่อให้เขาได้ยอมทำตามโดยง่าย

              ขนมผิงต้องจัดการล้างจานและเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ดังเดิม ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากครัวก็พบว่าลูกหมูสองตัวกำลังนั่งขนาบข้างกับร่างสูง ใบหน้ากลมแป้นเงยหน้ามองบางอย่างในมือของปิญญ์ชานนท์ตาเป็นมัน ยิ่งทำให้ขนมผิงแทบปรี่เข้าไปดึงเอาเด็กๆออกมาจากการล่อลวง

              ปิญญ์ชานนท์เป็นคนประเภทไหนกันถึงได้เอาขนมหวานมาหลอกล่อลูกของเขาอยู่เรื่อย ขนมผิงมองตาคู่กลมลุกวาวก็อดหงุดหงิดไม่ได้

              “ลูกผมไม่ใช่หมูนะจะได้เอาอะไรต่อมิอะไรให้กินทั้งวัน”ขนมผิงว่าพลางฉวยเอาแท่งช็อกโกแลตในมือของอีกฝ่ายแย่งเอามา

              “ฉันยังไม่ได้พูดเลยสักคำว่าลูกของนายเป็นหมูน่ะ…ถึงจะไม่ต่างเท่าไรก็เถอะ”

              ตาคู่ดุจ้องมองสองแสบร่างจ้ำม่ำสลับกัน มันก็จริงอย่างที่ปิญญ์ชานนท์ว่าว่าลูกของเขาไม่ต่างอะไรจากลูกหมูเลย ใบหน้าที่ทั้งกลมจนหน้าหยิก อีกทั้งรูปร่างเจ้าเนื้อชวนให้น่ากอด เลี่ยงไม่ได้เลยที่ขนมผิงจะคล้อยตาม

              “ยังไงก็ช่าง คุณจะให้เด็กๆกินขนมพร่ำเพรื่อแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

              “เด็กๆอยากกิน ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร นายจะอะไรนักหนา จริงไหม”ปิญญ์ชานนท์หันไปถาม

              แต่ดูเหมือนปลากริมกับสลิ่มจะไม่ค่อยได้สนใจคำถามของชายหนุ่มเลยเมื่อตาคู่กลมโตจ้องช็อกโกแลตในมือของขนมผิงแทบจะไม่กระพริบตา

              และแววตาอันอ้อนวอนที่ส่งมานั้นก็เป็นอาวุธชั้นดีที่ให้ขนมผิงใจอ่อน หากเขาไม่ยอมให้ขนมหวานในมือกับเด็กๆมีหวังอีกไม่นานเด็กๆคงจะร้องงอแงแน่

              “ป๊าจะให้กินช็อกโกแลต แต่ต้องมาเปลี่ยนแพมเพิตก่อน โอเคไหมครับ”ขนมผิงต่อรอง

              “ฮับ”

              “ฮ๊าบบบบบ”

              สองแสบรีบตอบรับตาเป็นประกาย

              “ยังไงนายก็ยอมอยู่ดี”เสียงแขวะแว่วมาจากใครบางคนเรียกให้ขนมผิงอดหันไปมองค้อนไม่ได้

              แต่นั่นปิญญ์ชานนท์ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจและหันไปสนใจกับรายการทีวีตรงหน้าแทน เห็นดังนั้นขนมผิงจึงหันไปสนใจเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้กับเด็กๆแทน แต่เมื่อปลดกางเกงของลูกชายคนโตก็ทำให้เขาต้องชะงักกับสิ่งที่ได้เห็น

              “คุณปิญญ์!! คุณทำอะไรกับลูกของผม”ถามออกไปเสียงดัง

              “ทำอะไรที่นายว่ามันคืออะไรล่ะ”อีกฝ่ายเอี้ยวตัวมาถาม

              “ใครเป็นคนเปลี่ยนแพมเพิตให้เด็กๆ”

              “ฉันเป็นคนเปลี่ยนเอง จะมีใครมาเปลี่ยนให้อีกล่ะนอกจากฉัน”ปิญญ์ชานนท์ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับท่าทีไม่พอใจ

              ซึ่งนั่นทำให้ขนมผิงแทบอยากจะถอดเอาผ้าอ้อมสำเร็จรูปออกจากก้นของปลากริมแล้วปาเข้าไปที่อีกฝ่าย

              มีอย่างที่ไหนกันที่คนเราจะใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้กับเด็กหลับด้านโดยเอาข้างหน้ามาไว้ข้างหลังแบบนี้!!

              “คุณมันบ้าไปแล้ว คนดีที่ไหนเขาจะใส่แพมเพิตให้เด็กกลับด้านแบบนี้กัน”ขนมผิงต่อว่าเสียงดังอย่างเหลืออด

              ผู้บริหารที่เก่งกาจอย่างปิญญ์ชานนท์สอบตกเรื่องนี้โดยไม่ต้องส่งสัยเลย ถึงแม้ขนมผิงจะประหลาดใจที่ปิญญ์ชานนท์เป็นคนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเด็กๆ แต่กับแค่การใส่ผ้าอ้อมมันไม่น่าจะยากเย็นจนถึงกับใส่ผิดด้านกันได้ง่ายดายแบบนี้

              “ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ใส่แบบไหนมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ”อีกฝ่ายยังคงเถียงข้างๆคูๆ

              “หรือว่าคุณใส่กางเกงในกลับด้านแบบนี้ล่ะ”

              “ใครจะไปใส่กางเกงในแบบนั้น ฉันก็เห็นว่าเด็กๆน่าจะฉี่บ่อยแล้วด้านนั้นมันหนามันน่าจะซับน้ำดีกว่า แล้วมันผิดตรงไหน”

              ช่างเป็นความคิดที่ทำให้ขนมผิงต้องเบ้ปากใส่อีกฝ่ายทันที

              “ช่างเถอะ คนอย่างคุณคงจะคิดเรื่องอื่นไม่เป็นนอกจากเรื่องเงินกับเรื่องดูถูกคนอื่น”

              “ฉันดูถูกก็เฉพาะคนที่สมควรโดนดูถูก”

              ปิญญ์ชานนท์เบือนหน้าหนี แต่ขนมผิงคงจะตาฝาดไปอีกล่ะมังที่เห็นหูของอีกฝ่ายขึ้นสีแดงเรื่อ หรือว่าปิญญ์ชานนท์จะรู้สึกอายกันนะที่ใส่ผ้าอ้อมให้เด็กๆผิดด้านทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เขาเชื่อว่าคนหน้าด้านอย่างปิญญ์ชานนท์คงจะไม่อายอะไรง่ายๆแบบนี้หรอก

 

              -----------------------------------------------------------

 

              ตกสายปิญญ์ชานนท์ทำให้สิ่งที่ขนมผิงยิ่งรู้สึกว่าถูกบีบบังคับเมื่ออีกฝ่ายเอาโทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าเก็บเอาไปซ่อนตรงไหนเอามาให้เขา ขนมผิงจำใจต้องโทรบอกที่บ้านว่าพาเด็กๆมาพักร้อนกับเพื่อนที่เจอกันโดยบังเอิญตามที่อีกฝ่ายบอก แม้ว่าไม่อยากที่จะบอกออกไปแบบนั้น แต่ภาพรวมถึงคลิปวีดีโอที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายนั้นทำให้ขนมผิงยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่อย่างให้เรื่องทุกอย่างมันต้องบานปลายโดยที่ท้ายที่สุดผลมันมาตกอยู่ที่ครอบครัว

               “พอใจรึยัง”ถามพลางยื่นโทรศัพท์คืนให้ และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือการไหวไหล่

              ริมฝีปากได้รูปขบเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อนึกถึงบทสนทนาของแม่เมื่อครู่ที่เอาแต่ถามไถ่อย่างเป็นห่วง

              “เสื้อผ้ากับของใช้ของผมคุณเอามันไปไว้ที่ไหน”

              “ฉันเก็บเอาไว้อย่างดีนายไม่ต้องห่วง ระหว่างนี้นายก็ใช้ของฉันไปก่อนแล้วกัน”

              “ผมไม่อยากใช้ของร่วมกับคนอย่างคุณ”

              “ถ้าอย่างนั้นนายจะไม่ใส่อะไรก็ได้ ฉันเองก็ไม่ขัดหรอกนะ นายคงไม่อายใช่ไหมในเมื่อฉันเคยเห็นมันมาหมดแล้ว”ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้ม

              ขนมผิงรู้สึกร้อนไปทั้งตัวเมื่ออีกฝ่ายทอดสายตามองเขาหัวจรดเท้า ราวกับว่าสายตาคู่นั้นมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่งทั้งที่เขายังใส่เสื้อผ้าอยู่

              “คุยกับคุณก็เสียเสลาเปล่าๆ”ตัดบทก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองดูเด็กๆกำลังนั่งเล่นของเล่นใหม่หน้าทีวีกันเพลินๆ

              ของเล่นที่เด็กๆเล่นเป็นของเล่นใหม่ทั้งหมดที่ยังไม่ผ่านการแกะกล่อง ขนมผิงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเอามันมาจากไหน แต่มันก็คงจะไม่พ้นอำนาจของเงินที่อีกฝ่ายถืออยู่สักเท่าไร

              ไม่ใช่แค่ของเล่นเท่านั้นที่ทำให้ขนมผิงแปลกใจ แต่รวมไปถึงเสื้อผ้า ของใช้เด็ก ขนมขบเคี้ยว และต่างๆนานาที่จำเป็นจะต้องใช้ ไม่รู้เลยว่าสถานที่แบบนี้มีของพวกนี้เตรียมพร้อมเอาไว้ได้ยังไง อดคิดไม่ได้เลยว่าปิญญ์ชานนท์นั้นเตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

              ขนมผิงเดินเลี่ยงเข้ามาในห้องนอนเมื่อเด็กๆกำลังเพลิดเพลินกับการเล่น และเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวว่าปิญญ์ชานนท์จะขโมยเอาลูกๆไปเมื่อเขาทั้งคู่นั้นติดอยู่ที่เกาะนี้เหมือนๆกัน

              มือผอมเปิดเอาประตูตู้เสื้อผ้าออกเมื่อสำรวจดูข้างใน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เสื้อผ้าของเด็กๆนั้นถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ภายในตู้เสื้อผ้าถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วนระหว่างเสื้อผ้าเด็กกับเสื้อผ้าของปิญญ์ชานนท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วมันไม่มีเสื้อผ้าสำหรับเขาเลยสักชิ้น ไม่มีแม้แต่กางเกงชั้นในขนาดพอดีตัวกับเขาเลย

              แต่เรื่องเสื้อผ้าในเวลานี้มันไม่สำคัญเท่ากับเครื่องมือสื่อสารที่ขนมผิงต้องการจะใช้มันในเวลานี้ แต่ยิ่งค้นเท่าไรก็ดูเหมือนว่าจะไม่เจออะไรที่สามารถเอื้อประโยชน์ได้เลย

              ขนมผิงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะมองไปยังเตียงเดี่ยวสองเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้อง อดคิดไม่ได้เลยว่าคืนนี้เขากับเด็กๆจะนอนกันยังไงในเมื่อเตียงมีแค่สองเตียง และขนาดของมันก็รองรับได้แค่ผู้ใหญ่คนเดียว

              ขนมผิงถอนหายใจอีกครั้งอย่างปลงตก เขากับลูกจะต้องอยู่ที่นี่อีกเจ็ดวันในสภาพไหนกันนะ เวลาเจ็ดวันมันช่างล่าช้าราวกับเจ็ดเดือน ไม่อยากจะคิดเลยว่าระหว่างนี้เขาจะต้องถูกปิญญ์ชานนท์ดูถูกดูแคลนอีกสักกี่ครั้งเชียว

              “นั่นนายกำลังหาอะไรอยู่ล่ะ”เสียงทุ้มถามเรียกให้หันไปมองร่างสูงกำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตู

              “ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ”ย้อนถามกลับไปพลางปิดประตูตู้เสื้อผ้าลง

              “เกี่ยวสิ นายก็รู้ดีว่านายกับฉันเกี่ยวข้องกันยังไง”

              “ผมกับคุณเป็นแค่เพื่อนร่วมโลกที่แย่งอากาศหายใจกันแค่นั้น”ขนมผิงตอบอย่างไม่หยี่ระกับอีกฝ่ายสักเท่าไร

              ซึ่งนั่นก็ทำให้ร่างสูงดูน่าเกรงขนมของปิญญ์ชานนท์สาวเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมคายไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดใด ทพให้ยากที่จะคาดเดาว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่

              “จนป่านนี้ยังจะไม่ยอมรับอีกรึไงว่านายอยู่ในฐานะอะไร…ทุกอย่างของนายก็คือ…ของฉัน”

              ในตาคู่ดุจ้องลึกเข้ามาจนขนมผิงนึกใจสั่น เหมือนเดิมที่ใบหน้านั้นยังไม่แสดงออกถึงอารมณืใดใดทั้งสิ้น

              “คู่แข่ง”ขนมผิงพูดออกไปเสียงเบา

              “คู่แข่งอะไร?”

              “ผมกับคุณอยู่ในฐานะของคู่แข่งยังไงล่ะ คู่แข่งที่สักวันหนึ่งจะทำให้คนอย่างคุณเต้นเป็นเจ้าเข้ายังไงล่ะ”ขนมผิงแสยะยิ้ม

              ปึง!!!

              ทว่าก็สะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงปึงดังอยู่ข้างหู ห่างจากใบหน้าเขาไปเพียงไม่กี่เซนเท่านั้นที่หมัดของอีกฝ่ายจะกระแทกลงมาอย่างแรง แต่ที่ผิดคาดคือมันเฉียดใบหน้าของเขาไปแค่ปลายก้อยแล้วไปลงเอาที่ตู้เสื้อผ้าแทน

              แต่เหนือสิ่งอื่นใดตาคู่สวยต้องเบิกกว้าง ลมหายใจสะดุดราวกับถูกดูดดึงขโมยเอาไปก็คือริมฝีปากหยักที่กดลงมาทาบทับบนริมฝีปากของเขาอย่างรุนแรง อารามตกใจทำให้ขนมผิงก้าวถอยหนี แต่ก็ไปไหนไม่รอดเมื่อแผ่นหลังชิดติดกับตู้เสื้อผ้า

              ร่างกายราวกับถูกไฟช๊อตให้หยุดนิ่ง รวบรวมแรงทั้งหมดผลักอกให้อีกฝ่ายถอนจูบออกไป มีเพียงเสียงลมหายใจที่พรูออกมาจากจมูกของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ขนมผิงได้ยิน เขายกมือขึ้นมาขยี้เช็ดปากตัวเองอย่างรังเกียจกับจูบที่ไม่เต็มใจจะตอบรับ

              “ขยะเขยง!!”สบถออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบทั้งที่ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นรัว

              “ในระหว่างที่อยู่ที่นี่ ฉันไม่ต้องการได้ยินหรือว่าคุยเรื่องงาน จำเอาไว้!!หากนายขืนพูดเกี่ยวกับเรื่องงานแม้แต่คำเดียวฉันไม่หยุดไว้แค่นี้แน่”

              ขนมผิงรับรู้ได้ทันทีว่าปิญญ์ชานนท์นั้นไม่พอใจเขาเรื่องอะไร ใบหน้าหล่อเหลานั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นขนมผิงไม่คิดที่จะสนใจอยู่แล้วในเมื่อเขาไม่จำเป็นจะต้องฟังคำสั่งของปิญญ์ชานนท์ตราบใดที่มันไม่มีผลกระทบกับข้อต่อรอง

              “ปะป๊า”เสียงเบาโหวงเรียกก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนอน

              “เข้ามาทำไมครับ ทำไมไม่เล่นกันข้างนอกล่ะ”ขนมผิงถาม

              “กิมได้ยินเสียงดัง น้องหลิ่มกลัว เสียงอะไรเหรอฮับ”เจ้าตัวกลมคนพี่เงยหน้าขึ้นมาถามท่าทางตกใจ

              “ไม่มีอะไรครับ คุณลุงซุ่มซ่ามสะดุดล้มไปโดนตู้น่ะครับ ปลากริมอย่าเอาอย่างนะครับ”แกล้งตอบจงใจให้ปิญญ์ชานนท์ดูเสียหน้า

              จะเรียกว่าตัดคะแนนความนิยามจากอีกฝ่ายก็ได้เมื่อตอนนี้เด็กๆพากันติดปิญญ์ชานนท์แจไม่ยอมห่าง ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ต้องยอมเมื่อวูบหนึ่งใจของขนมผิงนั้นรู้สึกกลัวว่าความสนิทสนมเกินจำเป็นในครั้งนี้จะทำให้เสียเด็กๆไป

              เขาคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิอยู่ใกล้กับเด็กๆ เขาคนเดียวก็พอสำหรับปลากริมและสลิ่ม แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าเด็กๆต้องการพ่ออีกแล้ว เขามั่นใจพอว่าเขาสารถทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปได้

แค่ผมเท่านั้น แค่ผมคนเดียวก็พอที่จะได้อยู่ใกล้ เด็กๆไม่ได้ต้องการพ่อ เขาต้องการเพียงแค่ผม

              “คุณลุงไม่เจ็บหรอกครับ ปะป๊าว่าปลากริมไปเล่นกับน้องข้างนอกดีกว่า”ขนมผิงไล่ลูกชายทางอ้อมเพื่อให้อยู่ไกลจากอีกฝ่ายมากที่สุด

              “ใครบอกว่าฉันไม่เจ็บล่ะ ฉันเจ็บ เจ็บตรงนี้”

              แต่ปิญญ์ชานนท์ก็แย้งขึ้นมา หนำซ้ำยังย่อตัวลงไปชี้หน้าผากตัวเอง แต่มันจะเจ็บได้ยังไงในเมื่อหัวของปิญญ์ชานนท์นั้นไม่ได้กระแทกกับอะไรเลย!!

              เขามันเจ้าเล่ห์!!

              และที่ใสซื่อจนขนมผิงหงุดหงิดคงไม่พ้นร่างจ้ำม่ำของลูกชายคนโตเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อนจะเป่าลงไปบนหน้าผาก

              “ฟู่วววว”

              ดูเหมือนปิญญ์ชานนท์จะอยากเยาะเย้ยขนมผิงมากเมื่อตาคู่เจ้าเล่ห์นั้นกำลังเหลือบมองมาที่ขนมผิงราวกับโอ้อวด แทบอยากจะปรี่เข้าไปดึงตัวลูกชายออกมาหากไม่กลัวว่าลูกชายจะตกใจเสียก่อน

              “ฉันไม่เจ็บแล้วล่ะ เก่งมาก”มือใหญ่ลูบหัวทุยๆไปมาคล้ายให้รางวัล

              ขนมผิงได้แต่มอง จะทำหน้าไม่พอใจมากก็ไม่ได้ กลัวว่าปลากริมจะเห็นเข้าแล้วพาลเข้าหาอีกฝ่ายมากกว่า

              “หลบไปสิ”ปิญญ์ชานนท์ยืดตัวขึ้นยืนก่อนจะคว้าเอาร่างจ้ำม่ำขึ้นมาอุ้มแนบอก

              บอกได้เลยว่าอารมณ์หวงลูกของขนมผิงในตอนนี้กำลังปะทุขั้นมาจนเกือบจะถึงขีดสุด แต่ก็แสดงออกมากมาไม่ได้ เขากลัวเหลือเกินว่าเด็กๆจะให้ความสำคัญกับปิญญ์ชานนท์มากกว่า!!

              และเมื่อไม่ยอมหลบก็ต้องถูกเบียดจนเซออกมาจากหน้าตู้เสื้อผ้า ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูตู้เสื้อผ้าอย่างใจเย็นทั้งที่แขนทั้งหนึ่งยังอุ้มเอาปลากริมเอาไว้ ชายหนุ่มรื้อค้นเอาอะไรบางอย่างออกมา

              อะไรบางอย่างที่ทำให้ขนมผิงหรี่ตาจ้องมองไม่วางตา กางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วที่เหมือนกันสองตัวถูกหยิบออกมาจากตู้ รวมถึงกางเกงว่ายน้ำของปิญญ์ชานนทท์เองก็ด้วย

              “คุณเอามันออกมาทำไม”

              “ฉันจะพาเด็กๆไปเล่นน้ำหน้าบ้าน”

              “ไม่ได้ ผมไม่อนุญาต!!”

              “ฉันก็ไม่ได้ขออนุญาตนายนี่”

              หากเปรียบขนมผิงเป็นกาต้มน้ำ น้ำที่อยู่ในกาตอนนี้คงจะเดือดจนแทบจะดันฝาปิดออกมาได้เลยทีเดียว ทว่าก็ทำได้เพียงแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าไม่พอใจเล็กน้อยเท่านั้น

              “ปะป๊า”พอปฏเสธก็ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อเสียงเล็กๆเรียกเบาๆคล้ายจะอ้อนวอน

              “ผมไม่อนุญาต”ขนมผิงยืนยันคำเดิม

              “ฉันไม่จำเป็นต้องขออนุญาต”

              “แต่ปลากริมกับสลิ่มเป็นลูกของผม!! คุณจะมาพาลูกคนอื่นไปไหนมาไหนตามอำเภอใจไม่ได้นะคุณปิญญ์”

              บอกออกไปแบบนั้นถึงแม้ว่าขนมผิงจะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าพ่อของเด็กแฝดคู่นี้คือคนที่เขากำลังพูดด้วยอยู่

              แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธในการมีตัวตนของเด็กๆไปตั้งแต่แรกแล้ว มันก็หมายถึงการที่ไม่มีสิทธิแม้จะแตะต้องด้วยซ้ำ

              “ฉันจะยอมขออนุญาตนาย ถ้าหากเด็กสองคนนี้เป็นลูกของนายแค่คนเดียว”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับมาก่อนจะอุ้มเอาลูกชายคนโตออกไป

              และนั่นก็ทำให้ขนมผิงตัวชากับคำพูดแฝงความนัยน์ของอีกฝ่าย มันหมายความว่ายังไงกันแน่กับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์พูด!!

              “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”ขนมผิงเดินตามมาติดๆก่อนจะถามออกไป

              “นายก็คิดเอาเองสิ เอานี่ไป! ถ้าว่างมากนักล่ะก็ใส่นี่ให้ลูก”

              กางเกงว่ายน้ำตัวหนึ่งถูกโยนมาให้ ขนมผิงจึงต้องรับเอามาใส่ให้สลิ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้…ทั้งที่ยังไม่ได้คำตอบจากคำถามที่ถามออกไป

 

              ขนมผิงอุ้มเอาสลิ่มเดินลงมายังชายหาดหน้าบ้านตามร่างสูงที่เอาตัวแสบคนพี่นั่งขี่อยู่บนคอ

              “ปะป๊า ขี่คอแบบนั้น”สลิ่มชี้ไปที่พี่ชายที่กำลังนั่งอยู่บนคอของชายหนุ่ม

              “แน่ใจนะครับ”ขนมผิงถามพลางกลืนน้ำลายลงคอ

              และนั่นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์มองมาคล้ายเป็นการเยาะเย้ย ลูกๆของเขาใช่ตัวเล็กๆซะที่ไหนล่ะ ด้วยวัยสองขวบเกือบจะสามขวบรูปร่างติดไปทางเจ้าเนื้อออีกทั้งยังโตไวกว่าเด็กทั่วไปทำให้เขาค่อนข้างคิดหนักที่จะทำตามคำขอของลูกชาย แค่อุ้มนานๆเขาก็รู้สึกเมื่อยแล้ว แต่ปิญญ์ชานนท์นั้นกลับยกเอาทั้งสองคนขึ้นมาอุ้มพร้อมกันได้สบายๆ

              “ฮับ อยากขี่แบบยุงปิน”

              “เอางั้นก็ได้ครับ”เมื่อลูกชายคนเล็กยืนยันเขาก็ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

              คลื่นน้ำยังคงสาดซัดเข้ามากระทบฝั่ง ขนมผิงกับปิญญ์ชานนท์ยืนอยู่ในระดับน้ำไม่ลึกมาก ไม่ลืมที่จะสวมห่วงยางแบบปลอกแขนให้กับเด็กๆ อีกทั้งยังคอยจับเด็กๆเอาไว้ไม่ยอมปล่อยในขณะที่เด็กๆพากันเล่นน้ำอย่างสนุกสาน

              ทว่าปิญญ์ชานนท์ก็ยังคงสอบตกในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่ดีเมื่อมือใหญ่คอยจะจับเด็กๆโยนขึ้นฟ้าให้เด็กๆส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก บ้างก็จับโยนลงน้ำบ้างให้ขนมผิงต่อว่า แต่นั่นอีกฝ่ายก็ทำเป็นไม่ได้ยินอยู่ดี

              “เย้ พี่กิมหลิ่มมาแล้ววว”สลิ่มร้องดีใจพลางเกาะหัวของขนมผิงเอาไว้แน่นเมื่อถูกจับขึ้นมานั่งขี่คออย่างที่ขอ

              “มาแข่งกันไหมใครฉูงกว่า”ปลากริมยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก

              “มาเยย แข่งกัน”สลิ่มรับคำท้า

              ความไร้เดียงสานั้นรีบตอบกลับไปโดยไม่ดูเลยว่าความสูงของเขานั้นแตกต่างจากปิญญ์ชานนท์แค่ไหน

              “ฮ่าๆ ของหลิ่มเตี้ยกว่า”

              “ไม่ใช่ ฉูงกว่าต่างหาก ปะป๊าฉูงอีก ฉูงๆ”พอโดนพี่ชายล้อก็หน้ามุ่ยออกปากสั่งยกใหญ่

              “ยุงปินฉูงอีกฮับ”

              “ปะป๊าฉูงๆอีก”

              “ยุงปิญญ์เอาอีก”

              “ปะป๊า ฉูงๆ”

              กลายเป็นว่าขนมผิงต้องเหยียดปลายเท้าออกเพื่อที่จะตามใจลูกชายให้ลูกชายได้ยืดมือขึ้นต่อให้สูงอีกแข่งกับคนพี่

              แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันของเด็กๆซะแล้วเมื่อริมฝีปากหยักจงใจเหยียดยิ้มเย้ยให้ขนมผิงยอมไม่ได้และเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้นอีก

              “เย้ ปะป๊า เอาอีก”สลิ่มพอเห็นว่าสูงขึ้นก็ได้ใจสั่งยกใหญ่ ไม่ได้ดูเลยว่าขนมผิงนั้นเขย่งปลายเท้าจนสุดแล้ว

              “จะชนะแย้วฮับปะป๊า”

              “พอรึยังครับ”ขนมผิงถาม

              ไม่วายถลึงตาใส่อีกฝ่ายเมื่อใบหน้าที่กวนประสาทนั้นทำให้เขาเริ่มที่จะหงุดหงิดมากขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นก็คือตาคู่คมกริบกำลังจ้องมองมาที่เขา สายตาไล่ไปทั่วผิวกายท่อนบนของเขาอย่างหยาบคาย

              “เท่ากันแย้วฮับ แต่ต้องฉูงอีก”

              “แต่ปะป๊าไม่ไหวแล้วนะครับ ฮะ ฮึก”

              ขนมผิงสะดุ้งเฮือก ไม่ทันตั้งตัวปิญญ์ชานนท์ก็ก้าวเข้ามาใกล้จนเกือบชิด แขนแข็งแรงโอบเอาเอวสอบของขนมผิงดึงให้เซเข้าไปใกล้ มือใหญ่ลูบลงมาที่บั้นเอวชวนให้ขนลุก ขนมผิงนึกเคืองตัวเองทันทีที่ไม่ได้ใส่เสื้อเพราะไม่อยากจะยอมแพ้อีกฝ่ายที่โชว์แผ่นอกแข็งแรงเรียกคะแนนจากเด็กๆ

              “ทะ ทำอะไรของคุณ!!”

              ตอนนี้ระยะห่างแทบจะไม่หลงเหลือเมื่อเอวกำลังถูกโอบเอาไว้ ใกล้จนขนมผิงได้ยินเสียงลมหายใจจากอีกฝ่ายที่เป่ารดลงมาบนใบหน้า

              “นายจะพยายามไปทำไมในเมื่อรู้อยู่ว่าต้องแพ้อยู่ดี”

              “ถ้าไม่ลองทำก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือไม่ได้”

              ขนมผิงเบือนหน้าหนีเมื่อประโยคของอีกฝ่ายนั้นราวกับแฝงความนัยน์เอาไว้ มือข้างหนึ่งที่ว่างจากการจับเจ้าตัวแสบด้านบนยันอกเปลือยชุ่มน้ำไม่ให้เข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้

              “แล้วนายจะดันทุรังทำไปทำไมในเมื่อมันไม่มีประโยชน์”

              “ผมทำทุกอย่างเพื่อลูกๆของผม จะอะไรผมก็ทำทั้งนั้น ผมไม่สนหรอกว่าทำได้หรือไม่ได้”

              “แล้วตัวนายล่ะ มีความสุขหรือเปล่า”

              “แน่นอน ถ้าลูกผมมีความสุขผมก็มีความสุข…ถอยออกไป!!”ความที่ปิญญ์ชานนท์เข้ามาใกล้อกีทั้งใบหน้านั้นโน้มลงมาทำให้ขนมผิงออกปากไล่อีกฝ่ายทันที

              “อะไรกัน ไหนบอกว่าถ้าลูกมีความสุขก็จะยอมไงล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ว่าพลางเหลือบตาขึ้นไปมองเด็กๆข้างบน

              “มานี่ คิสกัน คิสกัน”เจ้าตัวกลมตอนนี้พากันกอดกันแน่นพลางจุ๊บปากรักกันแบบที่เคยสอนไว้

              กิจกรรมของเด็กๆนั้นเลี่ยงไม่ได้เลยที่ทำให้ขนมผิงต้องอยู่เฉยเพื่อที่จะไม่ขัดจังหวะ

              “รักกัน คิสคิส จุ๊บ”

              ไม่รู้ว่าลูกๆจะมาคิสอะไรกันตอนนี้ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนคอของคนอื่น ขนมผิงแทบจะยกมือขึ้นมากุมขมับกับความใกล้ชิดจนได้กลิ่ลมหายใจจากอีกฝ่าย

              “จุ๊บ!!”

              และสัมผัสอุ่นวาบโฉบลงมาบนแก้มทำเอาขนมผิงตาโตจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจในสิ่งที่คาดไม่ถึง ขนมผิงจ้องมองแววตาที่ดูเหมือนจะพึงพอใจของอีกฝ่าย

              “คุณมันโรคจิต!!”บอกพลางเสียงเบาจ้องมองอีกฝ่ายตาขวางเพื่อไม่ให้ลูกได้ยินแล้วจำเอาไปพูด

              “หึหึ”

              มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ทำให้ขนมผิงอยากจะผลักอีกฝ่ายให้ล้มลงไปแล้วต่อยเข้าไปที่ใบหน้ายียวนนั้นแรงๆ แต่เขาก็ทำไม่ได้เมื่อกำลังเสียเปรียบเพราะตัวกลางอย่างเด็กๆกำลังอยู่ด้วย

              “ปะป๊ากับยุงปินคิสกัน เย้ๆ”

              “ปะป๊ายักยุงปิน ยักกันๆ”

              คำว่ารักทำให้หัวใจของขนมผิงกระตุกวูบ คนอย่างปิญญ์ชานนท์น่ะเหรอจะรู้จักคำว่ารัก หากว่าคนไร้หัวใจแบบนั้นรู้จักคำว่ารักทุกอย่างมันก็คงจะดีกว่านี้…เขาคงไม่ต้องมานั่งเคียดแค้นอีกฝ่ายมากเท่านี้

              ขนมผิงไม่อยากจะคิดเลยว่าอีกหกวันที่เหลือจะต้องทนกับอะไรบ้างทั้งที่เขาทั้งเกลียดทั้งชังอีกฝ่าย แต่ทำไมกันนะเขาถึงต้องมาติดอยู่ที่นี่และต้องใกล้ชิดกับอีกฝ่ายขนาดนี้

              แล้วทำไมกันนะ ทำไมปิญญ์ชานนท์ในเวลานี้ถึงได้ทำดีกับเด็กๆราวกับว่ากำลังรับบทบาทของความเป็นพ่ออยู่…ทำราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขามาก่อน

 

              --------------------------------------------------------------------
มีต่อ

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13/12 ❖ Up แล้วนะ
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 13-12-2015 04:00:55
ต่อ
 

              มื้อกลางวันเป็นอาหารง่ายๆอย่างไข่เจียวกุ้งสับใส่แครอทสับเล็กน้อยเพื่อให้เด็กๆได้รับสารอาหารเพิ่มเติม ไม่นานหลังจากกินข้าวเสร็จ เด็กๆก็พากันหนังท้องตึงหนังตาหย่อน ขนมผิงจึงต้องพาเอาเด็กๆเข้านอนกลางวัน เจ้าตัวเล็กขยี้ตาปริบๆไปมาพลางเกาะชายเสื้อของเขาเอาไว้หลวมๆแล้วเดินตาม

              “นายจะพาลูกไปไหน”

              “จะภามทำไม”

              “ฉันไม่ได้ถามเพื่อให้นายถามกลับ”ปิญญ์ชานนท์พูดข่มเสียงพลางยื่นหน้าเข้ามาจนชิด จมูกโด่งอยู่ห่างแก้มของเขาเพียงแค่คืบ

              “ผมจะเอาเด็กๆเข้านอน”

              “นอนตอนนี้?”

              “ก็ใช่ เด็กๆต้องนอนกลางวัน คุณไม่รู้รึไงครับคุณปิญญ์”ขนมผิงบอกอย่างไม่ใส่ใจสักเท่าไร

              เรื่องแค่นี้อีกฝ่ายยังไม่รู้เลย นับประสาอะไรกับกการที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่กับเด็กๆตามลำพัง

              “จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องนอนตอนนี้”

              “คุยกับคุณก็เสียเวลาเปล่าๆ หลบไป”

              ขนมผิงตัดบทก่อนจะเบี่ยงหลบเข้ามาในห้องนอนแล้วอุ้มเอาสองแฝดขึ้นมานอนบนเตียง ไม่ลืมที่จะห่มผ้าให้ ตาคู่สวยเฝ้ามองเด็กๆพากันผล็อยหลับก่อนที่จะซุกกายเข้ากอดกันอย่างเคยชิน

 

              ขนมผิงออกมาข้างนอกอีกทีก็เมื่อเด็กๆหลับสนิทดีแล้ว ตั้งใจว่าจะมาเตรียมอาหารมื้อเย็นเพราะเห็นว่าในตู้เย็นมีของทะเลอัดแน่นอยู่เต็มตู้ แปลกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าไม่เจอเข้ากับเจ้าของสีหน้ากวนอารมณ์นั่งอยู่ที่โซฟา แต่ก็ดีเมื่อมันทำให้เขาหายอึดอัดขึ้นเยอะในตอนที่อีกฝ่ายไม่อยู่

              และเมื่อกำลังกาวเดินเข้าไปในครัว ขนมผิงก็ต้องชะงักเท้าเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงของปิญญ์ชานนท์แว่วออกมาคล้ายจะคุยกับใคร แต่แม้จะเงี่ยหูฟังก็ยังได้ยินไม่ชัดเจนอยู่ดี

              “ผมได้คำตอบที่คุณถามผมแล้ว”

              “ผมคิดว่าผมต้องการมองเห็นพวกเขาตลอดเวลา”

              “ก็ได้ แล้วผมจะลองไปคิดดู”

              ปิญญ์ชานนท์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?

              แล้วคุยอยู่กับใครกัน?

              เสียงเงียบไปพักใหญ่ทำให้ขนมผิงแน่ใจว่าอีกฝ่ายเลิกคุยโทรศัพท์ไปแล้ว ถึงได้เดินย้อนมายังห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงบนโซฟาทำทีว่าไม่รู้เรื่องอะไร

              หากว่าปิญญ์ชานนท์คุยโทรศัพท์ที่ในครัว ก็แสดงว่าปิญญ์ชานนท์เก็บโทรศัพท์ซ่อนเอาไว้ในครัวสินะ

              “เด็กๆหลับไปแล้วรึไง?”เสียงทุ้มถามพลางหรี่ตามอง

              “ใช่”

              “ฉันมีอะไรอยากจะถามนายหน่อย”เจ้าของร่างสูงใหญ่ทิ้งกายลงข้างๆกัน

              “มีอะไรล่ะครับ”ขนมผิงถามพลางขยับหนีเมื่อปิญญ์ชานนท์นั่งลงมาเบียด

              “นายเป็นลูกแท้ๆของคุณพิศณุจริงๆใช่ไหม”

              “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ”คำถามของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทันที

              คำถามนี้ราวกับเป็นการดูถูกแม่ของเขาไม่ใช่รึไงว่าเป็นพวกหลายสามี

              “ฉันถามก็ตอบคำถามฉันมา”

              “ใช่ ถ้าใช่แล้วจะทำไม คุณจะทำอะไร จะดูถูกผมกับแม่ผมเหมือนที่เคยทำรึไง”

              “ฉันถามนายดีดีนะขนมผิง นายอย่ามาหาเรื่องกันได้ไหม”

              จบคำพูดแขนก็ถูกดึงเข้าไปหา

              “อย่ามาแตะตัวผม มันน่าขยะแขยงคุณไม่รู้รึไง”

              ขนมผิงผลักอกอีกฝ่ายเอาไว้ แต่นั่นเป็นเหมือนการจุดระเบิดเวลาเมื่อปิญญ์ชานนท์โถมกายเข้ามาใส่ก่อนจะจับไหล่ทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น ท่าทีไม่พอใจ

              “ยังจะกล้าพูดว่าขยะแขยงผัวตัวเองอีกรึไง ฉันอุตส่าห์ใจเย็นกับนายแล้วนะ!!”อีกฝ่ายกัดฟันบอก

              “คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสวมหน้ากากนี่”

              “อย่ามายั่วโมโหฉันนะขนมผิง ตอบมาแค่ว่าว่าใช่หรือไม่ใช่”

              “คุณก็อย่ามาบังคับผมให้มันมากนักนะ”

              ขนมผิงยกเท้าขึ้นมาถีบเข้าที่หน้าท้องแข็งแรงของอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ดูเหมือนว่าปิญญ์ชานนท์จะรู้ทันและโถมน้ำหนักลงมากดทับ

              “อย่ามาดื้อด้านนะขนมผิง”

              “คุณเองก็อย่ามายุ่งกับครอบครัวของผม อย่ามาแตะต้องลูกผม อื้อ!!”

              ไม่ทันจะพูดจบริมฝีปากหยักก็กระแทกลงมาอย่างรุนแรง ร่างถูกกดให้นอนราบลงไปบนโซฟา

              “อื้อ ปล่อยสิ บ้าเอ้ย!!”

              ขนมผิงพยายามเบี่ยงหน้าหลบ แต่กลับกลายเป็นว่าริมฝีปากของปิญญ์ชานนท์นั้นเลื่อนลงไปซุกไซร้าที่ซอกคอของเขาแทน

              “นายผิดเองนะที่ยั่วโมโหฉัน”ปิญญ์ชานนท์ว่าพลางระดมจูบไม่หยุด

              มือใหญ่ข้างหนึ่งกดช่วงคอของขนมผิงเอาไว้ไม่ให้ดิ้นไปมากกว่านี้ มืออีกข้างก็ดึงเอาชายเสื้อของเขาขึ้นมาก่อนจะเคล้นคลึงไปทั่วร่างกาย

              “คุณบ้าไปแล้วรึไง เด็กๆอยู่ข้างใน”

              “นายจะยอมตอบคำถามฉันดีดีหรือว่าจะให้ฉันทำจนเด็กๆตื่นขึ้นมาเห็นฉันกับนายกำลังเล่นสนุกกันอยู่ล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาถาม

              วิธีสกปรกทำให้ขนมผิงนึกชังอีกฝ่าย

              “ผมก็ตอบไปแล้วไงว่าใช่”

              ขนมผิงเบือนหน้าหนีริมฝีปากที่ฉกลงมาอีกรอบ อดที่จะใจเต้นแรงกับสิ่งที่เกิดไม่ได้ หลายครั้งของวันแล้วที่ปิญญ์ชานนท์มักจะฉวยโอกาสทำเรื่องน่ารังเกียจกับเขา มันมากเกินไปที่ขนมผิงจะรับไหวกับความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่าย

              “ถ้าอย่างนั้นนายก็หยุดกวนโมโหฉันสักที”ปิญญ์ชานนท์ยอมลุกออกไปในที่สุด

              “คนแบบคุณมันน่ารำคาญ”

              “ต้องเป็นเหมือนนายวุฒิรึไงนายถึงจะชอบน่ะ”

 

              ปิญญ์ชานนท์ประชดประชันกลับมา และนั่นทำให้ขนมผิงนึกขึ้นได้ว่าหลังจากงานเลี้ยงเปิดตัวเขาเองก็ไม่ได้พบกับคุณวุฒิอีกเลย ขนมผิงเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณวุฒิจะอยู่ต่อ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิตแบบนี้

              “คนอย่างคุณเทียบเขาไม่ได้หรอก”

              “แล้วจะต้องเป็นแบบไหนล่ะ นายถึงจะยอมรับ”ชายหนุ่มถามกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

              “แบบไหนผมก็ไม่ยอมรับทั้งนั้น…ถ้าเป็นคุณ”

              “นั่นนายจะไปไหน!!”ปิญญ์ชานนท์ถามเมื่อมือผอมกำลังเลื่อนประตูกระจกบานใสที่กั้นระหว่างระเบียงกับภายในบ้านออก

              ขนมผิงไม่ตอบแต่กลับเดินออกมาและปิดประตูบานเลื่อนลงราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

              ส่วนลึกของเขากำลังถูกสั่นคลอนเมื่อปิญญ์ชานนท์กำลังก้าวเข้ามาเป็นส่วนเกินในชีวิตในตอนที่เขาคิดว่ามันไม่จำเป็น ห้ามไม่ให้ความคิดบางอย่างมันขึ้นมาได้เลยว่า ถ้าหากในวันนั้นวันที่เขาแบกหน้าเข้าไปเรียกร้องให้อีกฝ่ายรับผิดชอบกับชีวิตที่เกิดขึ้นและอีกฝ่ายยอมรับขึ้นมา…วันนี้จะเป็นยังไง

 

              ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนโขดหินก่อนจะจ้องมองไปยังผืนน้ำทะเล เกรียวคลื่นสีสวยถูกซัดสาดเข้ามากระทบฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกพัดพามาจากที่ที่แสนไกลและไม่ต้องสนใจว่าจะไปสิ้นสุดอยู่ที่ใด ไม่เหมือนกับจิตใจของเขาในเวลานี้ เขามีเป้าหมายที่วางเอาไว้และคาดหวังถึงผลตอบรับที่ตามมา ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยความรู้สึกโกรธแค้นที่มีเพื่อที่มันจะสำเร็จไปได้ด้วยดี

--------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13/12 ❖ Up แล้วนะ
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 13-12-2015 14:34:43
ปิญไม่สำนึกนะ ถ้าตอนจบปิญ เข้า รพ บ้า เราจะไม่สงสัยเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13/12 ❖ Up แล้วนะ
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 13-12-2015 15:01:27
ปิญญ์ ควรปรึกษาจิตแพทย์จริงๆนั่นแหละ หรือไม่ก็
นักจิตวิทยา เอาทัศนคติลบๆ ออกไป เอาคติดีๆ ใส่เข้ามาใหม่
แกจะได้ไม่ทำตัวเป็นผู้ดีที่กริยาทราม

เอ๊ะ...อารมณ์ขึ้น ทำไมผมอิน :mew3:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13/12 ❖ Up แล้วนะ
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 13-12-2015 17:09:55
โอว้ะ เริ่มเข้มข้นขึ้นทุกตอน ขนมผิงจะใช้เดหลีให้เป็นประโยชน์นังไงเนี่ย  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 13-12-2015 19:27:29
ขนมผิงไม่ให้เวลากับลูก มันชักไม่มีแล้วนะ ไหนว่ารักลูกไง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 13-12-2015 19:53:17
แน่ใจเหรอว่าเป็นวิธีที่ดี

ผิงเริ่มร้ายขึ้นเรื่อยๆ

พระเอกนายเอกคู่นี้ไม่น่าจะลงเลยกันได้

ก็เหมือนเส้นคู่ขนานอะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 13-12-2015 22:04:13
 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:

คนอ่านหาย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-12-2015 22:54:15
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 13-12-2015 22:58:11
อ่านตอนนี้สงสารทั้งปิญญ์และขนมผิงจริงๆ  ปิญญ์ก็คงเจอครอบครัวกดดันและฝังความคิดมา ขนมผิงก็เจ็บใจจนกลายเป็นความอยากเอาคืนให้สาสม  เห้อออ รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ ลุ้นว่าจะรักกันยังไง ทั้งสองคนจะได้พูดความในใจกันยังไง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 13-12-2015 23:57:54
อ่านยังไงก็ยังเกลียดปิญญ์เหมือนเดิม
ส่วนขนมผิง รู้สึกจะเอาความแค้นนำ จนไม่สนใจลูกๆเกินไปแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-12-2015 02:15:25
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ผลกระทบ ❖ 13-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-12-2015 03:04:44
รู้สึกว่าล่มจมกันหมดทุกฝ่าย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-12-2015 08:03:30
16 ป่วย

              มื้อเย็นของวันแรกเป็นไปอย่างเงียบงัน ทิฐิที่เกิดขึ้นจากการกระทบกระทั่งทางวาจาทำให้ขนมผิงเลือกที่จะเมินเฉยการมีตัวตนของอีกฝ่ายบนโต๊ะอาหาร

              เด็กๆยังคงร่าเริงเหมือนกับทุกที ต้องยกความดีความชอบให้ที่ทำให้บรรยากาศไม่ถึงกับเงียบไปซะทีเดียว

              “อาหร่อยไหมฮับ ปะป๊าทำกับข้าวอาหร่อย”ลูกหมูตัวเล็กยิ้มแป้นให้กับชายหนุ่ม ปากเล็กๆอ้าปากงับเอาแครอทชิ้นเล็กหั่นลูกเต๋าเข้าปากเคี้ยวตุ้ย

              “นั่นสินะ อร่อยผิดคาดเลยล่ะ”ชายหนุ่มยิ้มเอาใจเจ้าตัวเล็ก

              โต๊ะอาหารตั้งอยู่นอกระเบียงบ้านเพื่อรับลมเย็นจากทะเล ขนมผิงกับสลิ่มนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน อีกฝั่งปิญญ์ชานนท์ที่แย่งเอาคนพี่ไปดูแลแทน วูบหนึ่งที่ขนมผิงสัมผัสได้ถึงความเป็นครอบครัว แต่นั่นเขาก็แค่คิดไปเองในเมื่อความเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันยังคงไม่จางหายไปจากจิตใจ

              หลังจากที่มีปากเสียงกัน ปิญญ์ชานนท์ไม่ได้เข้ามายุ่งกับขนมผิงอีกเลย มีก็แค่เป็นครั้งคราวเท่านั้นที่เผลอสบตากันแล้วต่างคนต่างหันกลับไปทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ

 

              ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา ขนมผิงกลับเล่นกับเด็กๆอยู่บนพื้นของห้องนั่งเล่น มีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆเท่านั้นที่ดังกลบบรรยากาศอันน่าอึดอัดในครั้งนี้เอาไว้

              ตาคู่สวยจ้องมองโมเดลทรงเลขาคณิตในมือของลูกชายคนโต ไม่รู้ว่าปล่อยให้ใจเหม่อลอยไปถึงไหน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยของสลิ่มคุยกับปิญญ์ชานนท์สนุกสนาน

              “ยุงปินฮับ”เจ้าตัวแสบคนน้องปีนขึ้นไปบนตักของอีกฝ่าย

              “ว่าไง หืม?”ตอบเสียงอ่อนพร้อมก้มลงมากดจมูกลงกับแก้มกลมเบาๆ

              พอโดนฟัดแก้มเจ้าตัวก็หัวเราะคิดคัด มือป้อมโน้มเอาคอของชายหนุ่มลงมาก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบบางอย่างแล้วหัวเราะชอบใจ

              อิจฉา…คงเป็นคำนิยามอารมณ์ของขนมผิงได้ดีที่สุดในตอนนี้

              จากใบหน้าเฉยเมยกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเมื่อถูกกระซิบบอกอะไรบางอย่าง ปิญญ์ชานนท์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกระซิบตอบให้เจ้าตัวเล็กหัวเราะเสียงดังอีกรอบ

              “ปะป๊า”

              ในระหว่างที่ขนมผิงกำลังจ้องมองปิญญ์ชานนท์กับลูกคนเล็ก เจ้าตัวแสบคนพี่ก็กวักมือเรียกให้เขาก้มลงไปหา

              “ว่าไงครับ”

              “จะถาม”เสียงเล็กเสียงน้อยกระซิบข้างหูชวนให้ขนลุก

              “ถามอะไรครับ”

              “ปะป๊าว่ายุงปินหล่อไหมฮับ”

              เป็นคำถามที่ทำเอาขนมผิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีกับคำถามนี้ที่ปลากริมถาม

              “ไม่ครับ”ตัดสินใจตอบเสียงเบาพลางส่ายหน้า

              ตาก็เหลือบอีกฝ่ายที่ยังคงคุยกระหนุงกระหนิงกับลูกชายคนเล็กไม่ยอมหยุด

              “แต่กิมว่ายุงปินหล่อมากเลยนะฮับ”

              “ไม่รู้สิ แต่ปะป๊าว่าไม่นะครับ”

              “ทำไมล่ะฮับ”

              “แล้วทำไมปลากริมต้องถามแบบนี้ล่ะครับ”

              “กิมกะน้องหลิ่มชอบยุงปิน ยุงปินหล่อ ใจดีด้วย”

              สิ่งที่ลูกชายคนโตบอกทำเอาขนมผิงตัวชา เขาไม่ต้องการให้เด็กๆชอบหรือพึงพอใจในตัวปิญญ์ชานนท์เลย ไม่แม้สักนิด

              ไม่ครับ ปะป๊าว่าปะป๊าหล่อกว่า”ขนมผิงพยายามดึงความสนใจมาทางตนเองแทน แต่ปลากริมกลับส่ายหน้าก่อนจะดึงให้เขาก้มลงไปใกล้อีกครั้ง

              “ยุงปินใจดี กิมกะน้องหลิ่มอยากให้ยุงปินเป็นพ่อ นะฮับปะป๊า”

              ขนมผิงรู้สึกหน้าชาราวกับถูกตบนับร้อยพันครั้ง สิ่งที่ลูกชายกำลังร้องขอทำให้ก้อนเนื้อในอกรู้สึกเจ็บแปลบจนแทบหายใจไม่ออก มันยากมากที่จะพยายามทำให้ใจสงบกับความร้อนรุ่มที่มันเกิดอยู่ในใจ

              “นะฮับ”เจ้าตัวกระตุกแขนเสื้อขออีกครั้ง

              “ไม่ครับ”พยายามปฏิเสธให้นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้

              “งั้นปะป๊าจุ๊บปากหน่อยฮับ กิมอยากจุ๊บ”

              ใบหน้ากลมเงยหน้าขึ้นมาทำปากยื่นลอยหน้าลอยตาใส่ อดไม่ได้ที่ขนมผิงจะยอมทำตามคำขอ เขายอมทำตามคำขอที่แสนง่ายดายดีกว่ายอมทำตามคำขอก่อนหน้าที่เป็นราวกับคมมีดกรีดลงมาในใจ

              เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ก้มลงไปจุ๊บปากลูกชายคนโตตามคำขอ ขนมผิงเหลือบเห็นปิญญ์ชานนท์กำลังก้มลงจุ๊บปากลูกชายคนเล็กเช่นเดียวกับตัวเอง น่าแปลกใจทำให้ขนมผิงชะงักแล้วจ้องมองลูกชายคนเล็กสลับกับคนโตไปมา และยิ่งทำให้แปลกใจมากกว่าเดิมเมื่อสลิ่มปีนลงมาจากโซฟาแล้วเดินต้วมเตี้ยมปีนขึ้นมานั่งบนตักของเขา

              ปลากริมเองก็เช่นกัน เจ้าตัวปีนขึ้นไปบนโซฟาก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งอยู่บบนตักของปิญญ์ชานนท์

              “อะไรกันครับ ทำอะ อุ๊บ”

              แต่พอจะถามริมฝีปากเล็กรูปกระจับก็จุ๊บลงมาที่ปากของ คอถูกแขนเล็กๆของลูกชายคนเล็กโน้มลงไปก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบเบาๆข้างหูที่ทำให้หน้าร้อนขึ้นมาทันที

              “เอาจูบยุงปินมาฝากฮับ”

              เมื่อตั้งตัวได้ว่าแฝดตัวแสบทั้งสองจะทำอะไรก็สายไปเสียแล้ว ริมฝีปากเล็กๆของลูกชายคนโตแตะลงบนริมฝีปากได้รูปของปิญญ์ชานนท์ในแบบเดียวกัน

              ทำไมกันนะ สิ่งที่เด็กๆกำลังทำอยู่มันถึงได้ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนยิ่งกว่าที่อีกฝ่ายทำเสียอีก

 

              -----------------------------------------------------------------

             

              ตึกดึกเด็กๆก็พากันง่วงเมื่อถึงเวลานอน ขนมผิงอุ้มเอาเจ้าตัวเล็กคนน้องเตรียมจะพาไปเข้านอนแล้วให้คนเกาะชายเสื้อแล้วเดินตามเข้ามาในห้องนอน

              “เดี่ยวฉันอุ้มไปเอง”เสียงทุ้มบอกเบาๆก่อนจะก้มลงอุ้มคนพี่แล้วเดินตามเข้ามาในห้องนอน

              ขนมผิงวางร่างจ้ำม่ำลงบนเตียง จัดให้ทั้งคู่นอนในท่าที่สบายแล้วห่มผ้าให้

              ตาคู่สวยหันไปมองอีกเตียงด้วยสายตาอันว่างเปล่า คิดไม่ออกเลยว่าเตียงเดียวที่ว่างนี้จะเป็นของใคร พอจะหันไปถามเอาความกับตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมาติดอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องไปเสียก่อน

              “นั่นคุณจะไปไหน”

              “คืนนี้นายนอนที่นี่กับเด็กๆไปก่อน”

              “แล้วคุณล่ะ”ถามพลางจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม

              “นายเคยใส่ใจฉันด้วยเหรอ”อีกฝ่ายเลิกคิ้วหันมาถาม

              มันดูแปลกไปเมื่อสีหน้านั้นดูไม่เหมือนกับทุกที ดูคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังปกปิดอะไรจากเขาอยู่

              “ผมมี่วันจะใส่ใจคนอย่างคุณ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”แต่คำตอบที่ตอบออกไปนั้นก็กลับต่างจากความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

              “งั้นก็ดี นายเองก็คงไม่อยากจะนอนร่วมเตียงกับฉันนักหรอก หรือว่านายอยากล่ะ ฉันจะได้เปลี่ยนใจ”

              ปิญญ์ชานนท์ทำท่าจะก้าวเข้ามาใกล้ ทำให้ขนมผิงสะดุ้งเล็กน้อย

              “ไม่ ผมไม่ต้องการ”

              “หึ!! งั้นก็ดี”

              ไร้วี่แววความเย่อหยิ่งในดวงตาคู่นั่น ตาคู่ดุจ้องมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาคิดว่ามันแปลกไป ขนมผิงเลือกที่จะเบือยหน้าหนีเมื่อรู้สึกอึดอัดกับสายตาคู่นั้น

              พลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อแขนแข็งแรงโอบเอาเอวเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว เพียงเสี้ยววินาทีตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากร้อนกดทับลงมา เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น แต่ก็ทำให้ขนมผิงใจสั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมั่นยิ่งสั่นรัวเมื่อได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินออกไป

              “ของแบบนี้ฉันไม่ชอบรับฝากจากใคร”

 

              -----------------------------------------------------------

 

              เสียงฝนด้านนอกปลุกให้ขนมผิงตื่นขึ้นมา อากาศหนาวเย็นส่งให้ต้องขดตัวเข้าหาไออุ่นจากผ้าห่ม แต่พอนึกถึงเด็กๆที่นอนอยู่เตียงข้างๆก็ทำให้ลุกขึ้นมาเพื่อที่จะดึงผ้าห่มที่ถูกถีบจนร่นลงไปให้เข้าที่เข้าทาง

              ความคิดบางอย่างพลันก็เกิดขึ้นชั่ววูบทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่น วูบหนึ่งเขาเผลอเป็นห่วงปิญญ์ชานนท์ที่นอนอยู่ด้านนอก แต่คนอย่างอีกฝ่ายนั้นมันเลวร้ายเกินไปที่เขาจะทำใจยอมรับว่าเป็นห่วงได้ แต่ถ้าว่าอีกฝ่ายเกิดไม่สบายขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็จะเอาไข้มาติดเด็กๆเอาในที่สุด

              ขนมผิงถอนหายใจหยิบผ้านวมของตัวเองติดมือออกมา เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบว่าทีวีถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ขาวยาวก้าวเข้าไปใกล้โซฟาชะโงกหน้าดูก็เจอเข้ากับร่างสูงนอนขดตัวตะแคงคู้อยู่กับโซฟาตัวยาว เปลือกตาประกับแพขนตาดกดำนิ่งสนิทไม่ไหวติง ซ่อนเอานัยน์ตาคู่เย่อหญิงเอาไว้ข้างใต้ส่งให้ตอนนี้ดูไม่น่าจะมีพิษภัยเหมือนกับตอนที่ตื่นเลย เสียงลมหายใจที่พรูออกมานั้นบ่งบอกถึงอาการหลับลึก

              ขนมผิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสียเวลาไปนานแค่ไหนกับการยืนจ้องอีกฝ่ายในขณะหลับ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยมีโอกาสที่จะเห็นอีกฝ่ายหลับต่อหน้าแบบนี้มาก่อน

              คนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของลูก

              ยิ่งเพ่งมองมากเท่าไร ความเหมือนทางกายภาพของเด็กๆกับคนคนนี้ก็ยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น ขนมผิงวางผ้าห่มคลุมกายอีกฝ่ายอย่างลวกๆ พยายามเตือนใจว่าเขาทำสิ่งนี้ก็เพื่อลูก ไม่ใช่เพื่อตัวของอีกฝ่าย

              “อืม”เสียงครางเบาๆจากอีกฝ่ายก่อนจะขยับตัวทำให้ขนมผิงชะงัก

              ทว่าปิญญ์ชานนท์ก็ไม่ได้ตื่นมาอย่างที่คิดเอาไว้ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายตื่นมาแล้วพบว่าเขาเอาผ้าห่มมาให้ นึกไม่ออกเลยว่าควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปดี ขนมิงถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ เขาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนก่อนจะจัดการดันเตียงที่เขานอนเมื่อครู่ไปชิดกับเตียงของเด็กๆ จัดการสอดตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วพาดแขนกอดสองแฝดเอาไว้อย่างเบามือ

              น้อยครั้งนักที่เขาจะนอนร่วมเตียงกับเด็กๆ เพราะเขาต้องการที่จะฝึกให้เด็กๆพึ่งพาตัวเองได้ตั้งแต่เด็กๆ แต่นานๆครั้งก็คงจะไม่เสียหาย ในเมื่อตอนนี้เขาเองก็รู้สึกอ้างว้างราวกับต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว

              เหลือเวลาอีกแค่หกวันที่จะต้องติดอยู่ที่นี่กับคนที่เฝ้าบอกว่าเกลียดชังอยู่ตลอดเวลา

 

              -------------------------------------------------------------

 

              เปลือกตาปรกคลุมด้วยแพขนตายาวกระพริบตาปริบๆไล่ความง่วงเมื่อแสงแดดอ่อนๆส่งเข้ามาภายในห้อง ขนมผิงลุกขึ้นจากเตียงทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหน้าที่ที่ถูกยัดเยียดมานั้นคือการจัดการเรื่องอาหารการกินในระหว่างที่อยู่ที่นี่ พอหันไปมองเด็กๆก็พบว่ากำลังนอนหลับกอดกันอย่างสบายใจ

              เมื่อเดินออกมาก็พบว่าใครอีกคนไม่ได้ใครอีกคนไม่ได้นั่งจิบกาแฟดูทีวีอย่างที่จินตนาการเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ยังคงนอนขดตัวไม่ไหวติงอยู่บนโซฟาภายใต้ผ้าห่มที่เขาเอามาให้

              เสียงหอบหายใจติดขัดกับเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่มนั้นแดงก่ำซ้ำมีเหงื่อชื้นทำให้ขนมผิงเริ่มใจไม่ดีสักเท่าไร คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แล้วแตะมือลงบนหน้าผากของอีกผ่ายอย่างเบามือ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่ออุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นสูงจนต้องชักมือกลับ

              เมื่อเห็นดังนั้นใจหนึ่งของเขากำลังกระซิบว่าให้เดินออกมาจากตรงนั้นแล้วทิ้งอีกฝ่ายให้เผชิญกับชะตากรรมของตัวเอง แต่อีกใจนั้นกลับคัดค้านออกมาโดยไม่มีสาเหตุ

 

              กะละมังบรรจุน้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็กถูกเตรียมมาวางลงบนโต๊ะกลางจนได้ ขนมผิงเอาผ้าผืนเล็กชุบน้ำแล้วบิดจนหมาด เขาจะถือซะว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกก็แล้วกัน อีกอย่างขืนปล่อยเอาไว้เด็กๆคงจะมองว่าเขาเป็นคนใจดำแล้วพาลไม่ชอบใจแน่

              เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะรู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่ลูกๆเห็นอีกฝ่ายดีกว่าตน มันค่อนข้างจะสะเทือนใจมากขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายมีสถานะเป็นพ่อที่แท้จริง และที่สำคัญ คำพูดที่ออกจากปากเด็กนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดไม่ยอมหายไปไหน…คำพูดที่ว่าเด็กๆต้องการให้ปิญญ์ชานนท์มาเป็นพ่อ

              หรือว่าแท้จริงแล้วมันเป็นสัญชาติญาณกันนะ ขนมผิงไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรดี

              ทันที่ที่ผ้าขนหนูหมาดน้ำอุณหภูมิเย็นแตะลงบนหน้าผาก นัยน์ตาคู่ดุที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลืกตาก็ค่อยปรือขึ้นมา ชั่ววูบแววตาที่แสดงออกมานั้นดูแปลกใจกล่อนจะเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาที่อ่อนแรง]’

              “อา เช้าแล้วเหรอ”ปิญญ์ชานนท์พูดคล้ายกับแก้เก้อ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมามองรอบๆ

              “นอนไปเถอะ คุณตัวร้อน ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนจะดีกว่า”ขนมผิงชักสีหน้าเบือนหน้าหนี

              “งั้นเหรอ ถึงว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกปวดหัว”

              ปิญญ์ชานนท์ทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกครั้งอย่างอ่อนแรง อดไม่ได้ที่ขนมผิงจะหันไปมองเสี้ยวหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายจากพิษไข้

              พอสังเกตดีดีก็เห็นรอยช้ำที่หลังมือข้างขวาของชายหนุ่ม ถึงมันเกือบจะหายดีแล้วแต่มันก็ยังคงมีร่องรอยให้เห็นว่าก่อนหน้านั้นมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่นั่นขนมผิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันนัก

              “ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วก็เช็ดตัวเอาเองก็แล้วกัน ผมจะไปทำอาหารเช้าให้เด็กๆ”บอกก่อนจะลุกขึ้นยืน

              “อืม”

              “อ้อ แล้วก็อีกอย่าง…อย่าอยู่ใกล้เด็กๆล่ะ ผมไม่อยากให้เด็กๆติดไข้จากคุณ กลัวว่าเชื้อความเห็นแก่ตัวมันจะติดมากับเชื้อไข้”บอกเสียงเรียบก่อนจะเดินหนีออกมา

              ไม่รู้ว่าทำไมต้องพูดออกไปแบบนั้น อาจจะเพราะความเกลียดที่มีอยู่ก็ได้ หรือว่าความอิจฉาที่ไม่อยากให้เด็กๆเข้าใกล้อีกฝ่ายกันนะ

 

              ---------------------------------------------------------------

 

              “ปะป๊า ทำไมถึงไม่ให้เข้าใกล้ยุงปินล่ะฮับ”ปลากริมถามทั้งที่ในมือยังมีถังใบเล็กกับที่ตักทรายอยู่ในมือ

              “ลุงปิญญ์ไม่สบายครับ ถ้าติดไข้จากลุงปิญญ์หมอจะจับฉีดยา”

              “แล้วยุงปินเป็นอะไรมากไหมฮับ หลิ่มเป็นห่วงยุงปิน”

              “ไม่ครับ เขาไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกครับ”ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งที่ภายในอกนั้นร้อนราวกับเอาไฟมาสุม

              ลูกๆพากันเอาแต่ถามถึงชายหนุ่มจนเขานึกอิจฉาและร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ขนมผิงจ้องมองเด็กๆเล่นอยู่กับกองทรายบนหาดทรายหน้าบ้าน ในขณะที่ปิญญ์ชานนท์นั้นเมื่อกินมื้อเช้าเสร็จก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยาในทันที

              ขนมผิงอดสงสัยไม่ได้เลยว่าคนแข็งแรงแบบนั้นทำไมจู่ๆถึงได้ไม่สบายหนักขนากนี้ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นเหตุให้ต้องป่วยเลยสักนิด คิดได้ดังนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบเมื่อรู้ตัวว่าความคิดกำลังถูกแทรกแซงโดยอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์

 

              --------------------------------------------------------------

 

              “นี่อาหารกลางวันแล้วก็ยา”ขนมผิงบอกพลางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ

              “แล้วเด็กๆล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาถาม

              “ผมกับเด็กๆจะออกไปกินที่โต๊ะนอกระเบียง”

              “ฉันอยากกินข้าวพร้อมเด็กๆ”

              “ไม่ครับ ผมไม่ต้องการให้เด็กๆติดเชื้อโรคไปจากคุณ”

              “หึ มันจะติดกันได้ง่ายขนาดนั้นรึไง ขนมผิง”แค่นเสียงบอกราวกับประชดประชัน

              “ไม่รู้สิ”ขนมผิงไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

              “ยังไงฉันก็ยืนยันคำเดิมอยู่ดี”

              “ถ้าคุณกินข้าวกินยาแล้วมีแรงเดินไหวก็ตามใจ แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าห้ามเข้าใกล้ลูกของผมเกินไป ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมให้คุณได้เข้าใกล้เด็กๆอีกแน่”

              พูดจบก็เดินออกไปด้านนอกโดยไม่รีรอให้อีกฝ่ายต่อความยาวสาวความยืด ขนมผิงไม่ต้องการที่จะมองเห็นสายตาตัดพ้อ

 

              เด็กๆดูจะเงียบลงไปถนัดตาเมื่อไม่ได้เล่นกับผู้ใหญ่ที่ดันกลายเป็นหวัด ขนมผิงจัดท่าทางให้เด็กๆนั่งเข้าที่ก่อนจะเริ่มจัดอาหารใส่จานให้เด็กๆ แต่ยังไม่ทันได้กินเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากตัวบ้าน ในมือนั้นถือถาดอาหารของตัวเองเอา

              ช่างเป็นคนป่วยที่ดื้อด้านจริงๆ ยังมีหน้าที่จะเดินออกมาตากลมแรงๆข้างนอกทั้งที่ป่วยขนาดนั้น เพียงเพราะว่าเพื่อที่จะกินข้าวกับเด็กๆตามที่ขออย่างนั้นหรือ? เดาใจไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

              “เย้ๆ ยุงปินมาแย้ว”คนพี่ยกมือดีใจยกใหญ่

              “เย้ ยุงปินมากินข้าวด้วย”คนน้องเอาบ้าง

              เขาเริ่มจะนึกเคืองเด็กๆซะแล้วสิกับการตื่นเต้นที่ปิญญ์ชานนท์มากินข้าวด้วย

              “ตอนเคี้ยวอยู่ปะป๊าบอกว่าไงครับเด็กๆ”

              “ห้ามพูดฮับ”คนพี่รับเสียงแผ่ว

              “ปะป๊าบอกว่าไงครับ”หันไปถามอีกคนที่ไม่ยอมตอบ

              “ห้ามพูดฮับ”ตอบรับเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

              “ไม่เห็นจะต้องไปดุลูกเลยนี่”อีกเสียงแย้งขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามทำให้ต้องตวัดตามองด้วยความไม่พอใจ

              “คุณเองก็เหมือนกัน!!”

              ขนาดผู้ใหญ่ยังถูกดุ มีหรือที่เด็กๆจะไม่พากันเงียบแล้วก้มหน้าก้มตากิน แต่ก็ไม่วายหันไปยิ้มจนตาหยีให้กับอีกฝ่ายที่เพิ่งจะเริ่มกินเช่นกัน

              ขนมผิงเห็นดังนั้นจึงตักข้าวเคี้ยวแรงๆเต็มปากอย่างไม่พอใจ มองไปยังฝั่งตรงข้ามก็เข้ากับรอยยิ้มบางเบาส่งให้กับเด็กๆ

              อีกแล้วกับรอยยิ้มที่เขาไม่คุ้นเคย

 

              -------------------------------------------------------------

 

              ตกบ่ายขนมผิงพาเด็กๆเข้านอนตามปกติ แต่พื้นบ้านที่เริ่มมีทรายติดเท้าเข้ามาและฝุ่นต่างๆตามบนโต๊ะทำให้ขนมผิงต้องมานั่งเก็บกวาดเพราะไม่อยากให้ฝุ่นนั้นส่งผลต่อสุขภาพของเด็กๆ

              ในระหว่างที่กำลังสวมบทบาทของคนรับใช้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ความรู้สึกแปลกๆราวกับถูกมองก็ทำให้หันมองมองยังโซฟาเห็นว่าปิญญ์ชานนท์กำลังจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว เขาสบตากับอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจก่อนที่แต่ละคนจะพากันหันหนีไปคนละทาง

              เมื่อถูพื้นเสร็จก็เช็ดโต๊ะต่อ ความแคลงใจยังคงอยู่จนขนมผิงพยายามบังคับไม่ให้หันไปมองเพราะกลัวว่าจะถูกจ้องก่อนอยู่เหมือนเมื่อครู่ แต่สุดท้ายก็ดันหันกลับไปมองอีกจนได้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เมื่อตาคู่ดุดูอ่อนแรงกำลังจ้องมองมาอยู่ ทั้งที่อยากจะหันหนีเหมือนก่อนหน้า แต่ปากก็ถามออกไปก่อนที่ใจจะห้ามได้ทัน

              “นี่คุณไม่นอนพักผ่อนรึไงครับคุณปิญญ์ เอาแต่มองคนอื่นเขาอยู่ได้”

              แทบอยากจะยกมือตบปากตัวเองแรงๆสักทีกับไอ้ประโยคที่ดูเหมือนว่าเป็นห่วงที่พูดออกไปนั่นเมื่อนึกขึ้นได้

              “ฉัน เอ่อ…ฉันไม่ได้มองนายสักหน่อย”อีกฝ่ายปฏิเสธออกมาข้างๆคูๆ

              พอจ้องมองดีดีก็พบว่าใบหน้าคมคายนั้นกลับมาแดงเรื่ออีกครั้ง ทั้งที่กินยาไปแล้วแต่ทำไมไข้ถึงได้มาขึ้นจนหน้าแดงอีกล่ะ!!

              “ก็เห็นอยู่ว่าคุณมองผม”

              “นายหลงตัวเองรึไง”พูดพลางหลบตาก่อนจะทำทีเป็นหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ

              “ช่างเถอะ ผมคงจะตาฝาดไปเอง”

              ขนมผิงเบ้หน้าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ

              เพล้งงงง!!

              ทว่าเสียงของแตกอยู่ไม่ไกลก็ทำให้สะดุ้งหันขวับไปมองทันที เศษแก้วเศษเล็กเศษน้อยกระจายอยู่เต็มพื้น ดีที่เจ้าตัวต้นปัญญ๋หานั่งอยู่บนโซฟา ไม่อย่างนั้นเศษแก้วพวกนั้นคงกระเด็นไปโดนเอาจนได้

               “บ้าเอ้ย”ปิญญ์ชานนท์สบถอย่างขัดใจ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

              “คุณไม่ต้องเก็บเดี่ยวผมทำเอง ไม่สบายอยู่ยังจะมาหาเรื่องเดือดร้อนคนอื่นอีก”

              แต่ดูเหมือนคำสั่งของขนมผิจะไม่ได้เข้าหูของอีกฝ่ายเลยเมื่อปิญญ์ชานนท์นั้นไม่ฟังและก้มลงเก็บเศษแก้ว

              “โอ๊ะ!!”ชายหนุ่มสะดุ้งก่อนจะชักมือกลับ

              “ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง สมองคุณไม่ทำงานเพราะพิษไข้รึไงกัน”

              “ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันจะเก็บเอง”

              ขนมผิงไม่รู้เลยว่าความดื้อดึงนั้นเกิดจากทิฐิหรือว่าความหยิ่งทระนงที่ไม่ต้องการให้ใครมาช่วยกันนะ แต่แบบนี้มันไม่ดูมากเกินไปหน่อยรึไง

              เพี๊ยะ!!

              ขนมผิงปัดเข้าที่มือใหญ่นั้นแรงๆจนเกิดเสียงดัง เพราะความไม่พอใจประกอบกับหงุดหงิดมาตลอดทั้งวันทำให้เผลอไม่ออมแรงออกไป

              “นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้วยังจะงี่เง่าอีกรึไง”

              ขนมผิงรีบหยิบทิชชู่ยัดมือของปิญญ์ชานนท์ให้ซับเลือดที่ซึมออกมา โชคดีที่แผลไม่ลึกมากนัก

              “คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ”เป็นการบอกเตือนที่คล้ายจะเป็นการตำหนิเสียมากกว่า

              “ฉันไม่ตั้งใจให้นายเดือดร้อน”

              นั่นทำให้ปิญญ์ชานนท์มองมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด อันที่จริงขนมผิงไม่ได้ต้องการพูดเหมือนกับตำหนิให้อีกฝ่ายได้รูสึกแย่ หากแต่อารมณ์ที่อัดอั้นทำให้เผลอพูดออกมาโดยไม่ได้ยั้งคิด

              “ช่างเถอะ แค่อย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ผมอีกก็พอ”

              ยอมรับเลยว่าเขาอาศัยท่าทีอ่อนแอของอีกฝ่ายจากพิษไข้เพื่อข่มอีกฝ่าย

              “เดี๋ยวสิ”ปิญญ์ชานนท์เรียกเอาไว้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

              ก่อนที่ข้อมือของเขาจะถูกมือร้อนผ่าวดึงเอาไว้ ขนมผิงไม่ได้โต้ตอบ เขาเพียงแค่หันไปมองด้วยท่าทีนิ่งเฉยเท่านั้น

              “ขอบใจสำหรับผ้าห่ม”

              มันเป็นเพียงแค่ประโยคสั้นๆที่พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เป็นประโยคที่ไม่มีอะไรแอบแฝงความนัยน์เอาไว้ แต่ทำไมกันนะ ทำไมขนมผิงถึงได้รู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกมันเต้นรัวขึ้นมา

 

              ----------------------------------------------------

             

              กลายเป็นว่ามื้อเย็นถูกจัดขึ้นโต๊ะข้างในบ้านแทน ยอมรับว่าส่วนหนึ่งแล้วเขาไม่ต้องการจะให้อีกฝ่ายดันทุรังตามออกมานั่งกินข้าวตากลมแรงๆข้างนอก และจบมื้อเย็นอันเรียบง่ายไปในที่สุด

              ขนมผิงกับเด็กๆยังคงนั่งเล่นที่พื้นห้องกับเด็กๆ ส่วนปิญญ์ชานนท์นั้นนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิม ทั้งที่ทีวีเปิดเอาไว้ แต่ตาคู่ดุคมกริบนั้นไม่ได้จ้องมองรายการที่ฉายอยู่แต่อย่างใด ตาคู่นั้นกลับมองมาที่เด็กๆราวกับว่าต้องการสังเกตพฤติกรรมอันไร้เดียงสาตลอดเวลา

              “ปะป๊าฮับ แกะอันนี้ให้หน่อยฮับ”ปลากริมสะกิดแล้วยื่นของเล่นให้

              ขนมผิงรับกล่องของเล่นที่ยังไม่ได้ผ่านการปิดมาแกะออกให้

              “ยุงปิญญ์เป็นอาไยฮับ เจ็บไหม”เสียงเจื้อยแจ้วของสลิ่มถามดังมาจากโซฟาเรียกให้ขนมผิงหันไปมอง

              เผลอแปบเดียวเจ้าตัวแสบคนน้องก็แอบเข้าหาปิญญ์ชานนท์จนได้ ทั้งที่เขาบอกเอาไว้แล้วเชียวว่าไม่ให้เข้าใกล้อีกฝ่ายเพราะจะติดไข้

              “ฟู่ววววว”

              มือเล็กป้อมจับเอานิ้วที่ติดปลาสเตอร์แปะแผลเอาไว้ก่อนปากเล็กๆจะห่อทำปากกลมแล้วเป่าลมใส่ด้วยท่าทางน่าชัง

              นั่นเรียกรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมคายได้เป็นอย่างดี ขนมผิงที่ทำท่าจะดุลูกที่เข้าไปใกล้คนป่วยเลยทำได้แค่เบือนหน้าหนีทำทีเป็นว่ามองไม่เห็นการกระทำของพ่อลูก

              ก็แค่แตะกันที่ปลายนิ้ว…คงจะไม่เป็นอะไร



              ------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 14-12-2015 09:45:41
เป็นกำลังใจให้นะคะ รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความขัดแย้งเยอะมาก รู้สึกถึงความพยายามของคนแต่งที่พยายามจะให้เรื่องมีสีสัน สนุก แต่มันก็ดูเว่อร์ๆ มากในหลายจุด ความเป็นปินส์ที่โดนสปอยและเหมือนมีปัญหาชีวิตครอบครัวกับชีวิตความรักมันดูเยอะไปจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้จริงๆ  ส่วนผิงยิ่งเล่นเยอะจนรู้สึกเป็นตัวละครที่อ่านแล้วปวดหัวมาก แต่นัทสึคิดว่า ประสบการณ์และการอ่านทวนเรื่องหลายๆครั้งมันจะทำให้ปรับไปในแนวทางที่ควรจะเป็นเอง ตอนนี้อ่านแล้วยังมองไม่ออกว่า เด็กๆจะมีบทบาทเป็นกาวใจยังไง หวังว่าตอนหน้าผิงกับเด็กเจอปินส์แล้วจะมีความเป็นครอบครัวมากขึ้นนะคะ  สู้ๆค่ะ  เรื่องแรกๆทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 14-12-2015 10:53:25
 :m31: ไม่เห็นต้องไปกลัวมันเลย คลิปหลุดมาก็เท่ากับอีปิญญ์แฉตัวเองด้วย
ได้ข่าวว่ากำลังจะแต่งกับ "เดหลี" ถ้าคนรู้ว่ามันเอาลูกชายบริษัทคู่แข็งอย่าง "ผิง"
ใครจะเชื่อใจหรือไว้ใจมัน ศรีธัญญา สวนปรุง ที่ไหนก็ได้มาจับอีปิญญ์ไปรักษาที :katai1:
 :m31:    :m31:    :m31:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 14-12-2015 11:28:11
มันเริ่ม น่าเบื่อแล้ว แบบว่า ปัญหาอะไร มันประดังมาพร้อมกัน จนมันเป็นนิยายอะไรไปแล้ว ผิงก็ดูเหมือนจะสู้ปิญ แต่ดูท่าแล้ว คงจะแพ้ไปเรื่อยๆ เพราะผิง เป็นคนดีแต่คิด พอเจอปัญหาก็รนราน ทำอะไรไม่ถูก ดินตามเกมเข้าไปเรื่อย พอจะดีจะดี เอาอีก ผิงโดนอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-12-2015 14:37:19
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 14-12-2015 15:22:38
แล้วเมื่อไร่จะรู้ความจริงซะทีเนี่ย

สงสารใครดี ก็ไม่มีใครให้สงสาร

จะสงสารก็แต่เด็กๆอะ

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 14-12-2015 18:23:33
ทั้งปิญญ์ทั้งผิงนั้นมีลักษณะที่เป็นเหมือนพวก Emotional unstable มากๆ  โกรธเกรี้ยวไม่ได้ดังใจก็เขวี้ยงข้าวของ ทุบตี ทำร้ายตัวเอง  คือถ้ามีคนปกติที่อยู่ใกล้ๆก้ต้องบอกแล้วว่าไม่ได้การแล้ว นายป่วยแล้วนะ  สมควรตัองเข้าหาจิตแพทย์เพื่อรับการบำบัดรักษา   อ่านๆมาแรกๆไม่ชอบนะ แต่มาตอนนี้คือรู้สึกว่าการกระทความคิดอ่านตรรกะทั้งหลายมันป่วยไข้ไปแล้ว   คำพูดที่ออกมาก็ซ้ำๆกันบ่อยมาก   มันจะมากไปแล้วนะ   คนต่ำๆ  คนร่านๆ  อะไรแบบนี้   เหมือนปิญญ์เองก็หาทางออกจากวังวนความรู้สึกที่หมักหมมไม่ได้   ที่คุณรู้สึกนั้นมันไม่ปกติ  ตอนนี้ก็มาปมอีกอัน  ปมคนรักที่ตายไป  แล้วก็เป็นขนมผิงที่เป็นต้นเหตุ แต่ไม่เห็นขนมผิงนึกถึงเลย  หรือไม่รู้?  ถ้าคนเราเป็นต้นเหตุให้คนอื่นตาย  หรือมีประสปการณ์แบบนี้มา มันจะฝังใจนะ  แต่ไม่เคยคิดถึงเลยนี่ก็

ผิงต้องถามตัวเองแล้วว่าผิงกลายเป็นอะไร?  เพื่อการทำลายล้างศัตรูคนที่ผิงคิดว่าเป็นตัวอันตรายกับครอบครัว ผิงยอมทำในสิ่งที่ต่ำ ทิ้งลูกเพื่อเอาชนะปิญญ์   ผิงโฟกัสความสำคัญของชีวิตและคำว่าครอบครัวผิดไปแล้ว   ทิ้งเวลาไปนานๆสักปีสองปี ไม่แคล้วลูกจะเห็นผิงเป็นคนแปลกหน้า    ความเป็นแม่มันหายไปหมดเลย   เหมือนผิงลงมาลุยน้ำลึกเกินกว่าที่ตัวเองสามารถประคองตัวได้  จะไปเอากับเดหลีก็เอาไปเถอะ  เห็นนิสัยเดหลีแล้วเหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่ต้องโชว์พาวเวอร์ว่ามี  ปิญญ์ก็คงไม่รังเกียจหรอกเอาไปให้พ้นทางเสีย

ปิญญ์กับผิงเหมือนกันเลยนะ  - ปัดอะไรๆไปก่อนเพราะไม่ไหวแล้ว  ตักอาหารเข้าปากมากกว่าที่ตัวเองมีปัญญาเคี้ยวค่ะ

อนาคต 2 บริษัทนี้นะ - เอามาร่วมทุนกันเอง  ผนวกเข้าด้วยกันเพราะผู้บริหารไม่มีปัญญาทำคนเดียวได้
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 16 ต่อรอง(ต่อ) ❖ 14-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 14-12-2015 19:15:12
ขนมผิงจมอยู่กับความแค้นมากเกินไป อีกไม่นานมันจะกระทบชีวิตครอบครัวแน่ๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-12-2015 20:23:28
17 หมอนข้าง

                                 “เด็กๆ มาเข้านอนกันได้แล้ว”

                                 ขนมผิงเรียกเด็กๆเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะสามทุ่ม

                                 เขาปรายตามองใครอีกคนที่นั่งมองมาทางเขาและเด็กๆ ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความคิดว่ามันคืออะไร

 

                                 เสียงฝนที่ตกดังแว่วมาจากข้างนอกและเริ่มตกแรงขึ้นเรื่อยๆ สภาพอากาศเริ่มเย็นลงจนเห็นได้ชัด

                                 ใจของเขานึกอยากจะตัดความอ่อนไหวที่มันกำลังเกิดขึ้นมาชั่วครู่ แต่กระนั้นใบหน้าที่อ่อนลงของอีกฝ่ายจากพิษไข้ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมอง

                                 เด็กๆปีนขึ้นเตียงเตรียมพร้อมแล้วที่จะนอน ทว่าขนมผิงยังคงยืนคาอยู่หน้าประตูห้องนอนหันหลังกลับไป

                                 มองไปยังชายหนุ่มกำลังเอนตัวลงนอนราบกับโซฟา ซุกตัวเข้าผ้าห่ม

                                 อากาศรอบตัวที่เย็นจัดอาจจะส่งผลเสียต่อคนป่วย…เขาพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง

                                 เขาไม่ได้สนใจใยดีอีกฝ่ายหากว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กๆ

                                 ถ้าปิญญ์ชานนท์อาการทรุดหนักกว่านี้ เวลาเข้าใกล้เด็กๆ เด็กๆอาจจะติดไข้ไปด้วย

                                 ใช่ เขาทำเพื่อเด็กๆ ไม่มีทางที่เขาจะเห็นใจคนแบบปิญญ์ชานนท์เด็ดขาด!

 

                                 “คุณจะเข้ามานอนข้างในก็ได้ ผมไม่อยากจะเอาเปรียบเจ้าของบ้านอย่างคุณสักเท่าไร”พูดเสียงแข็งออกไปแล้วเบือนหน้าหนี

                                 เพราะกลัว….กลัวสายตาที่ส่งกลับมา…สายตาที่ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

                                 “ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากจะบังคับฝืนใจนาย”อีกฝ่ายผงกหัวขึ้นมาตอบ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย

                                 “อย่าเข้าใจผิดว่าผมเป็นห่วงคนอย่างคุณล่ะ ผมก็แค่ไม่อยากให้เด็กๆมองว่าผมใจร้ายกับคุณก็แค่นั้น อีกอย่างถ้าอาการของคุณแย่ไปมากกว่านี้ มันอาจจะมาติดลูกของผม ผมไม่ต้องการให้ลูกของผมรับเชื้ออะไรมาจากคุณ”

                                 “หึ นั่นสินะ”

                                 อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ คิดอยู่แล้วว่าคนที่เปลี่ยนไปอย่างขนมผิงคงจะไม่ใยดีอะไรเขามากมายขนาดนั้นนอยู่แล้ว ถึงจะเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปบ้างก็ตาม

                                 ปิญญ์ชานนท์ถือผ้าห่มเดินตามเข้ามา มองดูเตียงเดี่ยวสองหลังถูกดันมาติดกัน

                                 ร่างเล็กจ้ำม่ำทั้งสองต่างมองมาที่เขาตาใส กระพริบตาปริบๆพลางยิ้มรับจนตาหยี

                                 “ยุงปิญญ์มานอนกับพวกเราเหรอฮับปะป๊า”

                                 “ใช่ครับ ลุงปิญญ์จะเข้ามานอนในห้องกับพวกเรา”

                                 “เย้ ยุงปิญญ์จะมานอนด้วย”เจ้าแสบทั้งสองต่างก็กระโดดโลดเต้นดีใจกันยกใหญ่

                                 “นอนกันได้แล้ว เดี๋ยวป๊าจะแยกเตียง”ขนมผิงปรามจับสองแสบเสียงดังให้นั่งลงแต่ไม่วายหัวเราะกันคิกคักอย่างดีใจ

                                 ปิญญ์ชานนท์ได้ยืนมองเด็กน้อยสองคนส่งยิ้มมาให้เขาก่อนจะหันไปช่วยอีกคนแยกเตียงเดี่ยวออกมา

                                 “ไม่ต้อง ผมทำเองคนเดียวได้”

                                 ทันทีที่เข้าไปใกล้ก็ถูกปฏิเสธแทบจะทันที มือถูกปัดออกด้วยแรงที่ไม่น้อยแต่ก็พอใจผละออกมาได้

 

 

                                 “นั่นนายจะไปไหน”

                                 ชายหนุ่มถามคว้าแขนเล็กกว่าเอาไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันหลังเตรียมจะเดินออกไปจากห้องนอนหลังจากเด็กๆพากันหลับ

                                 “ผมจะไปนอนข้างนอก อ้อ”

                                 “ฉันจะไปนอนข้างนอก หากว่ามันทำให้นายเดือดร้อน”

                                 “ไม่จำเป็น ผมไม่อยากจะนอนร่วมห้องกับคุณสักเท่าไร”           

                                 “นายกล้าทิ้งฉันให้อยู่ตามลำพังกับเด็กๆรึไง นายกลัวฉันจะแตะต้องเด็กๆไม่ใช่เรอะ”ปิญญ์ชานนท์แสร้งยิ้มแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ

                                 พยายามยิ้มยั่วทิฐิของอีกฝ่าย พยามยามดึงรั้งเอาไว้ เพราะอากาศข้างนอกมันหนาวมากกว่าในห้องนอนหลายเท่าตัว เขารู้ดี

                                 “อย่าคิดจะแตะต้องลูกของผม แม่แต่ปลายก้อยคุณก็อย่าหวังว่าผมจะยอม”

                                 ได้ผลชะงัด ร่างสูงโปร่งเดินไปหยิบหมอนแล้วปล่อยมันลงบนพื้นข้างเตียงของเด็กๆ…เขาตั้งใจจะนอนบนพื้น

                                 “ถ้านายนอนบนพื้นนั่น เด็กๆคงจะมองนายกับฉันยังไง”

                                 “คุณอย่ามาถือสิทธิ์เอาลูกผมมาอ้างนั่นอ้างนี่”สุดท้ายก็ต้องยอม

                                 หยิบหมอนข้างมากั้นเอาไว้ตรงกลาง

                                 ขนมผิงพยายามย้ำเตือนความคิดตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ทุกอย่างก็เพื่อเด็กๆ เพื่อเด็กๆเท่านั้น

                                 ไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด…ไม่มีวันลบเลือนความแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอกแน่นอน

 

                                 เด็กแฝดสองคนต่างก็ซุกตัวเข้าหากันใต้ผ้าห่มผืนหนา ขนมผิงมองภาพลูกชายทั้งสองคนด้วยความรู้สึกหวงแหน

                                 อีกฝ่ายก็เช่นกัน ปิญญ์ชานนท์จ้องมองแผ่นหลังของใครอีกคน ทิฐิสูงจนยากจะลด ชายหนุ่มมองผ่านแผ่นหลังนั้นไป จ้องมองดูเด็กน้อยที่พากันหลับพร้อมกับรอยยิ้ม

 

                                 เป็นปิญญ์ชานนท์ที่ล้มตัวลงนอนก่อน ต่างจากอีกคนที่พยายามปิดกั้นความโกรธแค้นที่มี

                                 ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น มีเพียงหมอข้างใบเล็กที่กั้นระหว่างคนทั้งสองคนเอาไว้

                                 มันยากที่จะทำให้จิตใจได้สงบลง ในเมื่อความคิดที่เกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ไม่คิดที่จะละทิ้งมัน

                                 อีกคนที่อยู่ในที่สูงคุ้นเคยแค่การมองดูใครอีกคนจากมุมมองที่ไม่มีความเป็นจริงไม่คิดที่จะยอมลงมาเพื่อสัมผัสความจริงที่ซ่อนเอาไว้

                                 อีกคนก็เช่นกันจุดที่ต่ำที่สุดทำให้ทิฐิที่เกิดขึ้นผลักดันให้เขาสร้างกำแพงเพื่อปิดกั้นความตัวตนเอาไว้ภายใน ไม่คิดที่จะยอมพังมันลง เพียงเพื่อปกป้องสิ่งที่หวงแหนมากที่สุด

 

 

==================================================================

                                 แสงแดดลอดเข้ามาผ่านผ้าม้านที่เปิดแง้มเอาไว้ปิญญ์ชานนท์กระพริบตาถี่ๆปรับสายตาให้ชินแสงอาทิตย์ที่ผ่านลอดหน้าต่างเข้ามา

                                 วงแขนแข็งแรงสัมผัสถึงความอุ่นทำให้เขานึกประหลาดใจ เขาลอบมองคนที่ยังคงหลับอยู่ข้างๆ

                                 จากที่นอนหันหลังให้กับเขาเมื่อคืน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายหันหน้าเข้ามาหา เบียดเข้ามาจนชิดกับหมอนข้างที่กั้นเอาไว้

                                 ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เคยมีรอยยิ้มประดับอยู่ในความทรงจำเมื่อนานมาแล้วดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

                                 ไร้ความเกลียดชังที่ฉายอยู่บนนั้น ไร้ความแค้นที่เคยมีให้กันยามนอนหลับ หากย้อนเวลากลับไปได้ ทุกอย่างมันคงจะง่ายขึ้น

                                 แขนที่ไม่รู้เมื่อไรเผลอก้าวข้าวหมอข้างไปโอบอีกฝ่ายให้เข้ามาหา ยอมรับว่าไม่รู้ตัว และก็ยอมรับว่าใบหน้าที่ดูไม่มีพิษภัยนั้นทำให้เขาเลือกที่จะเมินเฉย

                                 เขาเมินเฉยความคิดตัวเองที่สั่งให้ดึงมือกลับมา เขาปล่อยให้จิตใต้สำนึกที่ไม่รู้ว่าคืออะไรสั่งให้ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นำพาตัวเองสู่ห้วงนิทรา

                                 เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว….ใช่…ขอแค่อีกสักพัก อีกสักพักเท่านั้นที่จะยอมรับสิ่งที่เคยปฏิเสธมาตลอด

 

                                 ขนมผิงกระพริบตาไล่ความง่วงออกไปตามสัญชาติญาณ แดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เป็นนาฬิกาปลุกชั้นดี หากแต่แรงกดทับจากสิ่งที่ส่งผ่านไออุ่นออกมานั้นทำให้ต้องขมวดคิ้ว

                                 หัวใจดวงเล็กเต้นระรัว ในยามเช้าเช่นนี้มันไม่ควรเลยที่จะต้องมีความคิดวุ่นวายเกิดขึ้นในสมอง

                                 เขาปัดมือของปิญญ์ชานนท์ออก ไม่แรง แต่ก็มากพอที่จะทำให้ใครที่หลับไปอีกรอบรู้สึกตัว

                                 ร่างสูงโปร่งในชุดนอนหลวมโพรกลูกขึ้นจากที่นอนไม่พูดอะไร

                                 ไร้คำพูด ไร้คำทักทายใดใด

 

                                 “ปะป๊า”ร่างจ้ำม่ำใต้ผ้าห่มผืนหน้าเริ่มขยับตัวส่งเสียงเรียกตามเคย

                                 “เดี๋ยวป๊าไปเตรียมน้ำอุ่นก่อนนะครับ ปวดฉี่กันไหม”

                                 “อื้อ/อื้อ”สองแสบรีบพยักหน้าปีนลงจากเตียงแล้วเดินเกาะชายเสื้อขนมผิงเข้าห้องน้ำไปคนละข้าง

                               

                                 “ปะป๊า”เจ้าแสบคนพี่เรียกขณะยืนรอแปรงสีฟันที่ขนผิงกำลังบีบยาสีฟันใส่ให้

                                 “ว่าไงครับ”

                                 “ยุงปิญญ์หายรึยังฮับ กริมอยากเล่นกะยุงปิญญ์”

                                 “หลิ่มก็อยาก”

                                 ต่างคนต่างแข่งกันพูดเงยหน้าขึ้นจ้องมองตาใส

                                 “ยังครับ ลุงปิญญ์ยังไม่หายดี วันนี้ก็ห้ามเข้าใกล้ โอเคไหมครับ”

                                 “ว้า กริมอยากเล่นกับยุงปิญญ์จังฮับ”

                                 “เสียดายจัง”

                                 “เล่นกับป๊าก็ได้นี่”บอกพลางส่งแปรงสีฟันให้ลูกๆ

                                 ความอิจฉากับความหวงแหนผุดขึ้นมาในความคิดอย่างห้ามไม่ได้

                                 เขาไม่เข้าใจ ทำไมเด็กๆถึงได้อยากเข้าใกล้คนเลวๆอย่างปิญญ์ชานนท์นัก

                                 หรือเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นกันที่ทำให้ทั้งปลากริมและสลิ่มพยายามที่จะเข้าหาอีกฝ่ายตลอด

 

 

 

                                 เข้าวันที่สามแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ยังคงอาการไข้ไม่ยอมลดลงถึงแม้จะกินยาที่มีอยู่ก็ตาม และก็เข้าวันที่สี่เช่นกัน ที่จะต้องอยู่ที่เกาะนี้ เกาะที่ราวกับกรงขังริบรอนอิสระภาพที่ควรจะมี

                                 สองคืนแล้วที่ตื่นขึ้นมาพบกับท่อนแขนแข็งแรงพาดอยู่บนตัว ทั้งที่ควรจะคิดรังเกียจ แต่กลับเมินเฉยไม่รู้สึกอะไร

                                 “นี่ยาของคุณ”

                                 เมื่อไรไม่รู้ที่ต้องกลายเป็นคนที่ดูแลทั้งเด็กๆทั้งคนป่วย จู่ๆก็ต้องรับสถานะแบบนี้ไม่ทันได้ตั้งตัว

                                 ไร้หนทางผลักไสหรือไม่ยอมผลักไสเอง ข้อนี้เขาไม่เคยหยิบยกมันขึ้นมาคิด

 

                                 ปิญญ์ชานน์ในวันนี้สีหน้าดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างต่างจากสองวันที่ผ่านมา เสียงที่แหบแห้งเริ่มจะดีขึ้นบ้าง

                                 เขาไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะพิษไข้หรืออะไรที่ทำให้คนอย่างปิญญ์ชานนท์เปลี่ยนไป

                                 “ขอบคุณ”

                                 อีกฝ่ายยื่นแก้วน้ำกลับคืนให้

                                 อาหารมื้อเช้าจบไปแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ต้องมานั่งดูหนังคอมมาดี้แนวครอบครัวกันพร้อมหน้า

                                 มีบางครั้งที่เผลอยิ้มกับมุกตลกพร้อมๆกับเด็กๆที่หัวเราะชอบใจ มีบางครั้งที่ดวงตาเผลอสบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

                                 ดวงตาที่ไร้วี่แววของความเกลียดชัง…ของอีกฝ่าย

                                 “ปะป๊า”เจ้าแสบคนพี่จิ้มที่ขาให้หันไปมอง

                                 “ว่าไงครับ”

                                 “อันนี้สวยไหมกริมกะน้องหลิ่มช่วยกันวาดฮับ”สองแสบช่วยกันชูกระดาษแต้มสีเทียนให้ดู

                                 สีเทียนถูกแต้มลงบนกระดาษขาวแต่งแต้มเป็นรูปร่างของคนสี่คนจับมือกันอยู่บนภาพนั้น

                                 คนสี่คน…..

                                 “ทำไมถึงมีสี่คน”ถามลูกเสียงเบา ปกติจะมีแค่สามคนเท่านั้น

                                 “อันนี้กริมกะน้องหลิ่ม อันนี้ปะป๊า ส่วนอันนี้ยุงปิญญ์ไงฮับ”

                                 “มียุงปิญญ์ด้วย”คนน้องพยักหน้าขึ้นลงไปมาเสริมคำบรรยาย

                                 “ทำไมต้องมีเขาด้วยล่ะ”

                                 สิ่งแรกที่เกิดขึ้นในใจคือความไม่พอใจ

                                 ตอนนี้อะไรอะไรสำหรับเด็กๆแล้วจะต้องมีคนอย่างปิญญ์ชานนท์แทรกอยู่ตลอด

                                 “กริมกะน้องหลิ่มชอบยุงปิญญ์ อยากให้ยุงปิญญ์อยู่ด้วย”

                                 “ใช่ฮับ กริมอยากให้ยุงปิญญ์อยู่ด้วยทุกวันเลย”

                                 “แต่ป๊าไม่อยาก”ขนมผิงขมวดคิ้ว

                                 แต่ไม่นานก็ต้องคลายปมลงเมื่อเด็กน้องทั้งสองมองเห็นปฏิกิริยาไม่พอใจของเขาแล้วพากันกระพริบตาปริบๆรอยยิ้มเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด

                                 “แต่กริมกะน้องหลิ่มอยากให้ยุงปิญญ์อยู่ด้วย นะฮับ”

                                 “นะฮับปะป๊า หลิ่มไม่อยากลบยุงปิญญ์ออก”

                                 สุดท้ายก็ต้องยอม ยอมเพราะอีกไม่กี่วันก็จะแยกจากกันอยู่ดี เมื่อหลดออกไปจากที่นี่ เด็กๆก็จะลืม ลืมว่ามีคนอย่างปิญญ์ชานนท์อยู่ในชีวิต

                                 “ก็ได้ครับ”

                                 พออนุญาตสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ออกไป ความหวังลมลมแล้งๆของเด็กๆกำลังทำให้คนที่มองมาจากโซฟากลางห้องรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

                                 จู่ๆก็หันมามองใครอีกคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้เลยว่าถูกมองอยู่ก่อนหน้า

                                 เผลอสบตาแล้วมองลึกลงไป เจอกับสิ่งที่อาจจะเรียกว่าความหวังหรืออะไรสักอย่าง

                                 ขนมผิงเองก็ไม่แน่ใจ

                                 เจ้าตัวกลมทั้งสองต่างก็กระโดดไปมา วิ่งเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ที่มองมาห่างๆ

                                 รูปวาดถูกเอาไปอวด

                                 ชั่วเวลาที่อีกฝ่ายหันไปมองรูปวาด จู่ๆรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นก็ออกมาอีกแล้ว รอยยิ้มที่มีให้แต่กับเด็กๆ

                                 ‘PAPA KRIM HLIM D’PIN’

                                 ตัวอักษรภาษาอังกฤษง่ายๆถูกลงไป ตัวD ปริศนานำหน้าชื่อของใครอีกคนเรียกให้ความสงสัยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดจะไถ่ถามว่าตัวอักษรที่ไม่รู้ความหมายนั้นคืออะไร

 

                                 “D’อันนี้คืออะไรครับ”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงเบา ไม่ขยับเข้าไปใกล้เพราะกลัวเด็กๆจะติดไข้

                                 จึงได้แค่ถามเสียงเบา ไม่อยากให้ขนมผิงได้ยิน

                                 แขนแข็งแรงถูกนิ้วเล็กๆสะกิดให้ก้มลงตามมืออวบๆที่กวักเรียก

                                 “อันนี้คือแดดดี๊ฮับ แต่ยุงปิญญ์ห้ามบอกปะป๊านะฮับ ปะป๊าจะโกรธ”

                                 “ใช่ฮับ ห้ามบอกนะฮับป๊าป๊ะจะไม่ยิ้ม”คนน้องเสริมพากันหัวเราะคิกคัก

                                 ปิญญ์ชานนท์กำลังยิ้ม ยิ้มไม่รู้ตัวให้กับประโยคอันไร้เดียงสานั่น

                                 ยิ้มโดยที่ไม่รู้ว่ามีใครอีกคนมองมาด้วยความอิจฉา

                                                                                                                                     

 

                                 วันเวลาแห่งความสุขสำหรับใครคนหนึ่งผ่านไปไวเสมอ แต่วันเวลาสำหรับความทุกข์ของใครอีกคนก็ผ่านไปช้าเสมอเช่นกัน

                                 ล่วงเลยเข้าสู่คืนวันที่ห้า ขนมผิงนั่งดูรายการข่าวฆ่าเวลาพลางดูเด็กๆที่กำลังเล่นของเล่นชิ้นโปรด

                                 ปิญญ์ชานนท์หายเข้าไปในครัว พักใหญ่แล้ว แต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจ

                                 “ปะป๊าฮับ หิวน้ำ”

                                 “กริมก็หิวฮับ”เด็กเรียกให้หันไปสนใจ

                                 จึงได้ละจากหน้าจอทีวีเดินไปยังห้องครัว ประตูห้องครัวปิดอยู่ ต่างจากที่เคย เสียงพึมพำดังลอดออกมาทำให้ต้องเงี่ยหูยืนยันสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

                                 “ผมได้คำตอบที่คุณถามผมแล้ว”

                                 ปิญญ์ชานนท์คุยโทรศัพท์อีกแล้ว?

                                 ขนมผิงเงี่ยหูมากขึ้น ไม่ได้ต้องการรู้ว่าคุยกับใคร ต้องการรู้ว่าคุยเรื่องอะไรต่างหาก

                                 แล้วตลอดมาโทรศัพท์นั้นถูกเก็บอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมเขาถึงไม่เคยเจอมัน

                                 “ไม่ใช่ว่าผมต้องการที่จะมองเห็นพวกเขาตลอด แต่ผมต้องการที่จะอยู่ใกล้พวกเขาตลอดเวลามากกว่า”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับ

                                 มันยิ่งทำให้ขนมผิงไม่เข้าใจว่าปิญญ์ชานนท์กำลังหมายถึงอะไร เสียงที่ได้ยินผ่านบานประตูมันขาดหาย และทำไมถึงต้องคุยในเวลาแบบนี้กัน

                                 “ผมจะลองเก็บเอาไปคิดดูแล้วกัน”

                                 เป็นเหมือนประโยคจบบทสนทนา ขนมผิงหยัดตัวขึ้นถอยหลังไปหลายก้าวแสร้งทำทีว่าพึ่งจะเดินมา

                                 เป็นจังหวะเดียวกับประตูเปิดออก

                                 “นาย!!”ปิญญ์ชานนท์เรียกแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ ดูเหมือนจะแปลกใจที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาพอดี

                                 “ผมจะมาเอาน้ำให้เด็กๆ ไม่ได้มาตามคุณหรอกนะ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”เลือกที่จะพูดจายียวนเพื่อปกปิดสิ่งที่ตนมั่นใจ

                                 เครื่องมือสื่อสารชิ้นเดียวที่สร้างความหวังให้ถูกยืนยันที่อยู่ชัดเจนแล้วว่าอยู่ที่ครัวแห่งนี้

                                 “งั้นเหรอ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับแล้วเดินกลับไปยังโซฟาที่ประจำ

                                 อาการไข้ของเขาลดลงมากจนเกือบจะหายดี ทำให้พอมีโอกาสใกล้ชิดเด็กๆได้บ้าง

                                 ชายหนุ่มวายเหลือบมองแผ่นหลังของใครอีกคน คนที่เขาไม่สามารถลบให้ออกไปจากความคิดได้สักที

                               

 

================================================================

 

                                 ฤทธิ์ยาแก้ไข้ที่กินไปทำให้ปิญญ์ชานนท์หลับสนิท ขนมผิงคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น

                                 ร่างสูงโปร่งลุกออกมาจากเตียง เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

                                 ไฟในห้องครัวถูกเปิดสว่าง สายตาคมนิ่งสอดส่องหาบริเวณที่ตนคิดว่ายังไม่ได้สำรวจในห้องนี้

                                 เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง ตาเหลือบมองเห็นตู้เบรกเกอร์ที่ถูกติดตั้งสูงขึ้นไปบริเวณข้างประตูด้านใน

                                 มันจะไม่สะดุดตาหากว่ามันไม่ถูกเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย ที่ที่เขามองข้ามไป

                                 เป็นอย่างที่คิด เครื่องมือสื่อสารถูกหยิบออกมาแล้วเปิดเครื่อง ขีดสัญญาณโทรศัพท์ปรากฏขึ้นมาเพียงแค่สองขีด แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะใช้มันเพื่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ไว้ใจ

                                 เบอร์คนสนิทที่รู้จักถูกกดอย่างรวดเร็ว

                                 สิ้นสุดสักทีเวลาที่เหมือนกับอยู่ในคุกแห่งนี้….

                                 ‘แทนทัพครับ’

                                 อีกฝ่ายตอบรับกลับมา

                                 “คุณแทนทัพครับ นี่ขนมผิง”

                                 ‘คุณผิงคุณหายไปไหนมา จู่ๆแม่คุณก็บอกว่าคุณไปเที่ยวกับเพื่อน’

                                 “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน คุณช่วยมารับผม….”

                                 ยังพูดไม่ทันจบเสียงฝีเท้าเบาๆจากด้านนอกทำให้สะดุ้งเล็กๆ

                                 รีบกดวางแทบจะทันที สัญญาไปแล้วว่าจะอยู่อย่างนิ่งเงียบในเวลาเจ็ดวันที่ตั้งเอาไว้

                                 เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำให้ต้องรีบวางสิ่งของนั้นเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดลง

                                 ไม่อยากให้ข้อตกลงเป็นโมฆะ เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบกับเด็กๆ

                                 แสร้งเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่มออกมา

                                 จังหวะเดียวกับที่ใครอีกคนเดินเข้ามาพอดี

                                 ขนมผิงปรายตามองอีกฝ่าย แล้วเดินสวนออกมา ไม่พูดอะไร

                                 ชั่ววินาทีที่เดินสวนออกมา ใบหน้าที่ฝืนทำเป็นไม่รู้เรื่องก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก

                                 โทรศัพท์ที่ปกติจะปิดเครื่องเอาไว้เมื่อใช้เสร็จถูกหยิบออกมา หน้าจอยังสว่างวาบเพราะมีสายเรียกเข้า

                                 ไร้เสียงไร้สั่นมีเพียงแสงไฟที่ปรากฏเบอร์แปลก

                                 ปิญญ์ชานนท์กดรับ

                                 ‘ฮัลโหล คุณผิง ได้ยินผมไหมครับ คุณผิง คุณได้ยินไหม คุณจะให้ผมไปรับที่ไหน ผมเป็นห่วงคุณนะครับ  ฮัลโหล ฮะ’

                                 เสียงของผู้ชายดังลอดออกมา ราวกับสิ่งที่พยายามกักเก็บเอาไว้มันปะทุออกมาอีกครั้ง

                                 เพราะอะไรกัน ทั้งที่พยายามที่จะเข้าใกล้ พยายามที่จะลงมาจากที่สูงเพื่อที่จะสัมผัสความเป็นจริง

                                 แต่กลับได้รับสิ่งตอบแทนที่มีค่าเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในความคิด

         ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม…..

 

===================================
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-12-2015 20:32:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 14-12-2015 20:52:50
ค่อยดีขึ้นมาหน่อย

ตรงที่ลักพาตัวนั่นแหละ

พระเอกก็ปากแข็งเหลือเกิน

ดูซิจะจัดการนายเอก กับ คู่หมั่นยังไง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 14-12-2015 21:42:42
ลุงปิญ์ต้องรู้อะไรมาแน่ๆถึงได้เปลี่ยนไปปปป
จะเอาผิงกะเด็กๆไปไหน
ค้างงงงงอร๊างงงงงง
ต้องเรียกขุ่นพ่อปิญญ์แล้วใช่ม๊าาาา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 14-12-2015 22:05:13
ตกม้าตายตอนจบเลยค่ะผิง
สรุปลักพาตัวแม่ลูกไปอยู่ด้วยกันซะเลย
คือปิญญ์อยู่ๆก็มาทำอะไรอย่างนี้ โคตรขัดกับก่อนหน้าที่เจอหน้าผิงก็ด่าว่าร่าน แล้วก็ระเบิดอารมณ์ใส่กัน
ก็ดีอ่ะนะตรงไม่เครียด แต่งงๆอารมณ์มันกระโดด
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 14-12-2015 22:32:17
แบบนี้เองล่อแม่เสือให้พาลูกเสือออกมา พ่อเสือจะได้สร้างครอบครัว 5555 :katai3:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-12-2015 22:34:57
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: onekiss ที่ 14-12-2015 22:45:45
 :katai1: :katai1: :katai1:


ค้างงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2015 22:57:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 15-12-2015 01:52:38
ปิญญ์จะทำอะไรอีกล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 15-12-2015 09:49:28
ไม่รู้ว่าใครจะอ่อนให้ใครก่อน ปิญทำผิดไว้มากน่าจะดัดหลังแบบน่ารักๆสักครั้งสองครั้ง

ผิงก็น่าตีมาพลาดตอนสุดท้าย ทำไมถึงได้ไว้ใจเขานะ :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 15-12-2015 09:59:29
เริ่มมีความเป็นครอบครัวแล้วขนมผิงก็เริ่มปรับตัว ระลึกได้แล้วว่าควรจะทำหน้าที่แม่ให้ดีกว่านี้ รอตอนต่อไปค่ะ อัพเร็วดีค่ะ ชื่นชมๆ

ป.ล. เจอคำผิด ถิฐิ ต้องเป็น ทิฐิค่ะ  อ่านแล้วสะดุดตาเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 15-12-2015 17:16:17
 :z10:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 15-12-2015 19:52:51
18 วังวนความคิด

 

                                 เพราะอะไรเขาถึงโทรไปนัดให้ขนมผิงกับลูกออกมาหาเขา ข้อนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ

                                 ในบางครั้งคนเรามักจะตัดสินใจเลือกทางที่ผิดแม้ว่าทางเลือกนั้นจะขัดกับความต้องการของตนเองก็ตาม

                                 แรงกดดันภายในครอบครัวเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มเลือกจะมองข้าม ความคิดที่ถูกยัดเยียดพวกนั้นทำให้ตัวตนของเขาสับสน

                                 ปิญญ์ชานนท์เดินเลี่ยงขึ้นมายังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นบนของบ้านหลังใหญ่

                                 คนอื่นเรียกว่าบ้านแต่เขากลับคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ที่พักอาศัยเสียมากกว่า

                                 เขาทิ้งตัวลงบนเตียงนอน วางถุงยาไว้ข้างๆอย่างไม่ใยดี คำแนะนำของแพทย์ทำให้เขาค่อนข้างจะหงุดหงิด

                                 คิดว่าเขาเป็นโรคประสาทหรือพวกโรคจิตรึยังไงกัน

                                 เขาหยิบนามบัตรที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อสูตร ชายหนุ่มคิดว่ามันไร้สาระเกินกว่าจะเก็บมันเอาไว้

                                 เขากำลังจะทิ้งมัน แต่สิ่งที่หยิบขึ้นมาพร้อมกับนามบัตรคือซองสีน้ำตาลถูกพับเป็นทบเรียกความสนใจให้หยุดชะงัก

                                 ผลตรวจดีเอ็นเอ…

                                 ความอยากรู้ผุดขึ้นมาอีกครั้งในความคิด

                                 ในสุดเขาก็ตัดสินใจเปิดซองนั่นออกมาเสียที เขากางแผ่นกระดาษที่พับเป็นบทออก

                                 ชั่ววินาทีที่กวาดสายตามองหาบรรทัดสำคัญ หัวใจที่ด้านชาก็กระตุกวูบ มันจุกหน่วงราวกับเข็มนับร้อยพันกระหน่ำทิ่มแทงลงมาที่จุดจุดเดียว

                                 นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไร!!

                                 เด็กสองคนนั้นเป็นลูกของเขาจริงๆ

                                 ลูกของเขากับขนมผิง

                                 หัวใจที่ด้านชามันเหมือนกับกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง

                                 เขาแทบอยากจะทิ้งหัวตัวเอง กับสิ่งที่ได้รับรู้

                                 แจกันดอกไม้ที่หัวเตียงถูกปัดลงด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด

                                 เขาระบายความรู้สึกออกมทางการกระทำ เขาโกรธเกลียดทางเลือกที่ตัวเองเลือกผิด

                                 หากวันนั้นเขาเลือกที่จะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้

                                 เลือกที่จะทำตามความรู้สึกที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ เขาคงจะไม่ต้องตกอยู่ในวังวนความคิดบ้าบ้าเช่นนี้

                               

                               

 

                                 “สวัสดีครับคุณหมอบุษ”ปิญญ์ชานนท์กรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสาร

                                 ในที่สุดกระดาษนามบัตรใบเล็กที่คิดว่าไม่มีความหมายกลับเป็นทางเลือกเดียวและทางเลือกสุดท้ายที่จะพึ่ง

                                 หลายชั่วโมงที่คิดซ้ำไปซ้ำมา ความคิดที่มันวกวนและวุ่นวาย

                                 เด็กแฝดสองคนนั้นเป็นลูกของเขา

                                 ใช่ เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กสองคนนั้นตั้งแต่แรกเห็น มันเหมือนกับมีสายใยบางอย่างที่มองไม่เห็น

                                 เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

                                 ‘สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรให้ช่วยเหลือคะ’

                                 อีกฝ่ายกรอกเสียงกลับมา…จิตแพทย์

                                 “ผมมีเรื่องต้องการจะปรึกษา”

                                 ‘คุณลองเล่ามาสิคะ ฉันจะได้ให้คำแนะนำได้ถูก’

                                 “คือผม…”สุดท้ายปิญญ์ชานนท์ก็อ้ำอึ้ง

                                 เป็นครั้งแรกที่เขาพูดอะไรไม่ออก

                                 ‘ค่ะ ไม่ต้องอายค่ะ ทุกอย่างหมอรับฟังได้ ขอแค่คุณพูดความจริงและสิ่งที่คุณรู้สึกออกมาก็พอ’

                                 “ผมรู้จักกับคนคนหนึ่ง ผมรู้สึกดีกับเขาแปลกจากที่รู้สึกกับคนอื่นๆ แต่มีเรื่องบางอย่างทำให้ผมเกลียด  ผมเกลียดเขามาก รังเกลียดจนเรียกได้ว่าไม่อยากจะเห็นหน้าเลยก็ว่าได้ ผมตัดสินใจทำร้ายเขาและทำในสิ่งที่ทำให้เขาเกลียดผมเช่นกัน สี่ปีที่ผมเกลียดเขา”ชายหนุ่มเงียบราวกับว่ามีก้อนอะไรมาจุกที่คอ

                                 ‘แล้วคุณคิดว่าปัญหาของคุณคืออะไร’

                                 “ผมพึ่งจะรู้ว่าเขามีลูก ลูกของผมกับเขา”ในที่สุดก็บอกออกไป

                                 ‘แล้วคุณต้องอะไรจากพวกเขา”

                                 “ผมไม่รู้ ผมแค่ต้องการใกล้ชิด”

                                 ‘งั้นหมอจะถามคุณกลับว่าทำไมคุณถึงอยากจะใกล้ชิดกับพวกเขา เอาอย่างนี้นะคะ หมอจะให้คำถามคุณ ให้เวลาคุณหาคำตอบมาให้หมอ เพราะอะไรคุณถึงคิดว่าอยากจะใกล้ชิดกับพวกเขา หมออยากให้คุณหาเวลาอยู่ใกล้กับพวกแล้วหาคำตอบให้เจอ’

                                 “งั้นก็ได้ ผมจะลองดู”

                                 ปิญญ์ชานนท์วางโทรศัพท์ลงบนที่นอน

                                 มันเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่มันก็จริงอย่างที่จิตแพทย์คนนั้นถามเขากลับมา

                                 เพราะอะไรเขาถึงอยากจะใกล้ชิดขนมผิงกับเด็กๆ

                                 เพราะหน้าที่ หรือเพราะความต้องการจากใจของเขาเอง

                                 เขาเองก็ยังหาคำตอบไม่เจอ

                                 ทางเดียวที่จะรู้ก็คือต้องหาคำตอบ….

 

                               

                                 เขาตัดสินใจเปลี่ยนแผนการที่วางเอาไว้ทันที จากที่คิดแค่ว่าจะใช้สิ่งที่มีอยู่ต่อรองให้อีกฝ่ายตกเป็นเบี้ยล่าง

                                 ตอนนี้สิ่งนั้นกลับกลายเป็นเชือกเส้นใหญ่ที่เอาไว้ดึงรั้งขนมผิงกับลูกไม่ให้หนีไปไกลมากกว่านี้

 

                                 “คุณมาลิศ ผมอยากให้คุณติดต่อไปยังคนดูและเกาะส่วนตัวของตระกูล ให้เตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับเจ็ดวันให้พร้อม อ้อ แล้วก็ของใช้สำหรับเด็กสามขวบด้วยล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ต่อสายถึงเลขาคนสนิท

                                 ‘หมายความว่ายังไงครับ อย่าบอกนะครับว่าผลตรวจ’

                                 “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องอธิบายอะไรให้นายฟัง ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ”เขาตัดบท

                                 ตอนนี้เขากำลังสับสน เขาเกลียดและโกรธแค้นที่ขนมผิงเป็นลูกของผู้หญิงทรยศคนนั้น เกลียดที่ขนมผิงมีผู้ชายมากมายเข้าหา และทอดสะพานให้คนอื่นไม่เลือกหน้า

                                 คนที่ไม่ใช่เขา…

                                 แต่หลังจากนี้ไป คนอย่างขนอมผิงจะต้องยอมศิโรราบให้เขา ทั้งขนมผิงและลูกของเขา

                                 เขาจะทำให้ขนมผิงยอมรับสิ่งที่เขายัดเยียด จะต้องทำให้ขนมผิงไม่กล้าต่อกรเหมือนอย่างทุกวันนี้

                                 เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับตัวขนมผิงและประธานมณีรัตน์กรุ๊ปว่าเป็นมาอย่างไร ทำไมขนมผิงถึงได้กลายเป็นทายาทของตระกูลคู่แข่งของเขา

                                 แล้วมิหนำซ้ำยังกล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คิดจะทำ กล้าที่จะเล่นงานบริษัทคู่แข่งที่มั่นคงกว่าอย่างอนันตไพลิน

                                 ทุกอย่างมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย…เขาไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

                                 ขนมผิงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แข็งกร้าวและก้าวร้าวไม่ยอมแพ้เขาเหมือนก่อน

                                 มันอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาทำก็ได้….เขาทำผิดไปจริงๆ

                                 ผิดที่ผลักไสลูกของตัวเอง….

 

 

                                 วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มตื่นเช้ากว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะเขานอนไม่หลับหรืออะไรเขาเองก็ไม่แน่ใจ

                                 เขาจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าที่ขายของใช้เกี่ยวกับเด็กโดยเฉพาะ

                                 นานนับหลายชั่วโมงที่ของมากมายถูกเลือกซื้อ เม็ดเงินที่เป็นของมีค่าสำหรับเขาถูกจับจ่ายให้กับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะซื้อมัน

                                 “ไม่ทราบว่าคุณปิญญ์ซื้อไปให้เด็กที่ไหนเหรอคะเนี่ย ทำไมซื้อซะเยอะเชียว แล้วเป็นเด็กแฝดเหรอค่ะ หรืออย่างละสองทุกอันเลย”ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาพูดประจบแทบจะทันที

                                 “ครับ เด็กแฝด”

                                 “แหม หรือว่าจะเป็นลูกของคุณปิญญ์คะเนี่ย”คำถามเหมือนจะแทงใจของเขา เขาหันกลับไปยืนบัตรเครติดสีทองให้เพื่อชำระเงิน

                                 “ครับ ลูกของผม”

                                 ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ทำให้พนักงานมีสีหน้าตกใจเล็กๆ เขาเลือกตอบไปตามความจริง

                                 น่าแปลกที่เขารู้สึกดีเล็กๆกับคำตอบของเขา

                                 อาจจะเป็นเพราะนั่นคือทางเลือกที่เขาต้องการมาตลอด

                                 คนอย่างปิญญ์ชานนท์แน่นอนว่ารูปร่างหน้าตาและฐานะที่มั่งคั่ง ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชายโสดอย่างเขา

                                 ผู้หญิงหลายคนอยากที่จะได้เขาคนนี้ไปครอบครอง แต่เมื่อคำตอบของเขาที่คนถามไม่คาดคิดว่าจะได้กลับมาตอบออกไป ทำให้พนักงานได้ยินค่อนข้างที่จะแปลกใจไปตามๆกัน

                               

 

                               

 

                                 จนกระทั่งถึงเวลาตามที่นัดกันไว้

                                 ขนมผิงยังคงแสดงออกถึงความก้าวร้าวต่อเขาอย่างชัดเจน

                                 ชายหนุ่มพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ ตอนนี้ความสนใจของเขาพุ่งเป้าไปที่เด็กแฝดสองคนนั้นมากกว่า

                                 เขาดีใจที่เด็กสองคน…ลูกของเขาดีที่ได้เจอเขา

                                 ถึงแม้ว่าขนมผิงจะดูหวงลูกมากจนยากที่จะใกล้ชิดก็ตาม

                                 เขาทำในสิ่งที่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะเกลียดเขามากขึ้น

                                 เขาลักพาตัวทั้งขนมผิงและลูกมาที่เกาะส่วนตัว

                                 เจ็ดวันที่เขาต่อรองแลกกับข้อมูลบางอย่างที่อาจจะทำลายทั้งเขาและตัวขนมผิงได้

                                 มันเป็นวิธีที่สกปรก เขายอมรับ แต่เพื่อคำตอบที่เขาต้องการ เขาก็พร้อมที่จะยอมแลกมัน

                               

                                                                    -----------

 

                                 เขามาขนมผิงกับเด็กๆมาที่เกาะส่วนตัว เขาต้องการจะทำให้อีกฝ่ายหมดหนทางที่จะหนีไปจากเขาเหมือนที่เคยทำ

                                 เขาต้องการจะต้องให้ขนมผิงจนมุม…สั่งสอนให้ได้รู้ว่าเขาคือคนที่จะต้องชนะ

                                 “คุณบ้าไปแล้วรึไง เอาไฟล์วีดีโอมา แล้วพาผมกับเด็กๆกลับเดี๋ยวนี้”ประโยคคำสั่งบอกออกมาทันทีที่อยู่กันตามลำพัง

                                 มันทำให้เขาสังเกตเห็นจุดอ่อนของคนเป็นแม่อย่างขนมผิง

                                 “ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากนายสักหน่อย”เขาเดินมานั่งที่เตียงปรายตามองอีกฝ่ายที่มีท่าทีพยายามระงับอารมณ์

                                 “งั้นก็ลบรูปพวกนั้นไปสิ แล้วก็พาผมกับลูกกลับบ้าน”

                                 “ยังกลับไม่ได้ ยังไม่ใช่ตอนนี้”เขาตอบกลับด้วยท่าทีสบายใจ ยังไงซะ ขนมผิงก็พาลูกหนีไปจากเขาไม่ได้อีกแล้ว

                                 “แล้วเมื่อไรกันล่ะ ถ้าคุณไม่พาผมกับเด็กๆกลับบ้าน ผมกลับเองก็ได้”อีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป ดูท่าคงจะยังไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเกาะส่วนตัวของเขา

                                 “ถ้านายคิดว่านายไปได้ก็ลองดูสิ”

                                 “หมายความว่าไง”

                                 “ที่นี่เป็นเกาะส่วนตัว จะไม่มีเรือมาที่นี่จนกว่าจะผ่านไปครบหนึ่งอาทิตย์…ไง นายคิดว่าคนอย่างนายเก่งกาจจนสามารถออกไปจากเกาะนี้ได้รึเปล่าล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ถามออกไปเป็นเชิงดูถูกท่าทีที่ไม่ยอมพ่ายให้กับเขา

                                 เขาเริ่มจะไม่พอใจกับปฏิกิริยาของขนมผิงที่ทำเหมือนกับไม่มีวันยอมศิโรราบ

                                 “ทำแบบนี้ทำไม”

                                 “ทำไมฉันต้องบอกเหตุผลให้คนอย่างนายฟังด้วย”

                                 ใช่…เขาไม่จำเป็นจะต้องบอกเหตุผลให้คนใจง่ายอย่างขนมผิงได้รับรู้ แม้ลึกๆแล้วเขาจะยังไม่มีเหตุผลให้ตัวเองก็ตาม

                                 “นี่คุณโรคจิตรึยังไง”ขนมผิงเดินถอนหลังไปครึ่งก้าวเพราะเขาเดินเข้าไปหาจนเกือบจะชิด

                                 “นั่นมันก็แล้วแต่นายจะคิด”

                                 เขาวางมือลงบนแก้มของขนมผิงแล้วเกลี่ยนิ้วลงบนนั้น…เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงการมีตัวตน และเพื่อที่จะยืนยันอะไรบางอย่าง

                               

                                 “หึ ผมรู้แล้ว”จู่ๆขนมผิงก็หัวเราะในลำคอ ริมฝีปากยกยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันทำให้ชะงัก

                                 อีกแล้งกับรอยยิ้มที่เขาไม่ชอบใจเวลาที่มองเห็นมัน

                                 “รู้อะไร?”เขาถามออกไป

                                 “หรือว่า…คุณจะหลงเสน่ห์ผมเหมือนคนอื่นๆขึ้นมาแล้ว”

                                 มันเป็นคำพูดเชิงเปรียบเทียบที่เป็นเหมือนตัวจุดชนวนให้อารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้คุกรุ่นออกมาในชั่วพริบตา

                                 “อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับคนพวกนั้น!!!”

                                 ใช่…เขาไม่เหมือนกับคนพวกนั้น ไม่ไม่ได้ต้องการให้ใครมาชักจูง เขาต้องการที่จะเป็นผู้ชนะ

                                 และที่สำคัญ เขาเป็นเจ้าของ เจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้น  เด็กๆพวกนั้นเป็นลูกของเขา และตัวเขาเองก็เป็นพ่อ เขามีสิทธิ มีสิทธิที่จะครอบครองทั้งหมด

                                 ชายหนุ่มกระชากให้อีกฝ่ายลอยไปปะทะกับเตียงแล้วตามขึ้นมาคร่อมทับ กักร่างเอาไว้ภายใต้อาณัติของเขา

                                 “คุณจะทำอะไร อย่ามาแตะต้องตัวผม”

                                 ถ้อยคำผลักไสเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่เติมลงมาให้เขายิ่งเพิ่มโทสะ

                                 ทีกับคนอื่นทำไมถึงยอมง่าย ทีกับเขาทำไมถึงได้เย่อหยิ่งและดื้อดึงจนยากจะรั้ง

                                 เขาเลิกเสื้อนอนของอีกฝ่ายออก จัดการตรึงมือที่ขัดขืนเอาไว้ ดึงรั้งกางเกงให้ร่นลง

                                 รอยแผลเป็นที่ทำให้เขานิ่งจะงักปรากฏสู่สายตาของเขา

                                 มันเหมือนกับมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง รอยแผลผ่าตัดที่แค่เห็นก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับ

                                 เขาไม่รู้ตัวว่าเอื้อมมือลงไปแตะรอยแผลนั้นเมื่อไร และนานแค่ไหน

                                 ข้อเสนอเจ็ดวันถูกบอกออกไปแลกกับภาพการร่วมรักที่เขาเก็บเอาไว้

                                 เขาใช่มันมาต่อรองและบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำตามอย่างว่าง่าย ขอแค่เจ็ดวัน

                                 เจ็ดวันที่เขาต้องการพิสูจน์ทุกคำตามที่เขาต้องการคำตอบ แค่เจ็ดวัน

 

                                                       -----------------------

                                 วันแรกผ่านไป มันดูน่าตลกสิ้นดี เขาเดินเข้ามาในครัวเพื่อ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเข้ามาในนี้

                                 ขนมผิงมีท่าทีเหม่ลอย จนข้าวต้นที่เดือดอยู่ล้นออกมา และเมื่อเข้าทักอีกฝ่ายก็กระวีกระวาดปิดเตาจนทำให้ไอร้อนลวก

                                 “ทำบ้าอะไรของนาย!!”เร็วกว่าความคิดที่เขาเอื้อมมือไปดึงมือที่ปรากฏรอยแดงเห่อไปที่ซิงค์ล้างจานแล้วเอาน้ำล้าง

                                 “ปล่อยมือผม แค่นี้ไม่ตายหรอก”

                                 “อ้อลืมไปว่านายหนังหน้า”เป็นคำพูดที่เขาเลือกจะตอบกลับไปเพื่อกลบเกลื่อนพฤติกรรมที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ

 

                                 “หวังว่านายคงจะไม่ใส่ยาพิษให้ฉันกินหรอกนะ”เป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะแก้ต่างให้การกระทำของตัวเอง

                                 “ผมไม่ได้คิดสกปรกเหมือนคุณ”

                                 “งั้นก็ดี ฉันเองก็ยังไม่อยากตายยกครัวพ่อแม่ลูกหรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์พูดออกไป

                                 ทว่าคำพูดที่พลั้งปากออกไปทำให้ความคิดของเขาชะงัก

                                 อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน

                               

                                 มื้ออาหารจบลง เป็นขนมผิงที่ต้องรับหน้าที่การดูแลปากท้องและเก็บกวาด มันทำให้เขาค่อนข้างอารมณ์ดีและพอใจที่อีกฝ่ายต้องทำหน้าที่เหมือนกับเป็นครอบครัว

                                 เขาถือเอาโอกาสที่อีกฝ่ายยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว เข้าหาเด็กๆ ขนมมากมายที่เตรียมเอาไว้ถูกเอามาล่อให้เด็กๆเข้าหา ดวงตากลมโตมองมาที่เขาตาใสแล้วปีนขึ้นมานั่งบนตัก

                                 เสียงแหลมเล็กกับถ้อยคำออดอ้อน มือป้อมๆกระตุกเข้าหาเพื่อขอขนม มันทำให้เขามีความสุขและเริ่มรู้สึกถึงสถานะที่มันขาดหายไป

                                 สถานะของความเป็นพ่อที่ควรจะเป็น

                                 ใช่…เขาเป็นพ่อของเด็กพวกนี้

                                 แต่มันเหมือนกับเป็นเรื่องตลกที่ทำให้เขาเสียหน้า

                                 คนอย่างปิญญ์ชานนท์ไม่เคยมีคำว่าผิดพลาดกับสิ่งที่ลงมือทำ แต่แล้วมันเหมือนกับเป็นการตอกหน้ากันอย่างเห็นได้ชัด

                                 “ใครเป็นคนเปลี่ยนแพมเพิตให้เด็กๆ”เสียงดูเหมือนจะไม่พอใจไถ่ถาม ทำให้ต้องละจากหน้าจอทีวีหันไปมอง

                                 แพมเพิตอะไรนั่นเขาไม่รู้จักหรอกว่ามันใช้เรียกอะไร แต่คงจะหมายถึงผ้าอ้อมสำเร็จรูปขนมผิงถืออยู่

                                 “ฉันเปลี่ยนเอง จะมีใครมาเปลี่ยนให้นอกจากฉัน”

                                 ใช่ มันเป็นการทดลองทำหน้าที่ของพ่ออย่างแรกที่เขาทำล้มเหลวเมื่อถูกตอกใส่เต็มหน้าว่าทำผิด

                                 เขาใส่ผ้าอ้อมให้ลูกผิด!!

                                 มันเป็นอะไรที่ไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดแต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว คนอย่างปิญญ์ชานนท์ก็มีเรื่องที่ทำไม่ได้เหมือนกัน

                                 แต่ก็เลือกที่จะเถียงไปข้างๆคูๆ การเถียงกันเล็กๆโดยปราศจากเรื่องบาดหมางทำให้เขาพอใจแล้วแอบยิ้มให้กับตัวเอง

                                 จนกระทั่ง

                                 “นายกำลังหาอะไรอยู่ล่ะ?”

                                 เขาถามออกไปเมื่อเห็นว่าขนมผิงกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนอน

                                 “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ”มันเป็นประโยคปฏิเสธที่ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจ

                                 “เกี่ยวสิ นายรู้ดีว่าฉันกับนายเกี่ยวข้องกันยังไง”

                                 “ผมกับคุณก็เป็นเพื่อนร่วมโลกกัน ก็แค่นั้น”

                                 คำตอบที่ได้รับ ปิญญ์ชานน์ยอมรับว่ามันเป็นการตอกย้ำความเกลียดชังของขนมผิงที่มีต่อเขา

                                 “จนป่านนี้ยังจะไม่ยอมรับอีกรึไงว่านายอยู่ในฐานะอะไร…ทุกอย่างของนายก็คือ…ของฉัน”

                                 เขาพูดย้ำ เพื่อที่จะให้อีกฝ่ายได้จดจำ

                                 ขนมผิงเป็นของเขา เป็นแม่ของลูกเขา

 

                                 “คู่แข่ง….ผมกับคุณอยู่ในฐานะของคู่แข่งยังไงล่ะ คู่แข่งที่วันหนึ่งจะทำให้คนอย่างคุณเต้นเป็นเจ้าเข้ายังไงล่ะ”

 

                                 ปึง!!!

                                 ในที่สุดก็ทนไม่ได้กับคำพูดผลักไสไล่ส่ง ทั้งที่พยายามระงับโทสะ แต่สุดท้ายก็ทำลงไป

                                 หมัดหลุ่นๆลอยไปกระแทกลงบนกระตูตู้เสื้อผ้าดังสนั่น

                                 ชั่ววินาทีเขากระชากร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแล้วบดจูบลงไปอย่างรุนแรง

                                 เป็นบทลงโทษของการไม่ยอมรับสิ่งที่เขายัดเยียด เป็นการสั่งสอนให้ได้สำนึกว่าเขาเป็นเจ้าของ ไม่มีสิทธิที่จะผลักไส

 

                               

                                 “ในระหว่างที่อยู่ที่นี่ ฉันไม่ต้องการได้ยิน หรือว่าคุยเรื่องงาน จำเอาไว้!!หากนายขืนพูดเกี่ยวกับเรื่องงานแม้แต่คำเดียว ฉันไม่หยุดไว้แค่นี้แน่”

                                 เป็นคำขู่สำหรับขนมผิง แต่สำหรับเขามันคือคำขอร้อง

                                 เขาไม่อยากให้เรื่องงานถูกดึงเข้ามายุ่งเกี่ยวในขณะใช้เวลาร่วมกัน

 

                                   “ปะป๊า คุนยุง เมื่อกี้เสียงอะไรเหยอฮับน้องหลิ่มกลัว”ปลากิมยื่นหน้าผ่านประตูเข้าเสียงเล็กๆใสใสเรียกให้เขาหันไปมอง

                                 “ไม่มีอะไรครับ คุณลุงซุ่มซ่ามสะดุดล้มไปโดนตู้น่ะครับ ปลากริมอย่าเอาอย่างนะครับ”อีกฝ่ายแกล้งตอบกลับไปคล้ายจะดิสเครดิตเขา แต่เปล่ามันกลับตรงกันข้ามมากกว่า

                                 “แล้วคุณยุงเจ็บมากไหมฮับ”

                                 ทว่าเจ้าตัวอ้วนกลมเดินมาจับมือคุณปิญญ์แล้วเป่าหน้าตาเฉย ท่าทางห่วงใยอันใสซื่อทำให้ขนมผิงแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ

                                 ทำให้เขายกยิ้มออกมาคล้ายกับโอ้อวด

                                 ปากเล็กๆเป่าลมออกมาให้เขาหายเจ็บ มันเป็นความสุขเล็กที่ที่ถูกก่อขึ้นในหัวใจของเขา

                                 เขายกมือขึ้นมาลูบหัวทุยๆนั้นอย่างเอ็นดู

                                 บางครั้งการกระทำที่ยากจะเข้าใจก็ควรจะปล่อยให้มันเลยผ่านไป
มีต่อ


 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 15-12-2015 20:03:02
ขอคนแรก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 15-12-2015 20:11:58
ดูผลตรวจ DNA ก็พอมั้งปิญญ์ อะไรต้องลากมาดูแผลผ่าคลอดกันถึงเกาะส่วนตัว


แล้วหนมผิงก็ทำตัวเป็นแผ่นเสียงตกร่องถามอะไรซ้ำไปมาอีกแล้ว
ผิงเป็นผู้ชายนะลูก ไม่ได้แตกสาวร้าวรานมาตั้งแต่แรก สู้ให้เหมือนตอนอยู่คอนโดสิ
ตอนนั้นไม่เห็นมีเครื่องช็อตฯ ต่อให้แพ้แรงอีปิญญ์ ยังสู้สุดตัวถวายหัวกันเลย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 15-12-2015 20:34:13
อยู่ด้วยกันแบบนี้คนอ่านฟินมาก

ต่างคนต่างปากหนักเหลือนเกิน

แบบนี้เมื่อไร่จะมีน้องอะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-12-2015 21:43:16
 :pig4:  7 วันจะกัดกันแบบนี้ทุกวันไหม
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-12-2015 21:48:06
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 15-12-2015 21:59:23
เหมือนพ่อง้อแม่เลย ๕๕๕
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 15-12-2015 22:33:01
7  วันนี้  ตั้งใจจะทำน้องให้ปลากริมกับสลิ่มอีกใช่มั้ย   คุณปิญญ์    :m12:
รู้แล้วใช่มั้ยอ่ะ  ว่า  ปลากริมกับสลิ่ม  เป็นลูกของตัวเอง   :hao3:
ดูผล  DNA  แล้วก็บอกมาเถอะ   :m11:
จะปากแข็งไปไหน   :hao4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 15-12-2015 23:02:50
จับมาอยู่ด้วยกันแบบนี้อยากให้ขนมผิงใจอ่อนหรือเปล่า หรืออยากได้ลองใช้ชีวิตพ่อแม่ลูกดู?

ขนมผิงก็ยังขี้โวยวายเหมือนเดิม แอบรำคาญเบาๆ55555

มีน้องให้เด็กแฝดสักคนก็ดีนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 15-12-2015 23:21:03
แอบเหนื่อย
อย่าใจอ่อนง่ายๆเชียวนะผิง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 15-12-2015 23:47:29
ผิงน่าจะใจเย็นหน่อย ดิ้นพล่านไปตามเกมประสาทของปิญญ์ทุกที
ปิญญ์รู้สึกผิดขึ้นมานิดนึงล่ะซิ อยากจะมีโมเม้นท์อบอุ่นครอบครัวแต่ก็ทำเขาไว้เยอะ ทิฐิค้ำคออีก ก็อึมครึมหน่วงๆกันต่อไป~~~
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 16-12-2015 06:14:22
ดูผลตรวจแล้วอ่าเดะ
ถึงได้เป็นขุ่นพ่อง้อขุ่นแม้แบบเน้
ตกลงจะเอางายยยย
จะเอาแม่กะลูกไว้กะตัวใช้ม้าาา
แล้วจะทำน้องไหมล่ะ มีน้องให้แฝดเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 16-12-2015 07:44:51
ทำไปทำมา นิยาย รวนไปหมด ตอนแรกเกลียดกันจะตาย พอรู้ความจิง อยากเป็นพ่อมาเลย ขนมผิงน่าลำคานมาก ถึงมากที่สุด ดีแต่อะไรไม่รู้ น่าเบื่อมากกก อ่านแล้วค่อนข้างเบื่อเลย ทำไปทำมา เดี๋ยวก็ อยู่ใกล้กันก็เริ่มดีกันรักกัน จบ!!!!
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17.2 ลักพาตัว ❖ 15-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 16-12-2015 14:05:43
ตอนนี้มุ้งมิ้งมาก ชอบ อบอุ่นน่ารัก ปินส์รู้ความจริงแล้ว เย้
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 17-12-2015 19:44:09
รักนะจ๊ะ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 17-12-2015 19:51:10
คนแรกอีกละ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 17-12-2015 19:57:08
เง้อ....สั้นจริงด้วย  :mew5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 17-12-2015 20:00:23
ขนมผิงมองคนอื่นในแง่ร้ายไปหน่อยไหม

เอาแต่คิดว่าคนอย่างคุณปิญญ์ เป็นคนถูกถูกคนอื่น คนเห็นแก่เงิน

แล้วการที่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ ผู้ชายเน้อ..ไม่เคยทำ แต่..ขนมผิงกลับมองว่าไว้ใจไม่ได้

นี่คืออะไร สับสนในความคิด หรือว่ามีปัญหาในการพูด

บอกก่อนว่ายังไงก็เชียร์คุณปิญญ์จ้า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ben ที่ 17-12-2015 20:59:16
ตอนนี้ปิญน่ารัก ยอมรับ5555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-12-2015 21:45:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 18-12-2015 01:28:39
 :mew6:สั้น
แต่รอได้ ตอนนี้นอมคุณปิญ
พี่แกหูแดง สงสัยอาย
รอค่า มาต่อไวๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 18-12-2015 02:22:32
ปิญตกลงรุ้แล้วใช่ไหมว่าใครเปนใคร
ดูผลตรวจแล้วดิ
หน้าเท้าเปนฝ่ามือเลยว่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-12-2015 02:29:59
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 18-12-2015 05:57:32
มาสั้นๆก็ยังดีกว่าไม่มาเลยน้า อิอิ คุณปินส์เริ่มปรับปรุงตัวแล้วเหลือขนมผิงที่ยังตั้งแง่มีทิฐิอยู่
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 18-12-2015 22:52:36
สั้น แต่ก็ดีใจที่ได้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่ ❖ 17-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 20-12-2015 11:19:40
รักกันไวๆละคู่นี้   :L1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-12-2015 18:42:32
ต่อ
                               

                                 ชายหนุ่มพาเด็กๆออกมาเล่นน้ำบริเวณหาดด้านหน้าของเกาะ ซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นแม่ที่หวงลูกอย่างขนมผิงต้องตามมาติดๆด้วยการสวมกางเกงขาสั้นของเขาเพียงตัวเดียวแทนกางเกงว่ายน้ำ

                                 เขาจงใจไม่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ขนมผิงเพื่อจะกลั่นแกล้ง เป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายนั้นยอมจนมุม

                                 การแข่งขันเล็กๆเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆต่างก็ขี่คอของเขาและขนมผิงเพื่อที่จะตัดสินว่าใครขึ้นได้สูงกว่าใคร

                                 มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเพียงชั่ววูบ แผ่นอกเปลือยสีขาวกับใบหน้าแดงก่ำชื้นเหงื่อทำให้เขารั้งเอวนั่นเข้ามาชิด

                                 “นายจะพยายามไปทำไมในเมื่อนายเองก็รู้ว่าต้องแพ้อยู่ดี”เหมือนจะถามถึงความสูงที่กำลังแข่งขัน

                                 แต่กลับแฝงไปถึงเรื่องเกมทางธุรกิจที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้มากกว่า

                                 “ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือไม่ได้”

                                 เป็นคำตอบที่ช่างดื้อรั้นพร้อมกับมือที่ยกขึ้นมาผลักไสเขา

                                 “แล้วนายจะดันทุรังทำไปทำไมในเมื่อมันไม่มีประโยชน์”

                                 “ผมทำทุกอย่างเพื่อลูกๆของผม จะอะไรผมก็ทำทั้งนั้น ไม่สนว่าทำได้หรือไม่ได้”ขนมผิงหลบสายตา ไม่มองตอบเขา

                                 ถ้าให้เขาเลือกได้ เขาคงจะย้อนกลับไปแล้วทำทุกวิธีทางไม่ให้เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น

                                 “แล้วตัวนายล่ะ มีความสุขหรือเปล่า”

                                 “แน่นอน ถ้าลูกผมมีความสุขผมก็มีความสุข ถอยออกไป”

                                 เขาถูกผลักให้ถอยออก แต่เด็กๆที่อยู่ด้านบนเหมือนจะเป็นใจแทนความคิดของเขา

                                 เขายังไม่อยากจะผละออกตอนนี้ เด็กๆด้านบนจุ๊บกันอย่างสนุกสนาน

                                 เขาเองก็อยากจะสนุกอย่างนั้นเหมือนกัน ตอนนี้เขาไม่อยากจะฝืนความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว

                                 ทางเดียวที่เขาจะได้คำตอบทั้งหมดก็คือ…ปล่อยความรู้สึกทั้งหมดให้มันเป็นไป

                                 เขาโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าขาวสะอาด แล้วจูบลงบนริมฝีปากเม้มตรง

                                 เขายอมรับอย่างเต็มใจว่าเขาฉวยโอกาส

                                 “คุณมันโรคจิต”

                                 “หึหึ”เขาหัวเราะออกมาในลำคอเมื่อท่าทีของขนมผิงในเวลานี้พยายามกลบเกลื่อนความอับอายและความตกใจเอาไว้ไม่มิด

                                 เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน…



                                 เขาอาศัยช่วงเวลาที่ขนมผิงพาเด็กๆเข้านอนกลางวัน ติดต่อไปยังจิตแพทย์คนเดิม

                                 คำถามที่เขาได้มาตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว ถึงมันจะยังไม่ทั้งหมด

                                 “ผมคิดว่าผมได้คำตอบที่คุณถามผมแล้ว”

                                 ‘ค่ะ ไหนลองว่าคำตอบของคุณมาสิคะ’

                                 “ผมคิดว่าผมต้องการมองเห็นพวกเขาตลอดเวลา”

                                 “แค่นั้นเหรอคะ แต่หมอคิดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เอาอย่างนี้ หมอจะให้คำถามที่มาจากคำตอบของคุณ หมออยากให้คุณถามตัวเองว่า ทำไมคุณถึงต้องการจะมองเห็นเขาตลอดเวลา”

                                 “ก็ได้ ผมจะลองไปคิดดู”

                                 คำถามที่ได้มาใหม่ เพราะอะไรเขาถึงต้องการมองเห็นขนมผิงกับเด็กๆอยู่ในสายตาตลอดงั้นเหรอ

                                 นั่นสินะ…เพราะอะไร?

                                 เขาเดินออกมาจากห้องครัวเห็นอีกฝ่ายนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น

                                 เขาทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆมองดูเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย

                                 “นายเป็นลูกของคุณพิษณุจริงๆเหรอ”เขาถามออกไป แต่แล้วคำตอบที่ได้มากลับเป็นคำตอบที่ดูเหมือนจะยั่วโทสะของเขาอีกครั้ง

                                 เขาดึงขนมผิงเขามาหาเพราะไม่พอใจในคำตอบที่ได้รับ ขนมผิงยังคงมีท่าทีก้าวร้าวและปฏิเสธเขาเหมือนเดิม

                                 “อย่ามาแตะตัวผม มันน่าขยะแขยง คุณไม่รู้รึไง”ขยะแขยง เป็นคำที่ทำให้สติของเขาขาดผึ่งขึ้นอีกรอบ

                                 “อะไรนะ นายกล้าพูดว่าขยะแขยงผัวตัวเองรึไง!! ฉันอุตส่าห์ใจเย็นกับนายแล้วนะ”

                                 “คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสวมหน้ากากนี่”อีกฝ่ายยิ้มยั่ว ทั้งที่เขาพยายามจะระงับอารมณ์

                                 “อย่ามายั่วโมโหฉันนะ ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่”

 

                                 “คุณก็อย่ามาบังคับผมให้มันมากนักนะ”

                                 ขนมผิงจงใจใช้เท้าถีบมาที่หน้าท้องงของเขา แจ่การต่อต้านแค่นี้มันไม่ได้ส่งผลกระทบกับเขาสักเท่าไร

 

                                 “ขนมผิง!! นายอย่ามาดื้อด้านไปหน่อยเลย”

                                 “คุณก็อย่ามายุ่งกับครอบครัวของผม อย่ามาแตะต้องลูกผม อื้อ”

                                 เขาบดจูบลงไปเพื่อกักคำพูดพวกนั้นเอาไว้ไม่ให้พูดออกมา ริมฝีปากของเขาบดขยี้บนริมฝีปากนุ่ม

                                 “ปล่อย สิ บ้า เอ้ย”ขนมผิงพยายามเบือนหน้าหนีทำให้เขาซุกหน้าลงกับซอกคอ

                                 “นายผิดเองที่ยั่วโมโหฉัน”

 

                                 “นายเลิกยั่วโมโหฉันสักที”เขาบอกออกไป พลางมองใบหน้าที่ดูจะโกรธเคืองนั่น

                                 “คนแบบคุณมันน่ารำคาญ”

                                 “ต้องเป็นเหมือนนายวุฒิรึไง นายถึงจะชอบน่ะ”เขาประชดออกไป

                                 “คนอย่างคุณเทียบเขาไม่ได้หรอก”

                                 “แล้วจะต้องเป็นแบบไหนล่ะ นายถึงจะยอมรับ”ถามออกไปเหมือนจะมีความหวัง แต่เปล่าเลย เมื่อคำตอบที่ได้กลับมาเป็นเหมือนกับมีดโกนที่ตัดเยื่อใยบางๆให้ขาดสะบั้นลง

                                 “แบบไหนผมก็ไม่ยอมรับทั้งนั้น ถ้าเป็นคุณ”

                                 แล้วขนมผิงก็เดินหนีออกไป มันเป็นครั้งแรกที่เขายอมรับความรู้สึกของตัวเอง ที่เป็นราวกับฝ่ายที่พ่ายแพ้

                                 พักใหญ่ที่ขนมผิงเดินออกไป เขาเดินตามออกมา ทอดมองคนที่กำลังมองออกไปยังท้องทะเลที่กว้างไกล

                                 เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงที่จะทำให้ขนมผิงเลิกต่อต้านเขาสักที

 

 

                                 มื้อเย็นของวันแรกเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆยังคงเดิม มันแปลกไปจากชีวิตในทุกๆวันของเขาที่ค่อนข้างจะเงียบเชียบ

                                 “อาหย่อยไหมฮับ ปะป๊าทำกับข้าวอาหย่อย”เจ้าตัวกลมคนน้องยิ้มแป้นให้เขาพลางเคี้ยวข้าวจนเต็มแก้ม

                                 “นั่นสินะ อร่อยผิดคาดเลยล่ะ”คุณปิญญ์ยิ้มออกมาเมื่อท่าทีน่าเอ็นดูนั้นทำให้เขามีความสุข

                                 ใช่…เขากำลังมีความสุข กับบรรยากาศที่ไม่เคยได้รับ

                                 บรรยากาศของครอบครัว

 

 

                                 “ยุงปิญญ์ฮับ”เจ้าแสบน้องปีนขึ้นมานั่งบนตักเงยหน้ามองเขาตาใส

                                 “ว่าไงล่ะ หืม”

                                 เขาถามออกไปแล้วรั้งเจ้าตัวอ้วนมานั่งบนตักในท่าที่ถนัด

                                 มืออวบๆกวักมือให้ก้มลงไปแล้วกระซิบอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ใจของเขาอุ่นวาบขึ้นมา

                                 “อยากให้ยุงเป็นเป็นพ่อนะฮับ”สลิ่มยิ้ม

                                 “ไม่รู้สิ นั่นมันก็ขึ้นอยู่ว่าปะป๊าของพวกนายจะยอมรึเปล่า”เขาบอกเสียงเบา

                                 “งั้นจุ๊บหน่อยฮับ”

                                 เจ้าตัวแสบเงยหน้าทำปากจู๋ให้ อดไม่ได้ที่จะต้องก้มลงไป

                                 ไม่นานคนพี่ที่นั่งอยู่บนตักของขนมผิงก็ลุกขึ้นมาสลับที่กับคนน้องที่อยู่บนตักเขา

                                 “เอาจูบของปะป๊ามาฝากฮับ จุ๊บ”

                                 มันเป็นเรื่องเล็กๆที่ทำให้หัวใจที่ด้านชาของเขากำลังมีความสุข

 

                                 เขาตัดสินใจให้ขนมผิงนอนในห้องกับเด็กๆ เขาจะไม่พยายามบังคับขนมผิงอีกแล้วหากไม่จำเป็น

                                 เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายอึดอัด ยังไงซะ ยังเหลือเวลาอีกหากวันที่เขาจะหาคำตอบให้กับตัวเอง

                                 แต่ไม่รู้เพราะอะไรก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดลง เขากับเลือกที่จะดึงเอาอีกฝ่ายเข้ามาจูบ

                                 หรือเพียงแค่ต้องการเห็นท่าทีของอีกฝ่ายเพียงแค่นั้น

                               

                                 “ของแบบนี้ฉันไม่ชอบรับฝากจากใคร”

                                 ใบหน้าแดงก่ำที่ซ่อนในเงาสลัวทำให้เขาได้ใจ และยอมถอยออกมาจากพื้นที่ของอีกฝ่าย

 

                                 พอรุ่งเช้าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คงไม่พ้นผ้าห่มที่คลุมกายของเขา

                                 ทว่าอาการไม่สบายของเขามันกลับกำเริบขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่คิดว่าหายดีแล้ว

                                 เขาคิดว่าคนที่เกลียดชังเขาอย่างขนมผิงคงจะสะใจและมองเมินเขาที่เขานอนซมเพราะพิษไข้

                                 แต่เปล่าเลย เมื่อขนมผิงกลับมาเช็ดตัวและดูแลเขา ถึงแม้ว่าท่าทีของขนมผิงนั้นจะดูไม่เต็มใจก็ตาม

                                 มันค่อนข้างจะแย่ที่เด็กๆถูกกันตัวให้ออกห่างจากเขา แต่ถึงอย่างนั้น ท่าทีที่เด็กๆมีต่อเขาทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย

                               

                                 อาการไข้ของเขายังคงอยู่ต่อมาอีกหลายวัน เขาได้แต่มองลูกๆอยู่ไกลๆ มีบ้างที่ขนมผิงจะยอมให้เจ้าตัวกลมทั้งสองต่างก็กระโดดไปมา วิ่งเข้าไปขาเข้าใกล้เด็กๆ แต่เขาเองก็ยอมเพราเป็นห่วงเด็กๆเหมือนกัน

                                 เขามองไปที่เด็กๆกำลังอวดภาพวาดให้กับขนมผิง ขนมผิงมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ต้องคลายลง

                                 เด็กๆต่างกระโดดโลดเต้นแล้วปีนขึ้นมาหาเขา

                                 ชั่วเวลาที่อีกหันไปมองรูปวาดรอยยิ้มของเขาก็ปรากฏขึ้นมาทันที         ‘PAPA KRIM HLIM D’PIN’

                                 ตัวอักษรภาษาอังกฤษง่ายๆถูกลงไป ตัวD ปริศนานำหน้าชื่อเขาเรียกให้ความสงสัยเกิดขึ้น

                                 “D’อันนี้คืออะไรครับ”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ไม่ขยับเข้าไปใกล้เพราะกลัวเด็กๆจะติดไข้

 

                                 “อันนี้คือแดดดี๊ฮับ แต่ยุงปิญญ์ห้ามบอกปะป๊านะฮับ ปะป๊าจะโกรธ”

                                 “ใช่ฮับ ห้ามบอกนะฮับป๊าป๊ะจะไม่ยิ้ม”คนน้องเสริมพากันหัวเราะคิกคัก

                                 เขายิ้ม ยิ้มไม่รู้ตัวให้กับประโยคอันไร้เดียงสานั่น

                                 ยิ้มโดยที่ไม่รู้ว่าใครอีกคนมองมาด้วยความอิจฉา

 

                                 วันเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ หลังมื้อเย็นของวันที่ห้า เขาเลือกที่จะไม่ทานยาเพราะคิดว่าอาการของเขาค่อนข้างจะหายดีแล้ว

                                 ในความคิดของเขาเขาคิดว่าอะไรหลายไอย่างมันกำลังจะลงตัว

                                 คำตอบของเขาในตอนนี้คือเขาต้องการที่จะอยู่ใกล้ขนมผิงกับลูกๆตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ต้องการจะมองเห็นเท่านั้น

                                 ทำให้คำถามใหม่ของเขาคือการที่เขาต้องหาคำตอบว่า ทำไมเขาถึงต้องการใกล้ชิดกับขนมผิงและลูก

                                 เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อรู้สึกกระหายน้ำ คนที่ควรจะอยู่ข้างกายกลับหายไป

                                 ไฟในห้องครัวถูกเปิดสว่าง ทำให้เขาเลือกที่จะเดินเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

                                 เสียงของขนมผิงดังลดออกมาทำให้หัวใจหล่นวูบราวกับถูกฉุดด้วยแรงที่มองไม่เห็น

                                 เขาจงใจเดินย้อนไปและย้อนกลับมาอีกครั้งด้วยฝีเท้าที่เน้นย้ำ

                                 ใบหน้าที่แสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้เขานึกโกรธเคือง

                                 ทำไมถึงต้องทำราวกับว่าต้องการจะหลุดพ้นและหนีไปให้ไกลจากเขา

                                 ‘ฮัลโหล คุณผิง ได้ยินผมไหมครับ คุณผิง คุณได้ยินไหม คุณจะให้ผมไปรับที่ไหน ผมเป็นห่วงคุณนะครับ  ฮัลโหล ฮะ’

                                 เขาแทบอยากจะเหวี่ยงเครื่องมือสื่อสารนั้นทิ้งให้มันแหลกไม่มีชิ้นดี แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นทำให้ขาต้องละเว้น

                                 ทั้งที่เขาพยายามจะมองอีกฝ่ายในมุมมองที่คิดว่าไม่เคยเห็น

                                 แต่มันก็แค่นั้นในเมื่อขนมผิงยังคงเป็นขนมผิงที่เขารู้จัก

                                 คนที่ไม่เคยเชื่องกับเขาสักที

 
                                               ---------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-12-2015 19:08:38
คนแรกอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 20-12-2015 19:15:12
ปกติผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบกางเกงจะมีตัวที่บอกว่าด้านไหนข้างหน้าหรือข้างหลังนะ
ถ้าหาดว่าไม่เป็นตัวอักษรบอก *back* ก็จะเป็นตัวการ์ตูนเช่นรูปก้น+หางช้าง  หรือว่าบางอันจะมีตัวเทปที่เอาไว้ติดเวลาห่อผ้าอ้อมใช้แล้วก็เลยรู้กันว่าถ้ามีเทปจะเป็นข้างหลัง     สมัยก่อน (10กว่าปีก่อนแล้วมั๊ง  ลุกชายเราเป็นหนุ่มแล้ว) เคยมีแบบที่แยกผู้หญิงผู้ชาย  เพราะผู้ชายจะหนาข้างหน้าเพราะช้างน้อยหันไปข้างหน้า  ของผู้หญิงจะหนามาทางกลางๆ+ข้างหลัง   แต่ก็มีพ่อแม่ฝรั่งประท้วงเพื่อความเท่าเทียมทางเพศก็เลยหายไป  เราไม่ได้ใช้ของเมืองไทยก็เลยไม่แน่ใจว่าเมืองไทยมีหรือเปล่า

ปิญญ์ดูผ่อนคลายลงมากๆ  ไม่น่ารังเกียจเหมือนทุกที เป็นป๊ากับพ่อก็โอเคนะ   เป็นผิงเองที่ดูตึงเครียด   แต่ความรู้สึกที่ไม่อยากให้ลูกชอบพ่อมากกว่านี่เข้าใจนะ  ถึงเป็นสามีภรรยากันจริงๆก็มีโหมดนี้กัน   ภรรยาที่ไม่อยากให้สามีรักลูกมากกว่าตนและกลับกัน   ภรรยาที่ไม่อยากให้ลูกรักสามีมากกว่าตน+กลับกัน    ช่วงเล็กๆนี่ลูกจะขึ้นอยู่กัยแม่มากๆเลยโดยเฉพาะที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่   บางทีก็ทำให้สามีเหมือนคนนอก   ลูกจะติดแม่มากๆ จนหย่านมเริ่มโต  ไปไหนมาไหนกับพ่อ  ทีนี้ก็จะเกิดอาการติดพ่อ(ที่เล่น+ใกล้ชิดลูก) แม่ก็เกิดอาการหวงขึ้นมา

คนที่ปิญญ์คุยด้วยทางโทรศัพย์อาจจะเป็นแม่หรือพ่อของผิงก็ได้นะ   
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: VentoSTAG ที่ 20-12-2015 19:21:34
โอ้ยต๋าย...ปิญญ์เกิดหายจากโรคเหยียดกระทันหัน :a5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-12-2015 19:40:22
เพลียกับคู่นี้จริงๆ

ที่อยากรู้คือจะยอมรับ และ รักกันอีท่าไหน

เพราะมองไม่เห็นทางเลย

เดี๋ยวอยู่ๆกันไปก็รักกันไปเอง หรือ ตีกันตาย อิอิ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 20-12-2015 19:59:50
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 20-12-2015 21:31:47
โยนสติไปหาสองหนุ่ม...ใจเย็นๆค่าจุดเดือดต่ำทั้งคู่จะคุยกันรู้เรื่องไหม
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 20-12-2015 23:45:47
เหอๆ ทำไมเรารำคาญปิญญ์ เซ็งผิงด้วย
แต่ยังไงก็รักแฝดน้าาาา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mooobiin ที่ 21-12-2015 00:04:44
พระเอกน่าจะไปพบ จิตแพทย์ได้แล้วนะเราว่า อารมณ์ขึ้นลงบ่อยเกินน.
รู้สึกจะอินมากไป =*= :a5: :katai1: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 21-12-2015 00:46:56
ส่งปิญไปหาหมอโรคจิต
ส่งผิงไปปรับทัศนคติ
ด่วนนนน
แต่ละคนใจร้อนทั้งนั้นนนน
เมื่อไรจะคุยกันรุเรื่อง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 21-12-2015 01:31:39
จะไปพบจิตแพทย์แทนแล้วนะ  เพลียกับคู่นี้จริงๆ      :mew5:

อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ  จนอารมณ์จะเป็นแบบนั้นด้วยแล้วน่ะสิ      :katai1:

เมื่อไหร่จะรักกันซะทีเน้อออออออ   รอจนถั่วเขียวกลายเป็นถั่วงอกแล้ว   :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 21-12-2015 10:08:46
สงสารแฝดมาก พ่อแม่ป่วยทางอารมณ์ทั้งคู่ พ่อก็ขี้หงุดหงิด ปากแข็ง   แม่ก็มีแต่ทิฐิกับอคติตลอด ครอบครัวแบบนี้เมื่อไรจะให้ลูกๆมีความสุข   ลุ้นๆ หวังว่ารักกันแล้ว ทั้งคู่จะปรับปรุงตัวเพื่อลูก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-12-2015 06:29:12
ตามด้วยยย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 22-12-2015 22:33:32
แอบคิดว่าที่ปิญญ์ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น (เป็นพักๆ) เพราะคุยกับจิตแพทย์แล้วหรือเปล่า?

แล้วที่แอบคุยโทรศัพท์นั่นก็จิตแพทย์...ใช่ไหม? (มโน)
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ดวงตะวัน ที่ 23-12-2015 11:03:13
ขอให้คุงยุงปิงปรับปรุงตังเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 27-12-2015 00:57:28
มารอลุงปิญญ์
าต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 18 คุณพ่อมือใหม่+ ทิฐิ ❖ 20-12-58 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: white_destiny ที่ 08-01-2016 00:24:59
คนเขียนหายยย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19 ฝากจูบ ❖ 11-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 11-01-2016 02:14:50
ย้าย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19 ฝากจูบ ❖ 11-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-01-2016 03:28:54
 :katai1: :katai1: :katai1:  เจ้าแฝดนี้เจ้าเลห์เหมือนพ่อเลยนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19 ฝากจูบ ❖ 11-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: น้องแมว ที่ 11-01-2016 09:52:04
แสบจริงๆเด็กพวกนี้     :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19 ฝากจูบ ❖ 11-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-01-2016 11:03:09
เจอเด็กๆ ป่วนซะแล้วมั้ยล่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19 ฝากจูบ ❖ 11-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 11-01-2016 19:35:34
ตอนนี้เจ้าแฝดเอาใจป้าไปเต็มๆเลยลูก น่ารักน่าชัง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19 ฝากจูบ ❖ 11-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 11-01-2016 20:36:59
เด็กๆเป็นการ์วใจซินะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-01-2016 19:57:22
19 ไร้ประโยชน์

 

                                 ผ่านไปหกวันขนมผิงเดินถือตะกร้าผ้าว่างเปล่าเข้ามาข้างในหลังจากตากผ้าที่ซักเสร็จเรียบร้อย

                                 ไม่มีเวลาไหนเลยที่จะพอมีช่องว่างได้อยู่ตามลำพังหรือเวลาที่อีกฝ่ายเผลอ

                                 ร่างสูงโปร่งปรายตามองอีกฝ่ายก่อนจะนั่งลงบนพื้นบุโฟมนิ่มข้างเด็กๆ

                                 ถึงจะเหลือเวลาอีกแค่สองวัน แต่ยังไงซะเขาเองก็ไม่ต้องการที่จะให้เวลามันยืดเยื้อ

                                 เขาต้องการออกไปจากที่นี่เพื่อสานต่อสิ่งที่วางแผนเอาไว้ การเซ็นสัญญาระยะยาวกับทางคู่ค้าสิงคโปร์ที่กำลังจะมาถึง มันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการจัดลำดับครั้งใหม่

                                 ตอนนี้เขากำลังร้อนรน เครื่องมือสื่อสารตัวแปรสำคัญในการปลดเปลื้องอิสระอยู่ใกล้แค่เอื้อม

                                 หากแต่ปิญญ์ชานนท์ไม่เว้นระยะห่างจากเขาและเจ้าเครื่องมือชิ้นนั้นเลย

                                 อีกทั้งตัวการสำคัญสำหรับการต่อรองครั้งนี้ เขาเองยังไม่ได้มันมาไว้ในมือ ภาพคลิปน่ารังเกียจนั่นทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่ราวกับเป็นผู้พ่ายแพ้

 

                                 “ผมมีอะไรออยากจะคุยกับคุณ”

                                 เป็นขนมผิงที่พูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน ปิญญ์ชานนท์เงียบกว่าที่เคยเป็นในช่วงหกวันที่ผ่านมา

                                 ชายหนุ่มหันมามองเขาอยู่วูบหนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินนำเข้าห้องนอนไป

                                 “เล่นอยู่นี่นะครับ ห้ามไปไหน เดี๋ยวป๊ากับลุงปิญญ์มา”

                                 “ฮับ/ฮับ”

                                 พอเจ้าตัวอ้วนที่กำลังนั่งนอนวาดรูประบายสีกันเพลินๆเงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้นรับคำ ขนมผิงถึงได้เดิมตามปิญญ์ชานนท์เข้ามาด้านใน

 

                                 “ผมต้องการไฟล์ทั้งหมดตอนนี้”ขนมผิงเปิดปากพูดพลางหันไปมองลูกชายผ่านบานประตูไปพลางๆ

                                 “ได้สิ”ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงท่าทางไม่ทุกข์ร้อนแต่ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใดใดรับคำ

                                 ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ของความคิดที่กำลังเกิดขึ้น

                                 มันเหมือนกับว่าภายในใจของเขากำลังแบ่งพรรคพวกและกำลังทะเลาะกันอย่างบ้าคลั่ง

                                 “งั้นก็เอามาได้แล้ว เรื่องจะได้จบสักที”ขนมผิงยืนกอดอกมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่ต่างกัน

                                 บรรยากาศในห้องมีเพียงความเงียบงัน นานครั้งถึงจะมีคำพูดของแต่ละฝ่ายพูดขึ้นมา ประกอบกับเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าสองแสบที่จะดังลอดเข้ามานานๆครั้ง

                                 “ฉันไม่มีมันแล้ว”

                                 “หมายความว่ายังไง”ขนมผิงถามเสียงแข็งไม่พอใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน

                                 “ฉันลบมันทิ้งไปหมดแล้ว ก่อนที่จะมาที่เกาะนี่”

                                 “ผมไม่เชื่อ!!”เขาจะไม่มีวันเชื่อคนที่ใช้วิธีสกปรกอย่างปิญญ์ชานนท์แน่นอน

                                 “นั่นมันก็แล้วแต่นาย จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ”ปิญญ์ชานนท์บอกก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไป

                                 เขาลบทุกอย่างที่เป็นเครื่องมือต่อรองตั้งแต่ก่อนจะมาที่เกาะนี้แล้ว

                                 เขาไว้ใจขนมผิงมากพอที่จะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมอยู่ที่นี่อย่างสงบถ้าหากโดนเขาข่มขู่เอาไว้

                                 แต่เปล่าเลย ขนมผิงยังคงดื้อรั้งและดันทุรังที่จะหนีเขาต่อไป และเลือกที่จะไปซบอกคนอื่น

                                 คนที่ไม่ใช่เขา…

                                 แน่นอน มันเหมือนการถูกเหยียบย่ำสิ่งที่เขาต้องการยื่นให้มากกว่า เขายอมถอยครึ่งก้าวลดทิฐิลงมาเพื่อจะได้ใกล้ชิด คิดว่ามีด้านที่เขาไม่คอยมองเห็น

                                 แต่กลับกลายเป็นว่าด้านที่เขามองไม่เห็นนั้นไม่มีอยู่จริง

                                 เขาคงคิดไปเอง….

                                 ครั้งแรกที่เจอกัน มันก็คงเป็นแค่ฝัน เป็นแค่ภาพลวงตาที่เอามาใช้หลอกล่อให้เขาตายใจ

 

                                 “ไปเล่นน้ำกันไหม”เขาเดินออกมาแล้วนั่งลงบนพื้นข้างเจ้าตัวเล็กทั้งสอง

                                 “เย้ ไปฮับ กิมไปเล่นน้ำกะยุงปิน”

                                 “ไปเล่นน้ำ เย้ๆ”

                                 พอได้ยินดังนั้นเด็กๆก็พากันลุกขึ้นกระโดดไปมาอย่างดีใจแล้วกอดคอชายหนุ่ม

                                 ปิญญ์ชานนท์ปรายตอมองอีกคนที่เดินออกมาจากห้องนอน ชั่วครู่ที่ขนมผิงชะงักเมื่อเห็นเด็กๆกำลังกอดคอเขาด้วยท่าทางดีใจ

                                 แต่เขาจะไม่ใส่ใจมันอีกต่อไปแล้ว

                                 สิ่งที่เขาต้องใส่ใจตอนนี้คือเด็กที่มีเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ในร่างกายมากกว่า

                                 ปิญญ์ชานนท์ลุกขึ้นเดินผ่านขนมผิงเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง

                                 ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่อากาศธาตุเท่านั้น

                                 เขาออกมาในชุดกางเกงขาสั้นใส่สบายตัวเดียวเผยให้เห็นแผงอกแน่นกล้ามเนื้อในมือมีกางเกงว่ายน้ำตัวเล็กสองตัวถือเอาไว้

                                 “ปะป๊าไปเล่นน้ำกันนะฮับ”ปลากริมกระโดดเข้าไปดึงชายเสื้อของขนมผิงดึงให้ก้มลงมามองสีหน้าออดอ้อน

                                 “นะฮับปะป๊า”สลิ่มเองก็เข้าไปช่วยกันอ้อนเช่นกัน

                                 ถึงจะยังเป็นเด็กไม่รู้ว่าสิ่งทำอยู่คืออะไร แต่การมีผู้ใหญ่สองคนอยู่เคียงข้างมันคงรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวมากกว่าแต่ก่อนทำให้เริ่มที่จะร้องขอในสิ่งที่ต้องการ

                                 “อืม ไปกันเถอะครับ ปะป๊าว่าจะเตรียมทำมื้อเที่ยง”ขนมผิงบอกปัด

                                 เป็นครั้งแรกที่ปฏิเสธลูกชายและปล่อยให้ปลากริมกับสลิ่มไปกับคนอย่างปิญญ์ชานนท์

                                 แต่ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามที่ปิญญ์ชานนท์คาดเดาเอาไว้

                                 คนที่ชอบล่อหลอกคนอื่นอย่างขนมผิงจะยอมแลกเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

                               

 

                                 ลมทะเลพัดไม่แรงนักประกอบกับสภาพอากาศแสงแดดอ่อนๆ ปิญญ์ชานน์กำลังทำสิ่งที่ขัดกับสิ่งที่เป็นตัวตน

                                 เขาโยนแฝดคนพี่ขึ้นสูงเรียกเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ในขณะเดียวกันก็มีแฝดคนน้องขี่คอหัวเราะร่างอยู่เช่นเดียว

                                 เขาปลายตามองไปยังบ้านที่อยู่ไม่ไกล

                                 เขากำลังมีความสุข….เขากำลังโกหกตัวเอง

                                 เขายิ้มให้กับเด็กๆ แต่ใจไม่สามารถตัดใครอีกคนออกไปจากความคิดได้

                                 เขาพยายามแยกเด็กสองคนออกจากขนมผิง แต่มันยากเกินไปที่จะตัดออกจากกันได้ ในเมื่อความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองกับขนมผิงคือแม่ลูกกัน

 

                                 เสียงหัวเราะดังแข่งกับเสียงคลื่นลม ปิญญ์ชานน์ตัดใจที่จะบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองยังบ้านหลังนั้น ไม่ให้คาดหวังว่าคนคนนั้นจะไม่ทรยศ

                                 เขาคาดหวังว่าขนมผิงจะไม่ใช่โอกาสที่เขามีให้ทำในสิ่งที่เขาไม่อยากให้มันเกิด

 

                                 ทางด้านขนมผิง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาฉายแววโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างชัดเจน โทรศัพท์ที่เคยซ่อนอยู่ในตู้เบรกเกอร์ไร้วี่แววขีดสัญญาณขึ้นเตือน

                                 ไม่มีแม้สักขีดเดียว

                                 อุตส่าห์มีโอกาสที่ปิญญ์ชานนท์จะเผลออยู่แล้วเชียว

                                 มันหมายความว่ายังไงกันแน่ที่ซิมถูกถอดออกไป

                                 เขาโกรธจนแทบบ้า เป็นโอกาสเดียวที่เหลืออยู่ ความหวังที่ถูกตั้งเอาไว้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี

                                 ขนมผิงกำมือแน่น อยากจะปาเครื่องมือสื่อสารให้มันกระแทกกับกำแพงจนพังไม่เหลือชิ้นดี แต่ก็ทำไม่ได้

                                 เขาจะต้องติดอยู่ที่นี่อีกสองวัน

                                 แค่คิดมันก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว

                                 ปิญญ์ชานนท์…คนอย่างปิญญ์ชานนท์มันสกปรกเกินจะอยากจะอยู่ใกล้ไปมากกว่านี้

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 “นั่น นายเป็นอะไร”ปิญญ์ชานนท์ถามทันทีที่เดินเข้ามา

                                 ดวงตาคมกริบจ้องมองผ้าพันแผลพันอยู่ที่มือของอีกฝ่าย รอยสีแดงเล็กๆซึมออกมาบ่งบอกถึงสภาพของแผลว่าต้องมีเลือดตกยางออก

                                 “นั่นมันเรื่องของผม”ขนมผิงปัดมือของชายหนุ่มออกทันที

                                 เขาหันหลังเข้าหาหม้อที่กำลังเดือดจนควันกรุ่น พยายามซ่อนใบหน้าที่แสดงออกถึงความเจ็บแค้นจนแทบอยากจะพุ่งเข้าไปกระหน่ำทุบอีกฝ่าย

                               

                                 ปิญญ์ชานนท์ได้แต่มองเบื้องหลังของขนมผิง เขารู้สึกเหนื่อยใจ เหนื่อยทั้งความรู้สึกของตัวเองที่มันกำลังรวน

                                 เขาเกลียดที่ขนมผิงเป็นคนแบบนั้น ในแบบที่เขาทั้งเกลียดทั้งโกรธแค้น แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้ต้องการให้ขนมผิงอยู่ข้างๆ

                                 ตลอดหกวันที่ผ่านมาเขาโง่เองที่เชื่อว่าจะมีด้านที่ไม่เคยมองเห็น

                                 ปิญญ์ชานนท์หันหลังเดินออกมาอย่างเงียบๆ

                                 ต่างฝ่ายต่างหันหลังให้กัน

                               

                                 “ยุงปินฮะ อาบน้ำ”เจ้าแสบคนพี่ผิวสีแทนชูมือชูไม้ยิ้มแป้นให้เขา

                                 เด็กยังไงก็เป็นเด็ก ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้น

                                 “อืม ไปสิ”

                                 ปิญญ์ชานนท์พยักหน้าอุ้มเจ้าตัวกลมทั้งสองไปอาบน้ำ

                                 เขาไม่รู้ว่าทำไมขนมผิงถึงปล่อยให้เขามีโอกาสเข้าใกล้ตัวเด็กๆโดยไม่บ่นไม่ขัดขวาเหมือนเก่า

                                 แต่มันก็เป็นการดี…เขาอยากที่จะชดใช้เวลาที่ขาดหายไป

                                 “ปกติใครอาบน้ำให้พวกเธอกัน”

                                 “อยู่ที่อังกิดปะป๊ากับคุงอาทัพอาบให้”

                                 “ใช่ฮะ แต่พอกลับมาคุงยายอาบให้ตลอดเพราะปะป๊างานยุ่ง”

                                 ชื่อของคนที่เขาไม่เคยได้ยินทำเอาชะงัก

                                 “ใครคืออาทัพ”เขาถามออกไปในระหว่าที่แช่อยู่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ตีฟองจนฟูกับเจ้าแสบทั้งสอง

                                 จะว่าเขาหลอกถามเอากับเด็กเขาก็ไม่ปฏิเสธ

                                 ดูท่าความสัมพันธ์ที่มีต่อขนมผิงกับเด็กๆคงจะไม่ใช่แค่คนรู้จัก

                                 พอคิดเช่นนั้นใจมันก็รู้สึกหน่วงๆ

                                 ไม่อยากจะคิดในแง่ร้าย พยายามห้ามความคิดไม่ให้คิดเหมือนทุกที

                                 พยายามไม่คิดว่าคนที่เด็กๆพูดถึงจะเกี่ยวข้องและสนิทสนมกับขนมผิงยังไง

                                 “คุงอาทัพเป็นคนที่อยู่ด้วยตอนอยู่อังกิดกะปะป๊าฮับ คุงอาทัพใจดี”

                                 “แล้วปะป๊าพวกเธอชอบเขารึเปล่าล่ะ”

                                 “อื้อ ปะป๊าชอบฮับ ปะป๊าบอกคุงอาทัพเก่ง นิสัยดี”เจ้าตัวกลมยิ้มแห้นยกมือขึ้นตีฟองสบู่

                                 ปิญญ์ชานนท์เมื่อได้ยืนคำบอกเล่าต่างๆนานาเกี่ยวกับคนที่ไม่รู้จัก

หัวใจมันก็นึกจุกหน่วงขึ้นมาแทบจะทันที

                                 ที่ผ่านมาขนมผิงเป็นในแบบที่เขาคิดมาตลอดจริงๆ

                                 คนไร้ค่าอย่างขนมผิง…เขาประเมินสูงไปจริงๆ

 มีต่อ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 

 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-01-2016 00:33:13
ครอบครัวอบอุ่น น่ารักกก.
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-01-2016 12:25:23
 :mew1:   :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: onekiss ที่ 18-01-2016 00:11:49
สนุกคร้าาาาาาาาาา
รอตอนต่อไปมาตาอไวๆนะคะ
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ben ที่ 25-01-2016 14:35:28
ตอนนี้น่ารักแฮะ ต่ออีกน่า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 25-01-2016 15:58:41
สนุกอ่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 28-01-2016 02:02:33
ถ้าเราเป็นผิงนะ...

เราจะเอาคืนให้สาสมเลยอ่ะ ไม่หน่อมแน้มแบบนี้แน่ๆ

เอาให้ทรมาณจนต้องมากอดขาขอร้องเบย อุ้ย รู้สึกซาดิสม์จุง

ผิงคิดจะแก้แค้น แต่ก็มัวแต่หน่อมแน้ม ไม่อยากให้เด็กเข้าหาปิณ

แต่นางก็ไม่สอนเลยว่า เห้ย คนนี้ไม่ดี อย่าไปเข้าไกล้นะ นางคงหวังเล็กๆอยู่จินะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 28-01-2016 20:34:27
ค่อยสมกับที่รอคอยมานาน

เหมือนครอบครัวเลย พ่อแม่ลูก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 19.2 ป่วย ❖ 14-01-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 28-01-2016 21:21:46
ครอบครัวอบอุ่น น่ารักจัง ปินส์ก็ดูเป็นพ่อที่ดี รอผิงใจอ่อน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 20 หมอนข้าง ❖ 09-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 09-02-2016 18:37:51
ต่อ

 

                                 เหลือเพียงแค่พรุ่งนี้อีกวันเดียว เขาจะต้องคืนอิสระที่ยึดมาจากใครอีกคน

                                 เพียงแค่คิดก็รู้สึกอยากให้วันพรุ่งนี้มันหายไป

                                 นาฬิกาบนผนังบอกเวลาล่วงเลยเข้าวันใหม่

                                 ของเหลวสีอำพันถูกเทใส่แก้วใสทรงสั้นครั้งแล้วครั้งเล่าถูกยกกระดกจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

                                 ไฟกลางห้องถูกปิดจนมือสนิท มีเพียงแสงสลัววูบวาบจากทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้

                                 เด็กๆและขนมผิงเข้านอนกันหมดแล้ว

                                 มีแต่เข้าคนเดียวที่นอนไม่หลับ

                                 ไม่รู้จะตั้งรับกับวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึงได้ยังไง

                                 เจ็บ…ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บเขาเองก็ไม่รู้ และไม่คิดจะหาต้นตอ

                                 สิ่งเดียวที่คิดในตอนนี้คือความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

                                 คนอย่างขนมผิง…เขาจะต้องทำยังไงถึงจะทำให้อีกฝ่ายก้มหัวลงศิโรราบให้กับเขา

                                 ทำยังไงถึงจะไม่ดื้อดึง ถึงจะทะลายกำแพงที่กั้นอยู่ลง

                                 หรือว่าต้องใช้กำลังถึงจะยอม

                                 “คุณ…ทำอะไร”

                                 น้ำเสียงเรียบนิ่งทำให้ปิญญ์ชานนท์ละจากแก้วเหล้าตรงหน้าแล้วหันไปมอง

                                 เขาแสยะยิ้มมองดูร่างสูงโปร่งในชุดนอนของเขา

                                 ใช่ชุดนอนของเขา…แต่ร่างกายนั้นก็เป็นของเขา

                                 แล้วใจล่ะ….จะมีวันเป็นของเขาบ้างไหม

                                 “นายคิดว่าฉันทำอะไรล่ะ นายก็เห็น”ชายหนุ่มตอบพลางไหวไหล่

                                 ดวงตาคมกริบจ้องมองขนมผิงไม่วางตา

                                 ของเขา….สมองมันพร่ำบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้

                                 อยากจะกลืนกินร่างนี้เข้าไป ไม่ให้คนอื่นได้เห็นได้มอง ได้สัมผัสเหมือนเขา

                                 ทำยังไง…จะต้องทำยังไง

                                 “นายจะมาร่วมวงไหมล่ะ”

                                 “ไม่ ผมไม่อยากเข้าใกล้คุณ คุณก็รู้ ผมแค่มาดู ได้ยินเสียงทีวีเปิดทิ้งไว้”

                                 “เหลือแค่พรุ่งนี้วันเดียว นายจะไม่ให้เกียรติฉันหน่อยรึไงกัน”ปิญญ์ชานนท์พูดออกไป มือเอื้อมไปดึงแขนของขนมผิงเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหนี

                                 ดวงตาคมกริบกำลังสั่นระริก

                                 เพราะฤทธิ์ของเหล้าหรืออะไรก็ช่าง…เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

                                 “งั้นคุณก็ขอร้องผมสิ..ผมอยากเห็นคุณขอร้อง”ขนมผิงยกยิ้ม

                                 รู้แน่ว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์ไม่มีวันขอร้องใคร ด้วยความหยิ่งทระนงค์ตัวที่มี…ทว่า

 

                                 “ได้สิ…ฉันขอร้อง”

                               

                                 หัวใจดวงเล็กกระตุกวูบ

                                 เขาเผลอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ดูหวั่นไหวคู่นั่น

                                 หรือเขาจะตาฝาด หรือจะเป็นเพราะน้ำเมานั่นที่ทำให้คนอย่างปิญญ์ชานนท์เปลี่ยน

                                 เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำตามสิ่งที่รับปาก

                                 แก้วสีอำพันถูกยื่นให้รับแล้วส่งของเหลวในนั้นลงคอ

                                 มันทั้งร้อนทั้งแสบคอไปหมด

                                 พรุ่งนี้อีกแค่วันเดียว…ปิญญ์ชานนท์จะต้องออกไปจากชีวิต

                                 จะยอมให้ถึงแค่วันพรุ่งนี้ที่จะได้เข้าใกล้เด็กๆ…จะยอมให้แค่นี้เท่านั้น

                               

                                 นาฬิกาบนฝาผนังยังคงเดินด้วยความเร็วเท่าเดิม

                                 แต่ความรู้สึกของปิญญ์ชานนท์ไม่ใช่แบบนั้น

                                 มันเหมือนกับเร็วขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า

                                 เสี้ยวหน้าในแสงสลัววูบวาบนั้นเขาจ้องมองมันนิ่ง

                                 “อะไรทำให้คุณต้องจ้องหน้าผมขนาดนั้น”

                                 เหมือนขนมผิงจะรู้ตัวว่าโดนจ้อง ใบหน้าแดงเรื่อจากฤทธิ์เหล้าเอียงคอหันมามอง

                                 ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มคล้ายจะดูแคลน

                                 “ไม่รู้สิ ฉันก็แค่มอง เผื่อจะมองเห็นว่าคนอย่างนายมันมีกี่ด้านกันแน่”

                                 “หึ สำหรับคุณแล้ว ผมคงมีด้านเดียว”เสียงหัวเราะเล็กๆในลำคอแว่วมา

                                 รอยยิ้มเย้ยปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา…ดวงตาคมนิ่งเริ่มเปลี่ยนไปทำให้รู้ได้ทันทีว่าขนมผิงเริ่มจะเมาแล้ว

                                 “ด้านไหน?”ปิญญ์ชานนท์ยังจ้องมองหน้าของขนมผิงนิ่ง

                                 มือใหญ่เอื้อมไปจับที่ใบหน้านั้นแล้วลูบเบาๆอย่างถือวิสาสะ

                               

                                 “ด้านที่เกลียดคุณไง”ขนมผิงพูดจบก็หัวเราะอีกครั้ง มือผอมเอื้อมไปหยิบขวดเหล้าเทลงใส่แก้วตัวเองจนเต็ม

                               

                                 “…”ปิญญ์ชานนท์นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ฝ่ามือใหญ่ละออกจากใบหน้าของขนมผิง

                                 เขาจ้องมองอีกฝ่ายยกแก้วแล้วแก้วเล่าขึ้นดื่ม

                                 “เกลียดสิ่งที่คุณทำ เกลียดสิ่งที่คุณเป็น เกลียดที่คุณเย่อหยิ่ง เกลียดที่คุณชอบดูถูกคนอื่น เกลียด เกลียกทุกอย่างที่เป็นคุณ อึก”

                                 “แล้วไงต่อ”ชายหนุ่มถาม

                                 ประโยคแล้วประโยคเล่าเหมือนกับตอกย้ำสิ่งที่เขาคิดผิด มันยิ่งจุดประกายความคิดเดิมๆให้โหมกลับมาลุกไหม้อีกครั้ง น้ำเสียงที่เริ่มอ้อแอ้เพราะความเมา     

                                 “อึก… ผมขอตัว”พอถูกถามก็กลับนิ่งไปพักใหญ่

                                 “ว่ามาสิ”ปิญญ์ชานนท์ยังคงถามย้ำ

 

                                 ทำให้ขนมผิงหยัดตัวตรงแล้วลุกขึ้น

                                 พูดไปตามที่ใจตัวเองนึก เพราะฤทธิ์ของน้ำเมา ภาพรอบตัวมันเริ่มหมุนคว้าง อาจเป็นเพราะความเครียดที่สะสมมาตลอดหกวันทำเป็นเช่นนี้

                                 ในช่วงที่กำลังลุก เหมือนกับพื้นที่ยืนอยู่มันเอียงไปชั่วขณะจนทรงตัวเอาไว้ไม่ไหว

                                 รู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย

                                 ความร้อนที่ส่งผ่านทำให้รู้สึกร่างกายราวกับกำลังถูกเผาไหม้

                                 “ปล่อย”บอกไปน้ำเสียงเริ่มไม่ชัดเจน

                                 “แค่ยืนเองนายยังไม่ไหว”

                                 “ผม อึก รู้ น่า”

                                 จู่ๆก็รู้สึกเหมือนกับมึนหัวจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีแรงแม้กระทั่งผลักให้อีกฝ่ายออกห่างจากตัว

                                 “นายจะดันทุรังไปทำไม”

                                 “นั่นมันเรื่อง ของผม อึก อย่ามาแตะ”รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีผลักให้ร่างสูงใหญ่กว่าผละออกมา

                                 แต่แค่แรงจะยืนก็ยังไม่มีเหมือนกับลูกนกที่พึ่งจะหัดบินจึงได้ทิ้งตัวลงกับโซฟาอีกครั้ง

                                 หงุดหงิดใจที่ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เขาเกลียดคนอย่างปิญญ์ชานนท์

                                 แก้วเล่าถูกรินจนเต็มอีกครั้งแล้วดื่มมันลงคอไป

                                 “เกลียด…เกลียด คุณ  เกลียด”

                                 ได้แต่บอกซ้ำไปซ้ำมาตามที่สมองตอนนี้จะนึกออกเกี่ยวกับคนที่อยู่ตรงหน้า

                                 “อึก เกลียด คุณมันใจร้าย ไอ้โรค อึก จิต เอิ๊ก วิ ปะ อะ อื้อ”
                                 รู้ตัวอีกทีถ้อยคำด่าต่างๆนานาก็ถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยริมฝีปากที่ฉกฉวยลงมา

                                 ร่างกายถูกดันให้นอนราบลงไปบนโซฟาตัวแพงคร่อมทับด้วยร่างสูงใหญ่กว่า

                                 จูบที่ดูหยาบโลนและถลำลึกทำให้ขนมผิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

                                 ฟันคมขบเข้าหากันอย่างแรงจนริมฝีปากของปิญญ์ชานนท์มีเลือดซึมออกมา

                                 ดวงตาคมนิ่งหรี่ปรือสู้กับความมึนเมาที่โถมเข้ามาใส่

                                 เรี่ยวแรงที่มีราวกับถูกลิดรอนจนแทบไม่เหลือ

                                 ปิญญ์ชานนท์…คนฉวยโอกาส

                                 “อย่า อึก มาแตะ”บอกเสียงแข็งทั้งที่น้ำเสียงยังคงขาดหาย

 

                                 “ทำไมฉันจะแตะนายไม่ได้ ในเมื่อนายเป็นเมียของฉัน”ชายหนุ่มตอบกลับแทบจะทันที

                                 คำว่าเกลียดทั้งแล้วครั้งเล่ามันเสียดแทงเข้ามาที่หัวใจของเขา

                                 เขาเป็นพ่อของลูก แค่นี้มันยังไม่พอรึไงกัน

                                 ยังไม่ชัดเจนอีกรึไงว่าเขาเป็นใคร มีสิทธิ์ยังไง

                                 เพี๊ยะ!!

                                 ไม่แรงนักสำหรับแรงของฝ่ามือที่กระทบบนใบหน้าดุดันเบาเบา แต่มันก็เพียงพอสำหรับจุดประกายความดิบเถื่อนที่เริ่มปะทุให้โหมขึ้นมาได้

                                 ปิญญ์ชานนท์แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แตกจนเลือดซึม รสเลือดเค็มปร่าคละคลุ้งอยู่ทั่วโพลงปาก

 

                                 “เกลียด…เลว”

                                 ยอมรับว่าฉวยโอกาส ยอมรับตามคำต่อว่านั้นนั้น

                                 แต่เพื่อที่จะตอกย้ำให้คนอย่างขนมผิงได้สำนึกว่าเขาคือใคร วิธีไหนเขาก็จะทำ

                                 “เคยได้ยินไหมล่ะ เกลียดอะไรได้อย่างนั้น…นายน่าจะรู้ดี”

                                 จบประโยคริมฝีปากร้อนผ่าวฉาบด้วยเลือดสีแดงสดก็ฉกฉวยลงไปอีกครั้ง

                                 ครั้งนี้รสเลือดฝาดคละคลุ้งจนนึกเอียน

                                 ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขัดขึ้น ใบหน้าถูกจับให้ตอบรับจูบทั้งรุนแรงและป่าเถื่อน

                                 เสื้อนอนถูกปลดกระดุมออกจนหมดถูกแหวดออกจนเผยให้เห็นลำตัวขาวสะอาด

                                 ลิ้นร้อนดุนดันเข้าไปลึกกวาดต้องเอาลิ้นเล็กที่อ่อนแรงจนจนมุม

                                 สติมันลางเลือนจนไม่อยากจะรับรู้อะไร

                                 ปิญญ์ชานนท์ตั้งใจจะมอมเหล้าขนมผิงอยู่แล้ว…

                                 และมันก็ได้ผล เมื่อฤทธิ์ของมันเริ่มออกมากขึ้น ขนมผิงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะต่อว่าด้วยซ้ำ

                                 ริมฝีปากหยัดผละออกมา ตะโบมจูบลงบนซอกคอไล่ลงมาที่แผงอก

                                 “อะ อึก”ผมขนมผิงสะดุ้งเมื่อลิ้นร้อนชื้นกำลังตวัดลงบนตุ่มเม็ดกลางอก

                                 มือผมผวาจิกลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทราวกับขนของอีกา

                                 กางเกงนอนถูกดึงออกผ่านข้อเท้า ไร้การต่อต้านเพราะไม่มีแม้แต่แรงจะพูดด้วยซ้ำ

                                 “ยะ อย่า”ได้แต่พูดออกไป

                                 เครื่องเพศถูกเกาะกุมเอาไว้จนแข็งขืน

                                 สมองมันสั่งการอะไรแล้ว รู้แค่ว่าโลกนี้มันกำลังหมุนคว้างอย่างไร้ทิศทาง

                                 “ปล่อย อึก”

                                 ขนมผิงบิดกายเมื่อแก่นกายพอดีมือถูกรูดรั้ง

                                 รู้ตัวอีกทีของเหลวข้นหนืดก็ถูกเทลงทาที่ช่องทางด้านหลัง

                                 ความแข็งขืนมันสอดแทรกเข้ามาในร่างกาย

                                 เจ็บปวดจนรู้สึกร่างกายมันร้าวไปทั้งร่างเหมือนแจกันที่ใกล้จะแตกเต็มทน

                                 เพราะอะไรกัน…มันเพราะอะไร

                                 เขาทำอะไรผิด

                                 แก่นกายแข็งขืนกระแทกเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหนักหน่วง

                                 ร่างกายถูกโอบอุ้มด้วยร่างกายที่ทั้งใหญ่ทั้งร้อน

                                 สติที่เหลือเพียงนิดกำลังตอกย้ำว่าสัมผัสนี้มันต่างจากที่แล้วมา

                                 แต่มันก็ยากเกินกว่าใจจะยอมรับ

                                 “อะ อึก หยุด ฮึก”

                                 มันสายเกินไปแล้วที่ของแตกร้าวจะกลับคืนสภาพเดิม

                                 ปิญญ์ชานนท์แทรกกายเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า

                                 ต้องการที่จะตอกย้ำถึงความเป็นเจ้าของ ตีตราลงบนกายของขนมผิง

                                 ตีตราว่าเป็นของเขา คนอื่นไม่มีสิทธิไม่ว่าจะใครก็ตาม

                                 ทั้งขนมผิง ทั้งลูก ทั้งหมดเป็นของเขา

 

========================

 

                                 ผลั๊วะ!!

                                 “ไอ้ทุเรศ ปิญญ์ชานนท์ สารเลว”

                                 กำปั้นไม่เบานักถูกส่งไปที่ใบหน้าหล่อเหลาทันทีที่ตั้งตัวได้

                               

                                 “หึ แค่จะเอาเมียตัวเองนี่มันผิดตรงไหน”น้ำเสียงเย็นชืดต่างจากหกวันที่ผ่านมาตอบกลับ

                                 เขายกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ผุดซึมออกมา รอยยิ้มราวกับเป็นการเยาะเย้ยแสยะขึ้นมาบนมุมปาก

                                 “ผม ไม่ ใช่ เมีย คุณ”ขนมผิงเน้นย้ำ

                                 ความโกรธแค้นมันยิ่งทวีคูณเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ทำกับเขาอีกครั้ง

                                 แค้นจนแทบอยากจะให้คนคนนี้หายไปจากตรงหน้า

                                 “แล้วอย่างที่เราทำกันเรียกว่าอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ผัวเมียเขาทำกัน”

                                 “มันก็แค่เรื่องวิปริตที่คนวิปริตอย่างคุณฉวยโอกาสทำกับคนอื่นไง”

                                 “แต่ท่าทางนายก็ดูชอบมันนี่”ร่างสูงใหญ่สาวเท้าเข้ามาใกล้

                                 ขนมผิงถอยหลังครึ่งก้าวพลางหยิบกางเกงบนพื้นขึ้นมาสวม

                                 “ไม่มีทาง ไอ้คนโรคจิตอย่างคุณมันทุเรศ”

                                 “แล้วไง ยังไงฉันก็เป็นผัวนาย”

                                 “ทั้งหมดที่คุณทำ คุณวางแผนเอาไว้แล้วสินะ”

                                 “ก็อาจจะใช่ มันก็แล้วแต่นายจะคิด”มือใหญ่ยกขึ้นมาแตะลงบนใบหน้าแล้วรูปไปมา

                                 “อย่ามาแตะผมนะ!!”เป็นอีกครั้งที่ขนมผิงปัดมือของปิญญ์ชานนท์ออก

                                 ทว่าครั้งนี้ปิญญ์ชานนท์กลับไม่อยู่นิ่งเฉยเหมือนก่อน

                                 เขากระชากร่างของขนมผิงเข้าหาตัวมือใหญ่กำรอบแขนผอมแน่นจนใบหน้าของขนมผินิ่วลงเล็กน้อย

                                 ถึงแม้พยายามผลักดัน แต่การพึ่งจะสร่างจากอาการมึนเมาทำให้แรงที่มีก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

                                 “คุ คุณจะทำอะไรน่ะ”

                                 ร่างที่อยู่ใต้อาณัติสะดุ้ง ฝ่ามือร้อนที่ว่างอยู่สอดเข้ามาข้างในกางเกงทางด้านหลัง

                                 ขนมผิงดึงตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรงราวกับกรงขังแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้น

                                 แก้มก้นทั้งสองข้างถูกนิ้วแข็งแรงแหวกมันให้ออกจากกัน

                                 “อยู่เฉยๆ ถ้านายเสียงดังเด็กๆจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าแม่ของตัวเองทำอะไรอยู่”

                                 “คะคุณพูดเรื่องอะไร”

                                 ขนมผิงถามออกไป…ทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงใช้คำแทนตัวเขาว่าแม่ล่ะ

                                 “นายเองก็น่าจะรู้ดีนี่”

                                 “ฮะ ฮึก”แทบจะหมดแรงยืนเมื่อนิ้วแข็งแรงสอดเข้ามาในร่างกายรวดเดียว

                                 “ไงถึงกับขาอ่อนเลยเหรอ ทีเมื่อคืนฉันกระแทกแรงแค่ไหนนายก็ดูจะชอบนี่”

                                 “เอา มันออก”มือผอมจิกลงบนอกเปลือยของปิญญ์ชานนท์แน่น

                                 แทบจะล้มทั้งยืนเมื่อนิ้วที่สองสอดเข้าไปโดยง่ายและขยับเข้าออก

                                 ดวงตาคมจ้องมองประตูห้องนอนอย่างหวาดระแวงกลัวว่าเด็กๆจะออกมาเจอ

                                 “วางใจได้เมื่อคืนฉันใช้ถุงยาง นายไม่ต้องกลัว”

                                 “อ๊ะ เอาออก”

                                 นิ้วนาวยังคงขยับอยู่ข้างในไม่ยอมหยุด หากไม่มีแขนอีกข้างที่เปลี่ยนมาโอบรอบเอวเอาไว้ขนมผิงคงจะลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น

                                 “ฉันชักจะติดใจแล้วสิ ถ้ารู้ว่าร่างกายของนายมันดีขนาดนี้ ฉันคงทำตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่”

                                 ถ้อยคำหยาบโลนกระซิบข้างหูพร้อมๆกับนิ้วถูกถอนออกจากช่องทางบวมปริ

                                 ร่างกายถูกผลักลงบนโซฟาอีกครั้งตามด้วยร่างของปิญญ์ชานนท์ลงมาทาบทับอีกที

                                 “เลือกเอาว่าจะให้ฉันใส่ไอ้นี่เข้าไปง่ายๆโดยที่นายนอนเฉยๆ หรือว่าจะขัดขืนแล้วให้ฉันเรียกเด็กๆออกมาดูว่าฉันทำอะไรกับนายบ้าง”

                                 “คุณปิญญ์!!”

                                 ขนมผิงยกมือขึ้นมาอีกครั้งอย่างโกรธเกรี้ยวหับคำพูดแต่ก็ต้องนิ่งค้างเอาไว้เมื่อปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้ม

                                 เป็นอีกครั้งที่รู้สึกราวกับพ่ายแพ้ให้กับปิญญ์ชานนท์

                                 ทั้งที่กายเชื่อมต่อเข้าหากัน แต่ทั้งความรู้สึกและจิตใจไม่ได้เชื่อมต่อเข้าหากันเลย

                                 ไม่เลยสักนิด….

                                 ไม่รู้ว่าเกมนี้จะต้องเล่นสักกี่ครั้ง เขาถึงจะชนะปิญญ์ชานนท์สักที

--------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 20 หมอนข้าง ❖ 09-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-02-2016 19:34:52
หน่วงอีกแระ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 20 หมอนข้าง ❖ 09-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 09-02-2016 20:01:12
มาให้กำลังใจจ้า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 20 หมอนข้าง ❖ 09-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 10-02-2016 02:25:23
ขอซาดิสม์นิดๆได้มั้ยคะ นายเอกน่ะค่ะ

พระเอกได้ใจมากไปสสสสส

ไม่สมกับที่นางทำเลยยย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 20 หมอนข้าง ❖ 09-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 10-02-2016 14:06:08
คุณปิญญ์จะโกรธอีกแล้วใช่ไหม
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 13-02-2016 18:23:25
20 ยิ้มเล็กๆ

 

                                 แทนทับก้าวออกมาจากลิฟชั้นกว่าสามสิบ เขาพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของขนมผิง

                                 เมื่อกลางดึกคืนวานเขาได้รับโทรศัพท์เบอร์โทรแปลกๆ พอรับก็กลายเป็นขนมผิงที่โทรมาในลักษณะขอความช่วยเหลือ ทำให้เกิดความเป็นห่วง

                                 การหายตัวไปของขนมผิงที่ค่อนข้างจะเอาใจใส่เรื่องงานเป็นพิเศษทำให้นึกสงสัยแต่ก็ไม่กล้าเจาะจงถึงการคาดเดาใดใดเพราะมารดาของขนมผิงบอกว่าลูกของตนไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยเรียน

                                 ความกระวนกระวายใจจากความเป็นห่วงทำให้ส่งคนไปตามสืบแต่ก็ไม่ได้รับข้อมูลหรือเบาะแสใดใดเลย

                                 ชายหนุ่มหยิบก้มหน้าก้มตาหยิบกุญแจสำรองเขาเดินมาถึงประตูห้องของขนมผิง

                                 พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งนั่งกอดเข่าฟุบหน้าลงกับเข่าตัวเอง

                                 แทนทัพเลิกคิ้ว จะไม่ใส่ใจหากคนคนนี้มานั่งอยู่หน้าห้องของขนมผิงเหมือนกับว่ามาดักรอเจ้าของห้องอยู่ไม่น้อยกว่าพักใหญ่แน่

                                 “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”แทนทัพเอ่ยปากถามออกไป

                                 ทว่าอีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยยังคงฟุบหน้าลงกับเข่าดังเดิมราวกับว่ากำลังหลับ ทำให้ชายหนุ่มถามคำถามเดิมดังขึ้นพลางเอื้อมมือไปแตะไหล่

                                 “อะ เผลอหลับอีกแล้ว”ใบหน้าผิวขาวสะอาดเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับกรอบแว่นตาลอยเด่นอยู่เหนือใบหน้า

                                 มือผอมขยับดันกริบแว่นก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ปลุกเขาตื่น

                                 “คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ ไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้”

                                 แทนทัพถาม เมื่อเขาจ้องใบหน้าและดวงตารีเล็กนั้นเขาก็นึกออกทันทีว่าเคยเจอคนคนนี้ไม่ต่ำกว่าครั้ง

                                 คนที่เจอทีไรก็มักจะอยู่กับขนมผิงด้วยท่าทางสนิทสนมเกินกว่าเพื่อนธรรมดา

                                 อีกทั้งนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่นั่น เป็นนาฬิกาที่ขนมผิงเคยขอให้เพื่อนที่อยู่อังกฤษหามาให้

                                 “ผม มารอเจ้าของห้องนี้”คุณหมอศัลยกรรมยืดตัวบิดกล้ามเนื้อจากความเมื่อยล้า         

                                 หลายชั่วโมงแล้วที่เขามานั่งรอขนมผิง มาเพื่อที่จะไถ่ถามเรื่องราวทั้งหมด

                                 “คุณหมายถึงคุณขนมผิง?”แทนทัพขมวดคิ้วเล็กน้อย

                                 “ใช่ครับ ผมมาหาผิง”คุณหมอยันตัวลุกแล้วปัดฝุ่น

                                 “คุณผิงอยู่หรอกครับ”

                                 แทนทัพตอบออกไป เขาเสียบกุญแจสำรองที่ขนมผิงเคยห้ไว้เพราะไม่รู้รหัสประตูหน้าห้อง

                                 คุณหมอหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้รับคำตอบแบบนั้นกลับมา

                                 แต่ว่า…ทำไมคนคนนี้ถึงได้รู้จักขนมผิงล่ะ มอดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายแล้วก็นึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหน

                                 แต่ก็นึกไม่ออก แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือในมืออีกฝ่ายนั้นมีกุญแจสำรองต่างหาก

                                 “ทำไมคุณถึงมีกุญแจห้องนี้ได้”

                                 “ผมไม่จำเป็นต้องตอบคุณ”แทนทัพตีนิ่ง เขาไม่จำเป็นจะต้องพูดคุยกับใคร ยิ่งกับคนที่ดูเหมือนจะสนิทกับขนมผิงมากกว่าเขายิ่งแล้วใหญ่

                                 “แต่ผมเองก็รู้จักกับขนมผิง อย่างน้อยคุณก็น่าจะบอกผมว่าขนมผิงอยู่ที่ไหน”

                                 “ไม่จำเป็น”

                                 แทนทัพตัดบทสนทนาด้วยการเปิดประตูห้องเข้าไปโดยไม่ใส่ใจคนที่ยืนมองเขาอยู่

                                 “ผมมานั่งรอขนมผิงหลายชั่วโมงแล้วนะคุณ นั่งรอมาห้าวันแล้ว ใจคอคุณจะไม่บอกผมสักหน่อยรึไง”

                                 “ไม่นี่ ผมไม่จำเป็นจะต้องบอกอะไรคุณ”

                                 ชายหนุ่มปิดประตูลง ทว่าก็ดันมีมือสีขาวจนเกือบซีดเข้ามาสอดก่อนที่ประตูจะปิดลง

                                 แรงดันประตูให้ปิดลงถึงไม่มากนักแต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณหมอศัลกรรมร้องโอดโอยออกมา แต่ก็ไม่ยอมชักมือกลับ

                                 “คุณกลับไปเถอะ ผมบอกแล้วว่าคุณขนมผิงไม่อยู่ที่นี่”

                                 “คุณทำมือผมเจ็บ”

                                 “นั่นคุณทำตัวเองต่างหาก”

                                 “แต่มือนี้ผมเอาไว้ช่วยชีวิตคน ถ้าไม่มีมือนี้ผมต้องแย่แน่”คุณวุฒิหรี่ตามองอีกฝ่ายใต้กรอบแว่น

                                 อย่างน้อยก็ขอให้เข้าไปดูในห้องหน่อยเถอะว่าขนมผิงไม่ได้อยู่ในนั้นจริงๆ บางทีอาจจะกลับมาตอนเขาเผลอหลับก็ได้

                                 “คุณกำลังจะบอกอะไร”

                                 แทนทัพถามเสียงเรียบ ตอนนี้เขาเริ่มจะรู้สึกรำคาญอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว

                                 “อย่างน้อยคุณก็น่าจะรับผิดชอบสิ่งที่คุณทำ”

                                 “ผมคิดว่าผมบอกคุณแล้วว่าคุณเป็นคนทำตัวเอง”แทนทัพหันไปโต้ตอบพลางยืนขวางประตูเมื่อแขกผู้ไม่ได้รับเชิญพยายามจะแทรกเข้ามา

                                 “อย่างน้อยก็ให้ผมทำแผลก่อนสิ ถ้ามือนี้เป็นอะไรคนไข้ของผมจะทำยังไงล่ะ”

                                 คุณวุฒิยกมือขึ้นมาอวด ทั้งที่มีเพียงรอยแดงเล็กๆเท่านั้น

                                 แทนทัพปลายตามองก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กๆ

                                 “ถ้าคุณกลัวขนาดนั้น ผมแนะนำให้คุณไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ คุณหมอ”แทนทัพปิดประตูลงอีกครั้ง

                                 แต่ครั้งนี้เขากะแรงเอาไว้ก่อนที่ประตูจะปิดลง และก็นึกแล้วไม่มีผิดว่ามือที่เจ้าตัวร้องบอกว่าเจ็บสอดเข้ามากั้นประตูอีกครั้ง

                                 “คุณเองก็ไม่ใช่เจ้าของห้องไม่ใช่รึไง”

                                 “นั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

                                 “อ้อ ผมจำคุณได้แล้ว คุณนี่เองที่ผมเจอกันที่งานเลี้ยง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย”

                                 “แล้ว?”ชายหนุ่มกอดอก ดูท่าว่าเขาจะต้องเสียเวลาไม่น้อยให้กับคนคนนี้ ดวงตาคมสนิทจ้องมองคุณหมอในชุดทำงานเต็มยศขาดก็แต่เสื้อกราวด์กำลังสาธยายอยู่หน้าประตูห้องมือข้างที่บ่นว่าเจ็บก็ยื่นขวางประตูเอาไว้

                                 นี่น่ะเหรอนิสัยของคนเป็นหมอ…

                                 “คุณก็เป็นแค่ลูกจ้าง”คุณวุฒิเชิดหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เหนือกว่า

                                 “ครับ”แทนทัพตอบรับไม่ปฏิเสธ ท่าทีของคนตรงหน้าที่มองเขาดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นแฝงแววตาเย้ยหยันอยู่เล็กๆ

                                 “งั้นคุณก็ควรจะหลบทางให้ผมเข้าไปข้างใน เพราะไม่อย่างนั้นผมจะบอกให้ผิงไล่คุณออก”

                                 ท่าทีมั่นใจของคุณหมอทำให้แทนทัพนึกขันในใจออกมาเล็กๆ

                                 “ตามสบายครับ”แทนทัพไหวไหล่”

                                 “ถ้าคุณรู้ว่าผมกับผิงสนิทกันแค่ไหน ผมรับรองว่าคุณจะต้องเสียใจในสิ่งที่คุณทำในวันนี้แน่ รู้แล้วก็หลบไป”คุณวุฒิพูดจบก็เดินก้าวเข้ามา

                                 ทว่าร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นกลับไม่ถอยหลบหรือหลีกทางให้เลยแม้แม่น้อย

                                 คุณวุฒิขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองแทนทัพด้วยสายตาไม่พอใจ

                                 “ไม่”แทนทัพลากเสียง เขาก้มหน้าลงไปหาใบหน้าดูจองหองเล็กๆนั้น จงใจพูดตอกย้ำแล้วยกยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

                                 น่าแปลกที่เขาแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ยิ้ม คงจะเพราะสะใจที่ได้ขัดใจคนที่มีท่าทางมั่นใจแบบนี้ได้ล่ะมั้ง

                                 “ผมบอกให้คุณหลบ”คุณหมอลูกชายคนเล็กของบ้านสั่งอีกครั้ง

                                 เป็นแค่ลูกจ้างทำไมถึงได้ลอยหน้าลอยตามาขวางทางเขาแบบนี้กัน

                                 “กลับไป ก่อนที่ผมจะเรียกรปภ.ให้มาหิวปีกคุณออกไป”แทนทัพก้มหน้าลงไปใกล้จนลมหายใจเป่ารดหน้าคุณวุฒิ

                                 ใบหน้าคมคายเจ้าของผิวสีแทนยิ้มมุมปากสะใจเล็กๆเมื่อท่าทีมั่นใจนั้นเริ่มหลุกหลิก

                                 แน่นอนว่าคุณวุฒิจะต้องหลุกหลิกเมื่ออาศัยให้เพื่อนของเพื่อนที่อยู่คอนโดนี้พาตนเข้ามา

                                 หากถูกหิ้วออกไปมีหวังไม่ได้กลับเข้ามาอีกแน่

                                 “คุณไม่กล้าหรอก ถ้าคุณทำผมจะบอกให้ผิงไล่คุณออก คุณเดือดร้อนแน่”

                                 “ไม่รู้เหมือนกันนะครับ บางทีผมอาจจะลองดู”แทนทัพล้วงเอาโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมาทำทีกดเบอร์

                                 “ดะ เดี๋ยว”

                                 “ฮัลโหลครับ ผมโทรจากห้อง”แทนทัพแกล้งพูดก่อนจะปลายตามองคุณหมอ

                                 “โอเค ผมกลับก็ได้”คุณวุฒิยอมจำนนท์ แต่ริมฝีปากสีเรื่อขบเม้มอย่างเจ็บใจกับคนที่เขาพึ่งจะมอบสถานะลูกจ้างให้

                                 “ก็แค่นั้น”แทนทัพไหวไหล่มองดูร่างสูโปร่งในชุดสะอาดตาสมกับอาชีพถอยหลังออกไป

                                 “คอยดู คุณจะต้องเดือดร้อนแน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ คุณลูกจ้าง”

                                 เสียงต่อว่าไล่หลังตามมาเมื่อเขาปิดประตูลง

                                 ไม่รู้ว่าคนเป็นหมอจะพูดมากแบบนี้ทุกคนรึเปล่า แต่มันก็ทำให้เขาหายเครียดลงไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะแค่ชั่วขณะก็ตาม

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 “เก็บให้เรียบร้อยล่ะ ฉันจะเข้าไปดูเด็กๆ”เสียงทุ่มพร่าพูดก่อนที่มือของเขาจะจัดการถอดถุงยางออกจากแก่นกายแล้วโยนมันทิ้งลงกับพวกของมันที่ผ่านการใช้งานแล้วหลายต่อหลายชิ้น

                                 ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มก็จะหยัดกายขึ้น ดวงตาคมดุเต็มไปด้วยความเหยียดหยามอยู่ในนั้นจ้องมองมาที่ร่างเปลือยเปล่า บนผิวกายเต็มไปด้วยรอยช้ำรอยบีบมากมาย

                                 มันเป็นเหมือนประติมากรรมชิ้นสวยที่ทำให้ปิญญ์ชานนท์พึงพอใจ น้ำตาที่คลออยู่ที่หน่วยตาแต่ก็ไม่ยอมไหลออกมาเพราะเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้ เห็นแล้วแทบจะเข้าไปตักตวงและทรมานอีกรอบแล้วรอเล่า

                                 อยากจะเห็นน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ความจนมุมที่ไหลออกมา ความใจแข็งของขนมผิงนั้นมันขัดใจเขา

                                 “ยะ อย่านะ”มือผอมสั่นระริกคว้าเอาแขนของชายหนุ่มเอาไว้

                                 ไม่ยอมให้คนคนนี้แตะต้องลูกเด็ดขาด…คนอย่างปิญญ์ชานนท์ไม่สมควรจะแตะต้องลูกขอเขา

                                 “อย่ามาโง่ไปหน่อยเลยขนมผิง นายก็รู้ว่านายไม่มีสิทธิมาห้ามฉัน”

                                 ชายหนุ่มปัดมือที่รั้งเอาไว้ออก เขาย่อลงมาให้ใบหน้าเสมอกับร่างที่นอนไร้สภาพบนโซฟา

                                 มือหนาดึงเอากรอบหน้าของขนมผิงให้เชิดขึ้น ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดใบหน้าแดงเรื่อ

                                 “คุณไม่มีสิทธิ”

                                 “อย่ามาพูดว่าฉันไม่มีสิทธิ!!”ปิญญ์ชานนท์ประกาศกร้าว เขาบีบกรอบหน้านั่นแน่นขึ้นจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า

                                 ไม่ว่ายังไงเขาก็มีสิทธิ ในเมื่อเขาเป็นพ่อของเด็กสองคนนั้น!!

                                 “คนสารเลวอย่างคุณ ไม่มีค่าพอจะแตะต้องลูกของผม”
                                 “ฉันจะไม่แตะต้องเด็กสองคนนั้น หากว่าเด็กสองคนนั้นเป็นลูกของนายคนเดียว!!”

                                 “คุณพูดอะไร”

                                 “ฉันมีสิทธิมากกว่าที่นายคิด รู้ไว้ซะด้วย ขนมผิง”

                                 “คุณพูดอะไรของคุณ!! คุณมันไม่มีสิทธิ ยังไงผมก็จะไม่ยอมให้คุณเข้าใกล้ลูกของผมอีกเด็ดขาด”

                                 “หึ มีสิ ฉันมีสิทธิ สิทธิของการเป็นพ่อไง!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดก่อนจะผลักกรอบหน้าที่บีบเอาไว้ออก

                                 เขายกยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อใบหน้าของขนมผิงซีดเผือดทันทีที่ได้ยิน

                                 “คะ คุณพูดบ้าอะไร !! นั่นมันไม่จริง!! เด็กๆไม่ใช่ลูกของคุณ เด็กสองคนนั้นเป็นลูกผม ไม่ใช่ลูกคุณ”

                                 “นายจะพูดยังไงก็เรื่องของนาย ยังไงนายก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้อยู่แล้ว”ปิญญ์ชานนท์หยัดกายขึ้นก่อนจะหันหลังเดินไปยังประตูห้องนอน

 

                                 “ไม่ ไม่ใช่ เด็กสองคนนั้นไม่ใช่ลูกของคุณ  อย่ายุ่งกับลูกของผม”

                                 ทว่าปิญญ์ชานนท์กลับไม่ได้ฟัง หากเขาหันกลับมาเขาคงจะเห็นน้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ที่อยากเห็นมาตลอด

                                 มือผอมบางกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้ากับฝ่ามือ

                                 แต่ความเจ็บที่มือมันเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับความเจ็บที่หัวใจ อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ต้องขดตัวลุกขึ้นมา

                                 ดวงตาสั่นเทามองภาพเศษซากความโสมมกองอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บใจ

 

                               

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 “ปะป๊าฮับ ทำไมปะป๊าตัวร้อน ปะป๊าไม่สบายเหรอฮับ”ปลากริมเงยหน้ามองเมื่อปีนขึ้นมานั่งบนตักของขนมผิง

                                 “ไม่ครับ ป๊าไม่เป็นอะไร”ขนมผิงบอกปัด ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเองปวดหัวอยู่มากแต่ก็ฝืนเพราะเพื่อที่จะเฝ้าปลากริมกับสลิ่มเอาไว้

                                 เขาปรายตามองร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟา ดวงตาเหยียดหยามหันมามองเขาก่อนจะแสยะยิ้ม

                                 เจ็บใจ…คงจะเป็นความรู้สึกที่มันจุกอยู่ในอกตอนนี้

                                 ปิญญ์ชานนท์รู้แล้วว่าเด็กๆเป็นลูกของตัวเอง

                                 เขาควรจะทำยังไงดีในเมื่อตอนนี้สมองมันตื้อจนคิดอะไรไม่ออก

                                 “ปะป๊าฮับ หลิ่มหิวน้ำ”สลิ่มกระตุกชายเสื้อเรียกให้หันไปมอง

                                 “ครับ เดี๋ยวป๊าไปเอามาให้นะครับ”

                               

                                 ขนมผิงหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็น ก่อนจะรินมันใส่แก้ว

                                 วันพรุ่งนี้แล้วที่จะได้ออกไปจากนรกนี่ สัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่มีวันให้ปิญญ์ชานนท์เข้าใกล้ลูกได้อีก

                                 “อย่ามาทำเป็นสำออยต่อหน้าลูกสิ…รู้ไหมว่ามันทำให้ลูกของเราสนใจนายมากกว่าฉัน”

                                 “ฮึก”

                                 ขนมผิงสะดุ้ง ความใจลอยทำให้กว่าจะรู้ตัวร่างของปิญญ์ชานนท์ก็ยืนประกบอยู่ทางด้านหลัง

                                 มือใหญ่สอดเข้ามาใต้ชุดนอนจากทางด้านหลังก่อนจะลูบขึ้นมาทำให้เขากัดฟันเข้าหากันด้วยความเจ็บใจ

                                 “ถอยออกไป”

                                 “ทำไมล่ะ แค่โดนแค่นี้ ถึงกับไม่สบายเลยรึไง”ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดหู

                                 แต่สำหรับขนมผิงมันเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมากกว่า

                                 มือผอมบีบแก้วน้ำในมือแน่น สิ่งเดียวที่คิดว่าง่ายที่สุดก็คือการนิ่งเฉยต่อคำพูดถากถางของอีกฝ่าย

                                 ดวงตาสีอ่อนปิดตาลง ความอ่อนล้าจากการโดนล่วงเกินประกอบกับพิษไข้เริ่มทำให้สมองเบลอ

                                 “หากนายไม่สบายล่ะก็ อยู่ห่างจากเด็กๆ ฉันไม่อยากจะให้เด็กๆติดไข้จากนาย”ปิญญ์ชานนท์กระซิบก่อนจะผละออก

                                 มันเหมือนเหตุการณ์เดจาวูที่เขาเคยพูดกับอีกฝ่าย ขนมผิงลืมตาขึ้นหันกลับไปจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

                                 น้ำเย็นในแก้วสาดเข้าใส่ชายหนุ่มทันที หากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะให้น้ำในแก้วช่วยล้างความโสมมของจิตใจอีกฝ่ายออกไปบ้าง

                               

                                 “หึหึ นายนี่มัน จริงๆเลยนะ สงสัยว่าฉันจะสั่งสอนนายไม่พอสินะ”ปิญญ์ชานนท์ยกมือขึ้นลูบน้ำที่สาดเขามาเต็มใบหน้า

                                 เขากัดฟันพยายามระงับอารมณ์ เขาดันขนมผิงถอยไปจนแผ่นหลังกระแทกกับตู้เย็น

                                 “ไม่พอใช่ไหม อยากได้อีกใช่ไหม!!”ชายหนุ่มแค่นเสียง ใบหน้าคมคายยื่นเข้าไปใกล้

                                 เขาจัดการดึงรั้งเสื้อนอนของเขาที่อยู่บนตัวของขนมผิงขึ้น

                                 “คุณ ทำบ้าอะไร”

                                 “อย่าทำเป็นไม่เคยไปหน่อยเลย”ปิญญ์ชานนท์ตรึงไล่ของขนมผิงเอาไว้

                                 ถึงแม้ว่าเป็นแค่การสั่งสอนไม่ได้คิดจะทำจริง แต่มันก็อดไม่ได้เมื่อขนมผิงขัดยืนและพยายามผลักไสให้เขาออกห่าง

                                 มันทำให้เขาไม่พอใจ และรู้สึกหงุดหงิด

                                 เขาไม่ใช่คนบ้าเซ็กแต่เซ็กเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าอยู่เหนือว่า

                                 แค่เซ็กเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกว่าทำให้ขนมผิงจนมุม และชนะขนมผิงได้

                               

                                 “ทำอะไรกันเหรอฮับ”เสี้ยงเจื้อยแจ้วถามเรียกให้ทั้งขนมผิงและปิญญ์ชานนท์หันไปมองทางต้นทางทันที

                                 ร่างจ้ำม่ำของเจ้าสองแฝดยืนจ้องมองมาจากหน้าประตู ดวงตากลมโตมองไปยังขนมผิงและปิญญ์ชานนท์ด้วยความสงสัย

                                 มือเล็กของพี่ชายจับน้องชายให้เดินตามมาเมื่อรอเท่าไรน้ำที่ขนมผิงบอกว่าจะเอามาให้เท่าไรก็ไม่มาสักที

                                 “ยุงปินจะจุ๊บปะป๊าเหรอฮับ”สลิ่มยิ้มแก้มปริมองทั้งสองคนตาใส

                                 “ไม่ใช่!!”

                                 “ใช่สิ ฉันจะจูบปะป๊าของพวกเธอ”

                                 “จริงเหรอฮับ”

                                 “แล้วทำไมยุงปินถึงเปียกล่ะฮับ”

                                 “ก็…ฉันร้อนน่ะ ว่าแต่พวกเธอหิวน้ำกันใช่ไหม มาสิ เดี๋ยวฉันจะเอาให้”

                                 ชายหนุ่มตอบแก้ตัวก่อนจะปล่อยมือจากร่างของอีกฝ่าย

                                 “ยุงปินชอบปะป๊าเหรอฮับ”สลิ่มเดินเข้ามาใกล้ เงยหน้ามองคุณลุง

                                 “ไม่รู้สิ พวกเธอว่าไง”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ก่อนจะผลักให้ขนมผิงถอยออกจากตู้เย็น

                                 “อืมมมมม ก็อยาก แต่ว่า”เจ้าตัวแสบเอียงคอหันไปมองขนมผิงที่กำลังขมวดคิ้วมองปิญญ์ชานนท์ด้วยความไม่พอใจ

                                 “เอานี่ น้ำ ดูท่าปะป๊าขอพวกเธอไม่สบาย ระวังติดไข้ล่ะ”

                                 “จริงเหรอฮับ”สลิ่มถามเสียงดัง ดวงตากลมเบิกกว้าง

                                 “แค่ไข้หวัดน่ะ ไม่เป็นไรครับ”ขนมผิงกรอกตาก่อนจะลูบหัวเจ้าตัวเล็กทั้งสองคน

                                 รอยยิ้มของปิญญ์ชานนท์ดูก็รู้ว่าจงใจทำให้เด็กๆไม่กล้าเข้าใกล้เขา

                                 “อย่าเข้าใกล้ลูกๆล่ะ อย่าลืม”ปิญญ์ชานนท์ก้มลงมากระซิบก่อนจะก้มตัวอุ้มเจ้าสองแสบออกไป

                                 ขนมผิงได้แต่กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ

                                 พรุ่งนี้…รอแค่พรุ่งนี้เท่านั้นที่จะยอมให้   

 

--------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ



 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 13-02-2016 18:24:28
ต่อ
 

                                 “เดี๋ยวสิ ใจคอจะไม่เอ่ยคิดลาผัวหน่อยรึไง”ข้อมือถูกคว้าเอาไว้ก่อนที่จะเดินไปยังรถของตัวเอง

                                 “หึ ลาขาดนะครับ อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย”ขนมผิงแค่นเสียงตอบออกไป สะบัดมือที่รั้งเอาไว้ออก

                                 “เก่งให้ตลอดก็แล้วกัน”แว่วเสียงเยาะเย้ยตามหลังมาติดๆ

                                 ขนมผิงปิดประตูรถลงแล้วขับรถออกมาจากบ้านแถบชานเมืองโดยไม่หันหลังกลับไปมอง

                               

                                 “โถ่โว้ย”ปิญญ์ชานนท์สบถเตะเข้าไปที่ล้อรถของตัวเอง

                                 อีกแล้วที่รู้สึกราวกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีก เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยสักนิด เวลาที่ขนมผิงหันหลังให้เขา ไม่สนใจเขา

                                 คงจะรีบกลับไปหาผู้ชายคนอื่นสินะ เขาแค่นยิ้มให้กับตัวเอง

                                 ยังไงซะ ตอนนี้เขาคงต้องกลับไปสะสางเรื่องราวที่ทิ้งเอาไว้ข้างหลังในระหว่างเจ็ดวันที่ผ่านมา

 

                                 “แกยังมีหน้าจะกลับมาอีกนะ แกกล้าฉีกหน้าพ่อแกได้ยังไง ฉันจำได้ว่าฉันบอกแกแล้วว่าแกมีนัดคุยเรื่องงานหมั้นกับหนูเดหลี”

                                 ทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาในตัวบ้าน เสียงขุ่นเคืองก็เอ่ยค่อนขอดทันที ทำให้ชายหนุ่มแสยะยิ้ม หันไปมองชายสูงวัยนั่งอยู่บนรถวิลแชร์ มีพยาบาลประจกตัวยืนอยู่ไม่ไกล

                                 “ถ้าพ่อกลัวเสียหน้าขนาดนั้น พ่อไม่แต่งเองเลยล่ะครับ”ปิญญ์ชานนท์เสยผมด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก

                                 “แกอย่ามาปากดีกับฉัน แล้วแกหายไปไหนมาตั้งอาทิตย์ ทำไมฉันถามใคร ไม่เห็นมีใครรู้เรื่อง”

                                 “ผมจะไปไหนมันก็เรื่องของผม”

                                 “แกก็รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ขององค์กรเป็นยังไง แกยังจะกล้าไปเที่ยวเล่นอีกรึไง”

                                 “ผมเหนื่อย ผมอยากพักผ่อน”ปิญญ์ชานนท์พูดตัดบนก่อนจะเดินหนีขึ้นไปยังชั้นบนของตัวบ้าน

                                 ทิ้งให้คนเป็นพ่อได้ต่อว่าไล่ตามหลัง

 

 

 

--------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 “กลับมาแล้วเหรอลูก ไปเที่ยวที่ไหนกันมา แม่ล่ะเป็นห่วง เห็นคุณแทนทัพบอกว่าติดต่อไม่ได้”ลำดวนเมื่อเห็นลูกชายกับหลานๆเดินเข้ามาในบ้านก็รีบเข้าไปหาด้วยความคิดถึงปนห่วงใย

                                 “พอดีแบตผิงหมด ผิงลืมเอาที่ชาร์ตแบตไปน่ะแม่ ผิงเหนื่อย ผิงขอตัวนะ”

                                 ขนมผิงตัดบทด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนจะเดินเลยคนเป็นแม่ขึ้นไปยังชั้นบนของตัวบ้าน

                                 “สงสัยจะเหนื่อย ว่าแต่ไปเที่ยวที่ไหนกันมาล่ะ ไหนบอกยายสิ”ลำดวนหันไปถามหลานๆ

                                 เจ้าสองแสบตักลมมองหน้ากันหัวเราะคิกคัก

                                 “ความลับฮับ”

                                 “ปะป๊าบอกว่าเป็นความลับระหว่างเราฮับ ห้ามบอกใคร เนอะ”

                                 หันไปหัวเราะกันคิกคักจนคนเป็นยายได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งลูกชายและหลานของตัวเองไปไหนกับใครกันแน่

                                 เท่าที่จำได้ ขนมผิงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

 

 

                                 ขนมผิงปิดประตูห้องนอนเข้าสู่โลกส่วนตัวของตัวเอง ความโกรธแค้นที่มีมันยิ่งทวีคูณจนหัวใจมันรู้สึกว่าแทบจะรับมันไม่ไหวอยู่รอมร่อ

                                 กายสูงโปร่งพอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้างถอดเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่ใส่ออกไปออกแล้วโยนมันลงถังขยะ

                                 เหลือเพียงแต่กายเปล่าสะท้อนภาพบนกระจกให้เห็นร่อยรอยความโสโครกแต่งแต้มลงบนร่างกาย

                                 น้ำร้อนผ่าวถูกเปิดให้ไหลรินผ่านร่างกาย คิดว่ามันจะช่วยฆ่าเชื้อสกปรกที่ติดตัวออกไปได้

                                 ร้อนจนต้องกัดฟัน ผิวกายเริ่มแดงเถือก แต่ก็ยอมทน ทุบกำปั้นลงกับผนังห้องน้ำอย่างเจ็บใจ

                                 ผ่านไปนานนับครึ่งชั่วโมงที่ปล่อยให้สายน้ำอุ่นจัดจนเกือบร้อนไหลผ่านร่างกายชำระล้างสิ่งสกปรก

                                 เสียงโทรศัพท์ที่วางทิ้งบนผืนเตียงเรียกให้หยิบมันขึ้นมากดรับเมื่อเห็นว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ที่คุ้นเคย

                                 “ขนมผิงพูดครับ”ขนมผิงกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์

                                 ‘เอ่อ ผมพึ่งจะโทรหาคุณติด คุณขนมผิงมีปัญหา…’

                                 “ไม่หรอกครับ ผมขอโทษที่โทรไปกวนคุณกลางดึก สงสัยผมจะเมา”ขนมผิงโกหกออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะถามจบ

                                 กายสูงโปร่งเอนตัวกึ่งนั่งลงกับหัวเตียงด้วยความอ่อนเพลีย หัวสมองมันรู้สึกตื้อและปวดหนึบไปหมดจนต้องยกมือขึ้นมานวดขมับ

                                 ‘ผมนึกว่าคุณกำลังมีปัญหา คือ… ผมเป็นห่วงคุณนะครับ ผมแค่จะโทรมาบอกคุณล่วงหน้าว่าอาทิตย์หน้าคุณมีนัดเซ็นสัญญากับคุณเฉียนที่สิงคโปร์’

                                 “ครับ ขอบคุณที่โทรมาบอก พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปสะสางงานที่ค้างเอาไว้แต่เช้า ขอตัวครับ”

                                 ‘ครับ อย่าลืมพักผ่อนมากๆนะครับ ผมไม่อยากให้คุณฝืน’

                                 “ไม่ไม่เคยฝืน คุณก็รู้ ฝันดีครับ”ขนมผิงตัดบท โยนเครื่องมือสื่อสารลงบนเตียง

                                 ดวงตาคมปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อนกับเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นคลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา

                                 อยากจะลืม แต่ภาพพวกนั้นก็ยังคงติดตา

                                 เขาควรจะทำยังไงเพื่อที่จะกันปิญญ์ชานนท์ออกไปจากชีวิตเด็กๆตลอดกาล

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 “ยินดีที่ได้พบครับคุณเฉียน”ขนมผิงทักทายก่อนจะปั้นรอยยิ้มการค้าเช่นเคย

                                 หนึ่งอาทิตย์ผ่านมามากพอที่จะทำให้กลับมาเป็นคนเก่าได้อีกครั้ง

                                 “ยินดีที่ได้พบเช่นกัน เชิญนั่งครับ”อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มยั่วเย้าคืนมาเช่นกัน

                               

 

                                 “เริ่มที่ข้อเสนอของทางเรา…”กำลังจะเปิดแฟ้มสัญญาแต่ก็ถูกมือของอีกฝ่ายแตะให้ชะงักเอาไว้

                                 “ไม่ต้องหรอก ผมอ่านทั้งหมดแล้ว คิดว่ามันคงเสียเวลาระหว่างเราหากเราทั้งคู่จะต้องทวนมันซ้ำอีกรอบ”

                                 สัญญาที่ร่างเอาไว้ถูกดึงเอาไปเซ็นต์จนครบสองฉับเรียกให้ทั้งขนมผิงและแทนทัพเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ

                                 “คิดว่าอุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งที ผมเองก็อยากพาคุณไปเที่ยวที่ประเทศเราดูบ้าง ถึงจะเล็กกว่าประเทศของคุณอยู่มาก แต่ผมคิดว่าประเทศเราไม่น่าจะสวยแพ้ประเทศของคุณสักเท่าไร”

                                 เฉียนฟงยื่นสัญญาคืนกลับมาตรงหน้าของขนมผิง

                                 “ครับ ยินดี”ขนมผิงปั้นยิ้ม

                                 มันง่ายดายเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ง่ายจนเริ่มลำพองใจและจินตนาการภาพที่กำลังเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

                                 ใกล้เข้ามาอีกนิแล้วสินะ วันที่ปิญญ์ชานนท์จะล้มลงมาแทบเท้าเขา

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 ปิญญ์ชานนท์โยนแฟ้มรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหม่ลงบนโต๊ะทันที ชื่อของคนที่กวาดซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยของอนันตไพลินทำให้เขารู้สึกโกรธ

                                 นอกจากขนมผิงกล้าที่จะสู้กับเขาซึ่งหน้าแล้ว ยังกล้าที่จะทำลับหลังอีก

                                 หากเขารู้ว่าคนที่จะมากวาดซื้อหุ้นพวกนี้คือขนมผิง เขาคงจะจอมจ่ายเองเพื่อที่จะถือหุ้นพวกนั้นเอาไว้

                                 ตอนนี้สัดส่วนการถือหุ้นของเขามีอยู่สี่สิบเปอร์เซ็น  คุณเชตุพลซึ่งเป็นเพื่อนของบิดาอีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์  ในเครือญาติของอนัตตไพลินอีกสิบห้าเปอร์เซ็น นอกนั้นเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหมดสามสิบเปอร์เซ็น ซึ่งสามสิบเปอร์เซ็นนั้น ขนมผิงได้กว้านซื้อไปหมดแล้ว

                                 ซึ่งหมายความว่าตอนนี้ขนมผิงเป็นผู้ถือหุ้นมากสุดรองมากจากเขา

                                 ขนมผิงต้องการจะทำอะไรกันแน่

                                 “มาลิศ ทางสิงคโปร์ว่ายังไงบ้าง ตกลงจะต่อสัญญากับเราเมื่อไร”

                                 “นั่นเป็นเรื่องที่ผมจะรายงานหลังจากรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหม่ครับ”

                                 “กำหนดการเมื่อไร”ปิญญ์ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงแข็งเมื่อตอนนี้อารมณ์ของเขากำลังหงุดหงิดจนแทบจะระงับไว้ได้

                                 ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยสภาวะหน้าที่การงานไม่เคยส่งผลทางอารมณ์ของเขาแม้แต่นิด แต่พอมีขนมผิงเข้ามาเกี่ยว ทำไมเขาถึงระงับอารมณ์ไว้ไว้ไหวเลยสักครั้งกัน

                                 “คือ…ผมจะเรียนว่า ทางสิงคโปร์ปฏิเสธที่จะต่อสัญญาระยะยาวกับเรา”

                                 “นี่มันเรื่องอะไรกัน ถ้าทางนั้นไม่ต่อกับเราตอนนี้แล้วเขาจะไปต่อตอนไหน”

                                 “ทางนั้นเซ็นสัญญากับมณีรัตน์ไปแล้วครับ”

                                 “แล้วทำไมนายถึงมาบอกฉันเอาตอนนี้!!”

                                 “ผมเองก็เพิ่งจะทราบเรื่องครับ”มาลิศตอบเจ้านาย

                                 “ไปทำงานต่อได้แล้ว”ปิญญ์ชานนท์ตัดบทออกปากไล่ลูกน้องคนสนิท

                                 พอรู้ตัวอะไรๆมันก็สายไปซะแล้ว ผิดเองที่เขาดูถูกและประเมินค่าความสามารถของขนมผิงต่ำไป

 

                                 ผิดเองที่ชะล่าใจ

 

------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 13-02-2016 19:08:15
-_-' เหนื่อยใจกะอิตาปิญญ์ เอะอะไม่พอใจก็พูดจาว่าร้ายถากถาง ใครที่ไหนมันจะชอบ ขนาดตัวเองโดนผิงว่านิดๆหน่อยยังปรอทแตก
ทีพูดกะจิตแพทย์นี่เพราะเชียว

คำผิดเท่าที่เห็น ....น่าเกลียด  รังเกียจ  เสื้อสูท
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 13-02-2016 19:48:45
เดี๋ยวอาจมีคนที่สามอีก 1 คนมาเป็นเพื่อนเล่นกะแฝด 555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 13-02-2016 20:07:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-02-2016 22:46:45
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 13-02-2016 22:57:48
พอกันทั้งคู่ คนนึงทิฐิเยอะ อีกคนปากแข็ง เมื่อไหร่ครอบครัวจะมีความสุข :serius2:

ขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ^^
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 14-02-2016 00:00:54
ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะได้เป็นครอบครัวสุขสันต์เลย :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 14-02-2016 01:20:11
อืมม
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 21 วังวนความคิด ❖ 13-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-02-2016 12:13:10
อืมม
:hao3:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22 ไร้ประโยชน์ ❖ 14-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-02-2016 12:45:37
21 แย่งหรือขโมย

 

                                 “คุณปิญญ์ครับ นี่เป็นรูปถ่ายจากคนที่เราส่งไปสะกดรอยตามคุณผิงผมเพิ่งได้รับมาเมื่อวันก่อน”ซองเอกสารสีน้ำตาลวางลงบนโต๊ะทำงานของประธานบริษัทอนันตไพลินกรุ๊ป

                                 “รูปอะไร”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสาร

                                 “สาเหตุที่ทำให้ทางคุณเฉียนฟงยกเลิกสัญญาของเราครับ ผมอยากให้คุณลองดูภาพพวกนั้น ดูเหมือนว่าครั้งนี้ทางนั้นจะเล่นแรงน่าดูนะครับ”

                                 คำพูดของมาลิศเลขาคนสนิททำให้ปิญญ์ชานนท์วางปากกาที่กำลังจะเซ็นอนุมัติงบประมาณ หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลเปิดออก

                                 ภาพถ่ายหลายใบถูกปิญญ์ชานนท์สำรวจจนครบ เจ้าของร่างสูงโปร่งผิวขาวสะอาดเดินเคียงคู่กับเฉียนฟงกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทำให้ปิญญ์ชานนท์เริ่มจะเข้าใจเหตุผลทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น

                                 เพราะรอยยิ้มเสแสร้งที่ปรากฏอยู่ในรูปนั่นเองถึงทำให้เฉียนฟงไม่ยอมต่อสัญญากับอนันตไพลิน แต่กลับไปเซ็นสัญญากับมณีรัตน์แทน

                                 มันไม่ใช่แค่การเล่นแรงแบบตาต่อตาเหมือนทุกที!!

                                 ถึงขั้นต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจกับเขา คนอย่างขนมผิงนี่มันยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก

                                 “ไปทำงานของนายต่อเถอะ”ปิญญ์ชานนท์ออกปากไล่

                                 รูปถ่ายในมือถูกขยำจนยับยู่ยี่ราวกับว่าเขาต้องการให้แผ่นกระดาษไม่กี่ใบนั้นแหลกคามือ

                               

                                 “มีอีกอย่างที่ผมคิดว่าคุณน่าจะลองดูไว้นะครับ”นิตยสารข่าวซุบซิบดาราฉบับล่าสุดถูกวางลงบนโต๊ะ

                                 “เอามาให้ฉันทำไม”

                                 “ในเล่มนี้ผมคิดว่ามีข่าวที่คุณน่าจะสนใจมันน่ะครับ”มาลิศตอบก่อนจะเดินออกไป

                                 ทิ้งให้ปิญญ์ชานนท์จ้องมองปกนิตยสารบนโต๊ะนิ่ง

                                 ‘ดาราสาวไฮโซสะบัดแหวนหมั้นซบอกหนุ่มนักธุรกิจสิ่งทอคู่แข่งคนใหม่ไฟแรงกว่า’

                                 ชื่อหัวข้อพาดหน้าปกทำเอาปิญญ์ชานนท์แทบคลั่ง นี่มันหมายความว่ายังไงกัน

                                 หน้าหนังสือนิตย์สารถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ภาพแอบถ่ายจากปาปารัชซี่จากมุมแอบถ่ายถึงจะไม่ชัดเจนแต่มันก็ทำให้เขาพอจะมองเห็นว่าอีกคนคือใคร

                                 ขนมผิง!!

                                 แค่การใช้ตัวแลกกับสัญญาระยะยาวของเขามันไม่พออีกรึไงกัน ถึงได้แย่งแม้กระทั่งว่าที่คู่หมั่นของเขา

                                 คิดอะไรอยู่กันแน่ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าขนมผิงเป็นคนยังไง หรือทั้งหมดนี่เป็นเพราะต้องการที่จะแก้แค้นเขาเท่านั้น

                                 หรือเป็นเพราะเกมส์การแข่งขันเพื่อที่จะแย่งทุกอย่างที่เขามีไปเป็นของตัวเอง

                                 นิตยสารถูกฉีกหน้าข่าวนั้นๆจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วโยนลงถังขยะ

                                 “โถ่โว้ย!!”

                                 ชายหนุ่มสบถทุบมือลงบนโต๊ะด้วยความคับแค้นใจ

                                 ตอนนี้อารมณ์ของเขามันเหมือนกับลมพายุที่ไม่รู้ว่าจะพัดพาไปทางไหน

                                 ความเป็นไปในองค์กรตอนนี้ค่อนข้างเข้าสู่ภาวะวิกฤต หุ้นที่เขาถืออยู่มีมากกว่าของขนมผิงแค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีกแค่สิบเปอร์เซ็นต์ ขนมผิงก็จะยืนขึ้นมาเทียบเขา

                                 ซึ่งเขายอมไม่ได้เด็ดขาด เขาจะยอมให้คนของมณีรัตน์มาแตะอนันตไพลินไม่ได้

                               

 

-------------------------------------------

 

                                 “นี่เป็นออร์เดอร์ลอตแรกของเราครับ”แฟ้มเอกสารถูกวางลงบนโต๊ะ

                                 “อืม”ขนมผิงพยักหน้าตอบรับแต่ก็ไม่ได้เปิดมันออกมาอ่าน เพราะยังเหลือแฟ้มเอกสารอยู่อีกนับไม่ถ้วนที่เขาจะต้องจัดการ

                                 “คุณแน่ใจนะครับว่าจะทำทั้งหมดที่ทันก่อนเย็นวันพรุ่งนี้”

                                 แทนทัพถามด้วยความเป็นห่วง แม้แต่เวลาทานข้าว ขนมผิงเองยังสั่งให้แม่บ้านไปซื้อข้าวแล้วนำมาให้ตนถึงโต๊ะทำงาน

                                 “ยังไงซะผมก็ต้องทำให้เสร็จอยู่ดี”ขนมผิงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้แทนทัพ

                               

                                 ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดี เขาบอกตัวเองอย่างนั้น

                                 พึงพอใจที่แย่งเอาสิ่งสำคัญของอนันตไพลินมา สถานการณ์ที่ได้ยินมาค่อนข้างทำให้เขาอารมณ์ดี

                                 เขาบอกตัวเองอย่างนั้น…อยากจะรู้ว่าคนเย่อหยิ่งอย่างปิญญ์ชานนท์จะทำหน้าอย่างไรกัน

                                 “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็เรียกนะครับ ผมอยู่ตลอด”แทนทัพบอกเสียงเรียบ

                                 เลขาหนุ่มค่อนข้างไม่เข้าใจในความคิดของเจ้านายเลยสักนิด

                                 รอยยิ้มที่ดูยังไงก็เป็นการฝืนยิ้มนั่นมันอะไรกัน ทั้งที่เหนื่อยขนาดนั้น แต่ก็ยังฝืนยิ้ม

                                 เป็นเพราะอะไรกัน ขนมผิงถึงได้ต้องลงทุนทำขนาดนี้

                                 เพียงแค่จะบดขยี้อนันตไพลินแค่นั้น หรือว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้คนอ่อนโยนเป็นได้ถึงขนาดนี้

                                 “ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว คุณกลับบ้านเถอะ แค่นี้ผมจัดการได้”

                                 “ไม่เป็นไร ผมเองก็มีเอกสารหลายอย่างที่ต้องดูเหมือนกัน คุณผิงไม่ต้องสนใจผมหรอก”แทนทัพยิ้มบางให้กับคนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับเอกสาร

 

                                 “คือ ผมมีอะไรอยากจะถามคุณ…จะได้ไหมครับ”แทนทัพพูดขึ้นมาในที่สุด

                                 “ว่ามาเลยครับ”ตอบทั้งที่ยังคงจ้องเอกสาร

                                 “ข่าวในนิตยสารพวกนั้น เรื่องจริงเหรอครับที่คุณ…”

                                 “นิตยสารอะไรเหรอครับ ผมไม่ได้อ่านเลย”ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามองครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงดังเดิม

                                 แทนทัพหยิบนิตยสารบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลเปิดหน้าที่เขาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่ายื่นให้ขนมผิง

                                 “คุณกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ครับ คุณผิง”

                                 คำถามทำให้ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หน้านิตยสารปรากฏภาพแอบถ่ายของเขากับเดหลีที่เดินคู่กันอยู่ในห้างสรรพสินค้า

                                 “ก็ประมาณนั้นล่ะครับ ตามนั้นเลย”

                                 ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำแต่ก็ตอบออกไป เพราะมันเป็นไปตามทุกอย่างที่วางเอาไว้

                                 แย่งทุกอย่างที่เป็นของอนัตไพลิน แย่งทุกอย่างที่เป็นของผู้ชายคนนั้นมา

                                 ทำให้ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ศักดิ์ศรีที่หยิ่งทระนงนั่น

 

                                 “งั้นเหรอครับ”

                                 แทนทัพรับคำแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ นิตยสารถูกยกขึ้นมามองอีกครั้ง ทั้งที่เขาอยู่ข้างขนมผิงตอดเวลา

                                 แต่ทำไมเหมือนกับว่าไม่เคยได้ใกล้ชิดตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเลย

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 ทางด้านคุณหมอหนุ่ม พอออกเวรก็รีบบึ่งมาที่ตึกสำนักงานที่เป็นคู่แข่งกับทางเครือญาติของตัวเองทันที

                                 คิดไม่ผิดจริงๆที่วัดดวงโทรมาถามถึงประธารบริษัทคนใหม่สวมรอยว่าเป็นลูกค้า จนตีบทแตกได้ความว่าขนมผิงเข้าไปบริษัททุกวัน

                                 ถึงแม้จะได้รับคำตอบที่น่าขัดใจตอบกลับมาว่าถ้าจะเข้าพบต้องนัดก่อนก็ตาม

                                 ร่างสูงโปร่งในชุดสีสะอาดเดินผ่านด่านเข้ามาโดยง่ายด้วยท่าทีที่สุภาพและบทละครที่เล่นเอาตีบทแตกใส่ประชาสัมพันธ์

                                 แต่กว่าจะขึ้นมาได้ก็เหนื่อยเอาการน่าดู ชายหนุ่มด้อมๆมองมองสอดส่ายส่ายตาผ่านกรอบแว่นตาสายตาสั้น

                                 มองดูห้องที่น่าจะเป็นห้องทำงานของประธารบริษัท แต่แล้วก็พบใบหน้าเย็นชาของใครบางคนนั่งทำงานอยู่ไม่ไกลหน้าห้องที่เขียนว่าประธาน

                                 คุณหมอหนุ่มเบ้ปากเมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมน่าหมั่นไส้ เดินผ่านโต๊ะของอีกฝ่ายไปทันที

                                 ทว่ามือที่กำลังบิดลูกบิดก็ต้องชะงักเมื่อเสียงทุ้มอันราบเรียบดังขึ้นขัดเสียก่อน

                                 “ถ้าไม่ได้นัดเอาไว้ก็เชิญกลับไปก่อนนะครับคุณหมอ”พูดพลางพลิกหน้าเอกสารหน้าใหม่ขึ้นมา

                                 “ไม่จำเป็น”คุณหมอหนุ่มตอบกลับจ้องมองร่างสูงของแทนทัพเดินเข้ามาใกล้

                                 “กลับไปเถอะครับ คุณไม่ได้นัดเอาไว้”แทนทัพบอก ทาบมือลงบนมือของคุณหมอที่วางบนลูกบิดไม่ให้คุณวุฒิเปิดมัน

                                 “คุณไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังเล่นอยู่กับใคร”

                                 “ผมรู้ครับ ว่าคุณคือใคร รู้แม้กระทั่งคุณไม่ได้นัดเอาไว้ ดังนั้น เชิญครับ”

                                 แทนทัพออกปากไล่ ดูท่าคนคนนี้จะสร้างความวุ่นวายให้ขนมผิงไม่น้อยหากปล่อยให้เข้าไป

                                 ดูจากพฤติกรรมการดักรอหน้าห้องก็อ่านได้ทันทีเลยว่าคนคนนี้ต้องการอะไรจากขนมผิง

                                 มันอาจจะเป็นการขัดขาคู่แข่ง หรืออะไรสักอย่างที่เขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับว่าจงใจทำเพื่อกันคนคนนี้ออกห่าง

                                 อิจฉา…คงจะเป็นอย่างนั้น

                                 “ไม่ตลกนะครับ คุณลูกจ้าง เป็นแค่ลูกจ้างอย่ามาตัดสินแทนเจ้านายสิคุณ”

                                 “ตอนนี้คุณผิงเขายุ่งอยู่ คุณอ้างว่าตัวเองสนิทกับเขา แต่ดูเหมือนคุณจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยนะครับ”

                                 แทนทัพจงใจพูดออกมาเพื่อแทงใจอีกฝ่าย

                                 คุณวุฒิหน้าชาไปชั่วขณะเมื่อถูกกล่าวหาว่าไม่รู้จักขนมผิง

                                 จะไม่รู้จักได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นคนที่อยู่กับขนมผิงจนเรียนจบ

                                 มันผิดพลาดก็แค่ เขาไม่รู้ว่าขนมผิงเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องยังไงกับมณีรัตน์  ไม่รู้แม้กระทั่งขนมผิงมีลูกกับใคร และอยู่ที่ไหนตลอดสามปีที่ผ่านมา….มันก็แค่นั้น

                                 คุณหมอหนุ่มหน้าถอดสีเล็กน้อย คิ้วเล็กขมวดมุ่นเมื่อถูกแทงใจดำ

                                 “คุณคิดว่าพูดอย่างนี้แล้วผมจะยอมกลับไปง่ายๆรึไง คุณลูกจ้าง”

                                 “ผมเองก็คิดจะยอมให้คุณเข้าไปง่ายๆเหมือนกันครับ คุณหมอ”แทนทัพยกยิ้มมุมปาก

                                 เมื่อมองเห็นใบหน้าไม่พอใจของคุณหมอ

                                 บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องสนุกเพื่อฆ่าเวลาในการอยู่รอขนมผิงจนกว่าจะกลับก็เป็นได้

                                    คุณหมอพยายามบิดลูกบิดออกส่วนเลขาหนุ่มก็ขืนมือเอาไว้ไม่ให้มือของอีกฝ่ายขยับไปไหน

                                 เกิดสงครามเล็กๆที่ทำให้คุณหมอใจเย็นเริ่มจะหงุดหงิดใจจนแทบอยากจะจับคนตรงหน้าขนเขียงแล้วผ่าเอาเครื่องในไปโยนทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด

                                 สายตานิ่งเฉยแต่แววตาข้างในกำลังสนุกอยู่มันอะไรกัน

                                 เจอคนไข้เจอญาติคนไข้กวนประสาทยังไม่เท่าคนหน้านิ่งคนนี้กวนประสาทเลยแม้แต่น้อย

                               

                                 แกรก!!

                                 ในที่สุดประตูก็เปิดออกมาจากด้านใน

                                 ขนมผิงดูแปลกในเล็กน้อยที่เปิดออกมาเห็นคนสองคนยืนขวางประตูได้จังหวะจะโคนขนาดนี้

                                 ดวงตาคมนิ่งเหลือบไปมองเห็นใครอีกคนที่ไม่ได้เจอกันมานับเดือนชะงัก

                                 “พี่วุฒิ”

                                 เรียกเสียงเบาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจออีกฝ่ายที่นี่

                                 “พี่…มาหาผิง”คุณหมอตอบเสียงเบาเช่นกัน

                                 ระยะเวลาพอสมควรที่ห่างกันทำให้ความห่างเหินเกิดขึ้นมามากกว่าที่คิด

                                 “เข้ามาก่อนสิครับ”

                                 ขนมผิงออกปากเชิญแล้วเดินนำเข้าไป

                                 คุณวุฒิสะบัดมือออกจากมือที่กุมเอาไว้ไม่ปล่อย แสยะยิ้มเล็กๆใส่เลขาหนุ่ม

                                 แทนทัพส่ายหน้าเล็กๆให้กับคุณหมอดื้อด้าน ที่ไม่รู้จะมาไม้ไหน

 

                                 “ไม่ได้เจอกันนานนะครับ”ขนมผิงเป็นฝ่ายทักก่อนพลางเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกมายื่นให้

                                 “ครับ พี่คิดว่าผิงคงจะ”

                                 “ไม่เป็นไรครับผิงไม่ได้โกรธอะไรหรอก ช่วงนี้ผิงเองก็ยุ่งๆ”ขนมผิงแสร้งยิ้มปรายตามองแฟ้มงานกองอยู่เต็มโต๊ะ

                                 เขาพูดถูกที่เขาไม่ได้โกรธรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แต่กลับเป็นความเฉยชาที่เข้ามาแทนที่ความรู้สึกดีดีที่เคยมีมากกว่า

                                 ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ความรู้สึกดีดีที่มีให้กับคุณวุฒิมันเลือนหายไปกลายเป็นความนิ่งเฉย

                                 แต่ก็แสร้งยิ้ม เพราะคิดว่าคนคนนี้อาจจะเป็นประโยชน์ได้ในอนาคต

                                 ในเวลานี้ความคิดของเขามีแต่งานและก็การแก้แค้นเท่านั้น ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็อดที่ละเลยให้มันผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด

                                 ในเมื่อเขาตั้งมั่นที่จะล้มปิญญ์ชานนท์ให้ได้ วิธีไหนเขาก็ยอม แม้แต่แย่งผู้หญิงของคนคนนั้นมา

                                 “สบายดีนะครับ ดูท่าพี่วุฒิจะเหนื่อยๆ”ขนมผิงแตะมือลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อของคุณหมอ

                                 “ไม่หรอก แค่ช่วงนี้เคสลูกค้าเยอะ แล้วก็ไม่มีเวลาพักผ่อน”

                                 “มีคนบอกว่าพี่วุฒิไปรอผิงทุกวัน”ขนมผิงออกปากถาม

                                 “พี่โทรหาผิงไม่ติดก็เลยไปรอ พี่คิดว่าผิงจะโกรธที่พี่หายไป”

                                 “ไม่หรอกครับ เป็นใครใครก็คงรับไม่ได้”

                                 “รับได้สิ แต่พี่แค่แปลกใจนิดหน่อย”คุณวุฒิตอบ หมุนขวดน้ำในมือไปมา

                                 ขนมผิงแสยะยิ้ม รับได้ แต่ตัดการติดต่อทิ้งเขาไปร่วมเดือน น่าขำสิ้นดี

                                 “ขอบคุณนะครับที่กลับมา”

                                 ขอบคุณที่กลับมา…ในฐานะเครื่องมือการแก้แค้น

                                 “พี่ได้ข่าวว่าผิงซื้อหุ้นของอนันตไพลินจากผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหมด”

                                 “ครับ ผิงเห็นว่าเขาเดือดร้อนก็เลยซื้อเอาไว้”ขนมผิงยิ้ม แสร้งเล่นบทคนดี ทั้งที่ทุกอย่างมันเป็นเกมส์ที่วางเอาไว้

                                 “แต่มันตั้งสามสิบเปอร์เซ็นต์นะผิง พี่คิดว่าพี่ปิญญ์คงไม่พอใจหากมีคนคนเดียวถือหุ้นมากขนาดนี้”

                                 “ถ้าเขาไม่พอใจก็ให้ซื้อคืนไปสิครับ”จะขายต่อให้ในราคาที่ทำให้ล้มละลายเลยทีเดียว

                                 “ช่างเถอะ ยังไงพี่ก็ไม่คิดจะยุ่งเรื่องของตระกูลอยู่แล้ว ว่าแต่ ผิงพอจะมีเวลาว่างไหม พี่อยากจะเลี้ยงข้าวผิงสักมื้อเป็นการขอโทษที่พี่เป็นผ่ายหายไป”

                                 “ไม่มีหรอกครับ พี่ก็รู้ว่าตอนนี้ผิงเป็นใคร”

                                 ขนมผิงตอบ หรี่ตามองดวงตาที่ดูผิดหวังคู่นั้นภายใต้กรอบแว่น

                                 เพราะรู้ว่าคนอย่างคุณวุฒิลองได้กลับมาจะไม่หนีไปไหนอีก

                                 “งั้นเหรอครับ น่าเสียดาย”

                                 “บางทีเราอาจจะสั่งอาหารมาทานกันที่นี่ ถ้าพี่วุฒิไม่ขัดข้อง”

                                 “เอางั้นก็ได้ครับ พี่ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว ถ้าได้ทานพร้อมผิง”

                                 เป็นอย่างที่คิด เหมือนสัตว์เลี้ยงได้ของเล่นแล้วทำท่าทางดีใจ

                                 หมากตัวนี้ได้มาง่ายดายกว่าที่คิด….

 

-----------------------

 

                                 “กลับมาแล้วเหรอผิง ทำไมช่วงนี้กลับดึกจัง”

                                 “งานยุ่งน่ะครับ แล้วเด็กๆ?”ขนมผิงตอบเดินเข้าไปกอดมารดา

                                 “เจ้าสองแสบหลับไปนานแล้วล่ะ นี่ก็ปาเข้าไปจะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อ โหมงานไม่เข้าเรื่อง”

                                 “ผิงไม่ได้โหมงานอย่างที่แม่คิดหรอกครับ วางใจได้”ขนมผิงยิ้ม

                                 เพราะอีกไม่นานอะไรอะไรก็จะเข้าที่

                                 “ผิง แม่มีอะไรจะคุยกับลูกหน่อยนะ”

                                 “อะไรเหรอครับ”

                                 “แม่เห็นข่าวในทีวีแล้วก็ในนิตยสาร แม่ใจคอไม่ดีเลย พ่อเองก็ถามกับแม่เหมือนกันว่าผิงคิดยังไงกับผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้ข่าวเองก็เริ่มดัง จนหลายคนเริ่มถามกับพ่อ พ่อเข้าเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง”

                                 “ก็ตามที่เห็นนั่นแหละครับ”

                                 “ผิงแน่ใจแล้วเหรอ ผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องยังไงกับคุณปิญญ์ผิงก็รู้”ก็เพราะรู้ไงถึงได้ทำ

                                 “ครับผิงรู้ แต่คนอย่างเขาคงไม่สน”

                                 ตอบเพื่อจะให้มารดาวางใจ ทั้งที่มันตรงข้าม คนอย่างปิญญ์ชานนท์ลองได้ถูกแย่ง แม้แต่ของที่ไม่ได้รักไม่ได้สนใจ เจ้าตัวก็เจ็บใจอยู่ดี

                                 “ถ้าผิงมั่นใจแล้ว ผิงก็ลองไปคุยกับพ่อเขาดู จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ได้ไม่เสียหายทั้งสองฝ่าย”
                                 “ครับ ผิงจะไปคุยกับพ่อเอง”

 

-----------------------

 มีต่อ




 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22 ไร้ประโยชน์ ❖ 14-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 14-02-2016 13:02:39
ง่ะ....NC จะมาแบบขืนใจ ข่มขืน รึเปล่า
แค่นี้ ความสัมพันธ์ ก็เส้นขนานเต็มทนแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22 ไร้ประโยชน์ ❖ 14-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-02-2016 13:18:49
เย็นชาใส่กันแบบนี้ NC จะมาแนวไหนกันนี่  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22 ไร้ประโยชน์ ❖ 14-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-02-2016 17:11:53
 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22 ไร้ประโยชน์ ❖ 14-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 14-02-2016 21:59:28
ขนมผิง     ทิฐิน่ะ  เอาลงบ้างก็ได้นะ   เก็บไว้ทำไมมมม  หนักเปล่าๆ   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

คุณปิญญ์   ก็อีกคน  ปากเป็นอะไรนักหนา  ปากหนัก ปากแข็ง  ปากไม่ตรงกับใจ  ปากอย่างใจอย่าง  ปากดีด้วย

อย่างกับเส้นตรงสองเส้นที่ไม่มีวันบรรจบ  เฮ้อออออออ
เห็นแก่ลูกบ้างเหอะ   คุยกันให้รู้เรื่องสักที   เป็นอย่างนี้แล้วจะเข้าใจกันได้ยังไง   :z3:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22 ไร้ประโยชน์ ❖ 14-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 14-02-2016 22:27:36
คนเป็นแม่ก็คิดถึงแต่ตัวเอง เอาเถอะ พยาบาทเข้าไป
เอ็นซีจะมาแบบไหนนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22 ไร้ประโยชน์ ❖ 14-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 15-02-2016 23:38:33
หายเร็วๆนะคะ^^
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง ❖ 20-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-02-2016 15:14:05
ต่อ

                                 “สวัสดีครับคุณเชตุพล รอนานรึผมนานรึเปล่าครับ พอดีมีเอกสารที่ต้องเคลียในช่วงนี้ค่อนข้างเยอะขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”ขนมผิงยื่นมือเข้าไปหาชายสูงวัยรูปร่างท้วมที่อยู่ด้านข้างของเดหลี

                                 เดหลีส่งยิ้มหวานให้อย่างที่เคยก่อนปรายตามองมาทางนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงคู่ควงคนใหม่ที่เป็นข่าว

                                 “งานคงจะยุ่งน่าดูสินะ”เขตุพลผายมือเชิญให้ขนมผิงนั่ง ดวงตาเจ้าเล่ห์ของชายสูงวัยจ้องมองมาที่ขนมผิงหัวจรดเท้าราวกับสำรวจเพื่อให้คะแนน เปรียบเทียบระหว่างเขากับคู่ควงคนเก่าของลูกสาว

                                 “ก็อย่างที่ทราบนั่นแหละครับ อัตราการเติบโตขององค์กรค่อนข้างเป็นไปแบบก้าวกระโดด งานที่มีอยู่แล้วมันก็เพิ่มขึ้นมาเป็นหลายเท่าตัว มันค่อนข้างจะต้องรอบคอบเป็นพิเศษครับ”

                                 ขนมผิงตอบอย่างราบเรียบวางท่าทีสุขุมอย่างที่เคย

                                 ใบหน้าเกลี้ยงเกลาบัดนี้กำลังถูกสำรวจด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ของคนสูงวัยที่กุมหุ้นของอนันตไพลินกรุ๊ปอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์

                                 “คุณดูดีและดูเด็กมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้”

                                 “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”ขนมผิงแสร้งถ่อมตัวยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ ส่งสายตาให้กับหญิงสาว

                                 ซึ่งความถ่อมตัวอันเสแสร้งนั้นก็ได้คะแนนจากการเปรียบเทียบจากสายตาของเชตุผลไปทันที

                                 ว่าที่คู่หมั่นของเดหลีคนก่อน ทั้งเย่อหยิ่งและทระนงตน ต่างจากคนนี้โดยสิ้นเชิง สุขุม ถ่อมตน และดูฉลาด

                                 ห้องอาหารภัตตราคารจีนค่อนข้างจะมีความเป็นส่วนตัวไม่น้อย มีเพียงเสียงเพลงเบาๆเปิดคลอและพนักงานที่ทยอยนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟเท่านั้น

                                 “งั้นเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมเองก็ไม่ใช่คนเด็กๆจะต้องมามากพิธี”เชตุพลเปิดประเด็น ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ชายสูงวัยกลับคิดสวนทางกับที่พูดลิบลับ

                                 “ไม่ได้หรอกครับ คุณเชตุพลออกจะมีหน้ามีตาในสังคม เดหลีเองก็กำลังเป็นที่จับตามอง ผมเองก็อยากจะทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องคู่ควรกับคุณทั้งสองคน”

                                 แสร้งถ่อมตนอีกครั้งเรียกรอยยิ้มพึงพอจากคนสูงวัยได้ไม่น้อย

                                 “นั่นสินะ แล้วคุณคิดจริงจังกับลูกสาวผมสักแค่ไหนล่ะ แค่คู่ควงสร้างอีโก้ให้ดูสูงขึ้น หรือว่า…”

                                 “ไม่ครับ ถ้าจะพูดให้ตรงประเด็น ผมต้องการจะมาขอคบหากับลูกสาวของคุณอย่างเป็นทางการมากกว่า ผมไม่ได้ต้องการแค่คู่ควง”ขนมผิงตอบหนักแน่น

                                 “งั้นก็ดี กล้าขอก็กล้าให้”เชตุพลหัวเราะ

                                 ตอนนี้เขาคงจะคิดถึงหมูในอวยที่มาให้เชือดถึงที่ อำนาจและเงินทองทั้งหมดของอีกฝ่ายเมื่อแต่งงานกับลูกสาวของเขาแล้ว ทั้งหมดมันจะไปไหนได้ นอกจากเป็นของเขา

                                 “ขอบคุณคุณเชตุพลมากครับที่ยอมเข้าใจ”

                                 “อย่าเรียกคุณเรียกเคินเลย มาถึงตอนนี้แล้ว เรียกพ่อดีกว่า มาดื่มๆ”เชตุพลหัวเราะร่วนยกแก้วสาเกขึ้นมาดื่มอย่างถูกอกถูกใจในว่าที่ลูกเขยจอมปลอม

                                 ขนมผิงปรายตามอง เดหลีเองที่ไม่พูดก็ใช่ว่าจะไม่พอใจอะไร แต่กลับส่งสายตาให้ขนมผิงเองไม่น้อย

                                 ขนมผิงยกแก้วสาเกขึ้นขนแล้วส่งมันผ่านลงคอ

                                 “เอ่อ คุณพ่อค่ะ เรื่องหุ้นที่เดหลีเคยพูดเอาไว้”เดหลีขยิบตาให้ขนมผิงตามที่เขาวางแผนเอาไว้

                                 ขนมผิงพยักหน้า ไม่เสียแรงที่ทิ้งงานกองท่วมภูเขาเพื่อไปพดคุยกับหญิงสาวที่ดูจะเชื่อคำพูดของเขาไม่น้อยเลย

                                 “อ้อนั่นสินะ ได้ข่าวมาว่าคุณผิงถือหุ้นของอนันตไพลินสามสิบเปอร์เซ็นต์เลยนี่”เชตุพลหรี่ตา หน้าเริ่มแดงก่ำ

                                 “ครับคุณพ่อ”

                                 “ตามจริงตอนนี้ไอ้สิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่อยู่ในมือของผมมันก็ถือว่าไม่ค่อยจะเยอะเหมือนเก่าแล้ว ทำกำไรอะไรไม่ได้มากมาย”เชตุพลเกริ่นอ้อมค้อม

                                 ถ้าหากสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่เขามีอยู่ในมือตกอยู่กับมือว่าที่ลูกเขยอย่างขนมผิง

                                 ซึ่งนั่นก็หมายความว่าขนมผิงถือหุ้นมากกว่าปิญญ์ชานนท์และมีสิทธิครอบครองอนันตไพลินแล้วขึ้นเป็นผู้บริหารคนใหม่

                                 คราวนี้ทั้งสองบริษัททั้งอนันตไพลินและมณีรัตน์จะไปไหนไกลนอกจากตกเป็นของเขาและลูกสาว

                                 “ถ้าคุณพ่อไม่สนใจหุ้นก้อนนั้นที่อยู่ในมือ บางทีผมอาจจะเสนอซื้อในราคาสองเท่าของราคาหุ้นของที่คุณพ่อมี”ขนมผิงยกยิ้ม

                                 ซึ่งนั้นก็เข้าทาง ของทั้งสองฝ่าย

                                 เข้าทางเชตุพลที่หวังจะฮุบเอาไว้ทั้งสอง

                                 เข้าทางขนมผิงที่หวังจะเหยียบย่ำใครอีกคน

                                 “ราคาตอนนี้มันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่ตอนนี้เป็นใครใครก็คิดว่าขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอ จริงไหม”แก้วสาเกถูกยื่นมาตรหน้า

                                 เหมือนกับแทนคำว่าตกลง เสียงชนกันเบาเบาของแก้วราวกับคำสัญญาซื้อขายที่ง่ายดาย

                                 ขนมผิงส่งสาเกอีกแก้วผ่านลงคอไปอย่าสุขใจ

                                 เขากำลังสุขใจ…เขาตอกย้ำตัวเองอย่างนั้น

 

 

                                 “คุณผิงกลับไหวแน่นะคะ”เดหลีเดินมาแตะแขนเมื่อเห็นว่าขนมผิงค่อนข้างจะทรงตัวไม่ดีสักเท่าไร

                                 เพราะดันเผลอดื่มให้กับชัยชนะล่วงหน้ามากไปหน่อย ทำให้สมองมันเริ่มจะมันๆอย่างที่เห็น

                                 “ไม่เป็นไรครับ ผมมีคนขับรถรออยู่ด้านนอก”หมายถึงบอดี้การ์ดส่วนตัว

                                 “ถ้างั้นเดหลีกลับก่อนนะคะ คุณพ่อจะรอนาน”

                                 “กลับดีดีนะครับ”ขนมผิงยิ้ม และมือลงบนแก้มเดหลีเบาเบา

                                 ใบหน้าแต่แต้มเครื่องสำอางขึ้นสีเล็กน้อย ขนมผิงแตกต่างจากปิญญ์ชานนท์ลิบลับ

                                 อ่อนโยนและดูเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสมอ

                                 “เดหลียังไม่อยากกลับเลย”เดหลีก้าวเข้าไปเกาะแขนของชายหนุ่ม

                                 “อย่าดื้อสิครับ พ่อของคุณจะรอนาน”บอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วกันอีกฝ่ายออกอย่างละมุนละม่อม

                                 ไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือเพราะอะไรถึงได้รู้สึกว่าสัมผัสจากคนอื่นนั้นมันทำให้เขารู้สึกแย่

                                 มันพาลนึกถึงสัมผัสที่เลวร้ายของใครอีกคน เลวร้ายแต่ก็ลืมไม่ลง คอยหลอกหลอนจนอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด

                                 ปิญญ์ชานนท์…เมื่อไรชื่อนี้จะหายไปจากความคิดสักที

                                 “งั้นเดหลีไปก่อนนะคะ”

                                 ไม่ทันระวังตัวริมฝีปากแต่งแต้มลิปสติกสีแดงสดก็ฉกลงบนพวงแก้มของเขา

                                 กว่าจะรู้ตัวสาวเจ้าในชุดเดรสสีหวานก็อันตรธานหายไปจากตรงหน้า

                                 ขนมผิงส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับตัวเอง ถึงจะเปลืองตัวไปบ้าง แต่ผลที่ได้มันก็คุ้มค่า

                               

 

---------------------


                                 ปิญญ์ชานนท์ไม่คิดเลยว่าอะไรมันจะเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนั้น การนัดพบกับเพื่อนเพื่อคุยถึงเรื่องธุรกิจเล็กๆน้อยๆที่เขามีหุ้นส่วนอยู่ด้วยจะนำพาให้เขามาเห็นภาพบาดตาที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เห็น

                                 ขนมผิงกับหญิงสาวว่าที่คู่หมั้นของเขากำลังแสดงบทรักกันอย่างออกนอกหน้านอกตาหน้าห้องอาหารที่อยู่ข้างๆกัน

                                 หากเขาไม่ขอตัวเพื่อออกมาล้างหน้าล้างตาจากความเหนื่อยล้า คงจะไม่เจอภาพนี้

                                 ขนมผิงเดินไปยังห้องน้ำค่อนข้างจะเซเล็กๆเรียกให้ปิญญ์ชานนท์จับจ้องไม่วางตา

                                 ชายหนุ่มเดินตามร่างสูงโปร่งด้วยฝีเท้าที่เงียบงัน

                                 แผ่นหลังที่คุ้นเคยนั้นตอกย้ำให้เขาทั้งคิดถึงทั้งแค้นเคืองใจใจการกระทำขอขนมผิง   

                                 ในระหว่างที่ขนมผิงก้มหน้าลงกับอ่างน้ำเพื่อล้างหน้าให้สร่างจากอาการมึนเมา

                                 “ดูไม่เหมาะสมกันเลยนะ”เสียงกระซิบยั่วเย้าดังขึ้นข้างหูทันทีที่ยืดตัวขึ้นมา

                                 ขนมผิงสะดุ้งเล็กๆไม่คิดว่าจะเจอกับปิญญ์ชานนท์ที่นี่

                                 “  ”  ขนมผิงวางท่าทีนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ราวกับอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ

                                 ร่างสูงฌปร่งเบี่ยงตัวหลบออกมาแล้วเดินหนี

                                 ทำให้ชายหนุ่มที่อารมณ์คุกรุ่นอยู่แล้วไม่พอใจ มือใหญ่ดึงกระชากเอาแขนของอีกฝ่ายเข้าหา

                                 ขนมผิงเซเล็กๆจ้องมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายนิ่ง

                                 “คิดจะทักทายผัวหน่อยรึไง”น้ำเสียงแข็งกร้าวเอ่ยประชดประชัน

                                 แต่ขนมผิงยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แทบจะไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดใด

                                 “อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้นายไปได้สวยกับเดหลี”

                                 “ครับ”ขนมผิงคอบรับสั้นๆ เบนตาหลบราวกับไม่อยากจะมอง

                                 เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ที่ห่างกันขนมผิงก็กลับมาเป็นคนแข็งกร้าวดังเดิมอีกครั้งมันทำให้ปิญญ์ชานนท์ยิ่งไม่พอใจหนักกว่าเก่า

                                 ชายหนุ่มกระชากแขนที่กำแน่นอยู่อีกครั้งให้ร่างสูงโปร่งเซเข้าไป จนปะทะกับแผงอก

                                 ความใกล้ชิดมันต่างจากเมื่อครู่ทำให้คนที่พยายามไม่ใส่ใจกับอีกฝ่ายสั่นเล็กๆเมื่อแขนอีกข้างของปิญญ์ชานนท์โอบเข้ามารวบกอดที่เอว

                                 “คิดถึงผมเหรอครับ”ขนมผิงเงยหน้าถาม

                                 ซึ่งนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงชะงักเช่นกัน

                                 ปิญญ์ชานนท์รู้สึกหัวใจเต้นถี่รัวขึ้นเมื่อคำถามนั้นมันกำลังตอกย้ำหัวใจที่ด้านชาของเขา

                                 “ทำไมล่ะ…คนเป็นผัวจะคิดถึงเมียของตัวเองไม่ได้รึไง”ปิญญ์ชานนท์กระซิบก้มลงมาจนจมูกโด่งคลอเคลียอยู่บนพวงแก้ม

                                 “หึ”ขนมผิงส่งเสียงเหยียดออกมา มือผอมล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อสูทเพื่อควาญหาอะไรบางอย่างที่ปิญญ์ชานนท์น่าจะคุ้นเคยกับมันดี

                                 ทว่ามือใหญ่ของปิญญ์ชานนท์กับล้วงเข้ามาดึงมือของเขาให้ชะงักแล้วตรึงมันเอาไว้

                                 ชายหนุ่มดึงเอาร่างสูงโปร่งที่ยังคงมีอาการมึนหลงเหลืออยู่ให้เดินตามเข้าไปในห้องน้ำ

                                 “คิดจะทำอะไรเหรอครับ”ขนมผิงถามด้วยท่าทางที่ใจเย็น ตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูท

                                 ทว่าปิญญ์ชานนท์กลับล้วงมือเข้ามาในเสื้อสูทของขนมผิง

                                 “คิดว่านายจะใช้มันได้อีกครั้งรึไงกัน”

                                 เครื่องมือร้ายกาจอันเล็กที่ปิญญ์ชานนท์เคยได้ลิ้มรสมันถูกโยนลงถังขยะ

                                 ใบหน้าแดงเรื่อขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเครื่องมือชิ้นนั้นบัดนี้ลงไปนอนอยู่ที่ก้นถังขยะเสียแล้ว

                                 “คราวนี้เราก็มาคุยกันเรื่องผัวๆเมียๆดีกว่า”แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกักร่างของเขาเอาไว้

                                 ขนมผิงไม่ตอบโต้ แต่จ้องมองปิญญ์ชานนท์ด้วยสายตาที่นิ่งเฉย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเงยหน้าตอบรับใบหน้าที่โน้มลงมา

                                 ริมฝีปากหยักกำลังคลอเคลียอยู่บนจมูกโด่งรั้นอย่างอ้อยอิ่ง

                                 “ถ้าไม่กลัวลิ้นขาดก็จูบลงมาสิครับ”

                                 ขนมผิงยิ้มยั่ว แต่ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์กลับไม่ได้สนใจรอยยิ้มยั่วเย้านั้นเลยสักนิด

                                 แต่ดวงตาดุดันของเขากำลังเพ่งมองรอยแดงเรื่อจากลิปสติกบนพวงแก้มนั่นมากกว่า

                                 แก้มนี่เป็นของเขา…ทุกอย่างของขนมผิงเป็นของเขา

                                 ชายหนุ่มกัดฟันด้วยความไม่พอใจ

                                 ใบหน้าของขนมผิงถูกจับให้เงยขึ้นมาจ้องตอบกับดวงตาดุดันที่กำลังฉายแววกราดเกรี้ยว

                                 “ถ้าหมาอย่างนายกล้าแว้งกัดฉัน ฉันก็กล้าที่จะลดตัวลงไปกัดกับหมาอย่างนาย”

                                 สิ้นเสียริมฝีปากร้อนผ่าวก็บดจูบลงไปอย่างหนักหน่วง

                                 ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์กับลังหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เพราะถูกแย่งคู่หมั้น หรือว่าอะไรทั้งนั้น

                                 แต่เพราะของของเขากำลังถูกคนอื่นสัมผัสต่างหากที่สำคัญกว่า

                                 ลิ้นชื้นสอดเข้าไปในโพลงปากนุ่มกรุ่นกลิ่นสาเกหอมทำให้ราวกับว่ากำลังถูกมึนเมา

                                 ขนมผิงไม่คิดว่าปิญญ์ชานนท์จะจูบลงมาไม่ทันตั้งตัวแบบนั้น

                                 กรามถูกบีบให้ตอบรับจูบ ทั้งที่อุตส่าห์ขู่ไปแบบนั้น แต่ก็กลับไม่ทำ

                                 ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ราวกับเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีที่ต้องตอบรับสิ่งนั้นเข้ามา

                                 เผลอตอบรับสิ่งนั้นเข้ามาไม่ว่าจะด้วยความมึนเมาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขาไม่ปฏิเสธความเคยชิน

                                 แต่ความแค้นใจมันก็ผลักดันให้มือของเขาล้วงหยิบของเล่นชิ้นใหม่ที่ตั้งใจจะอามาทำความรู้จักกับปิญญ์ชานนท์ขึ้นมา

                                 ขนมผิงรวบรวมแรงที่มีผลักอีกฝ่ายออก

                                 ปิญญ์ชานนท์ที่หลงมึนเมาอยู่กับรสจูบเร่าร้อนนั่น ไม่ทันระหว่างตัวร่างสูงก็ผละออกมา

                                 “อะ โอ้ยยย นายทำอะไรน่ะ”

                                 ปิญญ์ชานนท์ยกมือขึ้นมากุมหน้า

                                 “ถ้าไม่อยากตาบอดก็รีบไปล้างออกซะนะครับ ถือว่าเป็นคำเตือนจากคนที่คุณทึกทักว่าเมียก็แล้วกัน”

                                 ขนมผิงผลักชายหนุ่มออกจากประตูแล้วเดินออกมา ทิ้งให้ปิญญ์ชานนท์ได้ลิ้มรสถึงความเผ็ดร้อนของสเปรย์พริกไทย ของเล่นชิ้นใหม่ที่คงจะต้องรู้จักกันอีกหลายครั้ง

 

----------------

 

                                 “ปะป๊ากลัมาแล้ว/ปะป๊ากลับมาแล้ว”

                                 “กริมคิดถึง”

                                 “หลิ่มก็คิดถึงฮับ”เจ้าสองแสบวิ่งเข้ามาเกาะขา

                                 “ทำไมถึงยังไม่นอนกันล่ะครับ”ขนมผิงลูบหัวเจ้าตัวอ้วนทั้งสองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองมารดาเป็นเชิงถาม

                                 แต่ลำดวนเพียงส่ายหน้าเล็กๆแล้วจ้องมองที่เจ้าสองตัวแสบที่ยืนยันว่าจะรอขนมผิงอย่างเดียว

                                 “ทำไมไม่นอนล่ะครัย ไหนตอบป๊ามาสิ”

                                 “ก็กริมคิดถึงปะป๊า”

                                 “หลิ่มด้วย”เจ้าสองแสบทำแก้มป้องช้อนตาขึ้นมามอง

                                 “ต้องมีอะไรแน่แน่ ใช่ไหม”ขนมผิงสังเกตท่าทีของลูกชายทั้งสองก็รู้ได้ทันที่ว่ากำลังจะอ้อนเอาอะไร

                                 “เด็กๆจะเอาอะไรเหรอครับแม่”

                                 “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่ถามก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าความลับความลับ ไม่ยอมนอนอีกต่างหาก บอกแต่จะรอเจอผิงอย่างเดียว”

                                 “งั้นเดี๋ยวผิงพาลูกเข้านอนเองครับแม่ แม่ไปนอนเถอะ”

                                 ขนมผิงออกปาก ลำดวนเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วถอนหายใจออกมา

                                 ช่วงนี้มันเหมือนจะมีอะไรชอบมาพากล แต่ก็ไม่กล้าถามกลัวว่าลูกชายจะเครียดไปเปล่าๆ ทำได้ก็แค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆเหมือนทุกที

 

 

                                 “ไหนอยากได้อะไรบอกป๊ามาสิ”ขนมผิงวางสอบแสบลงบนเตียง

                                 ปลากริมและสลิ่มมีท่าทีอึกอัก มือป้อมๆเขี่ยกันไปมาคล้ายกับไม่กล้าบอก

                                 “ถ้าไม่บอกป๊าก็ไม่รู้นะครับว่าอยากได้อะไร”

                                 “ปะป๊าต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธเราสองคน”

                                 “ใช่ฮับปะป๊าห้ามโกรธหลิ่มกะพี่กิมนะฮับ”

                                 เจ้าสองแสบช้อนตาขึ้นมอง กระพริบตาปริบๆเรียกให้ขนมผิงยิ่งสงสัยมากกว่าเก่า

                                 “โอเคครับ ไม่โกรธก็ไม่โกรธ”ขนมผิงยิ้มบาง

                                 “สัญญาก่อนนะฮับ”ปลากริมต่อรอง

                                 มือป้อมๆของทั้งคู่ยืนมาข้างหน้าเหมือนจะทำสัญญา

                                 “ป๊าสัญญา”ขนมผิงพยักหน้ารับยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้มป้อมๆ

                                 “ปะป๊าใจดีที่สุดเลยฮับ”

                                 “เย้หลิ่มรักปะป๊า”

                                 พอสัญญาเจ้าสองแสบก็กระโดดขึ้นมาโถมตัวใส่แล้วกอดคอทำให้ขนมผิงเซไปทางด้านหลังเล็กน้อย

                                 “ปะป๊าดื่มเหล้ามาเหรอฮับ”

                                 “กิมไม่ชอบเลย”

                                 ทั้งสอบแสบผละออกแล้วยุ่ยหน้าใส่

                                 “นิดเดียวครับ ป๊าไปคุยงานมา”ขนมผิงยิ้มบางยกเสื้อขึ้นมาดม

                                 “ไม่อยากให้ปะป๊ากินเลย”

                                 “ปะป๊าจะเมา”

                                 “โอเค สัญญาว่าจะไม่ดื่มอีก พอใจยัง”ขนมผิงยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วยิ้มให้ลูกชาย

                                 “โอเคฮับ/โอเคฮับ”เจ้าสองแสบรับคำรีบมากระโดนใส่เหมือนเดิม

                                 “ว่าแต่ เมื่อกี้จะขออะไร ยังไม่ได้บอกป๊าเลย”

                                 “กิม กะน้องหลิ่ม…อยาก”สองแสบก้มหน้าอ้ำอึ้ง

                                 “อยากได้อะไรครับ”

                                 “อยากไปหายุงปิญญ์ กิมกะหลิ่มคิดถึงยุงปิญญ์”

                                 “ไม่ได้”

                                 “ไหนปะป๊าบอกว่าจะไม่โกรธไงฮับ”สลิ่มเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมโตมีน้ำตารื้นที่ขอบตา

                                 “ทำไมถึงต้องอยากเจอคนแบบนั้นด้วย”

                                 “กิมกะน้องหลิ่มคิดถึงยุงปิญญ์”

                                 “ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด นอนกันได้แล้ว”

                                 “ไหนปะป๊าบอกว่า”

                                 “นอนกันได้แล้ว ป๊าเหนื่อย”

                                 ขนมผิงจับให้ลูกชายที่น้ำตารื้นขอบตาลงนอน ดวงตาคมเลือกที่จะหลบตาไม่สบตาลูกชายที่มองมาด้วยแววตาเสียใจ

                                 ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมา

                                 “ปะป๊าใจร้าย”

                                 เสียงนั้นราวกับมีดที่กรีดแทงลงมาที่หัวใจ

                                 อะไรที่ให้ลูกได้ แน่นอนเขาจะให้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

                                 แต่ต้องไม่ใช่เรื่องนี้ เรื่องนี้เท่านั้นที่ยอมไม่ได้

                                 ทำไมทั้งที่เขาดูแลลูกมาอย่างดีตลอด แต่คนคนนี้ก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่วัน เด็กๆก็กลับเรียกหา

                                 เขาต่างหากที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเด็กๆ ไม่ใช่ปิญญ์ชานนท์!!

   
-------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง [18+] ❖ 20-02❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-02-2016 19:14:50
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง [18+] ❖ 20-02❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 20-02-2016 20:25:09
ปิญญ์ ......เพลียกะผู้ชายคนนี้จริงๆ =_='
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง [18+] ❖ 20-02❖
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 20-02-2016 21:37:54
คิดเองเออเองตลอด ใช้แต่กำลังไม่อดทนเลย สมควรที่จะไม่เหลือใครแล้วอิปิณ  :katai1: :z6:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง [18+] ❖ 20-02❖
เริ่มหัวข้อโดย: TORORO-PD ที่ 20-02-2016 23:11:35
น่ารำคาญนายเอก ไม่เข้าจ้ยคำว่าเกลียดเรยจริงๆ สงสัยคนเราบัญญัติ คำว่าเกลียดต่างกัน
ความรุสึกที่นายเอกมีเรียกว่า ชิงชัง และ อาฆาตมาตร้าย
ความรุสึกที่พระเอกมีเรียกว่า อาฆาตแค้น
คนเรามันจะรักคนที่ข่มขืนตัวเองได้หรอว่ะ นอกจากนิยาย 5555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง [18+] ❖ 20-02❖
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 21-02-2016 00:48:37
รอดูปินคุงสิ้นท่า จัดหนักนะคะคนเขียน

ผชที่ชอบเอาชนะ ยอมไม่เป็น เอาแต่ใจ ผิงน้อยอย่าเอามาทำสามีเด็ดขาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง [18+] ❖ 20-02❖
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 21-02-2016 17:50:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 22/2 พ่ายแพ้อีกครั้ง [18+] ❖ 20-02❖
เริ่มหัวข้อโดย: Gapompom ที่ 21-02-2016 20:24:06
ยิ่งอ่านยิ่งเครียด รอใกล้ๆจบแล้วจะมาอ่านต่อ
เดี๋ยวค้างแล้วจะเครียดอีก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 22-02-2016 20:20:50
22 ดิ้นรน

                               

                                 “ผิงได้ดูที่เรียนไว้ให้เจ้าสองแสบรึยังล่ะ”ผู้เป็นบิดาถามขณะอ่านหนังสือพิมพ์

                                 “มีดูๆไว้แล้วครับ แต่ผิงยังไม่ได้สนใจที่ไหนเป็นพิเศษ”ขนมผิงตอบพลางจบกาแฟ

                                 วันนี้เขาค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษกับแผนการที่กำลังจะทำในวันนี้

                                 แก้วกาแฟกลิ่นกรุ่นถูกยกขึ้นมาจิบ พลางจ้องมองเจ้าแสบที่พูดถึงวิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันแต่เช้า

                                 “ลองดูที่เดียวกับหลานของเพื่อนพ่อไหมล่ะ อยู่ไม่ไกลมาก จะได้รู้จักกันตั้งแต่เด็กด้วย”

                                 “ถ้าพ่อบอกว่าดีผิงก็ว่าดีครับ”ขนมผิงยิ้ม

                                 “ถ้างั้นเดี๋ยวพ่อจะให้คนหาข้อมูลมาให้ดูแล้วกัน อีกไม่กี่เดือนก็ถึงเวลาสมัครเรียนแล้วนี่”ผู้เป็นพ่อลดหนังสือพิมพ์ลงมามองหน้าลูกชาย

                                 “ครับ มีเพื่อนแล้วคงจะซนน่าดู”

                                 “แล้วเรื่องงาน”

                                 “ไม่มีปัญหาครับ กำลังไปได้สวย”

                                 “ได้ข่าวว่าตอนนี้กำลังขยายฐานลูกค้าอีกแล้วเรอะ”

                                 “ครับ ผมอยากให้เจ้าองค์กรเติบโตขึ้นกว่าเดิม”

                                 “แต่พ่อว่ามันก็โตพอแล้วนะ”

                                 “ไม่ครับ ยังไม่พอ”

                                 “อย่าทำงานเกินตัวเลยผิง พ่อกลัวจะไม่มีเวลาให้กับครอบครัว เดี๋ยวจะมาเสียใจกันทีหลัง”

                                 “ไม่หรอกครับพ่อ ผิงแน่ใจว่าผิงจะไม่ละเลยลูกของผิง”

                                 จะไม่ทิ้งลูกเหมือนกับใครบางคนแน่นอน

                                 “ตามใจ ว่าไงก็ว่ากัน ตอนนี้พ่อเองก็เกษียรนั่งกินนอนกินแล้ว จะพูดมากก็คงไม่ได้”

                                 “อย่าทำงอนสิครับ เดี๋ยวจะแก่ไว”ขนมผิงยิ้ม หันไปหยอก

 

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 “นี่รายชื่อบริษัทที่คุณให้ผมติดต่อขอนัดพบครับ”

                                 มาลิศยื่นแผ่นกระดาษรายชื่อบริษัทผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้กับปิญญ์ชานนท์

                                 “มีแค่นี้?”

                                 ปิญญ์ชานนท์ก้มมองรายชื่อที่มีถึงสิบชื่อด้วยซ้ำ

                                 ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทเล็กๆที่มีซานการผลิตสินค้าไม่มากเท่าไร

                                 “บริษัทใหญ่ๆต่างก็พากันปฏิเสธครับ”

                                 มาลิศตอบคนเป็นเจ้านาย

                                 บริษัทรายใหญ่ที่พอจะเอามาเป็นฐานลูกค้าได้ในยามวิกฤตต่างก็พากันปฏิเสธ เพราะส่วนมากก็เคยโดนทางฝ่ายนี้ปฏิเสธที่จะร่วมค้าขายกันมาก่อน

                                 “หึ ฉันไม่คิดว่าเป็นเพราะที่เราเคยปฏิเสธเขาหรอกนะมาลิศ”ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองใบหน้านิ่งเฉยของเลขาคนสนิท

                                 “ข้อนี้ผมเองก็ยังไม่มั่นใจครับ”เลขาหนุ่มตอบ

                                 ปิญญ์ชานนท์ก้มมองเวลาบนข้อมือบ่งบอกถึงเวลาเที่ยงกว่าๆ

                                 อาจจะเป็นเพราะงานที่กองสุมอยู่ท่วมโต๊ะ ส่งผลให้เขาไม่ทันได้คิดถึงเรื่องอื่น แม้แต่อาหารมื้อกลางวัน

                                 “บริษัทปราณีสิ่งทอสะดวกให้เราวันนี้บ่ายโมงไม่เกินบ่ายสองครับ”

                                 “อืม ฉันจะออกไปตอนนี้ล่ะ นายอยู่ตรวจทานเอกสารที่ฉันอนุมัติเสร็จแล้วกับพลอยฟ้าที่นี่แหละ ไม่ต้องไปด้วยหรอก”

                                 ชายหนุ่มออกคำสั่ง

                                 “ครับ”

 

 

 

                                 ปิญญ์ชานนท์นั่งรออยู่ในห้องรับรองแขกของบริษัทผลิตเสื้อผ้ารายเล็ก รายนี้เป็นรายที่แปดแล้วในเก้ารายชื่อ

                                 ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เคยถูกเขาปฏิเสธทั้งนั้น

                                 เหมือนกับกรรมตามทันยังไงไม่รู้ ที่ทำให้เขาต้องย้อนมาก้าวเดินใหม่ราวกับเด็กหัดเดิน

                                 ไม่เคยมีสักครั้งที่จะต้องเป็นฝ่ายขอนัดพบใครก่อน และไม่เคยที่จะต้องมาถึงที่แบบนี้

                                 ตอนนี้ความรู้สึกที่แข็งกร้าวของเขามันกำลังแตกร้าว ศักดิ์ศรีที่มีกำลังถูกกดให้ต่ำลงโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด

                                 ปิญญ์ชานนท์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ

                                 เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องหยิบมันขึ้นมาทุกครั้งที่กำลังรอเพื่อเสนอข้อตกลงทางธุรกิจ

                                 มีสายเรียกเข้า ไม่มีข้อความเตือน

                                 แต่ก็หยิบมันขึ้นมาเพื่อจะมองดูรูปที่ถูกตั้งเป็นภาพหน้าจอ รูปวาดของเด็กวันสามขวบทั้งสองคน

                                 มีเขาและใครอีกคนขนาบข้างเด็กๆ

                                 ทั้งที่ตอนนี้เขาน่าจะแค้นเคืองใจ แต่เขายิ้มให้กับรูปถ่ายและตัวหนังสือบิดเบี้ยวที่เขียนกำกับไว้

                                 ‘ D’Pin ’

                                 ถึงแม้ว่าการเจอกันครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับแม่ของเด็กๆจะลงรอยที่รูปแบบเดิม มีเพียงความโกรธแค้นเข้ามาคั่นไว้ตรงกลาง

                                 แต่พอนึกถึงปลากริมและสลิ่มแล้ว ความแค้นที่มีมันเหมือนกับถูกลืมไปชั่วขณะ

                                 “คุณปิญญ์ชานนท์คะ คุณรินลดาว่างแล้วค่ะ”

                                 เสียงเรียกของเลขาหน้าห้องเรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอมือถือ

                                 “ครับ”

 

                                 “เชิญนั่งค่ะคุณปิญญ์”รินลดาผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามส่งยิ้มการค้าให้

                                 “ขอบคุณ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับสั้นๆ

                               

                                 “นี่ข้อเสนอจากทางเรา”แฟ้มเอกสารอีกชุดถูกยื่นให้ฝ่ายตรงข้าม

                                 ดวงตาคมกร้าวลอบมองใบหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่ายที่เอาแต่ฝืนยิ้มให้เขา

                                 “ข้อเสนอของเราไม่น่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

                                 ในที่สุดปิญญ์ชานนท์ก็ทนไม่ไหวกับสีหน้าปั้นยิ้มนั่นจึงได้ถามออกไป

                                 “อ้อ ไม่หรอกค่ะ มันดีมาก ดีจนไม่คิดมาก่อนเลยว่าบริษัทใหญ่ๆอย่างคุณจะเสนออะไรให้กับทางเราขนาดนี้”รินลดาตอบ

                                 “แล้ว?”

                                 “ถ้าคุณตอบรับข้อเสนอของทางเราตั้งแต่ต้นปี ดิชั้นคิดว่าคุณคงไม่ต้องมารอเข้าพบดิชั้น”

                                 “นั้นเป็นการตัดสินใจผิดพลาด ผมยอมรับ”ปิญญ์ชานนท์เอ่ยออกไป

                                 ไม่เคยที่ต้องมาแสร้งยอมรับความผิดของตัวเองแบบนี้มาก่อน

                                 “ดิชั้นดีใจมากที่คุณมีข้อเสนอดีดีมาให้ แต่เมื่อชั่วโมงที่แล้วก่อนที่คุณจะมา เราได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าทางคุณ ดิชั้นอยากจะปฏิเสธคุณอย่างละมุนละม่อมที่สุด”

                                 รินลดายื่นแฟ้มกลับคืนมาให้เขา

                                 ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่มีใครตอบรับข้อเสนอที่เรียกว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาแบบนี้มาก่อน

                                 “แล้วพอจะบอกได้ไหมครับ ว่าข้อเสนอที่คุณว่ามาจากที่ไหน”

                                 เขาหยิบแฟ้มเอกสารเก็บกลับคืน แล้วถามออกไป

                                 ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์พยายามที่จะระงับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ระเบิดออกมา

                                 ใครกันที่ยื่นข้อเสนอให้กับทุกที่ตัดหน้าเขาแบบนี้

                                 “อันที่จริงมันก็เป็นความลับทางธุรกิจดิชั้นก็ไม่อยากจะบอกเท่าไร คิดว่ามันไม่เหมาะสม แต่ดูท่าคุณคงจะไปมาแล้วหลายที่ ดิชั้นจะบอกคุณให้ก็ได้ค่ะ ดิชั้นได้รับข้อเสนอมาจากมณีรัตน์กรุ๊ปค่ะ”

                                 แล้วก็เป็นอย่างที่คิด

                                 มณีรัตน์กรุ๊ปอีกแล้วที่เป็นต้นเหตุในการแก่งแย่งฐานลูกค้าของอนันตไพลิน

                               

                                 ปิญญ์ชานนท์เดินออกมาด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างไม่ทรงตัวเท่าไร

                                 อารมณ์ที่พยายามระงับเอาไว้ตอนนี้มันได้ระเบิดออกมาอีกครั้ง

                                 “โถ่โว้ยยย!!”เขาทุบมือลงกับพวงมาลัยรถคันหรู

                                 เหลืออีกเพียงแค่รายชื่อเดียวที่มีอยู่ในลิส แทบไม่อยากคิดเลยว่า มณีรัตน์จะตัดหน้าเขาไปแล้ว

                               

 

                               

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 3 เดือนต่อมา

 

                                 “ฉันคิดว่าแกจะหาทางกลับบ้านเข้ามาในบ้านไม่เจอซะอีก”

                                 น้ำเสียงแข็งกร้าวดังขึ้นทักเมื่อเขาย่างก้าวเข้ามาในบ้าน ปิญญ์ชานนท์ปิดประตูบ้านลงลอบมองผ่านแสงไฟสลัวเจอเข้ากับชายสูงวัยบนวิลแชร์ราคาแพง

                                    สามวันแล้วที่เขาไม่ได้กลับบ้าน แต่ค้างคืนที่ทำงานเอาเพื่อลดเวลาการเดินทางลง

                                 ใบหน้าคมคายมีเคราขึ้นครึ้มบนกรอบหน้าขับให้ใบหน้านั้นยิ่งดุดัน ดวงตาคมดุจ้องมองบิดาด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายแล้วถอนหายใจออกมา

                                 ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้กำลังใจจากใคร

                                 หากเป็นลูกๆของเขา เขาคงจะได้คำต้อนรับพร้อมกับร้อยยิ้มไร้เดียงสาให้ได้ชื่นใจ

                                 นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่…

                                 กว่าสามเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าเด็กๆนับตั้งแต่ออกจากเกาะ

                                 อยากจะไปหา แต่ก็ไม่มีเวลา แต่ถึงมีเวลาขนมผิงก็คงไม่ยอมให้เขาเจอลูกอยู่ดี

                                 “ผมเหนื่อย”

                                 ตอบปัดไปพลางเดินเลี่ยง

                                 “แกคิดว่าแกเล่นขายของรึไง ถึงปล่อยให้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาหยามได้ถึงขนาดนี้”ผู้เป็นพ่อเปิดประเด็น

                                 “  ”

                                 ใบหน้าที่โทรมจากเดิมเรียบนิ่งไม่ตอบโต้ใดใดกับข้อกล่าวหา

                                 เขาผิดเองที่ทำให้บริษัทเข้าสู่สภาวะวิกฤตแบบนี้

                                 “แกคิดจะทำยังไง หะ ในเมื่อสิ่งที่ปู่ย่าแกสร้างมามันกำลังหายไปในพริบตาด้วยน้ำมือแกแบบนี้”

                                 “ผมจะแก้ไขมันเอง”

                                 “แกจะแก้ไขยังไง ญาติๆของแกที่มีหุ้นอยู่ก็ต่างพากันกลัวว่าหุ้นที่มีอยู่มันจะสูญ”

                                 “แล้วพ่อจะให้ผมทำยังไง ผมเองก็พยายามอยู่”

                                 “นี่แกพยายามแล้วงั้นเหรอ ปิญญ์ชานนท์ มันถึงได้ออกมาเป็นรูปนี้”

                                 “ถ้าพ่อเก่งนักก็สั่งมาเลยวิครับ สั่งมาเลยสิ เก่งออกคำสั่งไม่ใช่รึไง”

                                 “แกอย่ามาประชดฉันนะไอ้ปิญญ์”

                                 “ผมไม่ได้ประชด”ปิญญ์ชนนท์เสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าคนเป็นพ่อกำมือลงกับวิลแชร์แน่น

                                 “แกกำลังทำทุกอย่างพังหมด”

                                 “ผมบอกแล้วว่าผมจะแก้ไขมันเอง”

                                 “ถ้าแกแก้ไขไม่ได้ล่ะ”

                                 “ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่”

                                 จะไม่ยอมแพ้ให้กับเกมที่ขนมผิงสร้างเด็ดขาด

                                 ต่อให้ถูกกดลงต่ำแค่ไหนก็ตาม

                                 “ใครมันจะมาเชื่อแก แล้วแกดูนี่ ว่าที่คู่หมั่นของแก เป็นไงล่ะ ถูกคนอื่นฉกไปจนได้”

                                 นิตยสารฉบับล่าสุดถูกโยนลงบนพื้นตรงหน้า ปิญญ์ชนนท์ก้มลงไปเก็บขึ้นมาแล้วเปิดหน้าที่ยับยู่ยี่ออก

                                 ‘ดาราดาวร้ายสาวไฮโซหลุดปาก แพลนหมั้นสายฟ้าแลบ’

                                 ปิญญ์ชานนท์ชะงักให้กับหัวข้อนั้น

                                 ดวงตาคมดุแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีกับหัวข้อที่ทำให้อารมณ์ของเขาปะทุขึ้นมา

                                 “ฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วกับการกระทำเลนเล่อของแก”

                                 ผู้เป็นพ่อสบถอย่างฉุกแล้วจ้องมองหน้าลูกชายที่อารมณ์ไม่ต่างกันสักเท่าไร

                                    ปิญญ์ชานนท์โยนนิตยสารลงถังขยะก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นบนของตัวบ้าน

 

                                 กระเป๋าเอกสารถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนผืนเตียงอย่างหงุดหงิดใจ

                                 อีกแล้วที่ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้น

                                 เหมือนกับเด็กหวงของเล่น หมาหวงก้าง หรืออะไรสักอย่างที่ไม่อยากจะให้ขนมผิงต้องตกเป็นของคนอื่น

                                 ความรู้สึกนี้มันอะไรกันแน่

                                 โทรศัพท์มือถือถูกยกขึ้นมาดูหน้าจออีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ของวัน

                                 มีเพียงรูปนี้เท่านั้นที่ทำให้ความรู้สึกดีดีในส่วนลึกมันถูกขุดขึ้นมา

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 “เข้าไม่ได้นะคะ คุณไม่ได้นัดเอาไว้”

                                 “คุณคะ เข้าไม่ได้ เดี๋ยวค่ะ”

                                 เสียงโวยวายจากหน้าห้องเรียกให้ชายหนุ่มร่างสูงเงยหน้าขึ้นจากเอกสารกองโต

                                 ดวงตาคมดุฉาบแววอ่อนล้าหรี่ตาจ้องมองประตูห้องทำงานของตน ด้วยความแปลกใจ

                                 ไม่นานประตูห้องก็เปิดออก ปรากฏร่างของใครบางคนที่เขาไม่ได้เห็นหน้ามาร่วมสี่เดือน

                                 ใบหน้าที่ตอนนี้ดูเย่อหยิ่งต่างจากทุกที ริมฝีปากเรียวบางเหยียดยิ้มแสยะจ้องมองมาทางเขาด้วยแววตาเย้ยหยัน

                                 ปิญญ์ชานนท์ชะงัก ปล่อยปากกาตกลงบนโต๊ะ เพราะไม่คิดว่าใครบางคนจะปรากฏตัวที่นี่

                                 “พลอยห้ามแล้วค่ะ แต่เขาไม่ฟังพลอยเลย”พลอยฟ้าหลุบตาเมื่อเจ้านายมองมา

                                 “ไม่เป็นไร ให้เขาเข้ามา”

                                 ชายหนุ่มวางท่าทีนิ่งเฉยถึงแม้จะดูแปลกใจไม่น้อยกับการปรากฏตัวของขนมผิง กับใครอีกคนที่เขาเหมือนจะคุ้นหน้าว่าเคยเห็นว่าอยู่กับขนมผิงมาก่อน

                               

                                 “ไงครับ ดูท่าจะเครียดกับงานน่าดู”ขนมผิงทักทายใบหน้าขาวเชิดขึ้นเล็กน้อยวาท่าทีเย่อหยิ่งออย่างที่อีกฝ่ายเคยทำ

                                 ปิญญ์ชานนท์ตีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อประตูห้องทำงานยังคงเปิดอยู่ พนักงานต่างก็มองเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าทายาทของบริษัทคู่แข่งมาที่นี่ทำไม

                                 “นายมีธุระอะไร”

                                 “คนอย่างผมต้องมีธุระด้วยเหรอ ถึงจะมาที่นี่ได้”

                                 “แล้วนายมาทำไม นายก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่รึไง ว่าฉันงานยุ่งแค่ไหน”ปิญญ์ชานนท์ไม่วายประชดประชันเล็กๆ

                                 เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการกระทำของขนมผิงทั้งสิ้น

                                 “นั่นสินะครับ คุณคงจะเหนื่อย”

                                 “พูดธุระของนายมาดีกว่า ขนมผิง ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมาต่อปากกับนาย”

                                 พยายามระงับอารมณ์จ้องมองสีหน้าเย้ยหยันด้วยแววตานิ่งเฉย

                                 พยายามที่จะละทิ้งความโกรธแค้นที่เป็นตัวการทำให้ทุกอย่างพังลง แล้วไม่ใส่ใจกับท่าทีก้าวร้าวของอีกฝ่าย

                                 ทั้งที่ใจอยากไปกระชากร่างตรงหน้าเข้ามาแล้วย่ำยีให้สาสมกับสิ่งที่ได้กระทำเอาไว้

                                 แต่ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เมื่อวิธีพวกนั้นนำพาความทุกข์ใจมาให้เขามากขึ้นไม่มีวันจบสิ้น

                                 “เบื่อที่จะคุยกับผมแล้วเหรอครับ งั้นก็ลุกออกมาจากเก้าอี้นั่นสักที”

                                 ขนมผิงชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ของผู้บริหาร พนักงานที่ต่างอยากรู้อยากเห็นก็เริ่มกระซิบกระซาบกันต่างๆนานา

                                 “ทำไมฉันจะต้องลุกออกจากเก้าอี้นี้ด้วยล่ะ ในเมื่อมันเป็นของฉัน”

                                 “นั่นมันก็แค่แต่ก่อน ตอนนี้เก้าอี้นั่นมันเป็นของผมแล้วล่ะ”ขนมผิงเหยียดยิ้มร้ายก่อนจะโยนเอกสารที่รับมาจากแทนทัพลงบนโต๊ะด้วยท่าทีเหยียดหยาม

                                 ร่างสูงโปร่งกอดอกมองดูใบหน้าคมคายที่ดูโทรมกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอมากโข

                                 กรอบหน้าได้รูปมีเคราขึ้นครึ้มบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ค่อยมีเวลาพอที่จะดูแลตัวเองสักเท่าไรยิ่งทำให้ขนมผิงพึงพอใจ

                                 ปิญญ์ชานนท์หยิบเอกสารที่ถูกโยนมาตรงหน้าขึ้นมา กวาดตามองคร่าวๆ

                                 เอกสารแสดงการถือหุ้นที่ซื้อต่อมากจากผู้ถือหุ้นรายต่างๆปรากฏอยู่ตรงหน้า

                                 แต่เอกสารชุดสำคัญที่อยู่แผ่นสุดท้ายนั่นคือสัญญาการซื้อขายหุ้นของคุณเชตุพลต่างหากที่ทำให้ดวงตาคมดุแข็งกร้าวขึ้นมา

                                 “นี่มันอะไรกัน”

                                 “ยังต้องให้ผมบอกอีกเหรอครับ เหนื่อยมากไม่ใช่รึไง ต่อไปนี้ไม่ต้องเหนื่อยแล้วนะครับ ทุกอย่างผมจะรับช่วงต่อให้คุณเอง”

                                 “นายซื้อหุ้นมาจากคุณเชตุพลได้ยังไง”

                                 เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาพยายามที่จะซื้อคืนมาตลอด แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง

                                 “ก็เขาขาย…ผมก็ซื้อ”ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

                                 “จู่ๆคุณจะมาไล่คุณปิญญ์ลงจากตำแหน่งไม่ได้นะครับ”มาลิศเห็นท่าไม่ดีก็เข้ามาแทรกทันที

                                 น่าแปลกที่เจ้านายของตนไม่ค่อยตอบโต้อะไรผิดจากเมื่อก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะคนคนนี้คือขนมผิง

                                 คือแม่ของลูกกัน ถึงทำให้ท่าทีของปิญญ์ชานนท์ดูเปลี่ยนไป

                                 “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้ผมถือหุ้นมากที่สุด ไม่เห็นจะแปลก”

                                 “มันไม่ดูโหดร้ายไปหน่อยรึไงครับ ที่คุณทำแบบนี้ ผมคิดว่า….”

                                 “พอเถอะ มาลิศ เก้าอี้นี้เป็นของเขา ก็ถูกต้องแล้ว”ปิญญ์ชานนท์ขัดเลขาคนสนิทก่อนที่เรื่องจะยืดเยื้อมากกว่านี้

                                 “แต่”

                                 “ฉันบอกว่าพอ”

                                 ปิญญ์ชานนท์ปิดแฟ้มเอกสารที่เปิดค้างเอาไว้ลง แล้วลุกออกจากเก้าอี้

                                 เสียงพึมพำ ฮือฮาไปทั่ว พนักงานต่างก็วิจารณืเรื่องที่เกิดกันต่างๆนานา

                                 ปิญญ์ชานนท์เดินออกมาจากบัลลังก์ที่เพิ่งจะถูกปลด กายสูงใหญ่ยืนเทียบกับขนมผิง จ้องมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววตาสับสน

                                 “เก้าอี้นี้เป็นของนายแล้ว”เขาบอกเสียงเบาก่อนะเดินออกมา

                                 “นึกว่าคุณจะเป็นพวกหวงของกว่านี้ซะอีก”

                                 “ฉันรู้ว่าต่อให้ฉันหวงมันมากแค่ไหน ยังไงนายก็ต้องเอามันไปจากฉันให้ได้อยู่ดี”พูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน

                                 “รู้ดีนี่ครับ ดูเหมือนจะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว”

                                 “ฉัน….”

                                 “ว่าไงครับ มีอะไรจะสั่งเสีย”

                                 “ฉัน…ขอเจอลูกบ้างได้ไหม”แตะมือลงบนข้อมือของขนมผิงแผ่วเบาราวกับร้องขอ

                                 ทว่าก็ถูกสะบัดออกพร้อมกับสายตาโกรธเคืองที่จ้องมองมา

                                 “อย่าฝันหวานไปหน่อยเลย ผมไม่มีวันให้คุณเจอกับลูกอีกแน่”ขนมผิงเค้นเสียงตอบกลับอย่างไม่พอใจ

                                 “ฉันรู้คำตอบดีอยู่แล้วล่ะ ก็แค่ถามดู”

                                 ตอบก่อนเดินจากมา ท่ามกลางพนักงานที่ต่างมองตามด้วยความตกใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

 

                                 “อ้อ แล้วก็….วันพรุ่งนี้อย่ามาทำงานสายล่ะ ไม่งั้นผมจะตัดเงินเดือนคุณนะครับ คุณปิญญ์ชานนท์”

                                 เสียงตะโกนไล่หลังทำให้ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าขนมผิงมีสีหน้าแบบไหน

                                 คงจะสมใจแล้วสินะ ที่ทำให้คนอย่างเขาต้องยอมรับผลในสิ่งที่ตัวเองได้ทำเอาไว้

 

                                 ในช่วงเวลาที่ตกอับ คนเราถึงจะมองเห็นเส้นเล็กๆบางๆที่คอยมองข้ามมาตลอดสินะ

                                 ถึงได้มีเวลาให้มองย้อนกลับไปมองสิ่งที่เขาทำกับขนมผิงเอาไว้

                                 ติดที่ว่าคำถามที่เกิดขึ้นคือ…เพราะอะไร เขาถึงได้ทำกับขนมผิงแบบนั้น

                                 หึงหวง แสดงความเป็นเจ้าของ เล่นบทผู้ร้ายที่ย่ำยีให้คนดีดีกลายเป็นคนก้าวร้าวโดยไม่รู้ตัว

                                 ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะอะไร….ความรู้สึกที่มันเชื่อมต่อระหว่างเขากับขนมผิง

                                 ที่ทำให้ไม่สามารถตัดความคิดออกจากอีกฝ่ายสักที

 

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-02-2016 20:41:15
เมื่อไหร่อิตาบ้าโรคจิตปิญญ์มันจะเจ็บบ้าง เอาให้เจ็บกว่าขนมผิงนะ ไม่งั้นไม่ยอมจริงๆ ด้วย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-02-2016 21:00:34
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 22-02-2016 21:01:53
ิอ่านบทสนทนาแล้วก็ต้องทำให้ถอนใจ   ทั้ง 2 คู่ มองหา EQ ไม่เจอกันเลย
ปิญท่าจะดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อไม่กี่ตอนที่ผ่านมาแต่ก็เหลว  มาตอนนี้ยิ่งเละกว่าเดิม
หาความดีแทบจะไม่เจอแล้ว 
คนเขียนท่าจะมันส์มากไปหน่อยในการแต่งให้คนเกลียดปิญ
ระวังสักหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะหาที่ลงมาหากันลำบาก

ส่วนขนมผิงนั้นเหมือนแมวตัวน้อยๆที่ได้แต่ขู่ฟ่อๆค่ะ
สังเกตดูนะคะ คำพูดที่ออกมาจากปากผิงนั้นมีแต่ซ้ำๆกันทั้งนั้นเลยค่ะ
คนเป็นแม่ที่มีความรักลูก ความคิดหรืออะไรจะไปไม่ไกลจากเรื่องลูกเท่าไหร่
ความรักลูกจะมีมากกว่าดูแล ทำอาหารให้นะคะ  อ่านมานี่ไม่ได้รู้สึกถึงความผูกพันธ์ระหว่างขนมผิงกับลูกเท่าไหร่เลย   ในใจมีแต่ความโกรธแค้น ความเกลียดชัง

บทสนทนาที่แทนทัพกับคุณวุฒิคุยกันหน้าประตูนี่ไม่น่ามาจากคนอายุขนาดนี้ ทำงานระดับนี้   มันขาดวุฒิภาวะมากๆค่ะ  ลักษณะพูดคุยแบบนี้เด็กมากๆค่ะ

คุณวุฒิเองมานั่งหน้าประตูห้องคนอื่นนานๆแบบนี้ไม่น่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ทำงานหรือไงกัน  แถมคนมีฐานะอย่างขนมผิงน่าจะอยู่คอนโดมีระดับและราคาสูงมากพอตัว ซึ่งปกติคอนโดระดับนี้จะมีกล้องวงจรผิดส่องทางเดิน หน้าลิฟท์  ประตูทางเข้าก็จะมีประตูอีกชั้นแยกคนภายนอกกับคนที่พักอาศัยอยู่ออกจากกัน   ยามจะต้องเดินตรวจเป็นประจำทุกวัน  คุณวุฒิไม่น่ารอดสายตามาได้ขนาดนี้หรอกค่ะ   นี่ไม่ใช่หอพักระดับจิ้งหรีดที่ใครไปใครมาก็ไม่สนหรอกนะคะ     เราสงสัยมาตั้งแต่ที่ปล่อยให้ปิญขึ้นมาหาที่ห้องแล้วค่ะ

เขียนถึงตัวละครทายาทร้อยล้านก็ต้องมี set up ตามสมควร  เหมือนกับที่เขียนถึงแบ็คกราวด์ของตัวละครแต่ละตัวก็ต้องมีรายละเอียดตามนั้น  ติเพื่อก่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 22-02-2016 23:47:02
เมื่อไหร่ผืงจะเอาคืนนนน

นี่ด้นสดใช่หม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 23-02-2016 21:56:23
มาน้อยยังดีกว่าไม่มาค่ะ ว่าจะทักว่าเนื้อเรื่องมันขาดๆเกินๆ ไม่ปะติดปะต่อ แต่พออ่านข้างใต้เนื้อเรื่องที่คุณNeLy เนลี่ บอก ก็เข้าใจเลยค่ะ เอิ่มมันเป็นอย่างนี้นี่เอง สู้ๆนะคะ  อุตส่าห์สละเวลามาอัพและก็ต้องกลับไปอ่านทวนด้วย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: jaKanda ที่ 23-02-2016 21:58:56
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 23-02-2016 23:59:53
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: TORORO-PD ที่ 24-02-2016 00:27:32
โอค่ะ โอโฮ้ อิhere พระเอกเมิงจงอย่าได้ผุดได้เกิดเรย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23 ยิ้มเล็กๆ ❖ 22-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 26-02-2016 01:41:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23.2 ประเมินต่ำไป ❖ 26-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 26-02-2016 19:30:29
ต่อ
 

                                 ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาปิญญ์ชานนท์ก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านไม่ยอมออกข้างนอก

                                 แม้แต่การประชุมบอร์ดผู้บริหารเพื่อแต่งตั้งขนมผิงเป็นประธานคนใหม่แล้วปลดเขาออกเขาเองก็ยังไม่ยอมไป

                                 ไม่แม้แต่ยอมรับตำแหน่งรองประธานที่ขนมผิงหยิบยื่นไม่ว่าจะเพราะด้วยกลั่นแกล้งหรือต้องการจะเยาะเย้ยก็ตาม

                                 เขาตัดสินใจที่จะเป็นเพียงแค่ผู้ถือหุ้น ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดใดภายในบริษัท

                                 เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่ายังไงขนมผิงก็ไม่ยอมให้เขาอยู่อย่างสบายแน่นอน

                                 หากถามว่าเขาอับอายหรือไม่ที่ก้าวพลาดสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้กับมณีรัตน์

                                 ไม่เลยสักนิดในเมื่อตอนนี้เขายอมรับทุกข้อกล่าวหาทั้งหมดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

                                 รูปถ่ายที่ถูกส่งมาจากคนที่เขาให้แอบไปถ่ายรูปเด็กๆที่โรงเรียนหลังจากเพิ่งเข้าเรียนได้ไม่กี่วันถูกหยิบขึ้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                                 เขาพลาดที่ทิ้งลูกๆในวันนั้น

                                 ผลักไสไล่ส่งขนมผิงกับลูกในท้องให้ออกห่างจากชีวิต

                                 สุดท้ายเป็นเขาเองที่ขาดใครไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว

 

 

                                 เวลาที่มีมากเกินไปทำให้เขาตัดสินใจออกจากห้องสี่เหลี้ยมแคบๆในรอบหลายวัน

                                 มานั่งที่เดิมที่มักจะทำให้คิดถึงใครคนหนึ่งที่ทำให้มุมมองชีวิตของเขาเปลี่ยน

                                 รอยยิ้มที่ดูจริงใจในเวลาที่ส่งกระเป๋าเงินคืนให้เขา

                                 รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจที่ด้านชาดวงนี้เต้นไม่เป็นจังหวะ

                                 ชายหนุ่มมองดูผู้คนเดินผ่านไปมา ซื้อแล้วซ้ำเล่ากับพฤติกรรมที่หลากหลาย

                                 เหมือนจะเป็นโชคดีของเขาที่สะดุดตาเข้ากับเด็กผู้ชายร่างจ้ำม่ำในชุดนักเรียนอนุบาลกางเกงสีแดงสดสองคนเดินจูงกับคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดีสองคนผ่านหน้าร้านไป

                                 ขนมผิงกับเดหลี

                                 เขาวางหยุดห้ามความคิดตัวเองไม่ให้ตามไปไม่ได้

                                 ปิญญ์ชานนท์หยิบเงินขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ

                                 เดินตามทั้งคู่ไปยังร้านไอศกรีมที่เขาเคยกินด้วยกันกับเด็กๆ

                                 ขนมผิงนั่งฝั่งเดียวกับเดหลีซึ่งหันหลังให้กับกระจกใสหน้าร้าน ส่วนเด็กๆก็นั่งฝั่งตรงข้ามหันหน้ามาทางเขา

                                 เด็กๆกำลังยิ้มให้เดหลี ทั้งที่รอยยิ้มนั้นควรเป็นของเขา

                                 เดหลีตักไอศกรีมป้อนเด็กๆทั้งที่หน้าที่นั้นควรเป็นของเขา

                                 เช็ดเศษไอศกรีมที่เลอะ คอยดูเด็กๆไม่ให้ซน หรือแม้แต่คอยลูบหัวด้วยความเอ็นดู ทั้งหมดนี้มันต้องเป็นหน้าที่เขา…ไม่ใช่เดหลี!!

                               

                                 เหมือนกับเด็กๆจะรู้ว่าเขาจ้องอยู่ ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมามองที่เขา รอยยิ้มกว้างของทั้งคู่ฉีกยิ้มขึ้นทันที

                                 ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กๆขึ้นมาเมื่อรอยยิ้มของเด็กๆยังมีให้เขาเช่นเดิม

                                 เขานิ้วขึ้นมาจรดริมฝีปากส่งสัญญาณให้เด็กๆเงียบ

                                 กลัวว่าขนมผิงจะไม่พอใจเขาแล้วพาลกับเด็กๆ

                                 ทั้งสองคนยิ้มแก้มปริพยักหน้าหงึกๆ

                                 เขายกมือขึ้นโบกมือลาเล็กๆก่อนจะเดินจากมาก่อนที่ขนมผิงจะรู้สึกตัวเสียก่อน

                                 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตากันแน่…ที่ยังพอจะเข้าข้างเขาอยู่บ้าง ถึงจะแค่นิดเดียวก็ตาม

                               

 

                                 “แกหายไปนาน ฉันคิดว่าแกจะเครียดจนฆ่าตัวตายซะอีก”

                                 ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงทักทายก็ดังขึ้น เหมือนคนเป็นพ่อจะดักรออยู่แล้วหรือบังเอิญเขาเองก็ไม่แน่ใจ

                                 “พ่อห่วงผมด้วยเหรอครับ”ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                                 “ฉัน…ก็แค่พูดประชด”ผู้เป็นพ่อเบือนหน้าหนี ดวงตาแข็งกร้าวสั่นไหว

                                 ปิญญ์ชานนท์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดทันที

                                 หลายวันหลังที่ข่าวกระจายไปตัวกับการเสียตำแหน่งอย่างกะทันหันของเขา

                                 ผู้เป็นพ่อเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่คอยต่อว่า กลับประชดประชัน ในประโยคมักจะแฝงด้วยความเป็นห่วงแทรกเข้ามา

                                 “ผมไม่คิดสั้นหรอก ถ้าผมตายพ่อคงจะไม่มีใครคอยให้สั่ง”

                                 “หึ พูดอย่างกับว่าแกจะเปลี่ยนใจเลือกผู้หญิงมาแต่งงานแล้วมีหลานให้กับฉันอย่างนั้น”

                                 ผู้เป็นพ่อหัวเราะในลำคอ

                                 “ผมมันคนไม่มีหัวใจ พ่อก็น่าจะรู้ดีนี่ครับ”เขาตอบ คล้ายกับตอกย้ำตัวเอง

                                 ถ้าเขามีหัวใจเขาคงจะรู้อะไรเกี่ยวกับความรู้สึกของตนได้มากกว่านี้

                                 “ไม่ใช่แกไม่มีหัวใจ หัวใจของแกมันก็แค่ตายด้าน”

                                 “ตามใจแล้วกัน พ่อจะว่ายังไงผมก็ไม่คิดจะขัดอยู่แล้ว”

                                 “หึ”ส่งเสียงประชดในลำคอ

                                 “เข้าไปข้างในเถอะ ข้างนอกลมแรง ฝนกำลังจะตก พยาบาลส่วนตัวของพ่อไปไหนซะล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ถามพลางจับวิลแชร์ดันเข้าไปในตัวบ้าน

                                 “ฉันไล่กลับบ้านไปแล้ว…ฉันดูแลตัวเองได้ ”

                                 “คิดว่าเห็นผมว่าง จะให้ผมทำแทนพวกนั้น”

                                 “แกอย่ามาหลงตัวเอง ที่ผ่านมาเป็นเพราะแกหลงตัวเองไง ถึงได้เสียทุกอย่างไป”คนเป็นพ่อหลุดปากออกมาอย่างเคยชิน

                                 ปิญญ์ชานนท์นิ่งชะงัก ผู้เป็นพ่อเองก็เช่นกัน

                                 ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ มีเพียงภาพเบื้องหน้าที่บ่งบอกถึงความรู้สึกของผู้เป็นพ่อได้อย่างชัดเจน

                                 ไหล่ที่มองจากทางด้านหลังกำลังสั่นเล็กๆ       

                               

                                 “ผม…ขอโทษ”

                                 เพราะไม่รู้จะพูดคำไหนออกไปกับความรู้สึกผิดที่มันเกิดขึ้นในเวลานี้ แต่ก็คิดว่าต้องพูดออกไป

                                 สิ่งที่ผู้เป็นพ่อรักมากที่สุดหวงแหนมากที่สุด ตัวเขาเองก็เช่นกัน บัดนี้มันหายไปแล้ว

                                 “ยังไงซะ ฉันก็เป็นคนผิดที่เลี้ยงแกมาเป็นแบบนี้”

                                 หัวใจด้านชาสั่นระริกราวกับว่ากำลังร่ำไห้ ปิญญ์ชานนท์กำมือที่จับวิลแชร์แน่น

 

 ---------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23.2 ประเมินต่ำไป ❖ 26-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 26-02-2016 21:57:28
เอาเลยผิงผิง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23.2 ประเมินต่ำไป ❖ 26-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-02-2016 02:14:11
สมน้ำหน้าอีปิณญ์
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23.2 ประเมินต่ำไป ❖ 26-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 27-02-2016 11:16:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23.2 ประเมินต่ำไป ❖ 26-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: onekiss ที่ 03-03-2016 00:58:41
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23.2 ประเมินต่ำไป ❖ 26-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 03-03-2016 14:08:50
โหยยยย อย่างนี้ไม่มีทางได้มาเป็นครอบครัวกันแน่ๆ :ling2:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 23.2 ประเมินต่ำไป ❖ 26-02-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 03-03-2016 18:06:06
เกลียดอิปินโคตรรรรร ผิงต้องเด็ดขาดและเข้มแข็งกว่านี้ คนที่ข่มขืนเราจนมีลูกไม่สมควรใช้คำว่าพ่อกับมันนะ เหยียบอิปินให้จมแล้วหาผู้ชายดีๆที่ไม่จ้องจะข่มขืนเราอย่างเดียวแทนเหอะ เลวมาตลอดแถมไม่เคยสำนึกอย่างอิปินไม่เหมาะเป็นพระเอกจริงๆนะ เป็นเรื่องแรกที่อยากให้เปลี่ยนพระเอกหรือไม่ก็จบแบบไม่สมหวังอะ ปกติพระเอกเลวๆนี่เราชอบนะแต่คนนี้ไม่ไหวจริงๆ :z3: :z6:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 24 แย่งหรือขโมย ❖ 05-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 05-03-2016 17:11:16
23 ผิดพลาดหรือจงใจ

 

                                 ใบหน้าขาวสะอาดประดับด้วยแว่นกรอบหนากำลังจดจ้องมองยังประตูทางเข้าของตึกสูงกว่าสิบชั้น

                                 คุณวุฒิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เวลาล่วงปาเข้าไปทุ่มเศษๆ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าขนมผิงจะออกมา

                                 ดวงตารีเล็กจ้องมองทางออกสลับกับยามหน้าประตูที่ยืนเฝ้าเขาไว้ไม่ไปไหน

                                 เพราะถ้าหากเผลอเขาจะต้องหาทางขึ้นไปยังชั้นบนสุดจนได้

                                 “ทำไมไม่ลงมาสักที”

                                 คุณวุฒิพึมพำเดินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่เอาไว้รับรองแขกชั้นล่าง

                                 ตึกยังไม่ปิดก็แสดงว่ายังมีคนทำงานอยู่ข้างบน แต่ติดตรงที่ว่าขนมผิงจะอยู่รึเปล่า

                                 แบตโทรศัพท์ก็ดันหมด ติดต่อไม่ได้

                                 ที่อุตส่าห์มาวันนี้ไม่ใช้อะไร แต่เพราะไม่ได้เจอกันมาร่วมสองเดือนอีกทั้งไม่มีการติดต่อกัน

                                 ทำให้เริ่มร้อนใจ และที่สำคัญ การที่ลูกพี่ลูกน้องถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานแล้วขนมผิงขึ้นดำรงตำแหน่งแทนมันทำให้เขานึกสงสัย

                                 จึงต้องมาเพื่อจะเค้นถามทั้งที่เคสคนไข้ในช่วงนี้ก็ยุ่งแพ้กัน

                                 “ลุงให้ผมขึ้นไปหน่อยนะครับ ผมไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอก”เดินเข้าไปหายามเฝ้าประตูอีกครั้ง แต่ก็ถูกส่ายหน้าใส่ แล้วไล่ให้มานั่งรอที่เดิม

                                 เหนื่อย แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตารอเพราะอยากรู้คำตอบ

                                 ตั้งแต่ที่เจอกันหลังจากที่ขนมผิงหายตัวไปสี่ปี ขนมผิงดูเปลี่ยนไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดว่าขนมผิงจะกระทำการอย่างนี้

                                 รุ่นน้องที่มีรอยยิ้มน่ามองส่งให้ตอนนี้รอยยิ้มนั้นมันกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูยังไงก็เป็นการฝืน

                                 สำคัญที่สุดที่ทำให้เขาช็อกยิ่งกว่าก็คงจะเป็นเรื่องข่าวลือการหมั้นของขนมผิงกับเดหลีคู่หมั้นของปิญญ์ชานนท์ลูกพี่ลูกน้องของเขา

                                 มันเหมือนมีอะไรที่เขาไม่รู้เชื่อมโยงหากันอยู่

                                 คุณหมอก้มหน้าลงประสานมือเข้าหากัน พยายามจะไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรมากในตอนนี้

                                 ไม่ทันรู้ตัวก็มีบุคคลที่สองทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขาทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ

                                 แต่แล้วใบหน้าเรียบเฉย เจ้าของเรือนกายสูงใหญ่ในชุดสุภาพ ในมือถือเสื้อสูทที่ถอดออกปรากฏอยู่ตรงหน้า

                                 “โรคจิตนะครับ มาดักรอคนอื่นมืดค่ำแบบนี้”

                                 “ว่าใครโรคจิตครับ”

                                 ทั้งที่เป็นคนอารมณ์เย็นไม่โกรธใครง่ายๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมคนหน้าเฉยชาคนนี้พูดทีไรมันรู้สึกเหมือนถูกกวนโมโหให้หงุดหงิดทุกที

                                 “ใครล่ะครับ ที่มาดักรอคนอื่น”

                                 “ผมมารอผิง ไม่ได้มารอคุณ ทำไมคุณจะต้องมาเดือดร้อนล่ะครับ คุณลูกจ้าง”

                                 “คนของอนันตไพลินนี่ชอบดูถูกคนอื่นแบบนี้ทุกคนรึเปล่านะ”ถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบ เพราะใบหน้านิ่งเฉยนั้นไม่ได้มองมาทางเขา

                                 “อย่ามาพาดพิง”

                                 “ครับๆ คุณหมอโรคจิต”

                                 “เลิกเรียกผมว่าโรคจิตสักที คุณจะไปไหนก็ไป อย่ามากวนผมจะได้ไหม”

                                 “นี่ที่ทำงานของผม”

                                 “ไม่ได้ถามครับ”

                                 “คุณพูดแบบนี้กับคนไข้ด้วยรึเปล่า”

                                 แทนทัพหันมาถาม เพราะเริ่มสงสัยแล้วว่าท่าทีที่กวนโมโหได้ง่ายแบบนี้ เวลาถูกคนไข้ดื้อหรือบ่นจะหงุดหงิดง่ายแบบนี้รึเปล่า

                                 “ทำไมผมต้องบอก”

                                 คุณหมอเบือนหน้าหนี จ้องมองไปยังทางเข้า

                                 “กลับไปแล้วล่ะ”บอกเสียงเรียบ

                                 จงใจโกหกเพราะไม่อยากให้คนที่ยุ่งอยู่กับงานที่มีมากถูกรบกวนให้เสียสมาธิ

                                 ดูก็รู้ว่าคุณหมอคนนี้มาเพื่ออะไร

                                 “กลับไปแล้ว?

                                 “ครับ กลับไปแล้ว”

                                 “ดะ ได้ยังไงกัน ทำไมถึงไม่เจอ”ประโยคสุดท้ายพึมพำกับตัวเอง

                                 เลขาหน้าคมยิ้มเล็กๆกับกลอุบายที่ได้ผมเป็นอย่างดีของตน

                                 ช่างเป็นหมอที่หลอกง่ายมาก เป็นตัวช่วยในการคล้ายเครียดจากงานที่กองท่วมหัวได้อย่างดีเลยทีเดียว

 

                                 “ไปดื่มกันไหม”นึกอะไรอยู่ไม่รู้แทนทัพถึงได้ออกปากชวนออกไป

                                 คุณหมอหนุ่มหันมามองใบหน้าคมคายผิวสีแทนแล้วจ้องมองชายหนุ่มผ่านกรอบแว่น

                                 “ชวนผม”ชี้ไปที่ตัวเองอย่างข้องใจ

                                 “ใช่ ผมชวนคุณ”

                                 “ให้ไปนั่งดื่มกับลูกจ้างอย่างคุณ ผมไม่ไปด้วนหรอก พรุ่งนี้บ่ายโมงผมต้องเข้าเวรด้วย”

                                 คำตอบของคุณหมอทำให้แทนทัพผิดหวังเล็กๆ

                                 “กลัวอะไร”

                                 “ห่ะ”หันมาถามทันทีเมื่อเหมือนกับถูกกล่าวหา

                                 “กลัวผม…ใช่ไหม”ยิ้มมุมปากเล็กๆจงใจยั่วโมโห

                                 แล้วมันก็ใช้ได้ผลกับคุณหมอที่ค่อนข้างจะอารมณ์แปรปรวนง่ายเมื่อถูกคนคนนี้กวนอารมณ์

                                 “ใครจะกลัว คุณก็แค่ลูกจ้าง นำไปสิ ผมไม่ได้เอารถมาหรอกนะ”บอกตามตรงเพราะนั่งรถไฟฟ้าในช่วงที่มีเคสคนไข้ติดพันแบบนี้ทำให้ประหยัดเวลาไปได้เยอะ

                                 “เดี๋ยวผมเป็นคนขับรถชั่วคราวให้คุณเอง”

 

                                 คุณวุฒิเองตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ได้แตะเครื่องดื่มมึนเมาเลยแม้แต่นิด ทำให้ตอนนี้เมื่อเหล้าเข้าปากส่งผลให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแทบจะทันทีที่มันออกฤทธิ์

                                 ดวงตาคมของเลขาหนุ่มจับจ้องคุณหมอที่ตอนนี้นั่งซึมไมไหวติง จับจ้องมองแก้วเหล้าบนเคาน์เตอร์บาร์นิ่ง

                                 “แค่นี้ ไม่ไหวแล้วเหรอครับ”

                                 จงใจพูดยั่วเพื่อให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

                                 คุณหมอเงยหน้าขึ้นมาจากแก้วเหล้า สายตาออกมาจ้องมองใบหน้าคมเข้มของแทนทัพ

                                 ฝ่ามือเนียนนุ่มสมกับเป็นมือของหมอแตะลงบนแก้มของชายหนุ่ม

                                 “อุตส่าห์ดูแลมาตั้งนาน”พึมพำเสียงเบา

                                 “ดูแลอะไรเหรอครับ”

                                 “ดูแลผิงมาตั้งนาน จนเรียนจบ แต่ผิง…อึก รักคนอื่น”พูดพึมพำเสียงเริ่มอู้อี้สะอึกเบาเบา

                                 แทนทัพชะงักนิ่ง ปล่อยให้ฝ่ามือนิ่มลูบลงบนกรอบหน้า

                                 คุณวุฒิกำลังจะบอกอะไรเขากันแน่

                                 การตอกย้ำตัวเองของคุณหมอทำให้หัวใจของชายหนุ่มไหววูบ

                                 พยายามไม่แสดงออก กักเก็บมันเอาไว้เพื่อที่จะอยู่เคียงข้าง สุดท้ายก็ถูกมองข้ามไปจนได้

                                 คุณหมอตรงหน้าก็คงไม่ต่างกันนัก

                                 “ผิงไม่หมั้น อึก ไม่ได้เหรอ”พึมพำเสียงอ้อแอ้โถมกายเข้าใส่คุณหมอ

                                 “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงจะดี”

                                 แทนทัพบอกเสียงเบา ปลอบใจทั้งตนเองและคนตรงหน้า

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                                 เสียงนาฬิกาโทรศัพท์ปลุกเป็นรอบที่สองของวันเรียกให้ร่างสูงโปร่งในชุดนอนสีเข้มสะดุ้งตื่น

                                 ดวงตารีเล็กเบิกกว้างทะลึ่งตัวขึ้นมาเมื่อเสียงนาฬิกาที่ตั้งค่าเอาไว้เป็นเสียงเพลงที่ชอบบอกเวลาสิบเอ็ดโมงเพื่อเตือนให้เขาเตรียมทานข้าวก่อนจะเข้าเวรบ่าย

                                 แต่นี่อะไร…เขาพึ่งจะตื่น!!

                                 มือขาวนุ่มควานหาแว่นตาเมื่อภาพที่เห็นมันพร่าเบลอตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา

                                 “แว่น ไปไหน”

                                 คุณหมอบ่นพึมพำลุกขึ้นจากเตียงเพื่อคลำหาแว่นที่ถอดไว้บนข้างเตียงก่อนนอนทุกวัน แต่ก็ไม่พบ

 

                                 ทันทีที่ลุกขามันก็อ่อนแรงจนทรงตัวไม่ไหวทรุดลงก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น

                                 แต่ที่น่าแปลกใจก็คงจะเป็นอาการเจ็บหน่วงๆตรงก้นมากกว่าที่ทำให้เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

                                 เป็นเพราะล้มก้นกระแทกพื้นอย่างนั้นเหรอ?...ไม่น่าจะใช่

                                 จะอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้เขากำลังจะไปเขาเวรสาย แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือแว่นตา

                                 ร่างสูงโปร่งในชุดนอนหลวมเล็กน้องยันตัวขึ้นควานมือเพื่อหาแว่นตาเผื่อจะลืมวางเอาไว้ที่ไหนสักที่

                                 พยายามนึกก็นึกไม่ออกว่าเอาวางไว้ที่ไหน แม้แต่เมื่อคืนกลับบ้านยังไงยังจำไม่ได้เลย

                                 “ไปลืมไว้ไหนนะ”บ่นให้กับตัวเองพลางควานหาไปเรื่อย รู้สึกว่าของในห้องมันเหมือนกับถูกย้ายที่ยังไงไงไม่รู้

                                 โต๊ะเครื่องแป้งที่ควรจะอยู่ตรงนี้ก็ไม่อยู่ ตู้เสื้อผ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

                                 มือบัดของบนโต๊ะใกล้ๆหล่นลงบนพื้น ภาพที่เห็นตรงหน้ามันเบลอมาก ไม่รู้ว่าไปสะดุดของที่ตกลงมาท่าไหน

                                 ล้มหน้าคว่ำลงไปอีกรอบ คราวนี้ความเจ็บความเมื่อยล้าไปทั้งตัวก็แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน

                                 “บ้าเอ้ย เจ็บชะมัด”

                                 คุณหมอเริ่มหงุดหงิดยกมือขึ้นมากุมสะโพก อะไรอะไรมันก็เหมือนไม่ได้ดั่งใจกับเวลาที่กำลังรีบร้อนแบบนี้เลยสักนิด

                                 แต่ก็หารู้ไม่ว่าการกระทำที่ดูเหมือนจะซุ่มซ่ามเมื่อขาดแว่นตาเรียกให้แทนทัพที่ตื่นอยู่นานแล้วแต่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงด้านข้างมองราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจในวันหยุดแบบนี้

                                 เหมือนกับดูอะไรที่น่าลุ้นว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง

                                 ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มเล็กๆ ลุกลงจากเตียงเดินไปหยิบแว่นที่วางอยู่หน้าทีวีด้วยฝีเท้าอันเงียบเชียบฃ

                                 “นี่ แว่น”

                                 แว่นถูกยื่นไปตรงหน้ามือที่กำลังควานหาให้หยิบได้อย่างพอดิบพอดี

                               

                                 “ขอบคุณมาอยู่นี่ได้ไง เฮ้อ”คุณหมอถอนหายใจ

                                 ทว่าพอใส่แว่นเสร็จก็ต้องสะดุ้งเมื่อใบหน้าคมคร้ามของใครบางคนปรากฏอยู่ตรงหน้า

                                 “คุณ…มาที่นี่ได้ยังไง”

                                 ถามและมองสำรวจอีกฝ่าย เรือนกายเปลือยอกสูงประดับมัดกล้ามอวดผิวสีแทนน่าอิจฉา กางเกงวอร์มขายาวสีดำสนิทหมิ่นเหม่อยู่ตรงสะโพกสอบขับให้รูปลักษณ์ของแทนทัพยิ่งดูเข้มเข้าไปอีก

                                 “ดูให้ดีครับ คุณหมอ นี่ห้องผม”แทนทัพไหวไหล่เล็กๆ

                                 แต่คุณวุฒิกลับสะดุ้งอีกรอบเมื่อมองไปยังรอบๆตัว

                                 ห้องที่ดูเหมือนจะเป็นคอนโด ข้าวของต่างๆที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดูสะอาดตาทำให้รู้ได้โดยทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องตัวเอง

                                 ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ก้มลงมองชุดนอนที่ตัวเองใส่อยู่ แล้วก็พบว่ามันไม่ใช่ชุดนอนของตน

                                 คุณหมอหน้าซีด อาการปวดเนื้อตัว เจ็บแสบที่ก้นนั้นมันเริ่มทำให้เขาสงสัยว่ามันอาจจะ….ไม่ใช่เพราะที่เขาล้มลงไปเมื่อครู่ก็ได้

                                 “คุ คุณ”

                                 จู่ๆก็ถอยหลังหนีแทนทัพเมื่อคิดว่าโชคมันเริ่มจะไม่เข้าข้างตัวเอง

                                 มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนกันแน่….

                                 “ถ้าไม่รีบแต่งตัวคนไข้จะรอเอานะครับคุณหมอ”

                                 “ไม่…จริงน่า”

                                 คุณหมอพึมพำ แต่แทนทัพกลับส่ายหัวเล็กๆกับท่าทีนั้นเพราะคุณหมอคนนี้ไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย

                                 “ถ้าไม่รีบ จะสายเอานะครับ”พูดดังขึ้นเล็กน้อยแตะลงที่ต้นแขนคุณหมอให้ได้สะดุ้ง ถอยหลังหนีไปมากกว่าเก่า

                                 “สะ สายงั้นเหรอ ใช่ สายแล้ว สาย”

                                 คุณวุฒิกระวีกระวาดหยิบเสื้อผ้าและผ้าขนหนูที่ดูเหมือนจะซักรีบเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดีเข้าไปในห้องน้ำ

                                 ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่…

                                 คุณวุฒิอาบน้ำเสร็จก็แต่ตัวอย่างรีบเร่งด้วยเสื้อผ้าชุดเดิม แต่ทุกอย่างผ่านการซักรีดอย่างดี แม้แต่กางเกงชั้นใน

                                 แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเท่ากับข้อสงสัยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในความคิดตอนนี้

                                 มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ระหว่างเขากับแทนทัพกันแน่

                                 เพราะท่าทีของแทนทัพยังดูปกติดีทุกอย่าง

 

                                 รถยนต์คันสีดำสนิทจอดลงหน้าตึกของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง คุณวุฒิที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดตอนนี้นั่งนิ่งก้มลงมองมือของตัวเองที่ประสานเข้าหากันแน่น

                                 “ถึงแล้วครับ เจ้านาย”

                                 “หะ หา เอ่อ ขอบคุณ”

                                 ตกใจเงยหน้าขึ้นมามองคนขับรถจำเป็น เผลอสบตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่าย

                                 แล้วก็ต้องหลบตาวูบรีบเปิดประตูลงจากรถ แต่ทว่าข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้ทำให้ชะงักจนตัวเกร็ง

                                 “มี…อะไร ระ เหรอ”หน้าซีดถามออกไป

                                 “ออกเวรกี่โมง”

                                 “ทำไมผม…จะต้องบอก”พยายามไม่ตกใจแล้วพูดเหมือนเดิมที่เคยพูดกับอีกฝ่าย

                                 ดวงตาคมนิ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันกำลังมองทะลุปุโปร่งตัวเขาขนาดนี้

                                 “ออกเวรกี่โมง ผมจะมารับไปทานข้าวเย็น”

                                 “ไม่..ต้อง”ปฏิเสธเสียงแข็งทันที

                                 ต่อให้บังคับเขาก็ไม่มีทางบอกแน่…ไม่อยากจะเจอคนคนนี้อีกแล้ว

                                 “ผมจะถามอีกครั้ง…ออกเวรกี่โมง คุณหมอ”

                                 “สะ สามทุ่ม”สุดท้ายก็บอกไปเพราะสายตาที่จ้องมองมันทำให้อึดอัดจนแทบจะไม่มีสมาธิเอาซะเลย

                                 “ก็แค่นั้น ถ้าไม่รีบไปจะสายเอานะครับ”แทนทัพยิ้มมุมปากปล่อยมืออีกฝ่าย

                                 คำตอบที่ได้กลับมาก็คือประตูรถที่ถูกปิดใส่หน้าแรงๆไปหนึ่งที

                                 ชายหนุ่มถอนหายใจมองดูแผ่นหลังที่หายลับเข้าไปในตึก

                                 ผิดพลาด…หรือจงใจ

                                 เขาเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน

 

-----------------------------------------------------------------
มีต่อ

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 24 แย่งหรือขโมย ❖ 05-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 05-03-2016 17:11:51
ต่อ


                                 วันเวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน โชคดีที่วันนี้ไม่ค่อยมีคนไข้สักเท่าไร มีก็แต่คนไข้ที่นัดเอาไว้และคนไข้ที่รอดูอาการเท่านั้น ทำให้พอมีเวลาว่างเล็กน้อยที่จะทำให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

                                 ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…

                                 ย้ำความคิดตัวเองอยู่ตลอดว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น แต่หลักซานที่แสดงอยู่บนร่างกายมันเป็นตัวตอกย้ำว่าใช่…ทุกอย่างที่คิดมันเป็นจริง

                                 ร่างสูงโปร่งในชุดกราวด์ถอนหายใจเตรียมเก็บของ นาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลาสองทุ่ม ซึ่งนั่นเป็นเวลาออกเวรที่แท้จริงของเขา

                                 เขาโกหกแทนทัพ…

                                 ไม่อยากเจอแทนทัพ เพราะไม่รู้จะมองหน้าอีกฝ่ายยังไง ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี

                               

                                 พอเก็บของเสร็จก็รีบเดินออกมาจากตึก บรรยากาศข้างนอกเปลี่ยนเป็นความมืดเข้ามาแทน มีเพียงแสงไฟนีออนจากเสาไฟเท่านั้นที่ให้ความสว่าง

                                 วันนี้เขาไม่ได้เอารถมา สุดท้ายเลยต้องนั่งรถไฟฟ้ากลับไปที่คอนโดของตัวเองเหมือเดิม เพราะว่าบ้านอยู่ไกลจากโรงพยาบาลพอตัว จึงต้องซื้อคอนโดที่อยู่ใกล้และเดินทางสะดวกเอาไว้

                                 ไม่รู้ว่าแทนทัพจะมาจริงๆไหม แต่ถ้ามาจริงๆก็คงไม่เจอ…ถ้าไม่เจอแทนทัพจะรอไหม

                                 แต่ก็ช่างเถอะ ใครจะไปอยากเจอคนที่เจอทีไรทีไรก็ชอบกวนอารมณ์กันตลอด มิหนำซ้ำยังเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก ไม่น่าดื่มเหล้าเลยจริงๆ

                                 คุณวุฒิส่ายหน้าให้กับความคิดที่กำลังประดังประเดเข้ามาในหัวสมองของตัวเอง

                                 เรื่องขนมผิงเขาเองก็ยังไม่ได้คำตอบ ปัญหาก็มีเพิ่มเข้ามาอีก

                                 “อะ เฮ้ย”

                                 จู่ๆแขนก็โดนดึงเอาไว้จนเกือบเซไปด้านหลังทำให้ร้องเสียงหลงเมื่อกำลังใช้เวลาให้กับความคิดมากเกินไป

                                 “ไง โกหกกันสินะครับ คุณหมอโรคจิต”

                                 “อะ อะไร ใครโกหก ไม่มี”ปฏิเสธทันทีเมื่อมองเห็นใบหน้าคมเข้มของแทนทัพ

                                 ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นจ้องมองร่างสูงใหญ่ในชุดธรรมดาที่ส่งให้ดูน่ามองไปอีกแบบ

                                 น่ามอง?...นี่เขากำลังคิดอะไร

                                 “คุณน่าจะรู้ดี”

                                 “ปล่อยมือ…ผมจะกลับบ้าน”พยามยามดึงแขนตัวเองออกจากมือใหญ่ที่กุมไว้

                                 แทนทัพปล่อยแขนของคุณหมอออกอย่างว่าง่าย

                                 “เรามีนัดกันนะครับ”

                                 “ผมไม่ได้นัด”

                                 “แต่คุณตกลงแล้วนี่ครับ”

                                 “ใครตกลง ไม่เห็นมี”

                                 “ก็เมื่อคืนไง ที่…”

                                 “ห้าม พูด”หันขวับกลับมาหาแล้วยกมือนุ่มๆขึ้นมาปิดปากของแทนทัพทันที

                                 ไม่รู้หรอกว่าแทนทัพจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่อยากจะฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของเมื่อคืนเลยสักนิด

                                 สมองมันคิดวุ่นวายจนแทบจะระเบิดออกมา

                                 แทนทัพไหวไหล่ให้กับท่าทางร้อนรนนั้น ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย

                                 “ไปกันได้แล้ว”

                                 แทนทัพผละออกมาเดินนำไปยังรถที่จอดเอาไว้ ทว่าคุณวุฒิกลับไม่ยอมเดินตามมา อีกทั้งเดินหนีด้วยซ้ำ เดือนร้อนให้ชายหนุ่มสาวเท้าตาม เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว แล้วดึงแขนของคุณวุฒิให้หยุดอีกครั้ง

                                 “รถผมอยู่ทางนี้”

                                 “ผมบอกคุณแล้วไง ว่าผมไปกับคุณ”

                                 “ตกลงคุณเป็นหมอหรือเป็นเด็กกันแน่”

                                 “แล้วคุณจะมายุ่งอะไรกับผม ผมจะกลับบ้าน”บอกพร้อมกับดึงแขนตัวเองกลับ แต่คราวนี้แทนทัพไม่ปล่อยง่ายๆเสียด้วย

                                 “โอเค คุณจะกลับใช่ไหม งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง”
                                 “ไม่จำเป็น”

                                 “เลือกเอา จะไปกับผม หรือว่าจะ….”

                                 “นำไปสิ!!น่ารำคาญชะมัด”ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด

                                 จะมาตามติดอะไรเขากันนักหนา…ไม่ได้อยากจะเจอหน้าเลยสักนิด

 

                                 ในที่สุดก็ยอมให้แทนทัพขับรถมาส่งจนได้ พอขอบคุณโดยไม่มองหน้าเสร็จก็รีบลงจากรถปิดประตูใส่แล้วเดินจ้ำหนีทันที

                                 ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินตามถึงได้หันไปมอง ก็เจอเข้ากับร่างสูงใหญ่เดินตามมา ในมือถือถุงอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด

                                 ไม่ทันได้สนใจมอง เพราะสนใจที่ใบหน้าเรียบนิ่งนั่นต่างหาก

                                 “คุณจะตามผมมาทำไม”

                                 “ผมบอกไงครับ แล้วว่าเราจะทานมื้อเย็นด้วยกัน”

                                 “อย่าบอกนะว่า…”พอจ้องมองเข้าไปที่ภุงสีขาวขุ่นก็เห็นลางๆว่ามันเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารหลายอย่างเต็มถุง

                                 “บ้าไปแล้ว”

                                 แทนทัพต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

                               

                               

                                 “อร่อยไหมครับ”แทนทัพถามเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบจ้องมองหน้าคุณหมอที่ปั้นหน้าใส่เขาตลอดตั้งแเต่เข้ามาในห้อง

                                 “ก็…งั้นๆ”ถึงจะตอบอย่างนั้นแต่ก็ยังไม่ได้วางช้อนลงเลยสักครั้ง

                                 “นึกว่าจะไม่ถูกปากคุณ”

                                 “ไม่นึกว่าคุณจะเป็นพ่อบ้านทำอาหารเป็นแบบนี้”
                                 “ผมต้องเป็นคนดูแลคุณผิงตอนที่อยู่ที่อังกฤษ เลยต้องทำเป็น”ตอบไปไม่ได้คิดอะไร

                                 ความเงียบของคุณวุฒิเรียกให้แทนทัพนึกขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่นิ่งลงของคนตรงหน้า

                                 “คุณ…เป็นคนดูแลผิงตอนที่อยู่อังกฤษตลอดเลยงั้นเหรอ”คุณวุฒิถามเสียงเบา

                                 อิจฉา….คือสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิด

                                 “ก็แค่หน้าที่”

                                 ใช่…มันเริ่มจากหน้าที่แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มันเปลี่ยนจากหน้าที่ไปเป็นอย่างอื่น

                                 สุดท้ายก็มีเพียงความเงียบเข้าปรกคลุม คุณวุฒิเอนกายพิงพนักพิงโซฟา ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังของแทนทัพผ่านกรอบแว่น

                                 แทนทัพกำลังล้างจาน ไม่เข้าใจว่าทำไมแทนทัพต้องมาทำอาหารให้เขากินด้วย

                                 พอเริ่มคิดความคิดมันก็เกิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนวาน ทำให้เกิดปวดหัวขึ้นมาอีกรอบ

                                 ตอนนี้ความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างเขากับแทนทัพมันได้เกิดขึ้นแล้ว

                               

                                 “ผมกลับแล้วนะครับ”แทนทัพเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเก็บทุกอย่างเข้าที่เสร็จเรียบร้อย

                                 ห้องของคุณวุฒิเองก็เป็นระเบียบต่างจากห้องของเขาสักเท่าไร แต่ติดอยู่ที่ว่า หมอที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างคุณวุฒิคงจะไม่ได้เป็นคนดูแลเรื่องระเบียบเรียบร้อยภายในห้องเองแน่

                                 “ก็กลับไปสิ จะมาบอกผมทำไม”

                                 “พรุ่งนี้คุณเลิกเวรกี่โมง”

                                 “พรุ่งนี้หยุด”น่าแปลกที่ครั้งนี้คุณวุฒิตอบตามความจริง”

                                 “หวังว่าพรุ่งนี้ผมจะไม่เจอคุณที่บริษัทนะครับ”คุณวุฒิพูดแทงใจดำ

                                 แล้วก็ได้ผล คุณหมอหันหน้ามาจากหน้าจอทีวีจ้องเขาด้วยสีหน้าที่ปั้นหน้าเครียด

                                 “ผมไปแน่ แต่ไม่ได้ไปหาคุณก็แล้วกัน”ตอบตรงประเด็นแถมแก้ตัวก่อนอีกต่างห่าง

                                 “ผมรู้”

                                 แทนทัพตอบรับด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบก่อนจะปิดประตูลง

                                 ทุกอย่างที่เกิดขึ้น…มันไม่ได้ผิดพลาด

                                 ชายหนุ่มยิ้มเล็กๆให้กับตัวเอง

                               

                               

                               

 

 

 

 

                                 ปิญญ์ชานนท์ยืนเด่นอยู่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาสักเท่าไร

                                 ชายหนุ่มจ้องมองผู้ปรกครองหลายรายที่เริ่มทยอยมารอรับลูกหลานก่อนจะถึงเวลาเลิกเรียน

                                 เขาได้ส่งคนมาสังเกตทุกวันเพื่อจะดูว่าเวลาที่พี่เลี้ยงของปลากริมและสลิ่มจะมารับกี่โมง

                                 และเขาก็มาก่อนเวลาที่พี่เลี้ยงของลูกจะมารับ

                                 “ผม…มารับปลากริมกับสลิ่ม”

                                 “ทำไมดิฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย”คุณครูเวรหน้าห้องนั่งเล่นถามด้วยความสงสัย

                                 “ผมเป็นพะ…ลุงของเขา”ปิญญ์ชานนท์ตอบ

                                 “แต่ฉันคงจะให้ปลากริมกับสลิ่มกับกับคุณไม่ได้หรอกค่ะ โรงเรียนของเรามีกฎ”

                                 คำตอบที่ได้รับทำให้ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจ

                                 “พ่อของเด็กให้ผมมารับแทน ถ้าคุณไม่มั่นใจลองบอกเด็กๆว่าลุงปิญญ์มารับก็ได้ ถ้าเด็กๆรู้จักผมแล้วยอมไปด้วย มันก็น่าจะโอเคใช่ไหมล่ะ  คุณคงไม่อยากมีปัญหาเรื่องบกพร่องในหน้าที่ใช่ไหม”

                                 คิดว่าจะไม่ข่มขู่แต่ก็อดใช้ไม้นี้ไม่ได้

                                 ไม่นานปลากริมและสลิ่มก็เดินออกมา แทนคำตอบที่คุณครูเวรรอคอย ปลากริมและสลิ่มยิ้มกว้างเมื่อเจอกับคนที่อยากจะเจอ

                                 “ยุงปินนนน”

                                 “ยุงปินนนน”

                                 เจ้าสองแสบร่างจ้ำม่ำกระโดดเข้าใส่ทำให้ชายหนุ่มเซไปเล็กน้อย

                                 ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่ได้สักที

                                 เขาเองก็ต้องการจะอยู่ใกล้ลูกไม่แพ้กับขนมผิง เขาต้องการที่จะต่อรอง อย่างน้อยก็อยากจะได้เจอกับเด็กๆบ้างก็ยังดี

                                 “ว่าไงพวกเธอคิดถึงฉันกันรึเปล่าเขาอุ้มเจ้าแฝดตัวกลมทั้งสองคนขึ้นมาพร้อมกัน”

                                 “ คิดถึงฮับ”

                                 “ คิดถึงยุงปินมากเลย”ยกแขนอวบๆขึ้นกอดคอ

                                 “ฉัน…ก็คิดถึงพวกเธอ” ปิญญ์ชานนท์ตอบ

                                 “ยุงปินมารับพวกเราเหรอฮับ”

                                  “ใช่ ฉันมารับ” พยักหน้ารับ

                                 “ดีใจจังเลยฮับ ปะป๊าไม่ให้พวกเราไปหายุงปิน”

                                 “อืม เรื่องนั้นฉันรู้ดี”

                                 เขารู้ดีว่าขนมผิงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ลูกได้ง่ายๆ

 

                                 “เราจะไปไหนกันเหรอฮับปลากริมเอียงคอหันมาถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกมาจากหน้าโรงเรียน

                                 “ไปกินไอติมแบบที่พวกเธอชอบดีไหมล่ะ”

                                 “ ดีฮับดี”

                                 “หลิ่มชอบไอติม”เจ้าแสบคนน้องพยักหน้า

 

                                 “อร่อยไหม”เขาถามพลางจ้องหน้าเด็กๆ

                                 ร้านไอศกรีมร้านเดิมที่เคยมาด้วยกันครั้งแรก เขาพาเด็กๆมาที่นั่น

                                 “อร่อยฮับยุงปิน”เด็กๆตอบรับ ยิ้มแก้มปริ อวดรอบเปื้อนไอศกรีมที่เลอะอยู่มุมปาก อดไม่ได้ที่เขาจะต้องคอยดูและเช็ดให้ตลอด

                                 “ต่อไปนี้ให้พวกเธอเรียกชั้นว่าพ่อ ตกลงไหม”ในที่สุดก็ตัดสินใจบอกออกไปตามที่ใจนึกอยากให้เป็น

                                 อย่างน้อยเขาก็…อยากให้ลูกเรียกตัวเองว่าพ่อ

                                 “ทำไมล่ะฮับ”ปลากริมเงยหน้าถามตาแป๋ว

                                 “ปะป๊าจะโกรธ”สลิ่มตอบ

                                 “พวกเธออยากให้ฉันเป็นพ่อของพวกเธอไหม”

                                 “อยากฮับ/ อยาก”คำตอบของเด็กๆเรียกรอยยิ้มเล็กได้จากชายหนุ่ม

                                 “ งั้นก็เรียกฉันว่าพ่อ ตกลงไหม”

                                 “ฮับ ตกลงฮับ”

                                  เจ้าแฝดยิ้มกริ่มตักไอศกรีมเข้าปาก

                                  มานี่ฉันเช็ดให้ ปิญญ์ชานนท์บอกก่อนจะเช็ดเศษซอสที่เลอะมุมปากของสองแสบด้วยความเอ็นดู

                                 ความรู้สึกที่เรียกว่าความสุขมันกำลังเอ่อล้นเข้ามาในหัวใจ

 

                                 “บ้านพ่อปินสวยจังเลยฮับ”

                                 “สวยมากเลยฮับพ่อปิน”

                                 เด็กๆพูดเสียงเจื้อยแจ้ว เดินเกาะชายเสื้อของเขาเข้ามาภายในบ้าน ชายหนุ่มยิ้มให้กับคำเรียกใหญ่ที่เด็กๆเรียกตัวเอง

                                 “แล้วอยากมาอยู่ด้วยกันไหมล่ะ” ถามไปอย่างนั้น รู้ดีอยู่แล้วว่าขนมผิงไม่ยอมแน่

                                 “ยากสิฮับ”

                                 “อยากอยู่กับพ่อปินกับปะป๊า”ตอบเสียงเจื้อยแจ้วตามภาษาเด็กที่ไม่รู้อะไร



                                 “นั่นแกพาเด็กที่ไหนเข้ามาในบ้านกัน!!!”

 

----------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 24 แย่งหรือขโมย ❖ 05-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-03-2016 20:05:38
เรื่องชักยุ่ง อีรุงตุงนังไปหมด
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 24 แย่งหรือขโมย ❖ 05-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 05-03-2016 22:18:24
อ่านแล้วแอบสงสารเด็กๆ ถ้าขนมผิงไม่อยากแก้แค้นกับปิญช์อีกก็คงจะดีไม่น้อย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 24 แย่งหรือขโมย ❖ 05-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 05-03-2016 22:35:28
ผิงอย่ายอมง่ายๆนะ ถึงลูกจะคิดถึงอิปินแต่พ่อที่เลวแบบนั้น เราว่าอย่าเอามาเป็นพ่อเลย อินมากเกลียดผู้ชายที่ดีแต่ใช้กำลังแถมไม่เห็นค่าเรา เสียเวลาอะ แต่คนเขียนบอกไม่ดราม่าเราก็จะพยายามยอมรับในจุดนี้ จุดที่อิปินเป็นพระเอก แต่อยากบอกว่าเป็นพระเอกคนแรกที่ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นสิ่งดีๆที่อิปินทำเลยอะ มีแต่ขืนใจแก้แค้นนายเอกตลอดๆ เฮ้อ ขอสักทีเหอะอิปิน :z6: :angry2:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 24 แย่งหรือขโมย ❖ 05-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-03-2016 09:25:05
มันจะเป็นความรักที่ตัดสินใจผิดพลาดแน่หรือ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปในแนวของเกมการต่อสู้แย่งชิง มองไม่ค่อยเห็นความรักแทรกอยู่เท่าไหร่

หลังจากแก้แค้นกันไปมา มันจะเหลืออะไรสำหรับ 2 คนนี้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 09-03-2016 15:25:38
24 ปู่กับหลาน

 

                            “นั่นแกพาเด็กที่ไหนเข้ามาในบ้านกัน”เสียงแข็งกร้าวดังขึ้นเมื่อเดินผ่านเข้าไปยังโถงของบ้าน

                            อาทิตย์บังคับรถวีลแชร์เข้ามาใกล้จับจ้องมองเด็กตัวเล็กรูปร่างจ้ำม่ำสองคนหลบอยู่ด้านหลังของลูกชาย นานมากแล้วที่ลูกชายของเขาไม่ได้พาใครเข้ามาในบ้านเลยแม้แต่เพื่อน

 

                            “ใครเหรอฮับ”

                            ใบหน้ากลมๆของปลากริมชะโงกหน้าออกมาถามเสียงแผ่ว ดวงตาโตใสจ้องมองไปยังอาทิตย์ด้วยแววตาหวาดกลัว

                            คนตรงหน้าทั้งดูน่ากลัวและเสียงดุไปในเวลาเดียวกันจนเจ้าสองแสบเบี่ยงตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของปิญญ์ชานนท์มือป้อมๆจับชายเสื้อของชายหนุ่มแน่น

                            “พ่อของฉันเอง”เขาตอบสองแสบด้วยเสียงเบายกมือขึ้นลูบหัวเจ้าสองแสบสลับกัน

                            การกระทำของปิญญ์ชานนท์เรียกให้อาทิตย์แปลกใจ ปกติคนอย่างลูกชายไม่แสดงท่าทีอ่อนโยนกับใครง่ายๆ แต่กลับมีท่าทีอ่อนโยนกับเด็กสองคนนี้

                            ดวงตาแข็งกร้าวของชายสูงวัยจับจ้องมองที่เด็กแฝดทั้งสองไม่วางตา ใบหน้าของเด็กแฝดหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับลูกชายของตนมากเกินไป มากเสียจนรู้สึกว่าเรื่องราวมันเริ่มทะแม่งขึ้นมา

                            “ผมคิดว่าพ่อจะไปพักผ่อนที่หัวหินวันนี้”

                            “ถ้าฉันไปฉันก็คงไม่รู้ว่าแกแอบเอาเด็กเข้ามาในบ้าน”อาทิตย์ยังคงจ้องมองไปยังเด็กแฝด

 

                            “คะ คุณปู่ใช่ไหมฮับ เรียกคุณปู่ถูกรึเปล่าฮับ”ปลากริมเงยหน้าขึ้นมา ช้อนตาถาม

                            “เรียกว่าคุณปู่เหรอ”สลิ่มพึมพำตาม

 

                            “แกอย่าบอกฉันนะ ว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกแก”ในที่สุดอาทิตย์ก็ถามออกไปด้วยความสงสัยที่มีมากเกินจะอยู่เฉยได้

                            “ใช่ครับ ปลากริมกับสลิ่มเป็นลูกของผมเอง”ปิญญ์ชานนท์ยอมรับเต็มปาก เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าต่อไปนี้เขาจะไม่หนีความจริงไม่ว่าจะด้วยอะไรเขาก็จะไม่ผลักไสไล่ส่งเด็กๆออกไปจากชีวิตอีกแน่นอน

                            “นี่แกกำลังจะบอกฉันว่าแกมีลูกที่โตขนาดนี้โดยที่ฉันคนนี้ไม่เคยรู้อะไรมาก่อนอย่างนั้นเรอะ”

                            “ครับ”

                            “แกจะบ้ารึไง ลูกของแกโตขนาดนี้ ทำไมแกถึงไม่เคยบอกฉัน”

                            “ผมเองก็พึ่งรู้ ไม่ต่างอะไรจากพ่อนักหรอก”ปิญญ์ชานนท์ตอบทำให้ชายชรานิ่งงัน

 

                            “แม่ของเด็ก…เป็นใคร”

                            “เดี๋ยวพ่อก็รู้เอง”

                            “นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันนะ ถึงได้เจอแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง” บ่นพลางยกมือขึ้นมากุมขมับ ดวงตาจ้องมองเด็กตัวเล็กรูปล่างจ้ำม่ำทั้งสองไม่วางตา

 

                            “พวกเราเป็นลูกของพ่อปินเหรอฮับ”ปลากริมเงยหน้าขึ้นมาถามเกาะชายเสื้อของเขาแน่น

                            “หลิ่มไม่เข้าใจฮับ”สลิ่มเองก็เอียงคอมองเขาเช่นกัน

                            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเธอก็เข้าใจเอง อีกไม่นาน”ถึงแม้ว่ามันจะสายเกินไป แต่เขาก็จะพยายามชดเชยในหน้าที่ให้กับเวลาที่เสียไป ชดเชยให้กับสิ่งที่ตนเองได้ทำเอาไว้ ต่อให้ต้องดูเหมือนเป็นผู้แพ้ แต่เขาก็จะทำเพื่อครอบครัว

 

 

                            “ชื่อแปลกพิลึก”อาทิตย์บ่นให้กับชื่อของเด็กๆ

                            “คนนี้กิมฮับ”ปรากริมยิ้มกว้างส่งไปให้คุณปู่ยกมือไหว้แล้วก้มตัวลงท่าทางน่าเอ็นดู

                            “อันนี้น้องหลิ่ม”สลิ่มไหว้ตามพี่บ้าง ตอนนี้เลิกหลบอยู่ด้านหลังของปิญญ์ชานนท์แล้ว

                            “คนพี่ชื่อปลากริมครับ คนน้องชื่อสลิ่มครับ”ปิญญ์ชานนท์กำชับให้อีกทีดันเด็กๆออกมายืนด้านหน้า

                            “งั้นเหรอ มาใกล้ๆฉันสิ”อาทิตย์กวักมือข้างที่ยังใช้งานได้เรียกให้เด็กๆเอียงคอมองแล้วหันมามองหน้ากัน

                            “ไปเถอะ พ่อฉันไม่ทำดุพวกเธอหรอก”เขาดันหลังเจ้าสองแสบให้เดินเข้าหาผู้เป็นพ่อ

                            “คุณปู่เป็นพ่อของพ่อปินเหรอฮับ”

                            “ใช่ ฉันเป็นพ่อของพ่อพวกเธอเอง”ชายชราเอื้อมมือขึ้นลูบหัวเด็กทั้งสอง

                            “ทำไมคุณปู่ต้องนั่งรถเข็นล่ะฮับ”

                            “ฉันไม่สบายน่ะ”

                            “แล้วคุณปู่เดินเองไม่ได้เหรอฮับ”คนน้องถามบ้าง เดินเข้าไปเกาะขาของอาทิตย์

                            “อันที่จริงฉันก็ยังพอเดินได้ แต่ฉันไม่อยากเดิน ก็แค่นั้น”ตอบไปตามจริงเพราะการนั่งวิลแชร์สะดวกกว่าการที่ต้องใช้ไม้เท่าเดินเป็นร้อยเท่าเมื่อเทียบกับร่างกายครึ่งซึกที่ใช้งานไม่ได้

                            “แต่กิมชอบเดินนะฮับ ไปได้ทุกที่เลย”

                            “งั้นเหรอ แล้วพวกเธออยากให้ฉันเดินรึเปล่าล่ะ”

                            “ฮับ อยากให้คุณปู่เดินมากกว่า”สลิ่มหยักหน้าไปมายิ้มให้กับอาทิตย์

                            เป็นสิ่งที่ไม่ทันตั้งตัวเมื่อจู่ๆก็ได้รู้ว่าตัวเองมีหลานถึงสองคนที่โตขนาดนี้แล้ว กริยาช่างจ้อทำให้อาทิตย์เผลอยิ้มให้กับบทสนทนาน่าเอ็นดูกับคำถามมากมายที่เด็กๆสรรหามาถามเขาไม่หยุดหย่อน

                            “ปิญญ์แกไปบอกให้มะลิเอาขนมไปให้ชั้นที่สวนที ชั้นอยากจะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านสักหน่อย”

                            เหมือนจะเผลอไผลหลงคารมกับเจ้าสองแสบที่หลอกล่อให้อาทิตย์เป็นพวกเห่อหลานได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

                            รอยยิ้มที่ปิญญ์ชานนท์ไม่เคยเห็นประดับอยู่บนใบหน้าของบิดานับตั้งแต่ป่วยกลับคืนมาอีกครั้ง

                            “ครับๆ”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าเล็กน้อย แทนที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับลูกเพื่อชดเชยเวลาส่วนที่ขาดหาย ดูเหมือนว่าจะโดนแย่งเวลาไปซะแล้ว

                            ไม่คิดว่าพ่อของเขาจะเปิดใจยอมรับใครง่ายๆ ทุกอย่างมันเหนือความคาดหมายที่ พ่อของเขากลับหลงหลานซะยิ่งกว่าอะไร จากที่ไม่ค่อยยอมเดินไม่ยอมทำกายภาพบำบัด แต่พอเด็กๆเข้ามาไม่ถึงชั่วโมงกลับจับมือกันถือไม้เท้าเดินไปที่สวนหลังบ้านโดยมีพยาบาลส่วนตัวดูแลอยู่ไม่ห่าง

                            ปิญญ์ชานนท์ทิ้งกายลงบนเก้าอี้ในสวนจับจ้องมองผู้เป็นพ่อกำลังยิ้มให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข บางทีนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี

                            เงินทองที่เขาและพ่อทุ่มเทมันทำให้เขาเริ่มคิดได้…ว่านั่นมันไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องการ

                            ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความไม่กี่ประโยคแล้วส่งไปยังเบอร์ที่เขาไม่ได้ติดต่อมาร่วมสี่เดือน

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

                           

                            “แม่คนนั้นใครเหรอครับ”

                            “คนนั้นน่ะเหรอ คุณปิญญ์ลูกชายคุณอาทิตย์ เพิ่งจบมาใหม่ๆ กำลังจะเข้ามาเรียนรู้งานต่อจากพ่อเขา”

                            “ดูน่ากลัวนะครับ”บอกไปอย่างนั้นแต่ก็มองตามอีกฝ่ายไม่วางตา

                            เรือนกายสูงใหญ่ดูสง่ารับกับใบหน้านิ่งเฉยดูสุขุมน่าเกรงขามทั้งที่ยังอายุไม่เยอะเลยด้วยซ้ำ

                            สมแล้วที่เป็นลูกเจ้าของบริษัท

                            “แม่ เดี๋ยวผิงไปห้องน้ำก่อนนะ”

                            “อย่าเดินไปทั่วล่ะ เดี๋ยวจะไปเกะกะใครเขาเข้า”ลำดวนเตือน

                            “ครับๆ”พยักหน้าตอบรับ ทั้งที่สายตาจดจ้องริมทางเดินที่เป็นทางไปห้องน้ำ

                            อยากจะไปดูใกล้ๆว่าคนอะไรทำไมถึงได้ดูน่ากลัวทั้งที่อายุมากกว่าเขาแค่ไม่กี่ปี แต่ก็ทำตัวเหมือนคนอายุมาก

                            ถึงอย่างนั้นก็ดูน่ามองยังไงไม่รู้ ถึงได้เดินตามเข้ามาในห้องน้ำแบบนี้

                            ขนมผิงล้างมือ ตาก็จ้องมองเงาสะท้อนของกระจกห้องน้ำ แต่ดวงตาคมนิ่งดูซุกซนไม่ได้จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองแต่อย่างใด

                            หากแต่กำลังจับจ้องเงาสะท้อนของร่างสูบใหญ่ที่กำลังล้างมืออยู่ข้างๆ

                            แม้แต่ตอนล้างมือยังดูน่ากลัว

                            ขนมผิงถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปจากห้องน้ำ

                            ถ้าหากถูกตาดุดันขนาดนั้นจ้องเอาจะรู้สึกยังไงนะ

                            คงจะรู้สึกกลัวจนทำตัวไม่ถูก…

                            กำลังจะก้าวเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกลับไปหาผู้เป็นมารดา

                            ทว่าสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าสีดำเงานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น

                            พอเปิดขึ้นมาใบหน้าที่ปรากฏบนบัตรประชาชนทำเอาอมยิ้ม ในบัตรประชาชนกับตัวจริงไม่เหมือนกันสักนิด

                            ขนมผิงเดินออกมา กลับไปหามารดาของตนเพื่อถามหาเจ้าของกระเป๋าเงินใบนี้

                            “แม่ คนเมื่อกี้ คุณ เอ่อ คุณปิญญ์ใช่ไหม เขาไปไหนแล้ว”

                            “น่าจะกลับแล้วนะ เมื่อกี้ผิงไม่เห็นเหรอ”

                            “งั้นผิงไปก่อนนะแม่ อย่ากลับบ้านดึกล่ะ”ขนมผิงยิ้มโบกมือลารีบเดินออกมา

                            ประตูลิฟกำลังจะปิดลง ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่เขาคิดว่าน่ากลัวปรากฏอยู่ตรงหน้า

                            “รอด้วยครับ รอด้วย อย่าพึ่งไป”ขนมผิงออกวิ่งทันทีเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังจะไปไม่ทันลิฟ

                            คล้ายกับคนในลิฟจะใช้เวลาคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจำกดเปิดประตูให้

                            “ขอบคุณครับ”ขนมผิงหอบจนตัวโยน เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แค่วิ่งระยะสั้นๆก็ทำเอาหอบไม่ใช่เล่น

                            ขนมผิงยืนขนาบข้างกับอีกฝ่าย ปรายตามองลาดไหล่กว้างของอีกฝ่ายแล้วเปรียบเทียบด้วยสายตา

                            คนคนนี้สูงกว่าเขาตั้งเยอะ

                            ถ้าเขาอายุมากกว่านี้จะสูงเท่านี้ไหมนะ…

                            ไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนแบบไหนกัน แม้แต่ยืนรอลิฟลงชั้นล่างยังยืนนิ่งเฉยทำมาดขรึมอยู่ได้

                            แทนที่จะยื่นกระเป๋าคืนให้ก็เปลี่ยนใจ อยากจะรู้ว่าเสียงของอีกฝ่ายเป็นยังไงกัน

                            จะน่ากลัวเหมือนหน้าตารึเปล่า

                            ขนมผิงเอียงคอ

                            “ผมชื่อผิง คุณชื่ออะไรเหรอครับ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม”

                            ถามออกไปพร้อมกับยิ้มเล็กๆ

                            อีกฝ่ายนิ่งอยู่พักใหญ่ทำให้ขนมผิงยิ้มเก้อขมวดคิ้วเล็กๆ เพื่อกดดัน

                            “ทำไมฉันต้องบอกเธอ”น้ำเสียงห้วนก้องกังวานทำเอาขนลุก

                            เสียงก็น่ากลัวเหมือนหน้าตาไม่มีผิด

                            “นะครับบอกผมหน่อย”ฉีกยิ้มกว้างให้ หวังจะได้รอยยิ้มกลับคืน แต่ก็เปล่า

                            “เธอจะรู้ไปทำไม”

                            “นะครับ บอกผมหน่อย ผมอยากรู้ชื่อคุณจริงๆ”อีกฝ่ายตอบ ใบหน้าแดงเล็กๆทำให้ขนมผิงแปลกใจ

                            หรือว่าอากาศในนี้จะร้อน…แต่ก็ไม่นี่

                            “แล้วนามสกุลล่ะครับ”

                            “อนันตไพลิน”ยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉย

                            ขนมผิงฉีกยิ้มกว้างให้กับคนแปลกตรงหน้าที่เอาแต่ทำตัวขรึมก่อนจะดึงมือของเจ้าตัวเข้ามาหาแล้ววางเจ้ากระเป๋าเงินเจ้าปัญหายัดใส่มือของอีกฝ่าย

                            “ไปก่อนนะครับ ผมมีนัดกับเพื่อ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”

                            โบกมือลาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มกับคนน่ากลัวก่อนจะสาวเท้าออกจากลิฟ

                            คนอะไรแปลกคนจริงๆ

                            แต่ก็ดูน่ามองไปอีกแบบ เหมือนมองแล้วจะดึงดูดสายตาไม่ให้ละไปไหนได้

 

                            แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่อดีต อดีตที่เขาเผลอมองคนอื่นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก

                            เสียงข้อความเข้าทำให้ละจากแฟ้มงานหลายสิบที่กองอยู่บนโต๊ะหยิบโทศัพท์ขึ้นมาดู

                            อารมณ์ที่นิ่งสงบราวกับน้ำมันที่ถูกจุด้วยเปลวไฟโหมลุกไหม้ในพริบตา

                            ‘ลูกอยู่กับฉัน มาคนเดียวล่ะ ฉันอยากจะต่อรองกับนาย’

                            อีกแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ขโมยลูกของเขาไป ต่อให้เขายิ่งเก็บซ่อนลูกเอาไว้มากแค่ไหนคนอย่างปิญญ์ชานนท์ก็เอาลูกเขาไปจนได้

                            ขนมผิงรีบกดโทรศัพท์ด้วยความร้อนรน เรื่องลูกเป็นเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขายอมไม่ได้เด็ดขาด

                            “คุณถือดียังไงถึงขโมยลูกผมไป”

                            ‘ปลากริมกับสลิ่มเป็นลูกของฉันเหมือนกัน’ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                            “ผมจะแจ้งตำรวจ”

                            ‘ก็เอาสิ ฉันคิดว่าถ้าเรื่องถึงขั้นขึ้นศาล นายอาจจะเสียลูกให้กับฉันก็ได้’

                            “ไม่มีทาง คุณก็รู้ว่าเรื่องมันไม่ง่าย คุณปิญญ์ เด็กสองคนนั้นไม่ได้ถือสัญชาติไทย”ปลากริมและสลิ่มได้รับสิทธิพิเศษจากสถานทูตให้สามารถถือสัญชาติอังกฤษเพราะเป็นเด็กที่เกิดจากผู้ชาย เขาได้ทำสัญญากับสถานทูตยอมให้ตัวเองเป็นกรณีศึกษาเป็นเวลาสองปีหลังจากเด็กๆคลอด เพื่อปกป้องเด็กๆ หากมีการฟ้องเพื่อเรียกร้องสิทธิจะต้องเป็นเรื่องวุ่นวาย มันจะทำให้เรื่องยุ่งยากากขึ้น โดยที่เงินไม่สามารถจัดการง่ายๆเหมือนกับที่คนอย่างปิญญ์ชานนท์เคยทำมาตลอด

                            ‘เรื่องนั้นฉันรู้ดี แต่ฉันเองก็อยากทำหน้าที่พ่อ อยากได้เด็กๆมาอยู่ด้วย นายก็รู้’

                            “คุณคิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้งที่…”ทั้งที่ตัวเองเป็นคนผลักไสไล่ส่งเขากับเด็กๆ

                            ยังไม่ทันจะพูดจบปลายสายก็ตัดไปก่อน ขนมผิงจ้องมองหน้าจอด้วยความเจ็บใจ ตอนนี้ใจของเขากำลังร้อนรุ่ม ความคิดมีแต่เรื่องลูกอยู่เต็มหัวไปหมด

                            ไม่เข้าใจ เขาจะต้องทำถึงขนาดไหนกันแน่ ปิญญ์ชานนท์ถึงจะเลิกยุ่งกับลูกของเขาสักที

                           

 

                            “คุณผิง จะไปไหนครับ จะกลับแล้วเหรอครับ”

                            “วันนี้ผมจะกลับแล้ว ฝากคุณดูเอกสารที่ผมเซ็นอนุมัติด้วย”

                            “แต่คุณมีนัดทานข้าวเย็นและคุยงานกับคุณอิงอร นัดนี้สำคัญมากนะครับ จะยกเลิกไม่ได้ อีกอย่างเอกสารที่อยู่บนโต๊ะเป็นเอกสารที่ผมเลือกเอาไว้แล้วว่าคุณต้องเซ็นภายในวัน”

                            “อะ อะไรกัน”ขนมผิงพึมพำร่างกายราวกับจะหมดแรง แทบจะทรงตัวไม่ไหว

                            นี่ฟ้าลงโทษเขารึยังไงกัน ทั้งที่อยากจะไปตามเอาลูกคืนใจจะขาดแต่กลับต้องรอทำงานที่มีอยู่ท่วมหัวให้จบ

                             “คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”แทนทัพแตะลงที่แขนของขนมผิงด้วยความเป็นห่วงเมื่อใบหน้าของขนมผิงซีดเผือดลง

                            “ไม่ ผมไม่เป็นไร ให้แม่บ้านเอากาแฟมาให้ผมด้วย”พยายามตั้งสติเหมือนกับทุกทีเพื่อไม่ให้อารมณ์โกรธเข้าครอบงำ

                            “แต่วันนี้คุณดื่มกาแฟไปสามแก้วแล้ว”แทนทัพแย้ง

                            “ผมไม่เป็นไร สั่งให้แม่บ้านเอามาเถอะ”ขนมผิงตัดบทปิดประตูห้องทำงานลงอีกครั้ง

                            ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุนวมราคาแพงยกมือขึ้นกุมขมับ

                            ทั้งที่เป็นผู้ชนะ…แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกว่ากำลังชนะเลยสักครั้ง

 

 
                                             ----------------------------------------------
มีต่อ


 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-03-2016 18:24:49
 :katai1: :katai1: :katai1:  สงสารอีปิณณ์ดีไหมนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 09-03-2016 19:34:01
แอบไม่ชอบเดหลีเลย

แล้วนี่ขนมผิงจะหมั้นกับนางจริงๆ? :ling3:

สงสารสองแฝด พ่อแม่ต้องมาตีกันอย่างนี้ :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 09-03-2016 20:13:48
เราว่าผิงกำลังหน้ามืดตามัวกับอำนาจกับชัยชนะที่ได้มา
เดาเอาจากที่พ่อผิงเตือนแล้วผิงก็ไม่ใส่ใจ
ฐานกำลังอำนาจของผิงที่ได้มาก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาททราย
เพราะทุกคนเข้ามาร่วมด้วยมีจุดร่วมเดียวกันก็คือผลประโยชน์กับการแก้แค้น
ทำให้ฐานนั้นไม่มั่นคงและกลวง
ถ้าเดหลีรู้ว่าเจ้าแฝดนั่นเป็นลุกของปิญญ์กับผิงท่าจะได้โก่งตัวถอนหมั้นในทันที
ปิญญ์นั้นคนเขียนทิ้งปมไว้เมื่อก่อนว่าทรนงมากเกินไป
ไม่มีเวลาดูแลร่างกายและงานได้อย่างเต็มที่
มาตอนนี้ถอยออกมา ได้มีเวลามานั่งคิด
ถ้าคิดได้ก็สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองขึ้นมาได้
โดนโฟกัสไปที่ลูกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ + สมควรทำ
งานที่บริษัทก็ปล่อยให้ผิงทำไป   เร่งรีบขยายบริษัทขนาดนั้น
จะทำงานได้ขนาดไหนที่จะไม่ละเลยลูก
ขนมผิงตอนนี้เป็นตัวละครที่แบนมากๆค่ะ มีด้านเดียวที่อยากเอาชนะเท่านั้น
ปิญญ์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากตัวละครแบบแบนๆ
มาเป็นตัวละครแบบตัวกลมที่ดูมีหลายด้านหลายมิติหน่อยก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนเขียนแล้ว

ป.ล  การปลดปิญญ์นี่ไม่ต้องเอาเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติหรอกหรือ? ไม่น่าใช่เดินดุ่มๆเข้ามาแบบนี้นะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 09-03-2016 20:49:08
 :katai5:  กลับมาอ่านหลังจากที่ไม่ได้อ่านเรื่องนี้มาพักใหญ่ เพราะรู้สึกเหมือนเนื้อเรื่องมันหลุดกรอบไปมั้ยหรือว่าคนเขียนสนุกกับการได้แกล้งผิง  (อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ)   ตอนนี้เลยอ่านหลายตอนมาก   :z3:


ตอนกลางเรื่องเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นนะ ที่ไปอยู่ด้วยกัน ผิงกับปิญเปิดใจให้กันมากขึ้น  แต่สุดท้ายก็พังเพราะอิตาปิญ   


มาจนตอนนี้  บอกเลยว่าสะใจ  แต่แอบติเรื่องปลดระดับผู้บริหารออกนั้น  การที่ผิงขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้นแน่นอนตำแหน่งคือประธาน  แต่ปิญเองก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองเหมือนเดิม  การจะปลดนั้นเราว่าจะต้องปลดผ่านการประชุมบอร์ดบริหาร หรือ ก็คือปลดผ่านห้องประชุม  ไม่สามารถเดินมาบอกชิ่วๆให้ปิญเดินออกไปแบบนี้ได้ แต่ถามว่าสะใจมั้ยที่อิตาปิญโดนแบบนี้ บอกเลยว่าโคตรสะใจ


แต่ในตอนที่ผิงทำหน้างงๆกับท่าทางง่ายๆของปิญนั้น เหมือนผิงจะคาดหวังเอฟเฟคจากปิญมากกว่านี้ แต่พอเจอแบบชิลๆเลยเหมือนเรือที่ลอยเคว้งๆ แบบอืม จะเอายังไงต่อไปดีอะไรทำนองนี้

มาถึงการคาดเดาตอนต่อไปดีกว่า  เดาว่า สองตัวนี้กำลังจะวิ่งสวนกันอีกรอบ คือปิญเริ่มคิดได้  แต่ในขณะที่ผิงนั้นจะงานรัดตัวจนละเลยลูกๆ  ส่วนปิญนั้นหลังจากที่โดนถีบลงมาจากหอคอยงาช้างจะเริ่มมองเห็นอะไรได้กว้างกว่าเก่า   


เชื่อว่า สองแสบเนี่ยแหละจะเป็นตัวเชื่อมของสองคนนี้  แต่ในที่นี้เราไม่อยากให้สองแสบไปติดใจอะไรตาปิญมากขนาดนั้นเพราะในความรู้สึกของเรา  เด็กๆอาจจะคิดถึงบ้างแต่ไม่ได้ต้องการคนอื่นๆไปมากกว่าพ่อแม่ของตน  ในที่นี้่ปิญเป็นแค่ลุง ไม่ใช่พ่อจะให้เด็กๆมาติดแจเหมือนพ่อเลยเราว่ามันไม่ค่อยโอในความรู้สึกของเรา(คนเดียว)เท่าไหร่ 

ปล. อยากจะลงโทษอิตาปิญด้วยแหละ  หยิ่งนักตอนนั้น  ตอนอยู่บนหอคอยงาช้างเนี่ยอลังการความคิดเหลือเกิ๊นนน ดัดสันดานมันให้ดีก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่


และสุดท้ายขอบอกว่าสู้ๆจร้า  เป็นกำลังใจให้  เพราะอย่างที่เคยบอกไปเราชอบพล็อตของเรื่องนี้ มันดีนะแต่อาจจะยังมือใหม่เลยกะแนวทางของเรื่องลำบากไปหน่อย  :3123:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 09-03-2016 21:26:43
ไม่เชื่อว่าผิงจะมีเวลาให้ลูกหรอก ทำงานมากขนาดนั้น
ส่วนปิญญ์ กลับมาเป็นคนปกติซักที ดีใจด้วย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 09-03-2016 22:21:38
เราว่าผิงกำลังหน้ามืดตามัวกับอำนาจกับชัยชนะที่ได้มา
เดาเอาจากที่พ่อผิงเตือนแล้วผิงก็ไม่ใส่ใจ
ฐานกำลังอำนาจของผิงที่ได้มาก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาททราย
เพราะทุกคนเข้ามาร่วมด้วยมีจุดร่วมเดียวกันก็คือผลประโยชน์กับการแก้แค้น
ทำให้ฐานนั้นไม่มั่นคงและกลวง
ถ้าเดหลีรู้ว่าเจ้าแฝดนั่นเป็นลุกของปิญญ์กับผิงท่าจะได้โก่งตัวถอนหมั้นในทันที
ปิญญ์นั้นคนเขียนทิ้งปมไว้เมื่อก่อนว่าทรนงมากเกินไป
ไม่มีเวลาดูแลร่างกายและงานได้อย่างเต็มที่
มาตอนนี้ถอยออกมา ได้มีเวลามานั่งคิด
ถ้าคิดได้ก็สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองขึ้นมาได้
โดนโฟกัสไปที่ลูกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ + สมควรทำ
งานที่บริษัทก็ปล่อยให้ผิงทำไป   เร่งรีบขยายบริษัทขนาดนั้น
จะทำงานได้ขนาดไหนที่จะไม่ละเลยลูก
ขนมผิงตอนนี้เป็นตัวละครที่แบนมากๆค่ะ มีด้านเดียวที่อยากเอาชนะเท่านั้น
ปิญญ์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากตัวละครแบบแบนๆ
มาเป็นตัวละครแบบตัวกลมที่ดูมีหลายด้านหลายมิติหน่อยก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนเขียนแล้ว

ป.ล  การปลดปิญญ์นี่ไม่ต้องเอาเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติหรอกหรือ? ไม่น่าใช่เดินดุ่มๆเข้ามาแบบนี้นะ

 :katai2-1: เห็นด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน (แก้ไข) ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 10-03-2016 01:32:16
รู้สึกว่า ผิงรักหรือชอบปินโดยไม่รู้ตัวแน่นอน พอยิ่งเห็นปินส์ทิ้งตัวเองและลูกเลยแค้นและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ เรียกร้องความสนใจ มองว่า ผิงตาบอดไปแล้ว แต่สงสัยว่า ถึงปินส์อ่อนลงแล้วก็คงทำให้ผิงมองในแง่ลบอยู่ดี และถึงปินส์จะดีกับลูก คนเป็นแม่อย่างผิงก็คงมองว่า ปินส์ทำเพื่อลูกแต่ไม่ได้รักผิงอยู่ดี บอกเลยว่า จุดนี้มันเกินการแก้ไขแล้ว สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดก็คือ ผิง เพราะงานก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้ ปินส์ก็กลายเป็นเรียกร้องแต่ลูก ไม่ได้สนใจผิงเลย ถ้าปินส์ขอโทษผิงสักหน่อยมันคงจะดีกว่านี้ แถมสายใยพ่อลูกตัดยังไงก็ตัดไม่ขาด ถ้าสักวันความลับเปิดเผย พ่อแม่ผิงคงยอมให้ปินส์พบลูก ไม่มีใครจะทิฐิพรากพ่อลูกออกจากกันได้หรอก พ่อปินส์เองก็คงจะเริ่มกลับมาดี ยิ่งถ้ารู้ว่ามีหลานยิ่งจะอ่อนลงอีก 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน (แก้ไข) ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 10-03-2016 18:19:43
ตอนนี้ขนมผิงก็ทำในสิ่งที่ตัวเองสำเร็จแล้วอยาก
ให้ขนมผิงหยุดได้เเล้ว
คุณปิญญ์ก็เรียนรู้การกระทำของตัวเองที่ผ่านมาเเล้ว
ต่อจากนี้อยากให้คุณปิญญ์เดินหน้า
ง้อขนมผิงอยากให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตของคำว่าครอบครัว
ิอยากให้เด็กๆมีความสุข

ขอบเรื่องนี้มากๆๆดำเนินเรื่องเร็วภาษาสวยงาม
เป็นกำลังใจให้ผู้เเต่งนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 25 ดิ้นรน (แก้ไข) ❖ 09-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: korkwan ที่ 10-03-2016 23:03:54
กรี๊ดดดด ไรท์มาต่อที แต่ตอนหน้าขอเป็นให้ผิงกับคุณปิญญ์คืนดีกันน้า อ่านไปแล้วปวดหัวจายย  :katai5: :z3: เป็นกำลังใจให้น้า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิงดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 11-03-2016 17:02:48
ต่อ
 

                            “คุณผิงครับ ผมว่าคุณน่าจะรอให้สันขับรถมารับ หรือไม่ก็ให้พนักงานเอาร่มมาให้คุณก็ได้ ถ้าไม่งั้นคุณจะเปียกเอาได้นะครับ”

                            “ไม่เป็นไร ผมไม่อยากรอ”

                            “แต่ผมไม่เห็นด้วย คุณไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน คุณอาจจะไม่สบาย”

                            “นั่นไม่ใช่ปัญหา”

                            “ถึงอย่านั้นผมก็อยากให้คุณรอ เดี๋ยวผมจะไปบอกพนักงานให้เอาร่มมาให้”

                            “ผมรอไม่ได้”

                            เพราะเขาแทบจะไม่ไหวแล้ว กว่าจะจบนัดทานข้าวเย็นกับลูกค้าเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปหลายชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มเศษๆ

                            ฝนที่เริ่มตกปรอยๆในตอนแรกตอนนี้กำลังตกหนักจนเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด แต่เขาไม่สนใจเสียงห้ามของแทนทัพ

                            วิ่งผ่านสายฝนไปยังรถของตัวเอง ขับรถออกไปด้วยตัวคนเดียว ต่างจากทุกครั้งที่มีการ์ดคอยขับรถให้

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                            นาฬิกาบอกเวลาจะสามทุ่มแล้ว แต่ก็ยังไร้วี่แววของขนมผิง ชายหนุ่มจ้องมองรายการทีวีโดยที่ไม่ได้สนใจว่ารายการจะดำเนินต่อไปอย่างไร

                            ตอนนี้เขากำลังแปลกใจที่ขนมผิงมาช้ากว่าที่เขาคิดได้มากขนาดนี้ เขาฝากเด็กๆไว้กับพ่อและบุรุษพยาบาลที่มาดูแลพ่อของเขาในกะดึก แล้วนั่งรออีกฝ่ายอยู่ในห้องรับแขก

                            แสงไฟในบ้านที่เปิดเอาไว้เพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูกังวลของชายหนุ่ม เขายังคงกังวลและสงสัยว่าทำไมแม่ที่หวงลูกอย่างขนมผิงถึงยังไม่มา

                            สำหรับขนมผิงแล้ว ลูกคือสิ่งเดียวที่เป็นจุดอ่อน สิ่งเดียวที่เขาจะทำให้ขนมผิงยอมให้กับเขาได้

                            เสียงฝนด้านนอกเริ่มตกแรงขึ้นทุกที เขาไม่อยากจะยอมรับว่าเขาเป็นห่วงอีกฝ่าย ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นมาทำให้เขาคิดหาคำตอบอีกครั้ง…ว่าทำไม

                            สุดท้ายเข็มสั้นของนาฬิกาตกอยู่ระหว่างเลขเก้าและเลขสิบ รถยนต์คันสีดำสนิทก็มาจอดเทียบประตูบ้าน

                            ขนมผิงที่ลงมาจากรถในสภาพเปียกปอน ดวงตาคมนิ่งกำลังแดงก่ำขนเขาอดที่จะแปลกใจกับสภาพแบบนั้นของขนมผิงไม่ได้

                            “ลูก…ลูกของผมอยู่ไหน”ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแต่ก็สั่นพร่าในเวลาเดียวกัน

                            “นายตัวเปียก น่าจะเช็ดตัวให้แห้งก่อน”ปิญญ์ชานนท์ตอบก่อนจะทำท่าเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่อยู่บนห้อง

                            “ผมไม่อยากเสียเวลา”

                            “แต่ฉันอยากจะคุยกับนาย”

                            “ผมจะไม่คุยอะไรกับคุณ นอกซะจากเรื่องที่คุณจะยอมขายหุ้นที่อยู่ในมือคุณ”ขนมผิงเชิดหน้าเล็กน้อยจ้องมองปิญญ์ชานนท์ด้วยท่าทางไม่พอใจ

                            “ฉันอยากจะตกลงเรื่องลูก แต่ก่อนอื่นนายน่าจะเช็ดตัวให้แห้งก่อน”เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามไม่ใส่ใจกับท่าทีก้าวร้าวแบบนั้นของขนมผิง

                            “ลูกของผมอยู่ที่ไหน ผมไม่อยากให้ลูกของผมอยู่ที่นี่นานนักหรอกนะคุณก็น่าจะรู้ดี”

                            ขนมผิงยังคงถามหาแต่ลูกเช่นเคย ทว่าปิญญ์ชานนท์กลับไม่สนใจและเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน

                            “ตามมาสิ”

                            เขารู้ว่าขนมผิงจะต้องตามเขาขึ้นมาอย่างแน่นอน

                            “ผมจะไม่อดทนกับคุณนานนะครับ คุณปิญญ์”ขนมผิงพยายามข่มอารมณ์ยามที่เดินตามปิญญ์ชานนท์ขึ้นมายังชั้นบน

                            “นั่นฉันรู้ดี เข้าไปสิ””

                            ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูห้องนอนบ่ายหน้าให้ขนมผิงเดินเข้าไปก่อน ทว่าพอขนมผิงเข้ามาด้านในเด็กๆกลับไม่ได้อยู่ในห้องหรือนอนอยู่บนเตียงอย่างที่คิดเอาไว้ พอหันไปดวงตาแข็งกร้าวก็กระตุกวูบ

                            ปิญญ์ชานนท์ยืนขวางประตูแล้วกดล็อกลงอย่างย่ามใจ

                            “คุณเอาเด็กๆไปซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่ ผมไม่ได้มีเวลาว่างมาเล่นกับคุณ”

                            “ฉันรู้ว่างานของนายมันเยอะมากแค่ไหนขนมผิง แต่ฉันก็ยังอยากที่จะตกลงกับนาย…เรื่องลูกของเรา”

                            “ลูกของผม!! ไม่ใช่ของเรา”

                            “นั่นนายรู้แก่ใจดี”

                            “คุณไม่คิดว่ามันจะสายเกินไปรึไง คุณปิญญ์ที่คุณจะมาเรียกร้องสิทธิเอาตอนนี้ ในเมื่อคุณเองที่เป็นคนผลักไสผมกับลูกออกไปจากชีวิต”ขนมผิงพูดอย่างเหลืออด

                            คนตรงหน้าช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง ทั้งที่เป็นคนไล่เขากับลูกออกไปจากชีวิต แต่ตอนนี้กลับจะมาแย่งลูกไปจากเขา มันจะไม่มากไปหน่อยรึยังไงกัน

                            “ฉัน…”ปิญญ์ชานนท์นิ่งเงียบความความผิดพลาดของตนในอตีด

                            “เลิกยุ่งกับผมและลูกสักที”ทั้งที่พยายามเข้มแข็งแต่พอเป็นเรื่องนี้ทุกอย่างกลับพังทลายลงทุกที

                            “ฉันรู้ แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้…เด็กๆต้องมีพ่อ”

                            “หึ พ่ออย่างนั้นเหรอ ผมนี่ไงที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้เด็กๆมาตลอด”

                            “นายก็รู้ว่ายังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ นายเป็นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้หรอก ขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์แตะลงที่ต้นแขนของขนมผิงอย่างเบามือ

                            เขากำลังลดตัวลงมาเป็นผู้แพ้ แล้วอ้อนวอน ยอมรับกับสิ่งที่ขนมผิงกำลังทำเพื่อกดให้เขาจมลงเบื้องล่าง

                            ขนมผิงปัดมือเขาออกในทันที ดวงตาแข็งกร้าวแดงก่ำและสั่นระริกไปในเวลาเดียวกัน

                            “ถ้าคุณไม่ยอมคืนลูกมาให้ผมภายในนาทีนี้ ผมจะแจ้งตำรวจ คนที่กำลังจะจวนตัวอย่างคุณคงไม่อยากมีเรื่องไม่ดีติดตัวใช่ไหมล่ะ”ขนมผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดเบอร์

                            “พอถึงตอนนั้นทุกคนก็จะรู้กันหมดว่านายกับฉันมีลูกด้วยกัน เราจะเสียกันทั้งสองคน”ปิญญ์ชานนท์ดึงมือขนมผิงเอาไว้

                            นั่นเป็นความจริง หากข่าวแพร่งพรายออกไปถึงเรื่องการฟ้องร้องและเรื่องที่เขามีลูกมันอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ไม่ใช่แค่กับปิญญ์ชานนท์แต่มันหมายถึงเขากับครอบครัวด้วย ขนมผิงลดมือลง

                            สมองมันอื้ออึงจนคิดอะไรไม่ออกเมื่อตอนนี้พื้นที่ความคิดมีแค่ลูกเข้ามาแทนที่อยู่เต็มไปหมด

                            “ถอยไป ถ้าคุณไม่บอกไม่เป็นไร ผมจะไปตามหาเด็กลูกของผมเอง คุณแย่งลูกจากผมไม่ได้หรอก ยังไงลูกก็ต้องเลือกผมอยู่ดี”ขนมผิงผลักอกของชายหนุ่มให้ถอยออกจากหน้าประตู

                            ปิญญ์ชนนท์ถอนหายใจออกมา ขนมผิงยังคงดื้อรั้นไม่ยอมเขาอีกเช่นเคย เขาไม่ต้องการที่จะแย่งปลากริมกับสลิ่ม แต่เขาต้องการทำหน้าที่ในฐานะพ่อที่เขาบกพร่องมาตลอดสี่ปี

                            ทว่าขนมผิงก้าวไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเหมือนโลกทั้งใบมันกำลังหมุนคว้าง ร่างกายเบาเหมือนเป็นอากาศในชั่วพริบตา ภาพเบื้องหน้าค่อยๆเบลอลงจนสุดท้ายก็มืดสนิท

                            ร่างสูงโปร่งที่ดูซูบลงไปเยอะล้มลงสู่อ้อมแขนของชายหนุ่มที่รับเอาไว้ได้ทัน

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                            เสียงโทรศัพท์มือถือดังปลุกให้คุณหมอที่กำลังดูหนังที่กำลังฉายอยู่หน้าจอทีวีสะดุ้งเพราะหนังที่กำลังดูอยู่เป็นหนังที่ค่อนข้างสยองขวัญพอควร

                            ไฟหน้าจอโทรศัพท์กระพริบโชว์เบอร์แปลกเรียกให้คุณหมอขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ

                            เพราะเบอร์ที่โชว์มันถูกเมมชื่อเอาไว้แล้วเรียบร้อย

                            ‘ลูกจ้าง’

                            เท่าที่จำได้เคยรู้จักใครที่ชื่อแบบนี้มาก่อน แล้วไม่เคยเมมชื่อใครแบบนี้อีกด้วย ด้วยความสงสัยจึงได้กดรับไปให้มันจบๆ

                            “คุณวุฒิครับ”

                            “ดื่มกันไหมครับ”

                            “เอ่อ?”งงกับคำชวนประหลาด

                            “ผมรออยู่ข้างล่าง…คอนโดของคุณ”

                            “คุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า”

                            “ถ้าคุณเป็นคุณหมอโรตจิตล่ะก็ไม่”เสียงปลายสายหัวเราะในลำคอ ประโยคนี้ทำให้คุณวุฒิเข้าใจในทันทีว่าเจ้าของเสียงปลายสายคือใคร

                            แต่ที่สงสัยอยู่เวลานี้คือชื่อที่เมมเอาไว้ในโทรศัพท์ต่างหาก เขาเมมเอาไว้ตอนไหนกัน หรือว่า…คืนนั้น

                            “ไม่เอาด้วยหรอก คุณกลับไปเถอะ”ออกปากไล่ทันทีทันใด

                            ไม่อยากจะเจอแทนทัพเพราะว่ามองหน้าอีกฝ่ายไม่ติด เขากับแทนทัพมีอะไรกันทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ

                            ใช่…เขาไม่ได้ตั้งใจแน่นอน…แล้วแทนทัพล่ะ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่

                            “คุณจะไล่ผมกลับทั้งๆที่ฝนตกหนักขนาดนี้ ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไงครับ”

                            “อะ เอ่อ”คุณหมอสะอึกเล็กน้อย ขนาดเขาอยู่ในห้องยังได้ยินเสียงฝนชัดเจนขนาดนี้บ่งบอกว่าฝนตกหนักกว่าตอนหัวค่ำเสียอีก

                            “ผมตัวเปียก”

                            “คุณมาได้ก็ต้องกลับได้”

 

                            ถึงจะปฏิเสธไปแบบนั้นสุดท้ายก็ยอมให้กับเลขาจอมตื๊อเข้าจนได้

                            “นึกว่าคุณจะไม่ยอมลงมา”แทนทัพยกถุงบรรจุกระป๋องเบียร์อวดเป็นการทักทาย

                            “เฮ้อ”คุณหมอได้แต่ถอนหายใจ เดินนำไปไม่พูดไม่จา ไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าขาวสะอาดกำลังขึ้นสีเล็กๆ

 

                            “ทำไมคุณถึงไม่ไปดื่มที่บ้านของตัวเอง”ถามพลางปรายตามองแทนทัพในชุดของเขาที่คิดว่ามันหลวมที่สุดแล้วแทนทัพก็น่าจะใส่ได้

                            “ผมแค่สงสัยว่าทำไมอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณไม่โผล่ไปที่บริษัทเลย”

                            “นั่นมันเรื่องของผมว่าแต่…ทำไมคุณถึงได้เปียก”อดสงสัยไม่ได้เพราะที่จอดรถก็มีร่มให้ตลอดจนถึงตัวตึก

                            “ถ้าผมจะบอกว่าเรื่องของผมเหมือนกับคุณล่ะ”แทนทัพยิ้มเล็กๆ เพราะคำตอบของเขาทำให้คิ้วของคุณหมอขมวดข้าหากัน

                            “งั้นก็เรื่องของคุณ”คุณวุฒิตัดบท

                            เหตุผลที่ไม่ได้โผล่ไปที่นั่นเลยมันจะเป็นเพราะใครไปได้นอกจากตัวปัญหาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ใครมันจะอยากไปเจอหน้าคนที่ดันเผลอมีอะไรด้วยกันตอนเมา

                            “ไม่ดื่มเหรอครับ”แทนทัพส่งกระป๋องเบียร์ให้ ทว่าคุณวุฒิกลับไม่ยอมรับ เพราะเข็ดกับเครื่องดื่มมึนเมาจนตั้งปนิธานเอาไว้แล้วว่าจะไม่แตะต้องมันเด็ดขาด

                            “ผม…เลิกดื่มแล้ว”

                            คำตอบทำให้แทนทัพอดยิ้มไม่ได้ คุณหมอตรงหน้าอ่านง่ายซะยิ่งกว่าอะไร ถึงไฟในห้องจะสลัวมีเพียงแสงทีวีกับไฟจากห้องอื่นที่ส่องเข้ามา แต่แทนทัพก็พอจะเห็นเสี้ยวหน้าที่แดงเรื่อของคุณหมอได้อย่างชัดเจน

                            “แปลกๆนะครับ”

                            “ปะ แปลกอะไรอีก”พยายามตั้งสมาธิดูหนังที่ฉายอยู่หน้าจอทีวีแต่แทนทัพก็ดูจะไม่ปล่อยให้เขาสงบง่ายๆ

                            “คิดว่าคุณกำลังกลัวอะไรอยู่รึเปล่า”
                            “ผมจะต้องกลัวอะไร”

                            คุณวุฒิถามออกไป แทนทัพไม่ตอบกลับไหวไหล่คล้ายกับไม่ใส่ใจจะตอบกลับ ยิ่งทำให้คุณวุฒิหงุดหงิดมากกว่าเก่า

                            “จะมากวนโมโหกันรึไง”พึมพำกับตัวเองใช้หางตามองเลขาของรุ่นน้องที่กำลังนั่งจิบเบียร์ แต่ก็พอจะรู้ว่าตาคู่คมนั้นกำลังมองมาที่เขา

                            “มองอะไรของคุณ”

                            “คุณห้ามใครมองคุณไม่ได้หรอกคุณหมอ”

                            “รีบๆกินแล้วก็รีบกลับไปสักที”

                            “ฝนตกหนักขนาดนี้ อีกอย่างถ้ากินหมดนี่ผมคงจะกลับไม่ไหว”แทนทัพโบ้ยหน้าไปที่ถุงของร้านสะดวกซื้อ

                            นี่มันเวรกรรมอะไรของเขากันแน่ ทั้งที่ไม่อยากจะเจอหน้า แต่แทนทัพก็มาให้เขาเห็นหน้าถึงที่

                            “กลับแท็กซี่ก็ได้นี่”

                            ขืนอยู่ใกล้นานกว่านี้เขาคงจะต้องไปให้เพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ช่วยรักษาเข้าจนได้

                            “ทำไมถึงไล่ผมล่ะครับ”

                            “ไม่ได้ไล่ ก็แค่…”แค่ไม่อยากอยู่ใกล้…ก็แค่นั้น

                            “ใจคอคุณจะไม่รับผิดชอบผมหน่อยเหรอครับ”แทนทัพถามคำถามที่ทำให้หัวใจของคุณหมอเต้นระรัวทันที

                            “อะ อะไรนะ”

                            คุณวุฒิหันไปถามทันทีอย่างไม่เชื่อหู ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นกำลังเบิกกว้างจ้องมองใบหน้าคมคายของแทนทัพ

                            “เรื่องนั้นคุณน่าจะรู้ดี”

                            แทนทัพลุกขึ้นมาจากโซฟาตัวเดี่ยวแล้วทิ้งกายลงข้างตัวของคุณหมอ เมื่อเข้ามาใกล้คุณวุฒิก็ได้กลิ่นฉุนของแอลกอฮอลชัดเจน จนรู้สึกได้ทันทีว่ากระป๋องเปล่าไม่กี่กระป๋องบนโต๊ะมันไม่ใช่ทั้งหมดที่แทนทัพดื่มมันเข้าไปแน่

                            คุณวุฒิมัวแต่อึ้งกับปริมาณแอลกอฮอลที่คนนิ่งๆอย่างแทนทัพดื่มเข้าไป ไม่ทันได้ตั้งตัวมือใหญ่ก็ตรงเข้ามาที่ใบหน้าแล้วดึงแว่นตากรอบหนาของเขาออกไป

                            กว่าจะรู้ตัวภาพตรงหน้ามันก็พร่าเบลอ ดวงตารีเล็กเบิกกว้างเมื่อความร้อนชื้นและกลิ่นฉุนของเครื่องดื่มมึนเมาล่วงล้ำเข้ามาในโพลงปาก

                            “ฮื้อ”

                            คุณหมอดันอกของคนเมาไม่ให้เขามาใกล้ไปมากกว่านี้ ลิ้นร้อนของแทนทัพสอดเข้ามาตวัดรัดลึงกับลิ้นของเขา

                            คุณวุฒิแทบจะหยุดหายใจกับการกระทำที่จู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ในที่สุดคุณหมอหนุ่มก็ผลักเจ้าของร่างสูงใหญ่ออกห่างจากตัวจนได้

                            “คุณทำบ้าอะไรของคุณ”ควานมือหยิบแว่นตามาสวมใส่ ทว่าพอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเลขาหน้านิ่งอย่างแทนทัพก็พบว่าอีกฝ่ายดันหลับไปแล้ว

                            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายถึงขนาดนี้ไปได้ แค่เผลอเมาไปครั้งเดียว เผลอมีอะไรกับคนที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งอีกทั้งยังเป็นเลขาของรุ่นน้องที่เขาชอบไป ชีวิตมันรู้สึกว่าทั้งวุ่นวายทั้งน่าหงุดหงิด

 

                            แล้วเมื่อครู่ถ้าจำไม่ผิดแทนทัพพูดให้เขารับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง…ต้องบ้าไปแล้ว

แน่ๆ

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-03-2016 17:58:48
ขนมผิงรู้ว่าลูกๆหายไปจะเป็นยังไงนะ ไม่อยากจะคิด บ้านอีปิณญ์แตกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 11-03-2016 19:37:05
คือ...ถ้าขนมผิงจะมีทิฐิสูงแล้วมันแปลกยังไงอ่ะ โดนเขาข่มขืนนะเออ ไม่ใช่สมยอมแม้แต่น้อย แล้วดูสันดานแต่ละอย่างที่ปิญญ์ทำ แล้วจู่ๆมาดีเงี้ย เห้ย ถ้ายอมใจอ่อนนี่เรียกโง่ยังน้อยไปเลยนะ คืออ่านมานี่คำว่า สารเลว ผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะ  และสิ่งแรกที่ผิงควรทำก่อนจะตะบี้ตะบันแก้แค้นคือสอนลูกอ่ะ จริงๆนะ ก็เข้าใจว่าเด็ก แต่แบบเหมาะกับการลักพาตัวมากเลยอ่ะ ไปกับใครง่ายไปหมด หรือว่าเด็กก็เป็นงี้หมดเหรอ อันนี้เราไม่รู้ สรุป สมกับเป็นนิยายนั่นแหละ ข่มขืนก็มารักกันได้ เป็นกันหลายเรื่องด้วย 555555555  :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 11-03-2016 20:31:27
 :เฮ้อ:  อ่านไปก็คันๆในใจแปลกๆ  คำถามผุดขึ้นมาในใจว่า ' อีกแล้วหรอ ? '  ทำไมมันเหมือนวนในอ่างแปลกๆ


อาจจะดูก้าวก่ายไป  แต่ถ้าเราบอกว่า ลื้อแล้วแต่งใหม่เถอะ   เราจะเสือกเกินไปมั้ย ? ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนเรามั้ย


หรือเราคิดไปเองคนเดียวว่า  ตอนนี้การหาทางลงให้สองคนนี้มันยากเกินไปแล้ว  ปิญและผิงเหมือนเส้นขนาน  ไม่มีทางที่จะมาบรรจบกันได้อีก


มันยากเกินไป  ความรู้สึกดีๆอาจจะเคยมีช่วงนึงแต่สุดท้ายก็พังไม่มีชิ้นดีแถมยังเขียนทับด้วยความเลวทรามของอิปิญอีก


สำหรับเราที่เคยถามว่าทำไมผิงถึงไม่ไซโครลูกๆไปเลยว่าอิปิญมันเลวยังไง   ตอนนี้ก็ยังคิดแบบเดิมอยู่ 


คนเราถ้าพ่อมันจะเลวขนาดนี้ก็อย่าให้ลูกมันรู้จักมักจี่กันไปเลยดีกว่า  กันออกไปให้ห่างที่สุด 


อ่านแล้วเหมือนคนเขียนพยายามจะเอาเด็กๆเนี่ยแหละเชื่อมความสัมพันธ์ของสองคน เอาเด็กๆมาผูก 


แต่ทำไมเรารู้สึกไม่อิน  ออกแนวน่าลำคาญด้วยซ้ำ  ถ้าลูกตัวเองที่เลี้ยงมาจะเชื่อฟ้งคนอื่นมากกว่าตัวเองเนี่ยตัดทิ้งเลยดีกว่ามั้ย 


ไม่ได้บอกให้เด็กๆฟังทุกอย่างที่ผิงกรอกใส่หู  แต่สอนมันบ้างสิ  ว่าอะไรเป็นอะไร  นี่อะไรกันกลายเป็นแทบผิงไม่เคยสอนห่าอะไรเลย


บอกแต่ไม่ๆๆๆ แล้วเหตุผลเคยบอกเด็กๆมั้ย  แต่กลับกันเด็กๆไม่เคยคิดถึงจิตใจของคนเป็นแม่ ความผูกพันธ์มันแทบไม่มีเลยหรอ 


ถึงเรียกร้องจะเจอแต่คนนั้นคนนี้  กับอิปิญเนี่ยเลี้ยงดูกันมาเท่าผิงหรอถึงติดแจเป็นขี้ติดตูด  ถามหาหลังอาหารทุกมื้อเลยมั้ย 


มันออกจะย้อนแย้งกันไปด้วยซ้ำ  โอเคเข้าใจว่าอิปิญมันคีปลุค ใจดีแล้วผิงเป็นแม่ใจร้ายที่คอยขัดใจ  แต่บางทีแบบบนี้ก็เกินไปจริงๆ



ถึงได้บอกอ่านทีไรก็ขัดใจ

ปล.ความรู้สึกของเราคนเดียว อาจจะแรงไปบ้างของโทษด้วยแต่มันมาใจจริงๆที่รู้สึกขัดๆเวลาอ่าน  ถ้าคนเขียนไม่ชอบหรือไม่พอใจสามารถบอกเราได้นะยินดีกลับมาลบให้

สู้ๆจร้าติดตามอยู่  :3123:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 11-03-2016 21:10:32
เด็กอายุ 3 - 5 ขวบนี่ไม่รู้อะไรหรอกค่ะ  ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือเด็กๆเคยเจอและได้อยู่กับปิญหลายครั้งแล้ว  ตอนที่อยู่กับยาย   มีแม่อยู่ด้วย   ไปโรงพยาบาลด้วยกัน   อยู่ที่เกาะ มิหนำซ้ำยังได้อยุ่ด้วยกันตามลำพังด้วยเพราะขนมผิงป่วย  เด็กรับรู้ด้วยสัญชาตญาญค่ะว่าคนไหนที่ชอบหรือไม่ชอบตัวเอง   ในช่วงขนาดนี้กำลังเริ่มเป็นช่วงที่เด็กกำลังเริ่มดื้อ เริ่มต่อต้านกับคนใกล้ชิด  เช่น ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่พ่อแม่เตรียมให้  ไม่ยอมนอน เป็นต้น   เจ้าแฝดชอบปิญเพราะเคยได้เล่นกับปิญ แล้วปิญเองก็รักเจ้าแฝด   ไม่แปลกใจที่ไปกับปิญง่ายๆ   ครูผู้ดูแลที่โรงเรียนต่างหากที่ไม่สมเหตุสมผลสะเพร่าที่ปล่อยเด็กไปกับคนแปลกหน้าที่จนทเองก็ไม่เคยเห็น  ปกติน่าจะมีการโทรเช็คกับผู้ปกครองเด็กก่อนปล่อยไป

โลกตะวันตกจะถือมากๆกับพ่อแม่ที่เลิกกันแล้วเสี้ยมลูกให้เกลียดอีกฝ่าย   ปัญหาของผู้ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาของเด็ก  อย่าเอาภาระอันนี้ไปผลักให้เด็ก   หากว่าจำเป็นก็ต้องควรหาคำอธิบายที่สมควรและมีเหตุผลมาบอกเด็กไม่ใช่แค่บอกว่าพ่อเอ็งมันเ-ี้ยนะลูก อย่าไปกับมันอะไรแบบนี้ 

ไม่ปฏิเสธว่าปิญเลว  ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลที่ผิงควรจะกลับมาหาปิญ   ดูๆแล้วปิญเองก็ไม่ได้โฟกัสไปที่คืนดีกับผิง แต่เป็นการโฟกัสไปที่ลูกมากกว่า  เป็นบุคลิกอีกด้านหนึ่งของปิญที่พยายามแก้ไขส่วนหนึ่งของชีวิตในเรื่องลูก  นี่ยังไม่ทำให้ปิญเป็นเทวดานะ  เป็นแค่อีกด้านหนึ่งเท่านั้นเอง   คนบางคนเป็นผัวที่เลวหรือเป็นคนที่แย่มากๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นอย่างอื่นที่ไม่ดีไปด้วย  อาจจะเป็นพ่อที่ดีและน่ารักก็ได้

เรายังเฉยๆไม่คิดว่าผิงกับปิญจะกลับมาหากัน   ปิญเริ่มเปลี่ยนจากแย่มากมาแย่น้อย  แต่ผิงเริ่มเปลี่ยนเป็นแบบปิญช่วงก่อนๆ

วุฒินี่เป็นหมอที่อะไรจะคิขุอาโนเนะขนาดนี้?  โดนซั่มไปจนเจ็บช่วงล่างนี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าโดนเอาเมื่อคืน?
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 12-03-2016 11:38:53
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 12-03-2016 12:04:09
 :เฮ้อ: จะหมั้นกับเดหลีจริงเหรอขนมผิง?
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 12-03-2016 22:11:56
เรื่องวุ่นวายจนเดาตอนจบไม่ถูก แต่รู้สึกอยากให้เด็กๆมีความสุข ถึงปินส์จะขโมยเด็กๆ มาก็ดีกว่าให้อยู่กับขนมผิง แม่ที่ละเลยลูกเพราะจะเอาชนะปินส์ อยากให้ปินส์ชดเชยให้เด็กๆ และก็จำได้ตอนประชดปินส์ พ่อปินส์เคยบอกว่า อยากอุ้มหลาน เพราะฉะนั้นได้เจอหลานก็คงจะใจดีกับเด็กๆ  เรื่องนี้เหมือนผู้ใหญ่ตีกัน แต่เด็กไม่เกี่ยว ชอบตรงที่ผิงไม่สปอย์ลูกให้เกลียดพ่อ และปินส์ก็ไม่เคยบอกด้านไม่ดีของผิงที่เขาเข้าใจว่า ผิงใช้ร่างกายล่อผู้ชาย ล่อผู้หญิงเผื่อผลประโยชน์ซึ่งตอนนี้เราก็รู้สึกว่า ผิงเป็นแบบนั้นไปแล้วทั้งที่ตอนแรกเคยปฎิเสธ และโกรธที่ปินส์เคยดูถูก นับวันผิงยิ่งถลำลึกไปมาก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 12-03-2016 22:24:04
ผิงคืออะไรอะ ความแค้นบ้งตาอยากเอาชนะจนละเลยลูกอ่ะ...งานนี้เราว่าอยู่พ่อแบบปินน่าจะมีความสุขกว่าอยูปะป๋าแบบผิงน่ะ ...เลยเถิดถึงขนาดจะหมั้นจะแต่กะคนอิ่นเพื่อความสะใจจนลืมนึกถึงลูกรึป่าว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ ผิดพลาดหรือจงใจ ❖ 11-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 13-03-2016 04:21:02
รออ่านต่อค่ะ คุณหมอเรา ..จริงป่าว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27 ้อ้อนวอน ❖ 14-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-03-2016 16:29:11
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27 ้อ้อนวอน ❖ 14-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: aiyarin ที่ 14-03-2016 17:14:11
ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงอยากให้ชื่อว่า บัวลอย  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27 ้อ้อนวอน ❖ 14-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 14-03-2016 18:02:10
พ่อปินส์ทักถูกชื่อลูก ปลากริมกับสลิ่มมันแปลกจริงๆ ตอนนี้รู้สึกปินส์อ่อนลงมาเยอะ แต่ก็สงสารผิง เพราะผิงเหมือนจะแค้นว่า ตอนนั้นทิ้งตัวเองและลูกไปตอนนี้จะมาเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นพ่อทำไมอีก อยากให้ผิงลดทิฐิลง เพราะถึงแก้แค้นไป ผิงก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีความสุข ยอมให้ปินส์ชดใช้ชดเชยให้ดีกว่า อย่างน้อยยังทำให้ลูกได้มีพ่อมีแม่  เด็กน่ะค่ะ เขาไม่ต้องการชื่อเสียง เงินทอง แต่ต้องการความอบอุ่นของครอบครับต่างหาก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27 ้อ้อนวอน ❖ 14-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 14-03-2016 19:15:14
ในตอนแรกนั้นปิญญ์ไม่แน่ใจหรือเชื่อว่าผิงท้องหรือลูกเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ?  ไม่เถียงว่าปิญญ์นิสัยแย่ทำแต่เรื่องร้ายๆ  แต่ก็ควรแยกออกให้ถูกส่วน   การที่ปิญญืไม่เชื่อเรื่องผิงท้องก็ไม่แปลกเพราะว่าผู้ชายท้องได้เป็นเรื่องที่ผิดสามัญ  ตามที่คนเขียนลงไว้ว่าผิดปกติจนสามารถทำให้กริมกับหลิ่มได้สัญชาติอังกฤษแลกกับการเป็นกรณีศึกษา   แต่ถึงลูกจะถือสัญชาติอื่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นพ่อจะไม่สามารถฟ้องเพื่อขอสิทธิ์การเป็นบิดาไม่ได้  โดยเฉพาะคนที่มีฐานะอย่างปิญญ์   อีกอย่างปิญญ์ไม่น่าที่จะเสี่ยงล้มละลาย   หุ้นที่ถือไว้ยังไม่ได้สิ้นมูลค่า  ปิญญ์ไม่ได้ไปกว้านซื้อหุ้นเพิ่ม
ที่เสียไปก็คือสิทธิ์ในการบริหารบริษัท  ก็ไม่น่าที่ปิญญ์จะถึงกับล้มละลาย    ผิงเสียอีกที่เสียเงินกว้านซื้อหุ้นน่าจะระวังตัว  ดีที่คนเขียนลงประเด็นผิงกรำงานจนละเลยลูก
ผิงไม่น่าจะไหวได้นานกว่านี้หรอก  มันเป็นการทำอะไรที่เกินตัว  MD ระดับใหญ่ๆจะมีทีมผู้ช่วยที่มากกว่าเลขาที่ช่วยกลั่นกรอง สรุปงาน นำเสนอเจ้านาย   นายก็อ่านไปสิคะ รายงาน รีพอร์ท  ประชุม  ตัดสินใจอะไรก็ว่าไป

มาดูผิงบ้าง   ขนาดเรื่องลูกสำคัญแต่ผิงก็ไม่อาจทิ้งงานไปหาลูกได้ในทันที จุดนี้นำเสนอออกมาดีค่ะ  ความรู้สึกที่ว่าได้ชัยชนะที่ว่างเปล่ามานี่เริ่มชัดเจนแล้ว   โดยเฉพาะถ้าหากว่าผิงได้เห็นลูกรักปิญญ์หรือคนอื่น มีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง  คนเป็นพ่อแม่ทนไม่ได้หรอกค่ะ   งานที่กำลังทำอยู่ ผิงทำคนเดียวไม่ไหวหรอก 
เราเองยังอยากเชียร์ให้ปิญญ์ตั้งบริษัทใหม่  ปรับไลฟ์สไตล์ใหม่ให้เข้ากับลูก เอาลุกเป็นจุดศูนย์กลาง    นอกเรื่องนิดนะ ศาลครอบครัวที่ยุโรปนี่พิจารณาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเด็กซึ่งบ่อยครั้งไม่ใช่ว่าใครที่มีเงินมากกว่า  แต่เป็นคนที่เหมาะสมกับการดูแลเด็กๆ มีเวลาให้มากกว่า   เช่นสมมุติว่าเด็กได้รับบาดเจ็บที่โรงเรียนแล้วพ่อไปหาทันทีหรือแม่ที่ส่งคนไปรับ  อันนี้พ่อดูดีกว่าเยอะค่ะ

หวังว่าปมเรื่องรุ่นพ่อแม่ปิญญืกับผิงจะได้รับการคลี่คลายเร็วๆนี้นะคะ

ป.ล  อยากถามชื่อคนอื่นสมควรบอกชื่อตัวเองก่อนค่ะ  กริมกับหลิ่ม ทำได้เพราะเป็นเด็กแต่ผิงโตแล้วไม่น่ารักเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27 ้อ้อนวอน ❖ 14-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-03-2016 19:23:53
ขนมผิงเป็นลมเลยอะดิ ทำงานเยอะเกิ๊นน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27 ้อ้อนวอน ❖ 14-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 14-03-2016 22:03:34
ปิญญ์ ไปรับเด็กๆออกมาจาก รร.ได้โดยที่จนท./ครู ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนนี่เราว่าไม่เมกเซ้นส์เลยค่ะ
ชื่อเด็ก..เอ่อ มันก็แปลกจริงๆแหล่ะ แต่คิดว่าคงเป็นแค่ชื่อเล่น? ถ้าเป็นชื่อจริงนี่คงไม่ไหว
ผิงตรรกะความคิดพิลึกอ่ะ ตอนที่ไปเซ้าซี้ถามชื่อคนอื่น เป็นเรา เราก็ไม่บอกหรอกค่ะ เดินหนีเลย คิดว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ
หมอ...แบ๊วเกิน ไม่ค่อยสมเหตุสมผลกับอายุ หน้าที่การงาน

ปล. เห็นด้วยกับคุณ freja ผู้ชายบางคนเป็นพ่อที่ดีมาก แต่เป็นผัวเฮงซวย ...รู้จักอยู่คนนึง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27 ้อ้อนวอน ❖ 14-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 16-03-2016 02:49:25
25 ดูแล

                        ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองใบหน้าซีดเซียวของขนมผิง บนหน้าผากมีผ้าขนหนูที่เขาชุบน้ำหมาดแปะเอาไว้เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ลดลง

                        ชายหนุ่มจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้ขนมผิงอย่างใจเย็น ร่างกายของขนมผิงดูซูบผอมกว่าครั้งก่อนที่เจอกันจนสังเกตได้ชัด

                        “นายมีความสุขมากไหมที่ชนะฉัน”

                        ชายหนุ่มพึมพำกับเจ้าของใบหน้าซีดเซียวที่กำลังหลับใหล รอยแผลเป็นบนแผ่นท้องยังคงเด่นชัดตอกย้ำว่าขนมผิงให้กำเนิดลูกของเขาให้ลืมตาขึ้นมาดูลูก

                        ความรู้สึกบางอย่างมันเริ่มเด่นชัดยามที่เขามองใบหน้าที่ดูไร้พิษภัยที่อยู่เบื้องหน้า อยากให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับขนมผิงมันจบลงแล้วเริ่มทุกสิ่งทุกอย่างกันใหม่

                        หากแต่ขนมผิงคงไม่ยอมให้กับเขาง่ายๆ…เขารู้เขาทำผิด และไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำเอาไว้ได้

                        ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองร่างกายร้อนผ่าวที่อยู่ในชุดนอนของเขาด้วยแววตารู้สึกผิด หากแต่อะไรบางอย่างมันยังไม่ลงตัว ความค้างคาที่ทำให้เขาวางใจไม่ได้ทั้งหมดทำให้ใจของเขายังคงถือทิฐิอยู่

                        ขนมผิงกำลังจะหมั้นกับเดหลี…ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักที่เขายังไม่ยอมรับใจตัวเองเขาไม่พอใจ…ที่ขนมผิงจะแทนที่เขาด้วยคนอื่นโดยเฉพาะกับเดหลีเพื่อที่จะหยามกัน

                        “น้ำ ขอน้ำ”เสียงแหบแห้งเรียกให้ปิญญ์ชานนท์หันไปมอง ดวงตาสีอ่อนกำลังหรี่ปรือขึ้นมาสั่นระริกราวกับมันหนักอึ้ง

                        ชายหนุ่มจ่อหลอดไปที่ริมฝีปากแห้งผากอย่างเบามือ…เขาไม่ได้จำใจทำ เขารู้ดี

                        “แค่กๆๆ”

                        “ค่อยๆกิน ถ้ารีบนายจะสำลัก”เสียงของปิญญ์ชานนท์ที่ปลอบประโลมกับอ้อมแขนที่พะยังให้ขนมผิงนั่งอย่างถนัดถนี่ทำให้ดวงตาคมนิ่งเบิกกว้าง

                        “คุณปิญญ์!!”ขนมผิงผลักร่างของอีกฝ่ายออกจากตัวทันที แต่ด้วยแรงที่มีเพียงน้อยนิดไม่มีแรงแม้แต่จะพยุงตัวเองทำให้ดูเป็นวางมือไว้บนอกของอีกฝ่ายมากกว่า

                        “นายนอนต่อเถอะ”

                        “ลูก…เอาลูกคืนมา”ถึงกระนั้นขนมผิงก็ยังมองข้ามเขาแล้วเรียกหาแต่ลูกเสมอ

                        “นายไม่สบายตัวร้อนมาก นายควรจะพักผ่อน”

                        “ผมจะไปหาลูก”ขนมผิงยันตัวขึ้นยืนอย่างทุกลักทุเล แต่ไข้ที่ขึ้นสูงประกอบกับความรู้สึกเวียนหัวที่เกิดขึ้นฉับพลันทำเอาทรุดอีกครั้ง ทว่าอ้อมแขนของปิญญ์ชานนท์ก็รับเอาไว้ได้ทัน

                        “ไม่ต้องห่วง ฉันคืนลูกให้กับนายแน่ แต่ต้องหลังจากที่เราตกลงและนายนอนพักผ่อนซะก่อนที่จะเป็นอะไรไปมากกว่านี้”

                        “หึ เป็นห่วงผมรึไงกัน”ขนมผิงถามประชด เหยียดยิ้มทั้งที่ริมฝีปากแห้งกรังจนดูน่ากลัว

                        “ใช่…ฉันเป็นห่วง”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับ “กลัวว่านายจะเอาไข้ไปติดลูกของเรา”

                        วูบหนึ่งที่คำตอบแรกทำเอาใจของขนมผิงเต้นกระหน่ำ หากแต่ประโยคถัดมาทำให้หัวใจดวงเล็กๆสั่นไหว

                        ปิญญ์ชานนท์ก็แค่ห่วงลูกของเขา…ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเป็นห่วงเขาแน่ เขาแค่คิดไปเอง

                        “หึ คนอย่างคุณไม่เคยเป็นห่วงใครหรอก”

                        “นายพูดเหมือนรู้จักฉันดี”

                        “ผมไม่เคยคิดที่จะอยากรู้จักกับคุณ”ถึงแม้ว่าครั้งแรกที่เจอกันจะคิดอย่างนั้นก็ตาม

                        “นายนอนพักเถอะ”

                        “ผมจะพาลูกกลับ”

                        “ข้างนอกฝนตกหนัก ลูกจะไม่สบาย”อีกแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ชอบเอาลูกมาอ้าง ชอบทำราวกับว่าเป็นห่วงลูกหนักหนาทั้งที่เป็นคนผลักไสเขากับลูกออกจากชีวิต

                        “อย่ามาทำเหมือนกับรู้ดีไปหน่อยเลย”ขนมผิงลุกขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ร่างกายกลับถูกกดให้นอนราบลงบนเตียง

                        ปิญญ์ชานนท์ขึ้นคร่อมทับร่างของขนมผิงเอาไว้ กัดไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นได้อีก เขาไม่ชอบใจที่ขนมผิงขัดคำสั่งเขา ไม่พอใจที่ขนมผิงพยายามจะพาลูกหนีไปจากเขาอีกครั้ง

                        “ฉันบอกให้นายนอนพัก นายก็ต้องนอนพัก”

                        “อย่ามาสั่ง”

                        “นายไม่ใช่เด็ก”

                        “นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ถอยออกไป ผมจะได้พาลูกออกไปจากบ้านหลังนี้สักที”

                        “หัดฟังกันบ้างได้ไหม!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดเสียงดังจนขนมผิงสะดุ้งลดมือที่ผลักไหล่ของอีกฝ่ายลง จ้องมองดวงตาดุดันมองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจ

                        “แล้วคุณล่ะ เคยฟังผมบ้างไหม”ขนมผิงถามออกไปบ้าง พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเครือ

                        แต่หลายออย่างในเวลานี้มันกำลังผลักดันให้เขากลับมาอยู่ที่จะเดิม…

                        “อยากให้คนอื่นฟังคุณ แต่คุณไม่เคยฟังใคร มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง”มือผอมทุบลงไปที่แผ่นอกของชายหนุ่ม

                        “ฉัน…”

                        “คุณไม่ใช่รึไงที่ผลักไสผมกับลูกออกไปจากชีวิต พูดจาดูถูกเหมือนกับชีวิตของคนอื่นไม่มีค่า แล้วตอนนี้คุณจะมาต้องการอะไรอีก คุณต้องการอะไร ไม่คิดว่ามันจะสายไปหน่อยรึไง ฮึก ทุเรศสิ้นดี”ขนมผิงพูดออกไปอย่างเหลืออด กระบอกตารู้สึกร้อนผ่าวเกินจะกักเก็บสิ่งที่อัดอั้นเอาไว้ได้ไหว

                        พิษไข้กำลังรุมเร้าฉุดดึงด้านที่อยู่ในส่วนลึกเผยออกมาต่อหน้าของปิญญ์ชานนท์

                        ชายหนุ่มนิ่งงันกับสิ่งที่ขนมผิงพูดออกมา…มันคือความจริง ความจริงที่เขาเพิ่งจะยอมรับและทำให้เขารู้สึกผิดไปจนวันตาย

                        “ฉันอยากจะแก้ไข”

                        “คุณพูดบ้าอะไร!!”ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแหบพร่และสั่นเทาเบือนหน้าหนีดวงตาคู่นั้นที่มองมา

                        นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หากแต่เขายังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่ามันคือความจริง

                         “ฉันอยากจะขอโอกาสจากนาย ฉันอยากจะทำหน้าที่ที่ฉันละเลยมันมาตลอดสี่ปี นายจะให้โอกาสฉันได้ไหม”

                        “หึ คุณคิดว่าโอกาสมันขอกันได้ง่ายๆรึไง ไม่มีทาง ผมไม่มีทางให้คุณแตะต้องลูกของผม”

                        “เด็กๆต้องการพ่อ นายก็รู้”

                        “ผมนี่ไงพ่อของพวกเขา”ขนมผิงหันกลับมาจ้องมองปิญญ์ชานนท์ด้วยความไม่พอใจ

                        “นายไม่ใช่ นายรู้ดี”

                        “อีกหน่อยก็ใช่ คุณก็รู้ดี เด็กๆกำลังจะมีแม่”ขนมผิงตอบเสียงสั่น เขากำลังจะหมั้นกับเดหลี กำหนดการมันออกมาแล้ว เหลือก็แค่พิธีหมั้นที่เป็นทางการ

                        “หมายความว่าไง”

                        “คนฉลาดอย่างคุณน่าจะเข้าใจได้ง่าย”

                        “ขนมผิง!!ฉันถามว่ามันหมายความว่ายังไง”ปิญญ์ชานนท์ดึงร่างของขนอมผิงให้เข้ามาหากอดรัดร่างของขนมผิงเอาไว้

                        เขาไม่รู้ว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร รู้แค่ร่างกายมันสั่งให้ทำแบบนั้น ดึงรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอดถึงแม้ว่าขนมผิงจะพยายามดิ้นรนด้วยแรงที่แทบไม่มีเหลือก็ตาม

                        “นายโกรธฉันที่ฉันผลักไสนายกับลูกออกไปจากชีวิตใช่ไหม ขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์ถามออกไป ทว่าขนมผิงกลับเบือนหน้าหลบผลักดันร่างของปิญญ์ชานนท์ที่โถมทับลงมาราวกับว่ารังเกียจ

                        “นายตอบฉันมาสิ นายโกรธฉันเกลียดฉันเพราะฉันไล่นายกับลูกไปในวันนั้นใช่ไหม”เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ชีวิตของเขาเหมือนกับถูกลงโทษแบบนี้

                        ขนมผิงไม่ตอบคำถามของปิญญ์ชานนท์แม้แต่คำเดียว ทว่าร่างกายในอ้อมกอดที่แน่นราวกับบ่วงโซ่กำลังสั่นเทา เสียงกัดฟันกับเสียงสะอื้นเล็กดังลอดไรฟันออกมาเรียกให้ปิญญ์ชานนท์ชะงัก

                        “นายตอบฉันมาสิ ตอบอะไรมาก็ได้ เหตุผลที่นายไม่ยอมให้ฉันเจอลูก เหตุผลนายกำลังจะแทนที่ของฉันด้วยคนอื่นแบบนี้”

                        “ผม…ไม่จำเป็น…ต้องตอบคำถามคุณ”เสียงนั้นแหบพร่า ความร้อนของร่างกายข้างใต้ส่งผ่านมาทำให้ปิญญ์ชานนท์รับรู้ได้ทุกวินาทีอีกฝ่ายนั้นมีตัวตนอยู่ในอ้อมกอดเขาเวลานี้

                        หากแต่ถ้าเขาปล่อยให้ขนมผิงหลุดออกจากอ้อมกอดนี้ไป เขารู้แน่ว่าไม่มีทางที่ขนมผิงจะกลับมา ไม่มีทางที่เขาจะอยู่เคียงข้างขนมผิงกับลูกได้อย่างที่เขาต้องการในเวลานี้

                        สาบเสื้อนอนของเขาที่อยู่บนตัวขนมผิงถูกเลิกขึ้น ชายหนุ่มลูบฝ่ามือผ่านท้องน้อยไล่ขึ้นไปบนแผ่นอกจนขนมผิงสะดุ้ง

                        เขาต้องการตีตราลงบนร่างกายนี้อีกครั้ง ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าขนมผิงเป็นของเขาคนเดียวไม่ใช่ใครอื่น ไม่ใช่ใครที่จะมาแทนที่ได้

                        กระดุมเสื้อค่อยๆถูกปลดทีละเม็ด ขนมผิงหายใจหอบจากพิษไข้จนหน้าแดงก่ำ แต่ดวงตาสั่นระริกกลับแสดงความกราดเกรี้ยวออกมา

                        “เอาสิ ทำเหมือนทุกครั้งที่คุณเคยทำ ทำให้มันจบๆไป เสร็จแล้วผมกับลูกจะได้ออกไปจากที่นี่สักที”

                        “ฉัน…ไม่ยอมให้มันจบง่ายๆ”ราวกับเป็นคำประกาศกร้าวริมฝีปากร้อนจูบลงบนริมฝีปากแห้งผาก แผ่วเบาแต่ก็จาบจ้วง

                        ขนมผิงไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงต่อต้าน ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปิญญ์ชานนท์ก็แค่ใช้ร่างกายของเขาเพื่อตอกย้ำให้เขาจมดิ่งกับความอัปยศที่อีกฝ่ายมอบให้…ก็แค่นั้น

                        “มั่นใจแล้วรึไง ว่าจะไม่ใช้ถุงยาง”ขนมผิงกระซิบ เหยียดยิ้มอย่างดูแคลน ปิญญ์ชานนท์จะป้องกันตลอดเพราะสำหรับอีกฝ่ายแล้วคิดว่าเขาเป็นคนสำส่อน

                        “ไม่…มันไม่จำเป็น”ปิญญ์ชานนท์ยกยิ้มก่อนจะสอดกายเข้าไปไม่ฟังเสียงร้องห้าม

                        ขนมผิงเบิกตากว้าง กายของปิญญ์ชานนท์สอดเข้ามารวดเดียวจนผวาเข้าไปกอดรัดอีกฝ่าย ร่างกายมันสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้

                        “ยะ หยุด”ขนมผิงร้องห้าม ทว่าปิญญ์ชานนท์ที่อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองกลับกระทั้นกายเข้าหาไม่หยุด

                        ถึงแม้จะต้องถูกขนมผิงโกรธเกลียดอีกสักแค่ไหน ก็จะไม่มีทางปล่อยขนมผิงกับลูกไปอีกเด็ดขาด เขาจะไม่ยอมถูกแทนที หรือให้ใครมาแทนทีอีกครั้ง จะกักขังขนมผิงด้วยอ้อมกอดนี้เอาไว้

                       

                        ชายหนุ่มสอดกายเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าถึงร่างอยู่อยู่ข้างใต้จะหมดสติไปแล้วก็ตาม

                        ตีตรา จับจอง หรือแสดงความเป็นเจ้าของ อะไรที่ทำได้ก็จะทำทั้งหมด เขาจะขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้…

                        น้ำกามสีขาวขุ่นไหลย้อนลงมาผ่านปากทางสีช้ำแสดงความเป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน ปิญญ์ชานนท์ทิ้งกายลงข้างๆเจ้าของร่างที่กำลังหลับใหล ประทับจูบบนลาดไหล่ผอมบางอย่างแผ่วเบา ดึงรั้งเอาอีกฝ่ายเข้ามากอดภายใต้ความรู้สึกอิจฉาที่ยังคงคุกรุ่น

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                        คุณหมอหนุ่มตื่นรู้สึกตัวอีกทีแสงแดดที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างคอนโดชั้นกว่าสามสิบ เสียงกอกแกรกทำให้คุณวุฒิขยี้ตาผงกหัวขึ้นมามองอย่างเคยชิน

                        “รถติดไหมครับป้านิ่ม”ทักทายยามเช้าอย่างง่วงงุนมองดูหญิงวัยกลางคนกำลังเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเหมือนทุกทีที่จะมาปลุกแล้วทำความสะอาดห้อง แล้วคุณวุฒิก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนมีแขก มองผ่านประตูที่เปิดเห็นโซฟาที่ว่างเปล่าแล้วถอนหายใจ

                        กลับไปได้สักที…ตัวปัญหาที่นึกถึงทีไรแล้วปวดหัวทุกที

                        “ไม่ติดหรอกคะคุณวุฒิ ว่าแต่เมื่อคืนเพื่อนมาเหรอคะ”

                        “อะ ครับ เพื่อนมา”จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่น่าจะใช่ แต่จะให้เรียกความสัมพันธ์นี้ว่าอะไรเขาก็เรียกไม่ถูก

                        “ป้านิ่มเจอเขาเหรอครับ”

                        “ค่ะ หน้าตาดีเชียว เหมือนดาราฝรั่งเลยนะคะ”

                        “ป้านิ่มก็ชมเกินไป ว่าแต่…เขาออกไปตอนไหนเหรอครับ”ถามไปอย่างนั้น ไม่ได้อยากรู้อะไรนักหนาก็แค่…โล่งใจที่ตัวปัญหาออกไปสักที

                        “หืม ออกเอิกที่ไหนล่ะคะ พูดเป็นเล่นไป”

                        “ครับ?”

                        “ก็นอนอยู่ในห้องข้างๆคุณวุฒิเองไม่ใช่เหรอ อย่ามาอำป้าหน่อยเลย”ป้านิ่มขำ แต่คุณวุฒิไม่ขำ กระพริบตาปริบๆ ตะแคงหันหลังไปอีกยังฝั่งเตียง เห็นกลุ่มผมสีดำสนิทโผล่พ้นผ้าห่มผืนหนาขึ้นมา

                        “ฮะ เฮ้ย!! ได้ไง”คุณวุฒิอุทาน เมื่อแขนของชายหนุ่มพาดลงบนเอวของเขา

                        อุตส่าห์เอาผ้าห่มไปให้แล้วทิ้งให้นอนอยู่ข้างนอก แล้วอะไรยังไงถึงได้โผล่มาบนเตียงได้

                        ปึงงงงงง

                        ร่างสูงใหญ่ของแทนทัพถูกฝ่าเท้าของคุณหมอยันลงจากเตียงด้วยความตกใจ

                        “แหมเล่นกันน่ารักเชียว ท่าทางจะสนิทกันนะคะ”ป้านิ่มหัวเราะคิกคักเดินออกไปหลังจากที่ปลุกเจ้าของห้องเสร็จสรรพ

                        “โอยยยย อะไรล่ะครับคุณหมอ”แทนทัพบนอุบกุมสะโพกตัวเองป้อยทั้งที่ยังไม่ลืมตา

                        “ทำไมถึงมานอนบนเตียงผมได้ล่ะ”

                        “เดินมาครับ”แทนทัพขมวดคิ้วเล็กๆปีนขึ้นมานอนเอนกายลงบนที่นอน

                        “ใครอนุญาตให้คุณเข้ามาในห้องนอนคนอื่น”

                        “ก็คนอื่นยังเคยเข้าไปในห้องนอนผมเลยนี่ครับ”

                        “ตื่นแล้วก็กลับไปได้แล้วครับ ฝนหยุดตกแล้ว”คุณหมอออกปากไล่อย่างเคยชิน

                        “ไปไล่เพื่อนอย่างนั้นได้ไงล่ะคะ ป้าต้มข้าวต้มปลาเอาไว้ ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันแล้วมากินข้าวต้มกันดีกว่าค่ะหนุ่มๆ”

                        “เขาไม่กินหรอกป้านิ่ม เดี๋ยวเขาต้องไปทำงานต่อ”

                        “ใครบอกล่ะครับ วันนี้วันเสาร์ ผมไม่ทำงาน”แทนทัพยิ้มเล็กๆกับเจ้าของห้องที่พยายามจะไล่เขา

                        “งั้นก็ล้างหน้าล้างตาเลยค่ะ อีกเดี๋ยวป้าเก็บเสื้อผ้าเสร็จป้าก็ไปแล้ว เดี๋ยวลุงแม้นรอนาน”

                        “ครับๆ”คุณหมอผงกหัวเบาๆแล้วลุกออกจากเตียง เพราะถ้าไม่ลุกป้านิ่มก็คงจะวนเวียนอยู่แถวนี้จนกว่าเขาจะลุกจนได้

                       

 

                        คุณวุฒิจ้องมองหน้าของคมคายของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพลางตักข้าวต้มเข้าปาก แทนทัพดูมีท่าทีผ่อนคลายเกินจนเขาหมั่นไส้กับท่าทางสบายอารมณ์และรอยยิ้มที่กวนอารมณ์ของอีกฝ่าย

                        “มองผมมีอะไรเหรอครับ หรือว่า…มีอะไรติดปากผม”

                        “ไม่มี”คุณหมอหลบตาตาแพรวพราวที่มองมาก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มเข้าปาก “กินเสร็จแล้วก็ไปไปสักที”

                        แทนทัพไม่ตอบแต่กลับยิ้มให้กับดวงตาไม่พอใจภายใต้กรอบแว่นคู่นั้น

                        “ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”จู่ๆแทนทัพก็ชวนขึ้นมาหลังจากต่างฝ่ายต่างกินข้ามต้มจนหมดชาม

                        “ผมต้องเข้าเวร”

                        “เข้าเวรอะไรกันล่ะครับคุณหมอ วันนี้วันหยุดของคุณ”แทนทัพหัวเราะในลำคอกับท่าทางหลุกหลิกของคนโกหกไม่เนียน

                        “รู้ได้ไง”

                        “ผมเห็นเขียนเอาไว้ในปฏิทิน”แทนทัพโบ้ยหน้าไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะหน้าทีวีที่เขียนตารางเตือนความจำเอาไว้ครบถ้วน

                        คุณวุฒิถอนหายใจ หากอากาศร้อนกว่านี้เขาคงเหงื่อตกออกมาแน่นอน

                        “ผมไม่ไป”

 

                        แต่สุดท้ายก็พาตัวเองมายังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆจนได้ คุณวุฒิถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน

                        นาฬิกาพึ่งจะบอกเวลาสิบโมง ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นปรายตามองชายหนุ่มในชุดกางเกงสามส่วนกับเสื้อยืดของเขา ถึงแม้จะเป็นการแต่งตัวแบบง่ายๆแต่ก็ยังสามารถส่งให้เจ้าตัวดูดีเรียกให้หลายๆคนที่เดินผ่านปรายตามองมาที่พวกเขาตลอด

                        คุณวุฒิหยิบป๊อปคอร์นในถังขึ้นมาเคี้ยวอย่างไม่อยากจะใส่ใจ ให้กับคนข้างๆ พอคิดย้อนกลับไปเขาไม่น่าหลงเชื่อคำชวนของแทนทัพเลยสักนิด

                        หลังจากคืนนั้นแทนทัพก็ตามเขาแจไม่หยุด พอไล่ก็กลับยิ้มส่งมาให้ราวกับว่าคำไล่ของเขาเป็นคำเชิญชวน

                        “อีกตั้งเกือบชั่วโมงกว่าหนังจะฉาย ไปเดินเล่นกันไหมครับ”

                        “ไม่”ตอบปฏิเสธแทบจะทันที

                        “ไปหน่อยนะครับ แค่นี้เอง”ข้อมือถูกดึงให้ลุกตามไปจนได้

 

 

                        “จะไปไหนล่ะครับ”แทนทัพคว้าข้อมือของคุณวุฒิเดินกลับมาก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหนี

                        “ผมไม่เล่น”ขมวดคิ้วจ้องมองเครื่องเล่นชู๊ตบาสที่อยู่เบื้องหน้า

                        “เอาหน่อยนะครับ ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณเป็นหมอ ไม่ต้องอาย”แทนทัพไหวไหล่

                        “คุณบ้ารึไง ผมบอกว่าผมไม่เล่น”

                        “หรือกลัวจะแพ้”แทนทัพยุแยง

                        “ผมน่ะนะจะแพ้คุณ ไม่มีทาง สมัยเรียนผมมาเล่นกับผิงบ่อย”คุณหมอไม่ยอมแพ้กอดอกหันมาจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตามั่นใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อชื่อที่พูดถึงคือชื่อของตัวกลางระหว่างเขากับชายหนุ่ม

                        “ถ้าแพ้วันหยุดหน้าของคุณต้องยกให้ผมนะครับ”แทนทัพกระพริบตาเรียกสติไม่ใส่ใจกับชื่อที่ทำให้หัวใจของเขาชาขึ้นมาเล็กๆ

                        “ก็ได้ แต่ถ้าคุณแพ้คุณต้องยอมทำตามที่ผมขอหนึ่งอย่าง แต่ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก ติดเอาไว้ก่อน ตกลงไหม”
                        “ตามนั้นครับ”แทนทัพไหวไหล่

                        ลูกบาสถูกหยิบแล้วโยนใส่ห่วงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าระห่ำ การแข่งขันระหว่างคุณหมอกับเลาขาเป็นไปอย่าไม่มีใครยอมใครเรียกให้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็หันมามองเพราะด้วยอายุที่ไม่น่าจะมาเล่นอะไรแบบนี้กันแล้วแต่ก็ยังจะเล่นด้วยท่าทางที่จริงจังเกินอายุ

                       

                        “แฮ่กๆ ไงล่ะ ผมบอกแล้ว แฮ่ก”คุณหมอหอบหายใจถี่แขนทั้งสองข้างปล่อยทิ้งลงเพราะความล้า ริมฝีปากเผยอขึ้นมาสูดเอาอากาศเข้าปอดถี่รัว

                        “ฮะ ฮะ ไม่คิดว่าคุณจะเก่งขนาดนี้นะครับ”แทนทัพยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้

                        “ผม แฮ่ก มาเล่นบ่อย หลังสอบเสร็จน่ะ”

                        “ผมเล่นครั้งสุดท้ายตอนมอปลาย”แทนทัพยิ้มกับข้อมูลที่ตัวเองได้มาโดยไม่ต้องถามอย่างพอใจ

                        อย่างน้อยคุณวุฒิก็เริ่มพูดคุยกับเขามากขึ้นโดยไม่ต้องให้เขาเป็นฝ่ายถามเอง

                        “ไปกันเถอะครับ หนังใกล้ฉายแล้ว ผมหิวน้ำแล้วล่ะ”แทนทัพความมือนุ่มของคุณหมอเอาไว้ก่อนจะจับจูงให้เดินตามไป

                        คุณวุฒิจ้องมองแผ่นหลังของแทนทัพก่อนจะก้มลงมองมือใหญ่ที่ประสานรับกับมือของเขา

                        แต่ก่อนมือนั้นเคยเป็นของขนมผิง นานมากแล้วที่มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ นานจนเขาเริ่มจะลืมครั้งสุดท้ายที่มาด้วยกัน ขนมผิงเป็นคนเดียวที่สอนให้เขารู้จักใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนคนอื่นๆโดยไม่ยึดติดความหรูหราที่ครอบครัวหยิบยื่นให้

                        เป็นแบบนี้มันก็ทำให้เขากลับมารู้สึกเหมือนกับมีคนอยู่ข้างๆอีกครั้ง จากที่จะเอาคำขอมาสมอ้างให้แทนทัพเลิกยุ่งกับตัวเอง ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็ตาม

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ


 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27.2 เมา ❖ 16-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 16-03-2016 02:52:30
ต่อ
 

                        เสียงเคาะประตูปลุกให้ปิญญ์ชานนท์ที่กำลังหลับสะดุ้งตื่น ดวงตาดุดันหรี่ตามองใบหน้าซีดเผือดของร่างในอ้อมกอด เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าลึกๆใจใจของเขาดีใจแค่ไหนที่ตื่นมาแล้วเจอขนมผิงยังหลับอยู่ในอ้อมกอด

                        “ว่าไงครับ”ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูออกมาเล็กน้อยแล้วใช้ร่างกายบังเอาไว้ไม่ให้ผู้มาเยือนมองเห็นข้างในห้อง

                                    อดแปลกใจไม่ได้ที่ผู้เป็นพ่อขึ้นมายังชั้นบนทั้งที่ตั้งแต่ป่วยก็ไม่เคยขึ้นมาอีกเลยถึงแม้ว่าจะต่อเติมตัวบ้านติดตั้งลิฟท์เอาไว้ทางด้านข้าง

                        “ฉันพาเด็กๆดูบ้าน เด็กๆบอกว่าอยากเห็นห้องนอนของแก”ชายชราไหวไหล่ปรายตามองเจ้าสองแสบที่ตื่นมาวิ่งเล่นพาเขาเดินกันแต่เช้า

                        “ไว้ตอนอื่น ตอนนี้ผมไม่สะดวก”

                        “แกจะมาไม่สะดวกอะไร ลูกของแกอยากจะเห็นห้องนอนแก เรื่องแค่นี่เอง”อาทิตย์เคาะไม้เท้าหรี่ตามองลูกชายเหมือนมีอะไรปกปิดเอาไว้

                        “ผมบอกว่าไม่สะดวกก็ไม่สะดวกสิครับพ่อน่าจะพาเด็กๆไปดูหนังที่ห้องนั่งเล่น”ปิญญ์ชานนท์พยายามบ่ายเบี่ยง ร่างของขนมผิงยังคงนอนเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่มโดยที่เขายังไม่ได้ทำเช็ดความสะอาดให้เลยสักนิด

                        “พ่อปินหลิ่มอยากเห็นห้องพ่อปิน”

                        “กริมก็อยากเห็นฮับ ให้พวกเราดูหน่อยนะฮับ”เจ้าสองแสบกระตุกขากางเกงของชายหนุ่ม ดวงตากลมโตช้อนตามองเขาด้วยท่าทางน่าเอ็นดู พยายามจะมองลอดเข้าไปข้างใน

                        “ปะป๊านี่”

                        “ปะป๊าจริงด้วย”เจ้าสองแสบมองลอดขาของเขาไปยังร่างของขนมผิงที่หลับอยู่บนเตียง

                        ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจออกมา ไม่ทันตั้งตัวเจ้าสองแสบก็วิ่งเข้าไปหาขนมผิงจนได้

                        “ปะป๊าโป๊”

                        “ทำไมปะป๊ามาอยู่ที่นี่ล่ะฮับ ปะป๊าไม่ยอมกลับบ้านเลย”สลิ่มหันมาถามเขาด้วยความดีใจ

                        ขนมผิงไม่กลับบ้านเพราะงานยุ่งมาหลายวันแล้วทำให้เด็กๆไม่ค่อยได้เจอหน้า พอเห็นเข้าต่างก็คิดถึง ปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อจะพูดคุยกับปะป๊าของตัวเอง

                        “อย่าเข้าใกล้มากไป พวกเธอจะติดไข้”ปิญญ์ชานนท์อุ้มเด็กๆมายืนข้างเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมกายให้ขนมผิงปิดร่องรอยเอาไว้

                        ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาพยายามปิดเอาไว้พ้นสายตาของเด็กไร้เดียวสาแต่ก็ไม่สามารถพ้นสายตาของคนอาบน้ำร้อนมาก่อนได้

                        อาทิตย์กำไม้เท้าในมือแน่นจ้องมองร่างลูกชายของผู้หญิงที่เขาเคยใส่ร้ายจนชีวิตพังพินาศด้วยแววตาสั่นเทา

                        “หมายความว่าไง ปิญญ์ชานนท์ แกทำอะไรลงไป”

                        “ผม…”

                        “นี่มันผู้ชายนะ แกทำแบบนี้ได้ยังไง คนคนนี้ก็เป็น…ลูกของลำดวน”ประโยคสุดท้ายอาทิตย์พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน

                        “เพราะผมรู้ไงถึงได้เป็นอย่างนี้”ปิญญ์ชานนท์ตอบหลบตามองพื้นห้องด้วยความรู้สึกผิด

                        “แล้วแม่ของเด็กสองคนนี้ล่ะ แกเอาเขาไปไว้ที่ไหน แกจะให้เขาคิดกับแกว่ายังไง”อาทิตย์ถามเสียงแข็งต่างจากนัยน์ตาที่กำลังสั่นระริกจ้องมองร่องลอยต่างๆบนลาดไหล่ที่โผล่พ้นเหนือผ้าห่ม

                        “เรื่องมันยาว พ่อไม่เข้าใจหรอก”ยาวเสียจนไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มต้นเล่ายังไง ยาวเสียจนจับต้นชนปลายเพื่อกลับไปแก้ไขไม่ถูก

                        “ถึงจะยาวยังไงแต่ก็ก็สมควรจะบอกฉันบ้าง ไม่ใช่ใช้ฉันอยู่อย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับลกตัวเองอย่างนี้”

                        “ถ้าผมบอกว่าขนมผิงเป็นแม่ของเด็กสองคนนี้พ่อจะเชื่อรึเปล่าล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นพ่อ ดวงตาคมดุจ้องมองดวงตาที่มองมานิ่งไม่ไหวติง

                        “แกพูดบ้าอะไร”

                        “ขนมผิงเป็นคนอุ้มท้องของเด็กสองคนนี้ เป็นแม่ของเด็กสองคนนี้”

                        “แกคิดว่าเรื่องนี้มันตลกนักรึไง”

                        “ผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องตลก แม่มันไม่ตลกเลยสักนิด ผมทำขนมผิงท้องเมื่อสี่ปีที่แล้ว”

                        “แล้วทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนนั้น”

                        “ผมบอกพ่อไปพ่อจะเชื่อผมรึไง…ขนาดผมเองผมยังไม่เชื่อ”มิหนำซ้ำยังไล่ขนมผิงกับลูกออกไปจากชีวิต

                        อาทิตย์ถอนหายใจเบือนสายตาจากลูกชายทอดมองร่างที่กำลังหลับจากพิษไข้โดยมีเด็กแฝดร่างอ้วนท้วนยืนมองอยู่ข้างเตียงตาปริบๆ

                        ปิญญ์ชานนท์เดินไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงหยิบซองเอกสารที่เก็บเอาไว้ยื่นให้บิดา ดวงตาคมกร้านของอาทิตย์สั่นเล็กๆเมื่อมองเนื้อหาบนแผ่นกระดาษในมือยืนยันว่าสิ่งที่ได้รับฟังเป็นความจริง

                        ซึ่งนั่นก็หมายความว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย ขนมผิงเป็นลูกของลำดวน ผู้หญิงที่เขาทำให้ชีวิตพังย่อยยับ อีกทั้งเป็นแม่ของหลานๆที่น่ารักน่าชังอีกสองคน ความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้ทำให้อาทิตย์แทบลมจับกับสิ่งที่เพิ่งจะรับรู้

                        “เรื่องนี้แกกับฉันต้องรับผิดชอบ”อาทิตย์บอกลูกชาย ถึงแม้ว่าจะกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เขาจะปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในอดีตจะผ่านไปสู่อนาคตไม่ได้

                        “ถ้าทำอย่างนั้นได้ง่ายก็คงจะดี”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง

                        “แกหมายความว่ายังไง”

                        “ขนมผิงไม่ได้ยินยอม ผมบังคับและก็ทำร้ายเขา”

                        “แกจะบอกว่า…เด็กสองคนนี้เกิดมาจากความไม่ตั้งใจของแกอย่างนั้นรึไง”อาทิตย์พูดเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน

                        “ผม…ไม่คิดว่าขนมผิงจะท้อง ผมไล่เขากับลูกกลับไป ทั้งที่ขนมผิงมาบอกให้ผมรับผิดชอบ เพียงเพราะเขาเป็นลูกของคุณลำดวน”ปิญญ์ชานนท์สารภาพผิด

                        อาทิตย์ได้ยินก็นิ่งงันกับคำบอกเล่าของลูกชาย ถ้าหากมูลเหตุทั้งหมดเกิดจากความเกลียดชังที่เขาและลูกชายมีต่อลำดวนและลูก ทั้งหมดทั้งมวลนั่นเกิดขึ้นเพราะเขา หากแต่ตอนนี้เขายังละอายไม่กล้าจะบอกความเป็นจริงแก่ลูกชาย

                        “เรื่องนี้แกไม่ผิด มันมีอะไรมากกว่าที่แกรู้”

                        แล้วความเงียบก็เข้าปรกคลุมสองพ่อลูก ปิญญ์ชานนท์หันไปมองเด็กๆกับขนมผิงที่ยังคงหลับทั้งที่รอบตัววุ่นวายขนาดนี้

                        ชายเสื้อถูกกระตุกด้วยมือป้อมให้หันไปมอง ปิญญ์ชานนท์ก้มมองร่างเล็กจ้ำม่ำของลูกชายคนน้องก่อนะอุ้มขึ้นมา

                        “มีอะไรเหรอ?”

                        “ทำไมปะป๊าไม่ตื่นล่ะฮับ”เจ้าตัวถาม ดวงตากลมโตจ้องมองมาที่เขา

                        “ปะป๊าตัวร้อนมากเลยนะฮับพ่อปิน”ปลากริมเขย่งเท้าแตะมือลงบนแก้มของปะป๊า

                        หัวใจของปิญญ์ชานนท์กระตุกวูบ ทำร้ายขนมผิงอีกครั้งทั้งที่ยังจับไข้

                        “ไหนให้ฉันดูหน่อย”เขาวางลูกชายลงแล้วแตะมือกับผิวกายของร่างที่นอนหลับ

                        อุณหภูมิร่างกายที่ขึ้นสูงทำให้ชายหนุ่มร้อนรน อาการไข้จากเมื่อคืนไม่ได้ทุเลาเลยสักนิดถึงแม้ว่าเขาจะเช็ดตัวให้ขนมผิงหลายต่อลายรอบ

                       

                        “แกควรพาเขาไปโรงพยาบาล”ผู้เป็นพ่อเตือนหากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่อยากปล่อยขนมผิงไปจากที่นี่ เพราะเขารู้ดีว่ามันยากที่จะดึงรั้งเอาขนมผิงกับลูกกลับมา

                        “ผมจะตามหมอ”

                        “งั้นแกก็โทรตามเจ้าวุฒิมาก็ได้”

                        “ไม่…ต้องไม่ใช่นายวุฒิ”คนที่ถึงแม้จะเป็นญาติสนิท แต่กลับทำให้เขารู้สึกอิจฉาเวลาที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ขนมผิง

                        “ตามใจแก งั้นฉันจะตาหมอที่รู้จักให้ก็แล้วกัน”

 

 

                        หลักจากที่หมอมาถึงผ่านไปนับหลายสิบนาทีที่ปิญญ์ชานนท์ยืนรออยู่ไม่ไกลจากเตียงนอนของตนเอง จ้องมองผมตรวจร่างกายของขนมผิงอยู่ไม่ห่าง

                        “พ่อปินฮับ ปะป๊าจะหายไหมฮับ”เจ้าตัวแสบคนพี่ถามเสียงเบายื่นมือป้อมๆมาจับมือของเขาไว้แน่น

                        “ต้องหายสิ”

                        “ปะป๊าตัวร้อน”สลิ่มอกเสียงสั่น

                        “อีกเดี๋ยวปะป๊าของพวกเธอก็หาย”

 

                        “เป็นยังไงบ้างครับ”ปิญญ์ชานนท์ปรี่เข้าไปถามทันทีที่หมอตรวจเสร็จ

                        “ตอนนี้คนไข้ไข้ขึ้นสูงมาก ทางที่ดีให้แอดมิดที่โรงพยาบาลดีกว่านะครับ คนไข้ตากฝนมาอีกทั้งดูเหมือนไม่ค่อยได้พักผ่อน ต้องเข้าตรวจโดยเร็วที่สุดเพราะคนไข้มีภาวะเสี่ยงเป็นปอดบวม”คุณหมอตอบ

                        สุดท้ายปิญญ์ชานนท์ก็ต้องปล่อยขนมผิงไปอยู่ดี ความเป็นห่วงที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นการเสแสร้งหรือเป็นความรู้สึกจอมปลอมแต่อย่างใด…เขากำลังเป็นห่วงขนมผิง

                        “ครับ”

                        “ถ้างั้นผมจะให้ทางโรงพยาบาลส่งรถมารับให้เร็วที่สุด”คุณหมอบอกก่อนจะเก็บกล่องอุปกรณ์

 

                        “สีหน้าแกดูไม่ดีเท่าไร”อาทิตย์ทักเมื่อความเงียบเข้ามาปรกคลุมภายในห้องอีกครั้ง ลูกชายของตนดูสีหน้าไม่ดีนักต่างจากปรกติที่มักจะทำสีหน้านิ่งเฉย

                        “ผม…ไม่เป็นไร”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าดึงตัวลูกชายให้ออกห่างจากเตียงกันไม่ให้ติดเชื้อจากขนมผิง

                        “แกกลัวว่าเขาจะพาลูกแกหนีไปอีกครั้งใช่ไหม”

                        คำถามที่ผู้เป็นพ่อถามออกมาทำให้ปิญญ์ชานนท์นิ่งเงียบ คำตอบมันมีอยู่แล้วแต่เขากลับไม่กล้าที่จะตอบออกมา ได้แต่พยักหน้าเบาๆตอบคำถามผู้เป็นพ่อ

                        ในบางครั้งคนที่เก่งกล้าสามารถไปทุกเรื่องแท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้เก่งไปซะทุกเรื่องไป

                        ความคิดของเขากำลังหยุดนิ่ง สมองราวกับหยุดทำงานเมื่อพยายามหาทางแก้ปัญหา คิดในสิ่งที่สมควรทำเพื่อแก้ไขสิ่งที่มันเกิดขึ้น หากแต่ยิ่งคิดเท่าไรสมองมันก็ยิ่งตื้อจนรู้สึกว่าตัวเองแทบจะบ้าตายกับคำถามที่เกิดขึ้นเป็นร้อยเป็นพัน สุดท้ายก็เหลือเพียงคำถามเดียวที่สำคัญที่สุด

 

                        เขาต้องทำยังไง…เพื่อที่จะดึงรั้งขนมผิงกับลูกไว้โดยที่ไม่มีฝ่ายใดรู้สึกเจ็บ

 

-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27.2 เมา ❖ 16-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 16-03-2016 06:48:56
ขนมผิงที่ดื้อด้านมากกกกกกกก :ruready
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27.2 เมา ❖ 16-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: aukuzt ที่ 16-03-2016 21:58:20
อ่านเรื่องนี้แล้ว ถ้าจะบอกว่ารอลุ้นคู่รอง  :ling1: โอ๊ยๆ  :-[
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27.2 เมา ❖ 16-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-03-2016 22:18:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27.2 เมา ❖ 16-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-03-2016 22:54:07
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27.2 เมา ❖ 16-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 17-03-2016 23:17:36
แอบเซ็ง ดูเหมือนเส้นทางขนมผิงจะเดินสวนทางกับปินส์อีกรอบ ตอนท้องผิงยอมลงเพื่อลูกเดินมาหาปินส์ถึงบริษัท  แต่ปินส์กลับผลักไส แต่ตอนนี้กลายเป็นปินส์ที่ยอมลงเพื่อลูก แต่ผิงไม่ยอมให้โอกาสอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 27.2 เมา ❖ 16-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 18-03-2016 00:43:32
กำลังสุกคับ ลุ้นมากๆว่าจะดำเนินไปทางไหน พ่อแม่จะทะเลาะกันอีกนานมั้ย
 รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-03-2016 17:04:16
26 ปล้น

 

                   “แม่”ขนมผิงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงแหบพร่าหลังจากตื่นขึ้นมาพบกับเพดานห้องสีขาวสะอาดไม่คุ้นตากับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนจมูกเห็นแม่ของตนนั่งอยู่ข้างเตียง

                   “ตื่นแล้วเหรอ กินน้ำก่อนนะผิง”ลำดวนรีบกระวีกระวาดหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะจับหลอดป้อนให้ลูกชาย “ค่อยๆกินนะ”

                   “ลูก ลูกผิงล่ะแม่ เขาเอาลูกผิงไป”สิ่งแรกที่ขนมผิงเรียกหายังคงเป็นลูกชายอยู่วันยันค่ำ

                   “เด็กๆอยู่กับพ่อ แม่ให้พ่อเขาพากับบ้านไปแล้ว อยู่โรงพยาบาลเชื้อโรคมันเยอะ”

                   ผู้เป็นแม่ตอบด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย อันที่จริงเธออยากจะถามลูกชายด้วยซ้ำว่าลูกของเธอหลานๆไปอยู่กับปิญญ์ชานนท์ได้ยังไง อีกอย่างเมื่อคืนวานเธอได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายบอกว่าขนมผิงกับลูกอยู่กับเขา ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้แก่ลำดวนมากเพราะเธอทราบดีอยู่แล้วว่าลูกชายแค้นเคืองคนของอนันตไพลินแค่ไหน อีกทั้งร่องรอยที่ปรากฏตามตัวลูกชาย มันทำให้เธอทิ้งความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ได้

                   ลำดวนจ้องมองลูกชายในขณะที่ลูกชายของเธอยังคงแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงและหวงลูกของมากขนาดไหน

                   “แม่ไม่ได้โกหกผิงนะ”ขนมผิงถามเสียงพร่า ดวงตาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

                   “แม่จะโกหกผิงให้ได้อะไรล่ะ”

                   คำตอบของลำดวนทำให้ขนมผิงชะงักหลุบตาจ้องมองสายน้ำเกลือที่หลังมือ

                   “หมอจะให้ผิงกลับบ้านเมื่อไร”

                   “ยังไม่มีกำหนด อย่างน้อยก็คงสักสองสามวันนั่นแหละ ดีที่ไม่เป็นปอดบวม แล้วเรื่องอะไรถึงไปตากฟ้าตากฝนอย่างนั้นล่ะ”

                   “ผิงอยากกลับบ้าน ผิงอยากออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ผิงต้องกลับไปทำงาน”ขนมผิงไม่ตอบคำถามของมารดา แต่กลับเลี่ยงตอบในสิ่งที่ทำให้มารดาของตนรู้สึกไม่ดี

                   “วันนี้วันเสาร์นะผิง”ลำดวนพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่พอใจลูกชาย ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาลูกเริ่มกลับบ้านดึกอีกทั้งตอนนี้กลับถือตำแหน่งประธานของบริษัทใหญ่เอาไว้ในมือถึงสองที่ทำให้ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับมานอนพักที่บ้าน ได้แต่นอนค้างที่คอนโด หรือหนักกว่านั้นก็นอนค้างที่ทำงานจึงทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน ถึงแม้ว่าเธอกับสามีจะเตือนแล้วก็ตาม

                   “แต่งานผิงเยอะ แม่ก็รู้” ถึงแม้จะเป็นวันอาทิตย์แต่ด้วยจำนวนงานที่เยอะถึงแม้จะมีผู้ช่วยเพิ่มอีกหลายคนแต่ก็ยังอยากจะทำด้วยตัวเองตรวจสอบให้รอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความระแวงกลัวว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์จะไม่ยอมง่ายๆและกลับมาเอาคืนตน

                   “แม่ไม่อยากพูดแบบนี้กับผิงนะ แต่ถ้าผิงไม่พักบ้างแม่คงรู้สึกว่าแม่เป็นแม่ที่ไม่ดี ปล่อยปะละเลยลูกจนลูกเป็นแบบนี้”ลำดวนเบือนหน้าหนี

                   “แม่!!”

                   “กี่ครั้งแล้วที่แม่กับเด็กๆต้องมานั่งรอผิงกลับบ้านแต่ผิงก็ไม่กลับ ผิงรู้บ้างไหมว่าเด็กๆจะรู้สึกเหงาแค่ไหนกัน”

                   “ผิงทำทุกอย่างเพื่อลูกของผิง”ทำเพื่อปกป้องลูกจากคนคนนั้น…แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแต่กลับแย่ลงกว่าเก่า

                   ไม่มีความสุข ไม่มีความยินดี…มีแต่ความว่างเปล่าห้อมล้อมอยู่รอบๆตัว

                 

                   “การที่ผิงทำงานเยอะมีงานที่ดี มีหน้าที่ที่ต้องดูแลมากมายมันไม่ได้ทำให้แม่คิดว่าผิงทำเพื่อลูกเลย แต่กลับตรงข้ามกันด้วยซ้ำ ผิงกำลังทำร้ายลูกทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบตัวที่รักและห่วงใยผิงมากกว่า”ลำดวนพูดเสียงสั่นพร่า สัญชาติญาณของความเป็นแม่ที่อยู่ในตัวของลูกชายเธอเข้าใจดี หากแต่เส้นทางที่ลูกชายของเธอกำลังเดินอยู่นั้นมันผิด มันกำลังสวนทางกับสิ่งทุกคนต้องการ

                   ขนมผิงนิ่งอึ้งกับคำพูดของมารดา ดวงตาคู่คมเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมากับสิ่งที่พึ่งจะได้รับรู้มาจากความคิดของคนอื่นที่ไม่ใช่ตนเอง แม่ของเขาพูดถูก ทิฐิของตัวเขากำลังทำร้ายคนที่เขารัก

                   “หยุดเถอะนะผิง แม่อยากให้ผิงปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีคำว่าสายเกินไป แม่เชื่ออย่างนั้น”

                   “แต่เขาทำร้ายแม่ ทำร้ายพวกเราขนาดนี้ แม่จะให้ผิงปล่อยวางได้ยังไง”

                   “เรื่องมันอาจจะเกิดจากความผิดพลาด ผิงคิดว่าเด็กๆสำคัญกับผิงมากที่สุด ผิงก็ควรทำให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เอาแต่ความคิดมาเป็นบรรทัดวางเอาไว้ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น แล้วทำให้เรื่องทุกอย่างมันไม่มีจุดสิ่นสุดแบบนี้”

                   “แม่จะให้ผิงทำยังไงในเมื่อผิงหันหลังกลับไม่ได้”ในเมื่อเขาถอยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มีทางเดียวคือต้องเดินหน้าไปต่อจนสุดทาง

                   “ขายหุ้นคืนเขาไปเถอะนะ แค่นี้เขาคงได้รับบทเรียนพอแล้วล่ะ”ลำดวนตอบ มือที่เริ่มขึ้นริ้วรอยแตะลงบนแขนของลูกชายอย่างเบามือ

                   “ยังหรอก แค่นี้มันยังไม่พอสำหรับสิ่งที่เขาทำกับพวกเรา”ที่ร้ายแรงสุดก็คือการผลักไสไล่ส่งลูกของตัวเอง

                   “ผิง! แล้วผิงจะทำยังไงต่อไป ทำให้เขาหมดตัว ล้มละลายแล้วตัวเองต้องทำแต่งานทำให้ลูกๆขาดความอบอุ่นโตขึ้นมาเป็นเด็กมีปัญหาอย่างนั้นเหรอ นั่นคือสิ่งที่ผิงต้องการใช่ไหม”

                   “ผิง…”

                   “ผิงโตแล้วแม่รู้แม่ไม่ควรห้ามหรือบงการอะไร แต่แม่คิดว่านี่มันมากเกินไป แม่ปล่อยปะละเลยลูกชายของตัวเองให้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก แม่มั่นใจว่าคุณปิญญ์เขารู้สึกผิดแล้วกับสิ่งที่เขาทำ แต่แม่เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา ตอนนี้ผิงเองก็น่าจะหยุดสักที ก่อนที่อะไรๆมันจะเลวร้ายไปกว่านี้”

                   เธอรู้ดีว่าปิญญ์ชานนท์คงจะได้รับบทเรียนที่สาสมแล้ว จากแววตาที่เคยดูเย่อหยิ่งทระนงตนตอนนี้เปล่าเปลี่ยนเป็นแววตาที่หม่นมองเต็มไปด้วยความสับสนในตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ก็ตาม

                   เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องพบว่าชายหนุ่มทายาทของอนันตไพลินกรุ๊ปที่เธอเคยทำงานด้วยกำลังกุมมือของลูกชายของเธอ แต่นั่นมันก็เพียงแค่แวบเดียวเมื่อเธอเข้ามาเขาก็ปล่อยมือออกแล้วละความสนใจไปที่เด็กๆแทน แล้วที่น่าแปลกใจไปมากกว่านั้นก็คือ หลานๆของเธอสนิทกับชายหนุ่มมากกว่าที่ควรจะเป็น หากเท่าที่เธอจำได้ ปิญญ์ชานนท์พึ่งเคยจะเจอกับหลานของเธอแค่ครั้งเดียว…บางทีมันอาจจะมีอะไรที่เธอมองข้ามไปถึงความสัมพันธ์ของลูกชายของเธอกับปิญญ์ชานนท์คนนี้…แต่สิ่งที่เธอคิดมันก็อาจจะเป็นเพียงความรู้สึกที่คิดไปเอง เธอเชื่ออย่างนั้น

 

                   “ทำไม…ผิงกับลูกถึงไปอยู่กับคุณปิญญ์ได้ล่ะ”ลำดวนถามเสียงเบา ในที่สุดเธอก็ทนเก็บความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจไม่ไหว

                   หากแต่ลูกชายของเธอกลับนิ่งเงียบกับคำถาม ดวงตาสีโศกคู่ที่ได้มาจากเธอกำลังหลุบตาไม่กล้าสบตาขอเธอที่จ้องมอง

                   “ผิงไม่บอกแม่ก็ไม่เป็นไป เวลาไหนที่ผิงพร้อมจะบอกแม่ผิงค่อยบอกก็ได้ แม่ไม่บังคับ”เพราะเพียงแค่การที่เธอถูกประณามใส่ร้ายมันไม่น่าจะทำให้ลูกชายของเธอลุกขึ้นมาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จากคนที่อ่อนโยนกลับก้าวร้าว ราวกับผลิดฝ่ามือ

 

                   “นี่ก็จะเที่ยงแล้ว เมื่อกี้พนักงานเอาข้าวต้มกับยามาให้ กินก่อนก็แล้วกัน เย็นๆพ่อเขาคงจะพาเด็กๆมาหานั่นแหละ”ลำดวนตัดบทดันโต๊ะอาหารเลื่อนเข้าไปใกล้ลูกชาย

                   ขนมผิงตักข้าวต้มกินไปเพียงไม่กี่คำ ถึงแม้จะรู้สึกแปลกที่ปิญญ์ชานนท์ยอมปล่อยเด็กๆง่ายๆทั้งที่ก่อนหน้ายังยืนยันจะไม่คืนลูกให้เขา แล้วที่มากไปกว่านั้นกลับพาเขามาโรงพยาบาลทั้งที่ทำเรื่องน่ารังเกียจกับเขาจนต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งที่ควรจะทิ้งเขาเอาไว้ปล่อยให้เขาช่วยเหลือตัวเองมากกว่า

                   “แม่ก็หาอะไรกินได้แล้ว อย่ามัวแต่มองผิงกิน”ขนมผิงบอกหลังจากกินยาหลังอาหารตามเข้าไป

                   “แม่รอให้ผิงกินเสร็จก่อน แล้วแม่จะไปหาอะไรกินเอง”

                   “งั้นแม่ก็ไปได้แล้ว ผิงกินข้าวกินยาแล้ว ไม่ใช่เด็กๆจะต้องมานั่งเฝ้าเหมือนเมื่อก่อนสักหน่อย”

                   “ไม่ใช่เด็กก็อย่าทำตัวเด็กก็แล้วกัน แม่ลงไปข้างล่างก่อน ถ้าง่วงก็นอน อย่าฝืน หมอบอกให้พักผ่อนมากๆ”

                   “ครับ”ขนมผิงรับคำส่งยิ้มจางๆให้มารดา

                   ความรู้สึกผิดกำลังก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจ คำเตือนของมารดาฉุดให้สำนึกได้ว่ากำลังก้าวขาลงไปในเส้นทางที่ผิด

 

                   ฤทธิ์ของยาเริ่มทำงานทำให้ดวงตาคมนิ่งเริ่มปรือปรอยในที่สุดมันก็ปิดลง หลังจากที่ขนมผิงหลับลงตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่นานร่างสูในชุดลำลองดูผ่อนคลายก็เปิดประตูเดินเข้ามาท่ามกลางความเงียบสนิทมีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ครางแผ่วเบา

                   ปิญญ์ชานนท์นั่งลงบนเก้ากี้ข้างเตียง ดวงตาดุดันที่อ่อนแววลงไปมากจ้องมองใบหน้าขาวซีดดูไร้พิษสงของขนมผิง ฝ่ามือใหญ่แตะลงใบโครงหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

                   สุดท้ายเขาต้องยอมปล่อยลูกๆไปโดยที่ยังไม่ได้ตกลงกับขนมผิงทั้งที่รู้ดีว่าหนทางที่จะเข้าใกล้ทั้งสามคนนั้นดูไกลออกไปทุกที เขาภาวนาให้การที่เขาทำร้ายขนมผิงในครั้งสุดท้ายจะเกิดผล ภาวนาให้สิ่งนั้นนำทางเขาสู่เส้นทางที่สามารถแก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องที่เคยทำผิดเอาไว้ในอดีตไม่ได้ก็ตาม

                   เขาโน้มใบหน้าเข้าหาคนที่กำลังหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา ริมฝีปากร้อนผ่าวกดจูบลงบนริมฝีปากแห้งฝากเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

                   สุดท้ายเขาก็ทำได้แต่ใช่วิธีอย่างคนขี้ขลาด….

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------

                 

                   “คุณจะตามผมมาทำไม”คุณหมอหนุ่มหันไปบ่นอุบเมื่อแทนทัพตามเขามาตั้งแต่เขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อร่วมรุ่นที่อยู่ต่างโรงพยาบาลว่าขนมผิงไม่สบายจนต้องแอดมิด ซึ่งตอนนั้นเขากำลังจะเข้าไปในตัวโรงภาพยนตร์เพื่อดูหนังกับแทนทัพ แต่ก็ต้องเป็นอันยกเลิกล่มไม่เป็นท่า มิหนำซ้ำแทนทัพยังตามเขาติดแจมาด้วยขนาดนี้

                   “คนไข้ก็เป็นเจ้านายผมเหมือนกัน”แทนทัพไหวไหล่ ซึ่งอันที่จริงหากชั่งน้ำหนักดู เขาเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าตามคุณหมอตรงหน้าที่รีบร้อนมาที่นี่หรือว่าจะมาเยี่ยมไข้ขนมผิงกันแน่

                   “ผมหมดคำจะพูดกับคุณแล้วจริงๆเลยคุณแทนทัพ”

                   “งั้นก็ไม่ต้องพูดสิครับ อย่าลืมว่าคุณติดหนังผมหนึ่งเรื่อง”

                   คุณหมอหนุ่มไม่ตอบแต่กลับถอนหายใจอย่างปลงตกอีกทั้งยังเป็นห่วงขนมผิงที่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่รู้จักกันมาถึงขนมผิงจะไม่ถึงกับแข็งแรงอะไรมากมาย แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้เลยสักครั้งมันทำให้เขาร้อนรนได้มากเลยทีเดียว

                   ทว่าระหว่างที่กำลังรีบร้อนเพื่อไปยังห้องผู้ป่วยหมายเลขห้องที่ถามมาจากเพื่อน แขนก็ถูกดึงรั้งให้ฝีเท้าชะงักนิ่งไม่ให้ไปต่อ คุณวุฒิถึงได้หันกลับไปมองอีกฝ่าย

                   “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกครับ ห้องผู้ป่วยไม่ได้หายไปไหน”

                   แทนทัพอดไม่ได้ที่จะห้ามปรามคนรีบร้อนที่ดูจะร้อนรนเกินไปจนเขานึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย คุณวุฒิยกเลิกการดูหนังกับเขากลางคันอีกทั้งก้าวเดินอย่างรีบร้อนเพื่อที่จะไปหาขนมผิงโดยที่ไม่สนใจหากว่าเขาไม่ชวนคุยระหว่างทางที่มา แสร้งทำทีเป็นกวนอารมณ์ให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

                   ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับคนเจ้าระเบียบอย่างตัวเองมันกำลังทำให้จิตใจที่นิ่งเฉยว้าวุ่นและรู้ได้ทันทีว่าคุณวุฒิไม่ยอมตัดขาดความรู้สึกที่มีต่อขนมผิงง่ายๆแน่…แล้วเหตุใดเขาจึงต้องมานั่งคิดเรื่องราวจุกจิกแบบนี้

                   แทนทัพปล่อยมือออกจากแขนของคุณหมอ ดูเหมือนว่าจะตั้งสติได้แล้วออกเดินด้วยย่างก้าวที่มั่นคงต่างจากเมื่อครู่ แทนทัพได้แต่มองแผ่นหลังโปร่งของอีกฝ่ายและเดินตามไปติดๆ

                   มองดูฝ่ามือสีสะอาดบิดลูกบิดประตูห้องพิเศษเปิดออกอย่างเบามือด้วยเสียงที่เงียบงันอาจะเป็นเพราะรีบเร่งหรืออย่างไรก็ตามที่ทำให้คุณวุฒิลืมเคาะประตูก่อนจะเข้าไป ฝีเท้าของคนข้างหน้าชะงักนิ่งจนเขาที่ไม่ทันสังเกตเพราะกำลังคิดเพลินเกือบจะชนเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่าย

                   ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเขาชะงักตามติดๆไม่แพ้กัน ร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองต่างจากทุกทีที่มักจะอยู่ในชุดทางการดูสุขุมกำลังโน้มหน้าเข้าหาใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากหยักกำลังแตะลงบนริมฝีปากบางเฉียบและแห้งฝาก

                   คุณวุฒิก็เช่นกัน เขากำลังช็อคกับสิ่งที่ได้เห็น ญาติผู้พี่ของเขากำลังจูบกับรุ่นน้องที่เขาหลงชอบมาตลอด ความสัมพันธ์ที่ขาไม่รู้ว่ามองข้ามไปเมื่อไรทำให้ตกใจจนมือที่จับลูกบิดประตูสั่นเทา

                   แต่แล้วภาพตรงหน้าก็ดับวูบกลายเป็นมือมิดเมื่อมือใหญ่ปิดลงมาทาบทับกรอบแว่นดึงให้เขาถอยออกห่างแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ

                   ทำไมญาติผู้พี่ของเขาถึงได้ทำเช่นนั้นกัน….มีอะไรที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับสองคนนี้กันแน่

 

                   มือของแทนทัพจับจูงมืออ่อนนุ่มของคุณหมอให้เดินตามมาจนถึงลานจอดรถ เปิดประตูรถของตนแล้วดันคุณหมอที่กำลังนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เห็นเข้าไปนั่งข้างคนขับแล้วปิดประตูลง

                   เขาเองก็ไม่แพ้กัน เขาเองก็ตกใจที่คนที่ขนมผิงแสนจะเกลียดชังจากการแสดงออกอย่างชัดเจนจะจูบขนมผิงอย่างนั้น หลายอย่างมันกำลังปะติดปะต่อ ก่อนหน้าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมขนมผิงถึงได้ดูเกลียดชังและจ้องที่จะโค่นยักษ์ใหญ่อย่างปิญญ์ชานนท์ให้ล้มลงมา เขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งและความต้องการเพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจ นั่นคือความสุขของตัวของเขาเอง

                   หลายอย่างที่เกิดจากความคาดเดา ตอนนี้เลขาหนุ่มเริ่มประกอบจิ๊กซอติดต่อกัน เด็กแฝดสองคนที่เขาช่วยขนมผิงเลี้ยงดูมากับมือหน้าตาช่างเหมือนกับปิญญ์ชานนท์ยิ่งนักหากเอามาเปรียบเทียบกันจะเห็นความเหมือนได้อย่างชัดเจน แต่นั่นมันก็แค่การคาดเดา น่าแปลกที่ตอนนี้เขากับไม่หยี่ระกับมันสักเท่าไร หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกกระวนกระวายใจมากกว่านี้ หรืออาจจะเป็นเพราะคนที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างกายกัน ชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าขาวสะอาดซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

                   “ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้นะครับ”แทนทัพเปิดประเด็นเรียกให้คุณหมอหันมามองด้วยแววตาที่กำลังสั่นระริก

                   “ยังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีก”ยังมีมากกว่านี้อีกไหมนอกเหนือจากญาติผู้พี่ของเขามีความสัมพันธ์ที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจกับคนที่เขาชอบมาตลอด

                   “เรื่องเด็กแฝดสองคนนั้น คุณผิงคุณคงไม่ได้บอกความจริงกับคุณ”

                   “ความจริงอะไรกัน”คุณวุฒิจ้องมองดวงตาคมคายของอีกฝ่าย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจเล็กๆปะปนกับความสับสนวุ่นวาย

                   “คุณผิงเป็นคนอุ้มท้องเด็กสองคนนั้นเอง”

                   “นะ เรื่องบ้าอะไร ผมไม่ได้ตลกกับคุณนะคุณแทนทัพผิงจะตั้งท้องได้ยังไง ในเมื่อ…”คุณวุฒิชะงัก

                   ขนมผิงเคยบอกว่าตอนเกิดร่างกายติดของตนกับแฝดผู้พี่ที่เป็นผู้หญิง บางทีเรื่องนี้มันอาจจะเป็นไปได้ แล้วใครกันล่ะที่เห็นพ่อของเด็ก…หรือจะเป็นญาติผู้พี่ของเขา

                   คุณหมอหวนนึกถึงใบหน้าของเด็กแฝดลอยขึ้นมา ใบหน้าช่างคลับคล้ายญาติผู้พี่ของตนเมื่อสังเกตดูดีๆ

                   “เป็นไปไม่ได้ ผมจะไปถามผิงเอง ผมต้องการคำตอบจากปากผิงเท่านั้น”คุณหมอผละออกเตรียมเปิดประตูรถ หากแต่แทนทัพกลับทำในสิ่งที่ทำให้เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง

                   มือใหญ่ของอีกฝ่ายดึงรั้งแขนเอาไว้ฝ่ามืออีกข้างดึงรั้งศีรษะของเขาโน้มเข้าไปหา มันรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ถูก เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวฉกจูบลงมา สอดลิ้นเข้ามาพยายามดูดดึงให้คล้อยตาม

                   ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาหลุกหลิกไปมาอย่างตกใจกลัวว่าใครจะมาเห็นเพราะเป็นลานจอดรถที่ใครจะโผล่มาเมื่อไรก็ได้ทุกเมื่อ

                   ถึงแม้พยายามผลักดันให้อีกฝ่ายปล่อยตน แต่กระต่ายหรือจะสู้หมาป่าเจ้าเล่ห์ที่ภายนอกดูสุขุมภายในกลับแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ รสจูบที่ถูกป้อนให้กับลังฉุดดึงให้คุณหมอจมลงสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่า หลับตาลงแล้วเปิดรับสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความเต็มใจ นานนับหลายนาทีกว่าจะผละออกจากกัน มีเพียงความเงียบที่เข้ามาขวางกั้นระหว่างคนทั้งสองภายในรถยนต์คันสีดำสนิท

                 

                   “คุณติดหนังผมเรื่องหนึ่ง ผมขอทวงคืน”แทนทัพพูดแล้วสตาร์ทรถขับออกไปแบบไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

                   “ตะ ตามใจ”คุณหมอตอบเสียงขาดหาย ใบหน้าแดงเรื่อ กระชับแว่นดันขึ้นแล้วหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างน้อยอาการของขนมผิงจากที่ดูแล้วคงไม่เป็นอะไรมาก หากพวกเขาเข้าไปก็คงเป็นเพียงแค่ส่วนเกินในเวลานี้ … ใช่แล้ว เขาเป็นส่วนเกิน ไม่มีความสำคัญพอที่จะบอกได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่แม้จะบอกว่าหายไปที่ไหนเพราะอะไรตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมา

                 

---------------------------------------------------------------------------------------------

 

                   “ขนมผิงเป็นไงบ้าง”อาทิตย์ถามอาการเมื่อลูกชายเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

                   “เป็นไข้หวัดปกติ หมอให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล”ปิญญ์ชานนท์ตอบด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

                   เขาปฏิเสธความรู้สึกเป็นห่วงที่อัดแน่นอยู่เต็มอกของตัวเองไม่ได้เลย อีกทั้งความรู้สึกหึงหวงที่ตามมาทุกครั้งหลังจากที่คิดว่าขนมผิงจะต้องแต่งงานกับเดหลี และที่ว่างข้างๆที่ควรจะเป็นเขาจะถูกแทนที่ด้วยคนอื่น

                   “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว คราวนี้ก็มาที่เรื่องของแก ฉันอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ความสัมพันธ์ของแกกับขนมผิงเป็นมายังไงกันแน่  ทำไมแกถึงต้องไปทำร้ายเขาจนมีลูกกับแกแบบนั้น”

                   “เพราะว่าขนมผิงเป็นลูกของคุณลำดวน และผมไม่ชอบที่เขาทำตัวใกล้ชิดคนอื่นโดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวของผมของผม ผมก็เลย…”ปิญญ์ชานนท์เสียงแผ่วท้ายประโยค ในตอนนั้นเขายอมรับว่าเขาไม่พอใจที่ขนมผิงใกล้ชิดกับคุณวุฒิ

                   “มีอะไรที่แกกำลังเข้าใจผิดอยู่ ปิญญ์ชานนท์”

                   “ผมเข้าใจอะไรผิด”

                   “อันที่จริงลำดวนเขาไม่ได้ผิดอะไรเลย มีแต่ฉันคนเดียวที่เป็นคนผิด เรื่องทั้งหมดฉันกับเป็นคนใส่ร้ายลำดวนเอง ฉันทำไปเพราะความโกรธแค้น เรื่องมันถึงได้ยานปราย แกเลยต้องมารับกรรมต่อจากฉันเอาแบบนี้”

                   “พ่อกำลังพูดอะไร”

                   “แกได้ยินไม่ผิดหรอก ปิญญ์ชานนท์ ฉันเป็นคนใส่ร้ายทั้งหมด เรื่องทุกอย่าง สั่งให้คนสร้างข่าวลือ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง”อาทิตย์สารภาพกับลูกชายเสียงเครือ ใบหน้าประดับริ้วรอยหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมกร้าวดูเศร้าสร้อยทันทีเมื่อนึกถึงผลร้ายที่ตามมาตกที่ลูกชายของตน

                   “พ่อทำแบบนั้นไปทำไม ผมไม่เข้าใจ”ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับคนเป็นพ่อ จ้องมองใบหน้าเศร้าหมองนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้รับฟัง

                   “ตอนนั้นฉันยอมรับว่าฉันทำไปเพราะความโกรธแค้น หากฉันรู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะต้องเป็นแบบนี้ฉันคงไม่ทำ แกก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้”

                   “เรื่องทุกอย่างมันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่าพ่อทำลายชีวิตคนอื่นได้ลงคอได้ยังไงกัน”

                   “เพราะความโกรธความแค้นไงที่มันบังตาฉันเอาไว้ มันสายไปแล้วที่ฉันจะกลับไปแก้ไข แต่ฉันอยากก็ไม่อยากให้แกรู้ตัวเมื่อสายเกินไปสำหรับฉัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะฉันเป็นคนผิด ไม่ใช่แก แกควรทำในสิ่งที่แกสมควรต้องทำ ฉันเองก็จะทำในสิ่งที่ฉันต้องทำเหมือนกัน”อาทิตย์บอกลูกชายด้วยความรู้สึกผิด ความโล่งใจก่อเกิดขึ้นในใจทีละเล็กน้อยราวกับยกภูเขาออกจากอกหลังจากปิดบังเรื่องนี้มานับหลายปี เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อลูกชายของเขาเองที่ยังคงสับสนกับความรู้สึกอันคลุมเครือ

                   “ผม…ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน”

                   “ความรู้สึกของแกไง ฉันอยากรู้ว่าแกรู้สึกยังไงกับขนมผิง”

                   “ผม…”ก่อนหน้าคำว่าเกลียดมันเอ่อล้นออกมาจากหัวใจ ทว่าตอนนี้ความจริงที่ปรากฏทำให้ความรู้สึกผิดมันถาโถมเข้ามา ยิ่งพยายามคิดก็ยิ่งเจอเข้ากับทางตัน เขาคิดทระนงตัวว่าตัวเองถูกต้อง ตัวเองดีที่สุด อยู่เหนือจากคนอื่น ทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตากรรมชีวิตของขนมผิงด้วยความเลือดเย็น ทำร้ายชีวิตของอีกฝ่ายจนย่อยยับด้วยการกระทำของตัวเอง จนทำให้คนดีดีคนหนึ่งต้องเปลี่ยนตัวเองสร้างกำแพงสูงขึ้นมาโอบล้อมตัวเองปกป้องตัวเองจากคนอื่นๆ

                   “ว่าไง แกยังไม่รู้ใช่ไหมว่าตัวเองรู้สึกยังไง”

                   “ผมไม่รู้”

                   “แกถูกสอนถูกเลี้ยงดูมาให้โตขึ้นมาเป็นคนเย็นชา ไม่แปลกใจที่แกจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดกำลังรู้สึกคืออะไร”

                   “เรื่องของตัวเอง ผมย่อมรู้ดีที่สุด”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าถึงตอนนี้ยังคงสับสน นิสัยทระตนของเขายังคงไม่หายไปง่ายๆ

                   “แล้วแกรู้สึกยังไงล่ะ แกบอกว่าแกไม่พอใจเขาที่เขาเข้าใกล้คนอื่น มันเพราะอะไรถ้าไม่ใช่ว่าเพราะแกชอบเขา แกอ้างว่าแกเกลียดเขาแกถึงได้ทำร้ายร่างกายเขา ทั้งที่แกทำแบบนั้นเพราะแกน่าจะหึงหวงที่เขาชอบคนอื่นมากกว่าแกไม่ใช่รึไง เพราะแกมัวแต่ตอกย้ำความคิดว่าแกเกลียดเขาตามที่ฉันปลูกฝังเอาไว้ในความคิดของแก มันเลยทำให้แกไม่รู้สึกตัวว่าแกกำลังรู้สึกยังไง”

                   “ถึงพ่อจะพูดซะยืดยาวมันก็ไม่ได้ทำให้ผมหายรู้สึกผิดกับขนมผิง”

                   “มันคงไม่ง่ายที่ฉันจำทำให้แกเลิกโง่เรื่องพรรค์นี้ ฉันบอกเรื่องที่ฉันควรจะบอกกับแกไปทั้งหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่แกจะกลับไปคิดว่าแกรู้สึกยังไงกับขนมผิงกันแน่ ต่อให้ฉันพูดจนน้ำลายแห้งแกคงนั่งบื้ออยู่อีกนาน”ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าให้กับลูกชายแล้วพยุงตัวขึ้นลุก เพราะได้เวลาที่ต้องเดินกายภาพบำบัดกับพยาบาลส่วนตัว

                   “ผมช่วย”ปิญญ์ชานนท์ประคองให้บิดาลุกขึ้นจับไม้เท้าได้สะดวก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็สนใจแต่งาน และก็เงินทองมากกว่าที่จะคอยดูแลผู้เป็นพ่อเลยสักครั้ง คิดแค่ว่าเงินมากมายที่หามาจะชดเชยด้วยการจ้างพยาบาลส่วนตัวฝีมือดีมาดูแลแทน แต่เปล่าเลยสักนิด เขาคิดผิด

                 

                   ปิญญ์ชานนท์นั่งมองผู้เป็นพ่อเดินย้ำเท้าเปลือยลงบนพื้นหญ้าในสวนหลังบ้าน อันที่จริงสิ่งที่พ่อของเขาพูดมาทั้งหมดมันก็ช่วยให้เขาเหมือนใกล้จะคิดออกแต่ก็ยังคงคิดไม่ออกอยู่เหมือนเดิม เขาเริ่มที่จะยอมรับตัวเองขึ้นมาแล้วว่าตัวเขาค่อนข้างโง่ตามที่พ่อเขาได้สบประมาสเอาไว้ ชายหนุ่มถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปลูกแฝดหน้าจอ

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ



 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-03-2016 17:05:20
ต่อ
 

                   หนึ่งอาทิตย์ถัดมา ปิญญ์ชานนท์ได้รับนัดจากแทนทัพเลขาคนสนิทของขนมผิงให้เข้าไปเจอที่บริษัท ข้อตกลงที่ทำเอาทั้งเคืองทั้งหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเองถูกเสนอมาให้เขา ขนผิงยินดีที่จะคืนตำแหน่งประธานให้กับเขา และขายหุ้นคืนให้เขา ซึ่งนั้นเป็นเรื่องดี แต่เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกเคืองใจกับพิษสงค์ของแม่เด็กแฝดก็คงไม่พ้นราคาที่เรียกว่าปล้นกันยังน้อยไป ราคาสามเท่าของราคาหุ้นนั่นมันไม่ใช่น้อยเลย

                   อีกอย่างสถานการณ์ความเชื่อถือของอนันตไพลินกำลังตกอยู่ในระดับที่ต่ำจนเรียกได้ว่าค่อนข้างหมดหวังที่จะทำให้ฟื้นกลับมายังจุดสูงสุดได้ดังเก่า ซึ่งแน่นอนราคาที่ถูกเสนอมานั้นแค่ทรัพย์สินส่วนตัวของเขามันยังไม่พอ

                   “คุณผิงฝากมาบอกว่าคุณจะปฏิเสธข้อเสนอก็ได้นะครับ คุณผิงไม่ได้บังคับ”แทนทัพพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้าโดนตรงกับปิญญ์ชานนท์

                   พอมองดูใบหน้าหล่อเหลาดูสุขุมถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในชุดลำลองแบบสบายอีกทั้งหนวดเคราขึ้นครึ้มแต่ก็ยังคงดูน่านับถือ ไม่เหมือนกับญาติคนน้องที่ไม่ค่อนสงบเสงี่ยม อีกทั้งยังกวนอารมณ์ได้ง่าย พอคิดแบบนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กๆ

                   “คุณกำลังยิ้มอะไร”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงแข็ง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ยกับการแก้แค้นของขนมผิงครั้งนี้ด้วยการขายหุ้นที่ราคาแสนแพงกับคนที่ตกงานอย่างเขา

                   “เปล่าครับ ขอโทษที่ทำให้คุณเข้าใจผิด”

                   “งั้นเหรอ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับท่าทางเฉยชา จ้องมองแผ่นกระดาษในมือแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

                   “บอกขนมผิงว่าผมตกลง แต่ผมขอเวลาสองเดือน”

                   “ครับ ไม่มีปัญหา ผมจะแจ้งคุณผิงให้ทราบ”แทนทัพรับปากก่อนะเก็บเอกสารของตัวเองลงแฟ้มหลังการนัดคุยแบบคร่าวๆจบลง

                   “ผมมีอะไรอยากจะถาม”

                   “ครับ?”แทนทัพเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสาร

                   “กับน้องชายของผม คุณจริงจังกับเขามากแค่ไหน”ปิญญ์ชานนท์โผล่งถามออกไปตามตรง เขารู้มากสักพักจากพ่อและพี่ชายของคุณวุฒิแล้วว่าเลขาของขนมผิงไปมาหาสู่กับญาติผู้น้องของตนอย่างผิดสังเกต คุณวุฒิเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านนั้น อีกทั้งยังชอบทำตัวแปลกแยกจากคนที่บ้านจึงต้องตามดูอยู่ห่างๆเพราะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกชายคนนี้

                   “คุณกำลังพูดถึงอะไร”แทนทัพตอบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมรับกับสิ่งที่ทำ หากแต่คนบ้านอนันตไพลินไม่น่าไว้วางใจพอที่จะยอมรับ หรือบอกออกไปตามจริง กลัวว่าคุณวุฒิจะถูกที่บ้านบังคับแหมือนคนอื่นๆ

                   “ถึงเขาไม่ได้ใช้นามสกุลอนันตไพลิน แต่เขาก็เป็นคนของอนันตไพลิน ผมอยากให้คุณรู้เอาไว้ ก็แค่นั้น”

                   “ครับ เรื่องนั้นผมเข้าใจดี”แทนทัพตอบก่อนจะเดินออกไปจากห้องของผู้บริหารสูงสุด

 

                   ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มเลขาของขนมผิงออกไปจนลับตา อันที่จริงเขารู้สึกเหมือนกับกำจัดคู่แข่งไปได้ทีเดียวถึงสองคน หากแต่ว่าคุณวุฒิเป็นน้องชายของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยปะละเลย

                   “เป็นยังไงบ้างครับ”มาลิศถามเสียงเรียบ เดินเข้ามายืนเคียงข้างเจ้านาย

                   “นายพอมีเงินจะให้ฉันยืนไหมล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ตอบคล้ายกับกำลังสมน้ำหน้าตัวเองเล็กๆ หัวเราะในลำคอเรียกให้ลูกน้องคนสนิทเอียงคอหันมามองด้วยความประหลาดใจกับอารมณ์ขันที่ไม่เคยเจอ

                   “ไม่ตลกนะครับ ว่าแต่เขาเรียกราคาคุณเท่าไร”มาลิสถามเจ้านายอย่างเป็นห่วง ถึงปิญญ์ชานนท์จะดูเย็นชา บางครั้งก็อารมณ์รุนแรง หากแต่ก็ยังมีข้อดีในการช่วยเหลือลูกน้องมาตลอด

                   “สามเท่า นายคิดว่าไง แม่ของลูกฉันกำลังจะปล้นฉันหมดตัว”

                   “ครับ หวังว่าคุณจะมีเงินเหลือจ่ายเงินเดือนผม”

                   “ถ้าไม่มีอะไรฉันกลับล่ะ ฝากนายดูแลแทนฉันด้วยล่ะ คิดว่าคงมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”ปิญญ์ชานนท์แตะไหล่ลูกน้องก่อนจะเดินจากไปอีกคน

                   มาลิศได้แต่ถอนหายใจ ที่เจ้านายของตนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้หลังจากถูกแม่ของลูกตัวเองเล่นงานจนยับเยิน แต่มันก็เป็นการเปลียนแปลงไปในทางที่ดี

                   ปิญญ์ชานนท์ขับรถยนต์คันหรูมาหยุดอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนอนุบาลเอกชนชื่อดัง ดวงตาดุดันจับจ้องมองบรรดาพ่อแม่พ่อปกครองต่างก็จูงมือลูกหลานของตัวเองออกมาหลังจากถึงเวลาเลิกเรียน

                   เขากวาดสายตามองหาร่างอันคุ้นเคยท่ามกลางเหล่าบรรดาผู้ปกครองหรือพี่เลี้ยงทั้งหลายจนในที่สุดก็สะดุดตาเข้ากับร่างสูงโปร่งในชุดลำลองสบายตาอุ้มร่างเด็กผู้ชายผิวขาวจ้ำม่ำเอาไว้แนบอก มือข้างหนึ่งจับจูงเด็กผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งอีกคนให้เดินตามมา

                   ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจให้กับความโลภของตัวเอง นอกจากจะห้ามใจไม่ให้มาซุ่มดูทั้งแม่ทั้งลูกไม่ได้ก็พอแรงอยู่ หนำซ้ำยังจะคิดที่จะอยากเดินออกไปแล้วอุ้มเจ้าตัวอ้วนจ้ำม่ำทั้งสองมากอดฟัดให้สมกับความคิดถึง แล้วก็จับคนแม่มาจูบให้สมกับความแสบสันต์ที่ทิ้งเอาไว้กับราคาหุ้นที่เรียกมาซะแพงหูฉี่

                   จนกระทั่งขนมผิงกับลูกหายลับสายตาเข้าไปในรถแล้วขับออกไปทิ้งให้เขาจมอยู่กับความเงียบงันภายในตัวคนที่กำลังเข้าปรกคลุมฉุดให้อยู่ในภวังค์ของความคิดอีกครั้ง

                   ราคาหุ้นที่ขนมผิงเรียกมา นอกจากจะหมดตัวแล้วเขายังจะต้องไปกู้จากธนาคารอีกจำนวนหนึ่งเพื่อรวบรวมให้เพียงพอกับราคาที่อีกฝ่ายเสนอมาให้

                   มั่นค่อนข้างจะเสี่ยงกับสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความคิดความสับสนวุ่นวายที่วนเวียนอยู่ในเวลานี้ เขารู้สึกผิดที่ทำร้ายขนมผิงจากความไม่รู้และความโกรธแค้นของตัวเองที่สร้างขึ้นมา

                   เเต่ไม่มีเลยสักนิดที่เขาจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำในตอนนั้นที่ได้ทำลงไป เพราะการที่ได้ผูกมัดขนมผิงเอาไว้คือสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด หากย้อนเวลากลับไปได้เขาก็ยังคงจะทำมัน เพียงแต่คนละวิธีกันเท่านั้นเอง ตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าบางสิ่งที่ทำให้เขาตามตอแยและคอยฉุดรั้งขนมผิงนั้นไม่ใช่ความแค้น หากแต่เป็นความรักความหึงหวงที่ถูกความเคียดแค้นบังตาเอาไว้ทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำในสิ่งเลวร้ายลงไป

                   ผลักดันให้ตอนนี้เป้าหมายและจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่การเอาชนะขนมผิงทางธุรกิจ ไม่ใช่การเอาชนะด้วยการผูกมัดขนมผิงทางร่างกายและแย่งลูกคืนมา หากแต่เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือการชนะใจ เขาอยากที่จะชนะใจขนมผิง

 

                   แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะถึงวันงานหมั้นของขนมผิงในอีกสี่เดือน จะต้องยอมรับในบทลงโทษที่ขนมผิงทิ้งเอาไว้และแก้ไขมันให้ดีพอที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนนั้นได้ทำเอาไว้

 

--------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 20-03-2016 17:39:37
เรื่องนี้ อาทิตย์ควรมีคำอธิบายดีๆ  เรื่องมาถึงขนาดนี้ ยังจะถือทิฐิอมพะนำอยู่ได้
ท่าทาง สองแฝดจะมีน้องคนใหม่ในไม่ช้า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-03-2016 18:42:26
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-03-2016 20:08:52
กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่พอดี

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 20-03-2016 21:07:05
อั้ยยยย เริ่มหนุกขึ้นเรื่อยๆค่าา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 20-03-2016 21:14:49
คิดว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงจะดีขึ้นนะๆๆๆ

รอๆๆๆๆๆต่อ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 28 ดูแล ❖ 20-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 22-03-2016 18:06:54
 o13
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 26-03-2016 19:57:58
27 แพ้ท้อง

                   ในที่สุดปิญญ์ชานนท์ก็รวบรวมเงินได้จำนวนมากพอที่จะซื้อหุ้นคืนจากขนมผิงตามราคาที่อีกฝ่ายเสนอมาด้วยการใช้ทรัพย์สินส่วนตัวและการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่ค่อนข้างจะยากเมื่อมูลค่าของเงินที่ได้มานั่นจะต้องนำมาลงกับองค์กรที่ใกล้จะล้มละลายเต็มทนทว่าด้วยความดื้อพยายามกับเครดิตที่เคยมีอยู่ก่อนหน้าทำให้ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ

                   อันที่จริงบรรดาคนรอบตัวต่างก็ลงความเห็นขัดแย้งกับและแนะนำให้จัดตั้งบริษัทใหม่แทนที่จะเอานำเงินจำนวนมากไปเสี่ยงอย่างสูญเปล่า แต่ด้วยความคิดที่จะรักษาองค์กรที่ผู้เป็นพ่อรักอีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่น ดังนั้นเขาจึงยอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะปล่อยให้มันล้มละลายไปด้วยน้ำมือของตัวเอง

                   “น่าแปลกที่วันนี้แกกลับบ้านไว”อาทิตย์ทักลูกชายเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทานข้าวขณะที่กำลังจะเริ่มมื้ออาหาร

                   สามเดือนแล้วที่เขาทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบและการทำงานต่างๆในบริษัทนานครั้งที่จะกลับบ้านเร็วอย่างวันนี้หลังจากที่เสียเงินไปจำนวนมากเพื่อทวงคืนอนัตไพลินกรุ๊ปกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจของตน

                   “พอดีงานเสร็จไวว่าที่ผมคิดเอาไว้ เลยว่าจะมากินข้าวที่บ้านหลังจากที่ไม่ได้กินด้วยกันกับพ่อมานาน”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่เลือนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของผู้เป็นพ่อแล้วนั่งลง

                   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกกำลังทำอะไรอยู่ แต่เห็นแกยังสบายดีอยู่อย่างนี้ฉันก็ดีใจ”

                   “ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก ว่าแต่วันนี้มีอะไรกินบ้าง”หันไปถามแม่บ้านที่กำลังยกชามกับข้าวควันกรุ่นเข้ามา

                   “มีเนื้อตุ๋นยาจีนค่ะ พอดีคุณอาทิตย์อยากทานป้าเลยตุ๋นเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน”แม่บ้านตอบพลางวางชามเนื้อตุ๋นควันกรุ่นลงบนโต๊ะเบื้องหน้าสองพ่อลูก

                   ทว่าทันทีที่ได้กลิ่นปิญญ์ชานนท์ก็รู้สึกคลื่นเหียนจนแทบจะทนไม่ไหว ความรู้สึกอยากจะอาเจียนทำเอาต้องอุดจมูกแล้วลุกออกจากโต๊ะอาหาร

                   “แกเป็นอะไร”

                   “ไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้แค่ว่ามันเหม็นจนรู้สึกคลื่นไส้”ปิญญ์ชานนท์ตอบใบหน้าคมคายยู่หน้าใส่ชามเนื้อตุ๋นเบื้องหน้า

                   “ฉันไม่เห็นว่ามันจะเหม็นอะไร กลิ่นของมันก็ปกติดี

                   “ช่างเถอะ ผมกินอย่างอื่นดีกว่า”ว่าแล้วชายหนุ่มก็ลุกหนีไปนั่งยังเก้ากี้ตัวท้ายสูดของโต๊ะไกลพอที่จะไม่ได้กลิ่นอาหารชามเนื้อฉุนจมูกจนแทบอาเจียนนั่น

                   “ปกติไม่เห็นแกจะบ่นอะไร”อาทิตย์ส่ายหน้าก่อนจะลงมือกินอาหาร ไม่สนใจลูกชายที่ปกติก็ไม่ได้อะไรมากมายกับเมนูอาหารตรงหน้าของเขา

                   “ว่างๆก็ไปหาหมอซะบ้าง”

                   “ผมไม่ได้ป่วยอะไร”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ตักแกงจืดตรงหน้ากินแทน

                 

                   “ป้ามะลิ ของหวานมีอะไรกินบ้าง”ทันทีที่กินข้าวเสร็จปิญญ์ชานนท์ก็ถามหาขนมหวานแทบจะทันทีทั้งที่ปกติเขาจะไม่แตะของหวานเลยด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็นเรียกให้ทั้งอาทิตย์และแม่บ้านอย่างป้ามะลิเอียงคอมอองออย่างแปลกใจ

                   “เอ่อ มีบัวลอยค่ะคุณปิญญ์ จะรับเลยไหมคะ”

                   “ครับ เอามาเลย”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้า “พ่อมองหน้าผมทำไม”หันไปถามผู้เป็นพ่อเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกมอง

                   “ปกติแกไม่กินของหวาน”

                   “ผมก็ไม่เคยสังเกตตัวเอง”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ “แต่วันนี้รู้สึกว่าผมอยากกิน”

                   “มาแล้วค่ะ บัวลอยไข่หวานถ้าไม่อิ่มป้ามีขนมอาลัวชาววังเพิ่งจะซื้อมาจากร้านเมื่อเช้าสดๆใหม่ๆเลยนะคะป้าเอาใส่โหลไว้เผื่อหนูปลากริมกับหนูสลิ่มจะแวะมาอีก”

                   “ไม่ครับ สองคนนั้นไม่แวะมาแล้ว”แต่เขาจะเอามาอยู่ด้วยให้ได้ต่างหาก

                   “เหรอคะ ป้าเสียดายจัง น่ารักน่าชังกำลังซนเชียว”

                   “ก็ลูกผมนี่ ว่าแต่ขนมอะไรที่ว่าป้ามะลิเอามาให้ผมเลยก็ได้ คิดว่าบัวลอยคงไม่พอ”

                   “ค่ะๆ เดี๋ยวป้าจะไปหยิบมาให้ทั้งโหลเลยแล้วกัน”

                   “แกไม่ได้กินข้าวกลางวันมารึไง กินอย่างกับไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน”

                   “ผมก็กินปกติ”เขาไหวไหล่ ตักขนมบัวลอยหอมกะทิอบควันเทียนเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                   “ผิง ทำอะไรอยู่ลูก”ลำดวนชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นมองดูลูกชายนอนราบกับพื้นบุโฟมกันกระแทกจ้องมองโทรศัพท์ในมือ

                   “พอดีคุณแทนทัพเขาส่งข้อความมาบอกว่าพรุ่งนี้มีเอกสารที่ต้องเข้าไปดู ว่าแต่วันนี้แม่มีอะไรให้ผิงกับเด็กๆกินบ้าง”ขนมผิงยันตัวขึ้นลุกแล้วเอื้อมมือไปยีหัวเจ้าลูกชายแฝดสองแสบไปมาด้วยความหมั่นเขี้ยวจนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ

                   สามเดือนหลังจากขายหุ้นคืนให้ปิญญ์ชานนท์ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะปล่อยวางและตัดขาดความสัมพันธ์กับปิญญ์ชานนท์โดยสิ้นเชิง จากที่ทำงานหนักเพราะต้องดูแลกิจการถึงสองฝั่ง อีกทั้งยังต้องคอยระแวงกลัวว่าปิญญ์ชานนท์จะมาเอาคืนจึงทำให้ไม่มีเวลาพอที่จะใส่ใจคนที่อยู่รอบตัวและปล่อยปะละเลยลูกชายจนทำให้ลูกชายรู้สึกแย่กับความเหินห่างที่เกิดขึ้น เขามีผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกสามคนซึ่งจะรับงานต่อจากแทนทัพอีกที แต่ละคนก็จะรับผิดชอบงานที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็จะสรุปงานแล้วส่งผ่านแทนทัพมาถึงตัวเขาเพื่ออนุมัติตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญ และมันก็เป็นการดีมากเลยทีเดียวที่เขามีเวลาพอที่จะให้กับลูกชายและครอบครัวมากขึ้น

                   “มีพะแนงเนื้อน่ะ ส่วนของเด็กๆก็ต้มจืดกับผัดผัก กับกุ้งทอด”ลำดวนตอบพลางกวักมือเรียกเด็กๆไปล้างมือ

                   “พะแนงเนื้อน่าอร่อยอีกแล้ว”ขนมผิงยิ้มจับให้เจ้าแฝดตัวกลมลุกขึ้นไปหาคุณยายเพื่อล้างมือก่อนทานข้าว

                   ในห้องทานข้าวกับข้าวเริ่มทยอยวางลงบนโต๊ะทีละอย่างจนถึงอย่าสุดท้ายก็คือพะแนงเนื้อ ทันทีที่ควันหอมฉุยคละคลุ้งไปทั่วห้องขนมผิงก็รู้สึกเหม็นจนแทบอยากจะอาเจียนออกมาทันที

                   “เป็นอะไรผิง ไม่สบายอะไรรึเปล่า”พิศนุแตะไหล่ลูกชาย

                   “ผิงไม่เป็นไร ผิงแค่รู้สึกเหม็นแกงพะแนง”

                   “เหม็นอะไรล่ะผิง แม่ไม่เห็นเหม็นอะไรเลยนะ ออกจะหอมใบมะกรูดกับเครื่องแกงขนาดนี้”

                   “แต่ผิงเหม็นเนื้อ”ขนมผิงส่ายหน้าลุกเดินออกไปเพราะทนกลิ่นของอาหารจานเนื้อตรงหน้าไม่ไหวทิ้งให้คนอื่นๆในห้องต่างก็มองตามด้วยความแปลกใจ

 

                   “ไม่เป็นไรนะผิง ทำไมจู่ๆถึงได้เหม็นแกงพะแนงขึ้นมาล่ะ แม่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรแปลกนี่”ลำดวนเดินเข้ามาในครัวแตะไหล่ลูกชายเบาๆเมื่อเห็นว่าหน้าของลูกชายซีดเผือด

                   “ผิงไม่เป็นไร”

                   “แล้วนี่กินข้าวกินปลารึยังล่ะ”ลำดวนถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายรึเปล่า ลองไปให้หมอตรวจเช็คหน่อยก็ดีนะ”

                   “ผิงไม่เป็นไร ผิงกินข้าวแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง”ขนมผิงยิ้มถึงแม้จะยังรู้สึกคลื่นไส้อีกทั้งรู้สึกไม่ค่อยมีแรงขึ้นมาแปลกๆ

                   “งั้นก็ดีแล้ว”

                   “มาแล้วค่ะคุณผิง บัวลอยไข่หวานที่บอกว่าอยากทาน”ป้าแม่บ้านยื่นถ้วยขนมบัวลอยหอยฉุยมาให้

                   “ขอบคุณครับป้านิ่ม”ขนมผิงยิ้มก่อนจะรับชามขนมหวานมาไว้ในมือ

                   “อะไรกัน ยังจะกินของหวานอีกเหรอ”

                   “ผิงอยากกิน เดี๋ยวผิงขอไปกินก่อนนะแม่”ขนมผิงยิ้มให้มารดาก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ลำดวนมองตามลูกชายด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

                   “เหม็นกลิ่นเนื้อเหมือนครั้งที่แล้วเลย”ลำดวนส่ายหน้าให้กับความคิดมากของตัวเอง

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                   “ดูหน้าซีดๆนะครับ”เลขาหนุ่มทักเจ้านายเมื่อใบหน้านิ่งเฉยนั้นซีดเซียวต่างจากทุกที

                   “ก็คงงั้น พักนี้กินอะไรเข้าไปก็ออกมาหมด ของที่เคยกินก็เหม็นจนกินไม่ลง”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าพลางตรวจแฟ้มเอกสารตามปกติ น่าแปลกที่ช่วงนี้เข้ารู้สึกทั้งอยากอาหารและก็เหม็นอาหารจนไม่อยากจะกินไปในเวลาเดียวกันโดยเพราะพวกเนื้อวัว แค่เหม็นอาหารยังไม่พอ น้ำหอมราคาแพงที่เคยใช้เขายังต้องเปลี่ยนกลิ่นใหม่เพราะกลิ่นที่เคยใช้มานานนับหลายปีดันมารู้สึกเหม็นเอาตอนนี้ซะได้

                   “น่าจะลองไปหาหมอดูนะครับ”

                   “เมื่อวานฉันแวะไปแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หมอบอกแค่ว่าพักผ่อนน้อย”ทั้งที่เขาพักผ่อนตามคนปกทั่วไป

                   “นั่นขวดโหลอะไรครับ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน”มาลิศถามก่อนจะรับแฟ้มเอกสารที่ยืนกลับคืนมา ขวดโหลใสภายในบรรจุขนมทรงกรวยปลายแหลมอันเหล็กหลากสีเรียกความสนใจให้กับเลขาหนุ่มได้เป็นอย่างดี

                   “นี่น่ะเหรอ ขนมอาลัว นายจะลองกินไหมล่ะ อร่อยกว่าที่เห็น นายน่าจะลองดู”พูดจบก็ดันขวดโหลบรรจุขนมสีสดยื่นไปด้านหน้าเลขา

                   “ปกติผมไม่เคยเห็นคุณกินของพวกนี้ นี่มันหวานมาก”มาลิศขมวดคิ้วเมื่อลองหยิบขนมอันเล็กจิ๋วส่งเข้าปาก

                   “ฉันคิดว่ามันอร่อย”

                   “ครับ คุณว่าไงผมก็ว่าอย่างนั้น”

                   เลขาหนุ่มตอบประชดเล็กๆ กล้าที่จะพูดคุยกันสนิทมากขึ้นกว่าเก่าเมื่อเจ้านายของตนเปลี่ยนไปมาก จากที่เคร่งครัดและเป็นระเบียบอีกทั้งเจ้าอารมณ์ เวลานี้กลับเป็นผู้บริหารหนุ่มอารมณ์ดีพูดคุยกับลูกน้องด้วยท่าทางสบายๆไม่เหมือนเก่า

                   “ว่าแต่เครื่องจักรล็อตใหม่ที่สั่งไปมาเข้ามาเมื่อไร”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาถาม

                   “อาทิตย์หน้าครับ”

                   “อืม งั้นนายไปทำงานต่อได้แล้ว ถ้ามีอะไรฉันค่อยเรียกอีกที”ปิญญ์ชานนท์ตัดบทเปิดแฟ้มเอกสารออร์เดอร์สั่งผลิตล็อตที่สองที่เพิ่งจะได้มาหลังจากปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากผู้ผลิตชั้นต้นเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตขั้นตอนสุดท้ายนั่นก็คือแปรรูปสิ่งทอเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ

                   เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้หากเขายังขืนชนกับมณีรัตน์โดยตรงด้วยการขายสินค้าที่เหมือนกัน แน่นอนไม่มีทางที่อนันตไพลินกรุ๊ปจะไปรอก ทางเดียวที่จะไปรอดได้คือการทำอะไรที่แตกต่าง ยอมเป็นฝ่ายที่ก้าวถอยออกมาเพื่อที่จะเดินต่อไปและดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีกว่าที่คาดเอาไว้มากด้วยเครดิตที่เคยทิ้งสร้างทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้

                 

                   --------------------------------------------------------------------------------------------------

มีต่อ



 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 26-03-2016 20:03:37
ต่อ


                   คุณวุฒิถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน ดวงตารีเล็กภายใต้กรออบแว่นจ้องมองนาฬิกาข้อมือเรือนแพงพาลให้นึกถึงรุ่นขนมผิง เวลาที่บนหน้าปัดบ่งบอกว่าเลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงทำเอาคุณวุฒิขมวดคิ้วมุ่นเพราะทนรอคนที่ผิดนัดต่อไปไม่ไหวแล้ว

                   ขากาวก้าวออกจากอาคารฉุกเฉินที่อยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลเพื่อเรียกรถแท็กซี่ด้วยที่ไม่ได้เอารถส่วนตัวมาเพราะมีนัดจึงทำให้เขาค่อนข้างที่จะเริ่มหงุดหงิด

                   “คุณหมอ คุณจะไปไหน”เดินออกมาเกือบถึงประตูโรงพยาบาลรถคันหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาขับขนาบข้าง เสียงเรียกที่คุ้นเคยทำเอาใบหน้าขาวสะอาดเบือนหนีไปอีกทางเกร็งคอแข็งด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายปล่อยให้เขารอนาน

                   “ขึ้นรถสิครับ”แทนทัพเรียก ทว่าคนถูกเรียกกลับทำหูทวนลม

                   “   ”

                   “คุณหมอโรคจิตครับ ถ้าขืนยังงอนแล้วไม่ยอมขึ้นรถผมจะลงไปฉุดคุณขึ้นรถนะครับ”แทนทัพออกปากขู่พลางหัวเราะในลำคอเมื่อคุณหมอสะดุ้งเล็กๆหันมาเหวี่ยงค้อนวงโตให้

                   “คุณปล่อยให้ผมรอนาน”

                   “ผมขอโทษ โอเคไหม ขึ้นรถได้แล้วครับ คุณไม่หิวรึไง”คำถามนี้ทำให้คุณวุฒิยิ่งขมวดคิ้วมากกว่าเก่าเพราะแขนท้องรออีกฝ่ายมาร่วมชั่วโมงแล้ว สุดท้ายก็เปิดประตูขึ้นมานั่งข้างคนขับจนได้

                   “เห็นแก่ที่คุณกำลังหิว ผมจะยอมยกโทษที่คุณมาสายให้ก็ได้”

                   “ครับๆ คุณหมอ”เลขาหนุ่มส่ายหน้ากับคนวางฟอร์มใส่แล้วขับรถออกไป

 

                   “ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ ไหนคุณบอกผมว่าหิว”

                   “จะทำกับข้าวก็ต้องมีวัตถุดิบสิครับ”

                   “ผมไม่ได้หมายความว่าจะทำเอง”คุณหมอเบ้หน้า เพราะการที่แทนทัพจะทำกับข้าวเองมันหมายถึงการต้องไปใช้ครัวของใครสักคนระหว่างเขากับแทนทัพ ซึ่งการอยู่ด้วยกันสองต่อสองเขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยต่อใจเขาสักเท่าไร

                   “ทำกินเองนั่นแหละครับ ถูกปากที่สุดแล้ว”แทนทัพตัดบทเดินอ้อมมาเปิดประตูรถเพราะคุณวุฒิคงไม่ยอมลงจากรถแน่หากไม่คะยั้นคะยอ

                   จนในที่สุดคุณหมอที่ตอนนี้สมควรจะได้นอนตีพุงสบายใจอยู่ที่ห้องกลับต้องมาเข็นรถเข็นเดินตามเลขา ต่างคนต่างก็แต่งกายด้วยชุดสุภาพเป็นทางการเรียกให้บรรดาแม่บ้านที่มาจับจ่ายของสดต่างก็มองด้วยความสนใจ

                   “ได้ของครบรึยังคุณแทนทัพ”

                   “เรียกชื่อผมเฉยๆก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกซะเต็มยศ”แทนทัพไหวไหล่ยกหัวผักกาดขาวสีเขียวอ่อนขึ้นมาหมุนรอบๆเพื่อหาตำหนิ

                   “ได้ของครบรึยังคุณลูกจ้าง”สรรพนามที่เปลี่ยนใหม่ด้วยความไม่เต็มใจคราวนี้ค่อนข้างจะเจ็บจี๊ดเรียกให้คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเลยทีเดียว

                   “ครับๆ ใกล้ครบแล้ว เหลือแค่เนื้อสัตว์ครับ”

                   แทนทัพตอบส่งเจ้าหัวผักกาดขาวในมือใส่รถเข็นแล้วเดินนำไปยังส่วนของเนื้อสัตว์ เขาเลือกเนื้อสัตว์ที่แพ็คสำเร็จอยู่ตรงหน้าพักหนึ่ง ความเงียบงันของคุณหมอที่คอยบ่นเรื่องเวลาทำให้ชายหนุ่มแปลกใจเงยหน้าจากแพ็คอาหารขึ้นมามองใบหน้าขาวสะอาดประดับกรอบแว่นคุ้นตา ทว่าแทนทัพก็ต้องชะงักเมื่อดวงตารีเล็กกำลังสั่นไหวเล็กน้อย คุณวุฒิกำลังจ้องมองไปยังอีกฝั่งในโซนเครื่องปรุงที่อยู่ไม่ไกล ร่างสูงโปร่งผิวขาวสะดุดกำลังยืนเลือกเครื่องปรุงอยู่

                   แทนทัพจ้องมองปฏิกิริยาของคุณหมอแน่นิ่ง ทั้งที่ก้อนเนื้อในอกกำลังสั่นไหวแปลกๆ คุณวุฒิทอดมองขนมผิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนขายาวจะตัดสินใจก้าวพาตัวเองออกไป แต่เขาก้าวไปข้างหน้าได้เพียงแค่ครึ่งก้าวเมื่อมือใหญ่แตะลงมาที่แขนของเขาแล้วกุมเอาไว้

                   คุณวุฒิหันกลับมามองใบหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่าย แทนทัพส่ายหน้าให้เล็กน้อย คล้ายกับกำลังอ้อนวอน ทว่าคุณวุฒิกลับเลือกที่จะไม่ฟังดึงมือใหญ่ที่กุมแขนของตนไว้ออกแล้วก้าวเดินไปหาใครอีกคนที่เขาไม่ได้เจอมานาน

                   “ผิง”คุณหมอเรียกเสียงเบาเดินมาหยุดที่ด้านหลังของขนมผิง

                   “พี่วุฒิ”

                   “มาคนเดียวเหรอครับ”คุณวุฒิพยายามสร้างรอยยิ้มที่เหมือนกับทุกที แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่ามันยากราวกับกำลังฝืนเมื่อนึกถึงภาพของพี่ชายรวมสกุลจูบขนมผิงในวันนั้น

                   “ไม่ครับ ผิงมากับแม่ กับเด็กๆแล้วก็พี่เลี้ยงเด็ก น่าจะอยู่แถวนี้ พอดีผิงมาเดินหาของนิดหน่อย สบายดีไหมครับ”ขนมผิงทักทายพร้อมกับยิ้มกว้าง

                   เป็นยิ้มที่เหมือนเดิมและไม่ได้แต่งแต้มชวนให้นึกถึงวันแรกที่เขาเจออีกฝ่าย

                   “พี่สบายดี แล้วผิงล่ะ สบายดีไหม”

                   “ผิงสบายดี ว่าแต่ทำไมพี่วุฒิถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ผิงไม่คิดว่าจะเจอพี่วุฒิในแผนกอาหาร”

                   “เอ่อ พี่”คุณวุฒิเป็นฝ่ายอ้ำอึ้ง

                   “คุณแทนทัพ”แทนคำตอบของเขาเมื่อขนมผิงเรียกชื่อใครอีกคนที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

                   “มาซื้อกับข้าวเหรอครับ”

                   “ก็ไม่เชิง ผมพาเด็กๆมาเดินเล่นด้วย แล้วคุณล่ะ”

                   “ผมมาซื้อกับข้าว”แทนทัพตอบเสียงเรียบปรายตามองร่างสูงโปร่งข้างกายด้วยสายตานิ่งเฉย

                   “มาด้วยกันเหรอครับ”ขนมผิงถามด้วยท่าทางแปลกใจ ทว่าสิ่งที่คุณวุฒิชิงตอบไปเสียก่อนทำให้แทนทัพนิ่งอึ้ง

                   “เปล่า ต่างคนต่างมาน่ะ”

                   “งั้นเหรอครับ ผิงนึกว่าพี่วุฒิจะมากับคุณแทนทัพ”ขนมผิงยิ้มให้กับทั้งคู่ ถึงแม้ว่าจะนึกแปลกใจเพราะทั้งสองคนดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็นคั้นอยู่ตรงกลาง

                   “ครับ”

                   “งั้นผิงไปหาแม่กับเด็กๆก่อนนะครับ เดี๋ยวจะรอกันนาน แล้วเจอกันนะครับ”ขนมผิงตัดบท บอกลาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสองที่ถึงแม้จะยืนอยู่เคียงข้าง ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือไปสัมผัส แต่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกราวกับอีกฝ่ายอยู่ไกลจนแทบมองไม่เห็นกันและกัน

                   แทนทัพคุณวุฒิมาที่คอนโดของเขา ถึงแม้ว่าคุณวุฒิเองจะค่อนข้างแปลกใครที่ครั้งนี้แทนทัพเลือกคอนโดของตัวเองแต่เขาก็เลือกที่จะเงียบดังเดิมตั้งแต่ออกมาจากซุปเปอร์มาร์คเกต

                   คุณวุฒิกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปช่องแล้วช่องเล่า ทว่ายังไม่มีรายการทีวีช่องไหนดึงดูดความสนใจของเขาไปจากใครอีกคนที่เงียบมาตลอดทาง ตั้งแต่กลับมาถึงห้อง แทนทัพก็เอาแต่ทำอาหารอยู่เงียบๆคนเดียว ไม่มีคำพูดยียวนหรือก่อกวนใจเขาเหมือนทุกที ความอุ่นตรงช่วงแขนที่โดนสัมผัสยังคงอยู่ไม่หายไปไหน เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ระหว่างเขากับแทนทัพมีบรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ รู้เพียงแต่เขาไม่ชอบมันเอาซะเลย

                   กระทั่งมื้ออาหารที่ควรจะทำให้ทั้งเขาและแทนทัพอารมณ์ดีกลับกลายเป็นมื้ออาการที่เงียบงัน ไม่มีเสียงพูดคุยต่างออกไปจากเดิม

                   “เอ่อ ขอบคุณสำหรับอาหารนะ ผมจะกลับแล้ว”คุณวุฒิบอกเสียงเรียบลุกขึ้นจากโซฟาเมื่อเห็นว่าแทนทัพจัดการเรื่องในครัวเสร็จเรียบร้อย

                   “ผมไปส่ง”น้ำเสียงที่ตอบบทสนทนากับเขายังคงเรียบเฉยฟังดูน่าอึดอัด

                   “ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”คุณหมอส่ายหน้า

                   “ผมไปส่งเอง”

                   “ผมบอกว่าผมกลับเองได้”

                   “คนของอนันตไพลินหยิ่งแบบนี้ทุกคนรึเปล่าครับ”

                   “คุณพูดถึงอะไร”คุณวุฒิหันขวับกลับมาเมื่อถูกพาดพิงถึงนามสกุลที่ตนไม่ได้ใช้

                   “ชอบยืนอยู่บนความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้รึเปล่าครับ”แทนทัพฝืนยิ้มมุมปากจ้องมองใบหน้าขาวสะอาดของคุณหมอ

                   “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร แต่ถ้าหากจะพาดพิงถึงพี่ชายผมล่ะก็ คุณคงต้องไปพูดกับเขาเอง”

                   “ผมกำลังพูดถึงคุณ”แทนทัพเอื้อมมือกุมมือที่จับลูกบิดไว้ไม่ให้เปิดมันออก ระยะที่ใกล้จนได้ยินลมหายใจซึ่งกันและกันทำให้ความคิดของเขาร้อนรุ่ม ต่างจากคุณหมอที่กลับยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจในความเข้าใจยากของแทนทัพ

                   คุณวุฒิเงยหน้าขึ้นมองตอบดวงตาคมนิ่งของแทนทัพ เริ่มไม่พอใจกับท่าทีกำกวมและใกล้ชิดกันเกินเหตุโดยไม่มีอะไรมาเป็นตัวตัดสินว่ามันคืออะไรแบบนี้

                   “ถอยไป ผมจะกลับ”

                   คุณวุฒิยืดตัวตรง เขาสะดุ้งเล็กๆเมื่อแทนทัพเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ บีบบังคับให้เขาจนมุมอยู่หน้าประตูห้อง เขาถูกกักให้อยู่ในอ้อมแขน ก่อนที่จะเอ่ยถามหรือต่อว่าอะไร ใบหน้าของแทนทัพก็โน้มเข้ามาใกล้จนเกือบชิด จมูกโด่งเป็นสันจรดลงบนจมูกของหมอหมิ่นเหม่ จนคุณวุฒิเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทันราวกับกำลังถูกแย่งอากาศหายใจ

                   ชั่ววินาทีที่สบตาคู่นั้น แว่นตากรอบหนาก็ถูกดึงออกไปจากหน้า เขาไม่รู้ว่าก้อนเนื้ออ่อนนุ่มที่จู่โจมลงมาบนริมฝีปากเขาใช่ปากของแทนทัพหรือไม่ กายสูงใหญ่แนบชิดตึงให้เขาติดอยู่กับประตูห้อง เอวถูกรวบเข้าไปกอดแน่น ลมหายใจของเขากับเลขาหนุ่มกำลังถูกแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะตกใจและพยายามผลักดัน ทว่าแทนทัพกลับไม่ปล่อยให้เขาหลุดไปง่ายๆ

                   ตอนนี้คุณวุฒิไม่รู้ว่าแววตาของแทนทัพเป็นอย่างไรในเมื่อภาพตรงหน้ามันทั้งมัวและเบลอจนปะติดไม่ถูก นานนับหลายนาทีที่ลิ้นร้อนตวัดเข้ามาในโพลงปาก เกี่ยวกระหวัดให้จนมุมแล้วจู่โจมราวกับว่ากำลังโกรธเคืองเขาอยู่

                   “อะ อื้อ งือ”คุณหมอเบือนหน้าหนี รู้สึกว่าลมหายใจกำลังจะขาดห้วงหากไม่ผละออกมา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มตรงหน้าของเขาจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ รมฝีปากร้อนผ่าวตามลงมาประกบจูบทาบทับดังเดิม

                   นานจนขาเริ่มที่จะอ่อนแรงทรงตัว น้ำลายเริ่มก่อตัวเหนียวหนืดไหลย้อนออกมาที่มุมปาก ในที่สุดแทนทัพก็ยอมผละจูบออกไป แต่ก็ยังคงไม่ยอมคืนแว่นตาให้กับเขา

                   “แฮ่ก วะ แว่นผม”คุณหมอทวงคืน แต่กลับไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาหอบหายใจโกยเอาอากาศเข้าปอดราวกับได้ชีวิตใหม่ ใบหน้าขาวใสแดงระเรื่อไม่รู้ตัว

                   “คุณค้างที่นี่เถอะ ข้างนอกฝนตกแล้ว”

                   “แว่นผม”คุณวุฒิยังคงทวงแว่นคืน ยื่นมือมาด้านหน้า ภาพตรงหน้าพล่าเบลอจนไม่อยากที่จะเสี่ยงก้าวเดินไปไหน

                   “ผมจะคืนให้คุณพรุ่งนี้เช้า”

                   “คุณอย่ามากวนโมโหผมนะ”

                   “ผมไม่ได้ต้องการกวนโมโห ผมแค่ต้องการลงโทษ”ท้ายประโยคกลับพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา ถึงแม้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิมากพอที่จะทำแบบนี้กับคุณหมอตรงหน้า แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคืองอีกฝ่ายที่จ้องมองคนอื่นที่ไม่ใช่เขาด้วยสายตาแบบนั้น

                   “ผมไม่ตลกกับคุณ”คุณวุฒิเอื้อมมือควานหาแว่น แต่มือก็ถูกจับเข้าไปกุมไว้ ดึงให้เดินตามไปยังห้องนอน

                   “อาบน้ำกันนะครับ”แทนทัพบอกขณะที่ดวงตาคมกริบกำลังสังเกตกับปฏิกิริยาท่าทีจากอีกฝ่าย แล้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมาเมื่อคุณหมอหน้าแดงเรื่อ ท่าทางเก้งก้างเมื่อไม่มีแว่นเรียกให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว

                   “ใครจะไปอาบกับคุณ คืนแว่นผมมา แล้วต่างคนต่างอาบ”

                   “อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่เคยอาบน้ำกับผู้ชายด้วยกัน”

                   “นั่นมันก็เรื่องของผม เอาแว่นคืนผมมาสักที”

                   “ใจเย็นๆสิครับ อยู่เฉยๆ”แทนทัพเอ็ด จับให้คุณหมออยู่นิ่ง มือใหญ่ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออก

                   “ทะ ทำอะไรของคุณ”

                   “อาบน้ำไงครับ”

                   “ผมบอกว่าผมจะอาบเอง”

                   “จะอายอะไรล่ะครับ ในเมื่อผมเคยเห็น…ทั้งหมดนี่แล้ว”

                   “หยุดพูดสักที”คุณวุฒิยื่นคำขาด ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันอย่างเจ็บใจ

                   เสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมดเหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในขาสั้นแนบเนื้อ ทำเอารู้สึกหนาวๆขึ้นมายังไงไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าแทนทัพกำลังมองเขาอยู่หรือไม่ รู้แค่ว่ารู้สึกว่ากำลังถูกดวงตาคู่คมกริบคู่นั้นจ้องมองตลอดเวลา

                   สายน้ำอุ่นค่อยๆไหลผ่านร่างกาย ทั้งที่มันไม่ใช่น้ำเย็นแต่มันก็ทำให้ร่างคุณหมอสั่นเล็กๆได้ แทนทัพจ้องมองร่างกายตรงหน้า ผิวกายของคุณวุฒิขาวสะอาดบ่งบอกว่าเจ้าของดูแลมันอย่างดี กายสูงโปร่งแทบจะไม่มีกล้ามเนื้อเพราะเจ้าของไม่ชอบออกกำลังกายกำลังเรียกให้ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืดเคือง

                   “ผม ทำเองได้”คุณหมอรีบเอื้อมมือมาคว้าก้อนสบู่ที่กำลังถูหลังตนแทบจะทันที หันแผ่นหลังให้แทนทัพ

                   เวลาในห้องน้ำช่างผ่านไปช้าราวกับเป็นชั่วโมง คุณวุฒิถอนหายใจเมื่อสวมใส่ชุดนอนของแทนทัพได้สำเร็จด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ขาทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มซุกกายลงไปในผ้าห่มผืนหน้า ได้ยินเสียงฝนตกกระทบพื้นระเบียงอยู่ด้านนอกกล่อมให้รู้สึกง่วงขึ้นมา ไม่นานก็รู้สึกว่าเตียงด้านข้างยวบลงไปเรียกให้คุณวุฒิถอยกายหนีเล็กน้อย ทว่าก็ถูกดึงเข้าไปรวบกอดจนตัวเกร็ง

                   เกือบครึ่งชั่วโมงที่นอนตัวแข็งในอ้อมกอดของอีกฝ่ายจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ คุณวุฒิเงยหน้ามองอีกฝ่ายผ่านความมืดถึงแม้ว่าภาพตรงหน้ามันกำลังพล่าเบลอ

 

                   “ต้องการอะไรกันแน่”เขาพึมพำถามออกไปทั้งที่รู้ว่าแทนทัพไม่ได้ยิน ทั้งที่เขากับแทนทัพใกล้ชิดกันจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าเขากลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่เลย

 

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-03-2016 20:56:29
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 26-03-2016 21:08:34
พระเอกเราเริ่มฉลาดแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 26-03-2016 21:21:07
ตอนนี้เรื่องคืบหน้าไปได้เยอะเลยค่ะ สงสารทั้งขนมผิงและลูกๆ ที่ต้องมาจมอยู่ในปัญหา มันเกิดเพราะปินส์ แต่จริงๆ ถ้าปินส์รเชื่อว่า ผิงท้อง  ปินส์คงไม่เลวขนาดไล่ทั้งแม่ทั้งลูกหรอกค่ะ ถึงจะแค้นก็คงยังรักลูกของตนเองบ้าง แต่เรื่องมันมาจากการที่ปินส์ไม่เชื่อและไม่ยอมรับตัวเอง ถึงตอนนี้รู้สึกว่า ผิงฝังใจมาตลอดว่า ปินส์เลว ทิ้งได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง แต่อยากรู้ว่า ถ้ารู้ว่าปินส์ไม่ได้ตั้งใจจะทอดทิ้ง และปินส์ก็รักลูกรักผิง ผิงจะตัดสินใจอย่างไร เพราะหลายตอนที่อ่านแล้วรู้สึกว่า ผิงก็หวั่นไหวมากๆ และลึกๆก็หวังให้ปินส์อ่อนโยนบ้าง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 26-03-2016 22:07:54
มีผู้ชายที่ไหนบ้างล่ะที่ท้อง?  ขนาดคุณวุฒิที่เป็นหมอยังไม่เชื่อ  ถึงเรื่องนี้จะเป็น MPREG แต่ไม่เห็นบอกที่ไหนเลยว่าการที่ผู้ชายท้องได้เป็นเรื่องปกติ   เราถึงคิดว่าปิญญ์ไม่เชื่อที่ผิงท้องไม่ใช่ความผิดที่ใหญ่หลวงขนาดนั้น   พื้นฐานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่แน่นเพราะเจออคติจากพ่อของปิญญ์ที่โกหก   ปิญญ์เองก็แทบจะไม่เชื่อว่าพ่อตัวเองตอแหล   ตรงนี้เราไม่เหมาว่าปิญญ์ผิดมาก  ขนาดเอกสารที่ตัวเองสั่งให้หามาก็ยังไม่เปิดอ่านเลย  บอกได้มากๆถึงนิสัยของปิญญ์  ที่ไม่สามารถเรียงลำดับความสำคัญหรือจัดระเบียบชีวิตตัวเองได้   ไม่ผิดที่คนอ่านส่วนใหญ่จะเข้าข้างฝ่ายรับหรือนายเอกซึ่งก็เพราะอ่านจากมุมมองของนายเอกเสียมาก    เราว่าปิญญ์ผิดในส่วนอื่นๆ เช่นการดูถูก  การกระทำไม่ดีอื่นๆ เพราะตัดสินใจทำเอง ไม่ใคร่ครวญ  แต่ก็ไม่ใช่คนที่กู่ไม่กลับ     ผิงเองก็เริ่มตาสว่างแล้วแต่ในความรู้สึกของเราผิงยังเด็กมากๆโดยวัดจากการกระทำและความคิดอ่าน   อย่างที่บอกว่าผิงยอมแลกลูกๆกับการได้สัญชาติอังกฤษโดยแลกกับการเป็นหนูทดลองให้รัฐบาลอังกฤษนี่ก็บอกได้เลยว่าเอาส่วนไหนคิด? นี่คือการคิดอ่านของคนเป็นแม่?  ไม่เห็นด้วยค่ะ  ก็คงได้แต่คอยดูกันต่อไป

ในเรื่องการซื้อหุ้นคืน ถ้าเป็นเรานะ  เราไม่ซื้อคืนในราคาสามเท่าหรอก  เพราะที่บอกมาก็คือหุ้นของบริษัทนี้ตกต่ำจนกู้คืนขึ้นมาแทบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว   ปิญญ์ควรเก็บเงินรอสอยวันที่ตกต่ำจนผิงต้องขายมากกว่าหรือไม่ก็ตั้งบริษัทเอาใหม่   การรู้สึกผิดหรือการอยากทดแทนไม่ได้หมายความว่าควรยอมทุกอย่าง   การเอาเงินมาลงตรงนี้ทำให้เอาตัวเองไปอยุ่ในมุมจนตรอก   จะเอาอะไรมาสู้กับผิงในเรื่องลูกล่ะ?   ในเมื่อบริษัทนี้เป็นสิ่งที่ผิงต้องการทำลายก็น่าจะปล่อยให้ผิงทำลายไปเสีย จะได้หายกันแล้วมาเริ่มต้นใหม่  ผิงเองก็ไม่น่าจะเดินงานไหวต่อได้ น่าจะท้อง  น่าจะต้องแบ่งเวลาไปให้ลูกด้วย

มีคำผิดหลายคำนะคะ   เช่น รีไรท์   

เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเนื้อเรื่องและตัวละครแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-03-2016 00:52:32
ปิญญ์สู้ๆนะ ทำทุกอย่างให้ดีขึ้นนะ อีก สี่เดือนขนมผิงท้องป่องแน่ๆ ๕๕๕
  รอรออ่านตอนต่อไปคับ ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-03-2016 15:19:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 29 คนที่รัก + ปล้น ❖ 2ุ6-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 31-03-2016 16:02:17
28 กลลวง

                        “ปะป๊ามาถึงคนสุดท้าย ปะป๊าเป็นลูกหมู คิกๆๆ”เด็กวัยสี่ขวบหัวเราะคิกคักใส่ขนมผิงเพราะว่าเขาแกล้งแพ้ให้กับบรรดาลูกชายที่ชวนกันวิ่งแข่งเข้ามาในบ้านเพราะฝนข้างนอกเริ่มลงเม็ด

                        “ปะป๊าเป็นแม่หมู คิกๆ ปะป๊าแพ้”แฝดอ้วนคนน้องหัวเราะชอบใจปรบมือให้กับตัวเองที่ตัวเองเข้าเส้นชัยคนแรก

                        “โอเค งั้นตามสัญญาพรุ่งนี้ปะป๊าจะพาไปกินไอติมอีก ตกลงไหม”ขนมผิงยิ้มกับลูกชายบ้ายอ ต่างก็คิดว่าวิ่งแข่งชนะเขาได้

                        ฝนข้างนอกเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆโชคดีที่เขาไปรับลูกกลับมาจากโรงเรียนก่อนที่ฝนจกตก ขนมผิงส่ายหน้าเล็กๆถือกระเป๋านักเรียนสองใบเดินตามร่างจ้ำม่ำกิ่งวิ่งกึ่งกระโดดเพื่อจะไปทักทายคุณตาคุณยายหลังกลับจากโรงเรียนตามปกติ

                        “อย่าวิ่งครับเด็กๆ”

                        “ถ้าไม่วิ่งพรุ่งนี้จะกินไอติมได้เยอะรึเปล่าฮะ”ตัวแสบคนโตหันมาต่อรอง

                        “กินได้ครับ ถ้าปลากริมไม่กลัวอ้วนเป็นหมู”

                        “งั้นกิมไม่กินเยอะก็ได้ฮะ กิมจะหล่อๆเหมือนพ่อปิน”เจ้าตัวแสบยิ้มแก้มปริแต่ก็ต้องมุ่ยหน้าเมื่อขนมผิงขมวดคิ้วใส่

                        “หล่อเหมือนปะป๊าก็ได้”เจ้าตัวแสบอุบอิบเดินคอตกตามสลิ่มเข้าไปในห้องรับแขก

                        ขนมผิงถอนหายใจอีกครั้ง หลายครั้งแล้วที่เขาต้องคอยปรามลูกไม่ให้เรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ ต่อให้เขาถอยหลังออกมาจากความโกรธแค้นที่เกิดขึ้น ละทิ้งความเกลียดที่ฉุดดึงเอาความสุขของเขาไปจนเกือบหมด แต่ชื่อของปิญญ์ชานนท์ก็ยังคอยวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาอยู่ดี

                        ขนมผิงเดินตามเด็กๆเข้าไปในห้องรับแขก ทว่าโซฟาเบื้องหน้าในห้องรับแขกกลับมีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ก่อนแล้ว กระเป๋านักเรียนสองใบในมือร่วงหล่นลงพื้นทันทีด้วยความเหม่อลอย

                        “คุ คุณมาทำอะไรที่นี่”ดวงตาสีโศกเปี่ยมด้วยความสุขเมื่อครู่กลับฉายแววเกรี้ยวกราดแทบจะทันที

                        ปิญญ์ชานนท์!! ปิญญ์ชานนท์กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้าของเขา ในบ้านของเขาบนตักของอีกฝ่ายในตอนนี้กำลังมีเด็กๆปีนขึ้นไปนั่ง ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมนั่นทำให้เขาทั้งโกรธและอิจฉา

                        “กลับมาแล้วเหรอผิง”ลำดวนทักทายลูกชาย

                        “เขาเข้ามาอยู่ในบ้างของเราได้ไง”

                        “แม่กับพ่อออกไปทำธุระมา เห็นว่าเขารถเสียอยู่ในซอยบ้านเรา พอดีใกล้จะมืดแล้ว อีกอย่างฝนก็จะตก แม่ก็เลยให้เขามาหลบฝนข้างในบ้านเราก่อน”ลำดวนอธิบายหันไปหาสามีเพื่อให้สามีช่วยยืนยันคำพูดของเธอโดยการพยักหน้าตอบรับ

                        ขนมผิงหันกลับไปมองชายหนุ่มที่เขาสุดแสนจะเกลียดอีกครั้ง ดวงตาสีโศกวูบไหวกับรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมา รอยยิ้มที่ไม่ใช่การเย้ยหยัน แต่มันดูเป็นรอยยิ้มที่ก่อกวนอารมณ์เขาเสียมากกว่า

                        “ให้เขากลับแท็กซี่ก็ได้”

                        “คุณปิญญ์เขาต้องรอช่างมาซ่อมรถ แล้วฝนก็กำลังจะตก กว่าแท็กซี่จะผ่านเข้ามาในซอยฝนก็ตกพอดี”พิศนุช่วยอธิบาย

                        ทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าของปิญญ์ชานนท์มันไม่มีตรงไหนเลยสักนิดที่ขนมผิงจะคิดว่าอีกฝ่ายจะบังเอิญมารถเสียในซอยบ้านตนแบบนี้

                        “งั้นก็ให้ลุงแม้นไปส่งเขา”

                        “ลุงแม้นเขาขอพ่อกลับบ้านไปต่างจังหวัดเมื่อตอนบ่ายตอนนี้ไม่มีใครอยู่หรอก”

                        “งั้นก็ให้เขายืมรถของเราไปก่อนสิ เอารถผิงไปก็ได้ ทำยังไงก็ได้ให้…”

                        “ผิง!!มานั่งข้างแม่”ลำดวนตัดบนลูกชายเมื่อรู้สึกว่าลูกชายของเธอกำลังเริ่มจะเสียมารยาทกับแขกมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะรู้เต็มอกว่าลูกชายของตัวเองเกลียดอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

                        “งั้นผิงขอตัว”

                        “ผิง แม่บอกให้มานั่งข้างแม่”

                        สุดท้ายขนมผิงก็ต้องทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมารดา ไม่วายเรียกให้เด็กๆออกห่างจากปิญญ์ชานนท์แล้วมานั่งกับตนแทน

                        “คุณชอบกินแกงเทโพกับต้มจับฉ่ายไหมคะคุณปิญญ์ วันนี้มื้อเย็นเรามีแกงเทโพกับต้มจับฉ่าย ถ้าไม่รังเกียจก็ร่วมมื้อเย็นกับเราเลยนะคะ”ลำดวนชวนคุย

                        “แม่!”ขนมผิงปรามขึ้นมาแทบจะทันทีแต่กลับถูกลำดวนหยิกเข้าให้ที่บั้นเอวจนสะดุ้งเล็กๆ

                         แค่อีกฝ่ายนั่งยิ้มสบายอารมณ์อยู่ในบ้านของเขามันก็พอแรงอยู่แล้ว แม่เขายังจะชวนกินมื้อเย็นร่วมโต๊ะกันอีก

                        รอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้นั่นไม่ได้บอกเลยสักนิดว่ากำลังรู้สึกผิดหรืออะไรเลย อีกทั้งยังยิ้มตอบพ่อกับแม่ของตนราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อนในอดีตแค่มอก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา

                        “ชอบครับ ผมชอบกินกับข้าวที่ใส่กะทิกับเครื่องแกง มันอร่อยดี”ปิญญ์ชานนท์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่วายปรายตามองดูท่าทางไม่พออกพอใจของขนมผิง

                        “นึกว่าคุณจะชอบกินเนื้อซะอีก อันที่จริงผมอยากจะกินพวกเนื้อมากกว่า แต่ไม่รู้ตาผิงเป็นอะไรถึงได้คอยแต่เหม็นเวลามีเนื้ออยู่ในกับข้าว”

                        “น่าแปลกนะครับ พักนี้ผมเองก็เป็นเหมือนกัน ตอนนี้แม้บ้านเลิกทำกับข้าวที่มีเนื้อไปได้พักใหญ่แล้วล่ะครับ”

                        “จริงเหรอคะ บังเอิญจังเลยนะคะเนี่ยที่ตาผิงก็เป็น”ลำดวนยิ้มคอยดึงลูกชายเอาไว้ไม่ให้ลุกหนี

                        เธอทราบดีว่าลูกชายของเธอแค้นเคืองปิญญ์ชานนท์มากแค่ไหน แต่ในเมื่อทุกอย่างจะจบลงเธอก็ต้องการให้มันจบจริงๆอย่างที่เธอต้องการ เธออยากจะให้ลูกชายเลิกอคติกับอีกฝ่ายเสียที

                        ถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางที่ปิญญ์ชานนท์จะมารถเสียในซอยบ้านของเธอหากไม่จงใจ และไม่มีทางที่ขนมผิงจะคุยดีและโยนทิฐิทิ้งไปง่ายๆ หากแต่ปิญญ์ชานนท์ที่ยอมแสร้งทำเรื่องน่าอายแบบนี้เธอจึงทนไม่ได้จริงๆที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

                        และต่อให้ปิญญ์ชานนท์เดินตามลูกชายของเธอมากแค่ไหน ลูกชายของเธอก็เดินหนีไปมากกว่านั้น คนอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ดีว่าอะไรคืออะไร ระหว่างลูกชายและผู้ชายคนนี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้อาจจะยังไม่แน่ใจและได้แต่คอยดูอยู่ห่างๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่ยื่นมือเข้าไปแก้ไขเรื่องที่มันอาจจะผิดพลาดในอนาคต

                        “พ่อปินจะกินข้าวกะพวกเราเหรอฮะ”ปลากริมถามเสียงใสหลังจากที่ผู้ใหญ่สนทนากันมาพักใหญ่ปล่อยให้เด็กๆวิ่งเล่นไปรอบๆ

                        “ปลากริม!!”ขนมผิงไม่ชอบให้ลูกชายเรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

                        “ก็ไม่เห็นจะเสียหายนี่ถ้าเด็กๆอยากจะเรียกฉันแบบนั้น”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ มุมปากยกสูงจงใจยั่วอารมณ์

                        “เด็กๆดูสนิทกับคุณดีนะคะ”ลำดวนยิ้ม ไม่ใช่แค่สนิทกันธรรมดา แต่สนิทกันมากจนผิดสังเกต อีกทั้งยังเรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ

                        “ครับ ผมก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น”ชายหนุ่มตอบดึงให้เจ้าตัวกลมที่กำลังปีนขึ้นตักให้มานั่งบนตักแล้วหยอกล้อด้วยท่าทางที่อ่อนโยนต่างจากปิญญ์ชานนท์ในภาพลักษณ์ที่คนอื่นๆคุ้นเคย

                        ลำดวนหรี่ตามองลูกชาย ถึงดวงตาคู่นั้นของขนมผิงจะดูแข็งกร้าวแต่มันก็กำลังไหววูบอยู่ข้างใน เธอหันไปมองที่ชายหนุ่มอีกคนที่เธอรู้จักมาตลอดเวลาที่เธอทำงานอยู่ด้วย เธอรู้ดีว่าปิญญ์ชานนท์ไม่ใช่คนอ่อนโยน และไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ

                        “นี่ก็ได้เวลามื้อเย็นแล้ว ผมว่าเราไปกินข้าวกันดีกว่านะ ไปเด็กๆ พอมีคนอื่นไม่สนใจตากันบ้างเลยนะ สงสัยคงจะลืมตากันแล้ว”พิศนุโอดครวญเรียกร้องความสนใจ ชายสูงวัยจ้องมองลูกชายอดีตคู่แข่งการค้าเรียกคะแนนความนิยมจากเด็กได้เกินกว่าที่ควรจะเป็นไปมาก มากจนน่าสงสัย

                       

                        “ต้มจับฉ่ายอร่อยไหมคะ”

                        “อร่อยมากครับ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้าหลังจากตักต้มจับฉ่ายเข้าปาก ดวงตาคมกริบเหลือบมองร่างสูงโปร่งนั่งตรงข้าม ขนมผิงยังคงดูไม่พอใจและไม่สบอารมณ์เขาสักเท่าไร แต่นั่นเขาก็คิดไว้แล้วว่ามันจะต้องออกมาในรูปแบบนี้

                        “นั่นขนมผิงเป็นคนทำเอง เห็นลุกขึ้นมาทำตั้งแต่เช้า”พิศนุเสริมให้

                        “ลูกชายบ้านนี้ทำกับข้าวอร่อยดีนะครับ โชคดีที่ผมมีโอกาสได้ชิมฝีมือของเขาอีก”ชายหนุ่มยิ้ม แต่คำว่าอีกทำให้ขนมผิงคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที

                        “รีบกินแล้วก็รีบกลับไปได้แล้ว”

                        “ฝนยังตกอยู่”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ไม่ใส่ใจยิ่งทำให้ขนมผิงหงุดหงิดมากกว่าเก่า อารมณ์แปรปรวนที่ช่วงมีมีมากก็ยิ่งมากเข้าไปอีกเมื่อมันกำลังถูกกวน

                        “ก็แค่เปียก หรือว่าคุณโดนน้ำไม่ได้ล่ะ”พูดตอบกลับทั้งที่ไม่มองหน้า พลางตักอาหารเข้าปาก

                        เขาพยายามไม่สนใจรอยยิ้มนั่น พยายามไม่มองดวงตาคู่นั้น จะไม่ใส่ใจกับความรู้สึกวูบไหวที่เกิดขึ้นมาโดยที่ใจของตัวเองนั้นไม่ยินยอม

                        “ของหวานมีบัวลอย ยังไหวอยู่ไหมคะ”ลำดวนขัดบทสนทนา ที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ลูกชายก็ยังคงเป็นฝ่ายบึ้งตึงใส่ก่อนอยู่ดี

                        น่าแปลกที่อารมณ์ของคนหยิ่งทระนงตนอย่างปิญญ์ชานนท์ยังคงคงตัว มิหนำซ้ำถ้าหากว่าเธอไม่เข้าใจผิดล่ะก็ ปิญญ์ชานนท์ตรงหน้ายังดูมีอารมณ์ขันมากกว่าคนก่อนเสียอีก มากกว่าตอนแรกที่ลูกชายของเธอยังไม่กลับมาด้วยซ้ำ

                        “ไหวครับ ของโปรดผมเลยล่ะ”

                        “โกหก คนอย่างคุณน่ะเหรอจะมาชอบของหวาน”

                        “ทำไมล่ะ ดูเหมือนนายจะรู้จักฉันมากกว่าที่ฉันคิดนะ”ปิญญ์ชานนท์ก็ยังคงส่งยิ้มยียวน

                        และมันก็ทำให้ขนมผิงกัดฟันเมื่อประโยคนั้นย้อนคืนตน มันทำให้เขาเหมือนกับคนที่ใส่ใจรายละเอียดของอีกฝ่าย รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากกว่าที่ควรจะเป็นในฐานะคนที่เขาควรจะโกรธแค้น และแล้วขนมผิงเลือกที่จะเงียบแล้วตักบัวลอยสีสวยถ้วยที่สองเข้าปาก

                        “ดูเหมือนนายจะหิว”

                        “เรื่องของผม”

                        “ปะป๊า กินบัวลอยอ๊าม”เจ้าตัวแสบคนพี่สะกิด

                        “หลิ่มมั่ง หลิ่มก็กินด้วย อ๊าม”สลิ่มสะกิดบ้าง

                        ทว่าคนๆเดียวมัวแต่ป้อนให้เด็กๆก็พาลจะไม่ได้กิน ปิญญ์ชานนท์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย จ้องมองแม่ป้อนขนมให้ลูกแฝดจนตัวเองอดกินอย่างสนใจ

                        “มานี่สิ เดี๋ยวฉันช่วยป้อน”ปิญญ์ชานนท์เรียกสองแฝด

                        “ได้เหรอฮะ”สลิ่มหันขวับยิ้มแก้มปริทั้งที่ก้อนบัวลอยยังเคี้ยวตุ้ยอยู่ในปาก

                        “ได้สิ”

                        “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง นี่มันลูกของผม”ในที่สุดขนมผิงก็หลุดคำพูดนี้ออกมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นมันน่าจะเรียกให้ปิญญ์ชานนท์ไม่พอใจ แต่ปิญญ์ชานนท์ยังคงยิ้ม

                        “ไม่ใช่ลูกของนายคนเดียว”

                        ประโยคกำกวมจากปากชายหนุ่มทำให้ผู้ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราทั้งสองนั่งเงียบจ้องมองปฏิกิริยาเหมือนจะเป็นสงครามทางวาจาแต่ก็เหมือนจะไม่ใช่  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบทสนทนามันกลับมีอะไรเคลือบแคลง

                        ขนมผิงจึงต้องนิ่งเฉยจำยอมไม่อยากแสดงออกถึงอารมณ์ของตัวเองมากกว่านี้เพราะว่าถูกพ่อแม่คอยจับตามองอยู่ไม่ไกล ไม่รู้ว่าปิญญ์ชานนท์จะมาไม้ไหนกันแน่ แต่ความลับที่ปิดเอาไว้มันยังคงค้ำคอเหม็นชักติดหลังบังคับไม่ให้ขยับไปไหนได้ง่ายๆ

                        -8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-

 

                        “คิดว่าพายุน่าจะเข้านะคะ คุณคงไม่ได้กลับบ้านง่ายๆ เดี๋ยวดิฉันจะให้ตาผิงพาไปที่ห้องรับรองแขกชั้นบนนะคะ”

                        “ทำไม่แม่ไม่พาไปเองล่ะ”

                        “เดี๋ยวแม่จะเอาเด็กๆไปอาบน้ำนอน”

                        “ผิงทำเอง”

                        “อย่ามาดื้อกับแม่ โตๆกันแล้วนะผิง”ลำดวนเอ็ดลูกชาย

                        “ก็ได้”ขนมผิงจำยอม พูดจบก็เดินหนีไม่รอคนเดินตาม

                        “ขอบคุณครับ”ปิญญ์ชานนท์หันกลับมาบอกกับลำดวนก่อนจะเดินตามเจ้าตัวไป

                        ลำดวนส่ายหน้ากับคำขอบคุณ เพราะน้อยครั้งจนแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าคำๆนี้หลุดออกมาจากปากชายหนุ่มครั้งสุดท้ายตอนไหน

                       

                        “นี่ห้อง”เปิดประตูห้องรับรองแขกออกอย่างไม่เต็มใจ จงใจเดินหนีทันทีเมื่อส่งแขกเสร็จ คิดว่าจะไปส่งเด็กๆเข้านอนต่อ

                        ทว่าแขนกลับถูกคว้าเอาไว้แล้วดึงเข้าไปหา ขนมผิงเบิกตากว้าง เกือบจะตั้งหลักไม่ทันแล้วถลาเข้าใส่อีกฝ่าย

                        “ทำบ้าอะไร”ขนมผิงผลักอกอีกฝ่าย

                        “ฉันแค่จะถามว่าห้องของนายอยู่ไหน”

                        “เรื่องของผม”

                        “เลิกพูดว่านั่นเป็นเรื่องของนายสักที นายน่าจะลองเปลี่ยนมาเป็นคำว่าเราดู”

                        “คุณต้องการอะไรกันแน่!!”

                        เขากำลังคิดว่าที่ปิญญ์ชานนท์ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้เพราะต้องการจะก่อกวน หรือไม่ก็อาจจะกำลังมาเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้ทุกคนรู้ ซึ่งนั่นเขายอมไม่ได้เด็ดขาด

                        “ฉันไม่ต้องการให้ทั้งหมดเป็นเรื่องของนายหรือเรื่องของฉัน แต่ฉันต้องการให้ทั้งหมดเป็นเรื่องของเรา”

                        “ถ้าจะมาเพื่อพูดไร้สาระคุณก็กลับไปเถอะ”

                        ขนมผิงเดินหนี ไม่ใส่ใจคำพูดไล่หลัง ไม่ใส่ใจคำพูดต่อๆมาที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังหวั่นไหวไปกับมัน เขาไม่รู้ว่าปิญญ์ชานนท์กำลังต้องการอะไร รู้แค่ไม่อยากจะฟังในตอนนี้ มันเหมือนกับแพงที่สร้างเอาไว้คั่นตรงกลางระหว่างเขากับอีกฝ่ายกำลังจะแตกร้าว

                        ขนมผิงปิดประตูห้องของตัวเองลงกั้นระหว่าเขากับปิญญ์ชานนท์เอาไว้ ไม่วายมองเห็นสายตาของคนตรงหน้า สายตาที่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังเป็นก้อนหินที่แข็งแกร่งกำลังถูกน้ำหยดลงมาทีละหยดโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไร

 

                        --------------------------------------------------------------------------------

                        เสียงเคาะประตูทำให้ปิญญ์ชานนท์ชะงักละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือลุกไปเปิดประตู หวังว่าจะเป็นขนมผิงแต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่

                        “เอาน้ำขิงมาให้น่ะค่ะ คืนนี้อากาศน่าจะหนาว”ลำดวนชูถาดให้เห็น

                        “ขอบคุณครับ”

                        ปิญญ์ชานนท์เบี่ยงตัวให้ลำดวนเข้ามาก่อนจะรับเอาถาดน้ำขิงกับจานมะม่วงน้ำน้ำปลาหวานและเสื้อผ้าเอาไว้ แต่ทันทีที่ได้กลิ่นควันจากน้ำขิงกรุ่นจมูก ชายหนุ่มก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อยพลางยกมือกุมจมูกตนเอง

                        “เหม็นเหรอคะ”

                        “ครับ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้าเรียกให้ลำดวนรีบยกแก้วเซรามิคบรรจุน้ำขิงไปตั้งเอาไว้อีกทาง

                        “น่าแปลกนะคะ เมื่อกี้ยกไปให้ตาผิง รายนั้นเองก็เหม็นอย่างกับอะไรดี”

                        “เขาก็ไม่ชอบเหรอครับ”

                        “แต่ก่อนก็ชอบนะคำ แต่พักนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงได้เหม็นนั่นเหม็นนี่อีกแล้ว”

                        “ผมเองก็เป็นเหมือนกัน”ปิญญ์ชานนท์รับคำจ้องมองมะม่วงในจานพลันน้ำลายในปากก็เริ่มผลิตออกมามากจนเกือบจะไหลออกมา

                        “นี่มะม่วงน้ำปลาหวานค่ะ พักนี้ผิงเขาชอบกิน ไม่แน่ใจว่าคุณชอบรึเปล่าเลยเอามาให้ด้วยเผื่อดึกๆจะหิว”

                        “ครับ ช่วงนี้ผมอยากกินอะไรเปรี้ยวๆพอดี”

                        “ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันไปนอนก่อนนะคะ ส่วนนั้นชุดนอนตาผิงคิดว่าคุณน่าจะใส่ได้”

                        “ขอบคุณมากครับ”ปิญญ์ชานนท์เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง

                        คนบ้านนี้ทุกคนดีกับเขาต่างจากที่เขาคาดเอาไว้ ทุกคนต้อนรับและไม่มีอะไรเคลือบแคลงกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้เลยสักนิด ถึงแม้ว่าขนมผิงยังคงเป็นขนมผิงที่ยังคงโกรธเคืองเขาอยู่

                        “คุณลำดวนครับ”ปิญญ์ชานนท์เรียกเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไป

                        “มีอะไรเหรอคะคะ”

                        “ผม…ขอโทษ”พูดออกไปเพราะรู้สึกว่าอยากจะพูด

                        “สิ่งไม่ดีที่ถูกทับถมลงไปแล้วก็อย่าขุดคุ้ยมันขึ้นมาให้เละเทะเลยค่ะ ปล่อยให้มันสลายไปเป็นปุ๋ย ให้ต้นไม้ได้ออกดอกออกผลดีกว่า”

                        ลำดวนยิ้มปิดประตูลงทิ้งให้ชายหนุ่มจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกครั้ง

 

                        ---------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ


 
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 30 แพ้ท้อง ❖ 31-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 31-03-2016 16:19:11
ปิญญ์น้ำยาดีจริง ผิงก็แม่วัวพันธ์ดี ลูกดกจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 30 แพ้ท้อง ❖ 31-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 31-03-2016 17:33:29
ท้องอีกแล้วๆๆๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 30 แพ้ท้อง ❖ 31-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 31-03-2016 19:07:16
แพ้ท้องกันแบบแพคคู่เลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 30 แพ้ท้อง ❖ 31-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-03-2016 22:45:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 30 แพ้ท้อง ❖ 31-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 31-03-2016 23:10:14
ว้าวๆท้องแล้ว ลุ้นคับลุ้น
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 30 แพ้ท้อง ❖ 31-03-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 02-04-2016 00:10:03
ผิงท้องครั้งนี้ คิดว่า อารมณ์คนท้องที่ต้องการคนที่เป็นพ่อของลูกใส่ใจดูแลจะเป็นกาวใจชั้นดีที่ทำให้ทั้งคู่คืนดีกันได้นะคะ   คิดว่าครอบครัวจะได้มีทั้งพ่อแม่ลูกสักที ตอนนี้เหมือนทั้งคู่จะลดทิฐิลงไปได้มาก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 แพ้ท้อง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-04-2016 03:43:27
ต่อ


                        ขนมผิงละมือจากขวดโหลใส่ขนมลุกไปเปิดประตูเพราะได้ยินเสียงเคาะ คิดว่าเป็นมารดาของตน ทว่ามือก็ต้องชะงักดันประตูปิดลงทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ไม่อยากจะเจอ

                        “เดี๋ยวสิ!”

                        ปิญญ์ชานนท์เอามือกั้นประตูเอาไว้ก่อนที่มันจะปิด ชายหนุ่มยิ้มกริ่มกับชุดนอนลายหมีพูของอีกฝ่ายด้วยท่าทางขบขัน

                        “คุณมีธุระอะไร”ขนมผิงถามเสียงแข็งรู้สึกอับอายกับชุดนอนพ่อลูกที่ตั้งซื้อเอามาใส่เพื่อเอาใจเด็กๆเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะทำให้ตนอับอายได้แบบนี้

                        “ฉันไม่รู้ว่านายจะชอบแบบนี้”ปิญญ์ชานนท์กระเซ้า

                        “แล้วคุณเป็นคนประเภทไหนกัน ถึงถอดเสื้อเดินในบ้านคนอื่นแบบนี้”ขนมผิงตอกกลับจ้องมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างขุ่นเคืองใจ ถึงท่อนล้างจะสวมใส่กางเกงนอนของเขาแต่ท่อนบนกลับเปลือยเปล่าอวดแผงอกล่ำสีเข้มไล่ไปถึงหน้าท้องแบนราบมีมัดกล้ามปกคลุมดูอนาจาร

                        “ฉันไม่ได้ถอด ฉันแค่ใส่มันไม่ได้”ปิญญ์ชานนท์ยกเสื้อนอนที่ลำดวนเอามาให้ขึ้นอวด

                        “นอกจากจะเดือดร้อนชาวบ้านคุณยังจะหน้าด้านอีก”ขนมผิงปล่อยให้ประตูเปิดออกแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อที่จะไล่อีกฝ่ายออกไปโดยเร็วที่สุด

                        ทว่าไม่ทันไรหลังจากได้ยินเสียงประตูห้องปิดลงร่างก็ถูกดึงให้ล้มลงไปบนเตียงโดยมีร่างของอีกฝ่ายรองรับ

                        จมูกโด่งเฉียดเข้ามาที่พวกแก้มอีกแค่นิดเดียวที่ริมฝีปากหยักนั้นจะแตะลงมา ขนมผิงเกร็งตัวไปชั่วขณะแขนทั้งสองข้างถูกกอดรวบให้แนบลำตัวทำให้ไม่สามารถขัดขืนอีกฝ่ายได้ รอยยิ้มกวนอารมณ์ของปิญญ์ชานนท์ยังคงลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ขนมผิงกัดฟันแน่น

                        “คิดจะทำอะไร”

                        “ไม่รู้สิ บางทีฉันอาจจะคิดถึงเวลาที่นอนกอดนายก็ได้”

                        “ไร้สาระ ถ้าคุณไม่ปล่อยผมจะร้องเรียกคนอื่น”

                        “ก็เอาสิ ฉันอยากให้พ่อแม่นายรู้จะแย่ว่าฉันเป็นพ่อของเด็กๆ”ปิญญ์ชานนท์ขู่ หากแต่เขาจะไม่ทำ เขาไม่อยากบังคับขนมผิงไปมากกว่านี้ หากขนมผิงยังไม่พร้อม

                        “หน้าด้าน”

                        “ฉันยอมรับ”

                        “ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาต่อว่าคุณดี คุณจะเอาอะไรอีกในเมื่อผมคืนทุกอย่างให้คุณแล้ว”

                        “ไม่ นายไม่ได้คืนทุกอย่าง สิ่งที่นายปล่อยมันจากมือมันไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะทุกอย่างของฉันมันรวมถึงนายและลูกของเรา”

                        “คุณพูดไม่รู้เรื่อง”ขนมผิงเบือนหน้าหนีหลบสันจมูกที่เฉียดลงมาอีกรอบจนมันแตะเข้าที่พวกแก้ม

                        “ฉันพูดไม่รู้เรื่องหรือว่านายไม่คิดจะฟังที่ฉันพูดกันแน่”

                        พูดจบริมฝีปากหยักก็กดจูบลงปิดปากที่กำลังจะเปิดเถียง ขนมผิงขมวดคิ้วมุ่นให้กับลิ้นที่ร้อนสอดเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว มันเกี่ยวกระหวัดดุนดันลิ้นของเขา แต่มันไม่ได้หยาบคายอย่างที่คุ้นเคย แค่มันรู้สึกอ่อนหวานจนทำให้เกือบจะเผลอคล้อยตาม

                        นานนับหลายนาทีกว่าจูบที่ร้อนราวเทียนไขถูกเพลิงลน ขนมผิงหอบหายใจ นานแล้วที่ไม่ได้ถูกจูบ นานแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิด นานจนลืมว่าเคยรู้สึกอย่างไร เพราะว่าตอนนี้ความรู้สึกที่ส่งผ่านมาทางอ้อมกอดมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

                        “นอนเถอะ”ปิญญ์ชานนท์กระซิบก่อนจะกดจูบลงบนขมับของขนมผิง

                        ทั้งที่ไม่น่าจะหลับลงในอ้อมกอดนี้ แต่มันราวกับเป็นเรื่องคุ้นชินเป็นอย่างดี ดึงให้ขนมผิงจมลงสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย เหลือเพียงแต่ปิญญ์ชานนท์ที่ยังคงลืมตาอยู่ในความมืด

                        มือใหญ่อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายหลับใหลสอดเข้าไปในเสื้อ ลูบเอาผิวเนื้อแผลเป็นลอยนูนออกมาอย่างแผ่วเบา

                        อยากจะไถ่ถามว่าเจ็บไหมกับการที่ต้องอุ้มชีวิตที่ไม่ได้เต็มใจให้เกิดมา หากแต่มันคงจะเป็นการดูถูกและตอกย้ำความรู้สึกซึ่งกันและกันในเมื่อตอนนี้เขาและขนมผิงต่างฝ่ายต่างก็ยินดีที่มีชีวิตเล็กๆเกิดมาถึงสองชีวิต

 

                        -----------------------------------------------------------------------------------------

 

                        ขนมผิงลืมตาขึ้นมาอีกทีในเวลารุ่งสางเหมือนกับทุกวัน หากแต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนกับทุกวันเมื่อดวงตาสบเข้ากับแผงอกแข็งแรงในระยะประชิดจนแทบจะทิ่มกับจมูก พอนึกได้ก็ผละกายออก ทว่าแขนที่โอบรัดบั้นเอวเอาไว้ดึงรั้งให้เขาผละออกไปจากชายหนุ่มไม่ได้

                        “ปล่อย”

                        บอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเบือนหน้าหนีเมื่อใบหน้านั้นโน้มลงมาใกล้

                        “ตื่นแล้วเหรอ หน้านายตอนหลับนี่น่าดูกว่าที่คิด หรือว่าแต่ก่อนฉันไม่ทันได้สังเกตกันนะ”นี่คือคำพูดยามเช้าที่ค่อนข้างจะกวนอารมณ์ให้ขนมผิงไม่พอใจเพราะมันบ่งบอกว่าปิญญ์ชานนท์ตื่นก่อนเขาและจ้องเขาอยู่นานแล้ว

                        “กลับบ้านคุณไปสักที อย่ามาแย่งคนอื่นเขาหายใจอยู่อย่างนี้มันน่ารำคาญ”

                        “ฉันไม่เห็นจะรำคาญ”โอบรัดเอวนั้นแน่นขึ้นทำให้ร่างสูงโปร่งแนบชิดกับตน แก่นกายแข็งขืนรับอรุณตามธรรมชาติเสียดสีกันไปมาเรียกให้ขนมผิงหน้าชาเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ

                        แล้วในที่สุดขนมผิงก็ตัดสินใจดันอกชายหนุ่มออกสุดแรงยกเข่าขึ้นมากระแทกไปที่ส่วนนั้นของปิญญ์ชานนท์ ถึงไม่แรงมาก แต่มันก็พอที่จะสั่งสอนแล้วทำให้ชายหนุ่มปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนเสียที

                        “หวังว่าผมออกมาจากห้องน้ำแล้วจะไม่เจอคุณ”ปลายตามองอีกฝ่ายด้วยความพึงพอใจกับท่าทีคุดคู้เหมือนจะเจ็บจุกแบบนั้น ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

                        “ขนมผิง นายกล้าทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”

                        เสียงกัดฟันดังไล่หลัง ทว่าขนมผิงกลับเลือกที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจ ความอบอุ่นที่เขารู้สึกได้เวลาที่ถูกอีกฝ่ายกอดนั้นคืออะไรกันแน่

 

                        ทางด้านชายหนุ่มร่างสูงได้แต่นอนคู่กายกุมของรักเอาไว้ ไม่เจ็บมากแต่ก็จุกเลยทีเดียวสำหรับเขา ทำไมแม่ของลูกถึงได้ร้ายนักทำให้เขาได้เจ็บใจอยู่ตลอด

                        “พ่อปินเป็นอะไรเหรอฮะ”เสียงใสร้องทักวิ่งเข้ามาในห้อง     

                        “พ่อปินทำไมอยู่ห้องปะป๊าล่ะฮะ”

                        “ตื่นกันแล้วเหรอ”ปิญญ์ชานนท์อ้าแขนรับเจ้าสองแฝดที่ปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วโถมเข้าใส่

                        ดูเหมือนว่าเด็กๆจะโตกันเร็วเกินไปทำให้เขาเกือบจะหงายหลังลงไปเพราะน้ำหนักของลูกหมูสองตัวที่โถมลงมา

                        “เมื่อคืนนอนที่นี่เหรอคะ”ลำดวนผงะเล็กน้อยเมื่อเปิดประตูห้องลูกชายแล้วพบชายหนุ่มในสภาพกึ่งเปลือยบนเตียงลูกชาย

                        “ครับ พอดีผมไม่ค่อยคุ้นสถานที่”ตอบกลับไปโดยไม่ลังเล

                        “งั้นฝากเด็กๆสักครู่นะคะ ตั้งหม้อข้าวต้มเอาไว้กลัวจะเดือดจนล้นเอา”

                        “ได้ครับไม่มีปัญหา ใช่ไหมลูกหมู”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มรับเอามือผลัดกันยีหัวเจ้าเด็กแฝดไปมาหยอกล้อด้วยความเอ็นดู

                        “ฮะ/ฮะ”

                        “ขอบคุณมากค่ะ”ลำดวนยิ้มให้ เธอรู้สึกพอใจแปลกๆที่เห็นเด็กๆเข้ากับปิญญ์ชานนท์ได้ดี มันเหมือนมีอะไรที่มองไม่เห็น แต่ก็จะฟันธงอะไรในเวลานี้ไม่ได้

                        “พ่อปินฮะ”ปลากริมกระตุกแขน

                        “ว่าไง”

                        “พ่อปินพาพวกเราไปเที่ยวหน่อยได้ไหมฮะ”

                        “ได้สิแล้วอยากไปไหนกันล่ะ”

                        “กิมอยากไปเล่นม้าหมุนฮะ”ใบหน้ากลมแป้นฉีกยิ้มกว้างปีนขึ้นมานั่งบนตัก

                        “ได้สิฉันจะพาไป”

                        “แล้วกินไอติมได้ไหมฮะ”คราวนี้เจ้าแฝดคนน้องปีนขึ้นมานั่งบนตักอีกฝั่งเงยหน้าขาวแก้มป่องจ้องมองด้วยความสงสัย

                        “ได้สิ”

                        “แต่ปะป๊าบอกว่าถ้ากินไอติมเยอะจะกลายเป็นลูกหมู”สลิ่มเอียงคอทำแก้มป่อง

                        “งั้นเหรอ แต่มันก็จริง ถ้าพวกเธอกินเยอะก็จะอ้วนเป็นลูกหมูแล้วปะป๊าของพวกเธอก็จะกลายเป็นแม่หมู”

                        ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มจงใจปรายตามองร่างสูงโปร่งในชุดคลุมอาบน้ำส่งยิ้มเล็กๆไปให้อีกฝ่ายอย่างจงใจ

                        “หน้าด้านจริง”ขนมผิงอุบอิบขมวดคิ้วจนคิ้วแทบจะชนกัน

                        ปิญญ์ชานนท์คงยังอยู่ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องสักทีมิหนำซ้ำยังมาตีสนิทกับลูกๆอีก

                        “ปะป๊า พ่อปินบอกจะพากิมกะน้องหลิ่มไปเล่นม้าหมุน”ลูกก็พอลูกบอกแล้วไม่เคยฟังว่าห้ามเรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ

                        “เดี๋ยวปะป๊าพาไปเอง เขาต้องไปทำงาน ใช่ไหม งานคุณน่าจะเยอะจนล้นมือนี่”

                        “ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ สำหรับครอบครัวแล้วเวลาของฉันมีเหลือเฟือ”

                        คำว่าครอบครัวทำให้หัวใจของขนมผิงกระตุกวูบเหมือนร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกรอบ เขาไม่ได้คิดไปเองว่าปิญญ์ชานนท์จงใจใช้คำนี้

                        “นะฮะปะป๊า ไปเล่นม้าหมุน”

                        “ปะป๊า ไปนะฮะไปเล่นม้าหมุนกัน”

                        เจ้าสองแฝดส่งสายตาอ้อนวอนกันสุดฤทธิ์ ดวงตากลมโตกระพริบตาปริบๆจ้องมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง

                        “ก็ได้ แต่”

                        “จะแต่อะไรของนายอีกรีบแต่งตัวได้แล้ว แล้วก็หาเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้ฉันด้วยล่ะ ฉันจะอาบน้ำแล้ว”ยิ่งกวนอารมณ์ยามเช้าของขนมผิงให้ได้ขุ่นเข้าไปใหญ่ด้วยคำสั่งที่เอาแต่ใจเหมือนเคย

                        “เย้ ไปเล่นม้าหมุน ม้าหมุน กั๊บกั๊บ”

                        “ได้เล่นม้าหมุนแล้ว เย้ ไปกับปะป๊าไปกับพ่อปิน”

                        สองแฝดพากันกระโดดดีใจในขณะที่พ่อและแม่ต่างก็มองตากัน คนหนึ่งไม่พอใจแต่หัวใจกำลังวูบไหวแต่อีกคนกลับกำลังพึงพอใจรู้สึกถึงความสุขที่ไม่เคยมี

                       

                        -------------------------------------------------------------------------------------

                       

                        “ปะป๊า อันนั้นอะไรเหรอฮะ น่าอร่อยจังเลย”เสียงใสใสของคนพี่ถามพลางชี้ไปที่ร้านขายขนมสายไหมสีหวานดูฟูนุ่ม

                        สองแสบมองตามพากันน้ำลายสอกับเจ้าน้ำตาลฟูเสียบไม้น่ากิน

                        “อันนั้นเรียกว่าสายไหมครับ แต่กินแล้วจะฟันผุ”ขนมผิงบอกลูกชาย

                        “ถ้าไม่อยากให้ฟันผุก็แค่แปลงฟัน”ปิญญ์ชานนท์แย้งเหยียดยิ้มเล็กน้อยจ้องมองมาทางเขา

                        “ถ้าคุณไม่ยุ่งสักเรื่องจะเป็นอะไรไหมครับ”

                        “ก็ให้ลูกลองกินไม่เห็นจะเป็นอะไร”

                        “มันเป็นขนมไม่มีประโยชน์”คุณแม่ขมวดคิ้วเผชิญหน้ากับคุณพ่อ

                        เกิดศึกเล็กๆโดยที่เดิมพันเป็นขนมสายไหมสีสวยที่พาให้เจ้าสองแฝดน้ำลายสอ ขนมผิงจ้องตาปิญญ์ชานนท์เขม็ง แค่ทำท่าเหมือนมากันเป็นครอบครัวมันก็พอแรงอยู่แล้ว

                        “กินนิดกินหน่อยจะเป็นอะไรไป”

                        “คุณอย่าสอนให้เด็กๆได้อะไรง่ายๆได้ไหม”

                        “ได้ง่ายๆมันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยไม่ใช่รึไง”ชายหนุ่มตอบ

                       

                        ปลากริมจับมือของขนมผิงเอาไว้เงยหน้ามองปะป๊าของตัวเอง สลิ่มเองก็เช่นกัน จับมือปิญญ์ชานนท์เอาไว้แล้วมองหน้าชายหนุ่ม นานนับหลายนาทีกว่าศึกที่รู้อยู่แล้วว่าใครจะชนะจะจบลง

                        สองแฝดยิ้มแก้มปริกัดขนมสายไหมหวานล้ำเข้าปากเคี้ยวตุ้ยท่าทางเอร็ดอร่อยอยู่ตรงม้านั่ง เบื้องหน้ามีปิญญ์ชานนท์กับขนมผิงยืนกอดอกเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

                        “ถ้าลูกผมฟันผุล่ะก็เป็นเพราะคุณ”

                        “ลูกของเรา”ปิญญ์ชานนท์แก้ “แล้วก็สายไหมไม้เดียวแบ่งกันกินแค่นี้ไม่ได้ทำให้ฟันผุง่ายขนาดนั้นหรอกนะ นายกลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”

                        “เป็นห่วงไม่ได้หมายความว่ากลัว”

                        “มันจะต่างกันสักเท่าไรเชียวหากว่านายห่วงมากเกินไป จริงไหม เช็ดปากหน่อยสิ”ชายหนุ่มย่อตัวลงเช็ดคราบน้ำตาลละลายติดมุมปากเจ้าสองแฝด

                        ขนมผิงถอนหายใจอีกรอบ หลายครั้งแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ชอบทำตัวเหมือนกับเป็นพ่อที่ดีทั้งที่ไม่ใช่มาตั้งแต่แรก

                        “ไม่เอาแล้วฮะ มันหวาน ไม่ชอบแล้ว”ยื่นไม้ขนมสายไหมให้กับชายหนุ่ม

                        “เห็นไหมผมบอกแล้วว่ามันไม่ได้เรื่อง”ขนมผิงทับถมทันที ทำตัวเหมือนกับแม่ที่คอยเป็นห่วงลูกไปซะทุกเรื่อง

                        “อย่างน้อยก็ได้ลอง จะได้รู้ว่าไม่ชอบเพราะอะไร นายก็น่าจะกินดู”

                        ไม่รอให้ขาดคำขนมสายไหมฟูฟ่องก็จิ้มเจ้าที่ริมฝีปากบางจนมันละลายติดหนึบเป็นคราบเพราะหลบไม่ทัน

                        เด็กๆหัวเราะกันคิกคักกับคราบน้ำตาลที่ติดบากขนมผิงไม่เว้นแม้กระทั่งปิญญ์ชานนท์เองที่หัวเราะในลำคออย่างพอใจที่แกล้งเขาได้

                        “ทำบ้าอะไร”

                        ขนมผงยกมือขึ้นจะเช็ดคราบน้ำตาลที่ปากออกทว่ามือใหญ่ก็ชิงเกลี่ยนิ้วลงมาเช็ดให้ที่ริมฝีปากก่อนแล้ว

                        ราวกับวินาทีนั้นเนิ่นนานที่ดวงตาสีโศกสบตาเข้ากับดวงตาคมกริบนัยน์ตาวาววับนั่น มันเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาลที่ติดออกไปอย่างอ่อนโยน และก็เป็นอีกครั้งที่หัวใจดวงเล็กในอกมันรู้สึกวาบหวิว

                        “หวานไหมล่ะ”ไม่พอแค่นั้นแต่ปิญญ์ชานนท์กลับทำให้ขนมผิงรู้สึกไม่พอใจมากกว่าเดิมเมื่อชายหนุ่มแลบลิ้นเลียนิ้วติดคราบน้ำตาลที่เช็ดออกไป

                        ความรู้สึกที่จู่โจมภายในเวลาไม่กี่วินาทีมันมากพอที่จะทำให้ขนมผิงเดินหนีเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่

 

                        ทั้งที่ควรจะเกลียดชังและเคียดแค้นแต่ตอนนี้มันเหมือนกับว่าความรู้สึกนั้นได้ถูกมือที่มองไม่เห็นช่วงชิงเอาไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างเขากับปิญญ์ชานนท์

 

 --------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 แพ้ท้อง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-04-2016 03:45:54
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 แพ้ท้อง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-04-2016 04:07:09
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 แพ้ท้อง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 14-04-2016 07:16:34
อ่านบางตอนก็รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ลุ้นว่าจะลงเอยกันยังไง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 แพ้ท้อง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-04-2016 08:01:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 แพ้ท้อง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 14-04-2016 08:15:11
เป็นตอนแรกของเรื่องนี้ที่อ่านแล้วรู้สึกสบายๆ
อยากให้รู้ว่าท้องเร็วๆ คราวนี้พ่อแม่ผิงคงไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะ ว่าพ่อเด็กเป็นใคร
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 กลลวง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-04-2016 10:07:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 กลลวง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 15-04-2016 16:10:22
โอยยย เด็กเปรต เซ็งสองเด็กเปรตอ่ะ

อีปิญ จะง้อทั้งทีก็ควรจะเปิดผยตัวเองนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 กลลวง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 18-04-2016 21:39:38
รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 กลลวง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 18-04-2016 22:28:02
เมื่อไรผิงจะรู้ใจตัวเองน้า   ครอบครัวจะได้เป็นครอบครัวเสียที  แล้วนี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่า ท้องอ่ะ   เอ๋?
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 กลลวง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lalaly ที่ 19-04-2016 17:06:15
เมื่อไหร่คู่นี้เขาจะดีกัน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 กลลวง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: saotome ที่ 23-04-2016 08:05:02
แอบมีโมเม้นท์หวานๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 12-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 12-05-2016 20:02:46
29 ความลับที่ปกปิด

   “ยินดีด้วยนะครับ ตอนนี้คุณตั้งครรภ์ได้แปดอาทิตย์แล้ว หมอยังระบุไม่ได้ว่าครั้งนี้เป็นแฝดรึเปล่า หมอจะอัลตร้าซาวด์
ตรวจเด็กในครรภ์ให้ถ้าคุณต้องการ”

   “ไม่ครับ ผมไม่ต้องการ ขอบคุณ”ขนมผิงตอบรับด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ มือทั้งสองข้างสั่นเทา จิกเล็บลงบนอุ้งมือของตัว
เองแน่นจนเลือดซึม ทั้งที่น่าจะรู้สึกเจ็บแต่ในเวลาเขานี้เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

   ร่างสูงโปร่งพาตัวเองเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยสภาพเหม่อลอย เขาควรจะทำอย่างไรดีกับประวัติศาสตร์ที่กลับไปซ้ำ
รอบเดิมกับผู้ชายคนเดิม ผู้ชายที่เขาเคยเกลียดสุดขั้วหัวใจ

   อาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงมันยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นทุกวันจนทนไม่ไหว ทั้งที่กลัวคำตอบมาตลอด หลีกเลี่ยงที่จะเจอความจริง
แต่เขาไม่ไหวที่จะทนอีกต่อไป

   ขนมผิงก้าวเดินมาเรื่อยๆ มาหยุดอยู่ในห้องน้ำ มือทั้งสองข้างยังคงสั่นเทา จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ภาพที่
เห็นนั่นมันกำลังพล่าเบลอและสั่นระริก เขาล้วงหยิบแทบแท่งตรวจสีขาวรูปร่างยาวเรียวขึ้นมาจ้องมองอีกครั้ง สิ่งนี้เป็นตัวชักนำ
ให้เขามาหาคำตอบที่นี่

   ที่ตรวจครรภ์ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว รอยขีดสีแดงจางยังคงเด่นชัดในความคิด ขนมผิงปล่อยมันร่วงหล่นลงไปในถังขยะ
ด้วยความคิดที่กำลังสับสน

   เพราะอะไรเขาถึงปล่อยให้ตัวเองท้องกับปิญญ์ชานนท์เป็นครั้งที่สอง ทั้งที่คอยตอกย้ำว่าแสนเกลียดราวกับเส้นขนานที่
ไม่มีวันจะบรรจบกัน แต่เขาก็ปล่อยให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมันเกิดขึ้นอีกมาครั้ง

   

   -----------------------------------------------------------------------------------------

   “กลับมาแล้วเหรอผิง เข้าบริษัทมาเหรอ ไม่เห็นบอกแม่ แม่ว่าจะชวนไปซื้อของมาทำกับข้าว”

   “ไปธุระมาน่ะแม่ ผิงไม่ได้เข้าบริษัท”ขนมผิงตอบเสียงเนือย ดวงตาสีโศกหลุบมองปลายเท้าตัวเองเมื่อบังคับไม่ให้มันหยุด
สั่นไม่ได้

   “เป็นอะไรทำไมหน้าซีดๆ มานี่มาตอนนี้บ้านเรามีแขก เขากำลังคุยกับพ่ออยู่ในห้องรับแขกนู่น”

   “แขก?”ไม่บ่อยนักที่จะมีแขกมาที่บ้านทำให้ขนมผิงแปลกใจ ยอมเดินตามผู้เป็นมารดาเพราะในเวลานี้เขาไม่หลงเหลือ
พื้นที่ในความคิดให้คิดถึงสิ่งใดได้อีก

   แต่แล้วรอยยิ้มเบื้องหน้าที่ปรากฏสู่สายตานั้นก็ทำให้หัวใจของเขาราวกับร่วงหล่นกระแทกลงกับพื้น คนเดียวที่ไม่อยากจะ
เห็นหน้ามากที่สุดในเวลานี้กลับมาอยู่ตรงหน้าของเขา

   “คุณปิญญ์เขาเอากระเช้ารังนกมาขอบคุณเรื่องวันนั้น ผิงเข้าไปคุยกับเขาสิ รุ่นๆเดียวกัน ทำความรู้จักกันไว้เยอะๆ”ลำดวน
ดึงลูกชายให้เดินตามเข้ามา “มาแล้วค่ะลูกชายตัวดีของคุณแอบไปหนีเที่ยวมาไม่บอกไม่กล่าวอีกแล้ว”ลำดวนว่าพลางส่งยิ้มให้
แขก

   “ผมว่าผมของตัวดีกว่า”ขนมผิงหลุบตาหลบสายตาคู่คมที่ส่งมา

   ไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกมันบอกกับเขาแบบนั้น ดวงตาทั้งสองข้างมันเริ่มพร่ามัว มือทั้งสองข้างสั่นเทาจนผู้เป็นแม่เงยหน้า
มองลูก

   ลำดวนเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นหยดน้ำตาไหลลงมาบนผิวแก้มที่ขาวซีดของลูกชาย แต่พอจะถามลูกชายของเธอก็กลับ
เดินหนีขึ้นบ้านไปเสียก่อน หากเธอไม่ได้เข้าใจผิด เหตุผลที่ทำให้ลูกชายของเธอมีท่าทีเช่นนี้ก็คงไม่พ้นชายหนุ่มที่อยู่ในห้อง
รับแขกในเวลานี้

   “อะ เอ่อ ขอโทษนะคะ สงสัยว่าตาผิงไม่สบาย คุยกันไปก่อนนะคะหนุ่มๆ”ลำดวนยิ้มแห้ง

   “ไม่เป็นไรครับ”รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าก่อนหน้านี้ของชายหนุ่มเลือนลางแทบจะทันทีเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนที่เฝ้ารอ
มานับชั่วโมง

   “ช่วงนี้ตาผิงไม่ค่อยสบายน่ะ เมื่อครู่เราคุยกันถึงไหนแล้วนะเรื่องออกรอบตีกอร์ฟใช่ไหม”

   “ครับคุณลุง”ตอบรับทั้งที่ตายังจับจ้องไปยังทางที่อีกฝ่ายเดินออกไปไม่วางตา

   “เมื่อไรดีล่ะ เอาเป็นอาทิตย์หน้าเลยไหม มีเพื่อนๆลุงว่างช่วงนี้พอดี ไปกันเยอะๆน่าจะสนุก”คำเรียกแทนตัวเปลี่ยนไปเมื่อ
คำสรรพนามที่ถูกเรียกนั้นต่างออกไปจากเดิม อายุอานามของเขาไม่ใช่มองแล้วจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังพยายามที่จะ
ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

   ไม่ได้ใช้วิธีที่รุกมากเกินไปจนน่าเกลียดแต่กลับเป็นวิธีที่เข้าหาแบบธรรมชาติจนเขาอดชมไม่ได้ว่าไม่ใช่แค่เรื่องการพลิก
โอกาสทางธุรกิจที่กำลังล้มละลายแค่นั้น แต่เรื่องอื่นๆคนคนนี้ก็ทำได้เป็นอย่างดี แต่ประเด็นก็คือเวลานี้บ้านนี้ไม่มีลูกสาวให้หัว
บันไดบ้านไม่แห้งอีกแล้ว มีเหลือก็แต่ลูกชาย

   “ครับ อาทิตย์หน้าก็ได้ครับ ว่าแต่ขนมผิงช่วงนี้ไม่สบายบ่อยมากเลยเหรอครับ”

   “ก็บ่อยอยู่นะ ช่วงนี้ เห็นบ่นเหนื่อยบ้างเพลียบ้าง บางทีก็อาเจียน”

   “งั้นเหรอครับ แล้วคุณลุงทราบหรือเปล่าว่าขนมผิงป่วยเป็นอะไร”บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปทันควัน เบื้องลึกในดวงตา
คมกริบแฝงไปด้วยความกังวล

   “ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็ได้แค่คาดเดา ยังไม่ได้มีอะไรชี้ชัดว่ามันจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรึเปล่า ขนมผิงเป็นคนไม่ค่อยพูด แล้วก็
ไม่ชอบให้ถามอะไรมากมายคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ได้แต่ดูห่างๆเพราะโตๆมีลูกมีเต้ากันแล้ว”

   “นั่นสินะครับ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับ รู้สึกเป็นห่วงขนมผิงจนแทบจะอยู่ติดที่นั่งต่อไปไม่ได้แล้ว จะว่าเขาว่าไร้มารยาทก็ได้
เพราะเขาแทบไม่ได้สนใจบทสนทนาเลย

   และนั่นก็ทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามหรี่ตาจับจ้องมองมาที่เขายามที่เขาเหลือบตามองไปยังทางเดินของตัวบ้าน

   “ถ้าไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท จะขอถามอะไรคุณได้ไหม”

   “ครับ?”

   “คุณรู้จักขนมผิงมากแค่ไหน รู้จักเด็กๆมากแค่ไหน”

   “ทำไมถึงถามล่ะครับ”

   “ก็แค่อยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับพวกเขา”คำถามนี้แฝงความนัยน์ได้อย่างชัดเจน เป็นคำถามที่ตรงประเด็นจนชายหนุ่มสะอึก
ดวงตาคมดุจ้องมองตอบชายสูงวัยแน่นิ่ง

   “ผม”

   “ว่ามาเลย ผมอยากให้คุณตอบผมตรงๆ ตอบเท่าที่คุณรู้”สายตาของชายสูงวัยเองก็จับจ้องมองชายหนุ่มนิ่งไม่แพ้กัน และ
กำลังคาดหวังในคำตอบที่จะได้ยิน

   “ผมรู้ว่าขนมผิงเป็นคน…”

   “ว่ามาเลยไม่ต้องเกรงใจ”พิศณุคาดคั้นเอาคำถาม

   “ผมรู้ว่าขนมผิงเป็นคนอุ้มท้องปลากริมกับสลิ่ม”ตอบไปหยั่งเชิงปฏิกิริยาของพิศนุ แต่ท่าทีของพิศนุยังนิ่งเฉยซ้ำยังมีรอย
ยิ้มเล็กๆอยู่บนมุมปาก

   “แล้วคุณคิดยังไงกับพวกเขาล่ะ”พิศนุตัวชาไปเล็กน้อยเมื่อคำตอบที่ได้รับคือความลับที่ทุกคนในบ้านพยายามปกปิดมา
ตลอด แต่ก็ถามออกไปอีกครั้ง

   “ถ้าคุณลุงต้องการคำตอบที่เป็นความจริง ผมก็จะตอบ”ปิญญ์ชานนท์เม้มปากแน่น ความรู้สึกกดดันทำให้เขาเริ่มประหม่า
อย่าไม่เคยเป็นมาก่อน “ความจริงแล้วผมรักลูกชายของคุณลุง”คำตอบของปิญญ์ชานนท์ทำให้พิศนุตอบกลับแทบจะทันที

   “ถึงแม้ว่าลูกชายของลุงจะเป็นผู้ชายและกำลังจะแต่งงาน?”

   “ครับเรื่องนั้นผมทราบดี”

   “ในเมื่อคุณทราบดีแล้วยังพยายามเข้าหาขนมผิงทำไม ขนมผิงเองก็ดูไม่พอใจคุณมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะคุณปิญญ์
ลูกชายของลุงเขากำลังจะแต่งงาน มีครอบครัว ถึงแม้ขนมผิงจะเคยมีใครแล้วเคยท้องมาก่อนก็ตาม ยอมรับว่าแปลกใจที่คุณรู้ว่า
ขนมผิงเป็นคนตั้งท้อง แต่เรื่องนั้นมันก็เป็นความลับ น้อยคนมากที่จะรู้เรื่องนี้ และตอนนี้ขนมผิงกับเด็กๆก็กำลังจะมีอนาคตที่ดี
คุณตัดใจเสียจะดีกว่า เพราะมันอาจจะเป็นผลเสียกับคุณไปด้วยอีกคน”

   “คุณลุงอาจจะไม่พอใจกับคำตอบของงผม ตามผมสารภาพไปแล้วว่าผมรักลูกชายของคุณลุง และผมก็ตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่า
ผมจะไม่ถอยหลังเหมือนก่อนหน้านี้ หากว่าผมทำอะไรให้คุณลุงไม่พอใจนับจากนี้ผมต้องขอโทษล่วงหน้า เพราะผมเองก็จะไม่
ปล่อยให้ขนมผิงกับลูกอยู่ลำพังอีกแล้ว ขอโทษนะครับที่ทำให้วันนี้เสียบรรยากาศ ไว้วันหน้าผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ”ปิญญ์ชา
นนท์ยกมือไหว้ก่อนเดินออกมา

   “มันจะดีกว่านี้ถ้าคุณจะไม่มาให้ลูกชายของเราเห็นหน้าอีก”

   “เรื่องนั้นผมคงทำตามที่คุณลุงขอไม่ได้ ขอโทษด้วยครับ”ปิญญ์ชานนท์ชะงักเท้าก่อนจะตอบกลับคำพูดสุดท้าย

   เขารู้สึกหน้าชาจนต้องยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ เขาไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะโดนพ่อของขนมผิงคาดคั้นความ
จริงและโดนปฏิเสธ นี่อาจจะเป็นผลของการกระทำในอดีตที่เขาเคยทำเอาไว้ก็เป็นได้ ปิญญ์ชานนท์ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ
พักใหญ่ก่อนจะขับออกไป




   “ไปแล้วเหรอคะ ทำไมวันนี้เขากลับเร็วจัง”ลำดวนแตะแขนของสามีที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านพลางมองตามรถยนต์คันสีดำ
สนิทของแขกขาประจำออกไป

   “เขาบอกว่ารักลูกของเรา บางทีสิ่งที่พวกเราคิดเอาไว้มันอาจจะเป็นเรื่องจริง”

   “เขาบอกกับคุณแบบนั้นเหรอคะ ตายจริง ปกติแล้วคุณปิญญ์เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาตั้งแต่ไหนแต่
ไรทำไมเขาถึงได้บอกกับคุณ”

   “ผมถามเขาน่ะ”

   “แล้วเขารู้ไหมว่าลูกของเรา เอ่อ เคยท้อง”


   “เขารู้”

   “ได้ยังไงกันคะ เรื่องนี้เป็นความลับนี่ค่ะ น้อยคนมากที่จะรู้”




   “แล้วตาผิงล่ะเป็นยังไงบ้าง”พิศนุแตะแขนภรรยาพาเดินเข้าไปในบ้าน

   “ขังตัวเองเอาไว้ในห้องเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมเปิดประตู เหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้วไม่มีผิด”ทั้งอาการและปฏิกิริยา

   “ไว้พร้อมเมื่อไรลูกคงจะบอกเราเอง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าคุณปิญญ์เขาจะทำยังไงต่อไปหลังจากที่ผมปฏิเสธเขาไป”

   “ตายจริง คุณปฏิเสธเขาไปได้ยังไงกัน”

   “คุณลืมแล้วรึไงว่าลูกของเรากำลังจะแต่งงาน”

   “แล้วลูกของเราดูมีความสุขบ้างรึเปล่าคะ”

   “แต่คุณก็รู้ว่าตาผิงไม่ชอบคุณปิญญ์”

   “แล้วเดหลีรักตาผิงจริงรึเปล่า บางทีคุณก็ต้องมองให้ลึกลงไป ถึงแม้ตาผิงจะเหมือนไม่พอใจคุณปิญญ์ทุกครั้ง แต่ทุกครั้ง
ที่เขาพูดออกมา ลูกของเราไม่เคยที่จะปฏิเสธอย่างจริงจังได้สักครั้ง ซ้ำยังปลากริมกับสลิ่มอีก”

   “ปิญญ์ชานนท์เป็นผู้ชาย”

   “ฉันจะไม่คัดค้านคุณหากว่าลูกของเราไม่เคยท้อง”

   “ยังไงมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว”พิศนุถอนหายใจ



   --------------------------------------------------------------------------------------------




   

   “คุณเป็นอะไร ทำไมหน้าซีด”สัญชาตญาณของคนเป็นหมอถามอาการของคนป่วยตรงหน้าทันทีหลังจากมื้อเย็นจบลงใน
ห้องคอนโดของเขา

   “ผมปวดหัวนิดหน่อย เดี๋ยวกลับไปนอนพักก็คงหาย”แทนทัพยิ้มออกมาเล็กน้อย รู้สึกดีที่คุณหมอตรงหน้าเป็นห่วงเขา ถึง
มันจะเป็นสัญชาตญาณของคนเป็นหมอก็ตาม แต่เขาก็อดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้

   คุณหมอไม่ตอบอะไรแต่เอื้อมมือไปแตะฝ่ามือลงบนหน้าผากกว้างของชายหนุ่มผิวแทนตรงหน้า อุณหภูมิที่ขึ้นสูงทำให้

คุณวุฒิแทบจะไม่ต้องเสียเวลาวินิจฉัยอาการของแทนทัพเลย

      “คุณมีไข้สูง เมื่อวานคุณตากฝนมารึไง”


   “ตอนวิ่งไปที่รถ แค่นิดเดียว นอนพักเดี๋ยวก็หาย”

   “คุณไม่เข้าใจคำว่ามีไข้สูงรึไง ตัวร้อนจนจะไหม้ขนาดนี้”ความเป็นคุณหมอทวีเพิ่มขึ้นมาเมื่อคนไข้ไม่ยอมเชื่อฟัง “ผมจะ
ไปหยิบยา วันนี้คุณต้องนอนค้างที่นี่ ยาแก้ไข้กินแล้วมันจะทำให้ง่วง คุณขับรถไม่ได้หรอก”พูดเองสั่งเองเสร็จสรรพ ขมวดคิ้วมุ่น
เดินหายเข้าไปในห้องนอนเพื่อหยิบยา

   ทิ้งเอาไว้แต่ร่างสูงใหญ่ของแทนทัพนั่งอยู่กับที่ติดโต๊ะทานข้าว จะว่ามึนงงกับพฤติกรรมของคุณวุฒิก็ไม่เชิง เป็นห่วงเขา
หรืออะไรกันแน่ แต่มันก็ดีไม่น้อยที่มันไม่ได้จบลงแค่มื้ออาหารเย็นในคืนก่อนวันหยุดเหมือนทุกครั้งไป

   “นี่ยา กินเสร็จแล้วคุณก็เช็ดตัวเข้านอนได้เลย”

   “ผมยังไม่ง่วง อีกอย่างผมอาบน้ำได้ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

   “คุณไม่เคยป่วยรึไง”

   “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”แทนทัพตอบยิ้มมุมปาก คุณวุฒิจะทำท่าทางดุแบบนี้รึเปล่าหากคนไข้ของตัวเองไม่เชื่อฟังแบบเขา

   “งั้นก็ทำตามที่ผมบอก เช็ดตัว แล้วก็ไปนอน กินยาเข้าไปแล้วเดี๋ยวคุณก็ง่วงเอง ผมไม่เคยเจอคนไข้ที่เรื่องมากแบบคุณ
เลยสักครั้ง”

   “ครับๆ คุณหมอ”ยิ้มให้แล้วเดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำหลังจากกินยาเสร็จ

   จริงอย่างที่คุณวุฒิบอก พอกินยาเข้าไปก็รู้สึกง่วงจนตาแทบจะปิด พอออกมาจากห้องน้ำได้ อาหารปวดหัวผสมกับความ
เหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันทำให้แทนทัพทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มทันทีทั้งที่กายพันผ้าเช็ดตัวผืนเดียวหมิ่นเหม่



   “เดือดร้อนจริง”คุณหมอบ่นอุบ

   รู้สึกว่าแทนทัพเงียบไปนาน พอเดินเข้ามาก็ถึงกับสะอึกเมื่อร่างกึ่งเปลือยของแทนทัพนอนแผ่กายอยู่บนเตียง ผ้าขนหนูผืน
ขาวพันเอวจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่เรียกให้ใบหน้าขาวสะอาดของคุณหมอแดงก่ำ

   พยายามพลิกร่างสูงใหญ่ของแทนทัพเพื่อที่จะจับใส่เสื้อผ้าให้ แต่ความที่ไม่เคยทำแบบนี้กับใครทำให้ชายหนุ่มถอน
หายใจเดินเอาเสื้อผ้าไปเก็บไว้ในตู้ดังเดิม

   แทนทัพทั้งขาแขนใหญ่ตัวหนักกว่าเขาเป็นกอง ไม่ไหวที่จะจับใครที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ใส่เสื้อผ้าเวลาหลับได้ ทำได้แค่จับ
ผ้าห่มคลุมกายร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเอาไว้แล้วซุกกายลงใต้ผ้าห่มอีกฟากเตียง


   ฝนข้างนอกเริ่มโปรยปรายหนักขึ้น อากาศเริ่มเย็นตัวลงทำให้ทั้งเข้าและแทนทัพขดกายเข้าหาไปอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนหน้า
อัตโนมัติ

   ดวงตารีเล็กพร่ามัวทันทียามที่ถอดแว่นออก แต่ก็ยังจ้องมองผ่านความมืดราวกับว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นสัมผัสได้ผ่านความรู้สึก

   ใบหน้าคมกร้านพร่าเบลอตรงหน้าทำให้หัวใจของคุณหมอสั่นไหว นานแล้วที่ไปมาหาสู่กัน ไปไหนด้วยกันบ่อยๆหลังจาก
เกิดเรื่องผิดพลาดในคืนนั้น

   พอรู้ตัวอีกทีแทนทัพก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ชีวิตที่กลับมาเงียบเหงาหลังจากขาดใครบางคนเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีก
เป็นครั้งที่สอง

   ไม่รู้ว่าภาพที่เลือนรางตรงหน้ามันจะเลือนรางไปมากกว่านี้หรือชัดเจนขึ้นกันแน่ แต่รู้แค่ว่าเขาคงทำใจไม่ได้อีกหากเสีย
ส่วนหนึ่งในชีวิตอีกเป็นครั้งที่สอง

   ฝ่ามือขาวนุ่มยื่นไปด้านหน้าลูบลงบนโครงหน้าคมคายอย่างเบามือ ถึงแม้จะพร่าเบลอจนเกือบจะมองไม่เห็น แต่เวลานี้เขา
ก็สัมผัสได้ถึงตัวตนที่อยู่เบื้องหน้าของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าแทนทัพคิดเหมือนกับที่เขาคิดรึเปล่า การที่ยอมรับตัวตนของอีกฝ่ายเข้ามา
ในชีวิต

   

   เสียงเรียกชื่อปลุกให้คุณวุฒิตื่นขึ้นมาอย่างัวเงียมือขาวควานไปบนชั้นข้างเตียงเพื่อหยิบเอาแว่นตาของตัวเองมาสวมใส่
เหมือนทุกที หากจำไม่ผิดวันนี้ไม่ใช่วันที่แม่บ้านจะมาทำความสะอาด ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีคนเรียกแต่เช้า

   แต่แล้วบุคคลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้คุณวุฒิแปลกใจพึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมาทั้งที่ยังงัวเงีย

   “พี่วิน”

   “ไม่เห็นกับตานี่ฉันไม่เชื่อนายจริงๆ”

   “ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”คุณวุฒิยังคงขยี้ตาตัวเองพลางบิดขี้เกียจ

   “มาพิสูจน์ให้เห็นกับตาไง ถึงทุกคนในบ้านจะตามใจนายมาตลอดแต่ทำแบบนี้ไม่คิดว่ามันจะเกินไปรึไง”

   “อะไรของพี่แต่เข้า ผมไม่เข้าใจ”คุณวุฒิถามกลับพี่ชาย ดวงตารีเล็กจ้องมอใบหน้าของผู้เป็นพี่ชาย

   นอกจากจะโผล่มาที่คอนโดของเขาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงแล้วยังจะโวยวายอะไรที่เขาไม่เข้าใจ

   “ออกมาคุยกันข้างนอก แล้วก็ปลุกมันขึ้นมาด้วย”

   “ครับๆ”ยังไม่ทันตอบรับแต่คุณทรัพย์ก็เดินออกไปจากประตูห้องนอนเสียแล้ว

   คุณวุฒิยังคงมึนงงกับพี่ชายของตัวเอง แต่จะให้ปลุกคนป่วยก็ยังไงอยู่ เขาเลือกที่จะเดินเข้าห้องน้ำแล้วทำธุระส่วนตัวก่อน
จะเดินออกไปเจอพี่ชายนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โซฟา

   “มันเป็นใคร พี่บอกให้ปลุกมันขึ้นมา”

   “มัน? หมายถึงเขานั่นเหรอ ปลุกไม่ได้หรอก”

   “ทำไมถึงไม่ได้ แล้วทำไมถึงต้องนอนค้างที่นี่”

   “เขาไม่สบาย ก็เลยให้นอนค้าง ว่าแต่พี่วิน ทำไมพี่ถึงได้มาหาผมล่ะ”

   “กับมันเป็นอะไรกัน”

   “อย่าเรียกเขาว่ามัน ตอนนี้เป็นหมอกับคนไข้”

   “แล้วตอนอื่นล่ะ”

   “เป็นหมอกับเลขา”ตอบไปตามจริง ถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกรำคาญลูกชายคนโตของบ้านอย่างคุณทรัพย์

   “เขามาบ่อยแค่ไหน”

   “ทุกอาทิตย์”

   “มาทำไม”

   “มากินข้าว”

   “ตอบพี่มาตรงๆว่ากับเขาเป็นอะไรกัน”

   “แล้วทำไมต้องมาถามอะไรที่ผมไม่เข้าใจ ผมเป็นหมอยังไม่ถามคนไข้มากเท่าที่พี่ถามผมเลย”

   “ให้น้อยหน่อยคุณวุฒิถึงจะเป็นลูกคนสุดท้องแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรไม่ให้เกียรติครบครัวแบบนี้”

   “ผมขี้เกียจคุยกับพี่แล้วล่ะ”ลุกหนีอีกครั้งเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

   “เดี๋ยวพี่ต้องไปประชุมต่อที่บริษัท อย่าหวังว่าพี่จะปล่อยเรากับมันไปง่ายๆ กลับบ้านด้วยล่ะ”ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะ
เงยหน้าขึ้นมาขู่ไล่หลัง

   “ผมไม่เข้าใจที่พี่พูดหรอก จะไปไหนก็รีบไปเถอะครับ”รีบไล่ก่อนที่คนที่โกหกไม่เก่งอย่างเขาจะถูกจับได้

   ความจริงทุกอย่างที่พี่ชายพูดมาเขารู้ดีว่ามันคืออะไร แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือที่บ้านรู้ได้ยังไง และมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาและ
แทนทัพแน่หากที่บ้านรู้เรื่องนี้



   “นั่นใครเหรอครับ”แทนทัพถามถึงคนที่เพิ่งออกไปจากห้องทำท่าเหมือนเพิ่งตื่นทั้งที่ตื่นได้สักพักพอที่จะได้ยินบทสนทนา
ของพี่น้องแล้ว

   “พี่ชายผม แล้วคุณหายปวดหัวรึยัง”ถามพลางแตะมือลงบนหน้าผากกว้าง

   “หายแล้วครับ แล้วเขาคุยอะไรกับคุณ”

   “ทักทายกันปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ”บอกเสียงเรียบทิ้งตัวลงขอบเตียงข้างกับแทนทัพไม่ใช่เพราะอยากจะนั่งข้างๆหรือว่า
อะไร แต่เพราะแค่อยากจะหลบสายตาคมนิ่งที่มองมา

   “วันนี้ไปดูหนังกันไหมครับ”

   “คนที่เขาไม่สบายเขาจะนอนพักผ่อนไม่ใช่ออกไปข้างนอกแบบคุณ”ประชดประชันทั้งที่ใจยังคงกังวล

   แต่ใบหน้าก็ต้องหันไปตามแรงดึงหลุบมาก้มลงมองมือของตัวเอง ยอมรับจูบร้อนที่ประทับลงมาแผ่วเบา ยอมให้อีกฝ่ายบด
เบียดและเคล้าคลึงสอดลิ้นนุ่มร้อนผ่าวเข้ามาตวัดรัดกับปลายลิ้นของตัวเอง

   แต่เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็ต้องผละออกแทบจะทันที ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้าง ขบฟันลงบนริมปีปาก
แน่น

   “ทำบ้าอะไร อยากให้ผมติดไข้ไปด้วยรึไง”

   “ไม่ต้องกลัว”และนี่คือคำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่ม คำตอบที่ถ้าหากไม่คิดให้ลึกก็จะไม่รู้ความหมายที่แท้จริง

   แต่ถึงอย่างนั้นคุณวุฒิที่ไม่ค่อยจะใส่ใจกับรายละเอียดอะไรขัดกับความเป็นหมอกลับคิดเข้าข้างตัวเอง

   เพราะเขากำลังกลัว กำลังกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้น



   ---------------------------------------------------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 31 กลลวง ❖ 14-04-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 12-05-2016 20:03:25
ต่อ

   “จะกลับแล้วเหรอครับ”แทนทัพถามเมื่อเห็นขนมผิงเดินออกมาจากห้องของผู้บริหาร

   “อืม ผมว่าจะไปรอรับเด็กๆที่โรงเรียน”ขนมผิงยิ้มเล็กน้อย

   “ให้ขับรถไปส่งไหมครับ หน้าคุณดูเหมือนไม่สบาย”

   “ไม่เป็นไร ผมปกติดี ฝากดูทางนี้ด้วยล่ะ”ขนมผิงส่ายหน้าตัดบทแล้วเดินออกมา


   ยิ่งนานวันเข้าอาการของคนท้องก็ยิ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด เหนื่อยง่าย คลื่นไส้ เวียนหัวราวกับเป็น
คนป่วยทำให้เขาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงที่จะคิดอะไรมากมายนอกจากคิดถึงชีวิตเล็กๆที่อยู่ในร่างกายเวลานี้เพราะยังมีอีกหลายสิ่ง
หลายอย่างที่ต้องจัดการ

   แต่พอก้าวขาออกจากประตูบริษัทได้เพียงก้าวเดียวเพื่อที่จะไปยังที่จอดรถส่วนตัวขนมผิงก็ต้องชะงักกับชายหนุ่มร่างสูงที่
ยืนพิงรถของเขาอยู่ หัวใจดวงเล็กเต้นระรัวราวกับผืนกองถูกกระหน่ำตี แต่ก็ต้องทำใจแข็งสู้ก้าวเดินต่อไปด้วยย่างก้าวที่มั่นคง

   “ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยรึไง”

   น้ำเสียงที่ยิ่งได้ยินนิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับน้ำที่ถูกกวนให้ขุ่นทำให้ตวัดสายตามองทั้งที่ทีแรกทำเมินหยิบกุญแจรถขึ้นมา
เปิดประตู

   “ถอยออกไป”

   “ทักทายกันก่อนสิ”

   “มีอะไร”กดเสียงต่ำพยายามฝืนดึงประตูให้เปิดออกเพราะมันถูกมือดีดันเอาไว้

   “ฉันมารับ ไปรับลูกด้วยกัน”

   “ไม่จำเป็น ลูกของผม ผมไปรับเองได้”

   “นายไปเองไม่ได้หรอก ลองดูดีดี เผื่อจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป”ปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้มมุมปากหรี่ตามองไปยังล้อ
หน้าที่แบนติดพื้น

   ขนมผิงถอนหายใจออกมาแรงๆเมื่อเห็นสิ่งที่เกิด ไม่มีวันที่รถของเขาจะยางรั่วหรือยางแบนได้โดยการจอดไว้เฉยๆแน่ และ
จะเป็นฝีมือใครไม่ได้นอกจากใครบางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

   “ไปด้วยกันเถอะน่า หรือว่านายกลัวฉันจะทำอะไร”

   “ผมจำเป็นต้องกลัวคุณด้วยรึไง?”

   “ก็แค่ไปรับลูกด้วยกัน”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ ไม่รอช้าชายหนุ่มดึงมือของขนมผิงให้เดินตามมาที่รถของตัวเองจัดการดัน
ให้ขนมผิงเข้าไปนั่งด้านข้างของคนขับเสร็จสรรพ

   

   “ดูนายไม่ค่อยสบายดีนะ”ปิญญ์ชานนท์จ้องมองใบหน้าซีดเผือด มองดูดวงตาสีโศกคู่คุ้นเคยสั่นระริกวูบหนึ่งก่อนจะกลับมา
เป็นเหมือนเดิมในเวลาที่เขาเอ่ยปากถาม

   ขนมผิงไม่ตอบแต่จ้องมองไปยังด้านนอกของตัวรถ มือทั้งสองข้างกำแน่นพยายามบังคับตัวเองไม่อ่อนไหวไปกับความ
รู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้นยามอยู่ใกล้คนคนนี้

   แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ต้องสะอึกดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อยก็คือใบหน้าของปิญญ์ชานนท์ที่ยื่นเข้ามาจนชิดโดยไม่ทันตั้งตัว

   จมูกโด่งรั้นเฉียดลงมาที่พวงแก้มลากผ่านไปยังริมฝีปาก อีกแค่นิดเดียว อีกแต่เพียงปลายก้อยริมฝีปากนั้นจะแตะลงมา

   ทั้งที่ควรจะผลักไสแต่ใจที่กำลังเต้นรัวราวพายุโหมกระหน่ำนั้นทำให้นิ่งอึ้ง กระพริบตาอย่างเชื่องหน้ากับสายตาตรงหน้าที่
จ้องลึกลงมา ทำไมกันเขาถึงได้ไม่ผลักไสให้ปิญญ์ชานนท์ออกห่างทั้งที่ใกล้ชิดจนลมหายใจของต่างฝ่ายตกกระทบรดอยู่บน
ใบหน้า แค่เบือนหน้าหนีก็ยังดี แต่ก็ไม่ทำ

   เหมือนกับที่ปิญญ์ชานนท์กำลังคิด ให้เบือนหน้าหนียังดีเสียกว่าจ้องมองมาด้วยแววตาแบบนั้น หากเขาจะจูบก็ทำได้และ
นั่นก็คือความต้องการที่แท้จริง หากแต่ความโลภมันไม่เคยเข้าใครออกใคร เพียงแค่จูบเดียวนั้นมันคงไม่พอสำหรับเขา อย่าง

น้อยก็น่าจะพูดต่อว่าหรือผลักออกก็ยังดีกว่าเขาใจเต้นรัวกลืนน้ำลายลงคอตัวเองดึงสายเข็มขัดนิรภัยแล้วผละออกมาเช่นนี้

   นานนับครึ่งชั่วโมงระหว่างทางที่ความเงียบเข้ามาครอบงำภายในรถ มีเพียงเสียงเพลงเบาคลาสสิกเบาๆเปิดคลอ คนหนึ่ง
จ้องมองถนนด้านหน้า อีกคนจ้องมองบรรยากาศด้านนอก ต่างกันที่มุมมอง แต่เสียงหัวใจนั้นเต้นรัวไม่ต่างกัน

   แวบหนึ่งที่ปิญญ์ชานนท์ปลายตามองขนมผิงด้วยความเป็นห่วง แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ มือเล็กผอมของ
ขนมผิงกำลังกุมท้องของตัวเองอย่างเคยชินโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวว่าเผลอเรอทำให้อีกฝ่ายเห็น



   “ทำไมพ่อปิญญ์มากับปะป๊าล่ะฮะ”


   “รถปะป๊ายางแบน”

   “จริงเหรอฮะ แล้วยางแบนได้ไงล่ะฮะ”เจ้าตัวแสบสลิ่มเอียงคอถามมือข้างหนึ่งจับมือของผู้ใหญ่ตัวสูงแกว่งไปมาอีกมือก็
ถือไอศกรีมของโปรดเลียไปตลอดทาง

   “ไม่รู้สิครับ สงสัยหมาจรจัดแถวนั้นมันจะกัดจนยางรั่ว”ขนมผิงตอบพลางตวัดสายตามองชายหนุ่ม

   “จริงเหรอฮะ ทีทำงานปะป๊ามีน้องหมาด้วยเหรอฮะ”ปลากริมเอียงคอถามบ้าง

   “แต่ก่อนก็ไม่มีหรอกครับ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้หลงมาจากไหน”

   “หึหึ ปากจัดจริงเลยนะคุณแม่”ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้แล้วกระซิบให้ได้ยินกันสองคน แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูก
ตอบโต้ แต่คำว่าคุณแม่ที่ได้ยินมันทำให้รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแปลกๆทำให้ก้าวถอยหลังออกมาครึ่งก้าวแล้วเบือนหน้าหนีไปมอง
ทางอื่น

   “พ่อปิญญ์อุ้มหน่อยฮะ”สลิ่มกระตุกมืออ้อนให้ปิญญ์ชานนท์อุ้ม แต่คนเป็นแฝดกันถ้าอีกคนได้อะไรอีกคนก็ต้องได้บ้างเป็น
ธรรมดา

   “ปะป๊าอุ้มหน่อยฮะ”ปลากริมกระตุกมือขนมผิงบ้าง

   ยังไม่ทันที่ขนมผิงจะคว้าตัวเจ้าลูกหมูตัวอ้วนขึ้นอุ้มก็ถูกเบียดจนเซไปด้านข้าง

   “ฉันอุ้มเอง!”เจ้าตัวแสบถูกแย่งไปอุ้มหน้าตาเฉย

   “เกิดบ้าพลังอะไรขึ้นมา”

   “นายอุ้มไม่ได้หรอกน่า นายก็รู้ว่าลูกเราตัวแค่ไหน”คุณพ่อบ้าพลังในสายตาขนมผิงตอนนี้กำลังอุ้มลูกแฝดตัวไว้คนละข้าง
เรียกให้ผู้ปรกครองที่มารอรับเด็กๆคนอื่นๆต่างก็มองด้วยความชื่นชมด้วยความน่ารักน่าชังและความแข็งแรง

   “ผมอุ้มของผมไหวก็แล้วกัน”

   “ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ นานจะดื้อไปทำไม”ปิญญ์ชานนท์เอี้ยวตัวหลบเมื่อขนมผิงพยายามจะแย่งหนึ่งในลูกหมูไปอุ้มเองเรียก
เสียงหัวเราะคิกคักจากเด็กๆได้เป็นอย่างดี

   “คุณมันน่ารำคาญ”

   “ถึงฉันจะน่ารำคาญแต่นายก็น่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้”คำพูดของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงชะงัก ความคิดวูบหนึ่งกลับ
มาที่ชีวิตเล็กๆในท้องทันที ถึงจะคิดว่ามันคนละความหมายกับที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ แต่มันก็คือความจริง

   

   ปิญญ์ชานนท์ขับรถมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวมณีรัตน์ ถึงแม้ว่าเมื่อไม่นานจะถูกสั่งห้ามไม่ให้มาที่นี่อีก แต่
เขาก็มาอีกจนได้

   “คิสฮะพ่อปิญญ์”ลูกหมูตัวอ้วนกวักมือป้อมๆให้ก้มลงไปหา แก้มสองข้างถูกลูกแฝดผลัดกันจุ๊บไปคนละทีก่อนเจ้าตัวจะวิ่ง
แข่งกันเข้าบ้านไปเหลือแต่เขากับขนมผิง

   ขนมผิงถอนหายใจเล็กๆกับชายหนุ่มที่ช่วงนี้เกิดหน้าด้านขึ้นมาอย่างปิญญ์ชานนท์ ไม่อยากจะใช้ความคิดกับสิ่งที่คนคนนี้
ทำในเวลานี้มากเกินไป แต่ก็อดคิดไม่ได้

   “เลิกยุ่งกับพวกเราสักที”

   ขนมผิงทิ้งท้ายเสียงเบาแล้วเดินเข้าบ้าน เพียงแค่ครึ่งก้าวดวงตาคมนิ่งก็ต้องเบิกโพล่ง แขนถูกรั้งเอาไว้แล้วดึงเข้าไปใกล้
วงแขนแข็งแรงโอบรัดเอวของเขาเอา

   เพียงแค่พริบตาทุกสิ่งทุกอย่างมันรวดเร็วจนมองไม่ทัน ริมฝีปากหยักกดจูบลงมา เร็วมากพอๆกับมือของขนมผิงที่ผลักชาย

หนุ่มออกด้วยความตกใจสุดแรงจนเซถอยหลังไปชนกับรถ

   “คิส!!”

   คำสั้นๆก่อนแสยะยิ้มให้ขนมผิงเดินหนีเข้าบ้านทั้งที่ยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หาย ทั้งที่เป็นหน้าบ้านของตัวเอง

   


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่สบายยาวววววววว  :mew4: เลยไม่ได้มาต่อ ยังมีคนอ่านเหลืออยู่บ้างรึเปล่าน้อ?
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-05-2016 20:19:12
รายงานตัว ว่ายังตามอ่านอยู่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 12-05-2016 21:49:58
รอให้ปิญญ์รู้ว่าผิงท้องอีกรอบ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-05-2016 22:13:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 12-05-2016 22:30:25
เมื่อไหร่จะรู้ว่าท้องนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 12-05-2016 22:39:37
..'หมอกับคนไข้'..

 :hao5:


หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-05-2016 01:55:57
รู้แล้วๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: VICTORY ที่ 13-05-2016 23:23:38
รอค่า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 14-05-2016 09:56:02
ต่อไปจะเป็นยังไงนี่ เริ่มเปิดใจให้กันแล้ว   ผิงยอมรับเถอะ ตอนนี้กำลังจะมีน้องอีกคนด้วย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 32 ความลับที่ปกปิด ❖ 15-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 14-05-2016 11:53:29
ปิญญ์ต้องรู้ว่าขนมผิงท้องแล้วแน่เลย สังเกตจากที่ยิ้มตอนที่ขนมผิงลูบท้อง แล้วก็ไม่ยอมให้ผิงอุ้มลูก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-05-2016 18:29:10
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-05-2016 22:27:09
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-05-2016 22:47:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 14-05-2016 23:01:02
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 14-05-2016 23:19:00
 :m20:
หวงแม่ซินะ คุณพ่อเลยโดนขัดจังหวะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 14-05-2016 23:48:05
ชอบอ่ะ " หวบแม่สินะ ! " คิดได้ไงเนี่ย 55555 น่ารัก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 15-05-2016 00:05:33
เริ่มสัมผัสได้ถึงความมุ้งมิ้ง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 15-05-2016 12:04:47
 :z10:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 16-05-2016 09:04:54
เมื่อไรจะสวีทหวานกัน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 18-05-2016 21:51:59
น่ารักจังเลย ตั้งแต่ที่ปิญญ์แพ้ท้องตามผิงแล้ว นี่ลูกในท้องยังหวงผิงอีก :-[
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-05-2016 22:15:58
ความสัมพัส่อแววดีขึ้นนะจ๊ะ คึๆ o13
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-05-2016 20:57:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 21-05-2016 18:35:07
555555 หวงคุณแม่ซะงั้น
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kitwiphat ที่ 25-05-2016 06:35:55
สนุกมากเลยครับผม :katai2-1: :katai1:แต่คำผิดเยอะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kitwiphat ที่ 28-05-2016 23:05:21
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 25-06-2016 14:44:21
30 ขอร้อง


   ถ้าหากใครผ่านมาเห็นชายหนุ่มที่นั่งยิ้มให้กับแท่งสีขาวทรงยาวในซองพลาสติกใสอย่างปิญญ์ชานนท์คงหาว่าเขากำลัง
เป็นบ้าแน่

   ชายหนุ่มนอนเหยียดขาไปตามความยาวของโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขกของบ้านอนันตไพลิน เขายังจดจำวันที่ได้รับของ
ชิ้นนี้มาอยู่ในมือ เป็นสิ่งของที่ดูเหมือนไร้ราคาแต่มันกลับมีค่ามากมายสำหรับเขาในเวลานี้ แถบตรวจตั้งครรภ์ที่แสดงผลตรวจขึ้น
มาสองขีด ช่างเป็นวันที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายในคราวเดียวกัน

   เรื่องที่เป็นเรื่องร้ายก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่ทำเอาเขาแทบบ้าเพราะถูกพ่อของขนมผิงปฏิเสธแบบไม่เหลือเยื่อใยถึงแม้จะ
เป็นการปฏิเสธอย่างสุภาพก็ตาม ส่วนเรื่องดีที่ทำให้เขาลืมเรื่องที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ลูกชายของบ้านนั้นก็คงจะเป็นเรื่องที่เขา
ได้รู้ว่าขนมผิงกำลังตั้งท้อง หลายวันแล้วที่ใช้เวลาว่างนอนยิ้มไปกับแถบแท่งตรวจในมืออย่างมีความสุขราวกับคนเสียสติ

   ต้องขอบคุณคนที่เขาส่งให้คอยตามดูขนมผิงอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดที่เก็บสิ่งนี้มาจากห้องน้ำโรงพยาบาลแล้วเอามาให้เขา
ทำให้เขาสืบจนได้ผลตรวจที่แน่นอนมาจนได้



   “แกเป็นบ้าอะไร นอนยิ้มคนเดียวอยู่ได้”



   เสียงไม้เท้ากระทบพื้นไม่ได้ปลุกปิญญ์ชานนท์จากภวังค์ แต่เป็นเสียงกระแนะกระแหนของผู้เป็นพ่อมากว่าที่ทำให้เขาหุบ
ยิ้มลงมาเล็กน้อย แต่มันก็ยังคงหลงเหลือรอยยิ้มระรื่นประดับอยู่บนใบหน้าคมคายอยู่

   “ผมไม่ได้บ้า พ่อก็รู้”

   “ใช่ฉันรู้ว่าแกไม่ได้บ้า แต่เมื่อไรแกจะจัดการเรื่องที่ทำให้แกนอนยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนเป็นคนบ้าสักที”


   “นั่นสินะ ผมเองก็อยากให้พ่อช่วยอะไรผมอย่างสักอย่าง”



   ----------------------------------------------------------------------------------------



   ขนมผิงถอนหายใจออกมาแรงๆเฮือกใหญ่เมื่อผู้ชายที่เวลานี้เข้ามาก่อกวนชีวิตของเขาจนวุ่นวายยืนพิงรถรอเขาเหมือนกับ
หลายวันที่ผ่านมาไม่มีผิด ต่างกันก็แค่วันนี้เป็นวันหยุดเด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่จำเป็นที่ปิญญ์ชานนท์จะต้องมาที่นี่ไม่ใช่รึไงกัน

   ขนมผิงเดินผ่านปิญญ์ชานนท์ไปเปิดประตูรถ และก็เหมือนเดิม มือที่เขาคุ้นเคยกับหลายวันที่ผ่านมาเอื้อมมาดันประตูเอา
ไว้ไม่ให้เปิดออก


   “วันนี้วันหยุด เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน คุณคงจะประสาทหลอนจนหลงลืมวัน”

   “ฉันรู้ ฉันมาชวนนายไปกินข้าวด้วยกัน รู้สึกว่าบังเอิญคิดถึงกับข้าวฝีมือนายขึ้นมา”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ยกยิ้มขึ้นมา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันนี้ยืนรออีกฝ่ายจนเมื่อยขาเพราะวันนี้เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียนเลยไม่จำเป็นที่ขนมผิงจะต้องรีบเลิกงานไปรับ
เด็กๆเหมือนทุกวัน

   “กลับบ้านไปนอนฝันเถอะ”สบถเล็กๆก่อนจะเดินหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะต้องจอดรถทิ้งไว้หน้าบริษัทมาหลายวันติด



   “นายกำลังจะไปไหน”ปิญญ์ชานนท์รีบจ้ำเท้าเดินตามมาติดๆ สมกับเป็นขนมผิง ถึงช่วงนี้จะไม่ตอบโต้แต่ก็จะใช้วิธีเงียบใส่
หรือเดินหนีอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด


   “ต้องการอะไรกันแน่”ถามทันทีเพราะถูกดึงแขนเอาไว้ไม่ให้เดินหนี ดวงตาคู่คมสวยตวัดมองปิญญ์ชานนท์อีกครั้ง ไม่

เข้าใจว่าคนคนนี้จะมาตามติดชีวิตของเขาเพราะอะไรกันแน่ในเมื่อเขาก็ยอมที่จะถอยออกมาแล้ว

   “ฉันก็บอกนายไปแล้ว ว่าฉันอยากกินกับข้าวฝีมือนาย”

   “ไร้สาระ”

   “ไปเถอะน่า วันนี้นายเองก็ไม่ต้องรีบไปรับลูกนี่”บอกพลางจับแขนขนมผิงเอาไว้แน่นเพราะเจ้าตัวยังไม่ยอมอยู่นิ่งๆให้จับ
ง่ายๆ

   “ผมไม่ไป”

   “ไปเถอะนะขนมผิง ฉันอยากจะกินข้าวกับนาย…แค่สองคนดูบ้าง”เท่าที่จำได้ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะมีโอกาสกินข้าวกับ

ขนมผิงตามลำพังโดยไม่มีคนอื่น

   “ขอปฏิเสธ”

   “ไปเถอะน่า ฉันขอร้อง”ปิญญ์ชานนท์ดึงยื้อขนมผิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แต่สิ่งที่ทำให้ขนมผิงหยุดและยอมเดินตาม
ปิญญ์ชานนท์ไปที่รถของอีกฝ่ายไม่ใช่เพราะว่าถูกดึงให้เดินตาม แต่เป็นเพราะคำว่าขอร้อง

   ปิญญ์ชานนท์ข้อร้องเขาอย่างนั้นหรือ? ถึงใบหน้าจะแย้มยิ้มออกมาเหมือนกำลังก่อกวน แต่นัยน์ตาคู่คมคู่นั้นปฏิเสธไม่ได้
เลยว่าแสดงออกมาอย่างที่พูดจริง คนอย่างปิญญ์ชานนท์ขอร้องคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไร



   “ไหนคุณบอกว่าจะไปกินข้าว แล้วแวะมาที่นี่ทำไม”อดถามด้วยอารมณ์ไม่พอใจไม่ได้ เข้าใจว่าคนท้องหงุดหงิดง่ายก็ช่วงนี้
ที่มีอีกฝ่ายมาคอยก่อกวน

   “ก็บอกแล้วไงว่ารู้สึกคิดถึงกับข้าวฝีมือนายขึ้นมา”ตอบพลางวนรถจอดหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆหลังจากขับรถออกมานาน
ร่วมชั่วโมง

   “ใครเป็นคนบอกว่าผมจะทำกับข้าวให้คุณกิน”

   “เถอะน่า มาถึงขนาดนี้แล้ว นายจะดื้ออีกทำไม หงุดหงิดง่ายไปรึเปล่า”ปิญญ์ชานนท์พูดเหมือนตัดบทแล้วเดินลงจากรถ
ไป

   “เกิดหน้ามึนอะไรขึ้นมา”คนในรถสบถอีกครั้งพลางกอดอกจ้องมองชายหนุ่มเดินอ้อมมายังประตูรถด้านข้างคนขับ

   “ลงมาได้แล้วคุณแม่”

   “จะดีมากถ้าคุณจะเลิกเรียกผมแบบนั้น”

   “นายเองก็เลิกขมวดคิ้วสักที ฉันไม่ได้พานายมาฆ่า”ไม่พูดเปล่านิ้วชี้ยาวจิ้มลงมากลางหน้าผากของขนมผิงแล้วจงใจขยี้ไป
มาเมื่อไม่ยอมลุกออกจากรถ แต่ก็ถูกปัดออกทันที

   

   ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เมฆเริ่มก่อตัวครึ้มทำท่าว่าฝนจะตก อีกทั้งเวลาที่เย็นจัดจนเกือบจะมืดทำให้ทั้งในรถทั้งถนนเงียบงัน
มีเพียงเสียงเพลงเบาๆเปิดคลอ

   “ตอนนี้นายสบายดีไหม เจ็บหรือปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า”ถามขึ้นมาเมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน


   “ทำไมจู่ๆถึงได้ถามขึ้นมา?”ช่างเป็นคำถามที่บ้าบอไม่รู้จุดประสงค์อะไรสักอย่าง
   “ก็แค่อยากถาม”


   “ไม่”

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”รู้ว่าคำตอบที่ตอบมาไม่ใช่ไม่เป็น แต่คือไม่บอกต่างหาก ถึงอย่างนั้นเขาเองก็รอให้ขนมผิงเป็นฝ่าย
บอกกับเขาเองด้วยความยินยอมโดยไม่ต้องคาดคั้นถามมากกว่า  ปิญญ์ชานนท์เลี้ยวรถจอดยังที่จอดรถในตึกของคอนโดของ
เขา

   

   “คอนโดของฉันเอง”บอกเมื่อเห็นว่าขนมผิงมีท่าทีสงสัย แต่ก็ได้รับคำตอบทางสายตาที่เหมือนกับคำว่า“ไม่ได้ถาม”ตวัด
กลับมาทันที

   ห้องชุดขนาดใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่เขากัดฟันจำยอมต้องขายทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่มีมูลค่าไปเกือบหมดเพราะพิษสงของใครบางคนที่เล่นเอาเขาเกือบจะหมดตัว

   “ฉันไม่ค่อยได้มา ครั้งแรกกะว่าจะขายไปซื้อหุ้นราคาขูดรีดจากคนขายเขี้ยวลากดิน แต่คิดว่าคงจะต้องใช้เข้าสักวัน เลย
เก็บเอาไว้”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่และเป็นอีกครั้งที่สายตาคู่นั้นตวัดกลับมามองไม่พอใจเช่นเดิม






   “กินเสร็จผมจะกลับเลย”กับข้าวจานสุดท้ายวางลงบนโต๊ะ กลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั่วห้องเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงาน
ได้เป็นอย่างดี

   “ยังไงก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่ง”เพราะเขาไม่อยากบังคับขนมผิงไปมากกว่านี้ กลัวว่าขนมผิงจะอึดอัด

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมให้คนมารับเอง”

   “บอดี้การ์ดของนายคนนั้นใช่ไหม”


   “ผมเลิกจ้างไปแล้ว”

   ตอบพลางตักข้าวใส่จานอย่างไม่ใส่ใจไม่รู้ทำไมถึงได้เลิกจ้าง อาจจะเป็นเพราะเวลานั้นรู้สึกเหนื่อยที่จะต่อสู้เพราะชัยชนะ

ที่ได้มานั้นมันไม่ได้หอมหวานอย่างที่คิดเอาไว้ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทีของคนตรงหน้ากัน เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรกันที่ท่า

ทีของปิญญ์ชานนท์เริ่มจะเปลี่ยนไปจนเขาไม่กลัวและไม่อึดอัดมากนักที่อยู่อยู่ใกล้อีกฝ่าย


   “ดีแล้วฉันจะได้เข้าใกล้นายได้ง่ายๆ”ปิญญ์ชานนท์เองก็ตอบออกมาง่ายๆอย่างที่พูดจริงๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่าประโยคที่พูด
ออกมากำลังทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามใจสั่น

   “ไว้กินเสร็จแล้วฉันไปส่งนายเอง ไม่ต้องรอคนมารับให้เสียเวลาพักผ่อนเปล่าๆ”





   “บ้าจริง!!”

   ขนมผิงสบถออกมาไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรของวัน ฝนที่ตั้งเข้าตั้งแต่เมื่อตอนเย็นตกลงมาจนได้ นาฬิกาบนฝาผนังบอก

เวลาสองทุ่มป่านนี้เขายังอยู่ที่คอนโดของปิญญ์ชานนท์ตามลำพังกับอีกฝ่าย

   “ผมต้องการร่ม”หันไปบอกกับใครอีกคนที่ยืนยิ้มเหมือนจะพึงพอใจ

   “ที่ห้องนี้ไม่มีของพรรค์นั้นหรอก”

   “ช่างเถอะ”บอกปัดพลางหยิบเสื้อคลุมที่ถอดวางเอาไว้เตรียมเดินออกมา

   “นายกำลังจะไปไหน ก็เห็นไม่ใช่รึไงว่าฝนมันตกอยู่”

   “ผมจะกลับแท็กซี่”

   “มันอันตราย”เขาไม่ยอมปล่อยให้ลูกเมียตัวเองไปตากฝนนั่งรถแท็กซี่ตอนที่ฝนตกหนักแบบนี้แน่ ปิญญ์ชานนท์ดึงขนมผิงเอาไว้

   “ปล่อย”

   “ผมไม่ปล่อยให้คุณกลับไปทั้งที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้หรอกนะ”

   “ผมเองก็ไม่ต้องการที่จะมานั่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่ในห้องเดียวกับคุณแบบนี้หรอก”

   “ขนมผิง”คราวนี้ปิญญ์ชานนท์จับต้นแขนตั้งสองข้างของขนมผิงให้หันมามองที่เขา ดวงตาดุดันฉาบไปด้วยความห่วงใจ
จ้องมองตาคู่สีโศก ดึงให้ขนมผิงเข้ามาใกล้ “นายก็รู้ว่าฝนตกมันอันตราย ค้างที่นี่เถอะนะ อย่างน้อยก็ให้ฝนหยุดตกก่อนก็ยังดี
ฉันพร้อมจะไปส่งนายทุกเวลาที่นายต้องการ ขอแค่ไม่ต้องให้นายไปเสี่ยงแบบที่นายกำลังจะทำอยู่ตอนนี้”





   สุดท้ายทั้งที่ไม่คิดจะยอม แต่คำถามที่ว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์ขอร้องคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไรทำให้ขนมผิงเดินออกมาจาก
ห้องน้ำในคราบของชุดนอนลายเรียบสีเข้ม

   ปิญญ์ชานนท์เป็นคนตัวใหญ่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่ใช่คนตัวเล็กแต่ชุดนอนที่ใส่อยู่มันก็หลวมและยาวจนต้องพับเพื่อไม่ให้
ลากพื้นและเดินสะดุด และสภาพของเขามันก็ทำให้คนที่นอนรอคิวอาบน้ำต่อจากเขาอมยิ้มเหมือนกำลังกลั้นขำ

   “ไม่ยักรู้ว่าชุดนอนของฉันเหมาะกับคุณแม่อย่างนายขนาดนี้”

   “ประสาท”คำก็คุณแม่สองคำก็คุณแม่เหมือนกับปิญญ์ชานนท์กำลังจะเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยการกวนอารมณ์ที่
พยายามนิ่งสงบให้ขุ่น

   ขนมผิงทิ้งตัวลงนั่งริมขอบเตียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเพื่อบอกมารดาว่าเขาติดฝนอยู่ที่ทำงาน ถึงจะโกหก แต่ก็
เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

   

   ไม่นานประตูห้องน้ำก็เปิดออกอีกครั้งตามด้วยกลิ่นสบู่แบบเดียวกันลอยฟุ้งออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามกลิ่นออกมา

   “ทำอะไรอยู่”

   “นั่นมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ผมมีสิทธิที่จะทำอะไรโดยที่ไม่ต้องคอยบอกใคร”จงใจตอบแบบยียวนออกไปเพราะรู้สึกว่า
ปิญญ์ชานนท์ชักจะเข้ามายุ่งกับชีวิตของเขามากจนรู้สึกว่ามันมากจนตั้งรับไม่ทัน

   “ฉันขอใช้สิทธิความเป็นสามีของนายตรวจสอบว่านายกำลังทำอะไรกับโทรศัพท์ ใครจะรู้ว่านายอาจจะแอบคุยกับอีหนู

ที่ไหนก็ได้”

   ไม่พูดเปล่าปิญญ์ชานนท์ยังเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของขนมผิง เข่าข้างหนึ่งยกขึ้นชันกับผืนที่นอนข้างตัวของอีกฝ่ายจน
มันยวบลง ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฉุดดึงให้ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ

   แต่นั้นก็เหมือนกับขุดหลุมฝังตัวเองเมื่อปิญญ์ชานนท์ไม่ยอมหยุดเอาๆไว้แค่ตรงนั้น มือใหญ่คว้าโทรศัพท์จากมือของขนม
ผิงแล้วโยนทิ้งลงบนเตียงไม่สนใจว่ามันจะไปตกอยู่ตรงไหน จมูกโด่งเฉียดลงบนหน้าผากมน ไล่ลงมาที่จมูกเกือบ จมูกของเขา

กับขนมผิงเกือบจะแตะกันหากขนมผิงไม่ถอยหนีส่งผลให้หงายราบไปกับผืนเตียงโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วปิญญ์ชา
นนท์ก็ไม่ยอมหยุดง่ายๆแน่นอน

   การเห็นคนรักอยู่ในชุดนอนของตัวเองหลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆมันเหมือนกับเป็นตัวปลุกกระตุ้นอารมณ์ชายชั้นดีให้ลุกขึ้น
มาโหมกระหน่ำเหมือนกองไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน

   เขาเคลื่อนกายขึ้นคร่อมทับร่างสูงโปร่งที่นอนราบอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวสะอาดเต็มไปด้วยความประหม่า
   “ถอยไป”

   ขนมผิงสั่ง พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปรกติ ตกใจที่ปิญญ์ชานนท์ทำแบบนี้ ตกใจจนรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง มันเหมือน
กับร่างกายไม่มีแรงเอาซะดื้อๆ

   “นายก็ผลักฉันออกเองสิ”

   เพราะตอนนี้ปิญญ์ชานนท์เองก็แทบจะระงับอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ กลิ่นสบู่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันต่าง กลิ่น
กายของขนมผิงช่างเร้าอารมณ์จนเสียห้ามมันเหมือนไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของเขาเลย

   และขนมผิงเองไม่ได้ผลักไสเขาให้ลุกออกไป ไม่แม้จะเบือนหน้าหลบริมฝีปากของเขาที่โน้มลงไปชิด อีกเพียงเศษเสี้ยว
ของปลายก้อยที่ริมฝีปากของเขากับขนมผิงห่างกัน


   ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนแรงปลุกเร้าทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยแม้เล็กน้อยไม่ไหว ริมฝีปากหยักกดจูบลงไปแนบสนิท
ค่อยๆบดคลึงลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่ม

   กลิ่นหอมเย็นของยาสีฟันยังคงหลงเหลือ คล้ายกับยิ่งกระตุ้นให้ชายหนุ่มอยากที่จะเข้าไปทักทายด้านในที่ไม่ได้ลิ้มรสมา
นาน ลิ้นร้อนสอดเข้าไปเค้นคลึงทันท่วงทีดั่งใจนึก

   ถึงแม้จะมีแรงสะดุ้งเล็กๆและแรงผลักเบาๆจากร่างข้างใต้ แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นเป็นการต่อต้านหรือผลักไสแต่อย่างใด
เพราะดวงตาคู่สีดำสนิทของขนมผิงได้ปรือลงจนปิดสนิทยามที่ลิ้นของชายหนุ่มเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าเชิญยวนอยู่ข้างใน

   มือทั้งสองข้างของขนมผิงกำต้นแขนของปิญญ์ชานนท์เอาไว้แน่นเงยหน้าขึ้นคล้ายจะหลีกหนีแต่มันก็เหมือนกับเป็นการ
ตอบรับให้ปิญญ์ชานนท์ได้ล่วงล้ำเข้ามาอย่างถนัดถนี่

   เสียงฝนข้างนอกหน้าต่างยังคงตกชุก ปิญญ์ชานนท์ยังคงจูบและเคล้าคลึงข้างในอย่างแผ่วเบาละเลียดเหมือนกับกินของ
หวานที่มันสามารถละลายได้ในปากทันทีที่ลิ้มลอง ความอุ่นร้อนของกายสูงใหญ่ที่ทาบทับส่งผ่านให้ขนมผิงได้รับรู้ถึงความรู้สึก
ของอีกฝ่ายที่สื่อออกมาทางภาษากาย

   ปิญญ์ชานนท์ถอนจูบออกไปแล้ว แต่ยังคงละเลียดอยู่ที่ริมฝีปากอิ่ม เคล้นคลึงจูบย้ำๆให้ขนมผิงได้มึนงง เพราะความคิดที่
มีมากจนเกินไปทำให้เวลานี้ไม่รู้สึกว่าอยากจะคิดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และอดเถียงไม่ได้ว่า
มันอาจจะเป็นความรู้สึกโดยหาที่ปะปนอยู่ในความเคยชิน

   ชายหนุ่มลิ้มชิมรสจากริมฝีปากบางอยู่พักใหญ่ จนมือใหญ่ค่อยๆเลื่อนลงมาปลดประดุมเสื้อนอนของร่างข้างใต้ทีละเม็ด


อย่างใจเย็น เวลานี้เขาตื่นตัวเต็มที่แล้ว และการที่ขนมผิงไม่ได้ปฏิเสธนั้นก็ทำให้ยิ่งลำพองใจ

   กระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก แผ่นอกแบนราบอีกทั้งเรียบเนียนลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามือใหญ่แหวกเปิดเอาสาบ
เสื้อออก มือหนาเลื่อนลงไปเคล้นคลึงที่บั้นเอวของขนมผิงค่อยๆเน้นย้ำก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้ขอบยางยืดของกางเกง
   “อุ อุ๊ก “

   ทว่า เสี้ยววินาทีที่มือนั้นจะสอดล่วงล้ำเข้าไปในกางเกง ร่างสูงใหญ่ก็ลอยหวือหงายหลังลงไปก้นจ้ำเบ้าบนพื้นห้องนอน
ด้วยแรงส่งจากฝ่าเท้าของคนที่วิ่งผ่านเข้าไปในห้องน้ำด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทัน ตามมาด้วยเสียงอาเจียนอย่างหนัก
ดังมาจากในห้องน้ำ



   “หวงแม่สินะ”



   ปิญญ์ชานนท์หัวเราะเล็กๆในลำคอคล้ายกับหัวเราะเยาะกับตัวเองอย่างตลกร้าย ก่อนจะเดินตามขนมผิงเข้าไปในห้องน้ำ
กึ่งกลางร่างกายของเขายังคงตื่นตัวเหมือนสิงโตที่กำลังคำรามในเวลาที่กำลังจะออกล่าเหยื่อ ทว่าหมูป่าน้อยที่เป็นเหยื่อตัวนั้น
ได้หนีไปเสียแล้ว

   ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเดินเข้าไปใกล้ร่างที่โก่งตัวอาเจียนอยู่ตรงชักโครก ยกมือขึ้นมาลูบหลัง สัมผัสได้ถึงแรงสะดุ้ง
เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร

   อาหารมื้อเย็นที่พึ่งจะกินด้วยกันไปถูกขย้อนออกมาจนหมด เขาไม่ได้รังเกียจเลยสักนิดแต่กลับกันเขากลับรู้สึกเห็นใจและ
รู้สึกผิดเสียมากกว่า

   “นายเดินไหวไหม”


   เขาประคองขนมผิงออกมาจากห้องน้ำ ราวกับว่าอารมณ์ของคนท้องมันเปลี่ยนได้ง่ายดายหรือว่าอะไรเขาเองก็ไม่แน่ใจ
เพราะทันทีที่เอื้อมมือเข้าไปหมายจะประคองก็ถูกปัดออกทันที

   “นายนอนพักก่อน เดี๋ยวฉันออกไปเอาน้ำมาให้”

   เขาบอกเสียงเบาก่อนจะเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำส่งให้

   ขนมผิงหลุบตาจ้องมองปลายเท้าตัวเอง แสดงออกถึงท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะรับแก้วน้ำนั้นมาดื่ม ไม่อยากที่
จะตอบรับน้ำใจอะไรจากปิญญ์ชานนท์ แต่คนที่ทำให้เขาต้องจมอยู่กับความทรมานแบบนี้มันจะเป็นใครไปได้ถ้าหากไม่ใช่ปิญญ์
ชานนท์ คนที่เขาคอยตอกย้ำหัวใจว่าเกลียดแสนเกลียด และเขาก็ย้ำเตือนความคิดของตัวเองเสมอว่าปิญญ์ชานนท์นั้นก็เกลียด
ตนเองเช่นกัน

   “นายอยากกินอะไรที่เปรี้ยวๆ หรืออะไรที่ทำให้นายหายคลื่นไส้ไหม”

   เมื่อขนมผิงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาปิญญ์ชานนท์จึงย่อตัวคุกเข่าข้างหนึ่งเงยหน้าให้สายตาอยู่มนระดับเดียวกัน ฝ่ามือใหญ่
แตะลงบนผิวหน้าของขนมผิงเบามือเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่ที่มุมปาก ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมานั้นทำให้หัวใจ
ของขนมผิงสั่นรัว ความรู้สึกบางอย่างที่มันวูบขึ้นมาฉุดให้เกิดความสับสนปัดมือของปิญญ์ชานนท์ออกอีกครั้ง



   “คุณต้องการอะไร ที่ทำอยู่เป็นเพราะอะไรกันแน่ เมื่อไรจะไปจากชีวิตของผมกับลูกสักที”

   เขาตั้งคำถามเดิมๆกับอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาในแต่ละครั้งไม่เคยทำให้รู้สึกพึงพอใจในคำตอบได้
เลยสักครั้ง ทั้งหมดมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือว่าคำตอบที่ได้รับมันไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการจะได้ยิน

   “ถ้าฉันพูดออกไปในตอนนี้ นายอาจจะไม่เชื่อที่ฉันพูด เวลามันจะเป็นตัวตอบคำถามของนายเอง”

   “ออกไปจากชีวิตของพวกเราเถอะนะ ออกไปสักที”น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ

   “ไม่ว่านายจะไล่ฉันยังไงฉันก็ไม่มีทางปล่อยนายไปอีกอยู่ดี”

   “แล้วถ้าผมขอร้องล่ะ คุณจะยอมไปไหม จะยอมหายไปจากชีวิตของผมกับลูกไหม ขอร้องไปสักที คุณจะเข้ามาในชีวิต
ของพวกเราอีกทำไม ในเมื่อคุณเองก็เกลียดผมไม่ใช่รึไง ต่างคนต่างอยู่ อย่ามาข้องเกี่ยวกันอีกเลย ผมไม่อยากที่จะ…ไม่อยากที่
จะเห็นหน้าคุณอีกต่อไปแล้ว ไม่อยากที่จะ”

   ไม่อยากที่จะต้องมาคิดกับความรู้สึกบ้าๆที่มันเกิดขึ้นมาในเวลาที่ปิญญ์ชานนท์มาทำดีด้วย ไม่อยากที่จะคาดหวังว่าจะมี
ใครรอตนอยู่เหมือนเมื่อวานอีกไหม ไม่อยากจะคาดหวังอะไรเพราะความเจ็บปวดที่เคยได้รับมันมากเกินไปที่จะเปิดใจให้กับฝัน
ลมลมแล้งๆ

   ไม่อยากที่จะยอมรับว่าเวลานี้ตัวเขาเองรู้สึกราวกับเด็กเล็กๆที่แสนจะอ่อนแอร้องไห้ให้กับอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองรู้สึก
เสียใจ น้ำตาที่ไหลรินลงมาเป็นตัวบ่งบอกถึงความบอบช้ำภายในได้เป็นอย่างดี เหมือนที่เคยเป็นในอดีต

   แต่ครั้งนี้มันกลับมีฝ่ามือนั้นคอยรองรับ คอยปัดเช็ดเอาความเจ็บปวดที่หลั่งรินให้เหือดแห้ง ประคองใบหน้าจูบซับลงมาบ
นพวงแก้ม

   “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ จะมาทำดีกับผมทำไม…ในเมื่อเราเกลียดกัน”

   “เปล่าเลย ฉันไม่ได้เกลียดนาย ฉันไม่ได้เกลียดนายเลย ขนมผิง”แต่ฉันรักนาย เขาอยากจะพูดคำนี้ออกไป แต่มันยังไม่ถึง
เวลา “ที่ฉันทำเพียงเพราะฉันอยากจะทำ ไม่ใช่เพราะว่าฉันเกลียดนาย”

   “ใครมันจะไปเชื่อ คนอย่างคุณ…คนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง”

   “ฉันยอมรับว่าฉันเป็น แต่นั่นมันเป็นเพียงอดีต”

   “แล้วที่คุณทำทั้งหมดมันเพื่ออะไร จะเข้ามาในชีวิตของผมกับลูกอีกทำไม ผมถามว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ ช่วยตอบ
อะไรที่มันชัดเจนจะได้ไหม”ทนไม่ไหวที่จะต้องมาตีความคำตอบต่างๆนานาอีกแล้ว ขนมผิงผลุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินหนี

   ความอ่อนไหวทางสภาวะอารมณ์ของเขาในเวลานี้มันอ่อนแอเกินไป ทว่าข้อมือก็ถูกรั้งดึงเอาไว้ไม่ให้เดินหนี ถูกคึงเข้าไป
สวมกอดจากทางด้านหลังอย่างง่ายดาย

   “นายอย่าหนีอีกเลยฉันขอร้อง อย่าหนีทั้งที่ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับนาย อย่าหนีให้ฉันต้องคอยตามหานาย
เหมือนกับคนบ้าที่ไม่รู้อะไรอีกเลยนะขนมผิง”

   “ปล่อยเถอะ”

   “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่มีวันปล่อย ตราบใดที่ฉันยังอยู่ต่อให้ต้องทิ้งศักดิ์ศรีให้นายมองฉันเหมือนเป็นสุนัขข้างทางฉันก็จะทำ
ถ้ามันสามารถทำให้นายหนีฉันไปไหนไม่ได้ ฉันขอร้อง ถอนหมั้นเถอะนะขนมผิง ยกเลิกงานหมั้นซะ”

   คำขอของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงชะงักมือที่พยายามแกะอ้อมแขนของปิญญ์ชานนท์ออกจากเอว ดวงตาสีโศกไหว
ระริกอีกครั้ง สิ่งที่ปิญญ์ชานนท์กำลังพูดถึงเป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาหนักใจ ในเมื่อเขากำลังท้องลูกของปิญญ์ชานนท์…อีกครั้ง

   “ไม่ เป็นไปไม่ได้ มันยกเลิกไม่ได้”

   การยกเลิกงานหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนหน้ามันเป็นเรื่องใหญ่ ฐานะและหน้าตาของครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมันเป็น
สิ่งสำคัญที่เขาจะทำลายไม่ได้ เขาไม่อยากทำให้ครอบครัวของตัวเองต้องมาแปดเปื้อนเพราะสิ่งที่เขากระทำ

   “ต้องได้สิ กับแค่ยกเลิกแค่นี้”

   “ผมบอกว่ายกเลิกไม่ได้ไง ปล่อยเถอะ ผมจะออกไปนอนข้างนอก”ขนมผิงบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

   “นายเป็นเมียของฉัน”

   “ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”

   “ก็ได้ แต่นายนอนในห้องนี้เถอะนะ ข้างนอกอากาศเย็น มันจะทำให้นายป่วยได้”ชายหนุ่มดึงให้อีกฝ่ายนอนลงบนเตียง
ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปรกคลุมภายในห้อง มีเพียงเสียงฝนเท่านั้นที่เป็นเหมือนบทเพลงกล่อมให้ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิด
ของตัวเอง

   ร่างกายของขนมผิงจมอยู่ในอ้อมกอดของปิญญ์ชานนท์  บวกกับความเหนื่อยล้าและความคิดมากมายที่เข้ามาถาโถม
ทำให้หลับไปอย่างง่ายดายโดยไม่ขัดขืนอ้อมแขนที่กอดรัดเอาไว้ ปิญญ์ชานนท์เองก็เช่นกัน ความอบอุ่นที่ตัวเองโอบกอดอยู่ใน
เวลานี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุข ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วคราวที่ความรู้สึกอิจฉาก่อเกิดขึ้นในใจ แต่มันก็แค่นั้นในเมื่อทุกอย่างเขา
เตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้ว เขาจะไม่ยอมให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาในเวลานี้หนีไปได้เหมือนครั้งก่อน เขาจะต้องล้มเลิก
งานหมั้นของขนมผิงให้ได้ ถึงแม้จะต้องใช้วิธีที่สกปรกแค่ไหนก็ตาม

   

   ---------------------------------------------------------------------------------------


มีต่อ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33 ขอร้อง ❖ 14-05-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 25-06-2016 14:44:53

   “เอารูปพวกนี้ส่งให้นักข่าวแล้วก็พวกหนังสือซุบซิบดารา ฉันต้องการให้รูปพวกนี้ออกในรายการข่าวบันเทิงของทีวีทุกช่อง
แล้วก็หนังสือซุบซิบดาราทุกเล่ม”

   รูปถ่ายจากมุมอับมากมายจากหลายสถานทีนับสิบใบถูกวางลงบนโต๊ะทำงานเบื้องหน้าของชายหนุ่มรอยยิ้มร้ายเหยียดลง
บนริมฝีปากเช่นเคยเรียกให้ชายหนุ่มเลขาของเขาอมยิ้มตาม ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเลยสักนิดกับสิ่งที่เจ้านายของตนกำลังทำอยู่

   “ได้ครับ วันพรุ่งนี้รูปนี้จะปรากฏอยู่ในข่าวทุกช่อง และหนังสือทุกเล่มที่กำลังจะออกวางขาย”มาลิศตอบรับเจ้านาย

   “อืม ไปได้แล้ว ขอบใจนายมาก”

   

   หลังจากที่เลขาคนสนิทเดินออกไปไม่นาน เสียงข้อความของแอพพลิเคชั่นบางอย่างก็แจ้งเตือนให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ตรวจเช็ค เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ รูปถ่ายชุดใหม่ถูกส่งมาเพิ่มเติม และคราวนี้ชายหนุ่มก็ค่อนข้างพอใจกับความใกล้ชิดที่มากเกิน
พอดีของคนสองคนที่ปรากฏอยู่ในรูป อดไม่ได้ที่จะโทรหาใครคนที่ส่งรูปพวกนั้นมาให้เขา

   ‘ว่าไง รูปพวกนั้นชัดพอไหม’ปลายสายตอบรับทันทีที่กดรับสาย

   “อืม ชัดพอแล้ว วันพรุ่งนี้ฉันจะให้คนส่งเช็คไปให้นาย”

   ‘อะไรกัน คนกันเองแค่นี้ ว่าแต่ทำไมแกถึงให้ฉันไปจีบเดหลีทั้งที่รู้ว่ายัยนั่นกำลังหมั้นแล้ว’

   “ไม่จำเป็นที่นายจะต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้”

   ‘หรือเป็นเพราะที่หล่อนถอนหมั้นแก ฮ่า ฮ่า แกนี่ร้ายใช่ย่อย ไหนจะแก้แค้นยัยเดหลี ไหนจะหักอกคู่แข่ง’

   “มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกน่ามาเวล ว่าแต่นายจะกลับแคนาดาเมื่อไรกัน”

   “อืม ก็คงอีกไม่นานหรอก แต่ยังไงก็ต้องขอบใจแกมากนะสำหรับค่าขนมในช่วงที่ฉันหลบงานมาพักร้อนแบบนี้”

   “คงไม่มีใครพักร้อนในหน้าฝนเหมือนกับนายหรอกนะ แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องขอบใจนายมาก ครั้งนี้ฉันติดหนี้บุญคุณนายครั้ง
ใหญ่”

   ‘ติดหนี้อะไรกัน ถือซะว่าฆ่าเวลา ว่าแต่แกดูแปลกๆไปนะปิญญ์ ตั้งแต่เรียนจบเราไม่ได้เจอกันนานจนแกเพี้ยนไปรึเปล่า
เหมือนจะเปลี่ยนไปมาก หรือว่าฉันแค่คิดไปเอง’

   “ไม่นี่ นายคงจะคิดไปเองจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรฉันไม่รบกวนนายแล้วล่ะ”

   ‘โอเค บาย แล้วเจอกัน’

   ปิญญ์ชานนท์วางโทรศัพท์เครื่องแพงลงบนโต๊ะทำงาน มือใหญ่ปลดเน็กไทเล็กน้อยอย่างผ่อนคลายก่อนจะค้าเอากรอบรูป
ที่ตั้งอยู่ที่มุมโต๊ะมาจดจ้อง ส่งยิ้มให้มันราวกับคนบ้า แต่เป็นใครเล่าทำงานมาเหนื่อยๆจะไม่นั่งยิ้มให้กับรูปของลูกเมียตัวเอง รอ
อีกแค่ไม่นาน ครอบครัวที่เขาหวังเอาไว้ก็จะสมบูรณ์ เพื่อทุกคน



   -------------------------------------------------------------------------------------



   “เอ่อ คุณพิศค่ะ คุณแน่ใจนะคะว่าครั้งที่แล้วคุณบอกไม่ให้คุณปิญญ์เข้าใกล้ลูกเรากับเด็กๆ”

   “ใช่ ผมก็คิดว่าผมพูดไปแบบนั้น แต่ไหงมันถึงได้เป็นแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”สองคนสูงวัยกระซิบกระซาบผลัดกัน
มองหน้าแขกที่ไม่เคยได้รับเชิญแต่ก็พาตัวเองมาถึงที่นี่อีกจนได้ พร้อมกระเช้าผลไม้เถาใหญ่เช่นเคย

   “วันนี้ผมมารับเด็กๆไปทานข้าวนอกบ้านน่ะครับ”ตอบเองเสร็จสรรพพร้อมอวดยิ้มอย่างเป็นมิตร

   “แต่ว่าตาผิงพาเด็กๆไปกินไอศกรีมข้างนอกกันหมดแล้ว เห็นทีคุณคงจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ”พิศณุกล่าวไม่วายวางท่าทีนิ่ง
สงบต่างจากทุกทีที่มักจะอยู่ในคราบของผู้ใหญ่ใจดี

   “อย่างนั้นเหรอครับ ว่าแต่คุณพ่อกับคุณแม่รู้หรือเปล่าครับว่าขนมผิงกับลูกไปที่ไหนกันผมจะได้ตามไปถูก”

   “เอ่อ”ลำดวนถึงกับตอบไม่ถูก หันไปกระพริบตาปริบๆให้กับสรรพนามที่ถูกเปลี่ยนอีกแล้ว แอบกระตุกชายเสื้อสามีเบาเบา
ให้จัดการแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้าเสียที อีกไม่นานลูกชายของเธอก็ต้องแต่งงานแล้ว จะให้มีใครเดินเข้าออกบ้านมาหาบ่อยๆก็
คงจะดูไม่เหมาะ แล้วยิ่งไปกว่านั้นใครที่ว่าก็เป็นผู้ชายเสียด้วย

   “เรื่องนี้ก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่ไหน ผมว่าคุณอย่าตามไปเลยดีกว่า เพราะลูกชายของคงจะอยู่กับคู่หมั้นของเขา”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าผมตามไปถูก ถ้าอย่างนั้นผมลาเลยนะครับ ไว้ผมจะมาเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ใหม่”

   นี่ล่ะมั้งคงจะเรียกว่ามัดมือชก ปิญญ์ชานนท์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ถ้าอายเขาก็คงอด เขาคิดเช่นนั้นถึงได้ปลุกความ
มั่นใจและความกล้าเพื่อจะด้านแล้วได้



   _______________________________________________________



   “ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะคะคุณผิง เดหลีชักน้อยใจซะแล้วสิ”

   “ช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ เลยไม่ได้ออกมาเจอคุณ”ขนมผิงตอบไปอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมเขาถึงยังต้องฝืนยิ้ม

   เขายอมรับว่าไม่มีเวลาให้กับเดหลีเพราะความรู้สึกผิดเป็นชนักติดหลังของเขาทำให้คิดไม่ตกว่าเขาจะทำหน้าอย่างไรเวลา
เจอหน้ากับเธอทั้งที่ในท้องยังมีลูกของปิญญ์ชานนท์อยู่ข้างใน

   “อย่างนั้นเหรอคะ ถ้าไม่สบายก็น่าจะบอก เดหลีจะได้เป็นฝ่ายไปหาเอง”

   “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ สั่งอาหารกันดีกว่าเด็กๆคงหิวแล้ว”ขนมผิงบอกปัดหันไปลูบหัวสองแฝดที่คุยเล่นกันคิกคักจิ้ม
นิ้วลงไปบนเมนูอาหารอย่างอารมณ์ดี

   “ดีเหมือนกันค่ะ แต่เดหลีกินมากไม่ได้นะคะ ช่วงนี้ไดเอท”

   “อืม”ขนมผิงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ

   ไม่ได้ใส่ใจจนไม่รู้ว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาชะงักอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรกับความเหินห่างที่ไม่รู้ทำไมเธอถึง
คิดว่ามันเพิ่มมากขึ้นทั้งๆที่วันหมั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที

   มันทำให้เธอเริ่มเหงาและเคืองใจ เพราะขนมผิงไม่มีเวลาให้เธอเลย จะออกมาหาเธอทีก็ในเวลาที่เธอเป็นฝ่ายนัดออกมา
แต่ส่วนมากก็มีเด็กๆตามติดมาด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะรักเด็ก แต่บางครั้งเธอก็ต้องการมีเวลาส่วนตัวกับคนที่กำลังจะมาใช้ชีวิตที่
เหลืออยู่กับเธอบ้าง ไม่แปลกที่เธอจะเผลอใจให้กับคนอื่นที่เข้ามาใกล้ชิดกับเธอเลยสักนิด



   “ระวังร้อนครับ”ขนมผิงหันไปบอกลูกชายเช่นนั้นก่อนจะก้มลงเช็ดเศษอาหารมุมปากของลูกชายทีละคน

   “ฮะ กริมเป่าก่อน”

   “หลิ่มอยากกินไอติมแล้วฮะ”

   “เดี๋ยวปะป๊าสั่งให้ครับ แต่ต้องกินในจานให้หมดกันก่อน”

   “ได้ฮะ จะกินให้หมดเลย”

   สองแฝดผลัดกันตอบรับ ยิ้มจนแก้มป่องสีชมพูใสบวมจนปริ สร้างโลกส่วนตัวกันใครอีกคนในวงออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่รับรู้
ว่ามือแต่งแต้มสีทาเล็บนั้นกำลังกำช้อนส้อมในมือแน่น

   “อิ่มแล้วเหรอครับ ทำไมถึงทานน้อยล่ะ”ขนมผิงเหลือบไปเห็นจานอาหารของอีกฝ่ายที่ยังหลงเหลืออาหารอยู่เต็มจาน

   “อิ่มแล้วค่ะ เดหลีไม่ค่อยหิว”

   “ครับ”

   ถึงจะดูมึนงงกับท่าทีของเดหลีที่แทบจะไม่แตะอาหารแต่ขนมผิงก็เลือกที่จะหันไปดูแลลูกๆมากกว่า จนไม่ได้สังเกตเห็น

เลยว่าใครอีกคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ และหยุดอยู่ที่โต๊ะของพวกเขา



   “บังเอิญจังเลยนะ ไม่คิดว่าจะมาเจอพวกเธอที่นี่”น้ำเสียงสูงที่ดูน่าหมั่นไส้ทำให้ขนมผิงตวัดตาไปมองผู้มาเยือนทันที

   ทำไมกันนะเขาถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป และทำไมกันนะเขาถึงได้รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ได้บังเอิญอย่างที่พูดเอาไว้
เลย แต่ถึงอย่างนั้นเด็กๆก็พากันดีใจจนออกนอกหน้า

   “พ่อปิน/พ่อปิน”

   “ทำไมถึงได้มาที่นี่ล่ะ แล้วทำไมเด็กๆถึงเรียกเขาว่าพ่อล่ะคะ”ประโยคแรกถามเอากับคนที่ใช้คำว่าบังเอิญแต่ประโยคถัดมา
หันมาถามเอากับขนมผิง

   เธอค่อนข้างแปลกใจเลยทีเดียวที่อดีตคู่หมั้นกับว่าที่คู่หมั้นจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันต่อหน้าเธอแบบนี้ แล้วดูเหมือนทั้ง
คู่จะรู้จักกันมากกว่าที่เธอคิดว่าเป็นเพียงคู่แข่งทางธุรกิจเสียด้วย

   “บางทีเด็กๆอาจจะอยากได้ฉันเป็นพ่อมากกว่าอยากได้เธอเป็นแม่ก็ได้ ใครจะไปรู้”

   ปิญญ์ชานนท์ไม่เท้าความเชิญตัวเองนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะไม่วายหันไปยกยิ้มให้กับว่าที่คุณแม่เพื่อกวนอารมณ์

   “ประสาท”

   “หึหึ ฉันกำลังหิวพอดีเลยสินะ ว่าแต่เธอ อิ่มแล้วใช่ไหม”หัวเราะในลำคอเล็กๆ แล้วยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารก่อน
จะหันไปถามผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม

   “อะ อ่อ ค่ะ เดหลีอิ่มแล้ว ว่าแต่พี่ปิญญ์ ทำไมถึงได้”

   “เธอจะถามอะไรก็ถามมา ฉันหิวจนอยากจะจับใครแล้วนี้กินเลยล่ะ”พูดติดตลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้เดหลียิ่งแปลก
ใจ มองดูท่าทีขี้เล่นอุ้มเอาเด็กๆมากอดมาหอมให้ได้หัวเราะคิกคักนั่นอะไรกัน มันไม่ใช่ปิญญ์ชานนท์คนเย็นชาที่เธอเคยรู้จักเลย
สักนิด

   “ไม่มีอะไรค่ะ แค่สงสัยว่าทำไมถึงได้โผล่มาแถวนี้”

   “ถ้าเธออิ่มแล้วจะกลับก่อนก็ได้นะ ไม่มีใครว่า ใช่ไหมขนมผิง นายคงจะไม่ว่า”

   “ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”

   มันเหลือเกินกับผู้ชายคนนี้จริงๆ คงจะมีแค่เด็กๆที่ดีใจกับการโผล่มาแบบตั้งใจของอีกฝ่าย เหลือแค่เขากับเดหลี อันที่จริง
เขาเองก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรเพราะพฤติกรรมของปิญญ์ชานนท์เริ่มเปลี่ยนไปมากในช่วงพักใหญ่ที่ผ่านมา แต่กับเดหลีเธอดู
ค่อนข้างจะแปลกใจจนตกใจเลยก็ว่าได้



   “เดี๋ยวเดหลีขอตัวไปรับโทรศัพท์สักครู่นะคะ”เธอขอตัวเมื่อชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องแพงเป็นชื่อที่ในเวลานี้
คงเป็นคนที่เธออยากจะคุยมากที่สุดในเวลาที่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างที่เป็นอยู่

   เธอเดินออกไปและไม่นานก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ใบหน้าแดงเรื่อซ้ำยังติดอมยิ้มอยู่ที่มุม
ปาก

   “งานด่วนเหรอครับ”แทนที่จะเป็นว่าที่คู่หมั้นคนปัจจุบันที่ต้องถาม แต่ทำไมถึงได้โดนอดีตตัดหน้าถามไปเสียได้

   “ค่ะ เดี๋ยวเดหลีขอตัวก่อนนะคะ มีงานด่วนเข้ามา ไว้วันหลังเดหลีนัดคุณออกมาอีกทีนะคะ”

   “ครับ ไม่เป็นไร ขับรถดีดีนะครับ”

   “ค่ะ บายค่ะ”

   เธอเดินอ้อมไปฝั่งโต๊ะตรงข้าม จงใจโน้มหน้าลงไปจรดกลีบปากสีแดงฉาดลงบนแก้มของขนมผิงประทับรอยสีแดงของ
ลิปสติกเอาไว้ให้ใครบางคนที่มองได้ขุ่นเคืองขึ้นมาทันที แล้วเธอก็เดินจากไป

   แต่ก็ไม่มีใครรู้เห็นเกี่ยวกับรอยยิ้มของผู้มาใหม่เลยสักนิด รอยยิ้มที่แสยะอย่างพึงพอใจและแสนจะเจ้าเล่ห์ของปิญญ์ชา
นนท์

   

   “เมื่อไรคุณจะเลิกให้คนตามพวกเราสักที”ขนมผิงกัดฟันพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน

   “ไม่มีกำหนด ใครจะรู้ว่าเมียของตัวเองจะแอบหนีมากินข้าวกับผู้หญิงอื่นแบบนี้”

   “ถ้าปากว่านักก็เอาของพวกนี้ยัดใส่เข้าไปเถอะ ผมเหนื่อยที่จะคุยกับคุณเต็มที”ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ทำไมกันนะ ความ
อึดอัดที่มีอยู่มันกลับเลือนหายไปในพริบตา

   

   “คิดจะทำอะไร”อุทานออกมาพร้อมเบือนหน้าหลบกระดาษทิชชู่ที่จงใจเช็ดลงมาบนแก้ม

   “อย่าให้ใครมาแตะต้องตัวนายง่ายๆสิ”

   “นั่นมันก็เรื่องของผม”

   “มันก็เป็นเรื่องของฉันเหมือนกันที่ฉันจะหึง”

   “หึงคู่หมั้นเก่าสินะ”ขนมผิงอดเหยียดยิ้มดูแคลนให้กับคำพูดประชดประชันของตัวเองไม่ได้

   “นายนี่บางทีก็เหมือนกับเด็กที่เข้าใจอะไรยากเหมือนกันนะ”

   “คุณเองก็หน้าหนาเหมือนกับถนนที่รถวิ่งเหยียบย่ำเท่าไรก็ไม่ยอมพังสักที”

   “ปากอย่างนี้อยากโดนจูบโชว์ลูกสักทีไหมล่ะ”

   คำขู่ที่ไม่เพียงแค่ขู่แต่ใบหน้าคมคายประดับยิ้มระรื่นนั้นกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนต้องผงะทำให้เผลอกลืนน้ำลายลงคอไป
อึกใหญ่ ไม่ว่ายังไงมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะสบัดปิญญ์ชานนท์หน้าหนาคนนี้ให้หลุดไปจากชีวิต


หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33+34 ❖ 25-06-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 25-06-2016 14:47:59
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33+34 แผนการร้าย ❖ 25-06-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-06-2016 17:44:19
ขนมผิงจะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย ไหนจะท้องใหม่อีกรอบแล้วยังมีปิญญ์คอยตามตื้ออีก
อยากให้อิปิญญ์มันเจ็บมากกว่านี้จัง เพราะเท่าที่อ่านยังไม่สาสมกับที่เคยทำกับขนมผิงเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 33+34 แผนการร้าย ❖ 25-06-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-06-2016 21:57:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 คนที่ไม่รู้จัก ❖ 20-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-07-2016 03:53:31
31 แผนการร้าย




   “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมถึงยังมีข่าวพวกนี้หลุดออกมาไม่เว้นแต่ละวัน แกลืมไปแล้วรึไงว่าแกกำลังจะหมั้น”

   เสียงตวาดดังก้องพร้อมกับนิตยสารข่าวดาราปึกใหญ่ถูกโยนลงบนโต๊ะแสดงออกถึงความไม่พอใจของชายรุ่นใหญ่เจ้าของ
เสียงและการกระทำอย่างเห็นได้ชัด

   “เดหลีไม่ลืมหรอกค่ะว่าเดหลีกำลังจะหมั้น”

   “แล้วไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวที่แกไปมีข่าวล่ะ มันเป็นใคร”


   “ก็แค่คนรู้จัก ไปกินข้าว ไปดูหนังเหมือนคนปกติเขาทำกันนี่คะ”หญิงสาวตอบหน้ามุ่ย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่เธอระวัง
ตัว แต่ทำไมถึงยังมีข่าวพวกนี้ออกมาทำให้เธอกับพ่อของรำคาญใจอยู่ตลอดเวลาในช่วงนี้

   “ยังไงก็แล้วแต่เลิกติดต่อกับมันซะ ฉันไม่ต้องการให้มีข่าวเสียหายให้กับครอบครัวของเรา แกก็รู้ว่ามันไม่เป็นผลดีถ้าหาก
ลูกสาวของฉันจะถูกยกเลิกงานหมั้นถึงสองครั้งภายในเวลาไม่กี่เดือน ฉันไม่อยากจะเสียผลประโยชน์อะไรไปมากกว่านี้”

   “ค่ะ เดหลีรู้ว่าพ่อห่วงหน้าตาของตัวเองแค่ไหน”เพราะพ่อของเธอกำลังจะลงเล่นการเมือง เรื่องข่าวเสียหายของคนใน
ครอบครัวย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญเธอรู้ดี

   แต่มันก็ทำใจได้ยากกับรักครั้งใหม่ที่กำลังจะก่อตัว ไม่สิอาจจะเป็นรักที่เรียกว่ารักจริงๆ ที่ไม่ใช่ผลประโยชน์อย่างที่เคย
แน่นอนว่ามันยากจนเธอไม่รู้ว่าจะเลือกฝั่งไหนดี

   “ช่วงนี้แกควรจะเก็บตัว อย่าออกไปไหนมากนัก อีกไม่ถึงเดือนแกก็ต้องเข้าพิธีหมั้นแล้ว ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด
โดยเฉพาะเรื่องของไอ้ฝรั่งคนนั้น”

   “ค่ะ เดหลีจะพยายามทำตามที่พ่อสั่งก็แล้วกัน”

   ดวงตาคมสวยจ้องมองตามแผ่นหลังของบิดาเดินออกไปจากห้อง ในเวลานี้เธอค่อนข้างจะสับสนกับการจัดการเรื่องราว
วุ่นวายที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง ระหว่างจะยอมให้มันเป็นของบิดาต่อไปโดยการแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รู้สึกถึงความรักที่มีให้
กัน กับการทำให้ชีวิตนี้เป็นของตัวเองโดยเลือกความรักที่ทำให้เธอมีความสุข ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนกับวันสำคัญที่ใกล้เข้ามาทุกที



   ------------------------------------------------------------------------------



   “มีดอกไม้มาส่งอีกแล้วนะครับ”แทนทัพหอบเอาช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาในห้องทำงานของชายหนุ่ม กลิ่นหอมฟุ้งของมัน
ลอยเข้ามาเตะจมูกทันทีที่ประตูห้องเปิดเข้ามาส่งผลให้เรียวคิ้วยาวได้รูปขมวดมุ่น

   “เอามันไปทิ้ง”ขนมผิงบอกอย่างที่เคยบอกเหมือนเดิมทุกวัน แต่ก็ไม่วายปลายตามองดอกไม้ในอ้อมแขนของเลขาด้วย
ความคาดเดา

   วันนี้เป็นดอกคาเนชั่นสีเหลืองสินะ เข้าใจเลือกเอาแต่ดอกไม้สีหวานๆส่งมาให้ทุกวันๆเห็นว่าเขาเป็นผู้หญิงที่ชอบดอกไม้รึ
ไงกัน

   หลายวันมานี้ ไม่สิเรียกว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ มีดอกไม้มาส่งให้ทุกวัน แต่ละวันก็จะไม่ซ้ำสีกัน และทุกวันดอกไม้ช่อสวย
พวกนั้นมันก็ต้องเจอกับชะตากรรมที่น่าสังเวชนั่นก็คือตกลงไปอยู่ในถังขยะที่ที่มีไว้สำหรับรองรับในสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ

   และมันยิ่งเพิ่มความไม่พอใจเมื่อนึกถึงเจ้าของดอกไม้พวกนี้ที่หายหน้าไปเป็นอาทิตย์ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป ไม่อยาก
จะยอมรับว่าความรู้สึกเสี้ยวหนึ่งของเขามันเหมือนกับบางส่วนในชีวิตมันขาดหายไป

   ขนมผิงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพับปิดแลปทอปตรงหน้าลงก่อนจะเดินออกจากห้อง



   “ผมจะกลับแล้ว ไว้พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาอีกทีช่วงสายนะครับ ผมฝากที่เหลือด้วย”ขนมผิงบอกกับแทนทัพ

   สายตาสะดุดเข้ากับช่อดอกคาเนชั่นสีเหลืองในถังขยะข้างโต๊ะ ไม่รู้อะไรดลใจให้ก้มลงไปเก็บมันขึ้นมาจากถังขยะ คงเป็น
เพราะเขาสงสารดอกไม้พวกนี้ที่ต้องเจอชะตากรรมที่น่าหดหู่ ทั้งที่พวกมันดูสวยงามและมีคุณค่าขนาดนี้ แต่กลับต้องโดนทิ้งลง
ไปในถังขยะทั้งที่ยังไม่เหี่ยวเฉา เขาคงจะใจร้ายกับมันเกินไป ขนมผิงแสร้งว่าตัวเองคิดเช่นนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่

   ระหว่างขับรถกลับบ้านพยายามควบคุมจิตใจไม่ให้เหม่อลอยต่อว่าตัวเองที่คาดหวังว่าจะเจอใครบางคนยืนรออยู่ที่รถ
เหมือนกับหลายวันก่อน ทั้งที่จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจมันเลยสักนิด และหลายครั้งในระหว่างที่รถติดไฟแดงมันเป็นไป
โดยที่เขาไม่ทันระวังตัวให้ตัวเองหันไปมองดอกไม่ช่อใหญ่ที่วางอยู่บนเบาะด้านข้าง ปิญญ์ชานนท์ช่างเป็นคนที่ร้ายกาจเกินกว่า
ที่คิด ทำให้เขาวุ่นวายใจแม้กระทั่งตอนที่ไม่ได้เจอหน้า



   ------------------------------------------------------------------------------------



   “มีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมถึงได้นัดเดหลีออกมา”หญิงสาวถอดแว่นตากันแดดออกขณะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามของชายหนุ่ม
โดยไม่รีรอคำเชิญในร้านอาหารที่เธออุตส่าห์ขับรถมาไกลเพื่อจะมาที่นี่

   “แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว”

   “รีบว่ามาสิคะ เดหลีมีเวลาไม่มาก ที่สำคัญเราสองคนไม่น่าจะออกมาเจอกันด้วยซ้ำ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีที่เรามีต่อกัน
เดหลีถึงได้ยอมออกมาเจอพี่”เดลีรีบตอบ จ้องมองสายตาที่เคลือบแคลงอะไรบางอย่างของชายหนุ่มเบื้องหน้ายิ่งทำให้เธอหวั่น
คงไม่ใช่จะมาขอคืนดีกับเธอทั้งที่เธอกำลังหมั้นในอีกไม่ถึงเดือนหรอกนะ เดหลีครุ่นคิดอย่างอึดอัดใจ

   “ฉันจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ยกเลิกงานหมั้นซะ”

   “อะ อะไรนะคะ”ดวงตากลมสวยเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

   “ก็อย่างที่บอก ยกเลิกงานหมั้นซะถ้าเธอยังอยากที่จะรักษาหน้าตาทางสังคมของเธอกับพ่อขอเธอต่อไป”

   “พี่ปิญญ์พูดอะไร คงไม่ใช่ว่าจะมาขอคืนดีกันหรอกนะคะ บอกไว้ก่อนว่าไม่ว่ายังไงพ่อก็ไม่ยอมเห็นด้วยแน่นอน”

   “ไม่ใช่แน่นอน ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องทำอย่างนั้น เธอเองก็รู้ดี จริงไหม”

   “เดหลีไม่รู้หรอกนะคะว่าพี่ปิญญ์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่เรื่องงานหมั้นมันยกเลิกไม่ได้หรอกคะ ถ้าจะคุยเรื่องนี้เดหลีว่าเรา
ไม่ต้องคุยกันซะยังจะดีกว่า พ่อต้องไม่พอใจแน่ถ้ารู้ว่าพี่ปิญญ์เรียกเดหลีออกมาคุยเรื่องนี้”เดหลีทำท่าจะลุกหนีกับบทสนทนาที่
ทำให้เธอเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข

   “ใช่ พ่อเธอต้องไม่ชอบใจแน่ๆที่ลูกสาวกำลังจะเป็นชู้กับเมียคนอื่น”

   “พี่ปิญญ์กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ เดหลีไม่ค่อยเข้ใจว่าพี่ปิญญ์พูดอะไร”เธอชะงักแล้วนั่งลง ใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ
แล้วยิ่งสรรพนามที่ถูกยกขึ้นมายิ่งทำให้เธอยิ่งพาลไม่เข้าใจเข้าไปอีก

   “คราวนี้ยอมคุยง่ายๆเลยสินะ”

   “ใครเป็นชู้อะไรกัน พี่ปิญญ์พูดให้ดีดีนะคะ”

   “ไม่ชอบให้พูดถึงเรื่องนี้รึไง งั้นฉันจะพูดถึงเรื่องอื่นก็แล้วกันนะ”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มออกมา มือหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออก
มาก่อนจะวางลงตรงหน้าของหญิงสาว

   ทันทีที่เห็นดวงตาของเดหลีก็เบิกกว้าง ภาพของเธอกับมาเวลแน่นอนมันปรากฏอยู่บนหนังสือข่าวซุปซิบหรือแม้กระทั่ว
รายการข่าวเม้าแทบทุกที่ที่เกี่ยวกับวงการบันเทิงแต่มันต้องไม่ใช่ภาพถ่ายในแบบอิงแอบแนบชิดที่วางอยู่เบื้องหน้าของเธอ
ปิญญ์ชานนท์มีรูปแบบนี้ได้ยังไงกัน

   “พี่ปิญญ์เอามันมาจากไหน”

   “สำคัญด้วยเหรอว่าฉันจะเอามาจากไหน เอาเป็นว่า เธอคิดว่าเหมาะสมแล้วรึไงที่หมั้นกับขนมผิงทั้งๆที่มีคนอื่นอยู่แล้ว”

   “พี่ปิญญ์จะไปรู้อะไร ทางที่ดีพี่อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า”เธอรีบคว้ารูปถ่ายตรงหน้ามาใส่กระเป๋าถือของเธอทันควัน
ราวกับกลัวว่าใครจะผ่านมาเห็น

   “จะไม่ให้ฉันยุ่งไม่ได้หรอกนะ ส่วนรูปถ่ายพวกนี้ฉันยังมีเก็บไว้อีกเยอะ เธออยากจะดูรึเปล่าล่ะ”ดวงตาคมกริบจ้องมองไป
ยังหญิงสาวไม่หวาดหวั่น

   ในเวลานี้เขาอาจจะดูเหมือนนางร้ายในละครที่เที่ยวหาเรื่องคนอื่นไปทั่วเพื่อให้ได้พระเอกมาครอบครอง แต่ใครล่ะจะสนถ้า
หากสุดท้ายแล้วผลลับมันคือสิ่งที่เขาต้องการเพื่อคนที่เขารัก

   “ไม่จริง พี่โกหก”

   “อยากจะดูไหมล่ะ”รูปถ่ายใบใหม่ถูกวางลงบนโต๊ะ คราวนี้มันยิ่งทำให้เดหลีแทบจะอยู่ไม่เป็นสุข เธอรีบคว้าเอานั้นเก็บลง
ใส่กระเป๋าแทบจะวินาทีเดียวกับที่ปิญญ์ชานนท์วางมันลง มันเป็นรูปที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นรูปส่วนตัวของเธอกับมาเวลเลยก็ว่า
ได้

   “พี่ปิญญ์ทำอย่างนี้ทำไม เอารูปพวกนี้มาจากไหน ยะ อย่าบอกนะว่ารูปที่นักข่าวเอาไปลงนั่นมาจากพี่”เสียงเริ่มสั่นพร่าใน
ทันทีที่เธอจ้องมองดวงตาคมดุที่ดูเหมือนจะถือไพ่เหนือกว่า

   “นั่นมันก็แล้วแต่เธอจะคิด เอาเป็นว่าเรามาตกลงเรื่องของเรากันดีกว่า”

   “ตะ ตกลงเรื่องอะไร เพราะพี่ไม่พอใจที่เดหลีถอนหมั้นใช่ไหม พี่ปิญญ์ถึงได้ทำแบบนี้”

   “เรื่องนั้นฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเลยสักนิด แต่กลับกันฉันขอบอกเลยว่าฉันสบายใจที่ไม่ต้องแต่งงานกับเธอ”

   “แล้วทำไมพี่ปิญญ์จะต้องทำอย่างนี้ด้วย”มือบางเล็กเริ่มสั่น จิกลงบนกระโปรงเนื้อลื่นจนมันยับยู่ยี่ เรียวฟันขบริมฝีปากแดง

ฉาดแน่นราวกับว่าไม่รู้สึกเจ็บยามที่ฟันนั้นขบลงไป อาจจะเพราะเรื่องที่เธอกำลังเผชิญอยู่นั้นมันหนักหนาซะยิ่งกว่า

   “ฉันขอบอกเลยว่าที่ฉันทำไปไม่เกี่ยวอะไรกับความแค้นเลย ฉันแค่ต้องการให้เธอยกเลิกงานหมั้น”

   “ไม่มีทาง เดหลียกเลิกงานหมั้นไม่ได้”

   “แล้วเธอจะหมั้นกับขนมผิงทั้งที่ยังคบกับเพื่อนฉันอยู่มันไม่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไงเดหลี”

   “พะ เพื่อน? หมายความว่าไงคะ”เธอเงยเชิดหน้าขึ้นมองด้วยความไม่พอใจ “ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะพี่ พี่เป็นคนทำ!?”

   “ใช่ ฉันเป็นคนทำเอง”

   “ไม่จริง! เดหลีไม่นึกเลยว่าพี่ปิญญ์จะเลวได้ขนาดนี้ ยังไงซะเดหลีก็ไม่ยอมยกเลิกงานหมั้นแน่ ใครจะไปสนใจเรื่องขอ
งมาเวลกัน ก็แค่บอกกับคนอื่นว่าเป็นแค่คนรู้จัก รูปนั่นมันก็แค่มุมกล้อง พอหมั้นแล้วเดี๋ยวคนอื่นก็ไม่สนใจไปเอง”

   “ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เข้าใจอะไรง่ายๆสินะ อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่กล้าทำ ต่อให้เรียกว่าฉันรังแกผู้หญิงฉันก็จะไม่ปราณีเธอ
หรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์พยายามข่มเสียง

   ใครจะรู้ว่าเดหลีจะไม่ยอมง่ายๆขนาดนี้ ทั้งที่เขาขู่ด้วยรูปแบบนั้น ดูเหมือนว่าใจของเธอส่วนมากจะเอนเอียงไปทางผล
ประโยชน์ที่ครอบครัวจะได้รับมากกว่าชื่อเสียงของตัวเอง

   “เดหลีไม่สนหรอกค่ะ ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วเดหลีขอตัว ส่วนรูปพวกนั้น แค่ใช้เงินปิดข่าวก็คงพอเชิญพี่ปิญญ์ทำไปเถอะ
ค่ะ”

   “งั้นเธอคงจะสนเรื่องที่ว่าที่คู่หมั้นที่เธออยากจะได้แท้จริงแล้วเป็นเมียของฉันสินะ”

   “พูดบ้าๆอะไรของพี่”

   “เธอคงไม่อยากเอาเมียของคนอื่นมาเป็นสามีของตัวเองหรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจพลาง
กอดอกจ้องมองหญิงสาวที่ตัวสั่นระริกอย่างมีชั้นเชิง

   “ไม่จริง”

   “จริงไม่จริงเธออยากจะรู้เรื่องมากกว่านี้ไหมล่ะ ฉันรู้แม้กระทั่งไฝทุกเม็ด รอยแผลเป็นทุกที่บนร่างกายของขนมผิง แล้วเธอ
ล่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับเขาอาหารที่ชอบ ที่ที่ชอบไป หรือแม้กระทั่งนิสัยที่แท้จริง เธอรู้เรื่องของขนมผิงบ้างรึเปล่าล่ะ”

   “ทะ ทุเรศที่สุด คุณผิงไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่”

   “อย่างเธอจะไปรู้อะไร เธอมันก็แค่ฉากเบื้องหน้าเอาไว้ซ่อนความเป็นจริงเบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้ เธอไม่คิดอย่างนั้นรึไง”

   “เดหลีไม่เชื่อ นั่นมันน่าขยะแขยงจะตายไป”

   “ที่เธอทำอยู่มันก็ไม่ต่างกันหรอกนะ หัดใช้ชีวิตให้มีค่าซะบ้าง เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่เลือกในสิ่งที่พ่อของเธอ
ต้องการ ยกเลิกงานหมั้นซะถ้าหากว่าเธอไม่อยากจะเสียใจไปมากกว่านี้ แล้วอีกอย่างถ้าเรื่องพวกนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันคงไม่ดี
ต่อตัวของคนที่กำลังลงเล่นการเมืองหรอกนะ”

   “บ้าที่สุด!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”หญิงสาวผลุดลุกทันทีราวกับต้องการจะหลีกหนีความเป็นจริงที่พึ่งจะรับรู้


   “อย่าลืมยกเลิกงานหมั้นให้ฉันด้วยล่ะ ก่อนที่ฉันจะไปยกเลิกมันด้วยตัวเอง และพ่อของเธอจะต้องขายหน้าไปมากกว่า

นี้”ปิญญ์ชานนท์คว้าข้อมือบางของเดหลีเอาไว้ แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างแรงราวกับว่าเป็นการรังเกียจ ดวงตากลมโตตวัดมอง
ด้วยความไม่พอใจก่อนที่ผ่ามือของหญิงสาวจะตบลงมาฉาดใหญ่เรียกให้แขกที่อยู่ในร้านต่างก็มองกันมาเป็นตาเดียว


   “มันเจ็บนะรู้ไหม”ปิญญ์ชานนท์บอกพลางยกยิ้มเล็กน้อยให้กับหญิงสาวราวกับยั่วอารมณ์ให้ยิ่งขุ่นเคือง

   “มันยังน้อยไปสำหรับพวกเกย์น่ารังเกียจอย่างพวกแก”แก้วน้ำใกล้มือถูกหยิบยกขึ้นมาก่อนจะสาดลงมาบนใบหน้าของชาย
หนุ่มอย่างแรงก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปพร้อมกับความไม่พอใจที่ยากจะรับรู้ว่ามันมากเพียงใด

   ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดปาดขึ้นมาซับหยดน้ำบนใบหน้าอย่างเชื่องช้า ถึงแม้จะทั้งถูกตบและถูกสาดน้ำใส่หน้าให้คนรอบข้าง
ได้มองราวกับเป็นเรื่องน่าอาย แต่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ปิญญ์ชานนท์ยิ้มให้กับตัวเอง เขาทำสำเร็จไปครึ่งทาง แค่เรื่องเล็ก
น้อยที่ต้องเสียไปกับสิ่งที่ได้มามันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

   เขาไม่รู้เลยว่าถ้าหากสิ่งที่เขาทำอยู่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดอยู่ในละคร ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะได้รับบทเป็นตัวอะไรกัน
แน่ แต่ที่แน่ๆคงไม่ใช่บทพระเอกที่แสนดีแน่นอน



   -------------------------------------------------------------------------------------------



   “เอาดอกไม้กลับมาอีกแล้วเหรอผิง เมื่อวานสีเหลืองวันนี้แดงสวยเชียว คงไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหนให้มาหรอกนะ”ลำดวนเอ่ยทัก
ลูกชายทันทีที่ลูกชายเดินเข้าบ้าน

   “ไม่ใช่หรอกครับ จะทิ้งก็เสียดาย ผิงเลยว่าจะเอามาใส่แจกัน ว่าแต่เด็กๆไปไหนกันหมดครับแม่ เงียบผิดปกติ”ขนมผิงตอบ
แบบขอไปที ไม่อยากจะใส่ใจกับเจ้าของดอกไม้นี่สักเท่าไร ทั้งๆที่ช่วงนี้ทำตัวหน้าด้านหน้าทนขนาดนั้นแล้วแท้ๆ จู่ๆก็ทำตัวหาย
เงียบไป โผล่มาก็แต่ดอกไม้แต่ละวันไม่ซ้ำกัน

   “อยู่ในห้องนั่งเล่นกับนิวกับแนนเขานั่นแหละ เห็นบ่นว่าอยากไปทะเล ไว้วันที่ผิว่าๆแม่ว่าเราไปเที่ยวทั้งครอบครัวก็ดี
เหมือนกัน ช่วงนี้ฝนก็ไม่ค่อยตกแล้วด้วย”

   “เอางั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผิงขอตัวไปหาเด็กๆก่อน เอานี่ ดอกไม้ ผิงยกให้แม่”

   ขนมผิงยิ้มให้มารดาก่อนจะเดินแยกไปยังห้องนั่งเล่นที่ผันตัวเองมาเป็นสวนสนุกขนาดย่อ ได้ยินเสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวดัง
ลอดออกมาตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวผ่านพ้นประตู

   จะว่าไปเสียงหัวเราะของลูกก็เป็นยาชั้นดีอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ที่ทำให้สามารถลืมเรื่องกลุ้มใจหลายๆเรื่องได้พักใหญ่

   “ปะป๊ากลับมาแล้ว”

   “ปะป๊ากิมคิดถึงฮะ”

   “หลิ่มก็คิดถึงปะป๊า หลิ่มอยากไปทะเลฮะ”

   “คุณยายบอกว่าจะพากิมกับน้องหลิ่มไปทะเล ปะป๊าให้ไปไหมฮะ”

   “ให้ไปสิครับ ปะป๊าก็จะไปด้วย”ขนมผิงพยักหน้ารับ อุ้มเจ้าเด็กแฝดคนน้องที่นับยิ่งจะยิ่งโตเร็วขึ้นมานั่งตัก ส่วนคนพี่อ้อม
หลังของเขาแล้วกระโดดเกาะคอ หอมแก้มเขาอย่างเอาใจ

   ช่วงนี้เวลาจะขออะไรเจ้าเด็กแฝดเป็นอย่างนี้ทุกที จะเข้ามาคลอเคลียและผลัดกันหอมแก้ม ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคน
สอนมา แต่ที่แน่ๆมันค่อนข้างจะได้ผลมากเลยทีเดียว

   “ปะป๊า”

   “หืม? ว่าไงครับ”

   “หลิ่มคิดถึงพ่อปิน ให้พ่อปินไปทะเลด้วยกันนะฮะ”

   “นะฮะปะป๊า ให้พ่อปินไปด้วย เหมือนที่พ่อปินเคยพาไป”เด็กๆต่างก็ช่วยกันร้องขอ

   ตอนนี้ขนมผิงรู้สึกว่าตัวเองอิจฉาที่เด็กๆชอบเรียกหาปิญญ์ชานนท์จนเริ่มจะชินไปซะแล้ว เขานิ่งคล้ายกับกำลังครุ่นคิด
อะไรอยู่พักหนึ่ง

   บางทีการที่ปิญญ์ชานนท์ทำตัวแบบนั้นในช่วงนี้มันก็อาจจะเป็นเพราะต้องการที่จะอยู่ใกล้เด็กๆ ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริง
แล้วว่าตัวเองเป็นพ่อของปลากริมกับสลิ่มยิ่งเป็นไปได้ว่าต้องการที่จะทำหน้าที่ของพ่อ ตามที่เจ้าตัวได้ยืนยันคำตอบเอาไว้ หาก
แต่คนอย่างปิญญ์ชานน์น่ะเหรอที่จะเปิดกว้างจิตใจที่คับแคบพอที่จะยอมรับใครเข้าไปได้

   แล้วเด็กๆล่ะรักปิญญ์ชานนท์และต้องการอีกฝ่ายมากแค่ไหน เป็นเพราะความผูกพันธุ์ชั่วครั้งชั่วคราวหรือว่าความสัมพันธ์ที่
เขามองไม่เห็นกัน

   “คนคนนั้นเขาคงจะยุ่ง คงไปกับเราด้วยไม่ได้หรอกครับ”ขนมผิงยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มสีดำเงาของแฝดตัวแสบสลับกัน

   “ปะป๊าก็ชวนพ่อปินสิฮะ”

   “นะฮะปะป๊า ปะป๊าชวนพ่อปินให้หน่อยนะฮะ พ่อปินต้องอยากไปกับพวกเราแน่เลย”

   “เขาคงไม่อยากไปหรอก”ตอบไปแบบนั้น แต่ถ้าเผลอไปชวนคนที่ทำตัวหน้าด้านหน้าทนในช่วงนี้อย่างปิญญ์ชานนท์ล่ะก็
ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปฏิเสธ จะว่าไม่ต้องออกปากชวนถ้ารู้ก็คงจะเสนอตัวอยากตามไปแน่นอน ขนมผิงมั่นใจกับความคิดของตัว
เอง

   “แต่ปะป๊ายังไม่ได้ชวนเลยนะฮะ”

   “ปะป๊าไม่อยากให้พ่อปินไปเหรอฮะ”

   “ทำไมปะป๊าต้องอยากให้เขาไปด้วนล่ะครับ เราไปด้วยกันกับคุณตาคุณยายก็พอนี่ครับ”ขนมผิงรู้สึกเหมือนจะร้อนขึ้นมา
เมื่อตากลมโตเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายของความอ้อนวอนกำลังจ้องมองเขาถึงสองคู่ เด็กๆต่างก็พากันเบ้ปากทำท่าจะร้องยิ่งพาล
กดดัน

   “ปะป๊าเกลียดพ่อปินเหรอฮะ”

   “เปล่าครับ”

   จะให้ตอบอย่างนั้นต่อหน้าเด็กๆมันก็คงเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะไม่ดี แต่ถ้าจะย้อนกลับมาถามตัวเองเพื่อเอาความจริงแล้ว
ล่ะก็ ก่อนหน้าที่เขาทั้งเกลียดทั้งชังอีกฝ่ายจนอยากจะให้หายไปจากโลกนี้ แล้วตอนนี้ล่ะ คำตอบเดิมที่ว่ามันหายไปไหนแล้ว
เขาเองก็ยังตอบความสงสัยของตัวเองไม่ได้เลย

   “เย้ๆ ปะป๊าชวนพ่อปินไปด้วยนะฮะ ไปด้วยกัน”

   “เย้ๆ พ่อปินไปด้วย”





   ถูกมัดมือชก แก้มทั้งสองข้างถูกผลัดกันหอมจนคิดว่ามันใกล้จะช้ำเต็มทน ขนมผิงถอนหายใจทิ้งตัวลงกับโซฟาทำเหมือน
จะไร้เรี่ยวแรงจ้องมองข่าวรอบดึกบนทีวีที่ไม่ได้สนใจจะดู เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน และมองหน้าโทรศัพท์ของตัว
เองมองสลับกันวนไปวนมาอยู่ร่วมชั่วโมงหลังจากส่งเด็กๆเข้านอนเสร็จ พ่อกับแม่ต่างก็พากันขึ้นนอนแล้ว เหลือก็เพียงแต่เขา

   คิดอยู่ว่าจะโกหกเด็กๆว่าออกปากชวนแล้วแต่ถูกปฏิเสธ แต่ก็ทำไม่ลง ลึกๆแล้วฝั่งนั้นเองก็เป็นพ่อ บางทีการยอมลดให้อีก
เล็กน้อยเพื่อให้เวลาของพ่อกับลูกบ้างคงไม่เสียหายอะไร แต่จู่ๆจะให้โทรไปออกปากชวน ถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับการที่เขา
ไปอ้อนวอนให้อีกฝ่ายไปด้วย มันไม่ต่างกันเลยสักนิด อีกอย่างเด็กๆก็ลงทุนผลัดกันอ้อนผลัดกันหอมแก้มจนแทบช้ำขนาดนี้ กับ
ดอกไม้พวกนั้นอีก

   เวลาที่คนคิดอะไรหลายๆเรื่องในเวลาเดียวกันขนมผิงรู้สึกได้ทันทีว่าสมองมันเหมือนกับอยากจะระเบิดออกมา อยากจะ
ตะโกนออกไปให้สุดเสียงเพื่อปลดปล่อยความอึดอั้นที่อัดอั้นเอาไว้

   เบอร์โทรเปิดทิ้งเอาไว้แล้ว เหลือแค่แตะมันเบาๆให้เจ้าเครื่องนั้นทำการโทรออก ทิ้งไว้อย่างนี้มาร่วมชั่วโมง ในที่สุดขนม
ผิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เรื่องอะไรที่เขาจะต้องยอมลดให้กับปิญญ์ชานนท์

   พอคิดเช่นนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะเตรียมตัวเข้านอนอย่างสบายใจทว่าผิดพลาดเพียงแค่ปลายก้อยที่แตะไปที่เครื่องมือสื่อสาร
ราคาแพง

   “บะ บ้าแล้ว”

   ขนมผิงสบถโทรศัพท์แทบร่วงหล่นลงบนพื้นพรมหนา จะเรียกว่าตกใจจนตั้งตัวไม่ทันก็ว่าได้

   ‘หายากนะที่นายจะเป็นฝ่ายโทรมาหาฉันเอง’

   ตัดสายไม่ทันเสียแล้ว เสียงปลายสายดังเล็ดลอดออกมาเมื่ออีกฝ่ายรับสายเร็วเกินคาดจะให้ตัดสายตอนนี้ก็ดูขี้ขลาด ให้

บอกว่าโทรผิดก็คงน่าสมเพชที่เขามีเบอร์อีกฝ่ายเอาไว้ในเครื่อง

   “อะ อืม”

   ‘นายมีอะไรรึเปล่า หรือว่าคิดถึงฉันกันล่ะ’

   “เรื่องดอกไม้ ผมไม่ชอบ มันน่ารำคาญเลิกส่งมาสักที”ปั้นเสียงแข็งใส่

   ‘ฉันนึกว่านายจะคิดถึงฉันบ้าง’

   “พูดไร้สาระ”

   ‘แต่ฉันคิดถึงนาย’เสียงทุ้มหูตอบกลับ

   ขนมผิงรู้สึกว่าปลายเท้ามันชาไปชั่วขณะใบหน้าร้อนวูบขึ้นมา มือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น จะให้ตอบว่ายังไงเมื่อปิญญ์ชา
นนท์บอกมาอย่างนั้น เขาคิดไม่ออก

   “อัน…ที่จริง เด็กๆให้ผมมาชวนคุณ ครอบครัวเรากำลังจะไปทะเล แต่คุณคงจะไม่ว่างอยู่แล้ว แค่นี้ละกัน”

   ‘เดี๋ยวสิ นายไปกันวันไหนล่ะ’

   “อย่าเลยผมแค่มาชวนตามคำขอร้องของเด็กๆ คุณคงไม่อยากไปเป็นส่วนเกินของครอบครัวผมหรอกนะ”

   ‘นายอย่าลืมสิว่าที่จริงแล้วฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของครับครัวนาย เรียกว่าอะไรดี ลูกเขยไหม’

   “อย่าคิดไปเอง”

   ‘หึหึ แล้วจะไปกันวันไหนล่ะ’

   “วันหยุดสุดสัปดาห์”ขนมผิงตอบ ถ้าปิญญ์ชานนท์ไปด้วยกันจริงๆจะไปในฐานะของอะไร แล้วจะมีอะไรรับประกันว่าความ
ลับที่ว่าปิญญ์ชานนท์นั้นเป็นพ่อของเด็กๆจะถูกปิดเอาไว้ได้นานอีกสักแค่ไหน พอคิดแล้วใจมันก็สั่นขึ้นมา



   ‘ขอโทษที่ฉันไปด้วยไม่ได้ วันนั้นฉันมีนัด ฝากบอกเด็กๆด้วย ว่าฉันคิดถึงพวกเขามาก’แต่คำตอที่ได้รับกลับมานั้นทำให้
ขนมผิงหน้าชา

   “อืม ก็ดี”

   ‘ดึกมากแล้ว นายเองก็น่าจะนอนได้แล้ว ดูแลตัวเองด้วย ฝันดี’

   เสียงทุ้มตอบกลับมา น่าจะดีใจที่ถูกปฏิเสธ แต่มันอาจจะเป็นเพราะได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้ถึงได้รู้สึกผิดหวังแบบ
นี้

   ในระหว่างที่กำลังจะเดินกลับไปยังห้องนอน สายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่มันถูกทิ้งอยู่ในถังขยะทั้งที่สภาพของ
มันยังใหม่อยู่แต่ทำไมถึงถูกทิ้งลงถังขยะได้

   ขนมผิงก้มตัวลงหยิบนิตยสารขึ้นมาสำรวจอย่างข้อใจ ปกติแล้วถ้าหากเป็นเล่มเก่าหรือไม่ได้อ่านแล้วมันก็น่าจะไปอยู่ที่
ห้องเก็บของเตรียมขายเป็นของเก่าไม่ใช่รึไง

   ความสงสัยทำให้ฉุกคิดว่ามันคงจะมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน สายตาสะดุดเข้ากับหัวข้อที่อยู่บนหน้าปก ความจริงแล้วสิ่งที่
ทำให้เขาหนักใจในช่วงนี้มันก็คงเป็นข่าวของเดหลีที่ถูกปาปารัชซี่จับภาพได้กับหนุ่มชาวต่างชาติที่ขนมผิงเองก็ไม่รู้จัก

   แต่นั่นมันอาจจะแค่ความบังเอิญ หรือถ้าเป็นจริงมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขากับเดหลีเป็นอันต้องแยกกันเดินไปทางใคร
ทางมันอย่าที่ในเวลานี้เขาอยากจะให้มันเป็น จะว่าข่าวยังไงก็คือข่าว อาจจะมีจริงและไม่จริง ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากเป็นจริงผลดีของ
มันอาจจะทำให้เขายกเลิกงานหมั้นได้โดยที่ครอบครัวไม่เสียหาย เพราะฝั่งนั้นทำตัวเอง เขาภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น นับวันเด็ก
ที่อยู่ในท้องยิ่งโตมากขึ้นไปทุกที

   ดังนั้นขนมผิงจึงไม่ใส่ใจกับข่าวเสียหายที่มันเกิดขึ้น จะว่าไปเขาทำตัวเย็นชากับเรื่องที่เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่พอนึกถึงปิญญ์ชานนท์ ขนมผิงเองก็ยังข้องใจและติดใจ ทำไมถึงได้ยืนยันให้เขายกเลิกงานหมั้นทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย
   หน้าแล้วหน้าเล่าถูกเปิดผ่านไปด้วยความสงสัย แต่แล้วคำตอบที่มันติดค้างอยู่ในใจก็ปรากฏ

   เป็นเพราะอย่างนี้นี่เองปิญญ์ชานนท์ถึงได้ยืนยันให้เขายกเลิกงานหมั้น เพราะอย่างนี้ถึงได้ปฏิเสธคำชวนของเขาและเด็กๆ 
ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่แผนการของผู้ชายเจ้าเล่ห์ที่ทำเพื่อผลประโยชน์ที่เคยเสียไปของตัวเอง ปิญญ์ชานนท์ก็คือปิญญ์ชา
นนท์อยู่วันยันค่ำไม่มีทางเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ ขนมผิงตอกย้ำความคิดผิดๆของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะโยนนิตยสารเล่มนั้นลง
ถังขยะดังเดิมโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองมันอีกเลย



   -----------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 คนที่ไม่รู้จัก ❖ 20-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-07-2016 03:54:12
ต่อ

   “เด็กๆโตไวนะครับ”เสียงทักจากเลขาหนุ่มเรียกให้ปิญญ์ชานนท์หลุดจากภวังค์จากที่นั่งอมยิ้มให้กับรูปถ่ายของทั้งลูกชาย
และทั้งขนมผิงที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ภาพถ่ายที่ถูกส่งมาจากคนที่เขาส่งไปตามติดเด็กๆกับขนมผิง

   น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ไปด้วย พอคิดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจ ยืดหลังตรงปิดแฟ้มเอกสารเบื้องหน้าลง

   “อืม โตเร็วจนฉันเริ่มกังวลว่าโตไปเด็กๆจะอ้วน”

   ปิญญ์ชานนท์พูดติดตลกกับนิสัยเจริญอาหารของเด็กๆ เงยหน้าขึ้นมองเลขา

   “การประชุมก็เสร็จไปพักใหญ่แล้ว ทำไมคุณถึงยังนั่งอยู่ในห้องประชุมอยู่อีกล่ะครับ”


   “นายเองก็กลับบ้านไปได้แล้ววันนี้วันหยุดไม่ใช่รึไง ขอบใจนายมากที่ช่วยฉันเตรียมการประชุมครั้งนี้”

   “มันเป็นหน้าที่นี่ครับ คุณปิญญ์เองก็น่าจะกลับไปพักผ่อนนะครับ ช่วงนี้คุณทำงานหนักมาก”

   “อืม เดี๋ยวฉันก็กลับแล้วล่ะ”

   ปิญญ์ชานนท์ตอบ การประชุมในวันหยุดถูกจัดขึ้นตอบรับความสะดวกของลูกค้าใหม่ชาวต่างชาติที่ดันมาสะดวกเอาวัน
หยุด ซ้ำยังเป็นวันหยุดที่สุดแสนจะสำคัญแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

   เวลานี้ถ้าเทียบกันแล้วถึงแม้ว่าอนันตไพลินกับมณีรัตน์จะไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งกัน แต่เรื่องความเหนือกว่าคงเรียกไม่ได้จาก
เรื่องที่เคยเกิดขึ้นจากความแค้นผิดๆ ทั้งสององค์กรในตอนนี้แทบจะเรียกว่าทัดเทียมกันในผลประกอบการ และถ้าหากเขา
ต้องการที่จะสวมบทบาทของคนเป็นพ่อและเป็นสามี การเป็นเขยบ้านนั้นแค่สิ่งที่มีอยู่มันคงจะไม่เพียงพอและไม่เหมาะสม การ
ขยายตลาดทางการค้าออกไปเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หวังว่าว่าที่พ่อตาแม่ยายของเขาจะพึงพอใจในความพยายามที่เขาอุตส่าห์อดทน
กัดฟันทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงานจนไม่มีเวลาไปเจอหน้าลูกเมีย


   ---------------------------------------------------------------------------------------------

   เคร้งงงง!!!

   “แกพูดบ้าอะไร นี่แกกำลังจะทำให้ฉันอกแตกตายแกรู้ตัวบ้างไหม!!”เสียงห้วนของชายสูงวัยตวาดก้องส่งผลให้หญิงสาว
สะดุ้งเล็กน้อย จ้องมองเศษแก้วเกลือนกระจายเต็มพื้นจากโทศะของบิดา

   “เดหลีก็บอกไปแล้วว่าเดหลีจะยกเลิกงานหมั้น”

   “ไม่ได้!! แกบ้าไปแล้วรึไง แกก็รู้ว่าถ้างานหมั้นของแกล่มถึงสองครั้งสองคราวหน้าฉันจะแตกยับเยินแค่ไหน”

   “แล้วพ่อจะให้เดหลีทำยังไงคะ ให้ตายเดหลีก็ไม่ยอมแต่งงานกับคุณผิงแน่”เดหลียื่นคำขาดด้วยเสียงแข็ง ขบฟันลงบนริม

ฝีปากเคลือบสีแดงชาดอย่างแค้นใจ
   “เพราะอะไรแกถึงไม่ยอมแต่งงานกับขนมผิง”

   “พ่อจะให้เดหลีแต่งงานกับพวกตุ๊ดพวกเกย์รึไงคะ”

   “แกหมายความว่าไง”

   “พวกมันเป็นเกย์ไงคะพ่อ มันทั้งคู่หลอกพวกเรามาตลอด”

   “เอาอะไรมาพูด แกจะบ้ารึไง”ชายสูงวัยจ้องลูกสาวด้วยใบหน้าอันโกรธจัด

   “พวกมันก็ได้เสียกันเองไงล่ะคะพ่อ พวกมันเป็นผัวเมียกัน ไอ้พวกตุ๊ดกระเทยน่ารังเกียจนั่นมันรวมหัวกันหลอกเรา เดหลีล่ะ
ขยะแขยง ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห”

   “แกแน่ใจเรื่องนี้มากแค่”


   “มั่นใจซะยิ่งกว่ามั่นใจอีกค่ะพ่อ คอยดูเดหลีจะไม่ปล่อยพวกไว้แน่”

   “แกมั่นใจจริงๆใช่ไหม ใช่ว่าพวกมันหลอกเพื่อหวังจะยกเลิกงานหมั้น”ถามลูกสาวซ้ำ ดวงตาเจ้าเล่ห์เคลือบแคลงความขุ่นเคือง

   “ค่ะ เดหลีมั่นใจ พี่ปิญญ์เป็นคนบอกเดหลีกับปากเอง แล้วที่สำคัญ เดหลีอยากให้คนของพ่อช่วยดูไอ้นี่ให้เดหลี
หน่อย”เอกสรรบางอย่างถูกยื่นให้กับบิดา เอกสารที่แสดงผลการตรวจที่น่าแปลกใจในอดีตของขนมผิง

   “บ้าบอไปกันใหญ่แล้ว แกไปเอานี่มาจากไหน”

   “เดหลีให้คนไปสืบมา ครั้งแรกคิดว่าเป็นของปลอม แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องจริง เดหลีเลยอยากจะให้พ่อช่วยไงคะ”

   “ฉันจะลองให้คนไปสืบดู ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็ คงจะต้องพังกันไปข้าง ฉันจะไม่ปล่อยไอ้พวกอุบาตนั่นลอยนวลไปแน่
โทษฐานที่มันทำให้ฉันต้องเสียทั้งหน้าเสียทั้งผลประโยชน์”

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 คนที่ไม่รู้จัก ❖ 20-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-07-2016 03:56:17
32 คนที่ไม่รู้จัก


   “ทำไมไม่บอกผมล่ะครับว่าคุณจะมาวันนี้ ผมจะได้ไปรับคุณที่สนามบิน”ภาษาอังกฤษสำเนียงใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา
ถามออกไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความดีใจกับแขกผู้มาเยือน

   “ไม่เป็นไรหรอก จะรบกวนเปล่าๆ ให้ผมมาหาคุณเองดีกว่า”น้ำเสียงทุ้มนุ่มดูใจดีตอบกลับพร้อมกับอวดรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นไม่
แพ้กัน

   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณสบายดีไหม”ขนมผิงถามพลางเลื่อนเก้าอี้ให้กับแขกผู้มาเยือน

   “ผมสบายดี แล้วคุณกับเด็กๆคุณสบายดีรึเปล่า เสียดายที่ไม่ได้เจอเด็กๆนะครับ เวลาของผมเองก็มีไม่มากด้วยเดี๋ยววันพรุ่ง
นี้ผมต้องบินไปญี่ปุ่นต่อ”

   “น่าเสียดายนะครับ ถ้าเด็กๆรู้คงพากันงอแง หาว่าคุณไม่คิดถึงพวกเขา”

   “ก็อย่าให้รู้สิครับ แต่ถึงจะมีเวลาที่ไทยไม่มาก แต่ผมก็มีของฝากมาให้เด็กๆ คุณผิงอย่าพึ่งน้อยใจแทนเด็กๆไปเลย”อีก
ฝ่ายหัวเราะในอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าหล่อเหลาบ่งบอกสัญชาติฝั่งตะวันตกส่งยิ้มมาให้ด้วยความคุ้นเคย

   “ลำบากคุณอีกแล้วซอรีม”

   “อย่าคิดว่ามันลำบากเลย ผมบอกแล้วไงว่าคิมกับรีมเป็นลูกของผมเหมือนกัน”

   “ยังไงผมก็ทำให้คุณลำบากอยู่เรื่อยจริงๆนั่นแหละ”

   “คุณอย่าคิดไปเองสิครับ ผมยังไม่เคยบอกว่าผมลำบาก กลับกันผมค่อนข้างยินดีซะด้วยซ้ำ”

   “อา ครับ”ผมขนมผิงพยักหน้าก่นจะก้มหน้าลงเล็กน้อยทำให้ชั่วครู่เกิดความเงียบเข้ามาปรกคลุมภายในห้องทำงาน
ตำแหน่งสูงสุดของมณีรัตน์



      “นานเท่าไรแล้วครับ”ในที่สุดความเงียบงันชั่วครู่ก็จบลงเมื่อคำถามจี้ใจดำถูกถามออกมา ดวงตาสีโศกของหนุ่ม
สัญชาติไทยอย่างขนมผิงไหววูบเล็กน้อย ฝ่ามือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น

   “น่าจะสองเดือนได้ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”

   “อย่าห่วงไปเลย ยังไงซะมันก็ไม่ใช่ครั้งแรก ขอแค่คุณเชื่อใจผมเหมือนที่เคยทำ”ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงาน
เอื้อมมือมาแตะไหล่เบาๆ

   เสียงเคาะประตูฉุดให้ชายหนุ่มต่างสัญชาติที่อยู่ในห้องสองคนหันไปมอง ไม่นานบานประตูก็เปิดโพล่งออกพร้อมกับเสียง
แหลมเล็กอันคุ้นเคยดังเจื้อยแจ้วเข้ามาก่อนตัว ก่อนที่ร่างจ้ำม่ำจะแข่งกันวิ่งเข้ามากระโดดโผตัวเข้าใส่แขกเจ้าของร่างสูงใหญ่ให้
ได้รีบก้มตัวรับร่างอวบอ้วนมาอุ้มทีเดียวพร้อมกันสองคนอย่างสบายๆ

   แน่นอนว่าซอรีมอุ้มเด็กแฝดทั้งสองคนด้วยท่าทางถนัดถนี่เพราะความคุ้นเคย ตำแหน่งพ่อทูนหัวที่พอได้เห็นเด็กๆแล้วก็
พาลยิ้มตามเหงือกแดงๆบานๆอวดฟันน้ำนมขาว



      “แดดดี้ซอรีม”

   “ว่าไงกู๊ดบอย”ซอรีมจูบลงบนหน้าฝากปลากริมและสลิ่มด้วยความคิดถึง

   “คิดถึงแดดดี๊ซอรีมฮะ”

   “กริมก็คิดถึง”

   “คิดถึงเหมือนกัน”ซอรีมตอบ “คุณไม่ได้บอกว่าเด็กๆจะมานะ”ก่อนจะหันไปหรี่ตาจ้องจับผิดให้กับขนมผิง

   “เซอไพรส์ครับ ผมให้คนไปรับมา คุณอุตส่าห์มาไทยทั้งที ในฐานะพ่อทูนหัวจะไม่เจอเด็กๆก็ออกจะใจร้ายไปหน่อยนะ
ครับ”

   “อา นั่นสิ เจ้าเล่ห์ทั้งแม่ทั้งลูก ว่าแต่ ไม่เจอตั้งนานทำไมถึงยังอ้วนเหมือนลูกหมูกันอยู่ล่ะ หืมว่าไง?”

   “ไม่ใช่สักหน่อย แดดดี้ซอรีมมั่ว”ภาษาอังกฤษเสียงแหลมเล็กเจื้อยแจ้วตอบทันควัน เจ้าตัวเล็กสองคนพากันทำแก้มป่อง
ด้วยท่าทางแสนน่ารักโดยไม่ได้นัดหมาย

   “หลิ่มไม่ใช่ลูกหมู ปะป๊าบอกว่าไม่ใช่ฮะ”สลิ่มส่ายหน้า

   “แต่ทั้งสองคนตัวหนักแบบนี้อีกหน่อยแดดดี๊คงจะอุ้มไม่ไหว”

   “ไม่เป็นไรฮะ กริมกับน้องหลิ่มเก่งแล้วฮะ”

   “จะเชื่อดีไหม งั้นเอาอย่างนี้ พอดีว่าแดดดี๊คนนี้มีขนมมาฝากคนที่เก่ง ไหนใครเป็นคนเก่งลองบอกแดดดี๊มาสิ”

   “กริมฮะ กริมเก่ง”

   “หลิ่มก็เก่งฮะ เก่งสองคนเลยฮะ”

   ทั้งสองคนแย่งกันตอบ ริมฝีปากเล็กๆยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกสีแดงสดจนทั้งขนมผิงและซอรีมอดอมยิ้มไปกับความน่ารัก
ของเด็กๆไม่ได้

   





   

   “วันนี้ผมรบกวนฝากท้องไว้กับอาหารไทยฝีมือคุณผิงนะครับ”ชายหนุ่มหล่อชาวตะวันตกพูดทีเล่นทีจริง

   “ถ้าคุณจะกินมันโดยที่ไม่บ่นว่ามันเผ็ดก็ไม่มีปัญหาครับ”ขนมผิงไหวไหล่เล็กน้อย เอ่ยแซวคนกินเผ็ดไม่ค่อยจะได้

   “ก็อย่าทำให้มันเผ็ดสิครับ”

   ซอรีมบ่น ทั้งสองคนเดินออกมาจากตึกสูงระฟ้าในเครือมณีรัตน์บนอกของแต่ละคนมีเด็กร่างจ้ำม่ำเกาะอยู่ราวกับลูกลิงเรียก
ให้ใครที่ผ่านไปมาได้มองตามด้วยความอิจฉาทั้งความน่ารักขี้เล่นของเด็กๆกับความดูดีของสองหนุ่มต่างสัญชาติ



   เสียงหัวเราะปนเสียงพูดคุยหยอกล้อไปมาอย่างสนิทสนมเป็นภาษาสากลยิ่งฉุดดึงให้ได้สะดุดตา ทั้งหมดนั้นกำลังอยู่ใน
สายตาของใครอีกคนที่หายหน้าไปนานนับอาทิตย์

   ช่อดอกกุหลาบสีแดงสดในมือกระชับแน่น รอยยิ้มที่ปั้นแต่งประดับเอาไว้ให้คนที่เขากำลังรอแปลกใจพลันเลือนหายไปใน
เสี้ยววินาที

   ดูเหมือนทั้งสี่คนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสไม่ทันได้สังเกตคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า จนกระทั่งเสียงแหลมเล็กเอ่ยเรียกออกมา



   “พ่อปิน!!”   



   ขนมผิงและซอรีมชะงักเงยหน้ามองชายหนุ่มอีกคนยืนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา ทันทีที่เขาเห็นเจ้าของใบหน้าที่หาย
ไปนานนับหลายวัน หัวใจของขนมผิงพลันกระตุกวูบราวกับไม่ทันได้ตั้งตัว มือทั้งสองข้างกำแน่นอีกครั้ง ริมฝีปากได้รูปขมเม้ม
เข้าหากันแน่น ก่อนที่ดวงตาสีโศกจะตวัดเบือนหนีราวกับคนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าไม่มีตัวตน เขายังจำได้ดีกับภาพข่าวใน
นิตยสาร

   “ไปกันเถอะครับ”ขนมผิงดึงแขนซอรีมให้เดินเบี่ยงไปอีกทาง

   ทว่าต้นแขนอีกข้างที่ประคองลูกถูกคว้าเอาไว้ก่อนที่จะได้เดินหนี นัยน์ตาคู่สีดำสนิทจ้องมองมาแน่นิ่งยิ่งทำให้ขนมผิง
อึดอัด

   ยิ่งมองเห็นช่อดอกไม้สีแดงสดในอ้อมแขนก็ยิ่งรู้สึกเจ็บหน่วงราวกับก้อนเนื้อในอกถูกบดขยี้ด้วยปลายเท้าของใครบางคน
ทั้งที่สมใจอยากของปิญญ์ชานนท์แล้ว ทำไมถึงต้องโผล่หน้ามาให้เขาเห็นราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ช่อดอกกุหลาบสีสวย

ช่อใหญ่นั้นจะถือมาทำไม หรือว่าต้องการจะมาเยาะเย้ยเขาที่ทำให้ทุกอย่างมันจบลงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

   เขาผิดเองที่คิดว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์จะเปลี่ยนไป ผิดเองที่เผลอปล่อยให้หัวใจละทิ้งความทรงจำอันน่าขยะแขยง
นัยน์ตาสีโศกจ้องมองมือใหญ่ที่กุมต้นแขนตัวเองด้วยความรู้สึกอันหลากหลายวนเวียนเข้ามาในความคิด



   “มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”

   ซอรีมแตะเข้าที่แขนของปิญญ์ชานนท์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจับแขนของขนมผิงเอาไว้ไม่ปล่อยพลางถามเป็นภาษาอังกฤษ

   “คุณเป็นใคร”ปิญญ์ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่คุกรุ่นเอาไว้ในใจ ดวงตาคมกริบจ้อง
มองอีกฝ่ายแน่นิ่ง
   “ผมเป็นพ่อของเด็กแฝดสองคนนี้ แล้วคุณล่ะครับ มายืนขวางพวกเราทำไม”คำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่มชาวต่างชาติทำเอาปิญญ์ชานนท์หน้าชาไปชั่ววูบ

   “คุณไม่ใช่พ่อของเด็กสองคนนี้”ปิญญ์ชานนท์กัดฟันเค้นเสียงตอบ

   “แล้วคุณล่ะครับ ผมว่าคุณน่าจะปล่อยมือที่จับคุณผิงได้แล้ว พวกเรากำลังรีบ ผมไม่อยากปล่อยให้คิมกับรีมหิว หิวกันแล้ว
ใช่ไหมเด็กๆ”

   “ฮะ แดดดี๊ กริมหิวแล้วฮะ”

   “หลิ่มก็หิวฮะ แดดดี๊”สองแฝดผลัดกันตอบพลางยิ้มให้ปิญญ์ชานนท์อย่างคุ้นเคย แต่ถึงจะดีใจที่เจอกับปิญญ์ชานนท์ แต่

กับซอรีมที่ไม่ได้เจอกันนานกว่าทำให้เด็กๆเลือกที่จะให้ความสำคัญกับซอรีมมากกว่าจะให้ความสนใจกับชายหนุ่ม

   “แดดดี๊งั้นเหรอ? ทำไมถึงเรียกเขาว่าแดดดี๊ล่ะ”

   “ผมบอกแล้วว่าผมเป็นพ่อของเด็ก”ซอรีมตอบไปแบบนั้น เพราะอะไรชายหนุ่มตาน้ำข้าวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม
ถึงต้องตอบไปแบบนั้น อาจจะเพราะบางอย่างที่แสดงออกผ่านทางสายตาอันเรียบเฉย บางอย่างที่เป็นเหมือนความอิจฉา ความ
หวงแหนมันเล็ดลอดออกมาจากภายใต้ความนิ่งเฉยนั้นๆ ซอรีมเหยียดยิ้มเล็กน้อย จ้องตอบกลับราวกับผู้ถือไพ่ที่เหนือกว่า

   มันยิ่งทำให้ปิญญ์ชานนท์ไม่พอใจ กัดฟันเข้าหากันแน่นจ้องมองภาพตรงหน้า มันยิ่งตอกย้ำให้หัวใจของชายหนุ่มถูกบีบจน
แน่นเมื่อมือที่รั้งขนมผิงเอาไว้ถูกสลัดออกอย่างไม่ใยดี

   “อย่ามายุ่งกับพวกเราอีก ผมจะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ผมอดทนกับคนอย่างคุณมามากพอแล้ว”เสียงนิ่งเฉยกลับไปดูเย็นชา
เหมือนเก่า

   “นายกับลูกต้องไปกับฉัน”ปิญญ์ชานนท์จงใจใช้ภาษาส่วนตัว

   “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร แต่ผมบอกไปแล้วว่าพวกเรากำลังรีบ กรุณาให้ความเป็นส่วนตัวกับครอบครัวเราด้วยนะครับคุณ
ผู้ชาย”

   “คุณไม่ใช่ครอบครัว นี่ครอบครัวของผม”ปิญญ์ชานนท์เน้นเสียงตอบอีกครั้ง ไม่พอใจที่ซอรีมเน้นคำว่าครอบครัวกับเขาทั้ง
ที่สิทธินั้นมันเป็นของเขาไม่ใช่ของอีกฝ่าย
   “ซอรีมเป็นครอบครัว เขาอยู่กับพวกเราตลอดเวลาที่พวกเราต้องการ ไม่ใช่คุณ โปรดช่วยจำเอาไว้  พวกเราไม่ต้องการที่จะ
ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก กลับไปหาคนของคุณซะ”พูดเน้นย้ำด้วยภาษาไทย เพื่อหลีกเลี่ยงดวงตามที่หรี่มองราวกับจับสังเกตอะไรบาง
อย่างของซอรีม

   “นายพูดบ้าอะไร ไอ้บ้านี่มันเป็นใครกัน ทำไมนายถึงปล่อยให้เด็กๆเรียกเขาว่าพ่อ นายจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ
ขนมผิง”

   “พวกเราไม่จำเป็นต้องอธิบายกับคนนอก ต่อไปนี้ผมจะบอกรปภ.ว่าไม่ให้คุณเข้ามาในพื้นที่บริษัทอีก ถ้าคุณมาที่นี่อีกผม
จะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกและก่อกวน”

   “ฉันไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์ดึงแขนของขนมผิงเอาไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ขนมผิงกลับเบี่ยงหลบก่อนที่จะดึงให้ซอ

รีมเดินหนีไป

   ค่อยๆห่างไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มได้แต่จ้องมองด้วยความอิจฉา ดวงตาคมกริบดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมา
ทาบอก หัวใจที่เต้นอยู่ข้างในมันรู้สึกราวกับถูกบีบรัดจนต้องขยุ้มมือลงบนอกแน่นจนเสื้อสูทตัวแพงยับยู่ยี่


   เขากำลังจะถูกแทนที่ กำลังจะถูกแทนที่ด้วยคนที่ทำให้เขาถูกกันออกมาจากคำว่าครอบครัวอย่างเย็นชา คนที่ลูกของเขา
เรียกว่าพ่ออย่างสนิทใจ มากกว่าที่เขาเป็นคนสอนให้เรียกซะเอง

      อิจฉา คำคำนี้กำลังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเมื่อสายตาทอดมองรถสีดำคันหรูขับออกไปตามไปด้วยรถคันที่เหมือนกันขับตามไปติดๆ ชาวต่างชาติคนนั้นมองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา แต่ความสัมพันธ์ที่ทำให้ทั้งขนมผิงและเด็กๆยิ้มและหัวเราะได้
นั้นยิ่งทำให้คำว่าอิจฉาทิ่มแทงใจ

   ความอุ่นของผิวกายนั่นยังแล่นผ่านอยู่บนฝ่ามือ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสิ่งที่รับรู้มันกำลังจะเลือนหายไป ช่อดอกไม้ที่บรรจง
เลือกเองกับมือถูกวางทิ้งไว้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ใบหน้าหล่อเหลาฟุบลงกับพวงมาลัยรถ



   ดูเหมือนทุกอย่างที่เพียรพยายามทำมาทั้งหมดทันกำลังจะสูญเปล่า ความรู้สึกของปิญญ์ชานนท์มันบอกแบบนั้น เขาล้วง
หยิบกล่องกำมะหยี่กล่องเล็กสีดำเงาในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนที่ยัดมันใส่เก็บลงไปในลิ้นชักก่อนจะขับรถออกไป เปลี่ยนเส้น
ทางจากร้านอาหารที่จองเอาไว้ด้วยความจำใจ



   -----------------------------------------------------------------------------------






หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 คนที่ไม่รู้จัก ❖ 20-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 20-07-2016 04:01:16
ต่อ

“เป็นอะไรไป ทำไมถึงทำหน้าเหมือนไม่ใช่คุณแบบนั้น”เสียงเรียกปลุกให้คนที่กำลังจมอยู่กับภวังค์ความคิดอย่างเหม่อลอยเบือน
หน้าหันไปมองเจ้าของคำพูดหยอกล้อที่เจือไปด้วยความห่วงใย ก่อนจะรับขวดน้ำดื่มที่ถูกยื่นมาตรงหน้า

   “ขอบคุณ ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย”

   “อย่าบอกนะครับว่าเหนื่อยกับลูกลิงสองตัวซะแล้ว”

   “ไม่ใช่หรอก คุณก็พูดเป็นเล่นไป ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่เหนื่อยกับการเลี้ยงลูกหรอกครับ”

   “นั่นสินะ นึกว่าคุณจะเหนื่อยที่กว่าจะไล่ให้เด็กๆกลับบ้านไปได้ต้องใช้ของมาล่อมากมาย”

   “มันเป็นเรื่องปกติแล้วครับที่ต้องมีของรางวัลให้กับเด็กๆเวลาที่เด็กๆเชื่อฟัง”

   “แล้วถ้าต้องการจะให้ผู้ใหญ่อย่างคุณผิงเชื่อฟังต้องใช้อะไรมาเป็นของรางวัลไหมครับ?”ซอรีมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบนโซฟา
ตัวเดียวกันก่อนจะทอดมองไปนอกบานประตูกระจกใส แสงแดดสีทองยามเย็นสาดลอดผ่านเข้ามาบอกถึงเวลากลางวันที่ใกล้จะ
หมดลงไปทุกที


   “ผมทำแค่สิ่งที่อยากจะทำ รางวัลก็คือความสุขจากสิ่งที่ผมทำไงครับ”

   “บางครั้งสิ่งที่ต้องการทำกับสิ่งที่สมควรทำมันก็อยู่ตรงกันข้าม คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”

   “สิ่งที่ผมต้องการทำคือสิ่งที่ถูกต้อง ผมคิดแบบนั้นเสมอ”ขนมผิงหันไปส่งยิ้มบางเบาให้กับซอรีม

   “อา นั่นสินะ ผมว่าเราเลิกคุยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องดีกว่า นี่เป็นภาพอัลตร้าซาวด์พร้อมข้อมูลอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้เวลาที่ผมไม่
อยู่ ถ้ามีอะไรคุณติดต่อกับเพื่อนของผมที่ย้ายมาประจำอยู่ที่นี่ได้เลย คุณจำเขาได้ใช่ไหม”

   “ผมจำได้ เมื่อครู่เราพึ่งจะเจอกัน ผมไม่ใช่คนความจำสั้นนะซอรีม”เพราะก่อนหน้านี้เขาพึ่งจะแวะไปที่โรงพยาบาลเอกชน
แห่งหนึ่งที่อยู่ใสความดูแลของเพื่อนซอรีม แลเป็นโรงพยาบาลที่เขาตั้งใจว่าจะเป็นสถานที่ที่ทำให้เด็กที่อยู่ในท้องลืมตาขึ้นมาดู
โลก ถึงแม้จะปราศจากเงาของใครอีกคนก็ตาม

   “ผมแค่ล้อเล่น่ะ เอาเป็นว่าถ้าใกล้ถึงกำหนดการผมจะกลับมาอีกที”

   “อืม ตกลงครับ”ขนมผิงพยักหน้ารับ เปิดซองเอกสารสีขาวออกมา ภาพถ่ายอัลตร้าซาวด์หลายมุมปรากฏอยู่ตรงหน้า

   “ผมจะถามคุณอีกที คุณแน่ใจนะว่าครั้งนี้จะไม่ไปหาผมที่อังกฤษ”

   “ไม่ครับ ผมไม่อยากไปไกลบ้านอีกแล้วล่ะ”ขนมผิงส่ายหน้า ภาพก้อนเนื้อที่ยังไม่ก่อตัวเป็นรูปร่างดีทำให้รู้สึกว่าน้ำตามัน
กำลังจะเอ่อไหลออกมา ทั้งมีความสุข ทั้งเจ็บปวดในคราวเดียวกัน

   “นั่นสินะ สามปีที่ผ่านมาคุณคงคิดถึงบ้าน”

   “คิดถึงมากเลยล่ะ”

   “แล้วครั้งนี้คุณคิดว่าจะได้ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”

   “ผมไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นผู้หญิงล่ะมั้ง จะได้ไม่ต้องวิ่งไล่จับกันวุ่นวายเหมือนเดิม ผมคงจะอายุสั้นถ้าหากได้ลูกชาย
ซนซนเพิ่มมาอีกคน”   

   “ยังไงซะไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายแน่นอนอยู่แล้วว่าผมจะต้องทำให้เขาตาขึ้นมาดูโลกอย่างปลอดภัยแล้วก็เป็นพ่อทูนหัว
ให้กับเขา”



   

   “โทรศัพท์คุณมีสายเข้านะครับ”ระหว่างที่กำลังสนใจกับเอกสารและข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดมา ขนม
ผิงจึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบข้างนอกจากคำพูดของซอรีมกับเอกสารเลยสักนิด จนนานแล้วที่โทรศัพท์ของเขาแผดเสียงออกมา

   “อา ขอบคุณครับ”

   เขาตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้องมองไปยังหน้าจอ ฉับพลันก็กดวางสายเมื่อเห็นว่ารายชื่อที่ขึ้นอยู่นั้นเป็นคนที่เขา
ต้องการจะตัดความสัมพันธ์มากที่สุดถึงแม้ว่าข้างในใจจะยังรู้สึกว่ามีอะไรคาใจอยู่ก็ตาม

   “ทำไมไม่รับล่ะ”

   “เบอร์ไม่คุ้นน่ะ อาจจะโทรผิด”

   “งั้นเหรอครับ”ซอรีมพยักหน้าถึงจะรู้ว่าขนมผิงโกหกตนก็ตาม ดวงตาสีน้ำข้าวสวยลอบหรี่มองว่าที่คุณแม่เพศชาย ดูเหมือน
ว่าจะมีบางอย่างที่เขากำลังปะติดกันมันถูกต้องตามที่คิด เห็นๆอยู่ว่ารายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอถูกบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่
ว่าอย่างไรก็ตาม คนคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เขาเคยเจอกันแล้วก็ได้

   โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง มือผอมหยิบมันขึ้นมาเพื่อที่จะตัดสายด้วยความรำคาญ ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างเพราะมันเป็นเบอร์
บ้านของเขาเอง

   “ผิงครับ”

   ‘ผิง วันนี้ไม่กลับบ้านเหรอลูก’

   “วันนี้ซอรีมแวะมาที่ไทย ผิงอาจจะค้างที่นี่ เพราะเราไม่ได้เจอกันนาน มีหลายเรื่องที่ต้องคุย อีกอย่างฝนก็ทำท่าว่าจะตก
ผิงคงไม่ได้กลับ แล้วเด็กๆถึงบ้านรึยังครับ”ขนมผิงโกหกออกไป บางอย่างที่สำคัญอีกอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจก็คือความลับที่ยัง
ไม่ได้บอกให้ครอบครัวรู้ว่าเขากำลังท้องลูกคนที่สาม
   ‘เด็กๆมาถึงได้สักพักแล้ว นิวกับแนนกำลังพาไปอาบน้ำอยู่ แม่แค่โทรมาดูผิงเฉยๆ ผิงไม่เป็นอะไรใช่ไหมะ’

   “จะให้ผิงเป็นอะไรเรื่องอะไรล่ะครับ?”ขนมผิงเอียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อน้ำเสียงของมารดาที่ลอดผ่านปลายสายมาดูเป็น
กังวล

   ‘เมื่อตอนเย็นคนของคุณพิเชษฐ์เขาเข้ามาที่บ้าน’

   “เขาเข้าไปทำไมกัน?”ขนมผิงถามถึงแม้ว่าจะคาดเดาคำตอบเอาไว้แล้วก็ตาม

   ‘เขาให้คนมาบอกถอนหมั้นน่ะ ครั้งแรกแม่ก็ตกใจ ถามเหตุผลเขาก็ไม่ยอมตอบ เขาบอกแค่ว่าทางเรารู้อยู่แก่ใจดี เอาแต่
โทษทางเราว่าไม่เหมาะสมกับคนของเขา แม่สิต้องตามทางเขาว่าลูกสาวของเขามีข่าวไม่ดีตั้งเยอะ ทางเรายังไม่ว่าอะไร จะกลับ
ไปหมั้นกับคุณปิญญ์ตามข่าวรึเปล่าก็ไม่รู้ คิดแล้วแม่ก็ไม่พอใจเอาซะเลย ว่าแต่ผิงไม่เป็นอะไรใช่ไหม แม่เป็นห่วง’

   “อย่างนั้นเหรอครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผิงไม่เป็นไร”ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเป็นไปตามที่ปิญญ์ชานนท์ต้องการ การแย่งของของตัวเองคืนไปไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามเป็น
สิ่งที่คนแบนั้นถนัดเสมอ ริมฝีปากได้รูปขบเข้าหากันแน่น พยายามบังคับไม่ให้มันสั่นเครือ

   ไม่ใช่ว่าเพราะเสียใจเขามั่นใจว่าไม่ใช่เหตุผลนั้น เป็นเพราะความรู้สึกเจ็บในอกต่างหากที่มันทำให้เขาเหมือนกำลังสูญเสีย
ตัวตนไปอีกครั้ง ตัวตนที่แสนอ่อนแอ ตัวตนที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยความก้าวร้าวและเย็นชาที่เขาสร้างขึ้นมา

   “ยังไงแม่ก็อยากให้ผิงรู้ไว้ว่าผิงมีพ่อกับแม่ มีเปลากริมกับสลิ่มคอยอยู่ด้วย”

   “ครับ ผิงรู้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผิงสบายดี ไม่ได้เสียใจอะไร”

   “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็สบายใจ พรุ่งนี้ถ้าจะกลับตอนไหนก็โทรมาบอกให้ทางนี้ไปรับนะ”

   “ครับ ฝันดีครับ”

   ขนมผิงถอนหายใจก่อนจะวางเครื่องมือสื่อสารราคาแพงลงบนโต๊ะเบื้องหน้า หันไปมองด้านข้างก็พึ่งจะรู้ตัวว่าซอรีมไม่อยู่
แล้ว

   รูปถ่ายอัลตร้าซาวด์ถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง ถึงตอนนี้จะยังไม่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดาไม่ออกเลยว่าครั้งนี้จะเป็นผู้หญิงหรือ
ผู้ชาย ขอแค่ให้ปลอดภัยก็พอ



   “หายไปไหนมาล่ะครับ”ขนมผิงยิ้มเมื่อซอรีมเดินเข้ามาในห้องรับแขก

   “ดูเหมือนว่าเราจะมีปัญหานะครับ”

   “ปัญหา?”

   “มีผู้บุกรุกนะครับ คุณผิงจะไปดูหน่อยไหม เผื่อคุณผิงมีแนวทางในการจัดการคนคนนี้”



   -----------------------------------------------------------------------------------



   ในที่สุดก็มาจนได้ ชายหนุ่มดับไฟหน้ารถก่อนจะลอบมองเข้าไปในบ้านทรงยุโรป มีรั้วไม้สีขาวทรงเตี้ยล้อมรอบ ดวงตาคม
หม่นแสงมองเห็นคนที่ดูเหมือนผู้ติดตามสองสามคนเดินผ่านไปมา ชั้นล่างที่ส่วนใหญ่เป็นบานกระจกใสทำให้มองเห็นภายในได้
อย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ่งไม่พอใจเมื่อรู้ว่าเด็กๆได้กลับไปแล้ว แต่ใครอีกคนยังคงอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะกลับ

   ทำไมถึงไม่กลับไปพร้อมกัน คำถามนี้ทำให้ปิญญ์ชานนท์อึดอัดในอกจนแทบจะระเบิดออกมาเต็มทน คนคนนั้นเป็นใครกัน
แน่ คนที่เด็กๆเรียกว่าพ่อแล้วมาแทรกกลางระหว่างเขากับครอบครัว เขาจะไม่ยอมให้ความผิดทุกอย่างที่ทำมามันคงอยู่ตลอดไป
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกแก้ไขแม้จะต้องถูกมองด้วยแววตาเหยียดหยามหรืออะไรก็ตาม

   ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิมาแย่งเอาครอบครัวไป เขาก็จะต้องทวงคืนครอบครัวกลับมาให้ได้ มันจะเป็นอะไรไปถ้าเขาจะมา
ตามเมียตัวเองให้กลับไปด้วยกัน พยายามอีกครั้งถึงแม้จะถูกตอกกลับด้วยสายตาอันเย็นชา ถ้อยคำที่ผลักไสไล่ส่งก็ตาม แต่เขา
จะไม่ยอมหยุด



   -------------------------------------------------------------------------------------



   “นี่มันอะไรกัน คุณมาทำอะไรที่นี่!!”

   ขนมผิงถามขึ้นมาเสียงดังเมื่อมองเห็นใครที่เขาไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ทรุดนั่งอยู่บนสนามหญ้าหน้าบานพักชั่วคราวของซอรีม
สภาพที่เหมือนจะดูไม่ได้ยิ่งทำให้ตกใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว

   “ฉันมาตามนายกลับ”

   “ผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับไปกับคุณ”

   “แล้วนายมาที่นี่ทำไมกัน ทำไมนายต้องมาอยู่กับไอ้บ้านั่นด้วย”

   “ผมไม่จำเป็นต้องตอบ คุณกลับไปซะ”ขนมผิงตอบเสียงแข็ง เขาปลายตามองปิญญ์ชานนท์เพียงแค่วูบเดียวผ่านลาดไหล่
ของซอรีมเท่านั้น

   เพราะกำแพงสูงที่กั้นระหว่างกลางของเขากับปิญญ์ชานนท์มันกำลังก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้เขาไม่อยากที่จะเผชิญ
หน้ากับอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นตาคู่คมก็สังเกตเห็นรอยช้ำที่มุมปากของชายหนุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ จากสภาพของปิญญ์ชานนท์และ
คนที่ติดตามซอรีมมาด้วยอีกสามคน ดูเหมือนว่าจะเกิดการกระทบกระทั่ง ซึ่งแน่นอนว่าคนคนเดียวไม่อาจสู้แรงคนสามคนได้ ต่อ
ให้มีความบ้ามากแค่ไหนก็ตาม



   ปิญญ์ชานนท์จ้องมองร่างสูงโปร่งของขนมผิงก่อนจะถูกร่างสูงใหญ่ของหนุ่มชาวต่างชาติอย่างซอรีมบดบัง ชายหนุ่มแลบ
ลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเจ็บใจ รสเค็มปร่าฟุ้งกระชายทั่วโพลงปาก เสื้อผ้าราคาแพงทั้งยับและหลุดลุ่ย ดูเหมือนสภาพเขาตอนนี้จะดู
ไม่ค่อยได้ ขนมผิงจึงได้ไม่แม้แต่จะมองเขา

   “จะให้ผมทำยังไงกับเขาดีล่ะครับ”ซอรีมถามเสียงเรียบ ดวงตาเจ้าเล่ห์หรี่ตาจ้องมองมาที่ชายหนุ่ม

   “แล้วแต่คุณ ซอรีม จะแจ้งตำรวจมาจับเขาก็ได้”

   “แต่นั่นคนรู้จักของคุณนี่ครับ”

   “เราแค่เคยรู้จักกันครับ ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกันขนาดนั้น”น้ำเสียงเย็นชาที่ตอบกลับมาแทบทำให้คนที่กำลังจ้องมองมา
ด้วยสายตาที่มีหวังหมดแรงภายในเสี้ยววินาที

   “ได้ครับ งั้นคุณผิงเข้าไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

   ซอรีมวางมือบนบั้นเอวของขนมผิงก่อนจะดันให้อีกฝ่ายเดินตามเข้าไป ปิญญ์ชานนท์ได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ

   “ฉันจะรอนายอยู่ตรงนี้ จนกว่านายจะออกมา ฉันไม่ยอมทิ้งนายให้อยู่กับคนอื่นแน่ จนกว่านายจะยอมกลับไปกับฉัน”

   ปิญญ์ชานนท์ตะโกนไล่หลัง มั่นใจว่าขนมผิงจะต้องได้ยินคำของเขา แต่ทว่าความหวังที่มีในเวลานี้มันช่างริบหรี่เหลือเกิน

   เหมือนกับบทลงโทษในสิ่งที่เขาทำผิดไปทั้งหมดกำลังถาโถมเข้ามาซ้ำเติม สั่งสอนให้เขายิ่งเจ็บจนแทบบ้า ฝนที่ตั้งเค้า
มาตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มลงเม็ดปรอยลงมา

   หน้าบ้านยัง มีคนยืนคุมอยู่อีกสองคน มันไม่ง่ายแน่ที่เขาจะบุกเข้าไป จินตนาการไม่ออกเลยว่าขนมผิงกำลังทำอะไรอยู่กับ
คนคนนั่น

   

   ชายหนุ่มเสียแรงไปกับการดึงดันที่จะเข้าไปจนเจ็บตัว ทั้งหิวทั้งหนาว ปิญญ์ชานนท์นั่งพิงรั้วไม้สีขาวจ้องมองไปยังประตู
บ้านหวังว่าใครบางคนที่เขารออยู่ในนั้นจะเดินออกมาแล้วกลับไปกับเขา ถึงจะแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้อยู่เลย แต่ชาย
หนุ่มก็เลือกที่จะรอ เพราะถ้าหากเขายอมแพ้ให้กับเรื่องแค่นี้ เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสแก้ตัวอีกเมื่อไร

   ยิ่งดึกเท่าไรฝนที่ตกลงมายิ่งเทกระหน่ำจนเนื้อตัวเปียกปอน ดวงตาคมกริบยังคงจ้องมองไปที่บานประตู เริ่มแดงก่ำจนเห็น
เส้นเลือดปรากฏอยู่ในดวงตาชัดเจน





   “จะไม่ทำอะไรกับเขาสักหน่อยเหรอครับ”

   “ทำอะไรที่ว่าคุณหมายถึงอะไร?”ขนมผิงถามทั้งที่ยังคงเลื่อนดูเอกสารต่างๆด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ พยายามปิดซ่อนบางอย่าง
เอาไว้ เขากำลังฝืนเพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นด้านที่เขาพยายามเก็บมันมาตลอด

   “งั้นผมจะให้คนเรียกตำรวจมาเชิญตัวเขาไปนะครับ คุณผิงจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมาก่อกวนคุณ”

   “ไม่ต้องหรอกครับ อีกสักพักเขาก็ไปเอง ฝนก็เริ่มตกหนัก เขาไม่ใช่คนที่จะอดทนอะไรกับเรื่องที่เขาไม่ได้ประโยชน์ อีก

อย่างผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”

   “คุณก็ดูรู้จักเขาดีนี่ครับ ทำไมถึงทำเหมือนกับว่าไม่รู้จักเขาล่ะ”ซอรีมพูด ซึ่งนั่นก็ทำให้ขนมผิงชะงักไปชั่วครู่

   “ผมไม่ได้รู้จักเขาไปมากกว่าชื่อและนิสัยที่เขาแสดงออกมา ยังไงซะมันก็ไม่จำเป็นอยู่แล้วที่จะต้องไปใส่ใจอะไรกับคน
แย่ๆอย่างเขา”


   “ทำไมล่ะครับ บางทีการกระทำแย่ๆที่เขาแสดงออกมาให้คุณเห็นในเวลานี้มันอาจจะมาจากสัญชาติญาณของเขาก็ได้”

   “สัญชาติญาณอะไรของคุณ คนเป็นหมอนี่พูดอะไรเข้าใจยากนะครับ”ขนมผิงยังคงจับจ้องมองเอกสารในมือ ไล่บรรทัดซ้ำ
ไปซ้ำมา แต่สิ่งพวกนั้นมันไม่ได้เข้าไปในสมองเลยสักนิด


   “มนุษย์เรามีสัญชาติญาณอยู่ในตัวของทุกคนนั่นแหละครับ แต่มนุษย์เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกครับว่าหยิบเอามันมาใช้ในเวลา
ไหน มันก็เหมือนกับสัตว์ที่แสดงความก้าวร้าวออกมาเมื่อมันหวงอาณาเขต หรือไม่ก็ต้องการปกป้องครอบครัวของมันเอง คุณไม่
คิดอย่างนั้นเหรอครับ”

   “ถ้าหากจะเปรียบคนอย่างปิญญ์ชานนท์เป็นสัตว์ เขามันก็คงเป็นสัตว์ดุร้ายที่คอยจ้องจะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเอง
ต้องการ”

   “บางทีสัตว์ดุร้ายก็มักจะหวงอาณาเขต หวงครอบครัวนะครับ

   “ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำอย่างนั้น”

   “ใจคอคุณจะไม่ให้โอกาสเขาเลยเหรอครับ”ซอรีมยิ้ม

   “โอกาสอะไรของคุณ? ไม่มีโอกาสอะไรที่ผมจะต้องให้เขานี่ครับ เราหยุดพูดถึงเขาดีกว่า ผมไม่อยากเสียเวลากับคนแบบ
นั้นอีกแล้ว ตอนนี้มีอะไรอีกมากมายที่ผมต้องทำเพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมา”ขนมผิงหันไปตอบกลับ จ้องมองดวงตาสีสวยพลาง
แสร้งทำเป็นไม่สนใจ

   โอกาสงั้นเหรอ? คำว่าโอกาสสำหรับคนอย่างปิญญ์ชานนท์มันคืออะไรล่ะ แล้วทำไมเขาถึงต้องให้โอกาส ในเมื่อโอกาสที่
เขาเคยให้มันจบสิ้นลงไปนานแล้ว

   “บางทีคุณอาจจะเคยให้โอกาสเขาไปแล้วก็ได้ เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว”ซอรีมบอกพลางเอื้อมมือมาแตะลงบนหน้าท้องของ
ขนมผิงอย่างเบามือราวกับต้องการที่จะสื่ออะไร

   “มันไม่มีโอกาสหรือว่าอะไรระหว่างเราทั้งนั้น ผมง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”ขนมผิงตัดบท รีบรวบเอกสารใส่ลง
ซองก่อนจะผละออกไป




--------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเจ้าค่า   :mew1: ยังรักคนอ่านเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมาช้าหน่อย เพราะค่อยๆอัพทีละไม่เยอะ เลยลงทีเดียวครบตอน ใครรอไม่ไหวอาจจะหาอ่านที่ธัญวลัยก็ได้นะเจ้าคะ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 ❖ 20-07-59 ❖ ยาวเลยจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-07-2016 04:31:53
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 ❖ 20-07-59 ❖ ยาวเลยจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 20-07-2016 09:09:42
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 ❖ 20-07-59 ❖ ยาวเลยจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 20-07-2016 12:26:13
เบื่อผิง   
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 ❖ 20-07-59 ❖ ยาวเลยจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-07-2016 21:12:54
ผิงทิฐิมาก. แต่นั้นยังไม่น่าหนักใจเท่าครอบครัวเดหลีว่าจะทำอะไรไม่ดีๆกับพระเอกและนายเอกของเราไหม :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 ❖ 20-07-59 ❖ ยาวเลยจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 20-07-2016 21:57:38
ก็เข้าใจผิงนะ เจอมาเยอะ เจ็บมาแยะ จะให้มั่นใจง่าย ๆ ก็ใช่ที่
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 ❖ 20-07-59 ❖ ยาวเลยจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 21-07-2016 04:04:57
ุกคับ สะใจดี ปิณไม่มีโอกาสทำให้ผิงคิดถึงเลยว่างั้น 555
มีแต่ปิณตามผิงจนทำอะไรบ้าๆอะ  ขนมผิงเขาก็ไม่สนใจอะไร ปิณหาเมียใหม่เถอะ 555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 34+35 ❖ 20-07-59 ❖ ยาวเลยจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-07-2016 23:32:51
 :pig4: :pig4: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 36 บทเรียนราคาแพง ❖ 25-07-59 ❖ up!!
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 25-07-2016 03:55:56
33 บทเรียนราคาแพง

   หนุ่มชาวต่างชาติปรายตาจ้องมองบรรยากาศภายนอกสนามหญ้าหน้าบ้านผ่านบานกระจกใสก่อนจะก้มหน้าสนใจกับข่าวใน
หนังสือพิมพ์ต้อนรับเช้าวันใหม่อย่างไม่ใส่ใจ  เช้าวันนี้ช่างต่างจากวันเดิมๆที่เคยเจอมาลิบลับ ดูเหมือนการมาไทยในครั้งนี้มีเรื่อง
สนุกมากกว่าที่คิดเอาไว้หลายเท่าตัว

   หลังจากผ่านค่ำคืนที่มรสุมพัดทำให้ต้นไม้ต่างก็พากันชูช่อสวยสะดุดตา แต่นั่นก็ไม่สะดุดตาเท่ากับชายหนุ่มที่กำลังนั่งพิง
รั้วบ้านสีขาวด้วยท่าทางอิดโรย ริมฝีปากได้รูปแห้งผาก ทำให้สภาพยิ่งดูแย่กว่าที่เจอเมื่อคืน

   “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนคุณหลับสบายดีรึไหมา นี่สำหรับคุณ โกโก้ร้อนกับขนมปังสดใหม่จากเตา”ซอรีมเอ่ยทักพลางเลื่อนถาด
อาหารเช้าด้านหน้าเมื่อเห็นว่าอีกคนเดินลงมาจากชั้นบน

   “อรุณสวัสดิ์เช่นกัน ผมหลับสบายดี ขอบคุณ”ขนมผิงตอบรับ นั่งลงฝั่งตรงข้ามของซอรีม

   จงใจที่จะหันหลังให้กับบานกระจกใสเพื่อจะไม่ให้ตัวเองมองเห็นด้านนอกของตัวบ้าน

   “สภาพเขาดูแย่มากเลยนะครับ เมื่อเช้าผมให้คนเอาน้ำไปให้เขา แต่เขาไม่ยอมรับมัน ยืนยันแต่ว่าจะรอคุณอย่างเดียว ผม
ว่าเขาเป็นคนที่มุ่งมั่นมากเลยนะครับ คุณว่าไหม”

   “เขามันก็แค่หมาบ้า”

   “หมาบ้าก็มีหัวใจนะครับ”

   “มันจะต่างอะไรกับไม่มีหัวใจ ในเมื่อหัวใจของเขามันด้านชา”

   “ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ บางทีเขาอาจจะได้ยาดีมารักษามันแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้”ซอรีมยิ้มกริ่ม

   “ยังไงก็ช่าง ผมไม่คิดจะสนใจเขานักหรอก”ขนมผิงบอกปัด

   ต่อให้คนอย่างปิญญ์ชานนท์จะไร้หัวใจ หรือว่ามีหัวใจที่ด้านชา หรืออะไรก็ตาม ยังไงซะ เขากับอีกฝ่ายก็เป็นเหมือนเส้น
ขนานที่ไม่มีวันบรรจบนับตั้งแต่ที่ถูกตอกย้ำด้วยถ้อยคำที่ดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับพวกไร้ค่า

   “แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ไหวแล้วนะครับเนี่ย หรือผมควรจะเรียกรถพยาบาลมารอไว้เลย”

   “ตามใจคุณแล้วกัน”

   “งั้นกินอาหารเช้าเสร็จเราไปกันเลยนะครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เวลาขึ้นเครื่องซะแล้ว รู้สึกแย่นะครับที่อยู่กับคุณได้ไม่ถึง
ยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ต้องจากกันเร็วแบบนี้”

   “ไม่มีใครห้ามถ้าคุณนะครับจะมาเยี่ยมเราบ่อยๆ ซอรีม”

   “ผมก็อยากทำอย่างนั้นถ้าตารางงานมันไม่เยอะเป็นกองภูเขาแบบนี้”

   “แต่คุณก็สนุกกับมันนี่ เอาเถอะ ไว้ผมจะไปส่งคุณที่สนามบินด้วยแล้วกัน”

   “อย่าเลย ตอนนี้คุณสมควรพักผ่อนเยอะๆนะครับคุณผิง ผมอยากให้เบบี๋ในท้องของคุณเกิดมาแข็งแรง”

   “เอาอย่างที่คุณต้องการก็ได้”ขนมผิงพยักหน้า จำใจตอบรับรับเรื่องลูกที่ถูกยกขึ้นมาอ้างอย่างช่วยไม่ได้







   “แค่ก แค่ก แค่ก”ปิญญ์ชานนท์ไอออกมาอย่างแสบคอเมื่อในคอมันกำลังแห้งผากราวกับว่าน้ำในร่างกายของเขามันถูกสูบ
ออกไปจนเหือดแห้ง

   ชายหนุ่มนั่งพิงรั้วไม้พลางมองแผ่นหลังคุ้นเคยผ่านบานกระจกใส แดดในยามสายเริ่มแรงขึ้นจนมันส่องแยงตา อดไม่ได้ที่
จะต้องยกมือขึ้นมาบังด้วยความอ่อนแรง

   จ้องมองด้วยแววตาอันอิดโรยแบกรับความอิจฉาที่ถาโถมยามเห็นขนมผิงกำลังพูดคุยกับคนอื่นด้วยท่าทีสนิทสนมบนโต๊ะ
อาหารยามเช้าแบบนั้น

   ลิ้นร้อนผ่าวแลบเลียริมฝีปากแห้งผากบรรเทาความเจ็บแสบเมื่อแผลปริแตกแห้งกรังจนเจ็บแต่มันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไร
เมื่อน้ำลายของเขามันทั้งเหนียวทั้งข้นเพราะขาดน้ำเป็นเวลานาน ร่างกายรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทั้งที่แสงแดดยามบ่ายนั้นอบอุ่นจน
แทบเกือบร้อน

   เมื่อไรขนมผิงจะออกมาสักที ปิญญ์ชานนท์ได้แต่ข่มตา บังคับไม่ให้เปลือกตาที่อ่อนแรงนั้นปรือปรอยปิดลงมา เพราะกลัว
ว่าจะคลาดกันกับอีกฝ่าย ลมหายใจที่พรูออกมานั้นร้อนผ่าว รู้สึกได้เลยว่าร่างกายของตัวเองนั้นใกล้จะไม่ไหวเข้าไปทุกที

   แต่แล้วการรอคอยก็จบลงเมื่อประตูบ้านที่ถูกเปิดออกมาในครั้งนี้เผยให้เห็นร่างที่เขาข่มตารอคอยท่ามกลางสายฝนข้ามคืน

   “ขนมผิง”หลุดเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไปด้วยความดีใจ น้ำเสียงนั้นแห้งผากเต็มทน

   ราวกับสุนัขที่ดีใจเวลาที่เจ้าของกลับบ้าน รอยยิ้มเผยขึ้นมาบนใบหน้าอันหล่อเหลาที่เวลานี้สภาพดูไม่ได้ เขาฝืนตัวขึ้นลุก
เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะมีคนอื่นกำลังเดินอยู่เคียงข้างก็ตาม

   “นายยอมกลับกับฉันแล้วใช่ไหม”

   ถามออกไปด้วยความหวัง ส่งยิ้มไปด้วยความจริงใจ ไร้การแสแสร้งอย่างไม่เคยเป็น หากแต่ว่ารอยยิ้มที่ส่งไปนั้นดูเหมือน
จะสูญเปล่า

   ใบหน้านิ่งเฉยนั้นเบือนหนีไปอีกทาง แขนผอมบางดึงหลบเมื่อเขาเอื้อมมือเข้าไปหา ก่อนที่จะเดินทิ้งห่างออกไป ทำ
ราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ

   “อรุณสวัสดิ์นะครับ”

   เสียงทักทายด้วยภาษาสากลแทบจะไม่เข้าโสตประสาต ในเวลานี้ปิญญ์ชานนท์เพียงจับจ้องเจ้าของร่างสูงโปร่งของใคร
คนนั้นหายเข้าไปในรถที่เปิดประตูรออยู่

   “อาจจะแนะนำตัวช้าไปนะครับ ผมชื่อซอรีม แล้วคุณล่ะ”ซอรีมแนะนำตัว เหยียดยิ้มส่งให้กับปิญญ์ชานนท์

   ทว่าคำกลับไม่ได้รับคำตอบเมื่อปิญญ์ชานนท์กลับไม่ได้ใส่ใจเขาเลยแม้แต่น้อย กลับจ้องมองประตูรถที่ปิดลงราวกับว่ารอ
คอยให้คนในรถลงมา

   “ไม่ตอบไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่ายังไงซะ ในอนาคตยังไงเราก็ต้องทำความรู้จักกันอยู่ดี เอาเป็นว่าผมให้นี่เป็นของขวัญ
สำหรับการพบกันของเราก็แล้วกัน”

   รูปถ่ายใบเล็กเท่าฝ่ามือถูกยัดใส่มือของชายหนุ่ม ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับท่าทีสบายใจของอีกฝ่าย คล้าย
กับว่ากำลังเยาะเย้ยเขา

   หากแต่ว่ารูปใบเล็กๆในมือนั้นกลับทำให้พูดไม่ออกเมื่อมันแสดงให้เห็นในสิ่งที่เขาเองก็รอคอย เขารอคอยที่จะปกป้องสิ่ง
สิ่งนี้

   “เอามาให้ผมทำไม”

   “แล้วเจอกันนะครับ”ซอรีมไม่ตอบ ก่อนจะไหวไหล่และเดินจากไปจะเดินจากไป

   รถสองคันค่อยๆเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆจนสุดสายตา แต่ชายหนุ่มที่ถูกทิ้งนั้นยังคงจ้องมองสิ่งที่ปรากฏอยู่ในรูปแน่นิ่งก้อน
เนื้อเล็กๆที่ยังไม่แสดงถึงรูปร่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันทำให้เขาทั้งดีใจและรู้สึกมีแรงขึ้นมาราวกับได้ยาดีมา
รักษา

   หากแต่ภาพเบื้องหน้าค่อยๆพร่าเบลอ เปลือกตาค่อยๆอ่อนล้าและหนักอึ้ง รู้สึกราวกับว่าหมดแรงที่จะฝืนให้เปิดออกอีกครั้ง
เหมือนค่ำคืนที่ผ่านมา ร่างสูงใหญ่ทรุดลงบนสนามหญ้าเขียวชอุ่มก่อนสติที่มีจะเลือนหายแทนที่ด้วยความดำมืดอย่างไม่มีสิ้นสุด



   ------------------------------------------------------------------------



   ย่างก้าวที่ก้าวออกไปแต่ละก้าวในเวลานี้ช่างหนักอึ้ง สิ่งที่แบกรับเอาไว้เวลานี้มันคืออะไรกันแน่ เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ ขนม
ผิงได้แต่จ้องมองปลายเท้าตัวเองเหยียบย่างเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของมณีรัตน์ด้วยความอ่อนแรง

   ค่ำคืนที่ผ่านมาบางสิ่งบางอย่างมันกวนใจเขา และสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้นก็คือปิญญ์ชานนท์ จนใจทรามที่ทำให้
หัวใจของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆครั้งแล้วครั้งเล่า

   “กลับมาแล้วเหรอตาผิง”

   “ครับ กลับมาแล้ว เด็กๆไปโรงเรียนแล้วเหรอครับ”

   “พ่อเขาแวะไปส่งที่โรงเรียนก่อนจะไปออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนของเขานั่นแหละ”

   “ครับ”ตอบรับเพียงแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่

   “ผิง”

   “ครับ”

   “เป็นอะไรรึเปล่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายเลยนะ”

   “ผิงไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยๆ”

   “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว แม่อยากให้รู้ว่าแม่เป็นห่วงผิง รวมทั้งคนอื่นๆด้วย”ลำดวนบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วย
ความห่วงใย

   นัยน์ตามากวัยของคนเป็นแม่จ้องมองเพียงแค่วูบเดียวก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นกังวลของคนเป็นลูกได้ทันทีจึงแทบไม่
ต้องเสียเวลาที่จะถามไถ่

   หากแต่ความกังวลของลูกชายนั้นคือสิ่งใด นี่คือสิ่งที่คนเป็นแม่อย่างเธอเป็นกังวลไม่แพ้กัน

   “นั่งกับแม่ก่อนสิ”

   เวลานี้เธอรู้ดีว่าไม่ควรจะปล่อยให้ลูกชายของเธอเดินผ่านไปและทิ้งให้อยู่คนเดียวกับความคิดที่สับสน เธอเอื้อมมือที่เต็ม
ไปด้วยริ้วรอยของวัยประคองหัวของลูกชายให้ซบลงมาแทบอก

   “แม่”น้ำเสียงอันแผ่วเบาเอ่ยเรียกออกไป สิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในเวลานี้ ขนมผิงอยากที่จะบอกออกไปเผื่อว่าความรับที่แบก
เอาไว้จนหนักอึ้งนั้นจะบรรเทาลง

   หากแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดออกไป ขนมผิงรู้ดี ได้แต่เอนตัวซึมซับเอาไออุ่นจากอ้อมกอดของมารดา

   “แล้วคุณซอรีมล่ะ เขากลับไปแล้วเหรอ”ลำดวนชวนคุย

   “เขากลับไปแล้วครับ”

   “น่าเสียดายนะที่แม่ไม่ได้แวะเข้าไปหา”

   “ครับ อีกไม่นานเขาก็มาอีก”

   “อย่างนั้นเหรอ”เธอตอบรับลูกชายพลางลูบไล้บนเส้นผมนุ่มมือแผ่วเบา ความเงียบค่อยๆก่อเกิดขึ้นเมื่อบทสนทนาสั้นๆจบ
ลง



   “ผิง”

   “ครับ”

   “ไม่เสียใจใช่ไหมที่เขาถอนหมั้น”ในที่สุดเธอก็ถามออกไป และเธอภาวนาให้เป็นอย่างนั้น อย่างที่เธอคิดเอาไว้ตลอด

   และเธอก็ไม่แปลกใจเลยกับคำตอบที่ได้รับ หัวทุยๆที่แนบอกส่ายไปมา ทว่าสัมผัสบางอย่างทำให้ลำดวนปลายตามอง
ปฏิกิริยาของลูกชาย ชายเสื้อของเธอที่ถูกกุมไว้กำลังสั่นเทา

   “แล้วทำไมลูกชายของแม่ถึงได้ยังซึมอยู่อย่างนี้ล่ะ ยังมีเรื่องอะไรกวนใจอยู่อีกหรือ”

   “ไม่…ไม่มี”ขนมผิงส่ายหน้า “ผิงก็แค่รู้สึกเหนื่อย”แต่กระนั้นน้ำเสียงที่ตอบกลับสั่นเครือ

   “กับเขาคนนั้น แม่หมายถึงคุณปิญญ์น่ะ ผิงได้เจอเขาบ้างไหม”

   “ทำไมแม่ต้องถามถึงเขา อย่าเอ่ยชื่อของผู้ชายคนนั้นในบ้านของเราเลย ผิงเกลียดเขาแม่ก็รู้”มือที่กำชายเสื้อยิ่งกำแน่น
ลำดวนรับรู้ถึงเสียงของหัวใจลูกชายเป็นอย่างดี

   เธอยังจำสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นบอกกับสามีเธอได้เป็นอย่างดี สิ่งที่เธอไม่อาจคาดคิดและเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเป็นไปได้ และตอน
นี้เธอก็คิดว่าลูกชายของเธอยังคงไม่รับรู้มัน

   “แม่รู้ว่าผิงเกลียดเขา แต่นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้แม่อยากให้ผิงทบทวนเรื่องของปัจจุบัน แม่ไม่อยากให้ผิงจมอยู่กับความ
ทุกข์อีกแล้ว บางครั้งคนเราอาจจะเดินข้ามอะไรไปโดยที่ไม่รู้ตัว เพื่อที่เราจะได้รู้ว่ามันคืออะไร เราอาจจะต้องเดินย้อนกลับมา
มองมัน”

   “ผิง… ไม่รู้ว่าผิงต้องทำยังไง ทุกอย่างมันเหมือนกับหนักอึ้งไปหมด ทุกอย่างมันผิดพลาด ผิงไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้
ผิงรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว”

   ริมฝีปากได้รูปขบเข้าหากันแน่น ขอบตาร้อนผ่าวจนยากที่จะห้ามไม่ให้สิ่งที่กักกั้นเอาไว้เอ่อล้นออกมา ความลับที่แบกรับ
เอาไว้มันทำให้เขายิ่งกลัว

   “ถ้าผิงไม่อยากบอกแม่ก็ไม่เป็นไร ไว้ตอนไหนที่พร้อมผิงค่อยบอกแม่ก็ได้ ยังไงแม่ก็อยากให้ผิงรู้ว่าผิงไม่ได้อยู่ตัวคน
เดียว”

   “อึก…ผิงรู้”



   ลำดวนค่อยๆประคองศีรษะของลูกชายวางลงหมอนผิงอย่างเบามือ จัดท่านอนให้ลูกชายนอนได้อย่างถนัดถนี่ พยายามที่
จะไม่ให้คนที่ตกอยู่ในโลกของความฝันตื่นขึ้นมา เพราะเธอเข้าใจดีว่าโลกแห่งความจริงของลูกชายในเวลานี้เจ็บปวดแค่ไหน
นานนับชั่วโมงกว่าร่างที่สั่นเทาอยู่ในอกราวกับทารกแน่นิ่งไปแทนที่ด้วยเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ เธอเดินหายไปจากห้องรับแขก
ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าห่มคลุมลงบนร่างกายของลูกชาย



   -------------------------------------------------------------------------------

   

   แสงแดดสีเหลืองจัดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกให้เจ้าของร่างสูงโปร่งนอนคู้กายอยู่บนโซฟาปรือตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

   เสียงครางเบาๆพึมพำเล็ดลอดออกมาจากคอ เรียวคิ้วยาวขมวดมุ่น เขาคงจะเหนื่อยมากเกินไปจนเผลอหลับบนโซฟาข้าม
วันขนาดนี้ มือผอมยกขึ้นแตะขอบตาของตนเอง ความรู้สึกแสบร้อนเล็กๆทำให้ลำลึกได้ว่าก่อนหน้านั้นน้ำตาที่พยายามกักเก็บมัน
เอาไว้ได้เอ่อล้นออกมาเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของมารดา

   โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นเรียกความสนใจ พอหยิบยกมันขึ้นมาดูก็เห็นเป็นเบอร์แปลก ความจริงเขาจะไม่สนใจ
รับสายเข้าสายนี้หากว่ามันไม่เป็นเบอร์ที่โทรมาจากต่างประเทศ

   “ขนมผิงครับ”กรอกเสียงลงไปบางเบา

   ‘ผมนึกว่าจะไม่รับสายกันซะแล้ว’

   “ทำไมถึงได้โทรมาล่ะครับ คุณคงไม่ได้ตกเครื่องนะซอรีม”

   ‘อ่อ เปล่าหรอก ผมแค่นึกขึ้นได้ว่าลืมบอกบางอย่างกับคุณ’

   “แล้วบางอย่างที่ว่าคืออะไรล่ะครับ”ขนมผิงถามออกไปด้วยความสงสัย

   ‘ก็หลังจากที่เราออกมาจากบ้าน คนทำความสะอาดเขาไปเจอคุณคนนั้นนอนกองอยู่บนสนามหญ้าน่ะ ผมหมายถึงคุณผู้บุก
รุกน่ะ เขาก็เลยพาไปส่งโรงพยาบาล’

   “งะ งั้นเหรอครับ แล้วคุณมาบอกผมทำไม”

   ‘ผมคิดว่าผมควรจะบอกคุณให้รู้เอาไว้ก็แค่นั้น เอาล่ะ ผมคงต้องวางสายแล้ว อีกเดี๋ยวต้องเข้าประชุมเลย ไม่ไหวๆ พึ่งจะมา
ถึงแท้ๆ เอาเป็นว่าไว้เจอกันนะครับ’

   ยังไม่ทันพูดอะไรปลายสายก็ตัดไปซะก่อน แต่พอสังเกตตัวเอง รู้สึกว่ามือที่กำลังกำเครื่องมือสื่อสารอยู่มันสั่น ตั้งแต่เมื่อไร
เขาเองก็ไม่ทันสังเกต ความรู้สึกในเวลานี้มันช่างสับสน

   





   สุดท้ายก็พาตัวเองมาจนได้ เท้าค่อยๆย่างก้าวไปทีละก้าว จ้องมองทางเดินที่เงียบสงบของโรงพยาบาลยามค่ำคืน หยุดยืน
และจ้องมองแผ่นกระดาษเล็กๆที่จดเลขที่ห้องเอาไว้

   ชั่งใจอยู่นานนับหลายนาที รู้ตัวอีกทีใบหน้าซีดเผือดของคนที่กำลังหลับอยู่ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ริมฝีปากของอีกฝ่ายดู
แห้งผาก ใบหน้าดูซูบโทรมกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอ เขาจ้องมองสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางเชื่อมกับข้อมือแข็งแรงที่เคยใช้ตรึง
เขาเอาไว้ให้อยู่ในสภาพที่หมดทางสู้

   ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องมา หรือเป็นเพียงแค่ว่ารู้สึกผิดที่เป็นคนทำให้ปิญญ์ชานนท์ตกอยู่ในสภาพนี้ แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็
ต้องโทษปิญญ์ชานนท์ที่ทำตัวเอง เขาพยายามโยนความผิดทั้งหมดให้กับอีกฝ่าย ผิดที่พยายามตามต้อนเขาให้จนมุม จนรู้สึก
มองไม่เห็นทางที่จะเดินต่อไป   

   



   ------------------------------------------------------------------------------



มีต่อ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 36 บทเรียนราคาแพง ❖ 25-07-59 ❖ up!!
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 25-07-2016 03:58:32
ต่อ


   “มาเยี่ยมพี่ปิญญ์เหรอผิง”เสียงหนึ่งทักทายระหว่างที่เขากำลังจะเดินไปยังลานจอดรถ ทำให้ต้องชะงักเมื่อน้ำเสียงนั้นเป็น
น้ำเสียงที่คุ้นเคย

   “พี่วุฒิ”ขนมผิงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเสียงเบา เงยหน้าจ้องมองใบหน้าสะอาดสะอาดประดับด้วยแว่นกรอบหนา

   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม”

   “ผม…สบายดี”

   “จะเข้าไปเยี่ยมพร้อมกันเลยไหม”รอยยิ้มอ่อนโยนยังส่งมาให้เหมือนเดิม หากแต่ไม่เหมือนเดิมตรงที่ความรู้สึกที่เขามีให้
กับอีกฝ่าย

   “ผม…ไม่ได้มาหาเขา”ตอบโกหกออกไป

   “งั้นอยู่คุยด้วยกันก่อนสิครับ พี่ไม่ได้เจอผิงตั้งนาน”ฝ่ามืออุ่นแตะลงที่แขนก่อนจะดึงให้เดินตามไปยังม้านั่งสำหรับญาติผู้
ป่วย

   “แล้วเด็กๆล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังซนเหมือนเดิมไหม”

   “ครับ ซนเหมือนเดิม มีถามหาพี่วุฒิอยู่บ้าง”

   “นั่นสินะ ช่วงนี้ที่บ้านพี่ค่อนข้างยุ่ง คงไม่ได้ไปไหนมาไหนสักพัก”คุณวุฒิตอบกลับมา แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงกลับเจือไป
ด้วยความเศร้า

   “ผิงดูเงียบๆ ไม่เหมือนเดิม ไม่สบายรึเปล่าช่วงนี้”

   “ผิงไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยๆ แล้วพี่วุฒิล่ะครับ ทำไมถึงมาออยู่ที่นี่ได้”ขนมผิงถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่จำ
ได้ คุณวุฒิไม่ได้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนี้

   “จะทำไงได้ พี่ชายป่วยทั้งที แถมยังไม่มีคนดูแล พี่พึ่งจะมาถึงเลยแวะไปคุยกับหมอเจ้าของไข้ แล้วก็แวะเอาเสื้อผ้ากับ
ของส่วนตัวคนไข้เลยมาเจอผิงเนี่ยล่ะครับ”

   “ครับ”ตอบสั้นๆก่อนจะเงียบไป

   “ผิงดูเปลี่ยนไปเยอะนะครับ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ ทั้งที่ปกติเป็นคนพูดเยอะ พี่ชอบที่ผิงเป็นผิงคนที่พูดเยอะมากกว่า พี่
รู้นะว่ามันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ แต่พี่ก็อยากให้ผิงรู้ว่าพี่ยังเป็นห่วงผิง
เหมือนเดิม”คุณวุฒิบอกพร้อมกับเอื้อมมือสัมผัสลงบนกลุ่มผมนุ่มเบามือเหมือนอย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว

   ความรู้สึกเป็นห่วงยังคงเหมือนเดิมไม่เคยจางหาย ต่างกันก็แค่ความรู้สึกบางอย่างที่มันค่อยๆเลือนลางจางหายไป

   “ขอบคุณ แต่ผิงคงทำอย่างที่พี่พูดไม่ได้หรอก”

   “นั่นสินะ จู่ๆจะให้ทำแบบนั้นคงจะไม่ได้ เอาเป็นว่าไว้พร้อมเมื่อไรค่อยบอกพี่ก็ได้ครับ พี่ยังอยู่ข้างผิงเหมือนเดิม”คุณวุฒิยัง
คงบอกด้วยน้ำเสียงอันอ่นโยน ไม่ต่างจากเมื่อก่อน

   เวลานี้มีเพียงความเงียบยามค่ำคืนเท่านั้นที่ล้อมรอบ ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปกำลังดึงรั้งให้คนสองคนรู้สึกห่างกันทั้งที่
นั่งห่างกันเพียงเอื้อม

   “ผิงรู้ไหมว่าพยาบาลเขาบอกกับพี่ว่ายังไง เขาบอกว่าตอนที่มาถึงพี่ปิญญ์ไม่ได้สติอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นในมือก็ยังกำ
อะไรบางอย่างเอาไว้แน่น ใช้เวลาอยู่นานกว่าพยาบาลจะดึงเอาสิ่งนั้นออกมาจากมือของเขาได้ ผิงอยากรู้ไหมว่ามันคืออะไร”

   คุณวุฒิเอ่ยปากเริ่มออกมาเมื่อความเงียบทำให้รู้สึกว่าทนเก็บสิ่งที่ค้างคาออกมาไม่ได้ เพราะสิ่งๆนั้นที่เวลานี้กำลังอยู่ในมือ
ของเขา

   “มันคือ…อะไรครับ?”

   “มันคือรูปอัลตร้าซาวด์ของทารกที่อยู่ในครรภ์น่ะ ผิงอยากดูไหม”

   คุณวุฒิยื่นกระดาษรูปถ่ายใบยับยู่ยี่ให้ ดวงตารีเล็กลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายผ่านกรอบแว่น

   ทันทีที่เห็นนัยน์ตาสีโศกของเพื่อนรุ่นน้องก็ไหวระริกเมื่อเห็นสิ่งที่เขายื่นให้ มือที่รับมันไปถือเอาไว้ถึงแม้จะพยายาม
ควบคุมแค่ไหนแต่เขาก็เห็นอยู่ดีว่ามือนั้นมันกำลังสั่น

   “ทะ ทำไมกัน”

   ขนมผิงหลุดถามออกมาเสียงบางเบา ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้ไปอยู่กับปิญญ์ชานนท์ได้อย่างไร แล้วทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงได้ทำ
ราวกับว่าสิ่งๆนี้มีค่าทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้

   สุดท้ายความลับที่ปิดบังกับอีกฝ่ายไว้ก็ถูกล่วงรู้เข้าอยู่ดี ในที่สุดปิญญ์ชานนท์ก็รู้ว่าเขากำลังท้อง แล้วทำไมถึงได้พยายาม
จะแย่งผู้หญิงคนนั้นกลับคืนละ เขาไม่เข้าใจ ไม่ว่ายังไงก็ไม่เข้าใจปิญญ์ชานนท์อยู่ดี

   “ผิงกำลังท้องอยู่ใช่ไหม”

   สิ่งที่คุณวุฒิถามออกมาทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจ จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา

   “พี่วุฒิรู้?”

      “พี่รู้มาสักพักแล้ว และพี่ก็รู้ว่าผิงไม่อยากให้ใครรู้”คุณวุฒิจ้องมองใบหน้าของรุ่นน้อง “แต่สักวันความจริงมันก็ต้อง
ปรากฏ พี่ไม่อยากให้ผิงฝืนเก็บความลับไว้จนหนักอึ้งอยู่คนเดียว พี่รู้ดีว่าผิงไม่ค่อยมองรอบตัวของตัวเองเพราะว่าไม่อยากคาด
หวังกับคนพวกนั้น แต่พี่อยากให้ผิงรู้ไว้ว่ายังมีอีกหลายคนรอบๆตัวผิงที่เป็นห่วงผิงและอยากให้ผิงมีความสุข”

   “ผิงทำไม่ได้ ทำไม่ได้หรอกครับ ยังไงก็ทำไม่ได้”ขนมผิงตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ส่ายหน้าตอบรับตรงกันข้ามอย่างที่ใจ
นึก

   “ไม่เป็นไร ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้ พี่จะยังอยู่ข้างผิงเหมือนเดิม พี่สัญญา”

   “ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี”

   

   ------------------------------------------------------------------------------------

   

   ประตูห้องคนไข้วีไอพีถูกเปิดออกก่อนที่ร่างของคุณหมอพ่วงตำแหน่งญาติผู้น้องของปิญญ์ชานนท์จะเดินเข้ามา

   “ตื่นแล้วทำไมไม่อยู่นิ่งๆให้สมกับเป็นคนไข้หน่อยล่ะครับ”อดดุออกไปด้วยความเป็นหมอไม่ได้เมื่อเห็นคนไข้เดินลาก
สายน้ำเกลือไปมาทั่วห้อง

   “นายมาทำอะไรที่นี่นายวุฒิ”เสียงที่ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติดีแล้วถามทักเมื่อเห็นญาติผู้น้องเดินเข้ามาพร้อมสัมภาระ

   “ได้ยินว่าคนไข้ห้องนี้ไม่มีญาติมาเฝ้า ผมก็เลยแวะมาดู ทำไมถึงเดินไปมาอย่างนั้นล่ะครับ”

   “ฉันกำลังหาของอยู่ นายมาก็ดีแล้ว ช่วยไปถามกับพยาบาลให้ฉันหน่อยสิ”ปิญญ์ชานนท์ตอบโดยที่ไม่จ้องมองคู่สนทนา
ให้เสียเวลา เพราะของที่ว่ามันสำคัญต่อจิตใจของเขามาก แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ คงจะทำหล่นไปตอนที่เผลอหมดสติ คิด
แล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ที่ทำสัพเพร่า

   “กำลังหาไอ้นี่อยู่ใช่ไหมครับ”

   “ทำไมมันถึงไปอยู่ที่นายได้ล่ะ เอามานี่”ทันทีที่เห็นรูปถ่ายถูกอวดหราอยู่เบื้องหน้าของน้องชาย ไม่รอช้าปิญญ์ชานนท์ก็
รีบตรงเข้ามาคว้าคืนไปทันที

   



   “พี่ปิญญ์ทำผิงท้องอีกแล้วใช่ไหม”คุณวุฒิเอ่ยปากถาม ลึกๆแล้วหากไม่ใช่พี่ชายของเขา บางทีคนคนนั้นมันอาจจะเป็นเขา
ก็ได้ที่เป็นผู้ชายที่โชคดีคนนั้น แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความรู้สึกของอดีตเท่านั้น

   “นายรู้ได้ยังไง”

   “ทั้งสองคนถามผมกลับด้วยคำถามเดียวกันเลยนะครับ”

   “สองคนมันหมายความว่ายังไง?”ชายหนุ่มผู้ป่วยถามออกมาด้วยความสงสัย จ้องมองน้องชายตัวเองแน่นิ่งราวกับว่ากำลัง
เค้นเอาความจริงจากปากพยาน

   “ผมเดินสวนกับผิงที่ทางเดินเลยมีโอกาสได้คุยกันนิดหน่อย”

   “ขนมผิงมาที่นี่เหรอ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน นายเจอกับขนมผิงที่ไหน”ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นปิญญ์ชานนท์ก็แทบจะกระชาก
สายน้ำเกลือและปรี่ตัวออกไปจากห้องทันทีถ้าไม่ติดที่คุณวุฒิรั้งเอาไว้

   “ป่านนี้เขากลับถึงบ้านแล้วล่ะครับ”

   “แล้วทำไมนายไม่บอกฉันให้เร็วว่านี้”

   “ต่อให้พี่ตามผิงไปทัน แต่ผมก็เชื่อว่าต่อให้พี่ล้มลงต่อหน้าผิง ผิงก็ไม่ยอมคุยกับพี่หรอกครับ ผมรู้จักผิงดี”

   “อย่ามาบอกว่ารู้จักขนมผิงดีต่อหน้าฉันหน่อยเลย”ปิญญ์ชานนท์ทิ้งตัวลงนั่งลงบนเตียงคนไข้ “ฉันจะออกจากโรงพยาบาล
ตอนนี้ นายไปจัดการให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”

   “เอาแต่ใจแบบนี้ไงครับ ถึงถูกเมินอยู่เรื่อย”คุณวุฒิส่ายหน้าให้กับความใจร้อนของพี่ชาย แทบจะยกมือขึ้นมากุมขมับกับ
ความใจร้อนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง “ได้เร็วสุดพรุ่งนี้เช้าครับ ผมให้ได้แค่นั้น”

   “บ้าชิบ ดันหลับไปซะได้”

   ปิญญ์ชานนท์อดสบถออกมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้รู้ว่าขนมผิงยังเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง

   สัญชาติญาณของเขามันกำลังบอกว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่ที่ทำให้ขนมผิงกลับมาเย็นชาใส่เขาแบบนี้





   --------------------------------------------------------------------------------------



   บรรยากาศภายในบ้านยามดึกเงียบสงัดเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น ประตูห้องนอนลูกชายฝาแฝดถูกเปิดออกอย่างเบามือ

   ขนมผิงทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนเบาๆก่อนจะก้มลงจูบบนหน้าผากของลูกชายสลับกัน เขากำลังจ้องมองใบหน้าที่ถอดแบบมา
จากใครอีกคน ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้นึกถึงคนคนนั้น และนั่นทำให้เขายิ่งต้องปกป้องลูกๆเอาไว้เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับความเจ็บปวด
เหมือนกับเขา

   ขนมลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อเดินไปยังห้องตัวเองทว่าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกลับสั่น

   “ครับ”

   ตอบรับเมื่อเบอร์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอนั้นทำให้รู้สึกราวกับร่างกายมันชาในเสี้ยววินาที

   ‘เย็นวันพรุ่งนี้ คุณผิงว่างรึเปล่าค่ะ มีบางอย่างอยากจะบอกคุยคุณ’

   “อยากจะคุยอะไรล่ะครับ ตอนนี้ผมสะดวกครับพูดมาเลย”

   ‘ไว้จะบอกตอนที่เจอกันค่ะ ที่ร้านอาหารเดิมที่เราเจอไปกินด้วยกันครั้งแรก คงจะจำได้นะคะ อย่าลืมมาให้ได้นะคะ’

   “ครับ ผมจะไป”

   



   ------------------------------------------------------------------------------------



   ในร้านอาหารยามเย็นค่อนข้างจะมีลูกค้าแน่นร้าน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวเท่าไรเมื่อทางร้านมีโซนวีไอพี
เป็นฉากญี่ปุ่นกั้นเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนสำหรับแขกโดยเฉพาะ

   บรรยากาศภายในห้องเวลานี้ถึงแม้อาหารที่สั่งมาจะดูน่าลิ้มลองสักแค่ไหน แต่มันก็ดูเหมือนจะไร้ค่าเมื่อมันถูกสั่งมาเพียง
แค่ประดับเอาไว้บนโต๊ะ

   “ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงสินะคะ ที่ว่าพี่ปิญญ์ไม่สบายจนต้องแอดมิดที่โรงพยาบาล”รอยยิ้มที่ดูเหยียดหยันเคลือบด้วย
ลิปสติกจ้องมองก้อนสำลีบนข้อมือของชายหนุ่ม

   “เข้าเรื่องเลยดีกว่า ที่เธอเรียกฉันออกมาเธอมีธุระอะไร”

   “แหม จะรีบไปไหนล่ะคะ เรื่องแบบนี้ถ้ายิ่งรีบคุยจะยิ่งกระทบกระทั่งกันเข้าไปใหญ่”

   “จะยังไงก็ช่าง เธอรีบพูดเข้าประเด็นของเธอซะ ฉันไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่กับเธอนานสักเท่าไรหรอกนะ”รอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ
ส่งกลับคืนไปไม่แพ้กัน

   กับผู้หญิงตรงหน้าดูเหมือนว่ามันคงจะไม่จบง่ายๆอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่มันคงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์และ
ชื่อเสียงแน่นอน เขามั่นใจ

   

   “งั้นก็ตามใจพี่ปิญญ์นะคะ”หญิงสาวเหยียดยิ้มเปิดกระเป๋าถือราคาแพงหยิบเอกสารบางอย่างออกมาวางลงบนโต๊ะ “พอดีว่า
เดหลีได้อะไรที่น่าสนใจบางอย่างมา เลยลองพิสูจน์ดู แล้วมันก็ดันเป็นอย่างที่คิดจริงๆซะด้วยสิ”

   ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอกสารเบื้องหน้าขึ้นมาดู ผลตรวจที่เขารู้ดีว่ามันคืออะไรทำให้ชายหนุ่มแค่นยิ้ม
ออกมา

   “หึ ไม่ยอมปล่อยง่ายๆสินะ”

   “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนทั้งประเทศ อ้อ ไม่สิ คนทั้งโลกรู้ถึงเรื่องอันน่าสะอิดสะเอียนนี้ เดหลีอยากรู้จริงๆว่าคุณผิงเขาจะเอา
หน้าไปไว้ที่ไหน ว่าไหมคะ”

   “แล้วยังไง”

   “หุ้นของอนันตไพลินสามสิบเปอร์เซ็นต์แลกกับความลับที่น่าขยะแขยงก็ดูไม่เลวนะคะ”

   “คนอย่างเธอน่ะ ได้แค่นี้สินะ”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงดูถูก

   ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังหญิงสาวแน่นิ่ง ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดใด นั่งยิ่งทำให้หญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามเริ่ม
หวาดหวั่น เพราะเธออ่านไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

   “เดหลีส่งข้อมูลทุกอย่างไปให้สำนักข่าวหมดแล้ว เหลือแค่รอคำสั่ง แค่กริ๊งเดียวทั้งชีวิตแม่ทั้งชีวิตลูกจะพังทลายไม่มีชิ้น
ดี”

   “เธอน่ะคิดดีแล้วใช่ไหม”

   “แน่นอนค่ะ คิดมาดีแล้ว แล้วก็ดีมากด้วยกับผลตอบแทน”

   “งั้นฉันเองก็มีอะไรอยากจะให้เธอดูเหมือนกัน เผื่อว่าเธอจะคิดได้ ก่อนที่มันจะสายเกินไป”ปิญญ์ชานนท์ล้วงหยิบแฟรช
ไดร์อันเล็กออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ

    ทำให้หญิงสาวเริ่มแสดงออกถึงท่าทีหวาดหวั่นเมื่อเธอไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นคืออะไร

   “อะ อะไรคะ? ทำไมต้องเอามาให้เดหลีด้วย”

   “อย่าถามฉันเลยว่ามันคืออะไร เพราะมันเยอะจนฉันไม่อาจจะพูดมันออกมาหมดในเวลาสั้นๆได้ เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่อยากดู
เธอก็เอามันไปให้พ่อของเธอดูก็ได้ เผื่อว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นมันอาจจะทำให้เธอกับพ่อของเธอตาสว่างขึ้นมาบ้าง”

   “มันไม่ตลกนะคะ!! อย่าคิดว่าเดหลีจะกลัวแล้วยอมง่ายๆ ไม่มีทาง ถ้าวันพรุ่งนี้เดหลีไม่ได้รับการติดต่อจากพี่ปิญญ์ ข้อมูล
ทั้งหมดจะต้องถูกแฉแน่”

   “ก็เอาสิ ฉัน…..”

   ครืดดดดด

   ยังพูดไม่ทันจบเสียงประตูฉากกั้นก็ถูกเลื่อนออกฉุดให้คนที่อยู่ภายในหันไปมอง






   “ขอโทษที่รบกวน ผมไม่คิดว่าจะคุยกันอยู่ เชิญถามสบายครับ”



   น้ำเสียงอันราบเรียบบอกออกมาก่อนเจ้าของประโยคจะผละออกไป



   “หึ น่ารังเกียจ!”หญิงสาวสบถออกมาพลางจ้องมองแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งเดินห่างออกไปเรื่อยๆ



   “เธอทำบ้าอะไรของเธอ”

   “เดหลีเป็นคนเชิญเขามาเองแหละค่ะ อยากจะเห็นหน้าชัดๆว่าผู้ชายที่มันท้องได้น่ะน่าสมเพชขนาดไหน”

   “ผิดแล้ว”น้ำเสียงแข็งกร้าวตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง “เป็นเธอต่างหากที่มันโคตรจะน่ารังเกียจ เธอมันน่าขยะแขยงยิ่ง
กว่าขยะโสโครกซะอีก”

   “อย่ามาพูดแบบนี้กับเดหลีนะคะ พี่ปิญญ์ก็รู้ดีว่าถ้าหากทำให้เดหลีโมโหแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น”หญิงสาวพยายามควบคุม
น้ำเสียงและท่าทีเมื่อชายหนุ่มเบื้องหน้าใกล้กำลังจะบัลดาลโทสะใส่เธอ

   “ถ้าเธอกล้าก็ลองดูสิ ฉันไม่รับลองผลกรรที่มันจะเกิดขึ้นกับตัวเธอแน่ และต่อให้คนทั้งโลกจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดยังไง ฉัน
มั่นใจว่าฉันคนนี้สามารถปกป้องลูกเมียฉันจากคนระยำอย่างเธอได้แน่นอน”

   “นั่นพี่ปิญญ์จะไปไหน เดหลียังคุยไม่จบนะ กลับมาเดี๋ยวนี้”

   เสียงแหลมเล็กกรีดร้องเมื่อผลต่อรองที่เธอหวังยังไม่สำเร็จ และเธอยิ่งโกรธแค้นเมื่อโดนด่าทอด้วยคำพูดดูถูกจากพวกที่
เธอดูถูกซะเอง

   เพล้งงงงงง

   “คอยดูนะ พวกแกไม่เจอจุดจบดีดีแน่”

   หญิงสาวจ้องมองเศษแก้วน้ำแตกกระจายบนพื้นห้องด้วยความเจ็บใจ เธอพยายามระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวของเธอเอาไว้

ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อปลายสาย



   “พวกมันสองคนออกไปด้วยกัน ตามันไปแล้วจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้สืบมาถึงฉันกับพ่อได้ล่ะ”

   



-------------------------------------------------------------------------------------------------------



รู้สึกว่าบทเลิฟซีนมันหายไป แล้วก็หายไปนานมากกกกกก ก็แล้วมันหายไปไหนนนนนน อร๊างงงงงงงง มันแบบอยากเขียนเลิฟ
ซีนใจจะขาด แต่แบบ ซีนมันยังไม่ให้ มันรู้สึกอึดอัดใจชะมัด ยังไงก็ขอเสียงคนอ่านหน่อยนะค๊าาาาาา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 36 บทเรียนราคาแพง ❖ 25-07-59 ❖ up!!
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 25-07-2016 15:00:08
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 36 บทเรียนราคาแพง ❖ 25-07-59 ❖ up!!
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 25-07-2016 16:28:05
เดหลีจะสั่งเก็บทั้งคู่เรอะ!

ขอให้เวรกรรมตามทันเถอะ :ling1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 36 บทเรียนราคาแพง ❖ 25-07-59 ❖ up!!
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-07-2016 18:29:02
รออีกๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 36 บทเรียนราคาแพง ❖ 25-07-59 ❖ up!!
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-07-2016 19:31:44
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 28-07-2016 17:24:40
34 แก้ตัว


   นี่มันอะไรกัน!! มันเกิดอะไรขึ้น ขนมผิงได้แต่เฝ้าถามกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า หรือเป็นเพราะว่าสองคนนั้นต้องการจะเยาะ
เย้ยเขากัน ถึงได้ชวนให้เขามาที่นี่เพื่อได้เห็นกับตาตัวเอง

   ร่างสูงโปร่งก้าวเท้ารีบเร่งออกจากร้านอาหารไม่หยุดทันทีที่ตั้งสติได้ แต่ละย่างก้าวที่เหยียบย่างไปบนพื้นช่างหนักอึ้ง
ราวกับเอาเหล็กนับสิบกิโลมาถ่วงขาเอาไว้



   “เดี๋ยวก่อนสิ ขนมผิง นายจะรีบไปไหน”

   เสียงเรียกไล่หลังยิ่งทำให้ต้องรีบก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้น มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ขบริมฝีปาก พยายามเน้นย้ำไม่ให้
ตัวเองหันกลับไปมอง

   “นายไม่ได้ยินที่ฉันเรียกรึไงหะ”

   เสียงเรียกยังคงเน้นย้ำไล่หลังมาติดๆ สุดท้ายแขนก็ถูกคว้าเอาไว้ ถูกดึงให้กันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายทั้งที่เวลานี้ไม่
อยากที่จะเผชิญหน้ากันเลยสักนิด

   ขนมผิงจ้องมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววตาอันนิ่งเฉย พยายามซ่อนสิ่งที่เก็บไว้ภายใน

   “ทำไมนายถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”อีกฝ่ายออกปากถามด้วยความข้องใจ แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ขนมผิงไม่จำเป็นจะต้องตอบ ในเมื่ออีก
ฝ่ายน่าจะรู้ทุกอย่างดีไม่ใช่รึไง

   พอคิดได้ดังนั้นจึงเบือนหน้าหนี เพราะหากมองใบหน้าของปิญญ์ชานนท์นานกว่านี้เขาคงจะรู้สึกอึดอัดเพิ่มมากขึ้นเป็น
ทวีคูณ

   “มานี่ มากับฉัน”

   สิ้นเสียงแขนก็ถูกฉุดให้เซไปตามแรงดึง ถูกดึงไปยังอีกฟากของลานจอนรถคนละฝั่งกับที่รถตัวเองจอดอยู่

   “กรุณาปล่อยมือด้วยครับ”พูดด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ พยายามขืนตัวเอาไว้

   “ฉันจะไม่ปล่อยนายจนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่องหรอกนะขนมผิง”

   “ผมไม่มีอะไรจะต้องคุยกับคุณ”

   “นายไม่มี แต่ฉันมี”ปิญญ์ชานนท์ไม่สนใจคำปฏิเสธ “ตามฉันมา”ออกแรงดึงให้เดินตาม

   ทว่าขนมผิงยังคงขืนตัวเอาไว้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์หันมาสบถเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองใบหน้านิ่งเฉยของคนขัดขืน
ชายหนุ่มจ้องมองมือของตัวเองที่กุมแขนของขนมผิงเอาไว้ ต่อให้ตอนนี้มือของเขาจับเอาไว้แน่นแค่ไหน  แต่มันก็เป็นเพียง
ร่างกายเท่านั้นที่เขาได้จับต้อง เขารู้สึกได้ดีว่ายิ่งไล่ตาม หัวใจของขนมผิงก็จะยิ่งพยายามหนีไปในที่ที่ไกลแสนไกล

   “ผมไม่จำเป็นต้องไป ถ้าคุณมีอะไรจะพูดทำไมคุณไม่พูดซะตรงนี้ล่ะ คุณปิญญ์”

   “ไอ้เรื่องพูดน่ะมีแน่ แต่จะพูดที่นี่คงพูดไม่รู้เรื่องกันหรอก”

   “ก็แล้วทำไมคุณไม่ลองหันหลัง แล้วกลับเข้าไปข้างในล่ะครับ”

   “ฉันไม่มีธุระอะไรกับเธอแล้ว ตอนนี้ฉันมีธุระแค่กับนาย”

   “แต่ผมไม่มี”พูดจบก็สะบัดมือที่กุมแขนเอาไว้จนหลุดออก

   แต่ทว่าปิญญ์ชานนท์เองมาถึงขั้นนี้แล้วจะยอมปล่อยให้หนีไปอีกง่ายๆได้ยังไง แขนแข็งแรงดึงโอบร่างสูงโปร่งเซมาจนชิด
อก อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอดึงตัวอีกฝ่ายเอาไว้โอบรัดด้วยอ้อมแขนจนแน่น



   “ถ้าไม่ยอมไปดีดีก็คงต้องใช้กำลังสินะ”

   สิ้นเสียงร่างของขนมผิงก็ถูกยกจนเท้าลอยสูงขึ้นจากพื้น ดวงตาคู่คมนิ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าชาวูบเมื่อคน
แถวนั้นต่างก็มองมาที่พวกเขา

   “คุณปิญญ์…ทำอะไรน่ะ!!”

   “ฉันรู้ดีว่านายคงจะไม่ยอมไปกับฉันง่ายๆ อย่าขัดขืนไปหน่อยเลย ถ้านายตกลูกเราจะเจ็บเอานะ”กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียง
เข้าปนเจ้าเล่ห์

   “ปล่อยผม”ขนมผิงพยายามสลัดตัวออกจากอ้อมแขนที่เป็นราวกับพันธนาการนี้ ทว่ายิ่งดิ้นมันก็ยิ่งรัดแน่น หนำซ้ำรองเท้าที่
รีบเร่งใส่ตอนที่ออกมาจากร้านก็หลุดออกไปข้างหนึ่ง “ไม่เห็นรึไงว่ารองเท้าผมหลุด”

   “อย่าห่วงไปเลย เดี๋ยวฉันซื้อให้นายใหม่เอง”

   ไม่รอให้อีกฝ่ายแย้ง ปิญญ์ชานนท์ดันร่างของสูงโปร่งเข้าไปในรถที่เปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว เบียดร่างตัวเองตามประกบติด
ไม่ปล่อยให้มีช่องทางหนีไปได้ก่อนจะปิดประตูลง

   

   “ขับออกไปนอกเมืองเลย ทางไหนก็ได้ที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน”

   ชายหนุ่มออกปากสั่งคนขับรถที่เรียกตัวมาใช้หลังจากออกจากโรงพยาบาล

   “จะไม่พูดอะไรหน่อยรึไง”

   ปิญญ์ชานนท์เอ่ยปากถามเมื่อเห็นคนข้างตัวนั่งนิ่ง เอาแต่จ้องมองไปยังนอกรถด้วยท่าทีไม่พอใจ พอถูกต้อนจนมุมไร้ทาง
หนีก็แสดงท่าทีนิ่งเฉยใส่อย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆทำราวกับว่ากำลังสร้างกำแพงล้อมรอบกายเพื่อป้องกันตัวเอง

   ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ยิ่งใกล้กัน ขนมผิงตีตัวหนีออกห่าง เขาจะต้องรออีกนานแค่ไหนกัน ขนมผิง
ถึงจะยอมหยุดให้กับสักที

   “นายกำลังคิดอะไรอยู่”

   “  ”

   “ใจคอนายจะไม่พูดอะไรเลยใช่ไหม”

   ปิญญ์ชานนท์ยังคงไม่ได้คำตอบ สองข้างทางเริ่มมีสิ่งก่อสร้างเบาบางลง มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังอยู่
ภายในรถขณะที่มันแล่นออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

   “ให้ขับไปทางไหนต่อดีครับคุณปิญญ์”คนขับรถหันมาถาม

   “ขับต่อไปเรื่อยๆ”

   ปิญญ์ชานนท์บอกอย่างไม่ใส่ใจ เขายังคงจับจ้องเสี้ยวหน้าคมนิ่งไม่วางตา ไม่ว่ายังไงขนมผิงก็ยังไม่ยอมคุยกับเขาง่ายๆ
อยู่ดี

   “ตกลงนายจะไม่พูดอะไรใช่ไหม”

   ขนมผิงยังจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำแบบนั้นเพราะว่ากำลังจนมุม ไม่มีทางให้หนี
ทำได้เพียงแต่นิ่งเงียบ ทำตัวเฉยชาใส่เขาตลอด ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ

   “ก็ดี ถ้าไม่ยอมออกปากพูดง่ายๆล่ะก็….”ชายหนุ่มเอื้อมมือไปดึงแขนผอมเอาไว้ก่อนจะหันไปสั่งคนขับรถ



   “จอดตรงนี้แหละ แล้วก็ขับกลับบ้านไปเลย”คำพูดของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงหันมามองด้วยความตกใจ ไม่เชื่อในสิ่งที่
ตัวเองได้ยิน

   “แล้วขากลับล่ะครับ”

   “เดี๋ยวเราหาทางกลับเอง บอกพ่อด้วยว่าวันนี้ฉันไม่กลับบ้าน”

   “คุณสมองเสื่อมรึไง คุณปิญญ์”

   ในที่สุดขนมผิงก็หันมาตอบโต้กับสิ่งที่ได้ยิน ดวงตาคมนิ่งเบิกกว้างกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ตัดสินใจ ถูกดึงให้ตามลงไปนอก
รถ สองข้างทางที่รถขับผ่านมาสักระยะแทบจะไม่มีบ้านคนอยู่เลย แถมนานครั้งจะมีรถสวนไปสักคันหนึ่ง ผิงทำให้ขนมผิงเป็น
กังวล

   แต่มันก็สายไปซะแล้วรถที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไกลออกไปจนลับสายตา

   “มันไม่ตลกนะ ผมต้องรีบกลับบ้านไปหาลูก”

   “ถ้าไม่ทำแบบนี้นายก็คงไม่คุยกับฉันสักที”

   “จะให้ผมบอกคุณกี่ร้อยกี่พันรอบว่าผมไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกับคุณ”

   “มีสิ ทำไมจะไม่มี มีมากด้วย”พูดจบก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้จนเกือบประชิด


   ทำให้ขนมผิงต้องถอยหนี  แต่แขนก็ถูกดึงเอาไว้ออกแรงดึงให้ผละเข้าไปหา บรรยากาศยามเย็นยิ่งเงียบสงัด สองข้างทาง
มีต้นไม้สูงลิบปกคลุมถนนสองเลนทอดยาวออกไปไกล เวลานี้มีเพียงเสียงลมหายใจกับเสียงบรรยากาศรอบตัวเท่านั้นที่โอบอุ้ม
คนสองคนเอาไว้ในโลกส่วนตัว ต่างฝ่ายต่างจ้องมองด้วยแววตาที่แตกต่างกัน
   “ทำไมคุณไม่กลับไปหาผู้หญิงของคุณล่ะ บางทีมันอาจจะสนุกกว่าการที่คุณเข้ามายุ่งกับชีวิตของผมก็ได้”

   “ผู้หญิงของฉัน? หึ นี่นายกำลังเข้าใจอะไรผิดสินะ”ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ เพราะแบบนี้สินะขนมผิงถึงมีท่าทีเฉยชาใส่เขาอีก
ครั้ง

   “ผมไม่เคยเข้าใจอะไรผิด”

   “แต่นายกำลังเข้าใจผิด ถ้าไม่งั้นนายลองบอกมาสิว่านายคิดยังไงระหว่างฉันกับเดหลี”

   “คุณเป็นคนบงการให้เดหลีถอนหมั้นผมใช่ไหมล่ะ”ขนมผิงเงยหน้าจ้องตอบดวงตาคู่คมดุที่มองมา ริมฝีปากขบเม้มเข้าหา
กันแน่นเมื่อตอนนี้ใบหน้าของปิญญ์ชานนท์อยู่ห่างอย่างหน้าของคนแค่คืบ

   “ใช่ ฉันเป็นคนทำเอง”

   “ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างที่ผมเข้าใจก็ถูกต้อง ทุกอย่างจบแล้ว คุณควรจะปล่อยมือออกจากผมซะ ในเมื่อคุณได้สิ่งที่คุณ
ต้องการคืนไปทั้งหมดแล้ว”

   “หึ ไม่เลย ทุกอย่างนายเข้าใจผิด นายคิดผิดเองทั้งหมด ทำไมนายไม่ลองหยุดแล้วฟังฉันบ้างล่ะ นายเอาแต่คอยหนีฉัน

อยู่เรื่อยในขณะที่ฉันกำลังวิ่งตามนายอยู่อย่างนี้”

   “    ”ขนมผิงเบือนหน้าหนีกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับ ดวงตาแข็งกร้าวสั่นไหวเมื่อปิญญ์ชานนท์นั้นกำลังพูดแทงใจ
ของเขาอยู่ สิ่งที่ปิญญ์ชานนท์พูดคือความจริง เขากำลังหนี



   “ฉันยอมรับที่ฉันทำไม่ดีไม่ว่าจะกับใครก็ตาม แต่ทั้งหมดที่ฉันทำไปไม่ใช่เพราะไม่อยากให้เดหลีแต่งงานกับนาย แต่ฉันทำ
เพราะฉันไม่อาจยอมปล่อยนายให้กับคนอื่นได้ต่างหาก”

   “ต้องการจะบอกอะไรผมกันแน่”

   “ฉันอยากขอให้นายหยุดจะได้ไหม หยุดวิ่งหนีฉัน แล้วยืนอยู่นิ่งๆ”

   “ทำไมคุณไม่เป็นฝ่ายหยุดซะเองล่ะ หยุดไล่ตามผมสักที”เพราะว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยที่ต้องแบกรับทุกสิ่งทุก
อย่างเอาไว้คนเดียว ยิ่งพยายามหนีมากเท่าไร หนทางข้างหน้ามันยิ่งเหลือน้อยเข้าไปทุกที

   “ที่ฉันให้นายหยุดไม่ได้หมายความว่าฉันไม่อยากไล่ตามนาย แต่ที่ฉันอยากให้นายหยุดเป็นเพราะฉันกลัวว่านายจะเหนื่อย
ต่างหาก ฉันรู้ว่านายเหนื่อยมามากแล้วกับการกระทำของฉัน ฉันขอร้อง หยุดเถอะนะขนมผิง หยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วรอฉัน”ปิญญ์ชา
นนท์พูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าคมนิ่งให้หันกลับมา

   ถึงจะมีแรงขืนอยู่บ้าง แต่ในที่สุดขนมผิงก็ยอมหันมาแต่โดยดี ดวงตาคู่สีโศกกำลังสั่นระริกปิญญ์ชานนท์มองเห็นมันได้
อย่างชัดเจน

   “ทำไมล่ะ เพราะอะไร ในเมื่อคุณเป็นคนไล่พวกเราออกไปจากชีวิตของคุณแล้ว คุณยังจะตามมาอีกทำไม”น้ำเสียงที่เอ่ย
ออกมานั้นสั่นเครือ ดวงตาคู่สั่นหลุบตาลงจ้องมองพื้นถนนเบื้องล่าง เขาไม่อาจที่จะจ้องตอบดวงตาคู่นั้นได้อีกแล้ว

   สิ่งที่ได้ยินออกจากริมฝีปากคู่นั้นมันกำลังให้กำแพงของเขากำลังพังทลายลงราวกับถูกค้อนทุบจนแหลกละเอียด เปลือก
นอกที่ห่อหุ้มเอาไว้เพื่อปกปิดความรู้สึกอันแท้จริงกำลังถูกปอกลอกออกไม่ต่างอะไรกับผลไม้เปลือกแข็งที่ข้างในนั้นแสนจะอ่อน
นุ่ม

   “ฉันขอโทษ”เสียงทุ้มหูกระซิบ ร่างกายในอ้อมกอดของปิญญ์ชานนท์กำลังสั่นระริก ในเวลานี้เขารับรู้ได้ดีว่าขนมผิงกำลัง
แสดงด้านที่แท้จริงของตัวเองออกมา ระยะห่างที่เคยสัมผัสได้ว่ามันไกลจนไม่อาจเอื้อมถูกบั่นทอนลงภายในเสี้ยววินาที

   “ฉันไม่นึกว่านายจะท้องจริงๆ ฉันไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าผู้ชายจะท้องได้มาก่อน ฉันยอมรับว่าความคิดแย่ๆของฉันทำให้ฉัน
ตัดสินใจผิดพลาด ฉันจะไม่ขอให้นายยกโทษให้ฉันหรอกนะ เพราะว่าฉันรู้ดีว่าความผิดของฉันมากมากเกินกว่าที่นายจะให้อภัย
แต่ฉันอยากขอโอกาสที่จะแก้ตัว นายจะให้โอกาสกับฉันได้ไหม”

   “ถ้าผมยอม…ยกโทษให้คุณล่ะ คุณจะออกไปจากชีวิตของผมได้ไหม ออกไปจากชีวิตของพวกเรา”

   “ฉันขอยืนยันว่าฉันจะไม่มีวันออกไปจากชีวิตนาย”ปิญญ์ชานนท์ยืนยันคำตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

   “แล้วมันเพราะอะไรล่ะ เพราะอะไรคุณถึงปล่อยพวกเราไปไม่ได้สักที ผมเหนื่อยมากแล้ว ผมทนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”



   “นั่นก็เป็นเพราะว่าฉันมันโง่ไงล่ะ…ฉันพึ่งจะรู้ตัวว่าฉันตกหลุมรักนาย จนไม่สามารถปล่อยให้นายหลุดออกไปจากสายตา
ของฉันได้ อย่างน้อย นายช่วยหยุดอยู่กับที่แล้วรอฉันจะได้ไหม”

   พูดจบมือใหญ่ของปิญญ์ชานนท์ก็จับใบหน้าคมช้อนให้เงยหน้าขึ้นมาจ้องตอบ เขาจ้องมองลงไปในตาคู่ที่กำลังสั่นไหว
ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆโน้มเข้าไปใกล้ จมูกโด่งแตะลงบนพวงแก้มแผ่วเบา ร่างกายในอ้อมกอดแน่นิ่งไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืนกับ
การกระทำของเขา ดวงตาสีโศกยังคงจ้องมองมายังในตาของเขาไม่ยอมหลบ จนกระทั่งริมฝีปากร้อนจูบประทับลงบนริมฝีปาก
ได้รูป ค่อยๆกดเน้นย้ำลงไปจนแนบแน่น

   สำหรับปิญญ์ชานนท์แล้วมันช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ที่ขนมผิงหลับตาลงราวกับตอบรับจูบที่เขามอบให้ จูบที่
เขาต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกทุกสิ่งอย่าง ทั้งขอโทษ และความรัก

   

   ทว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ มือผอมผลักอกของชายหนุ่มออกแรงจนเสียหลักและยอมถอยออกไป ปิญญ์
ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองอย่างไม่เข้าใจ แต่แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ

   ใบหน้าที่อีกฝ่ายพยายามซ่อนเอาไว้มันกำลังแดงเรื่อ มือผอมยกขึ้นเช็ดริมฝีปากของตัวเองก่อนจะสบถออกมาด้วยความ
ไม่พอใจ

   “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาทำอะไรแบบนี้ นี่มันบนถนน!!”

   “ไม่มีใครผ่านมาหรอก หรือว่านายกลัวจะถูกคนอื่นเห็น”

   “ผมแค่หมายความตามที่บอก”



   “แล้วนั่นนายจะกำลังจะไปไหน”ถามเมื่อเห็นว่าขนมผิงกำลังจะเดินหนีย้อนกลับไปทางเดิม

   “กลับบ้าน”

   “แต่นายกำลังเดินเท้าเปล่า”เพราะว่ารองเท้าข้างหนึ่งทำหล่นเอาไว้ที่ลานจอดรถหน้าร้านอาหาร ทำให้ขนมผิงต้องเดิน
เปลือยเท้าข้างหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีเพียงแค่ถูกเท้าเท่านั้นที่หุ้มเท้าเอาไว้

   “นั่นเป็นเพราะคุณ คุณเองก็น่าจะรู้ดี”


   “นั่นสินะ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้า รีบสาวเท้าเดินตามร่างสูงโปร่ง ชายหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังของขนมผิง ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึก
แล้วว่า แผ่นหลังของขนมผิงนั้นมันไม่ไกลเท่าเดิมอีกแล้ว



   “นายยังไม่ให้คำตอบฉัน อย่างน้อยก็พูดอะไรบ้างกับความรู้สึกที่ฉันมีต่อนายบ้างก็ยังดี”ปิญญ์ชานนท์เดินมาขนาบข้าง

   “นั่นผมแค่รับฟังมันแค่นั้น” ตอบด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ

   “นั่นสินะ” อย่างน้อย ขนมผิงก็ยังรับฟังเขา รับรู้ความรู้สึกที่เขามีให้

   “ทำไมคุณถึงไม่โทรเรียกให้คนขับรถกลับมา”

   “ฉันลืมโทรศัพท์เอาไว้ในรถ”ชายหนุ่มตอบหน้าตาย

   ขนมผิงอดถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าคมยังคงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง พลางยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่ง
ให้อีกฝ่าย ปิญญ์ชานนท์ยกยิ้มรับมันก่อนที่จะต่อสายหาคนขับรถให้วนกลับมารับ



   “มานี่สิ ฉันไม่อยากให้นายเจ็บเท้า”ปิญญ์ชานนท์ย่อตัวลงขวางเอาไว้ไม่ให้ขนมผิงได้เดินต่อ “ขึ้นมาสิ”

   “ไม่จำเป็น”

   “ฉันทำรองเท้านายหาย ฉันก็ต้องรับผิดชอบสิ”ชายหนุ่มยังคงดึงดัน “จำได้ว่าไม่กี่สิบเมตรก่อนหน้าผ่านร้านขายของมาไม่ไกล นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ขึ้นมาสิ”

   “ไม่มีทาง”

   “นายอย่าดื้อไปหน่อยเลย ถือซะว่าทำเพื่อลูกของเรา”

   สุดท้ายขนมผิงก็ยอมขึ้นขี่หลังของปิญญ์ชานนท์จนได้ ถอนหายใจเป็นรอบที่สอง ถึงแม้ว่าปิญญ์ชานนท์จะเปลี่ยนไปมาก
แต่ความชอบบงการและออกคำสั่งก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

   ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเร็วไปหมดจนแทบไม่ทัน แต่ความรู้สึกเบาโหวงที่มันอยู่ในอกทำให้รู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่
แบกรับเอาไว้มันกำลังถูกแบ่งออกไป ขนมผิงวางมือลงบนลาดไหล่แข็งแรงของอีกฝ่าย กลัวว่าปิญญ์ชานนท์จะหนัก ตอนนี้กลาย
เป็นว่าอีกฝ่ายกำลังแบกรับทั้งเขาและลูกเอาไว้

   “นายจะบอกฉันได้ไหมว่าคนที่อยู่กับนายวันนั้นที่บ้านหลังนั้นเป็นใคร ทำไมนายถึงปล่อยให้ลูกของเราเรียกเขาว่าพ่อ”

   “เขาเป็นคนทำให้เด็กๆลืมตาขึ้นมาดูโลก?”

   “ฉันต่างหากที่เป็นคนทำ”

   “เป็นเขา ไม่ใช่คุณ”


   “ฉันสิ เป็นคนทำให้นายท้อง ไม่ใช่เขา นี่นายกำลังพูดให้ฉันเข้าในผิดว่าปลากริมกับสลิ่มไม่ใช่ลูกของฉันอยู่ ไม่คิดว่ามัน… โอ้ยยย!!”

   “เขาเป็นคนผ่าคลอดให้ผม”อดไม่ได้ที่จะระบายความไม่พอใจด้วยการตีไปบนหัวของปิญญ์ชานนท์

   “แล้วทำไมนายถึงปล่อยให้เด็กๆเรียกเขาว่าพ่อ กะอีกแค่หมอทำคลอด”

   “เขาเป็นพ่อทูนหัว”

   “หึ กับคนอื่นนายกลับยอมให้เขาเข้าใกล้ลูกเราง่ายๆเนี่ยนะ”

   ปิญญ์ชานนท์อดประชดประชันไม่ได้ เดินพาขนมผิงย้อนกลับมาจนเจอร้านขายของชำ

      “ปล่อยผมลงได้แล้ว”

   ปิญญ์ชานนท์ยอมปล่อยขนมผิงตามที่ขอลงยังหน้าร้าน คงจะแปลกไม่น้อยหากมีผู้ชายตัวไม่เล็กสองคนแบกกันเข้าไปใน
ร้าน และมีหวังขนมผิงคงจะรู้สึกไม่พอใจ



   “นายกับลูกจะกินอะไรหน่อยไหม”หันมาถาม

   “ผมเอาแค่น้ำก็พอ”ถึงจะตอบไปดีดี แต่ก็ขมวดคิ้วให้กับประโยคคำถามของปิญญ์ชานนท์

   ร้านขายของชำข้างทางที่อยู่ระหว่างถนนสายเปลี่ยนเส้นนี้เป็นร้านเล็กๆ เหมือนกับว่าเอาไว้ให้รถจอดแวะพักเพื่อซื้อของ มี
เพียงเจ้าของร้านกับลูกค้ารวมแล้วสองสามคนเท่านั้นที่อยู่ในร้าน

   ระหว่างที่ปิญญ์ชานนท์กำลังจะเดินเข้าไปซื้อของในร้าน สายตาก็สังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซคันใหญ่ขับเลี้ยวเข้ามาหน้าร้าน
มันจะไม่ผิดสังเกตหากว่ามอเตอร์ไซกับลักษณะของคนขับและคนซ้อนไม่คุ้นตา

   ชายหนุ่มนึกย้อนกลับไปที่หน้าร้านอาหารก่อนหน้าที่เขาจะออกมา มอเตอร์ไซคันนี้จอดอยู่ไม่ไกลจากเขาและขนมผิงทำ
ราวกับว่าสังเกตการณ์ แต่นั่นเขาไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่าเขามัวแต่ให้ความสนใจแต่กับขนมผิง ทันทีที่ชายหนุ่มนึกได้ ก็สายไป
เสียแล้ว จู่ๆคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังก็ล้วงหยิบเอาวัตถุเงาวับสีดำเมื่อมออกมาจากบั้นเอว ยกขึ้นมาก่อนจะจ่อมาทางหน้าร้าน

   ชายหนุ่มเบิกตากว้าง เมื่อปลายอของปืนกระบอกนั้นเล็งคนสำคัญของเขา เพียงเสี้ยววินาทีที่ปืนลั่นไก เสียงปืนดังสนั่น
ก้องไปทั่วหู เสียงกรีดร้องของคนในร้านหวีดร้องระงม เพียงเท่านั้นก่อนโลกทั้งใบจะถูกแทนที่ด้วยความเงียบ





   “คะ คุณ เป็นอะไรน่ะ”เสียงละล่ำละลักถามขณะที่ร่างของชายหนุ่มทรุดลงกับพื้น

   “นายกับลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

   “คุณเป็นอะไรคุณปิญญ์ ผมไม่ตลกกับคุณด้วยนะ อย่ามาล้อเล่นกับผมสิ”

   ขนมผิงถามเสียงสั่น ร่างกายชาดิกราวกับไร้เรี่ยวแรงเอาดื้อๆเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ทรุดลงกับพื้น ฝ่ามือใหญ่กุมช่วงท้องเอา
ไว้แน่น ริมฝีปากเหยียดยิ้มออกมาทำเหมือนกับว่ากำลังมีความสุข ทั้งที่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด

   “ไม่เป็นอะไรก็ดี”

   “อย่าหลับนะ ลืมตาสิ คุณห้ามหลับ ผมบอกว่าคุณห้ามหลับไง คุณจะมาทำตามใจตัวเองตอนนี้ไม่ได้นะ คุณปิญญ์ ลืมตา
สิ”

   ยิ่งพยายามเรียกมากเท่าไร ก็เหมือนยิ่งสายไปซะแล้ว ดวงตาคู่ดุปรือปรอยลงอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยๆเลือนหาย

   ขนมผิงก้มลงมองของเหลวสีแดงไหลทะลักออกมาจากช่วงท้องของแกร่ง มันไหลออกมาจนเปียกชุ่มเสื้อ เปรอะออกมา
เต็มมือของของปิญญ์ชานนท์ หวนนึกถึงวินาทีที่มองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ปืนนั้นจะลั่นไก

   ดวงตาก้าวร้าวที่มองลอดผ่านหมวกกันน็อกคู่นั้นสอดประสานกับดวงตาของเขา และเป้าของกระสุนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน
นอกจากตัวเขาเอง ในเมื่อปากกระบอกปืนนั้นมันจ่อมาที่เขา

   แล้วทำไม ทำไมถึงกลายเป็นปิญญ์ชานนท์ไปได้ที่เป็นคนรับกระสุนแทน ทั้งที่อยู่ห่างไปตั้งไกล



   “ฮึก เรียกรถพยาบาลที ใครก็ได้ ช่วยเรียกรถพยาบาลที”เสียงตะโกนกำลังสั่นเครือ ดึงร่างสูงเข้ามากอดด้วยความ
หวาดหวั่น ความกลัวกำลังฉุดดึงให้ร่างกายมันสั่นเทาขึ้นมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้



   “คุณจะมาทำร้ายผมแบบนี้ไม่ได้นะ ผมไม่ยอมยกโทษให้คุณ ได้ยินไหม ตื่นขึ้นมาต่อว่าผมสิ ทำแบบที่คุณเคยทำ ไม่ได้
ยินรึไง ปิญญ์ชานนท์ ผมบอกให้คุณตื่นขึ้นมา”

   



    -------------------------------------------------------------------------------



   ร่างสูงโปร่งเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในแถบชานเมืองไม่ยอมห่าง ดวงตาสีโศกแดงก่ำ มือทั้งสอง
ข้างสั่นระริก

   ขนมผิงยกมือที่สั่นเทานั้นขึ้นมากัดเล็บด้วยความเป็นกังวล นานร่วมชั่วโมงแล้วแต่ประตูห้องฉุกเฉินก็ยังคงปิดสนิทไม่มี
วี่แววว่าใครที่อยู่ในนั้นจะออกมา

   ภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้ายังคงติดตา ไม่ว่ายังไงก็ลบไม่ออกสักที เสื้อเชิ๊ตที่ก่อนหน้าสีขาวสะอาดบัดนี้มันถูกแต่งแต้มไปด้วย
เลือดสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้ง แต่คนที่ยังจมอยู่ในความกลัวและกังวลอย่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับมันเลยสักนิด



   “ผิง ลูก เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเลือดถึงเต็มตัวอย่างนี้ล่ะ”

   “แม่!!”ทันทีที่ได้ยินเสียงของมารดา ขนมผิงก็ปรี่ตัวเข้าไปหา กอดแนบใบหน้าชุ่มน้ำตาไว้แนบอกอุ่น

   “ทำไมเลือดถึงได้เต็มตัวอย่างนี้ล่ะผิง ผิงเป็นอะไร บอกแม่มาสิ”

   “ผิง…ไม่เป็นอะไร คุณปิญญ์ คุณปิญญ์เขาอยู่ในนั้น”บอกด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ

   “ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแย่ๆแบบนี้ได้ล่ะ แม่ไม่เข้าใจจริงๆ”

   “ผิงก็…ไม่เข้าใจ ทั้งที่อยู่ไกลขนาดนั้น ทำไมถึง อึก  ทำไมถึงมาขวางเอาไว้ล่ะ เขามาขวางผิงเอาไว้ทำไม”เพราะว่าปิญญ์
ชานนท์มาขวางทางปืนเอาไว้ ถึงได้เป็นแบบนี้ ถึงได้ต้องมารับเคราะห์แทนเขา

   “ใจเย็นๆนะ แม่อยู่นี่แล้ว คุณปิญญ์จะต้องไม่เป็นอะไร อย่าห่วงไปเลย ผิงไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนนะลูก”ลำดวนลูบหัว
ลูกชายเรียกขวัญ “คุณพิศพาลูกไปล้างตัวก่อนนะคะ”เธอหันไปบอกสามี





   “ลูกของผมล่ะ ลูกของผมอยู่ที่ไหน”เสียงเคร่งขรึมดูเป็นกังวลของชายสูงวัยถามเมื่อมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน

   ลำดวนหันไปมองอดีตเจ้านายที่เดินเข้ามาพร้อมกับคนดูแล และเลขาของลูกชายก่อนจะตอบกลับ

   “เขาอยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ ลำดวนเองก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน”

   “มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง ใครเป็นคนทำกัน บ้าจริงๆเชียว”ชายสูงวัยสบถ สีหน้าบ่งบอกถึงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“นายให้คนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เขาไปมีเรื่องอยู่กับใครบ้าง”

   “ครับ ผมส่งคนไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นแล้ว”มาลิศตอบรับ

   “แล้วขนมผิงไม่เป็นอะไรใช่ไหม ผมได้ยินว่าเขาไปด้วยกัน”

   “ตอนนี้ไปล้างเนื้อล้างตัวน่ะค่ะ ตอนนี้แกยังตกใจอยู่ อีกเดี๋ยวก็คงมา”

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้าเป็นอะไรไปฉันกับลูกชายคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย”น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความรู้สึกผิด

   



หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 28-07-2016 17:54:35
คิดว่าปิณณ์โดนยิงนี่คุ้มนะ ทำให้ขนมผิงใจอ่อนยวบเลย5555 :hao7:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-07-2016 19:02:34
สองตอนที่ผ่านมาสะใจมากกกคับ เดหลีเดินหมากผิดตั้งแต่ขู่เอาหุ้นจากปิณณ์แล้ว แทนที่จะไปขู่เอากับขนมผิง 555
งานนี้เดหลีตายแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-07-2016 19:13:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-07-2016 21:16:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 28-07-2016 23:06:30
เดหลีน่ะหล่อนเล่นผิดคนแล้ว คุณปินน่ะตัวร้ายนะ ไม่ใช่พระเอก เดี๋ยวหล่อนโดนสวนคืนแน่

แถมผิงเองก็ร้ายนะ พวกหล่อนเตรียมตัวได้เลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 29-07-2016 01:17:54
เพิ่งอ่านมาถึงตอนเปิดตัวผิงเป็นประธานคนใหม่ แต่เราว่าปิญเลวแบบนี้ดีแล้ว และไม่อยากให้บริษัทล้มด้วย ล้มไปจะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ไง แพ้เมีย ไม่รู้ยังอ่านไม่ได้ไกลเลยไม่รู้ตอนต่อไปที่เขียนไปแล้วบริษัทเจ๊งไปยัง แต่เลวๆแบบนี้ดี ถ้าตอนจบดูแลครอบครัวและเข้าใจกันได้ อ่านดุก็เอ็นดูลูกจะตาย แต่เพราะเลี้ยงดูมาแบบผิดๆเลยโตเป็นคนแบบนี้ก็ได้ หล่อเลวรวยก็ดีออก ไม่แรงไม่น่ากลัวอาจดูแลบริษัทไม่ได้ก็ได้ ตามพล็อตเป็นแบบนี้นื
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 29-07-2016 01:32:53
ความจริงปิญอาจร้าย ไม่ดี แต่ที่เราอ่านมาถึงตอนไปกินอาหารญี่ปุ่นด้วยกันครั้งแรกครบครอบครัว เรารำคาญผิงมากกว่า บอกตรงๆ ผิญอ่ะไม่เท่าไหร่หรอก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 37 แค่รับรู้ ❖ 28-07-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 29-07-2016 10:29:30
อ่านถึงหน้า 13 ก็อินมั้ง แต่เราเข้าข้างปิญมากกว่าผิงนะ เราว่าผิงงี่เง่ามากกว่า ไม่รู้ไรนักหนา คนที่ทำเรื่องง่ายเป็นเรื่องยากคือผิงแม้ปิญจะเลวและทำร้ายมามากก็เถอะ ไม่ใช่ไรอยากให้ครอบครัวคืนดีกันเร็วๆมากกว่า ทำร้ายกันไปมายังไงก็เจ็บ ลูกก็คือได้ผลกระทบ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความเปลี่ยน ❖ 29-07-59 ❖ ครึ่งแร
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 29-07-2016 16:47:01
35 ความรู้สึกที่ถูกเปลี่ยน[ครึ่งแรก]


   หน้าห้องไอซียู ร่างสูงโปร่งนั่งกอดอกเอนตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ ใบหน้าก้มลงสัปหงกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เจ้าตัวก็ยังคง
ดันทุรังยืนกรานที่จะนั่งรอถึงแม้ว่าจะถูกเซ้าซี้ให้กลับหลายครั้งแล้วก็ตาม

   “พี่บอกแล้วไงครับ ว่าให้ผิงกลับบ้าน”คุณวุฒิเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าก่อนจะนั่งลงข้างๆ มืออุ่นเอื้อมมาแตะไหล่ของขนม
ผิงเบาๆ

   “ผิง…ยังไม่อยากกลับ”

   “แต่พี่ปิญญ์พ้นขีดอันตรายแล้ว ผิงไม่ต้องห่วงมากหรอกนะ”

   “แต่เขายังอยู่ในไอซียูอยู่เลย”ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

   ก้มหน้าจ้องมองแต่ปลายเท้าของตัวเองไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง เพราะทั้งหมดขนมผิงยอมรับและคิดว่าเป็นความผิดของ
ตัวเอง

   “ตอนนี้แค่ยังอยู่ในระยะเฝ้าดูอาการติดเชื้อ ผิงเองก็เหนื่อยมามากแล้ว พี่ปิญญ์เองก็คงไม่อยากให้ผิงมาลำบากอย่างนี้
หรอกนะ”

   “แต่พี่วุฒิ ผิงอยากอยู่ดูเขา อยากให้ฟื้นขึ้นมา”

   “พี่รู้ แต่ผิงเองก็ควรดูตัวเองบ้าง”คุณวุฒิบอกเสียงเบา พลางจ้องมองต่ำลงไป “ผิงไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะครับ อย่าลืม”

   นั่นสินะ เขาเองก็ไม่ได้ตัวคนเดียว หากคนที่รับกระสุนเป็นเขา เขาคงจะต้องสูญเสียลูกในท้องไป ปิญญ์ชานนท์คงคิดอย่าง
นั้นตั้งแต่แรก ถึงได้เอาตัวเองมารับกระสุนแทนเขาแบบนี้

   “ก็ได้ ผิงจะกลับ”

   ขนมผิงพยักหน้ารับ ถึงอยู่ไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่ภาวนาให้ปิญญ์ชานนท์อย่าเป็นอะไรไปก็แค่นั้น





   “นี่เธอยังไม่กลับบ้านไปอีกเรอะ”อาทิตย์ถามเมื่อกลับมาอีกครั้งในช่วงสายของอีกวัน นัยน์ตาของคนสูงวัยจับจ้องร่างสูง
โปร่งในสภาพเหนื่อยล้าเบื้องหน้า

   “ผิงกำลังจะกลับครับคุณลุง กำลังจะโทรให้คนที่บ้านมารับกลับอยู่พอดีน่ะครับ”คุณวุฒิตอบแทน

   “งั้นหรอกเหรอ    เอาอย่างนี้ซิ เดี๋ยวฉันเป็นคนไปส่งเอง ไม่ต้องโทรให้คนขับรถมารับหรอก กว่าจะมาถึงกว่าจะไปก็อีก
นาน ฉันเองก็มีอะไรจะคุยกับเธอด้วย”อาทิตย์บอกหลานชาย

   “แต่ว่า…ผิงเขา”คุณวุฒิรู้ดีว่าขนมผิงรู้สึกยังไงกับลุงของตนเอง คนที่ทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเคยแปดเปื้อนมาก่อน

   “ไม่เป็นไร ผมกลับกับคุณก็ได้”ขนมผิงพยักหน้า ตอบเสียงเบา ดวงตาสีโศกดูหม่นแสงจ้องมองใบหน้าของชายสูงวัยแน่
นิ่ง



   --------------------------------------------------------------------------



   “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”อาทิตย์เป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยก่อน

   “ครับ”ขนมผิงตอบรับเสียงเบา

   “เธอรู้ไหมว่าครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าลูกชายถูกยิงฉันรู้สึกตกใจมากเลยล่ะ แต่พอยิ่งรู้ว่าลูกชายฉันอยู่กับเธอฉันยิ่งเป็นกังวลมาก
ขึ้นไปอีก พอเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรฉันก็สบายใจ”

   “เขาเป็นคนรับลูกกระสุนแทนผม”บอกความจริงด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความรู้สึกผิด

   “เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว และฉันก็คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ลูกชายของฉันควรจะทำ”

   “ไม่ครับ เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”ไม่จำเป็นที่ปิญญ์ชานนท์จะต้องมารับกระสุนแทนเขา ขนมผิงคิดเพียงอย่างนั้น

   “สำหรับลูกชายของฉันเธอกับลูกคือครอบครัว มันต้องจำเป็นอย่างแน่นอนที่เขาจะปกป้องเธอและลูกเอาไว้”ชายสูงวัยตอบ เขาจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า

   เมื่อประโยคที่เอ่ยออกไปนั้นจบลง ภายในรถมีเพียงความเงียบงันที่เข้ามาปรกคลุม รถค่อยๆแล่นไปบนท้องถนนเรื่อยๆ
ผ่านเข้ามาในตัวเมืองที่รถเริ่มติดขัด



   

   “ฉันรู้ว่าเธออาจจะยังโกรธเกลียดพวกเราอยู่มาก แต่ทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นเพราะความใจแคบของฉันเองที่ทำให้ทั้งหมดมัน
เป็นแบบนี้ ฉันแค่อยากจะบอกเธอว่าลูกชายของฉันเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจของเธอ แต่เป็นเพราะฉันที่ปลูกฝังให้เขาเป็น
แบบนั้น ถ้าหากเธอคิดจะโกรธเกลียดเขาล่ะก็ ฉันอยากให้เธอเอาความรู้สึกทั้งหมดนั้นมาลงที่ฉันมากกว่าที่จะไปโกรธเกลียด
เขา”

   “ผม…”

   “นายปิญญ์เขาเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เขามีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นครอบครัว แต่ฉันก็เอาแต่ทำงานหนักเพื่อหาเงินให้กับพวก
เรา  ปลูกฝังให้เขาทำแค่ในสิ่งที่จะได้รับผลประโยชน์ ปลูกฝังให้เขาเห็นแก่ตัวกับคนรอบข้าง มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้
อภัยของตัวฉันเอง เพราะฉะนั้นฉันอยากจะขอร้องเธอให้เธอช่วยยกโทษให้เขาหน่อยจะได้ไหม”

   อาทิตย์ขอร้องด้วยความจริงใจ นัยน์ตาของชายสูงวัยจ้องมองเสี้ยวหน้าคมนิ่ง ขนมผิงนิ่งไปชั่วขณะกับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะ
กลืนก้อนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยกลำบาก

   “อันที่จริง….ผม”

   จริงอยู่ที่เขาเกลียดอาทิตย์และปิญญ์ชานนท์มากจนแทบไม่อยากที่จะเหยียบย่ำอยู่บนโลกใบเดียวกัน

   หากแต่นั่นมันเป็นเรื่องราวของอดีตที่เขาเองก็ทำใจลืมมันไปได้สักพักแล้ว เพราะว่าทุกอย่างมันได้ถูกแก้ไขใหม่ทั้งหมด
ศักดิ์ศรีของครอบครัวของเขาได้ถูกกู้กลับคืนมา หลงเหลือก็เพียงแต่ทิฐิที่เขามีต่อปิญญ์ชานนท์

   “ผม…ลืมเรื่องพวกนั้นไปหมดแล้วล่ะ”ตอบเสียงแผ่วเบา “ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้นแล้ว”

   “อย่างนั้นเหรอ”อาทิตย์จ้องขนมผิงราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น ความจริงแล้วเขาเพิ่งจะเคยเห็นขนมผิงใกล้ๆก็วันนี้
ใบหน้าสะอาดสะอ้านที่ถึงแม้จะดูเหนื่อยล้าและมีความเศร้าแสดงออกมาผ่านสีหน้านั้น แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงถึงความอ่อนโยนที่
ได้มาจากผู้เป็นแม่ไม่ผิดเพี้ยน

   พอจ้องมองเข้าไปในตาคู่นั้น มันกำลังแสดงออกว่าสิ่งที่ขนมผิงพูดนั้นมันออกมาจากใจจริง อาทิตย์ผุดยิ้มขึ้นมาอย่างโล่ง
ใจ ตอนนี้ก็เพียงภาวนาให้ลูกชายอย่าได้เป็นอะไรไปมากกว่านี้เลย



   บรรยากาศภายในรถถูกดึงเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ในขณะที่รถบนถนนเริ่มติดขัด

   “เด็กๆดูฉลาดมาก ฉันคิดว่านั่นคงได้มาจากเธอ”อาทิตย์เป็นฝ่ายชวนคุยอีกครั้ง

   “ไม่หรอกกครับ เด็กๆฉลาดเหมือนกับเขามากกว่า”ขนมผิงส่ายหน้า เพราะเด็กๆจะชอบต่อรองเวลาที่ต้องการอะไร เหมือ
นกับปิญญ์ชานนท์ไม่มีผิด

   “อย่างนั้นเรอะ ฉันคิดว่าเด็กๆได้ลูกชายฉันแค่หน้าตาเสียอีก”อาทิตย์หัวเราะในลำคอ “แล้วคนที่อยู่ในท้องของเธอล่ะ รู้
หรือยังว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย”

   “คุณรู้เหรอครับ”หันมามองหน้าอาทิตย์ด้วยสีหน้าแปลกใจ “ผมยังไม่รู้เลยครับว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย อายุครรภ์ยังไม่เยอพอที่

จะเห็นเพศของเด็ก”

   “งั้นหรอกเหรอ ฉันเองก็แทบจะรอลุ้นไม่ไหวแล้วว่าครั้งนี้จะได้หลานผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าครั้งนี้ได้แฝดอีกก็คงจะดีสินะ”

   “ไม่หรอกครับ”ขนมผิงส่ายหน้า “ผมไม่อยากให้เป็นแฝด”

   “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”

   “เพราะผมกลัวว่าพวกเขาจะไม่ยอมแยกออกจากกัน”เหมือนกับที่เขากับพี่สาวเคยเป็น ทำให้คนหนึ่งรอดด้วยการที่ต้อง
ยอมสูญเสียอีกคนหนึ่ง

   ขนมผิงยอมรับว่าครั้งที่แล้วเป็นกังวลอยู่มากว่าปลากริมและสลิ่มจะไม่ยอมแยกจากกัน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วย
ดี

   “ฉันเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพวกนี้หรอกนะ แต่คิดว่าทุกอย่างมันจะต้องผ่านไปด้วยดี เธออย่าเป็นกังวลไปเลย”อาทิตย์ให้
กำลังใจ “เธอรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้ลูกชายของฉันเขาแพ้ท้องแทนเธอน่ะ”

   “แพ้ท้องเหรอครับ?”ขนมผิงถามด้วยความแปลกใจ

   “ใช่ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกมากเลยล่ะ ที่คนเย็นชาอย่างเขาจะมาแพ้ท้องแทนเธอแบบนี้ ช่วงนั้นฉันไม่เป็นอันได้กิน
อะไรอร่อยๆเลยล่ะนะ”

   “งั้นเหรอครับ”

   ความจริงแล้วเขาก็เคยได้ยินอยู่เกี่ยวกับอาการแพ้ท้องแทนกัน แต่ว่าที่ได้ยินมาอาการนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่รักกัน
มากเท่านั้น พอนึกย้อนไป มีช่วงหนึ่งที่เคยเห็นว่าอีกฝ่ายเหม็นกลิ่นอาหารเหมือนกับเขา มันก็คงจะเป็นอย่างที่อาทิตย์บอกจริงๆ
ว่าปิญญ์ชานนท์แพ้ท้องแทน แต่มันจะจริงที่ว่ารึเปล่าที่ว่าคนรักกันเท่านั้นที่จะแพ้ท้องแทนกัน



   “กลับบ้านไปพักผ่อนล่ะ ลูกชายฉันตื่นมาคงจะดีใจที่เห็นนายปลอดภัยดี”อาทิตย์บอกพลางส่งยิ้ม

   เมื่อรถขับมาจอดเทียบหน้าประตูบ้านมณีรัตน์ ขนมผิงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาอีกฝ่าย ยอมรับว่านี่เป็นการคุยกัน
ครั้งแรกของเขากับอาทิตย์ และมันก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดเอาไว้ กลับกันความรู้สึกบางอย่างที่สัมผัสได้นั้นมันค่อนข้างที่จะ
คล้ายความเป็นครอบครัว

   “ขอบคุณที่มาส่งครับ”



   -----------------------------------------------------------------------------------



   “แกเป็นอะไรไป ปกติแกไม่เคยอยู่ติดบ้านนี่ จู่ๆทำไมถึงเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนบ้างล่ะ”

   “กะ ก็ไม่มีอะไรนี่คะ ดะ เดหลีแค่อยากพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่มีอะไรนี่คะ เดหลีไม่มีอะไรจริงๆ”หญิงสาวตอบเสียงขาดหาบ
ดวงตากลมไร้เครื่องสำอางหลุกหลิกไปมา

   “แน่ใจนะ ช่วงนี้แกไม่มีงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณาเลยรึไง แต่ช่างเถอะถ้าแกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ฉันว่าจะออกไปพบท่าน
รัฐมนตรีข้างนอกสักหน่อย”

   “คะ ค่ะ”เดหลีพยักหน้ารับเร็วๆ

   บิดาของเธอจ้องมองที่เธอเหมือนจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ แต่ก็ถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องของเธอไปอย่างไม่
ใส่ใจ



   เดหลีก้มมองมืออันสั่นเทาของตัวเองเธอทำลงไปแล้วจริงๆ ออกคำสั่งให้คนไปฆ่าขนมผิงอย่างเลือดเย็น แต่จะเป็นอะไร
ไป ในเมื่อมันสมควรแล้วนี่ที่สองคนนั้นต้องตาย เป็นเพราะว่าพวกมันรวมหัวกันทั้งนั้น เธอถึงต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้
เธอพยายามบอกตัวเองเป็นร้อยพันรอบว่าเธอไม่ผิด

   พวกนั้นต่างหากที่ผิด พวกนั้นสมควรตายอยู่แล้ว พวกน่ารังเกียจน่าขยะแขยงพวกนั้น

   เดหลีจับจ้องมองแฟรชไดร์สีขาวอันเล็กในมืออีกครั้ง มือของเธอกำลังสั่น ฟันคมกันริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด

   “มันสมควรแล้ว ตายไปซะได้ก็ดี น่าขยะแขยง”

   เธอพูดวกไปวนมากับตัวเอง ข้อมูลที่อยู่ในนั้นเป็นข้อมูลที่เธอไม่เคยรู้เลยสักนิด ข้อมูลเกี่ยวกับการฟอกเงินโดยมีผู้สมรู้
ร่วมคิดเป็นนักการเมืองและคนดังมากมาย

   ที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้เลยสักนิดว่ามือของพ่อเธอผ่านอะไรมามากมายแค่ไหน ไม่รู้เลยว่ามือคู่นั้นที่เลี้ยงเธอมาจะสกปรก แต่
ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างเธอได้จัดการด้วยตัวของเธอเองแล้ว

   เธอกำจัดปิญญ์ชานนท์ให้พ้นทางไปแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่มีใครหน้าไหนมาทำร้ายเธอกับพ่อได้อีกแล้ว ไม่มีทาง

   คิดดังนั้นรอยยิ้มอันน่ากลัวก็แสยะขึ้นมาราวกับคนโรคจิต ใบหน้าสวยไร้เครื่องสำอางไม่เหมือนอย่างเคยจ้องมองตัวเอง
ผ่านกระจกเงา ความสวยงามที่ทำให้ใครต่อใครต่างก็ออกปากชม และหลงในรูปลักษณ์ของเธอ เว้นก็แต่อย่างปิญญ์ชานนท์และ
ขนมผิงนั่นเท่านั้น ทั้งสองคนต่างก็พากันถอนหมั้นเธอ ทำราวกับต้องการที่จะมองผ่านรูปลักษณ์อันเลอค่าของเธอไป และนั่นมัน
เป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย พวกขยะพวกนั้นหายไปจากโลกซะได้ก็ดี

   



   ---------------------------------------------------------------------------

[ครึ่งแรก]

รอบนี้มาลงไว ยังไงก็อย่าเพิ่งหนีกันเนอะ คนอ่านที่นี่ร่อยหรอเหลือเกิน หรือว่าหนีไปอ่านที่ธัญวลัยน้อ :mew1:





หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความเปลี่ยน ❖ 29-07-59 ❖ ครึ่งแร
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 29-07-2016 17:05:36
ขอให้คืนดีกันเร็วๆ จะได้เป็นครอบครัวสุขสันต์ แฝดอีกครั้งก็ดีนะ บ้านจะได้ครึกครัก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความเปลี่ยน ❖ 29-07-59 ❖ ครึ่งแร
เริ่มหัวข้อโดย: โซ อึน ที่ 29-07-2016 23:14:06
 :angry2:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความเปลี่ยน ❖ 29-07-59 ❖ ครึ่งแร
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 30-07-2016 03:53:28
ถ้าปิณณ์ตื่นมาได้ยินที่ผองพูดคงฟินใช่น้อย :hao3:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความเปลี่ยน ❖ 29-07-59 ❖ ครึ่งแร
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 30-07-2016 06:45:56
ใกล้กลับมาคืนนดีกันแล้วสินะ รอรอรอรอนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความเปลี่ยน ❖ 29-07-59 ❖ ครึ่งแร
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 30-07-2016 09:46:47
ใกล้จะได้เป็นครอบครัวสุขสันต์ละ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความเปลี่ยน ❖ 29-07-59 ❖ ครึ่งแร
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 30-07-2016 10:07:41
ความรู้สึกของผิงเริ่มเปลี่ยนแล้วว จะได้มีความสุขเสียทีนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 31-07-2016 16:14:35
35 [ครึ่งหลัง]


หลังจากที่ได้ข่าวว่าปิญญ์ชานนท์ได้ออกมาจากห้องไอซียูแล้วและได้ส่งตัวมาพักฟื้นที่โรงพยาบาลเดียวกับที่คุณวุฒิประจำอยู่
ความหนักใจที่มีอยู่ในอกส่วนหนึ่งมันก็หายไป แต่ถึงอย่างคำบอกกล่าวที่ว่าปิญญ์ชานนท์ยังไม่ยอมฟื้นขึ้นมานั้นยังคงส่งผลต่อ
จิตใจของเขาอยู่

   “ทำไมมาแต่เช้าเลยล่ะครับ พี่บอกแล้วไงว่าให้ผิงพักผ่อน”คุณุฒิพูดเชิงตำหนิเมื่อเช้าวันรุ่นขึ้นหลังจากเข้าเวรได้ไม่กี่
ชั่วโมงและหลังจากที่ปิญญ์ชานนท์ถูกส่งตัวมาพักฟื้นที่นี่กลางดึกของพี่คืนขนมผิงก็ปรากฏตัวทั้งที่ใบหน้ายังคงแสดงออกถึง
ความหมองเศร้าและไม่สดชื่นเอาซะเลย

   “ผิงนอนไม่ค่อยหลับ แต่ว่าผิงพักผ่อนมากพอแล้วล่ะ”ขนมผิงส่ายหน้า

   “พี่คงจะห้ามไม่ได้สินะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ตอนนี้พยาบาลส่วนตัวที่ติดต่อเอาไว้ก็ยังไม่มา งั้นพี่ฝากผิงไว้ด้วยแล้วกัน เดี๋ยว
พี่ต้องไปเข้าตรวจคนไข้ต่อ หมดเวลาพักของพี่แล้ว แล้วเจอกันนะครับ”คุณวุฒิยิ้มออกมาเมื่อพูดจบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะไหล่
ขนมผิงเบาๆ

   “ถ้างั้น ผมขอถามอะไรพี่วุฒิสักอย่างจะได้ไหม”

   “ถามอะไรเหรอครับ”

   “ผมพาพวกเขาเข้าไปในห้องนั้นได้รึเปล่า”

   พูดจบก็ดันเจ้าสองตัวแสบที่หลบอยู่ข้างหลังอย่างสงบเสงี่ยมโชว์ตัวออกมา ที่สงบเสงี่ยมไม่พูดไม่จาไม่ใช่ว่าเพราะอะไร
แต่เพราะว่าถูกกำชับก่อนหน้าที่จะเข้ามานักหนาว่าห้ามพูดเสียงดังห้ามวิ่งเล่นไม่เช่นนั้นจะถูกจับไปฉีดยา แล้วผลก็เป็นอย่างที่
เห็น ยืนหลบหลังขนมผิงกันอย่างสงบเสงี่ยม มีแค่เพียงรอยยิ้มทะเล้นโชว์เหงือกสีสดเท่านั้นที่ยังคงบ่งบอกถึงความสดใสของ
เด็กๆเช่นเคย

   “สวัสดีคุณลุงก่อนครับ”

   “สวัสดีฮะคุณลุงหมอ”

   “สวัสดีฮะคุณลุงหมอ”

   “มาด้วยเหรอ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน โตขึ้นตั้งเยอะแน่”คุณหมอใจดีส่งยิ้มให้เด็กๆ ย่อตัวลงนั่งเสมอกับเจ้าสองแฝดก่อนจะ
ยกมีขยี้หัวคนละทีด้วยความเอ็นดู


   “ทำไมคุณลุงหมอไม่ไปหากริมกับน้องหลิ่มเลยล่ะฮะ”ปลากริมเอียงคอถาม

   “เป็นคุณหมอก็ต้องอยู่รักษาคนไข้ไงครับ ว่าแต่มาทำอะไรกันหืม?”

   “มาเยี่ยมพ่อปินฮะ/มาเยี่ยมพ่อปินฮะ”ตอบเป็นเสียงเดียวพร้อมกันทันที

   “พ่อปินไม่สบาย กริมอยากให้พ่อปินหายไวไว”

   “หลิ่มก็อยากให้หายไวไวเหมือนกันฮะ”สองแฝดผลัดกันพูด

   “ลุงหมอก็อยากให้พ่อปิญญ์ของพวกเราหายไวไวเหมือนกัน”คุณวุฒิยิ้ม ดูเหมือนเด็กๆจะเรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อโดยที่ยัง
ไม่รู้สินะว่าปิญญ์ชานนท์เป็นพ่อจริงๆ คงจะเรียกเพราะแค่อยากเรียกและถูกบอกให้เรียกแบบนั้น

   “เอาเป็นว่าพี่ไปเข้าห้องตรวจก่อนนะครับ แล้วก็ดูให้เด็กๆอย่าจับอะไร แล้วก็ให้ล้างมือหลังเยี่ยมเสร็จ มีอะไรเรียกพี่
ล่ะ”คุณวุฒิกำชับ “บางทีการที่ผิงมา พี่ปิญญ์อาจจะยอมตื่นขึ้นมาก็ได้นะ”พูดอย่างมีเลศนัยน์ ส่งยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดิน
หายไป

   ขนมผิงเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วย ร่างสูงใหญ่ของปิญญ์ชานนท์ยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง สายน้ำเกลือถูก
ต่อห้อยระโยงรยางค์ เสียงเครื่องวัดชิพจรดังขึ้นเป็นระยะบ่งบอกถึงชีพจรที่คงที่ของผู้ป่วย

   “ปะป๊าว่าพ่อปินจะเจ็บไหมฮะ”ปลากริมกระตุกชายเสื้อเงยหน้าขึ้นมาถาม

   “เจ็บสิ เจ็บมากเลยล่ะ”ขนมผิงพยักหน้าตอบเสียงเบา

   “แล้วปะป๊าจะตื่นมาคุยกับพวกเราไหมฮะ”สลิ่มเงยถามบ้าง

   เด็กแฝดร่างจ้ำม่ำทั้งสองคนชะเง้อมองร่างแน่นิ่งของพ่อตัวองบนเตียงผู้ป่วย คิ้วเล็กๆของทั้งคู่ขมวดมุ่นเมื่อปิญญ์ชานนท์
ไม่ยอมตื่นขึ้นมาคุยหรือเล่นด้วยเหมือนครั้งก่อนๆ

   “พ่อ….”ขนมผิงพูดเสียงแผ่ว กลิ่นน้ำลายก้อนเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก ถอนหายใจเล็กน้อยราวกับต้องการที่จะ
ละทิ้งความลำบากใจออกไป “พ่อเขาไม่สบายมากน่ะ แต่อีกเดี๋ยวก็คงจะตื่นนะครับ ไม่ต้อห่วง”เพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องตื่นขึ้น
มา ปิญญ์ชานนท์ต้องตื่นขึ้นมาเอาคำตอบของเขาที่เขาค้างเอาไว้

   “ฮะ/ฮะ”

   สองแฝดตอบรับ ฉีกยิ้มใสซื่อทั้งที่ไม่รู้อะไรเด็กยืนเกาะขอบเตียงจ้องมองปิญญ์ชานนท์นิ่งอย่างที่ถูกสั่งเอาไว้ รอคอยว่า
เมื่อไรจะตื่นขึ้นมาเล่นกัน

   ใบหน้าของปิญญ์ชานนท์ในตอนนี้ดูดีกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงซีดเซียวและไร้ชีวิตชีวาเหมือนเดิม
ริมฝีปากหยักของปิญญ์ชานนท์แห้งผากจนลอกเป็นขุย

   เห็นดังนั้นขนมผิงจึงเปิดกระเป๋าสัมภาระของเด็กๆหยิบเอาลิปมันแท่งสีขาวออกมา ก่อนจะบรรจงทาลงใบบนริมฝีปากนั้น
อย่างเบามือ

   ริมฝีปากที่พูดคำว่ารักออกมาในครั้งสุดท้ายที่อีกฝ่ายยังได้สติ บอกให้เขาหยุดอยู่กับที่เพื่อรอคอยให้อีกฝ่ายเดินตามมา
และมาหยุดอยู่เคียงข้าง ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระจากลมปากที่เชื่อไม่ได้ของปิญญ์ชานนท์

   แต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว และเชื่ออย่างสนิทใจจากการกระทำของปิญญ์ชานนท์ที่เอาแต่วิ่งไล่ตามและปกป้องเขากับลูกเอาไว้
จากอันตรายจนตัวเองต้องรับผลของการกระทำนั้นแทน

   ขนมผิงมองดูมือเล็กๆของเด็กๆเอื้อมขึ้นมาแล้วดึงมือของปิญญ์ชานนท์ไปจับเอาไว้ ถ้าหากเขารู้ตัวและหยุดที่จะวิ่งหนีอีก
ฝ่ายก่อนหน้านี้ เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่จบอย่างนี้ จบที่เขายังคงทำให้คนรอบตัวต้องเจ็บอยู่เหมือนเคย



   --------------------------------------------------------------------------



   ‘ขนมผิง’ชายหนุ่มเรียกอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อมองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยอยู่ใกล้แค่เอื้อม

   ‘มีธุระอะไรกับผม’ขนมผิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา ดวงตาคู่สีโศกจ้องมองมาที่เข้าด้วยแววตาอันนิ่งเฉย

   ‘ทำไมนายถึงพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงนั้นล่ะ’ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

   ‘ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องพูดดีกับคุณ’   

   ‘ทำไมกันล่ะ ทำไมนายถึงต้องพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแบบนั้น มองฉันด้วยสายตาแบบนั้น นายคิดจะดูถูกฉันรึไง’

   ‘ก็แล้วทำไมล่ะ ในเมื่อคุณเองก็เคยทำแบบนี้กับผมเหมือนกัน’

   ‘แต่ฉันก็ขอโทษนายไปแล้วไม่ใช่รึไง’

   ‘คุณคิดว่าแค่คำขอโทษมันจะพอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำเอาไว้กับผมและลูกรึไง’

   ‘แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น นายก็คงจะหนีฉันไป ฉันยอมไม่ได้หรอกนะที่จะปล่อยให้นายไปเป็นของ
คนอื่นโดยที่คนคนนั้นไม่ใช่ฉัน’

   ‘คุณไม่มีสิทธิที่จะมาตัดสินในสิ่งที่ผมเลือก จำเอาไว้’เสียงที่ตอบกลับอย่างเย็นชานั้นดังก้องไปทั่ว

   ขนมผิงหันหลังกลับไปอีกครั้ง ค่อยๆเดินทิ้งห่างออกไปทีละก้าว

   ‘นายจะมาเดินหันหลังให้ฉันอย่างนี้ไม่ได้นะ อย่ามาเดินหันหลังให้ฉันแบบนี้!!’ตะโกกนออกไปเสียงดังก้อง ฉุดแขนของ
ขนมผิงเอาไว้แล้วดึงเข้ามาในอ้อมกอด กอดรัดขนมผิงเอาไว้อย่างนั้น เพราะกลัวว่าขนมผิงจะหนีหายไปในความมืดที่อยู่เบื้อง
หน้า

   ‘ปล่อยผม’

   ‘ฉันไม่ปล่อย นายเป็นเมียของฉัน ฉันไม่มีวันจะปล่อยนายไปกับคนอื่นแน่’

   ‘หึ คุณเอาแต่พูดว่าผมเป็นเมียของคุณ คุณลองถามตัวเองบ้างสิ ว่าคุณเคยทำอะไรให้ผมในฐานะที่คุณเอาแต่ยกมาอ้า
งบ้างรึเปล่าล่ะ’

   ‘ฉัน’

   ‘ตอบไม่ได้ล่ะสิ ถ้าคุณหาคำตอบให้กับผมไม่ได้ล่ะก็ คุณหยุดอยู่กับที่ตรงนี้ซะดีกว่า เลิกเดินตามผมสักที ปล่อยให้ผมได้
เดินไปตามทางของตัวเอง’ร่างในอ้อมกอดพูดขึ้น จู่ๆก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่กอดรัดขนมผิงเอาไว้เริ่มน้อยลง จนอีกฝ่ายจวนเจียนจะ
หลุดออกไปจากอ้อมแขนนี้เต็มที

   ‘แล้วทำไมนายถึงไม่หยุดอยู่กับฉันด้วยกันตรงนี้ล่ะ หยุดเดินหนีฉันสักที’

   ‘ทำไมต้องเป็นผมด้วยที่เป็นฝ่ายหยุด ทั้งที่คุณเอาแต่คอยไล่ตามให้ผมต้องคอยหนี’

   ‘นั่นก็เป็นเพราะฉัน…ฉันรักนายยังไงล่ะ ฉันถึงได้คอยตามนายไปทุกฝีก้าวอย่างนี้’สารภาพออกไป พลางจ้องมองดูว่าขนม
ผิงจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำตอบของเขา ทว่าใบหน้าของขนมผิงนั้นกลับแสดงออกมาถึงความดูถูกและเหยียดหยามส่งมาให้
เขา ริมฝีปากได้รูเหยียดยิ้มเย้ยหยันในสิ่งที่เขาพูดออกไป

   ‘คุณจะให้ผมเชื่อคำว่ารักที่ออกมาจากปากที่คอยเอาแต่พ่นคำพูดดูถูกผมรึไงกัน คุณคิดว่าผมโง่รึไง’

   ‘นายไม่เชื่อที่ฉันพูดเหรอขนมผิง’

   ‘ใช่ ผมไม่เชื่อ’   

   ‘จะต้องให้ฉันทำยังไงนายถึงจะเชื่อฉันล่ะ’

   ‘คุณกล้าตายแทนผมกับลูกไหมล่ะ เมื่อไรที่คุณกล้าตายแทนผมกับลูก เมื่อนั้นผมถึงจะยอมเชื่อคุณ’

   ‘นายไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม’ทันที่ที่ถามออกไป ร่างในอ้อมกอดก็หลุดออก แผ่นหลังของขนมผิงค่อยๆเคลื่อนห่างออกไป
ทุกที

   แทนที่ด้วยเงาดำมืดของร่างสูงใหญ่ราวกับปีศาจ ถือกระบอกปืนสีดำสนิทจ่อมาที่เขา เขามองเห็นลูกกระสุนลอยออกมา
จากปลายกระบอกปืนนั้นช้าๆราวกับเวลาแต่ละวินาทีนั้นถูกยืดออกไปให้นานแสนนาน

   ในที่สุดกระสุดนัดนั้นก็ทะลุเข้ามาที่ช่วงท้องของเขา ความเจ็บปวดทำให้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ของเขาหายไปในพริบตา ชาย
หนุ่มทรุดนั่งลงบนพื้นสีดำสนิท เลือดที่แดงสดค่อยๆไหลทะลักออกมาจากช่วงท้อง

   



   “แค่ก แค่ก แค่ก”เสียงไปออกมาแห้งๆดึงความสนใจให้คนที่เข้ามาในช่วงพักจากการเข้าเวรหันไปมองด้วยความตกใจ

   คุณวุฒิรีบกดปุ่มเรียกพยาบาลให้ตามหมอเจ้าของไข้ทันทีก่อนจะหันไปสนใจพี่ชายตัวเองแล้วหยิบแก้มน้ำใกล้มือยืนให้

   “พี่ปิญญ์ ฟื้นแล้วเหรอครับ”

   “น้ำ ขอน้ำหน่อย”ร้องขอเมื่อลำคอรู้สึกแห้งผาก

   “ค่อยๆดื่มครับ”

   “เจ็บจัง ทำไมถึงเจ็บล่ะ”ถามเสียงแหบก้มลงไปมองช่วงลำตัวของตัวเอง

   ร่างกายมันรู้สึกเมื่อยล้าและปวดไปทั้งตัวจนแทบทนไม่ไหว เปลือกตามันรู้สึกหนังอึ้งเหมือนจะปิดลงมาอีกครั้ง

   “จะไม่ได้เหรอครับว่าถูกยิง”

   “ฉันถูกยิงเหรอ”นั่นมันไม่ใช่แค่ความฝันรึไงกัน ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้ว

   ลองทบทวนความทรงจำตัวเองดู ใช่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่จำความได้ก็คือ เขากำลังอยู่กับขนมผิง ก่อนที่จะเอาตัวเองไปรับ
กระสุนแทนอีกฝ่าย มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝันสินะ

   “ทั้งๆที่ศีรษะก็ไม่ได้กระทบกระเทือน แต่ทำไมถึงได้หลับไปเกือบสองวันอย่างนี้ล่ะครับ พาเอาคนอื่นเขาเป็นห่วงกันไป
หมด อวัยวะภายในที่สำคัญก็ไม่ได้โดนอะไร”คุณวุฒิส่ายหน้านัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นจ้องมองพี่ชายคล้ายจะตำหนิ

   “แล้วขนมผิงล่ะ เป็นอะไรไหม บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

   “หัดฟังที่คนอื่นเข้าพูดเกี่ยวกับอาการตัวเองบ้างสิครับ”

   “ขนมผิงเขาไม่ได้มาเยี่ยมฉันเลยใช่ไหม”นอกจากจะไม่ฟังแล้ว ปิญญ์ชานนท์ยังถอนหายใจออกมา พูดด้วยน้ำเสียงแหบ
แห้งอย่างตัดพ้อเอาเอง

   “เขาไม่ได้มาหรอกครับ แต่ไม่ได้กลับไปเลยต่างหาก ผมก็เลยไล่กลับไปตั้งแต่เมื่อวาน เพราะไม่งั้นลูกในท้องคงจะลำบาก
แย่ที่มีพ่อที่แค่ถูกยิงนิดหน่อยแต่กลับทำเหมือนกับอาการโคม่าเป็นเจ้าชายนิทราให้คนอื่นเขาทุกข์ใจเล่น”

   “กลับไปแล้วงั้นเหรอ”จู่ๆก็ยิ้มออกมา ไม่ได้สนใจที่ถูกกระแนะกระแหนเหมือนเดิม สนใจแค่ว่าขนมผิงเป็นห่วงเขาแล้วเฝ้า
ไม่ยอมห่างแค่นั้น จะว่าไปแล้วก็อดไม่พอใจอยู่บ้างที่ขนมผิงเฝ้าเขาจนเผลอละเลยตัวเองกับลูกในท้อง

   “แล้วจะมาอีกไหม”

   “ใครจะไปรู้ล่ะครับ ตอนนี้พี่ปิญญ์แค่รอหมอเจ้าของไข้มาตรวจก็พอ ถ้าผิงอยากจะมาเขาก็มาเองล่ะครับ”

   “นายคงไม่ได้อิจฉาฉันอยู่ใช่ไหม”ปิญญ์ชานนท์ปรายตามองน้องชายอย่างจ้องจับผิด

   “ทำไมผมต้องอิจฉาคนที่ถูกยิ่งล่ะ ถ้าจะมีเรื่องให้อิจฉาก็คงจะเป็นเรื่องเด็กแฝดที่น่ารักสองคนกับเด็กที่อยู่ในท้องกำลังจะ
ลืมตาขึ้นมาดูโลกก็แค่นั้นครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”คุณวุฒิยืนยันความบริสุทธิ์ใจกับพี่ชายตัวเอง

   “งั้นก็แล้วไป”ปิญญ์ชานนท์บอกเสียงเรียบ “แล้วฉันจะกินอะไรได้รึยัง ตอนนี้รู้สึกว่าหิวมากจนไส้จะขาดเลยล่ะ”


   “ต้องรอหมอเจ้าของไข้ครับ”คุณวุฒิส่ายหน้าอีกครั้งพอฟื้นขึ้นมาก็ยังไม่เลิกนิสัยเดิม ทั้งเอาแต่ใจ ขี้หวง และเผด็จการ ไม่
แปลกใจเลยว่าทำไมขนมผิงถึงได้เอาแต่หนีพี่ชายของตัวเอง





   

   “หมอตรวจเสร็จแล้ว ผมเองก็ต้องเข้าห้องตรวจ อยู่คนเดียวไปก่อนนะครับ เดี๋ยวพยาบาลคงจะเอาอาหารมาให้”

   “อืม”พยักหน้ารับพอนานๆเข้าก็เริ่มที่จะชินกับความเจ็บที่แผลที่ถูกยิงบ้างแล้ว

   “งั้นผมไปก่อนนะครับ”คุณวุฒิบอกเป็นครั้งสุดท้าย

   ทว่าก่อนจะก้าวขาออกไปจากห้อง ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยกำลังพูดปรามเด็กๆดังมาจากข้างนอก จึงหันไปบอกกับพี่ชาย

   “ขนมผิงมาน่ะครับ กำลังจะเข้ามา ให้ผมเรียกเข้ามาเลยไหม”

   “เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่ง”บอกพลางจัดท่าทางตัวเองให้เอนตัวลงนอนราบ

   “ครับ?”

   “แล้วอย่าบอกขนมผิงล่ะว่าฉันฟื้นแล้ว”

   พูดจบก็หลับตาลงนอนตามเดิมทำเหมือนกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หูคอยเงี่ยฟังเสียงความเคลื่อนไหวของประตูห้อง
ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคนเดินเข้ามา




-----------------------------------------------------------------------------------------------------

ปิญญ์มันหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วววววว มันใช่เรื่องไหนล่ะท่าน ปล. อย่าลืมน้องรัมภ์กับนายหัวของเจ๊กันนะ >>> กดโลด >>Numb Guy บทร้าย ผู้ชาย...เย็นชา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52419.0)
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-07-2016 17:23:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 31-07-2016 18:15:36
เดี๋ยวโดนงอนอีกอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 31-07-2016 18:26:46
เดี๋ยวได้มีงอนอีกหรอก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 31-07-2016 19:43:57
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 31-07-2016 23:03:28
 :ling1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-08-2016 02:32:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 05-08-2016 09:56:02
ติดตาม
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 38 ความฝัน ❖ 31-07❖ ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 05-08-2016 13:00:21
โหบปิญญ์ หาเรื่องให้ตัวเองอีกทำไม :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39 ❖ 05-08❖ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 05-08-2016 17:14:00
36 อีกด้านของตัวร้าย


   ใบหน้าหล่อเหลาที่ถึงแม่จะดูดีขึ้นมาเล็กน้อยแต่มันก็ยังคงซีดเซียวทำให้ขนมผิงยังคงไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับอาการของชาย
หนุ่มตรงหน้า ผ่านมาเกือบสองวันแต่ปิญญ์ชานนท์ก็ยังคงหลับนิ่งเฉยอยู่บนเตียงไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้น

   “คุณมันเกินจะเยียวยาจริงๆ ต่อให้หลับไม่รู้สึกตัวคุณก็ยังสามารถทำให้คนอื่นทุกข์ใจได้ตลอดเวลา”พึมพำกับตัวเองเสียง
เบา

   หันไปมองลูกชายทั้งสองที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกฟากของห้องอย่างสงบเสงี่ยม ความเงียบงันและความเย็นของเครื่องปรับ
อากาศทำให้เด็กๆเริ่มพากันปรือตาด้วยความง่วงงันทั้งที่พึ่งจะมาถึงได้ไม่นาน

   “ง่วงกันแล้วเหรอครับ”

   “ฮะ/ฮะ”พยักหน้าพร้อมกันทั้งที่ตาแทบจะปิด


   ขนมผิงเดินเข้าไปใกล้ๆเด็กๆก่อนจะจัดท่าทางให้เด็กๆนอนบนโซฟาได้ถนัดก้มลงไปจูบหน้าผากของทั้งสองคนอย่างเบาๆ

   ร่างสูงโปร่งเดินกลับมาที่เตียงผู้ป่วยอีกครั้ง สะดุดตาเข้ากับเหงื่อที่ผุดซึมบนหน้าผากของปิญญ์ชานนท์ราวกับว่าเจ้าตัว
กำลังอึดอัดไม่สบายตัวทั้งที่อากาศเย็นขนาดนี้

   พอเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จริงอย่างที่พูดจริงๆ ต่อให้ปิญญ์ชานนท์จะหลับไม่รู้สึกตัว แต่ก็ยังสามารถทำให้
เขาคนนี้เดือดร้อนได้ตลอด ร่างสูงโปร่งเดินหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนมหนูผืนเล็ก

   ไม่รู้เลยสักนิดว่าหลังจากที่หันหลังให้กับเตียงผู้ป่วยจะมีใครกำลังจับจ้องมองการกระทำของตนอยู่

   ชายหนุ่มในคราบผู้ป่วยหรี่ตาขึ้นมองลอบยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ขนาดหลับยังไม่วายถูกอีกฝ่ายต่อว่าเข้าจนได้ ความที่
ต้องแกล้งหลับทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะกลัวจะถูกจับได้ ผลมันก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น เหงื่อผุดซึมจนต้องยกมือขึ้นมาเช็ดมัน
ออก

   เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกร่างสูงใหญ่รีบหลับตาลงนอนแน่นิ่งสวมบทบาทผู้ป่วยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นผืนเล็กถูกบิดจนหมาดก่อนจะเช็ดลงบนหน้าผากไล่ลงบนใบหน้าซีดผาดอย่างเบามือ ดวงตาคู่โศกยังคง
จับจ้องใบหน้านั้นอยู่ตลอดเวลา บางทีเขาอาจจะคิดไปเองว่าพอเช็ดเหงื่อออกจากบนใบหน้านี้แล้วสีหน้าที่ซีดเซียวนั้นกลับ
เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ

   ขณะที่กำลังยุ่งอยู่กับการเช็ดตัวคนไข้ที่ไม่ได้สติ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเรียกความสนใจ ตามมาด้วยพยาบาลที่เดินเข้ามา
ในห้องพร้อมกับถาดข้าวต้มร้อนๆส่งควันหอมกรุ่น ขนมผิงมองมันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

   “ทำไมถึงเอาอาหารมาล่ะ คนไข้ยังไม่ได้สติเลยนี่ครับ”ถามออกไปอย่างสงสัย

   “เอะ แต่เมื่อครู่นี้คุณหมอบอกว่าคนไข้ห้องนี้ฟื้นแล้ว ให้เอาข้าวต้มมาให้ เมื่อครึ่งชั่วโมงนี้เองค่ะ หรือว่าจะหลับไปอีกแล้ว”

   ทันทีที่ได้ยิน ความคิดอะไรบางอย่างมันก็แวบเข้ามาในหัว สามสิบนาทีก่อนมันก็เป็นช่วงเวลาที่เขามาถึงที่นี่พอดี แล้ว
ทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงยังอยู่ในสภาพเดิมได้ล่ะ นอกเสียจากว่า…

   ขนมผิงมองตามพยาบาลสาวเดินออกจากห้องไป หันมาจ้องมองคนไข้บนเตียง หัวใจพลันเต้นระรัวเมื่อดวงตาคู่คมกำลัง
จ้องมองมาที่ตน ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ

   “คุณตลกมากนักรึไง”

   บอกออกไปอย่างเหลืออด ทั้งที่เขารู้สึกเป็นห่วงที่อีกฝ่ายไม่ยอมฟื้นขึ้นมา แต่กลับกลายเป็นว่าถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้ง
ทาลิปมันลงบนริมฝีปากแห้งผากนั้น ทั้งเช็ดตัวให้ นี่เขาทำอะไรลงไป

   “เดี๋ยวก่อนสิ”ปิญญ์ชานนท์รียก รีบความแขนของขนมผิงเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหนี

   “ปล่อยผม ผมจะพาลูกกลับ”

   ใบหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจจ้องมองมือที่กุมแขนของตนเอาไว้ ดวงตาคมสั่นไหวไม่ต่างอะไรกับม่านน้ำที่ถูกก้อน
หินโยนลงไป ริมฝีปากบางเม้มแน่น รู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันกำลังเอ่อล่นอยู่เต็มกระบอกตา

   “ฉันขอโทษ ฉันแค่อยากรู้ว่านายจะทำยังไงตอนที่ฉันยังหลับอยู่”

   “พอที คุณเล่นกับความรู้สึกของผมมากเกินพอแล้ว ปล่อยแขนผมได้แล้ว”

   ถึงจะพูดอย่างนั้น ทั้งที่จะสลัดแขนให้หลุดออกจากมือนั้นก็ทำได้ แต่ก็กลัวว่าปิญญ์ชานนท์จะเจ็บ มือทั้งสองข้างกำเข้าหา
กันแน่น ขบฟันลงบนริมฝีปากตัวเอง

   “นายโกรธฉันขนาดนั้นเลยเหรอ ฉัน…คิดว่านายจะดีใจซะอีกที่ฉันฟื้นขึ้นมา”

   ดีใจงั้นเหรอ ถามว่าตอนนี้ดีใจไหม ถ้ามองข้ามความคิดที่ว่ากำลังถูกเล่นกับความรู้สึกอยู่ล่ะก็ แน่นอนเขาต้องดีใจอยู่แล้ว
ดีใจที่ปิญญ์ชานนท์ฟื้นขึ้นมาสักที หลังจากที่ทำให้เขาเป็นห่วงจนแทบบ้า

   “ในเมื่อคุณฟื้นแล้วผมกลับล่ะ”พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น

   แต่ทำไมกันบนแก้มถึงได้อุ่นวาบเมื่อน้ำอุ่นร้อนมันไหลลงมาจากกระบอกตา ไม่รู้ว่ามันไหลลงมาเพราะอะไร ดีใจหรือว่า
เสียใจ ขนมผิงหันหลังให้กับปิญญ์ชานนท์ เก็บซ่อนน้ำตาที่ร่วงหล่นเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น

   “อย่าไปเลยนะ ฉันอยากให้นายอยู่กับฉันให้นานกว่านี้ อยากจะอยู่ใกล้ๆนายให้นานกว่านี้ ก่อนที่ฉันจะตื่นขึ้นมา ฉันฝันไม่ดี
เลย ฉันนึกว่าฉันจะตายซะแล้ว”พูดเสียงเบาก่อนจะออกแรงดึงให้ขนมผิงเดินเข้ามาใกล้

   ขนมผิงไม่ได้ขืน ไม่ใช่ว่ายินยอม แต่เพราะไม่อยากให้ปิญญ์ชานนท์เจ็บตัวเพราะเขาไปมากกว่านี้

   “แต่ฉันจะตายตอนนี้ไม่ได้ถ้าฉันยังไม่ได้ทำหน้าที่ของพ่อให้ดีพอ”ปิญญ์ชานนท์บอกเสียงเบา

   เอื้อมมือใหญ่เข้าไปใกล้ใบหน้าของขนมผิงก่อนจะเกลี่ยนิ้วเช็ดน้ำตาออกจากแก้มอีกฝ่ายอย่างเบามือ

   “ผมไม่ได้ขอให้คุณมาปกป้องผม”

   “ถึงนายไม่ขอฉันก็เต็มใจทำ ฉันปล่อยให้คนที่ฉันรักกับลูกที่อยู่ในท้องเป็นอะไรไปไม่ได้หรอกนะ แล้วก็อีกอย่าง ฉันยังไม่
ได้คำตอบจากนายเลย นายจะช่วยเปิดใจให้ฉันหน่อยได้ไหม ไม่ต้องยกโทษในความผิดที่ฉันทำลงไป ขอแค่ให้ฉันได้เข้าใกล้
นายมากขึ้นกว่าเดิมก็พอ”มือใหญ่วาดลงบนท้องที่เริ่มนูนออกมาอย่างเบามือ

   “เห็นกับที่คุณช่วยผมกับลูกเอาไว้ ผม…”ขนมผิงเม้มริมฝีปากแน่น ราวกับริมฝีปากนั้นมันหนักอึ้งจนพูดไม่ออก “ผม…จะ
ยอมรับคำขอของคุณ…ฮึก!!!”

   ไม่ทันได้พูดจบแขนก็ถูกดึงด้วยแรงจนเซเข้าไปหา ดวงตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความตกใจกับริมฝีปากหยักที่กดลงมาแนบ
ชิดกับริมฝีปากของตัวเอง มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ก่อนจะแทรกปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้ามา



   “โอ้ย!! เจ็บชะมัด”ปิญญ์ชานนท์สบถออกมาเมื่อถูกผลักออก

   แผลที่เอวมันก็เจ็บขึ้นมาทันทีเพราะขนมผิงดันตัวออกไปจากอ้อมกอดของเขาอย่างแรง

   “การที่ผมยออมรับคำขอของคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาจูบผมตามใจชอบได้โดยที่คุณยังไม่ได้แปรงฟัน”

   ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาแบบนั้นแต่ใบหน้ากลับแดงเรื่อจนปิญญ์ชานนท์คิดว่ามันน่ามอง ไม่มากนักที่ใบหน้าที่มักจะ
นิ่งเฉยนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเขินอาย

   ถือว่าหาดูชมได้ยากเลยทีเดียว ค่อยคุ้มกับที่เจ็บตัว แต่จะว่าไปก็ออกจะเสียหน้านิดหน่อยที่ถูกต่อว่าเรื่องไม่แปรงฟัน ยิ่ง
คิดก็ยิ่งน่าเสียดาย

   



   --------------------------------------------------------------------------------



   “นี่แกยังอยู่ติดบ้านอยู่อีกเรอะ ฉันคิดว่าแกจะออกไปเที่ยวเล่นหรือไปซื้อของกับเพื่อนๆแกซะอีก นี่แกเป็นอะไรของแกจู่ๆก็
ไม่ยอมออกไปไหน”เชตุพลทักลูกสายหลังจากที่กลับมาจากข้างนอก

   ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความเป็นกังวลและความเหนื่อยล้ากับสิ่งที่ได้เจอมาในวันนี้ทั้งวัน

   “เดหลีแค่ไม่อยากไปไหน ละ แล้วพ่อล่ะคะ ไปไหนมาทั้งวัน”ใบหน้าของเดหลีซีดเซียวไร้เครื่องสำอางต่างจากทุกที เธอ
ตอบกลับพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงที่เบาโหวงราวกับไม่เต็มใจที่จะตอบ

   “ก็ดีเอสไอน่ะสิ ออกหมายเรียกให้ฉันเข้าพบ ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง ทำไมพวกนั้นถึงได้กลิ่น
ง่ายๆขนาดนี้”

   “ระ เรื่องอะไรเหรอคะ”

   “แกไม่ต้องรู้หรอก เอาเวลาไปดูแลตัวเองดีกว่า เดี๋ยวนี้แกชักเริ่มจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่เป็นผู้เป็นคนมากขึ้นทุกวันๆ ถ้า
แกไม่ออกจากบ้านแกจะเจอผู้ชายดีดีได้ยังไงกัน”

   “ช่วงนี้เดหลีไม่อยากไปไหนนี่คะ”ตอบด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ดวงตากลมโตหลุบต่ำเอาแต่จ้องมองบนพื้น

   “เออ ฉันได้ยินข่าวมาว่าปิญญ์ชานนท์มันถูกยิง ฉันล่ะสมน้ำหน้ามันนัก สงสัยมันจะสร้างศัตรูเอาไว้เยอะ น่าเสียดายที่มันไม่
ตาย แต่ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงสั่งสอนมัน”

   “งะ งั้นเหรอคะ”

   เดหลีตอบรับ ดวงตาคู่กลมยังคงหลุกหลิกไปมาเมื่อได้ยินชื่อของอดีตคู่หมั้น และมันยิ่งทำให้เธอเป็นกังวลจนสติแทบจะ
หลุดออกจากร่างเมื่อพ่อของเธอตอกย้ำว่าปิญญ์ชานนท์ยังไม่ตาย

   เธอจะทำยังไงดีถ้าเรื่องทั้งหมดที่เธอทำมันทำให้พ่อของเธอกำลังเดือดร้อนอย่างตอนนี้ เดหลีทั้งกลัวและสับสน ถ้าหากพ่อของเธอรู้ว่าเธอทำการทั้งหมดเองโดยไม่ปรึกษาและทำทุกอย่างพลาด เธอจะทำยังไง พ่อของเธอคงเกลียดเธอและไม่เอา
เธอไว้แน่

   พอคิดได้ดังนั้นมือทั้งสองข้างก็เริ่มสั่น เธอมองตามแผ่นหลังของพ่อเดินขึ้นบันไดบ้านพลางจิกเล็บลงบนแขนจนเลือดเริ่ม
ซึมออกมา

   “จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี”

   เธอพึมพำซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ตั้งคำถามที่ตัวเองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้



   -----------------------------------------------------------------------------------------

หวานพอไหม หลายคนอยากได้หวาน หวานสุดแล้วจ้าาาา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39 ❖ 05-08❖ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-08-2016 17:46:58
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39 ❖ 05-08❖ ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 06-08-2016 13:03:32
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39 ผิวกายอันร้อนผ่าว ❖ 05-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 06-08-2016 15:50:42
ค่อยยังชั่ว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39 ผิวกายอันร้อนผ่าว ❖ 05-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-08-2016 20:16:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39 ผิวกายอันร้อนผ่าว ❖ 05-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 07-08-2016 21:50:12
เริ่มมีความหวานกะเค้าบ้างแล้ว :hao7:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39 ผิวกายอันร้อนผ่าว ❖ 05-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 08-08-2016 19:44:39
ตามมาอ่านเรื่อยๆ ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 10-08-2016 20:33:35
36 อีกด้านของตัวร้าย [ครึ่งหลัง]


ขนมผิงทานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับปิญญ์ชานนท์ได้แต่มองอีกฝ่ายสลับกับตักข้าวเข้าปากหลังจากที่ดูให้เด็กๆกินจนอิ่มไปก่อน
หน้าแล้ว พอเหลือบมองอีกฝากของโต๊ะก็เห็นอาทิตย์กำลังจ้องมองปลากริมกับสลิ่มด้วยสายตาที่เอ็นดูต่างจากที่คิดเอาไว้ลิบลับ
กับปฏิกิริยาของคนบ้านนี้

   จะว่าอึดอัดไหมก็ไม่เชิง ความรู้สึกมันผ่อนคลายกว่าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไปพอควร แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆกับสายตาของ
ปิญญ์ชานนท์กับบิดาอยู่ดี

   

   “พ่อปินฮะ อ้าปากอ้ามม”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยวัยสี่ขวบสั่งให้ชายหนุ่มอ้าปากรับช้อนพูนไปด้วยข้าวและกับข้าวเข้า
มาเต็มปาก

   “พ่อปินเอาน้ำไหมฮะ”ยังไม่ทันจะเคี้ยวข้าวดี แก้วน้ำก็ถูกส่งมาให้ได้รับก่อนจะหันไปยิ้มให้กับลูกชายคนเล็กอีกคน

   ถูกนั่งขนาบข้างด้วยลูกแฝดตัวเล็กทั้งสองใบหน้ากลมแป้นยิ้มเหมือนเป็นเรื่องสนุกที่ได้ป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับเขา พอเงย
หน้ามองไปฝั่งตรงกันข้าม ย้อนไปเมื่อไม่กีสิบนาทีก่อนอุตส่าห์วางแผนให้บางคนได้เห็นใจอยากให้ขนมผิงได้ป้อนข้าวป้อนน้ำให้
กับเขาบ้างเหมือนกับคู่รักคู่อื่นๆเขาทำกัน

   แต่นี่เปล่าเลย ผลมันกลับตรงกันข้ามเมื่อคำขอของเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แต่ผลของมันก็อย่างที่เห็น มีแต่ลูกๆเท่านั้น
ที่เห็นใจหลงกลอุบายตื้นๆของคุณพ่ออย่างเขา




   ย้อนไปหลายชั่วโมงก่อน ในห้องนั่งเล่นของบ้านอนันตไพลินชายหนุ่มร่างสูงเดินวนเวียนไปมาราวกับหนูติดจั่นหลังจากที่
พึ่งออกจากโรงพยาบาลได้เพียงสองวัน สีหน้าของเขาแสดงถึงความว้าวุ่นใจจนใครอีกคนที่นั่งอยู่ที่โซฟากลางห้องจับจ้องมอง
ตามลูกชายจนเวียนหัวอดไม่ไหวที่จะถามออกมา

   “แกเป็นอะไรของแก เดินไปมาอย่างนี้มาตั้งแต่เช้า”

   “ผมแค่สงสัยว่าทำไมขนมผิงถึงไม่มาหาผมหลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาล”ปิญญ์ชานนท์ตอบพลางขมวดคิ้ว

   หรือว่าบางทีขนมผิงอาจจะยังโกรธอยู่ ที่ไปเฝ้าที่โรงพยาบาลก็อาจจะเป็นเพราะต้องการรับผิดชอบที่เขาไปขวางลูกปืน
เอาไว้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ

   “ถ้าเขาไม่มาแกก็ไปหาเขาซะเองสิ”

   “แต่ผมเป็นคนป่วย จะให้ผมไปหาเขาแล้วผมจะเอาคะแนนความสงสารมาจากไหน”ตอบกลับไปทำให้คนเป็นพ่อแทบจะ
ยกมือขึ้นมากุมขมับกับคำตอบของลูกชาย

   “นี่น่ะเหรอคนป่วยของแก”

   อาทิตย์มองตามลูกชายที่ยังคงเดินไปมาราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น



   “แล้วเรื่องคนร้ายตอนนี้เขาจับได้รึยังครับ”

   “เมื่อวานคุณพิชัยเขาบอกฉันมาแล้วล่ะว่าได้ข้อมูลจากกล้องหน้ารถมาแล้วล่ะ กำลังติดตามคนร้ายเห็นคนร้ายกำลังหลบ
หนีไปอยู่ทางภาคเหนือ คิดว่าคงจะหนีไปกบดาล ยังไงซะตอนนี้เขาก็ประสานงานไปทางส่วนของชายแดนให้คอยจับตาเอาไว้
ให้”อาทิตย์บอกเล่าเหตุการณ์กับลูกชายที่ได้รับมาจากเพื่อนตำรวจยศใหญ่สมัยที่เรียนมาด้วยกัน

   “ถึงจะรู้ตัวคนร้ายแต่ตอนนี้ก็ยังขาดหลักฐานสินะ”ปิญญ์ชานน์พึมพำ

   เขารู้ดีว่าคนร้ายที่ต้องการจะทำร้ายเขาและขนมผิงเป็นใคร ขาดก็แต่หลักฐานที่จะเอาผิดในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นครั้ง
นี้ มีเคยคิดมาก่อนเลยว่าอดีตคู่หมั้นของตัวเองจะกล้าที่จะทำอะไรที่โหดร้ายขนาดนี้มาก่อน

   และแน่นอนว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์จะไม่ยอมให้คนที่บังอาจมาแตะต้องลูกเมียลอยนวลและอาจจะกลับมาแว้งกัดเขากับ
ครอบครัวอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าพ่อของอดีตคู่หมั้นอย่างเชตุพลจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้รึเปล่า



   “ระหว่างที่เรายังไม่แน่ใจ ฉันส่งข้อมูลเล็กๆน้อยๆไปให้คุณพิชัยแล้วล่ะ เพราะคดีใหญ่ๆพวกนี้ต้องใช้เวลานาน พอถึงเวลา
นั้นฉันกลัวว่ามันจะสายไป และอาจจะไม่โชคดีเหมือนกับวันนั้น”

   “ผมเข้าใจ”เพราะถ้าหากวันนั้นเขาไม่อยู่กับขนมผิง ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะต้องสูญเสียคนที่รักไปทั้งๆที่เรื่องทุกอย่างยัง
คงค้างคาได้อย่างไร



   ปิญญ์ชานนท์กับบิดาปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่นานเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นเรียกให้ทั้งสองคนชะงักแล้วหันมามองหน้า
กันด้วยความสงสัยว่าแขกคนแรกของวันนี้คือใคร

   ชายหนุ่มผุดยิ้มขึ้นมาเมื่อกำลังคิดว่าแขกที่ว่านั้นคือคนที่เขารอคอยมาสองวันเต็มหลังจากออกมาจากโรงพยาบาล

   “ใครมาน่ะมะลิ”อาทิตย์ถามแม่บ้าน

   “ท่านรัฐมนตรีวีระค่ะ”

   คำตอบของแม่บ้านทำให้ชายหนุ่มที่กำลังคาดหวังหุบยิ้มลงไปแทบจะทันทีก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ สุดท้ายก็ไม่มา
จริงๆสินะ ยังไงซะสิ่งที่เขาทำเอาไว้มันก็มากเกินที่จะทำใจมองข้ามมันไปง่ายๆปิญญ์ชานนท์พยายามทำความเข้าใจกับความคิด
ของอีกฝ่าย



   หลังจากส่งแขกคนแรกของวันไปแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นดังเดิม จ้องมองกระเช้ารังนก
ราคาแพงที่รัฐมนตรีที่รู้จักกันดีกับบิดาเอามาเป็นของเยี่ยม จริงๆแล้วมันก็แค่ของผูกสัมพันธไมตรีต่างหาก

   ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยใจ หากว่าวันนี้ขนมผิงกับลูกไม่มาเยี่ยมเขาเหมือนคนอื่นๆบ้างล่ะก็ มีหวังคนที่เหมือนจะป่วยแต่ไม่ได้ป่วย
อะไรมากมายอย่างเขาคงต้องแบกสังขารไปหาเองถึงที่

   พอคิดได้ดังนั้นเสียงออกประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปิญญ์ชานนท์ไม่ได้ตื่นเต้นกับมัน บิดาของเขาเองก็จับจ้อง
กับข่าวเศรษฐกิจหน้าทีวี

   “ใครมาอีกล่ะมะลิ”

   “คุณหนูแฝดกับคุณขนมผิงน่ะค่ะ”

   “จริงเหรอป้ามะลิ ไม่ได้จำผิดใช่ไหม”คนเจ็บทะลึ่งตัวลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทำเอาทั้งแม่บ้านและคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
ตกใจไปตามๆกันกับคนเจ็บคนนี้

   “จริงสิคะ”

   “แกไม่เจ็บแผลแล้วรึไง”อาทิตย์ปรามกับความเกินพอดีของลูกชาย

   “ตอนนี้มันใช่จะต้องสนเรื่องนั้นไหมล่ะ”

   แต่แทนที่จะรีบลุกไปต้อนรับชายหนุ่มกลับทิ้วตัวลงนอนเอื้อมหยิบหมอนอิงมาหนุนแสดงท่าทีสมกับเป็นคนป่วยในพริบตา

   “แกทำอะไรของแก ทำไมไม่รีบไปรับล่ะ เดี๋ยวเขาเปลี่ยนใจกลับขึ้นมาแกจะรู้สึก”

   “ผมเป็นคนป่วย กำลังหลับอยู่”กระซิบกระซาบเสียงเบาโบกมือให้แม่บ้านไปรับหน้าแทน

   “แกนี่มันจริงๆเลยสินะ”

   อาทิตย์ส่ายหน้าเล็กน้อยกับความเปลี่ยนแปลงของลูกชายที่บางทีก็ตั้งรับแทบไม่ไหว ปกติแล้วปิญญ์ชานนท์มักจะเป็นคน
เย็นชา แทบไม่เคยเห็นเลยว่าลูกชายคนนี้จะแสดงความอ่อนโยนหรือว่าอ่อนแอให้เห็นเลยสักครั้ง



   “สวัสดีครับ”เสียงนุ่มหูกล่าวทักทายก่อนคนแรก

   “สวัสดีฮะคุณปู่/สวัสดีฮะคุณปู่”สองเสียงเจื้อยแจ้วดังประสานกันมาแต่ไกลตามด้วยเสียงฝีเท้าของเด็กกระโดดไปมาอย่าง
ดีใจ

   “ว่าไงเด็กๆ ไม่ได้เจอปู่ตั้งนาน นึกว่าจะลืมปู่ไปซะแล้ว”อาทิตย์ลูกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งใช้ไม้เท้าประคองตัวเดินเข้าไปใกล้
เด็กๆก่อนจะลูบหัวเด็กๆสลับกันอย่างเอ็นดู

   “ไม่ลืมหรอกฮะ”ปลากริมยิ้มกริ่มเงยหน้ายิ้มให้กับคุณตาโชว์เหงือกสีแดงสด

   “ใช่ฮะ หลิ่มคิดถึงคุณปู่มากเท่านี้เลยยยย”ลากเสียงยาวไม่ยอมแพ้คนพี่ แถมยังทำมือทำไม้ยืนยันสิ่งที่บอกให้ขนมผิงได้
ยิ้มตามกับความร่าเริงของเด็กๆ

   “อ้อเหรอ ได้ยินอย่างนี้ปู่ก็ดีใจสิ เอาล่ะเข้ามาๆนั่งกันก่อน”



   “หลับอยู่เหรอครับ”ขนมผิงจ้องมองร่างสูงใหญ่ทอดตัวไปตามแนวโซฟาตัวยาว ดวงตาคู่คมสีดำสนิทถูกซ่อนเอาไว้ได้
เปลือกตาแน่นิ่ง

   “ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ นั่งก่อนสิ”ตอบแบบอ้อมค้อมเพราะไม่อยากโกหกคนรักของลูกชายตามเกม

   “ผมพาเด็กๆมาเยี่ยม แล้วก็เอาผลไม้มาเยี่ยมด้วยน่ะครับ”

   “งั้นเหรอ ขอบคุณเธอมากนะ ลำบากเธออีกแล้ว”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาเป็นคนช่วยผมเอาไว้ แค่นี้ยังถือว่าน้อยไปน่ะครับ”ขนมผิงตอบด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมคอยดูให้เด็กๆ
ไม่วุ่นวายกับคนที่กำลังหลับอยู่

   “อย่าคิดอย่างนั้นเลยนะ เพราะว่าลูกชายของฉันเขาเต็มใจ ฉันดีใจนะที่เธอมาหาเราในวันนี้”คิดว่าขนมผิงจะยังถือทิฐิอยู่
และไม่คิดจะเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้อีกแล้วซะอีก อาทิตย์ส่งยิ้มให้ขนมผิงด้วยความจริงใจ

   



   “อื้อ ใครมาน่ะ”

   เสียงพึมพำพร้อมกับแสดงอาการของคนงัวเงียพึ่งจะตื่นได้สมบทบาทเรียกให้ทุกคนในห้องนั่งเล่นหันไปมอง

   “เย้ พ่อปินตื่นแล้วววว”ทันทีที่เห็นปลากริมกระโดดลงจากโซหาวิ่งไปเกาะแขนของชายหนุ่ม

   “พ่อปินตื่นแล้วเย้ๆๆ”สลิ่มเองก็ไม่น้อยหน้ากระโดดตามไปเกาะแขนของปิญญ์ชานนท์เช่นกัน

   ร่างกลมจ้ำม่ำปีขึ้นโซฟาไปนั่งเบียดอยู่ข้างๆเมื่อปิญญ์ชานนท์ประคองตัวเองขึ้นนั่งอย่างช้าๆ มีเพียงบิดาของเขาเท่านั้นที่รู้
ว่าท่าทางเหมือนกับคนป่วยที่อ่อนแอนั่นมันเป็นการแสดงทั้งสิ้น

   “พ่อปินหายเจ็บรึยังฮะ”

   “พ่อปินยังเจ็บอยู่ไหมฮะ”

   “เจ็บสิ เจ็บมากเลยล่ะ”ถึงจะกำลังพูดอ้อนลูกแฝดที่น่ารักอยู่ แต่ตาคู่สีดำสนิทกำลังจับจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งที่อยู่ฝั่ง
ตรงกันข้าม ซึ่งแน่นอนว่าขนมผิงกำลังจ้องเขาอยู่ แต่ทันทีที่เขามองตอบ ขนมผิงก็กลับเบือนหน้าหนีไปซะได้

   “พ่อปินเจ็บตรงไหนฮะ”

   “ถ้าเจ็บปะป๊าบอกว่าต้องเป่า”

   “ใช่ๆ ปะป๊าบอกกว่าเป่าแล้วจะหายเจ็บ เนอะๆ”สองแฝดชะโงกหน้ามาหยักหน้าให้กันกับความเห็นพ้องต้องการอย่าง
อารมณ์ดี

   “หืม? เป่าแล้วหายเจ็บจริงๆเหรอ”แสร้งทำท่าทางสงสัยมองหน้ากลมแป้นสลับกันไปมา

   “จริงฮะ ปะป๊าเคยเป่าให้กิมกับน้องหลิ่ม ฟู่ววว ฟู้วววว อย่างนี้เลย”

   “งั้นเหรอ พ่อเองก็อยากลองให้เป่าดูบ้าง เผื่อว่าจะหายอย่างที่พูดจริงๆ”แทนตัวเองว่าพ่อได้เต็มปากเต็มคำ สายตายังจ้อง

มองอยู่ที่ขนมผิงไม่วางตา เพราะว่าขนมผิงไม่ยอมมองตอบมาบ้างเลย ส่วนพ่อของเขาก็กำลังนั่งทำหน้าแปลกๆมองมาที่เขา

   “พ่อปินให้ปะป๊าเป่าให้สิฮะ จะได้หายเจ็บ”

   “ใช่ฮะ ปะป๊าเป่าให้ พ่อปินจะได้หายเจ็บ”

   “พ่อก็อยากจะหายเจ็บนะ แต่ว่าปะป๊าคงไม่ยอมเป่าให้หรอก”ปิญญ์ชานนท์แกล้งทำเสียงออดอ้อนไม่เลิก

   และดูเหมือนคนที่กำลังจะทนไม่ไหวจะไม่ใช่ขนมผิง แต่กลับเป็นอาทิตย์เสียมากกว่า ชายสูงวันหรี่ตามองบทละครของ
ลูกชาย ทำไมยิ่งของเขาถึงได้ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าหมั่นไส้มากกว่าน่าเห็นใจกันนะ ไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายของคนจะมีด้านนี้กับคนอื่น
เขา

   

   “ถ้ายังไงวันนี้ผมรบกวนฝากดูปลากริมกับสลิ่มด้วยนะครับ เด็กๆบอกว่าอยากจะมาเยี่ยมคุณปิญญ์แล้วก็อยากจะมาหาคุณ
ด้วย ตอนบ่ายผมจะมารับเด็กๆอีกที”ขนมผิงตัดบท


   เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งตัวรับมันไม่ทันทำให้ไม่รู้ว่าต้องแสดงตัวยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า จะยิ้มให้หรือทำท่าทีนิ่ง
เฉยทำเป็นไม่สนใจดีกับคำบอกรักของอีกฝ่าย



   ซึ่งคำบอกลาแบบอ้อมๆทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชะงักหยุดเล่นกับลูกๆแล้วหันไปขมวดคิ้วใส่บิดาโดยทันที

   “ได้สิฉันเต็มใจเลยล่ะ ว่าแต่เธอจะกลับแล้วเหรอ”อดพูดขึ้นมาไม่ได้เมื่อหันไปมองลูกชายแล้วถูกถลึงตาใส่

   “ผมว่าจะเข้าตรวจงานที่บริษัท”

   “งั้นเหรอ”ตอบรับ พอเหลือบตามองมองลูกชายก็เห็นว่าอีกฝ่ายยิ่งถลึงตา สลับกับขยิบตาให้ คนเป็นพ่อจะไม่รู้ได้ยังไงว่า
ลูกชายต้องการอะไร “มีประชุมหรือว่าอะไรเร่งด่วนรึเปล่าล่ะ”


   “ไม่มีครับ แค่ตรวจเอกสารทั่วไป”ขนมผิงยิ้มตอบ แปลกใจเล็กน้อยที่อาทิตย์คุยกับเขาแต่กลับมองลูกชายไปด้วยสลับกับ
มองเขา

   “งั้นอยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันสิ วันนี้แม่บ้านทำกับข้าวหลายอย่างเลยล่ะ”สุดท้ายก็ต้องเล่นตามเกมลูกชาย

   “แต่ว่า…”

   “คงจะดีไม่น้อยถ้านานๆทีคนแก่อย่างฉันจะมีคนมากินข้าวด้วยเยอะๆแบบนี้”ไม่เว้นที่ว่างให้แขกได้ปฏิเสธคำเชิญ ชายสูง
วัยอย่างอาทิตย์ตกเป็นผู้เข้าร่วมขบวนการอย่างเต็มตัวในที่สุด

   “ก็ได้ครับ”



   แต่มันยังไม่จบแค่นั้นเมื่อปิญญ์ชานนท์ยังคงขยิบตาและชี้มือชี้ไม้ไปยังสวนหลังบ้านให้ผู้เป็นพ่อแทบกุมขมับ เพราะตัวเอง
ก็กำลังถูกขนมผิงจับจ้อง หนำซ้ำยังต้องมาเล่นละครไปกับลูกชาย เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าทำอะไรที่ไร้สาระร่วมกับลูกชายคนนี้

   “ว่าแล้วก็ได้เวลากายภาพบำบัดแล้วล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นคนหนุ่มๆก็คุยกันไปแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อน เจอกันอีกทีตอน
เที่ยงแล้วกันนะ ฝากดูแลเจ้าปิญญ์มันด้วยล่ะ ช่วงนี้ไม่สติค่อยสมประกอบเท่าไร ฉันหมายถึงยังตกใจที่ถูกยิงอยู่น่ะ”อดหันไป
แขวะลูกชายไม่ได้

   “ครับ”

   “ว่าแต่ใครจะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านกับปู่บ้าง วันนี้อากาศดี แดดไม่แรง จะมีใครไปเดินเล่นกับปู่ไหมนะ”

   มีหรือที่คำชวนที่ดูน่าสนใจแบบนี้จะถูกปล่อยผ่าน ร่างจ้ำม่ำของสองพี่น้องผละออกจากชายหนุ่มกระโดดลงมาจากโซฟา
ด้วยความตื่นเต้น วิ่งเข้าไปเกาะขาของอาทิตย์ออกปากพูดแข่งกันว่าอยากจะไปด้วยทันที

   “กิมฮะ ไปกะคุณปู่”

   “หลิ่มก็ไปฮะ ไปกะคุณปู่ด้วย”

   “แต่ปะป๊าว่าจะไปรบกวนคุณปู่มากกว่านะครับ”ขนมผิงแย้งขึ้นมาทันที อีกอย่างถ้าเด็กๆไปเขาคงจะถูกทิ้งให้อยู่กับปิญญ์ชา
นนท์ตามลำพัง

   “ไม่เป็นไรๆ ฉันมีพยาบาลคอยดูให้ตั้งสองคน ไม่ถือเป็นการรบกวนหรอก ไปกันเถอะเด็กๆ”

   ไม่ทันขาดคำร่างของชายสูงวัยก็หายไปพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ขนมผิงกลืนน้ำลายหนืดลงคอ หลุบตาจ้องมอง
ปลายเท้าตัวเองอีกร่วมสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารเที่ยง



   “ฉันรู้สึกว่าเหนียวตัวมากเลยล่ะ”จู่ๆปิญญ์ชานนท์ก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

   “คุณยังอาบน้ำไม่ได้”ตอบรับไปสั้นๆ เงยหน้ามองดวงตาคู่คมจ้องมองมาส่งผลให้หัวใจเต้นรัว

   แต่จู่ๆปิญญ์ชานนท์กูลูกขึ้นมาแล้วเดินมาทางเขา พอเห็นดังนั้นอะไรบางอย่างก็ทำให้ตกใจปลายเท้าทั้งสองข้างจิกเข้าหา
กันแน่นเมื่อชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน

   ตันขาเบียดกันจนชิด ถึงจะไม่หันไปมองขนมผิงก็รู้ดีว่าใบหน้าของอีกฝ่ายใกล้เขามากแค่ไหน ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
ของอีกฝ่าย

   “ตอนนี้ฉันอยากจะเช็ดตัว เช็ดเองมันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอีกอย่างฉันก็ยังเจ็บแผลอยู่”

   “แล้วมาบอกผมทำไมล่ะ”เสียงลมหายใจของปิญญ์ชานนท์มันใกล้เข้ามาทุกที ใกล้มากจนมันเป่ารดต้นคอ ค่อยๆไล่มาที่
ใบหู

   “นายช่วยเช็ดให้ฉันทีสิ แบบที่นายเคยทำน่ะ”พูดจบจมูกโด่งก็กดลงมาที่แก้ม

   เฉียดไปนิดเดียวหากไม่เบี่ยงหลบ ขนมผิงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อยดันอกอีกฝ่าย
เอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ อันที่จริงเขาอยากจะลุกหนี แต่ขาทั้งสองข้างมันเหมือนกับถูกตรึงเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหนได้

   “ผมไม่เอาด้วยหรอก”

   “แต่ฉันเริ่มรู้สึกคันขึ้นแล้วนะขนมผิง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจจะเป็นกลากเกลื้อน ดีไม่ดีอาจจะไปติดลูกๆของเราก็ได้”

   “ทำไมคุณถึงได้….”หมดคำพูดกับความเจ้าเล่ห์และความเอาแต่ใจของปิญญ์ชานนท์

   “ถ้าจะให้ดี นายช่วยเป่าให้ฉันด้วยนะ เผื่อฉันจะหายเจ็บขึ้นมาบ้าง”

   และก็เป็นอีกครั้งที่ขนมผิงไม่รู้จะรับมือกับอีกด้านของปิญญ์ชานนท์ยังไง ด้านที่พังทลายกำแพงของเขาลงโดยที่ไม่อาจ
ฝืนตัวเองให้ต่อต้านมันได้เลย



------------------------------------------------------------------------------------------------
บทสำออยอ้อนลูกเมียก็มา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 10-08-2016 21:10:49
เริ่มหวานๆแล้ว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-08-2016 21:16:39
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-08-2016 23:52:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 10-08-2016 23:57:09
รอคอยฉากแบบสี้มานานแสนนานแล้วค่ะ สมใจสักที  เวอร์ชั่นผิงแบบเป็นคนมีเหตุผลลดทิฐิ  ปินแบบเป็นผู้ชายรักครอบครัว
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 11-08-2016 00:05:43
ภาพลักษณ์ตรงกันข้ามกับตอนต้นเรื่องเลยยยยยยย มั่นใจนะว่าไม่ได้โดนยิงที่หัวจนเพี้ยน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-08-2016 07:38:07
หมั่นไส้ว่ะ สำออยไม่เข้าท่าระวังเหอะผิงจะตบให้หัวทิ่มเข้าซักวันข้อหาหมั่นไส้เนี่ยแหละ เมื่อไหร่ปิญญ์มันจะเชื่องเลิกเจ้าเล่ห์กับผิงซะทีว่ะ อยากเห็นตอนเชื่องๆ ผิงว่าไงก็ทำตามจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-08-2016 12:14:09
เอาใหญ่เลยนะคุณปิณณ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: chocolate_ness ที่ 11-08-2016 13:17:16
อ่านไปยิ้มไป ปิญเจ้าเล่ไปแล้ว เขินแทน 5550
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 11-08-2016 17:37:06
ตามต่อ หน้า 15
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 อีกด้านของตัวร้าย ❖ 10-08❖ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 11-08-2016 22:33:33
เอารางวัลตุ๊กตาทองไปเลยไหมคุณปิณ  :m19:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 13-08-2016 20:16:29
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-08-2016 22:55:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-08-2016 23:00:37
อยากได้ลูกสาวก็จะทำจนกว่าจะได้ ไม่ค่อยเลยนะคุณปินนนนน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 13-08-2016 23:16:36
ชอบนะตอนเหมือนจะคืนดีกันแล้ว แฝดชายหญิงไปเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-08-2016 01:41:14
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-08-2016 13:42:15
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 14-08-2016 18:52:06
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 39.5 ❖ No.1 คือการได้ลูกสาว ❖ 13-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 14-08-2016 18:55:27
หน้า 18
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-08-2016 19:36:28
5555555555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 14-08-2016 20:31:45
อะไรกัน ปล่อยเดี้ยนฟิน ที่แท้ฝันเปียก :z1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-08-2016 20:39:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: wiwari ที่ 15-08-2016 00:27:43
 :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 15-08-2016 11:30:20
ดีนะที่แค่ฝัน ถ้าฉวยโอกาสจริง ขนมผิงโกรธแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-08-2016 12:16:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 15-08-2016 20:17:04
55555. น่าสงสาร ฝันเปียกซะได้ :hao7:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 15-08-2016 22:43:10
 :m20:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่39 ❖No.2 แสดงความแข็งแกร่ง 18+❖ 14-08❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 17-08-2016 19:46:48
ตามต่อหน้า 19
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 21-08-2016 15:54:18
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 21-08-2016 16:45:12
มีหวานนิด ๆ ก่อนจะดราม่าสินะครับ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 21-08-2016 17:16:06
ความจริง ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-08-2016 19:33:46
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 21-08-2016 19:46:08
ทำไมเราอ่านแล้วรู้สึกเครียด



 :ruready :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-08-2016 21:28:54
อ่านตอนนี้แล้วชื่นใจมาก :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-08-2016 22:59:48
 :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 40 ความสุขของครอบครัว❖ 21-08❖ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 21-08-2016 23:50:54
หวังว่าจะไม่มีเรื่องเครียดๆตามมา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 04-09-2016 16:03:56
37ความสุขของครอบครัว

   “ถอดเสื้อออกสิ”น้ำเสียงอันเรียบนิ่งสั่งก่อนที่จะวางกะละมังน้ำอุ่นลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ร่างสูงโปร่งของขนมผิงนั่งลงที่ริม
ขอบเตียงเช่นเดียวกับปิญญ์ชานนท์ มือขาวพลางบิดผ้าขนหนูชุ่มน้ำอุ่นให้แห้งหมาด

   “ถอดให้ฉันหน่อยสิ”

   ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายก่นจะถอนหายใจ เขาคงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้มากหากปิญญ์ชานนท์ยังคงรับบทบาทของ
คนเจ็บและสาเหตุก็คือตัวเขาเองที่ทำให้เป็นแบบนี้ กระดุมเม็ดเล็กๆค่อยๆถูกปลดทีละเม็ดเผยให้เห็นแผงอกแน่นไปด้วยกล้าม
เนื้อแน่นขนัด ไล่ลงมาก็เป็นหน้าท้องที่พอกระดุมถูกปลดออกปิญญ์ชานนท์ก็สูดสายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนที่หน้าท้องที่ขนม
ผิงเห็นแวบๆว่ามันนูนออกมาจะหายไป

   “หึหึ”อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเล็กๆ ปรายตามองหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายก่อนจะจัดการถอดเสื้อของปิญญ์ชานนท์
ออก

   “นายหัวเราะอะไร”

   “ผมเปล่าหัวเราะ คุณคงจะคิดไปเอง”ขนมผิงปฏิเสธเสียงเบาหันไปหยิบผ้าผืนเล็กที่เตรียมเอาไว้เช็ดลงบนแผงอก

   “ก็เห็นๆกันอยู่”

   “ก็แล้วแต่คุณจะคิดครับ”

   “ช่วงนี้งานฉันยุ่ง อีกอย่างก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาล ฉันเลยไม่มีเวลาไปเข้าฟิตเนสน่ะ”

   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณ”

   “ก็นายหัวเราะเยาะฉันนี่”

   “ผมเปล่า”

   “ช่างเถอะ พอฉันหายดีแล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม คอยดูนายจะต้องอึ้งถ้าได้เห็นมัน”

   “ครับ ขอให้มันเป็นอย่างนั้น”ขนมผิงตอบรับ ริมฝีปากบางอมยิ้มเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าความอึดอัดที่
มีมันเริ่มค่อยๆจางหายไปทีละน้อยทำให้เขานั่งต่อปากต่อคำกับปิญญ์ชานนท์ได้โดยที่ไม่โดยที่ไม่ลุกหนีเสียก่อน

   “ว่าแต่นายได้คิดเอาไว้รึยัง”

   “มีอะไรที่ผมจะต้องคิด?”

   “ชื่อลูกสาวคนนี้ของเราไง นายได้คิดเอาไว้รึยัง”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงเบา ดวงตาคู่คมกริบทอดมองมายังเสี้ยวหน้านิ่งๆ
ของอีกฝ่าย มือใหญ่เอื้อมเข้ามาหาก่อนจะวางลงบนแผ่นท้องของขนมผิงอย่างเบามือและลูบไปมาอย่างทะนุถนอม น่าแปลกที่
ขนมผิงกลับยอมให้เขาสัมผัสโดยที่ไม่ปัดมือของเขาออกเสียก่อน

   “เรื่องนั้นผมยังไม่ได้คิด แล้วคุณรู้ได้ไงว่าเด็กที่อยู่ในท้องของผมเป็นผู้หญิง”ทั้งที่เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเด็กในท้องเป็น
เด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย

   “ก็ฉันอยากได้ลูกสาวนี่ เด็กผู้หญิงน่ารักๆ ฉันคิดเอาไว้แล้วนะว่าจะให้ลูกชื่ออาลัว มันเป็นชื่อของขนมที่ฉันกินบ่อยๆก่อน
หน้านี้”

   “แล้วถ้าเกิดว่าไม่ใช่ผู้หญิงล่ะ”ขนมผิงถามออก จริงๆแล้วเขาจะต้องห้ามไม่ให้ปิญญ์ชานนท์ก้าวล้ำเส้นที่ขีดเอาไว้มากเกิน
ไป แต่ทำไมเขาถึงยังรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมาเกี่ยวกับลูกในท้องและหนำซ้ำยังตอบกลับราวกับเป็นบทสนทนาที่ไม่มีอะไร
เคลือบแคลง

   “ต้องเป็นผู้หญิงสิ เพราะว่าฉันอยากได้ลูกสาว”

   “มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้ทุกอย่างที่ต้องการหรอกนะ”

   “ทำไมล่ะ นายไม่คิดเหมือนกันเหรอ”

   “แล้วทำไมคุณถึงอยากให้ใช้ชื่อนั้นล่ะ”

   “อาจเป็นเพราะว่าชื่อนี้มันหวานเหมือนกับชื่อของนายก็เป็นได้ ถึงฉันจะยังไม่เคยกินขนมผิงก็เถอะแต่ฉันก็คิดว่ามันต้องทั้ง
หอมแล้วก็หวานมากแน่นอน”คำพูดของปิญญ์ชานนท์ทำให้ใบหน้าของขนมผิงร้อนวูบ ดวงตาคู่สีโศกวูบไหวเมื่อใบหน้าหล่อ
เหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ฝ่ามือร้อนประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ให้หยุดนิ่งไม่สามารถเบือนหนีไปทางไหนได้

   จมูกโด่งแตะลงบนแก้มของเขาเบาๆ ดวงตาคมกริบนั้นจ้องมองเข้ามาในตาของเขาราวกับกำลังสะกดให้มันยินยอมและ
หลับตาลงตอบรับริมฝีปากได้รูปที่บดเบียดลงมาอย่างบางเบา ลิ้นร้อนชื้นแตะลงมาบนกลีบปากสอดแทรกเข้ามาภายในตักตวง
และป้อนความหวานเจือความขมให้กับเขา หัวใจของขนมผิงสั่นรัวเมื่อมือใหญ่ของปิญญ์ชานนท์นั้นแตะเข้ามาที่บั้นเอวสอดเข้า
มาใต้เสื้อเชิ๊ตก่อนจะสัมผัสกับผิวหนังของเขา มือนั้นมันช่างร้อนผ่าวราวกับเปลวไฟทำให้ต้องสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะผลักร่างของ
ปิญญ์ชานนท์ออก

   “ผมคิดว่าผมเช็ดเสร็จแล้ว ผม…จะเอาของไปเก็บที่เดิม”พูดจบขนมผิงก็เดินถือกะละมังน้ำอุ่นหนีเข้ามาในห้องน้ำ

   ขนมผิงจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ใบหน้าที่ช่างน่าอายเมื่อสีของมันแดงเรื่อไปจนถึงใบหูหัวใจเจ้า
กรรมที่มันอยู่ในอกก็ยังคงเต้นรัวจนต้องยกมือขึ้นมาทาบไว้บนอก



   ทางด้านปิญญ์ชานนท์เขายังรู้ดีว่าขนมผิงนั้นเช็ดตัวให้เขายังไม่เสร็จแต่เนื่องด้วยอะไรบางอย่ามันทำให้เขาไม่สามารถรั้ง
ขนมผิงเอาไว้ได้ กายที่ผงาดอยู่ภายใต้ร่มผ้านั่นทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาก่อนจะใช้มือขยี้ไปที่ผมของตัวเองแรงๆเมื่อมัน
ไม่เป็นดั่งใจ ความจริงแล้วเขาเองก็เป็นผู้ชาย ยิ่งอยู่ใกล้ชิดกับคนรักแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะระงับอารมณ์ของตัวเอง
เอาไว้ได้เมื่อเทียบกับการที่เขาไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากขนมผิงในสี่ปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีก
ครั้งและอีกครั้งพยายามสะกดจิตให้สิ่งที่มันกำลังคำรามอยู่ภายใต้ร่มผ้าอย่างบ้าคลั่งให้มันสงบลง

   เขาเอนกายลงนอนก่อนจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ถ้าหากว่าขนมผิงเข้ามาใกล้เขาอีกแบบเมื่อครู่อีก ครั้งหน้าเขาจะสงบใจ
ตัวเองไม่ให้ดึงเอาร่างนั้นมากดลงบนเตียงได้ไหวไหม จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พยายามกดร่างนั้นลงบนเตียง ลูกที่อยู่ในท้องก็
ทำพิษส่งสัญญาณห้ามออกมาให้เขารู้ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องคนเป็นแม่ไปมากกว่านี้พอคิดไปคิดมาความง่วงก็ค่อยๆคืบ
คลานเข้ามา



   กว่าขนมผิงจะออกมาจากห้องน้ำปิญญ์ชานนท์ก็หลับไปแล้ว ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปใกล้เตียงจ้องมองร่างสูงใหญ่นอนทอด
ลำไปกับความยามของเตียงทั้งที่ท่อนบนยังเปลือยเปล่า มือผอมเอื้อมไปหยิบรีโมทแอร์มาปรับระดับความเย็นให้อุ่นขึ้นก่อนจะ
ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายให้กับอีกฝ่าย พอหลับแล้วปิญญ์ชานนท์ก็ดูเหมือนเด็กเล็กๆคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีพิษภัยอะไรสักเท่าไร ภาย
ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทนั้นกำลังซ่อนดวงตาคู่คมกริบเอาไว้ ตาที่ใช้จ้องมองเขาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายทั้งโกรธเกลียด ตัดพ้อ
และอ่อนโยน เขาควรจะเชื่ออย่างไหนดีที่จะรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของปิญญ์ชานนท์ จะทำอย่างไรกับคำว่ารักที่ได้รับมา

   -----------------------------------------------------------------------

   “เฮือกกก!!”ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกดวงตาคู่คมเบิกตาโพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ ทั้งที่อากาศภายในห้องนั้นเย็นกำลังดีแต่
ทว่าร่างกายกลับโทรมไปด้วยเหงื่อ

   ปิญญ์ชานนท์ได้แต่นกมือขึ้นมาปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาจ้องมองไปรอบๆก็พบเพียงแต่คามว่างเปล่า ไร้ร่างของขนมผิง
อยู่ในห้องนี้ทิ้งเพียงแต่เขาที่เผลอหลับเอาไว้อยู่คนเดียวชายหนุ่มก้มมองท่อนกายที่ถูกผ้าห่มคลุมกาย อะไรบางอย่างที่มันมีผล
มาจากความฝันที่ทำให้เขาแทบบ้านั่นค่อยๆปรากฏออกมาทีละเล็กทีละน้อย

   ให้ตายสิ!!ปิญญ์ชานนท์อยากสบถออกมาดังๆเมื่อเขาเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดที่ต้องมาเก็บกดกับเรื่องอย่างว่า
แล้วเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ เขาดันฝันว่ามีอะไรกับขนมผิงโดยที่อีกฝ่ายยินยอมแต่โดยดี มันช่างเป็นอะไรที่ทั้งน่าเจ็บใจและ
น่าเสียดาย ชายหนุ่มสะบัดหัวไปมาพยายามไล่ความคิด

   รีบแต่งตัวแล้วเดินลงมายังชั้นล่าง ทอดมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นห้องรับแขกแต่ก็ไม่พบวี่แววของแขกกิตติมาศักดิ์ของเขา
เลย หรือว่าขนมผิงจะกลับไปแล้วชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงเขาคงจะต้องบุกไปถึงบ้านของอีกฝ่ายให้มันรู้ๆ
กันไปเลย

   คิดได้ดังนั้นก็เดินหลบเข้ามาในครัวเพื่อที่จะถามความเอากับแม่บ้านทว่ายังไม่ทันก้าวเข้าไปในห้องครัว แผ่นหลังของคนที่
หันหน้าเข้าหาเตาก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์ลอบยิ้มออกมาก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับแม่บ้านเป็นเชิงรู้กัน

   ร่างสูงใหญ่ย่างก้าวเข้าไปหาใครบางคนที่ถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพังในห้องครัวโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัว ปิญญ์ชานนท์ฉวย
โอกาสที่ขนมผิงเผลอเอาแต่จ้องหม้อแกงจืดที่กำลังเดือดใช้อ้อมแขนแข็งแรงกอดเข้าที่เอวสอบก่อนจะรวบเข้ามาหาตัวเอง

   “คุณ!! ทำอะไรของคุณ”ขนมผิงส่งเสียงออกมาอย่างตกใจก่อนจะรีบกดปิดเตาที่กำลังทำงาน

   “ฉันแค่อยากกอดลูก”อ้างได้อย่างหน้าตาเฉยทั้งที่สีหน้าของอีกฝ่ายนั้นดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

   “ถ้าหากหม้อต้มมันหกลงมามันจะเป็นยังไง ทำไมคุณถึงไม่คิดซะบ้าง”

   “ฉัน…”

   “คุณมันก็ยังคงทำตามใจของตัวเองโดยไม่คิด”ขนมผิงผละตัวออกจากอ้อมกอดทิ้งให้ชายหนุ่มเริ่มหน้าเจื่อนกับคำบ่น

   “ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

   “ช่างเถอะยังไงซะบ่นไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร”ขนมผิงหันไปหยิบถ้วยที่แม่บ้านเตรียมเอาไว้ให้มาตักแกงจืดร้อนๆจนควัน
กรุ่นใส่ลงไป

   “ฉันช่วย”

   “ไม่ต้อง คุณไปนั่งรอเถอะ”ขนมผิงออกปากไล่

   “เถอะน่าฉันช่วยเอง”พูดจบก็แย่งเอาถ้วยต้มร้อนๆไปถือแล้วเอามันออกไปวางลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะเดินกลับเข้ามาอีก
ครั้ง

   คราวนี้ดูให้แน่ใจว่าจะไม่โดนต่อว่าอะไรอีก ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้แล้วคว้าร่างที่กำลังจะเดินออกไปจากครัวเข้ามากอด
อีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่รอให้เจ้าของริมฝีปากได้รูปนั้นต่อว่า ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มออกมาก่อนจะดันร่างสูงโปร่งถอยหลังชิด
กำแพง ไร้ซึ่งทางหนีเมื่อทั้งถูกกอดแล้วแผ่นหลังก็ชิดติดกำแพงอยู่ ริมฝีปากร้อนผ่าวของคนป่วยฉกจูบลงไปอย่างจาบจ้วงไม่
รีรอให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอีกครั้ง ภาพในความฝันยังคงเด่นชัด ส่งให้ลิ้นร้อนสอดเข้าไปกวาดต้อนในโพลงปากนุ่ม ความ
ต้องการในตัวของอีกฝ่ายเริ่มคุกกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ

   มือร้อนผ่าวของปิญญ์ชานนท์สอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของขนมผิงอีกครั้ง และครั้งนี้อารมณ์ที่ค้างคามันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่า
ตัวเองไม่อยากหยุดและจบอยู่แค่ตรงนี้ และต่อให้ต้องการหยุดเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหยุดความต้องการที่ร้อนรุ่มของตัวเองได้
คิดได้ดังนั้นมือก็เลื่อนสูงขึ้นไป ลากผ่านหน้าท้องนูนก่อนจะกอบกุมแผ่นอกแบนราบ

   “อะ โอ้ยยยย ขนมผิง!!”

   ไม่ทันไรปิญญ์ชานนท์ก็ร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด กายสูงใหญ่งอตัวเข้าหากันก่อนจะกอบกุมโรงงานผลิต
ทายาทของตัวเองเอาไว้ทั้งที่สีหน้านั้นแดงก่ำ

   “คุณมันจิตไม่หายจริงๆ”

   ขนมผิงสบถทิ้งท้ายก่อนจะเดินหนีออกไป ทิ้งให้ปิญญ์ชานนท์ได้แต่แบกรับกับความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว ใครจะรู้ว่า
ขนมผิงจะยังมีไม้ตายซ่อนเอาไว้ ดันใช้เข่ากระทุ้งเข้ามากลางเป้าเขาซะได้ ถึงแม้มันจะไม่แรงมากก็เถอะแต่มันก็จุกจนตัวงอเลย
ทีเดียว สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความงี่เง่าของตัวเองอีกครั้ง เขาจะต้องรออีกเมื่อไรกันถึงจะได้แตะต้องร่างกายนั้น
โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรมาขัดอยู่ตลอด



   “เป็นอะไรไปซะล่ะ ทำไมแกถึงหน้าเขียวหน้าแดงเดินตัวงอออกมาจากครัวแบบนั้น”อาทิตย์ทักลูกชายเมื่อเห็นถึงความผิด
ปรกติ

   “ปะ เปล่าครับ”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้ารัวพยายามยืดตัวตรง จ้องมองใครบางคนที่นั่งตรงกันข้าม

   “พ่อปินเจ็บแผลเหรอฮะ”ปลากริมเงยหน้าขึ้นมาถาม

   “เจ็บสิ เจ็บมากเลย”ปิญญ์ชานนท์ยังเล่นบทเดิมต่อ

   “เจ็บมากไหมฮะ หลิ่มอยากให้พ่อปินหายไวไว”ตากลมโตจ้องมองมาที่ชายหนุ่มตาแป๋ว แยกไม่ออกระหว่างการแสดงกับ
เรื่องจริง

   “ไม่ต้องห่วงอีกเดี๋ยวก็หาย แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าแขนไม่มีแรงเลย คงจะตักข้าวกินไม่ไหว นายช่วยป้อนฉันหน่อยสิ”

   เพราะคำอ้อนทำให้ผู้เป็นพ่ออย่างอาทิตย์เกือบจะทำช้อนหลุดมือ เงยหน้ามองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะหันไป
มองอีกฟากที่ยังคงมีใบหน้าที่เฉยชาไม่ทุกข์ร้อนกับคำขอของลูกชาย สมกับที่เป็นขนมผิงจริงๆ ไม่หลงเล่ห์กลของลูกชายเขา
คนนี้

   “ไม่ครับ”

   “แต่ว่า…”

   “ไม่ก็คือไม่ครับ”ขนมผิงตัดบทหันไปป้อนข้าวให้ลูกชายไม่สนใจคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะ ได้ยินเสียงหัวเราะเหมือน
จะสมน้ำหน้าดังแว่วมาจากหัวโต๊ะอยู่ไกลๆ

   “งั้นเดี๋ยวกิมป้อนพ่อปินเองฮะ พ่อปินไม่สบาย”กลับกลายเป็นเด็กๆที่พากันใสซื่อพากันสงสารคนชายหนุ่มทั้งที่ไม่รู้ความ
จริงเบื้องหลัง

   “เดี๋ยวหลิ่มป้อนพ่อปินด้วยฮะ”สองแฝดแสดงท่าทีแข็งขันอาสาช่วยพ่อเต็มที่ สุดท้ายปิญญ์ชานนท์ก็ไม่ได้ดั่งที่ตัวเองหวัง
แต่อย่างน้อยขนมผิงกับลูกๆก็ยังมาหาเขาในเวลาที่เขาต้องการมากที่สุด



หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 04-09-2016 16:05:54
38 ความช่วยเหลือ

   “มันเกิดอะไรขึ้นคุณแทนทัพ ทำไมจู่โกดังเก็บสินค้าของเราถึงได้เกิดไฟไหม้ได้”ขนมผิงถามด้วยความร้อนรนทันทีที่ขับรถ
บึ่งมาจากใจกลางตัวเมืองเพื่อมายังโกดังเก็บสินค้าที่พื้นที่เขตปริมณฑลเมื่อได้รับแจ้งว่าโกดังเก็บสินค้าถูกไฟไหม้เวลากลางดึก

   “ตอนนี้กำลังเร่งหาสาเหตุ คุณผิงใจเย็นๆก่อนนะครับ”แทนทัพแตะไหล่ขนมผิงเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายเย็นลง

   “มันเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง แล้วรปภ.ล่ะ”ในเมื่อสินค้าล็อตนี้เป็นสินค้าล็อตใหญ่ที่สุดของปีนี้ อีกทั้งใกล้ถึงกำหนดที่จะส่ง
งาน ขนมผิงได้แต่จ้องมองไปยังกองที่กำลังโหมลุกไหม้ในขณะที่รถดับเพลิงเร่งพากันฉีดน้ำสกัดเพลิงเอาไว้ไม่ให้ลุกลาม

   “รปภ.สองคนถูกวางยานอนหลับ ส่วนอีกคนถูกลอบทำร้ายไม่ได้สติ ตอนนี้นำตัวไปส่งโรงพยาบาล”เลขาหนุ่มตอบ

   “นี่มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ผมอยากรู้ว่าคนร้ายเป็นใครและต้องการอะไรจากเรากันแน่ แล้วตำรวจล่ะได้เรื่ออะไรบ้างไหม”ในเวลา
นี้เขาไม่รู้เลยว่าจะโฟกัสไปที่จุดไหนของเรื่องดีระหว่างคนร้ายหรือว่าสินค้าที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถผลิตทันออเดอร์ลูกค้าได้และ
ถ้าหากผลิตสินค้าส่งให้ไม่ทันออร์เดอร์ทางมณีรัตน์ก็จะต้องเสียค่าปรับให้กับลูกค้าที่นำส่งสินค้าให้ไม่ทัน

   “ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววของคนร้าย ทางตำรวจสืบสวนกำลังรวบรวมหลักฐานและพยานอยู่ครับ”

   “ผมอยากรู้ว่าทั้งหมดนี่เป็นฝีมือใคร”ขนมผิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เขาไม่รู้ว่าทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของใคร แต่ที่
มั่นใจคือเจตนาของอีกฝ่ายที่ต้องการทำให้เขาและมณีรัตน์ล้มไม่เป็นท่า

   พอนึกถึงศัตรูที่เคยมีมา คนเดียวที่เขานึกได้ก็คือปิญญ์ชานนท์ ผู้ชายคนเดียวที่เคยเกลียดชัง แล้วในเวลานี้ล่ะเรื่อง
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือใคร ยิ่งมองไปรอบๆตัวราวกับว่ามืดแปดด้านมองไปทางไหนก็ไม่เป็นทาง

   “ผมคิดว่าอาจจะเกี่ยวกับที่คุณปิญญ์ชานนท์ถูกยิงในวันนั้น บางทีอาจจะเป็นคนเดียวกันนั้น”

   “แล้วคนคนนั้นคือใครกันล่ะ?”

   ----------------------------------------------------------------------------------

   “กลับมาแล้วเหรอตาผิง เป็นยังไงบ้าง พ่อกำลังจะออกไปดูอยู่พอดี”พิศณุถามลูกชายทันทีที่เดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทาง
อิดโรย ใบหน้าบ่งบอกถึงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

   “สินค้าครึ่งหนึ่งถูกไฟไหม้เสียหาย อีกครึ่งหนึ่งก็เปียกน้ำอีกไม่นานก็คงเป็นเชื้อราน่ะครับ พ่อไม่ต้องไปดูหรอกตอนนี้เจ้า
หน้าที่เขาดับไฟหมดแล้ว เหลือก็แค่พรุ่งนี้เช้าให้เกณฑ์คนไปคัดแยกสินค้าที่เสียหายอีกที”

   “โกดังเก็บสินค้าของเราไฟไหม้ได้ยังไงในเมื่อระบบป้องกันก็ดีพร้อมทุกอย่าง”


   “มันไม่ได้เกี่ยวกับระบบหรอกพ่อ มันเกี่ยวเจตนาของคนมากกว่า”

   “ผิงกำลังจะบอกพ่อว่ามีคนลอบวางเพลิงโกดังของเรางั้นเหรอ”พิศณุมีท่าทีแปลกใจกับคำบอกเล่าของลูกชย ตั้งแต่ทำ
ธุรกิจมาไม่เคยมีสักครั้งที่จะเกิดการขัดแย้งทางธุรกิจหรือว่าอะไรร้ายแรงแบบนี้ขึ้นเลย

   “ครับ รปภ.สองคนถูกวางยานอนหลับ ส่วนอีกคนถูกทำร้ายร่างกายจนไม่ได้สติตอนนี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไปแล้วครับ”

   “ให้ตายสิ เป็นฝีมือใครกันนะคิดไม่ออกเลยจริงๆ”ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นบีบนวดขมับตัวเองด้วยความกลุ้มใจ

   “ใจเย็นๆค่ะคุณพิศ”ลำดวนแตะแขนสามีด้วยความเป็นห่วง

   “แล้วกำหนดส่งสินค้าล่ะ”

   “ภายในสิ้นเดือนนี้ครับ ยังไงก็ทำไม่ทันอยู่ดี มีทางเดียวก็คือจ่ายค่าปรับความเสียหายตามระยะเวลาที่ล่าช้าให้กับลูกค้า”

   “แต่นั่นมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะลูกก็รู้ มันถึงขั้นทำให้เราขาดทุนในสินค้าล็อตนั้นเลยก็ว่าได้”

   “ผิงรู้ครับพ่อ แต่จะให้ทำยังไงได้ใน ต่อให้ทั้งคนทั้งเครื่องจักรทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเราก็ผลิตสินค้าทันได้แค่ครึ่ง
เดียว”ขนมผิงถอนหายใจออกมาด้วยความกลุ้มใจกับทางออกที่ไม่มี

   “พ่อจะลองคุยกับทางลูกค้าเพื่อขอยืดเวลาให้ก็แล้วกัน”

   “ผิงไม่อยากให้ทางเรามีปัญหากับคุณเฉียนทั้งที่เราเพิ่งจะทำธุรกิจกับเขาไม่ได้นาน”มันอาจจะหมายความว่าลูกค้าที่เขา
แย่งมาจากอนันตไพลินนั้นจะถูกแย่งคืนไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ลงแรงอะไรเลย มันแสดงถึงศักยภาพของมณีรัตน์ที่มีเพียงพอต่อ
การทำธุรกิจในอนาคตข้างหน้า

   “งั้นเราคงต้องส่งงานให้กับที่อื่นช่วยผลิตให้เราอีกแรง”

   “ผิงไม่มั่นใจในคุณภาพของสินค้าที่ออกมา เราไม่มีเวลาพอที่จะตรวจเช็คและแก้ไขสินค้าที่มาจากที่อื่นได้ทัน”

   “พ่อรู้ว่าสำหรับเราแล้วคุณเฉียนเป็นลูกค้ารายสำคัญที่ทำให้บริษัทของเราเติบโตมาได้ไกลขนาดนี้ แต่ว่าพ่อไม่อยากให้
ลูกเหนื่อย บางทีถ้ามันถึงเวลาของมันจริงๆเราก็ต้องปล่อยมันไป”

   “ผิงรู้ แต่ผิงไม่อยากให้สิ่งที่พยายามทำมันจบแค่นี้ ยังไงผิงก็ต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่ทำให้เรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้”เพราะสิ่งที่พยายามเหล่านั้นมันแลกมาด้วยความเจ็บปวดของคนรอบตัว แลกมาด้วยความเกลียดชังและความแค้น เขาจะยอม
ให้มันจบทั้งที่ทุกอย่างยังไม่ถูกต้องไม่ได้

   “พ่อเข้าใจที่ลูกคิด แต่มันอาจจะหมายถึงอันตรายที่พวกเรามองไม่เห็น อย่างครั้งที่แล้วถ้าหากว่าคุณปิญญ์ไม่มาช่วยลูก
เอาไว้พ่อกับแม่คงจะเสียใจไปตลอดชีวิต”

   “ผิงอยากให้ทุกเรื่องจบ ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนในสิ่งที่ผิงทำ”

   “พ่อเชื่อว่าอีกไม่นานเรื่องทั้งหมดนี่จะจบ พ่อสัญญา”พิศณุแตะไหล่ลูกชายเบาๆเพื่อปลอบใจก่อนจะหันไปสั่งภรรยา “คุณ
พาลูกไปนอนเถอะ อีกเดี๋ยวก็คงเช้า”

   “แล้วคุณล่ะคะ”

   “ผมมีอะไรบางอย่างต้องไปทำ”

   ----------------------------------------------------------------------------

   “คุณมาที่นี่ทำไม!!”ขนมผิงออกปากถามด้วยความไม่พอใจ ทั้งไม่พอใจและประหลาดใจที่ปิญญ์ชานนท์โพล่มาที่โกดังเก็บของของมณีรัตน์ในเวลาสายของวันแบบนี้

   “ฉันเป็นห่วงนาย”

   “ไม่มีอะไรที่คุณต้องห่วง”ขนมผิงตอบกลับ

   “ฉันรู้ดี”ปิญญ์ชานนท์กลับส่ายหน้าเบาๆจ้องมองใบหน้าของคนรักด้วยความเป็นห่วงกับใบหน้าที่ดูอิดโรย รู้ดีว่าขนมผิงจะ
ไม่ยอมหยุดแก้ปัญหาง่ายๆหากว่าปัญหานั้นยังขวางทางอยู่

   “งั้นคุณก็กลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนป่วยอย่างคุณควรจะอยู่”และเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีอันตรายอะไรโผล่มาอีก
ไหม อีกทั้งแผลของอีกฝ่ายก็ยังไม่หายดี

   “นายเองก็ควรจะกลับไปพร้อมกับฉัน นายกับลูกของเรา”

   “คุณอย่ามาพูดเรื่องนี้ในที่แบบนี้”ขนมผิงมองไปรอบๆด้วยความระแวงกลัวว่าใครจะได้ยิน “กลับไปได้แล้ว”

   “ฉันไม่ยอมกลับหรอกนะถ้านายไม่ไปกับฉันด้วย”


   “มันไม่ใช่เวลานี้ที่คุณจะมากวนผม”

   “ฉันรู้ แต่ฉันอยากจะช่วยนายจริงๆ มานี่สินายยืนตากแดดแบบนั้นมันไม่ดีกับตัวนายเองนะรู้ไหม”ปิญญ์ชานนท์ดึงขนมผิง
ให้เดินตามเข้ามาในเต้นท์ที่กางเอาไว้ชั่วคราว

   “จะช่วยได้มากกว่านี้ถ้าหากคุณไม่มารบกวน”

   “แต่ฉันคิดว่าฉันช่วยนายได้มากกว่านั้นนะ”ปิญญ์ชานนท์ยกยิ้ม เอื้อมหยิบผ้าเย็นที่เตรียมเอาไว้ให้พนักงานมาซับลงบน
หน้าผากชื้นเหงื่อ

   “อยากจะพูดอะไรก็พูดมา แล้วก็ผมทำเองได้”ขนมผิงเบือนหน้าหนี แย่งเอาผ้าเย็นในมือของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เอง

   “ให้ฉันช่วยนายเถอะนะ”

   “ช่วย?...คุณหมายถึงอะไร”

   “เรื่องสินค้าที่ต้องส่งให้ทันกำหนด ฉันช่วยนายได้นะ”ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ

   “ไม่มีทาง คุณก็รู้ว่าอนันตไพลินกับมณีรัตน์เป็นคู่แข่งกัน อีกอย่างไม่ไม่เหตุผลที่คุณจะต้องมาช่วยผม”

   “ทำไมจะไม่มีล่ะ ในเมื่อเมียฉันกำลังเดือดร้อน”

   “พูดอะไรระวังด้วย”ขนมผิงตวัดตามองเป็นการปราม จู่ๆปิญญ์ชานนท์ก็เดินเข้ามายื่นข้อเสนอให้ มันทำให้ขนมผิงยิ่งรู้สึก

แปลกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก

   “นายก็รู้ว่าอนันตไพลินเคยทำธุรกิจกับคุณเฉียน ทางเรารู้เสปกของสินค้าดีว่าควรจะเป็นยังไง ให้ฉันได้ช่วยนายเวลาที่นาย
เดือดร้อนเถอะนะ ฉันทนเห็นแม่ของลูกตัวเองเดือดร้อนแบบนี้ไม่ได้หรอก”ชายหนุ่มยื่นมือไปแตะไหล่ของขนมผิงเบาๆใช้โอกาส
ที่อีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดกับข้อเสนอเลื่อนมือขึ้นไปโอบไหล่แทนอย่างง่ายดาย

   “คุณต้องการอะไรเป็นการตอบแทน”

   “ก็ไม่มีนี่ ฉันไม่ได้ต้องการอะไร”

   “จู่ๆทำไมคุณถึงเสนอตัวมาช่วยเรา”

   “เอาเถอะน่า นายจะระแวงสามีตัวเองไปถึงไหน”ปิญญ์ชานนท์ก้มลงกระซิบข้างหู ซึ่งนั่นก็ทำให้ขนมผิงผละตัวออกแล้วหัน
ไปมองโดยรอบด้วยความตกใจ และแน่นอนว่าทายาทของบริษัทสิ่งทออันดับต้นๆที่เป็นคู่แข่งมาอยู่ด้วยกันปละแสดงท่าทีสนิท
สนมกันย่อมเป็นที่จับตามองของคนที่อยู่รอบตัว ไม่เว้นแม้แต่นักข่าวที่มาทำข่าวเช่นกัน

   “ถึงคุณจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่คุณคงจะลืมไปว่าผมรู้จักอนันตไพลินดีแค่ไหน ไม่มีทางที่คุณจะช่วยทำงานให้เราเสร็จ
ทันเวลา”เพราะเขาได้ใช้เวลาสืบค้นรู้ข้อมูลของอนันตไพลินจนหมดเปลือกในตอนที่ขึ้นเป็นผู้บริหารของฝ่ายนั้น

   “และนายก็คงจะยังไม่รู้ว่าหลังจากที่ฉันได้มันคืนมาฉันขยับขยายและปรับเปลี่ยนมันไปมากแค่ไหน”

   “คุณหมายความว่าไง”

   “ฉันปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรใหม่ทั้งหมดและสั่งซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มหนึ่งเท่าตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ให้
ตัวเองตกที่นั่งลำบาก”

   “ถ้าอย่างนั้น…”ขนมผิงพึมพำ

   “แน่นอนฉันมั่นใจว่ามันต้องเสร็จทันเวลานายไม่ต้องกังวล ส่วนเรื่องนี้”ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทางโกดังเก็บสินค้าที่เสียหาย
จากไฟไหม้ “ฉันจะเป็นคนจัดการเอง นายสนใจแค่เรื่องสินค้าก็พอ”

   “คุณรู้งั้นเหรอว่าเป็นฝีมือใคร”

   “เอาเป็นว่านายไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ก็พอ ฉันไม่อยากให้นายกับลูกมาเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว ถ้าเรื่องจบเมื่อไรฉันขอแค่มื้อ
เย็นฝีมือนายที่บ้านฉันก็พอ”

   “ไหนก่อนหน้านี้คุฯบอกว่าไม่ต้องการอะไรตอบแทน”

   “นี่ไม่ได้เรียกว่าการตอบแทน แต่เรียกว่าสินน้ำใจ”

   “แล้วมันต่างกันตรงไหน”ขนมผิงกรอกตาอย่างระอาใจกับคนตรงหน้า แต่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อปัญหาถูกแก้ไขไปได้
โดยดี เขาควรจะมองปิญญ์ชานนท์ใหม่จริงๆ ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าคำรักที่อีกฝ่ายนั้นมีให้มันเป็นเรื่องจริง

   “กลับบ้านกันเถอะ ปล่อยให้คนอื่นทำงานของตัวเองไป นายอย่าลืมนะว่านายเป็นคนท้อง”

   “ผมรู้ตัวเองดีคุณไม่ต้องย้ำมากนักหรอก”ขนมผิงตอกกลับ ขืนมือที่ถูกดึงให้เดินตามไปเล็กน้อยก่อนจะเดินตามไปยังที่
จอดรถ

   “รถคุณล่ะ”ขนมผิงถามขึ้นเมื่อปิญญ์ชานนท์เดินตามเขามาทีรถ

   “ฉันไม่ได้เอารถมา”

   “แล้วคุณมายังไง”

   “ฉันให้คนขับรถมาส่ง แล้วฉันก็บอกให้เขากลับไปแล้ว”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ริมฝีปากหยักยกยิ้มเจ้าเล่ห์
นัยน์ตาคู่คมกำลังยิ้มเป็นประกายอยู่ข้างใน

   “คุณมันบ้า”มีอย่างงที่ไหนที่ให้คนขับรถมาส่งในที่ที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้แล้วไล่กลับไป มีอยู่อย่างเดียวที่จะคิดได้ก็
คือความเจ้าเล่ห์ที่มีมากเกินไปของอีกฝ่ายที่ทำให้ขนมผิงอดขมวดคิ้วใส่ไม่ได้

   “ไปกันเถอะ ฉันขับรถให้เอง ส่วนนายกับลูกนอนพักผ่อนให้สบาย ฉันรู้ว่านายไม่ค่อยได้พักผ่อนหลังจากที่เกิดเรื่อง”

   “ถ้าจะรู้ดีทุกเรื่องแบบนี้คุณน่าจะไปเป็นหมอดู”ขนมผิงตัดบทเข้าไปนั่งในรถไม่มีรอให้ชายหนุ่มต่อความยาวสาวความยืด

   


-------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-09-2016 16:46:20
ใครทำเนี่ย เจ้คนนั้นเรอะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-09-2016 16:55:26
ต้องเป็นฝีมือนางร้ายแน่ๆ ขนมผิงจะใจอ่อนเร็วๆนี้แน่ๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-09-2016 17:45:43
 :m28: ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังหว่า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 05-09-2016 02:30:31
หวังว่ามันจะช่วงให้ขนมผิงมองพระเอกในแง่งดีขึ้นมาบ้างนะ อิอิ :hao7:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 05-09-2016 13:09:14
"เลิกระแวงสามีตัวเองซะที" ชอบประโยคนี้จัง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 05-09-2016 14:31:55
ยอมขึ้นรถแต่โดยดี ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 06-09-2016 14:17:09
เริ่มจะดีกันแล้ว :hao7:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: aommama ที่ 06-09-2016 18:59:53
ตามอ่านทันเเล้ว รู้สึกว่าพลาดไปหลายตอนเลย
ถ้าจะเปรียบเป็นละครหลังข่าวสักเรื่อง คงเป็นเเนว ดราม่า คอเมดี้ บู๊ เเอ็คชั่น ครบรสกันเลยเเหละ ระวัง ผิง กะ ปิญ ร่วมมือกันตะหลบหลังคืนนะเดลี หึหึ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41 ความช่วยเหลือ❖ 04-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 07-09-2016 01:16:38
คราวนี้นางร้ายต้องไม่ยอมอยู่นิ่งแน่ๆ แต่ขนมผิงกับปินดีกันแล้ว คงจะเอาชนะนางร้ายนั่นได้ จัดการให้เด็ดขาดไปเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41.2 ด้านตรวจ❖ 08-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 08-09-2016 04:24:10
38.2

   ขนมผิงลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ได้กลิ่นอายของความเค็มลอยมาพร้อมกับสายลม ความเหนื่อยล้าจากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขา
เผลอหลับไปจนได้ ร่างสูงโปร่งยันตัวลุกขึ้นจากเบาะที่ถูกปรับเอนจนเป็นแนวราบ ตาคู่โศกกระพริบตาถี่ๆจ้องมองชายหาดสีขาว
กับท้องทะเลที่ทอดยาวออกไปจนสุดสายตาผ่านประตูรถที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้

   “ตื่นแล้วเหรอ ดื่มนี่ก่อนสิ เผื่อนายจะคอแห้ง”มะพร้าวที่ถูกปลอกและเปิดฝาเอาไว้มีหลอดเสียบให้อย่างดิบดีถูกยื่นมาข้าง
หน้า ริมฝีปากได้รูปงับลงไปที่หลอดอย่างงงๆเมื่อปลายหลอดนั้นมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก

   “ที่นี่ที่ไหน ทำไมคุณถึงพาผมมาที่นี่ล่ะ”หลังจากที่น้ำมะพร้าวเย็นสดชื่นไหลผ่านลงคอเรียบร้อย คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน
แล้วถามออกไปด้วยความไม่พอใจ

   “เอาน่า นายเหนื่อยมากแล้ว ฉันแค่อยากให้นายได้พักผ่อนบ้าง แล้วอีกอย่างฉันก็แค่อยากพาลูกสาวของเรามาทะเล”

   “บ้าบอกันไปใหญ่ ผมไม่เคยบอกว่าลูกที่อยู่ในท้องเป็นผู้หญิง”

   “แต่ฉันอย่างได้ลูกผู้หญิง เอาน่า อย่าเครียดไปเลย”ปลายนิ้วเรียวแตะลงมาระหว่างคิ้วมุ่นแล้วขยี้ให้มันคลายออกเบาๆ
“นายหิวรึยัง มานี่สิ”

   ปิญญ์ชานนท์เดินอ้อมมายังฝั่งที่นั่งข้างคนขับก่อนจะดึงมือให้คนที่ยังไม่ตื่นดีให้ลุกออกจากรถแล้วเดินตามไปยังชายหาด
มองเห็นเก้าอี้ชายหาดสองตัววางคู่กันกับโต๊ะตัวเตี้ยที่เต็มไปด้วยอาหารทะเลดูน่าอร่อยอยู่เต็มโต๊ะ แต่ทั้งที่เป็นชายหาดสวย
ขนาดนี้ แต่มันกลับเงียบสงบนานทีจะมีใครสักคนเดินผ่านมา ขนมผิงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้กับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า พลันท้อง
ก็ร้อนขึ้นมาราวกับรู้ว่ามีของอร่อยรออยู่ ถูกดันให้นั่งลงบนเก้าอี้ชายหาดก่อนที่จะถูกจับให้ล้างมือในถ้วยเซรามิคใบใหญ่ทั้งที่ทำ
เองได้

   “เอานี่ กินนี่สิ”ยังไม่ทันไรกุ้งตัวโต๊ะก็ถูกแกะแล้ววางลงมาในจานข้างหน้า

   “คุณก็กินเองสิ มาให้ผมทำไม”

   “ใครบอกฉันให้นายกิน ฉันให้ลูกสาวของเรากินต่างหาก”ไม่รู้จะโกรธดีหรือหมั่นไส้ดีกับความยียวนของอีกฝ่าย สุดท้าย
แล้วทั้งกุ้งทั้งปูก็ถูกแกะวางลงมาเต็มจานจนกินไม่ทัน

   “คุณไม่กินรึไง”

   “นายต่อให้นายกินก่อน นายมีสองคนฉันมีคนเดียว นายเริ่มกินก่อนน่ะถูกแล้ว”เขาเพิ่งจะรู้หรือว่าปิญญ์ชานนท์พึ่งจะมีความ
เป็นสุภาพบุรุษกัน ขนมผิงได้แต่กินและก็กินอาหารในจานตรงหน้า เพราะว่าความหิวและด้วยความต้องการของคนท้องทำให้เขา
กินไปเยอะพอสมควร กว่าจะรู้ตัวว่าถูกมองพร้อมกับรอยยิ้มท้องก็อิ่มไปเสียแล้ว

   “ขอบคุณ”ขนมผิงกล่าวออกไปสั้นๆ ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

   “ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย ที่นายไม่หนีฉันไปอีก”มือใหญ่เอื้อมมือมามือของเขาไปจับก่อนจะกระชับเอาไว้แน่น “ต่อ
ไปนี้ฉันจะเป็นคนดูแลปกป้องนายกับลูกเอง จะปกป้องครอบครัวของเรา”แค่คำพูดไม่กี่คำแต่ก็ทำให้ใจคนฟังนั้นวูบไหว ความ
อ่อนโยนแล่นวาบเข้ามาในจิตใจให้ใบหน้าได้ร้อนผ่าว

   “คะ คุณทำอะไร”

   ยังไม่ทันไรก็ร้อนโวยวายออกมาเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นแนบลงมาบนหน้าท้องก่อนที่ร่างนั้นจะเอนตัวลงมาซบบนตัก

   “ว่าไงลูกสาวพ่ออิ่มรึยัง รีบๆออกมาให้พ่อเห็นหน้าได้แล้วพ่อรออยู่รู้ไหม จุ๊บๆๆๆ”ไม่พูดเปล่าแต่ก็จูบลงมาซ้ำๆบนผิวท้องที่
มีเพียงเสื้อเชิ้ตกั้นเอาไว้

   ขนมผิงได้แต่ตกใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตาคู่คมหลุกหลิกไปมากลัวว่าจะถูกใครเห็นเข้า แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างที่ไม่มีใครผ่านมาแถวนี้

   “ประสาทเสื่อมไปแล้วรึไง หยุดได้แล้ว”มือผอมผลักใบหน้าของคนที่พึมพำกับท้องของตนเองออก คำพูดหยอกล้อที่
พล่ามออกมายิ่งทำให้รู้สึกอายและก็อายจนไม่รู้จะพูดยังไงให้คนคนนี้หยุดสักที เพราะว่าใจของเขามันเต้นแรงจนจะบ้าตายอยู่
แล้ว

   “โอ๊ะ ลูกดิ้น ใช่ไหม ฉันรู้สึกได้เลยว่าลูกเรากำลังดิ้นอยู่ นายดูสิ บางทีลูกอาจจะกำลังคุยตอบฉันก็ได้”ตาคู่คมเบิกกว้าง
เหมือนกระต่ายตื่นตูม ชี้นิ้วจิ้มลงมาที่ท้องของเขาไม่ไปมาแล้วจับมือเขาไปวางบนท้อง “ใช่ไหม ลูกเรากำลังดิ้น”

   “ท้องผมพึ่งจะสี่เดือน”

   “แต่ฉันได้ยินลูกดิ้นจริงๆ ถีบลงตรงหน้าฉันตรงเลย”พูดพลางชี้ลงไปที่แก้มตัวเองให้ได้พยายามกลั้นขำเอาไว้

   “ก็อาจจะนะ”เพราะเขาเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน

   “ต้องเป็นลูกสาวนะรู้ไหม พ่ออยากได้ลูกสาวน่ารักเหมือนตุ๊กตา คนอื่นๆจะได้อิจฉา”

   “แล้วปลากริมกับสลิ่มไม่น่ารักรึไง”ขนมผิงอดเคืองแทนลูกๆไม่ได้

   “น่ารักสิ ลูกของฉันต้องน่ารักอยู่แล้ว แต่โตขึ้นลูกชายก็ต้องหล่อเหมือนฉันใช่ไหมล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นพอฉันแก่ตัวไปตอน
นั้นลูกก็จะหล่อมากกว่าฉัน ถึงตอนนั้นนายก็อาจจะสนใจลูกมากกว่าฉัน”ไม่รู้ว่าปิญญ์ชานนท์ยกเอาตรรกะไหนมาพูด แต่มันก็
ทำให้ขนมผิงอดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้เลย เรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง

   “ฉันชอบตอนนายหัวเราะนะ”



   ---------------------------------------------------------------------------

   “เดหลี มานี่สิ”ผู้เป็นพ่อเรียกลูกสาวในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านห้องพักผ่อนของบ้านด้วยท่าทางอิดโรยราวกับคนอดนอน

   “ว่าไงคะพ่อ”

   “นี่แกไม่ได้นอนรึยังไง ทำไมถึงได้โทรมแบบนี้ล่ะ ฉันลองติดต่อไปถามผู้จัดการส่วนตัวเองแก บอกว่าแกปฏิเสธรับงานทุก
อย่างทั้งละครทั้งถ่ายแบบ ถึงฉันจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้แกมาหลบอยู่แต่ในบ้านไม่ออกหน้าออกตา
สังคมอย่างนี้นะ”

   “คือ…ช่วงนี้เดหลีเบื่อๆน่ะค่ะ แล้วก็รู้สึกไม่สบายด้วย”เดหลีบอกปัด ตาคู่สวยหลุบตามองมือของตัวเองที่จิกเข้าหากันแน่น
สีของน้ำยาทาเล็บที่ทาเมื่อนานมาแล้วเริ่มหลุดลอกจนดูไม่ได้

   “อย่าบอกนะว่าแกยังลืมไอ้ฝรั่งนั่นไม่ได้”

   “พ่อวางใจได้ค่ะ เดหลีกับมาเวลเราไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว”เพราะตั้งแต่รู้เรื่องที่ปิญญ์ชานนท์เป็นคนวางแผนเอาไว้ ตั้งแต่
นั้นมาเวลก็ไม่ได้ติดต่อเธอมาบ้างเลยทั้งที่ก่อนหน้าเทียวไปเทียวมาหาเธอบ่อยเป็นว่าเล่น

   “ยังไงซะวันนี้แกก็ช่วยออกไปทำตัวเองให้มันดูดีขึ้นมาหน่อยก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ฉันจะพาแกไปพบอธิบดีกรมสอบสวน
พิเศษ ฉันได้ข่าวว่าลูกชายเขาพึ่งจะเรียนจบกลับมาจากนอก ถึงจะดูเด็กไปสักหน่อย แต่อนาคตก็คงไม่ต่างอะไรกับคนพ่อนัก แก
น่าจะรู้จักเอาไว้ จะได้ช่วยฉันหาทางหนีทีไล่กับเรื่องที่เป็นอยู่”

   “แต่เดหลีพึ่งจะ…”เธอพึ่งจะถูกถอนหมั้นโดยผู้ชายสองคนในระยะเวลาติดๆกัน ไม่สิ จะว่าผู้ชายก็ไม่ถูก ต้องเรียกว่าพวก
ผิดเพศต่างหาก พอคิดเธอก็แค้นใจขึ้นมา ทุกวันนี้มันทำให้เธอไม่กล้าที่จะออกหน้าไปเผชิญกับสังคมเพราะกลัวสายตาของคน
รอบข้างที่มองมา กี่คนกันที่กำลังสมน้ำหน้ากับความล้มเหลวจนไม่เป็นท่าที่เกิดขึ้น “แต่เดหลีไม่อยากไป”เธอตอบเสียงแผ่ว

   “แกต้องไป ฉันบอกแล้วไงว่าแกคือทางเลือกเดียวที่พอจะช่วยฉันกับพวกได้ บางทีถ้าเราได้เกี่ยวดองกับครอบครัวของ
อธิบดีของดีเอสไอ ฉันก็อาจจะพอมีทางรอดกับเรื่องพวกนี้”

   “เรื่อง? เรื่องอะไรเหรอคะ”เธอเหลือบตามองผู้เป็นบิดาด้วยความระแวง ตอนนี้เธอทั้งระแวงและทั้งกลัวว่าจะถูกจับได้กับ
สิ่งที่ทำ ความลับที่คอยทิ่มแทงอยู่ข้างหลังตลอดเวลา พอคิดได้มือทั้งสองข้างก็เริ่มสั่นขึ้นมาควบคุมไม่ได้

   “จะอะไรมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แกไม่ต้องรู้นั่นแหละดีแล้ว”ชายวัยกลางคนบอกปัดก่อนจะหันไปจ้องมองรายงานข่าวที่
ปรากฏอยู่หน้าจอทีวี “พูดถึงก็มาพอดี”

   เสียงที่ฟังดูสะใจอยู่ไม่น้อยพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแสยะ ตาจ้องมองรายงานข่างเพลิงไหม้โกดังเก็บของที่อยู่ในเครือ
ของมณีรัตน์ส่งผลให้สินค้าที่เก็บอยู่ข้างในได้รับความเสียหายไปกว่าครึ่ง นอกนั้นก็เสียหายจากการเปียกน้ำ

   “ทะ ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ”เดหลีหลุดพูดออกมาเสียงเบา ตาคู่สวยจ้องมองข่าวที่ปรากฏหน้าจอทีวีอย่างไม่เชื่อสายตา
จากรายงานข่าวบ่งบอกว่ารปภ.ถูกลอบทำร้ายและถูกวางยานอนหลับ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดี แต่แล้วคนคนนั้น
คือใครล่ะ หญิงสาวได้แต่มองรอยยิ้มที่แสยะออกมาอย่างน่ากลัวของผู้เป็นพ่อ คงไม่ใช่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอหรอกนะที่เป็นคน
ทำ ไม่อย่างนั้นพ่อของเธอก็จะยิ่งเพิ่มความผิดให้กับตัวเอง

   “พ่อ…เป็นคนทำเหรอคะ”

   “ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ส่วนแกก็เตรียมตัวออกไปทำหน้าทำตาให้มันดูดีได้แล้ว”

   “ไม่ใช่ฝีมือพ่อใช่ไหม”

   “จะฝีมือใครแกจะรู้ไปทำไม ฉันบอกให้แกไม่ต้องสนใจแกก็ไม่ต้องสนใจไงล่ะ แต่สมแล้วกับที่มันสร้างความอับอายให้กับ
ฉัน ฉันหวังว่ารายต่อไปจะเป็นคู่ขาของมันที่จะโดนสั่งสอนให้ได้รู้สำนึก”

   เป็นพ่อของที่ที่ทำจริงๆด้วย เธออ่านมันได้จากคำพูดและรอยยิ้มอันน่ากลัวนั่น หญิงสาวได้แต่เดินออกกมาจากห้องนั่งเล่น
เธอกอดตัวเองราวกับว่ากำลังหนาวสั่นทั้งที่อากาศนั้นกำลังดี ริมฝีปากได้รูปแต่กลับแห้งผากนั้นถูกขบกัดจนแน่น เธอควรจะทำ
ยังไงดี ถึงแม้ว่าเธอกำลังสะใจกับเรื่องที่เกิด แต่ความผิดมันก็คือความผิด มันทำให้เธอทั้งกลัวและทั้งกังวลกับผลที่จะตามมา



   -------------------------------------------------------------------------------

   “ลำดวน คุณมาดูนี่สิ”พิศณุกวักมือเรียกภรรยาที่กำลังเดินผ่านห้องนั่งนั่งเลนให้ได้เดินเข้าไปหา ใบหน้าที่ยังดูงดงามถึงแม้
จะล่วงเลยวัยมองหน้าสามีด้วยความประหลาดใจที่หน้าจอโทรศัพท์ถูกยื่นมาให้ดู

   “มีอะไรเหรอคะ”

   “คุณดูนี่สิ เพื่อนผมส่งนี่มาให้ดู”หน้าจอของโทรศัพท์เครื่องทันสมัยโชว์ให้เห็นถึงข่าวซุบซิบที่อัพเดทเร็วทันใจต่อผู้อ่าน
“เขาถามผมว่าลูกของเรากับลูกของคุณอาทิตย์สนิทกันตั้งแต่เมื่อไร”

   เพราะภาพข่าวที่ปรากฏมันแสดงถึงความใกล้ชิดของลูกชายของฝั่งนี้กับฝั่งนั้นมากเกินกว่าที่ควร

   “ตายจริง!”

   “ผมจำได้ว่าเราเตือนเขาแล้วว่าไม่ให้เข้าใกล้ลูกของเรา แต่นี่อะไร เขาไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยใช่ไหม เห็นลูกของเราเป็น
อะไรกันแน่ พอพวกเราเผลอก็แอบเข้าหาเป็นว่าเล่น ครั้งที่แล้วเห็นว่าเป็นคนช่วยชีวิตลูกเราเอาไว้หรอกนะผมถึงไม่พูดอะไร”

   “ใจเย็นๆค่ะ มันอาจจะบังเอิญก็ได้มั้งคะ”ลำดวนพยายามพูดให้สามีเธอใจเย็น

   “จะให้ผมใจเย็นได้ยังไง ถึงลูกของเราจะเป็นผู้ชาย แต่คุณก็อย่าลืมว่าลูกของเราน่ะท้องได้ ถ้าเกิดท้องขึ้นมาอีกล่ะจะทำ
ยังไง ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ พอเข้าหน้าบ้านไม่ได้ก็แอบเข้าหลังบ้าน มันน่านัก”

   “คุณพูดอย่างกับหวงลูกสาวเลยนะคะ”ลำดวนหัวเราะคิกคัก

   “มันก็น่าไหมล่ะ”

   “แล้วถ้าลูกของเราท้องขึ้นมาอีกล่ะคะ คุณจะทำยังไง”

   “จะทำยังไงได้ ก็ต้องเอาเรื่องจนถึงที่สุดสิ ผมไม่ยอมให้ลูกเราถูกทำร้ายอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ”

   “พอพูดถึงเรื่องลูกก็ดูจริงจังขึ้นมาเลยนะคะ”

   “ไม่ได้หรอก ถ้าบ้านเราจะต้องมีลูกเขยเข้าจริงๆ อย่างน้อยผมก็อยากได้ลูกเขยที่ดูพึ่งพาได้มากกว่านี้”พิศณุพูดกันท่าเอา
ไว้ทันที ตาจ้องมองภาพข่าวในหน้าจอโทรศัพท์ คนอย่างปิญญ์ชานนท์ ลูกชายของคนที่เคยคิดที่จะมายุ่งกับภรรยาของเขา ยัง
ไงเขาก็จะไม่ยอมให้คนคนนี้ผ่านด่านเข้ามาได้ง่ายๆแน่



------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้เน้นขำๆเนอะ เขียนไปยิ้มไป เขียนไปขำไป ถ้าลูกคลอดออกมาเเล้วเป็นลูกสาวจริงเฮียแกคงเต้นบัลเล่รอบโรงพยาบาลเลย ฮ่าๆ นี่ขนาดยังไม่คลอดออกมานะ ทึกทักเอาเองตาหลอด
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41.2 ด้านตรวจ❖ 08-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 08-09-2016 09:41:39
โห กว่าคุณพ่อตาจะได้ฤกษ์ออกโรง เขามีลูกด้วยกันจะสามคนละฮะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41.2 ด้านตรวจ❖ 08-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: aommama ที่ 08-09-2016 10:19:54
ถ้าคุณปิญเต้นบัลเล่ นี้เตรียมกล้องไว้รอเลย 555555
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41.2 ด้านตรวจ❖ 08-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-09-2016 12:03:20
ไม่ทันแล้วมั้งคะคุณพ่อ 4 เดือนละ 5555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41.2 ด้านตรวจ❖ 08-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 08-09-2016 12:23:03
ลูกเขย กับ พ่อตา ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41.2 ด้านตรวจ❖ 08-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-09-2016 12:30:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 41.2 ด้านตรวจ❖ 08-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-09-2016 23:11:27
ไม่ทันล่ะคุณพ่อ ขนมผิงโดนเสกเด็กเข้าท้องนานแล้วท5555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 15-09-2016 16:21:35
39 กระโปรงตัวเล็กๆ

   รถคันสีดำสนิทที่เจ้าของของมันไม่ได้เป็นคนขับหากแต่เป็นเพียงตุ๊กตาหน้ารถขับมาจอดหน้าประตูบ้านมณีรัตน์ ขนมผิงยืด
ตัวขึ้นเล็กน้อยเพราะความอิ่มทำให้เขาหลับไปอีกรอบในระหว่างขับรถกลับมา เขาหันไปมองร่างสูงใหญ่ของปิญญ์ชานนท์เปิด
ประตูออกไปจากรถก่อนจะเปิดประตูรถออกไปบ้าง

   “ฉันส่งนายแค่นี้นะ หลังจากนี้นายคงต้องขับเข้าไปเอง”

   “อืม”ขนมผิงรับคำ “แล้วคุณจะหลับยังไง”

   “ฉันให้คนขัยรถมารอรับอยู่ก่อนหน้าแล้ว นั่นไง”โบ้ยหน้าไปทางรถคันสีดำจอดอยู่ริมกำแพงบ้าน

   “คุณ…จะเข้าไปกินน้ำในบ้านสักหน่อยไหม”ขนมผิงออกปากชวน ตาคู่คมเบือนหนีไปมองประตูบ้านของตนอง

   “มันคงไม่ดีแน่หากพ่อนายจะเห็นหน้าฉันตอนนี้”ครั้งที่แล้วเขาจำได้ดีเลยล่ะว่าถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ขนมผิงยังไง ยังไงซะ
มันก็ยังไม่ถึงเวลา

   “งั้นกลับดีดีล่ะ”

   “นายก็อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมพักผ่อนล่ะ ไว้พร้อมเมื่อไรค่อยเข้ไปหาฉันที่บริษัทหรือถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวเราจะ
ไปที่คอนโดของฉันก็ได้นะ”คำพูดเป็นนัยน์ของปิญญ์ชานนท์เรียกให้ขนมผิงตวัดตามอง “ฉันล้อเล่นนะ” ชายหนุ่มไหวไหล่ก่อน
จะก้าวเดินออกไป ทว่าท่อนแขนก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือผอมให้ชะงักหันหลับมามอง

   “อีกสองอาทิตย์ผมจะไปตรวจร่างกาย แล้วจะอัลตร้าซาวด์ ถ้าหากคุณว่างบางทีคุณอาจจะอยากได้ด้วยกัน”ขนมผิงบอก
เสียงเบา ตาคู่สีโศกไม่สบตาคู่คมที่มองมา

   “ไปสิ ฉันต้องไปแน่อยู่แล้ว แล้วคอยดูว่าลูกของเราต้องเป็นลูกสาวแน่นอน”

   “อืม”

   “ไว้วันหลังเราไปซื้อกระโปรงตัวเล็กๆด้วยกันนะ ฉันไปล่ะ มีอะไรต้องไปทำอีกเยอะเลยทีเดียว”ปิญญ์ชานนท์บอกก่อนจะ
ยกยิ้มแล้วเดินจากไป



   “ไปไหนมาตาผิง แม่กับพ่อก็เป็นห่วงแทบแย่ โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง ถามหากับใครก็ไม่เห็น นี่พ่อเขาจะออกไปแจ้งความ
แล้วนะ”ลำดวนปรี่เข้ามาหาลูกชายทันทีที่ลูกชายเดินเข้าไปในห้อง

   “สงสัยแบตจะหมด ผิงขอโทษที่ทำให้แม่กับพ่อเป็นห่วง”

   “แล้วไปไหนมาล่ะฮึ”

   “ผิงไป….”ขนมผิงอ้ำอึ้ง ทั้งบิตาและมารดาต่างก็จ้องมองมาที่เขาราวกับจำคาดคั้นเอาคำตอบ

   “ไปกับคุณปิญญ์มาใช่ไหม”ในที่สุดผู้เป็นพ่อก็พูดแทนออกมา”

   “พ่อรู้ได้ยังไง”

   “มีอะไรเกี่ยวกับลูกที่พ่อไม่รู้บ้าง สงสัยที่พ่อพูดกับเขาไปครั้งที่แล้วคงไม่มากพอ ถึงได้ยังยุ่งกับผิงอยู่อย่างนี่”

   “พูดอะไรเหรอครับ”

   “ไม่มีอะไรหรอก แล้วทำไมถึงได้ไปกับเขาล่ะ คนอย่างนั้นไม่น่าไว้ใจหรอกนะพ่อจะบอกเอาไว้เลย”

   “คุณพิศคะ อย่าไปว่าคุณปิญญ์เขาอย่างนั้นสิ”

   “มันก็จริงไหมล่ะ เห็นลูกของเราตามไม่ทันไงเล่ห์กล ถึงได้ได้ใจอยู่อย่างนี้”

   “หมายความว่ายังไง ผิงไม่เข้าใจที่พ่อกับแม่พูดเลยนะครับ”ขนมผิงจ้องมองทั้งพ่อกับแม่สลับกัน

   “เอาเป็นว่าผิงรู้ไว้แค่ว่าพ่อของผิงไปพูดห้ามคุณปิญญ์ไม่ให้เข้าใกล้ผิงก็พอ”ลำดวนตอบแทนสามี

   “แต่เขากำลังช่วยเราจัดการปัญหาอยู่นะครับ ผิงไม่ไปเจอเขาไม่ได้หรอก”

   “ช่วย? ช่วยที่ว่าน่ะช่วยอะไรล่ะ พ่อไม่เห็นว่าเขาจะช่วยอะไรนอกจากจะทำให้เรื่องแย่ขึ้นไปอีก”พิศณุบ่นอุบ นึกถึงข่าวที่
เอาไปลงซุบซิบถึงความสัมพันธ์ของลูกชายกับอีกฝ่ายให้ยิ่งแย่ไปใหญ่

   “เขาจะช่วยเราผลิตสินค้าในส่วนที่ขาดให้ทันวันกำหนด”

   “จะบอกว่าที่หายไปด้วยกันนี่ไปคุยเรื่องงานกันใช่ไหม”

   “คะ…ครับ”ขนมผิงตอบรับอย่างช่วยไม่ได้

   “แน่ใจนะว่าแค่เรื่องงาน แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงยื่นมือเข้ามาช่วยเราล่ะ”

   “ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

   “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่านอกจากเรื่องงานก็อย่าไปยุ่งกับเขาแล้วกัน อายุอานามก็น่าจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้แล้วแท้ๆ
เชียว ดันมาสร้างความวุ่นวายให้กับคนอื่น”

   “คุณพิศคะ นี่คุณบ่นเรื่องนี้มาหลายชั่วโมงแล้วนะคะ”

   “ก็จะไม่ให้ผมบ่นได้ยังไงกัน ก็เขา…”

   “เอาเป็นว่าผิงขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยลงมาดีกว่านะ ปล่อยให้พ่อเขาบ่นไปคนเดียวเถอะ แม่ก็ชักจะขี้เกียจฟังแล้ว
ล่ะ”ลำดวนตัดบทก่อนสามีจะพูดจบแล้วดันหลังให้ลูกชายเดินออกไปจากห้อง



   -----------------------------------------------------------------------------

   เป็นวันที่อากาศดีอีกหนึ่งวันของปีและเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอีกครั้ง ปิญญ์ชานนท์จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องทำงาน
ที่อยู่บนตึกสูง เขากำลังจินตนาการถึงภาพลูกสาวตัวน้อยๆอยู่ทั้งที่อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะต้องเข้าประชุมถึงเรื่องออร์เดอร์ที่ต้อง
เร่งลัดคิวผลิตให้กับมณีรัตน์ เสียงเคาะประตูห้องปลุกให้ชายหนุ่มละสายตาอออกจากวิวสวยหันไปมองเลขาหนุ่มเดินเข้ามาด้วย
สีหน้าเรียบเฉย

   “มีคนมาขอพบน่ะครับ แต่ไม่ได้นัดเอาไว้”

   “ใครกันไม่ได้นัดแต่กล้ามาขอพบฉับแบบนี้”

   “ประธานของมณีรัตน์ครับ”

   “งั้นก็ให้เข้ามาสิ นายก็รู้ดีนี่ว่าเขาเป็นใครให้เขารอได้ยังไงกัน”เขาเป็นถึงเมียของเจ้านายจะให้รอได้ยังไงกัน ปิญญ์ชา
นนท์ติ

   “แต่ว่าอีกไม่ถึงสิบห้านาทีก็จะถึงเวลาประชุมแล้วนะครับ”

   “ให้เขาเข้ามาได้เลย ฉันไม่อยากให้เขารอนาน”

   “ได้ครับ”เลขาหนุ่มรับคำ สีหน้าเริ่มกระอักกระอ่วน จริงอยู่ที่แขกที่มาขอพบเป็นประธานของมณีรัตน์จริง แต่เขาก็บอกไม่
ได้ว่าเป็นประธานคนเก่าเพราะถูกคนที่ว่ากำชับเอาไว้ว่าห้ามบอกแบบนั้น แต่มันก็สายไปเสียแล้ว



   “ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ”เสียงของคนมีอายุเรียกให้ชายหนุ่มชะงัก คิ้วข้าวขวากระตุกเล็กน้อยบอกลาง

   “คุณพ่อ?แล้วขนมผิงล่ะครับไม่ได้มาด้วยเหรอครับ”ปิญญ์ชานนท์ถามพลางยืดตัวตรง กุลีกุจอดึงเก้าอี้เชิญแขกนั่งถึงแม้จะ
ผิดหวังอยู่บ้างก็ตาม

   “คิดว่าผมจะปล่อยให้ลูกชายของเรามาหาคุณคนเดียวรึไง”

   “เปล่าครับ”

   “งั้นก็ดี ผมจะไม่พูดพล่ามให้มากเรื่องกับคุณหรอกนะที่ผมมาวันนี้ผมแค่อยากจะมาขอบคุณที่คุณช่วยเหลือพวกเรา ก็ไม่รู้
หรอกนะว่าคุณต้องการอะไรถึงทำอย่างนี้ ทางเราก็ขอรับน้ำใจเอาไว้ด้วยความยินดีและซาบซึ้งกับน้ำใจของคุณมาก”

   “เล็กน้อยน่ะครับ ผม…ไม่ได้ต้องการอะไรเลย”ซะที่ไหนกัน ในเสื่อไอ้สิ่งที่ต้องการหากพูดออกไปประวัติจะซ้ำรอยเอา
เมื่อไรก็ไม่อาจรู้

   “อย่างงั้นเหรอ ช่างเป็นคนที่มีน้ำใจจริงๆ น่าแปลกใจที่ทำไมถึงยังได้ไม่แต่งงานและมีครอบครัวที่ดีพร้อมสักทีนะ จะว่าไป
ผมเองก็มีหลานสาวที่พอจะแนะนำให้คุณได้อยู่นะ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุณช่วยชีวิตลูกผมเอาไว้แล้วยังช่วยกู้สถานการณ์
ของมณีรัตน์อีก ไว้ผมจะนัดให้คุณไปทำความรู้จักกับหลานสาวก็แล้วกัน”

   “เรื่องนี้ผมคงต้องขอปฏิเสธ ผมมีคนที่อยากจะใช้ชีวิตด้วยกันเป็นครอบครัวด้วยอยู่แล้ว”แบบนี้มันเรียกว่ามากันท่ากันไม่ใช่
รึไง ยิ้มที่ส่งให้อีกฝ่ายเริ่มจะเบาบางลงทีละนิด

   “แล้วใครกันล่ะที่คุณอยากจะใช้ชีวิตด้วยกันแบบครอบครัวน่ะ”

   “ขนมผิงครับ”ชายหนุ่มตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำ “ผมอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือยู่ด้วยกันกับขนมผิงครับ”

   “ที่พูดมาทั้งหมดคุณไม่เข้าใจที่ผมเคยพูดเอาไว้ในครั้งนั้นใช่ไหม คุณไม่รู้หรอกว่าขนมผิงต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ทางที่ดี
คุณเลิกเข้าใกล้ลูกชายของเราดีกว่า ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เขาอ่อนแอเกินไปที่จะเจอเรื่องร้ายๆซ้ำสองอีกครั้ง ถือว่าผมจะพูด
อีกแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก็แล้วกัน”

   “ผมทำไม่ได้อย่างที่คุณพ่อต้องการไม่ได้หรอกครับ ถึงเวลาผมจะอธิบายกับคุณพ่อทั้งหมดเอง”ปิญญ์ชานนท์ยังคงยืนยัน
คำเดิม

   ทั้งห้องทำงานของชายหนุ่มตกอยู่ในความเงียบได้พักใหญ่จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้นเรียกให้ชายหนุ่ม
กดสปีคโฟนรับ

   ‘อีกห้านาทีได้เวลาเข้าประชุมแล้วนะครับ’

   “ฉันรู้แล้ว ขอบใจ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับเลขาหนุ่มก่อนจะกดวาง

   “ก็นะ บางทีต่อให้อายุมากเท่าไรก็อาจจะคุยบางเรื่องกันไม่รู้เรื่อง ยังไงจะให้คนส่งของขวัญแทนคำขอบคุณมาให้ก็แล้ว
กัน”พิศณุลุกขึ้นด้วยท่าทีนิ่งเฉยต่างจากทุกที ยังไงซะการที่เขามาที่นี่เรื่องสำคัญมันไม่ใช่ธุรกิจ หากแต่เป็นเรื่องของอนาคตของ
ลูกชายมากกว่า มันเป็นการปกป้องตามสัญชาติญาณของคนเป็นพ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่มาตลอดยี่สิบกว่าปี แต่ดูเหมือนว่ามันจะ
ล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะความรั้นของอีกฝ่ายที่ต้องการจะกันให้ห่างจากลูกชาย

   “เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”

   “ไม่ต้องหรอก มีเรื่องสำคัญจะต้องไปทำไม่ใช่รึไง”

   “เดินทางปลอดภัยนะครับ”ปิญญ์ชานนท์ได้แต่ยืนส่งชายวัยกลางคนอยู่แค่ประตูห้อง จ้องมองแผ่นหลังของร่างนั้นเดินออก
ไปกับคนสนิทจนลับตา

   ดูท่าการกีดกันของพ่อตาจะเริ่มรุนแรงขึ้นในขณะที่เขาเริ่มรุกมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ขนมผิงใจกำลังค่อยๆเปิดใจให้แล้วแท้ๆ
ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ เรื่องศัตรูที่ต้องคอยระวังก็หนักเอาการอยู่แล้ว ยังจะมาเรื่องไม่ผ่านกระประเมินจากพ่อตาอีก แล้วการ
ประชุมในอีกไม่กี่นาทีเขาจะทำสมาธิกับมันไหมก็ยังไม่รู้

   -----------------------------------------------------------------------------

   “ปะป๊ามารับแล้ว เย้”ร่างป้อมอ้วนท้วนวิ่งมากระโดดขึ้นมาเกาะขนมผิงอย่างที่เคยชินใบหน้ากลมยิ้มจนแก้มปริเมื่อเห็นว่า
เขามารับ

   “ว่าไงตัวแสบ ทำไมหนักอย่างนี้ล่ะ ถ้าหนักอย่างนี้ปะป๊าไม่อุ้มแล้วนะครับ อุ้มไม่ไหว”เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังเรื่อง
การออกแรง การยกของหนักหรือการอุ้มลูกชายคนใดคนหนึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเด็กที่อยู่ในท้องได้

   “แต่กิมอยากให้อุ้มนี่ฮะ”

   “แล้วสลิ่มล่ะ ทำไมถึงเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้น เป็นอะไรรึเปล่า”ถามเมื่อสลิ่มเอาแต่ยืนเบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ไกลๆไม่กล้า
เดินเข้ามาหาต่างจากทุกทีที่จะวิ่งมากระโดดเข้าใส่

   “น้องหลิ่มอิจฉาเหมียว”

   “เหมียว?”

   “แล้วเหมียวเป็นใครล่ะ ไหนมาเล่าให้ปะป๊าฟังหน่อยสิครับคนเก่ง”ขนมผิงย่อตัวกวักมือให้ลูกชายคนเล็กเดินเข้ามา
ใกล้”สุดท้ายสลิ่มก็ยอมเดินเข้ามาหาช้าๆแล้วเอนตัวกอดคอของขนมผิงทั้งที่ริมฝีปากเล็กๆกำลังเบะอยู่

   “หลิ่มไม่ชอบเหมี้ยวเลย”

   “ทำไมล่ะครับ”

   “เหมียวชอบอวดว่ามีน้อง หลิ่มอยากมีน้อง ทำไมปะป๊าไม่มีน้องให้หลิ่มบ้างฮะ หลิ่มจะได้เอาไปอวดเหมียวบ้าง”

   “กิมก็อยากมีน้องนะฮะ แต่กิมไม่ร้อง กิมเป็นพี่ต้องเข้มแข็ง”ปลากริมเดินเข้ามากอดน้องชาย

   “ทำไมถึงอยากมีน้องกันขึ้นมาล่ะ”ถามออกไปใจที่อยู่ในอกมันเต้นรัว มันก็ดีอยู่หรอกที่ลูกๆอยากจะมีน้องตัวเล็กๆแบบ
เพื่อนคนอื่นบ้าง และสำหรับครอบครัวของเขาแล้วพ่อกับแม่จะยินดีด้วยรึเปล่า ความอับอายที่เกิดจากประวัติซ้ำรอยมันกำลังจะ
หวนกลับมาอีกกครั้ง

   “หลิ่มอยากมีน้องตัวเล็กๆแบบเหมียว เหมียวเอารูปมาอวดทุกวันเลย”

   “เหมียวบอกว่าเวลาอยู่บ้านได้ป้อนมให้น้องด้วย น้องของเหมียวตัวเล็กเหมือนลูกแมวเลยฮะ”

   “แน่ใจนะว่าอยากมีน้องกัน”

   “แน่ใจฮะ/แน่ใจฮะ”ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกัน ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มกว้างอวดเหงือกสีสดจนตาปิด

   “งั้นสัญญากับปะป๊าก่อนนะครับว่าจะรักน้อง และช่วยปะป๊าดูแลน้องและที่สำคัญห้ามอิจฉาน้องเวลาที่ปะป๊าดูแลน้องโอเค
ไหม”

   “โอเคฮะ/ได้ฮะ”

   “ปะป๊าไม่อุ้มแล้วนะครับ ถ้าจะให้ปะป๊ามีน้องให้”

   “ฮะ/ฮะ”รีบพยักหน้าหงึกๆด้วยความดีใจ

   “แล้วก็ความลับนะครับห้ามบอกใครแม้แต่คุณตากับคุณยาย”

   “ไม่บอกฮะ/ไม่บอกฮะ”ขนมผิงยกนิ้วขึ้นมาทำท่าจุ๊ๆ เจ้าตัวแสบทั้งสองคนเห็นก็ยิ้มแป้นพากันกระโดดดีใจไปมาก่อนจะ
คว้ามือของขนมผิงเอาไว้คนละข้างแล้วเดินตามแรงจูง

   ท้องของเขาก็เริ่มที่จะขยายมากขึ้นทุกที ยังไงซะสักวันความลับก็ต้องเปิดเผย เพียงแค่ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไรเท่านั้น

   ---------------------------------------------------------------------------
[จบครึ่งแรก]

"ไปซื้อกระโปรงตัวเล็กๆด้วยกันไหมครับ" ปิญญ์ได้กล่าวเอาไว้ เรื่องเปย์ผมไม่มีปัญหา ผมกระเป๋าหนัก ยินดีจ่ายทุกบาทเพื่อลูก
เมีย
ตอนนี้เขามีการชวนกันไปนู่นนี่นั่นด้วยแหละคู๊ณณณณ มีการพัฒนา พ่อปิญญ์เริ่มมีโอกาสได้พาเมียไปหาหมอตามประสาคุณพ่อและนะ เธออออ

มีต่อ

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-09-2016 18:08:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 15-09-2016 20:06:49
ช่วงนี้คุณสามีทำตัวได้น่ารักจิงๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 15-09-2016 20:17:10
แอร๊ยยยยยยย ดีงามมมมมม!!!! ว่าแต่ชวนกันไปซื้อกระโปรง??ตอนท้องนี่นะ?
ต่อให้คลอดแล้วก็อีกกี่ปีกว่าจะได้ใส่กระโปรงคร้าคุณพ่อ?!!! ไม่ค่อยจะเห่อเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-09-2016 20:34:06
ไม่เห่อเท่าไหร่เลยค่า ชวนไปซื้อกระโปรงละ คึคึ
แต่คุณตาทำไมใจแข็งจังค๊าาา
ยอมให้ลูกเขยอย่างคุณปิณมาดูแลขนมผิงเถอะ นะๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: aommama ที่ 15-09-2016 21:09:41
เนียนตลอดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-09-2016 21:10:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 15-09-2016 23:14:25
ไม่อยากให้ได้ลูกสาวอะ อยากแกล้งอีกตาคุณปินก่อน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42 กระโปรงตัวเล็กๆ❖ 15-09 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 19-09-2016 18:16:05
เตรียมจะมีน้อง ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 24-09-2016 18:31:52
ต่อ

เสียงโทรศัพท์ในกลางดึกปลุกให้ร่างสูงใหญ่ในสภาพกึ่งเปลือยลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ริมฝีปากหยักเปิดปากหาวออกมา
อย่างช่วยไม่ได้พลางควานหยิบโทรศัพท์มาดูหน้าจอแล้วกดรับ

   “มีอะไรดึกดื่นป่านนี้”

   ‘เมื่อครู่ที่โรงงานของเราโทรมาแจ้งว่าจับคนร้ายที่พยายามลักลอบเข้าไปได้พร้อมกับถังน้ำมันและอาวุธปืน ตอนนี้ทาง
ตำรวจส่งคนตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ คาดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกับที่วางเพลิงโกดังเก็บของของมณีรัตน์น่ะครับ’เสียงของเลขา
หนุ่มดังแว่วมาจากปลายสายด้วยน้ำเสียราบเรียบ

   “แล้วโรงงานกับเครื่องจักรล่ะ เสียหายอะไรรึเปล่า”

   ‘ยังไม่เสียหายครับ ก่อนหน้านั้นผมได้สั่งเพิ่มเวรยามเฝ้าระวังมากขึ้นอย่างที่คุณสั่งเอาไว้ เลยทำให้คนร้ายยังไม่ทันจะได้
ลงมือทำอะไรก็ถูกพบเข้าเสียก่อน”

   “งั้นก็ดีแล้ว แล้วคนสั่งการล่ะ คนร้ายยอมซักทอดรึเปล่า”

   ‘ตอนนี้ทางตำรวจกำลังเร่งสอบสวน คาดว่าอีกไม่นานคงจะได้คำตอบครับ’

   “ถ้ายังไม่ได้คำตอบง่ายๆนายก็ยื่นข้อเสนอเล็กๆน้อยๆให้พวกนั้นก็แล้วกัน”

   ‘ครับ’

   “ฉันฝากนายจัดการเรื่องนี้แทนฉันที พวกนั้นรับสารภาพเมื่อไรนายค่อยมาบอกฉัน แล้วฉันจะจัดการที่เหลือเอง”

   ‘ครับ’

   พูดจบปลายสายก็ตัดไป เขาคิดไม่ผิดเลยจริงๆที่สั่งเพิ่มเวรยามเฝ้าระวังทั้งโกดังเก็บของและโรงงาน ในที่สุดเขาก็จับหนู
ตัวเล็กๆได้สำเร็จตามแผน อีกไม่นานหนูตัวเล็กๆที่เขาจับได้ก็จะสาวไปถึงแมวที่เป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง เพียงแค่คิดชายหนุ่มก็
ยกยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ เขาอาจจะปล่อยให้เรื่องราวการทุจริตหรือการฟอกเงินของคนคนนั้นผ่านเลยไปก็เป็นได้ เชตุพลเป็น
ฝ่ายผิดเองที่เดินเกมพลาด เพราะว่าเขาไม่ใช่พระเอกที่จะให้อภัยใครง่ายๆโดยเฉพาะคนที่บังอาจมาแตะต้องลูกเมียของเขา

   ----------------------------------------------------------------------------

   “อืมมม”

   “ยากเกินไปจริงๆ”

   ชายหนุ่มพึมพำพลางขมวดคิ้วมุ่นให้กับสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ริมฝีปากหยักเหยียดตรง มือกดเลื่อนเม้าส์ไป
มาอย่างคร่ำเคร่ง ตอนนี้เขากำลังใช้ความคิดทั้งหมดไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตอบรับอย่าไม่ใส่ใจกับเสียงเคาะประตูห้องทำงานให้

ได้เปิดออกตามเข้ามาด้วยเลขาสาวสวยอีกคนอย่างพลอยฟ้า

   “นี่เอกสารยอดการผลิตตัวล่าสุดจากฝ่ายผลิตค่ะ”

   “ขอบใจมาก เดี๋ยวฉันดูเอง”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ “ตัดสินใจยากชะมัด” พึมพำออกก
มาเสียงเบาอีกครั้ง

   “ค่ะ? เอ่อ…”เลขาสาวเอียงคอมองเจ้านายหนุ่มด้วยสีหน้าประหลาดใจ

   “มีอะไรอีกรึเปล่า”

   “คือว่า มีข้อมูลอะไรติดขัดตรงไหนรึเปล่าคะ พลอยเห็นคุณปิญญ์จ้องหน้าจอแบบนั้นมาตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่พลอยเข้ามา”

   “ติดขัดงั้นเหรอ มีสิ มีมากด้วย ถามอย่างนี้ก็ดีแล้ว เธอเองก็เป็นผู้หญิงด้วย มาตรงนี้สิ”ปิญญ์ชานนท์ออกปากสั่งให้เลขา
สาวมายืนข้างๆ ทันทีที่พลอยฟ้าเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอใบหน้าของเธอก็ถึงกับเต็มไปด้วยความงงงวย

   “นี่…อะไรเหรอคะ”

   “ก็เสื้อผ้าเด็กไงล่ะ แบบไหนที่เด็กผู้หญิงถึงจะน่ารัก ช่วยฉันเลือกทีสิ”ปิญญ์ชานนท์ยกยิ้ม ยิ่งทำให้พลอยฟ้าแปลกใจ

   “อะ เอ๋ เลือกเหรอคะ คุณปิญญ์จะเลือกไปทำไมเหรอคะ”

   “ฉันเลือกไว้ให้ลูกสาวของฉันเอง”

   “กำลังล้อพลอยเล่นอยู่เหรอคะ ก็เคยได้ยินข่าวลืออยู่หรอกว่าคุณปิญญ์เคยไปซื้อของใช้เด็กแต่นั่นก็พักใหญ่แล้ว บางคนก็
บอกว่าคุณปิญญ์แอบไปมีลูกแล้ว แต่พลอยทำงานกับคุณปิญญ์มาก็นานไม่เคยจะเห็นรู้เรื่องเลยไม่เชื่อข่าวลือพวกนั้น แต่ว่านี่
เป็นเรื่องจริงเหรอคะเนี่ยที่ว่าลูกสาวน่ะค่ะ”

   “เอาเป็นว่าช่วยเลือกให้ฉันสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าไม่เลือกมีหวังฉันคงจะซื้อทุกชุดที่อยู่ในร้านนี้แน่”

   “ซื้อแค่พอจำเป็นก็พอค่ะ เพราะว่าเด็กจะโตไวมากมาก พลอยคิดว่ากว่าจะใส่ชุดพวกนี้หมดก็คงจะโตจนใส่ไม่ได้แล้วล่ะ
ค่ะ”

   “เด็กๆนี่โตไวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ค่ะ นอกจากโตเร็วแล้วยังจะเลี้ยงยากอีกนะคะ ยิ่งเด็กแรกเกิดแล้วจะพูดอะไรไม่ได้เลยนอกจากส่งเสียงร้อง หิวเมื่อไรก็จะ
ร้องแม้กระทั่งตอนนอน นี่ยังไม่รวมเวลาฉี่หรือว่าอึ ถ้าไม่ดูแลดีดีผิวบางๆก็จะเป็นผื่น พอนึกถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงตอนที่คลอดลูกใหม่ๆ
เอาเหนื่อยพอดูเลยล่ะค่ะ ไม่รู้ว่าผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไง”

   “มันลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ลำบากมากๆเลยล่ะค่ะ คุณแม่มือใหม่บางคนเลี้ยงลูกจนอดหลับอดนอนพาลให้ตัวเองไม่สบายก็มี”

   “แล้วฉันควรจะทำยังไงดี”

   “ทำยังไง? คุณปิญญ์ก็ไม่ต้องทำยังไงหรอกค่ะ ปล่อยให้คนเป็นแม่ดูก็พอ คุณปิญญ์ก็แค่คอยเป็นกำลังใจคอยทำงานดูแล
ทั้งแม่ทั้งลูกแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ”พลอยฟ้ายิ้มให้กับเจ้านาย ถึงแม้เธอจะอยากรู้ก็ตามว่าผู้หญิงที่โชคดีคนนั้นคือใคร แต่เธอก็ไม่
กล้าละลาบละล้วงถามเจ้านายไปมากกว่านี้นอกจากให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆ

   “ฉันไม่คิดว่าจะลำบากขนาดนั้น”แล้วขนมผิงล่ะ ขนมผิงที่เป็นผู้ชายและมีลูกแฝด ต้องเลี้ยงลูกตามลำพังถึงสองคน ยิ่งคิด
ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความแย่ของตัวเองที่ปล่อยให้ขนมผิงเผชิญกับชะตากรรมนั้นเพียงคนเดียว

   “ส่วนเรื่องชุด พลอยว่าคุณปิญญ์น่าจะไปเลือกซื้อเองที่ร้านมากกว่านะคะ ของพวกนี้ต้องดูเนื้อผ้าด้วย ถ้าเนื้อผ้าไม่ดีก็อาจ
จะทำให้ผิวของเด็กระคายเคืองเอา”

   “อย่างนี้เองสินะ”ปิญญ์ชานนท์พนักหน้าให้กับเลขาสาวก่อนจะกดปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์

   มือใหญ่หยิบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดก่อนจะต่อสายถึงคนที่เขาคิดถึงตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลาทำงาน ชายหนุ่มยกยิ้ม
ให้กับความคิดของตัวเอง บางทีเขาควรจะตอบแทนสิ่งที่ขนมผิงทำแทนตัวเขามาตลอดบ้าง

   ‘ขนมผิงพูดครับ’

   “นายทำอะไรอยู่ขนมผิง?”

   ‘ผมกำลัง…จะไปว่ายน้ำ’

   “ว่ายน้ำ?! นายกำลังท้องอยู่ไม่ใช่รึไง นายจะออกกำลังกายไม่ได้นะ”

   ‘ผมจำเป็นต้องออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเตรียมพร้อมที่จะผ่าคลอดเด็กออกมา’อีกฝ่าตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อย
ใจกลับมา

   “แล้วนายจะไปว่ายน้ำที่ไหน”

   ‘ที่สปาครับ’

   “ฉันนึกว่านายจะไปว่ายน้ำที่ฟิตเนสซะอีก”

   ‘ท้องผมใหญ่เกินกว่าจะออกไปว่ายน้ำในที่ที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวได้แล้วล่ะ’

   “งั้นเดี๋ยวฉันจะเป็นคนขับรถพานายไปสปาเอง”

   ‘ไม่จำเป็น คุณไม่จำเป็นจะต้องลำบาก’

   “รอฉัน อีกครึ่งชั่วโมงฉันไปถึงแล้วจะโทร”พูดเองเสร็จสรรพและตัดสายก่อนจะถูกปฏิเสธ

   ----------------------------------------------------------------------------------

   “ฉันไม่ได้เห็นนายแต่งตัวแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ”ชายหนุ่มที่ยืนพิงประตูรถคันหรูออกปากทักทายทันทีที่ร่างสูงโปร่ง
ก้าวพ้นประตูบ้านออกมา ท่อนบนสวมเสื้อยืดตัวยาวกับเสื้อคลุมตัวหลวมเพื่อปกปิดส่วนที่ป่องนูนออกมา กับกางเกงยีนส์สีซีดสี่
ส่วนแบบหลวมๆขัดกับภาพลักษณ์ในแบบปกติที่ติดตา มันเหมือกับได้ย้อนไปในวันแรกๆที่เจอกัน

   “แปลกมาเหรอครับ”ขนมผิงถามเสียงเรียบ ปรายตามองอีกฝ่าย

   “ไม่หรอก มันแค่ทำให้ฉันคิดถึงวันแรกๆที่เราเจอกัน”

   ครั้งแรกที่เขาเจอขนมผิงคือตอนที่ขนมผิงยังใส่แค่ชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นกับเสื้อสีขาวปักชื่อสัญลักษณ์โรงเรียนบนอก
ครั้งต่อมาก็คงจะเป็นชุดนักศึกษาสวมทับด้วยครุยรับปริญญา ส่วนครั้งต่อๆมา ขนมผิงก็จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสบายๆอย่างเสื้อยืด
กางเกงยีนส์แม้กระทั่งตอนที่แบกท้องลูกของเขามาเรียกร้องให้รับผิดชอบ และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นขนมผิงแต่งตัวแบบนี้
อีกเลยนอกจากชุดสุภาพทั่วไปกับชุดนอน อันที่จริงแล้วเขาเองก็แปลกใจตัวเองที่นึกจำรายละเอียดของขนมผิงได้มากขนาดนี้

   “ไปกันเถอะครับ”ขนมผิงเบือนหน้าหนีก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งในระทางฝั่งประตูที่ถูกเปิดรออยู่ก่อนแล้ว



   “สวัสดีค่ะคุณขนมผิง วันนี้ห้องเดิมรึเปล่าคะ?”พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ประจำสปาหรูกล่าวทักทายอย่างคุ้นเคย

   “ครับ”ขนมผิงพยักหน้ารับ
   “เอ๊ะ วันนี้มีเพื่อนมาด้วยเหรอคะ”พนักงานยิ้มให้กับนักธุรกิจหนุ่มโสดรูปหล่อที่เธอรู้จักดีทั้งสองคนทางหน้าหนังสือและสื่อ
ต่างๆ

   “ครับ”ตอบก่อนจะเดินตามพนักงานไปยังห้องสปาที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว

   “เชิญตามสบายนะคะ หากมีอะไรขาดเหลือติดต่อได้ที่เคาน์เตอร์เลยนะคะ”หญิงสาวพนักงานไม่วายส่งสายตามาให้เขากับ
ชายหนุ่ม

   “ขอบคุณครับ”

   “ฉันไม่ใช่เพื่อนนายนะขนมผิง”ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงเคืองเล็กน้อยหลังจากพนักงาน
ออกไป

   ขนมผิงผละตัวออกมาเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์
ระหว่างเขากับปิญญ์ชานนท์คืออะไร เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มันควรจะนิยามว่าอย่างไรกัน

   “ผมจะไปเปลี่ยนชุด หากคุณรู้สึกเบื่อคุณจะกลับก่อนก็ได้นะครับ”

   “ฉันไม่มีทางเบื่อที่ได้อยู่กับนายหรอก”

   “ตามใจครับ”

   “นี่ ตกลงนายไม่ได้ฟังที่ฉันพูดบ้างเลยรึไง”ปิญญ์ชานนท์เดินตามขนมผิงเข้ามาด้านหลังฉากที่กั้นเอาไว้สำหรับเปลี่ยน
เสื้อผ้า มือใหญ่คว้าแขนของขนมผิงเอาไว้ก่อนจะดึงเข้ามาหาตัวเอง

   “ครับ?”

   “ฉันเห็นนะว่าพนักงานที่เคาน์เตอร์เมื่อกี้ส่งสายตาให้นาย แล้วนายยังจะบอกเขาว่าฉันเป็นเพื่อนนาย นายนอกใจฉันต่อ
หน้าต่อตาเลยนะขนมผิง”

   “ผมนอกใจคุณ? ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ”

   “แล้วทำไมนายถึงไม่ปฏิเสธพนักงานว่าฉันไม่ใช่เพื่อนนาย”ไม่พูดเปล่า แต่ท่อนแขนแข็งแรงกลับเกี่ยวเอาเอวสอบเข้ามาก
อด ใบหน้าหล่อโน้มเข้าไปเกือบชิด จมูกโด่งแตะลงบนพวงแก้มขาว

   “คุณอยากจะให้ผมบอกกับพนักงานว่ายังไงล่ะ อีกอย่างปล่อยผมได้แล้ว ผมอึดอัด”เพราะว่าท้องของเขามันเริ่มใหญ่ เวลา
ที่ถูกอีกฝ่ายกอดมันทำให้อึดอัดจนเหมือนหายใจไม่ค่อยออก

   “เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เพื่อนฉันไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับนายหรอกนะ” เขากำลังคิดไปเองรึเปล่าว่าปิญญ์ชานนท์กำลังเคือง
เขาอยู่ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แขนทั้งสองข้างปล่อยออกจากเอวแล้วยกขึ้นมากอดอก ริมฝีปากหยักขบเม้มเข้าหากันแน่นอย่าง
เอาแต่ใจ

   “งั้นตอนกลับผมจะบอกเขาว่าคุณเป็นคนขับรถ ดีไหมครับ”ขนมผิงถอนหายใจ

   “เป็นแฟน ไม่สิ เป็นสามี คราวหลังถ้าคนอื่นถามนายต้องบอกว่าฉันเป็นสามี”

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกเองเถอะ ถอยไปได้แล้วครับ ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”ขนมผิงเบี่ยงตัวหันหลังให้ ซ่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าว
เอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น คำถามที่ตั้งเอาไว้เมื่อครู่ คำตอบของมันทำเอาหน้าของเขาร้อนผ่าว ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นแรงไม่เป็น
ส่ำ

   “นี่ขนาดนายกำลังท้องอยู่นายยังปล่อยให้คนอื่นมาส่งสายตาให้นายแบบนี้อีก ฉันควรจะหึงนายดีไหมล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ยัง
คงจ้องมองมาที่ขนมผิงพลางกอดอกบ่น

   “ออกไปได้แล้ว ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”

   “ฉันเคยเห็นของนายหมดแล้วน่า อีกอย่าง ฉันจะได้ดูแลนายตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าไง เผื่อนายก้มไม่ไหว หรือว่าเจ็บตรง
ไหนขึ้นมาฉันได้ช่วยทัน”

   “คนท้องครับ ไม่ใช่คนป่วย”

   “เอาเถอะ ฉันยืนหันหลังให้ นายก็ได้ รีบเปลี่ยนสิ ฉันเองก็จะเปลี่ยนเหมือนกัน”

   “จะเอาอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณ”ขนมผิงถอนหายใจออกมาเสียงเบา คงจะห้ามปิญญ์ชานนท์คนนี้ไม่ได้นัก มือผอมปลด
เสื้อผ้าตัวเองลงไปกองกับพื้น ก่อนจะหยิบกางเกงว่ายน้ำตัวใหม่ที่ใหญ่กว่าตัวเดิมที่เริ่มจะคับค่อยๆก้มลงสวมอย่างระมัดระวัง

   ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาคมของใครกำลังจ้องมองบั้นท้ายของตัวเองอยู่ในระยะใกล้ ทั้งแผ่นหลังเปลือยและช่วงเอวสอบ ต้นขา
เรียวยาวมีกล้ามเนื้อพอได้สัดส่วน เรียกให้ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเสียงดัง

   “ถ้านายไม่ได้ท้องอยู่ล่ะก็…”ปิญญ์ชานนท์พึมพำ เขาไม่ได้ทำตามสัญญาที่บอกว่าจะหันหลังให้ตอนที่ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยน
ชุด แต่กลับตรงกันข้าม เขากำลังจ้องมองขนมผิงในสภาพเปลือยยืนหันหลังและก้มอวดแก้มก้นทั้งสองข้างอยู่เบื้องหน้าตอนที่
เปลี่ยนกางเกง

   พรืด!!

   ผ้าขนหนูผืนใหญ่ถูกโยนมาใส่หน้าชายหนุ่มเต็มแรงด้วยความอับอายและไม่พอใจ

   “คุณไม่ได้หันหลัง!”พูดจบขนมผิงก็เดินหนี

   “ถ้าฉันหันหลังให้ฉันก็อดเห็นอะไรดีดีน่ะสิ”ปิญญ์ชานนท์เร่งเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำก่อนจะตามออกมา

   “คุณมันโรคจิตไม่เคยเปลี่ยน”พูดพลางหย่อนตัวลงไปในสระ

   “เอาน่า ฉันก็แค่มอง ยังไม่ได้ทำอะไรนายเสียหน่อย”ปิญญ์ชานนท์ตอบก่อนจะหย่อนตัวตามลงไป ตาคู่คมจ้องมองร่างสูง
โปร่งแหวกว่ายลงไปในสระน้ำ เขากำลังหลงใหลในตัวของอีกฝ่าย ทุกอย่างที่เป็นขนมผิง แผ่นท้องที่เคยแบนราบกลับนูนขึ้นมา
อย่างเห็นได้ชัด เขาไม่รู้เลยว่าขนมผิงจะต้องแบกรับน้ำหนักขนาดไหนตลอดเวลา แล้วถ้าอีกห้าเดือนข้างหน้า น้ำหนักและขนาด
ท้องที่ว่าจะเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะแบ่งเบาในส่วนนั้นมาบ้าง ทดแทนกับที่ขนมผิงลำบากตัวคนเดียวมา
ตลอด

   ร่างสูงว่ายน้ำตามขนมผิงไปถึงริมสระอีกฝั่ง แขนยาวโอบเอาท่อนเอวสอบแต่ด้านหน้าของมันป่องนูนเข้ามากอดก่อนจะลูบ
อย่างเบามือ

   “จะ…ทำอะไร”ขนมผิงออกปากถามเมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ผิวกายกำยำร้อนผ่าวทาบเข้ามาประชิดแผ่นหลัง ลม
หายใจร้อนเป่ารดต้นคอให้ได้ขนลุก

   “ที่ผ่านมานายคงจะเหนื่อยมากสินะ กับการต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมาตลอด”เสียงทุ้มกระซิบข้างหู ฝ่ามือเลื่อนสอด
ประครองท้องเอาไว้

   “สำหรับลูกแล้ว ผมไม่มีคำว่าเหนื่อยหรอก แล้วอีกอย่าง ผมไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว คุณแทนทัพเป็นคนช่วยผมดู
เด็กๆตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่อังกฤษ”

   “ฉันทั้งรู้สึกผิดทั้งอิจฉาที่ปล่อยให้นายดูแลลูกกับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน”

   “ช่างเถอะ ผมไม่คิดจะนึกถึงเรื่องนั้นแล้วล่ะ”ขนมผิงว่าพลางผละออก ทว่าอ้อมกอดนั่นมันก็แน่นเกินกว่าที่จะผละออกมา
ได้ หรือแท้จริงแล้วเขาเองกลับรู้สึกยินดีที่ถูกโอบกอดกัน ร่างกายถูกจับให้หันเข้าหาอีกฝ่าย กรอบหน้าถูกถึงให้เงยหน้าจ้องตอบ
ตาคู่คมที่มองมา

   “ฉันสัญญาว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่ทำหน้าที่ของพ่อและสามีให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้”

   “ผมไม่ได้ขอให้คุณทำ”หลุบตาหลบด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ถาโถมเข้ามาในเวลาเดียว คำมั่นสัญญาที่ทำให้หัวใจหวั่น
ไหวจนรู้สึกราวกับคนบ้าที่กำลังกรีดร้องอยู่ในใจตัวเอง

   “ฉันไม่ได้ทำเพราะใครมาขอหรือบังคับให้ฉันทำ แต่ที่ฉันทำเพราะว่าฉันรักนายกับลูกของเรา”

   ริมฝีปากหยักกดจูบแนบลงมาบนริมฝีปากของเขาแผ่วเบา ปลายลิ้นร้อนตวัดค่อยๆสอดเข้ามาราวกับเป็นการขออนุญาตให้
เปิดปากรับจูบอันอ่อนหวานราวกับน้ำผึ้งที่ไม่เคยได้ลิ้มลองที่ไหนมาก่อน มันจะเป็นอย่างไรต่อไปถ้าหากเขาจะเปิดใจรับ อนาคต
ที่ไม่อาจจะคะเนได้ว่าสิ่งใดกำลังรออยู่ ความสูญเสียหรือว่าความสุขถ้าหากเขาจะตอบรับสิ่งที่ใจตัวเองกำลังเรียกหา ความรู้สึก
กำลังเอื้อมไขว่คว้าราวกับเป็นของล้ำค่าที่ไม่อาจตีราคาได้

-------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทนี้แด่ความเป็นพ่อและสามี(แอบหื่น)ที่ขาดหายและความรู้สึกผิดของพ่อปิน
ตอนหน้าจะได้รู้แล้วว่าจะช้างน้อยหรือหอยสังข์ นางจะได้ซื้อกระโปรงตัวเล็กๆไหมน้อออ

ฝากอุดหนุนกันด้วยนะคะ จอง/สอบถามได้ที่แฟนเพจ หรือ sindy_lamoon@ฮอทเมล
(http://www.mx7.com/i/b19/nPGEOc.jpg) (https://www.facebook.com/SinsinsinCallMeSin/)

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-09-2016 19:29:35
นี่คุณพ่อมือใหม่จริงจังมากนะเนี่ย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 24-09-2016 19:32:11
ฝากตบกระบาลนังเลขาได้ไหม?
มีอย่างที่ไหน บอกผู้ชายว่าไม่ต้องทำอะไร รอให้เมียให้แม่เป็นคนทำก็พอ
สามีตอนนี้ช่วยดูลูกได้นะ  ยิ่งขนมผิงจะผ่าคลอดด้วย  ตอนที่ผ่าเสร็จพ่อก็ควรต้องดูลูก

เรื่องกางเกงคนท้องมีสกินนี่ยีนส์ขาเดฟด้วยนะคะ  แต่ส่วนบนช่วงหน้าท้องจะเป็นผ้ายืดเกาะมาจนถึงเหนือท้องค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 24-09-2016 19:58:08
นางมีมุมน่ารัก มีสำนึกของความเป็นสามีและพ่อคน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-09-2016 21:03:13
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 24-09-2016 22:05:17
น่าร้าก ละมุนมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-09-2016 22:50:10
 :mew5: เป็นคุณพ่อขี้เห่อจริงๆ ยังไม่ทันจะรู้เพศเลย จะซื้อแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: omuya ที่ 26-09-2016 03:00:08
ดูะป็นคนดีขึ้นนะ เดี๋ยวเอาชนะใจขนมผิงได้แล้ว ต้องไปเอาชนะใจคุณพ่อตาด้วย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 26-09-2016 09:52:50
คุณพ่อน่ารัก ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 26-09-2016 20:36:06
ตอนนี้อ่านแล้วอบอุ่นจังเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: p9hmiew ที่ 27-09-2016 00:23:34
เป็นอะไรที่ดุ เด็ด เผ็ช มันส์ ได้อีกค่ะ อิฉันติดงอมแงมไปเลย บางช่วงหน่วงๆแต่ก็อยากอ่านต่อเรื่อยๆ แหม พอได้หวานก็ทำเอาเขินไปหลายช็อตเหมือนกันนะคะ ชอบค่า มาต่ออีกเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 42.2 ความเป็นพ่อ ❖ 24-09-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: seii ที่ 27-09-2016 04:25:39
เอาจริงๆ อ่านมาทั้งเรื่อง ยังไม่ขัดใจอะไรเท่านายเอกคิดจะเเต่งงานกับชะนี
คือก็รู้สันดานนางอยู่เเล้วป่ะ? ทอ้งคู่หมั้นมาเพื่อคนรวยกกว่า
เเถมตัวเองมีลูก ยังจะเอาคนเเบบนี้มาเป็นเเม่เพื่อเเก้เเค้น?
ตอนเเรกนึกว่าเเค่เเย่งมาเฉยๆ ไม่จริงจัง เเต่ถึงกับจะหมั้น คือถ้าพระเเองไม่มาขัดอินายเอกก็โคตรซวยอ่ะ

เนื้อเรื่องโอเคค่ะ เเต่ช่องโหว่เยอะมากกกก ทั้งภาษาการพูดของตัวละคร มันยังไม่น่าเชื่อถือ
เเล้วเรื่องธุรกิจ บริษัทใหญ่โต ต้องทำการบ้านให้ดีอีกนิด อย่างน้อยก็เพื่อความสมจริง
เเต่ถ่ายทอดเเละเขียนออกมาได้ดีเเล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 03-10-2016 21:22:24
40 เซอร์ไพรส์

   “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ในเวลาดึกแบบนี้แทนที่จะเป็นตอนกลางวัน”เสียงทุ้มถามพลางจับจ้องมองครึ่ง
หนึ่งปิดด้วยแมสกับแว่นกันแดดของขนมผิง

   “ผมต้องการความเป็นส่วนตัว…ถ้าจะให้ดีคุณช่วยปล่อยมือผมจะได้ไหม”ตอบพลางจ้องมองมือใหญ่ที่ถือวิสาสะดึงมือของ
ตัวเองเข้าไปจับ

   ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยอมปล่อยแต่โดยดีแล้วเดินตามร่างสูงโปร่งเข้าไปในตึกของโรงพยาบาลเอกชน

   บรรยากาศของโรงพยาบาลในเวลากลางดึกเงียบสงัดจนได้ยินเสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทางเดิน นานครั้งถึงจะมีพยาบาล
เดินสวนมาสักคน

   “ผมมาพบหมอมานะตามที่นัดไว้ครับ”

   “เชิญทางนี้เลยค่ะ”พยาบาลสาวเคาน์เตอร์ยิ้มตอบรับอย่างคุ้นเคยก่อนจะเดินนำไปยังห้องตรวจในสุด มีอยู่บ้างที่คนไข้
ผู้ชายจะมาตรวจโรคบางอย่างที่แผนกนี้ แต่สำหรับคนไข้คนนี้เธออดแปลกใจไม่ได้เลยว่าทำไมถึงมาพบหมอมานะทุกเดือนและ
ที่สำคัญเอกสารหรือประวัติการจ่ายยาทุกอย่างจะถูกเก็บเป็นความลับทั้งหมดราวกับว่าไม่ต้องการจะให้ใครได้ล่วงรู้ข้อมูลอะไร
เกี่ยวกับคนไข้นี้เลย

   ปิญญ์ชานนท์เดินตามขนมผิงเข้าไปในห้องตรวจอย่างเงียบๆ หัวใจที่อยู่ในกระหน่ำรัวด้วยความตื่นเต้น วันนี้แล้วที่เขาจะ
ได้เห็นหน้าลูกอีกคนที่อยู่ในท้องของขนมผิง ถึงจะเป็นแค่ภาพอัลตร้าซาวด์แต่มันก็อดที่จะตื่นเต้นและดีใจไม่ได้เลย

   “คนนี้คือ”หมอมานะปรายตามองมาที่ร่างสูงของปิญญ์ชานนท์ด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วขนมผิงจะมาด้วยตัวคนเดียว
ตลอดในยามวิกาลที่แทบจะไม่มีคนไข้แบบนี้ เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวและต้องการที่จะให้เรื่องนี้เป็นความลับ แต่ดูจาก
ลักษณะและหน้าตาที่คุ้นเคยตามสื่อต่างๆแต่ง คุณหมอวัยไล่เลี่ยกันรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้คือหนุ่มนักธุรกิจเจ้าของกิจการสิ่งทอที่
กำลังขับเคี่ยวกันกับหนุ่มนักธุรกิจหนุ่มที่เป็นคนไข้ของเขา แล้วทำไมถึงได้มาด้วยกันได้ เขาเองก็ยังแปลกใจ

   “ไม่เป็นไรครับ เขาจะมาฟังผลตรวจด้วย”ขนมผิงพูดตอบด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบก่อนจะปลดแมสกับแว่นกันแดดออกจาก
ใบหน้า

   นานนับชาวโมงกับการตรวจร่างกายและถามไถ่อาการต่างๆ ปิญญ์ชานนท์อดทึ่งไม่ได้เลยกับข้อมูลมากมายที่จำเป็นจะ
ต้องเอาไว้ใจใส่กับเด็กอ่อนที่อยู่ในท้อง เพราะถูกกำชับมาตั้งแต่แรกแล้วว่าให้นั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆชายหนุ่มเลยไม่กล้าที่จะเอ่ย
ปากขัดเพราะกลัวจะถูกไล่ออกไปอย่างที่ถูกขู่เอาไว้ก่อนหน้า ได้แต่นั่งฟังอยู่ข้างๆด้วยความตั้งใจ บทบาทของผู้เป็นพ่อถูก
หยิบยกขึ้นมาสวมอย่างอัตโนมัติ



   “ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองนะครับ คราวนี้หมอคิดว่าน่าจะรู้เพศของเด็กได้แล้ว”หมอมานะบอกพลางยิ้ม

   ปิญญ์ชานนท์ยืนจ้องมองร่างของขนมผิงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงสลับกับหน้าจอที่กำลังจะแสดงผลในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ตาคู่ดุกระพริบไปมาเมื่อภาพตรงหน้าจอค่อยๆเคลื่อนไหว

   “หืม?”คุณหมอชะงักมือที่ถืออุปกรณ์ทาบลงบนแผ่นท้องของขนมผิงเอาไว้เมื่อมองเห็นถึงสิ่งผิดปกติบนหน้าจอ

   “มีอะไรเหรอครับ”

   “มันไม่น่าจะผิดพลาดได้”


   “ผิดพลาดอะไรเหรอครับ”คราวนี้เป็นปิญญ์ชานนท์ที่ออกปากถามเองหลังจากเห็นสีหน้าของหมอมานะมีท่าทีประหลาดใจ

   “อาจจะเป็นเพราะว่าครั้งที่แล้วอายุครรภ์ของคุณขนมผิงยังน้อยแล้วก็เครื่องมือที่ที่ใช่ตรวจครั้งนั้นไม่ทันสมัยพอจึงทำให้
มองเห็นได้ไม่ชัด”

   “ลูกของผมเป็นอะไรเหรอครับ”ขนมผิงถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

   “เปล่าหรอกครับ เด็กในครรภ์ของคุณปกติดีทุกอย่าง แต่ที่ผมคิดว่าแปลกก็คือตอนนี้ในครรภ์ของคุณมีเด็กอยู่สองคน คุณ
ได้ลูกแฝดนะครับยินดีด้วย”

   

   

   บทที่ 43 ความหวังของพ่อ

   “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ในเวลาดึกแบบนี้แทนที่จะเป็นตอนกลางวัน”เสียงทุ้มถามพลางจับจ้องมองครึ่ง
หนึ่งปิดด้วยแมสกับแว่นกันแดดของขนมผิง

   “ผมต้องการความเป็นส่วนตัว…ถ้าจะให้ดีคุณช่วยปล่อยมือผมจะได้ไหม”ตอบพลางจ้องมองมือใหญ่ที่ถือวิสาสะดึงมือของ
ตัวเองเข้าไปจับ

   ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยอมปล่อยแต่โดยดีแล้วเดินตามร่างสูงโปร่งเข้าไปในตึกของโรงพยาบาลเอกชน

   บรรยากาศของโรงพยาบาลในเวลากลางดึกเงียบสงัดจนได้ยินเสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทางเดิน นานครั้งถึงจะมีพยาบาล
เดินสวนมาสักคน

   “ผมมาพบหมอมานะตามที่นัดไว้ครับ”

   “เชิญทางนี้เลยค่ะ”พยาบาลสาวเคาน์เตอร์ยิ้มตอบรับอย่างคุ้นเคยก่อนจะเดินนำไปยังห้องตรวจในสุด มีอยู่บ้างที่คนไข้
ผู้ชายจะมาตรวจโรคบางอย่างที่แผนกนี้ แต่สำหรับคนไข้คนนี้เธออดแปลกใจไม่ได้เลยว่าทำไมถึงมาพบหมอมานะทุกเดือนและ
ที่สำคัญเอกสารหรือประวัติการจ่ายยาทุกอย่างจะถูกเก็บเป็นความลับทั้งหมดราวกับว่าไม่ต้องการจะให้ใครได้ล่วงรู้ข้อมูลอะไร
เกี่ยวกับคนไข้นี้เลย

   ปิญญ์ชานนท์เดินตามขนมผิงเข้าไปในห้องตรวจอย่างเงียบๆ หัวใจที่อยู่ในกระหน่ำรัวด้วยความตื่นเต้น วันนี้แล้วที่เขาจะ
ได้เห็นหน้าลูกอีกคนที่อยู่ในท้องของขนมผิง ถึงจะเป็นแค่ภาพอัลตร้าซาวด์แต่มันก็อดที่จะตื่นเต้นและดีใจไม่ได้เลย

   “คนนี้คือ”หมอมานะปรายตามองมาที่ร่างสูงของปิญญ์ชานนท์ด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วขนมผิงจะมาด้วยตัวคนเดียว
ตลอดในยามวิกาลที่แทบจะไม่มีคนไข้แบบนี้ เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวและต้องการที่จะให้เรื่องนี้เป็นความลับ แต่ดูจาก
ลักษณะและหน้าตาที่คุ้นเคยตามสื่อต่างๆแต่ง คุณหมอวัยไล่เลี่ยกันรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้คือหนุ่มนักธุรกิจเจ้าของกิจการสิ่งทอที่
กำลังขับเคี่ยวกันกับหนุ่มนักธุรกิจหนุ่มที่เป็นคนไข้ของเขา แล้วทำไมถึงได้มาด้วยกันได้ เขาเองก็ยังแปลกใจ

   “ไม่เป็นไรครับ เขาจะมาฟังผลตรวจด้วย”ขนมผิงพูดตอบด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบก่อนจะปลดแมสกับแว่นกันแดดออกจาก
ใบหน้า

   นานนับชาวโมงกับการตรวจร่างกายและถามไถ่อาการต่างๆ ปิญญ์ชานนท์อดทึ่งไม่ได้เลยกับข้อมูลมากมายที่จำเป็นจะ
ต้องเอาไว้ใจใส่กับเด็กอ่อนที่อยู่ในท้อง เพราะถูกกำชับมาตั้งแต่แรกแล้วว่าให้นั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆชายหนุ่มเลยไม่กล้าที่จะเอ่ย
ปากขัดเพราะกลัวจะถูกไล่ออกไปอย่างที่ถูกขู่เอาไว้ก่อนหน้า ได้แต่นั่งฟังอยู่ข้างๆด้วยความตั้งใจ บทบาทของผู้เป็นพ่อถูก
หยิบยกขึ้นมาสวมอย่างอัตโนมัติ



   “ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองนะครับ คราวนี้หมอคิดว่าน่าจะรู้เพศของเด็กได้แล้ว”หมอมานะบอกพลางยิ้ม

   ปิญญ์ชานนท์ยืนจ้องมองร่างของขนมผิงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงสลับกับหน้าจอที่กำลังจะแสดงผลในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ตาคู่ดุกระพริบไปมาเมื่อภาพตรงหน้าจอค่อยๆเคลื่อนไหว

   “หืม?”คุณหมอชะงักมือที่ถืออุปกรณ์ทาบลงบนแผ่นท้องของขนมผิงเอาไว้เมื่อมองเห็นถึงสิ่งผิดปกติบนหน้าจอ

   “มีอะไรเหรอครับ”

   “มันไม่น่าจะผิดพลาดได้”

   “ผิดพลาดอะไรเหรอครับ”คราวนี้เป็นปิญญ์ชานนท์ที่ออกปากถามเองหลังจากเห็นสีหน้าของหมอมานะมีท่าทีประหลาดใจ

   “อาจจะเป็นเพราะว่าครั้งที่แล้วอายุครรภ์ของคุณขนมผิงยังน้อยแล้วก็เครื่องมือที่ที่ใช่ตรวจครั้งนั้นไม่ทันสมัยพอจึงทำให้
มองเห็นได้ไม่ชัด”

   “ลูกของผมเป็นอะไรเหรอครับ”ขนมผิงถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

   “เปล่าหรอกครับ เด็กในครรภ์ของคุณปกติดีทุกอย่าง แต่ที่ผมคิดว่าแปลกก็คือตอนนี้ในครรภ์ของคุณมีเด็กอยู่สองคน คุณ
ได้ลูกแฝดนะครับยินดีด้วย”

   “แฝดเหรอครับ?”ขนมผิงหลุดถามออกไปเสียงเบา ใบหน้าเริ่มแสดงออกถึงความเป็นกังวล

   “ครับคุณได้ลูกแฝด”

   “แล้วทั้งสองคนปกติดีใช่ไหมครับ”ขนมผิงถามเสียงเบา

   ทำให้หมอมานะหันขยับเครื่องมีในมืออีกครั้งด้วยท่าทางเคร่งเครียด ขับปิญญ์ชานนท์ได้แต่จ้องมองภาพบนหน้าจอด้วย
ความเงียบงัน กลัวเหลือเกินว่าลูกจะไม่ยอมแยกตัวออกจากกันเหมือนอย่างที่เขาเป็น กลัวที่จะต้องเสียใครคนใดคนหนึ่งไป ทว่า
มือความอุ่นที่กอบกุมมือเอาไว้เรียกให้ใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นรอยยิ้มที่ดูดีใจราวกับว่าต้องการจะให้กำลังใจส่งมาจาก
ปิญญ์ชานนท์ มือใหญ่กระชับมือของเขาเอาไว้แน่น

   “วางใจได้ครับ ทั้งสองคนตัวแยกออกจากกันสมบูรณ์ดี ไม่มีอะไรที่น่าห่วงครับ”คำตอบของคุณหมอทำให้ขนมผิงถอน
หายใจอย่างโล่งใจ ยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มที่ส่งให้กับปิญญ์ชานนท์นั้นแสดงออกถึงความสุขที่มีมากแค่ไหน

   “ลูกของผมเป็นลูกสาวทั้งคู่ใช่ไหมหมอ”ปิญญ์ชานนท์หันไปถามด้วยความตื่นเต้น การได้ลูกสาวตัวเล็กๆถึงสองคนมันช่าง
เป็นโชคดีอะไรขนาดนี้ นึกภาพตอนที่อุ้มเด็กผู้หญิงน่ารักๆไว้ทั้งสองคน แล้วก็มีลูกชายที่คอยปกป้องน้องสาววิ่งเล่นอยู่รอบๆอีก
สองคน ดูท่าเขาคงจะต้องเริ่มไว้หนวดกับเขาบ้างแล้ว ทว่า

   “ลูกของคุณ?”หมอมานะหันมามองหน้าของชายหนุ่มพลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

   “ใช่ ลูกของผมเอง ผมเป็นพ่อของเด็กที่หมอกำลังจ้องอยู่ในจอ หมอมีปัญหาอะไรรึเปล่า”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับอย่างเต็ม
ปากเต็มคำเรียกให้ขนมผิงบีบกระชับมือใหญ่ที่จับอยู่เอาไว้แน่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะพูดขัดหรือปฏิเสธออกไป

   “เปล่าครับ ผมแค่แปลกใจเพราะไม่คิดว่าคุณทั้งสองคนจะสนิทกันกว่าที่คิดน่ะครับ ยังไงก็ยินดีกับคุณปิญญ์ชานนท์ด้วยก็
แล้วกัน”คุณหมอว่าพลางหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

   

   “คุณได้ลูกชายนะครับ ทั้งสองคนเลย”

   “เดี๋ยวนะหมอ หมอบอกว่าลูกชายเหรอ”คำตอบของหมอทำให้ปิญญ์ชานนท์ถามกลับไปทันทีอย่างไม่เชื่อหู

   “ครับเป็นเด็กผู้ชายทั้งสองคนนะครับ”

   “ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ หมอดูดีรึยัง แล้วเครื่องมือนี่มั่นใจได้แค่ไหน หมอลองดูอีกที่ได้ไหม”

   “คุณปิญญ์”ขนมผิงกระตุกมือที่จับเอาไว้แน่นเป็นการปรามเมื่อปิญญ์ชานทท์เริ่มวุ่นวาย

   “มันต้องมีอะไรผิดพลาดสิหมอ ผมแน่ใจว่าผมได้ลูกสาว”

   “คุณปิญญ์ ถ้าคุณจะมาโวยวายอะไรอย่างนี้ล่ะก็ออกไปรอข้างนอกเถอะ”

   “นายอย่าพูดอย่างนั่นสิขนมผิง ลูกของเราต้องเป็นลูกสาวไม่รึไง”

   “คุณมันประสาท คุณหมอไม่ต้องสนใจเขาหรอกครับ”ขนมผิงหันไปบอกก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย ทำไมเขาถึงได้นึกขำกับ
ท่าทีของปิญญ์ชานนท์กัน ใบหน้าหล่อเหลานิ่วหน้า คิ้วดกดำขมวดมุ่น ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันแน่น เอาแต่จ้องหน้าจอที่
แสดงผลไม่วางตา

   “ไม่เป็นไรครับ คุณพ่อหลายคนก็เป็นแบบนี้แหละครับ มีผิดหวังกันบ้าง”

   “หมอดูให้อีกทีได้ไหม”หันมาจ้องหน้าหมอมานะพลางบอกเสียงอ่อย

   “ครับ คุณเห็นตรงนี้ไหมครับ แล้วก็ตรงนี้ เป็นอวัยวะของเพศชาย”

   “เข้าใจแล้วล่ะ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้า สีหน้าบ่งบอกถึงความผิดหวัง โครงการไว้หนวดที่ตั้งเอาไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า



   ------------------------------------------------------------

   “คุณปิญญ์”ขนมผิงเรียกเสียงเบาขณะที่รถยนต์คันที่นั่งอยู่ขับแล่นไปบนถนนเบื้องหน้ายามค่ำคืนที่รถไม่ค่อยติด ความ
เงียบงันที่เกิดขึ้นภายในรถทำให้เจ้าของร่างสูงโปร่งหันไปมองเสี้ยวหน้าคมคายของชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วงปนสะใจเล็กน้อย

   “ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันอุตส่าห์มั่นใจว่าลูกของเราจะต้องเป็นผู้หญิง ทำไมลูกถึงได้มีไอ้นั่นทั้งสองคนเลย อย่างน้อยก็น่าจะ
เป็นผู้หญิงสักคนก็ยังดี”

   “แล้วถ้าลูกเป็นผู้ชายคุณจะไม่ยอมรับรึไง”

   “มันไม่ใช่อย่างนั้น นายต้องเข้าใจฉันบ้างสิว่าฉันอยากได้เด็กผู้หญิงน่ารักๆ ฉัยอยากไว้หนวด อยากจะหวงลูกสาวกับเขา
บ้าง ทำไมกันนะ ทำไม”คำพูดของปิญญ์ชานนท์พร้อมกับท่าทางเจ็บใจนั้นมันทำให้ขนมผิงหลุดขำหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

   “เพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนแบบนี้”ขนมผิงพึมพำเสียงเบาก่อนจะหันกลับไปจ้องมองถนนเบื้องหน้า ทำไมกัน เขาถึงได้รู้สึกว่า
ความทุกข์ที่อยู่ในใจมันกำลังละลายหายไป ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าจะมีสิ่งที่ยังต้องเผชิญอยู่อีกมาก แต่ปิญญ์ชานนท์ที่อยู่ข้างๆเขา
ในเวลานี้ทำให้เขาเริ่มไม่ใส่ใจที่จะกลัวมันอีกต่อไป

   “นายหัวเราะอะไร”

   “เปล่านี่ครับ”ขนมผิงตอบรับทั้งที่ตายังคงจับจ้องแสงไฟบนท้องถนนทั้งสองข้างทาง

   “ถ้าฉันไม่ขับรถอยู่ล่ะก็ ฉันจะจับนายมาจูบซะให้เข็ด”

   “เมื่อไรจะหยุดทำตัวโรคจิตสักที”ขนมผิงส่ายหน้า แต่ริมฝีปากได้รูปกลับซ่อนยิ้มเขินอายเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

   “นายกำลังสมน้ำหน้าฉันอยู่ใช่ไหม”

   “เปล่านี่ครับ”ขนมผิงไหวไหล่ “แล้วคุณไม่ดีใจรึไง…ที่เด็กในท้องของผมเป็นเด็กแฝด”หลุดถามออกไปอย่างที่ใจคิด พอ
รู้ตัวอีกทีก็อยากที่จะกัดปากตัวเองที่ถามออกไปแบบนั้น

   “ดีใจสิ ฉันดีใจมากเลยล่ะ ตอนนี้เราก็มีลูกด้วยกันสี่คนแล้วนะ ฉันยังรอคำตอบของนายอยู่นะขนมผิง”

   “อืม”ขนมผิงพยักหน้ารับ คำตอบที่ว่านั่นในเวลานี้มีมันแล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าที่จะตอบออกไป “คุณผิดหวังมากไหม ที่ไม่
ได้ลูกสาว”

   “ไม่เป็นไร เอาไว้ฉันค่อยทำใหม่ก็ได้ รับรองครั้งหน้าเป็นเด็กผู้หญิงแน่ นายเตรียมใจไว้ได้เลย”



   -------------------------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 03-10-2016 21:32:53
พลาดหวังกับครั้งที่ 2 ก็ยังไม่ยอมแพ้  ลูก 4 แล้วนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-10-2016 21:38:56
ขำคุณพ่อ อดไว้หนวด 5555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-10-2016 21:40:16
ง่าาา ได้แฝดชายแอีกแว้ววว. อิอิ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 03-10-2016 22:19:25
สมน้ำหน้าอะ ห้า ๆ

จะลูกห้าลูกหกก็เลี้ยงได้อยู่แล้ว รวยทั้งพ่อทั้งแม่ขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 04-10-2016 01:02:37
น้องทองหยิบ ทองหยอด
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 04-10-2016 12:10:31
รอรอบต่อไป ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 04-10-2016 21:00:31
สะใจจัง55555
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 05-10-2016 00:28:15
หูย บ้านนี้ลูกผู้ชาย4คนเลยเว้ย  สมน้ำหน้าปิณเว่อร์ดีนัก ได้ลูกผู้ชายก็ดีนิ งอแงตลกมากมาย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: p9hmiew ที่ 06-10-2016 01:18:43
ไม่เป็นไร เอาไว้ทำใหม่ก็ได้
พีคคคคคค55555555 รักกันไวๆน้า ขอให้ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43 เซอร์ไพรส์ ❖ 03-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 06-10-2016 14:53:30
ต่อ


“ไปไหนมาดึกๆดื่นๆล่ะ แม่ของลูกบอกว่าไปหาที่ห้องแล้วไม่เจอ”เสียงทุ้มต่ำของพิศณุเรียกให้ร่างสูงโปร่งสะดุ้งเฮือกจ้องมองไป
ยังมุมมืดริมโถงของตัวบ้านที่ติดกับทางเดินห้องครัว

   “ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”ขนมผิงถามเสียงแผ่ว

   “ลงมากินน้ำน่ะ ได้ยินเสียงประตูบ้านก็เลยคิดว่าเป็นเรา ว่าแต่ยังไม่ตอบพ่อเลยว่าไปไหนมาดึกๆดื่นๆ”

   “ผิง…”ขนมผิงอ้ำอึ้ง ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่เขายังตอบความจริงในตอนนี้ไม่ได้ คิดได้ดังนั้นมือทั้งสองข้างก็กำเข้าหา
กันแน่น จ้องมองใบหน้าของคนเป็นพ่อที่มองมาด้วยสีหน้าจับผิด

   “ไปกับคุณปิญญ์มาใช่ไหม”

   “ครับ ผิงไปกับคุณปิญญ์มา”คิดนานชั่วอึดใจก่อนจะตอบออกไป

   “ตามพ่อมา เราสองคนมีอะไรจะต้องคุยกัน”ผู้เป็นพ่อเดินนำเข้าไปในห้องรับแขกก่อนจะนั่งลงบนโซฟา มือที่มีริ้วรอยหยิบ
รีโมททีวีขึ้นมาเปิดช่องข่าวทิ้งเอาไว้เพื่อดับความเงียบในยามค่ำคืน

   “มีอะไรเหรอครับ”

   “รู้ใช่ไหมว่าพ่อกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

   “ผิง…ไม่รู้”ขนมผิงส่ายหน้าเบาๆ ตาคู่สีโศกหลุบต่ำจ้องมองปลายเท้าตัวเองที่เหยียดออกไป มือกระชับเสื้อคลุมตัวยาวเข้า


มากันเพื่อที่จะปกปิดท้องที่ยื่นออกมา

   “ทำไมถึงได้ไปกับคุณปิญญ์เขาทั้งที่พ่อเองก็เคยบอกว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเข้าใกล้เขา”

   “ผิงอยากรู้เหตุผล ว่าทำไมพ่อถึงห้ามไม่ให้ผิงเข้าใกล้เขา”จู่ๆผู้เป็นพ่อที่เป็นคนสบายๆก็ลุกขึ้นมาต่อต้านเรื่องเล็กๆอะไร
แบบนี้มันทำให้ขนมผิงเริ่มที่จะสงสัยและอดที่จะถามออกไปไม่ได้


   “นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่เขาคิดมันเหมาะสมยังไงล่ะ พ่อไม่อยากที่จะให้ลูกชายของตัวเองเจ็บเหมือนอย่างที่เคยเป็น ทางที่ดี
หลังจากจบงานนี้ผิงอย่าไปเจอเขาอีกเลยนะ ถือว่าพ่อขอก็แล้วกัน”

   “ทำไมล่ะครับ ทั้งที่เขาช่วยผิงเอาไว้”

   “พ่อก็ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังกับความสัมพันธ์แบบนี้หรอกนะ ผิงให้คำตอบพ่อได้ไหมว่าจบงานนี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา

อีก”

   “ผิง...”ขนมผิงอ้ำอึ้ง จู่ๆก็ถูกห้ามไม่ให้เจอกับปิญญ์ชานนท์ ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อนความเกลียดชังที่มีทำให้ไม่ต้องเสีย
เวลาคิดเลยสักนิดกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ทำไมหัวใจที่อยู่ในอกมันรู้สึกไหววูบและเสียใจขึ้นมา “ผิงทำไม่ได้” ขนมผิงตอบในสิ่งที่ใจคิดออกมาหลังจากอ้ำอึ้งอยู่นาน ใบหน้าคมนิ่งเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นพ่อด้วยความสับสน และรู้สึกผิด


   “รักเขาแล้วใช่ไหม”

   “ผิงไม่ได้…”ราวกับริมฝีปากมันหนักอึ้ง ไม่อยากจะโกหก แต่ก็ยังไม่อยากที่จะยอมรับให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกเสียใจ

   “จนได้สินะ พ่อไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว มันยากที่จะเข้าใจกับเรื่องซับซ้อนแบบนี้ แต่พ่อก็ยังยืนยันคำเดิม พ่ออยากให้ผิงมี
ความสุข เพราะไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไร ทางที่ดีก็ควรจะหลีกเลี่ยงมันเอาไว้จะดีกว่า เวลามันจะช่วยให้ทุกอย่าง
ดีขึ้น ส่วนธุระที่เหลือเกี่ยวกับสินค้าที่ทางนั้นช่วยผลิตให้ ต่อไปนี้พ่อจะเป็นคนจัดการเอง”พูดจบผู้เป็นพ่อก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออก
ไป

   ทิ้งให้ขนมผิงทิ้งตัวลงกับพนักพิงของโซฟาด้วยความเหนื่อยอ่อน เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงอย่างหนักใจเมื่ออะไรที่กลัว
เอาไว้มันกำลังจะคืบคลานเข้ามา พ่อของเขาไม่ยอมรับปิญญ์ชานนท์ นี่คือสิ่งที่รับรู้ได้ทางการกระทำและคำพูดพวกนั้น ดูเหมือน
ว่าปัญหาที่รออยู่ข้างหน้ามันเริ่มที่จะก่อตัวสูงขึ้นอีกครั้ง



   -----------------------------------------------------------------------

   

   “เป็นยังไงบ้างครับ ลูกสาวของคุณแข็งแรงดีรึเปล่า”มาลิศถามไถ่ขณะยืนรอให้เจ้านายเซ็นเอกสารที่เพิ่งจะเอามาให้ แต่ก็
ต้องรู้สึกหลังเย็นวาบเมื่อตาคู่ดุตวัดขึ้นมาจากเอกสารแล้วมองมาที่ตน

   “ลูกสาวที่ไหนกัน นายอย่าพึ่งมาพูดให้ฉันเจ็บใจจะได้ไหมมาลิศ อุตส่าห์มั่นใจแล้วแท้ๆว่าได้ลูกสาวน่ารักๆ แต่ทำไมถึงได้
ออกมาเป็นแฝดผู้ชายอีกแล้วก็ไม่รู้”พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาตรวจทานเอกสารในมือต่อ

   “แฝดอีกแล้วเหรอครับ ยินดีด้วยนะครับ”

   “ฉันได้ยินเสียงหัวเราะของนายนะมาลิศ”ปิญญ์ชานนท์บอกออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วย
ผิดหวังอย่าเห็นได้ชัด

   “คุณคงจะคิดไปเองนะครับ”มาลิศตอบรับเจ้านาย ไม่วายแอบอมยิ้มพยายามกลั้นหัวเราะในเวลาที่เจ้านายเผลอ

   “แล้วเรื่องที่ให้นายจัดการล่ะ ไปถึงไหนแล้ว”

   “ตอนนี้เจ้าตัวยอมรับข้อเสนอที่ทางเรายื่นให้และรับสารภาพแล้วครับ ตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐานคิดว่าคงจะจัดการพร้อม
กับคดีฟอกเงินเลยทีเดียวครับ”

   “งั้นก็ดีแล้ว ฉันไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้กลัวว่าเจ้าตัวจะไหวตัวได้ซะก่อน”

   “ตอนนี้ได้ยินว่ากำลังวิ่งเต้นเพื่อหาคนคอยหนุนหลังอยู่น่ะครับ เห็นว่าพาลูกสาวไปแนะนำตัวกับลูกชายของอธิบดีกรม
สอบสวนพิเศษ คงจะต้องการให้ตัวเองพ้นผิดโดยใช้ลูกสาวเป็นตัวช่วยน่ะครับ”

   “งั้นก็ติดต่ออธิบดีกรมสอบสวนพิเศษไปว่าฉันมีข้อเสนอดีดีจะยื่นให้ หวังว่าเขาคงจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของฉันแล้วเอาตัว
องไปพัวพันกับเรื่องที่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารแล้วยื่นมัน
ให้กับเลขา

   “ครับ”



   --------------------------------------------------------------------------------

คราวนี้เป็นผิงบ้างที่ขุ่นพ่อยื่นคำขาด คุณพ่อตานี่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะมีหลานคนที่สามคนที่สี่ตามมา
จบตอนนี้เจ๊จะลากเข้าอ่าวแล้วนะ ออกทะเลมาไกลเกินละ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43.2 ห้าม ❖ 06-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-10-2016 19:02:25
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43.2 ห้าม ❖ 06-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 06-10-2016 19:20:42
คุณพ่อตาไม่ยอมง่่าย ๆ แฮะ ถ้ารู้ว่ารอบก่อนก็เป็นคุณปินนี้จะไม่ยิ่งขัดขวางเหรอ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43.2 ห้าม ❖ 06-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-10-2016 19:53:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43.2 ห้าม ❖ 06-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 06-10-2016 22:49:47
พ่อตานี่มาไม่มีเหตุผลเหมือนขนมผิงช่วงแรกๆเลย  อุปสรรคมีเข้ามาอีกแล้ว  หวังว่าคุณแม่ยายจะช่วยได้
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43.2 ห้าม ❖ 06-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-10-2016 00:18:25
คุณตาไม่สงสารหลานหรอคะ
ทำไมไม่ให้คุณปิณพิสูจน์ตัวเองบ้าง
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43.2 ห้าม ❖ 06-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 07-10-2016 19:27:56
ยิ่งขัดขวาง ยิ่งอยากเข้าใกล้ ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 43.2 ห้าม ❖ 06-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 16-10-2016 20:09:36
ตอน…แต่ละวันของปิญญ์ชานนท์


                                 ใครจะไปรู้ว่าว่าที่คุณพ่อมือใหม่คนนี้พยายามมากแค่ไหน



                                 ใครจะไปรู้ว่าว่าที่คุณพ่อมือใหม่คนนี้จริงจังมากแค่ไหน



                                 และใครจะไปรู้ว่าว่าที่คุณพ่อมือใหม่คนนี้ขี้เห่อมากแค่ไหน



                                 เขาตั้งใจยกดัมเบลในมือขึ้นลงนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อมีกล้ามเนื้อแขนที่แข็งแรง



                                 เขาตั้งใจซิตอัพไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเพื่อมีหน้าท้องที่แบนราบไม่ลงพุง



                                 เขาตั้งใจวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าเพื่อมีกล้ามเนื้อขาที่สวยงามเตรียมพร้อมรับทุกสภถานะการณ์



                                 ทั้งหมดนี้เขาทำเพื่อที่ตัวเองจะได้ดูดีต่อหน้าขนมผิงเวลาที่เจอกัน



                                 เขาทำเพื่อที่จะได้รับคำชมจากลูกชายแฝดทั้งสองว่าเขานั้นทั้งหล่อและเท่น่าเอาเป็นแบบอย่าง



                                 ปิญญ์ชานนท์ยืนเอียงซ้ายขวาหันข้างไปมาหน้ากระจก ตาคู่คมจ้องมองร่างสูงใหญ่กายท่อนบนเปลือย
อวดแผงอกกำยำท่อนเอวได้รูปอีกทั้งยังมีซิกแพ็คสวยงามน่าพึงพอใจ เขายิ้มให้กับความหล่อเหลาของตัวเอง หากขนมผิงเห็น
ต้องอดใจไม่ไหวแน่ เขามั่นใจว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น



                                 มือใหญ่เอื้อมหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กก่อนจะเดินออกจากห้องออกกำลังกายในบ้าน สวนทางกับผู้เป็นพ่อ
ที่กำลังเดินมาพร้อมกับพยาบาลส่วนตัวประคองอยู่ข้างกาย



                                 และแน่นอนว่าแม้แต่พยาบาลผู้ชายก็ยังจ้องมองเขาด้วยความอิจฉา เขามั่นใจจากสายตา ซึ่งไม่รู้ว่า
เอาอะไรมาเป็นตัวตัดสิน



                                 “แกนี่มันงานการไม่ทำจริงๆ”อาทิตย์ส่ายหน้าให้กับลูกชายที่สายป่านนี้แล้วยังมัวแต่บ้าออกกำลังกาย
ไม่ยอมไปทำงานทำการ



                                 เป็นเวลาร่วมเดือนได้แล้วที่ทุกเช้าลูกชายตัวดีเอาแต่ตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลังก่อน
จะออกไปทำงาน ไม่รู้ว่าถูกผีอะไรเข้าถึงได้นับวันยิ่งทำแต่เรื่องไร้สาระ



                                 พอว่างจากการออกกำลังกาย เมื่อก่อนหากจะคุยกันก็คงจะเป็นเรื่องงานเรื่องธุรกิจ แต่ตอนนี้เอาแต่คุย
ถึงเรื่องลูกสาวที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช่ลูกสาวจริงๆอย่างที่เห่อนักหนารึเปล่า จำได้ว่าตอนที่เขารู้ตัวว่ากำลังมีลูกเขาไม่เคยออก
หน้าออกตาเท่านี้มาก่อน



                                 “ผมต้องดูดี จะได้ชนะใจลูกเมีย”คำตอบของปิญญ์ชานนท์ทำให้อาทิตย์แสยะยิ้ม อยากจะหัวเราะให้
ฟันหัก ไม่เว้นแต่พยาบาลส่วนตัวที่พยายามกลั้นหัวเราะ ได้แต่อมยิ้ม



                                 “หึ ว่างๆแกน่าจะไปเช็คสมองบ้างนะ”



                                 “ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น”



                                 “แกบอกว่าไม่ว่างแต่มีเวลาออกกำลังกายบ้าบอทุกวี่ทุกวันเนี่ยนะ แกน่าจะเอาเวลาออกกำลังกายสัก
นาทีครึ่งนาทีของแกไปโกนหนวดออกซะบ้าง พนักงานที่บริษัทเห็นเข้าจะคิดว่าแกเป็นโจร”



                                 “ผมไว้หนวดรอลูกสาวของผมต่างหาก สักวันอาจจะมีคนมาจีบหลานสาวของพ่อเขาจะได้เกรงใจ
หนวดผมบ้าง”



                                 “ไร้สาระจริงๆ แกจะไปไหนก็ไป คุยกับแกไปก็คงไม่ได้อะไร เสียเวลาทำกายภาพบำบัดของฉัน
จริงๆ”อาทิตย์ส่ายหน้าให้กับความไร้สาระของลูกชาย



                                 “วันนี้พ่ออยากจะกินอะไรเป็นพิเศษไหม เผื่อผมจะแวะซื้อขากลับ”



                                 “แล้วแต่แกก็แล้วกัน ฉันไม่ได้อยากอะไรเป็นพิเศษ”



                                 “อาบน้ำเสร็จผมจะออกไปทำงานเลย”ปิญญ์ชานนท์บอกล่าวเสร็จสรรพก่อนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไปยัง
ห้องนอนของตัวเองเพื่อจะอาบน้ำเตรียมไปทำงาน



                                 ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำก็อดไม่ได้ที่จะแวะหน้ากระจก เอียงตัวสี่สิบห้าองศาอีกครั้งเพื่อจ้อง
มองซิกแพ็คของตัวเองแล้วยกแขนเบ่งกล้ามอวดตัวเองในกระจก



                                 มันน่าอายที่ตอนนั้นเขาไม่มีเวลาออกกำลังกายจึงทำให้มีพุงยื่นออกมา แล้วขนมผิงก็ดันมาเห็นเข้า
หนำซ้ำยังโดนหัวเราะเยาะใส่มาอีก คราวนี้ล่ะ ถ้าขนมผิงเห็นซิกแพ็คของเขาขนมผิงจะต้องทั้งชมทั้งอิจฉาเขาแน่ เขารับประกัน
ได้เลย
 

------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ ตอน...ซิกแพคของปิญญ์ชานนท์ ❖ 16-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-10-2016 01:25:02
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ ตอน...ซิกแพคของปิญญ์ชานนท์ ❖ 16-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 17-10-2016 14:28:29
เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ ตอน...ซิกแพคของปิญญ์ชานนท์ ❖ 16-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 17-10-2016 14:42:05
กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ ตอน...ซิกแพคของปิญญ์ชานนท์ ❖ 16-10-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-11-2016 23:07:33
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 05-11-2016 13:57:56
41 เสี้ยนหนาม

   ครืดดด

   เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงสั่นเบาๆปลุกให้ชายหนุ่มที่กำลังคร่ำเคร่งกับเอกสารในแฟ้มเบื้องหน้าหยิบมันขึ้นมาจ้อง
มองเบอร์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ ริมฝีปากหยักผุดยิ้มขึ้นมาเมื่อเจ้าของสายเรียกเข้าที่โทรเข้ามานั้นทำให้เขาดีใจจนแทบจะลุกแล้วก
ระโดดเหมือนกับนักฟุตบอลที่ทำประตูได้

   “อะ แฮ่ม นายโทรมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ”เสียงเรียบถามทันทีที่รับสาย

   ‘คุณปิญญ์ คุณยังไม่เลิกส่งคนมาตามผมอีกรึไง’

   “ฉันเปล่า”ปิญญ์ชานนท์ปฏิเสธ จริงอยู่ที่ก่อนหน้านั้นเขาส่งคนคอยตามขนมผิง แต่พักใหญ่แล้วที่เขาสั่งยกเลิกไป

   ‘จะเปล่าได้ยังไง ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร’เสียงจากปลายสายทำให้ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ความคิด
บางอย่างเริ่มผุดเข้ามาในหัว

   “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”

   ‘คุณถามทำไม คุณน่าจะรู้ดีไม่ใช่รึไง’

   “บอกฉันมาเถอะน่าว่าตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มเจือไปด้วยความกังวล

   ‘ผมมารับลูกที่โรงเรียน และกำลังจะกลับ’

   “นายอย่าพึ่งไปไหน รอฉันอยู่ที่นั่นไม่เกินครึ่งชั่วโมงฉันจะไปหานาย”


   ‘คุณไม่จำเป็….’

   ไม่รอให้คนที่อยู่ปลายสายได้แย้งปิญญ์ชานนท์ก็กดตัดสายแทบจะทันที พักใหญ่แล้วที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยหลัง
จากเรื่องการวางเพลิง เพราะเขาทำให้เรื่องทั้งหมดมันเงียบลงอย่างง่ายดายเพราะต้องการที่จะทำให้ฝั่งตรงข้ามตายใจ แต่ขนม
ผิงพึ่งจะโทรมาต่อว่าตนนั้นทำให้เขาเริ่มเป็นกังวลอีกครั้ง



   ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงตามที่สัญญาเอาไว้รถยนต์คันหรูก็แล่นมาจอดหน้าโรงเรียนอนุบาล เจ้าของร่างสูงก้าวลงจากรถแล้วเดิน
เข้าไปหาขนมผิงกับเด็กแฝดร่างจ้ำม่ำอีกสองคนทันที

   “คุณไม่จำเป็นต้องมา แค่บอกให้คนของคุณเลิกตามผมก็พอ”ขนมผิงว่าพลางปรายตามองไปยังผู้ชายที่ทำทีท่าว่านั่งอ่าน
หนังสือพิมพ์อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนหน้าโรงเรียน

   “เขาตามนายมานานเท่าไรแล้ว”ปิญญ์ชานนท์ตวัดตามองตาม

   ก่อนจะย่อตัวยิ้มรับเด็กๆที่กระโดดมาเกาะขาด้วยความดีใจพลางส่งเสียงทักกันเจี๊ยวจ๊าว

   “พ่อปินมารับเหรอฮะ”

   “ดีใจไหม”

   “ดีใจฮะ/ดีใจฮะ”สองแฝดตอบประสานเสียงพร้อมเพรียงด้วยความดีใจ

   “แล้วคิดถึงพ่อปินไหมครับ”ตอนนี้ชายหนุ่มเรียกแทนตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่า “พ่อปิน”จนใครอีกคนที่ได้ยินขมวดคิ้วว
มุ่น

   “คิดถึงฮะ กิมคิดถึงพ่อปินมากเลย”

   “หลิ่มก็คิดถึงพ่อปินฮะ วาดรูปพ่อปินกับน้องด้วย”คนน้องบอกเสียงใส ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์หันไปเลิกคิ้วมองเจ้าของ
ร่างสูงโปร่ง

   “นายบอกเด็กๆ?”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงเบา และได้คำตอบเป็นการพยักหน้าเบาๆกลับมา

   “ทำไมวันนี้พ่อปินมารับพวกเราล่ะฮะ”ปลากริมถามพลางเอียงคอ ตากลมจ้องมองมาที่ชายหนุ่มตาปริบๆ

   “วันนี้พ่อปินจะพาไปค้างที่คอนโดพ่อปิน ไม่รู้ว่ามีใครอยากไปบ้างไหม”


   “ไปฮะ ไปๆ/ไปๆๆ”สองคนกระโดดโลดเต้นกันยกใหญ่

   “เดี๋ยวสิ ผมยังไม่ได้บอกว่าจะไปเลย”ขนมผิงรั้งแขนปิญญ์ชานนท์เอาไว้

   “เอาน่า เพื่อความปลอดภัยของนายกับลูก”

   “คุณหมายความว่ายังไง”

   “เอาเป็นว่าขึ้นรถกันก่อนดีกว่า”

   “แต่ผมเอารถมา”

   “เดี๋ยวฉันให้คนขับรถขับตามไปเอง”พูดจบก็แย่งกุญแจรถในมือของขนมผิงโดยไม่รอให้ได้แย้งแล้วส่งให้กับคนขับรถที่รอ
อยู่ก่อนแล้ว

   ปิญญ์ชานนท์จัดการอุ้มเด็กๆขึ้นมาก่อนจะจัดการให้เด็กนั่งยังคาร์ซีทเบาะหลัง ไม่ลืมที่จะคาดเข็มขัดให้พร้อมสรรพ ก่อน
จะเปิดประตูข้างคนขับแล้วดันให้ขนมผิงเข้าไปนั่ง

   “คุณอย่าทำอะไรตามใจตัวเองนักจะได้ไหมครับ ผมตามคุณไม่ทัน”ขนมผิงพูดเมื่อรถเคลื่อนตัวออกมามาจากหน้าโรงเรียน
อนุบาล ได้ยินเสียงร้องเพลงของเด็กๆแว่วมาจากเบาะหลังอย่างอารมณ์ดี

   “นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่านายถูกตามมานานเท่าไรแล้ว”คราวนี้ปิญญ์ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “สองสามวันได้”

   “แล้วทำไมนายพึ่งจะบอกฉัน”

   “แล้วนั่นไม่ใช่คนของคุณรึไง”

   “นั่นไม่ใช่คนของฉัน ฉันถึงได้เป็นห่วงนายกับลูกอยู่นี่ไง”ชายหนุ่มหันมาตอบก่อนจะหันไปมองถนนข้างหน้า

   และสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ทำให้คนฟังขบขบเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อรู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าว
กับคำว่าเป็นห่วง

   “ผมนึกว่าคนของคุณ”

   “ช่างเถอะ ต่อไปนี้นายกับลูกจะไปไหนมาไหนก็บอกฉันก็แล้วกัน ฉันจะเป็นคนพาไปเอง”

   “ผมดูแลตัวเองได้”

   “ฉันก็ดูแลลูกเมียตัวเองได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนายอยู่เฉยๆให้ฉันดูแลก็พอ”



   -----------------------------------------------------------------------------

   

   เสียงรายการทีวีสำหรับเด็กดังแว่วมาจากห้องนั่งเล่นหลังจากมื้อเย็นจากฝีมือของขนมผิงจบลง บรรยากาศภายนอก
หน้าต่างเข้าสู่ความมืดโดยสมบูรณ์ ขนมผิงจ้องมองร่างสูงนอนคว่ำราบไปกับพื้นข้างๆเด็กๆที่กำลังนอนวาดรูประบายสีอย่าง
สบายใจ อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้ได้มาค้างคืนในสถานที่แปลกใหม่และมีปิญญ์ชานนท์เข้ามาร่วมด้วยจึงทำให้วันนี้เด็กๆดูตื่นเต้น
ผิดปกติ

   “คนไหนเป็นปลากริม คนไหนเป็นสลิ่ม หืม?”น้ำเสียงอบอุ่นถามพลางจุมพิตลงบนขมับของสองแฝดสลับกันคนละทีก่อนจะ
หันมายิ้มให้กับเขาที่นั่งอยู่บนโซฟา

   “คนนี้พ่อปิน คนนี้ปะป๊าฮะ”

   “แล้วคนนี้ก็น้อง”สองคนสลับกันชี้ไปในแผ่นกระดาษแผ่นใหญ่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมายก่อนจะหยุดลงที่ตัวการ์ตูน
ตัวเล็กๆ

   “ทำไมน้องถึงมีคนเดียวล่ะ”คำถามของปิญญ์ชานนท์ทำให้เด็กชายทั้งสองเอียงคอหันไปมองหน้ากันก่อนจะหันมามอง
หน้าเขาด้วยความสงสัย “นายไม่ได้บอกลูกเหรอว่ากำลังจะมีน้องสองคน”

   “สองคนเลยเหรอฮะ”เป็นปลากริมที่ตาโตถามออกมาเสียงดัง

   “ปะป๊ามีน้องสองคนเลยเหรอฮะ”สลิ่มหันมาถามกับเขาเสียงดังไม่แพ้กัน

   ขนมผิงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับเบาๆกับท่าทีตื่นเต้นของเด็กๆ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกทั้งสองกระโดด
ดีใจจนต้องคอยจับเอาไว้เพราะกลัวจะล้มไปเสียก่อน

   “เด็กๆดูท่าจะดีใจกันมากเลยนะ”

   “อืม”

   “แล้วพ่อแม่นายจะดีใจไหมถ้าหากเราบอกเรื่องนี้กับพวกเขา”

   “ผม…ไม่รู้”ขนมผิงตอบได้เพียงแค่นั้น

   นึกย้อนถึงสิ่งที่บิดาออกปากห้ามเมื่อไม่นานมานี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกผิด เขาไม่ได้บอกกับบิดาด้วยซ้ำว่ามาค้างคืนที่คอนโดของ
อีกฝ่าย บอกเพียงแค่ว่าค้างที่คอนโดของตนเอง นอกจากจะโกหกแล้วเขายังฝืนข้อห้ามของผู้เป็นพ่อได้อย่างง่ายดาย หากเป็น
แต่ก่อนใจของเขาคงจะต้องร้องห้ามและขัดแย้งกับความคิดของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ทว่าตอนนี้เขากลับไม่มีความรู้สึกนั้นอยู่เลย
ขนมผิงจ้องมองชายหนุ่มคุยเล่นกับเด็กๆด้วยความสนิทสนม สายสัมพันธ์ที่เขามองไม่เห็นกำลังถูกทักทอจนแน่นราวกับว่าไม่มี
วันจะขาดออกจากกัน มือผอมลูบลงบนท้องของตัวเองเบาๆ รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่มุมปากเมื่อปิญญ์ชานนท์ออกโรงโชว์ฝีมือการ
วาดรูปให้เด็กๆได้ส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น



   “คุณปิญญ์”เสียงเรียกแผ่วเบาเรียกให้ปิญญ์ชะนนท์ชะงักมือที่กำลังกดส่งข้อความผ่านโทรศัพท์ลงใส่กระเป๋า

   “ทำไมนายยังไงนอนอีก”

   “แล้วคุณล่ะ”ขนมผิงถามกลับเสียงเบาหลังจากที่ส่งเด็กๆเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ตาคู่สีโศกจ้องมองท่าทีของชายหนุ่มที่ดู
เหมือนกำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้

   “ฉันกลัวว่านายกับลูกจะนอนไม่สบายตัว ฉันเลยคิดว่าจะนอนที่โซฟาแทน”

   “ผมคิดว่านานครั้งคุณจะได้ใช้เวลาร่วมกับเด็กๆ…คงไม่เป็นไรถ้าคุณจะนอนด้วยกันกับเด็กๆ”

   “เหมือนนายพูดเชิญชวนให้ฉันขึ้นเตียงด้วยยังไงไม่รู้”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่เล็กน้อยแต่ก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

   “ใครมันจะไปพูดอย่างนั้นกัน”พูดจบก็หันหลังเดินหนีกับคำล่อแหลม แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหนไกลข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้
ก่อนจะถูกดึงเข้าไปกอดจากทางด้านหลัง รู้ตัวอีกทีนัยน์ตาคู่สวยก็ไหววูบหลุบตาจ้องมองพื้นห้องเมื่อริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย
แตกลงมาบนต้นคอพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอด

   “นายจะรีบไปไหนล่ะไหนๆก็ยังไม่นอนแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ นานๆทีเราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนายช่วยดูหนัง
เป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

   “ตามใจคุณก็แล้วกัน”

   คำตอบของขนมผิงปิญญ์ชานนท์ได้ทีค่อยๆไล่จมูกเกลี่ยลงไปบนพวงแก้มนุ่มเบาๆ ยกยิ้มเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย
แดงเรื่อ

   “ขนมผิง”

   “คุณจะเรียกผมทำไม”

   “ฉันอยากอาบน้ำกับนายจังเลย”ไม่พูดเปล่าแต่กึ่งกลางร่างกายของชายหนุ่มกำลังบดเบียดบั้นท้ายของขนมผิง ซึ่งนั่นก็
ทำให้ขนมผิงตาโตด้วยความอายปนตกใจ

   “คุณมันโรคจิต”เสียงเรียบนิ่งต่อว่าก่อนจะผละออกจากอ้อมกอด “ผมเปลี่ยนใจแล้ว คืนนี้คุณนอนที่โซฟานี่ก็แล้วกัน”

   “เดี๋ยวสิ ฉันแค่ล้อนายเล่น นายอยู่คุยกับฉันก่อนสิ ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันฉันคิดถึงนายกับลูกจะแย่อยู่แล้ว”


   “คุณไปเอาคำพูดพวกนี้มาจากไหนกัน มันไม่ได้เข้ากับคุณเลยด้วยซ้ำ”เขาไม่ชินเลยกับคำหวานของปิญญ์ชานนท์ แล้วก็
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่จะชินกับมัน

   “ฉันรู้ว่าคำพูดพวกนี้มันไม่สามารถลบล้างคำดูถูกในอดีตของฉันได้ แต่ฉันก็อยากที่จะพูดมันกับนายเพราะมันเป็นสิ่งที่ฉัน
ต้องการจะบอกกับนายยังไงล่ะ”

   “สมองคุณไม่ได้กระทบกระเทือนตอนถูกยิงใช่ไหม”

   “ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”พูดจบก็ดึงเอาขนมผิงเข้ามากอดอีกครั้งก่อนจะดันอีกฝ่ายให้นั่งลงบนโซฟาข้างกัน

   ถึงแม้ว่าตาจะจ้องมองหนังที่ฉายอยู่หน้าจอทีวี แต่มือใหญ่นั้นกำลังดึงเอาชายเสื้อเชิ๊ตสีขาวของขนมผิงให้เลิกขึ้นเผยให้
เห็นหน้าท้องกลมนูนออกมา ฝ่ามืออุ่นลูบไล้ลงไปบนผิวท้องแน่นตึงนั้นอย่างเบามือ

   “ยังไม่เลิกเสียดายที่ไม่ได้เด็กผู้หญิงเหรอครับ”เสียงเบาถามก่อนมือผอมจะวางลงมาทาบทับ


   “ถึงจะเสียดายแต่ฉันก็มีความสุขมากเลยล่ะที่ได้อยู่ใกล้นายกับลูก”

   “คุณ…ไม่ได้มีอะไรปิดบังผมอยู่ใช่ไหม”


   “ทำไมนายถึงถามฉันอย่างนั้นล่ะ”ปิญญ์ชานนท์หันไปถามเสียงเบา ชายหนุ่มเอียงคอหันไปมองเสี้ยวหน้าคมนิ่งของขนม
ผิง

   “กับคนที่สะกดรอยตามผมในวันนี้ แล้วกับเรื่องที่ไฟไหม้โกดังของมณีรัตน์คุณรู้อะไรมากกว่าที่ผมรู้ใช่ไหม”

   “ฉันจะไม่โกหกนายหรอกนะขนมผิง แต่ฉันอยากให้นายเชื่อใจฉันมากกว่า ฉันสัญญาว่าอีกไม่นานทุกอย่างมันจะต้อง
เรียบร้อย”

   “ถึงจะไม่ชอบใจที่คุณเหมือนจะมีอะไรปิดบังผมอยู่ แต่ก็เอาเถอะ…ผมจะลองเชื่อใจคุณดู”

   กับทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้ เขาจะลองเชื่อใจปิญญ์ชานนท์ดู จะยอมรับในความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้ และความรู้สึกของตัว
เองที่มีต่ออีกฝ่าย

   

   ---------------------------------------------------------------------------



   ภัตตาคารหรูใจกลางกรุงในห้องอาหารวีไอพี ร่างของวัยกลางคนดูสุขุมนั่งใจจดจ่ออยู่กับกล่องของขวัญตรงหน้าที่ตนเอง
เตรียมมาก่อนจะหันไปมองลูกสาวเมื่อบทสนทนาระหว่างพ่อลูกได้เริ่มขึ้นหลังจากภายในห้องตกสู่ความเงียบมาพักใหญ่ตั้งแต่มา
ถึง

   “อันที่จริงเดหลีคิดว่าเดหลีไม่ต้องมากับพ่อทุกครั้งที่พ่อนัดพบเขาก็ได้นะคะ เดหลีคิดว่ามันไม่จำเป็น”

   “ทำไมจะไม่จำเป็น แกมานั่นแหละดีแล้วให้เขาเห็นหน้าเห็นตาแกบ่อยๆ จะได้สนิทสนมกันไวไวๆ”

   “การที่เดหลีมาเจอให้เขาเห็นหน้าบ่อยๆมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะให้ลูกชายเขามาแต่งงานกับเดหลีหรอกนะคะ เดหลี
กับก่อนดีหว่า”

   “นี่แกพูดอะไร เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าก็ขายหน้ากันพอดี”เชตุพลมองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหวาดระแวง ดึงตัวลูกสาวที่
ทำท่าจะลุกให้นั่งลง

   “พ่อออ”

   “แกจะกลับไปหมกตัวอุดอู้อยู่แต่งในบ้านรึยังไง”

   “ก็ยังดีกว่าการออกมาทำอะไรอย่างที่พ่อทอยู่ตอนนี้ก็แล้วกัน”กับการที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างและขบปัญหาที่เกิดขึ้นเธอเบื่อ
เต็มที สถานการณ์ในเวลานี้ถึงเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็พอจะรู้ว่าพ่อของเธอกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

   ขึ้นชื่อว่าคนที่ไม่เคยต้องมาขอร้องใครและมานั่งรอใครก่อนแต่วันนี้กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามซึ่งนั่นก็เป็นตัวบ่งบอกได้อย่าง
ดีแล้วว่าทั้งสิ่งที่เธอและพ่อเธอเคยทำลงไปมันกำลังจะหวนกลับคืนมา ใบหน้าที่เคยสวยบัดนี้กลับซูบลงไปมากจ้องมองบิดาด้วย
ความรู้สึกที่ยากจะพูดออกไปได้กับความลับที่บิดาคิดว่าตัวเธอนั้นไม่รู้

   “แบบนี้ที่แกพูดหมายถึงอะไร”

   “ก็ไอ้ที่อยู่ในกล่องตรงหน้าพ่อนั่นไงล่ะคะ พ่อคิดว่ามันจะจบปัญหาทุกอย่างได้รึยังไงกัน”

   “แกอย่ามาพูดจาไม่น่าฟังเอาตอนนี้นะ”

   “มันแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกค่ะ มันไม่มีทางแก้ไขอะไรได้”เพราะท้ายที่สุดจุกจบมันก็จะต้องมาถึง

   เพียงแค่ลองคิดถึงภาพที่ปิญญ์ชานนท์ถูกยิงกับการที่เธอส่งคนไปฆ่าขนมผิงมือทั้งสองข้างก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่
พยายามจะไม่นึกถึงมัน ไม่จินตนาการถึงสิ่งที่ตนไม่เคยเห็นแต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลย ชายกระโปรงสีสวยถูกมือทั้งสองข้างกำ
ขยำจนยับยู่ยี่ ริมฝีปากเคลือบสีสวยปกปิดความแห้งผากและหมองคล้ำขบเม้เข้าหากันแน่น

   “ไม่มีอะไรที่เงินแก้ไขไม่ได้หรอกจำเอาไว้ ฉันไม่รู้ว่าแกรู้อะไรมาหรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่แกเป็นลูกของฉันแกก็ทำ
หน้าที่ในส่วนของลูกให้ดีก็พออย่าได้อยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรมากมายนัก”

   “เดหลีไม่ใช่คนโง่นะคะพ่อ”เสียงหวานตอบกลับไปสั่นเครือ

   “ฉันรู้ว่าแกไม่ใช้คนโง่ แต่มันไม่ได้หมายความว่าแกจะไม่มีวันทำในสิ่งที่โง่หรอกนะ”

   “เหมือนกับพ่อที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ใช่ไหมคะ”

   “นี่แกไม่ได้กำลังว่าฉันโง่อยู่ใช่ไหมเดหลี”เชตุพลถามลูกสาวด้วยเสียงที่แข็งกระด้างขึ้นทุกที

   “พ่อน่ะโง่…โง่ที่คิดว่าทุกๆคนรอบๆตัวโง่ พ่อน่ะไม่ได้รู้อะไรเลย หึหึ”หญิงสาวตอบทั้งสะอื้นน้ำตาคลอ

   เพี๊ยะ!!!

   ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนเสี้ยวหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ถึงมันจะไม่แรงนักแต่มันก็พอที่จะทำให้ตาคู่กลโตเบิกกว้าง
ในสิ่งที่พ่อของตนทำ

   “นี่แกบ้าไปแล้วรึไงถึงด่าว่าพ่อของตัวเองโง่น่ะ ห๊ะ!!”เชตุพลตวาดลั่น แต่ก็ชะงักเมื่อประตูห้องวีไอพีเปิดออกตามด้วยคนที่
ทำให้เขานั่งรอมาพักใหญ่เดินเข้ามา “นั่งเฉยๆแล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรล่ะ”

   “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ สบายดีไหมครับท่าน”เชตุพลกล่าวทักพลางค้อมตัวเล็กน้อยอย่างนอบน้อมเมื่อท่านที่ว่าคือคน
ที่จะตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองในวันข้างหน้า

   “สบายดี สบายดี ไม่ต้องเกรงใจนั่งเถอะ ว่าแต่มารอกันนานรึยัง”

   “พึ่งจะมาถึงเมื่อครู่นี้เองครับ”เชตุพลตอบโกหกออกไปทั้งที่นั่งรอมาพักใหญ่

   “ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน ช่วงนี้มีคดีให้ตัดสินใจเยอะเป็นพิเศษ อีกทั้งคดีที่เพิ่งจะรับมาดูท่าว่าจะทำให้ช่วงนี้วุ่นวายไปสักพักใหญ่เลยล่ะ”

   “คงจะเหนื่อยน่าดูนะครับ”

   “ทำยังไงได้ ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำล่ะนะ ว่าแต่วันนี้มีธุระอะไรล่ะ คงไม่ใช่แค่เชิญมากินมื้อเที่ยงแพงๆแค่นั่นหรอกใช่
ไหม”อธิการบดีดีเอสไอยิ้มอย่างมีเลศนัยน์

   “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ก็อย่างที่เคยขอร้องท่านไปนั่นแหละครับ”เชตุพลว่าพลางเหลือบมองบอดี้การ์ดของอธิการบอดี
สูงสุดอีกสองคนที่ยืนคุมอยู่ไม่ไกลก่อนจะหันกลับมามองหน้าอีกฝ่าย

   “อ่อ เรื่องนั้นน่ะเรอะ”

   “ก็นั่นแหละครับ อยากจะให้ช่วยดูๆให้หน่อย นี่ของขวัญเล็กๆน้อยๆครับ”เชตุพลยกกล่องของขวัญที่เตรียมมาวางลงเบื้อง
หน้าของอีกฝ่าย

   “เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันง่ายๆสินะ หึหึ”อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอชวนให้ทั้งเชตุพลและเดหลีขนลุก

   กล่องของขวัญถูกเปิดออกทันทีที่ได้รับเผยให้เห็นเงินจำนวนมากมายที่อัดแน่นอยู่ภายใน เชตุพลตายิ้มประจบให้กับอีก
ฝ่าย จ้องมองใบหน้าของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพยักหน้าสองสามที ยกยิ้มคล้ายจะพึงพอใจ

   “นี่ไม่ใช่น้อยๆเลยนะเนี่ย”

   “แค่นี้ถือว่าเล็กๆน้อยๆครับ”

   “นั่นสินะ ถือว่าเล็กๆน้อยๆกับสิ่งที่จะตามมาทีหลัง”จบคำพูดนัยน์ตาของคนสูงวัยก็ต้องวูบไหวอย่างประหลาดใจกับรอยยิ้ม
ของอีกฝ่ายที่หุบลง ฉับพลันประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้งก่อนที่คนในเครื่องแบบนับสิบจะกรูกันเข้ามา

      “นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!!”

   ไม่ทันได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นตำรวจที่เข้ามาก็ล้อมเอาไว้หมดแล้ว เชตุพลยืนขึ้นด้วยความตกใจและเดือดดาล จ้อง
หน้าอีกฝ่ายที่แสยะยิ้มออกมาเขม็ง

   “คุณกำลังเพิ่มข้อหาติดสนบนเจ้าหน้าที่ให้กับตัวเองอยู่ยังไงล่ะ บวกกับข้อหาอื่นๆคุณจะถูกกักตัวแล้วสอบสวนในอีก
หลายๆคดีที่มีหลักฐานว่าคุณมีส่วนเกี่ยวพัน ผมจะเชิญคุณไปดีดี อย่าให้ต้องใช้กำลังกันเลยนะ”

   “แกหักหลังฉัน!!”เชตุพลแทบจะกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความโกรธแค้น เขาแทบบ้าคลั่งเมื่อรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอน
นี้มันเร่งเร้าให้เรื่องทุกอย่างที่พยายามหลีกหนีมาถึงตัวเร็วขึ้น

   “เอาตัวไป”

   “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”เสียงแข็งตวาดกร้าวก่อนจะปัดมือที่จับแขนของตนออกแล้วปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับมีดหั่นเส
ตกที่วางอยู่บนโต๊ะ

   “เราพยายามที่จะไม่ใช้กำลังในการเชิญตัวคุณไปอยู่นะ”

   ข้อมือที่ถือมีดเอาไว้ถูกบิดบังคับให้ต้องปล่อยมีดออกจากมือก่อนที่ตำรวจหลายคนจะรุมเข้ามาล็อคตัวของเขาเอาไว้

   “แกไม่มีสิทธิจะมาจับฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”

   “ถูกผิดก็ต้องตรวจสอบกันอีกที แต่ตอนนี้คุณกำลังโดนข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงานและขัดขืนการจับกุม”

   “แกมันไอ้ชาติชั่ว!!”เชตุพลตะโกนก้องก่อนจะชะงักมื่อเห็นตัวลูกสาวของตนกำลังถูกคุมตัวไม่ต่างกัน”อย่ามายุ่งกับลูกสาว
ของฉันจะ เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย!!!”

   “พ่อคะ”เดหลีเรียกผู้เป็นพ่อด้วยเสียงสั่นเครือ พยายามดึงข้อมือผอมออกจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ

   “บอกให้ปล่อยยังไงล่ะ ลูกสาวของฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย พวกแกไม่มีสิทธิมาแตะต้องลูกสาวของฉันนะไอ้พวกสารเลว”

   “ยังไงซะเธอเป็นคนในครอบครัวเธอก็ต้องถูกสอบสวนด้วยเหมือนกัน”

   “ฉันบอกว่าลูกสาวของฉันไม่รู้เรื่องด้วยไง พวกแกหูหนวกกันรึไงห๊ะ!! ลูกสาวของฉันไม่เกี่ยว!!”ไม่เพียงแค่ร้องห้าม แต่
ชายสูงวัยยังพยายามที่จะขัดขืนการจับกุมเมื่อเห็นลูกสาวของตนถูกดึงให้ออกไปจากห้อง

   “ปล่อยลูกสาวของฉันนะ พวกแกจับฉันไปก็ได้ แต่แกอย่ามายุ่งกับลูกสาวของฉัน ลูกสาวของฉันไม่ผิด ฉันคนเดียวต่าง
หากที่ผิด!!”ถึงจะตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่มันก็กลับสายไปซะแล้วเมื่อร่างของลูกสาวถูกพาหายออกไปจนลับตา

   ร่างของชายสูงวัยสั่นเทา ริมฝีปากสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว จะให้เขาทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะไม่ให้ลูกสาวที่ไม่รู้อะไรเลย
ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นเขาเองที่ผิดทุกอย่างผิดจนภรรยาต้องมาเสียไปกับสิ่งที่ตนเองได้ทำกับคนอื่นไว้ สิ่งมีค่าที่เหลือ
อยู่เพียงสิ่งเดียวก็คือลูกสาว แต่ที่ผ่านมาตนเองกลับหลงผิดกับเงินท้องมากมายและมองข้ามสิ่งนั้นไป เขามันโง่จริงๆ โง่อย่างที่
ลูกสาวได้ต่อว่าเอาไว้ไม่มีผิด

   “ปล่อยลูกสาวของผมไปแล้วผมจะยอมให้ความร่วมมือ”



   --------------------------------------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-11-2016 14:08:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 05-11-2016 17:34:33
มาต่อแล้ว เรื่องนี้น่าจะจบลงได้ดี ว่าแต่คนที่ติดตามขนมผิงอยู่เป็นใคร หรือว่าจะเป็นคนของพ่อตา
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 05-11-2016 17:46:03
เข้มข้น มากขึ้น ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-11-2016 21:08:50
ใครตามขนมผิงอ่ะ ฝั่งคุณพ่อเองหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 05-11-2016 23:16:21
ถึงเชตุจะโดนจับไป แต่คิดว่าลุงคงยังไม่สิ้น ฤทธิ์ง่ายๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 16-11-2016 01:23:22
ชอบพ่อปิณ ทำตัวน่ารักขึ้นเยอะเลย  อ่านถึงครอบครัวเดหลี ยังไงพ่อก็รักลูกจริงๆ
  รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-11-2016 05:26:03
ปลากริม สลิ่ม ดีใจ มีน้องแฝด :mew1:
คุญปิญญ์ รักเมีย รักลูก น่ะถูกต้องที่สุด :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เรื่องงวดเข้าทุกที
รอดูจุดจบของเชตุพล กับเดหลี
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: kitwiphat ที่ 18-11-2016 03:39:16
น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 เสี้ยนหนาม ❖ 05-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-11-2016 16:21:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 28-11-2016 00:55:14
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: chocolate_ness ที่ 28-11-2016 11:59:47
โอ๊ยยมุมนี้คุณพ่อกับคุณปู่น่าร๊ากกกกก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 28-11-2016 12:54:08
สั้นนนนนน จังเลย
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-11-2016 15:20:38
ชอบบรรยากาศของตอนนี้จัง แต่คนติดตามปิณคงไม่ปล่อยไว้นานๆใช่มั้ย มันต้องสืบความ
   รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-11-2016 18:20:26
 :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 28-11-2016 19:01:35
เห่อของใหม่ ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-11-2016 19:09:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม ❖ 28-11-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-11-2016 21:03:44
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม [100%]❖ 08-12-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 08-12-2016 16:57:44
42 ติดตาม

   “นายว่าอันนี้น่ารักไหม”

   “ครับ”ขนมผิงพยักหน้ารับกับหมวกสีชมพูใบเล็กเป็นรูปหมูในมือของปิญญ์ชานนท์

   หลังจากออกมาจากคอนโดปิญญ์ชานนท์ก็พาเขากับลูกไปกินอาการเช้าต่อด้วยการพามาที่ห้างสรรพสินค้าที่ขายของใช้
เกี่ยวกับเด็กทันทีราวกับว่าวางแผนมาล่วงหน้าก่อนแล้ว แม้ว่าเขาจะปฏิเสธแต่ดูท่าทางของเด็กๆต่างก็พากันตาลุกวาวด้วยความ
ตื่นเต้นจึงอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้เลยตามเลย อันที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าก่อนว่าเขาจะมีลูกอีกครั้งของเด็กอ่อนที่เป็นของปลากริมกับ
สลิ่มเขาจึงบริจาคไปทั้งหมด

   “แล้วอันนี้ล่ะนายว่าเป็นยังไง”ปิญญ์ชานนท์หยิบหมวกลายหมียืนให้เขาดู

   “คุณไม่คิดว่ามันเร็วไปหน่อยรึไง”

   “เอาน่ายังไงมันก็ต้องได้ใช่อยู่แล้วนี่”

   “ตามใจคุณก็แล้วกัน”ขนมผิงว่าพลางหันไปมองเด็กๆยืนเลือกหมวกช่วยปิญญ์ชานนท์อีกแรง

   เขาจ้องมองเสี้ยวหน้าคมคายของชายหนุ่มในยามที่อีกฝ่ายเผลอ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่เขากับปิญญ์ชานนท์จะต้อง
มาเดินเลือกของให้ลูกด้วยกัน

   “อันนี้ได้ไหมฮับ”ปลากริมเงยหน้าหยิบหมวกรูปกระต่ายยื่นให้เจ้าของร่างสูงดูซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มพร้อมกับมือใหญ่ลูบลงไป
บนหัวทุยๆอย่างเบามือ

   “ได้สิเหมาหมดร้านยังได้”

   “จริงเหรอฮับ”ทั้งปลากริมกับสลิ่มพอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมามองกันตาโต

   “คุณปิญญ์!!”ขนมผิงปรามก่อนที่ปิญญ์ชานนท์จะสอนให้ลูกซึมซับความฟุ่มเฟือยจากตัวเอง

   “โอเคๆ”ชายหนุ่มยกมือสองข้างยอมแพ้ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเด็กๆ “งั้นก็เลือกให้น้องคนละสองอันโอเคไหม”

   “โอเคฮับ/โอเคฮับ”สองแสบพยักหน้าตอบพร้อมกันก่อนจะส่งหมวกในมือส่งให้ปิญญ์ชานนท์กันคนละสองใบแล้วเดินนำ
ไปยังโซนเสื้อผ้าต่ออย่างรู้งาน

   

   “นายเป็นอะไรสีหน้าดูไม่ค่อยดีหรือว่านายรู้สึกคลื่นไส้”

   “เปล่า”ขนมผิงส่ายหน้าเมื่อมือใหญ่แตะลงมาที่ต้นแขนพร้อมกับคำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วง ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็ก
น้อย

   “หรือว่านายไม่สบายตรงไหน”

   “เปล่า ผมแค่ปวดหลังนิดหน่อย”

   “ปวดหลัง? ทำไมนายถึงปวดหลังได้ล่ะ”

   “ผมไม่เป็นไร เป็นปกติที่พอท้องเริ่มใหญ่จะปวดหลังบ่อยเป็นธรรมดา”

   “นายนั่งพักก่อนไหม”

   “ผมไม่เป็นไร”

   “นายนั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวฉันจะรีบไปจ่ายเงินแล้วไปส่งนายกับลูกที่บ้าน”

   “ผมบอกว่าไม่เป็นไรไง เอาเป็นว่าผมนั่งรอคุณอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันส่วนคุณผมฝากดูเด็กๆด้วยล่ะ”

   เพราะว่าไม่บ่อยนักที่ปิญญ์ชานนท์จะได้อยู่กับเด็กๆ คงจะไม่เป็นไรถ้าหากเขาจะให้เวลากับปิญญ์ชานนท์ให้อยู่กับเด็กๆ
มากขึ้น ขนมผิงพยักหน้าเป็นการบอกย้ำให้ปิญญ์ชานนท์ทำตามที่เขาเสนอซึ่งชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมรับ
อย่างช่วยไม่ได้

   “ถ้าอย่างนั้นนายรอฉันกับลูกอยู่ตรงนี้นะ ถ้านายรู้สึกไม่ดีหรือไม่ไหวยังไงนายต้องบอกฉันด้วยล่ะ”

   “อืม ผมรู้แล้วคุณรีบไปเถอะผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้”

   ขนมผิงพยักหน้ารับกับประโยคที่ดูเหมือนจะเป็นคำสั่งของปิญญ์ชานนท์ ตาคู่สวยทอดมองแผ่นหลังกว้างเดินหายไปพร้อม
กับเด็กๆก่อนจะเบือนออกไปมองนอกกระจกยังชั้นล่าง ลานจอดรถด้านหน้าตัวห้างมีรถคันหนึ่งที่ขับตามเขากับปิญญ์ชานนท์มา
ตั้งแต่ออกจากคอนโดของอีกฝ่าย ขนมผิงได้แค่คิดอยู่ภายในใจ หากว่าคนที่พยายามตามติดเขากับเด็กๆไม่ใช่คนของปิญญ์ชา
นนท์แล้วเป็นคนของใคร ทำไมถึงต้องตามเขาตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่อยากจะคิดถึงเจตนาของฝ่ายนั้นเลยว่า
เป็นเช่นไรในเมื่อเขาเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆทั้งเกือบจะถูกยิงและโกดังสินค้าของมณีรัตน์กรุ๊ปถูกลอบวางเพลิงโดยที่คนร้าย
ยังไม่ยอมซักทอดว่าใครกันที่เป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้



   -----------------------------------------------------------------------------



   “ฉันส่งนายกับลูกได้แค่นี้ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันด้วยล่ะรู้ไหม”

   เมื่อรถขับมาจอดที่หน้ารั้วบ้านมณีรัตน์ปิญญ์ชานนท์ก็หันมากำชับราวกับว่าเขาเป็นเด็ก ขนมผิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับท่าที
ของอีกฝ่ายก่อนจะรับคำแบบขอไปที

   “ครับๆ”

   “นายอย่ารับปากส่งๆได้ไหมขนมผิง ฉันเป็นห่วงนายกับลูกนะ”

   “ผมรู้”

   “นายนี่นะ”

   ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเพราะไม่อยากทำให้ดูเหมือนเป็นการบังคับมากไป เขาอาศัยในเวลาที่ขนมผิงเบือน
หน้าหนีใช้มือใหญ่เอื้อมไปคว้าต้นคอขาวเอาไว้ก่อนจะดึงให้มันโน้มเข้ามาใกล้ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชะงักก่อนที่นัยน์ตาคู่สวยจะเบิกกว้าง


   กว่าที่จะหายตกใจริมฝีปากได้รูปก็ถูกทาบทับด้วยริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนจะถูกเคล้นคลึงเหมือนกับรอจังหวะนี้อยู่ก่อน
หน้าแล้ว ชั่วขณะราวกับเวลาหยุดเดินขนมผิงได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากข้างหลังคล้ายจะชอบใจจากสองแสบยิ่งทำให้ปิญญ์ชา
นนท์สอดลิ้นเข้ามาข้างในและเริ่มจูบอย่างหนักหน่วง

   “ทำอะไรของคุณ!!”ขนมผิงผลักอกอีกฝ่ายออกทันทีที่ตั้งสติได้ หันไปมองเด็กๆก็พบว่ากำลังจ้องมองมาที่ตนกับปิญญ์ชา
นนท์อยู่ก่อนแล้ว

   “จูบลายังไงล่ะ”

   “คุณไม่อายรึไงมาทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆ”

   “อายทำไมลูกๆออกจะชอบใจ ใช่ไหม”ชายหนุ่มยิ้มกริ่มราวกับกำลังสนุก เขากันไปขอความเห็นจากเด็กๆซึ่งแน่นอนว่าคำ
ตอบที่ได้ย่อมเป็นคำตอบที่เขารู้อยู่แล้ว

   “ฮับ/ฮับ”เจ้าตัวเล็กพากันพยักหน้า

   “ปะป๊ากับพ่อปินจูบกัน”

   “จุ๊บๆกันแบบนี้เลย”ว่าแล้วสองแสบก็หันไปจุ๊บปากเหมือนจะเลียนแบบ นั่นยิ่งทำให้ขนมผิงเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทั้งโกรธ
ทั้งอายไปในเวลาเดียวกัน

   “ให้พ่อจูบปะป๊าอีกไหม”

   “เอาอีกๆ/เอาฮับ”ส่งเสียงเฮฮาพากันชูมือชูไม้เชียร์กันยกใหญ่ ใบหน้ากลมยิ้มแป้นอวดฟันน้ำนมกันจนตาหยี ได้ยินเสียง
หัวเราะคิดคักดังลั่นรถ

   “พอเลย!!ต่อไปอย่าได้ทำอย่างนี้อีกเด็ดขาดผมจะเตือนคุณแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”ขนมผิงคาดโทษชี้หน้าอีกฝ่าย

   “แล้วนายคิดว่าฉันจะรับปากนายไหมล่ะ”

   “คุณกลับไปได้แล้ว!!”ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่ายในตอนนี้ ขนมผิงทำได้เพียงแค่ออกปากไล่ให้อีก
ฝ่ายกลับไป…แม้ว่าลึกๆแล้วยังอยากที่จะให้ปิญญ์ชานนท์ได้อยู่กับเด็กๆนานขึ้นก็ตาม

   “ไว้อาทิตย์หน้าฉันจะมารับเด็กๆไปเที่ยวนะ…ได้รึเปล่า?”ปิญญ์ชานนท์ถามราวกับเป็นการอนุญาต

   “ผมไม่รับปาก…แต่ถ้ามีเวลาว่างพอก็คงจะได้ ไว้ผมจะบอกกับคุณอีกที”

   “ฉันจะรอ”

   ปิญญ์ชานนท์ยิ้ม ขนมผิงไม่ได้รับปากแต่ก็ยังให้โอกาสกับเขา ตอนนี้เขาอยากจะคว้าขนมผิงมาจูบอีกครั้งให้รู้แล้วรู้รอด
ล่วงหน้าเพราะคงจะไม่ได้เจอกันอีกหลายวันทว่ากลัวจะเป็นการตัดโอกาสตัวเองไปเปล่าๆ ยังไงซะเขาคงจะต้องให้เวลากับขนม
ผิงจนกว่าทุกอย่างจะลงตัวและพร้อมสำหรับทุกๆฝ่าย ตอนนี้เขาทำได้แค่ทำตัวหลบๆซ่อนๆเพราะพ่อของขนมผิงเองก็ไม่ชอบใจ
นักที่เขาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆกับขนมผิงบ่อยๆ

   

   “พ่อปินจะไปแล้วเหรอฮับ”สลิ่มเงยหน้าช้อนตาขึ้นมองเต้าของใบหน้าคมคาย

   “ไว้พ่อจะมารับไปเที่ยวอีกนะลูกหมูตัวแสบ”ปิญญ์ชานนท์พอเห็นตาคู่กลมเหมือนจะมีน้ำตาคลอก็อดใจอ่อนไม่ได้เอื้อมมือ
ไปลูบกลุ่มผมดกดำไปหนึ่งที

   “จริงๆนะฮับ ไม่ได้โกหกนะฮับ”คราวนี้จากที่เบ้หน้าก็ยิ้มกว้างออกมา

   “พ่อปินจะพากิมกับน้องหลิ่มไปเที่ยวจริงๆนะฮับ”

   “จริงสิ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้า

   “สัญญานะฮับ”   ตัวแสบคนพี่ทวงถามหาสัญญาทันทีด้วยความดีใจ นิ้วก้อยอวบๆยื่นมาข้างหน้าเพื่อเป็นการทำสัญญา

   “สัญญานะฮับว่าจะพาไปเที่ยว”ลูกหมูคนน้องก็เอาด้วยเช่นกัน ตอนนี้นิ้วก้อยอวบๆทั้งสองนิ้วพากันยื่นมาข้างหน้าเขาพร้อม
กับรอยยิ้มกว้างจนตาหยี


   “สัญญา”

   ปิญญ์ชานนท์ตกปากรับคำเกี่ยวนิ้วก้อยเรียวยาวเข้ากับนิ้วก้อยเล็กๆทั้งสองนิ้วเป็นการให้คำสัญญาก่อนที่จะก้มลงไปจูบบน
หน้าผากของทั้งคู่

   สิ่งที่ชายหนุ่มทำอยู่ในสายตาของขนมผิงทั้งหมด ตาคู่สวยมองดูกำลังปิญญ์ชานนท์กับเด็กๆพร้อมกับสมน้ำหน้าอยู่ในใจ
กับตาคู่นั้นที่มีน้ำตาคลอทีไรไม่ว่าเขาหรือกับใครก็เป็นอันต้องยอมแพ้มานักต่อนัก ต่อให้ปิญญ์ชานนท์จะแข็งกระด้างหรือเย่อ
หยิ่งมาจากไหนเมื่อเจอกับความไร้เดียงสาของเด็กๆเข้าไปก็ต้องยอมพ่ายแพ้ไปตามระเบียบ



   -------------------------------------------------------------------------------------



   ชายหนุ่มผิวปากเดินเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดีพร้อมถุงเสื้อผ้ากับของใช้เด็กมากมายจนพะรุงพะรัง ใบหน้าคมคาย
ประดับรอยยิ้มทำให้คนที่เห็นอดที่จะเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้

   “เมื่อคืนแกไม่ได้กลับบ้านเรอะ”อาทิตย์ถามลูกชายทันทีพร้อมกับมองถุงข้าวของที่อีกฝ่ายถือมาพะรุงพะรัง

   “ผมค้างที่คอนโดกับขนมผิงกับเด็กๆ”

   “แทนที่แกจะพากันไปค้างที่คอนโดทำไมแกไม่พามาค้างที่บ้านล่ะ”

   “ผมกลัวว่าขนมผิงจะอึดอัด”ปิญญ์ชานนท์บอกเสียงเรียบพลางเดินเข้าไปใกล้บิดาก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างๆแล้ววางข้าง
ของลงบนโต๊ะ

   “นานมากแล้วนะที่แกพาหลานมาหาฉันนะ ฉันเองก็อยากจะเจอหลานบ้างอะไรบ้าง”

   “ไว้ครั้งหน้าผมจะพาเด็กๆมาหาพ่อก็แล้วกัน”

   “ว่าแต่แกซื้ออะไรมาเยอะแยะ”อาทิตย์พอลูกชายรับปากก็อดที่จะทำหน้าไม่พอใจไม่ได้

   นานมากแล้วที่เขาไม่เจอหน้าเด็กๆ เขายังคิดถึงเสียงเล็กเสียงน้อยที่คอยให้กำลังใจเขาตอนทำกายภาพบำบัดอยู่เลย

   “ของใช้ของเด็กอ่อนไง อันที่จริงผมอยากจะเหมาหมดร้านเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะอันไหนๆก็น่ารักไปหมด”ไม่ทันขาดคำคุณ
พ่อมือใหม่ก็หยิบถุงของที่ซื้อมาออกมารื้อค้นเป็นการอวดให้คุณปู่มือใหม่รู้สึกอิจฉา

   “แล้วทำไมแกไม่เคยชวนฉันบ้างเลย ฉันเองก็อยากไปซื้อของให้หลานเหมือนกัน”เสียงหึในลำคอคล้ายกับประชดเรียกให้
ปิญญ์ชานนท์เหลือบตามามองผู้เป็นพ่อที่ทำท่าไม่พอใจใส่ตน

   “เอาไว้ครั้งหน้าผมจะพาพ่อไปก็แล้วกัน”

   “ไม่ว่าอะไรแกก็ครั้งหน้าตลอดนั่นล่ะ ฉันไม่อดทนรอนานหรอกนะฉันบอกไว้ก่อน”

   “นี่พ่อหัดทำตัวเป็นคนแก่ขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไรกันผมไม่ยักรู้”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มคล้ายเยาะเย้ยกับท่าทีของผู้เป็นพ่อ
หายากที่พ่อของตนจะแสดงท่าทางประชดประชันออกมาให้เห็น คงจะมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้เขาได้เห็นอีกด้านของผู้เป็น
บิดา

   “แกว่าฉันเป็นคนแก่ขี้น้อยใจแล้วดูที่แกทำสิ แกไปเที่ยวกับลูกเมียพากันไปซื้อของไม่ชวนฉันสักคำ”

   “ผมบอกพ่อแล้วไงว่าเอาไว้ครั้งหน้า”

   “ถ้าครั้งหน้าแกไม่พาลูกเมียมาหาฉันแกกับฉันได้เห็นดีกันแน่”

   “พ่อกำลังบอกผมอ้อมๆอยู่ใช่ไหมว่าพ่อเห็นหลานดีกว่าลูกตัวเอง”

   “ก็ใช่น่ะสิ  ถ้าฉันรู้ตัวว่ามีหลานเร็วกว่านี้ก็คงจะดี ฉันจะได้ทำพินัยกรรมยกมรดกให้กับหลานแทนที่จะเป็นแก”


   “พ่อพลาดแล้วล่ะที่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นของผม”ปิญญ์ชานนท์หัวเราะเบาๆคล้ายจะเยาะเย้ยพ่อตัวเองก่อนจะหยิบหมวกน่า
รักๆที่ลูกชายทั้งสองคนเลือกออกมา

   “แล้วนั่นอะไรน่ะไอ้ที่เหมือนตุ๊กตาที่แกถืออยู่น่ะ”อาทิตย์ถามอย่างอยากรู้

   “เด็กๆเป็นคนเลือกให้กับมือเลยล่ะ”ปิญญ์ชานนท์อวด ส่งหมวกรูปหมูกับกระต่ายส่งให้อีกฝ่าย


   “สมัยนี้มีแต่ของน่ารักๆไม่เหมือนสมัยก่อนจริงๆ”

   อาทิตย์ยิ้มกับหมวกใบน่ารักในมือ จะว่าไปเขาเองก็ไม่เคยได้เลือกซื้อของใช้ของเด็กเป็นจริงเป็นจังสักที เขามัวแต่ทำงาน
ปล่อยให้เรื่องเลี้ยงลูกเป็นเรื่องของภรรยากับพี่เลี้ยงเด็กตลอด หากย้อนเวลากลับไปได้เขาอยากจะกลับเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้
มันดีกว่านี้

   “ไม่ได้มีแค่หมวกนะพ่อ ยังมีรองเท้ามีถุงมือ ผ้ากันเปื้อน ขวดนม ผ้าอ้อมอีกเยอะที่อยู่หลังรถ”

   “แกก็สั่งให้คนไปยกเอามาสิจะเก็บเอาไว้ให้มันอับในรถรึไงกัน เดี๋ยวหลานของฉันใส่ก็เป็นภูมิแพ้เอาหรอก”

   อาทิตย์พูดทั้งที่ยังหยิบของต่างๆออกมาดูไม่หยุดไม่ต่างกับลูกชาย หากใครมาเห็นเข้าตอนนี้คงจะพากันส่ายหน้ากับพ่อ
ลูกที่พากับตื่นเต้นกับของใช้เด็กกองโตตรงหน้า



   ---------------------------------------------------------------------------



   ก๊อก ก๊อก!!

   “เข้ามาได้เลย”


   เสียงเคาะประตูทำให้ขนมผิงเงยหน้าละความสนใจจากเอกสารในแฟ้มที่กำลังตรวจทาน ประตูห้องทำงานของเขาเปิดออก
แทนที่ด้วยชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของผิวเข้มดูสุขุม


   “ขอโทษที่รบกวนครับ พอดีมีของส่งมาถึงคุณ”แทนทัพบอกเสียงเรียบ ตาคู่คมจ้องมองเจ้านายแน่นิ่ง

   “ของอะไร?”ขนมผิงถามกลับด้วยความประหลาดใจ เขาเองก็ไม่ได้สั่งของอะไรที่ไหนเลยสักอย่างทำไมถึงได้มีของส่งมา
ล่ะ

   “เอาเข้ามาข้างในได้เลย”

   แทนคำตอบแทนทัพหันไปบอกกับคนข้างนอก พนักงานส่งของสองคนหอบเอากล่องใบใหญ่มาวางไว้ข้างในห้อง แต่ที่
ทำให้ขนมผิงรู้สึกอับอายก็คงไม่พ้นดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ที่มันกลับมาอีกแล้ว เขารู้ได้ทันทีว่าของพวกนี้มาจากใคร

   ขนมผิงรับช่อดอกกุหลาบแดงมาวางเอาไว้บนโต๊ะ จ้องมองมันทั้งที่ใบหน้าร้อนวูบก่อนจะเบือนหน้าหันไปหาเลขาหนุ่มที่
กำลังจ้องมองตนอยู่ก่อนหน้า

   “หมดแล้วใช่ไหม”

   “ครับ”

   “งั้นคุณไปทำงานต่อเถอะ”

   “ครับ”แทนทัพตอบรับ

   วูบหนึ่งที่ชายหนุ่มเผลอจ้องมองเจ้านายในเวลาที่อีกฝ่ายเผลอ เขาอยู่กับขนมผิงในตอนที่อีกฝ่ายเผชิญกับช่วงเวลาที่
ลำบากที่สุดในชีวิตแต่ท้ายที่สุดแล้วช่วงเวลานั้นกลับเป็นได้เพียงแค่ความทรงจำ



   ขนมผิงละสายตาออกจากกุหลาบช่อใหญ่ มือผอมบางแตะลงบนกลีบดอกของมันอย่างเบามือ แน่นอนว่าดอกกุหลาบพวก
นี้ถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ทำไมกันนะหัวใจของเขาถึงได้เต้นรัวราวกับเด็กสาวกำลังถูกจีบ ขาเปิดกล่องใบใหญ่ที่วางอยู่กลาง
ห้องออก วัตถุนุ่มนิ่มสีขาวคล้ายหมอนรูปตัวแอลทำเอาริมฝีปากได้รูปหลุดยิ้มออกมา ไม่เพียงแค่นั้น กล่องใบเล็กที่อยู่ในนั้นก็ยิ่ง
แล้วใหญ่…หมอนสำหรับคนท้องกับเครื่องนวดบรรเทาอาการปวด

   นั่นทำให้ขนมผิงรู้สึกได้ทันทีว่าปิญญ์ชานนท์ใส่ใจลายละเอียดต่างๆมากกว่าที่เห็น เขาหยิบการ์ดที่แนบมาด้วยออกมาเปิด
อ่าน และมันทำให้เขายิ้มออกมาอีกครั้ง

   ‘ฉันไม่รู้ว่ามันพอจะช่วยให้นายหายปวดหลังได้รึเปล่า แต่ฉันลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตดูวิธีพวกนี้เป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุด
แล้ว ฉันหวังว่านายจะนอนกอดหมอนแล้วคิดถึงหน้าฉันตอนที่กอดมัน’

   ให้ตายเถอะ!ใครจะไปทำอย่างนั้นกันล่ะ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะทำแบบนั้น ใครจะบ้าเอาหมอนนี่มาแทนตัวคนได้
ขนมผิงคิดในใจ แรงสั่นเบาๆจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าเรียกให้หยิบมันขึ้นมาดู

   ข้อความบางอย่างถูกส่งมาให้เขา มันเป็นข้อความรูปที่ถูกส่งมาจากปลายทางในชื่อของคนที่เขากำลังนึกเคืองอยู่ในใจ
และเมื่อเปิดดูมันก็ทำให้ขนมผิงอยากจะจับโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าลงไปที่เดิม


   รูปในร่างกึ่งเปลือยอวดมัดกล้ามกำลังนอนกอดหมอนรูปตัวแอลแน่น ใบหน้าหล่อเหลาแนบลงกับหมอนด้วยสีหน้าดูมีความ
สุข แต่ขนมผิงกลับรู้สึกว่ามันเป็นสีหน้าที่ล้อเลียนกันมากกว่า ไม่รอช้าขนมผิงตัดสินใจต่อปลายสายโทรหาอีกฝ่ายทันที

   ‘นายได้รับของที่ฉันส่งให้แล้วใช่ไหม’

   “ผมได้รับแล้ว แล้วคุณส่งรูปบ้าอะไรมาให้ผม”รูปที่ส่งมามันเกือบจะเป็นรูปเปลือยอยู่แล้วเชียว

   ‘ฉันแค่อยากให้นายเห็นว่าฉันก็มีหมอนแบบนั้นด้วย มันค่อนข้างใช้งานได้ดีเลยล่ะเวลาที่ฉันคิดถึงนาย’

   “คุณพูดอะไรของคุณ ไอ้คนโรคจิต!!”

   ‘นี่ขนมผิง’อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆก่อนจะเรียกให้ได้ขานรับ

   “อะไรครับ?”

   ‘ฉันคิดถึงนายจริงๆนะ’

   “ผ…ผมไม่ได้ถาม”

   ‘แล้วก็เป็นห่วงนายมากด้วย’

   “อืม…ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้ล่ะ คราวหลังไม่ต้องส่งดอกไม้มาด้วยก็ได้…ผมไม่อยากให้คนอื่นมองไม่ดี”

   ‘ฉันจงใจส่งดอกไม้ให้นายเพราะว่าฉันต้องการให้คนอื่นรู้ว่านายมีเจ้าของแล้ว…เอาล่ะฉันต้องทำงานต่อแล้วไว้เจอกัน
อาทิตย์หน้านะ ฉันจะรอ’

   พูดจบปลายสายก็ตัดไปทิ้งให้เจ้าขอองร่างสูงโปร่งนั่งพิงตัวทอดไปกับเก้าอี้ราคาแพง มือขวาแนบซ้ายของตัวเองราวกับ
กำลังกลัวว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมันกำลังจะหลุดออกมาข้างนอก



   --------------------------------------------------------------------------------------



   “มีอะไรมาลิศ?”ปิญญ์ชานนท์วางสายจากคู่สนทนาที่ไม่ค่อยอยากจะจบการสนทนาสักเท่าไร ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง
เลขาหนุ่มของตัวเอง

   “เกรงว่าจะเป็นข่าวที่ทำให้คุณไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร”

   “นายมีอะไรก็ว่ามาเลย ฉันจะไม่สบอารมณ์ก็ตอนที่นายพูดเหมือนกับว่ามันเป็นข่าวที่ไม่ดี”

   “เกรงว่าคุณคงจะมีเรื่องให้ปวดหัวมากขึ้น”

   “พูดเรื่องที่นายควรจะพูดมาก่อนที่ฉันจะยกเลิกโบนัสสิ้นปีของนาย”ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่เลขาคนสนิทก็รู้ดีว่ามัน
เป็นเพียงคำขู่เท่านั้น

   “ก็ได้ครับ”

   “ว่ามาสักทีสิ หากมันไม่สำคัญพอที่นายจะมาขัดบทสนทนาของฉันกับขนมผิงได้ฉันรับรองว่านายเลิกคำนวนโบนัสของตัว
เองได้เลย”

   “คุณเลิกขู่จะหักโบนัสผมได้แล้วนะครับ ขนาดผู้ช่วยของผมได้ยินแล้วยังไม่เชื่อที่คุณพูดเลย ผมแค่จะบอกว่าคนที่ของเรา
ที่อยู่ข้างในเพิ่งจะรายงานมาว่าคุณเชตุพลหลบหนีจากการคุมขังเมื่อเช้าที่ผ่านมาครับ”

   “นายแน่ใจนะว่าข่าวนี้ไม่ผิดแน่”

   “ครับ ดูเหมือนว่ายังจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังเขาอยู่และมีคนของเขาอยู่ข้างในช่วยให้เขาหลบหนีมาได้ตอนที่กำลังจะนำ
ตัวไปฝากขังที่เรือนจำโดยใช้คนอื่นมาสลับแทน”

   “บ้าเอ้ย!! แล้วรู้รึยังว่าตอนนี้เขาหลบไปอยู่ที่ไหน”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงแข็ง

   “มีข่าวลือว่าเขากำลังหลบหนีออกไปนอกประเทศน่ะครับ”

   “ให้มันได้อย่างนี้สิ!! นายส่งคนไปดูแลขนมผิงกับเด็กๆอยู่ห่างๆ ฉันไม่ต้องการให้เกิดอันตรายขึ้นกับพวกเขา”

   “ได้ครับ”

   “ฉันต้องการจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ติดต่อนัดพบคนของเราที่อยู่ในนั้นให้ฉันเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันต้องการจะคุยกับ
เขาเป็นการส่วนตัว”


   “ครับ ผมจะติดต่อกับเขาให้เร็วที่สุดแล้วจะมาแจ้งคุณอีกที”

   ปิญญ์ชานนท์รู้ว่าการใช้เงินในการจบทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรื่องดี บทเรียนที่ผ่านมามันเป็นบทเรียนราคาแพงทำให้เขา
ละทิ้งความเชื่อผิดๆพวกนี้ไปจนสิ้น หากแต่ในเวลานี้เลี่ยงไม่ได้เลยที่เขาจะกลับมาใช้มันอีกครั้ง อำนาจของเงินที่สามารถ
ควบคุมกฎเกณฑ์ของเกมการแข่งขันได้อย่างง่ายดาย เพราะเกมๆนี้มันกำลังขัดขวางสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในชีวิตอยู่ตอนนี้



   --------------------------------------------------------------------------------


ฝากแฟนเพจอันใหม่ด้วยนะคะ เพจเก่าเข้าไม่ได้แล้ว >>>เด็กหญิงเย็นชา2 (https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B22-1785826901682401/)

หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม [100%]❖ 08-12-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-12-2016 18:06:18
แอบสงสารคุณปู่ แอบน้อยใจที่ไม่ได้เจอหลานๆสักที :mew6:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม [100%]❖ 08-12-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 08-12-2016 21:38:48
เอาละสิ หนีการจับกุม งั้นคนที่ตามขนมผิงก็คือคนร้ายสินะ
 รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม [100%]❖ 08-12-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 08-12-2016 21:48:15
รีบ ๆ จัดการซะคุณพ่อ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 ติดตาม [100%]❖ 08-12-59 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-12-2016 09:18:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 46 หวาดระแวง + เปิดพรีฯ ❖ 07-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 07-01-2017 05:30:26
43 หวาดระแวง

   ขนมผิงกลับมาจากทำงานด้วยสภาพอ่อนเพลีย ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในโถงของตัวบ้านหลังใหญ่เพื่อที่จะเดินผ่านไปยัง
ห้องนั่งเล่นของเด็กๆ ทว่าสายตาก็ดันสะดุดเข้ากับห้องรับแขกที่นานทีจะมีแขกมาสักคน

   ขนมผิงชะงักเมื่อแขกผู้มาเยือนนั้นช่างคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน จะไม่ให้เขาคุ้นหน้าได้อย่างไรเมื่อคนคนนั้นคือคนที่สะกดรอย
ตามเขามาหลายวันติด ทว่าคนคนนั้นทำไมถึงได้มาอยู่ในบ้านของเขาได้ หนำซ้ำยังคุยกับพ่อของเขาด้วยท่าทีราวกับรู้จักกันมา
ก่อน

   “นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ผิงไม่เข้าใจ”ถามทันทีเมื่อเดินเข้าไปในห้องรับแขก ตาคู่คมจ้องมองแขกผู้มาเยือนไม่กระ
พริบตา

   “มาแล้วเหรอ พ่อกำลังรออยู่พอดีเลย”

   “เขาเป็นใคร?”

   “คนนี้คือสมชาย ต่อไปนี้เขาจะมาเป็นบอดี้การ์ดให้ลูก”

   “ผิงไม่ได้อยากรู้จักชื่อของเขา ผิงแค่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมเขาถึงต้องตามผิงไปแทบทุกที่ที่ผิงไป และ
ทำไมเขาต้องมาเป็นบอดี้การ์ดให้ผิง”แม้ไม่อยากที่จะขึ้นเสียงใส่ผู้เป็นบิดา แต่บอกไม่ได้เลยว่าตอนนี้รู้สึกไม่พอใจแค่ไหน

   เหตุใดพ่อของเขาจึงต้องส่งคนมาตามติดเขาตลอดเวลา ทำราวกับว่าต้องการจะจับผิดอะไรสักอย่าง พอนึกย้อนกลับไปก็
อดคิดไม่ได้กับคำที่บิดากล่าวห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้ปิญญ์ชานนท์ หรือแท้จริงแล้วคือเหตุนี้กัน

   “พ่อก็แค่อยากแน่ใจว่าผิงจะปลอดภัย”

   “แต่แบบนี้มันเกินไป พ่อไม่เคยบอกผิงสักคำ”

   “ถ้าพ่อบอกผิงจะยอมไหม”

   “ผิงดูแลตัวเองได้”

   “ดูแลตัวเองได้หรือว่าไม่อยากให้พ่อรู้ว่ายังติดต่อกับคุณปิญญ์”

   “พ่อทำแบบนี้มันไม่ถูก”

   มันไม่ถูกต้องเลยที่เขาจะต้องถูกจับตามองในเรื่องนี้ หากแต่ประโยคอันยืดยาวที่อยากจะพูดออกไปนั้นก็กลับกลืนลงคอ
เมื่อสายตาของผู้เป็นพ่อจ้องมองมาด้วยแววตาที่จริงจัง

   “มันไม่ถูกต้องรึไงที่คนเป็นพ่อจะห่วงลูกชายตัวเอง เรื่องคุณปิญญ์ตอนนี้พ่อจะยังไม่ใส่ใจ ตอนนี้เรื่องที่พ่อจะใส่ใจก็คือ
ความปลอดภัยของตัวลูกเอง พ่อต้องการที่จะทำหน้าที่ของพ่อที่ไม่ได้ทำมาตลอดยี่สิบกว่าปี หวังว่าผิงคงจะไม่ขัด เพราะต่อให้
ผิงขัดพ่อก็จะทำ”

   “ผิงขอแค่พ่อบอกผิงสักคำก็ยังดี”ตอบรับเสียงเบาโหวงเมื่อผู้เป็นพ่ออ้างถึงเหตุผลที่ยากจะค้าน

   “ตอนนี้คุณเชตุพลหนีการคุมตัวออกมาได้ ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น พ่อไม่สามารถปล่อยให้ลูกชาย
ของตัวเองเสี่ยงอันตรายเหมือนก่อนแน่นอน”

   “ผิง…”

   “ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเกิดด้วยฝีมือใคร แต่พ่อไม่ต้องการที่จะเอาชีวิตของคนในครอบครัวมา
เสี่ยงกับสิ่งที่ยังไม่รู้ไม่เห็น เพราะฉะนั้นช่วงนี้พ่ออยากให้ผิงอยู่ติดบ้านสักพัก ถ้าหากต้องการไปข้างนอกพ่อจะให้สมชายไป
ด้วย”

   “ยังไงผิงก็ขัดพ่อไม่ได้อยู่แล้ว”ขนมผิงตอบรับก่อนจะเดินออกมาจากห้องรับแขก

   

   ร่างสูงโปร่งทอดกายทอดกายไปตามความยาวของเตียง ตาคู่สวยจ้องมองเพดานด้วยสายตาอันว่างเปล่า ราวกับว่าเวลานี้
เขากำลังถูกครอบครัวไม่ไว้วางใจ มันยิ่งทำให้เขาอึดอัดมากขึ้นเมื่อความลับที่อยู่ในร่างกายกำลังขยายตัวพร้อมที่จะเปิดเผยให้
ทุกคนได้รับรู้

   แม้ว่าเขาจะพร่ำบอกตัวเองทุกวันเพื่อรอโอกาสที่จะบอกความจริงออกไป หากแต่โอกาสที่ว่าเขาเองก็ยังไม่รู้จะเริ่มสร้าง
มันจากตรงไหนดี

   ร่างสูงโปร่งเอียงตัวไปคว้าเอาหมอนข้างใบใหม่มากอด ซุกจมูกเข้าหาความนุ่มของมันราวกับต้องการจะระบายความอึดอัก
ทั้งหมดที่มี

   อดที่จะยอมรับไม่ได้เลยว่าเวลานี้เขากำลังคิดถึงเจ้าของหมอนใบนี้ เวลานี้เขาต้องการใครสักคนเพื่อที่จะพูดคุยในเรื่อง
ต่างๆให้หายกังวล พลันประตูห้องก็เปิดออกตามด้วยร่างจ้ำม่ำสองร่างเดินเข้ามา

   “ปะป๊า”สลิ่มเดินเข้ามาก่อนจะเรียกเสียงเบา

   เขาลืมทักทายลูกหลังจากกลับมาจากทำงานเสียสนิท

   “ปะป๊าไม่สบายเหรอฮับ”ปลากริมปีนขึ้นมาบนเตียงก่อนนั่งจุมปุกอยู่ข้างๆ

   “เปล่าครับ ปะป๊าขอโทษที่ไม่ได้ไปเล่นด้วยนะครับคนเก่ง”ว่าพลางยันตัวขึ้นมาลูบหัวสองแฝดสลับกัน

   “ไม่เป็นไรฮับ ปะป๊าเหนื่อย”สลิ่มปีนตามขึ้นมาพลางเอียงคอบอก มือเล็กป้อมวางลงบนท้องของเขาเบาๆราวกับต้องการจะ
สื่ออะไรบางอย่าง

   “คิดถึงน้อง เมื่อไรน้องจะออกมา”มือป้อมอีกข้างของเจ้าตัวแสบคนพี่วางทาบลงมาบ้าง

   “อีกสี่เดือนครับ”

   อีกแค่สี่เดือนเท่านั้นที่เด็กแฝดคู่ใหม่ในท้องของเขาจะออกมาลืมตาดูโลก เพียงแค่คิดเขาก็ยิ้มออกมาบางเบา บอกไม่ได้
เลยว่าสิ่งที่จะตามมาคืออะไร แต่ที่เขามั่นใจก็คือความสุข อย่างน้อยเขาก็คาดหวังที่จะเห็นรอยยิ้มของใครบางคน…รอยยิ้มของ
เจ้าของเลือดเนื้อที่อยู่ในร่างกายของเขา

   “สี่เดือนนี่กี่วันฮับ หนึ่ง สอง สาม ไม่อยากรอแล้วอ่า”สลิ่มยกนิ้วขึ้นนับจ้องสองมือตัวองไปมา

   “กิมอยากเจอน้องแล้วฮับ กิมรักน้อง”

   “หลิ่มก็รัก”

   ใบหน้ากลมแป้นยิ้มอวดเหงือกสีแดงสดแนบลงบนท้องของเขาก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกผละออกมา

   ขนมผิงนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงถีบคล้ายกับเจ้าตัวแสบข้างในกำลังทักทายพี่ๆอยู่

   “ปะป๊า หู๊ววววว น้องขยับด้วย”

   “เมื่อกี้น้องโดนตรงนี้เลย คิกๆ”

   สองคนพากันหัวเราะ ขนมผิงเองก็อดที่จะหัวเราะตามไม่ได้กับการทักทายของพี่น้อง อย่างน้อยเวลานี้เขาก็ลืมเรื่องกลุ้มใจ
ไปบ้าง

   ยังไงซะความจริงทุกอย่างก็ต้องเปิดเผยอยู่ดี เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้เขาจะไม่วิ่งหนีมันอีกแล้ว…ต่อให้จะยังไม่รู้ถึงสิ่ง
ที่จะตามมาก็ตาม เขาจะบอกเรื่องทั้งหมดกับครอบครัว จะบอกว่าปิญญ์ชานนท์คือพ่อของเด็กๆ



   -------------------------------------------------------------------------



   ทางด้านเดหลีหญิงสาวผู้เคยเป็นดวงดาวประดับอยู่บนฟากฟ้า ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้กลับหม่นแสง ร่างผอมบางที่เคย
อรชรคู้กายอยู่บนโซฟาก่อนจะขบกัดปลายเล็บของตนเองซ้ำๆ ตาจ้องมองผู้คนหลายต่อหลายคนเดินไปมาในบ้าน

   ข้าวของในบ้านถูกรื้อค้นไม่เว้นแต่ใต้ผืนพรมที่ปูอยู่บนพื้น เธอรู้ดีว่าคนพวกนี้ต้องการหาอะไร และเวลานี้แม้แต่กระทั่งตัว
เธอเองก็ยังถูกคนพวกนี้จับตามองแทบตลอดเวลา

   ตั้งแต่มีข่าวว่าพ่อของเธอหนีการการคุมตัวออกมาได้ การถูกจับตามองของบ้านหลังนี้ก็มีเพิ่มเป็นเท่าตัว แม้แต่โทรศัพท์ใน
บ้านเธอก็มั่นใจดีว่ามันจะต้องถูกดักฟังแน่นอน

   เธอไม่รู้ว่าพ่อของเธอหนีไปได้ยังไง และตอนนี้อยู่ที่ไหน แต่ความรู้สึกของเธอในเวลานี้ราวกับกำลังถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดด
เดี่ยว ให้หวาดระแวงกับสิ่งที่ได้เคยทำเอาไว้

   “คุณเดหลีคะ”

   “เฮือก!!”

   หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือมาสะกิดที่ต้นแขน และเมื่อหันไปมองก็พบกับป้าแม่บ้านที่ทำงานกับบ้านหลังนี้มานานมาก
แล้ว

   “คือว่า…มากับป้าข้างในครัวสักพักได้ไหมคะ”

   “ทำไมต้องไปด้วยล่ะ หรือว่าเรื่องเงินเดือน”

   เพราะตอนนี้เงินเก็บของเธอก็แทบจะหมดแล้ว เธอไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายเงินเดือนให้กับคนในบ้านหรือแม้กระทั่งค่าใช้
จ่ายเล็กๆน้อยๆได้เลย

   “ไม่ใช่หรอกค่ะ เรื่องเงินเดือนป้าไม่เร่งคุณเดหลีหรอกค่ะ ป้าเข้าใจ”แม่บ้านบอกเสียงพินอบพิเนา

   เพราะเธอเองก็ได้รับความเมตตาจากเจ้าของบ้านหลังนี้มาไม่น้อย

   “ถ้าไม่ใช่เรื่องเงินเดือน…แล้วเรื่องอะไร?”

   “มากับป้าเดี๋ยวก็รู้เองแหละค่ะ”

   ถึงจะไม่เข้าใจและค่อนข้างจะไม่ต้องการที่จะคุยกับใครในเวลานี้ แต่เธอก็ยอมเดินตามแรงจูงของเจ้าของมือที่เต็มไปด้วย
ริ้วรอยก่อนจะหยุดอยู่ที่ในครัว

   แม่บ้านของเธอมองซ้ายมองขวาราวกับว่ารอให้แน่ใจดีว่าไม่มีใครอยู่จึงได้เปิดถุงกับข้าวที่พึ่งจะซื้อมาจากตลาดสดออก

   แหวกมือลงไปในเนื้อหมูที่พึ่งจะซื้อมาแล้วหยิบเอาถุงที่บรรจุวัตถุสีดำออกมา มันคือโทรศัพท์รุ่นที่ล้าสมัยที่สุดเท่าที่เดหลี
เคยเห็นมา

   ตาคู่สวยจ้องมองสิ่งที่แม่บ้านหยิบออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเข้าใจเมื่อโทรศัพท์ถูกส่งมาให้พร้อมกับกระดาษใบ
เล็กที่จดเบอร์โทรศัพท์เอาไว้

   “ป้าช่วยได้แค่นี้จริงๆ คุณท่านบอกให้คุณหนูโทรหาวันพรุ่งนี้หลังเที่ยงค่ะ”

   “จะ จริงๆเหรอ”

   ตอนนี้เธอจับต้นชนปลายแทบไม่ถูก ได้แต่มองเครื่องมือสื่อสารล้าสมัยในมือแน่นิ่ง

   “เก็บไว้ให้ดีๆนะคะ เดี๋ยวใครจะมาเจอเข้าคุณจะเดือดร้อนไปด้วย”

   มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยล้างมือจนสะอาดก่อนจะจับมือเธอให้เก็บยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เดหลียอมทำตามอย่าง
ว่าง่าย เก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋า

   เพราะอะไรกันนะเธอถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะความผิดของพ่อที่ที่ได้ทำมานานแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่
เลย!! มันไม่ใช่เลยสักนิดในเมื่อก่อนหน้านั้นเธอไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อของเธอเลย

   แต่พอมีใครบางคนเข้ามาในชีวิตของเธอ มันราวกับเหรียญที่ถูกพลิกกลับด้าน ความวุ่นวายและความเจ็บแค้นมันสุมอยู่ใน
อกทำให้เธอตัดสินใจที่จะทำอะไรผิดพลาดลงไป ทุกอย่างมันเป็นแผนการของใครบางคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ ใช่แล้ว!
แผนการ เพราะเธอหลงที่จะเดินตามเกมที่ไม่ได้เป็นคนเริ่มต้น ตัวหมากอย่างเธอจึงต้องพ่ายตั้งแต่ยังไม่เริ่มวางแผน

   แต่หลังจากนี้เธอจะเป็นฝ่ายล้มกระดานเกมๆนี้เอง เธอจะเป็นฝ่ายจบทุกอย่าง ในเมื่อเธอไม่ชนะ เธอก็จะทำให้ทุกคนที่อยู่
ในเกมพังพินาศไปตามๆกัน จะไม่มีใครได้มีความสุขทั้งนั้นตราบใดที่เธอไม่มีความสุข

   “พรุ่งนี้ป้าช่วยเดหลีทำอะไรสักอย่างสิ”

   เดหลีก้มกระซิบข้างหูแม่บ้านสูงอายุก่อนจะหยิบมีดปลอกพลไม้บนโต๊ะแอบซ่อนเอาไว้ทางด้านหลัง



   -----------------------------------------------------------------


   วันรุ่งขึ้นขนมผิงตื่นมาแต่งตัวให้เด็กๆไปโรงเรียนแต่เช้า และเลือกที่จะให้ผู้เป็นพ่อกับสมชายไปส่งเด็กๆแทน

   การที่ต้องไปไหนมาไหนโดยถูกจับตามองยอมรับเลยว่ามันค่อนข้างอึดอัด แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความปลอดภัยของลูกใน
ท้องมากกว่า

    ขนมผิงเอนหลังพิงโซฟาก่อนจะจ้องมองข่าวในทีวี หลายวันมานี้ข่าวของเชตุพลเรื่องการทุจริตยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
เมื่อเจ้าตัวได้หลบหนีการคุมตัวระหว่างถูกส่งไปไต่สวนที่ศาล และยิ่งไปกว่านั้นก็คือรายชื่อของผู้มีอิทธิพลที่หนุนหลังที่ค่อยๆถูก
เปิดเผยออกมาทีละรายชื่อ

   จะเป็นเชตุพลหรือไม่ที่จ้องจะเอาชีวิตของเขาด้วยการส่งมือปืนมายิงเขาในวันนั้น จะใช่คนเดียวกับที่ส่งคนมาลอบวาง
เพลิงที่โกดังเก็บสินค้าของมณีรัตน์รึเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งยากจะคาดเดาเพราะเขาเองก็ไม่ต้องการที่จะเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิดมาก
ในขณะที่ยังท้อง

   แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเรียกให้ขนมผิงหยิบมันขึ้นมาดูหน้าจอ ริมฝีปากได้รูปยิ้มออกมาเล็กน้อยเรื่องปลายสายนั้น
คือเจ้าของหมอนที่เขานอนกอดอยู่ทั้งคืน

   “มีธุระอะไรครับ”ถึงจะเอ่ยออกไปอย่างนั้น แต่ข้างในมันรู้สึกดีใจแปลกๆ

   ‘ฉันจำเป็นต้องมีอะไรด้วยรึไง ถึงจะโทรหานายได้’

   “เปล่า”

   ‘งั้นถ้าฉันบอกว่าธุระของฉันคือฉันคิดถึงนายล่ะ’

   “ผมก็จะวางสาย”บอกก่อนจะหัวเราะเสียงเบาเพราะได้ยินเสียงจากปลายสายโอดครวญ

   ‘อย่าพึ่งสิ นายจะใจร้ายมากเกินไปแล้ว ฉันแค่อยากจะโทรมาคุยกับลูก’

   “เด็กๆไปโรงเรียนกันหมดแล้วครับ”

   ‘ฉันหมายถึงลูกในท้องต่างหาก’

   “งั้นแค่นี้ล่ะครับ”ขนมผิงทำท่าจะตัดสายอีกรอบ คนบ้าที่ไหนกันจะมาคุยกับเด็กที่ยังอยู่ในท้องผ่านโทรศัพท์

   ‘เดี๋ยวก่อนสิ!! ฉันแค่จะโทรชวนนายออกมากินข้าว นายว่างรึเปล่า’

   “ผม…ไม่ว่าง”

   ไม่สิ!! จะว่าไม่ว่างก็ไม่ถูก ต้องบอกว่าไปไม่ได้ต่างหาก ตาคู่สวยเงยขึ้นมองมารดาที่เดินผ่านห้องรับแขกไปชั่วครู่ ก่อนจะ
หลุบลงเล็กน้อยเมื่อผู้เป็นมารดาชะงักเมื่อเห็นว่าเขาคุยโทรศัพท์และเดินผ่านไป

   ‘ทำไมล่ะ ฉันอุตส่าห์โทรไปจองโต๊ะห้องอาหารในโรงแรม’

   “ผมไม่ว่างก็แล้วกัน แค่นี้นะครับ”

   ‘ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ได้’อีกฝ่ายยังไม่ยอมลดละ

   “พรุ่งนี้ก็ไม่ได้ครับ”

   ‘วันต่อไป’

   “ไม่ได้ครับ ช่วงนี้ผมไม่ว่าง แค่นี้นะครับ”

   ขนมผิงกดตัดสายก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโซฟาข้างๆ ขืนคุยยาวกว่านี้มีหวังคงจะถูกตามตื้อด้วยน้ำเสียงในแบบที่เขาไม่
คุ้นชินแน่

   ช่วงนี้ปิญญ์ชานนท์เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนเขาแทบจะนึกภาพคนที่ข่มขืนเขาในอดีตไม่ออกเลย อะไรกันนะที่
เป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งเขาและอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

   ขนมผิงครุ่นคิดพลางลูบมือลงบนท้องเบาๆ ทว่าโทรศัพท์ก็แผดเสียงขึ้นมาอีกรอบเรียกให้ต้องคว้ามันมากดรับแล้วกรอก
เสียงลงไปคล้ายจะต่อว่า

   “จะโทรมาทำไมอีก”

   ‘คุณผิง’แต่น้ำเสียงหวานปนสั่นเครือก็ทำให้ขนมผิงชะงักมือที่กำลังจะกดตัดสายอีกรอบ

   “เดหลี”ขนมผิงหลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา

   ‘ฮึก ฮือ คุณผิงช่วยเดหลีด้วย ฮึก ฮือ ตอนนี้เดหลีไม่เหลือใครเลย เดหลีกลัว’

   “ใจเย็นๆครับ ค่อยๆพูด”

   ขนมผิงถึงจะบอกอย่างนั้น แต่น้ำเสียงที่ลอดผ่านปลายสายมานั้นทั้งสั่นเทาและสะอื้นจนน่าสงสาร

   ‘ดะ เดหลี ฮึก ไม่เหลือใครแล้ว คุณผิง ฮือ เดหลี ไม่เหลือใครเลย’

   “ใจเย็นๆนะครับ ผมว่าคุณใจเย็นๆดีกว่านะครับ”

   ขนมผิงพยายามพูดให้อีกฝ่ายหยุดสะอื้น อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้เลยที่ตนเองทำให้อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ เป็นคนที่ทำให้ชีวิตผู้
หญิงคนหนึ่งหลงเข้ามาในเกมที่เขาเป็นคนเริ่มเอง

   ‘คุณผิงมาหาเดหลีหน่อยได้ไหมคะ ฮึกๆ เดหลีกลัว’

   “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ มีใครอยู่ข้างๆคุณรึเปล่า”ขนมผิงถาม

   ยืดตัวขึ้นนั่งเต็มตัวด้วยท่าทีกระวนกระวายใจเล็กน้อย บางทีการที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องมาเจอกับหลายๆเรื่องที่กระทบกระทั่ง
จิตใจอาจจะนำพาไปสู่การคิดสั้นก็เป็นได้

   ‘ไม่มี ฮึก ไม่มีใครเลย เดหลีไม่เหลือใคร ผิงมาหาเดหลีนะ มาหาเดหลี ฮึกๆ’

   “ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ”

   ‘เดหลีอยู่ที่บ้าน ฮือ เดหลีกลัว’

   “รออยู่ที่นั่นนะครับ เดี๋ยวผมจะไปหาคุณ”

   อย่างน้อยเขาก็ต้องรับผิดชอบในส่วนที่เกิดขึ้นบ้าง แค่ให้กำลังใจให้อีกฝ่ายเลิกกังวลก็ยังดี

   เพราะเขาเข้าใจดีว่าความรู้สึกที่ราวกับว่าถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวมันเป็นยังไง



   ------------------------------------------------------------------------

   
   หลังจากที่พิศณุไปส่งเด็กๆที่โรงเรียนเสร็จก็กลับบ้านมาพร้อมกับสมชาย ชายวัยกลางคนมองไปรอบๆบ้านเมื่อพบกลับ
ความว่างเปล่าก็แปลกใจจึงได้ถามภรรยาออกไป

   “แล้วลูกล่ะ”

   “เมื่อครู่ยังอยู่ในห้องรับแขกนี่”ลำดวนบอกก่อนจะชะโงกมองห้องที่เมื่อครู่ลูกชายยังนั่งดูทีวีอยู่เลย

   “แล้วข้างบนล่ะ”

   “เมื่อครู่ลำดวนพึ่งเอาเสื้อผ้าไปเก็บในห้องตาผิงก็ไม่มีนี่คะ”

   “อะไรกัน อย่าบอกนะว่าแอบหนีออกไปข้างนอกโดยไม่บอกไม่กล่าว”ใช่ว่าจะออกไปหาปิญญ์ชานนท์ทั้งที่เขาห้ามเอาไว้
หรอกนะ

   รู้ว่าการที่ต้องมีผู้ติดตามโดยไม่ได้ยินยอมมันน่าอึดอัดแค่ไหน แต่การที่จะออกไปข้างนอกโดยไม่บอกไม่กล่าวและมี
อันตรายที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะก้าวเข้ามาหาเอาตอนไหน

   แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดเมื่อรถของลูกชายไม่อยู่ หัวอกคนเป็นพ่อได้แต่หนักใจ ยิ่งพยายามปกป้องลูกชายมากเท่าไรก็
กลับยิ่งเหมือนไปทำร้ายเจ้าตัวมากเท่านั้น

   ขาควรจะให้โอกาสในสิ่งที่กำลังกลัวว่าจะเกิดกับลูกชายดีไหม เขาไม่อยากจะให้ทุกอย่างมันซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว
ครั้งที่หัวใจของลูกชายแหลกสลายไม่มีชิ้นดีตอนที่ถูกผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของลูกทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียว

   “ให้ลำดวนโทรตามตาผิงไหมคะ”

   “ถ้าก่อนเที่ยงแล้วยังไม่กลับค่อยโทรตามก็แล้วกัน”

   “ค่ะ”




   ------------------------------------------------------------------



   ขนมผิงขับรถเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านหลังใหญ่ เขาไม่แปลกใจเลยว่ามีคนหลายคนกำลังจับตามองบ้านหลังนี้อยู่ ขายาว
ก้าวเข้าไปในบ้านที่ดูเหมือนจะเงียบสงัดแต่ก็มีคนเดินไปมาอยู่ในบ้านเรื่อยๆราวกับว่ากำลังหาอะไรอยู่

   หลายคนเริ่มมองมาที่เขาราวกับประหลาดใจ แต่ขนมผิงไม่ได้ใส่ใจเมื่อเจตนาของเขานั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

   “คุณผิงใช่ไหมคะ ทางนี้เลยค่ะ คุณเดหลีรออยู่ข้างบน”แม่บ้านสูงอายุเดินมาแตะแขนเบาๆให้หันไปมอง

   “ข้างบน?”เอียงคอถามกลับไปเมื่อรู้สึกแปลกใจ

   “ใช่ค่ะ ตั้งแต่คุณท่านถูกจับไปคุณเดหลีก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน ป้าล่ะก็เป็นห่วงไม่ยอมกินข้าวกิน
ปลา เห็นบอกว่าคุณผิงจะมาหาป้าก็ดีใจ”

   ไม่รู้เลยว่าคำพูดพวกนั้นเป็นคำโกหก กลับกันที่ขนมผิงกลับรู้สึกสงสารหญิงสาวจับใจเมื่อเธอถูกทิ้งห้างว้างอยู่คนเดียว
โดยไม่มีใครที่พอจะให้ความช่วยเหลือใดใดได้เลย

   ร่างสูงโปร่งก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนเงาวับ มองตามแผ่นหลังของแม่บ้านสูงอายุไปจนถึงห้องที่อยู่สุดทางเดิน

   “ห้องนี้เหรอครับ”ขนมผิงถามเมื่ออีกฝ่ายหยุด

   “ใช่ค่ะ ห้องนี้แหละค่ะ”บอกพลางเคาะประตูแล้วเปิดออก

   ฉับพลันที่ขนมผิงพยักหน้ารับแล้วก้าวเดินเข้าไปข้างใน กลิ่นน้ำหอมฉุนก็ลอยคลุ้งเตะจมูกทันที จมูกได้รูปย่นลงเล็กน้อย

ก่อนจะทอดสายตามองเข้าไปข้างใน แทบจะไม่เห็นอะไรเลยเมื่อไฟทุกดวงไม่ได้ถูกเปิด หน้าต่างทุกบานถูกผ้าม่านปิดเอาไว้ส่ง
ผลให้มีเพียงแสงสลัวเล็กน้อยเท่านั้นที่ส่องเข้ามาให้เห็น

   “ผมเข้าไปนะ”ขนมผิงบอกเสียงเบา ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับ

   ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นเบาๆมาจากมุมห้อง ยิ่งเดินเข้าไปเสียงนั่นยิ่งชัดเจน ในที่สุดตาก็ปรับเข้ากับความมืดพอที่จะมอง
เห็นได้อยู่บ้าง

   ร่างผอมบางนั่งคู้กายกอดเข่าอยู่มุมห้องดูน่าเวทนา ความมืดทั้งทำให้ขนมผิงมองไม่เห็นเลยว่าแววตาของเจ้าของเสียง
สะอื้นนั้นแสดงความรู้สึกใดออกมา ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงสะอื้นก็ยิ่งดัง


   “เดหลี”

   มือผอมแตะลงที่ต้นแขนเล็กอย่างเบามือ ซึ่งนั้นก็ส่งให้ร่างที่สั่นเทาสะดุ้งเฮือกราวกับกลังกลัวอะไรอยู่ เธอเงยหน้าเปื้อน
น้ำตาขึ้นมามองเขาด้วยท่าทางสั่นกลัว ทันทีริมฝีปากเปื้อนลิปสติกสีแดงสดก็คลี่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาแล้วโผเข้ากอดเขาทันที

   “คุณผิง!! คุณผิงมาจริงๆด้วย ฮึกๆ คุณผิงมาหาเดหลีจริงๆด้วย”

   “ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะครับ”

   วงแขนเล็กนั้นกอดรับคอของเขาแน่นจนเริ่มหายใจไม่ออก ขนมผิงพยายามผละถอยออกมาเมื่อความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นนั้น
มาเกินสมควร ทว่าเดหลีก็ยังไม่ยอมปล่อย กลับยิ่งกอดแน่นขึ้นแล้วซบใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงบนอกของเขา

   “เดหลีกลัว ฮึก เดหลีกลัว”

   “ผมว่าเดหลีไปนั่งบนเตียงก่อนดีกว่านะครับ มานั่งตรงนี้มันไม่ดีเลย”

   ขนมผิงพยายามที่จะพูดให้อ่อนโยนมากที่สุด ดูจากสภาพแล้วหญิงสาวคงจะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจมาไม่น้อย เขา
ประคองร่างของหญิงสาวขึ้นมานั่งบนเตียง

   “คุณผิงอย่างทิ้งเดหลีไปนะคะ เดหลีกลัว”

   “ครับ ผมจะอยู่ตรงนี้”

   ขนมผิงตอบรับอย่างช่วยไม่ได้เมื่อความรู้สึกสงสารนั้นยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้านั้นชัดๆ

   “เดหลีดีใจที่คุณผิงมา”

   แขนผอมถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้แน่น เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องยอมปล่อยให้เลยตามเลย ปล่อยให้หญิงสาวซบนั่งเอนตัวลงมาซบ
แล้วกอดแขนเอาไว้แน่นราวกับไม่ต้องการที่จะปล่อย

   เขาไม่รู้เลยว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดีเมื่อสถานการนี้มันช่างชวนให้น่าอึดอัด แต่เหมือนจะมีตัวช่วยเมื่อประตูห้องถูกเคาะ
ก่อนที่แม่บ้านจะเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำในถาด

   “ป้าเอาน้ำมาให้ค่ะ”

   หากไม่จับสังเกตจะไม่รู้เลยว่าภายใต้น้ำเสียงที่ดูใจดีนั้นสั่นมากแค่ไหน ขนมผิงพยักหน้ารับก่อนจะรับแก้วน้ำมาถือเอาไว้
ด้วยมือข้างที่ว่าง

   “ขอบคุณครับ”

   “ถ้าไม่มีอะไรป้าขอตัวนะคะ”แม่บ้านพูดก่อนจะเดินออกไปและปิดประตูห้องลง

   ข้างในห้องตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเวลากลางคืนเมื่อแทบจะไม่มีแสงสว่างใดใดเลย ขนมผิงจึงวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างเตียง
แล้วหันไปกระซิบบอกกับเดหลีเสียงเบา

   “เดี๋ยวผมไปเปิดไฟสักหน่อยดีกว่า”

   “คุณผิงห้ามหนีเดหลีไปนะคะ”

   ถึงแม้จะบอกแบบนั้นแต่ก็ยอมปล่อยแขนแต่โดยดี ขนมผิงจึงเดินไปเปิดไฟในที่สุด และทันทีที่ไฟเปิดสภาพภายในห้องก็
ปรากฏ

   เสื้อผ้ามากมายถูกรื้อออกมาระเกะระกะ ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้นที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้น แต่เครื่องสำอางเองก็มีแทบจะ
ทุกที่ที่สามารถวางได้

   “การที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องแบบนี้มันไม่เป็นผลดีเลยนะครับ ผมว่าคุณน่าจะออกไปข้างนอกบ้าง คุณอยากไปกินข้าวขาง
นอกด้วยกันไหม”ขนมผิงอออกอุบาย

   อย่างน้อยมันก็ดีกว่าปล่อยให้อยู่แต่ในห้องเงียบๆที่มีสภาพแบบนี้ ตาคู่สวยเหลือบมองหญิงสาวที่มีท่าทีดีขึ้นจากเมื่อครู่
ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางบัดนี้เปรอะเปื้อนจากน้ำตาที่ไหลลงมา

   “เดหลีไม่อยากไป เดหลีกลัว”

   “ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ไม่มีใครมาทำอะไรคุณหรอก วางใจได้”

   “จริงๆเหรอคะ”ริมฝีปากสวยฉีกยิ้มออกมาราวกับว่ากำลังดีใจต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

   พอเห็นดังนั้นขนมผิงจึงยิ้มตามกับท่าทีที่ดีกว่าเก่าของหญิงสาว

   “นี่ก็เที่ยงแล้ว ผมว่าเราไปหาอะไรอร่อยๆทานกันข้างนอกดีกว่านะครับ”ขนมผิงพยายามชวน

   “แต่ว่า”ตาคู่สวยหลุกหลิกไปมา

   “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”

   “ก็ได้ค่ะ”เดหลียอมพยักหน้าในที่สุด

   “ถ้าอย่างนั้นคุณแต่งตัวเลยครับ ผมจะไปรอข้างนอก”

   “ไม่เอา!! อย่าไปนะ เดหลีไม่ให้คุณผิงไป”หญิงสาวร้องห้ามในทันทีก่อนจะคว้าแขนของเขาเอาไว้

   “มันจะดูไม่เหมาะนะครับถ้าผมยังอยู่ในห้องนี้”

   แค่อยู่ด้วยกันสองต่อสองมันก็มากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ อีกอย่างในห้องนี้ก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมชวนให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย

   “งั้นเดหลีไม่ไปแล้วค่ะถ้าคุณผิงจะออกไปข้างนอก เดหลีกลัวคุณผิงทิ้งเดหลีไปอีกคน”

   “งั้นก็ได้ครับ ผมจะรออยู่ตรงนี้ ส่วนคุณก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ”

   “ตกลงก็ได้ค่ะ แต่ว่า…คุณผิงมาเหนื่อยๆดื่มน้ำก่อนไหมคะ”


   ไม่รู้ว่าจู่ๆหญิงสาวเปลี่ยนเรื่องไปหยิบแก้วน้ำที่เขาวางทิ้งเอาไว้มาได้ยังไง ขนมผิงส่ายหน้าเบาๆก่อนจะรับแก้วน้ำมาถือ
เอาไว้

   “ไม่เป็นไร ผมยังไม่หิวน้ำเท่าไร”กลิ่นน้ำหอมในห้องมันไม่ชวนให้อยากจะกลืนอะไรลงท้องสักเท่าไรเลย ขนมผิงได้แต่คิด
ในใจ ยกยิ้มให้กับอีกฝ่ายบางเบา

   “แต่ว่าเดหลีอยากให้ผิงกินน้ำนี่คะ”

   “ผมว่าเอาไว้เราไปกินที่ร้านที่เดียวดีกว่า”

   “แค่เดหลีอยากให้คุณผิงกิน!!”เกือบจะเป็นน้ำเสียงที่ตวาดจนขนมผิงชะงัก “อะ เอ่อ ขอโทษค่ะ คือเดหลี”เหมือนจะรู้ตัวว่า
เผลอเสียงดังออกมาสาวเจ้าจึงชะงักเช่นกัน

   “ไม่เป็นไรครับ”เจ้าของใบหน้านิ่งเฉยบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณไปแต่งตัวเถอะครับ”

   “ถะ ถ้าอย่างนั้น…คุณผิงอย่าไปไหนนะคะ”

   “ครับ”ขนมผิงตอบรับ

   ไม่รู้เลยว่าเมื่อหันหลังให้กับหญิงสาวแล้ว อีกฝ่ายจะมีสีหน้าแบบไหน ตาคู่สวยนั้นจ้องมองมาที่เขาด้วยความเจ็บใจ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นเมื่อไม่ได้ดั่งใจที่ต้องการ แต่ฉับพลันเธอก็เหลือบไปเห็นแจกันกระเบื้องใบสวยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมือ
เร็วกว่าความคิดเมื่อมือของเธอเอื้อมไปหยิบมันเอามาถือไว้แล้วก็

   เพล้งงงง!!!

   ทันทีที่เสียงแตกกระจายดังขึ้น ร่างสูงโปร่งก็ทิ้งตัวฟุบลงไปบนเตียง แทนที่ด้วยของเหลวสีแดงสดค่อยๆไหลซึมออกมา
ก่อนจะถูกผ้าปูที่นอน ก่อนที่สีขาวของมันถูกย้อมด้วยสีแดงสดน่ากลัว


   -------------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 46 หวาดระแวง + เปิดพรีฯ ❖ 07-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 07-01-2017 05:30:52
(https://www.mx7.com/i/c0a/rc1RzL.png) (https://www.mx7.com/view2/zAXu7ml671VRLMJN)
เปิดพรีฯวายไทย
“เรื่อง Dangerous Rose กุหลาบซ่อนหนาม”
วันนี้  – 31 มกราคม 60
ลายละเอียด
Set 1 ราคา 650 บาท (รอบปกติ 690)
ประกอบด้วย หนังสือ ขนาดa5 2 เล่มจบ 300+หน้า/เล่ม
ของแถม ที่คั่น 2 ลาย โปส 2 ลาย
ของแถมเฉพาะรอบพรีฯ เล่มพิเศษขนาดa5 1 เล่ม
Set 2 ราคา 770 บาท (รอบปกติ 820 )
ประกอบด้วย หนังสือ ขนาดa5 2 เล่มจบ 300+หน้า/เล่ม กล่องจั่วปังใส่หนังสือ (ตามรูป)
ของแถม ที่คั่น 2 ลาย โปส 2 ลาย
ของแถมเฉพาะรอบพรีฯ เล่มพิเศษขนาดa5 1 เล่ม
พิเศษสำหรับรอบพรีฯ สามารถแลกซื้อ “บันทึกลับลูกหมู” (โมเม้นของเด็กๆ) ในราคา 35 บาท
ค่าจัดส่ง Ems 100 บาท(Setต่อไปเพิ่มSetละ20บาท) ลทบ 65 บาท
**2Setขึ้นไปจัดส่งแบบEMSเท่านั้นนะคะ(น้ำหนักเกิน2โล)
จัดส่งหนังสือในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ (กำหนดการอาจมีการการคาดเคลื่อนเล็กน้อย)
จอง/สอบถาม ได้ที่ แฟนเพจ “เด็กหญิงเย็นชา2” หรือ sindy_lamoonอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com
**หมายเหตุ:เนื้อหาในเล่มไม่มีเนื้อหาคู่ของคุณวุฒิกับแทนทัพนะคะเนื้อหาในเว็บเป็นแค่เนื้อหาคั่นอารมณ์ที่เขียนเพิ่มเข้าไปเท่านั้น

ตอนพิเศษในเล่ม
- สามีขี้หึง
- ท้องที่สาม
- คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว
- ครอบครัววุ่นวาย
- ขนมเรไร
ตอนในเล่มแถม
- สามีบ้ากาม
- ครีมทาหน้าท้องแตก
- ลูกสาวข้าใครอย่าแตะ
- พ่อบ้านใจกล้า
- พ่อตาดุ
บันทึกลับลูกหมู
จะเป็นบันทึกที่เด็กๆเขียนเอาไว้ในแต่ละเหตุการณ์ลับหลังพ่อๆ กับแผนการที่จะช่วยทำให้พ่อแม่ได้ใกล้ชิดกัน

   
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 46 หวาดระแวง + เปิดพรีฯ ❖ 07-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 07-01-2017 07:05:36
หนมผิงนะ หนมผิง เอาตัวไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอีกละ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 46 หวาดระแวง + เปิดพรีฯ ❖ 07-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-01-2017 22:54:22
 :mew5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 46 หวาดระแวง + เปิดพรีฯ ❖ 07-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-01-2017 01:00:31
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 08-01-2017 08:36:20
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 08-01-2017 10:07:53
เรื่องกำลังเข้มข้นแล้วสินะ ปิญญ์ไปช่วยขนมผิงให้ทันทีนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-01-2017 10:18:31
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 08-01-2017 12:21:13
ลุ้นระทึกกกก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-01-2017 12:26:27
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-01-2017 14:38:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 09-01-2017 00:05:45
ท่าทางเจ๊เดหลีต้องไปอยู่หลังคาแดงแล้วแหละ สติแตกขนาดนี้อ่ะ  :mew5:
รอลุ้นตอนต่อไปอยู่น๊าาาา  :L2:
ปล. แล้วจะมีเรื่องของคุณหมอวุฒิกับเลขาทัพไหมคะคนแต่ง  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44 ตัวประกัน ❖ 08-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-01-2017 12:43:05
  ขนมผิงยังไม่หมดเคราะห์กรรมสินะ ปิญชานนท์ชวนไปกินข้าวไม่ไป ดันไปไปหาเดหลีซะได้
 รออ่านต่อคับ ค้างมาก
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 12-01-2017 06:15:20
44 ตัวประกัน

   “คุณปิญญ์ครับ คุณพิศณุมาขอพบคุณครับ”มาลิศเลขาหนุ่มบอก เรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารแล้วมอง
หน้าเลขาหนุ่มด้วยความประหลาดใจ

   “มาขอพบฉัน?”

   ใช่ว่าจะมากันท่ากันเหมือนครั้งที่แล้วแล้วเสนอให้ไปดูตัวกับหลานสาวของตัวเองหรอกนะ ปิญญ์ชานนท์ได้แต่ครุ่นคิดอยู่
ในใจ แต่ก็พยักหน้าเป็นการบอกอนุญาตเลขาหนุ่มให้เชิญอีกฝ่ายเช้ามา

   “เชิญครับ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ สบายดีไหมครับ”

   ก็ต้องทำตัวเคารพอีกฝ่ายอย่างที่เห็นนั่นแหละ รีบลุกขึ้นมาดึงเก้าอี้ให้ แถมกล่าวทักทายอย่างสุภาพอีกต่างหาก

   “ไม่ต้องมากพิธีรีตองนักหรอก”อีกฝ่ายนอกจากจะไม่ตอบรับยังมองไปทั่วห้องราวกับว่ากำลังหาอะไรอยู่

   ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มถามออกไปด้วยความสงสัย

   “กำลังหาอะไรอยู่เหรอครับ”

   “ลูกชายของผมอยู่ไหน”เสียงเรียบนิ่งกดต่ำกว่าที่เคยเรียกให้คิ้วได้รูปขมวดมุ่น

   “ลูกชาย? หมายถึงขนมผิงนั่นเหรอครับ”

   “ผมมีลูกชายคนเดียว คุณก็น่าจะรู้ดี”ประโยคนี้แฝงความนัยน์เอาไว้ ปิญญ์ชานนท์รู้ดี

   แต่ลูกชายคนเดียวของพิศณุนั่นแหละที่เป็นแม่ของลูกเขาทั้งสี่คน สี่คนนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยสำหรับคนทั่วไป

   “ครับผมทราบดี แต่ว่าขนมผิงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะครับ”

   “จะไม่ได้อยู่ที่นี่ได้ยังไงในเมื่อลูกชายของผมเขาหายไป ซ้ำยังติดต่อไม่ได้”

   พิศณุรอจนเวลาล่วงเลยไปครึ่งวันแล้วกะว่าลูกชายจะกลับมา แต่ทว่าเลยเที่ยงไปแล้วลูกชายก็ยังไม่กลับมา หนำซ้ำไม่ว่า
จะโทรไปกี่ทีกี่ทีโทรศัพท์ก็ปิดเครื่องติดต่อไม่ได้ ที่บริษัทก็ไม่มีวี่แวว คนเดียวที่เขานึกได้ก็คือปิญญ์ชานนท์ คนที่เทียวไล้เทียว
ขื่อแอบมาหาลูกชายเป็นประจำ นอกจากอีกฝ่ายจะยังไม่เชื่อคำห้ามไม่ให้เข้าใกล้ลูกชายแล้วยังจะแอบมาไปเจอกันลับหลัง คิด
แล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาเองก็เป็นแค่พ่อที่ต้องการจะปกป้องลูกก็เท่านั้น

   “ผมขอยืนยันคำเดิมว่าขนมผิงไม่ได้อยู่ที่นี่ จริงอยู่ที่ผมได้ชวนขนมผิงออกมากินข้าวด้วย แต่ขนมผิงก็ได้ปฏิเสธคำชวน
ของผม”ปิญญ์ชานนท์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

   ทว่าใจก็ยังนึกสงสัยและอดเป็นห่วงไม่ได้ ขนมผิงหายไปไหนกัน? ในเมื่อบอกว่าไม่ว่างและปฏิเสธคำชวนของเขา

   “คุณแน่ใจนะ”

   “ผมแน่ใจครับ”

   ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหาขนมผิงทันที ทว่าเสียงฝากหมายเลขโทรกลับนั้นทำให้เขาเริ่มหวั่นใจ
ไม่ว่าจะลองต่อสายอีกกี่รอบทางปลายสายนั้นก็เป็นสัญญาณฝากหมายเลขโทรกลับอยู่ดี

   “ติดไหม”

   “ปิดเครื่องน่ะครับ”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าเบาๆ

   “ไปไหนของเขากันนะ”

   พิศณุเริ่มกระวนกระวายใจ เขาคิดว่าลูกชายอยู่ที่นี่กับอีกฝ่ายเลยไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ว่าจะหาลูกชายไม่เจอ ชายสูงวัย
ทอดสายตามองชายหนุ่มดีกรีประธานบริษัทคู่แข่ง เขาไม่ได้ต้องการจะจับผิด แต่เขาต้องการที่จะสังเกตดูปฏิกิริยาที่แสดงออก
มาต่างหาก

   แล้วก็ทำให้เขาชะงักเมื่อท่าทีของปิญญ์ชานนท์นั้นเริ่มเป็นกังวล ถึงภายนอกจะไม่ได้แสดงออกมานัก แต่จากสายตาที่ดู
เป็นห่วงและการที่เจ้าตัวพยายามต่อโทรศัพท์หาปลายสายนั้นบอกได้ดีว่าปิญญ์ชานนท์นั้นก็เป็นห่วงลูกชายของเขาไม่แพ้กัน

   “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอโทษที่มารบกวนเอาลางานของคุณก็แล้วกัน”พิศณุถอนหายใจพลางลุกขึ้น

   เขาคงต้องไปตามหาที่อื่นต่อ ถึงแม้จะมืดแปดด้านก็ตาม

   “ไม่เป็นไรครับ ทางผมเองก็ต้องขอบคุณที่คุณนึกถึงผมเป็นคนแรก”

   นั่นหมายความว่าพิศณุเองก็รับรู้ความสัมพันของเขากับขนมผิงแล้วสินะ แม้จะถูกไม่ไว้ใจแต่ปิญญ์ชานนท์ก็ดีใจที่อย่าง
น้อยก็เป็นแบบนี้

   “ถ้ารู้ว่าลูกชายผมอยู่ที่ไหนรบกวนคุณช่วยติดต่อมาทางผมด้วยล่ะ”

   “ได้ครับ”

   ปิญญ์ชานนท์เดินมาส่งผู้เป็นพ่อของคนรักหน้าประตูก่อนจะกลับเข้าไปในห้องแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุนวมราคาแพง ตัดสิน
ใจกดต่อปลายสายหาคนที่เขาส่งให้ไปดูขนมผิงกับเด็กๆอยู่ห่างๆ

   “ฉันอยากจะรู้ว่าตอนนี้ขนมผิงอยู่ที่ไหน”ทันทีที่ปลายสายตอบรับปิญญ์ชานนท์ก็กรอกเสียงถามไปทันที

   ‘เพราะว่าคุณผิงไม่ได้ออกไปไหนหลายวันทำให้ตอนนี้ผมคลาดกับเขาน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมจะรีบตามหา
เขาให้เร็วที่สุดนะครับ’

   “ฉันต้องการให้นายหาตัวขนมผิงได้ได้เร็วที่สุด”

   จากคำพูดของปลายสายยิ่งทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วงขนมผิงมากขึ้นไปอีก ในเมื่อขนมผิงไม่ได้มาหาเขาและไม่ได้อยู่ที่บ้าน
แล้วขนมผิงจะไปไหนกัน?

   คิดได้ดังนั้นปิญญ์ชานนท์เลยเลือกที่จะต่อโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อติดต่อคนที่เขาไม่ได้ติดต่อมานานมากแล้ว

   ‘สวัสดีครับ มีอะไรถึงได้โทรมาหาผมได้ล่ะ’

   “ฉันอยากจะถามนายว่าขนมผิงได้อยู่กับนายไหม”

   ‘ไม่นี่ครับ ผมเองไม่ได้เจอกับผิงมานานแล้ว’คุณวุฒิตอบกลับมาให้ความเป็นกังวลของปิญญ์ชานนท์นั้นเพิ่มเป็นทวีคูณ

   “ถ้าอย่างนั้นก็แค่นี้ล่ะ ขอโทษที่โทรมารบกวนนาย”

   ‘ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่พี่ปิญญ์พอจะบอกผมได้ไหมว่าทำไมถึงได้มาถามหาผิงกับผม ขนมผิงหายไปเหรอครับ’

   “ใช่ ขนมผิงหายไป”

   ‘ผมจะลองถามกับเพื่อนๆของผิงดูให้นะครับ’คุณวุฒิตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

   “ขอบใจ”

   มันทำให้เขานึกได้ว่าเขาเป็นคนแย่งขนมผิงมาจากน้องชายคนนี้ อดที่จะรู้สึกกลัวจะโดนคุณวุฒิดูถูกไม่ได้เลยที่เขาไม่รู้
อะไรเกี่ยวกับขนมผิงสักนิด

   ก๊อก ก๊อก!!

   เสียงเคาะประตูตามมาด้วยร่างของเลขาหนุ่มเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง

   “เจ้าหน้าที่ที่คุณต้องการพบเป็นการส่วนตัวมาแล้วนะครับ คุณจะให้ผมเชิญมาเข้ามาเลยรึเปล่าครับคุณปิญญ์”

   “เชิญเข้ามาเลย”

   ใจของเขานึกเป็นห่วงขนมผิงจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร แต่เรื่องที่ต้องจัดการให้เสร็จโดยเร็วก็สำคัญไม่แพ้กัน

   ปิญญ์ชานนท์เชิญให้แขกผู้มาเยือนนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางสุขุมทั้งที่ใจนั้นร้อนรุ่มราวกับเปลวเพลิง


   “ขอบคุณที่มาวันนี้นะครับ”

   “ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ”

   “ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”ปิญญ์ชานนท์เท้าข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะทำงานอย่างเคร่งเครียด

   อีกฝ่ายพยักหน้า

   “นี่เป็นข้อมูลทั้งหมดที่ผมมี ผมเชื่อว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับคุณ”

   “คุณต้องการจะแลกด้วยอะไร”อีกฝ่ายถามกลับมาไม่อ้อมค้อมเช่นกัน

   ฝั่งหนึ่งต้องการผลงาน อีกฝั่งหนึ่งก็ต้องการให้ครอบครัวปลอดภัย แม้จะผิดกฎกติกาการเล่นเกม แต่ก็ถือว่าได้ผล
ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

   “ผมต้องการคำยืนยันความปลอดภัยที่จะตามมา”

   “แค่ความปลอดภายของคุณก็พอใช่ไหม”

   “ไม่ใช่แค่ผม แต่รวมไปถึงครอบครัวของผมและครอบครัวมณีรัตน์ด้วย”ปิญญ์ชานนท์ต่อรอง

   เขาต้องการที่จะกำจัดเสี้ยนหนามให้หมดไปโดยที่ต้องการจะทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีเสี้ยนเล็กๆหลงเหลือมาตำมือของเขา
และครอบครัวได้

   “ครอบครัวมณีรัตน์?”

   “ใช่”

   “จะพูดยังไงดีล่ะ เมื่อครู่ได้รับรายงานมาว่าประธานคนปัจจุบันของมณีรัตน์กรุ๊ปกำลังจะเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ต้องถูกตรวจ
สอบเกี่ยวกับคดีนี้ด้วย”

   “ที่คุณพูดหมายความว่ายังไง?”ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ

   “มีคนพบว่าเขาเข้าไปที่บ้านของคุณเชตุพลเมื่อตอนเที่ยง ด้วยรูปคดีที่มีความระเอียดอ่อนบวกกับความซับซ้อนทำให้ต้อง
ตรวจสอบทุกคนที่รู้จักที่อยู่โดยรอบน่ะครับ”

   “เป็นไปไม่ได้ คุณบอกว่าขนมผิงไปที่บ้านของเชตุพลวันนี้ คุณแน่ใจนะ?”

   “ครับผมแน่ใจ ลูกน้องของผมไม่เคยทำงานผิดพลาด”

   ขนมผิงไปทำอะไรที่บ้านของเชตุพลกัน!! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็หมายความว่าขนมผิงตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่รึไง

   “ขอบคุณที่มาวันนี้ ผมขอตัวผมมีธุระต้องไปทำ”

   ปิญญ์ชานนท์ผลุนผันออกไปจากห้องทันทีโดยไม่สนใจว่าจะเสียมารยาทกับเจ้าหน้าที่กรมการสอบสวนคดีพิเศษที่เขา
เชิญมาพบไหม

   เขาขอเพียงว่าอย่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคนรักกับลูกของเขาเลย!!



   ----------------------------------------------------------------------



   ทางด้านพิศณุ เขากำลังติดต่อให้คนที่รู้จักและสามารถไว้ใจได้ช่วยให้ตามหาลูกชายด้วยอีกแรง ความเป็นห่วงที่มีมากขึ้น
นั้นทำให้ชายสูงวัยไม่สามารถวางเครื่องมือสื่อสารลงได้เลย

   แต่แล้วสายจากคนที่เขาพึ่งจะคุยด้วยเมื่อครูก็ติดต่อกลับมาโดยไม่ทันตั้งตัว

   “มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม”

   ‘ผมรู้แล้วล่ะครับว่าขนมผิงอยู่ที่ไหน’

   “ลูกชายของผมอยู่ที่ไหน”

   ‘ตอนนี้ขนมผิงอยู่ที่บ้านของคุณเชตุพลครับ’

   “ขนมผิงไปทำอะไรที่นั่นกัน”พิศณุถามกลับด้วยความตกใจ

   ‘ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมกำลังจะไปที่นั่น’อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างร้อนรน

   “ผมจะรีบตามไป”

   ทั้งที่อุตส่าห์เน้นย้ำเอาไว้แล้วว่าหากออกไปไหนก็ให้มีคนตามไปด้วย แต่ทำไมกันนะถึงไม่ฟังกันบ้างเลย เป็นครั้งแรกที่
เขารู้สึกหงุดหงิดกับลูกชายคนนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาแทบจะไม่รู้จักลูกชายดีพอเลยจริงๆ



   -------------------------------------------------------



   “ขึ้นไปไม่ได้นะคะ ขึ้นไปไม่ได้!!”แม่บ้านรีบปรี่เข้ามาห้ามชายหนุ่มทันทีเมื่อชายหนุ่มอดีตว่าที่คู่หมั่นของเจ้านายเดินเข้า
มาในบ้านและทำท่าจะเดินขึ้นไปยังชั้นบน

   “ขนมผิงอยู่ที่ไหน!!”

   “ขนมผิงไหนกันคะป้าไม่รู้จัก แล้วก็ยังไม่มีใครมาที่นี่เลย”แม่บ้านสูงวัยปฏิเสธ

   “อย่ามาโกหกผม ผมเห็นว่ารถของขนมผิงจอดอยู่หน้าบ้าน”

   “ไม่มีหรอกค่ะ ไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณกลับไปซะดีกว่า คุณเดหลีเขาบอบช้ำมามากพอแล้วนะคะ อย่าทำให้เธอเสียใจมากไปกว่า
นี้เลยค่ะ”

   “หลบไป ผมไม่อยากเสียเวลา!!”

   เสียงโวยวายของชายหนุ่มประกอบกับเสียงร้องห้ามของแม่บ้านทำให้เจ้าหน้าที่ที่คอยเฝ้าจับตาดูที่บ้านหลังนี้พากันหันเห
ความสนใจมาที่ทั้งสองคน

   “คุณกำลังบุกรุกอยู่นะคะคุณปิญญ์!!”

   “ไม่อยากโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดก็ถอยไป!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดก่อนจะดันร่างของหญิงสูงวัยให้พ้นทาง

   “หยุดนะคะ คุณจะขึ้นไปข้างบนไม่ได้นะคะ”เธอโวยวายก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ให้ช่วย
ห้าม

   “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับขนมผิงล่ะก็พวกคุณที่ห้ามผมทุกคนเจอดีแน่”

   ชายหนุ่มคาดโทษเอาไว้ก่อนจะรีบขึ้นไปยังชั้นบนทันทีโดยไม่สนใจว่าจะมีใครตามมาเพื่อจะห้ามหรือไม่ เขาสนใจเพียง
อย่างเดียวก็คือความปลอดภัยของขนมผิง



   ---------------------------------------------------------



   “ไม่ ไม่นะ ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ผิด”เจ้าของเสียงพึมพำนั่งคู้กายกอดตัวเองอยู่บนเตียง

   ข้างกายมีร่างสูงโปร่งนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างๆ ตาคู่สวยเปรอะไปด้วยเครื่องสำอางจ้องมองสีแดงฉานของเลือดไหล
ออกมาเลอะผ้าปูที่นอน

   ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเจ้าของน้ำสีแดงสดนั้นครึ่งหนึ่งถูกย้อมไปด้วยเลือดจนน่ากลัว เลือดบางส่วนนั้นเริ่มที่จะแห้งเกรอะ
กรังไปบ้างแล้ว

   “มันผิดเอง มันเป็นคนผิด ฉันไม่ผิด”

   มือทั้งสองข้างของเดลีหลีกำมีดปลอกผลไม้ปลายแหลมเอาไว้แน่น ปลายของมีดนั้นจ่อมาทางประตูราวกับว่ากำลังกลัวว่า
จะมีใครเข้ามาทำร้าย

   หญิงสาวจ้องมองไปยังรอบๆอย่างหวาดระแวง ทำไมกันนะ ทำไมถึงมีแต่คนไม่ต้องการเธอ ขนาดพ่อยังทิ้งเธอเอาไว้แล้ว
หนีไปคนเดียวเลย แค่คนเดียวไม่ได้รึไงที่จะต้องการเธอและปกป้องเธอบ้าง

   “อยู่กับเดหลีนะ อย่าไปไหนนะ”

   จู่ๆเธอก็ขยับเข้าไปใกล้กับร่างที่แน่นิ่งราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน มือเรียวแต้มด้วยสีฉูดฉาดลูบลงไปบนศีรษะของขนมผิง
อย่างเบามือ ไม่สนใจว่ามือนั้นจะติดเอาของเหลวสีแดงฉ่ำติดมาด้วย

   ไม่มีใครสนใจเธอก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครอยู่ด้วยกันกับเธอก็ไม่เป็นไร แค่ขนมผิงเท่านั้น ขนมผิงที่มาหาเธอยามที่เธอร้องขอ
นั่นแสดงให้เห็นว่าขนมผิงเป็นห่วงเธอ ใช่แล้ว!!คนคนนี้เป็นห่วงเธอ เพราะฉะนั้นคนคนนี้ต้องเป็นของเธอ ของเธออย่างที่ควรจะ
เป็น ไม่ใช่ของไอ้ผู้ชายหน้าด้านนั่นที่มาแย่งเอาไป!!

   คิดได้ดังนั้นตาคู่สวยก็เกร็งแข็งขึ้นมา ก่อนจะอ่อนลงเมื่อหันไปจ้องมองใบหน้าของคนที่ไม่ได้สติ แล้วก็ยิ้มเมื่อร่างนั้น
ค่อยๆขยับ เปลือกตาที่เหมือนจะหนักอึ้งค่อยๆกระพริบเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ

   “อึก!! อือ”เสียงแหบพร่าครางในลำคออย่างทรมาน

   ร่างสูงโปร่งเอี้ยวตัวขยับเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมาจับศีรษะของตนเองเมื่อรู้สึกเจ็บ แต่พอจับดูก็พบว่าความชื้นแฉะของ
น้ำข้นหนืดประกอบกับกลิ่นคาวนั้นไหลย้อมศีรษะของตนไปครึ่งหนึ่ง ตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ

   ขนมผิงผุดลุกขึ้นมาแทบจะทันทีด้วยความตกใจและเป็นห่วงลูกใจท้อง แต่ด้วยความที่เสียเลือดไปมากจึงทำให้ความวิง
เวียนเข้าจู่โจมจนต้องใช้มือข้างหนึ่งยันที่นอนเอาไว้ไม่ให้ล้มฟุบลงไปอีกรอบ

   ความทรงจำในครั้งสุดท้ายที่มีสติไหลย้อนกลับมา คิดได้ดังนั้นก็หันมองไปยังด้านข้างของตน จ้องมองหญิงสาวในชุดนอน
ด้วยความกลัวและเป็นกังวล

   “ทำไมกัน”พึมพำออกมาราวกับคิดหาคำที่จะพูดออกมาไม่ถูก

   “ตื่นแล้วเหรอคะ”ริมฝีปากเคลือบสีแดงสวยแย้มยิ้มให้ราวกับว่าไม่เห็นสีแดงของเลือดไหลย้อมหัวของเขา

   รอยยิ้มที่ดูต่างออกไปจากทุกทีนั้นทำให้ขนมผิงเริ่มที่จะรับรู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นเข้าสู่สภาวะที่จิตใจไม่ปกติ จึงได้
พยายามยันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง เรี่ยวแรงที่มีราวกับไหลออกไปจากร่างกายพร้อมกับเลือดมากมาย

   ความกลัวยิ่งซึมลึกไปทั่วอณูเมื่อเหลือบไปเห็นผ้าปูที่นอนย้อมด้วยสีแดงฉาน บางส่วนแห้งเกรอะกัง เขาเสียเลือดไปมาก!!
ใจข้างในแทบจะกรีดร้องออกมา มือข้างหนึ่งกุมแผลบนหัวเอาไว้แน่น กดเอาไว้เมื่อไม่รู้ว่าเลือดนั้นหยุดไหลรึยัง มืออีกข้างกุม
ท้องด้วยความเป็นห่วงลูกโดยสัญชาติญาณ แต่ยิ่งพยายามออกแรง ภาพตรงหน้ามันก็ยิ่งพร่าเบลอ

   “อย่าไปนะ!! คุณผิงอย่าไปนะ”เสียงห้ามพร้อมกับมือเรียวส่วนหนึ่งมีเลือดติดดึงแขนของเขาเอาไว้

   นั่นทำให้ขนมผิงทรุดลงไปนั่งบนเตียงด้วยความอ่อนแรงอย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ทำให้ต้องตกใจก็คืออ้อมแขนเล็กๆสอดเข้า
มาจากทางด้านหลังก่อนที่จะรวบกอดเอวของเขาเอาไว้ ใบหน้าสวยเปื้อนเครื่องสำอางซบลงมาที่หลังก่อนจะถูไถไปมาเบาๆ

   “ทำ…อะไรน่ะ?”

   ขนมผิงแทบจะไม่อยากกระดิกแม้แต่ปลายนิ้วเมื่อมองเห็นบางสิ่งบางอย่างในมือของหญิงสาว เดหลีสวมกอดเขาจากทาง
ด้านหลังแน่น มือที่ถือมีดปลอกผลไม้เอาไว้อยู่ตรงช่วงท้องของเขาพอดี!!

   “คุณผิงอย่าไปนะ อย่าทิ้งเดหลีไปนะ”น้ำเสียงออดอ้อน แต่ปลายมีดนั้นทาบลงมาราวกับต้องการจะข่มขู่

   “ผมต้องไปโรงพยาบาล”ขนมผิงบอกออกไปเสียงเบา

   หากหยุดหายใจได้ตอนนี้เขาก็จะทำ เขาแทบจะไม่อยากกระดิกอวัยวะส่วนไหนของร่างกายเลยด้วยซ้ำ

   “ถ้าคุณผิงไป เดหลีจะฆ่าลูกของเรา”จากน้ำเสียงที่เว้าวอน แปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม

   ขนมผิงสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายแหลมคมกดลงมาบนผิวท้อง สัมผัสได้ถึงความเย็นของคมมีดได้เป็นอย่างดี

   แต่นั่นไม่เท่ากับการที่เดหลีรู้ได้ยังไงว่าในท้องของเขามีเด็กอยู่!!

   ปึง!!

   เสียงประตูถูกกระแทกออกอย่างแรงส่งให้ทั้งขนมผิงและเดหลีหันไปมองด้วยความตกใจ อารามของความตกใจนั้นทำให้
ปลายมีดกดลงผ่านเสื้อเชิ๊ตตัวบางและบาดลงไปบนผิวท้อง

   “อึก!!”

   ความแสบเพียงเล็กน้อยแต่ก็ราวกับคมมีดนั้นกดลึกเข้าไปในจิตใจ ตาคู่สวยเบิกกว้างจ้องมองเลือดซึมผ่านเสื้อออกมา แต่นั่นก็ไม่เท่ากับสายตาของใครบางคนที่มองมาด้วยความโกรธแค้นและเป็นห่วงในคราวเดียวกัน

   “นั่นเธอจะทำอะไรน่ะเดหลี!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดลั่น

   แทบอยากจะปรี่เข้าไปเมื่อเห็นว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของคนรักอาบไปด้วยเลือด อีกทั้งเลือดที่ซึมออกมาจากท้องนั้นยิ่งทำให้
ชายหนุ่มโกรธจัด

   “อย่าเข้ามานะ!!”

   “คุณปิญญ์”ขนมผิงเรียกเสียงแผ่ว ก้อนเนื้อในอกเต้นราวกับยินดีที่ได้เห็นอีกฝ่าย

   “ปล่อยขนมผิงเดี๋ยวนี้นะ!!”

   “เดหลีไม่ปล่อย คุณผิงเป็นของเดหลี!!”เดหลีตวาดเสียงแหลม

   ตาคู่สวยเกร็งแข็งจ้องมองชายร่างสูงอดีตคู่หมั้นที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ด้านหลังมีแม่บ้านของเธอกับเจ้าหน้าที่
ยืนออกันอยู่หน้าประตู เห็นดังนั้นเธอยิ่งกระชับมีดในมือแน่นขึ้น

   “ทิ้งมีดซะเดหลี เธอจะบ้าไปแล้วรึไง”ปิญญ์ชานนท์บอกเสียงแข็ง

   “ใช่สิ ฉันมันบ้าไปแล้ว แต่ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่เพราะแก!!”

   “ฉันว่าเธอทิ้งมีดแล้วมาคุยกันดีดีจะดีกว่านะ”ปิญญ์ชานนท์บอกพลางเดินก้าวเข้ามาในห้อง

   “หยุดนะ ถ้าก้าวเข้ามาใกล้อีกแม้แต่ก้าวเดียวฉันจะแทงเข้าไปในท้องนี่จริงๆด้วย รู้ดีไม่ใช่รึไงว่าในท้องนี่มีอะไรอยู่”หญิง
สาวแสยะยิ้ม

   “อย่าแม้แต่จะคิด”ชายหนุ่มข่มเสียง

   ตาคู่คมกริบจ้องมองเลือดที่ซึมออกมาจากท้องของขนมผิงด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะเลื่อนขึ้นมามองใบหน้าซีดเผือด ตา
คู่สวยหรี่ปรอยลงเล็กน้อยราวกับคนที่แทบจะไม่เหลือสติ

   “ถ้าไม่อยากให้ฉันแทงมีดลงไปที่ท้องนี่ก็พากันออกไปให้หมด คุณผิงเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้แก
มาแย่งคุณผิงกับลูกไปจากฉันได้อีก!!”

   เพราะลูกในท้องของขนมผิงต้องเป็นลูกของเธอ เหมือนกับที่ขนมผิงเป็นของเธอ ต่อไปนี้เธอจะไม่ต้องถูกทิ้งหรือจะต้อง
โดดเดี่ยวหากมีขนมผิงอยู่ด้วย

   เธอไม่สนใจเลยสักนิดว่าใครต่อใครจะพากันเกลี้ยกล่อมเธออยู่หน้าประตู แต่เธอสนเพียงร่างที่แทบไม่หลงเหลือสติที่เธอ
กอดอยู่เท่านั้น คางของเธอเกยอยู่บนหัวไหล่ของขนมผิง ไม่สนว่ากลิ่นเลือดจะคาวแค่ไหน หรือจะเปรอะบนใบหน้าของเธอให้ดู
น่ากลัวเพียงใด

   “ต้องให้ฉันทำยังไงเธอถึงจะยอมปล่อยขนมผิง เธอก็เห็นว่าขนมผิงเสียเลือดมากแล้ว”

   “ฉันไม่สน!! ออกไปกันให้หมด ออกไป ฉันบอกให้ออกไป!!”

   “ใจเย็นๆสิเดหลี เธออยากได้อะไรก็บอกฉันมาสิ ฉันจะให้ทุกอย่างที่เธอขอ”ปิญญ์ชานนท์เจรจาพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้น
ค่อยๆสาวเท้าเข้าไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเผลอ

   “ก็บอกว่าอย่าเข้ามายังไงล่ะ!! ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”

   เสียงตวาดทำให้ปิญญ์ชานนท์ต้องชะงักเท้าเอาไว้ หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวรากับผืนกลองถูกกระหน่ำตี บอกไม่ได้เลยว่า
รู้สึกเป็นห่วงคนรักแค่ไหนเมื่อตาคู่สวยใกล้จะปิดลงไปทุกที

   “ฉันขอร้องล่ะ ปล่อยขนมผิงเถอะนะ”ปิญญ์ชานนท์ขอร้องเสียงอ่อน

   เขาแทบจะทนไม่ได้กับสภาพของคนรัก!!

   “หึ!! คนอย่างแกขอร้องใครเป็นด้วยเหรอ คนอย่างแกมันเลว ที่ชีวิตของฉันต้องมาพังแบบนี้ก็เพราะแก!! ออกไปซะ!! ออก
ไป!! ฉันบอกให้แกออกไปไง!! กรี๊ดดดดดดดด”

   ราวกับทนรับความกดดันที่มีไม่ไหว เดหลีกรี๊ดออกมาสุดเสียงราวกับต้องการจะระบายสิ่งที่อัดอั้นออกมาจากใจ เธอยิ่ง
กระชับอ้อมกอดแน่นและจ่อมีดในมือลงไปบนผิวท้องของขนมผิงอีกรอบ

   “อึก!! หยุดนะ”ขนมผิงร้องออกมาเสียงแผ่ว

   อยากที่จะปัดป้องให้คมมีดนั้นออกไปห่างๆจากลูกที่อยู่ในท้อง แต่เรียวแรงที่มีน้อยและความกลัวที่จะทำให้พลาด ไม่กล้า
แม้แต่จะขยับตัว ทั้งที่ภาพตรงหน้าเลือนลางและหมุนคว้างจนแทบอยากจะหลับตาแล้วหลับลงไปอีกครั้ง

   “อย่าหลับนะขนมผิง!! นายมองฉันสิ”

   ปิญญ์ชานนท์พยายามเรียกเอาไว้ไม่ให้ขนมผิงหลับ เขากลัวว่าเมื่อขนมผิงหลับไปจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกเลย บอกไม่ได้
เลยว่าในเวลานี้คนที่เก่งกาจอย่างเขาราวกับเป็นพวกไร้ค่าที่แทบจะทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากยืนมองคนรักตกอยู่ใน
อันตราย

   “ฮึกๆ ออกไปสิ ออกไป ฉันบอกให้ออกไปไง คุณผิงเป็นของฉันคนเดียวนะ คุณผิงเป็นของฉัน พวกแกมันคนเลว ไปตาย
ซะ ไปตายกันให้หมดเลย อึก ฮือ”

   จากกรีดร้องเสียงแหลมสูงก็กลับกลายเป็นสะอึกสะอื้น ตัวสั่นเทาแต่ก็ยังกอดร่างในอ้อมแขนเอาไว้แน่น

   “พอได้แล้วเดหลี!!”เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกให้เสียงสะอื้นนั้นหยุดในทั้นที

   “พ่อ”หญิงสาวพึมพำเรียกชายสูงวัยร่างท้วยที่เดินแทรกตัวเข้ามาในห้องเสียงเบา

   “หยุดเถอะนะเดหลี อย่าทำให้เรื่องราวมันต้องเลวร้ายไปมากกว่านี้เลย”

   “ไม่ เดหลีไม่หยุด ฮึก เดหลีไม่เหลือใครแล้ว ถ้าเดหลีหยุดเดหลีจะไม่เหลือใคร”หญิงสาวส่ายหน้าทั้งน้ำตา

   “เหลือสิ แกยังเหลือพ่ออยู่ทั้งคน เพราะฉะนั้นแกวางมีดลงได้แล้ว”

   “ไม่จริง พ่อทิ้งเดหลีไปแล้ว”

   “พ่อไม่เคยทิ้งแกเลย ที่ผ่านมาพ่อขอโทษที่ทำให้แกรู้สึกว่าถูกทิ้งอยู่ตามลำพัง แต่ที่พ่อทำไปก็เพราะแก เพราะอยากให้
แกมีแต่สิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิต แต่พ่อคิดผิด พ่อผิดเองที่ทำให้ชีวิตของแกพัง ตอนนี้พ่อไม่อยากจะให้ชีวิตของแกพังไม่มากกว่านี้
แล้ว ดังนั้นแกส่งมีดมาให้พ่อนะ”

   “แต่ว่า…”

   “แกไม่ต้องกลัว ต่อไปนี้ฉันจะอยู่กับแกเอง”เชตุพลบอกเสียงเบา

   ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ลูกสาวอย่างเชื่องช้า เขาไม่รู้เลยว่าถ้าหากไม่เอะใจมาที่นี่เสียก่อนอะไรจะเกิดขึ้น เขารอโทรศัพท์จาก
ลูกสาวครึ่งค่อนชั่วโมง แต่ลูกสาวก็ยังไม่ติดต่อมาตามที่นัดแนะเอาไว้ผ่านแม่บ้าน ความร้อนใจและเป็นห่วงลูกสาวจึงทำให้เขา
ตัดสินใจเสี่ยงมาที่นี่ ยอมแลกอิสรภาพที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายให้กับสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต

   “ส่งมีดมาให้พ่อเถอะนะ” เกลี้ยกล่อมอีกครั้ง

   มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นค่อยๆวางลงบนมีดปลอกผลไม้อย่างเบามือ

   “แต่ว่า…”

   “เถอะนะ ส่งมีดมาให้พ่อเถอะ พ่อของแกอยู่ตรงนี้แล้ว”

   เชตุพลบอกเสียงแผ่ว และในที่สุดเขาก็แย่งมีดนั้นจากมือของลูกสาวได้

   “พ่อคะ”หญิงสาวเรียกเสียงเบาก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดจากร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรง

   เธอสวมกอดพ่อของเธอแทนและซบใบหน้าลงบนอกของพ่อเธอราวกับต้องการจะหาไออุ่น

   “ไม่เป็นไรแล้วนะ พ่ออยู่ตรงนี้”

   “พ่อคะ ฮึก เดหลี ฮึก อย่าทิ้งเดหลีไปอีกนะคะ”เธอกระชับกอดร่างของผู้เป็นบิดาแน่น

   ราวกับว่าตลอดเวลาในส่วนที่ขาดหายของเธอได้ถูกเติมเต็ม เธอไม่สนใจขนมผิงอีกต่อไปแล้วในตอนนี้

   ไม่สนใจว่าร่างสูงโปร่งจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้าราวกับร่างกายนั้นเป็นก้อนหินที่หนักอึ้ง ตาคู่สวยจ้องมองไปยังร่าง
สูงเบื้องหน้าแม้เปลือกตาจะแทบลืมไม่ขึ้นก็ตาม

   “คุณปิญญ์”เสียงแผ่วเบาไม่ต่างอะไรจากเสียงของลมพัดเรียกออกไป

   แค่เอื้อมมือที่ขนมผิงจะไขว่คว้าคนรักเอาไว้ได้ และเพียงก้าวเดียวเท่านั้นที่ก้าวออกไป ขนมผิงก็ล้มลงพร้อมกับสติที่ดับวูบ
ร่างกายตกสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคยราวกับคาดหวังที่จะถูกอ้อมแขนนี้โอบกอดอีกครั้ง

   อ้อมกอดของคนที่เขารัก



   --------------------------------------------------------

ีอีก 2 ตอนนะ รอคอยลอยคอกันเลย ><
(ถ้าจบเศร้าคงโดนคนอ่านเอารองเท้าปาแน่)
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 12-01-2017 07:40:53
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 12-01-2017 10:05:01
อย่างน้อยเชตุพลก็ยอมเป็นคนดีเพื่อลูก ถึงแม้จะสายไปแล้ว แต่ก็ดีกว่าให้มันแย่ไปกว่านี้
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 12-01-2017 10:08:42
ผ่านพ้นเรื่องร้าย ๆ กันซะที ตอนนี้ก็รอสองแฝด
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 12-01-2017 13:20:19
  มีดเข้าไม่ลึกมากเท่าไหร่ ลูกไม่เป็นอันตรายหรอก
 คลอดลูกเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-01-2017 14:23:56
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 12-01-2017 17:30:59
ลุ้นกันต่อ ..
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 12-01-2017 17:57:25
ขนมผิงกับลูกอย่าเป็นอะไรไปนะสาธุ :mew6:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-01-2017 18:53:48
 :ling1:  :ling1: ตอนต่อไป  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-01-2017 22:35:59
 ดีนะที่มาช่วยทัน
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 44.2 อ้อมแขน ❖ 12-01-60 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 12-01-2017 23:34:48
ขอให้ปลอดภัยทั้งแม่ ทั้งลูกแฝด
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบ ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 22-01-2017 13:09:46
45 คำตอบของหัวใจ

            “ลูกของผมอาการเป็นยังไงบ้าง”พิศณุถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลายชั่วโมงแล้วที่ลูกชายถูกพาออกมาจากห้องฉุกเฉินแต่ก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา

            แววตาหม่นหมองหันไปมองร่างไม่ไหวติง แขนทั้งสองข้างมีสายห้อยระโยงระยาง ศีรษะมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อเป็นห่วงลูกชายมากขึ้นเป็นเท่าตัว

            “โชคดีที่คนไข้มาถึงมือหมอก่อนที่จะเสียเลือดมาก ส่วนที่แผลที่ศีรษะจากผลตรวจเราไม่พบความผิดปกติของสมองใดใด ตอนนี้ทางเรากำลังหาสาเหตุว่าทำไมคนไข้ถึงได้ยังไม่ยอมฟื้นขึ้นมา”

            “แล้วลูกของผมจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไรกัน”

            “ตอนนี้ทางเรายังให้คำตอบไม่ได้นะครับว่าคนไข้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ได้แต่เฝ้าดูอาการของคนไข้ในระยะใกล้ชิดครับ อีกอย่าง…”คราวนี้คนเป็นหมออ้ำอึ้งราวกับกระดากใจที่จะพูด แต่ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกมาบางเบา

            “อีกอย่างอะไรครับ”

            สิ่งที่คุณหมอพูดค้างเอาไว้ทำทั้งพิศณุและลำดวนยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเป็นเท่าตัว

            “ถึงแม้คนไข้จะเสียเลือดมากแต่เด็กที่อยู่ในครรภ์ก็ปลอดภัยดีครับ”

            “เด็กแหรอคะ?”ลำดวนถามสีหน้าฉงน

            “ครับเด็กทั้งสองคนปลอดภัยดีครับ”

            “สองคน?”คราวนี้เป็นพิศณุที่ดูแปลกใจไม่แพ้กัน

            มันหมายความว่ายังไงที่หมอบอกว่ามีเด็กอยู่ในท้องของขนมผิง อย่าบอกนะว่าลูกชายของเขากำลังท้อง!!

            แล้วใครกันที่เป็นพ่อของเด็ก?

            “ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอต้องขอตัวก่อนนะครับ”

            “เดี๋ยวครับหมอ พอจะบอกได้ไหมว่าเด็กในท้องของลูกชายผมกี่เดือนแล้ว”

            “จากประวัติของคนไข้ที่ได้มาจากหมออีกคนก็ราวๆห้าเดือนครับ เดี๋ยวช่วงบ่ายหมอเจ้าของไข้ที่คนไข้ได้ฝากครรภ์เอาไว้จะมาตรวจดูอีกทีนะครับ”

            “ขอบคุณหมอมากครับ”พิศณุตอบรับ

            จนประตูห้องพิเศษปิดลงจึงได้ละสายตามามองร่างของลูกชายอีกครั้ง สายของน้ำเกลือบวกกับสายให้เลือดตอนนี้มันดูไม่น่ามองสักเท่าไรเลยสำหรับเขา พอมองดูดีดีแล้วลูกชายของเขาในช่วงนี้ก็ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมากกว่าแต่ก่อนเยอะ ตอนนั้นเขาคิดเพียงแค่ว่าลูกชายเจริญอาหาร ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพราะกำลังท้อง

            “คุณพิศคะ”ลำดวนแตะแขนสามีเบาๆเมื่อสามีของเธอนิ่งเงียบไป

            “ทำไมกันนะ…ผมถึงได้รู้สึกว่าไม่รู้จักลูกชายของเราเลย”

            เขาทั้งเป็นห่วงและโกรธที่ลูกชายปิดบังเรื่องนี้กับเขา เรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ทำไมลูกชายถึงได้ปิดบังเขาได้ลงคอ ทั้งที่เขาเป็นพ่อ เป็นพ่อที่ควรจะปกป้องลูก พ่อที่ควรจะรับฟังลูกได้ทุกเรื่อง มันเหมือนกับว่าเขาแทบไม่มีบทบาทในความเป็นพ่อเลยสักนิด

            “ลำดวนว่าลูกเราอาจจะลำบากใจก็ได้นะคะที่จะบอกเรา”ลำดวนบอกสามี

            เธอเองก็รู้สึกตกใจไม่แพ้สามี อีกแล้วที่เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นแม่ที่ไม่ได้ความ ไม่รู้แม้กระทั่งคนเป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในท้องของลูกชาย

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!

            เสียงเคาะประตูเรียกให้ทั้งพิศณุและลำดวนหันไปมอง ร่างสูงใหญ่สภาพเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนคราบเลือดเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

            “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!!”

            ปิญญ์ชานนท์ก้าวเข้าไปในห้องเพียงก้าวเดียวก็ถูกพิศณุห้ามเอาไว้ให้ชะงัก ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมามองผู้สูงวัยกว่าด้วยความไม่เข้าใจ

            “ผม…”

            “พอเถอะ ตอนนี้ลูกชายของผมก็เป็นแบบนี้แล้ว เพราะฉะนั้นคุณเลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขาสักที”

            หลายต่อหลายเรื่องมีอันตรายต่อขนมผิงล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับชายหนุ่มเบื้องหน้าทั้งสิ้น พิศณุไม่อยากจะโทษว่าใครคือสาเหตุในเรื่องนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะออกปากไล่ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ลูกชายอีก

            “ผมอยากจะเข้าไปดูอาการของขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์บอกเสียงแผ่ว หลุบตาลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด

            “ตาผิงก็แค่หลับไปเท่านั้น อีกเดี๋ยวเขาก็ตื่นขึ้นมาเอง ดังนั้นคุณออกไปได้แล้ว”พิศณุยังคงยืนยัน

            “คุณพิศคะ เขาเป็นห่วงลูกเราก็ปล่อยให้เขาเข้ามาดูตาผิงสักหน่อยนะคะ”ลำดวนช่วยเกลี้ยกล่อม

            “พอสักที ลูกชายเราเป็นถึงขนาดนี้แล้วนะลำดวน”

            “ไม่ครับ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”ปิญญาชานนท์ปฏิเสธเสียงหนักแน่น

            “คุณกลับไปซะเถอะ ครั้งนี้ผมจะเตือนคุณครั้งสุดท้ายจริงๆ อย่าให้ผมต้องใจร้ายเรียกให้คนมาพาคุณออกไปเลยนะ”ชายวัยกลางคนเบือนหน้าหนีเล็กน้อย

            “ไม่ครับ ผมไม่ไป ผมจะอยู่กับขนมผิง”

            “คุณต้องการอะไรกันแน่ ไม่เห็นรึไงว่าลูกชายของผมตกอยู่ในสภาพไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร อีกอย่างลูกชายของผมไม่เหมาะกับคนอย่างคุณหรอก”

            คนที่มีหน้ามีตาทางสังคม คนที่มีฐานะมีความสามารถอย่างปิญญ์ชานนท์ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาให้ความสำคัญกับขนมผิงที่ตอนนี้ยังไม่ได้สติขึ้นมา

            “ผมไม่สนหรอกครับว่าเราจะเหมาะกันหรือไม่ ผมสนแค่ผมต้องการที่จะอยู่ข้างขนมผิง”

            “คุณก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนที่พร้อมทุกอย่างแบบคุณ คุณกลับไปได้แล้ว”

            อีกครั้งที่พิศณุไล่ และอีกครั้งที่ทำให้ปิญญ์ชานนท์รู้สึกราวกับมีกำแพงสูงขวางอยู่เบื้องหน้า

            “ผมขอร้องล่ะครับ ให้ผมได้เข้าไปดูขนมผิงด้วยเถอะครับ”

            “ผมบอกแล้วไงว่าคุณกลับไปได้แล้ว คุณไม่ได้ยินรึไงกัน!!”

            “ไม่ครับ ผมขอยืนยันคำเดิมว่ายังไงผมก็จะไม่ออกไปจากห้องนี้เด็ดขาด”ปิญญ์ชานนท์ยื่นคำขาด

            ไม่เพียงแค่นั้น ชายหนุ่มยังคุกเข่าลง ห่างจากเบื้องหน้าของพิศณุและลำดวนเพียงไม่กี่ก้าว ซึ่งนั่นก็ทำให้สองสามีภรรยาต่างก็พากันตกใจในสิ่งที่ชายหนุ่มทำ

            “คุณทำอะไรอย่างนั้น ลุกขึ้นเถอะค่ะคุณปิญญ์”ลำดวนรีบโผมาดึงแขนของของเขาให้ลุกขึ้น

            “ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมลุกไปไหนทั้งนั้นหากไม่ยอมให้ผมอยู่ดูอาการขนมผิง”

            “ต่อให้คุณทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ”

            ต่อให้ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องความหยิ่งทระนงตนมาคุกเข่าเบื้องหน้าของเขามันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าลูกชายของเขากำลังท้องได้เลย

            “ผมรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา”ปิญญ์ชานนท์พึมพำ

            จริงอย่างที่พิศณุว่า นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว เขายังเป็นต้นเหตุที่ฉุดให้ขนมผิงเจอกับเรื่องอันตรายหลายต่อหลายครั้ง

            “แล้วเพราะอะไรล่ะ เพราะอะไรคุณยังยืนยันที่จะอยู่ต่อทั้งที่ถูกผลักไสไล่ส่งแบบนี้”

            ร่างของชายสูงวัยเดินเข้ามาใกล้ร่างที่กำลังคุกเข่าอยู่ราวกับต้องการที่จะมองอีกฝ่ายให้ชัดเจน เขาต้องการที่จะมองเห็นสิ่งที่แสดงออกมาทางสายตาคู่นั้น

            “เพราะว่าผมเป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในท้องของขนมผิงไงครับ”

            ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ยอมรับออกมา ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน และเป็นลำดวนที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบซะเอง

            “คุณพูดอะไรกันคะคุณปิญญ์”

            “เด็กที่อยู่ในท้องของขนมผิงเป็นลูกของผม รวมถึงปลากริมกับสลิ่มด้วย ผมเป็นคนที่ทำให้ขนมผิงท้องและปฏิเสธความรับผิดชอบเมื่อสี่ปีก่อนเอง ผมข่มขืนขนมผิงจนท้องและไล่ขนมผิงไปตอนที่เขามาขอให้ผมรับผิดชอบ”

            เพี๊ยะ!!

            แทบจะทันทีที่จบประโยค ฝ่ามือกร้านกระทบลงมาบนซีกหน้าของปิญญ์ชานนท์อย่างแรงจนเกิดเสียงดัง

            “แล้วคุณพึ่งจะโผล่มาเอาป่านนี้เนี่ยนะ หนำซ้ำยังจะกล้าทำผิดซ้ำสองอีก ใจคอทำด้วยอะไรกันแน่!!”

            “คุณพิศ!!”

            จากที่พยายามฉุดให้ชายหนุ่มลุกขึ้นตอนนี้ลำดวนกลับผละมารั้งสามีเอาไว้เสียเอง ไม่เคยเลยที่จะเห็นสามีตัดสินอะไรด้วยการใช้กำลัง แม้เธอเองจะรู้สึกโกรธและไม่พอใจไม่แพ้กัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการที่ลูกชายของเธอยังไม่ยอมฟื้นขึ้นมาต่างหาก

            “ผมรู้ว่าผมทำผิด ผมอยากที่จะขอโทษในสิ่งที่ได้ทำลงไป ผมรู้แล้วว่าที่ทำไปเป็นเพราะผมรักขนมผิงมาก ผมอยากที่จะเริ่มต้นใหม่และรับผิดชอบในสิ่งที่เคยทำกับเขาและลูก ขอร้องเถอะครับอนุญาตให้ผมอยู่ดูแลขนมผิงด้วยเถอะนะครับ ผมอยากจะดูแลพวกเขาจริงๆ”

            “ยังไงก็ไม่ได้หรอก เวลาที่ผ่านมามันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณไม่สามารถปกป้องลูกชายของผมกับหลานๆได้ คุณกลับไปซะเถอะ คำขอโทษของคุณมันไม่จำเป็นแล้วสำหรับเวลานี้”

            “ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมทิ้งขนมผิงกับลูกไปไหนอีกแล้ว”ยังคงยืนยันคำเดิมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

            “เรื่องนี้มันสำคัญก็จริงนะคะ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือตาผิงที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราอย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้กันจะดีกว่า เวลานี้มันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ส่วนคุณเองก็กลับไปก่อนจะดีกว่านะคะ ตอนนี้สภาพคุณเองก็ดูไม่ต่างอะไรกับตาผิงเลย”ลำดวนบอกเสียงอ่อน มองสภาพของชายหนุ่มที่ลำตัวและเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเลือดของลูกชาย

            จริงอย่างทีลำดวนว่า ต่อให้พูดต่อความยาวสาวความยืดกันแค่ไหน ด้วยอารมณ์ของทั้งเขาและพิศณุมันไม่ได้ช่วยให้เรื่องทุกอย่างมันดีขึ้นเลย ซ้ำจะยังเป็นการรบกวนขนมผิงอีกต่างหาก

            “ก็ได้ครับ แล้วผมจะกลับมาใหม่”

            สุดท้ายปิญญ์ชานนท์ก็ต้องยอมรับแล้วถอยหลังเดินออกมาจากห้องนั้นเอง สมควรแล้วสินะกับผลที่ได้กระทำเอาไว้ในครั้งก่อนๆ เขาอยากจะแค่นยิ้มให้กับตัวเองใจจะขาดหากแต่เวลานี้เขาทำได้แค่เดินถอยหลังออกมาจากกำแพงสูง

 

            ----------------------------------------------------------

 

            จนเวลาล่วงเลยสู่ยามเย็น ปิญญ์ชานนท์กลับบ้านมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะกลับไปหาขนมผิงอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากบ้านโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขากดรับอย่างช่วยไม่ได้เมื่อปลายสายคือพิศณุ

            “ปิญญ์ชานนท์ครับ”

            ‘เพราะผมปฏิเสธคุณใช่ไหมคุณถึงได้เอาตัวเด็กๆไป’ทันทีที่รับสายอีกฝ่ายก็พูดประโยคที่ทำเอาชายหนุ่มมึนงง

            “อะไรนะครับ?”

            ‘คุณเอาตัวเด็กๆไปใช่ไหมคุณปิญญ์’

            “เปล่าครับ เด็กๆไม่ได้อยู่กับผม”

            ‘เด็กๆหายไป ถ้าคุณไม่ได้เอาเด็กๆไปแล้วเด็กๆจะหายไปไหนได้ยังไง’

            “เด็กๆหายไปเหรอครับ”คราวนี้ปิญญ์ชานนท์ถามกลับเมื่อจับใจความในข้อกล่าวหาได้

            ‘ใช่ ปลากริมกับสลิ่มหายไปตั้งแต่ช่วงบ่าย เวลาเดียวกับที่คุณออกไปจากโรงพยาบาล’

            “เด็กๆไม่ได้อยู่กับผมครับ ลองหากันดีแล้วเหรอครับ อาจจะเดินหลงอยู่ที่ไหนก็ได้”

            ‘ผมให้คนลองหาดูหมดแล้ว’

            “แล้วกล้องวงจรปิดล่ะครับ”

            ‘ตอนนี้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลกำลังตรวจเช็คอยู่ ผมหวังว่าคุณจะพูดความจริงนะคุณปิญญ์ ถ้าคุณไม่ได้เอาเด็กๆไปผมก็ไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว ขอโทษที่โทรมารบกวน’

            “เดี๋ยวผมจะรีบไปครับ”

            บอกไปแบบนั้นแต่ไม่รู้ว่าปลายสายจะได้ยินหรือว่าสนใจไหม เพราะไม่มีการตอบรับและถูกตัดสายไปในทันทีราวกับเร่งรีบ ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกถึงลูกชายแสนซนทั้งสองคน เพราะถึงจะวิ่งเล่นแค่ไหนก็ไม่เคยไปไกลกว่าที่บอกหรือไกลกว่าระยะสายตาเลย แล้วลูกๆของเขาหายไปไหนล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงจนอยู่เฉยไม่ได้

 

            ----------------------------------------------------------

 

            “ยังไม่เจออีกเหรอคะ”ลำดวนถามเมื่อสามีเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย

            “ยังเลย”พิศณุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจพลางกุมขมับ

            ลูกชายก็ยังไม่ฟื้นแถมหลานสองคนก็หายไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่าหายไปไหน ทั้งที่มีพี่เลี้ยงสองคนคอยดูแลแต่ก็หายไปจนได้ราวกับจงใจจะหนีไปอย่างนั้น

            “แล้วคุณปิญญ์ล่ะคะ”

            “เขาบอกว่าไม่ได้เอาเด็กๆไป”

            “ตายจริง”ลำดวนยกมือทาบอกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแล้วดมยาดมเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน

            “กล้องวงจรปิดก็เห็นแค่ว่าเด็กๆเดินไปทางมุมอับลานจอดรถจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย”

            “จะทำยังไงดีคะ แบบนี้มันไม่ดีเลย”ลำดวนพูดเสียงสั่น เธอจวนที่จะรับเรื่องต่างๆที่ถาโถมเข้ามาในทีเดียวกันแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว

            “ผมให้เพื่อนที่รู้จักสั่งตั้งด่านสกัดเอาไว้แล้ว หากว่าเด็กๆถูกลักพาตัวไปจริงก็น่าจะไปได้ไม่ไกล”

            “แล้วก่อนไปเด็กได้กินข้าวกินปลารึยัง ป่านนี้คงจะหิวแย่”ลำดวนหันไปถามพี่เลี้ยงทั้งสองที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่ไม่ไกล”

            “ก่อนหน้านั้นนิวกับแนนพาน้องไปกินข้าว พอกินเรียบร้อยแล้วก็พากลับมาทีนี่ แต่พอดีคุณพิศณุกับคุณลำดวนมีแขกก็เลยรออยู่ข้างนอก น้องๆบอกว่าอยากเข้าห้องน้ำก็เลยพาไป จากนั้นก็ไม่เห็นอีกแล้วค่ะ”

            “เดี๋ยวนะ ทั้งสองคนบอกว่าพากลับมาตอนที่มีแขกงั้นเหรอ”

            “ใช่ค่ะ ได้ยินเสียงคุยกันเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญก็เลยรออยู่ข้างนอก”พี่เลี้ยงตอบ

            “คุณว่าเด็กๆจะได้ยินที่เราคุยกันไหมคะคุณพิศ”ลำดวนหันไปถามสามี

            “ก็น่าจะได้ยินนั่นแหละ”

            “อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กๆหายไปก็ได้นะคะ”

            “เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สินะ”

            ใจคอจะไม่รอให้เรื่องมันจบไปทีละเรื่องเลยรึไง ถ้าหากเป็นอย่างที่คาดเอาไว้ เด็กๆก็คงจะได้ยินที่เขาคุยกับปิญญ์ชานนท์หมดแล้วสินะ คงจะได้ยินว่าปิญญ์ชานนท์เป็นพ่อที่แท้จริงและได้ยินว่าเป็นเด็กที่เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจไปแล้ว

            พิศณุเบือนหน้าไปมองลูกชายที่ยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง ไม่รู้เลยว่าลูกชายจะรู้ถึงเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดไหม แล้วถ้าได้เห็นว่าคนคนนั้นที่เคยหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีมาตลอดยอมคุกเข่าเพื่อรับผิดในสิ่งที่ทำ…ลูกชายของเขาจะทำอย่างไร

 

            -----------------------------------------------------------------

 

            หลังจากที่วางสายจากพิศณุ ปิญญ์ชานนท์ก็รีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลทันทีด้วยความเป็นห่วงลูกชายทั้งสองคน

            ครืด ครืด

            แต่แล้วเครื่องมือสื่อสารก็สั่นเรียกความสนใจขณะที่เขากำลังขับรถ ชายหนุ่มหยิบขึ้นมากดรับโดยทันทีเพราะคิดว่าเป็นสายจากพิศณุ แต่แล้วเขาก็ต้องเบี่ยงรถจอดยังข้างทางเมื่อเสียงของปลายสายที่ไม่คุ้นเคยนั้นดังลอดมา

            “สวัสดีครับ ผมแค่จะโทรมาบอกคุณว่าตอนนี้ลูกชายของคุณอยู่กับพวกเรา”

            “คุณเป็นใคร แล้วลูกชายของผมไปอยู่กับคุณได้ยังไง”

            สิ่งแรกที่คิดก็คือการลักพาตัว ในเรื่องนี้แล้วแทบจะเป็นเรื่องปกติกับการจับตัวลูกของคนมีฐานะเพื่อข่มขู่เรียกค่าไถ่

            “ผมเป็นพ่อค้าขายผลไม้อยู่ในตลาดแถวโรงพยาบาลนี่ล่ะ เมื่อตอนบ่ายผมพาภรรยาไปหาหมอ แต่พอกลับมาก็เจอว่าเด็กแฝดสองคนดันติดหลังรถมาด้วย รบกวนคุณช่วยมารับลูกๆของคุณกลับไปด้วยก็แล้วกัน”

            “อย่างนั้นเองเหรอ ได้สิแล้วผมจะรีบไป”

            “พ่อปินมาเร็วๆนะฮับ”

            “พ่อปินมาเร็วๆน้า”

            เสียงเจื้อยแจ้วดังลอดปลายสายมา น้ำเสียงนั้นยังคงสดใสร่าเริงเป็นปกติไม่มีอะไรน่าห่วง ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ ทำไมจู่ๆลูกชายที่คิดว่าเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายถึงได้ซนไม่เข้าเรื่องขึ้นมาได้ เขาทั้งห่วงทั้งรู้สึกไม่พอใจในคราวเดียวกัน

            ชายหนุ่มขับรถเลี้ยวเข้ามายังตลาดสดที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าไร โชคดีที่เขาเคยแอบให้เด็กๆท่องจำเบอร์ของเขาเอาไว้เผื่อโทรหาเขาได้เมื่อนานมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้ประโยชน์เอาก็ตอนนี้

            “ปลากริม สลิ่ม”เสียงทุ้มหูเรียกสองแสบราวกับว่าพยายามข่มเสียงให้ดูน่ากลัว

            ทั้งโล่งใจทั้งหงุดหงิดที่ถูกทำให้เป็นห่วง ทั้งที่ผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนพากันตามหา แต่เจ้าตัวแสบทั้งสองกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังแผงขายผลไม้ปากพลางเคี้ยวมะม่วงที่คนขายกำลังปลอกให้ตุ้ยๆอย่างอารมณ์ดี เขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของทั้งสองคนตั้งแต่ยังไม่เดินเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ

            “พ่อปิน!!”

            “พ่อปินมาแล้วววว”

            ทันทีที่ทั้งสองหันมาเจอก็กระโดนลงมาจากเก้าอี้ ปรี่เข้ามาเกาะแข้งเกาะขาชายหนุ่มทันที ถึงจะน่ารักน่าชังขนาดไหนแต่ก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี

            “ทำไมถึงทำแบบนี้ห่ะ รู้ไหมว่าคนอื่นเขาเป็นห่วงกันแค่ไหน”ปิญญ์ชานนท์ก้มลงดุ

            “พ่อปิน”ปลากริมชะงักเงยหน้ามองหน้าดุๆของชายหนุ่ม

            “ฮึกๆ”สลิ่มเองก็เช่นกัน เมื่อเห็นหน้าดุๆกับเสียงไม่พอใจก็รู้ตัวว่ากำลังถูกโกรธจึงเริ่มสะอื้นออกมา

            “สมควรถูกตีไหมทั้งสองคน”

            “แต่ว่า…แต่ว่ากิมกับน้องหลิ่มอยากเจอพ่อปิน อยากอยู่กับพ่อปิน ฮึก คุณตาไม่ชอบพ่อปิน แต่กิมกับน้องชอบพ่อปิน อยากอยู่ด้วยกัน ฮึก”

            “ฮึก ฮือ อยากอยู่กับพ่อปิน หลิ่มอยากอยู่กับพ่อปินกับปะป๊า คุณตาไม่รักพ่อปิน คุณตาไล่พ่อปิน”เด็กๆพากันสะอื้นทั้งน้ำตา มือป้อมยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ผล็อยออกมา

            และนั่นปิญญ์ชานนท์ชะงักกับคำพูดของเด็กๆ หมายความว่ายังไงกันกับสิ่งที่เด็กๆพูด หรือว่าเด็กๆจะได้ยินที่เขากับพิศณุพูดกันเมื่อตอนบ่ายถึงได้บอกว่าพิศณุไล่เขา

             คงเป็นเหตุผลนี้สินะที่ทำให้เด็กๆแอบหนีออกมาเพื่อจะมาหาเขา แต่ยังไงมันก็ไม่สมควรเลยจริงๆ หากโชคไม่ดีเข้าไม่รู้เลยว่าจะป่านนี้จะเป็นยังไง

            “ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูเด็กๆให้ นี่นามบัตรของผมครับ รบกวนช่วยติดต่อกลับมาภายหลัง แล้วผมจะตอบแทนที่ดูแลเด็กๆไว้ให้นะครับ”บอกพลางยื่นนามบัตรให้กับชายขายผลไม้

            “ไม่ต้องหรอก เรื่องแค่นี้เอง อีกอย่างเด็กๆก็ไม่ได้เป็นภาระอะไรเลย ก็แค่มานั่งคุยเป็นเพื่อนกันสักพัก”อีกฝ่ายโบกมือไม่ยอมรับ

            “ถ้าอย่างนั้น…”ปิญญ์ชานนท์ขมวดเล็กน้อยพลางครุ่นคิดกับน้ำใจของอีกฝ่ายก่อนจะพูดต่อ “งั้นผมจะเหมาผลไม้ทั้งหมดไปเลี้ยงพนักงานที่บริษัทแทนก็แล้วกัน”

            “จะเอาอย่างนั้นก็ได้ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น”

            “นี่เงินค่าผลไม้ ส่วนผลไม้ผมจะส่งคนมารับอีกที ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ดูแลเด็กๆให้”

            ปิญญ์ชานนท์ขอบคุณอีกกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาอีกระรอกก่อนจะก้มตัวลงไปอุ้มลูกแฝดทั้งสองขึ้นมาพร้อมกัน

            “พ่อปินอย่าตีน้องนะฮับ ตีกิมคนเดียว กิมเป็นคนชวนน้องหลิ่มเอง”คนพี่บอกเสียงสั่น มือป้อมกำเสื้อของเขาเอาไว้แน่น

            “ไม่เอา ฮึก ไม่ตีไม่ได้เหรอฮับ ไม่อยากให้ตีพี่กิมเลย”คนน้องส่ายหน้า ซบหน้าลงบนไหล่ของเขาพลางสะอื้น

            เขาก็ได้แค่ขู่เท่านั้น จะให้เขาตีเด็กๆเขาคงทำไม่ลง อยากจะรู้ว่าถ้าเป็นขนมผิงจะทำยังไงหากเด็กๆทำแบบนี้ จะต่อว่าหรือจะทำยังไงนะ

            พอคิดถึงขนมผิงแล้วก็ไม่รู้เลยว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง นี่ก็จะหมดวันแล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าขนมผิงจะฟื้นขึ้นมาเลย หากเขาระวังมากกว่านี้ก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้กับขนมผิง

            “ครั้งนี้จะยังไม่ตี แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกจะถูกตีแล้วจะไม่พาไปกินไอติมข้างนอกอีก ตกลงไหม”

            “อื้อ ตกลงฮับ จะไม่ทำอีกแล้วฮับ”

            “ตกลงฮับ แต่ว่า…พ่อปินอย่าทิ้งปะป๊านะฮับ ปะป๊าไม่สบาย อยากให้พ่อปินอยู่กับปะป๊ากับพี่กิมกับน้องหลิ่ม”

            ดูท่าว่าเด็กๆจะกลัวว่าเขาจะทิ้งตัวเองกับขนมผิงไม่น้อย

            “อย่าห่วงไปเลย พ่อไม่มีวันทิ้งพวกเรากับปะป๊าแน่นอน”บอกก่อนจะจูบลงบนหน้าผากของทั้งคู่สลับกันราวกับกำลังสัญญา

            “ฮับ/ฮับ”สองแฝดพยักหน้าพร้อมกัน

            “งั้นตอนนี้เรารีบกลับกันดีกว่า ป่านนี้คนอื่นๆคงจะเป็นห่วงแย่”

            “อื้อ ไปหาปะป๊า”

            “คิดถึงปะป๊าจังฮับ”

 

            ---------------------------------------------------------
มีต่อ
 
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบ ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 22-01-2017 13:10:33

 

            “ทำไมถึงได้ดื้อกันแบบนี้ห่ะ รู้ไหมว่าตากับยายเป็นห่วงแค่ไหน”

            หลังจากที่ปิญญ์ชานนท์โทรมาบอกลำดวนกับสามีก็มายืนรอรับเด็กๆอยู่หน้าโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง เธอปรี่เข้าหาชายหนุ่มกับเด็กๆทันทีที่ได้เห็นหน้า

            “แต่ว่าคุณตาไล่พ่อปิน กิมกับน้องไม่อยากให้พ่อปินไปเลย”ปลากริมตอบเสียงแผ่ว ซบหน้าลงกับไหล่กว้างเมื่อถูกดุ

            “อยากให้พ่อปินอยู่ด้วย อย่าไล่พ่อปินเลยนะฮับคุณตา”สลิ่มหันไปบอกกับพิศณุ

            ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายวัยกลางคนชะงักเล็กน้อย เข้าใจในทันทีว่าหลานๆทำแบบนี้เพราะอะไร ที่แท้ก็เพราะว่าเขาออกปากไล่ปิญญ์ชานนท์ไปนี่เอง

            ดูเหมือนว่าสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของปิญญ์ชานนท์กับหลานๆของเขาจะแน่นจนเขาไม่สามารถตัดมันออกจากกันได้ และครั้งนี้ก็เป็นบทเรียนได้เป็นอย่างดี การที่เด็กๆพากันหนีไปเพื่อที่จะไปตามชายหนุ่มมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย ทำเอาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่พยายามเข้าไปคั่นกลางระหว่างพ่อลูก

            พิศณุถอนหายใจพลางมองเด็กๆสลับกับปิญญ์ชานนท์ ปิญญชานนท์เองก็มองมาที่เขาเช่นกัน ราวกับต้องการคำตอบไม่แพ้กับเด็กๆ พิศณุเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้แววตาที่ดูเป็นกังวลนั้นกำลังอ้อนวอนเขาแค่ไหน

            “คุณคะ”ลำดวนแตะแขนสามีคล้ายจะช่วยพูดอีกแรง

            “เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ก็คงต้องตามใจหลานๆอีกตามเคยนั่นแหละ”

            สุดท้ายแล้วพิศณุก็ยอมจำนนให้กับวีรกรรมของหลานๆที่เล่นเอาคนอย่างเขาเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งโกรธจนอยากจะต่อว่า แต่ความเป็นห่วงมันก็มีมากกว่าจนพาลโกรธไม่ลง

            “คุณตาไม่ไล่พ่อปินแล้วไหมฮับ”

            “ใครจะไปกล้าล่ะ มีหลานแสบขนาดนี้ คราวหน้าคราวหลังอย่าแอบหนีกันไปไหนอีกนะรู้ไหม ตาเป็นห่วงแทบแย่”พิศณุส่ายหน้า

            ลำดวนเองก็ได้แต่ยิ้มให้กับสามี มองดูเด็กๆพากันยิ้มกว้างพลางกอดคอของปิญญ์ชานนท์เอาไว้แน่น

            “ไม่หนีแล้วฮับ”

            “อื้อ ไม่หนีแล้วฮับ”

            “ขอโทษคุณตารึยังปลากริมสลิ่ม”ปิญญ์ชานนท์กระซิบ

            “กิมขอโทษฮับ”

            “หลิ่มก็ขอโทษเหมือนกัน”

 

            ---------------------------------------------------------------

 

            จนเรื่องวุ่นวายได้จบไป ภายในห้องพิเศษของโรงพยาบาล บรรยากาศตกสู่ความเงียบอีกครั้งเมื่อต่างคนต่างก็จ้องมองไปยังร่างของขนมผิงที่ยังคงไม่ได้สติ ต่างคนต่างไม่รู้ที่จะพูดอะไรราวกับว่าคิดอะไรไม่ออกนอกจากจะเป็นห่วงขนมผิงกับเด็กที่อยู่ในท้อง

            เด็กๆเองด้วยความเหนื่อยล้าจึงพากันหลับไปบนโซฟาเพราะยืนยันว่าไม่ยอมกลับบ้านท่าเดียว ได้ยินเสียงอุปกรณ์วัดสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะกลบความเงียบภายในห้องเอาไว้

            ปิญญ์ชานนท์จ้องมองใบหน้าซีดเผือดของคนรักพลางดึงมือผอมมากุมเอาไว้ ราวกับว่าต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกห่วงใยทั้งหมดผ่านสัมผัส ร่างของขนมผิงนั้นเริ่มจะเย็นจนต้องขยับผ้าห่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าหาใบหน้าของคนที่กำลังหลับอย่างช้าๆ ก่อนจะกดจูบลงไปบนขมับอย่างแผ่วเบา

            “ตื่นขึ้นมาได้แล้วขนมผิง ฉันกับลูกรอนายอยู่นะ”

            ยิ่งนานก็ยิ่งเป็นห่วง ชายหนุ่มกระซิบข้างหูของคนรักเสียงเบา มือใหญ่กระชับมือที่จับเอาไว้แน่น มืออีกข้างวางลงบนลำตัวบนช่วงท้องราวกับว่าต้องการจะสื่อสารกับลูกที่อยู่ในท้องของขนมผิง แต่ละวินาทีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรเลยกับชั่วโมง

            และสิ้นสุดการรอคอยเมื่อปลายนิ้วมือที่เขากำลังกุมเอาไว้เริ่มขยับเล็กน้อย เรียกชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจเมื่อเปลือกตาของขนมผิงกำลังเคลื่อนไหว แพขนตานั้นขยับราวกับว่ามันหนักอึ้ง

            “ขนมผิง!!”ปิญญ์ชานนท์เรียกคล้ายต้องการจะปลุก มือกระชับมือของขนมผิงเอาไว้แน่น

            เปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งเปิดออกเผยให้เห็นนัยน์ตาคู่สวยและจ้องมองมาที่เขา ปิญญ์ชานนท์แทบกระโดดดีใจเมื่อรอยยิ้มเฝื่อนส่งมาให้

            “นายตื่นแล้วขนมผิง นายตื่นแล้ว”ราวกับคนบ้าที่ชายหนุ่มหัวเราะทั้งน้ำตาคลอแบบนี้

            ลำดวนและพิศณุต่างก็ปรี่เข้ามาหาแทบจะทันทีที่เห็นว่าลุกชายฟื้นขึ้นมา

            “คุณคะ!!ลูกเราตื่นแล้ว”

            “เป็นยังไงบ้างตาผิง ยังเจ็บตรงไหนไหม”พิศณะละล่ำละลักถามลูกชาย

            ได้รับคำตอบแค่ส่ายหัวเบาๆ ริมฝีปากแห้งผากเปิดปากพูดอย่างช้าๆ แต่เสียงที่ออกมานั้นแทบจะไม่ได้ยินเลย

            “ยังไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้นะ นายควรจะพักผ่อนก่อน”ปิญญ์ชานนท์ห้ามเอาไว้

            แต่ขนมผิงก็ส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะดึงมือของปิญญ์ชานนท์เบาๆคล้ายจะเรียกให้เข้าไปใกล้

            ปิญญ์ชานนท์ขยับหน้าเข้าไปใกล้เพื่อที่จะฟังในสิ่งที่คนรักต้องการจะพูด

            “ลูก…ลูก ปลอดภัย…ไหม”เสียงกระซิบถามเบาแทบจะไม่ได้ยิน

            “ปลอดภัยสิ ลูกของเราปลอดภัยดี พวกเขาไม่เป็นอะไร”

            คำตอบของชายหนุ่มทำให้ใบหน้าซีดเผือดพยักหน้าเบาๆแล้วยิ้มออกมา

            “ดีจัง…ที่…ปลอดภัย”

            “นายอย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้เลย แล้วตอนนี้นายรู้สึกปวดหัวบ้างไหม เจ็บตรงไหนรึเปล่า รอเดี๋ยวนะ หมอกำลังจะมา”

            “ผม…ไม่เป็นไร”ขนมผิงส่ายหน้า

            “นายจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง นายหลับไปตั้งนานขนาด”

            เป็นปิญญ์ชานนท์ที่กระวนกระวายจนคนเป็นพ่อเป็นแม่ของคนป่วยหันมองหน้ากันเมื่อถูกชายหนุ่มแย่งพูดไปหมดแล้ว ได้แต่ยืนห่วงอยู่ข้างเตียง มองดูท่าทีตื่นเต้นเกินพอดีจนเริ่มคิดว่ามันดูตลกพิกล

            “ผม…”ขนมผิงกระตุกมืออีกครั้ง

            “นายทำไม หรือว่านายรู้สึกเจ็บตรงไหนขึ้นมา”

            ขนมผิงส่ายหน้ากับคำถาม ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยกับความเป็นห่วงของปิญญ์ชานนท์ที่ดูจะออกหน้าออกตา

            “ผม…หิวข้าว”

            เป็นคำตอบที่ทำให้ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้ว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากลำคอของขนมผิง

            “นะ นายหิวข้าวเหรอ”

            “อืม”เสียงเบาตอบรับพลางพยักหน้า

            จะดีใจหรืออะไรดีที่ขนมผิงที่ทุกคนต่างก็เป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำงานทำการ ตื่นขึ้นมาก็ถามหาข้าวหลังจากที่รู้ว่าเด็กๆในท้องปลอดภัย ทั้งลำดวนและพิศณุก็ต่างพากันโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

            “เดี๋ยวฉันจะให้เขาเอามาให้นายนะ นายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”

            “คุณบอกให้ขนมผิงไม่ต้องพูดอะไรแต่คุณกลับถามนั่นถามนี่เขาไม่หยุดเนี่ยนะคุณปิญญ์”เป็นพิศณุที่หยุดเอาชายหนุ่มเอาไว้ก่อน ก่อนที่ลูกชายจะหมดแรงกับการตอบคำถามที่ดูเหมือนจะไม่หมดเอาง่ายๆ

            “นั่นสินะ ผมขอโทษ พอดีผมตื่นเต้นไปหน่อย”เอ่ยขอโทษอย่างง่ายดายกับความประเจิดประเจ้อของตัวเองที่พึ่งจะรู้ตัว

            ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากลำคอของคนที่อยู่บนเตียงอีกรอบเลยหันกลับไป มือพลางกุมมือผอมเอาไว้แน่น

            “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว พ่อกับแม่เป็นห่วงแทบแย่”ลำดวนแตะแขนลูกชายเบาๆ

            “หมดเคราะห์หมดโศกกันสักทีนะ”พิศณุส่ายหน้าเบาๆ

            “นายรออยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้เขาหาอะไรมาให้นายกิน”ปิญญ์ชานนท์บอกอย่างเร่งรีบก่อนจะผละออกไป

            แต่มือที่กำลังจะปล่อยมือจากขนมผิงนั้นก็ถูกจับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยจนต้องกันหลับไปถาม

            “มีอะไรเหรอ ถ้านายไม่ปล่อยฉันจะไปหาอะไรให้นายกินไม่ได้นะ”

            “ผม..อยากจะตอบคำถามของคุณ”

            “นายจะมาตอบคำถามอะไรตอนนี้ นี่มันไม่ใช่เวลานะขนมผิง นายนอนพักก่อนเถอะนะ”

            เขาทั้งห่วงและอยากจะตามใจคนรักในสิ่งที่ร้องขอให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนว่าคนรักจะไม่ค่อยเป็นใจเพราะเอาแต่จับมือของเขาเอาไว้แน่น และเสียงแหบพร่าที่แทบจะไม่ได้ยินนั้นก็ทำให้เขาชะงัก หัวใจพลันเต้นรัวเมื่อได้ยินมันราว

            “ผม…รัก…คุณ”ขนมผิงบอกเสียงเบาทั้งที่ลำคอแห้งผาก

            เพราะอะไรกันนะเขาถึงได้บอกคำตอบนี้กับชายหนุ่มต่อหน้าพ่อกับแม่ของเขาเอง อาจจะเป็นเพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาได้ปิดบังทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้เป็นความลับตลอด และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่ามันน่าอึดอัดมากแค่ไหนที่ต้องปิดบังเรื่องสำคัญเอาไว้จากคนรอบตัว

            ต่อไปนี้เขาจะไม่วิ่งหนีมันอีกแล้ว ความรักที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด แต่ก็เต็มใจที่จะรับมันด้วยหัวใจที่ถูกเยียวยา บาดแผลที่เคยถูกตีตราเอาไว้บัดนี้มันได้เลือนหายไปหมดแล้ว ทิ้งเอาไว้แต่สิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิต มากกว่าเงินทองที่ผู้คนต่างยกย่อง มากกว่าอำนาจที่ผู้คนต่างแย่งชิง มันคือความรักที่ทำให้เขาทั้งเจ็บปวดและมีความสุขนั่นเอง

 

            -----------------------------------------------------------------------

เปิดมาก็ตบจูบแบบละครไทย จบก็น้ำเน่าแบบละครไทย 5555 มีบทส่งท้ายอีกตอนนะ จะได้เจอกับแฝดที่อยู่ในท้องของขนมผิงแล้ว ฮู่เร่!! รอดูกันดีกว่าว่าคุณพ่อลูกอ่อนอย่างพ่อปินจะเห่อลูกขนาดไหน

หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบ ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 22-01-2017 13:14:13
 (https://www.mx7.com/i/dd1/5vMvE2.jpg) (https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B22-1785826901682401/)
เปิดพรีฯวายไทย [Mpreg]
“เรื่อง Dangerous Rose กุหลาบซ่อนหนาม”
วันนี้ – 31 มกราคม 60
ลายละเอียด
Set 1 ราคา 650 บาท (รอบปกติ 690)
ประกอบด้วย หนังสือ ขนาดa5 2 เล่มจบ 300+หน้า/เล่ม
ของแถม ที่คั่น 2 ลาย โปส 2 ลาย
ของแถมเฉพาะรอบพรีฯ เล่มพิเศษขนาดa5 1 เล่ม
Set 2 ราคา 770 บาท (รอบปกติ 820 )
ประกอบด้วย หนังสือ ขนาดa5 2 เล่มจบ 300+หน้า/เล่ม กล่องจั่วปังใส่หนังสือ (ตามรูป)
ของแถม ที่คั่น 2 ลาย โปส 2 ลาย
ของแถมเฉพาะรอบพรีฯ เล่มพิเศษขนาดa5 1 เล่ม
พิเศษสำหรับรอบพรีฯ สามารถแลกซื้อ “บันทึกลับลูกหมู” (โมเม้นของเด็กๆ) ในราคา 35 บาท
ค่าจัดส่ง Ems 100 บาท(Setต่อไปเพิ่มSetละ20บาท) ลทบ 65 บาท
**2Setขึ้นไปจัดส่งแบบEMSเท่านั้นนะคะ(น้ำหนักเกิน2โล)
จัดส่งหนังสือในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ (กำหนดการอาจมีการการคาดเคลื่อนเล็กน้อย)
จอง/สอบถาม ได้ที่ แฟนเพจ “เด็กหญิงเย็นชา2” หรือ sindy_lamoonอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com
**หมายเหตุ:เนื้อหาในเล่มไม่มีเนื้อหาคู่ของคุณวุฒิกับแทนทัพนะคะเนื้อหาในเว็บเป็นแค่เนื้อหาคั่นอารมณ์ที่เขียนเพิ่มเข้าไปเท่านั้น
ตอนพิเศษในเล่ม
- สามีขี้หึง
- ท้องที่สาม
- คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว
- ครอบครัววุ่นวาย
- ขนมเรไร
ตอนในเล่มแถม
- สามีบ้ากาม
- ครีมทาหน้าท้องแตก
- ลูกสาวข้าใครอย่าแตะ
- พ่อบ้านใจกล้า
- พ่อตาขาโหด
บันทึกลับลูกหมู
จะเป็นบันทึกที่เด็กๆเขียนเอาไว้ในแต่ละเหตุการณ์ลับหลังพ่อๆ กับแผนการที่จะช่วยทำให้พ่อแม่ได้ใกล้ชิดกัน
สามารถอ่านตัวอย่างแบบอัพเดท ได้ที่ ธัญวลัยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบ ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 22-01-2017 14:10:37
จะจบแล้ว ดีใจนะที่พ่อตายอมรับได้ซะที
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบ ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 22-01-2017 14:37:19
สุดท้ายพ่อตาต้องยอมรับเพระหลานๆนะเนี่ย จบไปด้วยดี ดีใจกับขนมผิงนะที่รู้ใจว่ารัก
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 22-01-2017 16:06:02
ลุ้นตลอด
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-01-2017 16:26:45
ลูกเอ้ยยยยย นึกว่าโดนใครจับไปอีก
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-01-2017 17:15:04
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 22-01-2017 19:11:48
จบแล้ว รอตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-01-2017 20:27:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-01-2017 20:59:20
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 23-01-2017 10:39:01
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 24-01-2017 23:50:18
 :mew4: จบแบบน่ารักมากๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 27-01-2017 22:00:42
ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 31-01-2017 06:44:48
บางทีร่างกายก็ต้องการดราม่า เรื่องนี้น่ารักแบบละครไทย

อย่างนึงนะครับ คำผิดเยอะมาก เยอะแบบเปลี่ยนคำไปเลยด้วย

สู้ๆนะครับ รออ่านตอนที่เหลือ  :L2:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 01-02-2017 00:19:50
ในที่สุดกะจบแบบแฮปปี้
ชอบเด็กแฝดน่ารักดี
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 03-02-2017 02:12:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 45 จบแล้ว ❖ 22-01 ❖ เปิดพรีฯ
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 04-02-2017 10:06:00
อยากอ่านต่อ มีพิเศษ อยากอ่านๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Oเด็กหญิงเย็นชาO ที่ 06-02-2017 16:17:31
44

บทส่งท้าย

               สองเดือนต่อมา

                เชตุพลถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพื่อชดใช้ความผิดทั้งหมดที่ได้ทำเอาไว้ แต่เพราะได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในชั้นศาลจึงทำได้ลดหย่อนโทษลงมาเหลือแค่สิบปีและอายัตทรัพย์สินเอาไว้ส่วนหนึ่งเนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ได้มาด้วยการกระทำผิดกฎหมาย ส่วนเดหลี จากคำให้การของมือปืนที่ซักทอดว่าเธอเป็นคนออกคำสั่งฆ่าขนมผิงและปิญญ์ชานนท์ จึงทำให้เธอต้องโทษจำคุกไม่ต่างอะไรจากบิดา แต่ด้วยที่สภาพจิตใจของเธอ ศาลจึงลงความเห็นว่าเธอวิกลจริตและถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชแทน

 

                “เด็กๆ อย่าวิ่งเล่นกันแต่เช้าสิ พึ่งจะกินข้าวกันอื่มๆนะ”ขนมผิงปรามสองลูกหมูตัวแสบที่พากันวิ่งเล่นแต่เช้า

                “ฮ๊าบบบบบ”

                “ฮ๊าบบบบบ”

                พากันตอบรับเสียงใสแต่ก็ไม่ค่อยจะฟังกันเท่าไร ขนมผิงได้แต่ถอนหายใจออกมา มือข้างหนึ่งดันเอวของตัวเองเอาไว้

                “บ่นเป็นคนแก่แต่เช้าเลยนะขนมผิง”เสียงทุ้มกระซิบข้างหูก่อนที่เอวจะถูกเกี่ยวเข้าไปกอด และถูกจูบลงมาบนแก้มรับอรุณที่แสนวุ่นวาย

                “เด็กก็พอเด็ก ผู้ใหญ่ก็พอผู้ใหญ่”ยังคงบ่นพลางส่ายหน้าไปมา หันไปผูกเนคไทให้กับผู้ใหญ่ที่ทำตัวน่าหมั่นไส้ขึ้นทุกวัน

                “เลิกบ่นได้แล้ว นายบ่นเหมือนเดิมทุกๆวันไม่เบื่อรึไง”

                “แล้วคุณล่ะ เมื่อไรจะเลิกผูกเนคไทเบี้ยวสักที เป็นถึงประธานบริษัททำไมถึงได้ไม่เรียบร้อยแบบนี้นะ”ว่าพลางผูกเนคไทให้คนที่จงใจผูกเบี้ยวทุกวี่ทุกวันเสียใหม่ ไม่เข้าใจเลยจริงๆทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงได้แต่งตัวไม่เรียบร้อยทุกวันทั้งที่ก่อนหน้าที่จะมาอยู่ด้วยกันก็ออกจะเป็นคนเจ้าระเบียบดี

                “ฉันจงใจล่ะน่า”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มกริ่ม ก้มมองเสี้ยวหน้าของขนมผิงตั้งอกตั้งใจผูกเนคไทให้เขาสีหน้าจิงจังแล้วกดจูบลงไปบนหน้าผากกลมมน

                เป็นเวลาสองเดือนแล้วหลังจากที่ขนมผิงออกจากโรงพยาบาล ขนมผิงกับเด็กๆรวมถึงตัวชายหนุ่มเองตัดสินใจแยกออกมาใช้ชีวิตส่วนตัวในแบบของครอบครัวในบ้านหลังขนาดพอดี เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจนไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลยสำหรับปิญญ์ชานนท์

                ทุกเช้าขนมผิงจะตื่นเช้ามาทำอาหารเช้าเล็กๆน้อยๆเตรียมไว้ให้เขากับเด็กๆ และก่อนที่เขาจะแวะไปส่งเด็กๆที่โรงเรียนขนมผิงก็ต้องมาคอยเอ็ดไม่ให้ลูกๆวิ่งเล่นกันแต่เช้า และต้องมาคอยจัดเสื้อผ้าที่เขาจงใจใส่ไม่เข้าที่เข้าทาง ชายหนุ่มยิ้มกริ่มกับท่าทีของภรรยาที่เอาแต่บ่นแล้วก็บ่นทุกเช้า แต่นั่นเขาก็ไม่เคยเบื่อมันเลยสักนิด

                “แล้วเสื้อผ้าล่ะ คุณแน่ใจนะว่าเอาไปพอใส่ ของใช้เก็บลงกระเป๋าครบรึยัง แล้วอย่าลืมที่โกนหนวดล่ะ ครั้งที่แล้วคุณก็ลืมเอาไป”ถามแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่เขาต้องไปประชุมหรือไปติดต่อกับลูกค้าที่ต่างประเทศ

                “ฉันเก็บครบแล้ว ถ้าไม่ครบก็แค่หาซื้อใหม่เท่านั้นเอง ไม่เห็นจะยาก”และคำตอบของเขาก็เหมือนเดิมทุกครั้ง

                “เมื่อไรจะเลิกตัดสินปัญหาด้วยเงินสักทีนะ”เหมือนเดิมที่จะส่ายหน้าตอบกลับด้วยประโยคเดิมๆ

                “แล้วนายล่ะ ฉันไม่อยู่นายกับลูกต้องไปอยู่บ้านพ่อกับแม่ของนายล่ะ ฉันไม่ไว้ใจให้นายอยู่คนเดียว”

                “อีกตั้งสองเดือนกว่าจะถึงกำหนด คุณจะกังวลทำไมไม่เข้าเรื่อง”

                “ก็นั่นแหละ ฉันเป็นห่วงนายกับลูก”ว่าแล้วก็จับเข้าที่ท้องนูนๆแล้วลูบไปมา “รอพ่อหน่อยนะ แล้วจะรีบกลับมา จะซื้อขนมอร่อยมาฝาก”ทั้งที่รู้ว่าลูกๆในท้องไม่ได้ยิน แต่ก็คุยคนเดียวอยู่ร่ำไป

                “ไปได้แล้วครับ เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก”

                “เฮ้อ ไม่อยากไปเลย”

                แต่ก็ต้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะกลัวจะหาเงินไม่ทันเลี้ยงลูกสี่คน แล้วอีกอย่าง เขาเองก็มีโครงการที่จะมีลูกคนที่ห้า และแน่นอนว่าคนที่ห้าจะต้องเป็นลูกสาวเท่านั้น ถึงวันนั้นเขาคงจะได้ไว้หนวดสมใจ

                “ไปได้แล้วครับ ถึงแล้วก็โทรมาบอกผมด้วยล่ะ ผมขี้เกียจมาตามโทรเวลาเด็กๆถามหาคุณ”

                “นายเองก็ด้วย ถึงบ้านพ่อกับแม่นายแล้วโทรมาบอกฉันด้วย ถ้าโทรไม่ติดก็ส่งข้อความเอา”

                “ตกลงคุณจะไปไหมญี่ปุ่นน่ะ ถ้าไปส่งเด็กๆแล้วไปไม่ทันเครื่องขึ้นมาจะทำยังไง”

                “ไปไม่ทันก็ดีสิ ฉันจะได้อยู่กับนายกับลูกๆ”

                “เป็นเด็กรึไงกัน ไปได้แล้วครับ เดี๋ยวถ้าผมถึงบ้านพ่อแม่เมื่อไรแล้วจะส่งข้อความไปบอ อื้ออออ!!!”

                ไม่ทันที่ขนมผิงจะพูดจบ ปิญญ์ชานนท์ก็ฉวยเอาริมฝีปากได้รูปมาจูบ เพราะอีกหลายวันกว่าที่เขาจะได้กลับมา คิดแล้วก็เสียดายที่ขนมผิงกำลังท้องอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ทำการบ้านทุกวี่ทุกวันอย่างที่เก็บเอาไปฝันบ่อยๆแน่

                “เย้ พ่อปินจุ๊บปะป๊า”

                “คิกๆ พ่อปินรักปะป๊า”

                สองลูกหมูหัวเราะร่วนกับบทรักยามเช้าของพ่อกับแม่

                “ผมบอกแล้วไงว่าอย่าทำต่อหน้าลูก”พอผละออกก็บ่นทันที

                “ไม่เห็นเป็นไรเลย ลูกๆจะได้รู้ว่าเรารักกัน”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มเจ้าเล่ห์

                “อะไรของคุณเนี่ย!!”

                “ฉันรักนายนะ”

                “อืม ผมรู้แล้ว จะบอกอะไรทุกวันล่ะครับ”

                “ก็ฉันอยากบอกนี่ นายเองก็บอกรักฉันบ้างสิ”ปิญญ์ชานนท์กระชับอ้อมกอดพลางคลอเคลียจมูกลงบนแก้มของขนมผิง

                “ไม่เอาด้วยหรอก ปล่อยได้แล้ว รีบไปสักทีเถอะครับ”

                “นายบอกรักฉันก่อนสิฉันถึงจะยอมไป”

                “ก็บอกว่าไม่เอายังไงล่ะ คุณจะบ้ารึไง จะมาคาดคั้นเอาอะไรตอนนี้”

                “ก็ฉันอยากได้ยินเมียตัวเองบอกรักมันผิดด้วยเหรอ”

                “ก็ไม่ผิดหรอก แต่นี่มันใช่เวลาที่ไหนกันล่ะ”

                “แต่ฉันรักนายทุกเวลาเลยนะ เถอะน่า บอกมาเถอะนะ อย่าใจร้ายไปหน่อยเลย ฉันไปต่างประเทศตั้งหลายวันเลยนะ เติมพลังให้ฉันหน่อยสิ”

                ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่กลายมาเป็นคนอ้อนเมีย แต่ในความอ้อนก็แฝงเอาไว้ซึ่งความเอาแต่ใจไม่จางหาย

                “เฮ้อ คุณนี่มันจริงๆเลยเชียวคุณปิญญ์”ขนมผิงส่ายหน้า แต่ใบหน้าก็กลับแดงเรื่อ

                “นิดนึงนะ”

                “อืม ผมรักคุณ พอใจรึยัง แล้วก็ตั้งใจทำงานด้วยล่ะ อย่ามัวเถลไถล ถึงแล้วก็โทรมาบอกด้วย ส่วนของฝากลูกก็ไม่ต้องซื้อมาแล้ว คุณซื้อมาเยอะจนมันแทบจะล้นบ้านอยู่แล้ว”

                ก็แค่นี้แหละที่อยากจะได้ยิน เขาก็แค่อยากจะได้กำลังใจบ้างอะไรบ้าง แต่ก็อดหัวเราะในใจไม่ได้เมื่อคำบอกรักถูกต่อท้ายด้วยคำบ่นเพื่อกลบเกลื่อนความอายที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิด

 

 

 

                “นี่ขนมผิง นายกำลังทำอะไรอยู่”ปิญญ์ชานนท์กรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารจากที่ใช้เวลาช่วงพักเบรคในการคุยธุรกิจแอบมาโทรศัพท์

                ‘ทำไมคุณถึงโทรมาตอนนี้ล่ะ ตอนนี้คุณมีประชุมไม่ใช่รึไง’ขนมผิงตอบกลับมาเสียงเบา

                “มันก็ใช่ แต่ว่าตอนนี้เบรคเอาไว้สิบห้านาทีอีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าประชุมต่อแล้วล่ะ”

                แค่สิบห้านาทีก็ยังดีที่จะได้ยินเสียงของคนรัก บอกไม่ได้เลยว่าตอนนี้เขารู้สึกคิดถึงขนมผิงแค่ไหน ทั้งคิดถึงทั้งอยากกอด อยากจะอยู่ด้วยตลอดเวลา จะว่าคนที่เคยเย็นชาอย่างเขาหลงครอบครัวก็ไม่ผิดเท่าไร

                ‘ถึงจะช่วงเบรคแต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องโทรมานะครับ’

                “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ฉันก็แค่อยากจะได้ยินเสียงนาย”

                ‘ไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ’

                “แล้วลูกของเราล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังดิ้นแรงอยู่รึเปล่า”

                ‘ครับ วันนี้ดิ้นบ่อยมากเลยล่ะ อือ ผม กำลังจะไปโรงพยาบาล”ขนมผิงบอกก่อนจะครางเสียงแผ่ว

                “ทำไมเสียงนายถึงเป็นอย่างนั้นล่ะขนมผิง แล้วทำไมนายต้องไปโรงพยาบาลด้วย”

                จะว่าไป ตั้งแต่ตอนเริ่มคุยกันเสียงของขนมผิงก็เบาจนผิดสังเกต ไหนจะตอนนี้ยังหลุดเสียงครางออกมาเหมือนเจ็บปวดอีก อดไม่ได้ที่จะสงสัย จึงได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเงี่ยหูฟังเสียงจากปลายสายแทน เผื่อว่าจะมีอะไรชัดเจนขึ้น

                ‘ผม…รู้สึกเจ็บท้องนิดหน่อย’

                “แล้วเจ็บที่นายว่ามันเจ็บแบบไหนล่ะ อย่าบอกนะว่านายกำลังปวดท้องจะคลอด ไหนหมอบอกว่าอีกตั้งสองเดือนไม่ใช่รึไง”

                ‘ผม….ไม่รู้ บางที ลูกอาจจะดิ้นแรงไป อะ อา เลยกะว่าจะไปเช็คดู’

                “นายแน่ใจนะว่าแค่ลูกดิ้นน่ะ”

                ‘มะ ไม่รู้สิ แต่ผมรู้สึกเจ็บจังเลย เจ็บกว่าทุกที อะ โอย คุณปิญญ์’

                “ขนมผิง!! ดะ เดี๋ยวสิ นี่นายคงไม่ได้เจ็บท้องจะคลอดจริงๆใช่ไหม นี่ฉันยังอยู่ญี่ปุ่นอยู่เลยนะ”

                ‘แค่นี้ก่อนนะ ผม อะ โอ้ยยย!!’

                แล้วปลายสายก็ถูกตัดไป ทิ้งให้คนที่กำลังร้อนรนแทบจะเต้นเป็นเจ้าเข้าได้กดหน้าจอเพื่อที่จะต่อหาปลายสายอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครยอมรับสายของเขาเลย

                ปิญญ์ชานนท์จึงได้แต่เดินวนไปวนมาในขณะที่กำลังรอสาย ทั้งที่อากาศออกจะเย็นสบายแต่หน้าผากของชายหนุ่มกลับชื้นไปด้วยเหงื่อ

                “คุณปิญญ์ครับ ได้เวลาเข้าไปแล้วนะครับ”เลขาหนุ่มเดินมาเตือน

                “อีกเดี๋ยวฉันตามเข้าไป”

                “คนอื่นจะรอเอานะครับ อีกอย่างนี่ก็เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายแล้วด้วย”เพราะอีกเดี๋ยวจะต้องลงนามเซ็นสัญญาการซื้อขายกันแล้ว

                “เดี๋ยวฉันตามเข้าไปไง ให้รอไปก่อน ฮะ ฮัลโหล!! ขนม โอ๊ะ!! คุณพ่อ แล้วขนมผิงล่ะครับ ขนมผิงอะไร ทำไมถึงตัดสายผมไปล่ะ”หันไปบอกกับเลขาก่อนจะกรอกเสียงใส่โทรศัพท์เมื่อปลายสายรับสายของเขาแล้ว

                และยิ่งทำให้ปิญญ์ชานนท์ตกใจเมื่อคนที่รับสายไม่ใช่ขนมผิงแต่เป็นพิศณุ

                เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเลขากำลังยืนรอให้เขาเข้าไปในห้องประชุม และไม่ได้สนใจเลยสักนิดกับการประชุมที่กำลังรออยู่ สนใจเพียงอย่างเดียวคือความปลอดภัยของขนมผิงกับลูก

                ‘ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องผ่าตัดน่ะ กำลังจะคลอด’

                “อะไรนะครับ!! คะ คลอดเหรอครับ แต่ยังเหลืออีกตั้งสองเดือนนี่ครับ”ปิญญ์ชานนท์ตะโกนออกมาเสียงดังจนมาลิศพาลสะดุ้งไปด้วย

                ‘คงจะคลอดก่อนกำหนดนั่นแหละ แต่ก็ยังบอกอะไรได้ไม่มากนัก ทางนี้เองก็กำลังยุ่งเรื่องการเคลียพื้นที่กันคนนอกออกไปน่ะ’

                “คลอดก่อนกำหนด!? ได้ยังไงกัน แล้วลูกของผมจะเป็นยังไงบ้าง แล้วขนมผิงล่ะจะเป็นอะไรไหม ทำไมถึงจะคลอดออกมาตอนนี้ล่ะครับ”

                ยิงคำถามในชนิดที่ว่าไม่รู้ว่าปลายสายจะตอบทันไหม แล้วจะตอบครบรึเปล่า แต่ตอนนี้เขารู้สึกห่วงลูกเมียจนแทบอยากจะบินกลับไปซะตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

                ‘ใจเย็นๆก่อนสิ ขนมผิงเองก็กำลังอยู่กับหมอ’

                “จะให้ผมใจเย็นได้ยังล่ะครับ”

                ‘เอาเป็นว่าคุณคุยธุระฝั่งนู้นให้เสร็จก่อนเถอะ ได้เรื่องยังไงแล้วจะบอกอีกทีก็แล้วกัน จะทิ้งการประชุมสำคัญไปง่ายๆก็กระไรอยู่ใช่ไหมล่ะ’

                “แต่ว่า…”

                ‘ก็อย่างที่บอก ได้เรื่องยังไงแล้วจะบอกอีกทีนะ ทางนี้เองก็กำลังวุ่นวายอยู่ด้วย’แล้วสายก็ถูกตัดไป

                จะว่าก็ว่าเถอะ จะให้ปิญญ์ชานนท์คนนี้ใจเย็นอยู่ได้ยังไงเมื่อเมียกำลังจะคลอด แล้วตอนนี้เขาก็ดันติดประชุมสำคัญ

                ให้ตายเถอะ!! นี่เขากำลังถูกกลั่นแกล้งอยู่รึไง ลูกก็ดันจะมาคลอดเอาตอนที่เขาอยู่ต่างแดนไกลถึงขนาดนี้ แล้วอย่างนี้เขาจะเอาสมาธิที่ไหนมาลงกับการประชุมที่เหลือล่ะ

                “จะคลอดแล้วเหรอครับ”

                “ก็ใช่น่ะสิ!!”ปิญญ์ชานนท์ตอบเลขาเสียงดัง

                ใช้มือขยี้หัวตัวเองไปมาเมื่อสมองกำลังเลือกว่าจะทิ้งการประชุมตรงหน้าแล้วบินกลับไปดูขนมผิงที่กำลังจะคลอดกับอยู่ประชุมต่อแล้วกลับไปอีกทีลูกก็คลอดออกมาแล้ว

                แต่ว่าต้องเป็นเขาสิที่จะได้เห็นหน้าลูกก่อนคนอื่นๆ!!

                เขาเป็นพ่อของลูกนะ จะต้องอยู่ด้วยตอนที่ลูกคลอดออกมาสิ!!

                “กำลังคิดอะไรอยู่ครับ”เลขาถามเหมือนจะรู้ใจว่าเจ้านายกำลังจะคิดโดดการประชุมทั้งที่จวนจะจบลงด้วยดี

                “ฉันฝากนายจัดการต่อทีสิ”

                “ไม่ได้ครับ”ตอบกลับเสียงหนักแน่นทันควัน

                “แต่ลูกฉันกำลังจะคลอดนะ นายก็รู้ว่าฉันอยากจะเห็นหน้าลูกก่อนคนอื่นๆ”

                “ต่อให้คุณไปตอนนี้ก็ไม่ทันอยู่ดีครับ ทำใจแล้วกลับเข้าไปประชุมต่อเถอะครับ อีกเดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว รีบทำให้เสร็จแล้วก็รีบกลับจะดีกว่า”

                สุดท้ายก็ต้องยอมเข้าประชุมและคุยขอตกลงทางธุรกิจที่เหลือเอาไว้ จริงๆแล้วต่อให้ข้อตกลงทางธุรกิจไม่ลงตัวหรือว่าเหลื่อมล้ำกันแค่ไหน เขาคนนี้ก็สามารถคุยจนมันลงตัวได้ แต่กลับตอนนี้ใจของชายหนุ่มแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ดีที่ทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างลงตัวก่อนหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากการไม่มีสมาธิแน่

 

 

 

                ใช้เวลากว่าหนึ่งวันเพื่อรอเที่ยวบินกับการใช้เวลาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจนมาถึงโรงพยาบาลที่เขาเคยมากับขนมผิงบ่อยๆ ปิญญ์ชานนท์รีบเร่งมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งแต่ลงจากเครื่องโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าตัวเองนั้นยังไม่ได้นอนมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว

                เพราะใจของเขากำลังตื่นเต้นที่จะได้เจอหน้าลูกแฝดที่พึ่งจะลืมตาขึ้นมาดูโลก ก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับสายจากพิศณุว่าขนมผิงกับลูกปลอดภัยดี แทบจะอดทนรอไม่ได้เลยที่จะได้เห็นหน้าลูกเมีย

                “ขนมผิงล่ะครับ”เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจอลำดวนกับพิศณุเดินออกมาจากห้องพิเศษของโรงพยาบาลที่ถูกกันเอาไว้เป็นพิเศษ

                “อยู่ข้างในน่ะ กำลังรออยู่เชียว”

                “ขอบคุณครับ”

                ไม่รอถามความให้ยืดยาว เจ้าของร่างสูงก็เปิดประตูเดินเข้าไปในห้องทันที

                ตาคู่คมกริบจ้องมองขนมผิงบนเตียงคนไข้ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ริมฝีปากคลี่ยิ้มเมื่อคนไข้ยิ้มส่งมาให้ทันทีที่เขาก้าวเข้ามา

                “มาแล้วเหรอครับ”เสียงเบาถามไถ่ราวกับว่าดีใจที่เขามาถึง

                “ฉันมาแล้ว”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับด้วยน้ำเสียงอันปลื้มปิติ

                เขาหันไปมองข้างเตียงคนไข้มีตู้ใส่เด็กทารกอยู่สองตู้ ขาทั้งสองข้างก้าวไปข้างหน้าราวกับต้องมนต์เมื่อมองเห็นร่างเล็กๆกำลังดิ้นไปมาเล็กน้อย

                ปิญญ์ชานนท์จ้องมองมือและเท้าที่สวมถงมือถุงเท้าขยับไปมา ริมฝีปากเล็กๆเผยอขึ้นมาและลงเสียงอ้อแอ้ให้เขาได้ชื่นใจ โดยไม่รู้ตัวริมฝีปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นมา ตาคู่คมกริบแทบจะไม่ละสายตาจากเด็กทารกสองคนตรงหน้าเลย

                “ทำไมไม่ลองอุ้มดูล่ะครับ”ขนมผิงบอกเสียงเบา

                มองดูปิญญ์ชานนท์ที่เอาแต่ยืนจ้องลูกอยู่หน้าตู้ตาแทบไม่กระพริบ

                “ฉะ ฉันอุ้มได้เหรอ”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงขาดหาย หันมามองขนมผิงอย่างกๆเงินๆเมื่อไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีกับความตื่นเต้นที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่

                “ได้สิ แต่ต้องระวังหน่อยนะครับ”

                “แต่ว่า”ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง ยังคงจ้องมองเด็กทารกที่กำลังขยับตัวไปมาไม่วางตา

                “แต่อะไรครับ คุณไม่อยากอุ้มลูกของเราเหรอครับ”ขนมผิงเอียงคอมอง

                “ไม่ใช่ไม่อยากอุ้ม แต่ว่า….ลูกตัวเล็กมากเลยนะ”

                ลูกๆของเขาตัวเล็กจนเขาแทบจะไม่กล้าแตะต้องเลย กลัวว่าจะทำให้ผิวแดงๆที่ดูบอบบางนั้นเจ็บ เขาพึ่งจะได้เห็นเด็กแรกเกิดชัดๆก็ตอนนี้ ตัวทั้งเล็กและทั้งบอบบาง ใบหน้าที่ค่อยเอียงไปมานั้นหากเขากางมือของตัวเองยังใหญ่กว่าใบหน้านั้นเลย ทำเอาเขาไม่กล้าที่จะอุ้มเด็กๆขึ้นมาเลยทีเดียว

                “ไม่เป็นไร คุณอุ้มเขาได้”

                ขนมผิงค่อยๆขยับตัวขึ้นมานั่ง ใบหน้าซีดเซียวเบ้หน้าเล็กน้อยจากอาการเจ็บแผลผ่าตัด มือผอมเอื้อมไปอุ้มเอาเด็กทารกคนหนึ่งขึ้นมาจากตู้นอน

                “คนนี้อาลัวครับ”บอกพลางส่งร่างเล็กในมือให้กับชายหนุ่มได้รับไปอุ้มเอาไว้

                “ชื่ออาลัวเหรอ นายตั้งชื่ออย่างที่ฉันเคยบอกนี่”

                “ครับ ส่วนอีกคนชื่อบัวลอย”

                บอกก่อนจะจับมือใหญ่ช้อนใต้ศีรษะเด็กทารกในท่าที่ถูกต้อง ริมฝีปากได้รูปยิ้มออกมาราวกับขบขันเมื่อมองเห็นใบหน้าของปิญญ์ชานนท์ที่ดูเหรอหรา ตั้งอกตั้งใจอุ้มเป็นพิเศษจนตัวแข็งทื่อ

                “ชื่อขนมทั้งนั้นเลย”เสียงทุ้มตอบรับพลางก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขน

                “ละ แล้วนายล่ะ เจ็บแผลไหม เป็นอะไรรึเปล่า แล้วถ้าฉันอุ้มแบบนี้ล่ะ ได้รึเปล่า”

                “ได้ครับ ส่วนแผลอีกเดี๋ยวก็คงหาย”

                “ฉันว่าฉันวางลูกคืนดีกว่านะ”

                กลัวว่าจะทำเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนเจ็บเหลือเกิน แล้วตอนนี้เขาก็เกร็งตัวจนแขนจะชาอยู่รอมร่อ การเป็นคุณพ่อเนี่ยมันยากกว่าที่คิดเอาไว้จริงๆ

                “อะไรล่ะครับ ก็พึ่งจะอุ้มเอง”

                “ก็ฉันกลัวทำลูกตก”

                “เป็นคุณพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยนะครับ”ขนมผิงพูดแซพลางหัวเราในลำคอ

                “ทำเป็นพูดดีไปเถอะ แต่ฉันก็ยอมรับแหละนะ”เขายอมรับจริงๆว่าก่อนหน้าเขาอุตส่าห์เตรียมการอะไรเอาไว้มากมายเพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อที่กำลังจะมีลูกอ่อน

                แต่พอถึงเวลาเข้าจริง แม้แต่อุ้มลูกเขาก็ยังไม่กล้าเลย หากรู้ถึงไหนก็อายไปถึงนั่น ปิญญ์ชานนท์คิดพลางค่อยๆวางลูกคืนที่เดิมทั้งที่มือและแขนกำลังสั่น

                “แล้วนายล่ะ ยังไม่ตอบฉันเลยว่านายเจ็บแผลมากไหม เจ็บตรงไหนอีกรึเปล่า”คราวนี้หันไปถามขนมผิงด้วยความเป็นห่วง

                ตาคู่ดุจ้องมองร่างสูงโปร่งของคนรักกึ่งนอนทอดตัวยาวไปกับเตียง ก่อนที่จะขยับไปใกล้แล้วลูบมือลงไปบนโครงหน้าซีดเผือดอย่างเบามือ

                “ไม่เลย ผมไม่เจ็บเลยสักนิด”

                “แต่หน้านายซีดมากเลยนะ ฉันเป็นห่วงนายมากเลยนะรู้ไหมตอนที่นายตัดสายฉันทิ้งแล้วไม่ยอมรับโทรศัพท์”

                “ผมรู้”ขนมผิงพยักหน้าเบาๆ

                “ฉันรักนายนะขนมผิง รักนายแล้วก็ลูกของเราด้วย”

                “ผมก็รักคุณกับลูกเหมือนกัน”

                “ขอบคุณนะที่นายรักฉันและให้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตกับฉัน”

                “ผมก็เหมือนกัน”

 

                สิ่งมีค่ามีที่ที่ได้รับมานั้นมันมากกว่าเงินทองหรือชื่อเสียงที่เขายืดมั่นมาตลอดทั้งชีวิต เป็นครอบครัวที่ทำให้เขาได้เรียนรู้การให้ที่แท้จริงโดยไม่หวังผลตอบแทน และเป็นครอบครัวที่ทำให้หัวใจที่ด้านชาของเขารู้สึกเติมเต็มไปด้วยความสุขจนมันเอ่อล้นออกมา

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------

อา จบจริงๆแล้ว อยากให้คนอ่านบรรยายความรู้สึกที่อ่านเรื่องนี้จนจบหน่อย ว่ารู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ คร่าวๆก็ได้ อยากฟังความรู้สึกของคนที่อดทนอ่านจนจบ 555 เป็นนิยายที่ซินตั้งใจใส่ทุกรสชาติลงไปจริงๆ ตั้งแต่ดราม่า มุ้งมิ้ง ตลก อบอุ่น เศร้า และบลาๆๆ

ขอบคุณนะคะที่อยู่อดทนด้วยกันมาจนจบ สำหรับอายุหนึ่งปีกับอีกสามเดือนของนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณมากค่ะ อยากจะร้องไห้ ฮรือออออ ใจหายสุดๆ

 
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-02-2017 19:38:59
อยากเห็นแฝดตอนได้เจอน้อง
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 06-02-2017 20:12:26
สองลูกหมูคงตื่นเต้นดีใจแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 07-02-2017 07:37:55
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-02-2017 19:40:52
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 17-02-2017 14:43:26
 o13
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-02-2017 16:15:17
ในที่สุดก็เป็นคุณแม่ลูก 4
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 31-07-2017 20:23:43
สนุกดีค่ะ ชอบเด็กๆๆมากๆๆเลย
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 31-07-2017 23:51:23
บางเรื่องไม่เมคเซ้นส์ทิ้งลูกเอาไว้งี้ สอนลูกแต่ละอย่าง โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยอ่านแล้วน่ารำคาญ  เลยคำผิดก็เยอะ นะค่ะ ไม่มีในโลกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 01-08-2017 22:26:29
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 02-08-2017 19:06:35
โดยรวมเนื้อเรื่องเนื้อหาน่าสนใจ การดำเนินเรื่องถือว่าดีมากสำหรับเรื่องแรก แต่ก็มีหลายจนที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และคำผิดมีค่อนข้างเยอะ แต่เราชอบ เราให้ผ่าน สู้ๆน๊า เป็นกำลังใจให้และขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆให้อ่านจ้า แอบตกใจตอนพิเศษที่ว่ามีท้อง3 คือแบบ ผิงนี่คนหรือแม่พันธุ์วัว ต่อปุ๊บติดปั๊บ 555.  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 04-08-2017 12:17:45
อ่านจบแล้วววว
ขอบคุณมากค่ะ
ลุ้นให้ลงเอยกันด้วยดีมาก ๆ

 :mew3:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-08-2017 21:16:33
 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 14-11-2017 17:51:54
โอ้ยย ใจก็อยากจะเกลียดเธอ แต่ทำไมมันทำไม่ด้ายย   :hao7:
เด็กแฝดน่ารักอ่ะ หลงแรง   :-[
 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 14-11-2017 18:22:33
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: armsa2531 ที่ 12-02-2018 14:14:25
 :hao6:เด็กอ้วนทอดกรอบ555
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 21-02-2018 08:19:52
จบแบบมีความสุข ดีจังเลย
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 19-04-2018 00:48:54
 :pig4: :pig4: :mew3: :mew3: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 05-08-2018 20:44:18
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 06-08-2018 23:35:15
ขอบคุณค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 01-09-2018 18:47:35
ในที่สุดก็แฮปปี้เอนดิ้ง  เจ้าลูกหมู 2 คนต้องดีใจมากแน่ๆ มีน้องน้อยออกมาให้เล่นแล้ววว
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 09-06-2019 19:32:49
 :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1: :katai2-1: สนกมากเลยยยยย ชอบบบบบ
หัวข้อ: Re: ❖The Rose กุหลาบซ่อนหนาม ❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทที่ 17 จุดเริ่มต้นครอบครัว ❖ 14-12 ❖ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-12-2020 10:25:23
                                 ‘PAPA KRIM HLIM D’PIN’

                                 ตัวอักษรภาษาอังกฤษง่ายๆถูกลงไป ตัวD ปริศนานำหน้าชื่อของใครอีกคนเรียกให้ความสงสัยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดจะไถ่ถามว่าตัวอักษรที่ไม่รู้ความหมายนั้นคืออะไร

 

                                 “D’อันนี้คืออะไรครับ”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงเบา ไม่ขยับเข้าไปใกล้เพราะกลัวเด็กๆจะติดไข้

                                 จึงได้แค่ถามเสียงเบา ไม่อยากให้ขนมผิงได้ยิน

                                 แขนแข็งแรงถูกนิ้วเล็กๆสะกิดให้ก้มลงตามมืออวบๆที่กวักเรียก

                                 “อันนี้คือแดดดี๊ฮับ แต่ยุงปิญญ์ห้ามบอกปะป๊านะฮับ ปะป๊าจะโกรธ”
                           
เด็กสองเกือบสามขวบพูดจาเหมือนเด็กห้าหกขวบ ยัง ยังไม่พอ เขียนหนังสือได้อีก โอ้แม่เจ้า อลังการดาวล้านดวงจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 29-12-2020 04:32:18
 :z13:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 30-12-2020 20:27:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: habanice ที่ 15-05-2021 21:15:36
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
ร้องไป1
หัวข้อ: Re: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 16-05-2021 14:05:16
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: