พิมพ์หน้านี้ - Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 09-09-2018 14:55:54

หัวข้อ: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 09-09-2018 14:55:54
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





****************************************************************************************



                                                                          บทย่อ


     'คนอย่างมึง ไม่เกิดมาซะก็ดี' ...เป็นคำพูดของพ่อบังเกิดเกล้าผู้ให้กำเนิดมีให้กับลูกชายตัวจ้อยที่นอนตัวสั่นระริกรองรับอารมณ์รุนแรงจากความโกรธและไม่พอใจที่เกิดขึ้นทุกวัน

     แต่แล้ววันหนึ่งก็มีมือมาดึงเขาออกไปจากขุมนรกที่เด็กคนหนึ่งไม่สามารถหนีพ้นออกมาได้ด้วยตัวเอง

     ชะเอมเด็กกำพร้าผู้น่าสงสาร...มีมหาเศรษฐีใหญ่โตเก็บไปเลี้ยง...เหมือนหนูตกถังข้าวสาร...ใครๆ ก็พูดกัน หากแต่ความเป็นจริงชะเอมไม่เคยคิดหลงระเริงว่าเป็นหนูผู้โชคดี ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นหงส์ขาวแต่กลับเป็นเป็ดขี้เหร่สีดำที่อยู่ผิดที่

     แม้จะรู้สึกขอบคุณแต่กลับสำเหนียกตนว่าไม่คู่ควรเสมอมา

     เขาได้พบกับ 'คิน'  ลูกชายของผู้มีพระคุณที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป...คนที่กลายมาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต

     หากแต่เรื่องราวความรักเคล้าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานก็เกิดขึ้นเมื่อ 'เรย์' เพื่อนสนิทของคินที่แอบชอบเพื่อนตัวเองข้างเดียวคิดไม่ซื่อ ทำทุกหนทางให้คินเข้าใจตัวเขาผิดจนถูกเกลียดเข้าไส้

     'ถ้าหากเขาตาย คินก็คงจะดีใจใช่มั้ย'

     คำพูดของพ่อที่เลือนหายไปในความทรงจำตามกาลเวลาก็กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง

     'ความรัก' กับ 'ชีวิต' หากสองสิ่งนี้สามารถแลกกันได้...ตัวเขาก็พร้อมยินดีทุกเมื่อ

     
     ****************************************************************

เรื่อง Whose Fault ผิดที่ใคร
E-book ราคา 650฿ จำหน่ายแล้วที่ meb,ookbee นะคะ

สำหรับหนังสือ
ราคาเซ็ต : 900 บาท/2เล่ม (รวมส่ง kerry)
เนื้อหา :
ตอนหลัก 43 ตอน + ตอนพิเศษ 7 ตอน (ไม่มีลงในเว็บ)
-สินดิน ตอน สักวันหนึ่ง
-สินดิน ตอน รับผิดชอบ
-คินชะเอม ตอน ข่าวดี
-คินชะเอม ตอน หวง! หึง!
-คินชะเอม ตอน รถใหม่
-คินชะเอม ตอน แอดมิน สาววายจงเจริญ
-คินชะเอม ตอน ชะเอม

โอนได้ที่ :
เลขที่บัญชี 147-244654-5
ชื่อบัญชี กรองแก้ว ดิลกฤทธิศักดิ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

ช่องทางแจ้งชำระเงิน : -ผ่าน inbox เพจ H.Rui Novels
แจ้งแล้วแนบหลักฐานและชื่อที่อยู่ เบอร์โทรเพื่อจัดส่งมาพร้อมกันเลยนะคะ

สงสัยอะไรทักมาถามได้ที่เพจ H.Rui Novels โลดดด
เลิฟนักอ่านทุกคนเสมอๆ <3

                       
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร Introduction
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 09-09-2018 15:05:03
                                                                Whose Fault ?
                                                                                     

                                                                   ผิด...ที่ใคร
                                                                                     

                                                                  Introduction
                         
                                 

          โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



           ปึง


            เสียงประตูกระแทกปิด ทำให้ใครบางคนที่หิ้วท้องรออยู่สะดุ้งเล็กน้อยแต่ความรู้สึกยินดีแล่นวาบขึ้นในหัวใจ ร่างโปร่งลุกจากโซฟาหน้าโทรทัศน์ที่เจ้าตัวไม่ได้ให้ความสนใจนักมาต้อนรับคนที่เพิ่งกลับบ้าน เสียงฝีเท้าลงหนักเบาที่ไม่ได้ยินมาหลายวันเรียกรอยยิ้มแย้มดีใจจากเขา


            “กลับมาแล้วเหรอ” เขาเอ่ย


             แต่คนที่กลับมาไม่แม้แต่จะสนใจ เดินผ่านหน้าไปแบบไม่ชายตามองเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ...ไร้ตัวตน ทิ้งใครอีกคนยืนก้มหน้านิ่งงัน ริมฝีปากบางเม้มแน่นพอๆ กับเล็กที่จิกเข้าฝ่ามือ เพียงชั่วอึดใจ ก็คลายออกทำเหมือนปกติ


                                       
              ไม่รู้สึกอะไร




               “นี่ กลับมาทั้งที มากินข้าว...คิน ทำอะไร!?” ร่างโปร่งถามเสียงดังทันทีที่เห็นว่าอีกคนกำลังคุกเข่าก้มๆ เงยๆ เก็บเสื้อผ้าพับลวกๆ ใส่กระเป๋าใบใหญ่ที่วางข้างๆ




                “...” แต่คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ร่างสูงทำราวกับไม่ได้ยิน และมือก็ยังคงจับกางเกง เสื้อกล้าม สิ่งที่จำเป็นเข้ากระเป๋า




                 “หยุดเลยนะ” เมื่อเห็นพฤติกรรมดังนั้น ขาก้าวเข้าห้องเข้าไปพร้อมทั้งกระชากสิ่งที่อยู่ในมือใหญ่ “ผมไม่ให้คินไปไหนทั้งนั้น”  เรียกสายตาคมดุตวัดมองที่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจก็ไม่ได้แล้ว




                  “ปล่อย” คำพูดที่ออกมาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนเอือมระอา แต่ร่างโปร่งไม่สนใจ ยังคงยื้ดยุดเสื้อผ้าและเทของที่อยู่ในกระเป๋าออกมากองเต็มพื้น



                   “เอมทำอะไร” ร่างสูงตะคอกใส่



                   “คินนั่นแหละทำอะไร” ได้ยินคำถามจากอีกคนทำให้ร่างสูงพ่นลมหายใจแรงๆ ราวกับสิ่งที่ได้ยินเป็นคำถามโง่ๆ


                   “ทำตัวน่ารำคาญขึ้นทุกวัน เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่อยากอยู่ด้วย”



                    “เอมทำอะไรให้คินรำคาญ คินก็บอกมาสิ” คนถามกัดปากแน่น ขอบตาเริ่มแดงแต่ยังกลั้นไว้ มือใหญ่กระตุกสิ่งที่ยื้อยุดเมื่อครู่ออกแต่คราวนี้ช่างง่ายดายเพราะมือบางสั่น ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะจับ




                     “อย่าให้พูด” เสียงทุ้มแค่นใส่แบบไม่แคร์ว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง นั่นทำให้น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลอาบใบหน้าเงียบไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น



                      ผ่านไปชั่วครู่เดียวแต่เหมือนนานหลายนาที เสียงรูดซิป และร่างสูงขยับลุกขึ้นยืน มือสะพายกระเป๋าบนบ่า ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกตัว รีบเดินตามแผ่นหลังกว้างออกไปขณะที่คินกำลังเอื้อมมือเปิดประตู



                       “เป็นเพราะ ‘มัน’ ใช่ไหม”



                        “...”



                        “เพราะมันใช่ไหม!” เมื่อคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ร่างบางจึงตวาดเสียงสูง พฤติกรรมก้าวร้าวที่เขาไม่เคยคิดจะทำ



                        แต่ครั้งนี้มันเกินรับไหวแล้วจริงๆ



                        “ไม่ใช่” เสียงเข้มดังทุ้ม แม้แต่เสียงโทรทัศน์ก็ไม่อาจกลบได้



                         “...”



                         “อย่ามาโทษคนอื่น” ดวงตาคมปรายสายตามองเห็นคนตัวเล็กยืนตาแดงน้ำตาไหล แต่แล้วก็ทำใจหลับตาเอ่ยในสิ่งที่คิด “ถ้าจะโทษใคร...ก็โทษที่ตัวเอมเอง”



                          เขาตัดสินใจแล้ว



                          ร่างสูงหมุนตัวหันหลัง ถึงจะติดตากับภาพที่เห็น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลเดินออกจากห้องนี้ไป



                          ห้องที่เขา...ไม่สิ ‘เรา’ เคยเรียกมันว่าบ้าน



                                       
                           ปึง



                           เสียงประตูครั้งที่สอง ปิดลงด้วยความรู้สึกดิ่งลงเหว กับร่างโปร่งที่ยืนนิ่งค้าง อยู่กับเสียงสะท้อนที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา



                            ภาพของคนที่รักมากที่สุด เดินหันหลังออกจากห้องไม่มีความลังเล ขาเรียวที่สั่นเกร็งยืนหยัดอยู่ไม่ไหวไร้เรี่ยวแรงทรุดลงคุกเข่ากับพื้น อวัยวะในอกบีบรัดแทบหายใจไม่ออก มือเล็กเกาะกุมตรงที่เต้นรุนแรงเจ็บปวด ไหล่และหลังบางคู้ห่อสั่นระริก



                            “ฮึก...”



                            ทั้งๆ ที่วันนี้ควรจะเป็นวันที่ดี



                            กับข้าวหลากหลายที่เตรียมไว้เป็นอาหารเย็นสำหรับสองคนก็ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครแตะต้อง



                            เสียงร้องไห้เครือสะอื้นดังต่อเนื่องยาวนาน ไม่อดกลั้น เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครได้ยิน


                                 

     

                            ถ้าจะโทษใคร...ก็โทษที่ตัวเอมเอง







                     ************************Whose fault? ************************


                                       






                   คลอดเรื่องใหม่แบบงงๆ ใครชอบความดราม่า เชิญมาทางนี้
                                       

                   คอมเมนท์ให้กำลังใจชะเอมและคินได้นะจ๊า
                                     

                    ขอบคุณนักอ่านผู้น่ารักทุกท่านที่เข้ามา
                                     

                   เชิญติชมได้เลย
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 09-09-2018 15:28:35
                                                               

                                                                       Whose Fault ?
                                     

                                                                         ผิด...ครั้งที่ 1



           โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม






            แกรก



             ร่างบางเปิดประตูห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ ก้าวออกจากห้องน้ำทั้งที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดร่างกายส่วนล่าง หยดน้ำเกาะอยู่ทั่วร่างกายที่ผ่ายผอมกว่าแต่ก่อน



              ขณะนำผ้าขนหนูอีกผืนขยี้เส้นผมหอมสบู่ที่เปียกชื้น ดวงตาเหลือบมองเห็นหน้าจอมือถือที่สว่างวาบอยู่บน จึงรีบเดินเข้าไป ในใจพองโตแอบหวังว่าใครบางคนจะโทรมาหา แต่แล้วเมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฏ หัวใจที่เต้นรัวก็แผ่วลง




                ...ลุงเกษม...




                "ครับ สวัสดีครับคุณลุง..."



                 ("สวัสดีตอนเช้า ชะเอม หืม...ตื่นเช้าเหมือนกันนี่นา") เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นข้างหู ทำให้คนฟังต้องแอบอมยิ้ม



                  "ไม่หรอกครับ พอดีเพิ่งอาบน้ำเสร็จด้วย...คุณลุงโทรมามีอะไรรึเปล่าครับ" น้ำเสียงอ่อนใสแกมสงสัย เรียกเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝั่ง



                   ("ก็คิดถึงน่ะสิ ลุงไม่ได้เจอชะเอมนานแล้วนะ โทรหาเจ้าคินก็ไม่รับ สงสัยจะยังไม่ตื่น") ได้ยินชื่อนั้นทำเอาร่างบางอึกอัก ไม่รู้จะตอบอะไร ดีนะที่คุยโทรศัพท์ไม่งั้นคงเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนไม่อยากตอบของเขาแน่



                   "ผมก็คิดถึงคุณลุงครับ" เขาเลือกที่จะข้ามประเด็นตรงนั้นไป แล้วก็ได้แต่ถอนใจโล่งอกที่คนฟังไม่ติดใจอะไร หนำซ้ำคำพูดนั้นทำเอาคนฟังชื่นอกชื่นใจอีกต่างหาก



                    ("ถ้างั้นชะเอมมาเจอลุงบ้างสิ นัดกินข้าวเย็นกันไหม เอ้อ ถ้าไงลุงฝากลากเจ้าคินมันมาด้วยละกัน มีแต่หนูที่มันยอมฟังนะ ขนาดพ่อแท้ๆ ของมันยังไม่ฟังเลย") เสียงหัวเราะดังปิดท้ายราวกับประโยคที่พูดออกมาตลกนักหนา แต่หารู้ไม่ว่าคนฟังยิ้มแหย



                     ทำไมกลับมาประเด็นเดิมได้เนี่ย



                     "คือ..." เอมกลืนน้ำลายเบาๆ หลับตาในหัวคิดหาคำพูดพยายามอธิบาย "ช่วงนี้คินเขางานยุ่งมากครับ แล้วก็ต้องไปค้างหอเพื่อนที่ทำงานกลุ่มเดียวกัน...เขาไปค้างได้สามวันแล้วล่ะครับ" ร่างบางเอ่ยคำโป้ปดรัวเร็วพร้อมเอ่ยขอโทษผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตในใจและ ปลอบใจตัวเอง



                      ไม่เป็นไร ยังไงก็มีเรื่องที่ไปจากที่นี่สามวันแล้วก็เป็นเรื่องจริงล่ะนะ



                      ("อ้าว! จริงเหรอ นี่ลุงไม่เห็นรู้เรื่องเลย งานกลุ่มที่ว่าคืองานที่คณะมันใช่มั้ย")



                      เด็กหนุ่มกลั้นหายใจ "ครับ" ต่อมาได้ยินเสียงร้องออพร้อมพึมพำอะไรบางอย่าง



                      ("งั้นไม่เป็นไรๆ เอาเป็นช่วงที่ทั้งหนูและคินว่างพร้อมกันก็แล้วกัน")



                      "...ได้ครับ" รับคำพร้อมพรูลมหายใจ



                      ("แล้วหนูอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย นี่ลุงว่าถึงเจ้าคินจะไปทำงานกลุ่มก็น่าจะกลับมานอนที่คอนโด...ไม่น่าปล่อยอยู่คนเดียวเลยนะ แล้วนี่จะไปเรียนยังไง") เกษมเอ่ยเสียงเครียดราวกับจะตามคนที่อยู่ในบทสนทนากลับมาคุยเดี๋ยวนี้เลยทำเอาร่างบางปฏิเสธละล่ำละลัก



                      ขืนทำแบบนั้นคินยิ่งได้เขม่นเขามากกว่าเดิมสิ



                     "อะ...เออ มะไม่เป็นไรครับ เขานอนกับเพื่อนน่าจะสะดวกมากกว่า ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาด้วย ส่วนเรื่องไปเรียนไม่ต้องห่วงนะครับ ผมนั่งรถเมล์ไปได้"



                      ("เจ้าลูกคนนี้นี่มันจริงๆ เลย") เกษมบ่นแต่ไม่วายถามย้ำ ("เอางั้นเหรอ ลุงตามใจชะเอมนะ")



                     "ครับ ผมอยู่คนเดียวได้ไม่มีปัญหา" ร่างบางเอ่ยเสียงอ่อน



                     ("โอเค แล้วเรื่องเงินล่ะ") เกษมเปลี่ยนเรื่อง ปกติถ้าเป็นคนอื่นถามจุกจิก ชะเอมอาจจะบอกปัดด้วยความรำคาญไปแล้ว แต่กับลุงเกษมเขาเข้าใจว่าทุกคำถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ("เงินที่ลุงให้พอใช้มั้ย เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ลุงโอนให้นะ")



                     "ไม่ต้องก็ได้ครับ ทุกวันนี้เอมก็ใช้ไม่หมดแล้ว ที่เหลือเก็บยังใช้ได้อีกหลายเดือนเลย" ร่างบางรีบปฏิเสธ อยู่ๆก็ขนลุกเพราะอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนต้องหยิบรีโมทกดปิด ตอนนี้ตัวเขาแห้งแล้ว เส้นผมก็ชื้นไม่มีหยดน้ำ



                      ("...แต่เดือนที่แล้วลุงก็ไม่ได้โอนให้นี่")



                     "นั่นเพราะเดือนก่อนคุณลุงให้มาเยอะ ผมยังใช้ไม่หมดไงครับ" ชะเอมบอกอย่างดื้อดึง



                      ("เฮ้อ ก็ได้ๆ แต่ถ้าชะเอมมีอะไรอยากได้ต้องบอกลุงนะ อย่าลืมว่าหนูก็เป็นลูกของลุงคนหนึ่ง ไม่ต้องเกรงใจ") เกษมเอ่ยเสียงอ่อนโยน เพราะรู้ดี เขาเป็นคนเลี้ยงเด็กคนนี้มากับมือ ทั้งความเกรงใจที่ยกตัวเองออกห่าง ถึงจะมองว่าเขาเป็นพ่อแต่ก็ยังไม่เรียกว่าพ่อ แต่เขาก็ภูมิใจ ชะเอมเป็นเด็กที่ดีเหลือเกิน



                      ชะเอมฟังแล้วแน่นอก ไม่ว่ายังไงคุณลุงก็ใจดีกับเขาเสมอมา น้ำตาเหมือนจะรื้นขึ้นมาเพราะความตื้นตัน



                     ผู้มีพระคุณของเขา สักวันจะต้องตอบแทน



                     "ครับคุณลุง ถ้ายังไงผมขอวางก่อนนะครับ จะได้ไปแต่งตัว" ชะเอมเอ่ยเสียงอู้อี้ คุยเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องยาวทุกที ดูเหมือนอีกฝั่งก็จะรู้จึงยอมถอย




                     ("โอเค ถ้างั้นเอาไว้เจอกันนะ อย่าลืมกินข้าวเช้าล่ะ ลุงเป็นห่วงนะ")



                     "ครับ คุณลุงก็ดูแลตัวเองนะครับ สวัสดีครับ"



                      ชะเอมกดวางสาย เหลือบมองนาฬิกาแล้วเดินไปที่ตู้เพื่อแต่งตัวไปมหาวิทยาลัย







         ************************Whose fault? ************************







                     เพราะวันนี้มีเรียนทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น นอกจากต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเพราะต้องนั่งรถประจำทางมาเองแล้วยังต้องทำข้าวเช้าและข้าวกล่องสำหรับมื้อเที่ยงมาด้วย ถึงฝีมืออาหารจะไม่ค่อยอร่อยมากแต่ก็ยังพอกินได้ เพราะปกติต้องทำอาหารให้ทั้งตัวเขาและคินเป็นประจำ อาหารเช้าจึงเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับเขามากเพราะทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย และสมองก็ปลอดโปร่งทำให้การเรียนตอนเช้าเป็นไปได้ด้วยดีอีกด้วย



                     ร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะด้วยตั้งแต่กำเนิด สภาพแวดล้อม หรืออะไรก็แล้วแต่...ที่ทุกวันนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ได้ เพราะการดูแลตัวเองและการระมัดระวังหลีกเลี่ยงในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย



                     ไม่มีใครเลือกเกิดได้...และชะเอมก็ทำใจได้กับเรื่องนี้มานานแล้ว



                     พอนึกถึงเรื่องใครอีกคนก็ทำให้ใจหม่นเศร้า พยายามบอกตัวเองว่าต้องหาเวลาไปคุยและเคลียร์กันให้เข้าใจ เพราะยิ่งเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะไม่ดีทั้งตัวเขาเอง และจะทำให้คุณลุงเกษมไม่สบายใจได้



                     ชะเอมเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกคุณลุงเกษมรับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ทั้งที่มีลูกชายซึ่งก็คือคินอยู่แล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเขาไปถูกชะตาอะไรกับคุณลุงแต่ก็ขอบคุณมาตลอด



                      ขอบคุณที่เก็บเขามาเลี้ยง



                     ขอบคุณที่ให้ความสำคัญ



                     ขอบคุณที่ดึงเขาขึ้นมาจากขุมนรก



                     ถึงจะจำได้ลางๆ แต่ชะเอมมีความทรงจำไม่ดีกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง ไม่มีวันไหนที่เขาไม่โดนทุบตีหรือทำร้ายร่างกายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากพ่อขี้เหล้าและติดการพนัน วันไหนอารมณ์เสียจากการเล่นก็โดนลูกหลงจากอารมณ์ลงหนักจนสลบ ฟื้นขึ้นมาก็โดนแล้วโดนอีกกระหน่ำลงมาทั้งมือทั้งเท้า ไม่เคยเลยที่วันไหนจะได้อยู่อย่างสงบ จนวันหนึ่งเขาก็ทนไม่ไหววิ่งหนีออกมา จนได้มาอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า



                     ไม่มีการแจ้งตำรวจเรื่องเด็กหาย หรือประกาศตามหาตัวแต่อย่างใด เพราะเขาไม่เคยทำประโยชน์ให้กับพ่อบังเกิดเกล้า แถมยังเป็นภาระ นอกจากจะเป็นที่รองมือรองเท้าเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น



                     จนกระทั่ง...ถูกลุงเกษมเก็บมา



                     ขณะกำลังยืนบนรถประจำทางเบียดกับผู้คนที่ไปทำงาน ชะเอมรู้สึกวิงเวียนและผะอืดผะอมกับกลิ่นเหงื่อของฝูงชนและควันรถ แต่ก็ยังอดกลั้นพยายามไม่แสดงอาการอยากจะอาเจียนออกมา



                     "นาย...ไหวมั้ย?" ได้ยินเสียงถามอย่างเป็นห่วงจากด้านข้าง ทำให้เขามองตามเสียง เห็นผู้ชายตัวพอๆ กับเขาใส่ชุดนักศึกษาซึ่งสังเกตเนคไทมีตรามหาลัยเดียวกันยืนอยู่ สีหน้าขมวดคิ้วมุ่น



                     "หน้านายโคตรซีดเลย" น้ำเสียงทุ้มใส ฟังแล้วเหมือนทำให้ร่างบางรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย



                     "อื้ม" ชะเอมยิ้มอ่อน "น่าจะ"



                     "อืม แปปนะ" คนข้างๆ พูด ชะเอมมีสีหน้างุนงงเล็กน้อยเห็นอีกคนล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนควานหาอะไร  บางอย่าง ก่อนล้วงออกมาบิดสิ่งที่อยู่ในมือแล้วจ่อเข้าใกล้หน้า ได้กลิ่นมินต์เย็นๆ ลอยออกมา ช่วยลดความผะอืดผะอมที่อยู่ในอกได้มาก



                     "ใกล้ถึงแล้วทนหน่อยละกัน ถ้าไม่ไหวยืนพิงเราได้"



                     ร่างบางกระพริบตาปรับภาพที่พร่ามัว สูดลมหายใจลึกให้กลิ่นเย็นๆ เข้าก่อนพยักหน้านิดๆ



                     "...ขอบใจนะ"



                     อีกฝ่ายยิ้มส่ายหน้านิดๆ ราวกับบอกว่าไม่เป็นไร



                     ราวสิบนาทีกว่าจะถึงหน้าประตู ชะเอมถึงกับโล่งอก ส่งยาดมที่เพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกันคืนกับมือ



                     "ขอบใจมากนะ เจ้านี่ช่วยได้เยอะเลย...เอ่อ นาย"



                     "เราชื่อราม อยู่คณะอักษรปี3"



                     สิ่งที่ได้ยินทำให้ร่างบางที่ยังหน้าซีดเซียวเบิกตานิดๆ



                     "เอ๊ะ บังเอิญจัง อยู่คณะเดียวกันเลย"



                     "ชะเอม ปีเดียวกันเอกจีน ใช่มั้ย" ยิ่งได้ยินยิ่งอึ้งนิ่งค้าง ทำคนมองอย่างรามหัวเราะร่วน




                     "ทำไมรู้" น้ำเสียงใสเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่จะได้รับคำตอบสายตาเหลือบเห็นรถคันหนึ่งแล่นผ่าน หน้าเลี้ยวเข้าประตูมหาลัยวิ่งไปทางตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์



                     เขาจำรถคันนั้นได้ดี



                     ฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำทะเบียน กท1222



                     รถของคิน



                     บางทีเขาก็คิดว่าดีจริงๆ ที่รถคันนั้นฟิล์มดำทึบพอที่จะมองไม่เห็นข้างใน เขาไม่อยากจะรับรู้อะไรที่ทำให้ใจเขาเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว



                     ถึงในใจจะรู้ดีว่าในรถนอกจากคินแล้วมีใครคนอื่นอยู่ด้วย แทนที่ตรงที่เขาเคยนั่ง



                     "ที่ลือกันว่าเอมเลิกกับคินแล้วก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ อะเอ่อ...โทษที"



                     เสียงที่ดังข้างๆ ทำให้ร่างบางรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว กว่าจะเข้าใจว่ารามพูดอะไรรถคันนั้นก็วิ่งลับสายตาไปแล้ว



                     "อืม ไม่เป็นไร" ร่างบางหันมาพูดกับอีกฝ่าย "ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย"



                     "อย่ายิ้มแบบนั้นสิ" รามพึมพำพูดเสียงอ่อย เขาไม่เคยเห็นใครยิ้มรวดร้าวเท่าคนตรงหน้ามาก่อนเลย น้ำตาคลอกับแววตาเจ็บปวดที่สื่อออกมาทำเอารู้สึกผิดที่เผลอปากเปราะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป



                     "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ" เสียงที่เขาเอ่ยออกมาแผ่วเบา ไม่รู้ว่าบอกกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอ หรือบอกกับตัวเองกันแน่ชะเอมเอื้อมมือที่สั่นจนรู้สึกได้กระชับกระเป๋าสะพายข้างเข้ากับไหล่ เดินผ่านมุ่งตรงไปยังตึกคณะที่อยู่อีกฝั่ง



                     "เอม...นายพกนี่ไว้ดีกว่านะ หน้าซีดอีกแล้วรู้ตัวไหม" กล่าวไม่เอาคำตอบ แถมของที่ว่ายังถูกยัดใส่มือแบบพลการ อีกต่างหาก พบว่ามันคือยาดมหลอดเดิม



                      "นายหิ้วของมาเยอะจัง มาเดี๋ยวเราช่วยถือ"



                      "เอ๊ะ! เอ่อ...ไม่เป็นไร เราถือได้" ร่างบางเบี่ยงไหล่เบาๆ เขาไม่กล้ารบกวนคนที่เพิ่งรู้จักกันขนาดนั้นหรอก



                     จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งได้สังเกตเพื่อนใหม่ ที่บอกว่าตัวเองชื่อราม ตัวสูงกว่านิดไม่ถึงห้าเซน ตัวหนากว่าเขาหน่อย ผิวออกขาวเหลือง ตาเรียวตี่เหมือนคนจีน ปากนิดจมูกหน่อย ดูรวมๆ ก็เรียกได้ว่าหน้าตาค่อนข้างดีเลย



                     "ขอบใจ" ได้ยินรามว่าแล้วร่างบางก็รู้สึกหวิวๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมือเย็นขนาดไหน รู้สึกมึนๆ เหมือนจะเป็นลม



                     ข้าวเช้าก็กินมาแล้วนี่นา



                     ขณะคิดมือก็แกะยาดมขึ้นมาสูดแรงๆ



                     "เออนี่รามยังไม่ได้บอกเราเลยว่ารู้จักเราได้ยังไง" เอมถามอย่างสงสัย ทำเอาอีกฝ่ายเลิกคิ้ว ถามเสียงสูง



                     "นี่ไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองดังขนาดไหน"



                      "หืม" ร่างบางหัวเราะ "ถามจริง" น้ำเสียงไม่อยากเชื่อ



                     "โห...พลาดแล้ว นี่จะบอกให้นะว่าเรื่องของนายกับคิน ไม่มีใครในมหาลัยนี้ไม่รู้จักหรอก" รามพูดรัว แล้วก็เป็นอีกครั้งที่รู้ตัวช้าเกินไปว่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ เสียจริง "โทษทีเอม มันเผลอ"



                     ชะเอมยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจ แต่ในใจแอบกระตุก "แล้ว...ยังไง ได้ยินมาแบบไหนล่ะ"



                     "ก็...ทั้งเรื่องดี" รามอึกอัก แต่ไม่อยากโกหก เขาไม่ชอบโกหก "แล้วก็ไม่ดีด้วย" เขาเหลือบมองสีหน้าร่างเล็กกว่าตัวเองที่เดินเยื้องด้านหน้า ใบหน้าขาวซีดกับเส้นผมสีดำออกน้ำตาลคลอเคลีย นัยน์ตาดำกลมโตใสว่างเปล่า มักจะสะท้อนความเศร้าออกมา ในตอนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวหรือไม่



                     รามรู้จักชะเอมเพียงแค่ชื่อมานานตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาได้เกือบปี เป็นคนที่ทั้งสวยและหล่อเป็นที่หมายปองของสาวๆ และหนุ่มๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เรือนร่างผอมแอบมีกล้ามเนื้อเล็กน้อยทำให้ยิ่งดูมีเสน่ห์ ผิวขาวผ่องใสราวกับไม่เคยโดนแดดแผดเผา ให้ความรู้สึกอยากปกป้อง แต่ฝันของใครหลายคนต้องสลายเมื่อรู้ว่าหนุ่มหน้าหวานคบอยู่กับคินหนุ่มหล่อวิศวะ มีดีทั้งด้านเรียนและกีฬา แถมบ้านยังร่ำรวยอีกด้วย นิสัยก็ดี เพอร์เฟ็คต์แบบที่ใครๆ ก็ไม่อาจสู้จึงต้องยอมแพ้ถอยกันไปหลายราย แต่ทางคินก็ใช่ย่อย หล่อขนาดนั้นก็ต้องมีตุ๊ดกะเทยและชะนีทั้งหลายยอมถวายตัวเข้าไปเกาะแกะตลอด แต่เห็นว่าคินรักเดียวใจเดียวไม่ยอมเผื่อใจให้ใคร ทำให้ทั้งคู่เป็นคู่รักในมหาวิทยาลัยที่เขาล่ำลือกันว่าเป็นคู่ที่โชคดีที่สุด



                         แต่ข่าวล่าสุดที่ได้ยินตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน ระหว่างเรียนปีสองเทอมสอง ทั้งคู่เกิดทะเลาะด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่วงในว่ากันว่าคือ 'มือที่สาม' ซึ่งใครคนนั้นคือ เรย์ เพื่อนในกลุ่มเดียวกันกับคิน เป็นหนุ่มร่างเล็กอ้อนแอ้น หน้าตาน่ารักคล้ายทอมมากกว่าเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ กล่าวคือเรย์เจอกับคินมาตั้งแต่ปีหนึ่ง เวลาเรียนก็อยู่ด้วยกัน และเกิดชอบคินเข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าคินคบกับเอมอยู่ เลยเก็บความในใจไว้จนกระทั่งแพ้ความอ่อนโยน และความใกล้ชิดทำให้เก็บงำคำว่ารักไว้ไม่ไหว สารภาพออกมาตอนไปเลี้ยงจบการสอบกลางภาค ชะเอมเผลอไปได้ยินเข้าเลยเกิดเป็นเรื่องทะเลาะ พยายามกีดกันถึงขั้นทำร้ายเรย์ และไม่ให้เข้าใกล้คินเลย ซึ่งแน่นอนคินไม่เห็นด้วยเพราะเห็นเรย์เป็นเพื่อนสนิทและมองว่าสิ่งที่เอมทำมันเกินกว่าเหตุ จึงยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กระท่อนกระแท่นเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนคินทนไม่ไหวกับความเอาแต่ใจของชะเอมจึงขอเลิก แล้วไปคบกับเรย์แทน



                     ถึงจะได้ยินแบบนั้นมาก็เถอะ...



                     แต่จากที่คุยครั้งแรกในรอบสามปีที่เรียนคณะเดียวกันมา ดูๆ แล้วไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างชะเอม หนุ่มบอบบาง ดูท่าทางเรียบร้อยคนนี้จะไปหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่น



                     แถมท่าทางเงียบๆ และแววตาเศร้านั่นอีก



                     หรือว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องไม่จริง



                     ตอนนี้พวกเราทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าคณะอักษรศาสตร์แล้ว ก่อนที่จะแยกทางกัน รามก็ถอนใจ ถึงยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปยุ่งได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะ... "นี่...เรื่องที่เราได้ยินมา" ร่างบางภายใต้ชุดนักศึกษาหันมาสบตา "เป็นเรื่องจริงรึเปล่า"



                    รามค้นหาสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตากลมดำเหมือนลูกกวางนั้น



                     "เรื่องไหนเหรอ"




                     "ที่เขาว่านาย...ทำร้ายเรย์" เขาไม่ได้ต้องการย้อนความทรงจำในอดีตทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวด เขาก็แค่อยากรู้... ไม่รู้ทำไม



                     ได้แต่หวังว่าคนตรงหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาลือกัน ก็เท่านั้น



                     น่าเสียดายที่รามพบว่าในแววตาคู่นั้นมีเพียงแค่...ความว่างเปล่า




                     "แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ"



                     คราวนี้ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคน และชะเอมก็ไม่ได้ต้องการคำตอบด้วย ทั้งคู่ยืนเงียบจ้องตากัน จนกระทั่งร่างบางเป็นคนถอนหายใจแผ่วเบา



                     "เรื่องยาดม ขอบใจมาก เราขอตัวก่อน" พูดเสร็จก็เดินหันหลังเข้าตึก ทิ้งใครอีกคนยืนนิ่ง



                     "เอม... " เสียงเรียกแผ่วของรามคล้อยหลังร่างบางที่เดินไปไกล กลืนหายไปกับสายลม



                     อยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น



                     ขอโทษ...




                     แน่นอนว่าถ้าหากรามสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิด จะพบว่าภายใต้เปลือกตาของชะเอม ในความว่างเปล่านั้นมีความเสียใจอยู่



                     เสียใจในการกระทำของตัวเองที่ไม่สามารถแก้ไขได้



                     แต่แน่นอน ถ้าหากย้อนกลับไป



                     ร่างบางก็ยังยืนยัน...ว่าจะทำเช่นเดิม







  ************************Whose fault? ************************







                         การลงนิยายในเล้ามันยากมากเลย ต้องเคาะต้องกะบรรทัด ยังไงแปลกๆ ถถถถถถ

                         หรือรุยรู้สึกไปเองคนเดียว  :hao5:


                         คอมเมนต์ให้กำลังใจน้องชะเอมด้วยนะคะ

                         ปล.รุยแก้ไขแล้วนะคะ ต้องขอบคุณคุณ nonlapan ที่มาช่วยบอก

                         พบว่าในมือถือมันเว้นวรรคได้(โคตร) อุบาทว์จริงๆ ค่ะ (ซาบซึ้ง*^*)




หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 09-09-2018 17:29:12
ลองมาเช็กการจัดหน้าในโทรศัพท์ดูนะคะ เราว่าแปลกจริงๆ แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องน่าสนใจมาก รอติดตามนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
เริ่มหัวข้อโดย: Tak ที่ 10-09-2018 02:03:45
ชอบบบบบบ แอบรักราม
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 14-09-2018 21:12:24

                                                                 Whose Fault ?
 

                                                                  ผิด...ครั้งที่ 2


       "เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ เจอกันคาบหน้านะนักศึกษาทุกคน" เมื่อได้ยินศาสตราจารย์สอนวิชาประจำเอกกล่าว หลังจากร่างท้วมพ้นออกจากห้องไม่ถึงก้าวก็มีเสียงเฮเหมือนดีใจที่จะได้กินข้าว หรือเสียงถอนหายใจที่รอดพ้นจากคาบแห่งความเครียดนี้ซะที ซึ่งชะเอมคือหนึ่งในนั้น


       เสียงจอแจของคนนับร้อยเดินออกจากห้องเลคเชอร์ใหญ่ เพื่อไปโรงอาหารตอนพักเที่ยง ชะเอมรอให้คนออกจากห้องออกไปก่อนสักพักแล้วค่อยเดินออกมาเพราะไม่อยากเดินเบียดเสียดกับผู้คน ทั้งกลิ่นเหงื่ออับชื้นและกลิ่นตัวที่ไม่คุ้นชิน ยิ่งคิดยิ่งทำให้วิงเวียนผะอืดผะอมได้อีกครั้งเหมือนตอนที่เผชิญเหตุการณ์บนรถเมล์เมื่อเช้า
       


       ยังไงซะเขาก็ทำข้าวกล่องมา ไม่ต้องรีบไปแทรกคนเพื่อต่อคิวรอซื้ออาหารด้วย ร่างบางกระชับกระเป๋าขึ้นไหล่เดินหาโต๊ะในสวนใกล้ๆ โรงอาหารที่มีต้นไม้เยอะๆ ให้ความร่มเย็นเพื่อนั่งทานข้าว ก็อย่างที่บอกในโรงอาหารตอนนี้คงเต็มไปด้วยผู้คน อย่าว่าแต่หาที่นั่งเลย แค่จะเดินยังยากที่จะเลี่ยงการเบียดเสียด
       

       ตากลมใสกวาดตามอง โต๊ะส่วนใหญ่ก็มีคนนั่งอยู่ประปรายอยู่แล้ว มีทั้งนั่งคนเดียวบ้าง กลุ่มบ้าง ไม่เหลือโต๊ะที่ว่างเลย


       "เฮ้! นาย...ชะเอม!" เจ้าของชื่อหันซ้ายหันขวาเมื่อได้ยินเสียงเรียก แล้วก็เห็นใครโบกมือโหยงเหยงอีกด้านหนึ่ง


       ...ราม?



       คนดังกล่าวกวักมือเรียกเขาด้วย ร่างบางมองรอบๆกาย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขาจริงๆ ไม่ได้เรียกคนอื่น จากนั้นก็เดินเข้าไปหา พบว่ารามนั่งอยู่กับเพื่อนอีกสองคนที่มองมาทางเขาเช่นกัน


       "ราม มีอะไรเหรอ"


       "อ้าว ก็เห็นนายหาที่นั่ง" รามทำหน้างง "หรือไม่ใช่"


       "มันก็ใช่อยู่หรอก" ชะเอมทำหน้างงกลับ เลิกคิ้วสูง "แล้วนายเรียกเราทำไมอะ"


       ได้ยินประโยคนั้นทำเอารามอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ



       "อุ๊บ! ฮ่าๆๆ ทะ โทษที เห็นหน้านิ่งๆ แบบนี้แต่ซื่อ(บื้อ)ชะมัด!" เพื่อนของรามที่เป็นผู้ชายตัวใหญ่ผิวสีแทนอยู่ๆ ก็ตบโต๊ะหัวเราะซะเสียงดังจนชะเอมสะดุ้ง โต๊ะรอบข้างหันมามองอย่างสนใจ


       "ไอ้ดิน เบาๆ สิวะ" เพื่อนอีกคนของรามพูด พร้อมกำปั้นใหญ่เขกลงบนศีรษะคนที่หัวเราะให้หุบปากเสียที ทำเอาหนุ่มผิวคล้ำหน้ามุ่ยร้องโอดโอยยกมือลูบหัวตำแหน่งที่เจ็บป้อยๆ
       

       ตอนนี้คนที่มองหันกลับไปทำกิจกรรมของตนเองแล้ว ชะเอมจึงดึงความสนใจมาที่รามเหมือนเดิม


       "ก็เราเห็นนายหาโต๊ะ เลยจะเรียกมานั่งด้วยกันไง" รามพูดไปงงไป ทำไมเขาต้องมานั่งอธิบายอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย "...หรือว่ารังเกียจ"


       ทำให้ร่างบางที่กำลังยืนงงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรีบส่ายหน้าจนผมสะบัด


       "ไม่เลยๆ" ดีเสียอีก ยังไงแถวนี้ก็ไม่มีโต๊ะว่างแล้วด้วย "...ถ้ายังไงขอรบกวนด้วยแล้วกันครับ" ชะเอมพูดพร้อมกับก้มหัวน้อยๆ ทักทายเพื่อนของรามที่นั่งอยู่ก่อนแล้วซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มทักทายกลับมา รามก็หย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามยิ้มยินดีเหมือนที่เขาไม่ปฏิเสธที่จะร่วมโต๊ะด้วย



       อันที่จริงชะเอมก็แอบรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่มีคนเรียกมานั่งด้วย แถมเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกัน


       ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเขาไม่เคยสนิทกับใครเป็นพิเศษ ไม่มีคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท ชีวิตนี้มีแค่ลุงเกษมกับ...คินมาตลอด จนกระทั่งเมื่อเช้าได้บังเอิญเจอกับเพื่อนใหม่อย่างราม แถมตอนนี้ยังมีเพื่อนของรามอีก


       "เอ่อ เอม" รามเกริ่นในขณะที่เห็นคนตรงหน้าหยิบถุงผ้าวางบนโต๊ะเรียกความสนใจให้ร่างบางหันมามองคู่สนทนา "เรื่องเมื่อเช้า...ขอโทษนะ"

       ใบหน้าขาวมองนิ่ง ทำให้รามยิ่งลนลานนึกว่าคนตรงหน้ายังโกรธอยู่



       "คือว่าเราชอบพูดอะไร เอ่อ...ไม่ค่อยเข้าหูคนอื่นเท่าไหร่ แต่เราไม่ได้คิดอะไรไม่ดีนะ! คือ...แบบ" พอเห็นท่าทางลำบากใจที่พยายามอธิบายแล้วชะเอมก็นึกออก พลันร้องขึ้นมาเหมือนนึกได้



       "อ๋อ...เรื่องเมื่อเช้า"



       "เอ๊ะ?" รามงง


       "ก็เรื่องเมื่อเช้าไง ที่รามบอก" ชะเอมเอ่ยเสียงเรียบ


       
       "เอ่อ ใช่" ยังงงอยู่



       "เราไม่ได้โกรธ ไม่ต้องขอโทษหรอก"


       "อ้าว แล้วเมื่อกี้ที่ทำหน้านิ่งๆ เราก็นึกว่า..."



       "อ๋อ นั่นเรากำลังนึกอยู่" ปากบางพูดแทรก มือหยิบกล่องข้าวขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วแกะฝา เหลือบตามองยังเห็นรามงง "เรากำลังนึกอยู่ว่ารามพูดเรื่องอะไรไง"


       รามยิ้มค้าง แต่เพื่อนอีกสองคนที่นั่งฟังแอบขำจนไหล่สั่น


       "อุ๊บ! หึหึ..."



       ทำไมเวลาคุยกับชะเอมแล้วรู้สึกเหมือนคุยกันคนละเรื่องยังไงชอบกล


       ดูนิ่งๆ เอ๋อๆ เบลอๆ บอกไม่ถูก


       "แสดงว่าไม่ได้โกรธ?" หนุ่มผิวเหลืองตาเรียวถามย้ำ



       "อื้ม ไม่ได้โกรธ" ชะเอมส่ายหน้าย้ำคำพูดว่าไม่ได้โกรธจริงๆ "ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่"



       รามมองหน้าขาวของชะเอม ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาเหมือนกับไม่ได้พูดเรื่องของตัวเองอยู่ ทุกครั้งที่พูดจะมีแต่ใบหน้านิ่งๆ ถ้าไม่รู้จักอาจจะถูกมองว่าเป็นคนหยิ่งๆ


       เขายังไม่เคยเห็นรอยยิ้มจริงๆ สักครั้ง


       "อันที่จริงเป็นเราต่างหากที่ต้องขอบคุณ สำหรับนี่" ชะเอมแบมือคืนสิ่งของชิ้นเล็กที่รามให้มาเมื่อเช้าก่อนแยกกัน "ขอบคุณอีกครั้งนะ ช่วยได้มากเลยล่ะ"



       "ไม่เป็นไร ชะเอมเก็บไว้เถอะ เราซื้อใหม่ก็ได้" รามยักไหล่ปฏิเสธ



       "ไม่ได้" คิ้วบางขมวดแน่น "เราต่างหากที่ต้องไปซื้อเอง อันนี้ของราม เราคืน"


       รามผงะเมื่อมือยื่นเข้ามาใกล้หน้า



       "แต่... " ใบหน้าคมลังเล แน่นอนว่าแพ้คนหัวดื้ออย่างชะเอม เพราะว่าเผลอสบตากับดวงตากลมที่จ้องมาอย่างไม่ลดละ ถึงจะไม่ได้เอ่ยปาก แต่แววตาก็เหมือนจะบอกว่า เอาสิ ถ้าไม่เอาคืน ก็จะยื่นมันอย่างนี้แหละ



       "ก็ได้ๆ" รามยอมแพ้ นิ้วเรียวหยิบยาดมหลอดเล็กบนมือบางหย่อนใส่กระเป๋ากางเกง "พอใจแล้วนะ"



       "อื้ม" ชะเอมพยักหน้าสีหน้าพอใจ



       ถึงใครๆ จะคิคว่าแค่ยาดมหลอดเดียวจะอะไรนักหนา ซื้อใหม่ก็แค่ไม่กี่บาท แต่ร่างบางรู้สึกติดค้าง ถ้ายืมมาก็ต้องคืน สิ่งนั้นเขาไม่ได้ซื้อมาเอง มันไม่ใช่ของๆ เขา



       และแน่นอนว่าถ้าไม่ได้รามช่วยไว้เมื่อเช้า เขาก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างปลอดภัยรึเปล่า



       "โอ้โฮ...มีข้าวกล่องด้วย" หนุ่มผิวคล้ำยื่นหน้ามามองกล่องข้าวสีทึบเหมือนกับเห็นของแปลกจนชะเอมที่ไม่คุ้นกับการกระทำถึงกับผงะ เจ้าตัวที่เห็นปฏิกิริยาถึงกับหัวเราะร่า "โทษทีๆ พอดีเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครเอาข้าวมากินน่ะ แหม เคยเห็นล่าสุดก็ตอนประถม"



       คำอธิบายที่ร่างบางยังไม่ทันได้ตอบอะไร ใครอีกคนที่นั่งข้างๆ เขาที่ก็พูดขึ้นมาก่อน



       "คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้จักกันเลย" ก่อนทำท่านึกแล้วยักไหล่ "แต่ยังไงพวกเราก็รู้จักนายอยู่แล้วล่ะนะ ฉันชื่อสิน ส่วนไอ้หมอนี่ชื่อดำ เรียนเอกเดียวกับราม ยินดีที่ได้รู้จักนะชะเอม" สินกล่าวยิ้มๆ พร้อมแนะนำหนุ่มคล้ำคนที่นั่งตรงข้ามตัวเองด้วย ทำเอาคนตัวใหญ่โบกหัวเพื่อนข้ามโต๊ะ




       ผัวะ!



       "ดำบ้านมึง!" ดินแยกเขี้ยวแหว "เอมอย่าไปฟังมัน กู...เอ่อ ระ เราชื่อดิน ยินดีที่ได้รู้จัก" คำสรรพนามที่เรียกตัวเองไม่คุ้นชิน อาจเพราะดูภายนอกแล้วชะเอมเป็นคนเรียบร้อยพูดเพราะทำให้ดินไม่กล้าที่จะพูดแบบที่เคยพูดกับเพื่อนคนอื่น
       

       "พูดเพราะกับเขาไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ได้ยินแล้วแสยงว่ะ" สินเยาะ



       "ไอ้เวรนี่!" มือใหญ่โบกหัวอีกรอบ แต่คราวนี้สินรู้ทัน หลบได้ ทำให้ดินคว้าได้แต่อากาศ ส่วนรามนั่งขำ



       "ไม่เป็นไรดิน พูดอย่างที่ถนัดก็ได้" ชะเอมพูดอย่างไม่คิดอะไร



       "เอมไม่ต้องถือสากับไอ้ดำนี่นะ ถึงปากมันจะไม่ดี...ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่แค่ปากไม่ดี แต่ก็เป็นคนดีใช้ได้" คำแนะนำของสินที่พูดไปหัวเราะไปทำดินเกือบกระโจนเข้าไปฟัดอีกรอบ ถ้าไม่ได้ยินประโยคหลังซะก่อน เลยได้แต่นั่งฮึดฮัด


       ร่างบางที่มองการกัด...เอ่อ เถียงกันของเพื่อนใหม่นามว่าสินและดิน (หรือจะเรียกว่าทะเลาะกันฝ่ายเดียวของดินก็ว่าได้) ทำเอาทั้งงงปนขำ


       "ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากตัวด้วยนะ"



       เสียงใสหัวเราะในลำคอ ทำให้ทั้งสามคนมองค้าง



       "อา ให้ตายเหอะ" รามคราง



       "เอม..." คราวนี้เป็นสิน



       "กูว่ากูเข้าใจแล้วว่ะ ที่ว่าชะเอมเป็นหนุ่มรูปงาม" และดิน


       ใครบ้างที่เห็นชะเอมหนุ่มหน้าหวานในยามนี้แล้วจะไม่ใจเต้น ผิวขาวผ่อง ริมฝีปากบางอมส้ม จมูกเล็ก ใบหน้ามนที่รับกับเส้นผมสีดำออกน้ำตาลเมื่อโดนแดดส่อง ขนตายาวเป็นแพ ตากลมโตดำเหมือนลูกกวาง ยิ่งวาววับไปด้วยประกายระยิบระยับทำให้ยิ่งมีเสน่ห์ ใครที่เผลอจ้องมองก็ทำเอาตกหลุ่มได้ง่ายๆ เลยทีเดียว


       และสามเกลอก็ตกหลุมเสน่ห์พราวที่ไม่รู้ตัวของชะเอมไปเรียบร้อยแล้ว



       คนโดนมองเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำบาป(?) พอเห็นว่าโดนจ้องก็ทำหน้าสงสัย กระพริบตาปริบ และยังกินข้าวต่อแบบไม่สนใจอีกด้วย ทำเอาทั้งสามหันมามองหน้ากันแล้วคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับความซื่อและบื้อของร่างบางเพื่อนใหม่ดี ก่อนถอนหายใจแยกย้ายหันมาสนใจจานข้าวของตัวเองบ้าง



       ผ่านไปสักพัก โต๊ะรอบข้างที่เคยจอแจก็เริ่มเบาบางลงเพราะลุกออกไปประปราย ชะเอมมองนาฬิกา ยังมีเวลาก่อนที่จะเข้าเรียนคาบบ่ายอีกหลายนาที ยังไงเขาก็ไม่มีธุระรีบไปไหน เลยเลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิม


       "ทำไมนายถึงเอาข้าวกล่องมากินล่ะ ซื้อไม่สะดวกกว่าเหรอ" สินถาม ทำให้คนที่ชอบเผือกอย่างดินพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งอันที่จริงรามก็แอบสงสัย

       

       เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยเห็นใครพกข้าวกล่องมากินกันหรอก ล่าสุดที่เคยเห็นก็ตอนเรียนประถม แต่ตอนนั้นพ่อแม่บางคนก็ไม่มีเวลาว่างทำกับข้าวให้ตังลูกมาซื้อข้าวกินเองกันแล้ว บางคนจะพกข้าวกล่องมาก็เขินอายเกินกว่าจะเปิดกินต่อสาธารณชน (ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะอายทำไม)



       "ก็...จะพูดยังไงดี" ชะเอมนึก ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน มือก็หยิบทิชชู่ที่พกมาเช็ดริมฝีปาก การกระทำที่เหมือนผู้ดีมีมารยาททำเอาดินที่ปกติจะทำตัวค่อนข้างไม่คิดมาก (สกปรก) กระพริบตาปริบ


       "พอดีเราทำข้าวเช้ากินเองอยู่แล้ว อืม...ก็เลยทำเผื่อตอนกลางวันด้วย มันประหยัดดี" ร่างบางบอก ทำให้ทั้งรามและสินร้องออพลางพยักหน้า ส่วนดินร้องโอ้โฮอย่างทึ่ง



       "จริงเหรอ สุดยอดเลยนะ ทำอาหารเป็นเนี่ย" สินว่า ผู้ชายที่ทำอาหารเป็นแถมกินได้(แบบไม่ตายซะก่อน) มีไม่มากนักหรอก ชะเอมยิ้มรับคำชม



       "ไม่หรอก"


       "ว่างๆ สอนบ้างดิ" ดินพยักหน้าเออออเห็นด้วยกับสิน แต่พอสินได้ยินดินพูดแบบนั้นก็ไม่วายแขวะ



       "คนอย่างมึงนี่นะ"



       "ทำไม คนอย่างกูจะทำไม" ดินหันขวับ



       "คนอย่างมึงก็แดกเป็นอย่างเดียวไง ริคิดจะทำอาหาร สงสารคนกินจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะท้องเสียท้องร่วง" คำสบประมาทของสินทำเอาดินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชะเอมมองหน้าทั้งสองเถียงสลับไปมาพร้อมกับเหงื่อตก



       "กูขอให้มึงแดกไง" คนผิวคล้ำย้อนเสียงสูง



       "ถึงขอให้แดกกูก็ไม่แดกหรอก"



       "พวกมึงทั้งสองคนหยุดเถียงเป็นเด็กอนุบาลกันสักทีได้มั้ยวะ เถียงแม่งทุกวัน ไม่เบื่อรึไง" รามทำหน้าเอือมพูดแทรกเพื่อห้ามศึก



       "ก็มึงดูมันพูด/ไม่เบื่อว่ะสนุกดี" ดินและสินพูดพร้อมกัน และหันขวับพร้อมจะฟัดกันอีกรอบ



       "พอๆๆ พอเลย" รามยื่นมือแยกสองคนออก "พวกมึงนี่นะ"



       ชะเอมนั่งมองการเถียงกันเหมือนชมละครตลก เขารู้ว่ารามที่ทำหน้าเหม็นเบื่อคอยห้ามทัพเพื่อนทั้งคู่ที่ตัวโตกว่าตัวเอง จริงๆ ก็ไม่ได้เบื่อหรอก ดูจากแววตาประกาย กับทั้งสินและดินที่เขาว่ากันว่ายิ่งทะเลาะกันยิ่งรักกัน ทั้งสามคนดูสนิทกันมาก



       "ถ้าดินอยากเรียน เราสอนให้ได้นะ" ชะเอมบอกเสียงใส ดินหันมามองชะเอมแล้วหันกลับไปมองสิน ยิ้มพลางยักคิ้วสองจึ้ก



       "รับรองว่ากินแล้วไม่ท้องร่วงแน่นอน" ชะเอมแซวยิ้มๆ เท่านั้นแหละสินหัวเราะใส่หน้าดินทันที คนตัวคล้ำโชว์นิ้วกลางกลับแทนคำด่า



       "แต่เราว่าเอมดูลูกคุณหนูจะตาย ไม่นึกว่าจะมานั่งทำอะไรกินเอง แถมบอกว่าประหยัดเนี่ย เหลือเชื่อเลยแฮะ" รามว่า
ชะเอมอึกอัก ที่เขาประหยัดเพราะไม่อยากรบกวนลุงเกษมต่างหาก ที่สำคัญเขาไม่เคยบอกใครเรื่องที่ว่าเป็นลูกกำพร้าที่พ่อของคิน ลุงเกษมเก็บมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม และให้ความเอาใจใส่ดูแลเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง เขาก็นับถือและให้ความเคารพลุงเกษมเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ เช่นกัน แต่ไม่กล้าเรียกว่า...พ่อ เพราะเขารู้มาตลอดว่าไม่มีสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ลุงเกษมเคยบอกว่าให้เรียก
และเพราะไม่มีความจำเป็นต้องไปป่าวประกาศให้ใครรู้เรื่องนี้ อันที่จริงเขากับคินก็ใช้นามสกุลเดียวกัน เพราะว่าไม่มีใครเคยถามหรือใส่ใจ จึงไม่มีใครรู้ว่าเขากับคินเกี่ยวข้องกันแบบไหนนอกจากจะเป็นคนที่เคยรักกัน



       ในมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาเป็นพันคน ใครจะมาใส่ใจกับชื่อและนามสกุลของคนสองคน และเขาก็ไม่มีเพื่อนในคณะเดียวกัน เอกเดียวกันด้วย เรื่องความเกี่ยวข้องของเขาและคินจึงยังเป็นความลับต่อไป



       "เพราะถ้าเราทำอาหารกินเอง สามารถเลือกวัตถุดิบทำเองได้ แล้วก็สะอาดกว่าด้วย" ร่างบางว่า ความเป็นเหตุเป็นผลทำให้ทั้งสามคนฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย



       "จะว่าไปก็จริงแฮะ" ดินพูดพึมพำ พลางนึกไปถึงสิ่งที่เห็นตอนชะโงกหน้ามองในข้าวกล่อง



       "ว่าแต่รามเรียนเอกอะไรนะ" ชะเอมพยายามเปลี่ยนเรื่องและก็ดูเหมือนจะได้ผล



       "พวกเราเรียนเอกญี่ปุ่น" สินเหลือบมองเห็นรามที่ตาโตเหมือนเพิ่งนึกได้กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ จึงตอบแทน



       "ทำไมถึงเลือกญี่ปุ่นล่ะ?" ชะเอมสงสัย ตามความคิดร่างบาง เขาชอบเรียนภาษา แล้วคิดว่าภาษาจีนเป็นภาษาที่สำคัญรองจากภาษาอังกฤษจึงเลือกเรียนเอกจีน เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่เขาได้อยู่แล้ว และสามารถเรียนด้วยตัวเองได้


       "ไม่รู้จะเรียนอะไรน่ะ" รามว่า



       "ชอบดูการ์ตูน" ดินยิ้มกว้างตอบอย่างภูมิใจ



       "พอดีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น เขาเลยอยากให้เรียนเอาไว้ เผื่อย้ายไปอยู่นู่นเลย" สินบอก ดูเป็นคนมีเหตุผลที่สุด
ร่างบางครางในลำคอรับ จะว่าไป ดูไปดูมาสินก็เหมือนลูกครึ่งญี่ปุ่นจริงๆ แต่คงเป็นครึ่งญี่ปุ่น ครึ่งยุโรปล่ะนะ เพราะสินตัวใหญ่กว่าดินอีก แล้วผิวก็ขาวมาก


       เป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งคุยกับเพื่อน รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แย่



       "เออ แล้วนั่นน่ะ ทำรึยัง" อยู่ๆ สินก็เอ่ยขึ้นมาไม่เป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำเอาคนทั้งโต๊ะงง



       "อะไร" ดินถาม เขากำลังดูดน้ำกับจานข้าวที่ว่างเปล่าวางอยู่ตรงหน้าที่กินเสร็จตั้งนานแล้ว ดินได้ฉายาว่าเป็นพวกกินเร็ว เขาว่าคนกินเร็วจะเคี้ยวข้าวไม่ละเอียดทำให้อ้วน แต่หนุ่มผิวคล้ำนอกจากจะไม่อ้วนแล้ว หนำซ้ำยังหุ่นดีมากแถมมีกล้ามพอให้เห็นว่าเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย


       "ก็การบ้านของวิลเลี่ยมไง ส่งวันนี้นะเว้ย" รามตอบให้



       "หะ!!!!!!!?" ดินร้องลั่น ชิบ-หาย!


       เสียงร้องของดินทำชะเอมสะดุ้ง


       "กูบอกมึงตั้งแต่เมื่อวานละนะ" สินถอนหายใจ แต่แววตาประกายขำ "มัวแต่เล่นเกม"



       "สิน...โธ่ มึง ...เวรละไง ส่งกี่โมงนะ ส่งกี่โมง" ดินถามร้อนรนลุกขึ้นเก็บจาน



       "ลอกกูไหม ให้ยืม แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ" สินยิ้มทั้งปากทั้งตา ดูลับลมคมในแต่ดินรู้ความหมายหน้าแดงระเรื่อ



       "ไอ้เวร...ไม่เอาเว้ย คนกำลังรีบ เล่นอยู่ได้" ดินหลบตาแต่สินเห็นว่าใบหูแดงก็อดหัวเราะหึๆ ไม่ได้ มือเรียวคว้าหยิบกระเป๋าพาดไหล่



       "รามกูไปก่อน เอมด้วย โทษทีนะ ไว้คราวหน้าเจอกัน" ดินพูดรัว แล้ววิ่งออกไป ไม่ทันมองรามที่พยักหน้า และร่างบางที่ยังเอ๋อๆ โบกมือน้อยๆ ลา



       "เดดไลน์บ่ายโมงครึ่งนะดิน!" สินตะโกนบอกดินที่ยังไปไม่ไกล



       "เออ!ขอบใจ!" ได้ยินเสียงตอบมาแว่วๆ สินก็หัวเราะในลำคอเบาๆ พอละสายตาจากแผ่นหลังที่ลับไปจากมุมตึก หันมาก็พบสายตาเจ้าเล่ห์ของราม



       "ฮันแน่" หนุ่มผิวเหลืองส่งเสียงแซว



       "อะไรของมึง"



       "ตีกันจนได้เรื่องนะพวกมึง ตอนไหนอะไร กูไม่เห็นรู้เลย" รามว่า "เฮ้อ ต่อไปคนที่โสดก็มีแค่กูนะสิ"



       "หึหึ" สินไม่พูดอะไร เพียงแต่หัวเราะ



       "ไอ้นี่" รามมองอย่างหมั่นไส้ "มีข่าวดีอะไรก็บอกกูด้วยละกัน"



       "เออ"



       สินเนี่ยเป็นพวกพูดน้อยกับเรื่องของตัวเอง...ใช่มั้ยนะ



       ชะเอมนั่งมองเงียบๆ ก่อนนึกอะไรขึ้นได้



       "วิลเลี่ยมนี่ชื่ออาจารย์ใช่ไหม" ร่างบางฉุกคิด "เอ๊ะ ว่าแต่อาจารย์คณะเรามีคนชื่อวิลเลี่ยมด้วยเหรอ"



       รามกับสินมองหน้ากัน ก่อนหัวเราะพรืด



       "ไม่ใช่ๆ นั่นน่ะฉายาอาจารย์เฉลิมพงษ์ต่างหาก" คนตอบคือสินที่พูดไปกลั้นขำไป



       "เอ๋" ชะเอมร้องเสียงสูง "แต่นั่นเขาเป็นอาจารย์นะ ไปตั้งฉายาเรียกห้วนๆ แบบนั้นได้ยังไง" ร่างบางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง สำหรับเขาอาจารย์ทุกคนเป็นผู้ให้ศาสตร์และความรู้ ต้องให้เกียรติและเคารพอย่างมาก เพราะเขาอาวุโสมากกว่า แถมอาจารย์เฉลิมพงษ์เขาก็อายุตั้งเกือบแปดสิบปีแล้ว ถือว่าเป็นอาจารย์ที่อาวุโสที่สุดในคณะอักษรศาสตร์เลย



       "ไม่เป็นไรเลย เราแค่คุยกันเล่นๆ 'จารย์แกไม่รู้สักหน่อย" สินมองสีหน้าเคร่งเครียดของร่างบาง เหมือนเป็นคนโดนตั้งฉายาเสียเอง



       "ใช่ๆ ก็แบบวิลเลี่ยม จากหัวเลี่ยมไง" รามหัวเราะร่า แล้วชี้ตรงศีรษะตัวเอง ทำให้พานนึกไปถึงอาจารย์เฉลิมพงษ์ ที่มีรูปร่างท้วมอุ้ยอ้าย เวลาเดินหน้าท้องจะยื่นนำหน้ามาก่อนเลย ส่วนที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นเส้นผมที่เบาบางจนเริ่มเห็นศีรษะเกลี้ยงเกลา



       วิลเลี่ยม...หัวเลี่ยม




       "จริงด้วยเนอะ" ชะเอมหลุดหัวเราะคิก ยิ้มตาปิด ทำให้คนมองอย่างรามและสินยิ้มตามได้ง่ายดาย



       "ใช่ไหมๆ" รามเท้าคางมองคนตรงหน้า เขาชอบที่ร่างบางมีรอยยิ้มที่สุด ไม่เคยเห็นคนยิ้มสวยขนาดนี้มาก่อน...คนอะไรยิ้มแล้วโลกสดใส


       "อ๊ะ แต่ว่ายังไงก็ไม่ดีนะ" ชะเอมหยุดหัวเราะ ยิ้มเขินๆ นี่เขาเพิ่งจะหัวเราะขบขันกับฉายาของอาจารย์ที่เคารพ ถึงอาจารย์จะไม่เห็นก็เถอะ "ห้ามเรียกแบบนั้นอีกเด็ดขาดเลย"



       "น่าๆ แค่เรียกกันเฉพาะพวกเรา" สินพูดไกล่เกลี่ยกับคนที่ท่าทางเอาจริงเอาจัง



       "เฉพาะ...เรา" ร่างบางนิ่งงันกับคำพูดที่ออกมาจากปากสิน




       รู้สึก...แปลกๆ




       "ใช่ เฉพาะพวกเรา"



       สายลมพัดใบไม้ปลิวไสว เส้นผมสีดำไหวไปตามแรงลมลู่กับใบหน้ามน ดวงตาดำกลมโตวาววับไปด้วยน้ำตาชั่วครู่แค่เพียงกระพริบตาทีก็หายไป



       ตลอดชีวิตนี้เขามีแค่ผู้มีพระคุณอย่างลุงเกษมที่เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆ กับคินที่เป็นทั้งพี่น้องและคนรัก เขาใช้ชีวิตมาโดยมีสองคนนี้อยู่เคียงข้างมาตลอด แม้แต่เพื่อนที่คุยได้อย่างสนิทสนม...ก็ไม่เคยมี




       รามเป็นเพื่อนคนแรก ที่เขาบังเอิญได้พบบนรถเมล์ เป็นเรื่องคาดไม่ถึงที่เขารู้สึกขอบคุณ จากนั้นได้พบเพื่อนอย่างสินและดินอีกด้วย...ที่มากไปกว่านั้นคือทั้งสามคนเป็นคนดี





       รามมองใบหน้ามนที่ประดับยิ้มเศร้าอีกแล้ว เขาคิดถูกแล้วที่ดึงชะเอมมาอยู่กับพวกเขา เขามั่นใจว่าเพื่อนอย่างสินและดินจะทำให้ร่างบางประดับด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขได้



       คนอย่างเอมไม่เหมาะกับรอยยิ้มเศร้าๆ หรอก




       "มาเอม ขอไลน์หน่อย" ชะเอมกระพริบตาปริบๆ มองมือที่แบตรงหน้า




       "ไลน์เหรอ"



       "อืม ส่งมือถือมาเดี๋ยวทำให้" รามกระดิกนิ้วเร่ง มือขาวเลยหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อคุ้นตาสีขาวเหมือนใหม่ออกมาสแกนนิ้วก่อนจัดแจงวางบนมือที่ยังแบอยู่


       "อ่ะ"


       รามกดที่แอพสีเขียว ก่อนเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นแถบกล่องบทสนทนาแค่สองแถบ แถบหนึ่งคือลุงเกษม ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร...และอีกแถบก็คือคิน



       เขาพอจะรู้(เพราะได้ยินจากข่าวลือ)ว่าชะเอมเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง เพราะในมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยเห็นอยู่กับใครนอกจากคิน แต่นึกไม่ถึงว่าในไลน์ แอพที่เอาไว้ติดต่อกับคนอื่นๆ อย่างสะดวกสบาย ชะเอมก็มีแค่สองคนที่ติดต่อ


       แล้วพ่อกับแม่ล่ะ?



       "ราม" เสียงเรียกของสิน ทำให้ความคิดของรามหยุดลง



       "เออๆ โทษที เหม่อนิดหน่อย" รามอดโคลงหัวระอากับความเสือกของตัวเองไม่ได้ กดจึ้กๆ แล้วส่องคิวอาร์โค้ดของเขาเข้าเครื่องชะเอม กดแอดแล้วส่งสติกเกอร์


       ไลน์! เสียงเตือนเข้าเครื่องรามทันที


       "เดี๋ยวเราลากชะเอมเข้ากลุ่มพวกเรานะ มีไอ้สินกับดินอยู่ด้วย"

       "อะ อื้ม" ชะเอมพยักหน้ารับมือถือไปดู พบว่ามีแจ้งเตือนเชิญชวนเข้ากลุ่ม กดตกลง

       chÄim เข้าร่วมกลุ่ม




       >>>ต่อรีพลายถัดไปค่ะ<<<
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 14-09-2018 21:13:31
      >>>ต่อจากข้างบนนะคะ<<<





       ตึ๊ง!


       :DiN : ใครวะ ชะเอมเหรอ 1:05PM


       RamĀ : เออ เพิ่งขอไลน์เมื่อกี้ 1:05PM



       :DiN : จริงงงดิ้ เออดีๆ คราวหน้าจะได้ชวนไปดูหนัง กูอยากดูเรื่องนี้พอดีเลย ที่ออกสัปดาห์หน้า ไปกันนะพวกมึง ชะเอมด้วย 1:06PM



       เสียงแจ้งเตือนทั้งสามดังขึ้นพร้อมกันเมื่อดินที่เพิ่งเผ่นไปหลายนาทีก่อนพิมพ์ลงไลน์กลุ่ม ซึ่งสินก็ควักมือถือออกมาดูบ้าง


       RamĀ : วันไหน กี่โมง 1:07PM



       NissiN : ว่าแต่นี่มึงทำงานเสร็จแล้วเหรอ 1:07PM



       :DiN : วันพุธดิ ต้องไปวันนี้ มันลดราคา 1:09PM




       :DiN : เออน่า ใกล้เสร็จแล้ว 1:09PM




       :DiN : กูไปทำต่อก็ได้ 1:09PM



       :DiN ส่งสติกเกอร์



       ทั้งสามคนก้มหน้ามองมือถือ ไม่มีใครพูดอะไรมีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของสินกับสติกเกอร์หน้าบึ้ง



       "เอมมีไลน์พวกเราแล้ว มีอะไรก็แชทเข้ามาได้นะ" รามเก็บมือถือ



       "ใช่ อ่านไลน์ด้วย ดินมันชอบหาเรื่องนู่นนี่มาคุยตลอดแหละ ถ้าไม่ตอบมันจะน้อยใจเอา" สินบอก แต่มือก็จิ้มโทรศัพท์ไม่หยุด ซึ่งชะเอมก็นึกภาพคนตัวล่ำซันอย่างดินน้อยใจไม่ออก



       ถ้าเป็นเรื่องของดิน สินมักจะพูดไปยิ้มขำไป ซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำนักหนา เหมือนเช่นตอนนี้


       "อื้ม โอเค" ชะเอมตอบรับ ยกดูนาฬิกาข้อมือ แล้วลุกขึ้น "งั้นเดี๋ยวเราขอไปก่อนนะ จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว"



       "โอเค งั้นพวกเราก็ไปหาไอ้ดินกันบ้างเหอะ" รามบอก รวบของบนโต๊ะ



       "งั้นไว้เจอกันเอม" สินพยักหน้า พร้อมรามที่ยิ้มให้



       "เจอกัน" ชะเอมยิ้มบางหันหลังเดินแยกไปอีกทาง









************************Whose fault? ************************








       "ไง เป็นอย่างที่กูบอกมั้ย" หลังเดินแยกับชะเอมมาแล้ว อยู่ๆ รามก็พูดขึ้นมา แต่ดูเหมือนสินจะเข้าใจ



       "อืม"



       รามเคยเล่าเรื่องของชะเอมให้ทั้งสินและดินฟัง จริงๆ พวกเขา ไม่สิ...คนทั้งมหาลัยก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับร่างบางมาบ้างไม่มากก็น้อย และแน่นอนเขาไม่สนใจหรอก ก็มันไม่ใช่เรื่องของเขานี่...



       แต่เมื่อเช้ารามมาเล่าเรื่องที่ได้คุยกับคนดังที่ว่าให้ฟัง ก็ทำให้อยากรู้จัก อยากลองคุย และความบังเอิญทำให้เราได้มานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน



       "นี่มึง...คงไม่ได้แอบชอบชะเอมหรอกใช่ไหม" สินถามแกมขำ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องน่าขำเลยแม้แต่นิด กับเรื่องของความรู้สึกคน



       "หืม" รามหันมามองตาโต "อะไรที่ทำให้มึงคิดแบบนั้น"



       "ก็มึงมองเขาตาค้างเชียว"



       ได้ยินดังนั้น รามนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เพื่อนพูดระเบิดหัวเราะ



       "ก็ตอนเอมเขายิ้ม มันน่ามองเสียขนาดนั้น หรือมึงว่าไม่" พอโดนรามถามกลับ สินก็อดเห็นด้วยไม่ได้ ตอนนั้นแม้แต่โต๊ะข้างๆ ยังแอบมองเลย



       "สิน..."



       รามหยุดเดิน ทำให้คนที่เดินนำอย่างสินต้องหยุด



       "กูไม่ได้ชอบเอม"



       "..."



       "ก็แค่รู้สึกว่าจะปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ ลางสังหรณ์กูมันบอกแบบนั้น" หนุ่มลูกครึ่งไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่พยักหน้า ถึงจะบอกว่า


       เรื่องของชะเอมที่ได้ยินมาไม่เกี่ยวกับเขาก็เถอะ แต่...



       "อืม เพราะยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว" สินพูด "มึงว่าไงกูก็ว่าตามนั้นแหละ"



       เพราะลางสังหรณ์ของรามมันก็แม่นดีซะด้วย



       "...ขอบใจว่ะ"



       ตึ๊ง!ตึ๊ง!



       พลันเสียงแจ้งเตือนดังขัดสนทนา



       :DiN : พวกมึงอยู่ไหน อาจารย์เข้าแล้ว รีบมาให้ไวเลย! 1:29PM



       :DiN ส่งสติกเกอร์



       "รีบไปเหอะ วิลเลี่ยมเข้าคลาสละ" สินว่าแล้วออกวิ่ง ทำให้รามที่ขาสั้นกว่าวิ่งตามไป



       "ชิบหายแล้ว อาจารย์แม่งเช็คชื่อตรงเวลาซะด้วย"


       ทั้งแววตา...และรอยยิ้ม
       

       ช่างแตกต่างกับข่าวลือว่าร้ายที่เขาว่ากันจริงๆ











       เรื่องมันยังไงกันแน่นะ








************************Whose fault? ************************



       สวัสดีค่า เจอกันอีกแล้ว กับชะเอมผู้น่ารัก ทั้งเอ๋อ และเป๋อ
       คือเอมมันเป็นเด็กน้อย เลี้ยงมาแบบยุงไม่ให้ไต่ ริ้นไรไม่ให้ตอม (?) จะพูดจะทำอะไรมันตามใครไม่ค่อยทัน โดนพ่อบุญธรรมโอ๋เอ๋ตลอด น่ารักน่าเอ็นดู
       ไม่มีคินที่รักแต่ก็มีมิตรภาพดีๆ จากราม สิน ดิน(บอกเลยคู่นี้มีซัมติง) นะจ๊า ไม่ตอนหน้าก็ตอนโน้น คินโผล่แน่นอน(มาพร้อมกับนังเรย์)
       มาเม้นให้กำลังใจชะเอมด้วยเน้อ


      เมื่อกี้เผลอไปตั้งกระทู้ใหม่เฉยเลย ลบไม่เป็นด้วย (ฮือ  :sad4: )
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 15-09-2018 07:10:53
 :L2:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
เริ่มหัวข้อโดย: Fengfang ที่ 15-09-2018 08:57:39
จะมีคนจริงใจมาจีบเอมไหมนะ เปลี่ยนพระเอกไปเลยจะได้รู้ว่าของมีค่าควรรักษาไว้
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
เริ่มหัวข้อโดย: cxerxx ที่ 15-09-2018 11:47:07
หน่วงจังค่ะ
*กอดชะเอม*
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 15-09-2018 12:35:39
กระทู้ใหม่ลบให้แล้วนะคะ
เวลาอัพนิยายให้เปลี่ยนหัวเรื่องด้วยว่าอัพตอนที่เท่าไหร่ วันที่เท่าไหร่ คนตามอ่านจะได้รู้
มีอะไรก็แจ้งโมฯได้ค่ะ มีหลายคน

โมฯเล้า
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 2 วันที่ 14/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 16-09-2018 20:08:31
ขอบคุณคุณโมที่มาเตือนค่ะ

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าอัพเดทหัวข้อยังไง

แต่ก็รู้เองเฉยเลยแบบงงๆ  :-[
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 2 วันที่ 14/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-09-2018 12:54:28
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 3 วันที่ 21/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 21-09-2018 21:56:08
                                                         

                                                             Whose Fault ?



                                                             ผิด...ครั้งที่ 3







          โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม











          'งี่เง่าชะมัด ยังคิดอยู่เหรอว่าที่คินเขาคบกับนายเพราะว่ารักน่ะ' ใบหน้าน่ารักยามนี้แสยะยิ้มร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ



          'นาย...กะ กำลังจะพูดอะไร' เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก



          'หึ จะบอกอะไรให้เอาบุญ ที่คินยังคบกับนายเพราะแค่ความรับผิดชอบ' ปากยิ้มหวานแต่ดวงตาฉายแววดูถูกเหยียดหยัน 'ไม่ใช่ความรัก'



          '...ไม่ใช่' ดวงหน้ามนซีดเผือดไร้สี สิ่งที่เคยคิดเมื่อได้ยินยิ่งตอกย้ำ



          'คินเป็นคนดี เขารับผิดชอบกับคำพูดของพ่อ ไม่ใช่เพราะอยากดูแลนาย ไม่ใช่เพราะรักนาย ชะเอม รู้ไว้ซะด้วย!!'



          'ไม่ใช่!'



          '...' คนตัวเล็กกว่าไม่พูดอะไรแต่แค่นเสียงอย่างสมเพชกับภาพที่เห็น



          'คนอย่างนายจะไปรู้อะไร!?'



          'ก็ฉันเป็นแฟนคิน' เรื่องที่ได้ยินยิ่งที่ให้ชะเอมนิ่งอึ้งหน้าชา 'มีเรื่องไหนที่ฉันไม่ควรรู้ล่ะ กับเรื่องของเด็กกำพร้า ไม่มีใครต้องการอย่างนาย เขาก็เป็นคนบอกเรื่องนี้กับฉันเองเลย'



          '...ไม่จริง...คินน่ะเหรอ...'



          ดวงหน้ามนส่ายไปมาช้าๆ อย่างไม่อยากเชื่อ ดวงตาเหม่อลอย หยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลอาบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ เรื่องที่สำคัญอย่างนั้น ไม่มีทางที่คินจะเล่าให้ใครฟัง...อย่างนั้นเหรอ แล้วคนตรงหน้าล่ะ รู้ได้ยังไง



          'สงสัยเขาคงอยากเลิกกับนายเต็มแก่แต่ไม่อยากบอกตรงๆ เพราะเห็นว่าโตมาด้วยกัน เขาก็เลยให้ฉันมาบอกเอง หึหึ เป็นไง ช็อคเลยสิ'



          ไม่อยาก...ฟังแล้ว



          'อ้อ แล้วก็อีกไม่นานคินเขาจะย้ายมาอยู่กับฉัน อยู่กับนายแล้วเขาต้องลำบากพาไปนู่นมานี่ แถมเรียนกันคนละคณะอีก ฉันไม่อยากให้คินเขาเหนื่อยมาก'



          ร่างบางไม่เคยรู้เลยว่าตอนที่คินจะอยู่กับเขา ต้องดูแล คอยไปรับไปส่งทุกวัน จะเหนื่อยหรือเปล่า...คินไม่เคยบ่น ไม่เคยบอก ไม่เคยว่าอะไรเลย เพราะคิดว่ารักกัน เรื่องอยากเอาใจใส่ก็เป็นเรื่องธรรมดา



          แต่กลับเล่าให้ฟังกับคนตรงหน้า กับคนที่เขานึกว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทของคิน...เรย์



          'ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ก็อย่ามาเกาะแกะเขาอีกเลยนะ สงสารคิน สงสารพ่อคินด้วย' คนตัวเล็กถอนใจ ส่ายหน้าน้อยๆเหมือนเห็นใจ ยื่นมาหวังจะไปตบไหล่แต่ก็โดนปัดมือออกมาซะก่อน ทำเอาเรย์ชะงักและเหยียดรอยยิ้ม 'อันที่จริงถ้าฉันเป็นพ่อคิน อาจจะคิดอยู่หน่อยๆ แหละว่าเมื่อไหร่กาฝากอย่างแกจะออกไปซะที' สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปทันที แต่ไม่ทำให้ชะเอมสนใจ แต่อีกประโชคต่างหากที่ทำให้เขานึกโมโห กำหมัดแน่น น้ำตาที่คลอเหือดแห้งไปแล้ว



          'หยุดพูดนะ ลุงเกษมไม่ใช่คนแบบนั้น!' ชะเอมตวาดดังลั่น แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ฟัง



          'ไปอ่อยอะไรไว้ล่ะ เขาถึงได้เลี้ยงดูแกต่อ หึ เอาคนลูกไม่พอยังจะไปเอาพ่ออีก น่าสมเพ...'





          เพียะ!





          ชะเอมสะบัดมือฟาดเข้าไปที่ใบหน้าอีกคนเต็มแรงไม่ยั้ง จะว่าอะไรเขาเขาไม่ว่า แต่มาดูถูกคนที่มีบุญคุณต่อเขาขนาดนี้ แถมมาด่าว่าเสียๆหายๆ เขายอมไม่ได้!



          การกระทำครั้งนี้เขาเพียงหวังแค่ให้อีกคนหยุดพูดว่าร้ายเท่านั้น แต่แล้ว...



          แกร๊ก



          เขาก็เห็นรอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้น



          เพล้ง!!



          'โอ๊ย! เอมทำอะไร เรย์เจ็บ ฮือ'



          'เกิดอะไรขึ้น!?'



          ชะเอมทั้งตกใจ ทั้งอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อจู่ๆ คนที่ยืนทะเลาะกับเขาเมื่อสักครู่ ปัดแจกันที่วางอยู่บนชั้นข้างๆ ลงมาจนแตกกระจายเต็มพื้น และล้มลงบนเศษแก้วชิ้นน้อยใหญ่ทำให้ได้เลือดออกมาทั้งขาและมือ ไหลรวมกับน้ำแจกันที่เจิ่งนองจนแยกไม่ออก



          ช่างประจวบเหมาะกับคินที่กลับออกมาจากไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างของคอนโด เห็นฉากที่ชวนเข้าใจผิดแบบนี้ ทำเอาร่างบางพูดไม่ออก



          'เรย์เป็นอะไรมากไหม...เอมทำแบบนี้ทำไม เรย์เขาทำอะไรให้เหรอถึงต้องทำกันรุนแรงแบบนี้' ไม่ผิดจากที่คิด เมื่อเห็นสภาพของเพื่อน...ของแฟนตัวเองบาดเจ็บ ก็หันมาตะคอกทันทีไม่คิดถามไถ่ น้ำเสียงช่างแตกต่างจากที่พูดกับอีกคน



          แววตาดุทำให้ชะเอมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี



          'เอมไม่ได้ทำนะคิน ก็เขา...' ร่างบางทำหน้าจะร้องไห้ พยายามจะอธิบาย ไม่เคยเห็นคินโกรธเขาขนาดนี้มาก่อน ยิ่งตอกย้ำเรื่องที่เรย์เป็นแฟนใหม่ของร่างสูงเข้าไปอีก ทำให้ใจชะเอมสั่นไหว



          คินคงอยากเลิกกับนายเต็มแก่แล้ว แต่ไม่อยากบอกตรงๆ





          ยังไม่ทันพูดจบก็โดนร่างเล็กที่ตอนนี้ร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมอกแกร่งก็ดึงความสนใจของคินไปซะก่อน



          'คิน เรย์เจ็บ เจ็บมากเลย' ร่างเล็กเอื้อมมือกอดคอซบไหล่กว้างร้องไห้พูดเสียงอู้อี้ ทำให้เลือดที่มือเปรอะเสื้อประปรายแต่คินก็ไม่ว่าอะไร กลับกระชับแขนอุ้มประคองขึ้น



          'ไม่เป็นไรนะเรย์' เสียงทุ้มอ่อนโยนกระซิบปลอบข้างหู ให้คนในอ้อมกอดเลิกขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังเจ็บแผล 'เดี๋ยวคินพาไปโรงพยาบาล แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หาย'



          ร่างสูงเดินหยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจรถขณะอุ้มอีกคนด้วยแขนข้างเดียว แสดงความแข็งแรงแต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน



          'เอมไปด้วย' เลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดทำให้ชะเอมนึกเป็นห่วง เลยอยากตามไปดูอาการด้วย แต่กลับต้องหน้าซีด เมื่อโดนปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเย็นชา



          'ไม่ต้อง'



          'แต่...'



          'อยู่ที่นี่แล้วเก็บห้องให้สะอาด กลับมาแล้วเราค่อยคุยกัน' ขายาวหันหลังเดินออกจากห้องไม่เหลียวมามองร่างบางที่ยืนนิ่ง ยิ่งได้เห็นแววตายิ้มเยาะฉายชัดออกมาจากคนที่คิดว่าบาดเจ็บสาหัสก่อนประตูจะปิดลง ยิ่งทำให้ชะเอมเข้าใจอะไรมากขึ้น



          เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของ 'มัน'



          'คิน...'



          ปัง!



          เสียงประตูที่ปิดลง และแผ่นหลังที่ซ้อนกันกับในอีกสามวันต่อมาที่คินหายไปและกลับเข้ามาเก็บของทั้งหมดออกไป ประกาศว่าจะย้ายออกซึ่งเป็นไปตามที่ใครบางคนบอกทุกอย่าง



          'เพราะมันใช่มั้ย!!'



          'ไม่ใช่...ไม่ใช่เพราะเขา ถ้าจะโทษใคร'





          แผ่นหลังที่เดินจากไป





          'ก็โทษตัวเอง'





          มือที่เอื้อมไปอีกนิด ห่างกันเพียงฝ่ามือกั้นจะคว้าเอาไว้ได้แล้ว แต่ก็ไม่ทัน



          พร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง



          ปัง!









          เฮือก!



          มือที่ชะงักค้างกลางอากาศ ตาเบิกโพลงพลันหรี่ลงเมื่อพบแสงที่สาดส่องลอดหน้าต่างยามเช้า ร่างบางลดมือลงและตั้งสติพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงที่คอนโด ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อะไรทั้งนั้น





          ...แค่ความฝัน





          เสียงหอบหายใจและเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งตัวทำให้เขาลุกขึ้นจากที่นอน ผ่อนลมหายใจให้แผ่วเบา ลูกอกพบหัวใจที่เต้นแรงรัวจนเจ็บ จากนั้นก็เสยผมที่ชุ่มเหงื่อลูบหน้าลูบตาแล้วลุกขึ้นหยิบของเตรียมอาบน้ำ



          ไม่แปลกเลยที่เขาจะฝันอะไรแบบนี้



          เพราะมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ที่ยังฝังใจ



          นับตั้งแต่เขาทะเลาะและ(ถูกเข้าใจว่า)ทำร้ายเรย์ คินพาเรย์ไปโรงพยาบาลทำแผล แต่ไม่กลับมาคุยกันอย่างที่บอก หายไปสามวันกลับมาอีกทีก็ทำหน้าตึงเย็นชาใส่เขา เก็บเสื้อผ้าแล้วออกไป



          แผ่นหลังที่เดินจากไป...ยังติดตา วันนั้นเขาร้องไห้อย่างหนัก



          ร่างบางสะบัดหัว ขณะยืนสระผมใต้ฝักบัวน้ำไหล อยู่เงียบๆ คนเดียวแล้วชอบคิดอะไรไม่เข้าท่า



          ชะเอมขยี้หัวแล้วชโลมด้วยน้ำชะล้างออก ฟองสบู่ไหลจากบนลงล่างไล้ตามสรีระผอมบางที่เห็นซี่โครงแต่ละซี่ชัดเจนเมื่อยกแขน



          เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางรีบไล้ตัวให้สบู่ออกให้หมดอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าไม่มีฟองแล้ว ก็คว้าผ้าขนหนูพันท่อนล่าง อีกผืนคล้องคอ รีบเดินออกไปไม่ทันระวัง เท้าที่กำลังเปียกลื่นทำให้ก้าวพลาดหงายท้อง



          แย่ล่ะ...!!



          ปั่ก! ตึง!



          ด้วยสัญชาตญาณ จึงรีบคว้าขอบอ่างล้างหน้าไว้แต่มือก็ดันเปียกลื่นจับไว้ไม่อยู่ทำให้ต้นแขนกระแทกเข้าที่คอห่านที่อยู่ข้างๆ อย่างจัง



          "โอ๊ย" ร่างบางหลุดปากครางซี้ดด้วยความเจ็บรวดร้าว ถึงจะดีที่ศีรษะไม่ได้กระแทกหรือได้รับความกระทบกระเทือนส่วนใดมาก แต่แค่ความเจ็บที่แขนก็ทำเอาน้ำตาเล็ด



          เพราะมัวแต่นั่งโอดโอย ตอนนี้เสียงโทรศัพท์จึงเงียบไปแล้ว ร่างบางสำรวจตัวเองก่อนค่อยๆ ใช้แขนซ้ายที่ไม่เจ็บพยุงตัวเองลุกขึ้น แขนขวาข้างถนัดยังหนึบๆ ชาๆ อยู่เลย



          ก้นก็เจ็บ โอย ให้ตายเถอะ ซุ่มซ่ามอะไรอย่างนี้ ชะเอมค่อนขอดตัวเองในใจ





          ชะเอมเดินไปกดปุ่มดูโทรศัพท์ พบว่ามีแถบสายที่ไม่ได้รับขึ้นชื่อว่าพระราม และ ไลน์กลุ่มซึ่งแน่นอนว่ามีแค่กลุ่มเดียวที่เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งดึงเขาเข้าไปร่วม แน่นอนว่าก็เป็นข้อความที่รามเพิ่งส่งมา เขาจึงรู้ว่ารามจะโทรหาเขาแต่เขาไม่ได้รับสาย จึงส่งข้อความมาทางไลน์นั่นเอง



          RamĀ : เอม พรุ่งนี้มีธุระไปไหนรึเปล่า ไปห้างกันเหอะ **@**chÄim



          chÄim : ไม่ได้ไปไหนนะ พรุ่งนี้เราว่าง



          RamĀ : โอเค งั้นพรุ่งนี้สิบโมงเจอกันที่ห้างแถว XYZ มาเป็นใช่มั้ย



          chÄim : อื้ม



          chÄim : นี่รามมีเบอร์เราด้วยเหรอ



          RamĀ : อ้อ นั่นเหรอ ก็ตอนที่แอดไลน์ เราใช้เครื่องนายโทรเข้าเครื่องเราเองแหละ ถือโอกาสบันทึกเบอร์ให้ด้วยเลย โทษทีๆ



          RamĀ : ก็คิดว่ามีเบอร์ติดต่อไว้มันสะดวกกว่าน่ะ





          ชะเอมพยักหน้าน้อยๆ เห็นด้วย เพราะปกติเวลาเขามีธุระอะไรจะโทรตลอด เลยไม่ค่อยได้ใช้งานเจ้าแอพสีเขียวนี้เท่าไหร่ เพราะหนึ่งเลยคือสะดวกกว่า และสองรวดเร็วกว่าด้วย โดยเฉพาะเวลามีธุระเร่งด่วน





          ร่างบางโยนมือถือลงบนเตียงนุ่ม แต่ก็หยิบขึ้นมาใหม่เพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมถามอะไรไปบางอย่าง





          chÄim : ว่าแต่จะไปทำอะไรกันเหรอ





          แต่รอแล้วรอเล่ายังไม่มีคนอ่านข้อความจึงโยนมือถือไว้เช่นเดิม เดินไปเปิดประตูหยิบเสื้อผ้า พอเหลือบเห็นรอยช้ำสีแดงม่วงที่ต้นแขนเป็นวงกว้างผ่านกระจก นี่เขาลืมไปได้ไงว่าเขาเพิ่งกระแทกกับชักโครกอย่างแรง พอไม่รู้ว่ามีแผลก็ไม่รู้สึกเจ็บแต่พอเห็นปั๊บก็เจ็บปุ๊บทำเอาต้องร้องซี้ด



          ชะเอมหยิบเสื้อโปโลมาใส่ แขนเสื้อสั้นทำให้เห็นรอยช้ำแดงน่าเกลียด จึงถอดออก ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวแทน รอยช้ำนี้ทำให้ยิ่งเป็นอุปสรรคกับการยกแขนขึ้นลง ทำให้การใส่และถอดเสื้อเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะความเจ็บปวด



          สงสัยช่วงนี้คงต้องใส่เสื้อเชิ้ตไปก่อนน่าจะดีกว่า...





          ตึ๊ง



          NissiN : เอมลืมรึเปล่าว่ามะรืนนี้ต้องไปค่ายปลูกป่าของมหาลัยแล้วนะ พรุ่งนี้พวกเราสามคนเลยนัดกันไปซื้อของจำเป็นกันไง



          chÄim : อ๋อ จริงด้วย



          chÄim : โอเค งั้นไว้เจอกันวันพรุ่งนี้นะ



          :DiN : เห้ยๆๆ ว่าแต่ไอ้ราม นี่มึงมีเบอร์ของชะเอมได้ไงวะ อะไรๆ กูไม่ยอมนะเว้ย @Ram****Ā





          ชะเอมหลุดหัวเราะกับข้อความของดิน พอเห็นรามไม่ตอบ มือขาวก็กดโทรศัพท์จึ้กๆ ตอบแทน





          chÄim : ไม่เป็นไรดิน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเอาเบอร์เราก็ได้นะ :)



          chÄim : แต่ต้องแลกกับเบอร์ดินนะ เราแลกเบอร์กัน



          :DiN : โคตรโอเคเลยค้าบ นางฟ้าใจดีของดิน





          หลังจากนั้นก็มีการเถียงกันระหว่างสินกับดิน(อีกแล้ว) ถึงจะงงๆ กับนางฟ้าใจดีแต่ชะเอมก็ไม่ได้ติดใจอะไรปล่อยให้ทั้งสอนคนทะเลาะกันในข้อความต่อไป



          ตั้งแต่วันนั้นที่ได้กินข้าวด้วยกันกับทั้งสามคน เขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่เพราะยังไงก็เรียนกันคนละเอก ถึงจะคณะเดียวกันก็เถอะ แถมปีสามแล้วด้วยเลยไม่มีวิชาเรียนที่เหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่ตอนปีหนึ่งก็มีบางวิชาที่ต้องเรียนพื้นฐานรวมกับเอกอื่นแท้ๆ



          ชะเอมส่องกระจก จับหน้าลูบผม จัดแต่งเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสแลคสีดำไซส์เล็กสุดในตู้ที่เคยใส่พอดีบัดนี้มันหลวมโพรกจนต้องหาเข็มขัดมาใส่ อันที่จริงไม่ใช่แค่กางเกงที่หลวม เสื้อก็ด้วย



          เพราะช่วงนี้มีหลายๆ เรื่องประดังประเดเข้ามา ทำให้ทั้งเครียดและนอนน้อยกว่าเดิม น้ำหนักจะลดก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ได้เพราะปัญหาที่จะตามมานี่สิ...ยุ่งยาก



          มือจับเอวอย่างสำรวจแล้วใบหน้านิ่วคิ้วขมวด

          ไม่ได้การละ เขาต้องขุนน้ำหนักตัวเองให้ขึ้นมากกว่านี้อีกซักหน่อย





          เมื่อเห็นว่าใบหน้ากับผมเป็นทรงเรียบร้อยดีแล้ว ก็ใส่ถุงเท้าหยิบกระเป๋าเงินเปิดดูว่าไม่ลืมคีย์การ์ดจึงใส่รองเท้าหนังมันเงาดูดี กวาดตาสำรวจห้องก่อนเดินออกมา



          "อ้าว คุณชะเอม โอ้โห วันนี้แต่งตัวหล่อมากเลย จะออกไปธุระที่ไหนเหรอครับ" ยามที่คอยเปิดประตูกระจกให้คนเดินเข้าออกทักทายร่างบาง



          "สวัสดีครับลุงธรรม วันนี้จะออกไปทานข้าวกับคุณลุงครับ แล้วลุงทานข้าวรึยังครับ" ลุงยามนามว่าธรรมมองดูการกระทำอ่อนน้อมของคนหนุ่ม น้อยคนที่เกิดมาบนกองเงินกองทองแล้วยังรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ นอกจากจะให้ความเคารพแล้วชะเอมยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ไม่ถือตัวให้กับคนรอบข้างแม้คนๆ นั้นจะทำงานเป็นยาม ตำแหน่งอันต่ำต้อย ด้วยการถามไถ่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วชื่นอกชื่นใจคนแก่อย่างเขาเป็นอย่างมาก



          ถ้ามีลูกแบบชะเอมคงทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย



          งามทั้งภายนอกและภายในจริงจริ๊ง



          "อู๊ย ทานเสร็จตั้งแต่เช้าแล้ว กับข้าวเมียลุงนะอร่อยอย่าบอกใคร" ลุงยามว่าแล้วลูบปาก ท่าทางนั้นทำให้ชะเอมหัวเราะเสียงใส เชื่อแล้วล่ะว่าอร่อยจริงๆ



          "ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าลุงต้องเอาอาหารฝีมือภรรยาลุงมาฝากเอมบ้างแล้วล่ะ โทษฐานทำให้เอมอยากกิน" เสียงทุ้มใสเอ่ยแซวๆ แต่ลุงธรรมพยักหน้าอย่างเต็มใจ แต่แล้วกลับชะงักลังเล



          "ถ้าเป็นคุณชะเอมล่ะก็ได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าจะดีหรือ คุณชะเอมไม่เหมือนพวกเราๆ ถ้าทานแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ลุงมิต้องเสียหายหลายล้านหรอกหรือไปทำร้ายลูกเต้าเค้า" ลุงธรรมว่าอย่างลำบากใจ เขาน่ะมั่นใจในฝีมือเมียตัวเองแน่ๆ ล่ะ แต่คนรวยกับคนจนท้องไม่เหมือนกัน กินเข้าไปแล้วท้องเสียเขาจะทำยังไง แค่ลำพังงานที่ทำอยู่ ชดใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดแน่



          ชะเอมหัวเราะเสียงดัง แต่ยังคงกิริยาที่น่ารัก น่าเอ็นดูให้กับคนเดินผ่านไปมา



          "โธ่ ลุงธรรมครับ ผมก็เป็นคนเหมือนกับลุง เหมือนกับภรรยาลุงนั่นแหละ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ถ้ายังไงภรรยาลุงสะดวกก็ฝากผมได้นะ ผมอยากกิน"





          ธรรมไม่โกรธสักนิดที่คนรุ่นอายุน้อยกว่าเขาตั้งหลายรอบหัวเราะใส่ เขารู้ว่าคนหนุ่มอย่างชะเอม ทั้งกิริยาใสซื่อ อ่อนโยนและมีความเอาใจใส่คน ไม่มีทางหัวเราะเยาะอย่างดูถูกแน่



          ธรรมพยักหน้ารัว "ได้ครับได้ เอ๊ะว่าแต่คุณชะเอมจะไปทานข้าว ไปยังไงครับ"



          "เดี๋ยวผมนั่งแทกซี่ไปน่ะครับ"



          "อ้าว แล้วคุณคินล่ะครับ" ธรรมทำหน้างงปนสงสัย อย่าถามว่ารู้จักได้ยังไง ยามอย่างเขาทำงานที่นี่มานานก่อนคินและเอมจะย้ายเข้ามาอยู่เสียอีก คนเข้านอกออกในทั้งเก่าและใหม่เขาต้องจำได้และต้องรู้จักทั้งหมด



          "คินเค้า...ไปค้างหอเพื่อนทำงานกลุ่ม แล้วก็เอารถไปด้วยน่ะครับ ช่วงนี้เลยต้องเดินทางแบบนี้ไปก่อน" ชะเอมตอบเท่านี้เพื่อไม่อยากต่อบท ซึ่งดูเหมือนธรรมจะเข้าใจ



          "ไม่เห็นยากเลย ให้คุณเกษมออกรถใหม่ให้สิครับ ลุงว่าเดินทางแบบนี้ลำบากออก" ธรรมเอ่ยด้วยความเป็นห่วง แต่ชะเอมส่ายหน้า



          "ไม่ดีกว่าครับลุงธรรม เอมขับรถไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่ รถคันนึงก็ราคาแพง เอมไม่อยากรบกวนคุณลุง" ชะเอมยิ้มบาง พอนึกขึ้นได้ว่าต้องไปไหนต่อก็เอ่ยลา "ถ้างั้นผมคงต้องขอตัวก่อน คุยกับลุงธรรมซะนานเลย ผมก็ไปก่อนนะครับ" ชะเอมมองนาฬิกาข้อมือแล้วรีบเดินออกไป ธรรมพยักหน้าเข้าใจและเปิดประตูให้ตามหน้าที่



          "เชิญครับเชิญ เดินทางปลอดภัยนะครับคุณชะเอม" ธรรมมองตามแผ่นหลังเล็กบางขึ้นรถแทกซี่ไป ก็ถอนใจ

          รบกวนอะไรกัน คุณเกษมน่ะ ประธานบริษัทใหญ่ระดับร้อยล้านเลยนะ









          ************************Whose fault? ************************







          ชะเอมโชคดีเป็นลูกหลานเศรษฐี ใครๆ ต่างก็พูดแบบนี้ ทั้งๆ ที่มันไม่จริงเลย



          เขาน่ะแต่เดิมฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้าไม่มีลุงเกษมเขาก็ไม่มีอะไรเลย ทุกวันนี้ก็เหมือนกาฝากอย่างที่เรย์เคยปรามาสไว้ เขาอยากเรียนจบเร็วๆ เพื่อจะทำงานหาเงิน ถ้าเป็นไปได้ก็จะคืนสิ่งที่ได้มาจากลุงเกษมทั้งหมด ถึงจะคิดไว้ว่า แม้ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คืนให้ไม่หมดก็เถอะ



          อยากทำเท่าที่ทำได้



          ร่างผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวหลวมโพรก เดินอยู่ในห้างที่เพิ่งมาถึง จุดนัดพบคือร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่ลุงเกษมชอบทาน ชะเอมเดินผ่านร้านรวงต่างๆ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นป้ายประกาศบางอย่างที่ติดอยู่หน้าร้านอาหาร





          ‘รับสมัครพนักงานเสิร์ฟ 2 ตำแหน่ง และ พนักงานทำความสะอาด 1 ตำแหน่ง

          เบอร์ติดต่อ 09X-XXXXXXX หรือติดต่อโดยตรงได้ที่หน้าร้าน

          ต้องการด่วน ภายในวันที่ X เดือน XX’





          ชะเอมตาเป็นประกาย



          นี่แหละ!!



          ตอนเรียนก็เรียนไป ส่วนเวลาว่างทำงานพิเศษหาเงินเก็บไปเรื่อยๆ เท่านี้ก็ไม่ต้องรอจนเรียนจบก็ได้ ระหว่างนี้เขาก็หารายได้ได้แล้ว



          แต่เนื่องจากเวลาใกล้นัดเต็มที ร่างบางจึงควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปป้ายประกาศนั้นไว้ แล้วค่อยติดต่อมาทีหลังก็ได้ ร่างบางยิ้มกว้างดีใจเหมือนเด็กๆ เดินมาจนถึงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่นัดไว้ไม่รู้ตัว



          "ยินดีต้อนรับค่าคุณลูกค้า มากี่ท่านคะ" พนักงานต้อนรับเมื่อเห็นร่างบางแต่งกายดูดีก็รีบเข้ามาพูดตามหน้าที่อย่างร่าเริงสดใส ชะเอมก็ยิ้มรับ



          "พอดีว่าจองโต๊ะไว้น่ะครับ ในชื่อคุณเกษมศักดิ์"



          "อ๋อได้เลยค่ะ สักครู่นะคะ" พนักงานหญิงเอ่ยก่อนกดบนหน้าจอบางอย่างที่เธอถือติดตัวเอาไว้ก่อนจะผายมือ "โต๊ะคุณเกษมศักดิ์นะคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ"






            >>>>>>>ต่อรีพลายถัดไปค่ะ<<<<<<<



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 3 วันที่ 21/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 21-09-2018 21:57:27
           

             >>>>>>ต่อจากด้านบนนะคะ<<<<<<<




          ร่างบางก้าวตามพนักงานหญิงที่นำทางเข้าไปในร้านค่อนข้างเกือบสุด ค่อนข้างเงียบเพราะไม่ค่อยมีคนนั่ง เป็นที่โปรดของลุงเกษมเลย ชะเอมเอ่ยขอบคุณพนักงานหญิงคนนั้นก่อนเธอเดินไปบริการลูกค้าคนอื่น



          "อ้าว คุณลุง สวัสดีครับ" ด้วยความที่ร้านนี้ทำที่นั่งให้ที่พิงหลังสูงเหนือศีรษะ ทำให้ชะเอมเพิ่งสังเกตว่ามีใครมาก่อนแล้ว ก็คือลุงเกษมนั่นเอง ร่างบางจึงไหว้อย่างอ่อนน้อมเมื่อเจอคนที่อาวุโสกว่า



          "อ้าวชะเอม มาแล้วเหรอ มาลูก มานั่งข้างลุงนี่" เกษมพยักหน้ารับไหว้พร้อมตบที่นั่งข้างตัว ชะเอมก็หย่อนตัวลงนั่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ



          "มาเร็วจังครับ"



          ทั้งๆ ที่เป็นวันธรรมดา แต่ประธานบริษัทอย่างเกษมศักดิ์ก็ยังปลีกตัวมาเพื่อหาเวลาทานข้าวกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แน่นอนว่าเลขาของเกษมศักดิ์ต้องเป็นคนจัดเวลาให้ หลังเสร็จจากตรงนี้อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปที่บริษัททำงานต่อแล้ว ดังนั้นการแต่งกายของเขาในยามนี้ช่างดูภูมิฐาน แม้จะล่วงเลยไปอายุเกือบจะห้าสิบก็ยังดูหล่อเหลาเหมือนสมัยหนุ่ม กิริยาท่าทางทำให้คนรอบด้านก้มหัวเคารพด้วยความเต็มใจ แต่อยู่กับครอบครัวแล้วจะเปลี่ยนไปอีกคนเลยทีเดียว



          "ก็ลุงคิดถึง ไม่รู้ใครแถวนี้คิดถึงลุงบ้างรึเปล่า"



          "โธ่ คิดถึงสิครับ คิดถึงมาก" ชะเอมลากเสียงยาว เมื่อเห็นคนแก่ขี้น้อยใจบ่นอุบอิบ



          "ไหน คิดถึงก็มาให้ลุงกอดหน่อยเร็ว" เกษมไม่ทันให้อีกคนอนุญาตก็คว้าคนข้างๆ มากอดแนบอกแน่น กดจมูกลงบนกลางกระหม่อมด้วยความคิดถึงและความรักใคร่เอ็นดู ร่างบางหัวเราะคิกคักเอื้อมมือกอดตอบพร้อมกดจมูกเล็กสูดกลิ่นกายหอมๆ จากคนตัวใหญ่กว่า





          เฮ้อ เด็กคนนี้นี่น้า จะโตยังไงก็น่ารักอยู่ดี





          "ทำไมผอมแบบนี้เอม นี่ผอมลงใช่ไหม กินข้าวบ้างรึเปล่าหือ" มือใหญ่ลูบสำรวจผ่านทั้งเอว และหลัง นี่ผอมจนกระดูกสันหลังโผล่เป็นลูกๆ เลย



          "โอ๊ย! เจ็บ..." ร่างบางสะดุ้งเมื่อลุงเกษมจับเข้าที่ต้นแขน และดันเป็นข้างที่เจ็บอยู่ซะด้วย ถึงจะจับไม่แรงแต่ก็สะเทือนกับแผลจนต้องร้องออกมา



          "เป็นอะไร ชะเอม" เกษมขมวดคิ้ว เสียงเข้ม เจอเสียงดุแบบนี้ร่างบางเลยจำใจตอบ



          "เอ่อ คือ เมื่อเช้าเอมซุ่มซ่ามนิดหน่อยก็เลย..." ชะเอมตอบเสียงอ่อย ไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาโดนอะไรมา เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง



          "ไปทำอะไรมา ไหนลุงขอดูแผล" คนแก่กว่าเอ่ย



          "ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย คุณลุงมารอนานแล้ว น่าจะหิว สั่งอะไรไปรึยังครับ เดี๋ยวเอมเรียกพนักงานให้นะ" ชะเอมพูดรัวเร็วรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วรีบยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟแถวๆ นั้นโดยลืมตัวใช้ข้างขวาข้างถนัดที่เจ็บไม่ทันไรก็ต้องร้องอูยเบาๆ จึงต้องเปลี่ยนเป็นแขนซ้ายแทน แน่นอนว่าทุกการกระทำไม่รอดพ้นตาคมเหมือนเหยี่ยวที่ผ่านชีวิตมากว่าสามสิบปีในวงการธุรกิจ



          ท่าทางลนลานนั้นมีหรือคนที่เลี้ยงมากับมืออย่างเกษมจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าไง



          ถึงชะเอมจะหัวดื้อ หรือขี้อ้อนยังไงแต่เรื่องนี้เกษมศักดิ์ไม่ยอมอ่อนให้แน่นอน



          "เอม..." เสียงเข้มเอ่ยเรียก แต่ร่างบางกวาดตามองหาพนักงาน ทำเป็นไม่ได้ยิน แต่แอบเหงื่อตก



          "เอม ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ไม่ระมัดระวัง ไม่ยอมดูแลตัวเอง ไม่ให้ลุงดูว่าเป็นอะไร ลุงจะให้เรากลับไปอยู่ที่บ้านกับลุง แล้วก็..." ไม่ต้องรอให้พูดจบ ชะเอมหันขวับทันทีที่ได้ยินว่ากลับไปอยู่บ้าน



          "โธ่ ลุงเกษม...เอมไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ นะครับ" ใบหน้ามนมุ่ย ปากบางขมุบขมิบบอก



          "ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่บอกก็ให้ลุงดูแผลสิ"



          "...เอมไม่อยากให้คุณลุงเป็นห่วง"



          "ลุงรู้ ลุงเลี้ยงเอมมากับมือ ไม่รู้หรือว่าคิดอะไรลุงรู้หมดน่ะ" มือใหญ่วางบนหัวเล็กโยกไปโยกมาเหมือนปลอบใจกับหน้าบึ้งๆ "แล้วเอมก็รู้ว่าทำไมลุงถึงต้องเป็นห่วง เอมร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นไม่คาดคิดขึ้นมา เอมนึกถึงลุงบ้างมั้ยว่าลุงจะเป็นห่วงมากยิ่งกว่านี้ แค่เห็นรอยนี่ลุงก็จะอกแตกตายอยู่แล้ว"



          ชะเอมน้ำตาคลอกับความเป็นห่วงและความอ่อนโยนที่ได้รับ แต่ก็ได้นิ้วโป้งใหญ่ของเกษมปาดทิ้งก่อนไหลลงมาจนแพขนตาชุ่ม



          "เอมขอโทษ" ร่างบางประกบมือไหว้แนบอก ท่าทางนั้นทำให้เกษมศักดิ์ยิ้ม ก่อนรวบคนตัวเล็กมากอดปลอบลูบหัว เขาทั้งรักและเอ็นดูคนตรงหน้ามากจริงๆ อีกทั้งยังเป็นห่วงมากจนไม่อยากให้อยู่ห่างสายตา ที่ให้ไปอยู่ข้างนอกเพราะเจ้าคินไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยหรอกนะ ถึงจะจำได้ว่ากว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็เกือบบ้านแตกก็เถอะ



          เกษมศักดิ์รู้ดีว่าชะเอมยังคิดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของตน แม้ทางการจะเป็นลูกบุญธรรมอย่างถูกกฎหมาย ใช้นามสกุลเดียวกัน ยังคิดและสำเหนียกตนอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใคร เกษมศักดิ์ไม่ว่าที่ชะเอมจะคิดหาเงินมาคืนทั้งๆ ที่เขาคิดว่าไม่จำเป็นเลยสักนิดเพราะที่ให้ทั้งหมดกับเด็กคนนี้เป็นสิ่งที่ให้ด้วยความเต็มใจ และอีกอย่างมันก็ไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับสมบัติทั้งหมดที่ครอบครัวของเกษมศักดิ์มี มีครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าถ้าจะตอบแทนพระคุณล่ะก็เรียกเขาว่าพ่อดีกว่า แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น...





          ‘ไม่...ไม่ได้หรอกครับ มันมากเกินไป แค่ที่ผมได้รับนี่ก็มากพอแล้ว อีกอย่าง...ผมไม่มีสิทธิ์จะเรียกแบบนั้นหรอกครับ’





          นั่นทำให้เขารู้ทันทีว่าชะเอมคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน



          ถึงเขาจะอายุปูนนี้แล้ว แต่เกษมยอมรับว่าเขากลัว...กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชะเอม เด็กที่มีแต่ความอ่อนโยนคนนี้ตีตัวออกห่างจากครอบครัวเขาไป และนั่นเขาไม่ยอมแน่ เด็กคนนี้เป็นลูกของเขา ลูกแท้ๆ ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับสิทธิ์นั้น แต่เขายัดเยียดให้ตั้งแต่รับเด็กนั่นมาเลี้ยงแล้ว



          ทั้งที่อยากจะให้เอาแต่ใจกับเขามากกว่านี้แท้ๆ



          "งั้นมา เปิดแผลให้ลุงดูหน่อย" เกษมดันร่างกว่าเขาออก แกะกระดุมตรงข้อมือของแขนเสื้อเชิ้ตแล้วค่อยๆ ถกขึ้น ด้วยความที่เสื้อมันหลวมจึงสามารถดึงขึ้นได้จนเห็นแผลช้ำแดงม่วงแถมมีสีคล้ำน่ากลัวเป็นวงกว้างกินบริเวณตั้งแต่ข้อศอกยาวจนเกือบถึงรักแร้ มันชัดเจนมากกว่าตอนดูในกระจกเมื่อเช้าเสียอีก





          ชะเอมดูรอยช้ำของตัวเองแล้วแอบกลืนน้ำลาย ไม่เท่าใบหน้าคมของเกษมที่บัดนี้ขมึงเครียด แผ่รังสีน่ากลัว ถ้าเป็นการ์ตูนคงมีไอสีดำลอยปกคลุม





          "เอมไปหาหมอมารึยัง รอยช้ำแบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วนะ" ไม่ใช่แค่หน้าแต่เสียงก็เครียดด้วย มือใหญ่ยังคงสำรวจพร้อมแตะแขนเบาๆ กลัวว่าจะกระทบกระเทือน มิน่าล่ะเมื่อกี้ถึงได้ร้องโอดโอยนัก



          "คือ เพิ่งลื่นล้มเมื่อเช้าก็เลยยังไมได้ไปครับ แค่กระแทกเองครับ แบบนี้สักอาทิตย์หนึ่งก็คงหาย" เสียงใสเอ่ยไกล่เกลี่ย



          "ถ้าเป็นคนอื่นลุงก็จะเห็นด้วยนะ แต่นี่ลุงแค่จับเบาๆ ยังสะดุ้งเลย เจ็บมากล่ะสิ" เกษมเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวลเจือความเป็นห่วง ก่อนปล่อยแขนให้เด็กน้อยของเขาดึงแขนเสื้อลงเหมือนเดิม "หลังทานข้าวเสร็จไปหาหมอกับลุง จะได้ตรวจอย่างอื่นไปด้วยเลย"



          ชะเอมกัดริมฝีปาก คราวนี้เขาค้านอะไรไม่ได้ จึงต้องพยักหน้าและตอบรับอย่างจำใจ



          "ลุงว่า...เอมมาอยู่ที่บ้านกับลุงเถอะ มีคนดูแลทั่วถึง จะไปไหนมาไหนก็มีคนรับส่ง" อีกสักพักหนึ่งที่กว่าพนักงานเสิร์ฟจะมารับออเดอร์ คนวัยทองแต่งตัวดูดีมีภูมิฐานอย่างเกษมศักดิ์นั่งเท้าคางมองเด็กหนุ่มใบหน้าขาวใสด้านข้าง ผิวหน้าเนียนเด้งอย่างกับเด็กๆ



          พอนึกถึงรอยช้ำนั่นแล้วต้องขมวดคิ้วย่น ตีนกาจะขึ้นอีกวันละหลายๆ รอบ



          "ตะ แต่...เมื่อกี้คุณลุงสัญญาแล้ว" ชะเอมมองหน้าเกษมตาปรอย เสียงใสสั่นเครือ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบ รู้ดีว่าทุกอย่างที่ลุงเกษมทำให้เพราะความเป็นห่วง แต่เขาไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้แล้ว



          เกษมพยายามไม่สบตากลมที่มองมา ราวกับจะรู้ว่าถ้าจ้องมากกว่านี้ต้องแพ้...แพ้สายตานั่นแน่



          "เฮ้อ ก็ได้ๆ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วนะ" เกษมศักดิ์ถอนหายใจยกมือยอมแพ้ นี่เขาใจอ่อนอีกจนได้ ก็ดูสิ เล่นทำหน้าหงอย เสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอแบบนั้น จะไม่ให้ใจอ่อนก็ใจร้ายเกินไปแล้ว!



          เกษมศักดิ์ ชายหนุ่มรุ่นพ่อที่ยังคงไฟแรงในวงการธุรกิจ เป็นแชมป์ที่ไม่เคยแพ้ใคร แม้จะเป็นศัตรูคู่แค้นตลอดกาลอย่าง ลักขณา



          แต่ถึงกระนั้นเกษมก็ยังมีคนที่ชนะเขาตลอดกาลซึ่งก็คือ ชะเอม ลูกบุญธรรมของเขานั่นเอง ในบางครั้งชะเอมก็น่ากลัวเสียยิ่งกว่าศัตรูทางธุรกิจ แม้จะไม่ต้องใช้มารยาเล่ห์เหลี่ยมใดๆ



          เกษมกำหมัดใต้โต๊ะแน่น ให้คำสาบานกับตัวเองอย่างมั่นเหมาะ

          คราวหน้าไม่ว่าจะมาไม้ไหนก็จะไม่ยอมใจอ่อนให้อีกแล้ว นะ... แน่นอน*!*









          ************************Whose fault? ************************











          มาอีกตอนแว้วววว

          ขอกำลังใจให้ชะเอมและคนเขียนด้วยเน้อ

          ไม่แน่ใจว่าจะได้อัพถี่ (นี่ถี่แล้วเหรอ) แบบตอนนี้มั้ย งื้อๆ

          เลิฟอิพ่อ(ลุงเกษม) มันแพ้ลูกชะเอมทุกทางจริงจริ๊งงงงง

          ขนาดลูกแท้ๆ อย่างนังคินพ่อมันยังไม่หวง ไม่ห่วงเท่าชะเอมเลย กระซิก นางเอกของแม่(ปาดน้ำตา)

          รักคนอ่านทุกคนจริงๆ จ้า ปล.ตอนหน้านังคินโผล่แล้วนะจ๊ะ (มาพร้อมกับศัตรูตัวฉกาจ)


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 3 วันที่ 21/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Tak ที่ 23-09-2018 09:22:22
แอบจิ้นลุงอ่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 3 วันที่ 21/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 26-09-2018 21:46:27
สนุกมากกกกกก รอนะคะ ทำไมเรามองว่าพระเอกงี่เง่าจัง 555555  :hao7:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 3 วันที่ 21/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-09-2018 01:05:31
สงสารชะเอม,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 4 วันที่ 29/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 29-09-2018 15:00:33
       


                                                                  Whose Fault ?



                                                                     ผิด...ครั้งที่ 4





           โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



           ‘ต่อไปนี้ ชะเอม เด็กคนนี้จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา’





           ‘คิน ลูกต้องคอยดูแลเอมไว้นะ ลูกเป็นตัวแทนของพ่อแล้ว พ่อฝากคินด้วยนะ’





           ‘คิน!’ เสียงใสที่เขามักได้ยินทุกครั้ง เด็กที่อายุเท่าเขาแต่ตัวเล็กและผอมบางกว่ามาก ผิวขาวละเอียด หน้าตาน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย ‘คินเท่จัง...เท่มากๆ เลย! คินเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวของเอมเลยนะ!’





           เด็กชายสองคนที่วิ่งเล่นในสวนสาธารณะกว้างซึ่งเป็นของโครงการในหมู่บ้านคนที่มีฐานะร่ำรวย มีทั้งต้นไม้ให้ความร่มเย็น และเครื่องเล่นไว้ให้ครอบครัวน้อยใหญ่มานั่งปิกนิก พาเด็กๆ มาวิ่งออกกำลังกาย แต่ในวันนี้เห็นจะมีแต่เด็กแค่สองคนตามลำพัง และระหว่างนั้นก็มีสุนัขตัวเล็กวิ่งผ่านมาเห็นเด็กทั้งสองคนจึงหวังเข้ามาเล่นสนุกด้วย แต่หารู้ไม่เด็กชายชะเอมที่ตัวใหญ่กว่าสุนัขแค่นิดเดียวหวาดกลัวสัตว์สี่ขาวิ่งแจ้นไปเกาะหลังเด็กชายคินที่ตัวใหญ่กว่าตนแน่นไม่ปล่อย และเด็กชายผู้กล้าก็ใช้กิ่งไม้ที่หล่นแถวนั้นกวัดแกว่ง ส่งเสียงชิ่วๆ ไล่สุนัขตัวนั้นวิ่งหนีหางจุกตูดไป





           และการกระทำนั้นทำให้เด็กชายชะเอมแสนจะปลื้มชื่นชม มองเด็กชายคินตาเป็นประกาย ไม่ว่าจะเจออะไรน่ากลัว คนนี้แหละจะต้องปกป้องเขาได้แน่นอน





            ‘จะบ้าเหรอ อัศวินขี่ม้าขาวน่ะต้องมาช่วยเจ้าหญิงสิ แล้วเอมก็ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย’ เด็กชายคินที่โดนชม แถมมองซะชื่นชมอย่างกับเทิดทูนเขา เก้อเขินจนต้องพูดอะไรไม่ตรงกับใจคิด



            ‘บะ...บ้า’ เด็กชายชะเอมเบะปาก น้ำตาคลอหน่วยอย่างสะเทือนใจ คินหาว่าเขาบ้า ทั้งๆ ที่ชอบคินมากแท้ๆ ‘คินว่าเอมบ้า ฮึก ฮือ คินเกลียดเอมแล้ว’



            เด็กชายชะเอมใสซื่อ และบริสุทธิ์เกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกที่มากกว่าชอบและเกลียด ดังนั้นอาการปากไม่ตรงกับใจของคิน แน่นอนว่าชะเอมต้องไม่เข้าใจ



            ชะเอมปล่อยโฮ มือเล็กกำเสื้อตัวเองแน่น ไม่คิดจะเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้าจนเปียกชุ่ม อยู่ๆ คนตัวเล็กกว่าก็ร้องไห้เสียงดังทำให้คินเลิ่กลั่กมองรอบข้างหวังหาคนช่วยแต่ไม่พบใคร จะปลอบก็ไม่รู้ต้องทำยังไง รู้แต่คำพ่อสอนว่าทำผิดต้องขอโทษ แต่...ว่าแต่เขาทำอะไรผิด ก็ยังไม่เข้าใจ



            ‘ฮึก...ฮือออ’ ชะเอมยังคงร้องไห้ เด็กชายไม่รู้อะไร รู้แต่ว่าคินเกลียดเขา แต่เขาไม่อยากโดนเกลียด เขาชอบคิน เหมือนที่ชอบคุณลุง รักคุณลุง และตอนนี้เขาทั้งเศร้า ทั้งเสียใจ...ก็เลยร้องไห้



            เสียงร้องไห้ดังต่อเนื่อง น้ำตาไหลไม่มีทีท่าจะหมดหยดลงบนเสื้อตัวน้อยจนคอเสื้อชื้น ตากลมเริ่มแดง จมูกเล็กก็แดง ทำให้คินตัดสินใจเอ่ย จะผิดอะไรก็ไม่รู้แล้ว! ช่างมันก่อนละกัน!



            ‘โอเคโอเค ขอโทษคินขอโทษ เอมไม่ร้องนะ ขืนร้องเสียงดังเดี๋ยวหมาตัวเมื่อกี้กลับมาอีกไม่รู้ด้วย’ จะขอโทษดีๆ เด็กชายคินมันก็ทำไม่เป็น แถมยังไปขู่ให้กลัวหวังให้หยุดร้องไห้ แต่ดันได้ผลตรงกันข้าม เด็กชายชะเอมร้องไห้ลั่นกว่าเดิม ทั้งเสียใจ ทั้งกลัว



            ‘ไม่มาๆ! มันไม่มาแล้วล่ะ แต่ถึงจะมาคินจะไล่ไปให้เองนะ เอมไม่ต้องกลัว มีคินอยู่เอมไม่ต้องกลัว’ คราวนี้เด็กชายคินเริ่มรู้ว่าจะต้องพูดยังไง เพราะเด็กชายชะเอมหยุดร้องทันทีแต่ยังมีสะอื้น



            ‘ละ...แล้ว ฮึก แล้วคินจะคอยไล่ให้ตลอดไปมั้ย’



            ‘หา?’ คินทำหน้างง ไอ้หมาตัวนั้นมันมีเจ้าของแล้วจะมายุ่งทำไมบ่อยๆ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด แต่พอมองตากลมที่บวมแดงเพราะร้องไห้ของอีกคนแล้วต้องพูดเอาใจ ‘อะ...เอ่อ ตลอดไปสิ ตลอดไปเลย’



            ขืนให้ร้องอีกก็ไม่รู้จะหยุดได้เมื่อไหร่



            ‘แต่คินเกลียดเอม ฮึก’



            ‘จะบ้า...เอ่อ ไม่ใช่ คินไม่ได้เกลียดเอม คินไม่เคยเกลียดเอม’



            ‘แล้วคินชอบเอมมั้ย’



            ‘เอ๊ะ? ...เอ่อ’ คำถามนี้มันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย เด็กชายคินอึกอัก เก้อเขินเกินกว่าจะตอบออกมาเป็นคำพูด จึงคิดเลี่ยงไม่ตอบคำถามนี้ หันหลังเดินนำออกไป ‘สายมากแล้ว ป่ะ รีบกลับบ้านกันเถอะ’



            ‘...ฮึก’



            เด็กชายคินหยุดชะงัก ค่อยๆ หันไปเห็นสายตาตัดพ้อ น้อยอกน้อยใจ หรืออะไรบางอย่างที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำส่งมายังเขา เด็กชายชะเอมเม้มปากแน่น ขมวดคิ้วและเริ่มผลิตน้ำตาออกมาอีกแล้ว และ...มันกำลังจะไหล



            ‘ชอบสิ! คินชอบชะเอม ชอบมาก’ สาบานได้ว่าเขาไม่เคยอายฟ้าดินขนาดนี้มาก่อนเลย



            นี่มันกลางสวนสาธารณะ! ...ของหมู่บ้านด้วย!



            ‘โอเค๊ พอใจยัง คราวนี้กลับบ้านได้แล้วนะ’ คินคว้ามือเล็กของเด็กชายชะเอมที่เริ่มยิ้มออกให้เดินตามมาด้วยกันเหมือนกับจะกลัวอีกคนหลงทาง ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น



            การกระทำชัดเจนขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก



            ชะเอมมองมือใหญ่ที่กุมมือเขา ไล่สายตาจนถึงแผ่นหลังที่ก้าวเดินอยู่ด้านหน้า มืออีกข้างที่ว่างก็ปาดน้ำตาทิ้ง ริมฝีปากบางแอบอมยิ้ม



            ‘เอมก็ชอบคินนะ...ชอบที่สุดเลย’



            ขาทั้งสองคู่ยังคงก้าวต่อไป และชะเอมไม่อาจรู้ได้เลยว่าเด็กชายคินที่เดินนำอยู่ก็แอบยิ้มเหมือนกัน





            ...พร้อมกับความรู้สึกที่ชัดเจน และเสียงหัวใจที่เต้นดังอยู่ในอก







          และนั่น คือเรื่องราวระหว่างเขากับชะเอม สมัยยังอายุเพียงแค่สิบสองปี









           ************************Whose fault? ************************









            วันนี้เรย์ชวนพวกเขามานั่งกินไอติมที่ร้านใกล้ๆ มหาวิทยาลัยหลังจากเรียนเสร็จ ดังนั้นในร้านขนมหวานครบวงจรชื่อดังแห่งนี้ที่ปกติก็เต็มไปด้วยนักศึกษาอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งคึกคักมากกว่าเดิมเมื่อกลุ่มของคินมาเยือน ก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนหน้าตาดีของคณะวิศวะและมีคินเป็นอดีตเดือนเมื่อสองปีที่แล้ว จึงโดนจับตามองจากสาวๆ ในร้านเป็นตาเดียว





            “กรี๊ด นั่นคินไม่ใช่เหรอแก”



            “ใช่ๆ วันนี้วันดีมากันทั้งกลุ่มเลย คิกคิก อาหารตาอาหารใจ”



            “คุณเม็ดทรายไม่มาสักหน่อย จะเรียกว่าครบได้ยังไง โธ่ เจ้าหญิงของผม”



            “มึงก็พูดเบาๆ หน่อย เดี๋ยวแฟนโหดเขามาได้ยินเข้ามึงได้กลายเป็นกระสอบทราย นอนแดกข้าวต้มที่โรงพยาบาลเป็นเดือนแน่”



            “บรึ๋ย นักกีฬามวยมือหนึ่งของมหาลัยนั่นอ่ะนะ น่ากลัวสัตว์”



            “เรย์ก็มานะ น่ารักกว่ารูปในเพจคิวท์บอยอีก หึย อิจฉาตากลมๆ เหมือนตุ๊กตาเลยอ้า”



            “สงสัยข่าวที่ว่าเรย์เป็นแฟนคินท่าจะจริงนะ ดูดิ หว๊านหวาน”



            “เสียดายผู้ชายกินกันเอง”



            “แต่ฉันว่าคินเหมาะกับชะเอมมากกว่านะ”



            “เขาว่าเรย์แย่งคินมาจากเอมว่ะ หน้าด้านชิบ แย่งแฟนเขามาหน้าตาเฉย”



            “จริงเหรอ แล้วข่าวที่ลือกันเรื่องนั้นล่ะ”



            และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ อีกมากมายที่ลอยเข้าหูทั้งห้าคนที่นั่งอยู่กลางร้าน โต๊ะที่ใกล้เคาท์เตอร์ที่สุด เรย์ยกมือเรียกพนักงานด้วยรอยยิ้มนางฟ้าที่ทำเอาหนุ่มสาวใจละลาย แต่จะรู้หรือไม่ว่าในใจร้อนเป็นไฟกับคำนินทาที่ไม่เข้าหู แต่ต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้





            คินกับเพื่อนๆ ที่ไม่สนใจรอบข้างก็นั่งดูเมนูกัน



            “มึงเอาไร”



            “อยากกินโทสต์ เอาหน้าไรดี กูอยากกินช็อคโกแลต มึงกินกับกูมั้ยเอก”



            “ก็เอาดิ แต่ขอกูเพิ่มท็อปปิ้งกล้วยกับสตอเบอรี่” เสียงทุ้มดังเรียบตอบกลับ



            “เหย ไม่เอา มันเสียรสชาติ” เสียงใสแย้งเบ้หน้าเมื่อนึกถึงรสเปรี้ยวๆ ของผลไม้



            “งั้นมึงกินคนเดียว” เอกบอกหน้านิ่ง กวาดตามองเมนูอื่น



            “เห้ย ไม่เอาดิ” ตาลอ้าปากค้าง “อ่ะๆ แค่กล้วยกับสตอเบอรี่นะ งั้น...ขอโทสต์ช็อกโกแลตเพิ่มท็อปปิ้งกล้วยกับสตอเบอรี่ครับผม” เจ้าตัวหันไปสั่งกับพนักงานหญิงที่รอรับออเดอร์ เอกยิ้มลับหลังตาลแต่ต้องรีบหุบเมื่ออีกคนหันมา



            “กูไม่เห็นเข้าใจ มึงกินไปได้ยังไง ผลไม้มันไม่เห็นเข้ากับของหวาน”



            “เอาน้ำอะไร”



            “อะไรวะ คนเขาถามก็ไม่ตอบ” ตาลบ่นอุบ แต่ชะโงกหน้ามองเมนูในมือเอก ไม่รู้ตัวว่าใบหน้าชิดกับอีกคนขนาดไหน “เอา...ช็อกโกแลตปั่นเพิ่มวิปครีม”



            “โทสต์ก็ช็อกโกแลต น้ำก็ช็อกโกแลต ไม่เลี่ยนหรือไง” เอกว่า แค่นึกก็ผะอืดผะอมแทน



            “ม่าย” ตาลทำเสียงยาน ยิ้มโชว์เขี้ยวตาหยี “ก็กูชอบอ่ะ”



           “เพิ่มชาเขียวเย็นแก้วนึงกับช็อกโกแลตปั่นเพิ่มวิปครีมแก้วนึงครับ” เอกสั่งของตัวเองและไม่ลืมที่จะสั่งเมนูหวานเลี่ยนของตาลด้วย



            “ผมขอไอติมชุด A แต่ขอเปลี่ยนรสไอติมเป็นนี่ นี่ นี่ แล้วก็นี่ครับ” เรย์ดูอยู่นานก่อนจะชี้เมนูสั่งพนักงานให้จด



            “มึงไม่กินเหรอคิน”



            “เออ แปป” ปากรับคำส่วนตากวาดมองกระดาษเคลือบอีกรอบนึง ไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่า... “กาแฟดำร้อนแก้วนึงครับ”



            “ดูเมนูตั้งนาน” ตาลหัวเราะกับคนที่เพิ่งสั่งเมนูขมๆ ในร้านขนมหวาน



           “ก็ไม่รู้จะสั่งอะไร เดี๋ยวแย่งพวกมึงกิน กูต้องล้างปากด้วยไอ้นี่แหละ” คินตอบขณะส่งแผ่นเมนูให้พนักงานหญิง



            “อะรายยย แย่งกูกินนิดเดียวกูหารเท่าเลยนะ” ตาลพูดเหมือนหวงเงินแต่จริงๆ หวงขนมตัวเองมากกว่า



            “จ่ายให้เลยก็ได้” คินยักคิ้วข้างเดียว ชวนยำตีน



            “ใช่ซี่ ไอ้หนุ่มหล่อพ่อรวย***ใหญ่” ตาลว่าฉายาคินอย่างหมั่นไส้ ถ้าแถวนี้มียางลบดินสอปากกาเขาหยิบปาใส่หัวไอ้หล่อมันไปแล้ว



             แต่เกรงว่าสาวๆ ในร้านจะมาทึ้งหัวเขาแทนน่ะสิ

           “กูไม่อยากแย่งขนมหวานๆ ของมึงหรอกไอ้น้ำตาลเบาหวานแดก” คินย้อนบ้าง

         “ไอ้เชี่ยคิน! อย่าพูดชื่อนั้นออกมาสิวะ แม่ง” ตาลแหวหน้าแดงสลับขาวเพราะกลัวใครมาได้ยิน นั่นมันชื่อเต็มเขาเอง ‘น้ำตาล’ ชื่ออันน่ารักผิดกับหน้าตาหล่อเหลาที่มารดาประทานให้ตอนเกิด ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เขาอายเลยบอกเพื่อนๆ ว่าชื่อตาลเฉยๆ



            แล้วไอ้คินมันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ...



ก็เพราะไอ้เอกหน้านิ่งเพื่อนสนิทสมัยเด็กนี่แหละเป็นคนแฉ!!



            คิดแล้วแค้นใจ



            “น่ารักออก” นั่นไง ไม่ทันขาดคำ



            “เพราะมึงเลยเอก” เอาผิดกับคินไม่ได้ (กลัวคนในร้านรุม) ก็คนข้างๆ นี่แหละต้องรับเคราะห์



            “กู? กูทำไม?” ไอ้คนผิดมันยังไม่รู้ตัว



            “ก็เพราะมึงแฉกู”



            “แค่เพราะกูเรียกมึงว่าน้ำตาลเนี่ยนะ”



            “เชี่ย! อย่าพูดดัง” มือเรียวปิดปากคนข้างๆ แน่น “ไอ้ห่าหนิ บอกว่าอยู่ข้างนอกห้ามเรียก ห้ามเรียก ไม่เข้าใจหรือไง”



            “...” ขนาดไม่มีปากพูดมันยังกลอกตานิ่งๆ ได้กวนส้น



           “เข้า ใจ มั้ย” ตาลเน้นคำรอดไรฟัน เมื่ออีกคนพยักหน้าจึงยอมปล่อยมือ แต่ก็โดนมือใหญ่รั้งข้อมือเอาไว้ ไม่ทันผละหนีใบหน้าคมที่โน้มเข้าใกล้ใบหู



           “งั้นอยู่กันตาม ‘ลำพัง’ เรียกได้ใช่มั้ย” ลมร้อนๆ ที่เป่ารดทำให้ตาลต้องหดคอ ใบหูแดงก่ำ



           “...เชี่ยแม่ง” ตาลอุบอิบไม่ตอบดึงข้อมือออกจากการเกาะกุม ก้มหน้าจนหน้าม้าบังมิดไม่เห็นสีหน้า แต่ไม่อาจซ่อนหูกับคอแดงๆ ได้



           เอกยิ้มตาพราว



           “พวกมึงนี่ยังไง อย่างกับผัวเมีย” คินหัวเราะแซวไม่คิดเอาคำตอบ ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นทำให้ตาลหน้าแดงเรื่อ





           คินเห็นเพื่อนสองคนที่สนิทกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม จนเรียนมหาลัยยังเรียนคณะเดียวกันเอกเดียวกัน ทั้งคู่มาเจอกับคินตอนรับน้องพร้อมๆ กับเรย์ เอกจะเป็นคนหน้านิ่ง ไม่ค่อยพูด แต่ถ้าอยู่กับตาลก็จะพูดมากเป็นพิเศษ กับบุคลิกนิ่งๆ เข้ากับหน้าคมเข้ม ตัวสูงใหญ่พอๆ กับเขา ผิวสีเข้มกว่าแต่ก็ไม่ได้ดำ เอกก็โดนเลือกประกวดเป็นเดือนแต่เจ้าตัวปฏิเสธเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย ยุ่งยากผิดกับเขาที่โดนบังคับเนื่องจากไม่มีคนยอมเป็นแล้ว ตำแหน่งที่ได้มานี้เพราะความจนใจ  ส่วนตาล หรือ ‘น้ำตาล’ บุคลิกขี้เล่น กวนๆ จุดเด่นที่เจ้าตัวชอบอวดคือฟันเขี้ยวอันเล็กๆ เวลายิ้ม ผมสั้นหยักศกน้อยๆ สีน้ำตาลอ่อนโดยพันธุกรรม เสริมความน่ารัก เหมาะกับใบหน้าขาว ความสูงไม่มากไม่น้อย แต่รูปร่างค่อนข้างบาง ของกินที่ชอบคือ ช็อกโกแลต(อันที่จริงเป็นของหวานทุกชนิด แต่อันนี้พิเศษสุด)





           คินล่ะสงสัยจริงว่าไอ้ตาลมันกินของหวานซะขนาดนั้นทำไมไม่อ้วน กลับผอมลงไปอีก มันชอบบ่นว่ากินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เวลามาร้านของหวานทีไรจัดเต็มทุกที เขาจึงให้ฉายามันไปว่าน้ำตาลเบาหวานแดก





           คินมองเอกกับตาล ด้วยบุคลิกของพวกมันสองคนดูแล้วไม่น่าจะคบกันได้เลย แถมมันก็ยังชอบเถียงกันอย่างกับเป็นแฟน...ที่ได้กันแล้ว



            จู่ๆ คินก็คิดถึงชะเอมขึ้นมา



           คินยังจำคำพูดที่เคยบอกกับชะเอมในวันวานได้



          ‘คินชอบเอม ชอบมาก...’



           แต่ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง เขาลืมไปหมดแล้ว...**\นั่นมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจความรัก





           และตอนนี้คินไม่ใช่เด็ก...เขาโตแล้ว





           “คิน เหม่ออะไรน่ะ เอ้านี่ช้อน มาๆ กินไอติมกัน” คินรู้สึกตัวเมื่อใครอีกคนสะกิดแขน หันไปมองเห็นช้อนเหล็กเย็นๆ ที่สัมผัสแขนอยู่ คินรับช้อนมาพร้อมกับถ้วยไอติมยักษ์เลื่อนมาด้านหน้า มือใหญ่จึงผลักกลับไปหาคนตัวเล็ก





           “ไว้ตรงเรย์แหละ คินกินไม่เยอะหรอก”



           เรย์ยิ้มรับ ไม่พูดอะไร จัดการกับของหวานเย็นๆ ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนคินก็กินบ้าง สลับกับกาแฟดำ





           ที่คินคบกับเอมอยู่จนถึงวันนี้ เพราะอะไร?



           เพราะรัก...ไม่สิ เพราะพ่อที่เคยฝากให้เขาดูแล...เป็นตัวแทนของพ่อต่างหาก





           คินสังเกตเห็นไอติมช็อกโกแลตเลอะมุมปากเล็ก มือใหญ่หยิบทิชชู่แผ่นบนโต๊ะช่วยเช็ดให้



           “ค่อยๆ กิน เลอะหมดแล้ว”



           ทั้งแววตา ทั้งสัมผัสที่มุมปาก แผ่วเบาและอ่อนโยนจนทำให้เรย์หน้าแดง ใจเต้นแรงสูบฉีด





           แล้วทำไมใจถึงเจ็บปวดเมื่อเห็นร่างบางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้



           นั่นเพราะเป็นคนในครอบครัวไง...เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเขาใช้ชีวิตกับชะเอมมาตลอดไม่ต่างกัน





           คินรู้และเห็นทุกอย่าง เรย์ชอบเขา ทั้งใบหน้าน่ารักที่แดงก่ำ ทั้งแววตาที่หลงใหล หลงรัก





           คินยังคงรู้สึกขัดแย้ง สับสน...และไม่เข้าใจ



           ดังนั้นเขาควรให้โอกาสตัวเอง เปิดใจคบกับใครคนใหม่





           ถ้าหากเป็นเรย์ จะทำให้เขาเข้าใจความรักได้รึเปล่า





           เพื่อเข้าใจคำว่า ‘รัก’ ให้มากขึ้น





           “อะ อ...อืม ขอบใจนะคิน” ร่างบางยังคงหน้าแดงหูแดง ใช้ช้อนตักไอติมเข้าปากแก้เขิน เรียกรอยยิ้มของคินได้เป็นอย่างดี











           และนี่คือ จุดเริ่มต้น









           ************************Whose fault? ************************



>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่างค่ะ<<<<<<<<<<<<<<<<<<

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 4 วันที่ 29/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 29-09-2018 15:01:24


>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนนะคะ<<<<<<<<<<<<<<<<



           “...น”



           “...คิน”



           “คิน!”



           “อะ เอ่อ ว่า?” ร่างสูงสะดุ้งออกจากภวังค์ นี่เขากำลังเหม่อคิดอะไรอยู่ระหว่างขับรถเนี่ย ไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง



           ดีนะติดไฟแดงกลางสี่แยกอยู่



           พวกเรากำลังอยู่ระหว่างทางกลับคอนโดของเรย์หลังจากกินไอติมก็แยกย้ายกับพวกเอก ช่วงนี้เขามาอยู่กับร่างเล็กหลายวันแล้ว



            “โธ่ คิน ไม่ได้ฟังที่เรย์พูดเลยใช่ไหมเนี่ย” คนตัวเล็กที่อยู่ในระยะใกล้ หน้าเบลอจนโฟกัสไม่ได้ คินจึงต้องผละหน้าออกมาเว้นระยะห่าง เห็นใบหน้าน่ารักบูดบึ้ง แก้มพองลมจนมือใหญ่ต้องเอื้อมไปบีบ



           “ตัวอะไรเนี่ย แก้มกลมๆ ปลาบู่รึเปล่า หึหึ”



           “โอ๊ยยย คิน เจ็บๆๆ ปลาบู่ที่ไหนจะน่ารักขนาดนี้เล่า! เจ็บน้า ปล่อยเรย์ก่อน” มือเล็กตบแขนใหญ่ที่หยิกแก้มตนรัวๆ แต่ร่างสูงหาได้สะเทือนไม่ แต่ก็ยอมละมือออกมาก่อนหน้าเล็กจะเบี้ยวไปมากกว่านี้



           “โห หลงตัวเองซะ”



           “ใช่ แล้วก็รอคนแถวๆ นี้หลงด้วย”



           “มุกนี้โคตรขำ” คินหัวเราะ เรย์เห็นดังนั้นจึงหน้ามุ่ย



           “เล่นมุกกลับหน่อยก็ไม่ได้” มือเล็กบิดเนื้อตรงต้นแขนใหญ่ด้วยความหมั่นไส้แบบไม่ออมมือ



           “อูย” มือใหญ่ลูบตรงที่โดนหยิกเบาๆ “แผลหายแล้วซ่าเชียวนะ”



           ตาคมกวาดสำรวจตามเนื้อตัวของเรย์ ผิวขาวๆ ที่เคยมีบาดแผลเพราะโดนเศษแก้วบาดหายไปจนเกือบหมด



            “หายที่ไหน นี่ไง ยังมีแผลอยู่ตรงขาเลย ตรงแขนก็มีนะ” มือเล็กรีบชี้ตรงที่บอก “โดยเฉพาะตรงนี้อ่ะ คินดูสิ”



           คินชะงักเพราะเรย์ชี้ตรงมุมปากที่เคยแตก แต่แน่นอนว่าผ่านมาหลายวัน แถมเขาก็คอยทายาให้ทุกวัน ตอนนี้เลยเป็นแค่แผลตกสะเก็ดสีแดงจางๆ ถ้ามองไกลๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นแน่นอน





           เมื่อมองแผลที่มุมปากแล้วก็พลันนึกถึงรอยนิ้วมือที่เคยประทับอยู่ข้างแก้มก็จางหายไปเหมือนกับมันไม่เคยมีอยู่มาก่อน ถ้าไม่เห็นก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันนั้นชะเอมจะเป็นคนทำจริงๆ ร่างบางคนเดิมที่เขารู้จักน่ารักน่าเอ็นดู ไม่เคยมีนิสัยก้าวร้าวแบบนี้มาก่อน





           คนเดิมที่เขาเคยรู้จักอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว





           ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยเขากับชะเอมก็เริ่มห่างๆ กัน เพราะนอกจากจะเรียนคนละคณะกันแล้ว ยังมีเรื่องที่เคยทะเลาะกันเรื่องของเรย์มาแล้ว ช่วงก่อนขึ้นปีสาม ทะเลาะกันเรื่องว่าเรย์บอกชอบเขา ซึ่งคินก็ตกใจเพราะไม่คิดมาก่อนว่าเพื่อนที่สนิทใกล้ชิด ทั้งเรียนและทำงานมาด้วยกันจะรู้สึกกับตนแบบนี้ แต่แน่นอนเขาห้ามความรู้สึกของใครไม่ได้ แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ของคินกับชะเอมกระท่อนกระแท่น จนเกือบถึงขั้นแตกหัก



            เขาเจอเรย์ตอนเข้ามามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ตั้งแต่รับน้องก็อยู่ด้วยกันมาตลอด เรย์เป็นคนร่าเริง นิสัยดี น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจใส่เพื่อน ไม่น่าจะมีอะไรที่ไปขัดแย้ง ขัดใจชะเอมได้



           คินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชะเอมถึงต้องทำกับเรย์รุนแรงถึงขนาดนั้น... ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายกันจนบาดเจ็บ





           “แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้วน่า ไหนพูดนักหนาว่าตัวเองน่ารักไง แผลแค่นี้จะกลัวอะไรฮึ” ร่างสูงเลิกคิ้ว มองคนตัวเล็กกว่ามองมาตัดพ้อพูดเสียงเศร้า



           “ไม่ต้องน่ารักก็ได้”



           “หืม?”



           “ก็ถ้าเรย์หายดี คินก็ไม่สนใจเรย์แล้วใช่มั้ยล่ะ” แม้เสียงพูดของอีกคนจะเบาแต่คินก็ได้ยิน เขาชะงัก





           ‘เรย์ชอบคิน ชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะ’





           นั่นสินะ เขาจะลืมได้ยังไงว่าเรย์รู้สึกกับตัวเองแบบไหน ตั้งแต่นั้นมาที่เขาต้องทะเลาะกับชะเอม แต่ว่านะ...



           “ถ้างั้นคินจะคอยดูแลเรย์จนกว่าจะหายเลยดีมั้ย”



           “แค่หายเท่านั้นเหรอ”



           เพราะว่าชะเอมทำให้เรย์เจ็บ เขาจึงอยากชดใช้ให้เรย์แทนชะเอม



           ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ...





           “อ่ะๆ จะอยู่ด้วยจนกว่าจะพอใจเลย โอเคยัง” ร่างสูงพยักหน้า เสียงทุ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือใหญ่ลูบหัวทุยเล็กขนาดพอดีมือ



           “จริงนะ ห้ามโกหกเรย์นะ” คนตัวเล็กยิ้มดีใจ แต่ในใจเป็นหลุมดำมืดเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา





           ไม่พอ...



           ได้แค่นี้น่ะ...ยังไม่พอหรอก





            “นี่ พรุ่งนี้คิน...ไปกินข้าวกับพ่อใช่ป่ะ”



            ร่างสูงที่เดินอยู่ชะงักกึก หันขวับมามองคนพูดทันที



            “เรย์รู้ได้ยังไง” เสียงทุ้มเอ่ยเย็นชา ไม่มีเค้าอ่อนโยนอีก



            “คือ...” ร่างบางหน้าเสีย แต่กลบเกลื่อนด้วยความกล้า “คือว่าเรย์ไปเห็นตอนไลน์มันเด้งน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งนะ ตะ แต่...” เรย์พูดอะไรไม่ออก





           ร่างบางโกหก เขาเองแหละที่เป็นคนปดรหัสเข้าเครื่องตอนร่างสูงนอนหลับไม่รู้ตัว



           เขารู้ว่าคินไม่ชอบคนยุ่งเรื่องของตัวเอง แต่เขาต้องการรู้เรื่องคินทุกอย่าง ไม่อยากให้คินมีความลับกับเขาแม้แต่เรื่องเดียว



            บรรยากาศอึดอัดเกิดขึ้นนานหลายนาที จนไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว คินเปลี่ยนเกียร์ออกรถ เหลือบมองเห็นหน้าซึมๆ แล้วถอนหายใจ ใจมันโกรธได้ไม่นาน



เหมือนภาพมันซ้อนทับกับ...ใครบางคน





            “เอาเถอะ เพราะงั้นพรุ่งนี้เรย์คงต้องอยู่คนเดียววันนึง” คินยิ้มบางเมื่อเห็นอีกคนทำปากยื่น “เดี๋ยวคินรีบกลับ”



            เรย์หลับตาพริ้มรับสัมผัสเบาของมือใหญ่ที่ลูบศีรษะ ยิ่งโยกหัวเข้าหาเมื่อรู้สึกว่าสัมผัสนั้นจะละออก



            ร่างบางยิ้ม รู้สึกดีใจที่คินไม่โกรธเขาเรื่องก้าวก่ายสิทธิ์ส่วนบุคคล ถ้าเป็นคนอื่นคินคงเย็นชาไม่พูดด้วยไปหลายวัน และเขาไม่ใช่คนอื่นสำหรับคิน





           บางทีคินน่าจะ...ชอบเขามากกว่าที่คิด





           เรย์คิดเข้าข้างตัวเองแล้วใจลิงโลด



            “แล้วถ้าพรุ่งนี้...เรย์ขอไปด้วยได้ไหม เรย์อยากรู้จัก อยากคุยกับพ่อของคินมานานแล้ว”





          ...จะได้ ‘ฝากเนื้อฝากตัว’ กับ(ว่าที่)พ่อสามี





            “ไม่ดีมั้ง” ร่างสูงละมือออก



            “ทำไมล่ะ พ่อคินดุเหรอ...” ร่างเล็กหน้าสลดอย่างแนบเนียน “หรือว่าคินไม่อยากให้คนนอกอย่างเรย์ไป...”



            “มันไม่ใช่อย่างนั้น” คินอึกอักไม่อยากบอก แต่สุดท้ายก็พูดออกไป “พรุ่งนี้ชะเอมเขามาด้วยนะ”



            คินมองสีหน้าของร่างเล็ก เขาเข้าใจว่าเจ็บตัวแบบนั้นมาก็คงไม่น่าจะอยากไปเจอกับคนที่ทำร้ายตัวเองหรอก และดูเหมือนเขาจะเข้าใจถูก เพราะเรย์สีหน้าเหยเก แววตาที่สบก็ฉายแววสั่นกลัว



            “จริงเหรอ” ปากบางสั่นระริก “มะ ไม่เป็นไรหรอก ก็ถ้าคินกับพ่อคินไม่ว่าอะไร เรย์อยากไป แล้วเรย์ก็อยากคุยกับเอมให้เข้าใจด้วย วันนั้นเอมต้องเข้าใจอะไรเรย์ผิดสักอย่าง”



            คินขมวดคิ้วมุ่น ยังคงขับรถด้วยมือข้างเดียว อีกข้างปล่อยวางอยู่ตัก



            “ให้เรย์ไปนะ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่สบายใจกันทั้งสามคนเปล่าๆ” พอเห็นสีหน้าชั่งใจ สองแขนเล็กก็รีบคว้าแขนใหญ่มากอดพูดเสียงออดอ้อน ช้อนตามองและทำท่าทางที่คิดว่าน่ารักที่สุด “นะคิน...เรย์อยากสนิทกับเอมจริงๆ อย่างน้อยเอมเขาก็เป็นแฟน(เก่า)คินนี่นา” คำนั้นละไว้ในใจ แอบหัวเราะเยาะคนที่สามที่แม้จะอยู่ในบทสนทนาแต่ก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่ข้างคินแล้วในตอนนี้



           หลักฐานก็คือคินเลือกที่จะอยู่กับเขาไงล่ะ



           “น้าคิน นะๆ”



            “แต่คินกลัวว่าจะเป็นแบบวันนั้นอีก”



           “ไม่เป็นไร เรย์เป็นผู้ชายนะ เป็นแผลเดี๋ยวก็หาย เรย์ไม่เจ็บหรอก” เรย์หัวเราะคิก ยกนิ้วจิ้มจึ้กๆ เข้าที่อกแน่นข้างซ้าย “คินรู้จักชะเอมดี เอมเขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลแบบนั้น ถ้าได้คุยกันดีๆ ต้องเข้าใจแน่”



            เรย์พูดตะล่อมด้วยน้ำเสียงหวาน แล้วในใจก็ลิงโลดเมื่อได้ยินคำพูดที่ต้องการ



           “อืม พ่อคินไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าเรย์อยากไปก็ไปพร้อมคินก็แล้วกัน” คินพยักหน้าจำใจ



           ไม่ใช่แค่เรย์ เขาก็อยากจะเคลียร์กับชะเอมเหมือนกัน



           ร่างบางยิ้มกว้าง เรย์รู้...รู้ว่าร่างสูงยังตะขิดตะขวงใจเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่



           ใช่แล้ว คินน่ะรู้จักชะเอมดี...แต่ว่าคินก็ยังไม่เคยเห็นด้านร้ายๆ ของมัน เขาจะเผยธาตุแท้ของมันเอง เขาจะทำให้หลายๆ อย่างมันชัดเจนขึ้นในวันพรุ่งนี้



           ชะเอม...กูรอมาตลอดสองปี สองปีที่คอยอยู่เคียงข้างคิน แม้จะอยากได้เขามากแค่ไหน ก็มีกาฝากอย่างมึงมาคอยรั้งเขาเอาไว้ กูจะทำให้คินเป็นอิสระจากมึงให้ได้



           และมึงต้องโดนทิ้ง



           คินเขาจะต้องเป็นของกู





           ของกู...คนเดียว











************************Whose fault? ************************









            อีเรย์มันร้าย(มาก)ค่ะทุกโค้น

            จริงๆ ตอนแรกอยากเขียนแสดงความรู้สึกของคินมากกว่านี้

      คินมันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ชอบให้คนเอาอกเอาใจ พอเจอความก้าวร้าวของชะเอมเข้าไป(แบบไม่เคยเจอมาก่อน) มันเลยงงๆ บวกโลเล เลยขออยู่กับเรย์ไปก่อนดีกว่า (สบายใจกว่าด้วย)

            อารมณ์ของแต่ละตัวละคร จะมาแบบตอนละนิดละหน่อย ก็ขอให้ติดตามกันไปนะคะ

            ใครแอบกรี๊ดแอบเชียร์คู่สินดิน หรือ เอกน้ำตาล ก็มีลุ้นตอนพิเศษ

            รักทุกคนนะคะ เจอกันตอนหน้า



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 4 วันที่ 29/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: pim14 ที่ 29-09-2018 15:35:36
เชียร์ให้ชะเอมมีคนใหม่ที่แซ่บกว่า ดีกว่า มั่นคงกว่า มาดูแลค่ะ
ส่วนคินก็ถิอเป็นพระรองไปละกัน 555 สวีทกับนังเรย์ตามสบายเลยจ้า อยากให้น้องเอมได้คนไม่โลเลและหูเบาค่ะ
ถ้าคินจะกลับมาเป็นพระเอก ก็ให้คลานและซมซานกลับมานะคะ เคืองมากกกกกก
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 4 วันที่ 29/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 29-09-2018 16:14:04
ตอนหน้าเอมเตรียมโดนทำร้ายจิตใจอีกแหงเลย จังหวะนี้ต้องส่งบทให้รามทำคะแนนแล้ววว
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 4 วันที่ 29/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 29-09-2018 17:00:50
ยิ่งอ่านพาร์ทเรย์ยายิ่งหัวร้อน คนอะไรน่าเกลียดจริงๆ ฝั่งพระเอกก็โง่มากกกกกก หัวร้อนอ่ะ // รู้สึกว่าให้น้องเค้าหาแฟนใหม่เถอะ ผช.ดีๆมีเยอะแยะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 5 วันที่ 06/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 06-10-2018 23:30:21


                                                                 Whose Fault ?


                                                                  ผิด...ครั้งที่ 5





          โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม







            กลับมาที่ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังเต็มไปด้วยเสียงจอแจ ที่โต๊ะหนึ่งด้านในร้านพ่อลูก(เกษมคิดอยู่ฝ่ายเดียว)สนุกกับการผลัดกันตักอาหารให้กันไปมา





            “กินนี่ครับ อร่อยมาก” มือเล็กคีบเนื้อปลาสดๆ ของโปรดใส่จานคนข้างๆ แต่คนวัยทองที่โตแต่ตัวไม่คีบเอง อ้าปากเหมือนเด็กเล็ก ชะเอมส่ายหน้าอมยิ้มขำทำเป็นเมิน แต่ก็ต้องยอมคีบเนื้อปลาจากจานป้อนคนที่ยังอ้าปากรอก่อนที่แมลงวันจะบินเข้าไปแทน





            “เอมกินบ้างเถอะ มา เดี๋ยวลุงตักให้” เกษมเคี้ยวเนื้อในปากตุ้ยๆ อย่างมีความสุข อยู่กับเจ้าตัวเล็กเขามีความสุขจนต้องกระดี๊กระด๊าคีบโน่นนั่นนี่ผิดวัย(?)ใส่จานชะเอมจนพูน



            “คุณลุงเยอะไปแล้วครับ เอมกินไม่หมด”



            “กินไปเยอะๆ นั่นแหละดี รู้ตัวบ้างไหมว่าผอมลงมาก เดี๋ยวไปเจออากฤษล่ะโดนดุหนักแน่” เกษมติงเสียงดุ ทำเสียงแบบนี้เจ้าตัวเล็กจะได้กลัวซะบ้าง ไม่ทันขาดคำเจ้าตัวร้องเอ๋ยาว



            “แต่ว่าเอมก็กินอาหารตามเวลาที่คุณลุงกับคุณหมอบอกทุกมื้อแล้วนี่นา” ชะเอมมุ่ยปาก



            ...ส่วนเรื่องนอนไม่ค่อยหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอกับสารพัดเรื่องที่มีให้คิดให้เครียด เก็บไว้ก่อนไม่บอกดีกว่า



            “ไม่ต้องเลย รู้ทั้งรู้ว่าต้องควบคุมน้ำหนักตัวเอง พออยู่คนเดียวแล้วปล่อยให้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวลุงจะ...”





            “โอเคคร้าบ เอมกินแล้วๆ กินหมดเลย” เอมโบกตะเกียบในมือขัดคำพูดทันทีเพราะรู้ว่าเกษมจะพูดอะไรต่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการกินเนื้อสารพัดยัดเข้าปากเคี้ยวหงุบๆ คนมองก็ได้แต่หัวเราะหึหึ



          “เห็นมั้ยครับ กินหมดแล้ว แค่ก! แค่กๆ...”



            “เอ้า เอม ค่อยๆ สิลูก กินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูด เด็กคนนี้” เกษมลูบหัวลูบหลังเบาๆ ด้วยความเอ็นดูพลางหยิบแก้วน้ำส่งให้คนไอหน้าดำหน้าแดงค่อยๆ จิบ สักพักหนึ่งอาการดีขึ้นแล้วมือใหญ่ละออกจากแผ่นหลังบาง มองนาฬิกาข้อมือ





            “เจ้าคินมันไปไหนเนี่ย ทำไมมาสายขนาดนี้”





            หัวข้อคุยที่เปลี่ยนกะทันหัน ทำเอาเอมสำลักน้ำที่จิบอยู่อีกรอบ แต่ดีที่เก็บอาการทัน



            ลืมไปซะสนิท ว่าวันนี้คินก็มาด้วย...



            “...รถติดมั้งครับ” เอมนึกถึงความเป็นไปได้ เลยช่วยตอบแทน ส่วนมือบางหยิบทิชชู่ขึ้นเช็ดปาก



            “เหรอ...แต่ตอนลุงมา รถก็ไม่ติดนะ” เกษมมุ่นคิ้วนึก “แล้วตอนเอมมารถติดรึเปล่า”



            “เอ่อ...นิดหน่อยครับ” เอมเกาหัว เขาไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะดูเหมือนตอนนั่งแทกซี่ก็เหม่อๆ ไม่ได้ดูทางซะด้วยสิ “อีกแปปนึงละมั้งครับ เอมว่าคินน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”



            ตรู๊ด...ตรู๊ด



            ไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ของเกษมดังขึ้น มือใหญ่หยิบขึ้นมาดูปรากฏชื่อที่ไม่ต้องคาดเดาก็กดรับ





            “ฮัลโหลไอ้ลูกชาย...เออ...เหรอ...โอเค...อะไรนะ...โอเคๆ เดี๋ยวสั่งไว้ให้...สองที่นะ...แค่นี้ เจอกัน” ชะเอมตงิดกับบทสนทนาที่เกษมพูดตอบรับกับอีกฝั่งของปลายสาย แต่ไม่พูดอะไรทำเพียงมองหน้าคนตัวใหญ่ข้างๆ เมื่อเกษมวางสายก็เลิกคิ้วมองโทรศัพท์นิดหน่อยก่อนเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วก็หันมาพูดกับร่างบาง





            “เจ้าคินถึงแล้ว กำลังวนหาที่จอดอยู่ เอมเรียกพนักงานให้ลุงหน่อย เจ้าคินฝากสั่งออเดอร์มาถึงจะได้กินเลย”





            “ครับ...” ใบหน้ามนพยักหัว ยังติดใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ถาม หันไปยกมือเรียกพนักงานตามที่คุณลุงบอก “พี่ครับ สั่งออเดอร์หน่อยครับ”





            “สักครู่นะคะ...” พนักงานหญิงเดินหายไปพักหนึ่ง จึงกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับกระดาษจด “รับอะไรดีคะ”





            “ขอซาชิมิหนึ่งที่ ข้าวหน้าปลาไหลสอง กับชาเขียวร้อนสอง” เกษมศักดิ์ชี้เมนูตามที่ไอ้ลูกชายบอก ชะเอมหันขวับมามองทันทีเมื่อเห็นเกษมสั่งมาเพิ่มเยอะจนแปลกใจทั้งๆ ที่บนโต๊ะยังกินไม่หมด





            “เดี๋ยวครับ คุณลุงจะกินอีกเหรอ”





            “ลุงเปล่า ทั้งหมดนี่ของเจ้าคินมัน” เกษมส่ายหน้าก่อนถามเจ้าตัวเล็กว่าจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ย คำตอบที่ได้รับคือส่ายหน้า จึงหันไปบอกพนักงาน “เท่านี้ล่ะครับ”





            “เห็นคินมันพาเพื่อนมาด้วยนะ เลยบอกลุงให้สั่งเผื่อไปด้วยเลย” เมื่อพนักงานเดินไปแล้วเกษมจึงหันมาคุยต่อเพราะใบหน้ามนสงสัยไม่หาย



            อะไรนะ...



            ชะเอมชะงักค้าง ไม่รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าซีด มือกำตะเกียบแน่น



            เพื่อนของคิน? ปกติมาทานอาหารกับครอบครัวคินไม่เคยพาเพื่อนมาด้วยเลยสักครั้ง...แล้วทำไม?



            ร่างบางไม่อยากคาดเดาว่าเพื่อนของคินคนนี้คือใคร ในใจทั้งเสียใจ น้อยใจ ไม่พอใจ ความรู้สึกทั้งหลายปนเปกันไปหมด เพราะรู้ทั้งรู้ว่ายังไงเพื่อนที่คินพามาก็น่าจะเป็นคนๆ เดียวกับที่คิด...



            เกษมศักดิ์เหลือบมองชะเอมที่ตอนนี้นั่งนิ่งไปแล้วตั้งแต่ได้ยินว่าคินจะพาเพื่อนมา ใบหน้าซีด เม้มปากแน่นจนขาว ในใจนึกเป็นห่วงร่างบางแค่ไหนแต่เขาที่เป็นพ่อไม่อยากเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของลูกๆ



            ถึงจะไม่รู้สถานการณ์อะไร แต่ก็พอจะเดาได้ เกษมผ่านอะไรมามาก และอยากให้ชะเอมฝ่าฟันผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ถ้าถึงตอนที่เจ้าตัวเล็กไม่สามารถจัดการได้ คนเป็นพ่อ(บุญธรรม)อย่างเขาถึงจะไม่อยากเข้าไปยุ่งก็ต้องยุ่ง



            ไม่อยากเสียไปอีกแล้ว ไม่ว่าใคร...



            “สวัสดีครับพ่อ โทษทีครับวันนี้คินตื่นสายไปหน่อยแถมรถก็ติดอีก” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายดังขึ้นทำให้แผ่นหลังบางที่นั่งนิ่งสะดุ้งเฮือก เนื่องจากพวกเขาสองคนที่มาถึงก่อนนั่งหันหลังให้กับคนที่เดินเข้ามาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าร่างสูงเข้ามาตอนไหน แต่ชะเอมยังคงนั่งหลังตรงไม่ได้หันไปมอง





            “อ้าว มาถึงแล้วเหรอ มาๆ นั่งก่อน” เกษมกวักมือ ถึงจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอาการของร่างบางที่นั่งตัวเกร็ง แต่พยายามกลบอาการแต่ก็ไม่รอดสายตาคมของพ่อ(บุญธรรม)หรอก





            มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้





            “พ่อคินสวัสดีครับ...คินเข้าไปนั่งข้างใน เดี๋ยวเรย์นั่งข้างนอก” เสียงใสดังระรื่น ที่แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่า ‘เพื่อน’ ของคินคือใคร



            “ชะเอม หวัดดี”



            ใบหน้าน่ารักของเรย์ขยับมาอยู่ในระดับสายตาพอดีกัน อาจจะเตี้ยกว่าหน่อยเพราะเรย์ตัวเล็กกว่า เมื่อทั้งคู่หย่อนตัวลงนั่งก็พอดีกับที่พนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหารที่เพิ่งสั่งอย่างตรงเวลา เอมรู้สึกดีใจนิดหน่อยที่เขาไม่ต้องทักใครอีกคนกลับไป ซึ่งอีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ถือสาว่าเขาจะตอบกลับหรือไม่





            “โอ้ มาถึงก็ได้กินเลย คงจะหิวกันแล้ว กินเลยนะ พอดีพ่อกับชะเอมกินกันเรียบร้อยแล้วล่ะ” เกษมพูดเสียงสดใสขึ้นระหว่างที่พนักงานเสิร์ฟอาหาร เพราะดูออกว่ามีคนหนึ่งที่เริ่มอารมณ์ดิ่งลงตั้งแต่สองคนใหม่เดินเข้ามา ไม่สิ ตั้งแต่รู้ว่าคินจะพาใครมามากกว่า





            “พ่อ นี่เรย์เพื่อนผมเอง เรย์นี่พ่อของคิน” คินผายมือและพูดแนะนำพ่อกับเพื่อนของตนให้รู้จักกัน ซึ่งเรย์ก็ยิ้มกว้างสว่างไสวดีใจจนออกนอกหน้า





          “สวัสดีฮะคุณอา” ร่างเล็กพนมมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ใครเห็นก็ต้องรู้สึกเอ็นดู ซึ่งเกษมก็ยิ้มรับ เอมนั่งมองอย่างนิ่งเฉย แต่มือบางบนตักจิกกันแน่น



          ตั้งแต่มาถึง คินยังไม่ทักทาย ไม่สบตาเขาสักนิด



          ทำไม...โกรธเขาถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ?



          “สวัสดีเรย์ หนูเรียนคณะเดียวกับเจ้าคินเหรอ” เสียงทุ้มถามคำถามเบสิกเมื่อต้องเจอกับเพื่อนของลูกชายตัวเอง

          “ใช่ฮะ เจอกันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็อยู่กลุ่มเดียวกันตลอดฮะ” คำสรรพนามที่ส่อถึงความเอ็นดู ยิ่งทำให้เรย์รู้สึกเข้าใกล้พ่อของ ‘เพื่อน’ ได้มากกว่าเดิม เรย์มองหน้าพ่อของคินตาใส คินได้เค้าหน้าของพ่อมาเต็มๆ ทั้งหล่อเหลา ทั้งดูน่าเกรงขาม   



            “เหรอ” เกษมมองหน้าเรย์ เพื่อนของคินคนนี้น่ารักจริงๆ พูดก็เพราะ อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้ใหญ่เห็นก็ต้องเอ็นดูเป็นธรรมดา “วันนี้มาด้วยกันใช่ไหม คนนี้เหรอเจ้าคินที่เอมบอกว่าลูกออกไปค้างหอพื่อนแล้วทำงานกลุ่มด้วยกัน” เกษมหันไปถามลูกชายที่นั่งกินข้าวหน้าปลาไหลอยู่ เจ้าตัวชะงักไม่ทันได้ตอบอะไร กลับทำให้ชะเอมซะอีกที่นั่งเหม่อมองหน้าคินได้ยินคำถามก็ร้อนรนรีบตอบกลับมาแทน





            “ครับคุณลุง...เพื่อนคนนี้แหละครับ”



            “อ๋อ...เหรอ” เกษมรับคำแบบไม่คิดจะถามอะไรต่อ แต่ใจสงสัยหนัก



            คินที่เข้าใจอะไรบางอย่างหันไปมองหน้าร่างบางที่นั่งเซื่องซึม ตอนแรกคินก็สงสัยอยู่ว่าตั้งแต่เขาย้ายของออกมาอยู่กับเรย์ได้เกือบเดือน ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกเข้าจากพ่อสักสายที่จะโทรมาด่าหรือต่อว่าที่เขาออกมาโดยทิ้งชะเอมไว้คนเดียว พ่อเขาน่ะหวงชะเอมจะตายไป





            ตอนนี้คินรู้แล้วว่าเอมโกหกเกษมว่าเขาไปค้างหอเรย์เพื่อทำงาน



            ว่าแต่ทำไมถึงต้องโกหกด้วยล่ะ...ถ้าเอมไม่ชอบเรย์นัก ก็โทรรายงานพ่อเขาให้ตามตัวเขากลับก็สิ้นเรื่อง



            เรย์ได้ยินเรื่องราวต่างๆ ก็มองหน้าชะเอมที่นั่งอยู่ตรงข้าม ถึงใบหน้าน่ารักจะแย้มรอยยิ้ม แต่แววตาหมั่นไส้อย่างปิดไม่มิด โดยไม่มีใครสังเกตเห็นส้นเท้าหุ้มด้วยรองเท้าหนากระแทกบดขยี้ลงบนเท้าของชะเอมอย่างแรง จนร่างบางสะดุ้งร้องอย่างเจ็บปวด เรียกความสนใจจากคินและเกษมได้อย่างดี



            “เอมเป็นอะไรรึเปล่า” เรย์ตัดหน้าถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง



            “มะ ไม่เป็นไร” เห็นสายตาจากคนทั้งสามมองมาก็รีบปฏิเสธเสียงเบา นั่งตัวลีบติดกับพนักพิงให้ห่างจากคนตรงหน้าที่คิดว่าไกลที่สุด



          “เหรอ” เรย์มองอย่างสมเพชก่อนก้มหน้าทานอาหารหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



          หึ...ทำเป็นทำตัวน่าสงสาร เรียกร้องความสนใจ



          “แล้วจะทำงานเสร็จเมื่อไหร่ หืม รู้ไหมว่าคินไม่อยู่เอมยิ่งซุ่มซ่าม เนี่ยเมื่อเช้าเพิ่งล้มกระแทกไปที”



          “คุณลุงครับ” เอมรีบเอ่ยขัดเกษมที่คิดจะพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง





          แค่นี้ เรย์ก็หมั่นไส้เขามากพอแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเจออะไรอีกด้วย





          “ไม่ได้เอม ต้องบอกให้คินรู้ไว้หน่อย จะได้กลับมาดูแลกันบ้าง ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”



          “คิน...เค้าทำงานครับคุณลุง เอมอยู่คนเดียวได้ เราคุยกันแล้วไงครับ” เอมพูดเสียงเบา พยายามอธิบาย

          เรย์มองท่าทางละล่ำละลักนั้นก็ยิ่งหมั่นไส้มากกว่าเดิมหลายเท่า ทำเป็นสะดีดสะดิ้ง แต่ใจจริงอยากเอาคินกลับไปกกจนตัวสั่นล่ะสิไม่ว่า!



          “ลุงรู้ แต่ลุงเป็นห่วง แล้วที่เราตกลงกันคือลุงบอกว่าเอมต้องมีคินอยู่ด้วย...”





          ตรู๊ด...ตรู๊ด...



          เสียงเรียกเข้าดังขัดขึ้นมา ทำให้เกษมศักดิ์ต้องรับสาย คุยสักพักก็วาง



          “เอม ลุงต้องรีบไปก่อน มีธุระด่วนเข้ามา” มือใหญ่ลูบศีรษะพอดีมือก่อนหันไปคุยกับลูกชาย “คิน พ่อฝากพาเอมไปโรงพยาบาลดูแผลหน่อย ถ้าไม่บังคับชะเอมคงไม่ไป”





          “ครับ” คินพยักหน้า แม้ในใจจะติดสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไร เพราะคิดว่าน่าจะเป็นตรวจสุขภาพ...ตามปกติ



          "อ้าว ชะเอมเป็นอะไร? เจ็บตรงไหนเหรอ" เรย์ทำหน้างุนงงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่เจ้าตัวเม้มปากไม่ตอบ เกษมที่ยืนมองอยู่เลยตอบแทน



          "พอดีเอมลื่นล้มเมื่อเช้าก็เลยมีแผลฟกช้ำน่ะ...ซุ่มซ่ามจริงๆ เจ้าเด็กคนนี้ ไม่มีวันไหนที่ไม่ทำให้ลุงเป็นห่วง" มือใหญ่ลูบหัวชะเอมหนักๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน



          ซึ่งพอคินได้ยินก็หันขวับไปมองร่างบางที่นั่งก้มหน้าทันที



          "อ๋อฮะ" เรย์รับคำ แต่ส่งสายตาจิกกัด



          สำออย...





          “เอาล่ะคินพ่อฝากด้วยนะ...แล้วลุงจะโทรมา” เกษมพูดกับเจ้าลูกชายก่อนหันมากำชับเสียงดุกับเอมไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ รับไหว้จากเรย์ ก่อนเดินออกจากร้านไป





          คราวนี้เหลือกันอยู่แค่สามคนตามลำพังแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีแต่ชะเอมกับคินเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด





          "คิน กินนี่สิ อร่อยมากเลย" เรย์คีบเนื้อปลาสดๆ จ่อตรงปากร่างสูง คินชะงักมองหน้าเรย์สลับกับชะเอมที่มองมาอย่างเจ็บปวด



          "ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ" แต่ก่อนจะอึดอัดไปมากกว่านี้ ร่างเล็กก็หัวเราะขึ้นมาเหมือนตลกอะไรนักหนา วางสิ่งที่คีบลงบนจานแทน





          สะใจชะมัด





          ชะเอมเบือนหน้ามองออกไปข้างนอกกระจกใสราวกับมีอะไรน่าสนใจมากกว่าข้างใน แต่หูก็ยังได้ยินบทสนทนาที่ไม่อยากได้ยิน



          “เสียดายจัง เพิ่งมาถึงแปปเดียวพ่อคินก็ไปซะแล้ว อยากคุยมากกว่านี้แท้ๆ น้า คุณอามาดเข้มมากเลย”



          “เอาน่า พ่อยุ่งๆ น่ะ”



          “นั่นสิเนอะ งั้นไว้ครั้งหน้าถ้าคินกเรย์ขอมาอีกนะ”



          “...อืม”


         
          "แล้วหลังจากพาเอมไปโรงพยาบาล เราจะไปไหนกันต่อมั้ยคิน"



          "เรย์อยากไปไหนล่ะ"



          "อืม..." ร่างเล็กทำท่านึก "อันที่จริงเรย์อยากกินไอติมที่นี่ต่อแต่สงสัยต้องเปลี่ยนโปรแกรมแล้วล่ะ เพราะคินมี 'ธุระ' ต่อนี่นา"



          "เมื่อวานเพิ่งกินไป นี่จะกินอีกแล้วเหรอ?" เสียงทุ้มหัวเราะขำปนเอ็นดูยิ่งทำให้ชะเอมจิกแขนแน่นจนเป็นรอยเล็บ


          อย่าร้องไห้นะ ชะเอม...อดทนไว้





          ภาพคนที่เดินผ่านไปมาข้างนอกจู่ๆ ก็เบลอพร่าไปหมด ร่างบางกระพริบตาหนักๆ หลายทีเพื่อไล่น้ำตา



          “โธ่ คินก็รู้ว่าเรย์ชอบกินไอติมมากกกขนาดไหน”


          เสียงหัวเราะต่อกระซิกอย่างมีความสุขของสองคนที่ยิ่งทำให้คนที่สามนั่งฟังก็ยิ่งห้ามน้ำตาได้ยากมากขึ้นทุกที นานจนทนไม่ไหว ร่างบางผุดลุกขึ้นเดินออกมาจากร้านทันที





          "เอม เดี๋ยว! จะไปไหน" ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มไล่ตามหลังมายิ่งทำให้ชะเอมเร่งฝีเท้าเดินหนี เช็ดน้ำตาที่เอ่อออกมาด้วยแขนเสื้อ






          "โอ๊ย!!" มือใหญ่คว้าเข้าเต็มๆ ที่ต้นแขนเล็กโดนเข้าที่แผลจังๆ





          "เป็นอะไรเอม" คินถามขมวดคิ้ว แต่มือไม่ได้ปล่อย กลับจับแน่นกว่าเดิมเพราะกลัวร่างบางจะเดินหนีไปอีก





          "เจ็บ คิน...ปล่อย ฮึก" ชะเอมไม่ได้ฟัง มืออีกข้างพยายามแกะมือใหญ่ที่จับแน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งเรื่องเมื่อครู่แล้วยังความเจ็บที่ได้รับทำให้น้ำตายิ่งไหลอาบหน้า



          “เอม...อย่าดิ้น”





          คินพูดแต่ดูเหมือนร่างเล็กจะไม่ยอมฟัง ทั้งดิ้นพล่าน ทั้งตะกุยแกะมือของคินที่จับตัวเองเหมือนรังเกียจกันก็ไม่ปาน ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นทำให้คินยิ่งบีบแขนเล็กแน่นไม่รู้ตัว ขายาวเดินลากคนผอมให้ตามกลับไปทางเดิม ซึ่งร่างบางขัดขืนไม่ได้เพราะความเจ็บ



          “ฮึกกก...เจ็บ ปล่อยแขนเอมนะ”



          “ถ้าคินปล่อยก็ห้ามวิ่งหนี” คินหยุดเดินหันมาต่อรอง ชะเอมพยักหน้ามุ่ยรัว



          “หยุดร้องไห้ด้วย” คำตอบที่ได้รับคือพยักหน้าอีกที ร่างสูงวางใจเลยค่อยๆ คลายมือออก ชะเอมกอบกุมต้นแขนตัวเองทันทีแต่ก็ไม่กล้าแตะแรง แถมยังรู้สึกเหมือนแผลเต้นตุบๆ อย่างกับมีชีพจรอยู่ในนั้น คินมองใบหน้ามนที่เบะปากเบ้หน้าอย่างรู้สึกประหลาดใจ



          “ร้องไห้ทำไม” คินถาม รีบคว้ามืออีกคนจับเพราะเห็นทำท่าจะเดินถอยหนีอีก แต่คราวนี้ไม่มีท่าทีขัดขืนเหมือนตอนแรก



          “เจ็บแผล” กับเพราะเรื่องที่คนตรงหน้าคุยกระหนุงกระหนิงกันในร้านอาหารเหมือนเห็นเขาเป็นอากาศธาตุนั่นแหละ ร่างสูงถอนหายใจกับคำตอบสั้นห้วนของคนตัวสูงแค่จมูก



          และเขาก็เพิ่งสังเกตสัมผัสใต้ฝ่ามือว่าชะเอมผอมลงขนาดนี้...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน



          "ทำไมไม่บอกว่าคินจับโดนแผล" คินขมวดคิ้ว ร้องไห้โวยวายจะไปรู้ได้ยังไง

          แล้วคินสนใจด้วยเหรอ...ชะเอมคิด





          “จู่ๆ เดินออกมาทำไม” คินถอนใจ ถามดีๆ ก็ไม่ตอบ





          “...คินยุ่งอะไรด้วย” เอมเบือนหน้าหนี หูยังคงได้ยินเสียงของทั้งสองดังก้อง จำบทสนทนาได้เป็นอย่างดี เรียกความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาในอก “เอมจะไปไหนก็เรื่องของเอม”





          “ตอบไม่ตรงคำถาม”





          “...”





          “เฮ้อ ทำไมทำอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้”





          “ใช่! เอมไม่มีเหตุผลแล้วไง” ร่างบางตวาด “คินจะมายุ่งทำไม”





          “ชะเอมที่คินรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้” คินยิ่งคุยยิ่งรู้สึกเหมือนกับคุยกันคนละเรื่อง ตอนแรกหวังว่าจะได้เคลียร์และทำความเข้าใจเรื่องที่ทะเลาะกันก่อนหน้า วันนี้คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องซะแล้วมั้ง





          “เอมก็เป็นแบบนี้แหละ ก็เอมไม่ใช่เรย์นี่” น้ำเสียงเอือมระอาของคิน ยิ่งทำให้ชะเอมเอ่ยประชด ทั้งๆ ที่สิ่งที่อยากจะคุยด้วยมันไม่ใช่แบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการพูดแบบนี้



          เพราะน้อยใจ...





          “เอม! อย่าประชด...เรย์เขาเกี่ยวอะไรด้วย”



          อ๋อ...พูดถึงไม่ได้เลยงั้นสิ แค่พูดชื่อมันขึ้นมาไม่ได้เลย







          “ปกป้องกันนักก็กลับไปหามันสิ จะออกมาตามเอมทำไม!” ร่างบางสะบัดมือหวังให้การเกาะกุมหลุดออก แต่ไม่เป็นผล



          >>>>>>>>>>>>>>>>>>ติดตามต่อด้านล่างจ้า<<<<<<<<<<<<<<<<





หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 5 วันที่ 06/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 06-10-2018 23:31:38



        >>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนเด้อจ้า<<<<<<<<<<<<<<






          "คิน! เป็นอะไรรึเปล่า" เรย์ที่เพิ่งเดินมาจากร้านเดิมไม่ไกลก็เจอคนที่ตามหา สายตาจับจ้องมองมือที่จับกุมกันแน่น "ออกมาตั้งนานแล้วเรย์เลยมาตาม มายืนยุดยื้อเถียงอะไรกันเสียงดังตรงนี้ คนเขามองกันหมดแล้ว"





          พอเห็นใครเดินมา มือบางยิ่งสะบัดแรงขึ้น แกะก็แกะไม่ออก และดูเหมือนร่างสูงก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย





          "มัวทำอะไรอยู่ ของบนโต๊ะยังเหลืออีกเพียบเลย กลับไปกินข้าวกันเถอะ" ร่างบางคว้าแขนคิน ก่อนเอ่ยตำหนิอีกคน "แล้วเอม จู่ๆ เดินออกมาทำไม รู้มั้ยทำแบบนี้เดือดร้อนคนอื่น คินยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย"





          "ไม่เป็นไรเรย์ คินกินไปนิดหน่อยแล้ว" ชะเอมมองสายตากับคำพูดที่เหมือนเป็นห่วงกันของคนสองคน ก็เม้มปากแน่น ลำคอส่งเสียงหึเหมือนไม่สน แต่ใจก็รู้สึกเป็นห่วง





          "คินไปสิ มีคนมาตามแล้วนี่"





          "เอมก็ต้องไปกับคิน” คินจับมือบางแน่น กลายเป็นว่าทั้งสามคนเกาะเกี่ยวกันเหมือนกับว่าร่างสูงกำลังควงหนุ่มน่ารักสองคนไปเดทยังไงยังงั้น



          “บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง!”



          “ไม่ยุ่งไม่ได้ พ่อบอกให้พาเอมไปโรงพยาบาล เดี๋ยวคินพาไป"



          อ้อ...แสดงว่าที่ตามมาตั้งแต่แรกไม่ใช่เพราะเป็นห่วง



          'รับผิดชอบ'



          "เอมไปเองได้ คินปล่อย" คำๆ หนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ชะเอมน้ำตารื้น ใบหน้าของคนที่ชอบบัดนี้พร่ามัว



          ทำไมวันนี้ถึงบ่อน้ำตาตื้นนักนะ

          คิน...เพราะคนนี้คนเดียวที่ทำให้เขากลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้...





          “ไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวคินพาไป” คินกระชับมือดึงให้ร่างบางเดินตาม





          “ถ้าชะเอมเค้าว่าอย่างนั้น ก็ให้เค้าไปเองเถอะคิน ไม่ใช่เด็กอนุบาลซักหน่อย” เรย์ที่ได้แต่มองก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้กับความเล่นตัวของชะเอม แถมหมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีกที่คินจับมืออีกคนไม่ปล่อย ยื้ดยุดกันกลางห้างอย่างกับเหมือนแฟนที่ทะเลาะกัน



          ร่างบางมองคนตัวเล็กกว่าด้วยหางตาเหมือนเข้าใจเรื่องต่ำๆ ที่อีกคนคิด ก่อนหันไปย้ำกับคิน





          “ตามนั้นแหละ ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณลุงถามอะไรเอมจะบอกให้นะ เอมจะไลน์ไปบอกคินด้วย จะได้ตอบตรงกัน คุณลุงจะได้ไม่สงสัย”





          “...” คินเพียงปรายตามองคนที่พูดละล่ำละลัก ไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไร





          ชะเอมรู้ว่าที่คินทำแบบนี้เพราะเกษมศักดิ์ฝากให้ดูแล





          ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าตลอดมาที่คินคบเขาเพราะต้องการจะทำตามคำพูดที่คุณลุงบอกเอาไว้ตั้งแต่สมัยเด็ก...ไม่อยากยอมรับแต่มันก็เป็นอย่างที่เรย์พูดไม่มีผิด







          ถึงจะรักคินมากแค่ไหน แต่เขาไม่ต้องการความเห็นใจจากคนที่ถูกบังคับให้ทำถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจ







          "แล้วอีกอย่างคินก็ต้องพาเรย์ไปต่อ เอมไม่อยากรบกวนหรอก" ร่างบางก้มหน้าพูด สัมผัสจากมือใหญ่ละออก ทำให้ใจน้อยๆ ยิ่งวูบโหวง





          “พูดพอรึยัง”



          แต่แล้วมือบางถูกคว้าเอาไว้อีกครั้งก่อนถูกลากให้ก้าวตามไป





          “เรย์ไปจัดการเรื่องค่าอาหารให้หน่อยเดี๋ยวคินคืน” คินบอกนิ่ง เรย์พยักหน้าอย่างจำใจ คนตัวเล็กรู้ว่าเวลาไหนควรพูดอะไรไม่ควรพูดอะไร และตอนนี้คินก็กำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง





          “คินอยากคุย...เรื่องครั้งก่อนนะ เอมไม่อยากคุยเหรอ” เมื่ออยู่กันสองคนอีกครั้ง จู่ๆ คินก็พูดขึ้นมา ชะเอมแค่นเสียง





          “คนที่ไม่อยากคุยคือคินมากกว่ามั้ง”





          “หมายความว่าไง”





          “ก็ใครล่ะ บอกว่าจะกลับมาคุยกัน แล้วตอนนั้นคินหายไปไหนตั้งสามวัน กลับมาก็เก็บข้าวของไป แล้วอย่างนี้จะต้องคุยอะไรอีกเหรอ! มีอะไรอีกที่เราต้องเคลียร์กัน...ทั้งที่มันชัดเจนอยู่แล้วแท้ๆ” ชะเอมตัดพ้อ ทำไมต้องทำให้เขานึกถึงมันขึ้นมาอีก แค่อยากจะลืมยังทำไม่ได้เลย





          ทุกๆ การกระทำมันชัดเจนว่าคิน...เลือกเรย์





          “นั่นน่ะ...”





          “ดูเหมือนพ่อของคินจะจัดการให้แล้วล่ะ” เรย์วิ่งกลับมาบอก คินเพียงพยักหน้าให้ ก่อนหันไปมองหน้าร่างบางสื่อความหมายว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันซึ่งชะเอมไม่เข้าใจ เดินก้าวขายาวนำทาง จนทำให้คนขาสั้นทั้งสองต้องก้าวเร็วกว่าเดิม





          “คิน...จะไปไหน เอมบอกแล้วไงว่าไปโรงพยาบาลเองได้”





          “อย่าดื้อ!” คินบอกสั้นๆ คำเดียว จากนั้นไม่ว่าชะเอมจะพูดจะโวยอะไรจนคนมอง คินก็ไม่สนใจ





          อีกอย่างชะเอมก็รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ สักพักก็ไม่พูดอะไรอีกจึงเดินตามมาสงบเสงี่ยม





          ทั้งสามเดินจนมาถึงลานจอดรถ คินก็ดันชะเอมขึ้นที่นั่งข้างคนขับ เรย์รู้หน้าที่ก็นั่งข้างหลัง ร่างสูงอ้อมขึ้นรถปิดประตูและบึ่งออกมาทันที ท่ามกลางจราจรอันติดขัดและท้องฟ้ามืดครึ้ม





          จุดหมายคือโรงพยาบาล









          ************************Whose fault? ************************









          ทั้งสามมาถึงโรงพยาบาลโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ จนน่าอึดอัด คินติดต่อแพทย์กฤษณะที่จะเข้าพบก่อนเดินนำร่างเล็กทั้งสอง ที่เรย์ได้แต่เดินตามมาหน้าห้องตรวจ





          “เรื่องที่คุยกันค้างไว้...ไว้ให้อาหมอดูแผลเอมเสร็จแล้วค่อยคุย” คินถอนใจที่ชะเอมทำเหมือนคำพูดของเขาเข้าหูแล้วก็ทะลุออกไปโดยไม่ผ่านสมอง





          “เรย์รออยู่ด้านนอกนะ”





          “ไม่ต้อง! นั่งรอข้างนอกทั้งคู่แหละ หรือไม่ก็ไปทำ‘ธุระ’ที่พวกคินคุยกัน เอมกลับเองได้ โอเคนะ” ชะเอมยกมือขึ้นท่าปรางห้ามญาติเบรคร่างสูงที่คิดจะเข้าไปพบอาหมอกับเขา







          ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด







          ชะเอมเลื่อนประตูแล้วแง้มปิดทันที ไม่ทันให้คินถามหรือพูดอะไร







          ************************Whose fault? ************************













          สวัสดีค่ะ ทุกโคน

          ใครหมั่นไส้เรย์ก็อดทนไว้ก่อนนะ  :katai1: คนแบบนี้จะต้องได้รับกรรม
         

          ถึงชะเอมเป็นเด็กดี แต่เวลาขัดใจก็งี่เง่าเหมือนกันนะตะเอง (กับคินคนเดียวด้วย)

          ให้กำลังใจรุยด้วยน้า เจอกันตอนหน้าจ้า รักคนอ่านทุกคน เลิฟเลิฟ

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 5 วันที่ 06/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 07-10-2018 10:27:55
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 5 วันที่ 06/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 07-10-2018 11:06:11
อยากอ่านต่อแล้วววววววววว // เรย์นี่มีนเรย์ยา!  :katai1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 6 วันที่ 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 07-10-2018 21:27:53






                                                                 Whose Fault ?



                                                                   ผิด...ครั้งที่ 6









            โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม













            ฟู่...



            ชะเอมเป่าลมโล่งอก



            “อ้าว ชะเอม”



            “เอ่อ สวัสดีครับ อาหมอ” ชะเอมค้อมหัวแทบไม่ทัน...เมื่อกี้เผลอทำท่าแปลกๆ ไปแล้วสิ



            “ทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงหน้าประตู มานั่งนี่สิมา” น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนคล้ายกับเกษมศักดิ์มาก ทำให้ชะเอมรับคำอย่างว่าง่าย รู้สึกวางใจเหมือนไม่เคยมีเรื่องอึดอัดมาก่อนหน้านี้



            “...ครับ”



            “แล้วนี่ไปทำอะไรมา หื้ม ตอนพยาบาลมาแจ้งว่ามีคนขอพบอาก็สงสัยอยู่ว่าใคร...ครั้งก่อนที่มาหาอายังไม่ถึงอาทิตย์เลย นี่มาอีกแล้วเหรอ” กฤษณะแซวอย่างหยอกล้อ



            “พอดีว่า...เมื่อเช้าเอมล้มนิดหน่อยครับ แล้ววันนี้ดันนัดกินข้าวกับคุณลุง กะจะปิดแต่คุณลุงรู้ซะก่อน เลยไล่ให้มาหาอาหมออ่ะครับ นี่ถ้าไม่มาหาเดี๋ยวคุณลุงก็โทรมาเช็คอีก” เด็กน้อยหย่อนตัวลงนั่งเล่าหมดเปลือก แถมยังเกาหลังคอหัวเราะแหะๆ ปิดท้าย



            "พักผ่อนไม่พอ บวกกับมีเรื่องเครียดแถมมาครั้งนี้ยังเอาแผลมาให้ดูอีก ยังไงกันเนี่ย นี่ถ้าเอมเป็นเด็กอาตีตูดแดงไปแล้วนะ"



            "ขอโทษครับอาหมอ พอดีเอมซุ่มซ่ามไปหน่อยก็เลย...” ร่างบางรู้ว่าแก้ตัวยังไงก็ไม่ขึ้น จริงๆ มันก็ไม่ใช่แผลหรอกครับ ก็แค่รอยช้ำเอง"



            เพราะรู้ว่าโกหกเรื่องอาการอย่างไรก็โกหกไม่ได้เพราะเดี๋ยวยังไงสุดท้ายคุณหมอคนเก่งคนนี้ก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี



            กฤษณะรู้จักกับชะเอมมานานแล้ว นานเกือบจะเท่ากับอายุของร่างบาง เพราะเคยเป็นคนไข้คนสำคัญแถมยังเป็นลูกบุญธรรมของรุ่นพี่ที่สนิทกันอย่างคุณเกษมศักดิ์ที่ตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจชื่อดังระดับร้อยล้านอีกด้วย สมัยก่อนเกษมศักดิ์ยังถูกเรียกว่าหนุ่มหล่อรวยเพอร์เฟคต์เก่งไปซะทุกด้าน...เหมือนกับลูกชายของเขา...เหมือนคินตอนนี้ไม่มีผิด



            “มา งั้นเปิดไอ้แค่รอยช้ำของเอมให้อาดูหน่อยซิ” กฤษณะบอกแซวๆ ซึ่งเอมก็ถกแขนเสื้อขึ้น แต่พอพับไปถึงศอกก็ร้องขึ้นมาเบาๆ เพราะเนื่องจากรอยช้ำมันน่าจะอักเสบมากจนไม่สามารถไปโดนมันได้แม้จะแค่เบาๆ ก็ตาม แถมตอนนี้ก็ยังรู้สึกถึงเส้นเลือดบริเวณขมับเต้นตุบๆ เล็กน้อย เจ็บคอ ลมหายใจร้อนผ่าว มือบางพยายามปราณีตพับแขนเสื้อให้เบาที่สุดแต่ยังไงก็แตะโดนบริเวณที่เจ็บอยู่ดี เอมจึงต้องเอาแขนเสื้อลงก่อนปลดกระดุม “ขอโทษนะครับ”



            กฤษณะนั่งมองขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ก่อนเบิกตากว้างเมื่อร่างบางถอดเสื้อเชิ้ตแล้วหันหลังให้ เห็นรอยช้ำน่ากลัวยาวตั้งแต่เหนือข้อศอกเลยขึ้นไปกินบริเวณต้นแขนเกือบทั้งหมด ยิ่งผิวขาวๆ ของชะเอมยิ่งขับให้สีแดงม่วงก่ำเด่นชัดขึ้นจนคนมองเหยหน้าเจ็บแทน



            "ให้ตายสิ นี่มันไม่ใช่แค่รอยช้ำแล้วเอมเอ๊ย” ไปล้มอีท่าไหนถึงได้รอยฝากขนาดนี้ กฤษณะจับไหล่บางเข้ามาดูใกล้ๆ พยายามไม่แตะเข้าใกล้รอยน่ากลัวมาก เพราะเขาสังเกตเห็นอาการที่แสดงออกตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นี่แค่แตะไหล่ยังสะดุ้ง...อาจเพราะหวาดกลัวอาการเจ็บปวดที่จะได้รับ



            นับว่าเกษมศักดิ์คิดถูกแล้วที่ไล่ให้เจ้าตัวเล็กนี่มาหาหมอ ไม่งั้นเจ้าตัวคงจะไม่มาหาเองแน่ถ้าไม่อาการหนักจนทนไม่ไหว



            “แล้วคินล่ะ อายังไม่เห็นเลย ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ นี่ดูแลกันยังไง มันน่าจับตีก้นทั้งคู่เลย" กฤษณะบ่นยาวตามประสาคนวัยทองโดนขัดใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่ในสายตาของเขาก็ยังมองเห็นทั้งคู่เป็นเด็กน้อยเสมอ



            "น่าจะอยู่ข้างนอกครับ พอดีเค้าพาเพื่อนมาด้วยเอมเลยให้นั่งรอข้างนอก" เอมบอกเสียงหงอยเซื่องซึม



            ป่านนี้ไม่รู้จะกลับไปรึยัง...อาจจะไปหาอะไรกิน เดินเล่นสนุกสนานกับเรย์แล้วก็ได้



            "ไม่ให้เข้ามาจะดีเหรอ นี่เอมมีไข้อ่อนๆ ด้วย น่าจะเพราะรอยช้ำที่กระแทกอย่างแรง ไม่คืนนี้หรือพรุ่งนี้อาจจะมีไข้หนักได้ ควรมีใครมาฟังอาการเพื่อกลับไปจะได้ดูแลอย่างถูกต้องนะ" กฤษณะบอกอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่แค่ในฐานะหมอคนหนึ่ง แต่เพราะเขาเคยดูแลชะเอมตั้งแต่ที่เกษมรับมาเลี้ยงใหม่ๆ ดังนั้นเด็กคนนี้ก็เปรียบเสมือนหลานแท้ๆ ของเขา



            “ไม่ต้องหรอกครับ พอดีช่วงนี้คินทำงานกลุ่มค้างหอเพื่อน เอมไม่อยากรบกวน”



            “อ้าวเหรอ งานกลุ่มมันยุ่งขนาดนั้นเชียว...หรือจะให้อาคุยกับคินให้ดี อาการเอมน่าเป็นห่วงกว่านะ เป็นหนักแล้วไม่มีใครดูแลมันจะลำบาก” กฤษณะคิดก่อนเสนอ แน่นอนว่าชะเอมที่ฟังก็ส่ายหน้าหวือทันที



            “ไม่ต้องหรอกครับ เอมไม่เป็นไร เดี๋ยวกินยาที่อาหมอให้ก็น่าจะหายแล้วล่ะครับ ยาอาหมอดีที่สุด” ชะเอมยกนิ้วโป้ง ปากชมเปาะ แต่ตาไม่ยอมสบ ทำให้กฤษณะรู้ทันที



            เด็กคนนี้ จะขี้เกรงใจถึงไปไหนนะ



            “โอเค...ถ้าเอมไม่เรียก งั้นอาไปเรียกเอง อยู่หน้าห้องใช่มั้ย” นายแพทย์ยกมือเท้าโต๊ะทำท่าจะยันตัวขึ้นยืน ทันใดนั้นร่างบางก็รีบยกมือห้ามอย่างที่คิด



            "โอเคครับ ถ้างั้นเดี๋ยวเอมค่อยไปบอกคินต่อก็ได้" ชะเอมรู้ว่าดื้อไปก็เท่านั้น ขี้เกียจปฏิเสธ สู้รับปากไปก่อน แต่จะทำตามที่บอกไหมนั่นอีกเรื่อง



            แล้วเขาก็ไม่อยากให้คินมาดูแลเพราะสงสาร...เขาอยากให้คินมาดูแลเพราะอยากดูแลกันจริงๆ



            นายแพทย์กฤษณะฟังแล้วถอนหายใจ
           


            "แล้วยาที่อาให้ไว้เมื่อเดือนก่อนกินตามที่บอกทุกวันรึเปล่า"



            "ครับ อาหมอ แล้ว...อาหมอไม่ได้บอกคุณลุงใช่มั้ยครับ?"



            "อืม ก็ยังไม่ได้บอกนะ...แต่เอมต้องกินยาตามที่บอกและมาตรวจทุกเดือนตามนัดของอา ถ้าเห็นว่าอาการคงที่ ไม่มีอะไรผิดปกติ อาก็จะไม่บอก สัญญาได้รึเปล่า?" กฤษณะต่อรอง ใจจริงเขาไม่อยากปิดบัง แต่เขาก็เป็นอีกคนที่แพ้ลูกอ้อนของชะเอม ตอนนี้ยังพออนุโลมได้เพราะอาการยังไม่หนักมาก อาการที่เคยหายขาดไปนานหลายปีกลับมากำเริบอีกครั้งเมื่อประมาณเดือนก่อน ชะเอมโทรมาหาบอกว่ามีอาการเจ็บช่วงอก เขาจึงนัดมาตรวจก็พบว่าร่างบางมีอาการเครียดหนักและอยู่ในสภาวะอารมณ์กดดันทำให้ร่างกายรับภาระหนักและอาการแย่ลง กฤษณะจึงต้องจัดยาที่เคยร้างรามานานให้กินตามเวลาอย่างเคร่งครัดอีกครั้ง โรคนี้ใช่ว่าจะหายขาดไม่ได้ แต่ต้องดูแลอาหารการกินอย่างดี และการพักผ่อนต้องเพียงพอ แน่นอนว่าเรื่องอารมณ์ก็เช่นกัน สภาพแวดล้อมจึงสำคัญมาก



            "ครับ"



            “แต่อาบอกตามตรงนะว่าอาก็ยังไม่เห็นด้วยที่เอมปิดบังเรื่องนี้กับพี่เกษม” กฤษณะพูดขึ้น จริงๆ เคยบอกเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เจ้าตัวซึ่งขี้เกรงใจไม่มีใครเกินทำให้ปฏิเสธที่จะฟัง “เอมเคยคิดบ้างมั้ยว่าเขาจะรู้สึกยังไงถ้ามารู้ทีหลัง หืม”



            ร่างบางชะงัก เมื่อเสียงทุ้มของกฤษณะสะกดจิตเขาให้กลับมานั่งคิด...ไม่เคยคิดเลย เคยคิดแต่ว่าไม่อยากทำให้คุณลุงเป็นห่วงหรือกังวล ถ้าหากว่าเขาเป็นอะไรขึ้นมาก็ยังมีคินที่เป็นสายเลือดแท้ๆ ของตนเหลืออยู่



            “อาอยากให้เรารู้เอาไว้ ไม่ว่าเอมจะคิดอะไรก็ตาม พี่เกษมเขาก็รักเอมเหมือนลูกแท้ๆ คนหนึ่งนะ” แพทย์กฤษณะพูดราวกับอ่านใจตนออก “เพราะฉะนั้นถ้าเขารู้ เขาจะต้องเสียใจมากแน่ๆ”



            และอีกอย่างถ้าหากเกษมศักดิ์มารู้จากปากกฤษณะทีหลังว่าชะเอมลูกสุดที่รักของตัวเองป่วย เขาต้องคอขาดไม่ได้ผุดได้เกิดแน่...แค่นึกถึงดีกรีอดีตเฮดว้ากรุ่นแรกอย่างรุ่นพี่เกษมก็ทำให้เขาเสียวสันหลังขึ้นมาได้อีกครั้ง



            “เอมอยากเห็นคุณลุงร้องไห้เหรอ”



            “ไม่...ไม่ครับ อาหมอ” จู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นมาไร้สาเหตุ มือยกขึ้นขยี้ตาทันที



            “ถ้างั้นเก็บเรื่องที่อาพูดวันนี้ไปคิดให้ดีนะ” แพทย์วัยสี่สิบกว่าเห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้าน้ำตาซึมก็ยิ้มพอใจ ยังไงซะคนที่เด็กคนนี้ก็ยังอ่อนโยนไม่เปลี่ยน ต้องนึกถึงเกษมศักดิ์เป็นอันดับแรกอยู่แล้ว "เอาล่ะ งั้นสำหรับวันนี้อาให้ยาแก้ปวดระงับแผลอักเสบ ยาแก้ไข แล้วก็ยานวดไว้นะ กินตามที่หน้าซองเขียนไว้ ส่วนยาทาก็ใช้จนกว่ารอยช้ำจะทุเลาลงนะเอม"



            "ครับ"



            “แล้วก็ช่วงนี้อย่าพยายามขยับแขนมาก อารู้ว่าทำได้ยากเพราะเป็นแขนข้างที่เราถนัด...ใส่เสื้อที่ถอดง่ายใส่ง่าย ไม่ต้องลำบากยกแขนขึ้น” กฤษณะพูดในขณะตวัดเขียนสติกเกอร์หน้าซองใส่ยาด้วยลายมือที่อ่านไม่ออก "อาทิตย์หน้ามีนัดตรวจกับอา ห้ามเลื่อน ห้ามลืม และมาให้ตรงเวลา เข้าใจนะ"



            "ครับ ขอบคุณมากครับอาหมอ" ชะเอมยิ้มอ่อนยกมือไหว้ก่อนลุกขึ้น



            "ป่ะ เดี๋ยวอาไปส่ง" กฤษณะเดินไปเลื่อนประตูเปิด



            ครืด...



            "สวัสดีคิน" กฤษณะเอ่ยทักทายคนนั่งรอหน้าห้อง



            ชะเอมรู้สึกแปลกใจที่คินยังอยู่...และแน่นอนว่าถ้าคินยังอยู่เรย์ก็ต้องอยู่



            "หวัดดีครับ อากฤษ" คินลุกขึ้นไหว้ เรย์ที่นั่งข้างๆ ก็ลุกตาม ไหว้บ้างแล้วส่งยิ้ม



            "สวัสดีครับคุณหมอ" คำทักทายเป็นกันเองเหมือนเคยเจอกันมาก่อน ทำให้ชะเอมมองอย่างแปลกใจ



            "อ้าวเรย์ นี่มาด้วยกันเหรอ หรือว่าไปทำอะไรมาอีก ฮึ? แผลคราวที่แล้วดีขึ้นเยอะแล้วนะ เห้อ เด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่รู้จักระวังเอาซะเลย" กฤษณะตบไหล่เล็ก ประโยคหลังพึมพำแต่ร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ยังได้ยิน ชะเอมหน้าชา เพราะนึกขึ้นได้ว่าที่คินพาเรย์มาโรงพยาบาลครั้งก่อนคงเป็นที่นี่ และคนที่ทำแผลให้คงเป็นอากฤษนี่แหละ ไม่งั้นคงไม่ทักทายเหมือนคนรู้จักกันแบบนี้



            "ครับ เพราะคุณหมอทำแผลให้ กับคินที่ช่วยดูแลให้ทุกวันก็เลยหายเร็วแบบนี้ล่ะครับ" เรย์เบ่งกล้ามทำท่าเหมือนคนแข็งแรง น่าเอ็นดูจนเรียกเสียงหัวเราะก้องโถงทางเดิน



            แน่ล่ะว่าชะเอมยืนนิ่งไม่มีอารมณ์ร่วมหัวเราะไปด้วยแน่ๆ



            “อ้าวคิน อย่ามัวแต่ดูแลเรย์จนลืมชะเอมนะ วันนี้อาการไม่ค่อยดีด้วย อาว่า...”



            "ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะไปห้องน้ำแล้วขอตัวกลับเลยครับ สวัสดีครับอาหมอ" ชะเอมแทรกขึ้นตัดบทบอกลาผู้อาวุโสที่สุดก่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางทันทีไม่สนใจคนที่เหลือ เขาไม่หวังให้คินไปส่งที่คอนโดอยู่แล้ว ถึงคุณลุงจะบอกให้พามาโรงพยาบาล แต่แน่นอนขากลับเขากลับเองได้เพราะเขารู้ว่าคินมี 'ธุระ' ต้องไปทำต่อ



            แต่...



            ซ่า



            ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่ค่อยเป็นใจ



            ร่างบางถอนหายใจ มองหยาดฝนที่หล่นมาจากทั่วท้องฟ้าปกคลุมสถานที่ที่เขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที ลมหายใจร้อนผ่าวมากขึ้นจนจนอยากจะกลับไปพักไวๆ

            ท่ารถแทกซี่อยู่ไกลออกไปแต่ไม่ได้ไกลเกินกว่าจะเดินไปไม่ได้ อาจจะตัวเปียกนิดหน่อยคนขับจะให้ขึ้นรถรึเปล่าเท่านั้น...ละอองฝนที่กระเซ็นมาถึงที่ที่ชะเอมยืนอยู่ทำให้รู้สึกหนาวแม้จะใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวก็เถอะ ขาเรียวต้องก้าวถดตัวกลับมาอีกนิด



            หรือว่าจะรออีกสักพักให้ฝนซาก่อนดี...



            "ไม่เข้าห้องน้ำแล้วเหรอ"



            "..!" คนที่กำลังยืนเหม่อถึงกับสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆ ใครก็ไม่รู้ข้างๆ เอ่ยขึ้นมา ชะเอมผละออกมาอัตโนมัติห่างประมาณสองสามช่วงไหล่ สายตาเผลอกวาดมองหาใครอีกคน



            "คุณหมอเรียกคินไปคุย ไม่ต้องหาหรอก"



            เรย์บอก ชะเอมไม่ตอบอะไรกลับไป ถอยออกมาอีกสองก้าว



            เขาไม่อยากอยู่ใกล้ๆ กับเรย์ตามลำพังอีก...ขืนเกิดอะไรขึ้นมาไม่วายความซวยจะต้องมาลงที่เขา



             แต่คนตัวเล็กกว่าเดินตามติดประชิดตัวจนสุดขอบที่ฝนสาดที่ดูเหมือนจะหนักมากขึ้น ตากลมใสตวัดมองแบบไม่ชอบใจ แต่ก็ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไร



            "ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ นี่ตามมาเพราะอยากมาเคลียร์เรื่องเก่าๆ นะเนี่ย บอกมาสิเคืองอะไร ฉันสิต้องเคืองนายไม่ใช่เหรอ ดูดิ แผลที่นายตบฉันน่ะ เกือบหายละ" นิ้วจิ้มจึกๆ ที่แก้ม ทั้งท่าทาง สีหน้า น้ำเสียงล้วนแล้วเต็มไปด้วยความยียวน เรียกอารมณ์กรุ่นของชะเอมได้เป็นอย่างดี แต่เขาไม่อยากซ้ำรอยเดิม เขารู้ความร้ายกาจของเรย์แล้ว และจะไม่มีทางตกหลุมกับดักที่ใครอีกคนขุดไว้อีกเด็ดขาด เพราะว่าตกไปแล้วยากที่จะขึ้นมา



            ถึงจะขึ้นมาจากหลุมได้ ก็ใช่ว่าสภาพจะเหมือนเดิม



            ถ้าเลี่ยงได้ เขาก็จะเลี่ยง



            ร่างบางตัดสินใจเดินฝ่าฝนออกไปหารถขึ้นกลับบ้าน เพราะถ้าเลือกยืนอยู่แบบมีความกวนใจ กับเดินเปียกไปเพื่อเลี่ยงคุยกับคนอย่างเรย์ ชะเอมเลือกอย่างสองโดยไม่ต้องคิด



            "เห้ย เดี๋ยวดิ!" ไม่น่าเชื่อว่าคนตัวเล็กจะตามมารังควานเขา คว้าแขนไว้แน่นซึ่งโชคดีไม่ใช่ข้างที่เจ็บ ทำให้ทั้งสองคนยืนยุดยื้ออยู่กลางฝนกระหน่ำบนถนนหน้าโรงพยาบาล



            "อะไรวะ คนคุยด้วยไม่คุยด้วย ไร้มารยาท"



            "ปล่อย!" เสียงตะโกนของชะเอมเบาไปเลยเมื่อโดนเสียงฝนกลบ



            "พ่อแม่ไม่สั่งสอนรึไง อ้อ ลืมไปนายมันไม่มีพ่อแม่นี่หว่า! ห้ะ!"



            "บอกให้ปล่อย!!" คราวนี้เขาโมโหจริงๆ แล้ว ความอดทนหมดทันทีเมื่อคำพูดฟังไม่เข้าหู ยิ่งขมับที่เต้นตุ้บๆ แรงโมโหก็ถูกจุดอย่างไม่ต้องมีใครเติมฟืน ชะเอมสะบัดแขนข้างที่ถูกจับอย่างแรง เพราะทั้งเปียกฝนและแรงเหวี่ยงทำให้มือลื่นหลุดง่ายดาย ร่างบางหลับหูหลับตาผลักใครอีกคนให้ออกไปให้ห่าง เตรียมวิ่งหนี



            ปริ๊นนน!!!





            โครม! ปั่ก!



            แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อจู่ๆ ร่างของเรย์ที่ถูกชะเอมผลักล้มถูกรถมอเตอร์ไซค์จากที่ไหนไม่รู้วิ่งเข้ามาชนจนร่างกระเด็นไปหลายเมตรเพราะแรงกระแทก





            ชะเอมตัวชายืนแข็งทื่อเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว



            ร่างของเรย์...นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น เลือดที่ไหลเจิ่งนองรอบตัวเริ่มไหลกระจายวงกว้างปะปนกับน้ำฝน



            เป็นเพราะเรา...ถ้าเราไม่...





            "ไม่...จริง..."







            ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เสียงโหวกเหวกโวยวายของคนในโรงพยาบาลที่วิ่งออกมาดู ไม่รู้ใครเป็นใคร หูของชะเอมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงซ่าของหยาดฝน



             >>>>>>>>>>>>>>>>>ติดตามต่อด้านล่างนะจ๊ะ<<<<<<<<<<<<<<<<<<<

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 6 วันที่ 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 07-10-2018 21:28:54



           >>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนเด้อจ้า<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<











            ตึกๆๆๆ



            "ญาติคนไข้รออยู่ด้านนอกนะคะ ห้ามเข้ามานะคะ ต้องรออยู่ด้านนอกค่ะ" พยาบาลบอกกับชะเอมที่แทบจะเข้าไปผ่าตัดด้วย ร่างบางถูกกันออกมาก่อนที่ประตูจะปิดลง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งเก้าอี้รออยู่หน้าห้องไอซียู หัวใจเต้นระรัวยังตื่นตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาไม่หาย



            ถึงจะเป็นคนที่ไม่ชอบ แต่เขาไม่เคยคิดอยากจะให้คนๆ นี้ตาย เขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

            ชะเอมคู้ตัวแผ่นหลังงองุ้ม กุมมือไม้ที่สั่นระริกแน่นราวกับภาวนา





            ขอร้องล่ะ...อย่าเป็นอะไรไปเลย





            ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ





            "ชะเอม!"



            เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นทันที เห็นกฤษณะใส่เสื้อกราวด์กำลังรีบร้อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาทางนี้พร้อมกับร่างสูงของคิน ร่างบางลุกขึ้น น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลทันทีเหมือนเห็นคนที่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้



            "อาหมอ อาหมอครับ"



            "ไม่เป็นไรเอม อามาแล้ว ใจเย็นๆ หน้าซีดมากเลย นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ"



            "อาหมอช่วยด้วย...ช่วยด้วยครับ" บัดนี้ชะเอมเหมือนเด็กน้อยที่ทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้จะทำยังไง ขนาดมือสั่นๆ ของตัวเองยังไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน



            "ใจเย็นๆ เอม นั่งรอตรงนี้ เดี๋ยวอามานะ เดี๋ยวอามา" มือใหญ่ลูบหน้ามนที่เปียกชื้นไม่รู้ว่าเป็นฝน เหงื่อ หรือน้ำตากันแน่ ซึ่งชะเอมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง



            "ฮึกๆ คะ ครับ" ตาได้แต่มองแผ่นหลังเดินผ่านเข้าประตูไป เมื่อประตูแง้มปิด ร่างบางถูกกระชากด้วยมือแข็งแรงคู่เดิมจากคนเดิมที่มองมาอย่างเขม็ง



            “มันเกิดอะไรขึ้น” คินเขย่าคนที่อยู่ในมือ ถามเสียงดังก้องทางเดิน เมื่อไม่ทันใจเพราะคนตรงหน้าไม่ยอมพูดอะไรเสียทีก็ต้องขึ้นเสียงให้ดังยิ่งกว่าเดิม "เกิดอะไรขึ้น...อธิบายมา!"



            "ขะ ขอโ...ทษ  คิน เอมขอโทษ"



            "คินไม่ต้องการคำขอโทษ ตอบมาว่าเกิดอะไรขึ้น!"



            "เอม...ไม่ได้ตั้งใจ...เอม...ผลักเรย์ ฮึก ละแล้ว ก็มีมอเตอร์ไซค์...มา...ชน" ร่างบางอธิบายไปสะอื้นไปอย่างน่าสงสาร ส่ายหน้าไปมาทั้งสับสนและยังสะเทือนใจ "เอมไม่รู้ เอมไม่ได้ตั้งใจ เอมขอโทษ" คินฟังแล้วนิ่งไปหลายนาที นิ่งไปจนน่ากลัว จู่ๆก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ



            "เรย์ไปทำอะไรให้นาย"



            คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ



            "เรย์ไปทำอะไรนายเหรอ ทำไมต้องทำถึงขั้นฆ่าแกงกันด้วย ห้ะ ตอบมาเซ่!" คินตะคอก ร่างบางยิ่งตัวสั่นขวัญเสียหนัก



            "เอมไม่ได้ตั้งใจนะคิน เอมไม่ได้ตั้งใจ"



            ในยามนี้ไม่มีใครที่สามารถปลอบใจเขาได้ ต้องเผชิญความเป็นจริงอันโหดร้ายเพียงลำพัง



            "ถ้าเรย์เป็นอะไรไป นายจะทำยังไง"



            "เอมไม่รู้” ร่างบางเสียงสั่นปากสั่น สะอื้นไม่มีน้ำตา



            “ไม่รู้ได้ยังไง! เขาเจ็บก็เพราะนาย...ถ้าเรย์ตาย ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!” คำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบ ยิ่งทำให้โมโหเลือดขึ้นหน้า ใส่แต่คำพูดเจ็บแสบคิดหวังว่าจะให้อีกคนสำนึกเพียงเท่านั้น



            อยากให้เจ็บ อยากให้สำนึก



            “เอมจะ...รับผิดชอบ"



            "นายจะรับผิดชอบยังไง รับผิดชอบไหวเหรอ" คินแค่นเสียงดูถูก นัยน์ตามีแต่ไฟสุม มองไม่เห็นว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาคือใคร



            รู้แต่ว่ามันเป็นคนที่ทำร้ายเพื่อนของเขา



            "ถะ...ถ้า ค่ารักษา เอม..."



            "หมายถึงเงินของพ่อเหรอ หึ" ร่างบางหน้าชา ถ้าเป็นคนอื่นชะเอมจะไม่เจ็บหัวใจเท่านี้เลย แต่นี่เป็นคิน น้ำเสียงดูถูกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน



            แค่คิดว่าที่คินทำแบบนี้ทั้งหมดก็เพื่อเรย์...เจ็บเหมือนถูกฉีกอกควักหัวใจออกมาเหยียบย่ำ



            "เงินแค่นี้ ครอบครัวเรย์เขาก็มีปัญญาจ่าย เงินของพ่อฉันเขาไม่ต้องการหรอก"



            "ละ แล้ว...ฮึก จะให้ทำยังไง" ร่างบางเสียงสั่นเครือทั้งไร้เรี่ยวแรง และหน้ามนก็ซีดเซียวเหมือนจะเป็นลม หนาวสั่นเพราะเสื้อเชิ้ตและกางเกงเปียกชื้นแนบเนื้อเย็นเฉียบ แต่น่าแปลกที่ลมหายใจกลับร้อนผะผ่าว



            "เอม ไม่รู้...คินจะให้ทำยังไง...ก็ได้" ตากลมกระพริบถี่เมื่อภาพร่างสูงตรงหน้าทั้งพร่าทั้งเบลอ ปลายนิ้วชาจนรู้สึกได้ จะประคองตัวให้ยืนอยู่ก็เหมือนจะทำได้ยากขึ้นทุกที



            "เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ" น้ำเสียงของคินช่างเย็นชาไร้ความรู้สึก ชะเอมช็อคตามองค้าง คิดอะไรไม่ออก “ฉันกับนาย”





            หัวใจเต้นช้าลง...





            “เป็น...อย่างอื่นไม่ได้...เหรอ ฮึก ทำไมถึงต้องขั้นเลิกกันด้วย” มือเล็กกำชายเสื้อของคินพยายามขอร้อง อะไรก็ได้



            ไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียวอีกแล้ว



            ความผิดของเขามันมากมายขนาดไหน



            “ยังต้องถามอีกเหรอ”



            “เอมไม่เข้าใจ ไม่เอาเอมไม่เลิกนะ” ทำไมร่างสูงถึงทำเหมือนไม่แยแส...ไม่แคร์ความรู้สึกของเราบ้างเลย



            ไม่อยากจบกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจ ความเข้าใจผิดที่ยังค้างคา



            “ฉันไม่อยากทนคบกับคนใจอำมหิตอย่างนายแล้ว!” คินปัดมือที่จับเสื้อของเขาออกอย่างแรง ในแววตาปนเปทั้งโมโห ทั้งโกรธ สุมอยู่ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเป็นเด็กกำพร้าโดนพ่อทิ้ง...เพราะนิสัยอย่างงี้ไง”



            “...”



            ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ็บจนชาไปแล้วหรือยังไง คำต่อว่าที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะออกจากปากของคนที่ชะเอมรักนั้นร้ายกาจจนใจของเขาแทบรับไม่ไหว มันช่างทรมาน



            ไม่อยากฟังแล้ว



            “เข้าใจแล้วก็ทำตามด้วย แล้วจากนี้ไปก็อย่ามายุ่งกับเรย์อีก”



            ...พอทีเถอะ







            ปึง!



            เสียงเปิดประตูทำให้ร่างสูงหันขวับ เดินตรงเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่



            “เป็นไงบ้างครับอาหมอ”



            "คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว"



            กฤษณะถอดหน้ากากปิดหน้าออก ด้านหลังตามมาด้วยเตียงเข็นร่างของเรย์นอนบอบช้ำพาไปอีกทาง คินก้มหัวขอบคุณกฤษณะก่อนเดินตามเตียงเข็นไปติดๆ ด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้ถามไถ่อาการอะไรจากกฤษณะอีกเพียงเพราะแค่ได้ยินคำว่าปลอดภัย...เดินไปไม่แม้แต่ชายตามองคนข้างหลัง



            “อะไรของเจ้าคิน” กฤษณะขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังใหญ่ที่เดินออกไป ก่อนจะผงะเมื่อมีแรงปะทะเข้าที่ลำตัว



            "อาหมอ" ชะเอมโผเข้าไปกอด ร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ”



            ถึงจะไม่ชอบยังไงเขาก็ไม่ได้ต้องการให้เรย์ตาย ไม่เคยแม้แต่จะคิด...และเขาไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตกร ดังนั้นอากฤษณะที่ช่วยชีวิตเรย์เอาไว้ เขาไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี



            "ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว" กฤษณะโอบร่างผอมบางแนบอก มือใหญ่หยาบกร้านลูบหัวลูบหลังปลอบโยนเด็กเสียขวัญ “ร้องไห้อะไรขนาดนี้ เรย์ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย แค่หัวแตกกับถลอกเอง เย็บไปไม่กี่เข็มหรอก”



            “ฮือ ฮือ ครับ อาหมอ” ร่างบางยังกอดแน่นซุกอกกว้างร้องไห้ไม่หยุด กฤษณะเข้าใจว่าชะเอมคงจะเสียใจมากที่เห็นคนรู้จักโดนชนต่อหน้าต่อตา



            ถึงจะโล่งใจที่เรย์ปลอดภัยดี แต่ในตอนนี้ความเสียใจมันมีมาก...มากมายนัก



            นายแพทย์กฤษณะชะงักเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ ยกมือดันไหล่บางออกลูบหน้าอิดโรยแถมอังหน้าผาก สัมผัสถึงความร้อนที่แผ่ออกมา



            "เอม หนูตัวร้อนมากเลย เพราะตากฝนแหงๆ แล้วนี่ต้องมานั่งตากแอร์อีก สงสัยจะไม่สบายแล้วล่ะ ไปๆ เดี๋ยวอาไปส่งที่คอนโด"



            "แต่ว่า อะ เอมอยากไปเยี่ยม..." มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ทั้งๆ ที่หนักหัวและครั่นเนื้อครั่นตัว



            ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะเห็นกับตาว่าเรย์ปลอดภัยแล้วจริงๆ



            "เขาไม่เป็นไรแล้วน่า แค่ต้องนอนพักรอให้ฟื้นแค่นั้นเอง นี่ไม่เชื่ออาหมอคนนี้เหรอ หืม?" คุณหมอเอ่ยเสียงดุ อันที่จริงจะให้พูดว่าตอนนี้เด็กดื้อตรงหน้ากฤษณะคนนี้ต่างหากที่ดูน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า



            "คะ ครับ" ร่างบางพยักหน้าจำใจอย่างเหนื่อยๆ



            ...อยากจะพักแล้วเหมือนกัน



            "เอาล่ะ นั่งรอนี่ เดี๋ยวอาไปหยิบของก่อน" กฤษณะกำชับแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว กระฉับกระเฉงสมกับเป็นคุณหมอมือหนึ่ง ทำอะไรรวดเร็วรอบคอบละเอียดว่องไว



            ชะเอมมองแผ่นหลังสีขาวไปจนลับทางเดิน ผ่อนลมหายใจที่ร้อนผ่าวเข้าออกเบาๆ ก่อนปรือเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน













            ************************Whose fault? ************************















            ภายในความมืดมิด สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้น ทั้งแผ่วเบาและช้าจนเหมือนจะหยุด





            'เลิกกัน'



            ความสัมพันธ์ของเรากับคิน...จบลงแล้ว





            สิ่งที่เรามีเพียงสิ่งเดียว คือ ความสัมพันธ์ของเขากับคินที่เหมือนกับเส้นด้ายบางๆ



            แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือแค่ชีวิตอันไร้ค่า ที่ไม่มีใครต้องการ...รอแค่วันที่มันจะจบลง



            อยากจะคิดว่านี่เป็นแค่ความฝัน...ฝันร้ายที่ตื่นมาแล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิม



            ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง



            ชะเอมไม่รู้...ไม่มีใครรู้





            คุณลุง



            คนที่เขาคิดถึงที่สุดในตอนนี้



            “ฟืด...ฮึก” ร่างบางกุมมือที่สั่นทั้งสองแน่น...ไม่ได้ จะให้คุณลุงรู้ไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม จะต้องทำให้ทุกอย่างเหมือนปกติ ไม่อยากให้คุณลุงต้องกังวล...เขาจะต้องทำใจกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด









            ปวด...หัว



            ในหัวเต้นตุบคิดอะไรไม่ค่อยออก



            ...ตอนนี้ต้องทำอะไร



            จากนี้ต้องทำอะไร



            พรุ่งนี้...เราจะทำยังไง



            ก่อนอื่น...อันดับแรกเขาต้อง...โทรหาคุณลุงว่าวันนี้มาหาอาหมอแล้วไม่งั้นคุณลุงจะเป็นห่วง...จากนั้น...จากนั้น...อะไรนะ



            ใช่...เขากำลังจะกลับห้อง...แต่ข้างนอกฝนกำลังตก...







            ปวดหัว





            แล้วก็...แล้วก็...



            “เอม!!”



            เสียงเรียกจากที่ไหนสักแห่ง...ไกลออกไป





            และจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย













            ************************Whose fault? ************************















            สวัสดีค่า

            กลับมาอีกแล้วกับคินชะเอม

            ใครสงสัย เก็บความสงสัยไว้ มารอดูตอนหน้า (ถ้าตอนหน้าแล้วยังสงสัย ก็รอตอนต่อๆไป ฮา)
           
            ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ดีๆ นะค้า มันเป็นกำลังใจให้รุยมากๆ

            ติดตามตอนต่อไปจ้า





หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 6 วันที่ 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 07-10-2018 22:22:59
อยากยกตำแหน่งพระเอกงี่เง่าแห่งปีให้เลย แค่ตอนเก็บของออกไปนี่ก็ว่า *** ละนะ ตอนนี้ *** กว่าอีก หงุดหงิด อีกกี่ตอนน้องถึงจะเดินหน้าต่อได้ละเนี่ย เห้อม
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 6 วันที่ 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Tak ที่ 08-10-2018 03:23:24
หงุดหงิดมากกกกกมาต่อเร็วๆนะอยากจะเหวี่ยง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 6 วันที่ 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 10-10-2018 21:55:14
มันบีบมากกกกก
คินอย่ามาเสียใจกับคำพูดตัวเตอนหลังนะ
ส่วนชะเอมน่าสงสารสุดๆเลยลูกกก
แต่สงสัย เอมป่วยเป็นอะไรร้ายแรงรึป่าว
คำพูดที่คุยกับหมอดูแปลกๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 7 วันที่ 13/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 13-10-2018 18:15:15






                                                                     Whose Fault ?





                                                                     ผิด...ครั้งที่ 7











             โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม











             “ตัวร้อนมากเลย” กฤษณะใช้หลังมือไล้ตั้งแต่หน้าผาก ใบหน้า ลำคอของชะเอมที่บัดนี้นอนซมอยู่บนเตียงใหญ่ เขาตกใจมากที่จู่ๆ ร่างบางก็เป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตา ยังดีที่มาถึงคอนโดแล้วและเขาตัวใหญ่กว่ามากจึงมีแรงที่จะอุ้มเจ้าตัวขึ้นมาบนห้องได้ แต่ก็เล่นเอากระดูกเกือบลั่น มือใหญ่ทุบป๊อกๆ เข้าตรงเอวและหลัง...แหม อายุเขามันก็เยอะพอควรแล้วนี่นะ ไม่เหมือนตอนหนุ่มๆ



             จะทำไงดี อีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าเวรแล้วด้วย แต่ก็จะปล่อยให้ชะเอมอยู่คนเดียวก็ไม่ได้



             กฤษณะมองนาฬิกา ในใจร้อนรน เอาเป็นว่าก่อนอื่นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกชื้นนี้ออกก่อน แล้วน้ำอุ่นเช็ดตัว ซึ่งเขาจัดการทั้งหมดอย่างรวดเร็วด้วยความแผ่วเบาสมกับมือที่ผ่าตัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะตรงแขนที่มีอาการบาดเจ็บ





             ทั้งๆ ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเช็ดตัวแล้ว ร่างบางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่น มากกว่านั้นยังมีอาการหอบหายใจเหนื่อยอ่อนแถมยังพึมพำอะไรอยู่ตลอดเวลา กฤษณะมองด้วยสายตาเป็นห่วง นี่ก็ได้เวลาข้าวเย็น และก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขาต้องเข้าเวรในไม่กี่ชั่วโมง มือจึงตัดสินใจล้วงโทรศัพท์กดโทรออก

             ตรู๊ด...ตรู๊ด...



             กฤษณะยืนฟังเสียงรอสายอยู่นาน ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครรับสาย จึงถอนหน้าจอออกจากหู ที่ขึ้นชื่อ ‘คิน’

             ทำไมไม่รับ?





             นายแพทย์ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่มีเวลาลังเล หยิบมือถือชะเอมถือวิสาสะปลดล็อคและเลื่อนหาเบอร์ของคนที่คาดว่าน่าจะรู้จักกัน นอกจากพี่เกษม ตัวเขาเองแล้วก็มีคิน...





             ราม?...นี่ล่ะมั้ง



             (“ฮัลโหล เอม”) กฤษณะยืนถือสายรอไม่นานก็มีคนรับ (“แปลกใจจังที่โทรมา มีอะไรรึเปล่า?”)





             “เอ่อ...สวัสดีครับ”





             (“เอ๊ะ?”) กฤษณะได้ยินเสียงอีกฝ่ายอุทานด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงทักทายของเขา เสียงหายไปพักหนึ่งคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะมองหน้าจอโทรศัพท์ว่าขึ้นชื่อชะเอมจริงๆ (“นั่นใคร?”)





             “คุณราม...ใช่มั้ย”



             (“ใช่ ผมชื่อราม คุณเป็นใคร ทำไมคุณถึงใช้เบอร์ของชะเอมโทรมาได้ล่ะ”) เสียงอีกฝ่ายคาดคั้นอย่างไม่ไว้ใจ ทำให้ร่างสูงหัวเราะในลำคอ





             “ใจเย็นๆ นะครับ ผมชื่อกฤษณะ ผมเป็นหมอส่วนตัวของชะเอม ตอนนี้เอมไม่สบายหนักแล้วพอดีผมต้องไปธุระด่วน จึงอยากให้คุณราม...มาช่วยดูให้หน่อย คุณเป็นเพื่อนของชะเอมใช่มั้ย”



             (“เอ่อ ครับ ใช่ครับ”) กฤษณะกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายละล่ำละลักพูดเพราะขึ้นมาอีกระดับเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร (“แล้วตอนนี้ชะเอมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”)



             “เอาเป็นว่าคุณมาที่คอนโดxxx ก่อนก็แล้วกัน”



             (“ได้ครับ ผมจะรีบไป”)

             เสียงกริ่งดังขึ้นทำให้กฤษณะลุกขึ้นไปเปิดประตู เจอเข้ากับชายหนุ่มสามคนที่ยืนรออยู่หลังประตู




             
             “ผมรามครับ” ชายตรงหน้าเขาที่ตัวเล็กสุดในบรรดาสามคนเอ่ยขึ้น เป็นหนุ่มผิวขาวเหลืองตาเรียว ปากนิดจมูกหน่อย...รวมๆ แล้วดูหน้าจืดแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ “ส่วนนี่เพื่อนผมสิน กับดินครับ”





             “สวัสดีครับ” ทั้งสามคนก้มหัวไหว้ทักทายด้วยความนอบน้อม กฤษณะก็พยักหน้ารับ สายตาสำรวจทั้งสามคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของชะเอมตัวจริงเสียงจริงไม่ได้โกหกแต่อย่างใด





             “เข้ามาสิ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้น ยิ่งทำให้ออร่าหนุ่มใหญ่เปล่งประกาย ถึงจะแก่แล้วแต่กฤษณะก็มีการดูแลตัวเองเหมือนกัน ทั้งสามคนเดินตามเข้ามายังห้องของชะเอม



             “เอม”



             กฤษณะยืนกอดอกมองเด็กทั้งสามคนยืนรุมอยู่รอบเตียงที่ชะเอมนอนอยู่ ท่าทางเป็นห่วงทำให้เขาวางใจที่จะฝากให้ดูแลต่อได้ “ยังไงอาฝากดูแลเอมต่อด้วย เพราะเดี๋ยวต้องรีบไปธุระต่อที่โรงพยาบาลแล้ว ข้าวกับยาของเอมที่ต้องทานวางอยู่บนโต๊ะ...ถ้ามีอะไรนอกจากนี้ให้โทรหาทันทีนะ”





             “ครับ”



             กฤษณะพูดกำชับ เมื่อเห็นเด็กๆ พยักหน้าก็คว้าเสื้อนอกที่แขวนอยู่บนพนักเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว



             “ท่าทางจะรีบจริงๆ แฮะ” ดินพูดขึ้นหลังมองแผ่นหลังจนกระทั่งประตูปิด “แล้ว...เอาไงต่อดีอ่ะ”



             “ก่อนอื่นปลุกเอมขึ้นมาทานข้าวก่อนดีกว่า” ดินบอกในขณะที่รามก็เห็นด้วย มือเขย่าตัวร่างบางเบาๆ















             ที่นี่...ที่ไหน







             เปาะแปะๆๆ



             ซ่าาาา



             หยาดน้ำปรอยเปลี่ยนเป็นฝนกำลังเทกระหน่ำ กระทบกับหลังคาสังกะสีเก่าๆ ดังลั่นราวกับกำลังจะถล่มพังลงมา



             ไม่เพียงหลังคา แต่ประตูก็เป็นแผ่นสังกะสีสนิมเหล็ก ที่บ้านหลังนี้ยังดูเหมือนแข็งแรงทรงตัวอยู่ได้เพราะมีไม้อันใหญ่คอยค้ำจุน วันดีคืนดีตกหนักเป็นเวลานานจนน้ำท่วมเจิ่งนองไม่มีที่ให้นอนหลับก็ยังมี





             เราจำได้





             เพราะนี่มัน...บ้านของเราเอง





             เด็กน้อยอายุไม่ถึงสี่ห้าขวบดี นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่มุมบ้าน กลิ่นอับชื้นโชยไม่ได้มาจากเพียงแค่ฝน ทั้งแมลงสาบ หนู สัตว์เลื้อยคลานวิ่งพล่าน แต่ก็ไม่ทำให้เด็กคนนี้กลัว เพราะเห็นจนชิน



             เปรี้ยง!





             ร่างเล็กๆ สะดุ้งเฮือก เมื่อท้องฟ้ามืดครึ้มคำรามลั่นราวกับเทพเจ้าบนสวรรค์กำลังโกรธ ไม่รู้จะหลับตาหรือลืมตาดีเพื่อหนีจากเสียงดังๆ นั่น



             เด็กน้อยกุมท้องเมื่อเสียงร้องประท้วงดังโครกคราก วันนี้เขากินขนมปังไปชิ้นน้อยๆ ไปชิ้นเดียวเอง บ้านเขายากจน ไม่ค่อยมีเงิน แถมพ่อก็ยังออกไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้า ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว อันที่จริงก็เป็นอย่างนี้ประจำ





             ร่างเล็กรู้จักความยากจน เพราะว่าพ่อด่าเขาเป็นประจำว่าเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้พ่อพบกับความยากลำบาก เป็นเพราะเขาทำให้เราไม่มีอะไรจะกิน ทุกวันที่พ่อกลับมาจากข้างนอก เขาจะได้กลิ่นเหม็นแปลกๆ แถมพ่อก็จะไม่เหมือนเดิม พ่อโมโห ดุร้าย ทำร้ายเขาจนเจ็บไปทั้งตัว จนตัวเองเหนื่อยแล้วก็จะเลิกไปเอง





             และวันนี้ก็เช่นกัน



             แอ๊ด...



             เสียงเปิดประตูสังกะสีแม้จะเบากว่าเสียงฝนแค่ไหนก็ตามแต่ก็ทำให้ร่างเล็กๆ ที่ซุกอยู่ตรงมุมมืดสะดุ้งได้ไม่ต่างกับเสียงฟ้าผ่า





             "โฮ่ย เอม"



             "หายไปไหน" น้ำเสียงยานคาง ขาเดินโซซัดโซเซพยุงร่างเดินเข้ามาจะล้มแหล่มิล้มแหล่ เมื่อเรียกแล้วไม่เห็นเจ้าของชื่อปรากฏตัว อารมณ์เมากรุ่นๆ ยิ่งทำให้โมโหขึ้นมาอย่างง่ายดาย "กูเรียกก็ออกมาสิวะไอ้เด็กเวร!"





             "เออ ต้องให้ขึ้นเสียงอยู่เรื่อย" แววตาพอใจเมื่อเห็นร่างเล็กๆ ยืนกำชายเสื้อที่ยืดย้วยสีคล้ำเก่าตัวสั่นระริกอยู่เบื้องหน้า "จะสั่นทำให้เหี้ยอะไร กลัวเหรอ...กลัวกูนักเหรอห้ะ"





             เด็กน้อยสะดุ้งเฮือกๆ กับเสียงตะคอกดุร้าย แม้จะสั่นมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจก้าวเท้าถอยหลังหนี เพราะเข็ดกับความเจ็บปวดจากการทุบตีลงโทษ ถ้าหากยอมแต่โดยดีอะไรๆ ก็จะจบลงโดยเร็ว



             วันนี้ก็เป็นแค่อีกเพียงหนึ่งวัน...





             "เอ้า เงียบ...เงียบ เป็นใบ้หรือไงวะห้ะ!"





             ผัวะ!





             มือใหญ่ตบลงที่ศีรษะทุยไม่ออมแรง ร่างเล็กๆ กระเด็นก้นจ้ำเบ้า ร้องไห้ส่งเสียงอ้อนวอนดังแข่งกับสายฝน





             "ฮือ ฮือ พ่อ เอมเจ็บ เอมเจ็บ"





             พลั่ก! ตุ้บ! ผัวะ!





             "ใครพ่อมึง ไอ้เด็กเปรต อย่ามาเรียกกูว่าพ่อ!" ทั้งมือและเท้ากระหน่ำลงไปไม่ลืมหูลืมตา ด้วยอารมณ์โมโหและคุมสติไม่อยู่เนื่องจากสารมึนเมาที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่าง ร้อนไปทั้งตัว ต้องการระบายความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ





             เพราะไอ้เด็กเวรนี่ กูถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ ไอ้ลูกเวร ตั้งแต่มันเกิดมา เมียก็ตาย เขาก็ดันตกงาน แค่นี้ก็ไม่มีอันจะกินอยู่แล้ว ยังมีตัวซวยต้องมาทำให้ตกระกำลำบากมากขึ้นเป็นหลายเท่า ที่เขาทำได้ทุกวันนี้คือการเลียแข้งเลียขาไปประจบสอพลอพวกเสี่ยรวยๆ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆ แถวนี้ พอทำให้พวกมันไม่พอใจอะไรเข้าหน่อยก็ใช้อำนาจยกพวกมารุมกระทืบเขาซะยับ





             ชีวิตเขามีแต่ความซวย





             บัดซบเอ๊ย!!





             สิ่งเดียวที่ทำให้ผ่อนคลายและสนุกสนานได้เห็นแต่จะมี การพนันและเหล้าที่เป็นของคู่กัน วันไหนดวงดีหน่อยก็ได้สูบของดีๆ จนได้เห็นสวรรค์ อารมณ์ดีไปครึ่งค่อนวัน





             แต่พอกลับมาเห็นหน้ามัน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องระบายความโมโห





             ความจัญไรที่เขาต้องพบเจออยู่ทุกวันนี้มันจะเป็นเพราะใครถ้าไม่ใช่เพราะมัน ไอ้ชะเอม





             ถ้าไม่มีมัน...ถ้าไม่มีมัน!!!





             ยิ่งคิดยิ่งโมโห ลงแรงไปกับสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยที่นอนขดตัวอยู่ ไม่รับรู้ว่านั่นคือลูกในไส้





             "เจ็บฮะพ่อ...พ่อ แค่กๆ" ผ่านไปหลายนาทีแต่สำหรับเด็กน้อยก็นานราวกับหลายชั่วโมง พอระบายอารมณ์จนพอใจ ชายฉกรรจ์ก็หยุดการกระทำ ยืนหอบหายใจมองร่างที่นอนร้องไห้น้ำตานองกอดตัวเองแน่นด้วยสายตาเหยียดๆ "ฮือ เอมเจ็บ ฮือ"





             "วันนี้กูจะพอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เหนื่อย" พอได้ออกแรงก็เริ่มสร่าง ตาปรืออ้าปากกว้างหาวดัง เดินข้ามสิ่งมีชีวิตที่ยังนอนร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ ก็นึกรำคาญ "หยุดแหกปากได้แล้ว หนวกหูโว้ย!"





             "ฮึก...ฮึก..."





             "ยัง...ยังไม่หยุด เอาอีกซักยกดีมั้ยวะห้ะ อยากโดนอีกใช่มั้ย!?"





             "..." เด็กน้อยสะดุ้งยกมืออุดปากตัวเองแน่น แม้จะเจ็บร้าวไปทั้งตัว น้ำตาก็ยังคงไหลไม่หยุด แววตามีความสั่นกลัวอย่างถึงที่สุด





             "ก็แค่นั้น กูจะนอน ห้ามส่งเสียงอีก ไม่งั้นมึงโดนหนักแน่" ชายร่างใหญ่เหล่จนแน่ใจว่าจะไม่ได้ยินเสียงเล็ดลอดให้น่ารำคาญอีกก็หันหลังล้มตัวลงนอนบนพื้นแข็งเย็น ไม่สนใจเด็กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกในไส้อีก





             เด็กน้อยนอนร้องไห้อยู่ตรงนั้นจนทุกอย่างเงียบสงัด ฝนที่ตกกระหน่ำหยุดลงแล้ว เหลือแต่เสียงคำรามจากท้องฟ้าอันมืดมิด และเสียงจิ้งหรีดอึ่งอ่างที่ดังตลอดทั้งคืน



















             "อือ...ฮึก..."





             "เอม...เอม!"





             "แค่ก...น..." สัมผัสแรกคือแว่วเสียงของใครบางคน ต่อมาคือความเจ็บร้าวทั่วตัวและลำคอ กระบอกตาร้อนผ่าวจนไม่อยากลืม รวมๆ คือรู้สึกแย่มากถึงมากที่สุด





             "น่าจะหิวน้ำ...ราม"





             "อืม"





             เสียง?...ใคร...

             "เอม..." ภาพตรงหน้าเบลอจนต้องกระพริบตาซ้ำหลายครั้ง สักพักก็โฟกัสเห็นหน้าใครบางคนที่รู้จัก "เอม" สัมผัสต่อมาที่รู้สึกคือแรงเขย่าเบาๆ ตรงหัวไหล่







             "อ...แค่ก...แค่ก!" เขาจะเรียกชื่อแต่ในลำคอแห้งผากเสียจนต้องไอโขลกอีกรอบ ในขณะที่มีมือมาพยุงให้เขาลุกขึ้นนั่ง





             เจ็บร้าว...ไปทั้งตัว





             "ค่อยๆ กินน้ำนะ" รามลูบหลังบางเบาๆ อีกมือคอยประคองแก้วน้ำอุ่นกลัวว่าเจ้าตัวจะถือไม่ไหว ตัวชะเอมยังแผ่ความร้อนออกมา นี่ขนาดเช็ดตัวไปหลายครั้งแล้วนะ





             แต่ก็นั่นแหละ เจ้าตัวปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น แถมละเมอเพ้อเสียงดังจนพวกเขาสามคนนั่งไม่ติด





             "ข...อบ...คุณนะ" หน้าเล็กส่ายไปมาน้อยๆ ไม่เอาน้ำแล้ว





             "นี่...มากันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ แล้วมาได้ยังไง?" คิ้วบางขมวดมุ่น เขาจำได้ว่า...





             "พอดีคุณหมอของเอมโทรมาตามพวกเราให้มาดูแลนายหน่อยเพราะเขาติดธุระด่วน เขาเป็นคนบอกทางเรามาที่นี่" สินเป็นคนตอบ ดินก็พยักหน้าน้อยๆ ยืนยัน





             "แล้วเอมไปทำอะไรมาถึงไม่สบายหนักขนาดนี้ พวกเราปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น"





             ไปทำอะไรมา...





             ชะเอมนั่งนิ่ง เขาจำได้ว่าเมื่อครู่เพิ่งฝันเห็นอดีตที่ไม่เคยลืม อดีตอันโหดร้าย แต่ตอนนี้เขาก็อยากจะฝันต่อไป แม้มันจะเจ็บปวดเพียงใด แต่ก็ไม่เท่าความจริงที่ยิ่งกว่าความฝัน





             ปริ๊นนนน โครม! ปั่ก!



             'ไม่นึกเลยว่านายจะโหดเหี้ยมขนาดนี้! เรย์เขาไปทำอะไรให้นายเหรอ!'



             ‘นายจะรับผิดชอบยังไง’

             ‘หมายถึงเงินของพ่อน่ะเหรอ หึ เรย์เขาไม่ต้องการหรอก’





             'เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ ฉันกับนาย'



             'ต่อจากนี้ไป อย่ามายุ่งกับเรย์อีก'





             "..."





             "เอม..." เหมือนว่าเขาจะนิ่งเงียบนานเกินไป รู้สึกตัวอีกทีเหลือบไปเห็นรามกุมมือของเขาไว้ สายตาที่มองมาเจือความห่วงใย และ...เจ็บปวด





             ไม่ใช่แค่ราม สินกับดินก็ด้วย





             "หืม?" เขางุนงง "ทำไมเหรอ"





             "อย่าร้องไห้"





             "เอ๊ะ...?" อะไร...ร่างบางชะงัก น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่รู้ตัว มือบางปาดตาหวังไม่ให้เห็นว่ากำลังเสียใจ แต่ไม่อาจห้ามน้ำอุ่นที่ไหลออกมาจากขอบตาร้อนผ่าวได้ "อะ...ฮึก"





             ทำยังไงก็ไม่หยุดไหล







             ร่างทั้งร่างกระตุกเพราะแรงสะอื้น ทั้งสามคนเงียบไม่รู้จะพูดอะไร ปล่อยให้คนไม่สบายที่ตอนนี้อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจร้องไห้อย่างน่าสงสาร ไม่มีใครรู้ว่าชะเอมไปเจออะไรมา











             ************************Whose fault? ************************









             "ยังไงก็กินข้าวก่อนนะ เลยเวลาอาหารเย็นมาตั้งนานแล้ว" รามให้สินไปอุ่นข้าวต้มที่ตั้งไว้จนเย็น ให้กลับมาหอมกรุ่นน่ากินอีกครั้ง ชะเอมตาปรือขอบตาบวมแดงผ่านการร้องไห้กว่ายี่สิบนาทีกว่าจะหยุด ตอนนี้ร่างบางนั่งพิงหัวเตียงอย่างหมดแรง มองหน้ารามก่อนยิ้มอ่อนส่ายหน้าน้อยๆ





             "ไม่หิวเลย" ชะเอมบอกเสียงแผ่ว เขาทั้งเหนื่อยเพลีย เจ็บคอ แถมยังปวดหัวด้วย "อยากนอน"





             "ไม่ได้นะ เดี๋ยวไม่หาย"





             "กินยาอย่างเดียวได้มั้ย"





             "ไม่ได้ ยามันต้องกินหลังอาหาร"





             "แต่ว่า..." ก็เขาไม่หิวจริงๆ นี่นา แค่เห็นอาหารก็ผะอืดผะอมแล้ว แบบนี้ใครจะกินลง





             รามมองคนดื้อแพ่งแล้วแอบถอนใจ จะเรื่องไหนๆ ของชะเอมก็ทำให้เขาอ่อนใจได้ตลอดสิน่า





             จะเรื่องเมื่อกี้ก็ดี ตอนนี้ก็ดี





             ถึงเขาจะอยากรู้มากเพียงใด แต่ถ้าเจ้าตัวไม่ปริปากเล่า เขาก็จะไม่ขอให้เล่า





             รามอยากเป็นที่พึ่งที่ดีของชะเอม ไม่ใช่แค่เขา สินกับดินก็เช่นกัน





             ดังนั้นไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ...จนกว่าร่างบางจะเชื่อใจพวกเขา และเอ่ยปากเล่าออกมาเอง





             "เอมกินข้าวเถอะนะ" ดินเงียบอยู่นานกว่าจะพูดออกมาบ้าง ตั้งแต่มาห้องนี้เขาเอ่ยปากแทบนับคำได้ "กินข้าวเสร็จจะได้กินยา จะได้หายไวๆ"





             "ดิน..."





             "นายเป็นแบบนี้แล้วพวกเราไม่สบายใจเลยรู้มั้ย" ได้ยินร่างสูงพูดแล้วร่างบางเม้มปาก "พวกเราทุกคนเป็นห่วงเอมมาก คุณหมอคนเมื่อกี้ก็ด้วย แต่ว่าเขายุ่งมาก ไม่งั้นเขาคงไม่โทรตามพวกเรามาดูนายหรอก"







             อาหมอ...





             "ดินพูดถูกแล้วนะเอม กินบ้างสักหน่อยก็ยังดี" สินเอ่ยขึ้นมาบ้าง เมื่อเริ่มเห็นว่าชะเอมเริ่มฟังที่พูด





             เพราะร่างบางจิตใจอ่อนโยนกว่าใคร มักนึกถึงคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง





             "อืม ก็ได้" เอมยิ้มบางเมื่อทั้งสามสีหน้าดีขึ้นหลังจากที่เขายอมกินข้าว





             ร่างบางดีใจจริงๆ ที่ได้เจอ ได้รู้จัก ได้เป็นเพื่อนกับทั้งสามคน





             ชะเอมเริ่มส่ายหน้าเมื่อช้อนที่สี่จ่อที่ปาก รามขมวดคิ้วเป่าให้ข้าวต้มหายร้อนก่อนจ่อปากซีดอีกครั้ง แต่ร่างบางก็ส่ายหน้าเช่นเดิม





             "ไม่เอาแล้ว" รามยอมแพ้เมื่อเห็นสีหน้าผะอืดผะอม ก่อนส่งยาที่หมอกฤษณะจัดเตรียมไว้ให้ ร่างบางโยนยาทั้งหมดเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามอย่างว่าง่าย





             รามโล่งอก โชคดีที่ชะเอมไม่งอแงเรื่องทานยาขมๆ ...โดยหารู้ไม่ว่าร่างบางกินยาเป็นประจำจนชินแล้วต่างหาก





             รามเดินไปเก็บแก้วชาม สินจึงเข้ามาช่วยจัดผ้าห่มให้ชะเอมที่เอนตัวลงนอน





             "พักผ่อนซะ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ พวกเราจะอยู่ที่นี่จนกว่านายจะหาย" ชะเอมพยักหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนหลับตาเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว พิษไข้ที่ยังมีอยู่ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูง สินก็บีบผ้าในกะละมังเช็ดตามตัวให้จะได้นอนสบายไม่เหนียวเหนอะเนื่องจากเหงื่อออกมาก





             ดินที่ยืนมองอยู่สักพัก ก็เดินออกจากห้องนอนไปไม่พูดอะไร







             ************************Whose fault? ************************








หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 7 วันที่ 13/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 13-10-2018 18:16:33


             >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนจ้า<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<



             เคร้ง...





             เสียงน้ำไหลและเสียงจานกระทบกัน รามกำลังล้างชามอยู่ในครัวที่สามารถมองทะลุไปจนถึงห้องนั่งเล่นได้ เงยหน้าขึ้นก็พบดินนั่งบนเก้าสูงหน้าเคาเตอร์





             "อ้าวดิน มีไร"





             "เปล่า"





             "แล้วออกมาทำไมอะ"





             "เอมหลับไปแล้ว"





             "อ๋อ" ได้ยินดังนั้นรามก็ไล้ฟองสบู่กับจานที่เหลือ ล้างด้วยน้ำเปล่า แล้วตากบนตะแกรง ร่างโปร่งเช็ดมือกับผ้า เห็นดินยังนั่งขมวดคิ้วนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง





             "เป็นอะไร"





             "หืม กูเหรอ?" ดินงง





             "แถวนี้มีหมาซักตัวมั้ยล่ะ" รามถามกลั้วหัวเราะ แววตาขำเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งๆ บนใบหน้าคมเข้ม "กูถามมึงนั่นแหละ"





             "กู...ไม่รู้เหมือนกันว่ะ" ดินมีสีหน้าสับสน เหมือนไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง





             แต่เขารู้...





             "ให้กูเดา...เรื่องสินล่ะสิ" รามยิ้มกว้าง เกือบหลุดหัวเราะเมื่อดินหน้าเหวอตกใจ





             "มึงรู้ได้ไง" ดินไม่อยากจะเชื่อ นี่มันอ่านใจเขาเหรอ





             "กูแค่เดาน่ะ แค่เดา" รามไม่บอกหรอกว่าสีหน้าของดินมันชัดเจนขนาดไหน แล้วอีกอย่างนี่ดินไม่รู้จริงๆ เหรอว่าตัวเองรู้สึกกับสินแบบไหน น่าสงสารหมอนั่นชะมัด





             "แล้วมึงว่า...ไอ้สินมันชอบเอมป่ะวะ" คนตัวสูงผิวคล้ำลังเลไม่รู้จะพูดดีไม่พูดดี แต่สุดทายก็ตัดสินใจพูดออกมา





             รามนิ่งอึ้งก่อนหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่อยากเชื่อว่านอกจากหมอนี่จะไม่รู้ความรู้สึกตัวเองแล้วยังไม่รู้ว่าสินชอบตัวเองอีกด้วย





             ทั้งๆ ที่หมอนั่นแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเนี่ยนะ!





             ให้ตายสิ...นี่ไอ้ดินมันโง่หรือโง่





             "หะ...หัวเราะอะไรวะ! อะ ไอ้ราม หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะเว้ย" ดินเหรอหราหน้าแดง ไอ้เข้าอุตส่าห์ไว้ใจมาปรึกษามัน แต่ไหงมันหัวเราะเยาะท้องแข็งใส่เขาแบบนี้





             “โอเคๆ กูไม่หัวเราะละ อุ๊บ! หึหึ” รามยังคงกุมท้องที่แข็งเพราะหัวเราะหนักไปหน่อย





             “ไอ้ราม” ดินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำหมัดแน่น คิ้วกระตุกจึ้กๆ “มึงจะไม่หยุดใช่มั้ย”





             “หยุดๆ...หยุดแล้ว” รามทำท่าปรางห้ามญาติ สูดลมหายใจลึกเข้าปอด นั่นทำให้ดินคลายมือ





             “เออ นี่กูยิ่งเครียดๆ อยู่...ที่ถามมึงนี่จริงจังนะเว้ย แล้วมึงดันมาหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลก”





             “โทษที” รามเอ่ยก่อนมองหน้าขมวดคิ้วของคนตรงหน้า ท่าทางจะเครียดจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า “ดิน กูถามอะไรมึงหน่อย”





             ดินเหล่ เห็นท่าทางจริงจังของรามแล้วค่อยน่าคุยด้วยหน่อย ก่อนพยักเพยิด “ว่ามา”





             “มึงไม่ชอบเอมเหรอ” ร่างโปร่งถาม





             “หะ” ดินเลิกคิ้ว “มึงถามอะไร” กำลังจะถามว่าจะล้อเล่นอะไรอีก...แต่พอเห็นหน้าจริงจังแล้วดินก็เงียบปาก





             รามไม่สนใจที่อีกคนถามแม้แต่น้อย ก่อนพูดในสิ่งที่คิดออกมา “กูชอบเอม”





             “หะ” ดินเหวอ “นี่มึง...” ในหัวเขาตอนนี้มึนงงไปหมด รามกำลังจะสื่ออะไรเขาไม่เข้าใจ





             รามชอบเอม...แล้วสินล่ะ สินก็ชอบเอมเหมือนกัน





             “กูชอบเอม” รามยิ้ม รู้ว่าดินกำลังคิดอะไร เว้นจังหวะ “แบบเพื่อน”





             “...”





             “กูชอบเอมแบบที่เพื่อนที่เขาชอบกันอ่ะ เพื่อนชอบเพื่อน มึงเข้าใจกูป่ะ” รามขยายความ ซึ่งยิ่งฟังดินยิ่งงงหนักกว่าเดิม





             ดินขมวดคิ้ว “กูไม่เข้าใจว่ะ”





             “...”





             ระหว่างทั้งสองคนเงียบไปอึดใจ





             "เฮ้อ" ร่างโปร่งส่ายหน้าถอนหายใจ ทำหน้าเอือมระอา “กูล่ะเบื่อคนซื่อบื้อแถวนี้จริงจริ๊ง”





             "มึงว่าใครซื่อบื้อ!?" ดินแหว





             “จะใครซะอีกล่ะ...” รามยิ้มส่งสายตาไปด้านหลัง ทำให้ดินรู้สึกถึงความผิดปกติ





             "ก็มึงไง" ดินตาเหลือก เมื่อไอ้คนตรงหน้าที่ยังหัวเราะคิกคักใส่เขาไม่ได้ตอบ แถมเสียงนั้นก็ดังมาจากข้างหลัง ไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร เสียงเข้มแบบนี้ไม่ใช่ชะเอมแน่นอน





             ดินหันไปดูก็พบว่าสินยืนอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสองเมตร ได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายดังเอื้อก





             "กูขอไปดูเอมก่อนแล้วกัน" รามบอกอย่างรู้หน้าที่ “ส่วนคำถามของกูมึงลองเก็บเอาไปคิดดูละกัน” ขาเรียวเดินเลี่ยงออกไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากเป็นกอขอคองอ ไม่ทันเห็นหน้าทมึงถึงของดินที่ถลึงตาคาดโทษเอาไว้ในใจ แต่สายตาคมของสินก็ยังเห็นเหงื่อซึมไรผมตรงขมับของคนที่ถูกตราหน้าว่าซื่อบื้อ





             "นี่มึงยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่" ดินถาม ถ้าเป็นในการ์ตูนคงบรรยายเป็นรูปภาพได้ว่าตอนนี้เขาหน้าซีดปากสั่นขนาดไหน





             "ก็ตั้งแต่ที่กูได้ยินว่าพวกมึงพูดเรื่องของกู" สินยักไหล่ตอบเรียบๆ ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่ากำลังโดนนินทา แต่เขานี่สิ...





             นั่นมันตั้งแต่แรกเลยนี่หว่า!!





             ไอ้ห่านี่ มาก็ไม่ส่งเสียง แบบนี้เรียกว่าแอบฟังชัดๆ!!! ไม่สิ มันไม่แอบ มันอยู่ข้างหลังเขาฟังในระยะประชิดเลยด้วยซ้ำ





             งั้นมันก็ได้ยินที่เขาพูดเรื่อง...





             "กู...จะไปเซเว่น" ดินไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้ดี แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากคุย ไม่กล้าสู้หน้า ร่างสูงกระโดดลงจากเก้าอี้เคาน์เตอร์หน้าห้องครัว หันหลังจะเดินแต่ไม่ทันมือใหญ่ที่คว้าข้อมือเขาเอาไว้





             "ทำไร ปล่อยสิวะ" ดินยื้อข้อมือตัวเองออก แต่ก็ไม่หลุด "กูไม่อยากคุยกับมึง"





             "เดี๋ยวดิ อย่าเพิ่งหนี"





             "หนีเหี้ยไร ไม่ได้หนีเว้ย!" ดินว่าเสียงดัง ไม่ยอมรับความจริง





             "ที่มึงทำนี่แหละเขาเรียกว่าหนี!" สินเสียงดังกว่า ทำให้อีกคนเงียบ แต่ก็ไม่หยุดยื้อ มือใหญ่กำแน่นจนอีกฝ่ายเจ็บ แต่เขาจะไม่มีทางปล่อยเด็ดขาด





             “คราวหลังสงสัยอะไรก็ถามกูสิ”





             “...ถามอะไร”





             "คำถามเมื่อกี้นี้ไง ไม่อยากรู้คำตอบแล้วเหรอ"





             ดินชะงัก





             'มึงว่า ไอ้สินชอบเอมป่ะวะ'





             มันคือคำถามที่เขาถามรามเมื่อกี้ ได้ยินจริงๆ ด้วยสินะ





             "กูไม่อยากรู้แล้ว" ดินหันหน้าหนี แววตาอ่อนโยนตอนที่ร่างสูงเช็ดตัวให้ชะเอมยังติดตา





             "แต่กูอยากบอก"





             "เรื่องของมึง แต่ไม่ต้องมาบอกกู ไปบอกชะเอมโน่น"





             "กูไม่ได้ชอบเอม" สินบอก แววตาจริงจังมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของดิน ก่อนเลื่อนลงมามองริมฝีปากสีระเรื่อน่าจูบที่เม้มแน่น "กูชอบมึง"





             "..."





             "กูชอบมึง" สินบอกอีกรอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายตาค้างไปแล้ว “ไม่ได้ชอบแบบเพื่อน” คราวนี้เจ้าคนคิดมากหน้าแดงเถือก หลังมือพยายามบังสีหน้าตัวเอง แต่ไม่ทันแล้ว





             “มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ยดิน” ต้องถามไว้ก่อนเผื่อคนซื่อบื้อจะไม่เข้าใจ





             “มะ...ไม่เข้าใจ กู...ไม่...” ริมฝีปากขบกันแน่น แต่คนตัวเข้มก็หน้าแดงเกินกว่าจะพูดคำว่าไม่เข้าใจ





             ปฏิกิริยาที่แสดงออกทำเอาสินหยุดแกล้งไม่ได้





             "กูชอบมึง" เสียงทุ้มกระซิบแผ่วข้างหูที่ตอนนี้มันแดงก่ำ สินดันร่างที่สูงเกือบเท่าเขาจนแผ่นหลังชิดกำแพง เจ้าตัวก็เหมือนจะเพิ่งรู้ว่าอยู่ในอ้อมกอดอุ่นและหนีไปไหนไม่ได้





             "กูชอบ..."





             "...กูได้ยินแล้ว หยุดพูดได้แล้ว" ในเมื่อหนีไปไม่ได้ เขาก็กดหน้าที่ร้อนผ่าวลงกับไหล่กว้างเสียเลย ไม่อยากให้เห็นว่าเขาเขินแค่ไหน กับคำพูดที่ทำให้ใจเต้นแรง





             ไม่อยากเชื่อว่าแค่คนตรงหน้าบอกว่าชอบ ความน้อยอกน้อยใจ ความรู้สึกเคืองต่างๆ นานาก็ปลิวหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้



             ‘มึงไม่ชอบเอมเหรอ’



             ‘กูชอบเอม...แบบเพื่อนชอบเพื่อนอ่ะ มึงเข้าใจป่ะ’



             ‘มึงลองเก็บคำถามกูไปคิดดูละกัน’





             กูเข้าใจแล้ว...





             ‘กูไม่ได้ชอบเอม’



             ‘กูชอบมึง’





             กูเข้าใจแล้ว...



             สินมองคนที่กดหน้าอยู่กับไหล่แต่ซ่อนหูแดงๆ ไม่มิดแล้วก็ยิ้ม สายตาอบอุ่นที่มอบให้แค่คนๆ นี้คนเดียว แต่เจ้าตัวมักจะซื่อบื้อไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าแสดงออกชัดเจนตลอด





             หรือบางทีอาจจะรู้สึกถึงการแสดงออกของเขาแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะอย่างนั้น





             "อยากจูบว่ะ..." สินพ่นลมหายใจร้อนๆ ใส่หูที่ยังแดงอยู่ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้ง ปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ สามารถเรียกรอยยิ้มของร่างสูงกว่าได้เป็นอย่างดี "ได้ไหม"





             ดินนิ่งไปสักพัก ก่อนส่ายหน้าที่ยังกดกับไหล่แน่น พูดเสียงอู้อี้ สินชะงักก่อนหัวเราะหึหึออกมา





             "โอเคครับ" สินกดจมูกตรงขมับอย่างหมั่นเขี้ยว ทำตัวน่ารักแบบนี้กับเขาบ่อยๆ เขาจะทนไม่ไหวเอา



             ดินขยำเสื้ออีกคนจนยับยู่ยี่ โอย เขาอายจะตายอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะหัวใจยิ่งเต้นรัวหนัก และยิ่งหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของคนที่เขาซบหน้าอยู่ตรงอกกว้างดังไม่แพ้กัน





             'กลับหอก่อน ไม่ใช่ที่นี่'





             ไอ้เหี้ยเขิน!! พูดออกไปได้ไงวะเนี่ย!?



             “งั้นขอมัดจำก่อนได้ป่ะ กลัวรอไม่ไหว”



             “...!”









             ************************Whose fault? ************************







              มาแว้ววว

             ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์น้าจ๊ะ สำหรับมือใหม่หัดเขียนเป็นกำลังใจมากเลยน้าา

             ติดตามตอนต่อไปจ้า


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 7 วันที่ 13/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: coraline ที่ 13-10-2018 18:59:41
 :katai4: ไม่เข้าใจคะว่าทำไมพระเอกโง่อย่างนี้อยุ่ด้วยกันตั้งแต่เด็กไม่รุ้รึไงว่าเอมเป็นคนยังไง กะอิแค่คนที่คบกับสองสามปี เชื่อเข้าเสียสนิทเลย บ้าบอ ไม่พอใจคะบอกเลย อยากตบอิเรย์มากสำออย อินคะอินๆๆ :katai1: :z6:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 7 วันที่ 13/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 13-10-2018 21:17:22
ดินน่ารักมากกกกกกๆๆๆๆ  :hao3: // ในส่วนของพระเอกต้องเอาคืนให้หนักๆ เอาให้ไม่มีลืม  :m31:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิด...ครั้งที่ 8 วันที่ 19/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 19-10-2018 21:59:03




                                                                       Whose Fault ?





                                                                     ผิด...ครั้งที่ 8







               โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม









               "อ้าว เคลียร์กันแล้วเหรอวะ" คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอ่ยทัก





               ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาไม่พูดอะไร แต่ผลลัพธ์มันก็เห็นชัดอยู่แล้วตรงที่ทั้งคู่มาพร้อมกัน





               "อย่าเงียบดิวะ ผลเป็นไง ไหนบอกหน่อย" รามเซ้าซี้ น้ำเสียงก็รู้ว่าจะแซว และได้ผล ดินหน้าขึ้นริ้วสีแดงหลบตาเม้มปาก





               “อย่าขุดดิวะแม่ง กูกำลังพยายามลืม” ...ไอ้เรื่องน่าอายแบบนั้นน่ะ





               เหี้ย โคตรชัด!





               “ฮันแน่ะ”รามเห็นก็ยิ้มล้อทันที เขาดีใจที่เพื่อนเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันมานานไม่อยากให้ผิดใจ แต่ก็ไม่คิดว่าจะลงเอยในรูปแบบนี้





               "ผลคือดี โอเค๊" สินตัดบท “หยุดเสือกได้แล้ว”





               "ไรว้า สิน กับมึงแม่งไม่สนุกเลย" ร่างโปร่งโอดครวญอย่างเสียดาย





               "เหอะน่า ถามมาก เดี๋ยวมันเขินแรง" สินหัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์





               "ไอ้เหี้ย!" ดินด่า แต่เสียงไม่ดังมากเพราะไม่อยากรบกวนร่างบางที่นอนซม





               สินยักคิ้วให้ราม เหมือนจะบอกว่า เห็นมั้ยล่ะ





               ส่วนรามยิ้มแหย คิดในใจเหงื่อตก เออแม่งเขินโหดจริง





               “ราม คำถามของมึงกูคิดมาแล้วนะ”





               “หืม...อ๋อ” รามเลิกคิ้วก่อนถึงบางอ้อ ถามยิ้มๆ “แล้วได้คำตอบยัง”







               ‘กูชอบเอม...แบบเพื่อนชอบเพื่อนอ่ะ มึงเข้าใจป่ะ’







               “อืม” รามพยักหน้า หันมองร่างบาง “กูก็ชอบเอมเหมือนกัน”





               สินหูกระดิก “มึงว่าไงนะ”





               ดินทำหน้างง อะไรของมัน “กูบอกว่ากูชอบเอมเหมือนกันไง”





               ในขณะที่รามมองทั้งคู่สลับไปมา เอาแล้วไง





               “แล้วทีกูบอกชอบมึง ทำไมไม่บอกกูบ้าง”





               “เฮ้ย!?” ดินตาเหลือก ส่วนรามตาโต ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรเต็มๆ สองหูแบบนี้ “มึงจะพูดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย!”





               “ก็มึงบอกว่าชอบเอม จะให้กูคิดยังไง” เสียงทุ้มมาพร้อมกับสายตาเอาเรื่อง





               “กูก็แค่...” ตอบคำถามไอ้รามแค่นั้น ดินชะงัก เอ๊ะ... “ไหนมึงบอกว่าได้ยินที่กูคุยกับรามทั้งหมดไง”





               “ก็ได้ยิน” สินกอดอก





               “แล้ว...?” แม่งจะโมโหทำไมวะ





               รามอ้าปาก อยากจะบอกว่ามีคนนั่งหัวโด่อยู่นี่ลืมกูไปแล้วใช่มั้ย...แถมชะเอมก็นอนอยู่ด้วยทั้งคนนะ ถึงจะไม่มีสติก็เหอะ





               “ก็มึงบอกชอบคนอื่นที่ไม่ใช่กู”





               “เหี้ย” สัตว์เลื้อยคลานวิ่งออกจากปากอีกแล้ว ช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้มันมาพูดแบบนี้ในที่สาธารณะแบบนี้ล่ะ “กูก็แค่บอกว่าชอบเอมแบบเพื่อนเฉยๆ เว้ย...มึงนี่นะ”





               “คำว่าชอบมึงต้องบอกกับกูคนเดียว”





               “เอาล่ะๆ” รามส่งเสียง เห็นร่างสูงผิวคล้ำสะดุ้งแล้วคิ้วกระตุก สรุปนี่มันลืมเขาจริงๆ ด้วย “คุยอะไรหัดเกรงใจคนฟังบ้างสิ”





               “...” ดินไม่ตอบแต่หน้าร้อนฉ่าเพิ่งรู้สึกตัว แต่สินไม่สนใจ ใครจะได้ยินก็ช่าง





               “แต่ก่อนทะเลาะกันแทบตาย เดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นพวกมือใหม่หัดจีบไปได้นะพวกมึง”





               “ไม่ได้จีบเว้ย!/เรื่องของกู” รามแหวเสียงดังจนรามต้องจุ๊ปาก ส่วนสินมองหน้าดินแบบ...ระอาหน่อยๆ





               ไอ้ดินก็ซื่อบื้อชิบหาย แอบสงสารไอ้สินเลย





               เสียงร่างโปร่งถอนหายใจเบาๆ ท่ามกลางเสียงถกเถียงกันระหว่างเสียงโวยวายกับเสียงเรียบนิ่ง





               เออ...กัดกันเข้าไป แล้วจะไปกันรอดมั้ยวะเนี่ย





               “ว่าแต่ว่ามึงเถอะราม” สินหันมาถาม “หยุดงานมาแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ”





               “จริงด้วย” พอได้ยินแบบนั้นดินก็เหมือนนึกขึ้นได้





               รามโบกมือไม่ใส่ใจยิ้มๆ “เหอะน่า เอมเป็นแบบนี้ กูคงไม่มีกระจิตกระใจทำงานหรอก...เดี๋ยวค่อยไปชดเชยวันอื่นก็ได้ เจ้าของร้านเขาไม่ว่าหรอก”





               “อย่าหักโหมมากละกัน เดี๋ยวก็ป่วยตามเอมอีก” ดินบอกอย่างเป็นห่วง





               “เออ ขอบใจที่เตือนว่ะ” รามเอ่ย “แต่ทีหลังไม่ต้อง กูขนลุก”





               “...เออ กูไม่พูดแล้วก็ได้” ร่างสูงกอดอกเบะปากอย่างงอนๆ ไม่เข้ากับใบหน้าคมเข้ม “แม่ง เสีย’รมณ์”





               หลังจากนั้นสายตาสามคู่ประสานกันแล้วเสียงหัวเราะของทั้งสามก็ดังขึ้น





               เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน ทั้งสามนั่งเฝ้าคอยสลับกันเปลี่ยนน้ำเช็ดตัวให้ แต่ไม่มีทีท่าว่าไข้ของชะเอมจะลดลง ทั้งๆ ที่ทานยาไปแล้ว ยิ่งเห็นเจ้าตัวนอนกระสับกระส่าย เพ้อหนัก ทั้งสามคนยิ่งทำตัวไม่ถูก สินจึงแนะนำให้รามโทรหาแพทย์กฤษณะ โดยหาเบอร์จากเครื่องของชะเอมทันที ไม่ถึงชั่วโมงกฤษณะก็มา





               "หมอครับ ทำไงดี ชะเอมจะเป็นอะไรมั้ย" รามถามอย่างร้อนรน





               "ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวอาขอวัดไข้ก่อน" ทั้งสามได้แต่ยืนมอง ยิ่งเครียดเมื่อกฤษณะสีหน้าไม่ค่อยดี "ไข้ขึ้นสูงมาก ถ้าถึงตอนเช้าแล้วยังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องส่งนอนโรงพยาบาล"





               กฤษณะยืนมองชะเอมที่นอนซมเหงื่อท่วม ปากบางพึมพำจับใจความไม่ได้ คงฝันเห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งที่แน่ๆ ไม่ใช่ฝันที่ดี





               จิตใจที่กำลังอ่อนแอก็ยิ่งส่งผลกับร่างกาย





               "ก่อนหน้านี้อาการชะเอมเป็นยังไง" นายแพทย์สอบถาม





               "ก็เพ้อแบบนี้แหละครับ แต่เพิ่งหลับไปตอนสองทุ่มกว่าหลังจากกินข้าวกินยา แต่ผมก็เช็ดตัวให้แล้วนะครับ" สินบอก กฤษณะพยักหน้ารับ ละสายตาจากชะเอมมามองหน้าทั้งสามคน





               "ไม่แปลกหรอก เพราะชะเอมร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ต้องดูแลต่างจากคนอื่นนิดหน่อย"





               "คือ...คุณหมอกฤษณะครับ อาการของชะเอมหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอครับ" ดินเอ่ยอย่างสงสัยแกมเป็นห่วง





               "เรียกอาหมอเหมือนที่เอมเรียกก็ได้...จะว่าไงดีล่ะ อย่างที่บอกแหละ ร่างกายของเจ้าตัวเล็กไม่ค่อยแข็งแรง แถมมีโรคประจำตัว ตอนเด็กๆ เคยไม่สบายหนักแล้วมีอาการช็อค อาเลยเกรงว่าจะเป็นแบบนั้นอีกน่ะสิ" กฤษณะพูดเครียดๆ ถ้าเป็นแบบนั้นอาคงไม่บอกพี่เกษมไม่ได้แล้วล่ะนะเอมเอ๊ย





               พอทั้งสามได้ฟังก็เครียดตามไปด้วย มีแต่รามที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรบางอย่าง





               "โรคประจำตัว...ชะเอมมีโรคประจำตัวด้วยเหรอครับ โรคอะไรครับคุณหมอ" กฤษณะชะงัก ก่อนถอนใจ หันไปถามจริงจังกับราม




               
               "ก่อนที่อาจะบอก อาขอถามอะไรหน่อย" คนวัยทองกวาดตามองทั้งสามคน "พวกเธอเป็นเพื่อนของชะเอมจริงๆ ใช่มั้ย"





               "ใช่ครับ" ทั้งสามมองหน้ากัน ถึงจะงงๆ แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่คำถามประชดประชัน





               อืม มีแววตาที่ดี ถ้าเป็นสามคนนี้ก็น่าจะไว้ใจได้





               “ถ้าอาบอก สัญญากับอาได้มั้ยว่าจะช่วยกันดูแลเอม” กฤษณะว่า เมื่อได้รับคำตอบจากทั้งสามก็ตัดสินใจบอก "ชะเอมเป็นโรคหัวใจ"





               "...!" ทั้งราม สิน ดิน ตกใจ ยืนอึ้งเพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ รู้สึกหน่วงในใจ ทั้งสงสารเป็นห่วงและ...เห็นใจ





               "อันที่จริงก็ไม่ใช่โรคหัวใจที่คนส่วนใหญ่เป็นกันหรอก น้อยคนที่จะเป็นโรคนี้ และชะเอมก็เป็นตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งอาหาร สภาพแวดล้อม การพักผ่อน ทำให้ชะเอมดีขึ้นไม่มีอาการกำเริบใดๆ มานานหลายปี แต่มีช่วงนี้ที่อาการเริ่มกลับมากำเริบอีก บอกตามตรงว่าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ อาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เอมพักผ่อนไม่พอ มีความเครียดสะสม อาพอจะเดาได้แค่ว่าน่าจะเกี่ยวกับคิน พวกเธอรู้จักคินใช่มั้ย"





               ทั้งสามพยักหน้า กฤษณะก็เล่าต่อ





               "อาเดาว่าทั้งสองคนน่าจะทะเลาะกัน แต่เอมไม่ให้อาบอกใครเลยเรื่องอาการของตัวเอง เลยมีแค่อา กับพวกเธอทั้งสามคนเท่านั้นที่รู้"





               ทั้งสามมองหน้ากัน ยังไม่เข้าใจในความหมายที่กฤษณะกำลังจะสื่อ และทำไมเขาถึงบอกเรื่องนี้กับพวกเขา





               "ถ้าพวกเธอเป็นเพื่อนกับชะเอมจริง อาอยากฝากให้ดูแลเอมหน่อย แล้วอาก็อยากจะรู้เรื่องปัญหาของชะเอมด้วย อาดูแลเขามานาน เด็กคนนี้ไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะเขามีแค่คินคนเดียวที่คอยเล่นด้วยมาตั้งแต่เด็ก" กฤษณะเดินไปบีบผ้าในกะละมัง เช็ดตามใบหน้าชื้นเหงื่อ ซับไล้เบาๆ เพราะผิวขาวๆ จะแดงได้หากออกแรงมากไป "ดังนั้นพอทะเลาะกัน เอมก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้จะพึ่งใคร อาก็ไม่สบายใจไปด้วย ถ้าพวกเธอรู้อะไรก็ช่วยบอกอาหน่อย"





               กฤษณะยังคงเช็ดตัวให้ร่างบางที่ขมวดคิ้วกระสับกระส่าย เห็นแล้วช่างน่าสงสาร มือใหญ่หยิบหลอดยานวดบีบเนื้อครีมทารอบๆ แผลช้ำรอยใหญ่ที่ยังคงสีม่วงน่ากลัวไม่ลดลง





               รามยืนนิ่งเม้มปาก ไม่รู้จะบอกดีไหม ห่วงก็ห่วง หนักใจก็หนักใจ นี่เป็นปัญหาของเอมที่เขาไม่ควรยุ่ง แต่...





               ร่างโปรงมองหน้าสินกับดินซึ่งพยักหน้าให้เขา รามเลยยอมปริปาก





               ถ้าหากช่วยเอมได้ เขาก็อยากจะช่วย...ได้แต่หวังว่าจะชะเอมจะไม่โกรธ





               "ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เขาลือกันในมหาลัยน่ะครับ"





               "ข่าวลือ...เรื่องอะไร เกี่ยวกับชะเอมเหรอ?" กฤษณะขมวดคิ้ว





               "ใช่ครับ คือ...เขาลือกันว่าทั้งสองคนเลิกกันแล้ว หมายถึงคินกับเอมน่ะครับ" รามเว้นจังหวะ “ผมเลยคิดว่าเอมน่าจะเครียดๆ กับเรื่องนี้นะครับ”





               "เลิกกัน? นี่พวกเธอพูดเรื่องอะไร?" ศัลยแพทย์มีน้ำเสียงงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาเด็กๆ ทั้งสามมองหน้ากันอย่างสงสัย





               "เอ๊ะ ก็..." รามจะพูด แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง ไม่รู้ว่ากฤษณะซึ่งอายุเท่านี้แล้วจะเข้าใจในสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้เขาเป็นกันรึเปล่า





               "คือว่า ชะเอมกับคินเขาเคยเป็นแฟนกัน แต่ตอนนี้เห็นว่าเลิกกันแล้วน่ะครับ" สินแจกแจงแทน





               "ว่าอะไรนะ?...ชะเอมกับคินคบกันเป็นแฟน บ้าน่า พวกเธอล้อเล่นรึเปล่า" กฤษณะช็อคตาโตเมื่อได้ยิน รามว่าแล้ว ว่าคนอายุอย่างกฤษณะไม่มีทางเข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้หรอก





               "พวกเราไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมรู้ว่าอาหมออาจจะไม่เข้าใจ แต่สมัยนี้แล้ว ในมหาลัยของพวกผมก็มีกันเยอะแยะไปครับ เรื่องผู้ชายกับผู้ชายคบกันน่ะ" ดินเป็นคนพูด ก่อนมองหน้าสินไปด้วย ซึ่งสินก็ยิ้มให้แถมส่งสายตาซะดินหน้าร้อนหลบตาไม่กล้าสบกลับ





               "อารู้ อาไม่ได้ติดใจเรื่องนั้น แต่อาแค่คิดเรื่อง..." กฤษณะถอนหายใจเป็นครั้งที่ล้านของวัน เฮ้อ มีเรื่องหนักใจอีกแล้วสิ นี่เขาไม่ต้องรอให้แก่จนหัวล้านหรอก แค่ตอนนี้ความเครียดอย่างเดียวก็มากพอที่จะทำให้เขาหัวล้านได้แล้ว





               นายแพทย์เหลือบตามองชะเอม สีหน้าหนักใจ แล้วนี่เขาจะบอกพี่เกษมยังไงดีกับเรื่องนี้





               "พวกเธอยังไม่รู้สินะ"





               "เรื่องอะไรครับ?" ทั้งสามงง จู่ๆ กฤษณะก็เปลี่ยนเรื่องไปมา สมองพวกเขาตามไม่ทัน





               "ก็ชะเอมกับคินเขาเป็นพี่น้องกัน"





               "ห้ะ!?"





               "ว่าอะไรนะครับ!"





               "..."





               ทั้งสามมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไป คนที่ชื่อสินดูจะนิ่งที่สุด แต่ก็ช็อคไม่ต่างกับกฤษณะที่รู้ว่าหลานทั้งสองคนคบกันเป็นแฟนในตอนแรก





               "มันยังไงกันครับ ชะเอมกับคินเขาอายุเท่ากัน จะเป็นพี่น้องกันได้ยังไงครับอาหมอ" รามว่า นี่เขาเจอเรื่องน่าตกใจมากี่เรื่องแล้ววันนี้





               “แถมดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นฝาแฝดกันด้วย” สินพึมพำ ดินถองศอกใส่คนที่พูดเล่นไม่รู้เวลา ซึ่งดูเหมือนกฤษณะก็จะได้ยินด้วยแต่ไม่ถือสา





               "ก็ไม่เชิงพี่น้องหรอก พ่อแท้ๆ ของคินรับชะเอมมาเลี้ยงตอนยังเด็ก จดทะเบียนเป็นพ่อบุญธรรมอย่างถูกกฏหมาย เปลี่ยนนามสกุล จึงเรียกได้ว่าชะเอมกับคินเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ต่างกับพี่น้องกันหรอก" กฤษณะอธิบาย "ทีนี้เข้าใจหรือยัง ว่าอาตกใจเรื่องอะไร"





               แล้วถ้าเกษมศักดิ์รู้ จะช็อคมากกว่าเขาขนาดไหนกัน





               "เอมคงไม่ได้บอกอะไรพวกเธอเลยล่ะสิ" ทั้งสามพยักหน้า "เจ้าตัวเล็กไม่เคยบอกใครอยู่แล้วอาจจะเพราะนิสัยขี้เกรงใจเป็นที่หนึ่ง นามสกุลใหญ่โตแบบนี้ พูดไปก็มีแต่คนรู้จัก"





               สินเห็นด้วย เขาพอจะอ่านข่าวเรื่องพวกนักธุรกิจอยู่บ้าง และชื่อพ่อของคินก็พาดข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ





               แต่เขาไม่เคยรู้เรื่องของชะเอมเลย...



               พี่น้องต่างสายเลือดที่มีความสัมพันธ์เป็นคนรักกัน





               “แล้วเรื่องที่ไม่สบายนี่ล่ะครับ เอมไปทำอะไรมา” รามถามอีก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวข้อที่เรียกความสนใจคนในห้องได้เป็นอย่างดี “คุณหมอพอจะทราบมั้ยครับ”





               เรื่องข่าวลือนั่น...เรื่องของเรย์กับคิน...อาการป่วย...และเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจที่ยังคงก้องบาดหู...มันจะต้องเกี่ยวข้องกันแน่





               แพทย์วัยสี่สิบกว่ายิ้มอ่อน "เรื่องรายละเอียดที่มากกว่านี้อาขอให้ชะเอมเป็นคนตัดสินใจเองก็แล้วกันว่าจะเล่าให้พวกเธอฟังหรือไม่"





               แค่นี้เขาก็กลัวว่าเจ้าตัวเล็กตื่นขึ้นมาแล้วโกรธเขาสามวันสามคืนจะแย่แล้ว





               กฤษณะมองนาฬิกา และมองหน้าอิดโรยของเด็กๆ ทั้งสาม "ดึกมากแล้ว อาต้องรบกวนพวกเธอมาก ขอบใจมากนะที่เล่าเรื่องปัญหาของชะเอมให้ฟัง เอาล่ะ วันนี้กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะ"





               "ให้ผมอยู่ต่อเถอะครับ" รามพูดขึ้น หลังจากรู้เรื่องของชะเอมแล้ว จะให้เขากลับบ้านไปอย่างนี้ได้ยังไง เขาสัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าไม่ว่ายังไงจะช่วยชะเอมจนถึงที่สุด





               วันที่เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของร่างบางและก็เป็นวันเดียวกับที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใส





               ชะเอมไม่เหมาะกับหน้าเศร้าๆ เลยแม้แต่นิดเดียว





               และวันนี้เขาเห็นสีหน้าที่ราวกับจะแตกสลาย ใบหน้าที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร...ในใจของชะเอมคงยังมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เพิ่งประสบพบเจอมา...ที่พวกเขายังไม่รู้





               'ชะเอมเป็นโรคหัวใจ'





               นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้ยังไง





               "แล้ววันนี้เธอเตรียมของมาค้างแล้วหรือไงล่ะ" คนอายุล่วงเลยกว่าสี่สิบแต่หน้ายังสามสิบมองเด็กๆ ที่มีสีหน้าเป็นห่วงเรื่องของเจ้าตัวเล็กแล้วอดยิ้มไม่ได้ ชะเอมท่าทางจะมีเพื่อนที่ดีมากเลยนะคราวนี้ "กลับไปพักแล้วมาที่นี่แต่เช้าก็ยังได้ หรือถ้ามีอะไรน่าเป็นห่วง อาจะรีบโทรบอกพวกเธอเป็นสายแรกเลย"





               "วันนี้กลับกันก่อนเถอะ" สินพูด ทำให้รามที่กำลังจะค้านหันขวับ "วันนี้กลับไปนอนจะได้มีแรงมาดูแลเอมไง ถ้าเราเหนื่อยจนไม่ได้พักเขาต้องสังเกตเห็นแล้วต้องห้ามพวกเรามาอีกแน่"





               กฤษณะยิ้มบาง ท่าทางจะเข้าใจนิสัยของเอมอยู่เหมือนกันนะ





               รามฟังเหตุผลของสิน ก็จำใจยอมรับ ร่างโปร่งลุกขึ้นพร้อมไหว้ลากฤษณะ ดินที่ไม่ได้พูดอะไรก็ก้มหัวให้กฤษณะพร้อมสินเช่นกัน แล้วทั้งสามก็เดินออกมาจากห้อง





               "กูเข้าใจมึงนะราม กูก็ห่วงเอมเหมือนมึง" สินตบไหล่ร่างโปร่งราวกับจะขอโทษที่พูดขัดใจ "แต่ตอนนี้เรากลับก่อน แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่นี่หกโมงเช้า โอเคมั้ย"





               รามยิ้มเข้าใจ "โอเค"





               สินกับดินยืนส่งร่างโปร่งที่ขึ้นแทกซี่ไป ก่อนจะยืนรอแทกซี่อีกคันซึ่งเวลานี้หาได้ยากมาก





               "ทำไมเราไม่ขึ้นคันเดียวกับรามแล้วค่อยให้เขาไปส่งทีละคนวะ หาตอนนี้ยากตายห่า มึงดูเวลาด้วย" ดินที่เงียบมานาน เอ่ยขึ้นเพราะสงสัย มองหน้าสินที่ยืนยิ้มสายตาเจ้าเล่ห์อยู่





               "กูอยากอยู่กับมึงสองคนไง"





               "ไอ้ห่า พูดเรื่องน่าอายได้หน้าตาเฉย" ดินพูด พลางมองไปรอบๆ ถึงเวลานี้จะไม่มีใครได้ยิน แต่ก็อายอยู่ดีอะ "ตอนอยู่หอก็อยู่ด้วยกันแค่สองคนอยู่แล้วป่ะวะ"





               "ก็ก่อนหน้านี้กับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน"





               "ยังไง"





               "เรื่องของความรู้สึก" สินยิ้มกรุ้มกริ่ม "ตอนนี้กูชอบมึง มึงชอบกู เราชอบกัน"





               "คะ ใครบอกว่ากูชอบมึง ตอนไหนไม่ทราบ" ดินแหวตาโต หน้าร้อนผ่าว ไอ้ขี้ตู่!





               "มึงบอกกู" สินจิ้มนิ้วลงบนอกด้านซ้ายของคนตัวเตี้ยกว่า "ตรงนี้ของมึง มันบอกกู"





               ดินใจเต้นตึกตักๆ ดังสนั่น ทั้งสายตาที่มองมา น้ำเสียงของคนตรงหน้า มันทำให้เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก





               "แล้วตรงนี้ก็บอกกู" นิ้วยาวย้ายจากอกขึ้นมาจิ้มที่แก้ม แต่สายตาไม่รักดีของสินย้ายไปมองที่ริมฝีปาก "แก้มมึงแดงแปร๊ดเลย"





               "อะ ไอ้สิน" ดินสะดุ้งโหยงจับแก้ม ทั้งหูทั้งหน้าแดงก่ำเพราะจู่ๆ คนตรงหน้าหอมแก้มเขาดังฟอดไม่ทันรู้ตัว ริมฝีปากบางสั่นระริก นิ้วยกขึ้นมาชี้หน้าเจ้าเล่ห์ "ไอ้..." คนฉวยโอกาส!





               "มัดจำเรื่องจูบ" สินไม่สำนึก ยักไหล่กวนอารมณ์ดินเป็นอย่างมาก "เฮ้อ อยากกลับหอแล้วสิ"





               ร่างสูงผิวสีแทนแทบจะควันออกหูเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ เจ้าเล่ห์ สองขาวิ่งไล่หวังจะประทุษร้ายไอ้คนคิดเรื่องสิบแปดบวกตลอดเวลา





               เขารู้ว่ามันหวังอะไร





               'กลับหอก่อน ไม่ใช่ที่นี่'





               พอคิดได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป...มันก็หน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง





               "กูไม่กลับแล้ว มึงกลับไปคนเดียวเลย!!!"







               ************************Whose fault? ************************





               จริงๆ ตอนนี้ยาวมาก (มีต่ออีก)

               แต่ขออนุญาตแบ่งครึ่งนะคะ รอติดตามตอนต่อไปจ้า

             

               บางคนอาจติดใจเรื่องทำไมตัวประกอบเด่นจัง...คือพระกับนายมันทะเลาะกันอยู่อ่ะนะ

               เลยให้ตัวประกอบมันออกโรงไปก่อนแค่นั้นแล



                ถ้าใครอยากอ่านต่อเม้นเป็นกำลังใจให้ชะเอมด้วยนะคะ....ติดตามตอนต่อไป



                ถ้าใครไม่อยากรอ อยากอ่านต่อไปอ่านในเว็บธัญวลัยได้นะคะ ที่นั่นลงนำไปหลายตอน 

                แปะลิ้งไว้ด้านล่างนะแจ๊ะ  ไม่รู้เข้าได้กันเปล่า (ฮา)

                http://www.tunwalai.com/story/239811/whose-fault-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3?page=1



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 9 วันที่ 22/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-11-2018 12:59:56


                                                      Whose Fault ?

 

                                                       ผิด...ครั้งที่ 9

 

 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

เมื่อถึงยามเช้าวันใหม่ ราม ดิน สินก็อยู่ในห้องเดิมอีกครั้ง

 

 

ระหว่างที่ในห้องเงียบกริบมีแต่เสียงลมหายใจติดขัดจากชะเอมที่นอนกระสับกระส่าย ทั้งสามสลับกันมาเช็ดตัวให้ร่างบาง เตรียมข้าวเตรียมยาไว้ให้รอคนป่วยฟื้นมากิน จู่ๆ รามก็แสดงท่าทางแปลกๆ

 

 

"อะ...อะไร" ดินงึกงัก เมื่อรามจ้องเขาในระยะประชิด

 

 

"ตามึงคล้ำๆ แถมกูได้กลิ่นแปลกๆ ยังไม่รู้" ร่างโปร่งทำจมูกฟุดฟิด ใกล้ๆ ตัวเหมือนหมา ซึ่งรามก็โดนผลักหน้าโดยมือของสิน แขนแข็งแกร่งอีกข้างโอบรอบเอวดินไว้ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเหมือนหวงของของสินนั้นยิ่งทำให้รามยิ้มตาระยิบระยับเป็นประกาย

 

 

"กลิ่นอะไรของมึง" ดินถามระแวง ก้มลงดมจักกะแร้ตัวเอง ให้แน่ใจว่ากลิ่นแปลกๆ ที่ว่าไม่ใช่กลิ่นเหม็น "เมื่อเช้ากูอาบน้ำมาแล้วนะ"

 

 

รามหรี่ตาที่เรียวอยู่แล้วให้มันเรียวเล็กไปอีก

 

 

ยัง...มันยังไม่รู้ตัว...

 

 

“หึหึ” ร่างโปร่งชูนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา ส่งเสียงจุ๊ๆ

 

 

"กลิ่นความรัก"

 

 

ดินหน้าร้อนฉ่า ร้องเสียงสูง "ค...ความร้งความรักอะไร" ถองศอกใส่คนที่ยืนรุ่มร่ามกอดเขาข้างหลังให้ปล่อยมือออกแก้เขิน

 

 

สินไม่โกรธแต่ยกมือกุมท้อง หัวเราะในลำคอกับการหยอกล้อ(?)ของคนเขินน่ารัก (สินเห็นเป็นอย่างนั้น)

 

 

"กูเห็นน้า" รามทำเสียงเจ้าเล่ห์ ชี้ที่คอตัวเอง "ตรงนี้"

 

 

ดินตะปบมือที่คอตัวเอง ตาเหลือกลาน ลมหายใจกระตุก หันไปถลึงตาใส่ตัวการจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้สิน

 

 

อะไร!? นี่เขาไม่เห็นรู้ตัวเลยว่ามันทำรอยอะไรไว้ในตรงที่คนอื่นสามารถมองเห็น...หรือว่า!? ดินสะบัดตัวหนีจากการมือปลาหมึกเดินเข้าห้องน้ำเพื่อยืนยันหลักฐาน

 

 

"แค่ข้ามคืนนี่มึงเปิดซิงไอ้ดินแล้วเหรอ" รามหันไปถามสินที่ยืนยิ้มตาพราว ก่อนจะหันมาถามดินที่เพิ่งก้าวยาวๆ เดินทำหน้าขึงขังออกมาจากห้องน้ำ "รู้สึกเป็นไง ดีมั้ย ทำไมมึงถึงยังเดินได้ปกติอีกล่ะเนี่ย เห็นว่าครั้งแรกมันน่าจะเจ็บมากเลยนี่หว่า..."

 

 

ดินง้างกำหมัดแล้วใส่แรงเต็มที่ลงบนหัวคนพูดมาก

 

 

โป๊ก!!

 

 

"โอ๊ย!" รามกุมหัวตรงที่โดนเขก

 

 

"เลิกล้อเล่นได้แล้ว! กูไปส่องกระจกดูไม่มีรอยอะไรที่มึงว่าเลย” อย่างน้อยก็หมายถึงที่ๆ มองเห็นได้ง่ายล่ะนะ ส่วนที่อื่น... “ตลกนักเหรอห้ะ!"

 

 

"มึงเล่นแรงไปแล้วนะ! ถ้าหัวกูแตกจะทำยังไง!?"

 

 

"แตกไปเลยก็ดี เอาเลือดออกจากหัวซะบ้าง"

 

 

รามพ่นลมหายใจแรง "ทำมาเป็นพูด ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่จริง มึงจะไปส่องกระจกดูทำไม แสดงว่าเมื่อคืนพวกมึงทำอะไรกันจริงๆ ล่ะสิท่า!"

 

 

ดินหน้าแดงหูแดงยกมือเตรียมทำร้ายอีกรอบให้ร่างโปร่งมันเข็ด "ไอ้...!"

 

 

"เอาน่าๆ" สินเริ่มเห็นว่ามันชักจะบานปลายก็เข้ามาล็อคแขนร่างที่เตี้ยกว่าเขาแค่ไม่ถีงห้าเซนต์ ตัวใหญ่แรงก็เยอะพอๆ กันจึงลำบากหน่อยกว่าคนผิวสีคล้ำจะยอมอ่อนแรง

 

 

"ฮึ้ย" ดินไม่สบอารมณ์ ที่ร่างโปร่งมันยังไม่หยุดส่งสายตาประกายวาววับ

 

 

สินส่งสายตาให้รามเลิกล้อเลียนได้แล้ว เพราะถ้าดินผู้เขินได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตออกแรงมากกว่านี้เขาก็ห้ามไม่ไหวเหมือนกันนะ

 

 

ตัวมันก็ใช่ว่าเล็กซะเมื่อไหร่

 

 

"ยิ่งออกอาการมันยิ่งรู้นะ" สินกระซิบข้างหูคนที่เขาล็อกแขนอยู่ด้านหลัง "หน้าแดงหมดแล้วรู้ตัวมั้ย"

 

 

"ป...ปล่อยสิ สินปล่อยกู" ก็เพราะมึงทำแบบนี้แหละกูถึงอายไง!

 

 

นี่มันไม่รู้ตัวหรือมันพยายามจะแกล้งเขากันแน่เนี่ย!?

 

 

"โอเค ปล่อยก็ได้ แต่ห้ามเถียงกันแล้วนะ"

 

 

"ฝัน!" ดินดิ้น "มันเริ่มก่อนมึงก็เห็น"

 

 

"ถ้ามึงยังไม่หยุด เดี๋ยวคืนนี้กูก็จะไม่หยุดให้แล้วเหมือนกันนะ" สินตาประกายเจ้าเล่ห์ แถมยังวาววับเหมือนเสือจะกินเหยื่อยังไงชอบกล

 

 

"!?"

 

 

รามที่ยืนดูสถานการณ์ไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นกระซิบอะไรกัน แต่ดูจากสีหน้าของดินที่แดงยิ่งกว่าตอนที่เขาล้อ แดงจนเรียกได้ว่าควันออกหูนั่น มันคงเป็นอะไรที่เขาไม่ควรรู้แน่ๆ

 

 

และตอนนี้เขากลายเป็นหน่อส่วนเกินไปเรียบร้อย (อีกแล้ว)

 

 

นี่พวกมึงไปถึงขั้นไหนกันแล้ววะเนี่ย?

 

 

"เออ...ปล่อยดิ" ดินมุบมิบ ไม่เถียงแล้วก็ได้วะ "ยะ...อย่าคิดว่ากูกลัวนะ! กูไม่ได้กลัว...ว่า...ว่าจะโดนมึงทำอะไรทั้งนั้นแหละ เข้าใจนะ!?"

 

 

สินหัวเราะที่อีกฝ่ายยิ่งพูดยิ่งขุดหลุมฝังตัวเอง "ครับ ครับ"

 

 

ทั้งสามเถียงกันอยู่สักพักก่อนชะงักเมื่อเริ่มเห็นถึงความผิดปกติของคนบนเตียง

 

 

นายแพทย์วัยสี่สิบกว่าเพิ่งจะกลับไปสองชั่วโมงก่อน ตลอดคืนที่หมอกฤษณะเฝ้า อาการร่างบางก็ยังคงที่ไม่ได้ดีขึ้นเลย และดูเหมือนจะชะเอมจะไข้ขึ้นอีกแล้ว

 

 

“แค่ก! ...แค่ก”

 

 

“อือ พ่อฮะ พ่อ” ริมฝีปากที่พึมพำแผ่วเบา เรียกให้คนนั่งข้างเตียงผุดลุกขึ้น

 

 

“เอม...เอม” มือใหญ่เอื้อมไปเขย่าหวังจะปลุกร่างบางที่นอนเพ้อให้ตื่นจากฝัน แต่ทันทีที่สัมผัสผิวกายที่ร้อนระอุ ชะเอมก็สะดุ้งร้องอย่างหวาดผวา

 

 

“ไม่!! อย่า!!” มือเล็กปาดป่ายหวังจะปัดสัมผัสขยะแขยงออกจากตัว จนคนในห้องลุกมาดูอาการอย่างรวดเร็ว สินที่ตอนแรกจะปลุกขึ้นมาดูอาการก็ยอมถอยออกมาหนึ่งก้าว เพราะเห็นท่าไม่ดี “เอมเจ็บ ฮือ เอมเจ็บแล้วฮะพ่อ”

 

 

ทั้งสามคนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอะไรแปลกๆ จึงเงียบแล้วหยุดฟัง

 

 

“...”

 

 

ชะเอมยอมลดมือลงเมื่อสัมผัสนั้นหายไปแล้ว โอบกอดตัวเองไว้แน่นราวกับจะปกป้องตัวเองจากการทำร้าย “เอมขอโทษ ขอโทษครับ”

 

 

“...”

 

 

“พ่ออย่าตีเอม เอมเจ็บ ฮือ ฮึก... ขอโทษครับ” ริมฝีปากสะอื้นไห้ร้องครางอย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลพราก เหงื่อก็ผุดซึมเต็มหน้าผาก “พ่อ...”

 

 

เสียงร้องไห้ครางเครือทรมานปนกับเสียงพร่ำเพ้อขอความเห็นใจดังต่อเนื่องโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา

 

 

อีกหนึ่งความจริงที่สามคนฟังแล้วต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตกใจ

 

 

หมายความว่ายังไง...

 

 

“ฮือ!!! อ๊า! ไม่!!” จู่ๆ เสียงครางเครือที่ดูเหมือนจะสงบลงก็กรีดร้องขึ้นมาอีก ทั้งสามคนสะดุ้ง คราวนี้ชะเอมตัวสั่นอย่างหนัก แขนบางเกร็งกอดร่างตัวเองแน่น “ไม่เอาแล้ว เอมเจ็บ...เจ็บจะตายแล้ว ฮึก ฮือ”

 

 

“สิน...ปลุกเอมที” ดินเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นในสถานการณ์ตึงเครียด

 

 

“พ่อครับ!” ร่างบางกรีดร้อง

 

 

“ปลุกเอมทีเหอะ...เอมกำลังทรมาน” ดินหน้าซีดพูดเสียงสั่นเครือ ท่าทางทรมานของชะเอม มันเจ็บปวดมากจนเขาทนมองต่อไปไม่ได้ “กูขอร้อง”

 

 

ภาพร่างบางนอนดิ้นทุรนทุราย...ทำให้นึกถึงอดีต เสียงแหลมกรีดร้องโหยหวน

 

 

 สินพยักหน้า

 

 

“รามมาช่วยกู” รามไม่ได้พูดอะไร เข้ามาจับตัวชะเอมที่แข็งเกร็ง ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสเย็นๆ จากมือของรามทางผิวกาย ดีที่ไม่ได้ดิ้นอย่างตอนแรกแล้วสินจึงวางใจ เนื่องจากไม่รู้จะทำยังไงให้ชะเอมตื่น จึงใช้หลังมือตบเบาๆ ที่ข้างแก้มใสที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา

 

 

“เอม”

 

 

“ยะ อย่าตีเอม...พ่อ” ชะเอมยังหลับตาแน่น

 

 

“เอม!” รามจึงใช้วิธีปลุกแบบใช้เสียงแทน พลางเขย่าไปด้วย “ตื่นเถอะ”

 

 

“ฮึก...”

 

 

“เอม!!”

 

 

 

 

 

 

จมลึกเข้าไปในความฝัน

 

พ่อหยุดตีเอมแล้ว พ่อกำลังเข้านอน...พอแล้วเหรอ

 

วันนี้คงจบแล้ว...ทั้งเหนื่อย...ทั้งเจ็บ...ทรมาน

 

ความรู้สึกล่องลอย...เหมือนกำลังจะตาย

 

ถ้าเราตายไปพ่อคงจะดีใจ...อย่างที่พ่อว่าเลย เราไม่น่าเกิดมาเลย

 

แล้วถ้าเอมตาย...

 

...คินก็คงดีใจเหมือนกันใช่มั้ย

 

 

 

 

 

 

 

“เอม!!” รามตะโกนลั่น เขาไม่ได้คิดไปเองว่าเมื่อกี้เหมือนร่างบางจะหยุดหายใจไปแวบหนึ่ง

 

 

“ราม ใจเย็นๆ มึงเป็นอะไร” สินถามเมื่อเห็นความร้อนรนผิดปกติ

 

 

“เมื่อกี้...เมื่อกี้” รามสั่นไปทั้งตัว อธิบายทั้งๆ ที่เสียงตัวเองก็สั่น “เอมไม่หายใจ”

 

 

ดินได้ยินก็ช็อคตาค้างยืนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก สินพลันผุดลุกขึ้นอังมือเหนือจมูกของร่างบางที่บัดนี้นอนนิ่ง ก่อนพรูลมหายใจเมื่อยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจแม้จะแผ่วเบามาก

 

 

“กูพูดจริงๆ...ถึงจะแค่แป๊ปเดียว แต่เอมไม่หายใจจริงๆ” ปากรามสั่นกึกๆ ไม่ใช่เพราะความหนาว

 

 

แต่เพราะหวาดกลัว...

 

 

นี่เอมกำลังฝันอะไรอยู่ รีบๆ ตื่นได้แล้ว!

 

 

“...”

 

 

“เอมตื่นสิ เอม!” รามหน้าซีด มือเรียวเขย่าอย่างบ้าคลั่ง เมื่อปลุกเท่าไหร่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากชะเอมเลย

 

 

หรือนี่คืออาการช็อคอย่างที่แพทย์กฤษณะเคยบอก

 

 

“อือ...” ในขณะที่ทุกคนทำอะไรไม่ถูก เสียงแหบๆ ดังจากปากคนนอนนิ่ง สิ่งไม่ดีที่รามกำลังคิดว่ามันจะเกิดมลายหายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่แทนที่คือความโล่งอก

 

 

“ฮื่อ...ปวดหัว” ลืมตาขึ้นได้แป๊ปเดียวก็หลับตาลงอีกครั้ง เมื่อแสงสว่างจากหน้าต่างแล่นเข้ามาทำเอาประสาทตาแปลบปลาบ

 

 

รามกับดินยังคงยืนนิ่งอึ้งเหมือนปรับสมองไม่ทัน ไม่มีใครเคลื่อนไหว คนรู้สึกตัวคนแรกเห็นจะเป็นสิน

 

 

“เอม” เสียงทุ้มเรียกชื่อร่างบางให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง

 

 

“อือ...” ชะเอมได้ยิน แต่ยังมึนงง “ใคร...”

 

 

คนในความฝัน...

 

 

หรือคนในความจริง

 

 

สมองเบลอจนแยกแยะไม่ออก

 

 

“พวกเราเองไง” สินเอ่ยทำลายความเงียบอีกครั้ง “ปวดหัวเหรอ ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนนะ จะได้เช็ดตัว”

 

 

“หิวน้ำ...” คนป่วยเรียกร้องเสียงแหบพร่า พยายามปรือตามองที่มาของเสียง “หิวน้ำจัง”

 

 

รามรู้สึกตัวก็ยื่นมือหยิบแก้วน้ำที่ถูกรินเตรียมไว้ แต่มือก็สั่นจนทำน้ำกระฉอกหกใส่ฟูก จนสินต้องแย่งมาถือเอง “ขอบใจ”

 

 

“ไม่เป็นไร มึงไปนั่งพักก่อนไป” สินส่ายหน้า “ดินมาช่วยพยุงเอมหน่อย”

 

 

แขนใหญ่ประคองร่างบางที่ตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อขึ้นพิงหัวเตียงแผ่วเบา

 

 

“ขอบใจนะดิน” ชะเอมเอ่ยอย่างอ่อนเพลีย กระพริบตาถี่ปรับภาพที่พร่ามัว เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าอะไรเป็นอะไร รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน

 

 

“ค่อยๆ ดื่มนะ เดี๋ยวสำลัก” สินจ่อหลอดที่ปากแห้งผาก

 

 

“อึก แค่ก!” ร่างบางปิดปากไอโขลก เมื่ออาการดีขึ้น ก็ดื่มน้ำอีกจนหมดแก้ว

 

 

“ เอาอีกไหม” เสียงทุ้มถาม แต่ชะเอมส่ายหน้าพึมพำขอบคุณอีกครั้ง

 

 

ร่างบางปรือตาเหนื่อยอ่อน เพลีย เหมือนถ้าหลับตาลงคงหลับไปได้ในทันที แต่ก็ฝืนไว้

 

 

ไม่อยากนอนเลย...กลัวความฝัน

 

 

ฝันร้ายช่างน่ากลัว

 

 

“กินข้าวกินยาก่อนนะ แล้วค่อยนอนพัก” สินเสนอ

 

 

“ไม่เอา ไม่อยากนอน” ชะเอมส่ายหน้าทันที คนไม่สบายเริ่มงอแง “ไม่อยากนอนเลย”

 

 

สินเจอแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูก...แต่ก็พอจะเข้าใจ

 

 

ฝันร้ายงั้นสินะ

 

 

“โอเค งั้นกินข้าวนะ จะได้กินยา รามเตรียมไว้ให้แล้ว”

 

 

ถึงจะไม่อยากกินเท่าไหร่ แต่ก็ต้องพยักหน้าจำใจยอม

 

 

กินไปได้ไม่กี่คำก็ส่ายหน้าดิกยอมแพ้ รับยามาตบเข้าปาก รามรับชามกับแก้วมาวางไว้ที่ถาดเตรียมเอาไปล้าง

 

 

"วันนี้ไปห้างกันใช่มั้ย" ชะเอมถาม

 

 

"หืม" รามครางในลำคอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเคยนัดกันเอาไว้จริงๆ รู้สึกเขาเจอเหตุการณ์หลายอย่างจนลืมไปแล้วแต่แปลกใจที่ดูเหมือนร่างบางจะยังจำได้ "เออจริงด้วยเนอะ"

 

 

"จะไปกี่โมงเหรอ" ร่างบางถามอ้อมแอ้ม อันที่จริงถามไปอย่างนั้นเอง...ก็แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้พวกรามไปไหนเลย

 

 

"พวกเราคงไม่ไปแล้วแหละ" ดินตอบแทน "เอมไม่สบายแบบนี้ จะให้พวกเราไปกันได้ไงล่ะ"

 

 

"จริงเหรอ" ชะเอมยิ้มอ่อน แต่แววตาแสดงออกถึงความดีใจ

 

 

"อือฮึ" ดินยักคิ้ว เอี้ยวตัวไปรับกะละมังน้ำอุ่นที่สินถืออยู่ "เช็ดตัวหน่อยมั้ย"

 

 

"อื้อ" ร่างบางพยักหน้า "แต่จริงๆ อยากอาบน้ำมากกว่า"

 

 

"อย่าเลย เดี๋ยวไข้ขึ้นอีกจะทำยังไง" ดินบิดผ้าจนน้ำหยดออกหมดแล้วสะบัดเล็กน้อย "เช็ดตัวไปก่อน ถ้าไข้ลดลงกว่านี้ ให้คุณหมอกฤษณะตรวจว่าโอเคแล้วค่อยอาบน้ำตอนนั้นก็ได้"

 

 

"แต่มันเหนียวตัวนี่นา" ชะเอมหน้ามุ่ยเมื่อมีคนขัดใจ ร่างกายรู้สึกหนึบหนับอึดอัดไปหมด

 

 

ดินเงียบไม่พูดอะไร มือไล้ไปตามแขนเรียว ซับที่คอ ใบหน้า ก่อนจะชุบน้ำบิดอีกครั้ง

 

 

ในใจเหม่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

 

 

มันทำให้ดินนึกถึงสิ่งที่ไม่อยากนึก...เขาคิดว่าลืมมันไปได้แล้วแท้ๆ...แต่ความจริงไม่ใช่เลย

 

 

"ดิน" เสียงใสเรียกทำให้หลุดออกจากภวังค์ "เป็นอะไรเหรอ"

 

 

"ปะ เปล่า" บ้าจริง นี่เขาแสดงสีหน้าอะไรออกไป

 

 

        ไม่รู้ตัวเลย

 

 

        ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งโดนสายตาคมกริบมองอยู่...

 

 

        "เสร็จแล้ว" มือสีเข้มหย่อนผ้าขาวลงในกะละมัง ก่อนหันกลับไปมองชะเอมที่มองมาที่เขาเช่นกัน

 

 

        "อยากทำอะไรมั้ย นอนทั้งวันแล้วคงจะเบื่อ"

 

 

        "ฮืม" ร่างบางปรือตาพึมพำเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง "อยากดูทีวี"

 

 

        แค่อยากได้ยินเสียง...เสียงอะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาไม่ได้คิดว่าอยู่ตัวคนเดียว

 

 

        ดินพยักหน้าผุดลุกขึ้นเปิดโทรทัศน์ "ดูช่องไหนดี...อ้าว"

 

 

        ริมฝีปากสีเข้มเผยยิ้มอ่อน มือวางรีโมทไว้ที่เดิม กดปิดทีวีที่เพิ่งเปิดเมื่อครู่ ก่อนจะมาจัดที่นอนให้ร่างบางสบายที่สุด

 

 

        ชะเอมหลับไปแล้ว...

 

 

        ดินลูบหัวทุย ได้แต่ภาวนาให้คนป่วยหลับสบายเสียที อย่าตกอยู่ในห้วงความฝันที่แสนน่ากลัวอีกเลย

 

 

 

 

 

                     ************************Whose fault? ************************

 

 

 

 

 

"เป็นอะไรรึเปล่า"

 

 

"เป็น...เป็นอะไร กูไม่เป็นอะไรสักหน่อย" ตาคมสั่นไหวหลุบลง "คนที่เป็นคือเอมต่างหาก"

 

 

"อย่าโกหก"

 

 

"..."

 

 

"มึงเป็นอะไร ทำไมกูจะไม่รู้" เสียงทุ้มอ่อนโยน กับแขนแข็งแรงที่ดึงเขาแนบอก

 

 

ดินเบิกตา แขนสองข้างเผลอกอดตอบไม่รู้ตัว

 

 

"อือ...ทำไมมึงถึงใจดีกับกูจัง" ด้วยความสูงที่พอดีกันกับกลิ่นหอมเย็นๆ ทำให้จมูกโด่งกดลงสูดดมที่บ่ากว้างของอีกคน รู้สึกโล่งใจบอกไม่ถูก

 

 

โดยไม่รู้ว่าท่าทางอ้อนๆ นั้น ทำให้สินหมั่นเขี้ยวขนาดไหน

 

 

"ถามอะไรสมกับเป็นมึงอีกแล้ว"

 

 

คิ้วเข้มขมวด "ยังไง"

 

 

"ก็คำถามซื่อบื้อไง" สินยิ้มขำ ดินเงยหน้าตวัดมองค้อน จะยื้อตัวออกแขนแกร่งก็กดเอวไว้แนบแน่น

 

 

"แม่ง...หมดมู้ดเลย"

 

 

คินมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย...แววเศร้าหมองคู่นั้นหายไปแล้ว

 

 

"หึหึ"

 

 

"เกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของมึงจัง" พออะไรๆ เริ่มเข้าที่ สติก็เริ่มเข้าทาง แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเขาสองคนอยู่ในท่าทางไม่เหมาะสมสุดๆ! "ฮื้อ ปล่อย"

 

 

 

สินจ้องริมฝีปากบึ้งๆ ที่เมื่อคืน 'ชิม' ไปไม่รู้กี่ครั้งกับท่าทางพยายามขืนตัวออกจากแขนแกร่งของตัวเอง บอกเลยว่าไม่สะเทือน...ถ้าเขาเอาจริง อย่าหวังเลยว่าจะดิ้นออกไปได้

 

 

ก๊อกๆๆ!

 

 

เสียงเคาะประตูทำให้คนที่กำลังดิ้นสะดุ้ง

 

 

"คุณหมอมาแล้ว" ปั่ก! "ปล่อย" ดินทุบไหล่กว้างไม่ออมแรง ดิ้นไม่ได้ก็เหลือทางเดียวคือทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย

 

 

จุ๊บ!

 

 

"ครับๆ มาแล้วครับ" สินบอกเสียงยานคาง เดินตัวปลิวปล่อยคนในอ้อมกอดให้ยืนนิ่งตาเบิกกว้าง

 

 

ถ้าหูเขาไม่ฝาดเหมือนได้ยินมันผิวปากอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย

 

 

"อะ...อะ" ดินปากสั่นหน้าซีดสลับแดง มือเข้มตะปบปิดปากแน่น เมื่อกี้...ไอ้สิน...มัน...ในสถานที่แบบนี้

 

 

"สวัสดีครับคุณหมอ" สินยกมือไหว้คนมาใหม่

 

 

"ชะเอมเป็นยังไงบ้าง" กฤษณะถามหอบๆ ให้รู้ว่าเขารีบมาขนาดไหน

 

 

"หลับไปแล้วครับ" สินตอบ "เมื่อกี้นี้เอง"

 

 

"อ้าวเหรอ" นายแพทย์ถอนหายใจแต่ยังไม่คลายคิ้วที่ขมวด เหลือบมองดินที่ยังยืนนิ่ง "นี่เธอ...ไม่สบายรึเปล่า"

 

 

"ฮะ...ครับ?" ใบหน้าคมเข้มงง เมื่อกี้พูดอะไรนะเขาไม่ทันฟัง

 

 

"อาถามว่าป่วยรึเปล่า หน้าแดงเชียว"

 

 

"..."

 

 

"ติดหวัดจากเอมเหรอ รีบๆ ทานยาดักไว้ก่อนนะ เดี๋ยวจะยุ่งเอา" กฤษณะเตือนตามความเคยชิน เดินผ่านเข้าห้องไปเยี่ยมคนป่วยจริง โดยที่คนป่วยที่ถูกเข้าใจผิดยังยืนหน้าแดงอยู่ที่เดิม

 

 

"...หึหึ" สินขำกับคำทักของแพทย์กฤษณะ

 

 

"ฮึ้ยยย" ดินหัวฟัดหัวเหวี่ยง

 

 

ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ ไอ้เวร! ไอ้คนฉวยโอกาส!!

 

 

"กูคิดอะไรดีๆ ออกละ" ดินผงะเมื่อสินเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ

 

 

"ถ้าคราวหน้าทำร้ายร่างกายกูอีก" เสียงทุ้มกระซิบติดริมหู ลมหายใจร้อนเป่าทำขนลุกซู่ "กูจะเอาคืนแบบนี้แหละ"

 

 

"...!"

 

 

"เป็นการเอาคืนที่ชื่นใจที่สุดเลยว่าไหม" สินยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่ดินขบกรามหูแดงแปร๊ด

 

 

เป็นการเอาคืนที่ชื่นใจที่สุด...สำหรับมึงคนเดียวน่ะสิ!!



 



 

 

 

                      ************************Whose fault? ************************

 

 

 


 

 
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 10 วันที่ 22/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-11-2018 13:18:39
Whose Fault ?

 

ผิด...ครั้งที่ 10

 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

เฮือก!



 

เอาอีกแล้ว ฝันอีกแล้ว

 

 

พักนี้ฝันถึงอดีต...ฝันถึง 'เขา' บ่อยจนจำได้ทุกอณู

 

 

ความเจ็บปวดที่ได้รับในความฝัน...จริงๆ คือความเจ็บปวดในอดีตมันส่งผลมาถึงปัจจุบันได้ในยามตื่นลืมตา

 

 

ทุกสัมผัสที่เท้ากระทืบลงมาโดนตามตัว แค่นึกถึงมือบางก็ยกกอดตัวเอง ลูบตามแขนเหมือนยังหวาดผวากับความฝันที่ตกค้างจากวันวานทรมานในวัยเด็ก

 

 

ริมฝีปากอ้าหอบ หัวใจเต้นระรัว เหงื่อแตกพลั่ก อาการไข้ที่เป็นหนักดีขึ้นมากเมื่อนอนพักเต็มๆ หนึ่งวันกว่า...เหลือเพียงอาการเหนื่อยเพลีย

 

 

เลยผิดสัญญาเรื่องที่จะไปเดินห้างด้วยกันกับพวกรามเลย

 

 

ไม่ใช่แค่เขา แต่ทั้งราม สิน และดินต่างก็มาเยี่ยมชะเอม อยู่ด้วยกันทั้งวัน เช็ดตัว เสิร์ฟอาหารเสิร์ฟยา จนทั้งสามคนไม่ได้ไปไหนเลย สลับกับอาหมอที่เห็นแวะมาตรวจบ้าง พูดคุยบ้าง ไปมาระหว่างคอนโดกับโรงพยาบาล

 

 

‘อาดีใจมากเลยที่เอมดีขึ้นมากแล้ว อายังคิดอยู่เลยว่าถ้าต้องป่วยถึงขั้นแอดมิทอาคงต้องโทรบอกพี่เกษม’ เกษมยิ้ม ดวงตาฉายแววยินดี ‘แต่หายดีแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะนะ’



 

'อย่าลืมกินข้าวกินยาตามเวลาที่บอกนะ ยาใกล้หมดก็มาเอาเพิ่มอย่าให้ขาดตอนส่วนเรื่องตรวจร่างกายก็ยังเหมือนเดิม มาทุกอาทิตย์ ถึงเวลาแล้วอาจะโทรมาตาม'



 

'อีกอย่างอาต้องขอโทษที่บอกเรื่องอาการของเอมกับเพื่อนๆ โดยไม่ถามเอมก่อน อาอยากให้รู้ว่าอาทำไปเพราะเป็นห่วงและหวังดี เพื่อนทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีมาก พวกเขาเป็นห่วงหนูมาก เพื่อนอย่างนี้จงรักษาเอาไว้ให้ตลอดไปเลยนะ'

 

 

เป็นหนี้บุญคุณอีกแล้ว

 

 

ทำไมคุณลุงกับอาหมอถึงได้ดีกับเขามากขนาดนี้

 

 

ขนาดพ่อแท้ๆ ยังไม่...

 

 

ร่างบางตวัดขาลงจากเตียง เมื่อเวลาที่นัดไว้ใกล้จะมาถึง แต่ต้องหลับตานิ่งสักพักเพราะหน้ามืด

 

 

วันนี้คือวันที่ต้องไปค่ายของมหาวิทยาลัย เป็นค่ายปลูกป่าที่มักจะจัดทุกๆ ปี เพื่อเพิ่มต้นไม้สีเขียวให้กับประเทศมากขึ้นเพื่อลดโลกร้อน  เพราะเป็นกิจกรรมบังคับ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกคนต้องไป ดังนั้นวันนี้นักศึกษาจะเยอะมากถึงมากที่สุด

 

 

เวลาเช็คชื่อตีห้า เวลาล้อหมุนคือตีห้าครึ่ง

 

 

ตอนนี้ตีสามห้าสิบ ทั้งๆ ที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตีสี่แท้ๆ แต่ดันตื่นมาเพราะฝันไม่ค่อยดี

 

 

ร่างบางอาบน้ำเสร็จในเวลาไม่นาน ยังรู้สึกติดขัดที่แขนขวา เพิ่งผ่านมาสองวันจะให้รอยช้ำหายเลยคงเป็นไปได้ยาก อาหมอบอกว่าน่าจะเดือนกว่าถึงจะหาย

 

 

เฮ้อ...

 

 

ชะเอมเช็คของในกระเป๋าว่าครบดี โดยเฉพาะยาโรคประจำตัวที่ห้ามลืม ก่อนยกสายสะพายกระเป๋าขนาดกลางสำหรับไปออกค่ายสี่วันสามคืนพาดบนไหล่ข้างที่ไม่เจ็บ เขาจัดกระเป๋าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สายตากวาดมองความเรียบร้อยในห้อง ล็อคประตูแล้วหันหลังเดินออกมา ไม่ลืมกล่าวสวัสดีทักทายกับลุงยามใจดีคนเดิมหน้าคอนโด

 

 

เพราะว่าวันนี้ไม่ได้ทำกับข้าวกินเองตอนเช้า จึงต้องมาหาซื้อในร้านสะดวกซื้อภายในมหาวิทยาลัยที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จะปล่อยผ่านเหมือนคนอื่นไม่ได้ เขาต้องหาอะไรก็ได้ให้ลงกระเพาะซักหน่อยจะได้กินยาหลังอาหารตามที่อาหมอบอก

 

 

ในเวลานี้ใกล้เวลาเช็คชื่อ นักศึกษาก็เดินขวักไขว่นั่งรอบ้าง ยืนจับกลุ่มคุยกันบ้าง รู้สึกแปลกตาเพราะตอนนี้ยังเช้ามืดอยู่เลย

 

 

แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกสายตาหลายคู่ที่มองมา...มันแปลกๆ

 

 

พอเขาเงยหน้ามองหาสายตาที่ว่า หลายคนรีบก้มหน้าก้มตาราวกับจะหาของบนพื้นทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรตกอยู่

 

 

"อ้าว เอม"

 

 

"ดิน" ร่างบางยิ้ม เมื่อเจอเพื่อนตัวสูงที่มายืนเลือกของในร้าน

 

 

"หาอะไรกินเหรอ"

 

 

"ใช่ ดินด้วยเหรอ"

 

 

"อืม" ชะเอมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ มีสัมผัสหยาบกร้านแตะตรงแก้ม จากนั้นมือใหญ่ก็ละไปนาบตรงหน้าผาก "อาการดีขึ้นแล้วนะ"

 

 

"ต้องขอบคุณพวกดินน่ะแหละ"

 

 

"กูไม่ได้ทำอะไรมากนี่ ไปขอบคุณรามกับสินเถอะ" ดินไล่สายตามองบนชั้นขนมปัง กินอะไรดีหว่า

 

 

"อื้ม" ร่างบางไม่เซ้าซี้ แต่ปากบางอมยิ้มเมื่อเห็นรอยแดงๆ บนหูของคนขี้เขินที่ทำเป็นบอกปัดคำขอบคุณ

 

 

เพื่อนตัวโตของเขาน่ารักจริงๆ

 

 

แขนบางลูบตามแขนที่คลุมด้วยเสื้อกันหนาวตัวหนาเมื่อเดินผ่านโซนตู้แช่เย็นที่วางนมและน้ำผลไม้เรียงรายถึงจะบอกว่าหายแล้วก็เถอะ แต่ก็เพิ่งดีขึ้นเมื่อคืนนี้เอง ยังมีอาการเพลียๆ เจออากาศเย็นหน่อยก็หนาวได้ง่ายๆ

 

 

ปึก!

 

 

"ว้าย!"

 

 

"ขะ ขอโทษครับ" ในขณะที่กำลังมองอะไรเพลินๆ เขาก็ต้องโทษความซุ่มซ่ามของตัวเองที่เดินชนคน แถมยังเป็นนักศึกษาหญิงตัวเล็กๆ ที่ตอนนี้ล้มลงนั่งร้องโอดโอยอยู่

 

 

"เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับน้อง" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลพร้อมคิ้วขมวดมุ่น แต่มือบางที่จะช่วยพยุงคนตรงหน้าชะงักเมื่อ...

 

 

เพียะ!

 

 

"จะทำอะไรคะ!" ชะเอมกุมมือที่ถูกปัดออกอย่างแรง สายตามองด้วยความไม่เข้าใจ หญิงสาวที่ล้มไม่ได้ทำอะไรเขา แต่เป็นอีกคนต่างหากที่อยู่ๆ ก็เข้ามาปัดมือเขาออกและแสดงสีหน้าแข็งกร้าวใส่เขาเหมือนเขาไปทำอะไรให้แค้นเคืองมาก่อน

 

 

"เอ่อ...ทำอะไรเหรอ? ก็จะช่วย..." ร่างบางยังงงๆ ตามสถานการณ์ไม่ทัน คนรอบข้างก็เริ่มหันมามองมากขึ้น

 

 

"ช่วยอะไรคะ ช่วยซ้ำเติมงั้นเหรอ?" เสียงใสเย้ยหยันเอ่ย ส่วนเจ้าของเสียงเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนที่ตอนนี้มองมายังเขาแบบขอโทษ

 

 

"ไม่เอาน่าริน พี่เอมเขาก็ขอโทษแล้วไง"

 

 

"แกไม่ต้องพูดอะไรเลยสา คนใสๆ อย่างแกไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครเขาหรอก โดยเฉพาะคนอย่างชะเอมน่ะนะ"

 

 

"เฮ้ยแกไปเรียกชื่อพี่เขาห้วนๆ แบบนั้นได้ไง" สาวผมสั้นน่ารักตัวเล็กนามว่าสา เขย่าแขนเพื่อนสาวตัวสูงกว่ากระซิบกระซาบหน้าเครียด

 

 

"ทำไมจะไม่ได้วะ เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร...เขาไม่มีเกียรติให้รุ่นน้องเคารพหรือเรียกว่ารุ่นพี่หรอก จำใส่หัวสมองของแกเอาไว้" หญิงสาวผมยาวตาดุคมพูดเหมือนจะบอกเพื่อนตัวเอง แต่สายตาที่ส่งมายังชะเอมที่ยืนอึ้งอยู่ก็ราวกับจะตอกย้ำให้รู้ว่าเขาต่างหากที่เด็กคนนั้นพูดด้วย

 

 

"ไปได้แล้ว" รินลากแขนเล็กให้เดินตามไป โดยที่เด็กที่ชื่อสายังคงส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้

 

 

ทั้งสองคนเดินจากไปโดยที่ชะเอมยังไม่ทันได้เข้าใจอะไรขึ้นสักนิด ชาวมุงก็กระจายตัวเมื่อเหตุการณ์เงียบลงจนกระทั่งออกมาด้านนอก เจอดินยืนกินไอติมรออยู่ก็เพิ่งรู้สึกตัว

 

 

รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

'เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร'

 

 

เขาทำอะไร...?

 

 

"เป็นไรเอม หน้าซีดๆ"

 

 

"อืม...ไม่มีอะไร" แค่เหมือนเจอพายุพัดมาลูกหนึ่งเท่านั้นเอง...แถมมาแบบไม่รู้ตัว

 

 

"อ้าว แล้วไหนล่ะของที่ซื้อ" ดินเอ่ยทักอย่างแปลกใจ ทำให้ร่างบางเพิ่งรู้ตัว

 

 

"เราลืม" ชะเอมยิ้มแหย อยากจะเขกหัวตัวเองที่มัวแต่คิดอะไรอยู่ "ดินไม่ต้องรอเรา ไปรอที่รถก่อนเลยนะ"

 

 

"โอเค" ดินโคลงศีรษะพลางเกาศีรษะ มือหย่อนไม้ไอติมที่หมดแล้วลงถังขยะ แล้วก็เดินไป ส่วนร่างบางที่ยังเลือกของในร้านสะดวกซื้อไม่ได้รับรู้ถึงแรงสั่นของมือถือในกระเป๋าเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

"อ้าว! ไปกันแล้วเหรอครับ"

 

 

"ค่ะ คันของคณะอักษรเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง" หญิงสาวใส่แว่นท่าทางเรียบร้อย เป็นคนจัดการทุกอย่างในค่ายสี่วันเต็มนี้ให้เรียบร้อย

 

 

"แต่ผมยังไม่ได้ขึ้นไปเลยนะครับ" ชะเอมพูดอย่างสงสัย ก่อนออกรถไม่ได้เช็คจำนวนคนหรืออย่างไรว่าครบหรือไม่ครบ

 

 

"ต้องขอโทษจริงๆ เราต้องรักษาเวลาน่ะค่ะ แล้วตอนนี้ก็เลยเวลารถออกแล้ว ถ้ายังไง..." คนตรงหน้าพลิกกระดาษในมือไปมา ใช้หัวปากกาไล่บรรทัดเหมือนเช็คอะไรบางอย่าง "ไปรถของคณะวิศวะก็ได้นะคะ คันต่อไปกำลังจะออกพอดี"

 

 

"...เอางั้นก็ได้ครับ" ชะเอมพึมพำเสียงอ่อยอย่างไม่มีทางเลือก เขาผิดเองแหละที่ไม่ดูนาฬิกาให้ดีว่ามันพังแถมพวกรามก็พยายามโทรหาเขาแล้วแต่เขาก็ดันไม่ได้ยิน

 

 

ให้ตายสิ

 

 

ชะเอมขยี้ผมบนหัวอย่างหัวเสียแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าใครมาเห็นจะต้องแปลกใจกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเขา แต่ลืมไป...ว่าไม่ค่อยมีคนรู้จักเขาหรอก

 

 

คิดว่าอย่างนั้นนะ

 

 

ร่างบางลากกระเป๋ามาหยุดอยู่หน้าคันรถที่ผู้หญิงคนเมื่อกี้ชี้ทางบอก ตอนนี้ด้านนอกรถไม่มีใครแล้วนอกจากเขาคนเดียว เพราะเขาเตรียมจะออกรถกัน ดังนั้นการจะเอากระเป๋าขึ้นไปบนรถได้คือเขสต้องยกเอง

 

 

ชะเอมยกกระเป๋าขึ้นชั้นสองของรถทัวร์อย่างทุลักทุเล เล่นเอาเหงื่อตก แผ่นอกบางสะท้อนหอบอย่างคนปกติไม่น่าเป็น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบสายตาแทบจะทุกคู่มองตรงมาทำเอาชะเอมประหม่า

 

 

ชะเอมเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าไม่กล้าสบตาใคร ค่อยๆ ลากกระเป๋า ผ่านที่นั่งไปทีละแถว แต่ก็ไม่พบที่ว่างแม้แต่ที่เดียว

 

 

กึก...

 

 

เขาลืมไปได้ยังไงว่าจะได้เจอคน...ที่ไม่ได้เจอมาตลอดสองวันนี้ ก็นี่มันรถคณะวิศวะนี่นา

 

 

เขาพยายามยิ้มเมื่อเห็นคินกับเรย์ทั้งๆ ที่ร่างสูงไม่แม้แต่จะชายตาแล

 

 

ก็รู้อยู่แล้วล่ะนะ...รู้อยู่แล้ว...แต่ว่าทำไมถึงเจ็บแบบนี้



 

ร่างเล็กที่มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบศีรษะ ตามข้อศอกก็แปะผ้าก๊อซ สภาพดีขึ้นมาจากวันนั้น วันที่ก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนตอนนี้

 

 

อาการดีขึ้นแล้วสินะ...

 

 

ชะเอมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ความรู้สึกผิดมันก็ยังติดอยู่ในใจไม่มีทางหายไป

 

 

"หวัดดีเอม" เรย์ยิ้มอ่อนให้เขา

 

 

เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำตารื้นขึ้นได้ไม่ยาก

 

 

"หวัดดีเรย์"

 

 

วันนั้น*...ขอโทษนะ*



 

ร่างบางหายใจเข้าลึก อยากจะพูดคำๆ นี้ออกไป แต่ว่า...

 

 

"แล้วคนคณะอักษรขึ้นรถคณะวิศวะมาได้ยังไง" เสียงใสโพล่งขึ้นทำเอาคนในรถมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชะเอมมองตามที่มา มันช่างคุ้นหูเหมือนเพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่นาน และก็พบกับเจ้าของเสียงซึ่งก็คือคนๆ เดียวกับที่เจอในร้านสะดวกซื้อเมื่อเช้า

 

 

เธอคือสาวตาดุ เพื่อนของสาวตัวเล็กที่ชะเอมเผลอเดินชนจนล้มนั่นเอง แล้วถ้าจำไม่ผิดก็รู้สึกจะชื่อ...ริน รึเปล่านะ

 

 

ร่างบางไม่พูดอะไร เพราะตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความโกรธและความแค้นเคืองที่รินมี คืออะไร

 

 

และรวมไปถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาทางเขาทันทีที่มาถึงมหาลัยเมื่อเช้านี้ด้วย

 

 

'เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร'

 

 

มันจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเรย์อย่างแน่นอน

 

 

ชะเอมทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ เพราะเขาไม่อาจแก้ไขกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

 

 

"คะ คือว่า..."

 

 

"ในรถคันนี้ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับนาย ถ้าจะมีก็คือตรงบันไดขึ้นลงรถโน่น" ก่อนที่เพื่อนตัวเล็กของเธอจะพูดอะไรไม่เข้าท่า รินก็ขัดขึ้นมาซะก่อน และดูเหมือนว่าสาก็อึกอักไม่กล้าพูดขึ้นมาอีก

 

 

เสียงที่รินพูดไม่ใช่เบาๆ ชะเอมคาดว่าน่าจะได้ยินกันทั้งคันรถ และรวมไปถึงคินกับเรย์ด้วย แต่ทั้งสองไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ซึ่งทำให้ร่างบางยิ่งหน้าชาหนัก

 

 

หรือจะเปลี่ยนรถ ไปขึ้นคันถัดไปก็ได้ อย่างน้อยก็จะไม่เจอคนเหล่านี้

 

 

แต่ก็สายเกินไปเมื่อรถออกตัวแล้ว ร่างบางจำใจลากกระเป๋ากลับไปทางขึ้นเดิมที่เพิ่งผ่าน วางกระเป๋าแอบๆ ไว้ตรงมุมแล้วตัวเองก็นั่งอยู่เชิงบันไดซึ่งลมร้อนๆ ของเครื่องยนต์ตีหวนขึ้นมากระทบหน้าตลอดเวลาทำเอาคนเพิ่งหายไข้ผะอืดผะอมกันได้ง่ายๆ

 

 

ร่างบางควักยาในกระเป๋าสะพายตบเข้าปากตามด้วยน้ำ กับตามด้วยจิ้มอะไรที่ซื้อมาเข้าปากรองท้องเสียหน่อยเป็นพอ เขาไม่มีอารมณ์มากพอจะมานั่งกินข้าวชิลๆ ด้วยที่นั่งพิเศษอย่างบันไดรถหรอก

 

 

แรงสั่นสะเทือนของรถโยกไปมา ชะเอมต้องข่มตาหลับเมื่อรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งรู้สึกผะอืดผะอมมากกว่าเมื่อกี้อีก ทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้หนาวอะไร แต่เขารู้สึกขนลุกจนต้องกอดตัวเอง

 

 

เขาต้องอดทนกับทั้งบรรยากาศอึดอัดภายในรถและกับสิ่งที่ตีรวนภายในร่างกาย

 

 

อีกสามชั่วโมง...กว่าจะถึงที่หมาย

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************

 

 

 

 

 

"นี่! หลบหน่อย คนจะลง!" ชะเอมสะดุ้งลืมตา เมื่อได้ยินเสียงเหนือหัว และเสียงนั้นเป็นเสียงเดิม จากรินเจ้าของเสียงสาวตาดุนั่นเอง

 

 

"ข ขอโทษครับ" ร่างบางลุกขึ้นทุลักทุเลหน้ามืดเพราะลุกกะทันหันจนต้องหาที่เกาะ มือบางไม่ลืมหยิบกระเป๋าใบใหญ่ที่ตัวเองนั่งพิงหลบมาด้วย มองคนบนรถทัวร์ค่อยๆ ทยอยเดินลงมา ชะเอมมองออกไปนอกรถก็พบว่าเป็นจุดพักรถให้นักศึกษาลงมาเข้าห้องน้ำหรือซื้อของกิน ในปั๊มแห่งนี้มีรถทัวร์จอดอยู่เต็มอย่างกับจองส่วนตัวไว้ก็ไม่ปาน

 

 

แน่ล่ะ นักศึกษาทั้งมหาลัยเชียวนะ

 

 

ร่างบางที่ยังไม่รู้สึกดีขึ้นจากอาการคลื่นไส้จะอาเจียนก่อนนอนหลับ จึงวางกระเป๋าและนั่งพักที่เดิม แม้ตอนนี้ด้านบนจะมีที่ว่างเหลือแล้วก็ตาม ยังไม่ทันได้หลับตาพักก็มีแรงสะกิดที่หัวไหล่เบาๆ เมื่อลืมตาก็เจอหน้าของใครบางคนอยู่ใกล้จนตกใจ

 

 

"...!"

 

 

"โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจนะ" ร่างบางที่ผงะกระพริบตาปริบ มองร่างโปร่งหัวเราะร่วนโชว์ฟันเขี้ยวน่ารักอย่างอารมณ์ดี "แค่จะมาถามว่าขึ้นไปนั่งกับเรามั้ย อาจจะเบียดซักหน่อย แต่นายผอมอย่างนี้ไม่น่าเป็นไร แถมอีกแค่ครึ่งทางก็จะถึงแล้วด้วย"

 

 

แถมยังพูดรัวทำเอาชะเอมยิ่งงงหนัก เขาจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยรู้จักคนนี้ด้วย

 

 

"ตกลงเอาไง ไปด้วยกันมั้ย อ๊ะ!" ไม่ทันที่ชะเอมจะถอยหลังหนีใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้อีกรอบ ก็มีคนมาช่วยเขาซะก่อน โดยมีมือใหญ่ของใครบางคนดึงคอเสื้อของร่างโปร่งออกไป

 

 

"ทำอะไรน่ะเจ้าบ้า" คนตัวสูงยกมือเขกศีรษะทุยดังป๊อก แต่ดูเหมือนคนโดนทำร้ายจะหนังหนา ไม่รู้สึกอะไรแถมยังทำหน้าทะเล้นใส่อีก

 

 

"ก็~" เจ้าตัวยิ้มเผล่ ยกนิ้วจิ้มกัน ท่าทางน่าหมั่นไส้สำหรับร่างสูงเป็นอย่างมาก "ชวนชะเอมไปนั่งกับเราไง นั่งคนเดียวเหงาจะตาย"

 

 

"ถามฉันรึยัง" อีกคนว่าเสียงนิ่ง แต่ถ้าคนที่รู้จักจะรู้ว่าหน้านิ่งๆ ไม่ได้โมโหหรืออะไร เพียงแค่ถามเฉยๆ จริงๆ

 

 

"ไม่ถาม เพราะนายอนุญาตอยู่แล้ว"

 

 

"หึ" ร่างสูงส่ายหน้ากับหน้ายิ้มแป้นแล้น ก่อนขายาวก้าวเดินออกไปนอกรถ ขี้เกียจจะเถียง

 

 

ชะเอมที่ยังอึ้งๆ มองสองคนคุยกันอย่างเงียบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร

 

 

"คือ..." กว่าจะง้างปากขึ้นพูด ส่งเสียงออกไปแค่คำเดียวก็เรียกความสนใจของร่างโปร่งได้ "เรารู้จักกัน...เหรอ?"

 

 

"อะ อ้าว อะไรกัน" ร่างโปร่งทำหน้างง แต่พอเห็นหน้าชะเอมสงสัยอย่างจริงจังไม่ได้เสแสร้งก็อดถอนใจไม่ได้เขารู้จักร่างบางอยู่ฝ่ายเดียวเหรอ "ก็ฉันเป็นเพื่อนคินไง อย่างน้อยก็น่าจะคุ้นๆ หน้าบ้างสิ"

 

 

"...ขอโทษนะ" ชะเอมเม้มปากรู้สึกผิดที่ทำคนอารมณ์ดีหน้าหงอย เขาไม่ค่อยได้สังเกตด้วยสิว่าเพื่อนคินมีใครบ้าง หน้าเป็นยังไง นอกจากเรย์ที่ลือกันเข้าหูบ่อยๆ

 

 

และผิดคาดมากที่คนนิ่งขรึมอย่างคินจะมีเพื่อนน่ารักๆ อย่างคนตรงหน้า บุคลิกช่างแตกต่างกันคนละขั้ว

 

 

"เอาเถอะ ฉันชื่อตาล ส่วนไอ้คนที่เพิ่งเดินไปเมื่อกี้ก็อยู่กลุ่มเดียวกัน ชื่อเอก ถึงจะหน้านิ่งๆ แต่ก็กวนส้นไม่น้อยเลยล่ะ" ตาโตกระพริบปริบกับการเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วราวกับเมื่อกี้ร่างโปร่งแกล้งสลดยังไงยังงั้น "อ้อยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนถ้าเจอจะแนะนำให้รู้จักนะ คนเริ่มกลับมาแล้ว...เอาไงๆ ไปนั่งข้างบนกับฉันถึงจะเบียดหน่อยแต่ก็สบายกว่านั่งพื้นแข็งๆ นะ"

 

 

ชะเอมเหลือบมอง นักศึกษาหลายคนเริ่มเดินมาทางนี้

 

 

ถ้าไปกับ...ตาล ร่างโปร่งต้องถูกมองไม่ดีด้วยแน่ๆ ยิ่งเฉพาะคินกับเรย์อาจจะเข้าใจว่าเขาพยายามเข้าใกล้เพื่อนของตัวเองเพื่อจะทำเรื่องไม่ดีอีกรึเปล่า ถึงชะเอมจะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หลายคนพูดกัน บวกกับสายตาที่มองที่เขาแปลกๆ จะใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อนรึเปล่า แต่ในใจร่างบางก็ฟันธงไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าใช่

 

 

ถ้างั้นเขา...

 

 

"ไม่ดีกว่า เราไม่อยากรบกวนขนาดนั้นหรอก ยังไงเราก็ไม่ใช่เด็กคณะนี้ด้วย"

 

 

"ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ฉันไม่ซีเรียสนายจะซีเรียสทำไม" ตาลพูดตามที่คิด ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

 

 

โป๊ก!

 

 

"เขาไม่ไปแล้วจะไปบังคับเขาทำไม" มือคู่เดิมที่เขกหัวตรงที่เดิมอย่างแม่นยำ ทำเอาตาลที่ยืนตื๊อไม่เลิกกุมหัวจริงๆ มันเจ็บมากเลยนะ

 

 

"อูย...อะไรกันเล่า" ตาลลูบหัวยื่นปากมุบมิบ นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ "เฮ้ยเดี๋ยวปล่อยก่อน ฉันยังไม่ได้ไปซื้อของกินเลย อยากกินนมเย็น!"

 

 

ร่างโปร่งโวยวายเมื่อมือใหญ่จะลากเขาขึ้นรถไปพร้อมกัน

 

 

"รถใกล้จะออกแล้ว ไปหาซื้อกินตอนถึงนู่นเอา"

 

 

“ที่นู่นมันจะไปมีขายได้ไง บ้านนอกจะตาย”

 

 

“เหรอ” เอกพยักหน้าไม่มีความเห็นใจสักนิด “งั้นกลับมาจากค่ายค่อยกิน”

 

 

“โหย มันอีกตั้งสี่วันเลยนะ นายอยากให้ฉันขาดใจตายหรือไงเอก!”

 

 

“แค่สี่วันไม่ตายหรอก รู้จักอดซะบ้าง” ร่างสูงส่ายหน้าเอือมระอาคนเสพติดความหวาน “ไม่อยากแก่ตายรึไง...ไปได้แล้ว”

 

 

"แต่ฉันอยากกินตอนนี้อ่ะ...อยากกินตอนนี้! ปล่อยน้า" ตาลดิ้นยื้อ

 

 

เอกไม่สนใจเสียงโวยวายก่อนลากคอเสื้อร่างโปร่งขึ้นรถไป ปรายตามองสบกับตาโตตอนเดินผ่าน ชะเอมผงกหัวขอบคุณที่มาช่วยพูดให้ เพราะความตื๊อของตาลทำเขาลำบากใจมาก และดีที่เหมือนเอกจะเข้าใจ

 

 

"เรียกร้องความสนใจเหรอ" ไม่ทันได้คิดอะไร เสียงใสของหญิงสาวคนเดิมก็ดังกระทบหู

 

 

เอมไม่พูดอะไร ยืนตัวลีบอยู่พื้นที่ว่างข้างคนขับเหมือนกับตอนที่เพิ่งมาถึงจุดที่พักรถ ให้คนที่เริ่มมาเยอะขึ้นเดินทยอยขึ้นไป เพราะได้เวลารถกำลังจะออกวิ่ง

 

 

"ไม่เอาน่าริน ทำไมเธอถึงชอบพูดจาแบบนั้นกับพี่ชะเอมจัง" สาที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเบาๆ เตือนเพื่อน ซึ่งรินแค่ปรายตามองและพ่นลมจมูกอย่างไม่ชอบใจ ก่อนเดินขึ้นบันไดรถไป

 

 

"ขอโทษแทนรินด้วยนะคะ" ร่างเล็กบอบบางก้มหัวพร้อมส่งสายตาขอโทษ ชะเอมยิ้มอ่อนมองตามคนที่วิ่งขึ้นบันไดไป

 

 

ถึงจะมีคนพูดจาใจร้ายใส่...แต่ก็ยังมีคนที่ดีกับเขาอยู่

 

 

ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งเมื่อรถเริ่มเคลื่อน ยิ่งเจอกับอากาศเย็นของแอร์ สลับอากาศร้อนจากภายนอกและจากเครื่องยนต์ตีหวนชวนเวียนหัว อาการเพลียๆ ก็เหมือนจะกลับมาไม่สบายอีกรอบ

 

 

วันนี้มันวันอะไรกัน...เหนื่อยชะมัด

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************





ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 10 วันที่ 22/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-11-2018 13:22:11



ต่อจากด้านบน




 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มาถึงจุดหมาย

 

 

นักศึกษาหลายคนเดินกันมากมายเข้าที่พัก  หลายคนช่วยกันยกสัมภาระ ชะเอมเป็นหนึ่งในนั้น

 

 

ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากจากอาการเวียนหัวคลื่นไส้ก็เหลือแค่ปวดหัวนิดหน่อย อาจเพราะได้กินยาและนอนพัก

 

 

"พี่ช่วยนะ" ร่างบางพูดกับน้องปีหนึ่งคนนึง ที่กำลังยกกระเป๋า

 

 

ชะเอมเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดจากับคน เพราะหลังจากนี้เขาต้องเจออีกเยอะ ชีวิตเขาไม่ได้มีแค่คินอีกต่อไป

 

 

ความจริงคือเขาไม่มีใครแล้ว

 

 

'ช่วงนี้ลุงต้องไปติดต่องานที่ต่างประเทศหลายเดือนเลย ยังไงช่วงนี้เอมต้องดูแลตัวเองไปก่อนนะ ขาดเหลืออะไรก็ถามอากฤษณะ ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วงลุงจะโอนเข้าให้ทุกเดือน*...แล้วลุงจะโทรมานะ**'*



 

โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาตอนเย็นเมื่อวานทำให้ชะเอมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง พยายามปลอบใจว่าลุงเกษมแค่ไปทำงานเดี๋ยวก็กลับมา

 

 

ไม่เป็นไร*...ไม่เป็นไร*



 

แต่ในบางครั้งหัวใจก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะรับความรู้สึกเจ็บปวดได้ไหว

 

 

"...เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ หนูยกเองได้" น้ำเสียงกลัวๆ ที่ชะเอมได้แต่เข้าใจว่าตอนนี้ใครๆ ก็รู้สึกกลัวเขากันไปหมดแล้ว

 

 

เพราะว่าเขาทำให้เรย์โดนรถชน...เลยกลัวอย่างนั้นเหรอ

 

 

...ตอนนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจ

 

 

...ไม่มีใครเข้าใจเขาเลยสักคน

 

 

ร่างบางก้มมองมือตัวเอง ยังไงมือนี้ก็ทำร้ายคนมาแล้ว จะย้อนกลับไปก็ไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิด

 

 

...อยากให้คนอื่นทำดีด้วย เราก็ต้องทำดีให้ก่อน

 

 

ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ

 

 

"น้องครับ พี่ช่วยนะ" ชะเอมพยายามไม่สนใจน้องคนเมื่อกี้ เห็นอีกคนกำลังยกกระเป๋าหลายใบเลยเดินเข้าไปถาม เป็นผู้ชายตัวสูงกว่าเขาอีก

 

 

"ไม่เป็นไรพี่ชะเอม" ร่างบางสลดเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ ร่างสูงโบกมือ "กระเป๋าของพี่ก็ใหญ่อยู่แล้ว จะมาช่วยผมทำไม ตัวแค่นี้ยกไหวเหรอ"

 

 

"เอ๊ะ...ไหวสิ ของพี่กระเป๋าลาก ไม่ต้องยกซักหน่อย" ชะเอมลืมค้านที่โดนดูถูกเพราะตัวเล็ก มือบางพยายามจะคว้ากระเป๋าเป้ของใครไม่รู้ออกจากไหล่กว้าง แต่ก็วืดเมื่อร่างสูงเบี่ยงไหล่ออก

 

 

"ถ้าจะถือเอานี่ไปแทนละกันพี่" ตุ๊กตาหมาสีครีมตัวพอดีสอดเข้าอ้อมแขนบาง ตาโตของชะเอมวาววับ ริมฝีปากบางแย้มยิ้ม ร่างสูงมองอยู่ก็หัวเราะหึชอบใจ

 

 

"น่ารักจัง...ของใครเหรอ"

 

 

"ของผมเองอะ เวลานอนต้องมีอะไรกอด ไม่งั้นนอนไม่หลับ"

 

 

"จริงเหรอ เหมือนเด็กเลย" ชะเอมหัวเราะคิก รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ได้คุยกับใครบางคน แต่ร่างสูงที่มองอยู่อยากจะบอกว่าร่างบางที่ถือตุ๊กตาตอนนี้ต่างหากที่เหมือนเด็ก

 

 

"จริงสิ น้องชื่ออะไร พี่ยังไม่รู้เลย"

 

 

"ผมชื่อติม"

 

 

"ตินเหรอ"

 

 

"ติม ไอติมอะครับ"

 

 

"อ๋อๆ" ชะเอมพยักหน้าหงึกหงัก จะบอกว่าชื่อก็น่ารักเหมือนกัน แต่ลืมไปว่าน้องเป็นผู้ชายถ้าได้ยินอาจจะไม่พอใจก็ได้ เลยได้แต่เก็บไว้ในใจแทน

 

 

"แล้วพี่จะไม่บอกชื่อกับผมมั่งเหรอ"

 

 

"เอ๊ะ...ก็เมื่อกี้" ชะเอมงง เหมือนเขาได้ยินคนตรงหน้าเรียกชื่อเขาแล้วนี่นา ก็นึกว่ารู้จักกันแล้ว หรือว่าหูฝาดหว่า

 

 

เผลอคิดไปว่าจะมีแต่คนรู้จักเขา...เพราะข่าวลือหนาหู แต่ลืมไปว่าบางคนอาจจะไม่ได้สนใจก็ได้

 

 

คนตัวเล็กเกาแก้มใสแก้เขิน "เอ้อ พี่ชื่อ..."

 

 

"ฮะๆ"

 

 

จู่ๆ ไอติมก็หัวเราะจนชะเอมสะดุ้ง ถึงเสียงจะไม่ดังมากแต่ก็เรียกสายตาจากรอบข้างหันมามองเขาทั้งสองคนได้

 

 

"ปะ เป็นอะไรเหรอ" ไอติมยังคงกลั้นขำในลำคอ แววตาคมประกายระริกมองหน้ารุ่นพี่ตัวเล็กที่เลิ่กลั่กถามไถ่อาการเขาเสียงเบาเพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจอย่างเป็นห่วง

 

 

"ไม่มีอะไรครับ"

 

 

"แล้วเมื่อกี้หัวเราะอะไรอะ"

 

 

"ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไปเหอะครับ" ร่างสูงโบกมือราวกับบอกว่าอย่าใส่ใจเลย ขายาวก็เดินลิ่วไปไม่สนใจสายตาที่จับจ้องไปที่ตัวเองโดยเฉพาะผู้หญิง ทำให้ชะเอมที่ถูกทิ้งยืนไว้ทำหน้าสงสัยไม่หาย เจ้าตัวรีบก้าวเร็วๆ จนมายืนข้างกายร่างสูงได้

 

 

"เดี๋ยวก่อนติม...เมื่อกี้หัวเราะอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลย" ชะเอมตีหน้าขึงขังน้ำเสียงจริงจังซึ่งไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

 

 

"คำสั่งของรุ่นพี่เหรอครับ" ติมถามแต่ตายังคงมองไปข้างหน้า ทำให้ร่างบางเงียบก็คำถามนั้น

 

 

เคยได้ยินว่ามีหลายคนเหมือนกันที่ไม่ชอบระบบรุ่นน้องต้องทำตามคำสั่งของรุ่นพี่

 

 

หรือว่าร่างสูงก็เป็นคนส่วนนั้น

 

 

"...ก็เปล่า" ชะเอมอุบอิบ ไม่ได้ตั้งใจจะใช้น้ำเสียงที่ถูกมองว่ารุ่นพี่สั่งรุ่นน้องซักหน่อย โดยหารู้ไม่ว่าไอติมแอบมองใบหน้าหงอยๆ ก็อดหัวเราะขึ้นมาอีกไม่ได้

 

 

เปลี่ยนสีหน้าบ่อยจริงๆ

 

 

"หัวเราะอีกแล้ว" ชะเอมตาโต เขาได้คำตอบแล้ว "นั่นไง อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ติมหัวเราะพี่"

 

 

"รู้แล้วจะถามทำไมครับ" ร่างสูงยักไหล่ ยิ้มสบายๆ

 

 

"พี่น่าตลกเหรอ" ชะเอมมุ่นคิ้ว คิดไม่ตก เขาทำอะไรให้หัวเราะหว่า ก็ไม่มี...

 

 

"ผมขำเพราะพี่ชะเอมทำตัวน่ารักต่างหาก" ชะเอมตาโตอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำตอบคาดไม่ถึง

 

 

"พี่ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย" ร่างบางค้านเสียงใส

 

 

"ผู้ชายก็น่ารักได้ครับ" ร่างสูงบอกตาวับ ก็คนข้างๆ เขานี่ไง นิสัยน่ารักน่าคบ ไม่เห็นเหมือนที่เขาว่ากันซักนิด

 

 

แถมร่างบางก็ตรงสเป็คที่เขาชอบเลย



 

ชะเอมยู่ปากเงียบไปเพราะไม่อยากเถียง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาอากาศเย็นๆ ที่รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เข้าปอดทำให้รู้สึกสบายใจมาก

 

 

สายตาเหลือบมองหน้าคนเดินข้างๆ

 

 

การเริ่มต้นคุยกับใครคนใหม่ก็รู้สึกไม่เลว



 

โดยไม่รู้ตัวว่าทั้งสองคนที่เดินเคียงข้างคุยหัวเราะต่อกระซิกกันกำลังถูกจับจ้องโดยสายตาสองคู่

 

 

หนึ่งสายตาสมเพช อิจฉา ริษยา

 

 

และอีกหนึ่งสายตาคมกริบ ที่คุกรุ่นด้วยอารมณ์ที่ไม่มีใครคาดเดา

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************

 

 

 

 

 

พลั่ก!

 

 

"โอ๊ะ!" ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ถูกร่างสูงใหญ่กว่าชนก็เซแถ่ดๆ ไปอีกทางแต่ดีที่ทรงตัวไว้ได้ทัน ไม่งั้นมีล้มหน้าคว่ำเป็นแน่ยังไม่ทันหันไปมองเสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาก่อน

 

 

"ขอโทษครั...อ้าว คุณนี่เอง" เสียงทุ้มเอ่ยระคนแปลกใจ

 

 

"นี่มึง...! มานี่ได้ไง" ร่างโปร่งตาโต

 

 

"ก็ผมเป็นนักศึกษาที่นี่ จะอยู่ที่นี่มันแปลกตรงไหนไม่ทราบ"

 

 

"เห็นกิริยาหยาบคายไม่สมกับเป็นคนมีการศึกษา เลยไม่คิดว่าจะเป็นนักศึกษาน่ะสิ...แถมดันซวยมาอยู่ที่เดียวกันอีก เวรกรรมแท้ๆ"

 

 

เสียงคุ้นเคยที่โต้เถียงกับรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกันทำให้ชะเอมชะโงกหน้าไปมอง ปากที่จะเอ่ยคำขอโทษแทนกลายเป็นประหลาดใจ

 

 

"อ้าว เอม!/ราม" ไม่แค่ชะเอมที่ตาโต แต่ตาเรียวของรามก็เบิกมองเหมือนตกใจนิดๆ มองสลับกับใบหน้าหล่อชวนหมั่นไส้ของคนข้างๆ

 

 

"รู้จักกันเหรอ" ร่างบางยิงคำถามที่สงสัย

 

 

"ไม่รู้จัก/ไม่รู้จักครับ"

 

 

"อ้าว แต่เมื่อกี้เห็นคุยกัน" ชะเอมมองหน้าทั้งสองงุนงง "ตกลงว่าไม่รู้จักกันเหรอ" ถามไม่ได้คำตอบเลยมองหน้าดินกับสินที่ยืนอยู่ด้วยกันแทน และทั้งคู่ก็พร้อมใจส่ายหน้า

 

 

"งั้นราม นี่ติม ไอติมนะเป็นน้องปีหนึ่ง ส่วนติมนี่รามเพื่อนพี่เอง" ชะเอมแนะนำทั้งสองคนที่มองหน้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อให้รู้จักกัน ร่างสูงกว่าเบือนหน้าออกไม่พูดอะไรที่ควรพูดอย่าง 'ยินดีที่ได้รู้จัก' เพราะแน่นอนก็เขาไม่ได้ยินดีซักนิด

 

 

"..."

 

 

"เอ่อ..." เพื่อนอีกสองคนที่ยืนเงียบมองใบหน้ามนที่เหงื่อตก นี่ขนาดไม่รู้จักกันมาก่อนนะเนี่ย ทำไมมองตาอย่างกับแค้นกันตั้งแต่ชาติปางก่อน

 

 

"ผมไปเก็บของก่อน ขอตัวนะครับ" ติมไม่อยากสนทนาอะไรกับคนที่เพิ่งเจอมากไปกว่านี้แล้วจึงเดินเลี่ยงออกไป โดยไม่ลืมหันมาบอกชะเอมก้มหัวให้สินกับดิน

 

 

หน็อยมึง ไอ้ปีหนึ่ง...อายุน้อยกว่ากูแท้ๆ แล้วดูมันทำ



 

รามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไอ้เด็กเวรที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเขาไป ถึงจะหน้าหล่อและตัวโตกว่ายังไงแต่ก็ไร้สัมมาคารวะสิ้นดี

 

 

ไม่ชอบหน้ามันเลย*...!*



 

"ราม เป็นไรมั้ย" สัมผัสที่แขนทำให้รู้สึกตัว เห็นสายตาเป็นห่วงก็ทำให้รามยิ้มแหย

 

 

"เอ้อ...โทษที ไม่เป็นไร"

 

 

"มึงรู้จักน้องคนเมื่อกี้มาก่อนเหรอ" ดินขมวดคิ้วมองไปทางที่ร่างสูงของปีหนึ่งเพิ่งเดินไป

 

 

รู้สึกคุ้นๆ หน้ายังไงบอกไม่ถูก...แถมตอนที่เอมแนะนำชื่อของเด็กนั่น...



 

"ไม่ว่ะ" รามตอบไม่สบอารมณ์ พานนึกไปถึงเหตุการณ์ชวนโมโหอีกครั้ง "ไม่รู้จัก แต่กูเคยเจอมันก็แค่นั้น"

 

 

สินมองหน้าราม แค่มองเส้นเลือดที่ปูดตรงขมับก็ร้องออ "มิน่าล่ะ มึงกับน้องเขาถึงดูไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่"

 

 

"เออ อย่าให้เล่า" ยิ่งคิดยิ่งโมโห รามพ่นลมหายใจแรงๆ

 

 

ความบังเอิญนี่ช่างเฮงซวย

 

 

“หรือจะเป็นเวรกรรมของกูวะ” รามขมวดคิ้วพึมพำ

 

 

"เออๆ ก็อย่าทำให้มันต้องเสียบรรยากาศเลยว่ะ เดี๋ยวสี่วันนี้ก็ต้องเจอกัน คุยกัน ทำงานด้วยกัน" สินเตือน ดินพยักหน้าเห็นด้วยและปัดความคิดเมื่อกี้ออกไป

 

 

ถ้ามันไม่ถูกกับเพื่อนเรา...มันจะเป็นใครก็ช่างเหอะ



 

ชะเอมที่ยืนฟังอยู่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่ารามกับติมจะดูไม่ถูกกัน

 

 

"รามไม่ชอบน้องติมเหรอ" ร่างบางซึม ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งได้รู้จักกับติมแท้ๆ แต่ดูรามก็ไม่ค่อยชอบน้อง

 

 

"เราเพิ่งได้รู้จักกับน้องเขาเมื่อกี้นี้เอง น้องติมเป็นคนดีนะ"

 

 

รามก็เป็นเพื่อน...ติมก็เป็นน้อง

 

 

ทั้งคู่ไม่ชอบหน้ากันแล้วคนกลางอย่างเขาจะทำยังไงดี

 

 

"อะ เอ่อ ก็ไม่ใช่...ว่าไม่ชอบมัน...เอ๊ย น้องมันหรอก แค่เคยเจอกันแล้วก็มีปากเสียงกันนิดหน่อย" รามเหงื่อตก

 

 

"ถ้างั้น...ครั้งหน้าก็คุยกันดีๆ ได้ใช่ไหม" ชะเอมยิ้มออก

 

 

"เอ่อ ...ดะ ได้แหละ" ...มั้ง

 

 

รามกลอกตา

 

 

จะให้คุยดีๆ กับมันเนี่ยนะ!? ให้ออกลูกเป็นวัวยังง่ายกว่าเลย

 

 

"อื้ม อย่างนั้นก็ดีนะ" ร่างบางโล่งใจ

 

 

"ว่าแต่ว่าเอมเถอะ...เมื่อเช้ามายังไง" รามเปลี่ยนเรื่อง

 

 

พูดเรื่องนี้ดินก็นึกได้ "เออว่ะ เอมกูขอโทษนะ เมื่อเช้าจะโทรไปบอกแต่..."

 

 

"ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไรเลยดิน ความผิดเราเอง ไม่ดูนาฬิกา แถมเราไม่ได้ยินเสียงมือถือด้วย" ชะเอมส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของดิน ก่อนหันไปตอบคำถามราม "นั่งรถของคณะวิศวะมาอ่ะ มีคนจัดให้ไปนั่งนั่น"

 

 

"..." ไม่มีใครพูดอะไร ตอนนี้นักศึกษาหลายคนทยอยไปเก็บสัมภาระของตัวเองในที่พักที่จัดไว้ให้ จึงเหลือคนอยู่ไม่มากตรงลานกว้าง ดังนั้นตอนนี้จึงเงียบมาก

 

 

"พวกเรารู้แล้วนะ" สินพูด ตอนแรกชะเอมยังไม่ค่อยเข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไร แต่ทันทีที่ประโยคต่อไปถูกเอ่ยขึ้น "อย่าไปคิดมากเรื่องข่าวลือนั่นเลย"

 

 

จู่ๆ น้ำตาจากไหนก็ไม่รู้รื้นขึ้นมา

 

 

"รู้แล้วเหรอ" เสียงใสสั่นเครือ "พวกนายเกลียดเราแล้วรึเปล่า"

 

 

"พูดบ้าอะไร" ดินว่าอย่างใจหาย ในยามนี้ไม่ว่าใครเห็นสีหน้าขาวซีดของชะเอม ก็รู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้น

 

 

สงสารจับใจ

 

 

"นั่นสิ จะไปเกลียดได้ยังไง" รามบอก

 

 

"มันคือเรื่องจริงนะ" ชะเอมพูดแทรก ในใจหวาดกลัว

 

 

กลัว...ที่จะโดนเกลียด

 

 

"ที่ทุกคนได้ยินมา..." สายตาที่มองมาทำให้ร่างบางสูดลมหายใจเข้าแม้มันจะสั่นแค่ไหน หัวใจเต้นรัวแค่ไหนเขาก็ตัดสินใจที่จะพูด "เรื่องที่เราทำให้เรย์โดนรถชน มันคือเรื่องจริง"

 

 

ความเงียบที่เกิดขึ้นนานมากในความรู้สึก มือไม้สั่นไม่รู้จะวางไว้ไหนกำชายเสื้อแน่น ยิ่งไม่ได้ยินใครพูดอะไรใจมันยิ่งวูบโหวง

 

 

ถูกเกลียดแล้วใช่มั้ยนะ

 

 

สมควรแล้วล่ะ...

 

 

"นายทำจริงๆ เหรอ" สินเอ่ยทำลายความเงียบ

 

 

"เฮ้ย นายพูดบ้าอะไรวะ" ดินขึ้นเสียงให้กับคนถามคำถามไม่เข้ากับบรรยากาศ แต่สินเพียงปรายตามองให้ดินเงียบ

 

 

"ฉันถามนาย เอม ...นายทำจริงๆ หรือเปล่า ตอบมาตรงๆ"

 

 

ชะเอมมองตาคม ไม่รู้ทำไมแต่มันเป็นแววตาที่หลบเลี่ยงไม่ได้ ร่างบางสูดลมหายใจ ก่อนจะยิ้ม

 

 

เป็นรอยยิ้มที่แย่ที่สุด

 

 

"อื้ม" มือยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่ติดตาไม่อาจลืมเลือน วินาทีที่เขาพลั้งมือเกือบจะ 'ฆ่า' คน "ตะ...แต่ ฮึก เราไม่ได้ตั้งใจนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ"

 

 

"..."

 

 

"เราไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเลย" ร่างบางสะอื้น " เรากลัวมาก...กลัวมากเลย"

 

 

ทั้งสามคนยืนฟังเงียบ ได้แต่มองภาพที่ซ้อนทับกับวันที่ร่างบางไม่สบายร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างหนักไม่พูดอะไรเลยสักคำ

 

 

เพราะสาเหตุนี้เองสินะ

 

 

"แต่ตอนที่ได้ยินว่าเรย์ปลอดภัยแล้ว เราก็โล่งอกมากๆ เลย" ชะเอมอธิบายตัวสั่น ไม่รู้เพราะอะไร ได้แต่หวังว่าเพื่อนจะรับฟังและไม่เกลียดตัวเองไปมากกว่านี้ "เราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นจริงๆ นะ"

 

 

"พอแล้ว" ร่างบางเบิกตากว้าง จู่ๆ ความอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวเมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน "ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว"

 

 

"...ราม"

 

 

"เราเชื่อที่เอมพูดนะ" เสียงของรามที่ดังข้างหูยิ่งทำให้น้ำตาไหล สัมผัสมือใหญ่ของดินยกลูบหัวทุยเบาๆ ปลอบส่วนสินยกยิ้มบางๆ "ไม่มีใครเกลียดเอมลงหรอก”

 

 

“...”

 

 

สัมผัสลูบแผ่วเบาที่แผ่นหลังบางคอยย้ำคำพูดของราม “ไม่มีเลย"

 

 

"...ฮึก จริง...เหรอ"

 

 

"อืม"

 

 

“จริงๆ นะ” แขนบางกอดตอบแน่นระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่มี

 

 

ความรู้สึกผิดและความอึดอัดที่ติดอยู่ไม่มีใครช่วยระบาย



 

ในวันนี้เขาได้ปลดปล่อยมันออกไปแล้ว



 

"ขอบคุณ"

 

 

“...”

• 

• 

• 

• 

• 

“ขอบคุณ”



 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************

 
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 11 วันที่ 22/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-11-2018 13:25:44






Whose Fault ?

 

ผิด...ครั้งที่ 11

 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

รู้สึกตาร้อนๆ

 

 

สงสัยเป็นเพราะว่าร้องไห้เมื่อกี้แน่เลย...อา น่าอายชะมัด ร้องไห้ต่อหน้าสามคนนั้นตั้งสองครั้งแล้ว ถึงครั้งแรกจะไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะไม่สบายก็เถอะ

 

 

แต่ว่าก็อายอยู่ดีอะ

 

 

เป็นผู้ชายแท้ๆ

 

 

ดูเหมือนจะมีคนอ่านใจเขาออกจึงยื่นมือมาลูบหัวสองที ให้ตาย

 

 

"ไม่เห็นเป็นไร ร้องไห้แล้วสบายใจขึ้นมั้ยล่ะ" ดินเลิกคิ้ว

 

 

ร่างบางพยักหน้ายิ้ม รู้สึกเขินๆ ยังไงชอบกล "เด็กดี"

 

 

"เดี๋ยวสิ เราอายุเท่าดินนะ" ชะเอมทำหน้ามุ่ย ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้วยกันได้ยินก็หัวเราะ

 

 

เพียะ!

 

 

"ทำอะไรของมึง" ดินตีเข้าให้กับมือปลาหมึกที่ลูบเอวเขา ไม่ดูสถานการณ์เอาซะเลย

 

 

"อยากให้รางวัลมึง" สินยิ้มสะบัดมือที่โดนพิฆาตเบาๆ เอ่ยคำที่รู้ความหมายกันแค่สองคน

 

 

มีแค่สินเท่านั้นที่รู้ว่าแม้ภายนอกดินจะเป็นคนหยาบคาย แต่ข้างในก็ใส่ใจคนอื่นมากกว่าที่คิด นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาชอบคนๆ นี้ยังไงล่ะ

 

 

ดินขมวดคิ้วขึง แต่ไม่อาจซ่อนหน้าแดงของตัวเอง ก็ดูมันส่งสายตาไม่ปิดบังเลยแม้แต่นิดเดียว "ถามกูรึยังว่าอยากได้มั้ย"

 

 

"ไม่เป็นไร มึงไม่อยากได้ แต่กูอยากให้"

 

 

"ไอ้ห่า"

 

 

"เขินแรงอีกแล้ว"

 

 

"เขินเชี่ยไร...!"

 

 

"เอาล่ะค่า ทุกคนฟังทางนี้นะค้า ขอความร่วมมือนิดนึงนะค้า" เสียงผู้หญิงที่ถูกขยายผ่านเครื่องมือที่เรียกว่าโทรโข่งดังก้องทั่วลานกว้าง เรียกความสนใจจากนักศึกษาที่ยืนเกาะกลุ่มวุ่นวายกระจายตัวส่งเสียงจอแจได้เป็นอย่างดี

 

 

"เอาล่ะค่ะ เวลาไม่คอยท่านะคะ ดิฉันเป็นตัวแทนในการดำเนินการกิจกรรมในสี่วันนี้ ชื่อพาค่ะ อยู่ปี3 ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" เด็กสาวใส่แว่นดูท่าทางเรียบร้อยยิ้มเล็กน้อยรับเสียงปรบมือ คนชื่อพาเป็นคนเดียวกับที่จัดการเรื่องขึ้นรถที่ชะเอมเจอก่อนหน้านี้ เพิ่งรู้ว่าอยู่ปีเดียวกัน ไม่เห็นคุ้นหน้าเลย

 

 

พามองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเพราะทุกคนให้ความร่วมมือในการตั้งใจฟัง ก่อนจะพูดต่อ "กิจกรรมในช่วงเช้าวันนี้จะไม่มีอะไรมากค่ะ แค่ให้นักศึกษาทุกคนช่วยยกต้นไม้จากรถบรรทุกที่ทางมหาลัยเป็นคนสั่งมา ขอเตือนไว้ก่อนว่ามีเยอะมาก ถ้าเป็นไปได้ขอให้เป็นผู้ชายที่จะไปยกต้นไม้ ส่วนผู้หญิงไม่ต้องกลัวว่าจะว่างนะคะ เราเตรียมวัตถุดิบสำหรับหุงหาอาหารทำกับข้าวไว้ให้แล้ว สี่วันสามคืนนี้คนที่รับผิดชอบเรื่องอาหารสามมื้อคือพวกเราทุกคนค่ะ"

 

 

ได้ยินเสียงโห่รับจากรอบด้าน โดยเฉพาะจากพวกผู้ชาย ประมาณว่าจะกินได้ไหมวะเนี่ย นี่ตูจะท้องเสียไหม เรียกเสียงหัวเราะจากรอบด้านได้เป็นอย่างดี

 

 

"เราไม่น่าอดตายนะ" รามพูดขึ้น เรียกความสนใจจากชะเอมที่หัวเราะคิกร่วมกับนักศึกษาคนอื่นๆ

 

 

"ทำไมอะ"

 

 

"เอ้า ก็มีคนที่ทำอาหารเป็นอยู่ตรงนี้ตั้งหนึ่งคน" รามว่ายิ้มๆ ร่างบางขมวดคิ้วก่อนจะเข้าใจว่าหมายถึงตัวเอง

 

 

"เออจริงด้วย พวกเรารอดแล้วเว้ย" ดินว่าอย่างดีใจ ตอนแรกก็เครียดอยู่หรอกที่ว่าจะให้ทำอาหารกินเอง แต่ตอนนี้โล่งอกเพราะจำได้ว่าขะเอมทำอาหารกินเองเป็นประจำ

 

 

"พวกมึงก็พูดไป เดี๋ยวสาวๆ มาได้ยินเข้าจะตายไม่รู้ตัว" สินขำ

 

 

"เราก็ว่างั้น" ชะเอมยิ้มกับอาการดีใจเกินเหตุของเพื่อน "พวกผู้หญิงทำกับข้าวเก่งๆ มีเยอะแยะนะ อีกอย่างเราต้องไปช่วยขนต้นไม้ด้วย ไม่น่าจะได้เข้าครัวหรอก"

 

 

"ก็ไม่แน่นะ" รามว่า เขาอยากลองชิมฝีมือร่างบางสักครั้งเสียด้วยสิ

 

 

"เราขออนุญาตใช้ห้องครัวของที่นี่ไว้แล้ว อุปกรณ์ทุกอย่างมีเตรียมพร้อม ไม่ต้องกลัวว่ารสชาติอาหารจะทานไม่ได้ ที่นี่มีแม่ครัวแต่มีไม่มาก เราต้องคอยเป็นลูกมือให้กับพวกเขา การอยู่ร่วมกันที่นี่เป็นอย่างอิสระทุกคนจะเดินไปไหนก็ได้พาไม่ว่าแต่งานต้องเสร็จตามเวลาที่กำหนด จะมีหัวหน้าแต่ละฝ่ายคอยดูอยู่ตลอด" เด็กสาวใส่แว่นเว้นระยะการพูดเล็กน้อย "มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บอะไรก็ขอให้มารับยาหรือปฐมพยาบาลที่ฝ่ายพยาบาลได้ค่ะ สแตนด์บายไว้แล้วเรียบร้อยเช่นกันค่ะ"

 

 

"ก่อนจะเริ่มงานกัน พาขอแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้าฝ่ายไว้ เผื่อจะเรียกใช้ จะขอความช่วยเหลือ หรือจะสอบถามอะไรก็ตามแต่ ทุกคนเป็นทีมงานที่จะช่วยดูแลในค่ายเป็นเวลาสี่วันนี้เช่นเดียวกับพานะคะ" ร่างเล็กผายมือไปด้านข้างให้สายตาจับจ้องไปยังคนที่ยืนเรียงหน้ากระดานกัน

 

 

ชะเอมมองไล่ พบคนหน้าคุ้นตา ก็เบิกตากว้าง

 

 

คนๆ นั้น...



 

"ผู้ชายผมทรงสกินเฮดคนแรกนับจากพา ชื่อจ่อย หัวหน้าฝ่ายใช้แรงงานนะคะ ถ้าหากมียกของ หรือใช้แรงอะไร พี่คนนี้จะเรียกใช้นักศึกษาชายทุกคนไปช่วย ต้องขอให้เชื่อฟังเค้าในทุกกิจกรรมสี่วันนี้ด้วยนะคะ" ถ้าชะเอมดูไม่ผิดเหมือนคนชื่อจ่อยจะเหล่ค้อนเด็กสาวที่ชื่อพาตอนถูกแนะนำตัวว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายใช้แรงงานด้วยล่ะ

 

 

ประมาณว่า 'ไม่มีชื่อที่ดีกว่านี้แล้วรึไงฮะยัยบ๊อง'

 

 

"ถึงจะดูเถื่อนๆ ตาขวางๆ แต่ก็ไม่ใช่นักเลงหาเรื่องใครนะคะ"

 

 

"เฮ้ย ยัยนี่ อย่านอกเรื่องสิ"

 

 

จ่อยว่าตาขวางอย่างที่พาแนะนำ แต่เด็กสาวไม่กลัวแถมยังหัวเราะ สร้างบรรยากาศเป็นกันเองได้จากหลายๆ คนที่เพิ่งรู้จักสองคนนี้

 

 

"ค่ะ คนต่อไปเป็นหัวหน้าฝ่ายวัตถุดิบ ชื่อริน เห็นหน้าตาสวยๆ เรียบร้อยแบบนี้ ทำอาหารเก่งมากเลยนะคะ พวกเราฝากท้องไว้กับเธอได้เลย" ทุกคนโดยเฉพาะผู้ชายร้องดีใจโอเว่อร์ซะ "ใครที่สามารถทำอาหารได้บ้างนิดหน่อยก็ขอความร่วมมือมาเป็นลูกมือให้เธอหน่อยนะคะ"

 

 

"นี่ก็กังวลแทบตาย ตอนรู้ว่าต้องทำกับข้าวกินเอง"

 

 

"เออ นี่ก็แดกเป็นอย่างเดียว ทำไม่เป็น"

 

 

"ให้เมียทำดิมึงอะ"

 

 

"เมียไม่ทำเมียซื้อกับข้าวเข้าบ้านอย่างเดียว"

 

 

"มึงยังดี เมียกูแม่งร้องจะกินข้าวห้างทุกวัน เวรกรรมกูแท้ๆ"

 

 

"เมื่อกี้ตัวเองว่าอะไรนะ เค้าได้ยินไม่ค่อยชัด!"

 

 

"โอ๊ยเปล่าจ้าตัวเอง โอ๊ยเจ็บ อย่าดึงหูเค้าๆ!"

 

 

"ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้าไอ้พวกกลัวเมีย"

 

 

"ใครว่ากลัว! เค้าเรียกว่าเกรงใจเว้ย พูดผิดพูดใหม่!"

 

 

"มาเคลียร์กันก่อนเลยตัวเอง เรื่องของเรามันยังไม่จบ!"

 

 

"โอ๊ยยย!! เจ็บ อย่าดึงหู เค้ากลัวแล้ววว"

 

 

สถานการณ์วุ่นวายที่เรียกเสียงหัวเราะครืนกับเสียงโหยหวน ทำเอาพาต้องกรอกเสียงดังใส่โทรโข่งอีกรอบเพื่อเรียกความสงบ "คนสุดท้ายค่ะ หัวหน้าฝ่ายพยาบาล ชื่ออิฐค่ะ อย่าสงสัยว่าทำไมเป็นผู้ชาย ทางเราเรียกตัวมาเองจากคณะแพทย์ ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวนะคะ เจ็บไข้ได้ป่วย อยากได้ยา หรือสงสัยอะไรสอบถามได้ที่อิฐเลยนะคะ"

 

 

"ฝากตัวด้วยนะครับ" หนุ่มชื่ออิฐยิ้มพราว ดีกรีเดือนคณะสองปีที่แล้วเรียกสาวๆ กรี๊ดกร๊าดอย่างกับดูประกวดเดือนใหม่อีกครั้ง “ถ้ามีใครอยากให้ผมช่วยรักษาแผลก็มาได้ตลอดเลยนะครับ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็อยากให้ดูแลตัวเองให้ดีก่อนจะดีกว่านะ ผมเป็นห่วง”

 

 

กรี๊ดดด

 

 

“เค้าเป็นห่วงชั้นด้วยแหละแก๊” สาวคนหนึ่งตีแขนเพื่อนรัว เขินจะตายแล้ว “เป็นลมตอนนี้เลยดีไหม”

 

 

เพื่อนสาวเหล่แรง “เขาเพิ่งบอกให้แกดูแลตัวเองไม่ใช่หรือไงยะ”

 

 

"พี่อิฐมีแฟนยังคะ" สาวคนหนึ่งยกมือขึ้น

 

 

"ยังครับ" อิฐตอบด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล "แต่ผมมีคนที่ชอบแล้วน่ะ ขอโทษด้วยนะ"

 

 

จากนั้นก็มีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากผู้หญิงและเพศที่สามดังกระหึ่ม

 

 

"โอ้โห ขนาดปฏิเสธมันยังสุภาพเลยเว้ย" ยกเว้นผู้ชายที่หมั่นไส้โห่ดังแต่ไม่อาจกลบเสียงแหลม

 

 

"อ๊ายยย เอาอีกและ เนี่ยคนหล่อๆ ไปกันหมดเลย" ผู้ชายคมเข้มคนหนึ่งสะดีดสะดิ้ง...อยู่เฉยๆ ไม่รู้เลยนะเนี่ย

 

 

"เขาอาจจะตอบไปงั้นๆ ก็ได้นะ จะได้กันคนไปชอบไง เหมือนพวกดารางี้ไงแก" สาวมโนคุยกับเพื่อน

 

 

"จริงด้วยเนอะๆ" และสาวมโนอีกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

และอีกต่างๆ มากมาย

 

 

"นี่มันทอล์คโชว์ หรืองานประกวดดาวเดือนเปล่าวะ" รามพึมพำ

 

 

"ผู้หญิงร้องกรี๊ดกระตู้วู้อย่างกับชีวิตนี้ไม่เคยเห็นผู้ชายอย่างงั้นแหละ" ดินว่าบ้าง "ไอ้จืดนั่นก็งั้นๆ"

 

 

ชะเอมมุ่นคิ้วไม่เข้าใจ "แต่เราว่าเค้าหน้าตาดีออกนะ ไม่งั้นจะเป็นเดือนแพทย์ได้ไง"

 

 

"ไอ้ดินมันอิจฉา" สินยิ้มบอกร่างบาง "อย่าไปใส่ใจ"

 

 

"อ๋อ" ชะเอมพยักหน้าว่าง่าย หัวเราะเสียงใส ส่วนดินหน้าหงิก

 

 

"นี่กูได้ยินนะ ขอบอก"

 

 

"ได้เวลาแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองแล้วนะคะ อย่างที่บอกไว้ ผู้ชายแข็งแรงเดินตามพี่จ่อยไปเลยค่ะ ส่วนผู้หญิงตามรินไป อีกสามชั่วโมงเจอกันที่นี่เหมือนเดิม เวลาบ่ายโมงตรงค่ะ"

 

 

นักศึกษาหลายคนเริ่มแยกย้ายเดินตามไปทางที่หัวหน้าฝ่ายก้าวนำ ส่วนน้อยที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่คิดจะช่วยทำอะไร

 

 

ก็นะ...คนมีหลายรูปแบบ

 

 

"เอม จะไหวเหรอ" รามมองรถบรรทุกคันใหญ่หลายสิบคันจอดเรียงราย ทุกคันมีต้นไม้สูงราวหนึ่งเมตรรากถูกหุ้มด้วยถุงดำหนาบรรจุอยู่เต็มคัน แล้วหันมาถามร่างบางที่ยืนข้างกันด้วยน้ำเสียงกังวล "ไปช่วยงานในครัวดีกว่ามั้ย"

 

 

อีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

"อือ...ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง" ชะเอมมองดูแล้วก็ไม่น่าจะหนักมาก แค่เยอะเท่านั้นเอง "เรารู้ขีดจำกัดตัวเองดี"

 

 

ร่างบางยิ้มเพื่อคลายความกังวลของเพื่อน มือล้วงบางอย่างในเสื้อคลุมออกมา "แถมเราพกนี่ไว้กับตัวด้วยนะ" มันคือกระปุกยาโรคประจำตัวที่เขาต้องพกไว้ ช่วยระงับอาการกำเริบที่อาจเกิดขึ้นฉับพลันได้อยู่ตลอดเวลา

 

 

ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างอ่อนใจ ถึงจะรู้แบบนั้นก็เถอะ...

 

 

ยาของชะเอมใช้เฉพาะอาการที่สามารถยับยั้งได้เท่านั้น ถ้าอาการหนักมากกว่านี้ ยาอาจไม่ได้ผล...นี่คือสิ่งที่หมอกฤษณะเตือน

 

 

"ถ้ารู้สึกไม่ดีต้องไปพักทันทีเลยนะ" สินต่อรอง เพราะรู้ดีว่าห้ามไปคนหัวดื้อก็ไม่ฟัง

 

 

"โอเค" ชะเอมดีใจยิ้มตาปิด เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้ใคร ถ้าช่วยได้ก็อยากจะช่วย

 

 

รามย่นจมูก ใครเห็นสีหน้านี้ไม่ยอมก็ใจร้ายเกินไปแล้ว

 

 

"เอาล่ะครับ ในที่นี้อาจจะมีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องปะปนกันบ้าง ใครอยากเรียกผมยังไงตามสบายเลย แต่ผมจะแทนตัวเองว่าผมก็แล้วกันนะ" จ่อยพูดอย่างเป็นกันเองก่อนผายมือไปด้านหลัง "ทุกคนคงเห็นแล้วว่านี่คือสิ่งที่เราจะได้ออกแรงกัน เราจะยกต้นไม้ทั้งหมดนี่ไปไว้ในป่าที่มีลานว่างตรงโน้น" หลายคนมองตามมือชี้

 

 

"อาจจะเป็นระยะทางที่ไกลนิดนึงเพราะว่ารถบรรทุกจอดได้ใกล้สุดแค่ตรงนี้ เราจึงต้องใช้กำลังคนเยอะหน่อยและผมก็คิดว่าจำนวนเท่านี้คงพอที่จะใช้เวลาเพียงสามชั่วโมง จากนั้นทุกคนจะได้พักกินข้าวเที่ยงกันนะครับ"

 

 

ทุกคนเงียบตั้งใจฟัง สายตาคมกริบกวาดตามองทั่วๆ พูดเสียงจริงจัง

 

 

"งานที่ทุกคนมานี้เป็นงานอาสา ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่าผมจะไม่บังคับใคร ใครจะทำมากทำน้อยก็ได้แต่อยากให้ทุกคนช่วยกัน ใครเหนื่อยก็พัก ใครหายเหนื่อยแล้วค่อยมาช่วย และที่สำคัญที่สุด...ห้ามทุกคนมีปากเสียงหรือทะเลาะกัน ถ้าหากเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นผมจะขออนุญาตส่งคนเหล่านั้นกลับมหาวิทยาลัยและถือว่าคุณไม่ผ่านกิจกรรมนี้ทันที" จ่อยเน้นเสียง "อย่าคิดจะลองเพราะผมมีสิทธิ์มีอำนาจในการตัดสินใจ"

 

 

หลายคนกลืนน้ำลายเพราะรู้ว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมบังคับ ถ้าไม่ผ่านก็หมายความว่าคุณอาจจะไม่จบนั่นเอง

 

 

หน้าคนพูดก็โหดพอแล้ว ยังใช้น้ำเสียงโหดๆ มาขู่อีก

 

 

"มีใครมีคำถามมั้ยครับ" จ่อยถามเมื่อเห็นทุกคนนิ่งเงียบ พอเห็นหลายคนส่ายหน้าหวือก็พยักหน้าปรบมือสองทีเรียกความพร้อม "โอเคครับ งั้นมาเริ่มงานกันดีกว่า เสร็จเร็วๆ จะได้พักเร็วๆ"

 

 

มีสามคนปีนขึ้นไปอยู่บนรถเพื่อส่งต้นไม้ให้คนข้างล่างได้ง่ายๆ ชะเอมรับมาถือไว้พบว่าน้ำหนักก็ไม่ได้มากอะไร แต่พอถือแล้วใบของต้นไม้บังทางจนมองเห็นข้างหน้ายาก

 

 

"ถือระวังรากของต้นไม้ด้วยนะครับ" จ่อยตะโกนเตือน

 

 

"ยากจัง" ชะเอมพึมพำ เพราะเขาเตี้ยด้วยรึเปล่า

 

 

"แบบนี้จะดีเหรอ" ดินกระซิบกระซาบ แอบมองแผ่นหลังเล็กตลอดเวลา

 

 

"อืม...เจ้าตัวอยากทำก็ปล่อยให้ทำไปเหอะ" สินบอก น้ำเสียงเหมือนจะไม่สนใจแต่ก็อยู่ในสายตาตลอดไม่ต่างกัน

 

 

"อืม เดินไกลเหมือนกันเนอะ" ชะเอมว่า เดินอย่างทุลักทุเล พื้นก็ไม่ค่อยดี บางที่เป็นหลุมขรุขระ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็เดินตกลงไปเคล็ดได้เหมือนกัน

 

 

"วางตรงนี้เลยครับ" จ่อยคอยยืนกำกับ

 

 

"เฮ้อ" แขนเรียวบางยกขึ้นนวดไหล่ ถึงจะไม่หนักมากแต่ถือนานๆ มันก็ต้องมีเมื่อยกันบ้างแหละ

 

 

"ไหวนะ" รามถาม มองเห็นเหงื่อผุดซึมตามใบหน้ามน ยังไงก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี

 

 

"อื้ม!" ชะเอมยิ้มรับคำหนักแน่น

 

 

แต่...

 

 

พอเดินรอบที่สี่ รอบที่ห้า ด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร กับน้ำหนักที่ต้องหิ้วไปหิ้วมา กับแดดแรงจ้าเริ่มเคลื่อนไปอยู่เหนือหัวทำให้ชะเอมเริ่มหอบ ทั้งที่เพื่อนสามคนยังดูสบายๆ แท้ๆ

 

 

ตึกตัก

 

 

รู้สึกได้...หัวใจเต้นรัวเร็ว...เหนื่อยง่าย...ผิดปกติ

 

 

"เอม เหงื่อมึงออกโคตรเยอะเลย" ดินทัก "ไปนั่งพักไป กูว่ามึงไม่ไหวแล้ว"

 

 

"ระ เหรอ...เราก็ว่าอย่างนั้น...งั้น" ชะเอมสูดลมหายใจที่ติดขัด แผ่นอกบางสะท้อนถี่ "เดี๋ยวเสร็จนี่ก่อนนะ"

 

 

"ไหวมั้ยครับ ไม่ไหวพักก่อนได้" จ่อยสังเกตเห็นใบหน้าซีดอย่างกับจะเป็นลมของคนตรงหน้าที่กำลังเดินมาแล้วได้แต่เอ่ยเตือน เขาน่ะเห็นคนบอกว่าไหวแล้วฝืนจนเป็นลมมาแล้วนักต่อนัก

 

 

"...ครับ" ชะเอมว่าง่าย นี่เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกัน ถ้าล้มไปจะยิ่งเป็นภาระมากขึ้น

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************




ต่อด้านล่าง

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 11 วันที่ 22/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-11-2018 13:30:20



ต่อจากด้านบน



"ฟู่~" ร่างบางทรุดตัวลงใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ มอวไปรอบๆ ก็มีคนนั่งพักประปราย บางคนก็หายเหนื่อยแล้วแต่ก็อู้บ้าง ชะเอมมองตามแผ่นหลังเพื่อนสามคนที่ไม่พักขอไปช่วยงานแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

 

 

ตึกตัก ตึกตัก

 

 

ใจยังเต้นเร็วอยู่...ทำให้ควบคุมลมหายใจให้ช้ากว่านี้ไม่ได้

 

 

"เฮ้อ" ...เหนื่อย

 

 

ชะเอมหลับตาพิงต้นไม้ สูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกยาวๆ ฟังเสียงสายลมพัดผ่าน เสียงใบไม้กระทบกัน

 

 

อากาศดีจัง

 

 

รู้สึก...สงบ

 

 

แต่เสียงหัวใจ มันไม่ยอมสงบ



 

"อือ..." มือบางขยุ้มเสื้อบริเวณอกข้างซ้ายเมื่อมันเริ่มอึดอัดมากขึ้นทุกที แผ่นอกสะท้อนถี่ ริมฝีปากบางอ้างับอากาศเมื่อใช้จมูกหายใจก็ดูเหมือนจะไม่ทัน

 

 

อยู่ตรงนี้ไม่มีใคร สังเกตเห็น

 

 

แย่ล่ะสิ...



 

แผ่นหลังบางคู้ตัวเมื่อสิ่งที่อยู่ในอกบีบรัด "หะ...!" มือบางละจากการกำเสื้อ ถึงจะยากยังไงก็ต้องล้วงหาสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าออกมา เปิดฝากระปุกเทจนยาในขวดเกือบหกกระจาย ไม่ทันได้มองว่าบนฝ่ามือมีกี่เม็ด ก็ตบยาเข้าปากแล้วฝืนกลืนเข้าไปจนได้

 

 

ไม่มีน้ำ...ขมจนอยากจะอ้วก...ฝืดคอแต่ก็ต้องกิน

 

 

นานจนลมหายใจกลับมาคงที่ หัวใจก็กลับมาเต้นเหมือนเดิม

 

 

หูกลับมาได้ยินเสียงเฮฮารอบด้านกลับมาดังทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังอื้ออึง ร่างบางเริ่มขยับกาย หยิบเม็ดยาสีขาวที่เพิ่งสังเกตว่ามีหกอยู่ตามพื้นหญ้าเข้ากระปุกแก้วเชื่องช้า พยายามสูดลมหายใจเบาๆ เพราะยังรู้สึกเจ็บแปลบในอก

 

 

นั่นเม็ดสุดท้าย...

 

 

"อะ ขอบคุณ...ครับ" มือขาวซีดชะงักเมื่อเห็นใครบางคนช่วยเก็บยาให้ ใบหน้าน่ารักคุ้นตากับผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะ

 

 

...เรย์...

 

 

"อ่ะ" มือเล็กลอยอยู่ตรงหน้าพร้อมเม็ดวางอยู่

 

 

"เอ่อ ขอบใจ" ชะเอมบิดฝากระปุกรีบเก็บใส่ช่องในเสื้อคลุมกันหนาว สายตาเผลอกวาดมองหาใครบางคนไม่รู้ตัว

 

 

"เป็นอะไรเหรอ" เรย์ถาม

 

 

"หะ?" ร่างบางตกใจกระเถิบตัวหนีเว้นระยะ เมื่อร่างเล็กทิ้งตัวลงใกล้ๆ

 

 

"เป็นอะไร ทำไมต้องกินยา" เรย์มองกลับมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

 

 

"ป...ปวดหัวนิดหน่อย" ชะเอมร้อนตัวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเรื่องยา จึงพูดออกไปโดยคิดคำโกหกไม่ทัน "พอดีเพิ่งหายไข้"

 

 

"เป็นไข้? อ๋อ หรือว่าจะเป็นที่ตากฝนวันนั้นน่ะเหรอ" คำพูดซื่อๆ ที่เอ่ยออกมาให้ใจอีกคนกระตุก "แล้วไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย”

 

 

“อืม” ร่างบางตอบแค่นั้น แต่ก็มาคิดได้ว่าอาจจะสั้นจนไร้มารยาทเกินไป จึงอธิบายเสียงแผ่ว “...จริงๆ ก็เพิ่งหายเมื่อคืนน่ะ”

 

 

ในใจรู้สึกแปลกๆ ...สงสัยเหลือเกินว่าอยู่ๆ เรย์มาคุยกับเขาทำไม

 

 

“เหรอ...” เสียงใสครางรับคำในลำคอ “ดูสิ แผลของเราก็ยังไม่หายเหมือนกัน" นิ้วเล็กชี้ไปที่ผ้าพันแผลพร้อมกับเสียงใสหัวเราะเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ยิ่งทำให้ชะเอมรู้สึกแย่

 

 

"อาหมอบอกว่าเย็บไปตั้งหลายเข็ม ตอนตื่นมาก็เจ็บแทบแย่"

 

 

"..."

 

 

"แต่ดีที่คินเฝ้าตลอดเวลา เราเลยสบาย แทบไม่ได้ทำอะไรเองเลย"

 

 

"..."

 

 

"คินเนี่ยเป็นผู้ชายที่ดูแลคนเก่งมากจริงๆ นะ ถ้าใครได้เป็นแฟนคงโชคดีสุดๆ เราคงอิจฉาตายเลย"

 

 

"..."

 

 

"ว่าแต่เขารู้รึเปล่าว่าเอมไม่สบายน่ะ" คงรู้สึกว่าพูดเรื่องตัวเองมากไป จึงหันมาถามไถ่คนข้างๆ บ้าง ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ซึ่งเรย์ก็ดูเหมือนจะไม่ถือสา

 

 

"โทษที ท่าทางเราจะถามอะไรโง่ๆ คินเขาจะไปรู้ได้ไงเพราะก็อยู่กับเราตลอดเวลานี่นา"

 

 

ชะเอมล่ะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เรย์เข้ามาคุยด้วยจริงๆ สายตาจับจ้องไปที่คนพูดหน้าตาระรื่น สบายใจ

 

 

จะอวด?

 

 

เยาะเย้ย?

 

 

หรือว่าสมเพช?

 

 

"แต่ก็ขอบคุณแผลนี้ล่ะนะ ที่ทำให้เขาทิ้งนายมาหาฉันจนได้"

 

 

"!!" สิ่งที่ได้ยินชะเอมตกใจเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น หันไปมองเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะได้ยินอะไรผิด แต่ว่าเมื่อเห็นสีหน้าแสยะยิ้ม

 

 

"นี่นาย" อย่าบอกนะว่า...เรื่องวันนั้น...ตั้งใจเหรอ

 

 

ตั้งใจให้เป็นแบบนี้

 

 

ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขาอยากจะขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว

 

 

ทั้งๆ ที่เขารู้สึกผิดแทบตาย

 

 

แล้วเขาเสียใจแค่ไหนที่ถูกคินบอกเลิก...คำต่อว่าดูถูกที่ออกมาจากปากร่างสูงมันสามารถฆ่าเขาได้

 

 

 

มันเจ็บเหมือนตายทั้งเป็น

 

 

 

"ฉันจะบอกเรื่องนี้กับคิน" ชะเอมพูดกัดฟันแน่น มองด้วยแววตาโกรธแค้น แต่ไม่ได้ทำให้เรย์กลัว กลับยิ้มสะใจเสียด้วยซ้ำ

 

 

"คิดว่าเขาจะเชื่อนายเหรอ"

 

 

"..." คำพูดของเรย์ทำให้เขาเถียงไม่ออก “ฉันไม่สน...”

 

 

"คิดดูให้ดี ตอนนี้นายก็น่าจะรู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไง นายเป็นคนร้าย ส่วนฉันเป็นนางเอกผู้น่าสงสาร" เรย์ยิ้มหวาน แต่สำหรับชะเอมมันน่าขยะแขยงที่สุด "ถ้าหากนายทำอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นกับฉัน นายก็จะโดนเกลียดเพิ่มมากขึ้น สำหรับฉันมันก็ง่ายดีอ่ะนะ"

 

 

น่ารังเกียจ...น่ารังเกียจที่สุด



 

ชะเอมตาแดงขบกรามไม่เคยโกรธใครเท่าคนตรงหน้ามาก่อน มันอึดอัดอยากจะระบาย มือบางกำหมัดแน่นจนสั่นระริก  รู้สึกโมโหจนลมหายใจของตัวเองสั่น ในขณะที่คิดว่าจะทำยังไงดี สายตาของเรย์เหลือบไปด้านหลังของเขา จู่ๆ ร่างเล็กก็ล้มลงนอนกุมศีรษะหน้าเหยเก

 

 

"อะ โอ๊ย! เจ็บ..." น้ำตาไหลอาบหน้าทำให้ร่างบางได้แต่งง ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

 

 

จู่ๆ เป็นอะไร

 

 

"ฮึก ปวดหัว..."

 

 

แซ่ก...

 

 

"เรย์!"

 

 

ชะเอมช็อคตาโต ร่างบางผุดลุกขึ้น หรือว่า...!!

 

 

ร่างสูงที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินตรงเข้าช้อนร่างเล็กแนบอก

 

 

"เป็นอะไร เรย์ เจ็บตรงไหน" มือใหญ่แตะแผ่วเบากลัวว่าจะสะเทือนแผล

 

 

"เรย์ปวดแผลอะคิน" ร่างเล็กได้ทีคว้าคอซบหน้ากับไหล่กว้าง

 

 

"ยาแก้ปวดอยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวคินหยิบให้" คินเอ่ยกระซิบเตรียมลุกขึ้นยืน ไม่สนใจว่ามีใครอีกคนอยู่ด้วย

 

 

ท่าทางเป็นห่วง ความอบอุ่นอ่อนโยน สรรพนามแทนตัว สิ่งเหล่านั้นเคยเป็นของเขา

 

 

"เรย์ขอโทษนะเอม" เรย์พูดเสียงปนสะอื้น ซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาชะเอมแล้ว เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือร่างสูง

 

 

อยากอธิบาย



 

"เรย์ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้เอมทะเลาะกับคิน ฮึก เรย์ไม่ได้ตั้งใจ"

 

 

อยากบอกว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่สิ่งที่คินเข้าใจ



 

"คินอย่าโกรธเรย์นะ เรย์แค่กลัว...แต่เอมเขาโกรธเรย์ที่ทำเหมือนแย่งคินมา ฮึก คิน" ร่างเล็กตัวสั่นเหมือนลูกนกน่าสงสาร ซุกหน้ากอดคอคินแน่น "เจ็บ ไม่เอาแล้ว"

 

 

ร่างสูงยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่มือใหญ่ก็กอดปลอบลูบหลัง เข้าใจว่าเรย์หวาดกลัวจากความเจ็บจากบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นจนฝังใจ

 

 

มันไม่ใช่!!



 

“หยุดพูดนะเรย์!” ชะเอมหมดความอดทนตะโกนใส่ร่างเล็กที่เอาแต่พ่นคำโกหกหลอกลวง ก่อนจะหันหน้ามาพยายามอธิบายกับอีกคน "ไม่ใช่นะคิน เรย์โกหก เอมไม่ได้..."

 

 

"นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!" คินตะคอกเสียงดัง ทำให้ตรงที่พวกเขายืนอยู่เป็นจุดสนใจทันที

 

 

ร่างบางสะดุ้งหน้าซีดเซียว เมื่อสายตาคมตวัดมองเขาเหมือนเห็นเขาเป็นเศษขยะหรืออะไรที่น่าขยะแขยง

 

 

ไม่ใช่นะ...



 

“เรย์เป็นขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือไง” คินหันมาเผชิญหน้า มองต่ำมาที่ชะเอม “บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีก ทำไมไม่ฟัง!”

 

 

“...”

 

 

“เงียบทำไม ฉันถามว่าไม่พอใจหรือไง!!” ร่างบางสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง เมื่อเสียงเกรี้ยวกราดตะโกนดัง

 

 

ชะเอมหน้าซีดกับสายตาคมกริบ  ริมฝีปากสั่นอ้าแล้วก็หุบอยู่อย่างนั้น “...” พูดสิ อธิบายออกไป บอกว่าทุกอย่างมันไม่ใช่ สิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจนั้นคือสิ่งที่แสนหลอกลวง

 

 

นานจนคินไม่รอ ขายาวหันหลังก้าวเดินไป พลันเห็นสายตาของเรย์ซ้ำรอยกับวันๆ นั้น...วันที่มีสถานการณ์เดียวกันกับตอนนี้

 

 

แต่ไม่เลวร้ายเท่า

 

 

แซ่ก...แซ่ก

 

 

“คิน...” ใบหน้ามนร้องเรียก เจ็บหนึบในอกจนต้องกัดปากจนเลือดซึม “...ไม่ใช่นะ” เสียงสุดท้ายที่เปล่งออกมาแทบขาดใจ

 

 

สายตาว่างเปล่ามองทั้งสองคนค่อยๆ เดินห่างออกไป

 

 

รั้งไว้*...*ไม่ได้เลย...



 

ต้องมองแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างนี้อีกกี่ครั้งกี่หน...



 

ยังต้องทนเจ็บแบบนี้อีกกี่ครั้งกี่หน...จนกว่าจะทนไม่ไหวอีกแล้วใช่ไหม



 

 

 

 

...หรือจนกว่าหัวใจอ่อนแอดวงนี้จะแหลกสลายไป...



 

 

 

เสียงซุบซิบนินทาของคนรอบข้างดังขึ้นแต่ไม่เข้าประสาทร่างบางอีกต่อไป ชะเอมได้แต่กอดเข่าก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีแม้น้ำตาสักหยด...มีแต่สายตาเจ็บปวดรวดร้าวสะท้อนออกมากับก้อนเนื้อในอกที่บีบรัดจนเจ็บหนึบ

 

 

ภาพคินที่กอดใครอีกคนแนบอกอย่างปกป้องแล่นเข้ามาในหัว และสายตากลับมองเขาด้วยความรังเกียจแบบนั้น

 

 

มันทำให้เขารู้สึกแพ้...เขาแพ้แล้ว



 

ไม่สิ ต้องโทษตัวเองเพราะเขาโง่เอง ที่ถูกเรย์หลอกครั้งแล้วครั้งเล่า...ถูกหลอกให้ตกอยู่ในหลุมพรางที่มีแท่งไม้กับดักอยู่ก้นหลุมวางซ้ำไว้ ขึ้นมาไม่ได้...ไม่มีทาง

 

 

‘คิน...ไม่ใช่...’

 

 

นั่นสิ ในตอนนั้นเขาจะพูดแก้ตัว...ไปทำไมนะ เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าถึงยังไงก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาเปลี่ยนมันไม่ได้

 

 

ไม่มีทาง...เปลี่ยนสิ่งที่คินเชื่อได้เลย

 

 

เรย์พูดถูกแล้ว

 

 

'คิดว่าคินเขาจะเชื่อนายเหรอ'

 

 

‘คิน ไม่ใช่นะ เรย์โกหก...’

 

 

‘นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!’

 

 

จะแก้ตัวไปทำไม ก็ในเมื่อ...

 

 

 

 

 

 

 

ความเชื่อใจถูกทำลายจนแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี

 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 11 วันที่ 22/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 22-11-2018 14:44:07
รออยู่นะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 11 วันที่ 22/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 22-11-2018 17:20:30
อดทนไว้นะชะเอม
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 12 วันที่ 25/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 25-11-2018 14:23:21

                                         Whose Fault ?



                                         ผิด...ครั้งที่ 12













โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม


"โอ๊ย เหนื่อยเป็นบ้าเลยว่ะ" ดินโอดครวญ


"จริง นี่ขนาดกูยังแข็งแรงปึ๋งปั๋งยังรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม" รามไม่วายขอบ่นบ้าง


สายตาคมของดินเหร่มองหุ่นโปร่งบาง และกล้ามเนื้ออันน้อยนิดของคนที่บ่น “ไอ้คำว่าแข็งแรงปึ๋งปั๋งของมึงมันหายไปตั้งแต่โหมกับงานพิเศษแล้วล่ะเพื่อน”


“อย่าดูถูกน่า ของแค่นี้เดี๋ยวฮึดขึ้นมาก็เหมือนเดิมแล้ว” รามเบ่งกล้าม(อันน้อยนิดในสายตาดิน)ให้ดู


ดินเมินคำเพื่อนยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ "เฮ้อ อิจฉาผู้หญิงจังไม่ต้องตากแดด"



"แล้วมึงทำอาหารเป็นหรือไง" สินถาม



"ไม่อ่ะ" ดินตอบทันทีไม่ต้องคิด ทุกวันนี้ยังฝากท้องกับป้าร้านอาหารตามสั่งอยู่เลย



"กูก็ว่า...คนโง่ๆ อย่างมึงเหมาะจะใช้แรงมากกว่าอยู่แล้ว" รามออกความเห็น


"ไม่พูดก็ไม่มีใครว่ามึงเป็นใบ้หรอกไอ้ตาตี่" ดินแยกเขี้ยว ล้อเลียนรูปลักษณ์ที่ได้รับมาจากผู้ให้กำเนิด


"กูแค่ออกความเห็นเฉยๆ ไหม" รามย้อนคิ้วกระตุก "อีกอย่างกูไม่ได้ตาตี่ เค้าเรียกตาเรียวเว้ยไอ้ดำ!"





เอาสิ มันว่าเขาก่อน เขาก็ต้องเอาคืนบ้าง


"ใครว่าดำ แบบนี้ไม่ได้เรียกดำ เขาเรียกคมเข้มต่างหาก มาดแมนสมชายชาตรี!...ใครจะขาวเหลืองเหมือนตุ๊ดแบบมึงล่ะวะ"


"เอาเข้าไป" สินฟังทั้งสองเถียงกันแล้วส่ายหน้า ไร้สาระจริงๆ เลย


"ไอ้เวรดิน" รามเดือดปุด ยิ่งอากาศร้อนๆ ยิ่งอารมณ์ขึ้นง่ายเลย "สินมึงเอามันไปไกลๆ เลย...ครอบตะกร้อด้วยก็ดีนะ ปากหมาชิบหาย"



ดินได้ยินก็ฮึดฮัด แถมถูกสินล็อกตัวไว้อีก แขนแข็งแร็งยึดเขาแน่นเหนียวหนึบ จึงได้แต่ชกอกชกลมอยู่คนเดียว



"ดิน มึงก็นะ" สินถอนหายใจ "เขาพูดความจริงมึงจะไปโมโหทำไม"





"นี่มึงก็ว่ากูดำเหรอ" ดินถลึงตาย้อนเสียงสูง



สินหัวเราะ "แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ"




"แม่ง...ไม่เข้าข้างกูเลย" ดินเบะปาก แกล้งสะบัดหน้าให้รู้ว่ากูงอน "ไม่เถียงด้วยละ"



เมื่อกี้เหมือนได้ยินไอ้ตาตี่มันด่าเขาแว่วๆ ว่า 'ไอ้กระแดะ' ด้วย ดินเลยหันไปโชว์นิ้วกลางใส่ไอ้คนที่ได้ยินบทสนทนาแล้วเดินหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ





ทั้งสามคนสงบศึกชั่วคราว เดินตัวชุ่มเหงื่อหวังจะไปพักเพราะออกแรงอยู่กลางแดดเป็นชั่วโมง แถมต้นไม้ก็ยังเหลืออีกเกินครึ่ง...เห็นจำนวนแล้วท้อแท้


อย่าว่าแต่ครึ่งเช้าเลย วันนี้ทั้งวันจะเสร็จรึเปล่าเถอะ



"เฮ้ย พวกมึง" สินพยักเพยิดเรียกเพื่อน เร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้เมื่อเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล "ตรงนั้นมีอะไรแปลกๆ"





เมื่อขาทั้งสามคู่ก้าวเข้ามาใกล้ๆ บริเวณที่ชะเอมนั่งพักอยู่ก็พบร่างบางนั่งก้มหน้ากอดเข่าจึงไม่เห็นสีหน้า รอบๆ กายมีคนมุงซุบซิบนินทาอะไรสักอย่าง แถมยังมีร่างสูงของใครอีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ มองด้วยสายตาเป็นห่วง



รามเห็นก็แหวกตัวคนที่ยืนขวางทางก้าวเข้าไปเร็วๆ กระชากไหล่หนาอย่างแรง "นี่มึงทำอะไรเอมวะ!!?"



"อะ!" ไอติมตกใจ เมื่อจู่ๆ ก็มีแรงดึงกระชากตรงหัวไหล่ตัวเอง เงยหน้าก็พบคนคุ้นตา "นี่คุณ!"



อีกแล้ว!?




"กูถามว่ามึงทำอะไรเอม ตอบมา!" รามตะโกนอย่างโมโห ยิ่งไม่ชอบหน้ามันด้วยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว



"ผมไม่ได้ทำอะไรเลย" คนอายุน้อยกว่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันมาเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ



"ไม่ได้ทำอะไร? แล้วทำไมเอมเป็นแบบนี้" รามยังถามเสียงขุ่น





"เห้ย รามใจเย็นดิวะ" ดินปราม ส่วนสินเข้าไปดูชะเอมที่ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง...ผิดสังเกตเป็นอย่างมาก



ร้องไห้เหรอ...ไม่ ไม่ใช่





"ผมแค่ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน ก็เลยเข้ามาดู...ก็เห็นพี่ชะเอมเป็นแบบนี้แล้ว แต่ผมยังไม่ทันได้ทำอะไร คุณก็เข้ามาซะก่อน" ติมอธิบาย รามเบิกตาเมื่อได้ยิน เรื่องที่โมโหหายวับไปจากหัว


กลายเป็นความสงสัยแทรกขึ้นมาแทน


'ผมแค่ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน'



...ทะเลาะกัน...



เอมทะเลาะกับใคร? หรือว่า...!





นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทั้งสามคนคิดเหมือนกัน


"เอม" สินส่งเสียงเรียก แต่อีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน


รามทรุดตัวลงดูอาการบ้าง "เอม"



ยิ่งไม่ตอบโต้ ไม่หือไม่อือ ไม่แสดงอาการอะไรเลย มันยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นหลายเท่า


"เมื่อกี้มึงเห็นป่ะ"


"ไม่เห็นอย่างเดียว ได้ยินด้วยเว้ย ชัดเจนเต็มสองรูหู"



"ตกลงเรื่องนั้นจริงเหรอวะ"


"กูได้ยินเรย์ร้องไห้ด้วย น่าจะจริงแหละ"





"ชะเอมแม่งก็กล้าเนอะ เห็นหน้าหงิมๆ เรียบร้อยแบบนี้"


"นั่นคือคนที่ชื่อชะเอมเหรอ เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรก"


"อิจฉาไอ้คินว่ะ รอบตัวแม่งมีแต่คนน่ารักๆ"



"น่ารักยังไงกูไม่เอาอ่ะ ขนลุกพวกเกย์"


เสียงซุบซิบต่างๆ นานาดังขึ้นรอบตัว ไม่สนใจเลยว่าถ้าเจ้าตัวได้ยินแล้วจะรู้สึกอย่างไร


"แล้วพวกมึงจะมุงเหี้ยอะไรกันนักหนา" ดินว่าดังๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ขมับปูดขึ้นตามเส้นเลือด "เรื่องของคนอื่นก็เสือกอยู่ได้ รำคาญลูกตาเว้ย"


"ใจเย็นดิน" สินบอก ก่อนหันไปบอกร่างโปร่งที่ขบกรามแน่น "มึงด้วยราม"


จริงๆ พวกเขาทุกคนก็โกรธ...โมโหมาก


แต่ว่าก่อนที่จะกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง สิ่งที่ต้องเป็นห่วงเหนือสิ่งอื่นใดคือชะเอมต่างหาก





"พวกคุณทำอะไรกันอยู่!" คนหน้าโหดหัวสกินเฮดเดินเข้ามาเมื่อเห็นคนสุมหัว หลายคนเริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก "ผมว่าพวกคุณคงพักกันหายเหนื่อยแล้ว ขอความกรุณาช่วยไปขนต้นไม้ต่อด้วยนะครับ ถ้าเสร็จไม่ทันเที่ยงก็ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี"


หลังจากนั้นไม่นานหลายคนก็ค่อยๆ สลายตัวไปทำงานต่อไม่มีใครสนใจเหตุการณ์เมื่อครู่อีก





"แล้วพวกคุณ...มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ" คนผมทรงสกินเฮดถาม เมื่อเห็นกลุ่มที่ยังไม่ขยับเขยื้อน "คนเมื่อกี้นี้นี่...เป็นอะไรไม่สบายเหรอ ไปห้องพยาบาลมั้ย"


"เอ่อ..." พอจ่อยถาม คนที่ไม่ได้เป็นอะไรมองหน้ากันอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะพวกเขาก็ไม่รู้ว่าชะเอมเป็นอะไรเหมือนกัน


"ไม่เป็นไรครับ" หลายคนขยับตัวเมื่อคนตอบคือร่างบางที่นั่งเงียบมาตั้งนาน ชะเอมเงยหน้าขึ้น ปรากฎใบหน้าขาวซีด "ผมไม่เป็นไร..."


"ก็แค่..." รอยยิ้มปรากฎฝืดเฝื่อนเพราะอยากให้ทุกคนสบายใจ "เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ"





ราม ดิน สิน สบตากัน...ชะเอมโกหก


"ไม่เป็นไรจริงเหรอ หน้าคุณซีดนะ" จ่อยขมวดคิ้วถามเพื่อความแน่ใจ เพราะหลักฐานมันคาตา...ถ้าเป็นลมล้มพับไปเขาก็ไม่แปลกใจเลย


"ครับ ผมไม่เป็นไร" ร่างบางยันตัวลุกขึ้นยืน เซเล็กน้อยแต่ยังยันไว้ทัน แถมรามก็เข้ามาช่วยประคองให้อีกแรง "แต่ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณจ่อย"





"หึ เรียกจ่อยเฉยๆ ก็ได้" จ่อยยิ้มมุมปาก เพิ่งเคยมีคนเรียกเขาสุภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก อาจจะเพราะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนนักเลงอย่างที่ยัยพาพูดนั่นแหละ


"ครับ ผมมีเรื่องขอร้องจ่อยหน่อย"



"อ่าฮะ พูดมาสิ" หัวหน้าฝ่ายโคลงหัว



"ผม...อยากจะขอเปลี่ยนไปช่วยทำอาหารในครัวแทนได้มั้ยครับ พอดีร่างกายผมไม่ค่อยสู้แดดเท่าไหร่ แถมงานที่ต้องยกของแบบนี้ก็ไม่ใช่งานถนัดของผมด้วยน่ะ" ชะเอมเม้มปากเอ่ยอย่างเกรงใจ...เป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวไปรึเปล่านะ



ทั้งสามคนได้ยินแล้วก็แปลกใจ อันที่ก็อยากให้เป็นแบบที่ว่าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าชะเอมจะเปลี่ยนใจกลางคันแบบนี้





เหมือนกับจะหนีอะไรบางอย่าง...หรือใครบางคน





"ได้สิ คุณไปเถอะ" จ่อยอนุญาต ไม่ได้ติดใจอะไร เขาก็รู้สึกเห็นด้วยเพราะดูจากผิวขาวซีดกับรูปร่างบอบบางแล้วไม่เหมาะจะมายกของตากแดดจริงๆ น่ะแหละ





"ขอบคุณครับ" ชะเอมผงกหัวให้จ่อย หัวหน้าฝ่ายก็พยักหน้าเดินออกไปเพื่อให้เป็นการส่วนตัว





"เอม...เรื่องเมื่อกี้นี้..." เพื่อนๆ กังวลอยากจะถาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าซีด ตากลมโตสีดำว่างเปล่าไม่สุกสกาวเหมือนเคยแล้วก็ไม่รู้จะถามยังไง...พูดไม่ออก





"ไม่ต้องห่วงนะ" ชะเอมยิ้ม "ถึงเมื่อกี้เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็กินยาไปเรียบร้อยแล้วล่ะ สงสัยจะใช้แรงมากไปหน่อย"





"..."





"แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว" แขนบางยกขึ้นกำหมัดเหมือนยืนยันว่าดีขึ้นแล้วจริงๆ นะ





ชะเอมไม่พูดถึงเรื่องเมื่อกี้เลยแม้แต่นิด จนคนอื่นคิดไปว่าร่างบางอาจจะไม่ได้ยินเสียงนินทารึเปล่า...ก็อาจจะดีกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น





"แล้วเราก็ต้องขอโทษจริงๆ นะที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง" เสียงใสรู้สึกผิด ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่รามนึกว่ามันหายไปแล้ว "ติมด้วย ขอบใจที่เป็นห่วงนะ"





หึ...รามย่นจมูก ไม่เห็นต้องขอบคุณมันเลย





"ไม่เป็นไรครับ..." ไอติมที่รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับสถานการณ์นี้ดี





ชะเอมพยายามทำทุกอย่าง...ให้เหมือนปกติ





"..."





"เพราะงั้นก็อย่างที่ทุกคนได้ยิน เดี๋ยวเราขอไปช่วยงานในครัวดีกว่า มาออกแรงเยอะๆ แบบนี้เดี๋ยวพวกนายก็ต้องคอยเป็นห่วงเรื่อยๆ ...แถมเราก็ไม่สบายใจด้วย..."





อย่างน้อยก็ขอหนีให้ห่างไปจากที่ๆ คินอยู่ดีกว่า...





ไม่อยากเจอ





ไม่กล้า...แม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ





"อีกอย่าง..." ร่างบางชะงัก ส่ายหน้า "อื้อ ไม่มีอะไร"





อีกอย่าง...เพราะเกิดเรื่องเมื่อกี้ ทำให้มีแต่คนมอง ถ้าหากอยู่ด้วยกันพวกนายจะต้องโดนนินทาไปด้วยแน่ๆ





"พวกเราก็ไม่ได้จะห้ามหรอก" สินบอก





"เออ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีกว่าจริงๆ แหละ เห็นมึงหน้าซีดจะเป็นลมแล้วกูไม่เป็นอันทำอะไรเลย" ดินเห็นด้วย





พวกเขารู้ดีและเข้าใจว่าร่างกายของชะเอมเป็นยังไง





อ่อนแอ...แค่ไหน





รามอึดอัดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็...ทำได้เพียงพยักหน้า "ถ้าเอมโอเคอย่างนั้น แยกย้ายกันทำงานกันก็ได้"





"อื้ม" เอมพยักหน้ายิ้มๆ





"แล้วร่างกายโอเคแน่แล้วใช่มั้ย?" รามถาม...หมายถึงเรื่องหัวใจ





"อื้ม โอเคแล้วๆ"





รามอ้าปาก แล้วเรื่อง...จิตใจล่ะ





"เอมมึงไปเหอะ เดี๋ยวพวกกูจะได้ไปทำงานต่อ...เสร็จแล้วจะได้ไปกินอาหารฝีมือมึงไง" ดินเอ่ยแทรกราวกับรู้ว่ารามจะถามอะไร





"โอเค" ร่างบางหัวเราะ "งั้นเราไปล่ะ เจอกันตอนเที่ยงนะ"





ทั้งสามยืนมองแผ่นหลังบางที่เล็กลงเรื่อยๆ





ถ้าหากนายไม่มีความสุข ก็ไม่เห็นต้องฝืนยิ้มเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ...แบบนั้นน่ะมันทำให้คนที่ทำได้แต่เฝ้ามองเจ็บปวดนะ





"พวกเราทำได้แต่มองแบบนี้เหรอวะ" รามเอ่ย รู้สึกสงสารร่างบางจับใจ





'อาฝากชะเอมด้วยนะ'





หมอกฤษณะอุตส่าห์ฝากดูแลแท้ๆ...แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลย





"ชะเอมในตอนนี้น่ะเหมือนสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บ" สินพูด "อ่อนแอแต่ก็ดื้อดึงยิ่งกว่าอะไร...ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งถอยหนี"





"..."





 "ตอนนี้เราควรปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวไปก่อน" สินมองสีหน้าราม เขาเข้าใจว่าร่างโปร่วงรู้สึกยังไง "กูว่าถ้าเขาอยากจะเล่าเมื่อไหร่เขาก็คงจะพูดเอง"





ดินพยักหน้าเห็นด้วย





"ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่หน้าที่ของเราก็จะไม่ใช่แค่คนที่เฝ้ามองแล้ว...มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย" ดินมองสินอึ้งๆ นี่เขาไม่เคยเห็นสินพูดได้ (แบบมีสาระ) ยาวขนาดนี้มาก่อนเลย หรืออาจจะเป็นที่เขาเองที่ไร้สาระ





...น่าจะใช่





เห็นสินแบบนี้แล้วรู้สึกปลื้มแปลกๆ ...ไม่สิๆ ดินสะบัดหัวไล่ความคิด กูไม่ได้ชมมันสักหน่อยแล้วก็ไม่ได้ปลื้มมันด้วย





"...กูเข้าใจ" แต่พอเห็นมันก็อดไม่ได้ ทำไมถึงต้องมีแต่ชะเอมที่เป็นฝ่ายเจ็บล่ะ





"เลิกคิดได้แล้ว เป็นแบบนี้คิดเหรอวะเอมเขาจะดีใจ" สินตัดบท หันหลังคว้าคอดินเดินไปด้วย "ทำงานๆ"





"เฮ้อ..." รามถอนหายใจเดินตาม แต่ก็ต้องชะงักคิ้วกระตุก "นี่มึงยังไม่ไปอีกเหรอวะ"





"แล้วคุณตาบอดหรือไงถึงไม่เห็นผมว่ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว" ไอติมว่า ฟังบทสนทนามานานแต่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่





"กูไม่ได้ตาบอด...แล้วกูจะเห็นหรือไม่เห็นแล้วจะทำไม มึงสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง" รามย้อนเสียงสูง นี่พอเขายืนเทียบกับไอ้ปีหนึ่งนี่แล้วมันสูงกว่าเยอะจนต้องเงยหน้าพูด





รู้สึกเสียเปรียบ...





"ผมตัวสูงกว่าคุณ ถ้าไม่ได้ตาบอด ก็เห็นจะเป็นตาตี่ๆ นี่ล่ะมั้งที่เป็นอุปสรรคกับการมองเห็น" ติมยั่วโมโห และดูเหมือนจะได้ผลเมื่อร่างโปร่งชะงักใบหน้าแดงเข้มด้วยความโกรธ





ไอ้นี่มันล้อเลียนเขา!





"กูเป็นพี่มึงนะ อย่ามาล้อเล่นกูไม่ขำ" รามถลึงตาเอ่ยเสียงเข้มให้รู้ว่าเอาจริง ไม่ถูกชะตากับมันตั้งแต่เจอครั้งแรกละ





ไอ้ดินมันเป็นเพื่อนเขายังไม่ยอม แล้วไอ้นี่มันเป็นใคร





"คุณไม่ใช่พี่ผม กิริยาแบบนี้ผมไม่นับถือคุณเป็นพี่หรอก" ร่างสูงพูดอย่างไม่เกรงกลัว ยิ่งสายตาที่มองต่ำลงมาก็ยิ่งทำให้อารมณ์ร่างโปร่งโมโหมากขึ้นไปอีก นี่คำพูดจากรุ่นพี่อย่างเขามันไม่น่ากลัวบ้างเลยหรือไงวะ มันถึงได้ทำหน้านิ่งอยู่ได้!?





"แล้วมึงจะมายุ่งวุ่นวายทำไมวะ!"





ไอติมถอนหายใจ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับกิริยาฟึดฟัดของอีกฝ่ายเลย "ผมไม่ได้อยากยุ่งกับคุณ ผมแค่เป็นห่วงพี่ชะเอม"





รามชะงัก อารมณ์กรุ่นดร็อปลงนิดหน่อย "นี่มึง...อย่าบอกนะว่าชอบเอม?"





"ไม่ใช่เรื่องของคุณ" ติมตอบอีก





"ไอ้เวร กูถามดีๆ" รามคิ้วกระตุก อารมณ์เริ่มกรุ่นอีกละ





"ไอ้ราม ทำอะไรอยู่วะ!" ได้ยินเสียงดินตะโกนมาแต่ไกล รามก็พ่นลมหายใจแรงๆ "ตามมาเร็วๆ ดิวะ!"





"เออ!!" ร่างโปร่งมองใบหน้าคมตาขวาง พยายามกดอารมณ์...อย่าไปใส่ใจๆ ก็แค่เด็กปีหนึ่ง ปล่อยมันไปแล้วกัน คงเจอกันไม่บ่อยนักหรอก





ไอติมมองตามแผ่นหลังร่างโปร่งไป...ใบหน้าแดงๆ ตอนโกรธติดตา











ก็ตาตี่จริงๆ นี่...โมโหทำไม











************************Whose fault? ************************







เสียงย่ำเท้าลงบนหญ้าที่พื้น...จิตใจของชะเอมเหม่อลอยครุ่นคิดไปไกล





ต้องทำยังไง คินถึงจะฟังที่เขาพูด...เขาอยากให้คิน...กลับคืนมา...อยู่ข้างกาย





คินชอบเรย์จริงเหรอ...ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าคินไม่ได้ชอบ แต่แค่คิดว่าเขาคิดร้ายต่อเรย์เลยแค่ทำแบบนั้น...มันก็คงง่ายกว่านี้

แล้วถ้าหากว่าคินชอบเรย์จริงๆ ล่ะ





เขาไม่อยากให้คินกับเรย์คบกัน...เรย์นิสัยไม่ดี...เขารู้...เขารู้เพียงแค่คนเดียวว่าทุกอย่างคืออะไร





ต้องบอก...ความจริง

บอกแล้วยังไงล่ะ...บอกไปก็ใช่ว่าคินจะเชื่อ





หรือเขาควรจะยอมแพ้จริงๆ ...

ยอมแพ้เหรอ





แต่เราชอบคินไม่ใช่เหรอ...รักเขา...มาตลอด





รักมาก...มาตั้งแต่เด็กๆ

เพราะงั้นจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้





เพราะว่ารัก...ก็ไม่อยากให้คินเดินทางผิด...





ต้องทำให้รู้ว่าเรย์ไม่ใช่คนดีอย่างที่คินคิด...เขากำลังเข้าใจผิด...เข้าใจผิดทั้งเรื่องของเรย์...และตัวเขาเอง





ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม





...จนกว่าหัวใจดวงนี้จะแหลกสลายไป...





ไม่ว่าคินจะไม่เชื่อหรือไม่...ก็ต้องทำให้เชื่อให้ได้





‘เรย์เป็นขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือไง! บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีกทำไมไม่ฟัง!’





ใบหน้าคมของร่างสูงตอนนั้น...ช่างบิดเบี้ยว...เต็มไปด้วยความรู้สึก...โกรธ...เกลียด...





“เกลียด...เหรอ” ร่างบางหยุดก้าวเดินเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างที่สว่างจ้าแสบตา น้ำตาทำให้มองเห็นก้อนเมฆขยึกขยือพร่ามัว “คินเกลียดเอมแล้วเหรอ”





เสียงใสถามออกไป ไม่รู้ทำไม...คำถามนี้น่ะ...เขาไม่อยากได้คำตอบเลยแม้แต่นิดเดียว





แค่คิด...มันก็เจ็บปวด





‘คินเกลียดเอมแล้ว ฮือ’





ถ้าหากเป็นตอนเด็กๆ คินก็คงจะเข้ามาปลอบเขาทันที...แต่ในตอนนี้ความอ่อนโยนนั่น...ไม่มีอีกแล้ว

แล้วถ้าหาก...ถ้าหากว่าต้องเจอกับความรู้สึกเกลียดแบบนั้นอีกล่ะ...จะทนไหวรึเปล่า





ร่างบางรู้สึกเหน็บหนาวหัวใจ...เดียวดาย...เหงาเหลือเกิน

ก็ช่างมันสิ...เรื่องแค่นั้นน่ะ





“อดทนไว้นะ...หัวใจของเรา” มือบางเข้ากอบกุมเสื้อเหนืออกด้านซ้ายแน่น...ราวกับเอ่ยคำสัญญา...ต่อหัวใจของตัวเอง





...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ...





เพื่อคนสำคัญเพียงคนเดียวของเขา





เพื่อให้หลุดจากวังวนอันแสนน่ารังเกียจของคนๆ นั้น





และเพื่อความหวังว่าวันเวลาและความทรงจำดีๆ ระหว่างเขากับคินจะกลับคืนมา...เพราะงั้น...





น้ำตาหยดหนึ่งหลุดจากขอบตาแดงช้ำไหลกลิ้งผ่านใบหน้าหยดลงสู่พื้นดิน...คำมั่นสัญญานี้เป็นประจักต์









...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ...







*จนกว่า...*จะได้ชดใช้...









           ************************Whose fault? ************************








หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 12 วันที่ 25/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 25-11-2018 15:42:45
น้องแบบ.... อ่อนแอมากกกก  :a5:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 12 วันที่ 25/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-11-2018 00:29:25
น้องอ่อนแอเนอะ เป็นโรคหัวใจด้วย คงรักษายาก อ่อนแอทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด ส่วนคินโง่ เหมาะสมกับเรย์สุนัขจิ้งจอก
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 12 วันที่ 25/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 27-11-2018 12:46:20
ผิด...ครั้งที่ 13



 

 

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

"อ้าว มีอะไรรึเปล่าจ๊ะพ่อหนู" เสียงป้าดังเรียกความสนใจสาวๆ ในครัวให้หันมามองทางประตูด้วยสายตานับไม่ถ้วน

 

 

"เอ่อ คือว่ามีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ"

 

 

"เอ...ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะจ้ะ ลองไปถามแม่สาวคนนั้นดูสิ" คุณป้ากำลังง่วนกับการล้างผักจึงบุ้ยปากไปทิศทางที่บอกแทน ชะเอมก้มหัวขอบคุณ เดินเข้าเรือนครัวใหญ่ที่จัดแบ่งเป็นโซนอย่างดี

 

 

แม่สาวที่ว่า...คนไหนน่ะ

 

 

"พี่ชะเอมนี่นา" ระหว่างที่สอดส่ายสายตา ได้ยินเสียงใสทักเรียกชื่อตัวเอง ร่างบางจึงผินหน้ามอง พบคนคุ้นหน้าคุ้นตา

 

 

"น้อง...สา" ชะเอมเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่แน่ใจ

 

 

"ค่ะ พี่เอมจำชื่อสาได้ด้วย" ร่างเล็กเอ่ยดีใจ ยิ้มน่ารักจนชะเอมอยากยิ้มตาม

 

 

"พอดีพี่จะมาช่วยในครัว มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย" ร่างบางพูด สายตาก็จับจ้องที่มือเล็กกำลังง่วนเด็ดใบกะเพรา "นี่จะทำอะไรเหรอ"

 

 

ดูจากทรง ไม่น่าจะพ้นผัดกะเพรา

 

 

"อ๋อ วันนี้มื้อเที่ยงจะทำผัดกะเพราไก่ หมูผัดพริกขิง แล้วก็ไข่เจียวหมูสับค่ะ" เจ้าตัวฉีกยิ้มภูมิใจนำเสนอเมนูที่ทุกคนช่วยกันคิด ร่างบางพยักหน้าครางในลำคอ ก็เป็นอะไรที่ทำง่าย แถมไม่ต้องใช้ของเยอะดี

 

 

“สามอย่างเหรอ”

 

 

“ค่ะ ถ้ามากกว่านี้คงทำกันไม่ทันแน่ค่ะ”

 

 

"งั้นให้พี่ช่วยนะ" ชะเอมมองกองใบกะเพราที่อยู่ตรงหน้าที่กองสูงจนคิดว่า ถ้าไม่รีบทำสงสัยพวกผู้ชายคงไม่ได้กินทันตอนเที่ยงแหงๆ

 

 

สาพยักหน้ารัว "ได้ค่ะ"

 

 

ร่างเล็กเด็ดใบในมือไป แอบมองคนข้างๆ ไปด้วย พี่ชะเอมสูงกว่าเธอก็จริง แต่ถ้าเทียบกับผู้ชายคนอื่นถือว่าตัวเล็กไปเลย ยิ่งร่างกายผอมเกือบติดกระดูกนี่ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กเข้าไปใหญ่ ยังมีใบหน้าขาวซีดเนียน ริมฝีปากบางสวย แพขนตายาวเหมือนผู้หญิงด้วย

 

 

ไม่ใช่แค่เธอที่แอบมองรุ่นพี่คนนี้ ตั้งแต่ชะเอมก้าวเข้ามาก็มีแต่คนจับจ้อง ไม่เพียงรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดสายตาแล้วยังมีชื่อเสียงโจษจันที่ทวีคูณให้คนสนใจ

 

 

และที่สะดุดตาเธอมากที่สุดเห็นจะเป็น...ดวงตากลมโตที่แฝงความเศร้าสร้อย...ปวดร้าว

 

 

เธอไม่เคยสนใจเรื่องที่เคยได้ยินจากปากต่อปากเกี่ยวกับพี่ชะเอมแม้แต่น้อย เพราะแววตาที่แสดงออกมาคู่นี้ล่ะมั้ง

 

 

ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิทของเธอจะไม่ชอบรุ่นพี่ร่างผอมคนนี้ขนาดไหน และแม้ว่าเพื่อนสนิทของเธอ...แม้ว่ารินน่ะจะเป็น...

 

 

"นายมาทำอะไรในครัวไม่ทราบ" เสียงประกาศิตดังขึ้นข้างหลังให้ชะเอมหันมอง แต่มือบางไม่ได้หยุดการกระทำ ยังคงทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อไปด้วยความคล่องแคล่ว

 

 

"งานฝั่งนู้นก็ยังไม่เสร็จ คิดจะเอาสบายอยู่ในครัวแทนหรือไง" สาวผมยาวกอดอกพูดแดกดัน

 

 

"ริน..." สาเรียกชื่อเพื่อนอยากจะปราม แต่คนเยอะขนาดนี้เธอก็ไม่กล้า

 

 

เรือนครัวใหญ่แห่งนี้เป็นแบบปิด เสียงของรินจึงดังก้องไปทั่วยิ่งทำให้เรื่องที่พูดเป็นประเด็นให้คนสนใจจับจ้องไปที่ร่างโปร่งบางที่เป็นผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้

 

 

ชะเอมฟังแล้วไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ร่างบางผินหน้ามามอง "พอดีพี่ไม่ถนัดงานยกของน่ะ ก็เลยขอมาช่วยทำอาหารในครัว น้องรินไม่ต้องห่วงนะพี่บอกจ่อยไว้แล้ว แล้วเขาก็อนุญาต" เสียงใสเอ่ยเรียบนิ่ง แววตากลมโตว่างเปล่าไม่แสดงอะไรออกมามากกว่านี้

 

 

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้หญิงที่ชื่อรินถึงมีท่าทางก้าวร้าวใส่เขาแบบนี้

 

 

เขาไปทำอะไรให้...

 

 

"หึ เป็นผู้ชายดันสำออย"

 

 

"..." ร่างโปร่งบางไม่ตอบโต้ เพียงหันหน้ามาทำสิ่งที่อยู่ในมือต่อแทน

 

 

"แล้วไม่ต้องมาเรียกน้องรินทำตัวสนิทสนม ได้ยินแล้วขยะแขยง"

 

 

"ริน!" สาพูดอย่างทนไม่ไหว ที่เพื่อนพูดนั้นมันเกินไปแล้ว ถึงคนข้างๆ จะไม่พูดอะไร แต่แววตากลมโตว่างเปล่านั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเอามากๆ

 

 

สาวผมยาวเมินคำท้วงเพื่อนสนิทตัวเล็ก "แค่งานง่ายๆ อย่างยกของก็ทำไม่ได้ แล้วจะมาทำอะไรในครัว"

 

 

"พี่ทำอาหารได้ครับ" ชะเอมตอบ ไม่มีแม้แต่ความโกรธหรือโมโหในน้ำเสียง "ถ้าหากมีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะ"

 

 

เมื่อเจอปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงเธอก็พ่นลมจมูกแรงๆ อย่างไม่ได้ดั่งใจ อะไรกัน นี่เธอว่าขนาดนี้ยังไม่โมโห ถ้าไม่หน้าด้านมากพอก็ตายด้านแล้วล่ะ

 

 

'ถ้าหากมีอะไรให้พี่ช่วย บอกได้เลยนะ' ...เหรอ

 

 

รินตาวาว อยากอวดดีนักใช่ไหม...ได้

 

 

"พี่ชะเอมอย่าโกรธรินเลยนะคะ ปกติเธอไม่ใช่คนแบบนี้หรอกค่ะ" สาบอกเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองเดินไปทางอื่นแล้ว เธอกลัวว่าร่างบางจะโกรธเคืองเพื่อนสนิทตัวเอง กลัวมองหน้ากันไม่ติดด้วย

 

 

"พี่จะโกรธอะไรได้" ชะเอมยิ้มอ่อน ท่าทางละล่ำละลักเหมือนกลัวเขาโกรธนั่นอะไรกัน คนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรเขาแท้ๆ นะ "ไม่เป็นไรพี่ไม่โกรธหรอก"

 

 

"..." สาเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี เธออยากบอกด้วยซ้ำว่าให้แสดงความโกรธบ้างก็ยังดีกว่าทำหน้าเศร้าแบบนี้

 

 

"ไม่รู้สิ...พี่แค่...ไม่เข้าใจ" มือบางแยกกิ่งที่หมดใบไปอีกกอง หยิบก้านใหม่มาเด็ด "ทำไมเขาถึงโกรธพี่ขนาดนั้น"

 

 

สาวตัวเล็กฟังแล้วกัดปาก "พี่ชะเอม...รินเขาเป็นน้องของพี่เรย์ค่ะ"

 

 

ชะเอมได้ยินก็เบิกตาตกใจนิดๆ ...จะว่าไปใบหน้าทั้งสองคนก็มีส่วนคล้ายๆ กันอยู่ แต่เขาไม่เคยเอะใจเลย

 

 

อย่างนั้นเองเหรอ

 

 

เพราะงั้นเองสินะ...เขาไม่แปลกใจที่ใครๆ ต่างก็มองเขาด้วยท่าทางแตกต่างกันไป ยิ่งเป็นสายเลือดเดียวกันอย่างน้องสาวตัวเองแล้วยิ่งมีอารมณ์ลบแรงกล้าใส่เขามากกว่าคนอื่น

 

 

ชะเอมล่ะอยากจะยกตุ๊กตาทองรางวัลออสการ์ให้เรย์เลย

 

 

นายเก่งจริงๆ ที่ทำให้คนอื่นเกลียดตัวเขาได้มากขนาดนี้

 

 

โดยเฉพาะคิน



 

คิดแล้วรู้สึกปวดหนึบในอก

 

 

"..." สาเม้มปากมองใบหน้าซีดเซียวจากด้านข้างของรุ่นพี่ที่ไม่พูดอะไรแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าง่วนทำงานที่ได้รับมอบหมาย

 

 

บทสนทนาที่คุยกันก่อนหน้า คนที่ร่วมกลุ่มรับหน้าที่เด็ดใบกะเพราอยู่ได้ยินกันทุกคนแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ยิ่งเห็นชะเอมนิ่งเงียบ บางคนต่างคิดไปต่างๆ นานาร้อยแปด

 

 

ไม่มีใครไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสองสามวันก่อนซึ่งดังมากพอควร และทุกคนได้ยินมาเหมือนกันหมด...เรื่องราวเล่าลือโดยตรงมาจากปากของสาวสวยนามว่าริน ซึ่งคิดว่าน่าจะมาจากเรย์อีกต่อหนึ่ง

 

 

ไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์หรือเห็นเหตุการณ์จริงๆ ว่าสิ่งที่เรย์พูดคือข้อเท็จจริงหรือไม่...เพราะมีแต่เรย์กับชะเอมเท่านั้นที่รู้

 

 

ถ้าจะเรียกฟังความข้างเดียวก็คงได้...ก็โจทก์อีกฝั่งไม่พูดอะไรแบบนี้จะให้เข้าใจว่ายังไงล่ะ

 

 

"น้องครับ..." เด็กสาวคนหนึ่งสะดุ้งเมื่อตากลมโตจ้องมาที่ตัวเอง

 

 

"ค..คะ!"

 

 

"คือ...ใบที่น้องเด็ดนั่นมันเฉาแล้วนะ" มือบางชี้มาที่ใบไม้ในมือ มันดำอยู่ส่วนหนึ่ง

 

 

"อ้อ จ...จริงด้วย ขอโทษค่ะ" เธอประหม่ามากไม่รู้จะตอบอะไรเลยขอโทษไว้ก่อน รีบทิ้งใบนั่นลงถังขยะไป

 

 

ชะเอมมองท่าทางนั้น นี่เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ "ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้จะว่า" ริมฝีปากบางยิ้มอ่อน "ไม่ต้องขอโทษก็ได้"

 

 

เด็กสาวพยักหน้า บรรยากาศอ่อนโยนกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลทำให้รู้สึกเปลี่ยนความคิด รุ่นพี่ตรงหน้าก็ไม่ได้ดูเลวร้ายเหมือนที่ได้ยินมาขนาดนั้นนี่นา

 

 

"ค่ะพี่ชะเอม"

 

 

"เวลาน้องเด็ด ดูใบอ่อนๆ ไม่สากมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ตรงยอด เวลาเอามาผัด คนกินจะได้กินอร่อยไม่ติดคอ" ชะเอมพูดไปเด็ดไปดูคล่องแคล่วเป็นมืออาชีพจนคนมองทึ่ง ไม่เคยคิดว่าผู้ชายจะดูคล่องเรื่องนี้ยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก และทุกขั้นตอนร่างบางก็ดูใส่ใจมากจนคนมองประทับใจ

 

 

"อย่างนี้เหรอคะ" สาถาม เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ทำอาหารไม่เป็น แม่เธอเป็นคนทำตลอดเลย

 

 

"ครับ" ร่างบางพยักหน้า เพียงแค่นั้นไม่รู้ทำไมเธอถึงดีใจนัก

 

 

ชะเอมเหม่อมองใบไม้ในมือ นิ้วโป้งนิ้วชี้ปั่นมันไปมา แค่คิดถึงตอนที่คนที่รักกินสิ่งที่ตั้งใจทำ มันก็รู้สึกว่าคุ้มจริงๆ ที่ใส่ใจ

 

 

แต่ตอนนี้น่ะ...

 

 

จากนั้นก็มีเสียงพูดคุยเป็นกันเองเกิดขึ้นในวง ชะเอมทำไปตอบคำถามที่น้องๆ ชวนคุย ปกติก็ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่เคยอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ ...แถมยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่...ไม่เคยคุยกับผู้หญิง...เลยไม่รู้ว่าผู้หญิงชอบคุยอะไร

 

 

"ว้าว ปกติพี่ทำอาหารกินเองเหรอคะ สุดยอดเลย" ชะเอมยิ้มกับสายตาวาววับที่ดูเปลี่ยนไปจากตอนแรก

 

 

"ครับ"

 

 

"หนูอยากทำเป็นบ้างจัง"

 

 

"ถ้าฝึกมากๆ ก็จะทำเป็นเองนะ ไม่ยากหรอก พี่ว่าเราทำได้อยู่แล้ว" ร่างบางให้กำลังใจ ไม่ว่าใครก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้นแหละ

 

 

ยังนึกถึงตอนที่เขาทำอาหารครั้งแรก ที่คินเป็นคนชิม...และให้กำลังใจเขา

 

 

'มันเค็มไปนิดนึงนะ'

 

 

'งั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวคราวหน้าเอาใหม่นะ คินก็อย่าเพิ่งท้องเสียไปก่อนล่ะ'

 

 

'อืม...อย่างนี้แหละอร่อย ผิดกับตอนแรกลิบลับเลยนะเนี่ย แสดงว่าฝีมือพัฒนาขึ้นเยอะ'

 

 

'แน่นอนอยู่แล้ว'

 

 

 

'หึหึ อาหารฝีมือเอมใช้ได้เลยนะเนี่ย สงสัยคินจะฝากท้องกับใครไม่ได้อีกแล้วล่ะ'

 

 

"พี่ชะเอมผอมจังค่ะ" เด็กสาวอีกคนมองรูปร่างชะเอมแล้วเอ่ยขึ้นให้ชะเอมรู้สึกตัว เธอไม่ได้อิจฉาแต่รู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้ผอมเกินไปต่างหาก

 

 

"พี่กินไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่น่ะ" ถึงเขาจะกินครบสามมื้อ แต่ก็กินน้อย กินพอให้มีอะไรอยู่ในท้อง...แถมช่วงนี้ก็กินไม่ค่อยลงด้วย น้ำหนักก็เลยลดลงไปเยอะ

 

 

"แล้วพี่ใส่เสื้อคลุมแบบนี้ไม่ร้อนเหรอคะ" สาขมวดคิ้ว อันที่จริงเธอสงสัยตั้งแต่แรกที่เห็นแล้ว

 

 

"...ไม่ครับ" ชะเอมชะงัก ยิ้มแห้ง มือเผลอดึงตรงบริเวณคอเสื้อให้เข้ากระชับไหล่บาง แถมกวาดมือลูบกระเป๋าแล้วโล่งอกเมื่อสิ่งที่ควรจะอยู่ตรงนั้นมันอยู่ที่เดิม...ทุกการกระทำทำไปโดยไม่รู้ตัว แค่ให้อุ่นใจไว้ก่อน "พี่เพิ่งหายไข้เมื่อวานเลยยังรู้สึกหนาวๆ"

 

 

"ไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ" ใบหน้าซีดเซียวประกอบกับที่พูดด้วยทำให้หลายคนเอ่ยถาม

 

 

"ดีขึ้นแล้วครับ ขอบคุณน้องๆ ที่เป็นห่วง" รอยยิ้มมีเสน่ห์ทำใจคนมองละลาย สาวๆ หน้าแดงกันเป็นแถบ รุ่นพี่ชะเอมมีใบหน้าสวยอยู่แล้วยิ่งยิ้มยิ่งเหมือนแสงอะไรบางอย่างเจิดจ้ากระแทกเข้าตา

 

 

สาลอบมอง แม้ริมฝีปากบางจะยิ้ม แต่ดวงตาแห้งผากของเขาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย

 

 

"มัวแต่คุยกัน งานเสร็จแล้วเหรอ" สาวๆ สะดุ้งก้มหน้าก้มตาทันที ชะเอมหันไปก็เห็นรินที่ยืนกอดอกทำหน้าเข้ม ไม่สมกับหน้าตาสวยๆ "นายมาช่วยงานตรงนี้หน่อย"

 

 

รินสะบัดตัวเดินไปทันทีที่พูดจบ เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเดินตามก็หันมาจิ๊ปากใส่คนที่ยังยืนหน้ามึน "ไหนบอกว่ามีอะไรให้ช่วยให้มาเรียกไง...นายนั่นแหละ! ตามมาเร็วๆ!"

 

 

"...ครับ" ชะเอมละมือออกมาจากสิ่งที่ทำอยู่ เดินตามคนที่สูงน้อยกว่าเขานิดนึง สำหรับผู้หญิงแล้วความสูงเท่านี้ก็ถือว่ามาก

 

 

"ยกถังนี่ให้หน่อยสิ มันหนัก" สายตามองตามนิ้วชี้ไปที่ถังสี่เหลี่ยมใบใหญ่ "เอาไปวางตรงนั้น"

 

 

ยกของอีกแล้ว?

 

 

"ในนี้มีนายคนเดียวเป็นผู้ชาย มันหนักมากผู้หญิงยกไม่ไหวหรอก" รินแจกแจงสบายๆ กวาดตามองชะเอมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้ม ในใจมีจุดประสงค์บางอย่าง "ช่วยหน่อยนะ"

 

 

 

ที่บอกว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกน่ะ...หมายถึงทำอาหารต่างหาก

 

 

"..." ร่างบางก้มมองกล่องที่วางอยู่ตรงพื้นนิ่ง ถอนหายใจเบา

 

 

คิดจะทำอะไรกันนะ...เจอทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้เขารับมือไม่ถูกเลย

 

 

ในขณะที่ย่อตัวลงยกไอ้ถังที่ว่า พบว่าน้ำหนักมากกว่าที่เขายกต้นไม้นี่อีก แต่แล้วก็มีมือเข้ามาสอดช่วยอีกด้าน

 

 

"หนูช่วยนะ"




ต่อด้านล่างค่ะ


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 12 วันที่ 25/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 27-11-2018 12:48:16


ต่อจากด้านบนค่ะ



 

 

"น้องสา" ชะเอมเรียกแปลกใจนิดๆ ขมวดคิ้วเมื่อขนาดตัวน้องกับสิ่งที่ยกมันแทบจะเท่ากันเลย "อย่าเลย มันหนักครับ"

 

 

"นั่นแหละค่ะ หนูถึงมาช่วยไงคะ พี่ชะเอมจะยกคนเดียวได้ไง" สาขมุบขมิบปากหน้ามุ่ย

 

 

“แต่ว่านะ...”

 

 

"ยัยสา อย่ามายุ่งน่า!" รินเดินกราดเข้ามาเมื่อเห็นภาพที่ขัดตา "งานของเธอยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ!"

 

 

"แล้วรินล่ะคิดจะทำอะไร พี่ชะเอมเขายกของหนักคนเดียวแบบนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว แค่ดูก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ" สาทนดูไม่ไหวเถียงออกมาทำให้รินอึ้งไป

 

 

จู่ๆ สาวตัวเล็กผู้หวาดกลัวกลับกล้าเถียงเธอขึ้นมา มีเพียงอย่างเดียวที่เธอคิดออกคือชะเอมมันหลอกล่อเพื่อนของเธอด้วยคำพูดอะไรอีก

 

 

จะเรียกร้องความสนใจไปถึงไหน

 

 

“เอ่อ...” ชะเอมมองสลับไปมาทั้งสีหน้าลำบากใจ

 

 

"เดี๋ยวพี่ช่วยเอง" เสียงใสของใครคนหนึ่งแทรกขึ้น พร้อมกับก้าวเข้ามาในคลองสายตาของชะเอม เป็นผู้หญิงตัวสูงดูทะมัดทะแมงและที่สำคัญหน้าตาสวยมาก ไร้ที่ติ "น้องสาไปทำงานของตัวเองเถอะ"

 

 

"พี่...ทราย" สาเรียกชื่อ ตากลมดำมองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคน ดูท่าทางจะรู้จักกันก่อนอยู่แล้วด้วยแฮะ

 

 

ใคร...



 

เจ้าของชื่อยิ้ม "ไปสิ"

 

 

"ค่ะ" คนตัวเล็กพยักหน้า ถอยออกมาให้คนมาใหม่มาแทนที่ตน แล้วยิ้มให้ชะเอมก่อนเดินกลับไปประจำตำแหน่งเดิมที่อยู่ไม่ไกล ส่วนรินเหมือนคนนอกที่ยืนมองตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ถ้าสังเกตไม่ผิดดูจะไม่พอใจมากกว่าเดิมตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา

 

 

"เธอคงไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าพี่จะช่วยเขา" รุ่นพี่หันไปพูดกับริน ตาดุๆ ทำให้เธออึกอักแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้

 

 

"...ค่ะ"

 

 

ชะเอมไม่ทันพูดอะไร เพราะเดินตามแรงยกของหญิงสาวที่ดูจะแข็งแรงมีกล้ามเนื้อมากกว่าตัวเองเสียอีก "ขอบคุณครับ"

 

 

คนชื่อทรายเลิกคิ้ว เดินนำไปยกอีกกล่องซึ่งร่างบางก็เดินตาม "ไม่ต้องสุภาพหรอก ฉันอยู่ปีเดียวกันกับนายนั่นแหละ"

 

 

"...อ๋อ" ชะเอมพยักหน้านิดๆ ขณะย่อตัวก้มยกกล่องที่สาม "ชื่อทรายใช่มั้ย ผมชื่อเอมนะ"

 

 

"รู้อยู่แล้ว" ทรายยิ้มนิดๆ แต่มีเสน่ห์เหลือล้น "ชื่อเสียงของนายน่ะดังจะตาย"

 

 

ชื่อเสียน่ะสิ...ร่างบางคิด คงจะต้องทำใจกับเรื่องพวกนี้ให้ได้ซะที ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือไม่ดีที่ไปไหนใครๆ ก็รู้จัก "...เหรอครับ"

 

 

ทั้งสองวางกล่องสุดท้าย ชะเอมหอบน้อยๆ ปาดเหงื่อตรงหน้าผาก ในครัวนี่ก็ร้อนใช่ย่อยนะเนี่ย...ไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของตัวเองซีดมากขนาดไหน

 

 

หญิงสาวเหลือบมองหน้ามนที่เหงื่อออกเยอะผิดปกติก็ยังอดถามไม่ได้ "นายไหวรึเปล่าเนี่ย"

 

 

"ครับ?" ชะเอมเลิกคิ้วไม่เข้าใจว่าเธอพูดเรื่องอะไร สายตาเหลือบมองของที่เหลือที่ต้องยก "อ๋อ ไหวสิครับ"

 

 

ทรายถอนหายใจกับความใสซื่อ(และบื้อ) แววตากลมโตแสดงความงุนงงออกมาชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก

 

 

"บอกว่าไม่ต้องสุภาพไง อายุเท่ากัน" หญิงสาวเท้าสะเอว แล้วก็การวางตัวที่ดูเหมือนถูกเลี้ยงดูอย่างกับไม่ให้ริ้นไรตอมนี่มันอะไรกัน...ความสุภาพของผู้ชายคนนี้ทำให้หญิงสาวอย่างเธอยังต้องอายเลย ให้ตายสิ

 

 

"แต่เธอเป็นผู้หญิง" ชะเอมเสียงอ่อน เขาไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ นะ

 

 

“โอเคๆ ...นายจะพูดยังไงก็แล้วแต่เลยละกัน” ทรายยกมือสองข้างยอมแพ้ ความดื้อดึงที่ทำให้เธอเหนื่อยเปล่าๆ “ทำตรงนี้เสร็จแล้วไปช่วยฉันด้านโน้นต่อด้วยนะ”

 

 

“อ่ะ ครับ” ชะเอมว่าอย่างไม่คิดอะไร ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกช่วยเหลือจากหญิงสาวที่ตัวเองเพิ่งรู้จักหมาดๆ

 

 

ทรายหรือเม็ดทราย นักศึกษาปีสาม เป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มที่ฮ็อตที่สุดในคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชายมากกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์...ใช่แล้ว เธอเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับคิน เดือนเด่นวิศวะ และเธอก็เป็นดาวคณะคู่กับคินในปีเดียวกันอีกด้วย เม็ดทรายได้รู้จักกับคิน เรย์และเพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็ตอนปีหนึ่งนั่นแหละ เธอคิดว่าเพื่อนๆ เป็นคนนิสัยดีและน่ารักกันทุกคน โดยเฉพาะคินที่เป็นสุภาพบุรุษที่สุด กับเรย์เพื่อนชายตัวเล็กน่ารักจนหนุ่มๆ รุมจีบเดือดร้อนให้เพื่อนในกลุ่มต้องผลัดกันเป็นไม้กันหมาให้ตลอดเวลา แต่พอผ่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปีสองเธอก็เริ่มคิดว่าท่าทางที่แสดงออกมาของเรย์นั้นเริ่มจะเสแสร้งมากขึ้นทุกที ยิ่งมีเรื่อง ‘แฟน’ ของคินเข้ามาเกี่ยวข้องจนเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันครั้งหนึ่งทำให้เธอยิ่งจับตาดูเรย์ทุกฝีก้าว

 

 

 

เธอไม่ได้รังเกียจความรู้สึกรักชอบของเรย์ที่มีต่อคินหรอก เพราะความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แต่ทั้งๆ ที่เรย์ก็รู้ว่าคินมีแฟนอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องแสดงความเป็นเจ้าของเกินหน้าเกินตาซะจนเรื่องราวถึงหูแฟนตัวจริงอย่างชะเอม...ทั้งเรื่องบอกชอบคินต่อหน้าต่อตาคนหลายคนด้วย...ทำเหมือนกับ...จงใจ

 

 

 

ดูมีจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่างซึ่งไม่ได้ใสซื่ออย่างที่เจ้าตัวแสดงออกมาเลย

 

 

 

แต่กระนั้นทรายไม่กล้าปักใจเชื่อ จึงสังเกตมาเรื่อย จนกระทั่ง...

 

 

 

ตึก ตึก ตึก!

 

 

“ขอโทษนะคะคุณ กรุณาอย่าวิ่งบนทางเดินค่ะ! จะรบกวนผู้ป่วยท่านอื่นได้นะคะ!” เสียงเตือนของพยาบาลตะโกนบอกหญิงสาวที่วิ่งจนผมปลิวกระเซิง เธอไม่ได้สนใจคำกล่าวนั้นเพราะเพิ่งได้รับโทรศัพท์บอกว่าเพื่อนของเธอโดนรถเฉี่ยวชนจนต้องเข้าห้องผ่าตัด

 

 

 

ถึงจะได้ยินว่าปลอดภัยแล้วก็เถอะ แต่ก็อดห่วงไม่ได้จนต้องมาดูด้วยตาตัวเอง

 

 

 

สายตากวาดมองเลขห้องจนขาคู่เรียวภายใต้กางเกงยีนส์หยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง มือเรียวเอื้อมจะเปิดประตูแต่พอแง้มได้นิดหนึ่งก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างลอดออกมาจากห้องผู้ป่วย

 

 

“มึงทำได้ดีมาก...เรื่องเงินที่ตกลงกันไว้เดี๋ยวกูโอนให้วันหลัง”

 

 

เม็ดทรายเบิกตา สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ

 

 

“หัวแตกนิดหน่อย...เจ็บตัวก็จริงแต่สิ่งที่ได้มามันก็คุ้มค่า”

 

 

(“…”)

 

 

“ไม่ต้องแส่น่า มึงไม่พูด กูไม่พูด ใครจะไปรู้”

 

 

(“…”)

 

 

“เออ หึหึ เจ้านั่นเหรอ โดนคินไล่ตะเพิดไปแล้วมั้ง สมน้ำหน้ามัน”

 

 

(“…”)

 

 

“เป็นแค่เด็กไม่มีพ่อแม่ จะไปมีอะไรที่เหมาะสมกับคิน ถ้ายังไม่สำเหนียกตนคราวหน้ากูจะเอาให้หนักกว่านี้อีก”

 

 

(“…”)

 

 

“จะกลัวอะไรนักหนา สั่งอะไรก็ทำไป รอเฉยๆ รับเงินไปใช้ก็พอ”

 

 

หญิงสาวที่แอบฟังอยู่หลังประตูใช้มืออีกข้างเคาะประตูให้คนข้างในรู้สึกตัวว่ามีคนมา

 

 

ครืด

 

 

“แค่นี้ก่อนนะริน...บาย” เสียงใสพูดดังผิดวิสัย ตากลมหันมามองคนเปิดประตูก็พบเพื่อนสาวสวยที่ทำหน้าเรียบนิ่ง “อ้าว ทรายเองเหรอ ขอบใจมากเลยที่มาเยี่ยม จริงๆ ไม่เห็นต้องมาเลย”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้เอง ฉันตกใจมากเลยนะที่รู้ว่านายโดนรถชนจนต้องเข้าผ่าตัดน่ะ”

 

 

“ก็เย็บไปหลายเข็มอยู่เหมือนกันอ่ะ”

 

 

“เจ็บมากไหม นี่ก็รีบวิ่งมาเลยตั้งแต่คินโทรไปบอกน่ะ” ร่างบางหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย สายตาสำรวจทั่วร่างเห็นผ้าพันแผลรอบศีรษะกับผ้าก๊อซสีขาวแปะตามแขน ท่าทางจะไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่เพราะสีหน้าสดใสกว่าที่คิด “ว่าแต่เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ ฉันได้ยินแว่วๆ”

 

 

“เอ๊ะ อ...อ๋อ ก็รินไง น้องสาวโทรมาเพราะเป็นห่วงบอกว่าจะมาเยี่ยม แต่เราบอกว่าไม่ต้องมาก็ได้น่ะ” ร่างเล็กตอบรัวเร็วยิ้มแหย แถมหลบตาด้วย

 

 

เม็ดทรายก็ทำนิ่งได้แต่เก็บความสงสัยเรื่องเมื่อกี้เอาไว้ในใจ “...เหรอ”

 

 

เม็ดทรายรู้ตัวว่าเธอไม่ใช่คนดีเด่อะไร เธอแค่อยากให้เพื่อนๆ มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ชอบความไม่ถูกต้องอย่างที่สุดเช่นกัน...ดังนั้นนอกจากเรื่องของเรย์แล้วเธอก็อยากจะรู้ว่าคนที่ชื่อชะเอม แฟนเก่าคินเป็นคนยังไง ดังนั้นเธอจึงมาทำเนียนเข้ามาคุยด้วยหลังจากที่ได้ยินสาวๆ หลายคนคุยกันว่าเจ้าตัวเข้ามาทำงานในครัวแทนที่จะไปทำงานกับผู้ชายคนอื่นๆ

 

 

สรุปแล้วว่าเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย...แบบ...หมายถึงไม่มีอะไรในกอไผ่น่ะ

 

 

“คุณทราย ทำอะไรน่ะครับ มันต้องหั่นแบบนี้นะ”

 

 

“อ่ะ เอ้อ! โทษทีมัวแต่เหม่อ”

 

 

“ไม่ดีเลยนะครับ เหม่อในขณะถือของมีคมอยู่ในมือเนี่ย” ร่างบางเอ่ยดุขมวดคิ้ว แล้วคำดุก็ช่างสุภาพอย่างผู้ดีไม่มีกระบิดนิ้วเลยจริงๆ “มาเดี๋ยวผมทำเอง”   

 

 

“...” ทรายยืนมองชะเอมใช้มีดอย่างคล่องแคล่วด้วยความทึ่ง “นายทำอาหารเก่งนะ”

 

 

“ผม...ทำอาหารทานเองบ่อยๆ ครับ” ปากบางพูดแต่ก็มือก็ยังทำต่อไปไม่ขาดตอน

 

 

“ฉันไม่ค่อยเห็นผู้ชายทำอาหารน่ะ แปลกตาแต่มีเสน่ห์มากเลย รู้มั้ย”

 

 

ฟังหญิงสาวพูดแล้วชะเอมก็หัวเราะออกมาเสียงใส...ยิ่งมีเสน่ห์ “ขอบคุณครับ”

 

 

เม็ดทรายสำรวจใบหน้าตั้งใจของคนด้านข้าง ทั้งตาปากจมูกรับกันอย่างพอดี ให้ตายเถอะ ทั้งๆ ที่เธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองสูงแล้วก็ชอบผู้ชายที่มั่นใจว่าจะดูแลตัวเธอได้...แต่ว่าผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนใจมาดูแลแทน ถ้าไม่ติดว่าเธอมีแฟนอยู่แล้วล่ะก็นะ

 

 

น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ เลย...เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ

 

 

“แล้วคุณทรายชอบทำอาหารมั้ยครับ” ชะเอมชวนคุยบ้าง...ก็รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่แค่หน้าตาดี ทั้งยังคุยเก่ง คุยสนุกอีกต่างหาก

 

 

สาวสวยส่ายหน้าทันที “ไม่เลย ชอบกินมากกว่า”

 

 

“แล้วคุณทรายชอบกินอะไรเหรอ”

 

 

“อืม...” หญิงสาวครางทำท่านึก เอ...มันก็หลายอย่างนะ “ถ้าจะให้พูดก็คงเป็น...ของอร่อยๆ”

 

 

ชะเอมหลุดหัวเราะกับคำตอบ “ครับ...งั้นเดี๋ยวผมทำสุดฝีมือเลย คุณทรายจะได้ชอบ” ร่างบางเอ่ยคำอย่างมั่นเหมาะ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เงียบ ชะเอมก็ตั้งใจทำงานตรงหน้าไป ส่วนเม็ดทรายก็ตกอยู่ในภวังค์

 

 

ทำไมคินถึงเลิกกับคนๆ นี้ได้นะ...หญิงสาวได้แต่ครุ่นคิด เท่าที่เธอคุยมา ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ดีมากๆ ...นิสัยก็น่ารัก ทั้งอ่อนโยน ทั้งเอาอกเอาใจ และเอาใจใส่คนรอบข้าง

 

 

อยากจะรู้...ว่าชะเอมคิดยังไงกับเรื่องของคินกับเรย์

 

 

“เวลาเอมทำอาหารแล้วดูมีความสุขนะ...แบบดูเพลิดเพลินไปกับมันอะไรประมาณนั้น”

 

 

“เหรอครับ” ร่างบางเลิกคิ้ว...งั้นเหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลย

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ”

 

 

“อาจเป็นเพราะ...” ชะเอมคิดจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป...ดวงตาฉายแววเศร้าหมอง

 

 

“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดก็ได้นะ” หญิงสาวบอก ถึงแม้เธออยากจะรู้มากแค่ไหน...และเธอก็คาดเดาไว้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของคินแน่ๆ

 

 

“อื้อ ไม่เป็นไร” ใบหน้ามนส่ายน้อยๆ “ที่ผมชอบทำอาหารอาจเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนผมทำอาหารแล้วมีคนชมว่าผมทำอร่อยน่ะ”

 

 

หญิงสาวสดับฟังเสียงใสที่เอ่ยออกมาอย่างเศร้าๆ ดวงตากลมโตเหม่อลอยอย่างคนที่นึกถึงอดีต เธอก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ใครเหรอ คนที่ชมคนนั้น...”

 

 

“...”

 

 

“หรือว่า...จะเป็นคนที่ชอบ”

 

 

ชะเอมเม้มปากแน่น พยักหน้าน้อยๆ มือบางสั่นระริกจึงต้องหั่นของในมือเชื่องช้าลง “ครั้งแรกผมทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย...แบบว่ามันแย่มากๆ เลย...แต่เขาก็ยังยอมกินแล้วก็ให้กำลังใจผม”

 

 

“...”

 

 

“ทุกครั้งที่ผมปรับปรุงฝีมือ เขาก็จะกิน...แล้วก็จะชมผมทุกครั้งว่ารสชาดดีขึ้นมาก”

 

 

“...”

 

 

“มันทำให้ผมมีกำลังใจและก็ตั้งใจทำทุกครั้งเพราะผมคิดว่าคนที่กินมันจะชอบในสักวันหนึ่ง” เสียงใสสั่นเครือ ยิ่งพูดน้ำตายิ่งบดบังให้ภาพพร่าเลือน คิดถึง...วันเหล่านั้น “ทุกๆ วัน...ทุกๆ ครั้งที่ผมทำอาหารผมมีความสุขมาก”

 

 

“...”

 

 

“จนวันหนึ่งเขาก็บอกว่าชอบอาหารของผม อยากกินอาหารที่ผมทำทุกวัน...มันทำให้ผมดีใจมาก อึก แต่ว่า...แต่ว่า...” ริมฝีปากบางขบกัดหวังจะกลั้นหยาดน้ำที่มันกำลังล้นจากขอบตา “ตอนนี้เขาคงไม่อยากกินมันอีกแล้ว”

 

 

เสียงทุ้มที่เคยเอ่ยชมเขา...เสียงอ่อนโยน...ใจดี

 

 

‘นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!’ ...มันยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท

 

‘บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีกทำไมไม่ฟัง!’ ทั้งสายตารังเกียจที่ทำให้ผมไม่แม้แต่จะกล้ามองมันอีกครั้งเพราะยังคงติดตาไม่เลือนหายไป

 

 

 

 

 “เพราะเขาเกลียดผมแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************




หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 13 วันที่ 27/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 27-11-2018 13:35:12
ชะเอม หาใหม่เลยลูก
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 13 วันที่ 27/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 28-11-2018 14:47:13
Whose Fault ?



 

 

ผิด...ครั้งที่ 14

 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

 

 

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน

 

 

ครืด...

 

 

"สวัสดีคิน" เมื่อเห็นคนเปิดประตูออกมาไม่ใช่แค่เอมแต่เป็นหมอกฤษณะ ผมที่นั่งรอคนที่มาตรวจอยู่ก็รีบลุกขึ้นไหว้ทันที

 

 

 

"หวัดดีครับ อากฤษ"

 

 

ร่างบางที่อยู่เยื้องด้านหลังอาหมอมองผมแล้วทำสีหน้าแปลกใจ...คงแปลกใจว่าทำไมผมยังอยู่...คงนึกว่าผมจะออกไปกับเรย์แล้วสินะ

 

 

ผมไม่คิดจะพูดอะไร...ถึงจะไม่ค่อยชอบใจที่เจ้าตัวเข้าใจอย่างนั้นก็เถอะ

 

 

เรย์ที่นั่งข้างๆ เห็นผมไหว้อาหมอก็ลุกตาม ร่างเล็กยกมือไหว้แล้วส่งยิ้ม "สวัสดีครับคุณหมอ"

 

 

คำทักทายเป็นกันเองเหมือนเคยเจอกันมาก่อน ทำให้ชะเอมที่ไม่รู้เรื่องมองอย่างสงสัย

 

 

"อ้าวเรย์ นี่มาด้วยกันเหรอ หรือว่าไปทำอะไรมาอีก ฮึ? แผลคราวที่แล้วดีขึ้นเยอะแล้วนะ เฮ้อ เด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่รู้จักระวังเอาซะเลย" กฤษณะเดินเข้ามาตบไหล่เล็ก ประโยคหลังพึมพำแต่ร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ยังได้ยิน ชะเอมเบิกตากว้างมองมาที่ผม

 

 

ใช่ ครั้งก่อนที่ชะเอมมีปากเสียงกับเรย์จนบาดเจ็บเพราะเศษแจกันบาดผมพาเรย์มาโรงพยาบาลที่นี่ และคนที่ทำแผลให้ก็คืออากฤษนี่แหละ เพราะงั้นพวกเราก็เลยรู้จักกันตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้ว

 

 

และหลังจากนั้นผมก็พาเรย์ไปส่งที่บ้าน เจ้าตัวมีอาการไม่สบายไข้ขึ้นเนื่องจากแผลอักเสบ ผมจึงดูแลเขาตลอดสามวันสามคืนจนไม่ได้กลับไปตามที่บอกไว้กับใครบางคน...ผมลืมไปเสียสนิท

 

 

"ครับ เพราะคุณหมอทำแผลให้ กับคินที่ช่วยดูแลให้ทุกวันก็เลยหายเร็วแบบนี้ล่ะครับ" เรย์เบ่งกล้ามทำท่าเหมือนคนแข็งแรง น่าเอ็นดูจนเรียกเสียงหัวเราะของอากฤษและผม

 

 

มีแค่คนเดียวที่ยืนนิ่ง...ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเอมถึงไม่ชอบเรย์...ทั้งๆ ที่เรย์ก็นิสัยน่ารัก ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเข้ากันได้ดีด้วยซ้ำไป

 

 

แต่ทำไม...ทำไมชะเอมที่ปกติมีนิสัยเรียบร้อยน่ารัก ถึงมีเรื่องทะเลาะถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเรย์ที่ตัวเล็กกว่าล่ะ...ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นพวกเขาคุยอะไรกัน...ที่คิดออกก็มีเพียงแค่อาจจะเถียงกันเรื่องที่เรย์ชอบผมเท่านั้น...แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่เห็นจะต้องโมโหหรือหึงจนทำร้ายกันเลยไม่ใช่เหรอ?

 

 

เรย์ชอบผมแล้วยังไง...ชะเอมที่นิสัยก้าวร้าวแบบนั้น...ผมไม่รู้จัก

 

 

“อ้าวคิน อย่ามัวแต่ดูแลเรย์จนลืมชะเอมนะ” เสียงทุ้มของอากฤษทำให้ผมหลุดจากความคิด คนตัวใหญ่ใส่ชุดกราวน์สีขาวโอบไหล่บางของชะเอมที่มีสีหน้าเพลียๆ ก่อนจะหันมาพูดกับผม “วันนี้อาการไม่ค่อยดีด้วย อาว่า...”

 

 

แต่ยังไม่ทันพูดจบ เอมก็เอ่ยขัดขึ้นมาซะก่อน "ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะไปห้องน้ำแล้วขอตัวกลับเลยครับ สวัสดีครับอาหมอ" เจ้าตัวไม่ลืมไหว้อย่างสุภาพแล้วหันหลังเดินออกไปให้อาหมอได้แต่มองตามอย่างงุนงงและถอนหายใจ

 

 

​“คินต้องไปส่งเอมไม่ใช่เหรอ ที่คุณพ่อของคินบอก” เรย์ว่า ผมก็ขยับตัวเมื่อนึกขึ้นได้กำลังจะเดินตามทิศที่ร่างบางเดินออกไปเมื่อครู่

 

 

​“อ้าวจะไปแล้วเหรอ อาว่าจะขอคุยกับคินแปปนึงซักหน่อยเชียว” กฤษณะพูดอย่างเสียดาย นานๆ ทีเจอหลานทีอยากจะพูดคุยด้วย แต่นี่จะรีบไปธุระกันอีกแล้วเหรอ

 

 

แล้วอันที่จริงตัวเขาก็อยากคุยกับหนูเอมด้วย แต่ว่าเจ้าตัวเล็กไม่สบายเลยอยากให้กลับไปพักผ่อนมากกว่า

 

 

​ร่างสูงฟังคนแก่ (ถ้าอากฤษรู้ว่าโดนเรียกแบบนี้คงซึมไปหลายวันแน่) บ่นแล้วก็ยิ้มเจื่อน

 

 

​“ถ้างั้นเดี๋ยวเรย์ไปตามเอมให้ คินคุยกับคุณอาหมอไปก็แล้วกันนะ” เรย์ออกตัว แถมพูดเสร็จก็รีบวิ่งออกไปเลย

 

 

​“ฮะ เฮ้ เดี๋ยว” ผมยืนงง เจ้าตัววิ่งไปนู่นแล้ว

 

 

​“เอาเถอะคิน มานี่ มาคุยกับอาหน่อย” กฤษณะเดินล้วงกระเป๋าเสื้อกราวน์ไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้าห้องตรวจของตัวเอง มือใหญ่ตบที่นั่งข้างๆ ดังแปะๆ เชิญชวนให้ผมไปนั่ง

 

 

​“ครับ”

 

 

​“ช่วงนี้ทะเลาะกับเอมอยู่รึเปล่าน่ะ?” จู่ๆ อาหมอก็ถามขึ้นมา ผมที่ยังไม่ทันหย่อนตัวลงนั่งก็เลิกคิ้วแปลกใจ

 

 

​“เอมบอกเหรอครับ”

 

 

​“ก็เปล่าหรอก...เด็กคนนั้นขี้เกรงใจจะตายคินก็น่าจะรู้” อาหมอโบกมือบ่นเสียงระอาระคนเอ็นดู “อาแค่เดาเอาน่ะ คุยกับเจ้าตัวเล็กแล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แล้วตกลงว่าทะเลาะกัน?”

 

 

​“...”

 

 

​“เฮ้อ รีบคืนดีกันเถอะนะ เด็กคนนั้นไม่มีเธออยู่ด้วยก็ตัวคนเดียว อาเป็นห่วง” อากฤษขมวดคิ้วเหมือนอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ผมก็ได้แต่พยักหน้า

 

 

​“โอเค ถ้างั้นก็รีบไปเถอะ ต้องไปส่งเอมใช่มั้ย ดีเหมือนกัน เด็กคนนั้นยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย”

 

 

​“จริงเหรอครับ” ร่างสูงถามอย่างแปลกใจ...จะว่าไปสีหน้าอ่อนเพลียนั่น

 

 

​“อ๊ะ เอ้อ ตายล่ะ” กฤษณะเกาท้ายทอย หัวเราะกลบเกลื่อน “จริงๆ เจ้าตัวเล็กบอกว่าจะบอกเธอเอง แต่อาคิดว่าชะเอมคงเกรงใจเลยไม่บอกแน่ๆ งั้นอาบอกเธอเลยก็แล้วกัน เอมน่ะมีรอยช้ำใหญ่ตรงใต้ต้นแขนขวาสงสัยจะไปกระแทกอะไรมา คิดว่าคงอักเสบจนน่าจะเป็นไข้ได้ อาถึงบอกไงว่าถ้าทะเลาะกันก็ให้คืนดีซะเพราะถ้าเขาอยู่คนเดียวไม่มีใครดูแลมันจะลำบาก”

 

 

แม้กฤษณะจะยังไม่รู้ว่าทะเลาะกันจริงรึเปล่าเพราะเจ้าคินก็ดันไม่ยอมพูด แต่ขอคิดไปตามนั้นแล้วกัน

 

 

​ร่างสูงผุดลุกขึ้น...แล้วเมื่อกี้ก็ดันทุรังออกไปคนเดียวอีก

 

 

“งั้นผมขอตัวก่อนละกันครับ ไม่รู้เรย์ไปตามถึงไหนแล้ว” แถมไม่กลับมาทั้งคู่เลย

 

 

​คินล้วงมือถือขึ้นมาจะโทร พลันเสียงโหวกเหวกโวยวาย และเสียงกรีดร้องดังขึ้นให้ทั้งสองรีบวิ่งออกไป

 

 

​“เกิดอะไรขึ้น!” หมอกฤษณะถามตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ใกล้กับประตูทางออก ซึ่งตอนนี้มีคนมุงดูอะไรบางอย่างทั้งๆ ที่ข้างนอกมีแต่สายฝนกระหน่ำ

 

 

​“คะ คือว่าเมื่อกี้มีคนโดนมอเตอร์ไซค์ชนหน้าโรงพยาบาลค่ะ” สาวเจ้ารีบรายงานอย่างรวดเร็วเพราะรู้จักว่ากฤษณะคือแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาล

 

 

คินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ยิ่งไม่เห็นทั้งสองคนก่อนหน้าที่พยายามมองหาตั้งแต่เมื่อกี้ก็ยิ่งร้อนใจ เร่งถามหญิงสาว “อายุประมาณเท่าไหร่ครับ!”

 

 

​“คือ...” เจ้าหน้าที่หญิงลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนที่ถามเกี่ยวข้องอะไรกับคนไข้

 

 

​“คุณรีบตอบไปสิ นี่หลานผมเอง” เมื่อได้ยินคำอนุญาต หญิงสาวจึงพยักหน้ารีบรายงาน

 

 

​“อ๋อค่ะ เป็นผู้ชาย อายุน่าจะสักยี่สิบได้มั้งคะ” ร่างสูงนิ่งอึ้ง ไม่อยากจะคิดว่าเป็นคนที่ตนรู้จักหรือไม่ “ตอนนี้ถูกหามไปห้องผ่าตัดฉุกเฉินแล้วค่ะ”

 

 

คินได้ยินก็ออกตัววิ่งไปก่อน ไม่รอฟังอะไรอีก

 

 

ไม่จริง...ไม่จริงน่า



 

สองขายาวก้าวมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินที่ขึ้นป้ายแดงอยู่ ร่างคุ้นตานั่งตัวเปียกโชกอยู่บนเก้าอี้บริเวณนั้น แผ่นหลังบอบบางคู้ตัวกุมมือจนไม่ได้สังเกตรอบข้างว่ามีใครมา

 

 

ถ้าเจ้าตัวนั่งอยู่ตรงนี้ก็แสดงว่า...!

 

 

คินตวัดมองแผ่นป้ายสีแดงของห้องฉุกเฉิน

 

 

เรย์!

 

 

นี่มัน...เรื่องบ้าอะไร!



 

“ชะเอม!” อากฤษส่งเสียงเรียกหอบๆ เจ้าของชื่อที่ก้มหน้าอยู่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้ามนบัดนี้ซีดเซียวเหยเก น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ร่างบางผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาร่างใหญ่ในชุดเสื้อกราวน์

 

 

“อาหมอ อาหมอครับ”

 

 

"ไม่เป็นไรเอม อามาแล้ว ใจเย็นๆ หน้าซีดมากเลย นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ"

 

 

"อาหมอช่วยด้วย...ช่วยด้วยครับ" ชะเอมสะอื้นไห้เหมือนเด็กน้อยเสียขวัญ มือไม้สั่นจนต้องกอบกุมกันเองเพื่อช่วยบรรเทา

 

 

"ใจเย็นๆ เอม นั่งรอตรงนี้ เดี๋ยวอามานะ เดี๋ยวอามา" อากฤษเอ่ยปลอบพร้อมลูบใบหน้าที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา เจ้าตัวก็ได้แต่พยักหน้าอ่อนแรง

 

 

"ฮึกๆ คะ ครับ" ผมมองจนกระทั่งอาหมอหายไปหลังแผ่นประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดลง ผมตรงเข้าไปกระชากแขนร่างบาง

 

 

‘เอมน่ะมีรอยช้ำใหญ่ตรงใต้ต้นแขนขวาสงสัยจะไปกระแทกอะไรมา’

 

 

...ผมไม่สน...ว่ามือที่กำอยู่นี่จะออกแรงจนอีกฝ่ายเจ็บแค่ไหน...ไม่สนว่าความร้อนที่แผ่ออกมาผ่านฝ่ามือนั้นคืออะไรทั้งๆ ที่อีกฝ่ายตัวเปียกโชก

 

 

ผมจ้องใบหน้าอิดโรยและซีดเซียวเหมือนคนจะเป็นลมนั่นด้วยความคาดคั้น

 

 

‘เด็กคนนั้นยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย’

 

 

​...ตอนนี้ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น...ผมแค่อยากรู้ว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร! ทำไมถึงเป็นแบบนี้!

 

 

“มันเกิดอะไรขึ้น” ผมถามเสียงดังก้อง แถมเขย่าคนที่น้ำหนักเบาหวิวปลิวแรงตามมือ แต่เจ้าตัวยังเงียบ ร่างบางสั่นจนผมรู้สึกได้ แต่กระนั้นผมก็ยังถามเสียงดังขึ้นอีก "เกิดอะไรขึ้น...อธิบายมา!"

 

 

"ขะ ขอโ...ทษ  คิน เอมขอโทษ"

 

 

ยิ่งผมต้องการจะรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรำคาญท่าทางสะอึกสะอื้นมากขึ้นเท่านั้น "คินไม่ต้องการคำขอโทษ ตอบมาว่าเกิดอะไรขึ้น!"

 

 

"เอม...ไม่ได้ตั้งใจ...เอม...ผลักเรย์ ฮึก ละแล้ว ก็มีมอเตอร์ไซค์...มา...ชน" เจ้าตัวอธิบายอย่างอ่อนแรงและน้ำตาไหลอย่างน่าสงสาร แต่ความจริงที่ออกจากปากบางทำให้ผมช็อค...ว่าอะไรนะ "เอมไม่รู้ เอมไม่ได้ตั้งใจ เอมขอโทษ"

 

 

ชะเอมทั้งส่ายหน้า ร้องไห้อย่างสับสน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรับรู้อีก

 

 

ผลักเรย์แล้วมอเตอร์ไซค์มาชน? แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ?

 

 

ไม่อยากจะเชื่อ...

 

 

‘ถ้างั้นเดี๋ยวเรย์ไปตามเอมให้ คินคุยกับคุณอาหมอไปก็แล้วกันนะ’

 

 

ไม่ได้ตั้งใจเหรอ...

 

 

ขอโทษเหรอ...

 

 

นานนับหลายนาทีกว่าผมจะหาเสียงของตัวเองเจอ "เรย์ไปทำอะไรให้นาย"

 

 

คำตอบที่ได้รับคือความเงียบมันยิ่งทำให้ผมโมโหมากขึ้น! “เรย์ไปทำอะไรนายเหรอ ทำไมต้องทำถึงขั้นฆ่าแกงกันด้วย ห้ะ ตอบมาเซ่!”

 

 

ชะเอมตัวสั่นหนัก แววตาฉายความกลัว

 

 

"เอมไม่ได้ตั้งใจนะคิน เอมไม่ได้ตั้งใจ"

 

 

"ถ้าเรย์เป็นอะไรไป นายจะทำยังไง"

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ผมไม่แม้อยากจะนึกถึงตอนที่ร่างเล็กๆ นั้นโดนรถที่วิ่งด้วยความเร็วกระแทกอย่างแรง...เจ้าตัวจะเจ็บมากแค่ไหน...ใครจะรู้!

 

 

"เอมไม่รู้” คำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบ ยิ่งทำให้โมโหเลือดขึ้นหน้า

 

 

“ไม่รู้ได้ยังไง! เขาเจ็บก็เพราะนาย...ถ้าเรย์ตาย ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!” ผมสาดคำพูดเจ็บแสบใส่อีกฝ่าย เพราะหวังว่าจะให้อีกคนสำนึกเพียงเท่านั้น

 

 

อยากให้เจ็บ อยากให้สำนึก

 

 

“เอมจะ...รับผิดชอบ"

 

 

รับผิดชอบ...?

 

 

"นายจะรับผิดชอบยังไง รับผิดชอบไหวเหรอ" ผมแค่นเสียง

 

 

"ถะ...ถ้า ค่ารักษา เอม..."

 

 

"หมายถึงเงินของพ่อเหรอ หึ" ผมไม่เคยคิดว่าจะได้พูดเรื่องนี้กับเขาเลย แต่เขาดันมาพูดง่ายๆ ว่าจะจ่ายค่ารักษาให้ราวกับว่ามันจะแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาได้ทั้งหมด...แล้วจะเอาเงินที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ของพ่อเขาเอง

 

 

พูดง่ายราวกับว่าเงินมันจะแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาได้ทั้งหมด...เงินมันชดใช้ชีวิตคนไม่ได้!

 

 

ชะเอมมองผมด้วยสายตาเจ็บปวดเหลือล้น...แต่ผมไม่สนใจ

 

 

"เงินแค่นี้ ครอบครัวเรย์เขาก็มีปัญญาจ่าย เงินของพ่อฉันเขาไม่ต้องการหรอก"

 

 

"ละ แล้ว...ฮึก จะให้ทำยังไง" เสียงใสสั่นเครือ ร่างบางสั่นระริก รู้สึกความร้อนระอุผ่านฝ่ามือในตอนแรกมันยิ่งเพิ่มมากขึ้น...ดวงตากลมกระพริบถี่อย่างคนมองไม่ชัดเจน

 

 

"เอม ไม่รู้...คินจะให้ทำยังไง...ก็ได้" ชะเอมพูดเสียงแผ่ว

 

 

"เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ" เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน “ฉันกับนาย”

 

 

ตาโตมองผมตะลึง “เป็น...อย่างอื่นไม่ได้...เหรอ ฮึก ทำไมถึงต้องขั้นเลิกกันด้วย” มือเล็กเข้ากอบกุมชายเสื้อของผมและเอ่ยอย่างอ้อนวอน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร...แต่ผมทนคบกับเขาต่อไม่ได้จริงๆ

 

 

ผมรู้สึกเสียใจ...ที่เขากลายเป็นคนแบบนี้

 

 

“ยังต้องถามอีกเหรอ”

 

 

“เอมไม่เข้าใจ ไม่เอาเอมไม่เลิกนะ”

 

 

“ฉันไม่อยากทนคบกับคนใจอำมหิตอย่างนายแล้ว!” ผมปัดมือเล็กออกอย่างแรง ทว่ามันหลุดอย่างง่ายดายเพราะเจ้าตัวคงไม่มีแม้แต่แรงจะมาจับ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเป็นเด็กกำพร้าโดนพ่อทิ้ง...เพราะนิสัยอย่างงี้ไง”

 

 

ผมพูดเรื่องแย่ๆ ออกไปเพื่อหวังให้เขาเจ็บ...เพียงเท่านั้น

 

 

ไอ้เรื่องแบบนี้น่ะ...

 

 

“เข้าใจแล้วก็ทำตามด้วย แล้วจากนี้ไปก็อย่ามายุ่งกับเรย์อีก”

 

 

ปึง!

 

 

"คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว"

 

 

ผมเดินตามเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกไป ปรายตามองไปด้านหลังเห็นร่างบางที่ยืนนิ่งงัน...

 

 

โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ขาดสติเหล่านั้นจะคืนสนองผมเข้าในสักวัน



 

 

 

 

มารู้ตัว...

.

.

.



 

...ก็ตอนที่สายเกินไป



 

 

 

 

************************Whose fault? ************************



ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 13 วันที่ 27/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 28-11-2018 14:50:05



ต่อจากด้านบน



 

"อือ..."

 

 

“เรย์” ร่างสูงนั่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยที่นอนหลับพริ้มหลังจากออกจากห้องผ่าตัดได้เกือบสี่ชั่วโมง เมื่อเห็นคนที่นอนนิ่งเริ่มขยับตัวก็รีบชะโงกหน้าไปดู “เป็นอะไรมั้ย เจ็บตรงไหนบ้าง”

 

 

“อือ...คิน? โอ๊ย!” ร่างบางสลึมสลือพยายามยกตัวขึ้นแต่การขยับตัวไปกระเทือนหัวจนเจ้าตัวร้อง “เจ็บ”

 

 

“อย่าเพิ่งขยับเลย นายหัวแตกน่ะ...อย่าจับสิ เย็บไปหลายเข็มอยู่นะ” ผมจับมือเล็กของเขาที่พยายามจะลูบคลำผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบศีรษะออก

 

 

 “อ่ะกินน้ำก่อน คงจะคอแห้ง”

 

 

“ขอบคุณนะคิน” ร่างเล็กยิ้มอิดโรย ตามแขนประดับด้วยผ้าพันแผลกับผ้าก๊อซสีขาว “อยู่เฝ้าเรย์ตลอดเลยเหรอ”

 

 

“อืม” ผมพยักหน้า

 

 

ผมเห็นเรย์นิ่งไปก่อนขมวดคิ้ว ก่อนจะกวาดสายตามองหาใครบางคนอย่างกังวล “...เอมล่ะ”

 

 

ผมเงียบไม่ตอบ พูดเปลี่ยนเรื่องแทน “ตอนนี้นายอาจจะเพลียๆ นอนพักก่อนแล้วค่อย...”

 

 

“เรย์น่ะ...ตอนนั้นเรย์ก็แค่อยากออกไปตามเอม แล้วก็อยากขอโทษเรื่องวันนั้น” มือขยุ้มผ้าปูสีขาวซีดแน่นจนยับย่น เจ้าตัวเม้มปากน้ำตารื้น “ทั้งๆ ที่อยากจะคุยดีๆ ด้วยแท้ๆ ...แล้วทำไมเขาถึง...”

 

 

ผมยื่นมือลูบหัวปลอบเขาที่ใจเสีย “ไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”

 

 

มือเล็กยกขึ้นจับมือของผมออกมากุมไว้แล้วลูบมันเบาๆ เราทั้งสองคนเงียบ ก่อนเขาจะพูดขึ้น “ทำแบบนี้คงจะไม่ดีสินะ กับคนที่มีแฟนแล้วอย่างคิน”

 

 

ผมส่ายหน้า “ไม่หรอก...ฉันเลิกกับเอมแล้ว”

 

 

“เอ๊ะ?”

 

 

“ก็เขาทำกับนายขนาดนี้ ฉันทนไม่ได้หรอก”

 

 

ร่างเล็กทำหน้าซึม “แบบนี้ที่คินเลิกกับเอมก็เป็นเพราะเรย์น่ะสิ”

 

 

“ไม่หรอก...ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น เพราะเขาทำตัวเองต่างหาก” ผมพูด

 

 

ไม่ใช่เพราะเรย์...หรือผม...

 

 

ต้องพูดซ้ำๆ ย้ำกับตัวเอง...ไม่ให้รู้สึกผิดไปมากกว่านี้

 

 

“แล้วแบบนี้เอมจะโกรธรึเปล่า ที่คินบอกเลิกกับเค้าเพราะเรย์เป็นต้นเหตุ...ยังไงมันก็เป็นเพราะเรย์อยู่ดี”

 

 

โกรธเหรอ...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะโกรธรึเปล่า

 

 

สิ่งที่ผมเห็นดวงตาสีดำของเขาที่สะท้อนออกมาในตอนนั้น...ก็มีแต่ความเจ็บปวดและเสียใจเท่านั้น

 

 

“เรย์กลัว...” เสียงสั่นเครือที่ทำให้ผมหันไปมอง แขนบางกอดรัดตัวเอง “ฮึก กลัว”

 

 

ผมมองเขาด้วยความสงสาร ผมรู้และเข้าใจเพราะตั้งแต่เขาเจอกับชะเอมก็มีแต่เจ็บตัวทุกครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งต่อๆ ไปจะเจอมากกว่านี้อีกหรือเปล่า

 

 

“ไม่ต้องกลัวแล้ว คินก็อยู่ตรงนี้ไง อยู่ข้างๆ เรย์นี่ไง” ผมปลอบด้วยคำพูดที่เหมือนพูดกับเด็กน้อย เจ้าตัวผวาเข้ากอดผมเหมือนต้องการความอบอุ่นผมก็กอดตอบลูบหลังเบาๆ เรย์กำลังขวัญเสียเพราะงั้นผมไม่มีทางเลือก “ถ้ายังกลัวอีก เดี๋ยวเรียกพวกไอ้เอกมาอยู่เป็นเพื่อนดีไหม”

 

 

“ไม่เอา...” ใบหน้ามนส่ายไปมาบนอกผมอย่างงอแง

 

 

“หรือว่าจะให้โทรเรียกคุณป้ากับคุณลุง? หรือว่าน้องรินดี?”

 

 

เจ้าตัวยังส่ายหน้าอยู่อีก “...แค่คินก็พอ” เสียงอู้อี้ทำให้ผมเลิกคิ้ว “แค่คินอยู่ด้วยก็พอแล้ว”

 

 

ผมไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่เงียบคอยกอดปลอบร่างเล็กในอ้อมแขนเท่านั้น ผมไม่ลืมหรอกว่าความรู้สึกที่เรย์มีต่อผมคืออะไร

 

 

“คิน...ชอบนะ” เสียงใสดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นจากอกผม “เรย์ชอบคิน”

 

 

“เรย์...”

 

 

“เรย์ชอบคิน...เรย์ชอบคิน” ร่างเล็กบอกซ้ำๆ ใบหน้าหวานที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผมต้องดันเขาออกเบาๆ เพราะไม่อยากให้กระเทือนแผลบนร่างกาย แต่แขนบางกลับตวัดกอดคอผมแน่น

 

 

“เรย์...ฉันน่ะไม่...”

 

 

“คินก็รู้ว่าเรย์ชอบคินมาตั้งนานแล้ว”

 

 

“...ก็ใช่” ผมจำวันนั้นได้ดี แม้คนตรงหน้าจะเคยบอกชอบผม แต่เราก็ยังกลับไปเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม

 

 

“เรย์อดทนมาตลอดเลยนะ ทั้งๆ ที่เรย์ชอบคิน แต่คินก็มีเอมอยู่แล้ว เรย์เลยทำอะไรไม่ได้”

 

 

“...”

 

 

“แต่ตอนนี้คินไม่มีใครแล้วไม่ใช่เหรอ” เรย์มองผมด้วยสายตาอ้อนวอน “นะคิน ให้โอกาสเรย์บ้าง”

 

 

ผม...ผมสบตากลมที่มองมาที่ผม เรย์เคยบอกว่าชอบผม แต่ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเค้าเลย...ตอนนี้ก็ด้วย

 

 

“คบกับเรย์นะ”

 

 

‘นะคิน ให้โอกาสเรย์บ้าง’

 

 

แต่ผมอยากให้โอกาสกับร่างเล็ก...และกับตัวผมเอง

 

 

ยังไงซะ ตอนนี้ผมก็ไม่มีใคร

 

 

“อืม...ก็ได้...!”

 

 

ตาเรียวคมเบิกตะลึงเมื่อจู่ๆ ใบหน้าของเรย์อยู่ใกล้จนเห็นแพขนตาหนาที่เคลียกับแก้มใส เผลอกลั้นหายใจกับสัมผัสนุ่มชื้นตรงริมฝีปาก ร่างสูงปรือตาเพื่อรับความรู้สึกเบาหวิวราวกับขนนกนี้ไว้

 

 

ทั้งๆ ที่ร่างกายรู้สึกดีกับมัน...แต่ในใจรู้สึกขมขื่น

 

 

‘เป็น...อย่างอื่นไม่ได้...เหรอ ฮึก ทำไมถึงต้องขั้นเลิกกันด้วย’ เสียงอ้อนวอนของใครบางคนกำลังดังแทรกในโสตประสาท

 

 

ผม...



 

นานนับนาทีกว่าใบหน้าของทั้งสองจะผละออกจากกัน

 

 

“ดีใจจัง” ร่างเล็กยิ้มตาปี๋ ตรงแก้มแดงระเรื่อเขินอายกับสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่ “ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราก็เป็นแฟนกันแล้วเนอะ...เวลาคุยกันคินแทนตัวเองว่าคิน แล้วเรียกเรย์ว่าเรย์ได้มั้ย” เสียงใสเอ่ยสิ่งที่ปรารถนา มือเล็กเข้ากอบกุมมือใหญ่

 

 

ผมฟังสิ่งที่เรย์ขอแล้วก็นิ่งไป...อย่างนั้นมันก็เหมือนกับ...

 

 

“ไม่ได้เหรอ” ร่างเล็กเอ่ยซึมๆ ทำให้ผมสะบัดความคิดที่แทรกเข้ามาออกไป กดความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้และต้องสนใจแต่คนตรงหน้า

 

 

คนที่ควรสนใจน่ะ คือคนๆ นี้

 

 

“ได้สิ”

 

 

“คินรู้มั้ย...นั่นน่ะ จูบแรกของเรย์เลยนะ” ร่างเล็กพูดอุบอิบ ใบหน้าแดง “คินโชคดีมากเลยนะเนี่ย”

 

 

“หึๆ ครับๆ” ผมอดหัวเราะไม่ได้กับความหลงตัวเองของอีกฝ่าย เจ้าตัวพองลมแล้วใช้กำปั้นเล็กทุบลงบนไหล่กว้างด้วยความหมั่นไส้



 

โชคดีเหรอ

 

 

สีหน้าที่สดใสเริ่มเพลียๆ ปรือตาเหมือนจะปิดต่อมาก็เริ่มปิดปากหาวเสียงดัง ผมจึงจัดแจงให้เขานอนดีๆ จะได้นอนพักผ่อนเสียที ไม่นานเรย์ก็หลับไป ร่างสูงดึงผ้าให้ห่มจนถึงคอกันหนาว แล้วหย่อนตัวนั่งมองใบหน้าที่หลับพริ้มบนเก้าอี้ข้างเตียง...สายตาคมจ้องมองอยู่อย่างนั้น แต่ใจมัวครุ่นคิดจดจ่อกับอย่างอื่น

 

 

ความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจนี้มันคืออะไร...

 

 

ใช่ ผมกำลังรู้สึกเสียใจ...ไม่ว่าจะสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้หรือสิ่งที่พูดออกไปก่อนหน้านี้ก็ตาม

 

 

ตอนนี้เรย์ปลอดภัยดีแล้ว และกำลังนอนหลับอยู่ตรงหน้าผม

 

 

‘ถ้าเรย์ตาย ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!’

 

 

ถึงจะยังไม่รู้ว่าเอมมีเจตนาอะไรที่ทำกับเรย์แบบนั้น แต่ผมก็ไม่ควร...

 

 

'เพราะนิสัยอย่างนี้ไง...นายถึงเป็นเด็กกำพร้าโดนพ่อทิ้ง'

 

 

คำพูดที่สาดด้วยความรู้สึกโมโหและกราดเกรี้ยว...พูดออกไปโดยไม่คิด

 

 

สายตาเจ็บปวดรวดร้าวในตอนนั้น...ผมทำให้เขาต้องร้องไห้เพราะคำพูดของผม...และในตอนที่เขาทำสีหน้าอ้อนวอนตอนที่ผมขอจบความสัมพันธ์ของเราก็ด้วย

 

 

'ต่อไปนี้พ่อต้องฝากเอมไว้คินแล้วนะ ดูแลกันดีๆ ล่ะ' ฝ่ามือใหญ่อบอุ่นที่ลูบลงมาบนหัวของเด็กน้อยที่ยิ้มรับและสายตาฝากฝังของพ่อ

 

 

'เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ ฉันกับนาย'

 

 

‘เอมไม่เข้าใจ ไม่เอาเอมไม่เลิกนะ’

 

 

'ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราก็เป็นแฟนกันแล้วเนอะ' น้ำเสียงดีใจกับตาโตเป็นประกายยินดีของเรย์ที่มองตรงมาที่ผม

 

 

ร่างสูงหลับตาอย่างรู้สึกเหนื่อยล้า

 

 

ผม...ตัดสินใจถูกต้องแล้วใช่มั้ย

 

 

 

 

 

 

************************Whose fault? ************************
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 29-11-2018 12:48:26
เศร้า,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 29-11-2018 17:57:52
เชื่อคนที่รู้จักไม่นานมากกว่าเหรอ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 30-11-2018 02:35:04
อย่างน้อยก็มีคนไม่เชื่อว่าเอมเป็นคนเลวร้าย และก็มีคนจับโป๊ะของเรย์ได้ รอแค่วันกระชากหน้ากาก คนที่ได้สัมผัสตัวจริงหรืออยู่ข้างๆยังสัมผัสได้เลยว่าชะเอมเป็นคนใสซื่อไม่เป็นอย่างที่เขาเล่าลือ อยากให้ถึงวันที่นังเรย์โดนคืนจริงๆ รวมทั้งผู้ชายโง่ๆอย่างคิน
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 30-11-2018 19:43:14
คนรอบข้างของชะเอมดีที่สุด ยกเว้น นายคิน
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 15 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:33:57


                                            Whose Fault ?



                                            ผิด...ครั้งที่ 15







โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม




"ไหวรึเปล่า"



"อื้อ"





"ไม่ไหวก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ นายยังไม่หายดีเลย" สายตาคมมองผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบศีรษะเล็กแล้วอดเป็นกังวลแทนไม่ได้...ถึงจะไม่รู้ว่ามันเจ็บขนาดไหนก็เถอะ





"ก็เรย์บอกว่าไม่เป็นไรแล้วน่าคิน ถ้าเป็นห่วงขนาดนี้คินก็ดูแลเรย์ดีๆ สิ" ร่างเล็กกอดแขนเอ่ยอ้อนๆ หัวเล็กถูไถกับไหล่ข้างซ้ายของผม "อีกอย่างถ้าขาดกิจกรรมนี้เรย์อาจจะไม่จบก็ได้นี่นา ไม่อยากเสี่ยง"





"ทางมหา’ลัยเขาคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกน่า ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเดี๋ยวฉันไปบอกให้ก็ได้"





"ไม่เอา ก็บอกแล้วไงว่าให้แทนชื่อเวลาคุยกันอะ" เรย์เริ่มออกอาการอมลม หันมาพูดกับผมทั้งๆ ที่ใบหน้าก็ใกล้กันแค่ลมหายใจ เจ้าตัวไม่เกรงสายตารอบด้านเลยแม้แต่นิด





ผมเบนหน้าออกนิดๆ รู้สึกกระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก "อ่า...ครับๆ"





เรย์ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหน้าแดงระเรื่อนิดๆ หันกลับไปนั่งดีๆ แต่ยังไม่ไถหัวกับไหล่ของผมไม่เลิก "ชอบเวลาคินพูดครับจัง ฟังแล้วรู้สึกดี" ผมยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ไม่ได้ท้วงอะไรกับอาการอ้อนๆ ของเขาด้วย





ตั้งแต่สถานะระหว่างผมกับเรย์เลื่อนจาก ‘เพื่อน’ กลายมาเป็น ‘แฟน’ ร่างเล็กก็เริ่มออกอาการขี้อ้อน หวงผมออกหน้าจนเกินพอดี พยายามแสดงออกให้ใครๆ เห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนสำคัญหรืออะไรประมาณนั้น...ทั้งที่ชะเอมไม่เคยทำ





ไม่สิ อย่าไปคิด ร่างสูงส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัว ผมตอบรับเรย์ไปแล้ว...และผมกำลังให้โอกาส...ผมกำลังให้โอกาสกับตัวเองอยู่





“คิน?” เรย์เห็นท่าทางผิดปกติของคนรักก็ถามอย่างเป็นห่วง มือเล็กยกมือวางบนแผ่นอกกว้างอย่างแผ่วเบา...อยากจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว





ผู้ชายคนนี้เป็นของเรา...ในที่สุด...





“ไม่มีอะไร” ผมเหยียดยิ้มบาง สายตาคมมองออกไปนอกรถเช่นเดิม





ตอนนี้ผม ไม่สิ พวกเราทั้งมหาวิทยาลัยกำลังจะเดินทางไปค่ายปลูกป่าเป็นเวลาสี่วันสามคืน ซึ่งวันนี้เป็นวันออกเดินทาง และผมก็กำลังนั่งรอรถทัวร์ออกอยู่ทั้งๆ ที่ได้เวลาแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังติดอะไรบางอย่าง





จากวันนั้น...ก็ผ่านมาแล้วสองวัน...ไม่รู้ว่าทางนั้นจะเป็นยังไงบ้างเพราะผมไม่ได้ไปเจอเขาเลย





ในระหว่างที่ผมมองออกไปข้างนอกดูวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น





"หวัดดีเอม" ผมหันขวับเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมาตลอดสองวันเต็ม เห็นร่างบางที่ผมคิดถึงและกังวลมาตลอดอยู่ตรงหน้า สายตาอดสำรวจร่างกายผอมบางไม่ได้ ใบหน้าหวานขาวซีดเซียว ดูอิดโรยและเหนื่อยเพลีย เจ้าตัวใส่เสื้อทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวที่ดูหลวมโพรกมากขึ้นกว่าเดิม





เท่าที่จำได้ผมว่าเสื้อตัวนี้ไม่ได้ดูใหญ่ขนาดนี้นะ





'เอมก็ดูไม่ค่อยสบายด้วย อาว่าอาจจะอักเสบจนเป็นไข้ได้' ...จู่ๆ ก็คิดถึงคำพูดของอากฤษจากตอนนั้นขึ้นมา...แต่จนป่านนี้แล้วคงจะไม่เป็นไรแล้วล่ะมั้ง





ดวงตากลมโตสีดำสั่นไหวมองตรงมาที่เรย์ "หวัดดีเรย์"





แล้วผมก็นึกได้ว่าเสียงตอนแรกก็เป็นคนข้างๆ ผมนั่นแหละที่เอ่ยทักทายก่อน





จากนั้นก็เกิดความเงียบ ชะเอมเม้มปากแน่นเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แววตาฉายความรู้สึกผิด





"แล้วคนคณะอักษรขึ้นรถคณะวิศวะมาได้ยังไง" เสียงใสโพล่งขึ้นเรียกเสียงซุบซิบนินทาของคนในรถได้เป็นอย่างดี ผมรู้ทันทีโดยไม่ต้องคิดเพราะเสียงนั้นคือริน น้องสาวแท้ๆ ของเรย์นั่นแหละ





ใบหน้ามนของชะเอมมองไปตามที่มาของเสียงแล้วก็เบิกตาน้อยๆ จากนั้นเจ้าตัวก็เม้มปาก ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิม "คะ คือว่า..." เสียงใสสั่นเครือ





"ในรถคันนี้ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับนาย ถ้าจะมีก็คือตรงบันไดขึ้นลงรถโน่น" เสียงของรินที่พูดไม่ใช่เบาๆ และหลายสายตาก็เมินหลบ ชะเอมหน้าเสียที่มองทางไหนก็ไม่มีใครเอ่ยปากช่วย ยิ่งสายตาตัดพ้อส่งมาเมื่อผมเผลอสบตากลมโตแวบหนึ่งมันยิ่งทำให้ใจกระตุก





ผม...





ได้ยินเสียงลากล้อกระเป๋าออกไป ผมก็หันไปมองเห็นเพียงแผ่นหลังบางที่เดินไปด้านหน้ารถแล้วก็ลงบันไดไป





ผมกำหมัดแน่นขนาดไหน ก็เพิ่งรู้สึกตัวตอนคลายมือออกมา





ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้





เรื่องในวันนั้นมันกระจายไปทั่ว ข่าวลือบอกว่าเอมเป็นคนทำให้เรย์โดนรถชนจนอาการโคม่าเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งอันที่จริงมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นซะทีเดียว





...ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่คือการจงใจ





คนที่โพนทะนาเรื่องนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็น้องสาวของเรย์ สาวสวยผมยาวตรงชื่อว่ารินที่โกรธแค้นแทนพี่ชายที่โดนกระทำแบบนั้นอย่างไร้เหตุผล





ผมเข้าใจรินนะ ความรู้สึกโกรธแทนใครสักคน





แต่สายตาของชะเอมยิ่งทำให้ผมรู้สึกสับสน...สายตาของคนรู้สึกผิด...ไม่ได้ตั้งใจ...แล้วมันก็มีอะไรที่มากกว่านั้น



อะไรที่ผมยังไม่รู้





แล้วนี่ผม...ใจร้ายเกินไปรึเปล่าที่ทำเป็นไม่สนใจ...ไม่รู้ไม่เห็นอะไรแบบนี้

















ผมหลับไม่ลง





ทั้งๆ ที่การเดินทางมันก็เงียบเชียบมีแต่เสียงแอร์และเครื่องยนต์เป็นอาวุธกล่อมคนให้เคลิ้มหลับได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลายๆ คนก็หลับตาพักผ่อนไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนน้อยที่ยังมองวิวถนน รถกับต้นไม้ บางคนเล่นมือถือ เสียบหูฟัง...ร่างเล็กข้างๆ ผมก็หลับปุ๋ยโดยเอนศีรษะพิงไหล่ผม





ผมจับหัวทุยเบาๆ ให้เอนพิงเบาะดีๆ เรย์ขยับตัวส่งเสียงอืออาก่อนจะนิ่งไปเพราะดูเหมือนจะหาท่านอนที่สบายที่สุดเจอแล้ว ผมค่อยๆ ขยับตัวออกจากที่นั่งข้างหน้าต่างของตัวเองโดยไม่ให้ไปโดนร่างเล็กที่กำลังนอนสบายอยู่ ขาคู่ยาวภายใต้กางเกงยีนส์สีเข้มเดินไปหน้ารถ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม...





ผมหลับไม่ลง...เพราะผม…





สายตาคมหลุบมองลงตรงบันไดเห็นร่างผอมบางนอนซบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเอง มันไม่ใช่ท่านอนที่สบายอะไรเลย ใบหน้าหวานขาวซีดเหงื่อซึมน้อยๆ อาจจะเพราะลมร้อนๆ ที่ตีหวนจากเครื่องยนต์ด้านหน้า แต่เจ้าตัวก็ยังใส่เสื้อคลุมตัวนั้นไม่ยอมถอด





นั่งตรงนั้นนอกจากจะไม่โดนแอร์แล้วพื้นก็ยังแข็งอีก





ทำไมเจ้าตัวถึงไม่ขึ้นรถคณะของตัวเองไป?





ชะเอมขยับตัวเหมือนจะตื่นทำให้ขายาวเผลอถอยหลังกลับมาอัตโนมัติ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองต้องลับๆ ล่อๆ ผมชะโงกหน้าดูอีกทีก็ยังเห็นเจ้าตัวขมวดคิ้วหลับตาอยู่แต่เปลี่ยนท่าแล้ว





ผมยืนมองอยู่สักพัก นานนับหลายนาที...ก็ถอยกลับมานั่งที่เดิม คราวนี้เรย์ปรือตาขึ้นมามองผม ถามเสียงงัวเงีย





"คินไปไหนมาเหรอ"





"ไปห้องน้ำน่ะ" ผมพูดปด "โทษทีทำให้ตื่นเหรอ"





"อื้อ" ร่างเล็กส่ายหน้าซบลงมาที่ไหล่และกอดแขนข้างซ้ายของผมแน่น ผมก็ลูบหัวเขาเบาๆ จนกระทั่งเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอ แพขนตาคลอเคลียนิ่งบนแก้มใส ริมฝีปากบางที่เคยสัมผัสมาครั้งหนึ่งก็เผยอนิดๆ พรูลมเข้าออก ดูๆ ไปก็ทั้งตลกทั้งน่ารัก





ผมมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ วิวทิวทัศน์ผ่านตาไปเรื่อยๆ





กับดวงตาที่คิดว่านอนไปแล้วลืมขึ้นมองสันหน้าคมอย่างแปลกประหลาด...เขาน่ะไม่ได้หลับตั้งแต่แรกแล้ว











************************Whose fault? ************************











ผมรู้สึกอารมณ์ของตัวเองคุกรุ่นอย่างประหลาด ขายาวเดินตรงฉับๆ เข้าไปหาเพื่อนทั้งสองคน





"เมื่อกี้พวกมึงทำอะไร" ผมพูดกับตาลกับเอกที่กำลังหยิบกระเป๋าออกจากที่เก็บด้านข้างของรถทัวร์ ทั้งสองหันมามองผมงงๆ  โดยเฉพาะตาลที่ดูจะงงพิเศษกว่าใครเพื่อน





"เมื่อกี้? อะไร? ตอนไหน?? ไม่ได้ทำอะไรนะ ใช่มั้ยเอก" ตาลถามผม สลับกับมองหน้าคมข้างๆ ตัว ร่างโปร่งดูสงสัยสุดๆ ว่าตนทำอะไรผิด ผมจึงเบนหันไปจ้องคาดคั้นกับเอกแทน ซึ่งเอกสบตาผมไม่หลบหนี จ้องตากันสักพักและในที่สุดดูเหมือนเขาจะเข้าใจและรู้ว่าผมถามอะไร





"อะไรกัน นี่มึงสนด้วยเหรอเนี่ย หึหึ" แถมยังยิ้มหัวเราะเยาะผมอีกต่างหาก





"..."





"แล้วมึงรู้ตัวรึเปล่าว่าตอนนี้มึงโกรธอะไร" เอกเลิกคิ้ว





โกรธ?...ผมเนี่ยนะ





"กูไม่ได้โกรธ" ผมตอบสั้นห้วน





"มึงโกรธสิ! หน้ามึงตอนนี้น่ากลัวสุดๆ เลย" ตาลพูดแทรกหน้าตาตื่น เจ้าตัวหันไปสะกิดถามเอกยิกๆ "แล้วตกลงมึงเข้าใจเหรอว่าไอ้คินพูดเรื่องอะไรอ่ะเอก บอกหน่อยสิ นี่กูงงไปหมดแล้วนะ"





เอกยิ้ม "ไม่มีอะไร มันก็แค่โมโห 'หึง' ที่มึงไปยุ่งกับคนของเขาน่ะ"





ผมถลึงตาใส่ไอ้คนที่พูดอะไรไม่เข้าท่า แต่น่าโล่งอกที่ดูเหมือนตาลจะไม่ได้สนใจประเด็นตรงนั้น





"เอ๊ะ? ใคร? เรย์?" ร่างโปร่งยังคาดเดา แต่วันนี้เขาไม่ได้คุยกับเรย์เลยด้วยซ้ำนา ตาลกุมคางทำท่านึก วันนี้ยังไม่ได้กินของหวานๆ สมองก็เลยไม่แล่นเท่าไหร่ อ๋อ หรือว่า... "ชะเอมเหรอ"





ร่างสูงเอ่ยชมแล้วลูบหัวอีกฝ่ายเป็นรางวัลที่คิดตั้งนานกว่าจะออก "ฉลาดขึ้นแล้วนะ"  ร่างโปร่งใช้มือปัดมันออกแล้วมองค้อน 'นี่มันหลอกด่ากันชัดๆ ...ก็เพราะมึงนั่นแหละไม่ให้กูกินนมเย็น'





"แต่ว่านั่นกูแค่ชวนเขามานั่งด้วยเฉยๆ เองนะ ก็นั่งตรงนั้นทั้งร้อนทั้งแข็ง ลำบากจะตาย" ตาลโอดครวญเหมือนเจ้าตัวเป็นคนนั่งตรงนั้นเอง ร่างโปร่งหันมาส่งสายตาคาดคั้นผม "แต่มึงนั่นแหละคิน ชะเอมเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม..."





"แฟนเก่า" เอกแก้คำด้วยใบหน้านิ่ง





"เออ นั่นแหละๆ นั่นแหละยิ่งแย่เลย นี่เขาเป็นแฟนเก่ามึงนะ ทำไมมึงไม่สนใจเขาเลยล่ะ ชะเอมน่าสงสารออกนะ" ตาลพูดด้วยความซื่อ ยิ่งขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงหน้าเศร้าๆ ของร่างผอมบาง





"ก็เพราะเขาทำเรย์เจ็บตั้งสองครั้งแล้วไง กูถึงยกโทษให้เขาไม่ได้" ผมตอบ เพราะนิสัยของเขาที่เปลี่ยนไปนั่นแหละผมถึงต้อง 'เลิก' กับเขา





“ยกโทษให้ไม่ได้...ปากพูดแบบนั้นแต่ก็ตามหวงเขาอยู่ได้นะมึง” เอกแทรกเสียงเข้ม “ชอบเขาอยู่แล้วแต่เสือกปากแข็งพูดวกวนอยู่ได้”





“มึงก็พูดเกินไปเอก” ตาลพูดขึ้นเมื่อเห็นผมยืนเงียบ...ร่างโปร่งก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะในตอนนี้เอกช่างดูน่ากลัว





“ตกลงมึงเลิกกับเอมเพราะอะไรกันแน่วะคิน กูชักไม่เข้าใจ” เอกมองเพื่อนที่ความสูงเท่าตัวเอง...มองไอ้คนที่ไม่รู้แม้แต่ใจของตัวเอง “ถ้าหากว่าที่มึงเลิกคบกับเขาเพราะว่าเขาทำร้ายเพื่อนของเราล่ะก็ ตอนนี้เรย์หายดีแล้วไง มึงก็กลับไปคืนดีกับเขาซะสิ”





“พูดบ้าๆ” ผมแค่นเสียง





“มึงนั่นแหละที่บ้า เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกับชะเอมแล้วมึงจะมาห่วงเขาทำไม โมโหพวกกูทำไมกับแค่เข้าไปคุย...แล้วมึงหึงเขาทำไมถ้าบอกว่าไม่ได้ชอบ...กูว่ามึงเอาเวลาไปดูแลแฟนที่เพิ่งคบกันหมาดๆ ของมึงดีกว่ามั้ง”





น้ำเสียงและคำพูดของไอ้เอกมันทำให้ผมที่ทนฟังกัดฟันกรอด





"กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ ไม่ได้หึงหรือหวงอะไรอย่างที่มึงพูดทั้งนั้น...!"





ขวับ!





“เฮ้ย!”





“กรี๊ด เกิดอะไรขึ้นน่ะ”





“ใจเย็นดิวะพวกมึง”





ผมตกใจที่จู่ๆ เอกตรงเข้ามากระชากคอเสื้อของผม พร้อมกับเสียงรอบข้างที่ดังระงมถอยกรูเหมือนกับเห็นคนจะต่อยกัน ซึ่งร่างโปร่งของตาลก็เข้าพยายามเข้ามาห้ามโดยการดึงแขนใหญ่ของเอกไว้ “เฮ้ย เอกใจเย็น!” แต่แน่นอนว่าด้วยแรงที่น้อยกว่ายังไงมันก็ไม่มีผล





ผมถอยหลังเล็กน้อยเพื่อทรงตัว เพราะแรงของไอ้เอกที่โถมเข้ามาก็ไม่ใช่น้อย สายตาของเอกมันจ้องเขม็งดูดุดันผิดกับที่แสดงออกมาปกติ





“มึงอย่ามัวแต่พูดพล่ามอะไรไร้สาระให้กูขำไปหน่อยเลยดีกว่าว่ะคิน เพราะการกระทำของมึงก็ชัดเจนอยู่อย่างนี้” คนตรงหน้าพูดเค้นเสียงลอดไรฟัน





“แล้วคนอย่างมึงจะไปรู้อะไร” ผมถามมันกลับบ้าง ที่ผมยืนเงียบฟังมันพูดอยู่ตลอดก็ไม่ใช่ว่าผมจะยอมมัน





“เออ แน่นอนกูไม่รู้อะไรหรอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมึง เรย์ หรือเอม...แต่ว่ากูอยากจะขอเตือนอะไรสักหน่อยในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของมึง...ในฐานะคนที่ไม่อยากเห็นมึงทำตัวน่าสมเพช...”





“...”





 “สิ่งที่มึงเห็นมันไม่ใช่ความจริงไปซะทุกอย่างหรอก...” นัยน์ตาจริงจังมองลึกเข้ามาในดวงตาของผม “เพราะงั้นมึงก็เลิกใช้แต่ตามองได้แล้ว!”





“...เอก” ตาลปราม เพราะเสียงตะโกนของเพื่อนทำให้หลายคนเริ่มหันมามอง





“นี่มึง...รู้อะไรมา...” ผมสูดลมหายใจลึก





ที่ไอ้คนตรงหน้ามันพูดออกมา....หมายความว่ายังไง





 “ ‘คนเรามักเห็นค่าในตอนที่สูญเสียมันไปแล้ว’ ...มึงคงเคยได้ยินประโยคนี้ อย่าให้สิ่งที่มึงเลือก มาทำให้ตัวเองเสียใจภายหลังเลยว่ะ” มือใหญ่คลายคอเสื้อของผมออก เอกหันหลังเดินออกไปก่อนจะชะงักหันกลับมาปรายตามองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “แล้วเรื่องคนของมึงกูไม่สะเหร่อเข้าไปยุ่งหรอก จำใส่หัวไว้...จะได้เลิกฟาดงวงฟาดงาเขาไปทั่ว”





ร่างโปร่งที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ จริงๆ ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่หรอก "กูขอพูดอะไรหน่อยนะคิน...ที่มึงหรือคนอื่นๆ เข้าใจกันเกี่ยวกับเอมเรื่องเรย์น่ะ กู...ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นหรอกนะ"





"..."





"ก็อย่างที่มึงบอกแหละ กูไม่รู้อะไรหรอกแต่กูก็เคยคุยกับชะเอมมาแล้วครั้งหนึ่ง และเขาดูไม่เหมือนอย่างที่ใครๆ พูดกันเลยสักนิดเดียว”





“...”





“แหม เห็นแบบนี้กูก็มองคนเก่งเหมือนกันนะจะบอกให้” ตาลยิ้มโชว์เขี้ยวตาหยี “อย่างน้อยน้า กูก็หวังให้มึงคิดเหมือนกัน เพราะมึงเป็นคนเดียวที่รู้จักชะเอมมากกว่าใครไม่ใช่เหรอ" ร่างโปร่งพาดกระเป๋าบนลาดไหล่เดินตามตูดไอ้เอกออกไปทิ้งบทสนทนาที่ยังไม่จบนี้เอาไว้ ทิ้งคำพูดที่ทำให้ผมได้แต่ยืนนิ่งงัน





'มึงเป็นคนเดียวที่รู้จักชะเอมมากกว่าใครไม่ใช่เหรอ'





"คิน ขอโทษที่ให้รอ" เรย์ที่เพิ่งเดินไปเข้าห้องน้ำเพิ่งกลับมา เห็นสีหน้าของผมก็ถามออกมา “เป็นอะไรไปเหรอ...แล้วเมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงโหวกเหวกอะไรด้วย”





"ไม่มีอะไร อ่ะ นี่กระเป๋า" ผมปรับสีหน้าส่งกระเป๋าให้ร่างเล็กที่ยังส่งสายตาสงสัย





"ขอบใจนะที่หยิบมาให้"





"อืม ไม่เป็นไร"





"ถือให้ด้วยได้มั้ย" ร่างเล็กเอ่ยอ้อนๆ ช้อนตามองผม จริงๆ กระเป๋ามันก็ไม่ได้หนักมากผมเลยไม่ได้พูดอะไร มือใหญ่คว้ากระเป๋าจากมือเล็ก "ขอบใจนะ~ น่ารักที่สุดเลยแฟนใคร"





'ไม่เป็นไรคิน เอมถือได้ มันเบานิดเดียวเอง แล้วคินล่ะ...หนักรึเปล่า? เอมช่วยนะ' ใบหน้าหวานในความทรงจำส่งยิ้มให้เขา





...ไม่เหมือนกันเลย





"ฮะๆ" เสียงทุ้มหัวเราะที่ไม่ดังมากเรียกความสนใจของผมกับเรย์ที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังที่พัก หลายๆ คนหันมองที่มาของเสียง เห็นร่างสูงใบหน้าหล่อขาวใสโดดเด่นเดินยิ้มคู่กับร่างบอบบางคุ้นตาที่ผมเห็นก็รู้ทันทีว่าคือใคร





สองคนเดินที่ซุบซิบกัน ใบหน้ามนขาวเกือบซีดที่เปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้ม ขึงขัง ขมวดคิ้วไปมา





ไม่รู้ตัวว่าขาตัวเองก้าวเดินเข้ามาใกล้ขนาดได้ยินที่ทั้งสองคุยกัน...มันทำไปเองอัตโนมัติ





"เดี๋ยวก่อนติม...เมื่อกี้หัวเราะอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลย" ชะเอมขมวดคิ้วพูดเสียงเข้ม





"คำสั่งของรุ่นพี่เหรอครับ" ไอ้หมอนั่นพูดท่าทางจริงจังแต่สายตาที่มองคนข้างตัวนั้นโคตรเจ้าเล่ห์





"...ก็เปล่า" ใบหน้ามนซึม เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ตากลมโตเบิกกว้าง "หัวเราะอีกแล้ว...นั่นไงอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ติมหัวเราะพี่"





"รู้แล้วจะถามทำไมครับ"





"พี่น่าตลกเหรอ"





"ผมขำเพราะพี่ชะเอมทำตัวน่ารักต่างหาก"





ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นรู้สึกอะไรบ้าง...แต่ที่รู้สึกอย่างเดียวคือ...ไม่พอใจ





"พี่ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย" เจ้าตัวหน้าบูด





"ผู้ชายก็น่ารักได้ครับ"





เขารู้อยู่แล้วว่าเอมน่ารัก...น่ารักตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งโตมายิ่งหน้าหวานจนบางทีผู้ชายยังมาจีบ แต่ผมเพิ่งเคยเห็นผู้ชายคนอื่นมาชมร่างบางต่อหน้าต่อตาของผมแบบนี้...มันกล้าดียังไง





"คิน...จะไปไหน" ผมหยุดชะงักเมื่อมีอะไรบางอย่างมารั้งไว้





"ห้ะ..." สายตาคมไล่มอง มือเล็กคว้าแขนผมไว้ สายตาที่มองมาทำให้ผมประหลาดใจ แวบหนึ่งผมเห็นความมืดมนและเกรี้ยวกราดก่อนจะหายวับไปเหลือแต่ความสงสัย





แล้วนี่ผมกำลังจะทำอะไร





‘มึงอย่ามัวแต่พูดพล่ามอะไรไร้สาระให้กูขำไปหน่อยเลยดีกว่าว่ะคิน เพราะการกระทำของมึงก็ชัดเจนอยู่อย่างนี้’





"จะไปหาเอมเหรอ ก็ไหนบอกว่าเลิกกันแล้วไง"





"ก็เลิกกันแล้ว..."





"เลิกกันแล้วก็ปล่อยเขาไปเถอะ เอมเขาน่าจะมีคนใหม่แล้วล่ะ ดูสิ เลิกกับคินแค่ไม่กี่วัน" ร่างเล็กตรงเข้ามากอดแขนผม ส่งสายตาบุ้ยปากไปอีกทาง ก่อนจะกระตุกแขนเรียกความสนใจให้ผมเบนสายตากลับมา "ตอนนี้คินเป็นแฟนเรย์แล้ว ถ้ามัวแต่สนใจคนอื่นเรย์จะโกรธแล้วนะ" เรย์ขมวดคิ้วอมแก้มพองลมเหมือนเคย ทำให้ผมคิดว่าสิ่งที่เห็นเมื่อกี้อาจจะตาฝาดไปเอง





ผมหันไปมองสองคนนั้นอีกที พวกเขาก็เดินไปไกลแล้ว





'เอมเขาน่าจะมีคนใหม่แล้วล่ะ ดูสิ เลิกกับคินแค่ไม่กี่วัน'





"ไม่มีทาง" สายตาคมกริบปรายตามองร่างเล็ก ไม่รู้ตัวว่าทำหน้าแบบไหนออกไปแต่ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นสายตาของผม "อย่าพูดแบบนั้นให้ได้ยินอีกนะ"





เรย์กำหมัดแน่น ดวงตาเหมือนมีไฟสุมมองเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เพิ่งได้เลื่อนสถานะเป็นแฟนเดินห่างออกไป





"ไอ้เด็กกำพร้านั่นมันมีดีอะไรนักหนาวะ"





มีแต่คนสนใจ...





แม้แต่คนที่เขาชอบ...แม้แต่คิน มันก็ยังจะเอาไป!





ไอ้เวรเอ๊ย!!





เท้าเล็กเตะหินก้อนหนึ่งเข้าพงหญ้าข้างทางเพื่อระบายอารมณ์อึดอัดที่อยู่ในอก





มือกุมข้างขมับเมื่อรู้สึกปวดแผลที่ศีรษะตุ้บๆ





นี่เขาต้องทำอะไรอีก ต้องเจ็บตัวแค่ไหนถึงจะพอ





แค่นี้ยังทำให้คินมาสนใจเขาไม่พอเลย...มันไม่พอ





ไม่พอ!!!





ขนาดทำให้คินกับมันเลิกกันได้ ขนาดเขาทำให้คินมาเป็นแฟนได้...มันก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ





ก็เพราะมีมันนั่นแหละ...เพราะไอ้เอมคนเดียว...ไอ้เด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่...แค่ไม่มีมัน!





ขอแค่ไม่มีมันเท่านั้น





ร่างเล็กแสยะยิ้มมุมปากเมื่อคิดอะไรได้ แววตาฉายความมุ่งร้าย











************************Whose fault? ************************


ต่อด้านล่างค่ะ

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:34:50


ต่อจากด้านบนนะคะ











“เรย์หายไปไหนอะ” ตาลถามผม ขณะที่กำลังเดินไปที่รถบรรทุกต้นไม้ด้วยกัน





“ไปพักน่ะ” เจ้าตัวบอกว่าจะไปนั่งพัก เพราะเห็นบ่นว่ายกต้นไม้เหนื่อย ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อเห็นสีหน้าเพลียๆ ของเขา จริงๆ ตอนแรกผมก็บอกให้เขาไปนั่งเฉยๆ อยู่แล้วแต่ดันดื้อบอกว่าจะช่วยงานให้ได้





ตาลร้องออแล้วก็พยักหน้าเหมือนถามไปงั้น มือรับต้นไม้จากเอกที่ส่งมาจากคนที่คอยทยอยส่งต้นไม้ให้บนรถอีกที สายตามองเห็นจ่อยยืนโบกมือแล้วคอยตะโกนควบคุมคนอยู่ไกลๆ





“ขอบใจ” ผมที่รับของมาเอ่ยกับเอกซึ่งมันไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าให้





เราสามคนเดินกันเงียบๆ เพราะนอกจากแดดที่ทำให้เหงื่อไหลแล้ว ของที่ไม่ได้หนักมากนี่พอถือนานๆ เดินไปมาหลายๆ รอบก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครพูดให้เปลืองแรงไปมากกว่าเดิม





“โกรธกูป่ะ” เอกถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ





ผมเลิกคิ้วที่จู่ๆ มันก็พูดเรื่องชวนงง ก่อนจะนึกได้ถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ภาพที่มันกระชากคอเสื้อผม ก็เลยส่ายหน้าบอก “ไม่นี่”





“อ้อเหรอ ก็ดี” เอกยักไหล่





“ถามทำไม กลัวกูโกรธเหรอ” ผมยิ้ม





“ไม่นี่” มันส่ายหน้าทำเสียงล้อเลียนผม “มึงไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นป่ะ”





“อย่าพูดแบบนั้นสิ กูเสียใจนะ”





“เสียใจแล้วทำไม กูต้องง้อเหรอ”





“พวกมึงเลิกคุยเรื่องน่าขนลุกสักทีได้ไหมวะ” ตาลทำหน้าขยะแขยง “หน้าพวกมึงไม่เหมาะกับบทสนทนาเลย”





“...”





“นี่พวกมึงหายแง่งๆ ใส่กันแล้วเหรอ” ร่างโปร่งถามเสียงซื่อเงยหน้าพูดเหมือนถามท้องฟ้า แต่เปล่าหรอก คือเหงื่อมันจะไหลเข้าตาอ่ะ





“คุยกับใครฮึ” เอกอดหัวเราะในลำคอไม่ได้กับท่าตลกๆ ของตาล





“ก็เหงื่อมันจะเข้าตา! มันแสบ...โอ๊ยเดี๋ยวๆ พวกมึงรอกูด้วย” ตาลหลับตาปี๋ เขามองไม่เห็น! จะยกมือเช็ดก็ไม่ได้เพราะสองมือถือต้นไม้อยู่





“มาเช็ดแขนเสื้อกูนี่มา” เอกบอก





“ได้เหรอ...ไหนอ่ะๆ” ใบหน้าใสหันตามเสียงทุ้ม ก็เขาหลับตาอยู่จะมองเห็นได้ไงเล่า!





“ซ้ายหน่อย ไม่ใช่ๆ ทางขวาๆ ฮ่าๆ” เอกหัวเราะร่ากับท่าขยับตัวขยึกขยือของร่างโปร่ง กว่าจะได้เช็ดเหงื่อออกจากตาก็เล่นเอาแทบเหนื่อย





คินยืนมองแล้วกระพริบตาปริบ...แล้วทำไมมึงไม่บอกให้มันวางของในมือแล้วยกแขนเสื้อตัวเองเช็ดล่ะวะ





ไอ้ตาลนี่มันก็บื้อจริงๆ เลยที่เต้นไปตามเกมของไอ้เอกอย่างไม่สงสัยอะไรเลยแบบนี้





“ฮ้า ขอบใจนะเอก” ตาลยิ้มแยกเขี้ยวสดใส เขาไม่แสบตาแล้ว!





“ไม่เป็นไร อย่าลืมบุญคุณกูละกัน” เอกยิ้มเจ้าเล่ห์





“อื้อๆ” เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ให้คนมองทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ ช่างมองโลกในแง่ดีจริงๆ





“แล้วสรุปแง่งๆ คือ...” ผมถาม...อยู่กับสองคนนี้แล้วรู้สึกเป็นส่วนเกิน





“แง่งๆ ก็คือกัดกัน เหมือนหมากัดกันอะไรแบบนั้นอ่ะ” ตาลแจกแจง “ก็คือจะถามว่าพวกมึงเลิกกัดกันแล้วเหรอ”





“อ๋อ” ผมกับเอกร้องคราง...ศัพย์บ้าอะไรของมันวะน่ะ!





ผมขมวดคิ้วตอบคำถาม “ก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันตั้งแต่แรกแล้ว”





“เอ๋!” ตาลร้องเสียงสูง ตาตี่ๆ เบิกกว้างตกใจอย่างเห็นได้ชัด





“อืม” เอกส่งเสียงในลำคอ





“เอ๋!?”





“โกหกน่า ก็พวกมึงกระชากคอเสื้อกันด้วยนะ” นั่นน่ะดูยังไงก็เหมือนทะเลาะรุนแรงจะตายไป “แบบนั้นไม่ได้เรียกทะเลาะกันเหรอ”





“นั่นเขาเรียกคุยกันแบบลูกผู้ชาย” เอกบอก





“เหรอ” ตาลนิ่งคิดไปพักหนึ่ง หันมาทำหน้าสงสัย “เอ๊ะ มันใช่เหรอ”





ก็พี่ชายสองคนของเขาไม่เห็นเคยกระชากคอเสื้อแบบนี้เลยนี่นา





ก็ไม่ใช่น่ะสิ! ...ผมคิดในใจ มองหน้าเอกที่ยิ้มๆ เวลาคุยกับตาล...มันชอบแกล้งตีรวนร่างโปร่งให้มึน เพราะเวลาคุยอะไรมันก็มักจะตามไม่ทัน หลอกอะไรมันก็เชื่อหมดเลย





ผมรู้ดีว่าเอกเป็นห่วง เนื่องจากคบกันมาได้สามปี...ที่มันพูดมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด ผมเข้าใจว่ามันอยากจะเตือนผมจริงๆ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง เพราะงั้นท่าทางรุนแรงที่แสดงออกมานั่นก็เรื่องธรรมดาที่คนอื่นไม่เข้าใจ





“คิน” เอกมองหน้าผมเครียดๆ “จริงๆ กูแอบเป็นห่วงนิดหน่อยว่ะ”





“เรื่อง?” ผมเลิกคิ้ว ผมวางของเมื่อถึงบริเวณที่ต้นไม้วางเรียงเยอะแยะมากมาย





“เรย์” สายตาคมของเอกมองไปรอบๆ เหมือนหาอะไรบางอย่าง “มึงจะไปดูหน่อยมั้ย”





ผมยังไม่เข้าใจ “มึงหมายความว่ายังไงวะ”





“นั่นเพื่อนสามคนที่ชอบอยู่กับเอม แต่ตอนนี้เอมไม่อยู่” ผมหันไปมองทางที่เอกชี้ เห็นคนสามคนที่ผมไม่รู้จักมาก่อน “ก็แค่สังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กูว่ามึงรีบไปหาเรย์ก่อนดีกว่า”





“แล้วมึงรู้ได้ยังไง” ผมหมายถึงเรื่องของสามคนนั้น ผมไม่เห็นรู้จัก แล้วไอ้เอกมันไปรู้จักได้ยังไง





“กูรู้ก็แล้วกันน่ะ” เอกตอบเลี่ยงๆ อย่างตัดรำคาญ “รีบไปสิ”





 “เออ” แม้จะยังสงสัยแต่ผมก็เดินเร็วๆ ออกไปหาตรงบริเวณที่คนพักกันเยอะๆ สายตามองหาแต่ในหัวนึกถึงสิ่งที่เอกพูด





เอมไม่อยู่...เรย์ก็ไม่อยู่...นั่นหมายความว่าทั้งสองคนอาจอยู่ด้วยกัน! พอคิดได้แบบนั้นขายาวยิ่งเร่งเดิน







ทั้งตอนครั้งแรกที่อยู่ในห้อง และครั้งต่อมาที่โรงพยาบาล





ทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังมันก็มักจะมีเรื่อง...ทุกครั้งไป





"อะ โอ๊ย! เจ็บ..."





ผมได้ยินเสียงร้องของเรย์แว่วมายิ่งทำให้รีบสาวเท้าเข้าไปตรงที่มาของเสียงเมื่อครู่





ก้อนเนื้อในอกเต้นดังกึกก้อง





เกิดอะไรขึ้น





“ฮึก...ปวดหัว”





แซ่ก...







ภาพที่ผมเห็นหลังต้นไม้ใหญ่ เห็นเรย์นอนกุมศีรษะสีหน้าบิดเบี้ยวระคนเจ็บปวด ชะเอมก็ยืนหน้าซีดอยู่ไม่ไกลหันมามองผมอย่างตกใจ





“เรย์!” ผมตรงเข้าไปหาเขา ช้อนตัวที่เบาหวิวขึ้นแนบอก โดยไม่ให้กระทบแผลบนหัวของเขา “เป็นอะไร เรย์ เจ็บตรงไหน”







“เรย์ปวดแผลอะคิน” เรย์กอดคอผมแน่นแล้วซบหน้าลงกับไหล่ แต่ผมสำรวจแล้วแผลน่าจะไม่ฉีก...เลือดก็ไม่ซึม น่าจะไม่เป็นอะไรมาก ก็ก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นอะไรเลย แล้วจู่ๆ จะมีอาการแบบนี้ได้ยังไง





ทุกครั้งที่คลาดสายตา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกที





"ยาแก้ปวดอยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวคินหยิบให้" ผมกระซิบบอกเขา จริงๆ แล้วผมคิดว่าเขาน่าจะหายแล้วแต่ดีจริงๆ ที่เตรียมพกยามาเผื่อเอาไว้ ผมลุกขึ้นทั้งๆ ที่อุ้มเขาอยู่ มันไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลยกับน้ำหนักตัวแค่นี้





และผมห่วงอาการของเขาเกินกว่าจะสนใจใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย





"เรย์ขอโทษนะเอม" ผมชะงักเมื่อร่างเล็กตัวสั่นพูดเสียงเครือ แรงรัดรอบคอแน่นขึ้น "เรย์ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้เอมทะเลาะกับคิน ฮึก เรย์ไม่ได้ตั้งใจ"





ผมยืนนิ่งงันเพื่อฟังสิ่งที่เรย์พูด เจ้าตัวพูดไปสะอื้นร้องไห้ไป





"คินอย่าโกรธเรย์นะ เรย์แค่กลัว...แต่เอมเขาโกรธเรย์ที่ทำเหมือนแย่งคินมา ฮึก คิน" ผมกอดตอบเขาที่พูดกับผมแน่น ลูบหลังที่สะท้านเฮือกราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร





ผมรู้สึกโกรธที่เอมบอกว่าเรย์เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมทะเลาะกับเขา...ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย





มันเป็นเพราะสิ่งที่เขาทำต่างหาก...เพราะเขาทำแบบนี้ จะไม่ให้ผมโกรธได้ยังไง





ทั้งโกรธ ทั้งไม่เข้าใจ ทำไมเรย์ถึงต้องมาเจ็บตัวทุกครั้งที่อยู่กับเอมด้วย...ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ





บอกกูว่าอย่าใช้แต่ตามองเหรอ...แต่ทุกครั้งที่กูเห็น มันก็เป็นแบบนี้ แล้วจะให้กูเข้าใจว่ายังไงล่ะเอก





สัมผัสเปียกชื้นตรงซอกคอที่ร่างเล็กร้องไห้ซุกซบจนผมรู้สึกได้ "เจ็บ ไม่เอาแล้ว"





“หยุดพูดนะเรย์!” คนที่ยืนเงียบอยู่โพล่งออกมาราวกับทนไม่ไหว "ไม่ใช่นะคิน เรย์โกหก เอมไม่ได้..."





"นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!"





ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือกกับเสียงตะคอก ใบหน้าหวานซีดเซียวมองผม ใบหน้าเจ็บปวดที่เหมือนจะร้องไห้นั่น...อีกแล้ว





สายตารอบข้างที่หันมามองไม่ทำให้ผมสะทกสะท้าน มือใหญ่ลูบปลอบแผ่นหลังเล็กที่กระตุกเพราะแรงสะอื้นอยู่ในอ้อมแขน “เรย์เป็นขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือไง...บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งอีก ทำไมไม่ฟัง!”





ผมเคยบอกเขาแล้ว...แล้วทำไมเขาถึงไม่ฟังผม ทำไมเขาถึงไม่หยุดเสียที





“เงียบทำไม ฉันถามว่าไม่พอใจหรือไง!!”





ไม่ใช่แค่ชะเอมที่ตกใจ ร่างเล็กๆ ของเรย์ก็สะดุ้งกับเสียงดังของผมเช่นกัน ร่างผอมบางหน้าซีดเซียว ริมฝีปากอ้าค้างแล้วขบกันเองแน่น เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดเสียที...นานเกินกว่าที่ผมอยากจะฟัง





ขายาวเดินออกมาจากที่ตรงนั้น







ไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่แผ่วเบา...เสียงที่เรียกสุดลมหายใจ











************************Whose fault? ************************











“หึ...หึหึ”





“…”





"ฮ่าๆ โอ๊ย สะใจเป็นบ้า เห็นหน้ามันวันนี้รึเปล่า ซีดอย่างกับไก่ต้ม"





เสียงใสหัวเราะดัง ดูฉอเลาะจนคนฟังขมวดคิ้ว





"ทำเกินไปรึเปล่านะ" เสียงแหบโหยพูดขึ้นเมื่อมองใบหน้าน่ารักหัวเราะอย่างน่ารังเกียจ





"มึงว่าอะไรนะ" เรย์หันขวับเมื่อได้ยินอะไรไม่เข้าหู สายตาหาเรื่องผิดรูปลักษณ์ปกติที่มักจะแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น "มึงกล้าขัดกูเหรอ?"





อีกฝ่ายหุบปากฉับ พูดเสียงแผ่ว "...เปล่าครับ"





"ทีหลังไม่ต้องสะเออะ แล้วก็ห้ามขัดกู อย่าลืมว่ากูมีความลับของมึงอยู่"





อีกฝ่ายเบิกตาทันที "แต่นั่นน่ะมันเพราะคุณ...!"





"พูดอะไรคิดให้ดีๆ ไม่ใช่เพราะพ่อกูเหรอครอบครัวมึงถึงอยู่รอดได้จนมาถึงวันนี้น่ะ" เรย์หรี่ตา





ริมฝีปากแห้งผากขบกัดกันอย่างอึดอัดคับใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ "...ครับ คุณเรย์"





"เออ ทำตามที่สั่ง เอาเงินไปใช้สบายๆ แล้วก็ปิดปากเงียบซะมันไม่เห็นจะยากตรงไหน" เรย์พูดยิ้มๆ ก่อนกุมคางทำหน้านึก "ครั้งหน้ากูจะให้มึงทำอะไรดีนะ...ให้ไปดักตีหัวมันไปเลยดีไหม เอาแบบให้ความจำเสื่อมหรือตายไปเลยอะไรแบบเนี้ย"





ร่างเล็กแสยะยิ้มบิดเบี้ยว ยิ่งนึกถึงตอนที่ไอ้เอมทำตัวสำออยแล้วมันยิ่งน่าหมั่นไส้





"...คะ คุณเรย์...มะไม่เอานะครับ ผม...ผมไม่...!" อีกฝ่ายหน้าซีดปากสั่นทันทีกับความคิดน่ากลัวที่ร่างเล็กพูดออกมาได้อย่างหน้าระรื่น





คนๆ นี้...น่ากลัว...





"ล้อเล่นๆ" เรย์ว่าแล้วหัวเราะดัง "มึงนี่ก็นะ ขับรถชนกูก็เคยมาแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก"





"!!"





"เฮ้อ...เอาเถอะ ตอนนี้ยังก่อนก็ได้ รอดูท่าทีของคินแล้วค่อยคิดอีกที" เรย์หมดเรื่องจะพูดแล้วกำลังก้าวขาเดินออกไปจากหลังต้นไม้ต้นนั้น แต่ก็ชะงักก่อนหันมาชี้นิ้วสั่งเสียงเข้ม "มึงรออยู่นี่ ให้กูออกไปก่อน แล้วมึงค่อยตามออกไป อย่าให้คนเห็นว่ามึงกับกูคุยกัน...เข้าใจ๊"





"..."





แซ่ก แซ่ก





คนที่เหลืออยู่ยืนก้มหน้านิ่งงัน ภายในความมืดและเงียบได้ยินแต่เสียงลมและใบไม้เสียดสี มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่น กรามขบกัดจนปูด น้ำตารื้นขึ้นมาปริ่มขอบตาด้วยความสมเพชตัวเอง





ทำไม...ทำไมเราต้องมายอมทำเรื่องน่าละอายแบบนี้ด้วย





...ช่างน่าละอายใจตัวเองเหลือเกิน...



"คุณท่าน..."





เสียงสั่นเครือเพรียกหาใครบางคนที่อยู่แสนไกล





************************Whose fault? ************************


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:36:02


                                                    Whose Fault ?



                                                     ผิด...ครั้งที่ 16









โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





เอกหันมาหรี่ตามองหน้าผม “เมื่อกี้มึงว่าไงนะ”





​“ก็กูบอกว่าเอมทำอะไรเรย์ก็ไม่รู้ เรย์ก็ไม่ยอมพูดซะที...กูก็เลยไม่อยากพูดไง” ผมอธิบาย เมื่อกี้ผมให้เขานอนพักเพราะเจ้าตัวบอกว่ายังปวดหัวไม่หาย แถมถามอะไรก็ไม่พูดสักคำ





“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ...”





"งั้นเรื่องวุ่นวายเมื่อกี้คือเรื่องนี้เองเหรอ" ตาลถาม "แล้วเอมเป็นไงบ้างอะ"





"..." คำถามของตาล ชั่วแวบหนึ่งดวงตากลมโตสั่นไหวที่ทำให้ผมรู้สึกผิดได้ทุกครั้งแล่นเข้ามาในหัว





ผมเงียบเมินคำถามนั่น





อย่ามาทำให้สับสน...กดความรู้สึกนั่นลงไปซะ





​เอกกุมคาง “แล้วมึงว่าเอมทำอะไรเรย์”





​ผมขมวดคิ้ว ไอ้นี่มันถามรวนอะไรอยู่ได้ “ก็กูบอกว่ากูไม่รู้ไง มึงเข้าใจความหมายของคำว่าไม่รู้มั้ย”





"แล้วเขาพูดอะไรบ้าง"





ร่างสูงชักสีหน้า "ไม่..."





ก่อนหน้านี้ที่เกิดเรื่องชะเอมไม่ได้พูดอะไรสักคำ...ไม่สิ ตอนที่จะพูดผมก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะฟังด้วย





'คิน ไม่ใช่นะ เรย์โกหก...เอมไม่ได้...’





ตอนนั้นร่างบางจะพูดอะไรนะ...เป็นผมเองต่างหาก...ที่ไม่คิดจะฟังเขาอธิบาย







“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ กูก็แค่...” เอกเห็นสีหน้าของผมก็หันมาถาม แววตาไม่เข้าใจบางอย่าง “มึงไม่สงสัยบ้างหรือไง...ทำไมเรย์ถึงเจ็บตัวทุกครั้งที่อยู่กับเอม ที่สำคัญคือเฉพาะอยู่กันตามลำพังสองคน” แล้วก็ดันเป็นตอนที่มึงไปเจอช็อตเด็ดเข้าให้ทุกครั้งด้วย...เอกต่อประโยคนั้นในใจ





“มึง...” ผมฟังแล้วก็อดสะกิดใจไม่ได้ เพราะผมก็เคยคิดแบบนั้นจริงๆ “คิดอะไรอยู่”





​“กูก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เลยไม่อยากฟันธง” สายตาคมปรายตามองผม “แล้วกูก็ไม่อยากบอกมึงตอนนี้ด้วย”





ผมที่ยืนฟัง คิ้วกระตุกทันทีที่มันบอกแบบนั้น ตาลที่ยืนข้างๆ ก็ยิ้มแหยกับการกวนอารมณ์ที่ไม่ถูกกาลเทศะของเอก





"ทำไมวะ"





มุมปากคมเหยียดยิ้ม "ไว้มึงเปิดใจให้กว้างกว่านี้อีกหน่อยกูจะบอกก็แล้วกัน"





ไอ้เอกนี่แม่งชอบกวนประสาทผมอยู่เรื่อย มันบอกว่าผมพูดวกวน มันก็พูดวกวนเหมือนกันล่ะวะ...ยิ่งพูดยั่วโมโหผมเนี่ยถนัดชิบหาย





'กูสังหรณ์ไม่ค่อยดี มึงจะไปดูหน่อยมั้ย'





คินนึกขึ้นได้ "แล้วเรื่องที่มึงพูดก่อนหน้านี้...ทำไมเหมือนมึงถึงรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น"





"นั่นกูก็ไม่บอก"





"มึงจะทำตัวเป็นนักสืบกลัวความลับรั่วไหลเพื่อ" ผมพ่นลมหายใจกับอาการเล่นตัวของเพื่อนตัวเอง ผมว่ามันน่าจะไปเรียนเกี่ยวกับตำรวจหรือไม่ก็กฎหมายดีกว่าเรียนวิศวะนะ





พูดถึงตำรวจ...นี่ผมลืมไปได้ไงว่าพ่อมันเป็นผู้กำกับการตำรวจแห่งชาติ...ยศใหญ่ซะด้วย





"กูแค่สังหรณ์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้บอกว่าจะมีจริงๆ ซักหน่อย...ถึงมันจะมีจริงๆ ก็เหอะ" เสียงทุ้มพึมพำท้ายประโยค





ผมมองมันด้วยสายตากดดัน สายตาที่บอกว่า 'อย่ามาเล่นลิ้นกับกูให้มาก'





"มองแบบนั้นกูไม่กลัวหรอกนะจะบอกให้" เจ้าตัวยักคิ้วให้ผมชวนให้อยากเอาฝ่าเท้าประทับบนหน้า ใครบอกไอ้นี่มีบุคลิกนิ่งขรึม พูดน้อย ผมนี่แหละค้านสุดฝ่าเท้าเลย





"จะบอกไม่บอกวะ"





"กูบอกแล้วไงให้มึงเปิดตาที่สาม อย่าใช้สองตามอง แล้วกูถึงจะบอก"





"ไอ้เชี่ยนี่กวนส้นตีนอยู่ได้!"





"พวกมึงอย่าทะเลาะกันนะเว้ย" ร่างโปร่งแทรกตัวเข้ามาคั่นระหว่างผมที่จะพุ่งไปหาเอก แต่ด้วยความสูงที่ถึงแค่ปลายจมูกก็ยังขวางสายตาคมสองคู่ที่จ้องกันไม่ได้





"เอก ห้ามทะเลาะกันนะ~" ตาลเห็นท่าไม่ดี ห้ามคินก็ไม่น่าจะได้ อย่างน้อยตัวเองก็น่าจะพูดให้เอกใจเย็นได้ ร่างโปร่งยกมือสองข้างปิดตาคนตัวสูงไม่ให้สบกัน





...ก็เคยได้ยินเขาว่ากันว่าแค่จ้องตาก็ฆ่ากันได้





เอกเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "ฮืม...แต๊ะอั๋งกันเหรอ ฮะ...นี่แน่ะๆ แต๊ะอั๋งต้องโดนแบบนี้"





"อ๊ะ เฮ้ย ฮ่าๆ จะ...จั๊ก...จี๋ ฮ่าๆ โอ๊ย" ตาลดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนใหญ่ที่กอดเอวบางแน่น สองมือไม่อยู่สุกลงแรงกับจุดที่รู้ว่าทำยังไงให้ร่างโปร่งหัวเราะน้ำตาเล็ดได้ "ฮื้อ ปล...ปล่อยได้แล้ว เหนื่อย คิกๆ"





ผมยืนมองเป็นหมาหัวเน่า หมดมู้ดจริงจังเพราะไอ้ห่าสองตัวนี่แหละ เอกสบตาผมก่อนที่จะยกร่างในอ้อมแขนขึ้นพาดไหล่ "เฮ้ย! ปล่อยนะ~ คิน ชะ..ช่วยกูด้วย~" สองมือเรียวทุบแผ่นหลังหนาดังปั้กๆ หลายครั้งแต่ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้าน





"ถ้ามึงเป็นห่วงเรย์นัก ก็ 'ดูแล' ดีๆ ก็แล้วกัน" เอกหันมาพูดกับผม ใบหน้าของมันยิ้มระรื่นอารมณ์ดีมากกว่าเดิม ไม่สนใจคำท้วงเสียงดังและแรงประทุษร้ายของตาลสักนิด





"เรย์ก็เพื่อนมึงเหมือนกัน ทำไมดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยวะ" ผมข้องใจถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย ตั้งแต่คราวที่เจ้าตัวนอนโรงพยาบาลครั้งที่แล้ว มีแค่เอกคนเดียวที่ไม่มาเยี่ยม





"นี่กูก็เดือดร้อนเหมือนกันนะ เพราะเพื่อนของเราคนนี้ชอบทำตัวให้ 'เป็นห่วง' อยู่เรื่อย" เสียงทุ้มใสยังโหวกเหวกโวยวายไม่หยุดท่ามกลางความเงียบที่ผมยืนมองตาไอ้คนความลับเยอะ ประโยคที่มันพูดมีความนัยอะไรบางอย่างที่มันเข้าใจอยู่คนเดียว





"อีกอย่างแค่มีมึง เรย์มันคงไม่อยากได้ความเป็นห่วงของกูหรอกเว้ย...เดี๋ยวกูขอตัวไปจัดการ 'ธุระส่วนตัว' ก่อน" เอกหันหลังโบกมือให้





“เดี๋ยว!”





“อะไรอีก” เอกทำเสียงเนือยๆ อย่างรำคาญ





“เรื่องที่มึง ‘รู้’ เมื่อไหร่ถึงจะบอกกู”





“เอกปล่อยกูนะ~” เสียงทุ้มใสของตาลแทรกขึ้นมา แต่เอกก็ทำหูทวนลมคุยกับคินต่อด้วยใบหน้านิ่ง





“กูว่ากูบอกมึงไปแล้วนะ”





“อย่าเมินกันเซ่!”





“อันที่จริงเรื่องที่กูรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันไม่สำคัญเท่าเรื่องที่มึงคิดและเชื่อว่าจะให้มันเป็นยังไงหรอก”





ผมขมวดคิ้ว





“กูรู้ว่ามึงไม่เข้าใจ ถึงมึงจะฉลาดในเรื่องการเรียนหรือเรื่องอื่นหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องความรักมึงโง่มาก” เอกแสยะยิ้มเหมือนสะใจที่ได้ด่าผมอย่างเนียนๆ “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ถ้ามึงรู้ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ได้เมื่อไหร่ และถึงตอนนั้นยังอยากจะ ‘รู้’ อยู่ล่ะก็ค่อยมาถามกูอีกทีก็ได้...ถ้ามันยังไม่สายเกินไปล่ะก็นะ”





ประโยคหลังที่บ่นพึมพำ คำพูดนั้นก็ถูกพัดให้หายไปกับสายลมและกลืนไปกับป่าไม้ ไม่มีวันที่คินจะได้ยิน





ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าหากมึงยังไม่ ‘รีบ’ รู้สึกตัวเร็วๆ ...มึงอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตจริงๆ แน่...คิน





“กูไปทำ ‘ธุระ’ ของกูละ”





เอกบ่น พร้อมกับขายาวตวัดก้าวออกไปทันที พร้อมกับเสียงโวยวายของตาลที่ค่อยๆ เบาลง





"หึ" 'ธุระส่วนตัว' ที่ว่าก็คือร่างโปร่งที่โหวกเหวกโวยวายที่ถูกพาดบนไหล่ของมันเหมือนปลาตากแห้งนั่นล่ะสิ





ขาคู่ยาวเดินกลับไปที่ๆ ทำงานกันเมื่อครู่ เขายังไม่ลืมว่ามาที่นี่ทำไม ถึงความสงสัยจะมากมาย...แต่งานของมหาลัยเป็นเรื่องส่วนรวมที่ต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก





เรื่องส่วนตัวพักเอาไว้ก่อน





แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ ในระหว่างทางการทำงาน สายตาคมที่กวาดมองหาอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่ได้เจอร่างผอมบางนั่นอีกเลยตลอดทั้งวัน











************************Whose fault? ************************











ฉึก! ฉึก!





ผ่านมาวันที่สอง หลายๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทางกรรมการนักเรียนแบ่งครึ่งนักศึกษาหลายคณะไปทำอาหาร อีกครึ่งมาทำกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งพรุ่งนี้ก็จะสลับกัน จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่...แต่ผมก็ได้เจอกับคณะอักษร ซึ่งนั่นหมายถึงผมได้ทำงานร่วมกับชะเอม คนที่เมื่อวานผมพยายามมองหาแต่ก็หาไม่เจอ





หนีไม่พ้น...จะเรียกแบบนั้นก็ได้มั้ง





เจ้าตัวพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ผมอย่างเห็นได้ชัด แถมยัง...ไม่สบตา





และทั้งผมทั้งเขา ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น





"...เดี๋ยวเอม...ผะ ผมไปเอาต้นไม้มาให้นะ" เจ้าตัวก้มหน้าก้มตาบอกแล้วเดินออกไป





สรรพนามแทนตัวที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว เขาแทนตัวเองว่าผมยิ่งให้ดูห่างเหินเหมือนไม่เคยรู้จักกัน...ทั้งๆ ที่เคยพูดชื่อกับผมมาตลอดเวลาคุยกัน





'คิน...รอด้วย รอเอมด้วย' ร่างเล็กผิวขาวใสวิ่งเข้ามาเกาะชายเสื้อของผม น้ำตาใสคลอหน่วยอยู่ที่ขอบตากลมโตที่ไม่เคยเบนสายตาไปที่อย่างอื่นนอกจากเด็กชายผู้ตัวโตและแข็งแรงกว่าคนนี้





'โตแล้วอย่าร้องไห้สิ' เด็กชายคินอายุเก้าขวบเอ่ยดุๆ กับชะเอมที่เด็กกว่าหนึ่งปี แต่ก็ไม่ได้แกะมือเล็กๆ ที่เกาะชายเสื้อตัวเอง





'ก็คินไม่รอเอม...คินจะไปคนเดียว...คินจะทิ้งเอม' ยิ่งพูดยิ่งจะร้องไห้ ความโยเยของเด็กชายเรียกความเอ็นดูของพี่เลี้ยงและพ่อบ้านแม่บ้านได้เป็นอย่างดี





เป็นภาพที่น่ารัก...





'พูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว' เด็กชายคินเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าตัวเล็กที่ต้องคอยดูแลอยู่เสมอตามคำของพ่อ 'คินไม่ทิ้งเอมหรอกน่า'





'คินจะไปเล่นคนเดียว ไม่ชวนเอม' ร่างเล็กส่ายหน้าไม่ยอมเชื่อ แถมเบะปากเตรียมโฮเหมือนเคย 'คินจะทิ้งเอมแล้ว'





'ถ้าคนขี้แยล่ะก็คินทิ้งแน่ๆ แต่ถ้าเอมไม่ขี้แยคินไม่ทิ้งหรอก' คินกอดอกพูดขู่วางท่าเป็นพี่ชายท่าทางน่าเอ็นดู





'เอมไม่ขี้แย!' แขนเล็กปาดน้ำตาบนหน้าทิ้งอย่างรวดเร็ว แต่อีกข้างก็ยังจับเสื้ออีกฝ่ายแน่นไม่ปล่อย 'เอมไม่ขี้แยแล้ว' ปากเล็กพูดฉะฉานพลันยิ้มสดใสประกอบ เมื่อคินเห็นก็ยิ้มหัวเราะออกมา





'ดีมากๆ เอมเก่งๆ' มือป้อมที่ใหญ่กว่าลูบหัวเล็ก ผู้ได้รับคำชมก็หัวเราะคิกคักดีใจใหญ่ เจ้าตัวพูดทวนว่าเอมเก่งยิ้มตาปี๋ และลืมเรื่องเมื่อกี้ไปเสียสนิท





‘เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ ฉันกับนาย’ ...หรืออาจเป็นเพราะผมทำเย็นชาแบบนั้นกับเขาก่อน ไม่แปลกหรอกที่เขาจะทำตัวเหินห่างกับผมบ้าง





ไม่สิ...ไม่ใช่ว่าผมต้องการแบบนี้หรอกเหรอ





นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็น





และการทำงานบ่ายนี้เป็นคู่และบังเอิญชื่อของผมได้คู่กับเขา ส่วนนักศึกษาคนอื่นๆ ที่จับเป็นคู่ๆ ก็ทำความรู้จักกันแล้วกระจายพื้นที่กันไปทำงานเป็นหย่อมๆ ซึ่งเป็นงานที่ทำต่อจากเมื่อวาน หลังจากที่ยกต้นไม้มาแล้ว  วันนี้ก็จะทำการปลูกมันลงดินซะ





ผมขุดดินให้เป็นหลุม ส่วนร่างผอมบางอาสายกต้นมาวางเตรียมลงให้ ซึ่งนั่นก็ดีแล้วเพราะคนที่ใช้แรงมากกว่าคือคนขุดนี่แหละ และผมว่าผมเหมาะกับหน้าที่นี้มากกว่าชะเอมแน่นอน





แดดแรงจ้าที่ทำให้เหงื่อไหลจากหน้าผากไหลลงเข้าตา ผมชะงัก มือวางพลั่วลง หลับตาแน่นกำลังจะเช็ดมันออกจากดวงตา แต่กลับมีสัมผัสแผ่วเบามาซับลงที่ใบหน้าของผม





"อย่าเพิ่งลืมตานะ" เสียงใสพูดเบาในระยะใกล้แค่นี้ ทำให้ผมได้ยินชัดเจน ผิวผ้านุ่มเย็นชวนให้รู้สึกดีซับทั่วใบหน้าแผ่วเบา จนกระทั่งสัมผัสละออกไป "เสร็จแล้ว"





เปลือกตาเปิดขึ้น ภาพแรกที่ผมเห็นคือใบหน้าหวานสว่างใส เด็กคนนั้นที่อยู่ในความทรงจำ โตขึ้นมาแล้วยิ่งสวย...





ตาที่เผลอสบกัน เจ้าตัวรีบหลุบลง ปากบางเม้มแน่นจนไร้สี "ขะ ขอโทษ" เสียงใสหวั่นกลัว





ขอโทษทำไม?





"ผมทำอะไรโดยพลการ ขอโทษครับ" เจ้าตัวก้มหน้าพูดเสียงเบา





ชะเอมเป็นคนขี้กลัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?





"นายก็เหงื่อออกเหมือนกัน ทำไมไม่เช็ดให้ตัวเอง" ผมถาม สายตาจ้องมองใบหน้าขาวเกือบซีดที่มีเหงื่อไหลซึมเยอะไม่แพ้กัน แถมยิ่งโดนแดดแบบนี้ชะเอมยิ่งดูสว่างมาก





เจ้าตัวก้มมองผ้าเย็นในมือที่ถูกใช้แล้ว ยิ้มบางๆ "ไม่เป็นไรครับ"





ผมไม่ชอบเลยที่เขาใช้คำพูดสุภาพแบบนี้





"ลงต้นเลยมั้ย" เสียงใสถามเปลี่ยนเรื่องมือยัดผ้าลงกระเป๋าเสื้อคลุมด้านใน





แดดร้อนขนาดนี้ยังใส่เสื้อคลุมอีกเหรอ





แขนผอมบางยกต้นกล้าที่ถูกหุ้มรากด้วยถุงสีดำเตรียมไว้มาวางในหลุมที่ผมเพิ่งขุด





"ไม่พอดีนี่นา" เสียงใสพึมพำ แพขนตายาวกับตากลมโตสีดำ ริมฝีปากบางที่ขยับขึ้นลง "ตื้นเกินไป"





"คิน...คิน" เสียงเรียกชื่อชวนคิดถึงทำให้รู้สึกตัว สายตาที่มองมาที่เขาอย่างเป็นห่วง "เหนื่อยเหรอ"





"เปล่า" ผมตอบสั้นๆ เสียงห้วน ไม่อยากให้รู้ว่าเมื่อกี้เขาเผลอมองอีกฝ่ายนานขนาดไหน





"ขอโทษครับ" ชะเอมเม้มปาก สายตาเป็นห่วงเมื่อกี้เหลือแต่ความหวาดหวั่น





ขอโทษอีกแล้ว จะขอโทษทำไมนักหนา





นี่ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง





ยิ่งอยู่กลางแดดนานๆ ใบหน้าหวานซีดเซียวมากกว่าเดิม เหงื่อออกเยอะมากแต่เจ้าตัวไม่เห็นสนใจ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังเช็ดเหงื่อให้ผม แต่กลับไม่ยอมเช็ดให้ตัวเอง





ร่างสูงผุดลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ยิ่งทำให้ใจน้อยๆ เสียมากขึ้นไปอีก





ร่างบางมองตามคินที่หันหลังเดินไปไหนไม่รู้ ริมฝีปากเม้มแน่นพยายามกลั้นน้ำตาที่ผุดขึ้นจากความน้อยอกน้อยใจ แค่ความเป็นห่วงที่เขามีให้ยังทำให้อีกฝ่ายรำคาญได้ขนาดนี้เลยเหรอ





ทั้งๆ ที่เขาดีใจขนาดไหนที่ได้ทำงานคู่กับคิน แต่เขากลัว กลัวมาก...ความเย็นชาและความโกรธที่ร่างสูงมีต่อเขา





ชะเอมมองไปทิศทางที่คินเดินออกไปมันคือจุดที่ให้คนไปนั่งพัก มีน้ำมียาแล้วก็หลายๆ อย่างที่ทุกคนต้องการไปหยิบได้ ซึ่งผ้าเย็นที่เขาใช้มาซับเหงื่อให้ร่างสูงก็ขอมาจากตรงนั้นแหละ





แต่ภาพที่เห็นช่างบีบหัวใจเป็นอย่างมาก...





คินกำลังเช็ดหน้าให้เรย์อย่างอ่อนโยน เหมือนที่เขาเช็ดให้ร่างสูง ร่างเล็กยิ้มดีใจ...อดคิดไม่ได้ว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน...เหมาะสมกันมากกว่าเขา





เขาไม่น่ามองเลย...ไม่น่าหันไปมองเลย





สัญญาแล้วไงว่าเจ็บแค่ไหนก็จะทนไง...เขาน่ะ...





ร่างบางหันขวับมามองหลุมดินตรงหน้า หยิบพลั่วที่ถูกวางทิ้งไว้ออกแรงขุด สนใจแต่สิ่งตรงหน้าซะ...อย่าไปนึกถึง





อย่าไปนึกถึง





"อึก..." ไม่ไหว...ไม่ไหวจริงๆ





ฉึก!! ฉึก!!





มือบางออกแรงมากขึ้น ต้องขุดแรงๆ ...เพื่อฝังความรู้สึกเสียใจนี่ลงไปให้ลึก





อดทนไว้ ถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้...





หลังมือที่ว่างปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่สนใจว่าจะทำให้หน้าของตัวเองเปรอะดิน...ยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว

ไม่ว่าใคร...





เมื่อได้ความลึกที่น่าจะพอดี ก็ใช้สองมือยกต้นกล้าลงแล้วใช้มือกวาดดินที่ขุดขึ้นมากองอยู่ข้างๆ กลบให้พอดีกับหน้าดินส่วนอื่น





สองขาเรียวผุดลุกขึ้น เอาล่ะ ต่อไป...





"อะ..." ภาพที่มองเห็นมันพร่ามัว เข้าใจว่าตัวเองหน้ามืดเพราะลุกเร็วเกินไป แต่พอหลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่ ก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้น





ปุ!





ร่างผอมบางทรุดตัวลงเมื่ออาการวิงเวียนแทรกเข้ามาอีกครั้งเพียงก้าวขาเดินไม่กี่ก้าว พลั่วหลุดจากมือที่อ่อนแรง กระแทกลงบนพื้นดินร่วนเสียงดังพอจะให้คนรอบข้างหันมามอง





"แฮ่ก..."





ดวงตากระพริบถี่เห็นจุดด่างดวงสีดำไม่ยอมหายไปเสียที ในหัวรู้สึกหวิวๆ ลมหายใจเข้าออกเร็ว





ควบคุม...ไม่ได้เลย





เขา...





"กรี๊ด มีคนเป็นลมค่ะ!"





ใคร...เป็นลม





"อย่ามุงครับ! ขอทางหน่อย!"





ใครน่ะ...





"เอม!"





ใคร...





เสียงโหวกเหวกดังอื้ออึง กับเสียงเรียกชื่อตัวผมเป็นเสียงสุดท้าย ก่อนทุกอย่างค่อยๆ แผ่วเบาลงพร้อมกับสติสัมปชัญญะ









************************Whose fault? ************************


ต่อด้านล่างค่ะ







หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:36:37


ต่อจากด้านบน











“อ้าวคิน มาพักเหรอ”





“เปล่าหรอก มาเอาของ” ผมตอบ ตามองหาของที่ว่า “แล้วเรย์ล่ะ”





“เรย์หิวน้ำน่ะ ต้องตากแดดแบบนี้เหนื่อยมากเลยเนอะ” ผมครางรับในลำคอ ไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ “ว่าแต่คินหาอะไร”





“ผ้าเย็น”





“เห...” เสียงใสยานแปลกๆ ผมเลยหันไปมองซึ่งเขาก็มองผมด้วยสายตาแปลกๆ อยู่เหมือนกัน เจ้าตัวชี้ไปทางโต๊ะที่มีของวางเรียงรายซึ่งมีคนเฝ้าอยู่ “อยู่ตรงนั้นไง”





ขายาวเดินไปตรงโต๊ะที่ว่าทันที “ขอผ้าเย็นผืนนึงครับ ขอบคุณครับ” มือใหญ่รับมา กำลังจะกลับไปที่เดิมที่เพิ่งเดินออกมาได้สักพัก แต่ก็ต้องชะงักเพราะเรย์ยืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้





“มีอะไรรึเปล่าเรย์ คินจะกลับไปทำงาน”







“คินเช็ดหน้าให้เรย์หน่อยสิ” ได้ยินแบบนั้นผมก็เลิกคิ้ว





“ขออีกอันนึงครับ” ผมหันไปขอคนแจกผ้าเย็น รับมาแล้วยื่นให้เจ้าตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ “อ่ะ”





“ไม่เอา เช็ดให้ด้วยสิ” ตากลมมองด้วยสายตาอ้อนวอน ผมก็แกะห่ออย่างช่วยไม่ได้ ช่วยซับเหงื่อที่ซึมบนหน้าผากและข้างขมับให้ เรย์ก็ยืนหลับตาพริ้มนิ่ง





“สบายเชียวนะ” เสียงทุ้มแขวะ เจ้าตัวไม่รู้สึอะไรแถมหัวเราะแหะๆ





“งั้นให้เรย์เช็ดให้คินนะ มา” มือเล็กดึงของในมือผมออกไปและทำท่าจะแกะห่อ แต่ผมเอากลับคืนมา เรย์ก็ชักสีหน้าไม่พอใจ “เอ้า! เอามาสิ”





“ไม่เป็นไร คินเช็ดแล้ว” ผมถอยออกมาหนึ่งก้าวกับการกระทำที่เริ่มรุกรานแปลกๆ ของเรย์





"กรี๊ด! มีคนเป็นลมค่ะ!"





เสียงกรีดร้องดังขึ้นเรียกหลายคนหันไปมอง นั่นรวมถึงผมด้วย





"ใครน่ะ!?"





"ไม่รู้ว่ะ อยู่ตรงนี้มองไม่เห็น!"





หลายคนแตกตื่น เพราะไม่ค่อยเจอสถานการณ์แบบนี้





"นั่นมันชะเอมไม่ใช่เหรอ คนนั้นไงที่ได้ยินบ่อยๆ"





เอม!?





“ดะ เดี๋ยวสิคิน!” เรย์ร้องเรียก





ขายาวก้าวไปก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ผมเพิ่งจะออกมาแปปเดียว...แค่คลาดสายตาไปแค่แปปเดียว





ร่างสูงเดินแหวกคนที่ยืนมุงตรงที่ๆ ทำงานอยู่เมื่อครู่





"อย่ามุงครับ! ขอทางหน่อย!" ผมตะโกนบอกอย่างร้อนรน





พลันเห็นร่างผอมบางนอนอยู่ในอ้อมแขนของคนอื่นก็คว้าเขาออกมาทันที ชะเอมหน้าซีด ลมหายใจผิดปกติ แถมเหงื่อออกมาก ดูท่าจะยังไม่หมดสติซะทีเดียวแต่ก็น่าเป็นห่วง





ผมประคองเขาขึ้นแนบอก มือเล็กเย็นเฉียบทั้งๆ ที่แดดร้อนขนาดนี้





แขนใหญ่อีกข้างช้อนเข้าใต้ข้อพับขา ยกร่างบางขึ้นอย่างง่ายดาย ขายาวรีบรุดเดินผ่านผู้คน...ต้องพาไปที่ร่มๆ เดี๋ยวนี้





"เอม!" เสียงทุ้มคอยเรียกเพื่อให้เจ้าตัวรู้สึกตัวอยู่ตลอด แต่เจ้าของชื่อไม่ตอบสนอง ตาที่ปรืออยู่ปิดลง หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง "เอม!!"





"อย่ามุงครับ ขออากาศให้คนป่วยหน่อยนะครับ" เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ผมวางร่างเบาหวิวลงนอนบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ เขาคือรุ่นพี่ที่เป็นแพทย์ชื่ออะไรสักอย่างผมจำไม่ได้





จ่อยปรบมือเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจและให้เสียงซุบซิบนินทาเงียบลง “เอาล่ะ ใครที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็ไปทำงานของตัวเองนะครับ”





ร่างโปร่งในชุดกาวน์ทรุดตัวคุกเข่าลงข้างร่างหมดสติ เอากระเป๋าบางอย่างสอดเข้าใต้เข่าให้ยกสูง จับข้อมือเช็คชีพจร หลังมือแนบหน้าผากมนและข้างใบหน้าซีดเหมือนเช็คอุณหภูมิ ก่อนเงยหน้าตะโกนบอกใครบางคน "ขอผ้าชุบน้ำเย็นๆ หน่อยครับ"





ทุกอย่างทำรวดเร็วอย่างคล่องแคล่ว สมกับเป็นนักศึกษาแพทย์





ผมมองหน้าของชะเอมที่ซีดขาวจนน่าเป็นห่วง มือเล็กยังเย็นเฉียบเหมือนคนตายไม่มีผิด





ผมส่ายหน้า...ก็แค่เป็นลม คิดอะไรไม่เข้าท่า





ก็เพราะผมปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวนั่นแหละมันถึงได้เป็นแบบนี้





"มีไข้นิดหน่อย มาทำงานกลางแจ้งแบบนี้ไม่แปลกที่จะเป็นลมน่ะ ฝืนเกินไปหน่อยนะ" เสียงทุ้มพูดเรียกความสนใจของผม





เป็นไข้เหรอ...แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกผมสักคำ





รุ่นพี่ส่งยาดมหลอดหนึ่งมาให้ "นี่ครับ โบกไปมาเหนือจมูกน้องเขา ดมแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้น"





ผมก้มหัว "ขอบคุณครับ"





"พี่หมออิฐคะ ผ้าชุบน้ำเย็นค่ะ"





"ขอบคุณครับ" หมออิฐยิ้มสว่าง ทุกกิริยาที่เหมาะสม ผมว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอจริงๆ เขาหันมาถามผมยิ้มๆ "จะให้พี่เช็ด หรือนายจะเช็ดเอง"





คำถามที่ไม่ต้องตอบก็รู้ มือใหญ่รับผ้าเย็นๆ มาซับเบาๆ ลงบนใบหน้าซีดเซียวที่ยังไม่ได้สติ สายตาคมพิศมองใบหน้าทุกกระเบียดนิ้ว นึกถึงสัมผัสเดียวกันที่เขาทำให้กับผม





ยังไงก็หนีไม่พ้นจริงๆ ...ทั้งผม ทั้งเขา เราทั้งคู่





"รอสักพักถ้าเขารู้สึกตัวแล้วให้นอนพักไปก่อนนะ อย่าเพิ่งออกแรง เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีก แต่ถ้ายังไม่รู้สึกตัว พี่แนะนำให้ไปนอนห้องพยาบาลเลยน่าจะดีกว่า"





หมออิฐพูด ร่างสูงสดับฟังก็ได้แต่พยักหน้ารับ





"ครับ" มือเกลี่ยผมเปียกชื้นออกจากหน้าผาก มือใหญ่ทำหน้าที่แทนพัดโบกสะบัดเรียกลมอ่อนๆ ให้





ใบหน้าอ่อนเพลียนี่...ร่างผอมบางนี่ นิสัยที่แก้ไม่หายของเขาคือเป็นอะไรแล้วไม่ยอมพูด...ไม่บอกเพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นเป็นห่วง





ไม่ได้รู้เลยว่าพอเป็นแบบนี้จะยิ่งทำให้เป็นห่วงมากกว่าเดิม...เจ้าตัวไม่เคยรู้บ้างเลยหรือไง





"คิน เป็นไงบ้าง" เรย์เดินเข้ามาจากที่ไหนผมไม่ได้มอง ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งข้างร่างผอมบาง





'ถ้ามึงเป็นห่วงเรย์นัก ก็ดูแลดีๆ ก็แล้วกัน'





จู่ๆ คำพูดของเอกก็แล่นเข้ามาในหัว...มึงหมายความว่ายังไงวะ





"ไม่เป็นไร แค่มีไข้ ไปฝืนทำงานก็เลยเป็นลมน่ะ"





"เหรอ...ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก" เรย์พูดอย่างโล่งอก "เอมนี่ก็จริงๆ เลย รู้ว่าตัวเองไม่สบายยังมาทำงานอีก สุดท้ายก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจนได้"





ผมขมวดคิ้ว ประโยคที่เรย์พูดถ้าเป็นแต่ก่อนผมเข้าใจว่าเขาคงเป็นห่วง แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนเขากำลังตำหนิชะเอม





"ทำไมพูดแบบนั้น" ผมมองเขาเครียดขึง "เอมกำลังป่วย แต่เขาก็ยังมาช่วยงานคนอื่นแบบนี้จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนตรงไหน"





"เดือดร้อนคินไง ก็คินเป็นแฟนเรย์มาดูแลคนอื่นแบบนี้ทั้งๆ ที่เรย์ก็ไม่สบายเหมือนกัน เรย์ก็น้อยใจเป็นนะ"





"ไปกันใหญ่แล้ว" ผมส่ายหน้ากับความแง่งอนที่ดูไร้เหตุผลของร่างเล็ก ตอนเขาเจ็บผมก็อยู่ด้วยตลอด คอยเอาใจ ไม่สบายก็เช็ดตัวให้ ป้อนข้าวป้อนน้ำ เฝ้าไข้...มีอะไรที่ยังไม่พอใจอีก





ในขณะที่ร่างผอมบางของใครอีกคนไม่เคยเลยที่จะขออะไรจากผม...มีแต่ให้





แล้วอีกอย่าง...สำหรับผมเอมก็ไม่ใช่ 'คนอื่น'





"ที่เรย์ยอมให้ทำงานคู่กันทั้งที่เคยเป็นแฟนกันมาก่อนก็มากเกินพอแล้ว แล้วคินยังทำท่าเป็นห่วงเขาทั้งๆ ที่เขาทำร้ายเรย์ตั้งหลายครั้งนะ" ผมมองเขาอย่างแปลกใจ เรย์พูดเรื่องเก่าๆ ที่เขาไม่เคยพูดออกมาเลย ผมเคยมองเขาว่าน่าสงสารเพราะเขาเจ็บตัวเพราะชะเอม...แต่นี่อะไร? คำพูดที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่ตอนนี้ มันเป็นคำพูดของคนเห็นแก่ตัว ไม่ได้ดูน่าสงสารเลยแม้แต่นิดเดียว





"..."





"พวกคุณถ้าจะคุยกันขอให้เป็นที่อื่นนะครับ ตรงนี้มีคนนอนพักอยู่ อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักคำว่าเกรงใจ" พี่หมออิฐที่หายไปและมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้พูดแทรกขึ้น ผมรู้สึกขอบคุณที่เขาเข้ามาขัดบทสนทนาของผมกับเรย์ที่เริ่มจะบานปลาย ส่วนร่างเล็กดูจะหน้าเสียไปหน่อยๆ เมื่อโดนว่าที่หมอตำหนิเรื่องมารยาท "ขอบคุณครับ"





สาบานได้ว่าผมเริ่มกลัวหน้ายิ้มสุภาพของพี่เขาแล้วล่ะ





"อะ...อือ"





ผมสะบัดความคิดทุกอย่างทิ้งเมื่อชะเอมเริ่มขยับตัว ส่งเสียงเรียกเขา "เอม"





"เอมเป็นไงบ้าง" เรย์รุดเข้ามา รีบยื่นใบหน้าเข้าใกล้





เปลือกตาบางค่อยๆ ยกขึ้น กระพริบขึ้นลงนานนับนาทีอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่ส่งเสียงอะไรเหมือนคนมึนเบลอจนพี่หมออิฐต้องเข้ามาดูอาการ





"ถอยหน่อยครับ คนป่วยต้องการอากาศหายใจ" เสียงทุ้มเรียบนิ่งบอกเรย์ที่นั่งซะชิด จนเจ้าตัวหน้าเสียอีกครั้ง ร่างเล็กผุดลุกขึ้นถอยออกมา





"น้องครับ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง" ชะเอมไม่ตอบ แต่ดูเหมือนเขาจะยังได้ยินอยู่เลยผินหน้ามามองช้าๆ หมออิฐโบกยาดมใต้จมูกเล็กเบาๆ "หายใจเข้าลึกๆ...เป็นยังไงบ้าง มองเห็นหน้าพี่มั้ย"





คำถามถ้าฟังทั่วไปอาจจะดูตลก แต่ผมมองอาการของชะเอมตอนนี้แล้วเจ้าตัวกระพริบตาเหมือนคนยังไม่ได้สติ เขาดู...อ่อนแรงมาก





"...ครับ" เขาตอบเพียงแค่นั้นก็หลับตาลง แผ่นอกบางสะท้อนลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ





หลับไปแล้ว





"ดูท่าทางเขาจะเหนื่อยอ่อนมาก เป็นอาการปกติของคนเพิ่งฟื้นจากเป็นลมนะครับ...แต่คิดว่าเขาน่าจะมีโรคประจำตัวอะไรบางอย่างด้วย" หนุ่มคณะแพทย์อธิบาย เขาขมวดคิ้วมองผม "แล้วนายเกี่ยวข้องอะไรกับน้องคนนี้เหรอ"





ทันทีที่ได้ยินคำถาม ร่างสูงก็ขมวดคิ้ว นั่นสิ เป็นอะไร





"ผมเป็น..."





ครอบครัว?





แฟนเก่า?





เพื่อน?





คนรู้จัก?





"พอดีเขาเป็นแฟนผม เพิ่งรู้จักกับเอมก็ตอนมาค่ายเท่านั้นเองน่ะครับ" เรย์พูดขึ้น ร่างเล็กสอดแขนเข้ามากอดแขนผม ผมรีบดันเขาออกเพราะการกระทำไม่เหมาะสมแต่แขนเล็กกอดแน่น ยิ้มระรื่นไม่สนใจ เสียงใสถามว่าที่แพทย์หนุ่ม "พี่หมอมีอะไรงั้นเหรอครับ"





"อืม...เปล่าหรอก ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่รบกวนดีกว่า" ร่างโปร่งลุกขึ้น ตะโกนไปอีกฝั่ง "ขอเปลหน่อยครับ!"





ได้ยินแบบนั้นผมรีบลุกขึ้น "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผม...!" แต่โดนร่างเล็กดึงเอาไว้ "เรย์ทำอะไร ปล่อยแขนคินก่อน"





“คินจะไปไหน มาคุยกันก่อน นี่คิดจะทำอะไร แค่นี้ยังทำตัวเด่นไม่พออีกเหรอ จะประกาศให้คนเขารู้ใช่มั้ยว่าจะรีเทิร์นน่ะ” เรย์ทำเสียงแข็ง ตาจ้องเขม็งอย่างดุดัน “อยู่กันแค่แปปเดียว ถ่านไฟเก่าจะคุเหรอ”





"พูดบ้าอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว! แล้วนี่เอมเค้าเป็นแบบนั้นจะปล่อยไปคนเดียวได้ยังไง"





"แค่เป็นลมแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก มีคนดูแลตั้งเยอะแยะ" แล้วยังมีพี่หมอสุดหล่อนั่นอีก มือเล็กเผลอบีบแขนใหญ่...ร้ายนักนะชะเอม เรียกร้องความสนใจกันแบบนี้ จะเอาทั้งผัวเก่าผัวใหม่พร้อมกันเลยสิท่า





"วันนี้เป็นอะไรเรย์ โมโหอะไรมาทำไมพูดไม่รู้เรื่อง"





"ก็คินนั่นแหละ! ลืมไปแล้วเหรอว่าเอมทำอะไรเรย์ ยกโทษให้เค้าแล้วเหรอ หึ...ง่ายจังนะ"





"เรย์!"





ทำไมวันนี้คนน่ารักถึงเป็นแบบนี้ เจ้าตัวไม่เคยดูถูกคนอื่น วันนี้ดูโมโหง่าย...งี่เง่า





"เรย์ชอบคินขนาดไหน คินไม่รู้หรอก" ร่างเล็กน้ำตาปริ่มขอบตา "เรย์รอคอยวันที่คินจะมารักเรย์ แต่คินเป็นแบบนี้ เรย์ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"





"..."





"คินบอกว่าเลิกกับเอมแล้ว แต่จริงๆ ยังรักอยู่ใช่มั้ยล่ะ!?"





เจ้าตัวโวยวายเสียงดังทั้งน้ำตา ไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทากับสายตารอบข้าง แต่ผมว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่สามารถคุยกันได้แล้วล่ะ ยิ่งจะมีแต่ทะเลาะกันมากขึ้นไปเปล่าๆ





"เรย์ ไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน" ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้รู้สึกยังไง แต่ใจไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว...ใจผมไปตามไปตั้งแต่ใครอีกคนถูกหามเปลออกไปแล้ว

















“นี่คุณไม่มีงานทำหรือไงครับ” จ่อยที่เห็นคนยืนนิ่ง ท่าทางจะอู้งานเลยเข้ามาถาม ซึ่งร่างเล็กตวัดหันมองตาขวาง “ฮึ่ย” ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเดินกระทืบเท้าออกไป





ทั้งคิน ทั้งไอ้ชะเอม ทั้งพี่หมอ ทั้งไอ้จ่อยหัวเกรียน...แต่ละคนทำเหมือนเขารกหูรกตา เป็นส่วนเกิน





ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขวางหูขวางตาไปหมด





ไม่สบอารมณ์...ไม่สบอารมณ์จริงๆ!!







ร่างสูงทรงสกินเฮดมองแล้วก็กระพริบตางงๆ “อะไรวะ” ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเดินไปทางอื่นเพื่อทำหน้าที่ต่อ







************************Whose fault? ************************
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:38:37



                                        Whose Fault ?



                                        ผิด...ครั้งที่ 17











โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม











ทุกครั้งที่ตื่นจากฝันอันยาวนาน





สิ่งที่พบคือความเงียบเหงาจากการนอนอย่างเดียวดาย...ทุกค่ำ...ทุกคืน





เสียงแอร์...เสียงนกร้อง...เสียงผ้าปูที่นอน





แล้วทุกครั้งก็จะพบว่าเขาอยู่คนเดียว...ไม่มีใคร





ถ้าวันไหนไม่สบาย ก็จะฝันร้าย





ฝันถึงพ่อ...ทำร้ายเขา...อย่างเจ็บปวด...ทรมาน





เสียงฟ้าผ่า...เสียงกรีดร้อง...เสียงสะอื้น





ทุกค่ำ...ทุกคืน...ผ่านไป





แล้วทุกครั้งก็จะพบว่าเขาอยู่คนเดียว...ไม่มีใคร





เหมือนเดิม















"พวกมึงปล่อยกูดิวะ!"





สัมผัสแรกที่รับรู้คือเสียง...โวยวาย





"ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ คุยกันดีๆ"





"นี่พวกนาย เอะอะโวยวายอะไรกัน มันรบกวนคนไข้นะ! ออกไปข้างนอกให้หมดเลย"





"ผมจะอยู่ครับพี่หมอ"





เสียง...





"อยู่กับผีสิ มึงน่ะควรออกไปคนแรกและเดี๋ยวนี้ด้วย"





"ดิน"





"มึงดูมันพูด หึย รอให้เอมเป็นอะไรไปก่อนค่อยมาเห็นใจหรือไง ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยสนใจเลย"





"แล้วพวกมึงเป็นใคร รู้จักกูรึไง"





เสียงของ...คิน





"ไอ้เวรนี่ ดูมันถาม...พวกกูก็เป็นเพื่อนเอมน่ะสิวะ!"





"ดินมึงหยุดพูดเลยเดี๋ยวกูคุยเอง"





"ราม นี่มึง...!"





"กูไม่ได้จะมาห้ามมึงหรอกนะคิน แต่มึง...คนที่เคยทำเอมร้องไห้โดยไม่แยแสเขาเลยน่ะ...มาทำอะไรที่นี่"





"...นี่มันไม่ใช่เรื่องของพวกมึง กูไม่จำเป็นต้องบอก"





คิน...ใช่คินจริงๆ





สัมผัสต่อมาคือ...ฟูกที่นอน และ ผ้าห่ม เพดานสีขาว และ...คนที่อยู่ตรงหน้า





"...ใคร..." เสียงโหยเอ่ยขึ้น





"!" เหมือนทั้งห้องเงียบไป แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและใบหน้าที่รู้จักก็เริ่มรุมล้อมเข้ามา





"ตื่นแล้วเหรอ" คนข้างๆ เตียงที่ร่างผอมบางไม่รู้จักพูดขึ้น "เอาล่ะ พวกนายออกไปกันได้แล้ว มันเกะกะนะ"





"ผมบอกพี่หมอไปแล้วว่าผมจะอยู่"





"คิน..." ร่างบางเรียกชื่อเสียงแผ่ว สายตามองแต่ที่ใบหน้าคมเครียดขึง





เสียงที่ได้ยินคือคินจริงๆ ...เขาไม่ได้หูแว่วไปเอง





คินอยู่ที่นี่





"นี่มึงยังจะ...!" ดินถลึงตา





"เอาล่ะๆ ออกไปรอข้างนอกได้แล้ว" สินที่เงียบที่สุดเอ่ยขึ้น ดึงตัวดินที่ขืนตัวออกไปจนได้ ส่วนรามก็เดินตามไป "พวกเรารออยู่ข้างหน้านะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ร้องดังๆ เลย"





"นี่พี่ก็อยู่ด้วยนะ จะเกิดอะไรขึ้นได้กันล่ะ จริงๆ เลยเด็กพวกนี้" หนุ่มคณะแพทย์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ หันมาก้มหน้าพูดกับชะเอมที่นอนปรือตาอยู่เหมือนคนตื่นไม่เต็มที่ "ว่าไงครับ น้องชะเอม รู้สึกยังไงบ้าง"





ร่างผอมบางยิ้มบาง พยักหน้าน้อยๆ "...ครับ รู้สึกเหนื่อย ไม่ค่อยมีแรงเลยครับ" พยายามยกแขนขึ้นก็รู้สึกหนักเหลือเกิน





"จำได้ไหม ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น"





"...ผม...” ร่างบางพยายามนึก “ผม...จำไม่ค่อยได้"





อิฐยิ้มเข้าใจ "น้องเป็นลมน่ะ จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกตัวแล้วนะ แต่ก็หลับไปทันทีเลย”





“เหรอครับ ผมจำไม่ค่อยได้เลย”





 “พี่ก็ว่างั้น แถมน้องรู้สึกจะมีไข้ด้วย ก่อนหน้านี้ไม่สบายเหรอ"





"น่าจะนะครับ" ร่างบางตอบเสียงเบาไม่ค่อยแน่ใจ





"อืม ถ้างั้นวันนี้พี่ขอห้ามไม่ให้ออกไปทำงานแล้วนะ นอนพักไปจะดีกว่า เดี๋ยวถ้าเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาอีกคราวนี้อาจต้องส่งโรงพยาบาลให้น้ำเกลือแทน" หมออิฐทำหน้าดุขู่ แต่เขาไม่ได้ขู่เล่นๆ นะ...พูดจริงทั้งนั้น กับคนที่ดูหัวดื้อไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองไม่สบายอยู่อย่างน้องคนนี้เนี่ยต้องใช้ไม้แข็งเข้าว่า





"ตะ...แต่..."





"ห้ามแต่"





"..." มือบางขยุ้มผ้าปูเตียง อุตส่าห์ได้อยู่ใกล้ๆ กับคินแล้วแท้ๆ ...เขามีเวลาแค่วันนี้กับพรุ่งนี้เท่านั้นที่จะได้อยู่ข้างๆ ...มีแค่ช่วงนี้เท่านั้น





แล้วทำไม...ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้





"พี่หมอ ต้องตรวจอะไรอีกมั้ยครับ" ร่างสูงยืนมองอยู่พูดกับว่าที่แพทย์ ซึ่งร่างโปร่งในเสื้อกราวน์สีขาวก็ส่ายหน้า มือล้วงกระเป๋าหยิบปากกาออกมากด





"น่าจะไม่ต้องแล้วล่ะ" เจ้าตัวทำท่านึกเหมือนติดใจอะไรบางอย่าง ก่อนร้องเสียงดัง "เอ้อ ว่าแต่น้องชะเอมมีโรคประจำตัวรึเปล่า พี่ว่าจะถาม"





ร่างบางได้ยินก็เผลอสบตาคมกริบที่จ้องมองมา ก่อนจะเบนหลบตอบคำถามเสียงเบา "...ไม่ครับ"





หนุ่มแพทย์ควงปากกาเคาะกระดานจดในมือ "อือฮึ แล้วปกติไม่ได้กินยาอะไรใช่ไหม"





"ไม่ครับ" ร่างบางส่ายหน้าอีกรอบ





"โอเค เรียบร้อย" มือจดยิกๆ เป็นลายมือที่เจ้าของอ่านออกคนเดียว





"ผมขอคุยกับเขาสองคนได้มั้ยครับ" คินพูดกับอิฐแต่มองหน้าชะเอม





"อ่า เอาสิ" ร่างโปร่งใช้ปากกาเกาหัว...ไหนบอกว่าเพิ่งรู้จักกันไง





อิฐโคลงหัวประมาณว่าตามสบายเลย ขาเรียวเดินออกไปให้ความเป็นส่วนตัว จากนั้นในห้องเหลือแค่สองคน...ตามลำพัง





"คิน..." ร่างบางขยับตัว





"ไม่ต้องลุกหรอก" ร่างสูงบอก หย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียง มือใหญ่ยื่นมือมาสัมผัสหน้าผาก ไล้มาที่แก้ม ชะเอมปรือตาเอียงหน้าเข้าหาฝ่ามือ





อุ่นจัง...เหมือนฝันเลย





นานแค่ไหนแล้วนะ





"คิน" เสียงใสสั่นเครือ สัมผัสละออกไปแล้ว...ทำไงดี น้ำตามัน...จะไหล







ร่างบางขยับตัวอีกครั้ง แขนยันตัวเองจะลุกขึ้น อยากคุย...





"อย่าฝืนน่า"





"ไม่เป็นไรครับ ผม...ผมไหว" กว่าจะพาร่างหนักๆ ของตัวเองขึ้นมาได้โดยไม่มีความช่วยเหลือ จนในที่สุดชะเอมก็ขยับตัวนั่งพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแรง ทุกการกระทำอยู่ภายใต้สายตาคม "...เรย์ล่ะ"





คินเลิกคิ้ว "ถามทำไม"





"ปะ เปล่า" เสียงเรียบนิ่งของร่างสูงทำให้ชะเอมตอบเสียงละล่ำละลัก "ไม่มีอะไรครับ"





แค่แปลกใจ เพราะตั้งแต่ทะเลาะกัน ก็มักจะเห็นเรย์อยู่กับคินเสมอ





"ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง"





"เอ๊ะ เอ่อ..." ชะเอมอึกอัก สมองคิดคำตอบไม่ทันเพราะคำถามที่ไม่ได้ยินมานาน





"ไม่สบายทำไมไม่บอก ออกไปฝืนทำงานทำไม" เสียงทุ้มเรียบนิ่ง ทำให้รู้สึกว่าโดนตำหนิ ร่างบางหน้าชา ที่ถามเมื่อกี้เพราะอย่างนี้เองเหรอ...ไม่ได้เป็นห่วงกันสินะ





"ขอโทษ...ครับ" ชะเอมพูดเสียงเบาใบหน้าก้มต่ำ "ก็แค่..."





เสียงพัดผ่านแผ่วเบา คินเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน





"ผมก็แค่อยากจะอยู่ใกล้ๆ คินเท่านั้นเอง"





เรื่องแค่นี้ที่ปรารถนา แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนจนได้





"ขอโทษครับ ฮึก"





แปะ แปะ





"คินโกรธผม เกลียดผมแล้วใช่มั้ย" เสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลผ่านปลายจมูกหยดลงบนผ้าปูสีขาว "เอมไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำยังไง คินถึงจะคุยกับผมดีๆ บ้าง"





"ผมพยายามแล้ว...แต่ อึก ฮึก"





'นายนั่นแหละ หยุดพูดได้แล้ว!!'





แต่อีกฝ่ายไม่ยอมฟังกันบ้างเลย







"พอรู้ว่าได้ทำงานกับคิน เอมก็คิดว่าจะได้อยู่ใกล้ๆ ...ก็เลย..." ไม่ว่าจะรู้สึกไม่ดี จะไม่สบาย...ร่างกายจะต้องฝืนแค่ไหน ก็อยากจะอยู่ข้างๆ





อยากคุย





อยากอธิบาย





ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด





'พี่ขอห้ามไม่ให้ออกไปทำงานแล้วนะ นอนพักไปจะดีกว่า'





สิ่งที่ปรารถนากลายเป็นแบบนี้...เพราะร่างกายอ่อนแอของตัวเอง





"ผมไม่ได้ตั้งใจ...ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนครับ" มือยกขึ้นปาดน้ำตา...บ้าจริง...ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวก็โดนว่าว่าเรียกร้องความสนใจอีก





"นาย..." ร่างสูงได้ฟังก็นิ่งอึ้งกับความคิดและความในใจของอีกคน "ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น"







'คินชอบเอมที่สุด'





คำสารภาพในสมัยเด็กไร้เดียงสา ที่ตอนนี้เติบโตเป็นหนุ่มร่างสูงใหญ่...คงจะลืมไปแล้วสินะ





แต่เขายังจำได้ดี...ไม่เคยลืมเลย





'เอมก็ชอบคินที่สุดเลย'





"ชอบ...ชอบคิน" ชะเอมยิ้มทั้งน้ำตา ทั้งสั่นเครือและแผ่วเบา แต่กลับดังก้องในหัวใจ...คำๆ นี้ "ผมชอบคิน"





เรื่องอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง





แต่แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่อยากให้อีกฝ่ายเชื่อ...ความรู้สึกของเขา





"ผมชอบคินครับ ชอบ..." ยิ่งพูดความรู้สึกยิ่งทะลักทลาย พร้อมกับน้ำตาที่ไหลผ่าน





ทั้งเจ็บปวด ทั้งทรมานเวลาที่คิดว่าสายตาคมคู่นี้มองอย่างเกลียดชัง เย็นชา





ความรู้สึกของเขาถ้าหากส่งผ่านไปได้...ก็อยากจะให้อีกฝ่ายรับรู้เอาไว้





เสียงสะอื้นดังต่อเนื่องไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผ่านไปนานจนคิดว่าร่างสูงคงไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว





"ไม่ต้องพูดแล้ว" ในที่สุดคินก็พูดขึ้น เป็นประโยคที่ทำให้ร่างบางต้องรีบกลั้นสะอื้นเช็ดน้ำตา





อา คงรำคาญสินะ





"ฮึก คะ ครับ ขอโทษ..."





"อย่าบอกนะว่าเพราะนายชอบฉัน ก็เลยทำร้ายเรย์" น้ำเสียงเรียบนิ่งกับสายตาคมที่จ้องมาทำเอาไม่กล้าสบตา ถึงอารมณ์จะไม่รุนแรงเท่าครั้งก่อนแต่ก็ช่างบีบคั้นหัวใจ "นายรู้ว่าเรย์ชอบฉัน นายก็เลยไม่ชอบเรย์ไง เป็นแบบนั้นใช่รึเปล่า"







"มะ ไม่ใช่..." ชะเอมพูดได้ไม่เต็มปาก เขาก็ไม่ชอบเรย์จริงๆ แต่ไม่ใช่อย่างที่คินเข้าใจ





"หรือคิดว่าพูดเรื่องนี้แล้ว ฉันจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น"





"...มะ ไม่ใช่นะ..." ริมฝีปากบางขบกัด สายตาลังเลว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ เป็นเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้ชะเอมไม่กล้าที่จะพูดอะไรทั้งนั้น





ไม่ เขาสัญญาแล้วว่าจะพยายาม จะอดทนจนกว่าจะทำให้คินเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้...





"ไม่ใช่...เรื่องนั้นผมไม่ได้ทำนะ"





"หืม?"





"ครั้งแรกก็เหมือนกัน ที่คินเห็น เรย์ล้มใส่แจกันเอง แถมแจกันนั่นเขาก็เป็นคนทำแตกเอง" เสียงใสอธิบายสั่น แววตาของคินยังคงนิ่งไม่แสดงอะไร "ผมไม่ได้ทำอะไรเลย จริงๆนะ"







เสียงทุ้มครางต่ำ ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อย "แล้วรอยตบบนแก้มล่ะ จะบอกว่าเรย์ตบหน้าตัวเอง?"







"นั่น...ผมเป็นคนทำเอง แต่นั่นก็เพราะว่าเรย์น่ะ...!"





"จะยังไงมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่นายทำได้หรอก" คินเอ่ยด้วยแววตาคุกรุ่น "แล้วไงอีก จะบอกว่าคราวที่โรงพยาบาลนั่นเรย์ก็กระโดดไปให้รถชน? ยังงั้นเหรอ? หึ มีแต่คนบ้าเท่านั้นล่ะมั้งที่จะทำแบบนั้น"





คินแค่นเสียง หัวเราะเยาะเหมือนเรื่องที่เขาบอกเป็นเรื่องตลก





"ผมเป็นคนผลักเขาก็จริง แต่ผมไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไงให้รถมาชนพอดี ผมพูดจริงๆ นะคิน...เรย์เป็นคนสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งหมด"





"เพื่ออะไรล่ะ" ร่างสูงสูดลมหายใจเหมือนพยายามจะฟังเรื่องที่บ้าบอคอแตกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา แต่ชะเอมยังพูดต่อแม้เสียงของตัวเองจะสั่นขนาดไหน





"เพราะเรย์ชอบคินไง คินได้ยินมั้ย เพราะเขาต้องการให้คินเลิกกับผม"





"เลิกพูดเรื่องนี้ซักที ฉันไม่อยากได้ยิน!" ร่างสูงหายใจแรงอย่างหมดความอดทน





‘กูบอกแล้วไงให้มึงเปิดตาที่สาม อย่าใช้สองตามอง แล้วกูถึงจะบอก’





‘นี่คินคิดจะทำอะไร จะประกาศให้คนเขารู้ใช่มั้ยว่าจะรีเทิร์นน่ะ อยู่กันแค่แปปเดียว ถ่านไฟเก่าจะคุเหรอ’





‘เพราะเขาชอบคินไง คินได้ยินมั้ย เพราะเขาต้องการให้คินเลิกกับผม’







มีแต่คนปั่นหัวเขา ทั้งไอ้เอก ทั้งเรย์ แล้วนี่ยังจะต้องมาฟังเรื่องบ้าบออีก นี่เห็นเขาโง่มากใช่ไหม!





“คะ...คิน”





“...อะไรอีก” ร่างสูงถอนหายใจ





"คินไม่เชื่อที่ผมพูดเหรอ" ชะเอมถามเสียงสั่นเครือ ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่อดเสียใจไม่ได้...เขาได้มีโอกาสอธิบายแล้ว แต่ก็ยังเปลี่ยนอะไรไม่ได้





"แล้วจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง นายก็แค่พูด แต่สิ่งที่ฉันเห็นมันไม่ใช่”





"แล้วต้องทำยังไงคินถึงจะเชื่อผมล่ะ"





"ก็ลองคิดดูเองสิ”





"เดี๋ยวคิน! อย่าเพิ่งไป...ผมขอโอกาส ขอร้องล่ะ คินจะทำแบบนี้ไม่ได้" ร่างบางผุดลุกขึ้นจับแขนร่างสูงที่ทำท่าจะลุกออกไป “คิน...”





"โอกาสอะไร"





ถ้าหากพูดไปแล้วยังไม่เชื่อ ก็มีแต่ต้องทำให้เชื่อให้ได้...เขาไม่มีทางให้เลือกอีกแล้ว





"อยากให้คินกลับมา...คบกัน" ชะเอมสูดลมหายใจ ตัดสินใจพูดออกไปแล้ว "ได้มั้ย"





ก้อนเนื้อในอกเต้นรัวรอคอยคำตอบ ผ่านไปครู่เดียวก็เหมือนนานหลายนาที





"ไม่ได้หรอก"





"ทำไมล่ะ" ตาโตไหววูบ







"ตอนนี้ฉันคบอยู่กับเรย์แล้ว"





"...อะไรนะ" ร่างบางเบิกตาหน้าซีดเซียว สิ่งที่คิดไว้พังทลายลงมากองตรงหน้า





"..."





ทั้งห้องเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรนานนับหลายนาที มือที่จับแขนแกร่งไว้เริ่มสั่นแต่ก็ไม่อยากปล่อย ปากบางขบอย่างตัดสินใจ





พูดออกไปสิ...โอกาสสุดท้ายแล้ว





ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็มีแต่ต้องเสียไปเท่านั้น





"...แล้วถ้า...ถ้าหลังจากนี้ ผมอยากให้คินกลับมาอยู่ที่ห้องบ้าง...แค่นี้...ได้รึเปล่า"





"..."





"แค่วันเดียวก็ได้...กลับมากินข้าวบ้าง...ได้ไหม"





เป็นอีกครั้งที่อีกฝ่ายเงียบไปนาน แววตากลมสีดำฉายแววตัดพ้อ มือสั่นเทาลดลง





แค่นี้ก็ไม่ได้สินะ





"...ก็ได้"





ร่างบางชะงักตาโต สายตาที่จับจ้องมือตัวเองเมื่อครู่รีบเงยหน้ามอง "จริงเหรอ" เสียงใสถามเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ยินผิดไป





"หรือจะไม่เอา?"





"ฮื่อ!" ใบหน้ามนรีบส่ายแรงๆ ยิ้มดีใจ "แค่นี้ก็พอ...ขอบคุณนะ"





แค่เขาไม่ปฏิเสธเราก็ดีมากพอแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว





ดวงตากลมโตไล่มองสันหน้าคมของร่างสูงช้าๆ รู้สึกว่าวันนี้คินใจดีจัง คุยกับเขาดีๆ ...แล้วยังมาหาเขาทั้งที่นอนอยู่ในห้องพยาบาลนี้ก็ด้วย





แถมได้อยู่ใกล้ขนาดนี้





ร่างสูงเหมือนจะรู้สึกตัวว่าโดนมองก็ปรายตา ถามขมวดคิ้ว "อะไร"





"เปล่าครับ" ชะเอมยิ้มบาง ก่อนจะชวนคุยเพราะคิดว่าห้องเงียบจนเกินไป "คุณลุง...คุณลุงเป็นยังไงบ้าง"





"ไม่รู้สิ ไม่ได้คุยกันเลย" คินยักไหล่ "ฉันต่างหากที่ควรจะถาม ปกตินายก็คุยกับพ่อเป็นประจำอยู่แล้วไม่ใช่รึไง"





"วันก่อนคุณลุงบอกว่าไปทำงานที่เมืองนอก แต่ตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย" ชะเอมเล่าเสียงใส แต่พอร่างสูงเงียบอีกครั้งก็เอ่ยถาม "คินรู้รึเปล่า"





เสียงทุ้มหัวเราะหึ "จะไปรู้ได้ยังไง พ่อทำอะไรก็บอกนายคนเดียว พ่อคงเห็นนายเป็นลูกแทนฉันไปแล้วมั้ง" คำพูดที่ฟังไม่ออกว่าเสียใจรึเปล่า แต่ร่างบางก็รีบแย้งทันที





"ไม่ใช่หรอก! คุณลุงน่ะ รักคินมากนะ" ชะเอมรีบอธิบาย ไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขามาแย่งความรักจากพ่อแท้ๆ ของคินไป "คุณลุงถามถึงคินทุกครั้งเลยว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย"





คุณลุงน่ะเป็นพ่อที่ดีมากๆ ...เขาต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายอิจฉาคินด้วยซ้ำที่มีพ่อดีๆ แบบนี้





เขาก็แค่อยากมีพ่อดีๆ แบบนี้บ้างเท่านั้น





ความรักของผู้บังเกิดเกล้าที่เกิดมายังไม่เคยได้รับ...และไม่มีวันได้





ร่างสูงถอนหายใจขี้เกียจฟัง "เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ฉันชินแล้ว ส่วนนายก็นอนพักซะ"





"ผะ ผม...ผมไม่เป็นไรครับ"





"นายไม่สบายอยู่ และพี่หมออิฐก็สั่งไว้...ห้ามขัด"





"ผมไม่เป็นไรจริงๆ" ชะเอมรีบบอกยืนยัน ก็นานแล้วที่ไม่ได้คุยแบบนี้กับอีกฝ่าย





คินจิ๊ปาก "อย่าดื้อน่า"





"ผมไม่..."





"พรุ่งนี้ยังมีงานที่ต้องทำอีก ถ้าวันนี้ไม่พักแล้วพรุ่งนี้ไม่มีแรงก็ช่วยไม่ได้นะ"





พรุ่งนี้...งานที่ต้องจับคู่ทำยังเหลืออีกหนึ่งวัน แสดงว่ายังมีเวลาที่เราจะได้อยู่ใกล้ๆ คินอีกหนึ่งวัน





"ก็ได้" ชะเอมอุบอิบหน้างอกำลังจะเอนตัวลงนอน แต่ก็หันขวับทำตาโต...สาบานได้ว่าเมื่อกี้เหมือนเห็นรอยยิ้มมุมปากนิดหน่อยของอีกฝ่ายด้วย พอมองดีๆ ก็หายไปแล้ว...ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือเปล่า





แต่จะตาฝาดหรือไม่ แค่นั้นก็ทำให้ใจดวงน้อยพองโตขึ้นแล้ว





วันนี้รู้สึก...มีความสุขจัง





"ฉันจะอยู่จนกว่านายจะหลับ" ร่างบางฟังแล้วหัวใจพองโตขึ้นอีกครั้ง "เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ฝืนอีก ถ้าพรุ่งนี้ฉันทำงานในครัวคนเดียวก็คงลำบาก"





ชะเอมพยักหน้า จับผ้าห่มคลุมถึงอก หลับตาพริ้มและเพียงไม่นานก็เข้าสู่นิทราด้วยความเพลีย





แค่นี้ก็พอ...





วันละนิด...แค่วันละนิด





ถ้าหากพูดไปแล้วยังไม่เชื่อ ก็มีแต่ต้องทำให้เชื่อ...



จะต้องทำให้อีกฝ่ายกลับมารักเขาให้ได้



และเขาก็ไม่มีทางให้เลือกอีกแล้ว



นอกจากจะต้องแลกด้วยหัวใจดวงนี้













************************Whose fault? ************************

ต่อด้านล่าง


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:39:27

ต่อจากด้านบน


ตกดึก หลังจากทำงานเหนื่อยๆ และกินข้าวจนเสร็จ นักศึกษาหลายคนโดยเฉพาะผู้ชายส่งเสียงอึกกระทึกเฮฮา เสียงดังเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด แถมมีการแย่งห้องอาบน้ำกันปิดประตูปึงปังยิ่งส่งเสียงดังกันยกใหญ่





"กูขอก่อน!"





"เห้ย อย่าโกงดิวะ กูจองแล้ว!"





"ใครเร็วใครได้เฟ้ย"





"หนอย ลองทำแบบนี้ดูซิจะเร็วได้อีกมั้ย"





"แว้ก! อย่าดึงผ้าสิวะ เดี๋ยวมังกรโผล่!"





แล้วเสียงหัวเราะลั่นก็ดังตามมา โดยเฉพาะเหล่านักศึกษาชายคณะวิศวะ ...ทำแบบนี้ก็คงไม่แปลกเลยที่จะโดนสาวๆ ว่าพวกวิศวะเถื่อนแถมพ่วงด้วยคำว่าลามกจกเปรตอีกต่างหาก





“ไอ้พวกนี้หนวกหูชะมัด” เสียงบ่นก็ลอยตามมา





คินกับเพื่อนๆ รอสักประมาณชั่วโมงกว่าเนื่องจากคนเข้าออกห้องน้ำตลอดเวลา กะจะให้คนซาลงก่อนแล้วค่อยเข้าไปอาบจะได้ไม่ต้องรีบร้อนด้วย





“คินไปกัน” ร่างเล็กเอ่ยชวนคนที่นั่งเล่นมือถืออยู่ พลางหยิบของที่ต้องใช้ในห้องอาบน้ำ มือพาดผ้าเช็ดตัวรอบคอ





คินยังนิ่งมือกดเกมบนหน้าจอยิกๆ ปากพูดแต่ไม่ละสายตา “เรย์ไปก่อนเลย”





ร่างเล็กเห็นการกระทำตอบกลับที่ดูเรียบนิ่งก็อดเอ่ยไม่ได้ “คิน ยังไม่หายโกรธเรื่องนั้นอีกเหรอ”





“...”





“เรย์ขอโทษก็ได้ อย่าทำเย็นชาใส่เรย์แบบนี้เลย นะ” เสียงใสอ้อน แถมยังนั่งมองอยู่แบบนั้น ร่างสูงก็ถอนหายใจ กดปิดมือถือแล้ววางลง เท่านั้นแหละ ร่างเล็กก็ยิ้มออก





เจอลูกอ้อนเข้าหน่อยก็ยอมแล้ว นึกว่าจะโกรธมากกว่านี้ซะอีก





“รีบๆ ไปสิ”





มัวแต่คิดอะไรเข้าข้างตัวเอง รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นคินยืนมองอยู่ “อะ อืม ไปๆ”





ผลัดกันเข้าไปอาบจนเสร็จ ร่างสูงเดินขยี้ผมเปียกชื้นออกมาจากห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย ส่วนเรย์น่าจะออกไปสักพักแล้ว





สายตาคมพลันเห็นร่างบางของใครบางคนเดินตรงมาพร้อมเครื่องอาบน้ำที่อยู่ในอ้อมแขน ซึ่งตอนนี้ห้องน้ำโล่งว่างไม่มีใคร เพราะเป็นเวลาที่หลายคนเข้านอนพอดี





ทำไมถึงมาซะดึกป่านนี้?





ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกตเห็นร่างสูงเลยแม้แต่น้อย คินจึงทำเป็นยืนเช็ดผมมองไปทางอื่น ได้ยินเสียงเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเมื่อขาเรียวก้าวเข้าเขตห้องน้ำที่เรียงรายพบคินยืนเช็ดศีรษะอยู่หน้ากระจกก็เกิดอาการเลิ่กลั่กทันที ร่างสูงทำเป็นไม่เห็นแต่สายตาคมเหลือบมองผ่านกระจกเห็นเจ้าตัวจะถอยหลังออกไป





"จะไปไหนล่ะ" เสียงทุ้มเอ่ยทัก ทำเอาไหล่บางสะดุ้งโหยง "มาอาบน้ำไม่ใช่เหรอ"





คินมองร่างผอมบางที่เม้มปาก "อ่ะ ครับ" ชะเอมพยักหน้าตอบเสียงเบา สังเกตเห็นแขนบางเกร็งกอดเสื้อผ้าที่อยู่ในอ้อมแขนแน่น “คินอาบน้ำดึกจัง”





ร่างสูงเลิกคิ้วกับคำทักนั่น “นั่นมันนายต่างหาก”





“เอ๊ะ อืม...จริงด้วยเนอะ” เจ้าตัวตาโตเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ก็หัวเราะออกมาเหมือนขำตัวเอง





สายตาลอบมองใบหน้าหวานที่ผ่อนคลายมากขึ้น พาลให้นึกถึงคำพูดก่อนหน้าที่ไม่คิดว่าจะกล้าเอ่ยขอของอีกฝ่าย





‘เดี๋ยวคิน! อย่าเพิ่งไป...ผมขอโอกาส ขอร้องล่ะ’





‘อยากให้คินกลับมาคบกัน...ได้มั้ย’





ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะ...





‘ผมชอบคินครับ ชอบ...’ ยังจำได้ถึงความรู้สึกที่หัวใจเต้นหนักหน่วง





‘ไม่ได้หรอก ฉันคบอยู่กับเรย์แล้ว’ แล้วถ้าหากเขาไม่ได้คบอยู่กับเรย์...จะตอบไปว่ายังไง





ความรู้สึกของชะเอมที่ยอมให้แทรกเข้ามาทำให้ผมยอมอ่อน





‘แล้วถ้า...ถ้าหลังจากนี้ ผมอยากให้คินกลับมาอยู่ที่ห้องบ้าง...กลับมากินข้าวบ้าง...ได้ไหม’





‘...ก็ได้’





เพราะงั้นผมถึงยอมให้โอกาสเขา





แต่ว่า... ‘ผมพูดจริงๆ นะคิน...เรย์เป็นคนสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งหมด’ ...ผมน่ะยังไม่ได้ลืมเรื่องนี้หรอกนะ





"ทำไมถึงมาซะดึก รอห้องว่าง?" คินเดา เหตุผลอาจจะเหมือนเขาก็ได้ แต่มาตอนนี้ก็ออกจะดึกเกินไปหน่อย ยิ่งอยู่บนเขา ยิ่งมืดค่ำเท่าไหร่ อากาศก็จะยิ่งเย็นมากขึ้นเท่านั้น





ใบหน้ามนส่ายยิ้มๆ "เปล่าครับ"





"เปล่า?" คินเอ่ยทวน





"ผม... อืม แค่ช่วยคุณป้าล้างจานในครัว...เพิ่งเสร็จน่ะ" ร่างบางอธิบาย ริมฝีปากยิ้มจางเพราะนึกถึงคุณป้าใจดีหลายคนที่คุยอย่างเป็นกันเอง





ล้างจาน? จนป่านนี้เนี่ยนะ...นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ไม่ใช่เหรอ?





ร่างสูงขมวดคิ้ว “นี่แสดงว่าหายดีแล้วสิ ไปช่วยเขาทำทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่เนี่ย”





“คะ ครับ ผมดีขึ้นบ้างแล้ว ก็เลย...ฮะ ฮัดชิ้ว!” ชะเอมปิดปากจามแล้วสูดจมูกฟืดฟาด คินเห็นแล้วก็ถอนหายใจ อากาศเย็นๆ กับคนที่ไม่สบายอยู่มันคงไม่ถูกกันเท่าไหร่





“รีบๆ ไปอาบน้ำสิ แล้วก็ห้ามสระผมด้วย” มันดึกแล้ว เดี๋ยวผมไม่แห้งมันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่





ร่างผอมบางพยักหน้าหงึกหงัก ขาเรียวกำลังจะเร่งเดินผ่านไปแต่ก็...





"เหวอ!" ร้องเสียงหลงเมื่อเท้าเหยียบน้ำที่เจิ่งนองบนพื้นกระเบื้องจนพลาดหงายท้อง





"เห้ย!" คินก็ตกใจแต่แขนแกร่งเอื้อมไปรับคนอยู่ไม่ห่างอัตโนมัติทันก่อนที่ร่างผอมบางจะกระแทกพื้นเจ็บตัว





เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชะเอมที่หลับตาปี๋เตรียมตัวรับความเจ็บปวดแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าคมอยู่ในระยะประชิด ร่างผอมบางเด้งตัวออกจากอ้อมแขนของร่างสูงอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวเกาหูเกาแก้มที่แดงอย่างเคอะเขินกับสัมผัสร้อนผ่าวผ่านผิวกายเพียงเล็กน้อย...ทุกกิริยาเต็มไปด้วยความใสซื่อ





"ขะ ขอบคุณครับ" เสียงใสอึกอัก ใบหน้ายังแดงอยู่







“ระวังหน่อยสิ” คินเอ่ยเสียงเครียด ใจเกือบตกไปที่ตาตุ่ม นี่ถ้าอยู่คนเดียวคงล้มกระแทกพื้นไปแล้ว







“ก็คินบอกว่าให้รีบ” เสียงใสเถียงออกมา คินยื่นนิ้วออกไปดีดหน้าผากมนดัง เพียะ!







“โอ๊ย” ชะเอมกุมหน้าผากป้อย







“เถียงเหรอ...ให้รีบ แต่ก็ต้องระวังตัวเองด้วย เจ็บตัวขึ้นมามันคุ้มกันมั้ย”







“ฮื่อ” ร่างบางส่ายหน้าหน้ามุ่ยแต่ยังกุมหน้าผากตัวเองอยู่





“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ได้ยินคินถามใบหน้ามนก็ส่ายอีกครั้ง เพราะว่าเมื่อกี้ร่างสูงช่วยเอาไว้เลยไม่เจ็บตรงไหนเลย จะเจ็บก็ตรงที่นิ้วยาวดีดเข้าให้นั่นแหละ





ชะเอมลุกขึ้นเก็บของที่หล่นกระจัดกระจายแล้วรีบแจ้นเข้าห้องน้ำไป คินยืนมองหน้าประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ได้ยินเสียงน้ำไหลเกินสิบห้านาทีก็ส่ายหน้าระอา





“ทำอะไรอยู่ นานเกินไปแล้วนะ”





“คะ ครับ! ...ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย” เสียงใสพึมพำ แต่หารู้ไม่ว่าเสียงในห้องน้ำดังก้องขนาดนี้ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างนอกก็ได้ยินนะ





ไม่นานประตูก็เปิดออก คินมองด้วยสายตาคมกริบ “บอกว่าอย่าสระผมไง”





ชะเอมตาโต ลืมไปซะสนิทเลย...ก็มัวแต่ตื่นเต้นกับสัมผัสเมื่อกี้ ร่างสูงพูดอะไรไปบ้างก็เลยลืม





“มานี่” คินเรียก พอเห็นเจ้าตัวเดินท่าทางลื่นๆ แล้วก็ต้องเอ่ยดุอีกครั้ง “เดินระวังๆ หน่อย” นี่เขากำลังพูดกับเด็กอยู่หรือไงกัน







ร่างสูงวางผ้าเช็ดตัวของตัวเองบนแท่นอ่างล้างมือ แล้วนั่งทับมัน พอร่างบางเดินมาใกล้ๆ ก็แบมือ







“ส่งผ้าเช็ดตัวมาแล้วหันหลังพิงตรงนี้” เจ้าตัวทำหน้างง แต่ก็ส่งให้ ท่าทางชักช้ามือใหญ่จึงจับชะเอมให้หันหลังพิงอยู่ตรงกลางระหว่างขายาวสองข้าง







“ฮะ ฮัดชิ้ว!” เสียงจามดังขึ้น แขนบางยกขึ้นกอดตัวเอง...หนาวชะมัด







คินคิดอย่างระอาระหว่างขยุ้มผ้าขนหนูลงบนหัวของอีกฝ่าย นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำ “อย่าลืมกินยาดักก่อนนอนด้วย”





“อือ คิน...คินหายโกรธผมแล้วเหรอ” ชะเอมที่หลับตาพริ้ม เสียงหัวใจเต้นรัวกับสัมผัสบนศีรษะ เสียงใสพูดเบา มือใหญ่ที่กำลังเช็ดหัวอยู่ก็ชะงัก







“อย่าเข้าใจผิดสิ เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน” เสียงทุ้มบอก





ใช่ สิ่งที่ผมทำอยู่ กับเรื่องของเรย์ มันคนละเรื่องกัน...ผมยังไม่ได้ลืมหรอก





“...ครับ” เสียงใสรับคำ หัวใจที่เต้นรัวแผ่วเบาลง ริมฝีปากบางแย้มยิ้มเศร้าที่คนข้างหลังมองไม่เห็น







นั่นสินะ







อย่าเข้าใจผิดสิ






************************Whose fault? ************************


 :katai4: :hao5:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:41:17

                                      Whose Fault ?

                                      ผิด...ครั้งที่ 18




โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม


“อันนี้ทำแบบนี้ครับ”



สาวรุ่นน้องยิ้มกว้าง ตาเป็นประกาย “ว้าว พี่ชะเอมเก่งจังเลย”



“น้องออยก็เริ่มคล่องแล้วนะ เทียบจากวันแรกเก่งขึ้นมากเลย” ชะเอมยิ้มเอ่ยให้กำลังใจ



“แล้วอันนี้ล่ะคะๆ”



“ส่วนอันนี้ทำแบบนี้”





เสียงฮือฮาของผู้หญิงหลายคนดังขึ้นในห้องครัว การทำงานในวันที่สามสลับกับวันก่อน เห็นได้ชัดว่าแค่เพียงไม่กี่วันร่างบางก็เริ่มเป็นที่รู้จัก แถมยังมีเสียงชื่นชมระงมของป้าๆ อีกด้วย





“หนูเอมน่ารัก แถมสุภาพมาก ป้าล่ะช้อบชอบ”





“ใช่ๆ ถ้าป้ามีลูกสาวล่ะก็จะให้มาขอชะเอมเป็นลูกเขยทันทีเลย”





“แต่ป้าว่าให้หนูเอมเป็นลูกสะใภ้น่าจะเหมาะกว่านะ น่ารักขนาดนี้”





“จริงด้วยเนอะ ฝีมือการทำอาหารก็เก่งกว่าผู้หญิงซะด้วย”





“ใช่ๆ” เสียงหัวเราะคิกคักและเสียงเม้ากัน ให้ชะเอมหน้าแดงหูแดง น้องๆ ผู้หญิงหลายคนที่เริ่มสนิทก็หัวเราะตามไปกับเสียงคุยนั่นด้วย





“โธ่ คุณป้าครับ อย่าพูดแบบนี้สิ ผมอายนะครับ” ร่างบางเสียงอ่อย





หญิงวัยทองหัวเราะแซว คนวัยหนุ่มนี่เวลาเขินก็น่าเอ็นดู “ก็ป้าพูดจริงนี่นา หนูๆ หลายคนก็เห็นด้วยใช่มั้ยจ๊ะ”





“ค่า!” รุ่นน้องผู้หญิงประสานเสียงถูกใจ ให้ใบหน้ามนส่ายระอาทั้งที่ยังเขินๆ





“ดูสนิทกันจังนะ” ชะเอมชะงักกับทักของร่างสูงที่อยู่ข้างๆ





“เอ่อ ครับ...คือผมอยู่ในครัวตั้งแต่วันแรก ก็เลยสนิทกับพวกน้องๆ น่ะครับ”





“หืม ดูท่าทางนายจะชอบทำอาหารนะ”





ริมฝีปากยิ้มบางกับคำพูดนั้น “ผมแค่ชอบเวลามีคนทานอาหารที่ผมทำแล้วมีความสุขครับ”





อันที่จริงก็เป็นเพราะคินนั่นแหละ เวลาร่างสูงทานอาหารที่เขาทำ...คำชมและคำให้กำลังใจที่อีกฝ่ายมีให้เมื่อก่อน จนตัวเองชอบทำอาหารไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้





“อุ๊บ!” มัวแต่เหม่อเผลอคิดถึงอย่างอื่นทำให้พลาด คมมีดก็บาดนิ้วมือเรียวจนเลือดออก





 คินวางมือทันที แล้วจับมือเล็กให้เดินตามมาโดยระวังไม่ให้โดนแผล “มานี่ ทำอะไร ทำไมไม่ระวังตัว”





ซ่า





“ซี้ด ขะ ขอโทษครับ” ชะเอมอดสูดปากไม่ได้เมื่อร่างสูงล้างแผลด้วยน้ำก๊อก...โอย แสบ





“แล้วมัวเหม่ออะไรอยู่ ดีนะที่แผลไม่ลึก” เสียงทุ้มเรียบนิ่งของอีกฝ่ายดังก้องในความรู้สึก ดวงตากลมโตอดจ้องมองสันหน้าคมอย่างเก็บรายละเอียดไม่ได้ นี่เป็นวันสุดท้ายแล้ว...หลังจากนี้คงไม่ได้ใกล้ชิดแบบนี้อีก





“ไม่มีอะไรหรอก...ขอบคุณนะ” ร่างบางแย้มยิ้มบาง ใบหน้าใสขึ้นริ้วแดงกับสัมผัสเพียงเล็กน้อยบนมือ ร่างสูงตอนนี้ช่างอ่อนโยนรู้ตัวบ้างหรือไม่ เขาห้ามหัวใจของตัวเองไม่ได้เลย...กับคินที่ใจดีแบบนี้ เขาห้ามไม่ให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เลย











อีกมุมหนึ่ง





“แกๆ ดูนั่น พี่ชะเอมกับพี่คินเขาละมุนกันมากเลยอ่ะ”



“ฉันก็ว่างั้น ดูสายตาพี่เอมที่มองพี่คิน กรี๊ด ฉันล่ะอิจฉาแทน”



“แต่เขาเลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ แถมตอนนี้พี่คินเขายังคบกับพี่เรย์เป็นแฟนด้วยนะ”



“เลิกกันแล้วยังไงล่ะ ฉันเชียร์พี่เอมย่ะ แล้วแกไม่เห็นเหรอว่าพวกเขาห่วงใยกันขนาดไหน”



“จริง จริง ฉันเห็นด้วย พอได้คุยกับพี่ชะเอมแล้ว ใครๆ ก็หลงรักทั้งนั้นแหละ”



“พอมองดูแบบนี้ก็แอบสงสัยเรื่องข่าวลือก่อนหน้านี้เหมือนกันนะ”



“เออจริง ตอนนี้เริ่มสงสัยแล้วว่าพี่เรย์นี่ยังไง นี่ๆ แกว่าไงอ่ะ คิดเหมือนกันป่ะ”



“ใช่ จริงๆ ฉันก็ไม่ได้รู้จักพี่เรย์อะไรนั่นมากหรอก แต่ยังไงพี่ชะเอมก็ไม่น่าจะทำเรื่องแบบนั้นได้แน่ พี่เขาเป็นคนดีแถมดูซื่อๆ ด้วย”



“แล้วเรื่องนี้มันมาได้ยังไงอ่ะ”



“ก็น้องสาวพี่เรย์ ที่ชื่อรินนั่นไง นางเป็นคนโพนทะนาเรื่องนี้ออกไปจนมันฉาวโฉ่ ฉันว่ามันต้องมีซัมติงรองแน่นอน”



“จะยังไงก็เถอะ ตอนนี้ใจฉันเทให้พี่เอมหมดแล้ว ใครลองว่าอะไรดูสิ แม่จะตบให้!”





เสียงคุยกันเบาๆ ของสาวกลุ่มหนึ่งที่พยายามไม่ให้ชะเอมกับคินได้ยิน แต่ไม่ได้สังเกตว่ามีอีกคนยืนอยู่ด้านหลัง ร่างเล็กเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพร้อมกับมือที่กำมีดคมกริบแน่น แววตาลุกโชนด้วยความกราดเกรี้ยว

ยัยพวกนี้...มันน่านัก







“คิน พะ พอแล้ว” ใบหน้ามนเขินอาย รีบบอกตะกุกตะกัก “เลือดหยุดไหลแล้ว”





มือเล็กดึงออกมาจากการเกาะกุม รู้สึกถึงความร้อนผ่าวแม้จะถูกล้างด้วยน้ำเย็นๆ ยิ่งสายตาคมที่มองมา ยิ่งต้องหลบ





ใครจะไปกล้าสบตา แค่นี้หัวใจก็เต้นรัวเร็วดังอย่างกับกลอง ถ้าอยู่ใกล้กว่านี้คงได้ยินเสียงหัวใจของเราแน่





“คะ คือ ผม ผมไปทำต่อนะ”





คินได้ยินก็หัวเราะในลำคอ ท่าทางยึกยักนั่นน่าตลก “ก็ไปสิ ใครห้ามล่ะ”





“เฮ้ย เอม มาทางนี้หน่อยสิ” เสียงเรียกของดินทำให้เอมหันไปมอง เห็นร่างสูงผิวคล้ำกวักมือเรียกเขายิกๆ “มาช่วยกูหน่อย”





ร่างบางเดินเข้าไปใกล้ เห็นกองเนื้อหมูที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดูน่าประหลาด คิ้วขมวดน้อยๆ “นี่อะไรเหรอ”





“อ้าว ก็บอกให้กูหั่นหมูไม่ใช่เหรอ” ดินทำหน้าเหรอหรา กับคู่ทำงานของดินที่ยืนด้วยกันทำหน้าไม่แตกต่างกันเลย





“อา...” ชะเอมมองกองเนื้ออย่างสงสาร เขาไม่ได้บอกให้ทำแบบนี้สักหน่อย แต่ก็ไม่รู้จะพูดกับเพื่อนยังไง “เวลาดินกินผัดเผ็ดหมูที่ร้านอาหารตามสั่ง หมูมันเป็นรูปร่างยังไงเหรอ”





ร่างสูงกุมคางทำท่านึกแบบแทบจะเค้นออกมาจากสมอง “ก็...มันก็จะเป็นชิ้นแผ่นพอดีคำ กินแล้วก็จะอร่อยๆ หน่อย” ซึ่งชะเอมก็ยังโล่งอกกับคำตอบที่ได้ นึกว่าจะตอบว่าเวลากินก็กินอย่างเดียวไม่ได้มองซะอีก





“ถ้างั้นดินหั่นแบบที่เคยกินนั่นแหละ ทำได้ไหม” ...แบบที่มันไม่ใช่แบบที่ทำอยู่นี่น่ะ





“อะไรกัน ถ้ามันง่ายขนาดนั้น กูไม่เรียกมึงมาช่วยหรอก”





ตาโตกระพริบปริบ “งั้นเดี๋ยวเราทำให้ดูก่อน พวกดินดูแล้วทำตามนะ”





ทั้งสองคนผู้ไม่มีความรู้ด้านการทำอาหารเลยแม้แต่นิดเดียวพยักหน้าเป็นลูกคู่ ชะเอมจับมีดหั่นเนื้อหมูในมืออย่างคล่องแคล่ว...ทำไมถึงไม่เอาร่างบางซักสิบคนมาทำอาหารแทนฟะ มันจะไวกว่าที่ให้มือใหม่อย่างพวกเขามาทำตั้งเยอะแยะ





“หั่นให้หมดเลยก็ดีนะ” ดินบอกอย่างอดไม่ได้ เมื่อมือเรียวส่งมีดมาให้





“เราก็มีงานทำเหมือนกันนะดิน”





ร่างสูงฟังแล้วปรายตามองชะเอมที่ยิ้มตาใส “นี่มึงแอบด่ากูทางอ้อมรึเปล่าเนี่ย หน้าซื่อๆ งี้มองไม่ออกเลย”





“เราจะไปว่าดินได้ยังไง รีบๆ ทำเข้านะ เดี๋ยวจะไม่เสร็จ”





“เออๆ” ดินโบกมือไล่ ตั้งท่าหั่นอย่างตั้งใจแต่พอดูผลลัพธ์มันกลับไม่ได้เหมือนที่ชะเอมทำ...ทำไมมันยากอย่างงี้วะ!!





“แล้วนี่รามกับสินล่ะ” ชะเอมว่า สายตามองหา





จะว่าไปวันนี้ไม่เห็นน้องสาเลย





“ซักที่น่ะแหละ” เสียงทุ้มตอบส่งๆ เพราะกำลังจริงจังกับงานตรงหน้า คนที่ได้รับคำตอบก็พยักหน้าเบาๆ “เหรอ” ขาบางทำท่าจะหมุนตัวกลับไปที่เดิม แต่ก็โดนเรียกเอาไว้ก่อน





“ระ รุ่นพี่...ครับ”





เสียงของคนเรียกเบามาก ร่างบางจึงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเรียกตัวเองหรือว่าคนอื่น “ครับ?” แถมน้องคนนี้ยังก้มหน้าซะเกือบชิดอก ผมหน้าม้าก็ยาวจนบังมิดมองไม่เห็นใบหน้าเลย





“ชะ ช่วย มาทางนี้กับผมหน่อย...ได้มั้ยครับ”





ได้ยินคำขอแล้วชะเอมอดมองไปที่คินไม่ได้ ซึ่งจากทางนี้เห็นแผ่นหลังใหญ่ของร่างสูงที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่...ไปแปปเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง “ได้สิ...ไปไหนเหรอ?”





คนตัวเล็กกว่าไม่ตอบ เดินลิ่วออกไปนอกครัว ซึ่งทำให้ชะเอมไม่ทันได้คิดอะไรก็เดินตามออกไปไม่มีใครสังเกตเห็น รุ่นน้องอาจจะมีปัญหาอะไรอยากให้ช่วย แต่ไม่อยากพูดข้างในเพราะคนเยอะล่ะมั้ง





แต่จะว่าไปเขากับน้องคนนี้ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย?





แซ่ก แซ่ก





ขาบางเดินตามคนตัวเล็กกว่ามาเรื่อยๆ ใบหน้ามนมองไปรอบๆ กลางป่ากลางเขาแบบนี้จะเดินไปถึงไหนกัน





“น้องครับ จะไปไหนน่ะ ถ้าไปลึกมากกว่านี้จะหาทางกลับไม่ได้เอานะ”





ชะเอมบอกคนที่ยังเดินไปข้างหน้า เขาว่าไม่ได้พูดเบาอะไรนะ ยิ่งรอบข้างเงียบแบบนี้ด้วยแล้ว แต่น้องยังคงเดินตรงไปเหมือนจะไม่ได้ยิน?





“หรือว่าน้องมีอะไรจะพูดกับพี่รึเปล่า...เอ๊ะ ที่นี่?” พอจะถามอะไรอีก ขาทั้งสองคู่ก็ยืนหยุดอยู่ตรงหน้ากระท่อมไม้ร้างซึ่งรอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ถ้าไม่เดินเข้ามาถึงนี่ก็ไม่รู้เลยว่ามีมันอยู่ด้วย







ครืน





ไหล่บางสะดุ้ง เสียงฟ้าร้อง กับฟ้าเริ่มมืดครึ้มยิ่งประกอบให้ที่นี่ดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายเท่า





“คะ คือผม...ได้ยินเสียงคนร้อง นะ ในนี้” คนตัวผอมกะหร่องบอกเสียงสั่น “ผมไม่รู้จะเรียกใคร ก็เลย...”





ร่างบางหน้าซีดทันทีที่ได้ยิน ถึงจะยังไม่เคยเจอผี แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่กลัว “แล้ว...ได้ยินว่าอะไร เดี๋ยวๆ! คือพี่ว่า...พี่ไปเรียกให้คนอื่นๆ มาช่วยดีกว่านะ” ชะเอมถามออกไปแต่คิดไปคิดมาเขาว่าเขาไม่อยากฟังแล้ว ขาบางก้าวถอยหลัง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงไม่เรียกให้คนที่ดูน่าเกรงขามกว่านี้มาช่วยนะ





“ช่วย...ด้วย...”





“อะ...อะ เมื่อกี้...” ชะเอมตาโตเหมือนได้ยินเสียงคนร้องว่าช่วยด้วย ร่างกายบางเริ่มสั่น...เขากลัวจริงๆ แล้วนะ





“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง ช่วยด้วยค่ะ!”





คราวนี้ได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ซึ่งมันไม่ใช่เสียงผีพรายอะไรทั้งนั้น มันคือเสียงคน!





“มีคนอยู่ข้างในเหรอครับ!” ร่างบางก้าวเข้าไปใกล้ประตูที่ถูกออกแบบให้ขัดกลอนด้วยท่อนไม้ใหญ่ ถ้าอยู่ข้างในไม่มีทางออกมาได้เลยหากไม่มีคนเปิดให้จากภายนอก





“เสียงนั่นมัน...พี่ชะเอมเหรอคะ! นี่สาเองค่ะ!”





“น้องสา!” ร่างบางตกใจเมื่อรับรู้ว่าสาวรุ่นน้องตัวเล็กคนนั้นอยู่ข้างในกระท่อมร้างน่ากลัวแบบนี้ จึงรีบส่งเสียงให้อีกฝ่ายสบายใจ “รอแปปนึงนะเดี๋ยวพี่ช่วยเปิดประตูให้”





แขนบางยกท่อนไม้ที่ถูกขัดไว้ขึ้น ผลักประตูให้เปิดออก เห็นเด็กสาวสองคนนั่งกอดเข่าอยู่ในความมืดแล้วช่างน่าสงสาร แต่ไม่ทันรู้ตัวว่าใครอีกคนอยู่ข้างหลัง ร่างบางถลันตัวล้มไปข้างหน้าเนื่องจากแรงผลักที่ไม่มีการออมแรง







พลั่ก! ปึง! ตึง!





“อะ!”





“ว้าย!”





ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ชะเอมรู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือและหัวเข่า ทั้งมืดตึ๊ดตื๋อมองอะไรก็ไม่เห็น แต่พอตั้งสติก็พอจะรู้ตัวว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น





“เดี๋ยว!! น้องครับ อย่าเพิ่งไป!!”





ปังๆๆๆ





กำปั้นทุบลงบนประตูไม้ที่ถูกล็อคเอาไว้เรียบร้อยแล้วอย่างบ้าคลั่ง เมื่อคำตอบที่ได้รับคำความเงียบ ก็พอจะรู้แล้วว่ารุ่นน้องคนนั้นไม่อยู่แล้ว





ทำไมน้องคนนั้นถึง...





“พี่ชะเอม เป็นอะไรรึเปล่าคะ แล้วคนเมื่อกี้เป็นใครกันคะ”





“ไม่เป็นไร พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ร่างบางตอบปลงตก นี่เขาก็กลายเป็นคนติดอยู่ในกระท่อมร้างนี่เพิ่มขึ้นอีกคนเหรอเนี่ย “ขอโทษนะ พี่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้”





“ก็สร้างศัตรูไว้เยอะน่ะสิ โดนเข้าบ้างแล้วเป็นไงล่ะ”





“ริน...”





เอาอีกแล้ว





“ว่าแต่พวกน้องสาเถอะ ทำไมถึงมาอยู่ในนี้ได้ล่ะ?” ชะเอมเมินคำถากถาง แล้วถามสิ่งที่สงสัยแทน





“ก็พอดีเดินมาหาของในนี้ แล้วประตูมันก็ปิดเอง เปิดไม่ได้เลยจนพี่ชะเอมมานี่แหละค่ะ แล้วพี่ชะเอมล่ะคะ” สาถาม ทั้งในความมืดแบบนี้ ชะเอมมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแค่สลัวๆ เท่านั้น





เสียงใสถอนหายใจ “น้องคนเมื่อกี้บอกว่าให้ตามมาหน่อยจนเดินมาถึงที่นี่ บอกพี่ว่าได้ยินเสียงคนร้อง ก็คือเสียงน้องสาล่ะมั้ง”





หลังจากเปิดประตู คิดว่าจะช่วยคนข้างในออกมาได้ แต่กลายเป็นว่าเขาโดนขังซะแทน...ตกลงว่าน้องคนนั้นเขาตั้งใจทำแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วสินะ





สายตากลมโตมองไปรอบๆ จมูกได้กลิ่นเหม็นอับ...แล้วนี่จะทำยังไงดีเนี่ย





จริงสิ! มือถือ!





ร่างบางคิดอย่างมีความหวัง มือบางควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดขึ้นมาก็ใจหดหู่อีกครั้ง...ไม่มีสัญญาณ





“ไม่มีประโยชน์ ต้องรอให้คนเดินผ่านมาแถวนี้อีกครั้งเท่านั้น...นึกว่าจะได้ออกไปแล้วแท้ๆ เชียว ดันโง่โดนขังอีกคนซะได้”





ครืน





“ริน! ทำไมถึงพูดจาดีๆ กับพี่ชะเอมไม่ได้ซักทีนะ!”





“ก็แล้วทำไมฉันต้องพูดจากดีๆ กับมันด้วยล่ะ! มันทำให้พี่เรย์เจ็บตัวจนถึงเข้าโรงพยาบาลเลยนะ!”





เปาะแปะๆ ซ่า...





เสียงสายฝนที่เทลงมา จากเบาๆ กลายเป็นกระหน่ำ เวลานี้คงไม่มีใครฉุกคิดได้ว่ามีคนสามคนหายออกมาจากค่ายอยู่กระท่อมร้างกลางป่ากลางเขาแบบนี้





ก็ยังดีกว่าหลงในป่าแล้วไม่มีที่ให้หลบฝนล่ะนะ





“พี่ชะเอมเขาไม่ได้ทำซักหน่อย ข่าวที่รินปล่อยออกมานั่นน่ะ ยัดเยียดความผิดให้พี่เขาชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ!”





“แล้วเธอรู้ได้ยังไง เธอรู้จักกับพี่เรย์มานานกว่ามัน! แต่นี่อะไร เธอไปเข้าข้างมันซะงั้น นี่เหรอคำว่าเพื่อน!?”





“สาเป็นเพื่อนริน สาไม่ได้เข้าข้างใคร...สาก็แค่สงสารพี่เอม พี่เขาไม่ได้พูดหรือแก้ตัวอะไรกับข่าวนั่นเลย รินก็เห็นไม่ใช่เหรอ”





“ก็การที่มันไม่แก้ตัวอะไรนั่นแหละ คือความจริง!”





ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 14 วันที่ 28/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:42:05


ต่อจากด้านบนค่ะ





เปรี้ยง!




สองเสียงของหญิงสาวที่เถียงกัน แสงของสายฟ้าที่ฟาดลงมาปรากฏให้เห็นใบหน้าของคนสองคน ใบหน้าราวกับจะร้องไห้ของสากับใบหน้าโกรธเกรี้ยวของริน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ แต่ก็เดือดร้อนแทนซะชะเอมที่ฟังก็ยิ่งสะเทือนใจ




“นั่นสินะ จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้...ความเข้าใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน น้องสาไม่จำเป็นต้องพูดปกป้องพี่ พี่ไม่ว่าน้องรินหรอก”




“บอกว่าอย่ามาเรียกแบบนี้ไง อย่ามาทำตัวสนิทสนม ฉันไม่อยากรู้จักกับนาย แค่อยู่ใกล้ก็อึดอัดจะแย่!”





ร่างบางยิ้มอ่อนกับท่าทางหัวรั้น “ครับ พี่ไม่เรียกก็ได้”





ชะเอมพยายามทำความเข้าใจอารมณ์โมโหรุนแรงของรินที่มีต่อเขา ถ้าหากว่ามีใครมาทำให้คนที่เขารักบาดเจ็บ เขาก็คงจะโกรธเหมือนกัน...โกรธจนแทบอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย





แต่ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำซักหน่อย เรย์ทำให้ทุกคนคิดแบบนั้นต่างหาก





ถ้ารินรู้ว่าพี่ชายของตัวเองสร้างเรื่องบ้าบอนี่ขึ้นมาจะเป็นยังไงกันนะ...แล้วเรย์จะรู้บ้างรึเปล่าว่าน้องสาวของตัวเองรักพี่ชายของเธอมากขนาดไหน







“จะยังไงก็เถอะ พวกเราอย่าทะเลาะกันเลยนะ พี่รู้สึกไม่ค่อยดี” ชะเอมพูดเสียงเบารู้สึกว่าตัวเองเหงื่อซึม ตัวเย็นเฉียบแถมยังสั่นหงึกๆ





ร่างบางกลืนน้ำลาย ตั้งแต่เข้ามาในกระท่อมร้างแห่งนี้ เขารู้สึกไม่ดีจริงๆ ความรู้สึกเหมือน...ตัวเองอยู่ในบ้านเก่าหลังนั้น





เปรี้ยง! ซ่า...





กลิ่นเหม็นอับกับความมืด ยิ่งทำให้ประสาทสัมผัสไวกับเสียงฝนกับเสียงฟ้าผ่า ร่างบางสะดุ้งโหยงกอดเข่าตัวเองแน่น แต่กระนั้นก็ยังห้ามอาการสั่นของตัวเองไม่ได้







กึกๆๆ





“พี่ชะเอม? ...หนาวเหรอคะ?” สาถามอย่างสงสัย ได้ยินเสียงฟันกระทบกัน นั่นไม่ได้มาจากเธอกับรินแน่ๆ





“เปล่าครับ พี่ไม่เป็นไร” ร่างบางตอบทั้งๆ ที่กัดฟันแน่นจนกรามปูด ชะเอมหายใจแรง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวดังจนหูอื้อไปหมด





ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ...มันผ่านไปแล้ว ไม่ใช่อดีต...แล้วก็ไม่ใช่ความฝันด้วย





เปรี้ยง! โครม!





“มะ ไม่! อึก...แฮ่ก...แฮ่ก...” เจ็บ...เจ็บไปทั้งกาย





พ่อครับ...พอแล้ว เอมเจ็บ





‘ใครพ่อมึง ไอ้เด็กเปรต อย่ามาเรียกกูว่าพ่อ!’





“พี่ชะเอมเป็นอะไรไปคะ!” สาร้องถามอย่างใจไม่ดี เธอหยิบมือถือขึ้นมาส่องไฟไปเพื่อได้เห็นชัดๆ แต่สิ่งที่เห็นคือร่างบางของรุ่นพี่นอนขดตัวหลับตาแน่น ทั้งยังหอบหายใจอย่างน่ากลัวเหมือนอากาศไม่พอ





“...แฮ่ก...เฮือก! มะ...พ่อ...ฮะ...”





‘ยัง...ยังไม่หยุด เอาอีกซักยกดีมั้ยวะห้ะ อยากโดนอีกใช่มั้ย!?’





“กรี๊ด!! พี่เอม!” สาปิดปาก





“นะ นี่เป็นอะไรน่ะ!” รินร้อนรนถามอย่างตกใจ ไม่เคยเห็นคนเป็นอะไรต่อหน้าต่อตาแบบนี้มาก่อน





สองสาวตาเหลือกลานทำอะไรไม่ถูก เมื่อเสียงหอบหายใจติดขัดมากขึ้น มือยกขึ้นกุมตรงหน้าอก ความทรมานจากก้อนเนื้อที่บีบตัวอยู่ข้างในทำให้ร่างกายส่วนอื่นเกร็งแน่น น้ำตาไหลออกจากดวงตา พร่ามัว มองไม่เห็นอะไรเลย





 “เจ็บ...ยา...” เสียงแหบพร่าพยายามเค้นออกมา





“ยา...ยาเหรอคะพี่เอม...ยะ อยู่ไหนน่ะ” สาวตัวเล็กลนลานทำอะไรไม่ถูก เธอน้ำตาไหลอย่างสะเทือนใจกับภาพตรงหน้า





“ช่วย...เอมด้วย...คิน...” เจ็บในอกเหลือเกิน สิ่งสุดท้ายที่ร่างบางร้องเรียกหาไม่ว่าเมื่อไหร่...คนสำคัญของเขา







ในยามนี้...จะมีใคร...







“ริน...ริน! ช่วยหายาหน่อย  ฮึก ฮือ พี่เอมเขาจะตายมั้ยริน”







“ใจเย็นๆ ส่องไฟดีๆ เดี๋ยวรินหาเอง” แม้จะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็น แต่มือของเธอเองนั่นแหละสั่นจนจับต้องอะไรไม่อยู่ พยายามควานหาของตามกระเป๋าแล้วก็พบ...ขวดบางอย่างในเสื้อคลุม





“จะ เจอแล้ว! นี่รึเปล่า!?” รินร้องเสียงดัง รีบส่องไฟ เป็นขวดแก้วใสบรรจุเม็ดยาอยู่ข้างใน “น่าจะใช่นะ”





“รีบๆ ให้พี่เขากินเถอะริน!” สาพูดเสียงสั่น มือเย็นเฉียบ





มือบางเทยาออกมาจากขวดยื่นให้กับคนที่นอนหอบหายใจ “นี่...นี่ ยาอยู่นี่แล้วนะ”





ชะเอมพยายามลืมตาขึ้นมามอง มือยังกุมเสื้อตรงหน้าอกแน่น ริมฝีปากบางค่อยๆ อ้าออก รินก็รีบหย่อนยาเข้าช่องปากไป





“แค่ก...แค่ก!” ร่างบางไอค่อกแค่ก ยิ่งสะเทือนหน้าอกจนต้องคู้ตัวลง เม็ดยาหลุดล่วงออกมาจากปาก





รินไม่รู้จะทำยังไง นอกจากกรอกยาเข้าไปอีกเม็ด ทำยังไงก็ได้ให้เจ้าตัวกินยาเข้าไปให้ได้





“ที่นี่มันไม่มีน้ำ อดทนหน่อยสิ” ร่างบางใช้มือช้อนศีรษะของรุ่นพี่วางบนตักเพราะคิดว่าจะทำให้ยาไหลลงคอได้ง่ายขึ้น “นายจะมาตายที่นี่ไม่ได้นะ”





สาที่ได้แต่ตัวสั่นร้องไห้ ก็คลายสะอื้นเมื่อเห็นรุ่นพี่ค่อยๆ สงบลง รินก็ใช่ว่าจะไม่ใจเสีย เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ ความรู้สึกโกรธมันก็ลดลงไปเยอะ





เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของร่างบางยิ่งกล่อมให้อีกสองคนรู้สึกเหนื่อยอย่างกับไปรบมาหลับตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชะเอมนอนหลับปุ๋ยท่ามกลางเสียงสายฝนที่เบาลงจนหยุดในที่สุด ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงจนทั้งสามรู้สึกตัวตื่น ร่างบางก็ลุกขึ้นนั่งก้มหัวให้กับรุ่นน้องทั้งสองคน





“ขอโทษนะ...ที่ทำให้ตกใจ” ถึงจะจำไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ยังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง “แล้วก็ขอบคุณมากเลยที่ช่วยพี่”





“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ต้องขอบคุณรินที่มีสติ ถ้าสาอยู่คนเดียวคงทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ เลย” สาพูดขึ้นแล้วก็ปาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมา นึกถึงแล้วยังสะเทือนใจไม่หาย “ว่าแต่พี่ชะเอมเป็นอะไรเหรอคะ ดูร้ายแรงมากเลย สากลัว”





“อืม...ขอโทษที่ทำให้กลัวนะ” ชะเอมยิ้มบาง บ่ายเบี่ยงคำตอบไปเพราะไม่อยากพูดถึงโรคประจำตัวของตัวเอง “ขอบคุณน้องรินมากนะ”





ร่างบางผมยาวนิ่งไม่พูดอะไร จ้องมองใบหน้าซีดเซียวของคนที่ตนคิดว่าเกลียด “โรคประจำตัวเหรอ”





ตาโตเบิกกว้าง “...ใช่”





“โรคอะไร” รินถาม...ถึงในใจจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะรู้ว่าใช่จริงหรือไม่





ร่างบางถอนใจ เจอแบบนี้คงปิดบังกันไม่ได้แล้วล่ะนะ “โรคหัวใจน่ะ...พี่เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว”





“อะไรกัน” สาวตัวเล็กปิดปากอึ้ง...เธอไม่เคยรู้เลยว่ารุ่นพี่คนนี้จะมีโรคน่ากลัวติดกาย ทั้งๆ ที่การแสดงออกภายนอกไม่เหมือนคนที่กำลังป่วยหนักอยู่เลย





“อย่าบอกใครนะ เรื่องวันนี้” ชะเอมส่งสายตาขอร้องไปที่สากับริน





“แม้แต่พี่คินเหรอ” สาวรินถามลองใจ เธอรู้ดีว่าแค่คนตรงหน้าไปบอกว่าตัวเองเป็นอะไร ก็เพียงพอที่จะทำให้พี่คินกลับมาดูแลตัวเองได้แล้ว





“โดยเฉพาะคินเลยล่ะที่ห้ามบอก อย่าให้เขารู้เด็ดขาด พี่ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง...ซึ่งตอนนี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบอกไปแล้วเขาจะเป็นห่วงรึเปล่า” เสียงใสพึมพำ แววตากลมโตสะท้อนความเจ็บปวด





คินอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้





“นายต้องการอะไรกันแน่” รินกำหมัด กัดริมฝีปากแน่น ถ้าหากเจ้าตัวอ้างเรื่องที่ตัวเองป่วยล่ะก็จะสามารถทำให้เธอลังเลได้เลยนะ! เธออาจจะไม่เอาความโกรธของตัวเองไปลงที่รุ่นพี่คนนี้เลยก็ได้! ...แล้วนี่อะไร เธอยังไม่เห็นแม้แต่การเรียกร้องความเห็นใจสักนิดของชะเอมสักนิด





แล้วเรื่องที่พี่ชายของเธอเล่าให้ฟังทั้งหมดล่ะ เรื่องที่พี่เรย์เล่ามันคืออะไร...ไหนล่ะคือนิสัยเลวๆ ของชะเอมที่พี่เรย์บอกเธอ!?





“พี่บอกน้องรินไปแล้ว ความเข้าใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยังไงพี่ก็ว่าน้องรินไม่ได้หรอก” ชะเอมยังยืนยันคำเดิม เขาบังคับใครไม่ได้ ความโกรธเกลียดก็เปลี่ยนไม่ได้เช่นกัน...ต้องให้เวลาคอยเยียวยาทุกอย่าง





“ยังไงก็ตาม เรื่องวันนี้เป็นความลับนะ” ใบหน้าหวานยังคงแย้มยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะแสนอ่อนแรง แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเกิดมามีร่างกายแบบนี้...ถ้าเลือกได้เขาก็อยากเป็นคนธรรมดา มีร่างกายแข็งแรงเหมือนคนทั่วๆ ไป





“เอาล่ะ จะทำยังไงถึงได้ออกไปจากกระท่อมนี่เนี่ย” ขาบางหยัดยืนมองไปรอบๆ พอฝนหยุดแดดก็ออก จึงทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น มือบางสองข้างยกขึ้นป้องปากตะโกน “ช่วยด้วยครับ ใครก็ได้ช่วยด้วย! มีใครอยู่ข้างนอกบ้างมั้ยครับ!”





แปลบ!





จู่ๆ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาในทรวงอก มือบางยกขึ้นกุมเสื้อแน่น หน้าซีดลมหายใจหอบสั่น





“พี่ชะเอม! อย่าฝืนเลยค่ะ”





“พี่...ฮ่า...ไม่เป็นไร” ชะเอมผ่อนลมหายใจ พอความเจ็บมันแล่นเข้ามา ในหูมันวิ้งๆ อื้อๆ ได้ยินไม่ค่อยชัด





“นายนั่งเฉยๆ ไปเถอะ เป็นอะไรอีกจะลำบาก” รินเห็นอาการของชะเอมก็อดพูดไม่ได้ แต่สารู้ดีว่ารินอ่อนกับพี่เขามากแล้ว





ร่างบางได้ยินก็พยักหน้า “...ครับ”





เขาเบื่อตัวเองที่เป็นแบบนี้...เป็นตัวถ่วง...เป็นภาระให้คนอื่นอยู่เรื่อย





สองสาวช่วยกันร้องเรียกให้คนช่วยไปเรื่อยๆ กว่าครึ่งชั่วโมงจนหมดแรงก็ยังไม่มีวี่แววจะมีใครเดินผ่านมาสักคน





“นี่เราจะต้องติดอยู่ในนี้ไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย” สาโอดครวญ





“ไม่เอาน่า เดี๋ยวก็ต้องมีคนมาแน่” รินบอก ซึ่งชะเอมก็คิดเหมือนกัน





ใช่ เดี๋ยวต้องมีคนมาช่วยแน่ๆ









************************Whose fault? ************************











“นี่! เอมไปไหน”





“ว่าอะไรนะ” ร่างสูงหันไปมอง ทั้งในมือยังถือมีดอยู่ทำให้คนมาถามผงะ





“ฮะ เฮ้! ใจเย็นสิ แค่ถามว่าเอมอยู่ไหน” ดินพูดเสียงหวาดหวั่น...หน้าไอ้หมอนี่หลอนเป็นบ้า!





“เอมไม่ได้อยู่กับมึงหรือไง ก่อนหน้านี้เห็นอยู่ด้วยกัน” คินขมวดคิ้ว วางมีดลง ปลดผ้ากันเปื้อน เขาก็สงสัยเหมือนกันเพราะร่างบางหายไปนานเป็นชั่วโมงกว่าแล้ว







“เปล่า เอมเดินไปตั้งนานแล้วเฟ้ย ก็เลยนึกว่าอยู่กับมึงไง...งี้ก็แย่เลยดิ กะจะให้สอนอะไรหน่อย” ร่างสูงผิวคล้ำบ่นอุบอิบ





ไม่ได้อยู่กับหมอนี่แล้วเอมไปไหน? คินขมวดคิ้ว





“ถ้าเอมล่ะก็ เห็นเดินออกไปข้างนอกตั้งนานแล้วนะ แต่ยังไม่กลับมาซักที” คู่ทำงานของดินเดินเข้ามาบอก





“มึงเห็นเหรอวะเกม” ดินถาม





“เออ เห็นเดินไปกับใครไม่รู้อ่ะ จำหน้าไม่ได้” เกมพยักหน้าวางแขนลงบนไหล่กว้างของดิน ก่อนจะรีบเอาออกทันทีเพราะรู้สึกสายตาที่ทำให้เสียวสันหลังวูบๆ ยังไงชอบกล





“ตอนไหน” คินถาม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ “ชะเอมเดินออกไปตอนไหน”





“ก็...ตั้งแต่สอนพวกเราหั่นหมูเสร็จมั้ง เนอะไอ้ดิน” เกมหันมาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ดินก็มองหน้ากลับแบบ ‘ตกลงมึงเห็นจริงป่ะ’





ขายาวก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ชะงัก หันมาคว้าแขนผิวสีแทนให้เดินตามออกไปด้วย “ฮะ เฮ้ย อะไรวะ!?”









ร่างเล็กที่แอบฟังทุกอย่างก็จิ๊ปากอย่างขัดใจ

ได้แค่นี้เองเหรอ

ช่างมัน คราวหน้าก็ยังมีโอกาส











************************Whose fault? ************************

“อะไรกันวะเนี่ย”





กึก





“นี่ๆ ได้ยินเสียงอะไรมั้ย” สาหันขวับ แววตามีความหวัง





ชะเอมขมวดคิ้ว “เสียงอะไร...”

“ไอ้ห่าดินเงียบๆ ดิวะ ยิ่งเข้าลึกมันยิ่งน่ากลัวนะเว้ย”

“ก็มึงดูแม่งลากกูมา แต่ไม่พูดเชี่ยอะไรสักคำ”





ทั้งสามผุดลุกขึ้นยืนทันที เมื่อยืนยันว่านั่นคือเสียงคนคุยจริงๆ





“ช่วยด้วยค่า!!!” สาตะโกนร้องเรียกทันที รินก็เอากับเขาด้วย “มีคนติดอยู่ข้างในนี้ค่ะ ช่วยด้วยค่า”

“ฮะ เฮ้ย พวกมึงได้ยินเสียงอะไรกันป่ะวะ อย่าบอกนะว่า ผะ...”

“นั่นเสียงคน...แถมเสียงผู้หญิงด้วย!”

“นั่นมันกระท่อมร้าง สงสัยจะมีคนติดอยู่ในนั้นแน่เลย”





“ใช่ค่าๆ มีคนอยู่ในนี้ค่า” สายิ้มดีใจเมื่อมีเสียงใกล้เข้ามาเหมือนอยู่หน้าประตู







กุกกัก แอ๊ด





“พี่คิน!” ทันทีที่ประตูไม้เปิด สาก็แทบจะถลาเข้าหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า...เทพบุตรชัดๆ !





“สา! ริน! ทำไมมาอยู่ในนี้ได้ล่ะเนี่ย” คินแปลกใจ ที่มากกว่านั้นคือแปลกใจ เพราะถ้าไม่มีใครผ่านมาทั้งสองคนนี้จะเป็นยังไง





“แง...พี่คิน นึกว่าจะต้องตายอยู่ในนี้แล้วค่ะ” สาวตัวเล็กน้ำตาแตก “จริงด้วย! คือว่าพี่เอมเค้า...โอ๊ย! ทำอะไรน่ะริน”





รินถลึงตาใส่เพื่อนตัวเองที่จะพูดอะไรไม่เข้าท่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ บังเอิญว่าพี่เอมเขาก็ติดอยู่ในนี้เหมือนกัน”





“เอม?” คินหันไปมองร่างบางที่เพิ่งเห็นว่ามีใบหน้าอิดโรยยิ่งกว่ายืนอยู่ข้างหลังสาวๆ ถามเสียงดุ “ทำไมนายถึงเข้ามาอยู่ในป่าลึกแบบนี้ได้”





ร่างบางยิ้มเจื่อนไม่กล้าสบตา ถ้าบอกว่าหลงทางคงจะไม่เชื่อสินะ “คือว่า...”





“เอม!” ดินเข้ามากอดคอซะคนตัวบางแทบปลิว





ชะเอมขยับดุกดิก แขนบางพยายามดันคนตัวสูงออก “โอย ดิน เราเจ็บนะ”





“โทษทีๆ นี่มึงมาอยู่ในนี้ได้ไงเนี่ย น่ากลัวชิบหาย!” ร่างสูงพูดอย่างขนลุก แค่เดินผ่านเข้ามาในป่าแบบนี้ก็ว่าน่ากลัวแล้ว ไอ้กระท่อมหลังนี้แม่งหล่อนยิ่งกว่า





“คือ...” ชะเอมเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง จะเริ่มจากตรงไหนดี “คือเราเดินตามน้องคนนึงมา เขาบอกว่ามีคนร้องอยู่ในนี้ เราเจอน้องสากับน้องรินแล้วดันซุ่มซ่ามเผลอล้มเข้าไปในกระท่อมนั่น แล้วประตูมันก็ล็อค ส่วนน้องคนนั้นก็ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ พวกเราเลยออกไปไม่ได้”





เสียงใสเล่าเป็นฉากๆ ซึ่งมันดูน่าเหลือเชื่อเกิน จนคินต้องหันไปมองหน้าสองสาว เลิกคิ้วถามว่า ‘จริงเหรอ’





สาส่ายหน้าใสซื่อเกินกว่าจะโกหก ก็พี่ชะเอมโดนผลักไม่ได้ซุ่มซ่ามล้มเองซักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องโกหกด้วย...ส่วนในหัวของรินครุ่นคิดสงสัยอย่างหนักเพราะเสี้ยวหน้าของคนคนนั้นหลังจากใช้แรงผลักชะเอมล้มลงก่อนประตูจะปิดนั่น...ถ้าหากเธอมองไม่ผิด...





เป็นคนที่เธอรู้จัก





“อ้าวนายมีแผลนี่” เกมที่ยืนเงียบเอ่ยทัก





“อะ อ๋อ” ชะเอมก้มลงมอง จะว่าไปมีรอยถลอกตรงเข่ากับแสบๆ ที่ฝ่ามือด้วย นี่เขาไม่รู้ตัวเลยแฮะ “สงสัยจะเป็นตอนที่ล้มนั่นแหละ”





“มาอยู่นี่มีแต่เรื่องนะมึง” ดินมองอย่างเป็นห่วง เจ้าตัวหัวเราะแหะๆ “จะว่าไปแล้ว จำหน้าน้องคนนั้นได้รึเปล่า”





“อ้อ จำไม่ได้หรอก” เสียงใสบอกซื่อ





ดินหรี่ตามอง โกหกไม่เนียนอีกแล้ว “จริงดิ”





“อะ อื้ม ว่าแต่ว่าเรารีบกลับไปกันเถอะ น้องสากับน้องรินคงหิวแย่แล้ว” ชะเอมพูดเปลี่ยนเรื่อง ขาเดินลิ่วไปก่อน ให้คนข้างหลังมองด้วยสายตาแตกต่างกันไป



จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง ไม่มีใครเป็นอะไรไปก็ดีแล้วล่ะนะ







************************Whose fault? ************************


​ :hao5:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 19 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:44:17

                                   Whose Fault ?



                                    ผิด...ครั้งที่ 19



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม









“ยินดีต้อนรับครับ”



“ยินดีต้อนรับค่า”



“อ้าว ติม วันนี้ก็มาอีกแล้วเหรอ” ชะเอมถือแผ่นเมนูเดินเข้าใกล้รุ่นน้องที่เพิ่งเจอกันเมื่อวันก่อน ไม่คิดว่าวันนี้ก็จะได้เจออีก



มาบ่อยจังแฮะ



“ท่าทางจะชอบกินอาหารญี่ปุ่นนะเนี่ย” ร่างบางยิ้มเป็นมิตร รุ่นพี่สอนมาต้องทำแบบนี้กับลูกค้า เขาจะได้ชอบและมาบ่อยๆ



ร่างสูงที่เดินเข้ามาในร้านยิ้มตอบ “ครับ” จะยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละ เพราะเขามาเพื่อเจอร่างบางต่างหาก “พี่ชะเอมขยันขันแข็งดีนะครับ”



“งั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีนะ...ว่าแต่จะรับอะไรดีล่ะ เหมือนเดิมมั้ย” มือบางยื่นเมนูแผ่นใหญ่ให้



“พี่เอมจำได้เหรอ” ไอติมถามอย่างคาดไม่ถึง ในหัวใจแอบเต้นตึกตัก



ร่างบางเลิกคิ้ว ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “จำได้สิ ก็ติมเพิ่งมาเมื่อวันก่อนแถมพี่เป็นคนรับเมนูเองด้วย”



ร่างสูงรู้สึกเหมือนหน้าหดลงนิดหน่อย เป็นงั้นไป “เหมือนเดิมก็ได้ครับ”



ชะเอมไม่รับรู้ถึงความหดหู่ของอีกฝ่าย จดเมนูในมือยิกๆ “โอเค น้ำล่ะ”



“น้ำเปล่าครับ”



“ครับ งั้นคุณลูกค้ารอสักครู่นะครับ สักพักเมนูจะมาเสิร์ฟ” ร่างผอมบางในชุดเครื่องแบบทวนเมนูเสร็จก่อนจะเดินไปรับออเดอร์โต๊ะอื่นบ้าง โดยมีสายตาคมมองตามไปไม่ละ



หลังจากวันค่ายที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นสี่วันจบลง นี่ก็ผ่านมาได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว เขาเริ่มหางานพิเศษทำได้อย่างที่ตั้งใจ เพราะอย่างที่บอกว่าเขาไม่อยากรบกวนคุณลุงมากไปกว่านี้สักนิดเดียว แถมเรื่องที่คินพูดไว้ก็ยังติดตรึงในความทรงจำ



‘หมายถึงเงินของพ่อเหรอ หึ’ ...คำดูถูกนั่น



ถ้าหากเขาหาเงินได้บ้างสักนิด ก็จะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางอย่างได้ โดยที่ไม่ต้องรบกวนเงินของคุณลุง แต่ยังไงเรื่องค่าเรียนเขาก็คงต้องรอให้เรียนจบก่อนถึงจะหามาคืนได้



ซึ่งเรื่องการทำงานพิเศษนี้ยังไม่มีใครรู้นอกจากไอติมที่บังเอิญมาทานข้าวกับครอบครัว...และมีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่านั้นเพราะเขาเพิ่งรู้ว่าติมเป็นน้องของพี่หมออิฐคนนั้นด้วย ซึ่งดูภายนอกไอติมเหมือนพี่มากกว่าพี่หมออิฐอีก อาจจะเพราะตัวสูงกว่า แล้วบางครั้งก็ดูน่ากลัวกว่า



แหะๆ ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้นินทาว่าพี่หมออิฐไม่สมกับเป็นพี่ชายนะครับ



‘งานค่อนข้างเหนื่อยนะจ๊ะ จะไหวเหรอ’ สายตาของผู้จัดการร้านหญิงวัยสามสิบต้นๆ กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อชะเอมย่างก้าวมาสมัครงาน

‘ไหวครับ พี่มีงานอะไรให้ผมทำ ผมทำได้หมดเลย ให้ผมล้างจานก็ได้นะครับ ขอแค่รับผมเข้าทำงาน’



เธอเห็นความดื้อดึงและกระตือรือร้นแล้วก็ไม่กล้าปฏิเสธ ไฟแรงมันก็ดีอยู่หรอก แต่ดูผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้จะมีแรงทำงานจริงเหรอ ‘โอเคก็ได้ นี่เพราะว่าพี่เห็นเราดูขยันขันแข็งดีหรอกนะ เห็นแบบนี้พี่ก็ใจดีเหมือนกัน ถ้าหากมีปัญหาอะไรก็แจ้งล่วงหน้าได้ จะหยุดหรือยังไงให้บอกก่อน แล้วนี่เราว่างทำงานวันไหนบ้างล่ะ’



‘ตอนเย็นวันธรรมดา วันเสาร์อาทิตย์ผมได้ทั้งวันครับ’ เพราะนอกจากเรียน ปกติเขาก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว



‘ถ้างั้นเดี๋ยวลงเวลาที่เราคิดว่าว่างมาทำ เดี๋ยวพี่ดูให้เองว่าให้เราทำวันไหนบ้าง มีวันหยุดหนึ่งวันต่ออาทิตย์ เรามีธุระที่ต้องไปทำวันไหนเป็นพิเศษรึเปล่า ขอได้นะ’



ชะเอมลังเล ‘งั้น...ผมขอดูก่อนแล้วค่อยบอกวันหลังได้รึเปล่าครับ’



ผู้จัดการหญิงโคลงหัวยิ้มๆ ‘ไม่มีปัญหา’



‘นี่ผม...ได้ทำงานแล้วใช่มั้ยครับ’



‘ใช่จ้ะ แต่เดี๋ยวพี่บอกไปอีกทีว่าให้เข้ามาวันไหน’



‘ครับ! ขอบคุณมากครับ!’



ในที่สุดเขาก็ได้เข้ามาทำงานในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังแห่งนี้ ซึ่งมีชุดเครื่องแบบพนักงานที่ต้องใส่ สำหรับเขาไม่เกี่ยงอะไรอยู่แล้ว แต่มันไม่มีไซส์เขาเลย ต้องสวมชุดคนอื่นซึ่งหลวมโพรกสุดๆ



“ชะเอม เสิร์ฟโต๊ะห้าหน่อย” เชฟหนุ่มกดกริ่งเรียก พนักงานที่ดูว่างไม่ได้ทำอะไรซึ่งร่างผอมบางก็รีบเดินเข้ามาหยิบไปเสิร์ฟลูกค้าทันทีไม่เกี่ยง แถมยังรักษาภาพพจน์ยิ้มหวานตลอดเวลาจนลูกค้าชายหลายคนมองตาม



“ครับ!”



ร้านอาหารเป็นครัวแบบปิดแต่สามารถเห็นข้างในได้เพราะกั้นด้วยกระจกใส ซึ่งผู้จัดการหญิงก็ยืนกอดอกมองผ่านเข้ามาว่าภายในร้านยังเรียบร้อยดีอยู่หรือไม่



“เด็กใหม่คนนี้กระตือรือร้นดีแฮะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น สายตามองตามร่างผอมบางที่สวมชุดหลวมไม่เข้ากับตัว



“ใช่มั้ยล่ะ ฉันล่ะถูกใจจริงๆ”



“ผมว่าคุณฝนชอบหน้าตาเขามากกว่ามั้ง...ก็น่ารักดีนี่”



“นายก็เห็นเหมือนกับฉันไม่ใช่เหรอ ฟ้า”



“หวังว่าคุณคงจะไม่กินเด็กหรอกนะ” เชฟหนุ่มเอ่ยแซวอย่างขี้เล่น



หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่ “ซะเมื่อไหร่ล่ะยะ ปากเสียก็ไปซ่อมซะนะคุณสามี!”



“แต่อย่าลำเอียงมากไปล่ะ มันจะไม่เป็นผลดีต่อเด็กคนนั้นหรอกนะครับ” มือหยิบแผ่นออเดอร์ขึ้นอ่าน เตรียมวัตถุดิบจะทำเมนูต่อไป



“ฉันรู้แล้วล่ะน่า...อีกอย่างเด็กๆ ที่ฉันรับมาทำงานฉันก็คัดกรองอย่างดีแล้ว ไม่มีเรื่องกันแน่นอน” ฝนพูด



ฟ้ายักไหล่ “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” แต่ตัวเขารู้ดีกว่าใครว่าภรรยาตนนั้นเก่งอย่างที่ปากว่าจริงๆ



“ขอบคุณมากครับ” ร่างผอมบางก้มหัวให้ลูกค้าคนสุดท้าย มองนาฬิกาก็บอกเวลาสามทุ่ม ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขามาทำงานพิเศษนี้อยู่ในห้างสรรพสินค้า จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมร้านถึงปิดดึกขนาดนี้เพราะปิดตามเวลาของห้างฯ นั่นเอง



“ผมช่วยเก็บของนะครับ” ชะเอมเดินเข้ามาในครัวร้องบอกเมื่อเห็นพี่ๆ สองคนยังคงเก็บของอยู่ พนักงานคนอื่นคงกลับกันหมดแล้ว



“ไม่เป็นไรๆ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เอมกลับไปพักผ่อนเถอะ” ฟ้าที่ยังอยู่ในชุดพ่อครัวโบกมือไล่ พร้อมกับฝนที่พยักหน้าเห็นด้วย



“เอางั้นเหรอครับ งั้นวันนี้ขอบคุณมากนะครับ” ขาบางเดินมาห้องเปลี่ยนชุด ถอดชุดพนักงานเสิร์ฟออกเก็บเข้าล็อคเกอร์ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความ พอไม่เห็นข้อความอะไรเข้ามาเลยในช่วงสามวันนี้ หัวใจก็แฟบลง แววตากลมโตหม่นเศร้า



ไหนบอกว่าให้โอกาสเอมแล้ว ทำไมถึงไม่ตอบอะไรกลับมาเลยล่ะ



คิน...คงไม่ได้ลืมจริงๆ หรอกใช่มั้ย



ปึง...



มือบางปิดล็อคเกอร์ ปาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมา บ้าจริงๆ แค่นี้ก็ร้องไห้ซะแล้ว



“อ้าว ยังไม่กลับอีกเหรอ” เสียงทุ้มของฟ้าทักทำให้ไหล่บางสะดุ้ง



“อะ คะ ครับ กำลังจะกลับแล้วครับ” ชะเอมเอ่ยตะกุกตะกัก ก้มหน้าก้มตาหยิบกระเป๋าพาดไหล่แล้วรีบเดินออกมา สองขาเรียวภายใต้กางเกงยีนส์เดินเรื่อยเปื่อยริมถนน ใจลอยไปไกล ยังไงก็ไม่มีใครรออยู่ที่ห้องอยู่แล้ว ค่อยๆ เดินไปเดี๋ยวก็ถึงคอนโดเองนั่นแหละ ยังไงก็ห่างกันแค่ไม่กี่กิโล



ปริ๊นๆ



ใบหน้ามนหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงแตรรถ นั่นมันแท็กซี่ ชะเอมส่ายหน้าทันที “ไม่ครับ ไม่ไป” แล้วแท็กซี่คันนั้นก็ขับผ่านไป เพราะดึกดื่นป่านนี้ รถประจำทางก็หาได้ยาก จึงไม่แปลกที่รถแท็กซี่พวกนี้จะเรียกลูกค้าด้วยตัวเอง



ครืด ครืด



เสียงสั่นเป็นจังหวะเรียกให้ดวงตาโตเบิกกว้าง หัวใจเต้นระรัวอย่างมีความหวัง ริมฝีปากแย้มรอยยิ้ม เพราะคิดว่ามีข้อความเข้าจากคนที่รอคอย มือรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอเห็นหน้าจอแล้วขมวดคิ้ว



นี่มันสายเรียกเข้า...เบอร์ใครน่ะ?



ดวงตาจ้องมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่สักพักอย่างลังเล ก่อนใช้นิ้วไถรับ กดมือถือแนบหู “สวัสดีครับ”



(“ฮัลโหล ชะเอม เป็นไงบ้าง คิดถึงลุงมั้ย”)



ริมฝีปากยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงของผู้มีพระคุณ “คุณลุง!” ยังไม่แน่ใจจนต้องละออกมาดูหน้าจออีกครั้ง ก็ยังเป็นเบอร์ไม่รู้จักเหมือนเดิม



(“ว่าไง เซอร์ไพรส์รึเปล่า”) เสียงทุ้มขี้เล่นลอยมา



“คุณลุง ทำไมถึงเพิ่งติดต่อมาล่ะครับ”



(“อะไรกัน ไม่ตอบคำถามลุงเลย”) เสียงคนแก่น้อยใจแว่วมา ซึ่งเสียงใสรีบตอบรับเสียงสั่นเครือ



“คิดถึงสิครับ เอมคิดถึงคุณลุง...” น้ำตารื้นขึ้นมาไม่รู้ตัว คิดถึงจริงๆ



(“ได้ยินแบบนี้ล่ะคนแก่ชื่นใจจริงจริ๊ง ลุงก็คิดถึงเอม คิดถึงมากจนอยากกลับไปหาเลย”)



“คุณลุงยังทำงานอยู่ต่างประเทศเหรอครับ” ชะเอมเอ่ยเสียดาย นี่เขาก็นึกว่ากลับมาแล้วซะอีก



(“ใช่สินี่ลุงให้เลขาหาเบอร์เพื่อโทรหาหนูโดยเฉพาะเลยนะ”)



“แล้วคุณลุงโทรหาคินรึยังครับ”



(“ยังเลย ไม่ต้องหรอกมั้งไอ้ลูกชายนั่น ถ้ามีเอมอยู่ด้วยคงสบายดีนั่นแหละ”)



ร่างบางใจกระตุก ลุงเกษมยังไม่รู้ว่าเขากับคินทะเลาะกัน แถมไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว “ครับ แต่คุณลุงก็โทรหาคินหน่อยนะ ยังไงเขาก็เป็นลูกชาย ไม่งั้นเดี๋ยวคินน้อยใจนะครับ”



อีกฝ่ายเงียบไปก่อนจะระเบิดหัวเราะลั่น ทำให้ชะเอมรีบเอามือถือออกห่าง (“พูดอะไรน่ะเอม อย่างเจ้าคินน่ะนะน้อยใจ โอ๊ย นี่หนูทำลุงท้องแข็งไปหมดแล้ว”)

ใบหน้ามนร้อนผ่าวเมื่ออีกฝ่ายเริ่มหัวเราะเกินกว่าเหตุ “อะ อะไรกันครับคุณลุง นี่เอมจริงจังนะ”



(“อย่างเจ้าลูกชายไม่น้อยใจเรื่องแค่ลุงไม่โทรหาหรอกน่า เอมอย่าคิดมากไปเลย”)



“...” ชะเอมเบะปากเดินเตะก้อนหินข้างทางอย่างงอนๆ ก็เขาเป็นห่วงคิน...ถ้าหากเขาโดนลูกบุญธรรมแย่งความรักพ่อของตัวเองไป ก็ต้องน้อยใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ



(“ว่าแต่นี่เป็นไงบ้างชะเอม สบายดีใช่ไหม ตอนนี้ทำอะไรอยู่ นี่ไม่เห็นเงินที่ลุงให้ลดลงเลย ฮึ นี่หนูไม่ได้ใช้เงินทำอะไรเลยใช่ไหมเนี่ย”) เห็นได้ชัดว่าเกษมศักดิ์เช็คการเป็นไปอยู่ตลอดเวลา นอกจากค่าส่วนกลางคอนโด ค่าน้ำค่าไฟที่ต้องจ่ายทุกเดือน ค่าอาหาร ค่าเรียน ชะเอมก็ไม่ได้ใช้เงินเพื่อซื้ออะไรที่ตัวเองอยากได้เลย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่เขาเป็นห่วงอย่างมาก



เกษมศักดิ์พยายามทำทุกอย่างเพื่อเด็กคนนี้เข้าใจว่าเป็นลูกแท้ๆ แต่ว่ามันกลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้เจ้าตัวยิ่งถอยห่าง กั้นด้วยกำแพงสูงชันที่คิดว่ายังไงตัวเองก็ไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าภายในใจยังคงคิดเรื่องอดีตของตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไปเลย...ภายในใจยังคงมีความเกรงใจและกำลังคิดมากอยู่แน่ๆ



ชะเอมเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่ลุงเกษมต้องการจะให้...แต่เขารับมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว “ก็เอมยังไม่มีอะไรที่อยากได้นี่ครับ คุณลุง”



ร่างบางมองไฟที่เปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวให้คนข้าม เวลานี้ก็ยังมีคนเดินพลุกพล่าน แต่มีแค่ชะเอมเท่านั้นที่ยังยืนนิ่ง มองทางม้าลายแถบขาวดำอย่างเหม่อลอย



สิ่งที่เอมอยากได้น่ะ...ตลอดมา...



“ถ้าหากมีอะไรที่เอมต้องการ เอมจะบอกคุณลุงทันทีเลย เพราะงั้นเงินทั้งหมดที่คุณลุงให้มาตอนนี้เอมเลยอยากเก็บออมไว้ก่อน คุณลุงเข้าใจเอมนะครับ”



(“...หนูว่ามาแบบนี้จะให้ลุงว่าอะไรได้ล่ะ”) เสียงถอนหายใจยาวดังมาตามสาย (“เวลาที่นู่นคงดึกมากแล้วสินะ งั้นลุงวางสายเลยแล้วกัน จะได้ไม่รบกวน”)



เสียงใสค้านทันทีที่ได้ยิน “ไม่กวนเลยครับ เอมอยากคุยกับคุณลุง”



(“อ้อนแบบนี้ ลุงอยากกลับไปเร็วๆ แล้วสิ”)



“แล้วเมื่อไหร่คุณลุงจะกลับล่ะครับ งานติดพันมากเลยเหรอ”



(“ใช่”) ได้ยินเสียงกุกกักของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ (“อาจจะต้องอยู่อีกสองสามเดือน”)



ขาบางหยุดเดิน นี่เขาจะไม่ได้เจอลุงเกษมสามเดือนเลยเหรอ “...นานจัง”



(“คิดถึงลุงก็โทรมาได้นะ เบอร์นี้เลย”)



“แต่คุณลุงทำงาน เอมโทรไปจะรบกวนเปล่าๆ ครับ...อีกอย่างค่าโทรข้ามประเทศก็แพงมากด้วย”



(“ไม่เป็นไรๆ เบอร์นี้ของเลขา โทรมาฝากข้อความไว้ก็ได้เดี๋ยวลุงโทรกลับ ค่าโทรก็ไม่ต้องห่วงลุงจ่ายเองน่า”)



“ครับ คร้าบท่านประธาน งั้นเอมวางแล้วนะครับ” ชะเอมเอ่ยแซวตำแหน่งของอีกฝ่าย



เกษมศักดิ์หัวเราะร่ากับคำเรียกนั้น ก่อนจะบอกลาลูกบุญธรรมอย่างเสียดาย (“อืม ฝันดีนะ”)



เสียงทุ้มอ่อนโยนฟังแล้วร่างบางยิ้มอ่อน “ครับ คุณลุงก็ด้วย”



ครืด ครืด



หลังจากวางสายจากลุงเกษมไปไม่นาน แสงสว่างบนหน้าจอแสดงข้อความ...มาจากอากฤษณะ



‘พรุ่งนี้อย่าลืมนัดของเรานะชะเอม สิบโมงตรง ห้ามเลท’



อา...ลืมไปซะสนิทเลยว่ามีนัดตรวจร่างกายกับอาหมอ



ร่างบางเดินไปเรื่อยด้วยความเคยชิน อีกไม่กี่นาทีก็น่าจะใกล้ถึงคอนโดแล้ว นิ้วกดแอพสีเขียวเช็คข้อความที่ตัวเองส่งไปตั้งแต่วันก่อน





Thu, 9/27

chÄim : คิน วันอาทิตย์นี้ตอนเย็นมาทานข้าวด้วยกันไหม 5:05PM





ยังไม่ขึ้นว่าอ่าน...แล้ววันพรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์แล้วด้วย



คินคงจะไม่ว่าง...ร่างบางได้แต่ปลอบใจตัวเองไปเรื่อย ทั้งๆ ที่ทางเดินข้างหน้าเริ่มพร่ามัวจากน้ำตาจากความน้อยอกน้อยใจ



ถึงจะไม่ว่างยังไง ก็อยากให้ตอบข้อความกันบ้าง...เขาจะได้ไม่ต้องนั่งรอด้วยความสิ้นหวังเหมือนคนโง่คนหนึ่ง



น้ำตาที่เสียไป...มากเท่าไหร่ถึงจะพอกับผู้ชายคนนี้



ร่างบางเดินผ่านความมืดของค่ำคืน เสียงของรถ เสียงของฝีเท้าคนเดินผ่านไปมา เสียงทักทายของลุงยามหน้าคอนโด จนกระทั่งสองขาเรียวเดินถึงห้อง รอจนถึงเที่ยงคืน ก็ยังไม่มีเสียงเตือนใดๆ จากโทรศัพท์อีกเลย







************************Whose fault? ************************


ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 19 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 30-11-2018 20:45:07


ต่อจากด้านบนค่ะ



“น้ำหนักลดลงอีกแล้ว” กฤษณะเคาะปากกากับโต๊ะ ขมวดคิ้วเครียดมองผลตรวจร่างกายของเด็กที่เปรียบเสมือนหลานแท้ๆ ของตัวเอง



“...ขอโทษครับ” ร่างบางก้มหน้าต่ำ ก็ไม่รู้จะพูดยังไงนอกจากคำๆ นี้อีก เขาผิดเองที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี แต่การกินข้าวเนี่ย...กินยังไงน้ำหนักมันถึงจะขึ้นล่ะ “แต่ว่าเอมกินไม่ได้ขาดซักมื้อนะครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม...”



มือใหญ่วางปากกา สายตามองสบกับดวงตากลมที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เอม อาถามจริงๆ เถอะ”



“ครับ?”



“นี่ยังไม่คืนดีกับคินอีกเหรอ”



“อะ คืนดีอะไรกันล่ะครับ เอมไม่ได้ทะเลาะกับคินซักหน่อย” ร่างบางพยายามบ่ายเบี่ยง



“อย่ามาโกหกอาเลย เพราะอารู้เรื่องหมดแล้ว จากเพื่อนของหนูนั่นแหละ” สายตามองตรงมาอย่างจับผิด สิ่งที่กฤษณะพูดทำให้ดวงตากลมโตสั่นไหว “แล้วถ้าปกติเอมจะมาโรงพยาบาล คินคงไม่ปล่อยให้หนูมาคนเดียวแน่ จริงไหม”



ริมฝีปากบางเม้มแน่น เอ่ยบอกเสียงแผ่ว “เราแค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยครับ”



“เข้าใจผิดอะไรกัน” กฤษณะยังไม่เข้าใจ



“คินเข้าใจผิดว่าเอมเป็นคนทำให้เรย์โดนรถชนในวันนั้นครับ”



กฤษณะสูดลมหายใจลึก รู้สึกอึ้ง “นั่นมัน...ร้ายแรงมากเลยนะ”



“จริงๆ แล้ว...ก่อนหน้านี้ที่คินพาเรย์มาโรงพยาบาล...ที่อาหมอรักษาให้แผลให้ วันนั้นคินก็เข้าใจว่าเอมเป็นคนทำร้ายเรย์เหมือนกัน เราทะเลาะกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะครับ” เสียงใสเล่าอย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลจากดวงตากลม “วันนั้นที่เรย์โดนรถชน...เอมผลักเรย์ก็จริง แต่เอมไม่ได้ตั้งใจ...เอม...”



ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งพูดถึง มันยิ่ง...ทรมาน



“เรย์...เขาว่าคุณลุง เอมก็เลยตบหน้าเขาเพราะอยากให้เขาหยุดพูด ฮึก ที่เขาพูดดูถูกคุณลุง...เอมทนฟังไม่ได้จริงๆ” กฤษณะมองร่างบางที่สะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร “เพราะงั้นวันนั้นที่เขาเข้ามาคุยกับเอม...เอมเลยผลักเขาเพราะไม่อยากยุ่งด้วย แต่ ฮือ เรย์เขาก็...”



“ใจเย็นๆ นะเอม ใจเย็นๆ” ร่างสูงใหญ่เดินมานั่งข้างๆ คอยลูบหลังบางให้คลายสะอื้น “แล้วเอมเล่าให้คินฟังรึยัง บอกเขาว่าไม่ได้ตั้งใจ”



“เอม...บอกแล้วครับ แต่คินโกรธมาก” ชะเอมยิ่งสะอื้นหนักเมื่อนึกถึงวันนั้น วันที่ร่างสูงบอกเลิกกัน “หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอกับคินอีกเลยครับ เพราะคินย้ายออกไปตั้งนานแล้ว...เอาของออกไปหมดเลย เอมไม่รู้ว่าคินเขาไปอยู่ที่ไหนกับใคร” แต่ในใจก็คิดไว้แล้วว่าน่าจะไปอยู่กับเรย์นั่นแหละ



“นี่เจ้าคินกล้าทำถึงขั้นนี้เลยเหรอ” กฤษณะไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพี่เกษมรู้เรื่องนี้เข้าจะโมโหขนาดไหน ที่ฝากลูกชายดูแลแต่กลับทำแบบนี้



ชะเอมฟังแล้วน้ำตารื้น “ฮึก อาหมอเชื่อที่เอมพูดเหรอครับ”



กฤษณะขมวดคิ้ว “นี่เห็นอาเป็นคนยังไงกัน อาเห็นหนูตั้งแต่ตัวจ้อยจะไม่รู้เหรอว่าเด็กคนนี้เป็นยังไงน่ะหือ”



น้ำตาเม็ดโตกลิ้งผ่านใบหน้า “...ขอบคุณครับ”



ก็แค่ประโยคง่ายๆ จากปากของอาหมอแบบนี้...ที่เราอยากได้ยินจากปากของคิน แล้วทำไมพอเป็นอีกฝ่ายมันถึงยากนักนะ



ก็แค่อยากให้เชื่อกันบ้าง ทำไมมันถึงยากลำบากขนาดนี้



กฤษณะลูบศีรษะทุยอย่างปลอบประโลมระคนเอ็นดู ถึงร่างกายจะโตแล้วแต่ข้างในก็ยังเหมือนเด็กน้อยที่อยากจะอ้อนใครสักคน



“เรื่องเจ้าคินน่ะ เอมก็ค่อยเป็นค่อยไปนะ เขาเป็นคนขี้โมโหไปหน่อย แต่ลึกๆ แล้วเขายังคงคิดถึงหนูอยู่บ้างนั่นแหละ อาเชื่อแบบนั้น”



“...ครับ” เสียงใสตอบอู้อี้



ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดีนะ



“อยากบอกคุณลุงมั้ย”



ชะเอมหันขวับทันทีที่ได้ยิน บอกเสียงดัง “ไม่ได้นะครับ! ให้คุณลุงรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”



ดวงตากลมสั่นกลัวอย่างหนัก แต่กฤษณะถามใจเย็น “ทำไมล่ะ”



“เอมไม่อยากให้คุณลุงเป็นห่วง...ไม่อยากเป็นภาระให้คุณลุงครับ เพราะงั้น...”



“เอมก็รู้ว่าคุณลุงไม่ได้คิดกับหนูแบบนั้นอยู่แล้ว”



“ยังไงก็ไม่ได้ครับ” ชะเอมยังคงส่ายหน้าทั้งน้ำตา มือสองข้างยื่นจับเสื้อกราวน์แน่น ส่งสายตาอ้อนวอน “อาหมอผมขอร้อง อย่าบอกเรื่องนี้กับคุณลุง...นะครับ”



กฤษณะอดไม่ได้ที่จะคว้าเด็กน้อยเข้ามากอดปลอบ ร่างบางจมอยู่ในอกกว้าง “เอมก็รู้ว่าอาเป็นห่วง คุณลุงยิ่งต้องเป็นห่วงมากกว่าอาเป็นสิบเท่า ร้อยเท่าแน่”



ชะเอมฟังแล้วน้ำตาร่วงเผาะ “อาหมอ ฮึก ฮือ อาหมอครับ” แขนบางกอดตอบแผ่นหลังใหญ่



เวลาไม่มีคุณลุง อากฤษณะก็เป็นคนที่ปลอบโยนเขาเหมือนพ่อคนหนึ่ง...อ้อมแขนนี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน



“เอม...เอมกำลังพยายาม...อึก คุยกับคินอยู่ครับ” เสียงใสกลั้นสะอื้นบอก “เพราะงั้นอาหมออย่าเพิ่ง...อย่าเพิ่งบอกคุณลุงเลยนะครับ”



“...เฮ้อ...” นายแพทย์ถอนหายใจยาว เจอแบบนี้ก็ต้องใจอ่อนอีกแล้วสิเรา “นี่คิดเผื่อไว้รึเปล่าว่าคุณลุงจะต้องรู้เรื่องหนูกับคินคบกันเข้าสักวัน หือ?”



“อาหมอ...”



“โอ๊ะๆ อย่าเพิ่งเบะปาก ไม่เอาไม่ร้องแล้ว ตาแดงหมดแล้วเนี่ย อาแค่เตือนเฉยๆ ไม่ได้จะว่า”



“ขอโทษ...ครับ” ร่างบางยกมือขยี้ตาเอ่ยเสียงเบา



“อาไม่ได้รังเกียจความรักของผู้ชายกับผู้ชาย แต่อาแค่กลัวคุณลุงจะช็อคแค่นั้นแหละ...เพราะเขาหวงเอมที่สุดเลยนะรู้รึเปล่า” แพทย์กฤษเอ่ยแซว นึกถึงใบหน้าของเกษมศักดิ์ในยามที่โดนแย่งลูกบุญธรรมสุดรักของตัวเองไป



ไม่ได้พูดเล่นนะ พี่เกษมน่ะ หวงเด็กคนนี้มากกว่าลูกชายตัวเองอีกจะบอกให้...เหอะๆ



“อาหมอพูดอะไรน่ะครับ”



“ช่างเถอะๆ ตกลงว่ากำลังคุยกับคินอยู่จริงเปล่า อย่าโกหกเชียวนา อารู้ๆ” จริงๆ กฤษณะไม่ได้นิสัยขี้เล่นแบบนี้หรอก จะเผยนิสัยเด็กๆ เฉพาะกับชะเอมเท่านั้นแหละ



“กำลังพยายามครับ” ใบหน้าหวานทำปากมุ่ย “ตกลงอาหมอเป็นหมอรักษาโรคหรือว่าหมอดูกันแน่ครับเนี่ย รู้ไปหมดเลย”



“จะหมออะไรก็ช่าง รักษาชะเอมได้ก็แล้วกัน” คนวัยทองยิ้มกว้างยักคิ้ว ซึ่งชะเอมก็หลุดหัวเราะคิกไม่ค้านคำนั้น



“ว่าแต่ไปค่ายเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม”



“สนุกดีครับ”



“เพื่อนสามคนนั้นเป็นไงบ้างล่ะ”



“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอ แต่คิดว่าน่าจะสบายดีกันนะครับ” ร่างบางนึก ครั้งสุดท้ายที่คุยกันก็หลังจากจบค่ายนั่นแหละ ผ่านมาสองอาทิตย์ก็มีแต่เรียนแล้วก็ทำงานพิเศษ ไม่ได้เจอกันเลย



อะ จะว่าไปหลังจากที่ไปค่ายเขากลับมาเขาก็เริ่มมีรุ่นน้องหลายคนที่รู้จัก และทักทายกันเวลาเดินผ่านเจอในมหาวิทยาลัยด้วย...เป็นความทรงจำที่ดีล่ะนะ



“อาห่วงเรื่องสุขภาพของเอมนะ” กฤษณะหยิบกระดาษผลตรวจขึ้นมาดู “ที่อาถามเรื่องคินเพราะอยากให้คืนดีกันเร็วๆ ความเครียดก็เป็นส่วนหนึ่งทำให้จิตใจอ่อนแอ แล้วร่างกายก็จะอ่อนแอตามไปด้วย”



“ครับ เอมเข้าใจ”



“ช่วงนี้ก็ทำแบบที่เคยทำไปก่อน กินอาหารให้ครบ กินยา พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วอย่าลืมมานัดตรวจครั้งหน้า เดี๋ยวอาจะส่งข้อความไปเตือน เท่านี้ล่ะ”



“ขอบคุณครับอาหมอ” ร่างบางไหว้ โถมตัวเข้ากอดคนแก่กว่าแน่นอ้อนๆ ซึ่งกฤษณะก็ลูบหลังลูบหัวทุยอย่างเอ็นดู นายแพทย์อย่างเขาเห็นชะเอมและรักษาเจ้าตัวมาตั้งแต่ยังตัวน้อยๆ น่ารักน่าชัง แต่ถึงยังไง ไม่ว่าจะโตมากเท่าไหร่เด็กคนนี้ก็ยังเป็นเด็กน้อยสำหรับเขาเสมอ







************************Whose fault? ************************







ระหว่างที่กำลังรอรถเมล์หน้าโรงพยาบาลเพื่อนั่งกลับคอนโด ชะเอมยังหยิบมือถือขึ้นมาจ้องมอง ยังหวังว่าจะมีข้อความส่งมา



ครืด ครืด



ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แววตาวาววับเป็นประกาย นิ้วรีบเลื่อนอ่านข้อความอย่างรวดเร็ว ยังแอบคิดว่าโทรศัพท์โหลดช้าไม่ทันใจเพราะหัวใจน้อยๆ เต้นระรัวลิงโลด





Thu, 9/27

chÄim : คิน วันอาทิตย์นี้ตอนเย็นมาทานข้าวด้วยกันไหม 5:05PM Read

Today

ภาคิน : อืม เอาสิ 1:11PM Read

chÄim : งั้นเจอกันนะ 1:11PM Read

chÄim : แล้วคินจะมากี่โมง 1:11PM Read





พออ่านเสร็จ มือบางสั่นระริกรีบตอบกลับเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรอนาน ริมฝีปากขบกัดกลั้นยิ้มอย่างดีใจ ข้อความของเขาถูกอ่านอย่างรวดเร็วเหมือนอีกฝ่ายเปิดแชทค้างไว้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะได้คำตอบ ร่างบางกดปิดโทรศัพท์สอดเข้ากระเป๋าเมื่อเห็นว่ารถเมล์ที่ผ่านคอนโดมาแล้ว



อะ ในตู้เย็นที่คอนโดไม่มีอะไรเหลือแล้วนี่นา ต้องไปซื้อวัตถุดิบก่อน ก่อนอื่นต้องแวะห้างฯ ก่อน ดีนะที่รถเมล์คันนี้ผ่านห้างฯ ใกล้ๆ คอนโดพอดี



ครืด ครืด





ภาคิน : ตอนนี้อยู่ไหน 1:20PM Read





ชะเอมขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะคินไม่ตอบคำถามเขา ดันถามกลับมาแทน แต่ถึงยังไงร่างบางก็พิมพ์ตอบอย่างรวดเร็ว





chÄim : ผมกำลังจะไปซื้อของที่ห้างครับ 1:21PM Read

chÄim : คินมาประมาณกี่โมงเหรอ ผมจะได้เตรียมของไว้ 1:21PM Read

ภาคิน : ไปห้างที่ไหน 1:23PM Read





อีกแล้ว อะไรเนี่ย...ร่างบางมุ่นคิ้ว ตากลมโตจ้องประโยคคำถามของร่างสูงอีกครั้ง





chÄim : ห้างYYY ใกล้ๆ คอนโดครับ 1:23PM Read

ภาคิน : เจอกันที่นั่น 1:24PM Read





“หืม...?” ร่างบางครางงุนงง ตากลมไล่อ่านประโยคที่คินพิมพ์หลายรอบ...เจอกันที่นั่น? หมายถึงเจอกันที่ห้างฯ เหรอ?



ระหว่างที่ในสมองยังครุ่นคิดสงสัย ร่างบางเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ มองวิวนอกหน้าต่างเห็นตึกคอนโดสูงหรูหราผ่านหน้าไป “อ๊ะ คอนโดเรา” ร่างบางสะดุ้งเพราะคิดว่าเลยสถานที่ที่ต้องลงแล้ว รีบเก็บมือถือลงกระเป๋าลุกขึ้นไปกดกริ่ง แต่พอคิดอีกที ห้างฯ ที่ตัวเองจะไปเลยคอนโดไปอีกนี่นา



“ขอโทษครับ ผมกดผิด” ร่างบางบอกกับกระเป๋ารถเมล์ด้วยใบหน้ารู้สึกผิด คนขับก็ออกรถ สบถด่าไปตามประสา แต่ชะเอมก็ไม่ได้โกรธ กลับกันเขารู้สึกผิดมากขึ้นรีบเอ่ยหน้าซีด “ขอโทษจริงๆ ครับ”



เพราะมัวแต่เหม่อนั่นแหละ...ได้แต่คิดโทษตัวเอง



ร่างผอมบางยืนโหนรถแทนเพราะว่าใกล้จะถึงแล้ว มือบางล้วงมือถือขึ้นมาเช็คข้อความอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม



เจอกันที่นั่น...เหรอ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความหมาย แต่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง...ไม่อยากหวังแล้วก็ผิดหวัง



ช่างมันเถอะ ถึงยังไงเย็นนี้คินก็บอกแล้วว่าจะกลับมาทานข้าวด้วยกัน



ชะเอมอมยิ้มคิดอย่างมีความสุข...หัวใจดวงน้อยพองโต





เย็นนี้ จะทำอะไรให้คินกินดีนะ





************************Whose fault? ************************

 :hao5: :katai4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 19 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 30-11-2018 22:26:10
 :hao5:
นี้อินมาก

ไรท์ค่ะ จะมีฉากที่นายเอกของเราเข้มแข็งขึ้น ฉลาด รู้ทันคน
เอาคืนอีพระเอกอย่างสาสมไหม
ไม่เอาเอาคืนเรย์น่ะ
เอาคืนคินนี้แหละ
ให้มันเจ็บกันไปข้างหนึ่ง


อินมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 19 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 01-12-2018 01:29:53
เข้มแข็งไว้นะชะเอม
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 19 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 01-12-2018 21:48:33
อยากให้คินรู้ความจริงแล้วง้อ ส่วนเอมก็ไม่สนใจแล้ว
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 19 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 01-12-2018 22:16:27


                                Whose Fault ?



                                ผิด...ครั้งที่ 20




โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ครืด ครืด



ภาคิน : อยู่ไหน 2.02pm Read



ชะเอมขมวดคิ้วกับคำถามสั้นๆ แต่ชวนงง หากย้อนความไปเมื่อกว่าครึ่งชั่วโมงก่อน ร่างบางก็เพิ่งบอกไปเองนะ



chÄim : อยู่ห้างyyy ไงครับ ผมมาซื้อของ 2.04pm Read

ภาคิน : ไม่ใช่ 2.05pm Read

ภาคิน : ฉันอยู่ห้างyyy แล้ว ที่ถามหมายถึงอยู่ตรงไหนของห้าง 2.05pm Read



ชะเอมใจเต้นระรัว ที่บอกว่าเจอกันหมายถึงคินจะมาหาที่นี่เองเหรอ...ถึงจะคิดไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง



จะได้เดินห้างกับคิน



กินข้าวเย็นกับคิน



วันนี้เป็นวันดีจัง



ร่างบางกลั้นยิ้มดีใจอย่างบอกไม่ถูก มองข้อความที่ถูกส่งมาแล้วอ่านวนหลายครั้งให้ตอกย้ำว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจผิด



chÄim : อยู่ชั้นซุปเปอร์ครับ 2.07pm Read

chÄim : คินจะมาเหรอ 2.07pm Read



ตากลมโตสีดำจดจ้องมองข้อความนานกว่าสองนาที แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา จึงเก็บมือถือลงไปนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง



ร่างผอมบางเข็นรถเข็นใหญ่มองผ่านแต่ละโซนไปเรื่อย ในหัวก็พลางคิดว่าจะทำอะไรให้คินกินดี หรือว่าจะถามเจ้าตัวไปเลยดีกว่า?



ว่าแล้วก็ล้วงมือถือขึ้นมาเปิดแอพสีเขียวอีกครั้ง



chÄim : คินอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย 2.15pm



ผ่านไปสักพัก ก็ยังไม่มีการอ่านใดๆ แถมข้อความด้านบนก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบ



หายไปไหนน่ะ?



ชะเอมครุ่นคิดก่อนจะเหลือบเห็นเด็กผู้หญิงชั้นประถมตัวเล็กกำลังยืนจ้องมองชั้นขนมห่อสีสันสดใสเรียงรายอยู่ตาแป๋วแหวว แถมยังยกมือขึ้นดูดนิ้วจนน้ำลายเลอะเทอะเต็มมือเล็กไปหมด



สงสัยจะนึกว่านิ้วของตัวเองเป็นขนมแน่ๆ เลย ร่างบางคิดอย่างขำๆ



แล้วพ่อแม่ของเด็กคนนี้ไปไหนแล้วล่ะ



ชะเอมสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ในซอกชั้นขนมนี่ก็มีแต่เขากับเด็กน้อยสองคน ร่างบางจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวนั่งยองๆ เพื่อให้ความสูงเท่ากับเด็กคนนั้น



"สวัสดีค่ะ มองหาอะไรอยู่เหรอ" เสียงใสเอ่ยใจดี ยิ้มกว้างตาใสเพื่อให้เด็กตัวเล็กจะได้ไม่กลัวคนแปลกหน้า



"น้องลูกอมจะกินขนมค่ะ" เด็กหญิงเอามือที่อมออกจากปากเช็ดกับเสื้อตัวเอง ยิ้มแป้นตอบเสียงชัดเจน ดูไม่กลัวคนแปลกหน้าอย่างเขาเลยแม้แต่นิดเดียว



ร่างบางยิ้มค้าง แอบงง แต่พอคิดแปปนึงก็ได้คำตอบว่าน้องเขาชื่อลูกอมนี่เอง



ใครตั้งชื่อให้เนี่ย...น่ารักจัง



"แล้วน้องลูกอมจะกินขนมอันไหนคะ" ชะเอมถามต่อ



"น้องลูกอมอยากกินขนมอันนั้นค่ะ!" เด็กหญิงใช้นิ้วป้อมชี้บอกความต้องการทันที ซึ่งชะเอมมองตามทิศทางไป...อันไหนหว่า?



ขาบางหยัดยืน แล้วใช้มือชี้ห่อขนมที่คิดว่าเด็กหญิงอยากกิน "อันนี้เหรอคะ?"



ลูกอมส่ายหน้าจนผมทวินเทลสะบัด "ไม่ใช่ค่ะ! อันนั้น!"



"อันนี้?" ชะเอมขมวดคิ้ว นิ้วเลื่อนไปห่อขนมทางซ้ายอีก



"ฮื่อ! ไม่ใช่ค่ะ! อันนั้น!" เด็กหญิงส่ายหน้าหน้ามุ่ย



"เอ่อ..." เขามองตามทิศทางที่นิ้วป้อมแล้ว มันก็ยังอยู่ที่เดิมนี่นา...มือบางเลื่อนไปอีก หรือว่าจะ... "นี้เหรอคะ?"



"ฮื่อ!" ลูกอมยังส่ายหน้า หันมากระตุกขากางเกงถามพี่ที่หน้าตาน่ารักแถมยังใจดี "พี่ๆ พี่ชื่ออะไรคะ?"



"หืม?" ชะเอมเลิกคิ้ว ยิ้มบางกับความใสซื่อของเด็กหญิงที่เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ร่างบางย่อตัวลง "พี่ชื่อชะเอมค่ะ น้องลูกอม"



"งั้นพี่ชะเอมอุ้มน้องลูกอมหน่อย" แขนเล็กสองข้างเข้ามากอดคอร่างบาง "เดี๋ยวน้องลูกอมหยิบขนมเองค่ะ"



"อ๋อ ฮ่าๆ โอเคได้ค่ะ" ชะเอมยิ้มขำ ที่ถามชื่อเขาเพราะว่าจะขอให้อุ้มให้นี่เอง สงสัยว่าเพราะเขาจะไม่ได้ดั่งใจเด็กหญิงจนคิดจะหยิบเองแน่เลย



เด็กอะไรฉลาดจริงเชียว



แต่มาขอคนแปลกหน้าให้อุ้มมันอันตรายไปหน่อยนะ...ถึงเขาจะไม่ใช่คนไม่ดีก็เถอะ



แขนบางประคองร่างเล็กในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง "จับดีๆ นะคะ อึ๊บ!"



ถึงเด็กหญิงลูกอมตัวจะเล็กนิดเดียวแต่สำหรับเขาที่ไม่ได้ตัวใหญ่อะไรมาก จึงคิดว่าน้ำหนักเท่านี้ก็ต้องใช้แรงเยอะพอสมควรกันเลยทีเดียว



"อันนั้นค่ะ!" เด็กหญิงยิ้มร่าเริงทันทีเพราะเห็นขนมที่อยากได้อยู่ใกล้ๆ แค่เอื้อม ไม่ได้มองจากข้างล่างแล้ว



"โอ๊ะ ระวังค่ะ น้องลูกอม เดี๋ยวตกนะ" แรงดิ้นจากเด็กที่เห็นของโปรดปรานทำเอาชะเอมทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแหยกระชับแขนมากขึ้นอีก แล้วเดินตามไปที่นิ้วป้อมชี้



ทิ้งรถเข็นไว้ไม่เป็นไรมั้ง...ยังไงก็ยังไม่ได้หยิบของอะไรเลยด้วยซ้ำ



แล้วก็ลืมเรื่องข้อความในโทรศัพท์ไปซะสนิทเลย



"ได้ขนมพอหรือยังคะน้องลูกอม กินเยอะเดี๋ยวปวดท้องไม่รู้ด้วยนะ" ใบหน้าหวานยิ้มเจื่อน แขนเขาเริ่มเมื่อยจนสั่นแล้ว แต่ดูเหมือนเด็กหญิงลูกอมที่อ้อมแขนเต็มไปด้วยขนมห่อจะยังไม่พอใจซักที เพราะสายตาเปล่งประกายเห็นอะไรก็อยากกินไปหมด



"ขออีกสามห่อนะคะ พี่ชะเอม" ลูกอมยิ้มกว้างโชว์ฟัน แถมยังชูสามนิ้วน่าเอ็นดูแบบนี้ใครจะปฏิเสธลง



แต่ดูสิแค่นี้ก็จะถือไม่หมดอยู่แล้วนา



"ก็ได้ค่ะ...อ๊ะ! ขอโทษครับ" ร่างบางเผลอก้าวถอยหลังชนใครบางคน แต่พอหันไปก็เจอกับร่างสูงที่ไม่ได้เจอกันเกือบสองอาทิตย์ตั้งแต่จบค่ายไป



แผ่นหลังบางเผลอแนบกับอกกว้าง ความร้อนจากร่างกายของร่างสูงทำให้ใบหน้าหวานขึ้นริ้วแดงอย่างห้ามไม่ได้ รีบผละออกอย่างรวดเร็ว



"คิน..."



"มัวทำอะไรอยู่ ไหนบอกว่าซื้อของ" สายตาคมมองเด็กในอ้อมแขนผอมซึ่งทำให้เจ้าตัวซุกหน้ากับซอกคอของชะเอมอย่างกลัวๆ พี่ชายคนนี้ตาดุจัง "เด็กคนนี้ใคร?"



"คือ...ผมเห็นน้องเขาอยู่คนเดียว ก็เลย...ขอโทษทีครับ" ชะเอมก็ไม่รู้จะพูดยังไง แววตาหม่นลงนิดหน่อยเพราะคิดว่าโดนดุอีกแล้ว



“นายไม่ตอบแชท” คินชูโทรศัพท์



“อ่า...ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้ดู” เพราะมัวแต่วุ่นวาย



"ช่างเถอะ...แล้วพ่อแม่ของเด็กคนนี้ล่ะ" ชะเอมไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่าว่าร่างสูงเสียงอ่อนลงนิดหน่อย คำถามที่ได้ยินทำให้ร่างบางตาโต...เออเนอะ



"น้องลูกอมคะ ปะป๊ากับหม่าม้าของน้องลูกอมไปไหนแล้วล่ะคะ" เสียงใสถามเด็กหญิงทันที ใบหน้ากลมได้ยินพี่น่ารักถามเลยยอมเงยหน้าขึ้นสบตา



"น้องลูกอมก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ น้องลูกอมยืนมองขนมที่อยากกินอยู่แล้วพี่ชะเอมก็เข้ามาคุยด้วย ส่วนคุณแม่เดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้ค่ะ" เด็กหญิงส่ายหัวจนผมแกละสองข้างแกว่งไปมา



ทั้งสองฟังคำซื่อของเด็กหญิงก็อ่อนใจ นี่แสดงว่าพ่อกับแม่ของเด็กเดินช็อปปิ้งโดยที่ไม่สนใจเด็กน้อยที่ถูกทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหรอเนี่ย "พี่ชะเอมว่าป่านนี้คุณแม่คงเป็นห่วงน้องลูกอมแล้วแน่เลย ถ้ายังไงพวกเรารีบไปหาคุณแม่ของน้องลูกอมกันดีกว่าเนอะ"



เด็กหญิงขมวดคิ้ว ส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ขนมห่อบนชั้น "แต่ว่าน้องลูกอมอยากได้ขนมอีกค่ะ"



ชะเอมลังเลนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้าตามใจ ไม่อยากให้ช้าก็จริงแต่ไม่อยากให้เด็กหญิงงอแงมากกว่า "ถ้างั้นรีบเลือกให้เสร็จแล้วไปค่อยไปหากัน โอเคมั้ยคะ"



"โอเคค่ะ!" ลูกอมยิ้มดีใจ นิ้วป้อมพยายามทำสัญลักษณ์โอเคอย่างน่ารักน่าชัง พี่คนนี้ใจดีที่สุด



ร่างสูงยืนนิ่ง สายตามองสำรวจใบหน้าหวานที่หัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ ชะเอมเป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดทางเพศมากไม่ว่าจะกับผู้ชายหรือผู้หญิง ยิ่งตอนที่ยิ้มและหัวเราะกับเด็ก ดวงตากลมโตจะยิ้มเปล่งประกายไปด้วย ประกอบกับผิวขาวซีด ริมฝีปากบางสีระเรื่อรับกับจมูกได้รูป ยิ่งทำให้น่าเอ็นดู ร่างบางที่เคยมีกล้ามเนื้อนิดๆ แต่ตอนนี้ผอมเกือบติดกระดูกยิ่งทำให้เอวกับสะโพกยิ่งเล็ก แค่แขนข้างเดียวของเขาก็สามารถโอบเอวบางนั่นได้พอดี อาจจะเหลือด้วยซ้ำ



แค่ตัวเขาเองยังสำรวจขนาดนี้แล้วคนอื่นล่ะ?



แถมเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองเรียกสายตาคนรอบข้างให้หันมามองได้มากขนาดไหน



โดยเฉพาะสายตาของพวกผู้ชายหื่นกระหาย...



"ลูกอม...ลูกแม่อยู่ที่ไหน...น้องลูกอม..." เสียงคร่ำครวญของหญิงสาวทำให้คินหลุดจากภวังค์ สายตาคมละจากร่างบาง เห็นผู้หญิงผมลอนยาวคนหนึ่งสอดส่ายสายตาหาบางอย่าง ใบหน้าแสดงถึงความรู้สึกร้อนรน ซึ่งในอ้อมแขนของเธอก็อุ้มเด็กทารกอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย



"น้องลูกอม..." ขาบางเร่งเดินหาซึ่งกำลังจะห่างจากตรงนี้ไป คินหันไปมองชะเอมที่ดูเหมือนจะยุ่งกับเด็กน้อยจนไม่ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้ ร่างสูงถอนหายใจ ขายาวเดินเข้าไปใกล้หญิงผมยาว



"ขอโทษครับ คุณกำลังหาเด็กผู้หญิงอายุประมาณประถมอยู่รึเปล่าครับ"



เธอหันขวับ "ใช่ค่ะ! ดิฉันหาลูกสาวอยู่ค่ะ คุณเห็นหรือคะ!?"



"ครับ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่อลูกอมล่ะก็ ทางนี้ครับ" คินเดินนำ ชะเอมก็สอดส่ายสายตาหาพอเห็นร่างสูงเดินมาก็คลายกังวล "คินไปไหนมา..."



"ลูกอม!"



"คุณแม่!"



ชะเอมสะดุ้งเพราะเสียงเรียก แถมร่างเล็กในอ้อมแขนก็ดิ้นขลุกขลักยกใหญ่ เมื่อกี้เรียกผู้หญิงผมยาวคนนี้ว่าคุณแม่ ร่างบางก็ยิ้มดีใจวางตัวเด็กหญิงลงให้เดินไปหาหญิงสาวผู้เป็นแม่พร้อมกับขนมอีกกองใหญ่ซึ่งไม่รู้ถือไปได้ยังไง "ขอโทษนะครับ พอดีเห็นน้องเขายืนอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทัก ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ"



"ไม่เป็นไรเลยค่ะ ดิฉันต้องขอบคุณคุณมากกว่า...ต้องขอบคุณคุณด้วยนะคะ" หญิงสาวก้มหัวต่ำให้ชะเอมกับคิน ร่างบางก็รีบโบกมือปฏิเสธทันที



"มะไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่เล่นกับเด็กเท่านั้นเองครับ ใช่มั้ยคะน้องลูกอม" เสียงใสรีบพยักเพยิดหาพวก ซึ่งเด็กหญิงก็หัวเราะยิ้มกว้าง



"ใช่ค่ะคุณแม่ พี่ชะเอมน่ารักม๊ากมาก ช่วยน้องลูกอมเลือกขนมด้วยค่ะ" เด็กหญิงพูดจ้อย วาจาไพเราะหวานหูซะชะเอมชื่นชมในใจ



"แต่คุณแม่อย่าทิ้งเด็กไว้อีกนะครับ ผมเกรงว่าคนไม่ดีจะมาเจอน่ะ" ร่างบางเอ่ยขึ้น ไม่ได้มีเจตนาจะว่าอะไรใดๆ แค่บอกเพราะเป็นห่วงทั้งเด็กทั้งผู้ปกครองนั่นแหละ ขาเรียวย่อตัวลงให้เท่ากับเด็กหญิง “น้องลูกอมเป็นพี่สาวแล้ว อย่าดื้อกับคุณแม่นะคะ แล้วก็อย่ากินขนมเยอะ เดี๋ยวปวดท้องไม่รู้ด้วยนะ”



ชะเอมเตือนเพราะคุณแม่น้องลูกอมอาจจะยุ่งๆ เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดูแลพะวงอีก



"ค่ะพี่ชะเอม บ๊ายบายค่ะ!" มือป้อมโบกหยอยๆ ซึ่งหญิงสาวผู้เป็นแม่ไม่วายก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง ชะเอมก็อมยิ้มแต่พอหันมาเจอสายตาคมกริบก็ยิ้มเจื่อน



"...เอ่อ..."

ร่างสูงตวัดกายหันหลังเดินออกไป ซึ่งขาเรียวก็เดินตามหลังกว้างไปทันที ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโมโหอะไรรึเปล่า สายตากลมโตหันรีหันขวางมองหารถเข็นที่ตัวเองเอามา แต่มันหายไปแล้ว สงสัยพนักงานคงจะเอาไปเก็บ...



พลั่ก!



"อุ๊บ!" มือจับจมูกตัวเองเมื่อเกิดแรงกระแทกกับแผ่นหลังแข็ง "อูย..."



"ทำอะไรซุ่มซ่าม" ร่างสูงเอ่ยเสียงดุ



"ก็คินนั่นแหละ..." หยุดเดินทำไมไม่บอกไม่กล่าว



"รีบๆ ไปซื้อของสิ" เสียงทุ้มไล่ ซึ่งชะเอมที่ยังจับดั้งของตัวเองอยู่พยักหน้าหงึกๆ



"ครับ"



เสียงใสรับคำ ขาบางย้อนกลับไปอีกทางเพื่อจะไปเอารถเข็นแต่แทบตัวปลิวเมื่อถูกรั้งไว้ เป็นมือใหญ่นั่นเองที่จับต้นแขนผอมไว้แน่น



"ไปไหน"



ใบหน้ามนมึนงง "ไปเอารถเข็นครับ"



เมื่อได้รับคำตอบ คินก็ค่อยๆ คลายมือ หันหน้าไปทางอื่น “ก็รีบไปสิ”



“คะ ครับ” ชะเอมแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รีบหันหลังเดินไป ซ่อนใบหน้าแดงเถือกของตัวเอง



เมื่อกี้นี้มันอะไรกันน่ะ...









"คินอยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า"



หลังจากปรับสีหน้าของตัวเองได้ ร่างบางก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ



"อะไรก็ได้"



ใจดวงน้อยที่เต้นรอคอยด้วยความหวังฟีบลง



อะไรก็ได้เหรอ...



"ครับ..."



ดวงตากลมเหม่อมองชั้นผักตรงหน้า ยังไงเราก็จะทำของที่คินชอบกินอยู่แล้ว...ก็ไม่เห็นต้องถาม



"ขอบคุณครับ" มือบางรับบลอคโคลี่หัวใหญ่มาจากพนักงาน หลังจากชั่งน้ำหนักติดราคาเสร็จเรียบร้อย



ผักชีต้นหอม มะเขือเทศ หัวหอม บล็อคโคลี่ คะน้า...อืม ผักน่าจะครบแล้ว เหลือพวกเนื้อกับไข่ อะ...เต้าหู้ไข่ด้วย



สายตาเหลือบเห็นร่างสูงยืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่ไม่ไกล



"เอม..."



"อ้าวราม...ติมด้วย" ชะเอมเอ่ยแปลกใจ บังเอิญจัง "ทำไมอยู่ด้วยกันล่ะ"



รามอ้าปากทำท่าจะตอบ แต่ร่างสูงกว่าเอ่ยแทรกขึ้นมา "บังเอิญเจอกันน่ะครับ"



ดวงตาที่ไม่มีใครสังเกตเห็นฉายแววปวดร้าวลึก หึ น่าสมเพชตัวเองชะมัด



"แล้วพี่เอมล่ะครับ มาคนเดียวเหรอ"



ร่างบางเหลือบมองคิน ซึ่งคินก็ไม่ได้มองมาทางนี้ ริมฝีปากบางยิ้มอ่อน "อ๋อ พอดี..."



"เข้าใจกันแล้วเหรอ" รามถามขึ้นยิ้มๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีใจกับร่างบางด้วย



...จะได้มีความสุขซักที



"ก็เปล่าหรอก" ชะเอมส่ายหน้า



"ไม่เป็นไรหรอก เอม นายเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว" รามตบบ่าเล็กให้กำลังใจ ชะเอมที่เป็นอย่างนี้ดีอยู่แล้ว...เพราะใครๆ ก็ต่างชอบนาย รักนาย



...ไม่เว้นแม้แต่คนที่เขาชอบ



"อื้ม ขอบใจนะ"



“ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยได้เจอกัน” รามพูดขึ้น



ใบหน้าหวานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก็เพราะหลายๆ เรื่องล่ะนะ “อื้ม เราเข้าใจ”



“แต่มีอะไรก็โทรหาได้ ไลน์มาได้ตลอดเลยนะ”



“รามก็เหมือนกันนะ” ริมฝีปากบางอมยิ้ม ก่อนสายตากวาดสำรวจร่างกายสูงโปร่งของคนตรงหน้า มันมีอะไรแปลกไป “ว่าแต่ช่วงนี้รามผอมลงรึเปล่า”



“ก็นิดหน่อย...” รามเลี่ยง “เอมก็เหมือนกันแหละ”



“ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน พี่ชะเอม พี่ผอมเกินไปแล้วนะครับ” ติมพูดบ้าง ซึ่งชะเอมก็บุ้ยปาก มุ่นคิ้ว



“ก็มันกินแล้วได้เท่านี้ จะทำยังไงได้ล่ะ” ชะเอมหัวเราะคิกใช้กำปั้นชกอกตึงแน่นของร่างสูงเบาๆ “ติมสอนพี่กินให้ได้แบบนี้บ้างสิ”



“ผมว่าพี่ชะเอมอ้วนขึ้นอีกนิดก็น่ารักแล้ว ไม่ต้องเป็นแบบผมหรอก แต่จริงๆ ตอนนี้ก็น่ารักนะครับ” ร่างสูงยิ้มใส่ตา พูดเสียงหวานเชื่อม



รามมองท่าทางนั้นของไอติม “หึ”



ร่างบางตาโต “ติมชมพี่ว่าน่ารักอีกแล้ว พี่เป็นผู้ชาย” ชะเอมซื่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนหว่านเสน่ห์ใส่



“ก็...”



"งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะเอม ไม่อยากอยู่เป็นกอขอคอ...มึงน่ะไปได้แล้ว" รามแทรก มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวทุยเบาๆ แล้วเดินผ่านไปโดยไม่ลืมลากคนตัวสูงข้างกายไปด้วย



ชะเอมร้อนหน้าวูบหนึ่งกับคำแซว ก่อนเหลียวหลังหันไปมอง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แต่ได้คุยกันแปปเดียว... "หืม?" เสียงใสครางสูง ไอติมกำลังเอื้อมมือโอบเอวของรามเข้ามาแนบชิด ซึ่งรามก็ดูเหมือนขัดขืนในตอนแรกแต่ก็ยินยอมในที่สุด



หรือว่าทั้งสองคน...?



"ซื้อเสร็จรึยัง"



ไหล่บ้างสะดุ้งเฮือก ริมฝีปากยิ้มเจื่อน



"...ใกล้เสร็จแล้วครับ"



"เดี๋ยวเข็นให้ นายไปเลือกของซะ จะได้เสร็จเร็วๆ" มือใหญ่คว้ารถเข็นไป ชะเอมเลยได้แต่ตอบรับเพราะคินคงเริ่มรำคาญกับการเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อยของเขา



"ครับ"



"นี่ พ่อได้โทรมาคุยรึเปล่า"



"คุณลุง?...อ่ะ ขอบคุณครับ" ร่างบางหันไปรับปลานิลตัวใหญ่เนื้อเนียนน่ากินมาวางบนรถเข็น "ครับ โทรมาเมื่อวานตอนดึกๆ น่ะ"



“แล้วคุยอะไรบ้าง”



“อื๋อ” ชะเอมหันไปมองอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าคินจะถามอะไรแบบนี้ “ก็หลายเรื่องเลยครับ เรื่องทั่วๆ ไป คุณลุงบอกว่าคิดถึงก็ให้โทรไปหาได้เบอร์เลขา เพราะอีกนานกว่าคุณลุงจะกลับน่ะครับ”



“...”



“แล้วคุณลุงโทรหาคินแล้วใช่มั้ย เมื่อไหร่ครับ” ชะเอมถามอมยิ้ม ถึงคุณลุงจะพูดว่าคินไม่น้อยใจกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็โทรหานี่นา...แต่เขาว่าไม่โทรหาสิแปลก ลูกชายตัวเองแท้ๆ



“เมื่อคืน...คุยอยู่ประมาณห้านาทีได้”



แค่ห้านาทีเองเหรอ...แต่ก็ถือว่าได้คุยล่ะนะ...ว่าแต่เมื่อคืน? หลังจากที่โทรหาเขาแล้วคุณลุงยังโทรหาคินด้วยเหรอ



“แล้ว...”



"พ่อบอกว่านายไม่ได้ใช้เงินเลย”



ร่างบางชะงัก ดวงตากลมสบตาคินที่มองมา



“ทำไม?"



คุณลุงพูดเรื่องนี้ด้วย?



เสียงใสหัวเราะแผ่วเบา "ครับ...ผมก็แค่ไม่อยากรบกวนคุณลุง"



"..."



"ทุกวันนี้ได้อยู่กินสบายมันก็เป็นบุญคุณมากแล้ว แถมยังได้เรียนหนังสืออีก ผมไม่กล้าใช้เงินของท่านไปมากกว่านี้หรอกครับ" ชะเอมแย้มยิ้มบาง มือขาวหยิบถุงใสเพื่อคีบเนื้อหมูสีแดงก้อนใหญ่...นี่ก็สำหรับอาหารเย็นวันนี้



"เหลือไข่อีกแผงนึง เดี๋ยวผมไปหยิบเอง คินไปต่อแถวจ่ายเงินเลยนะ จะได้ไม่เสียเวลามาก" ร่างบางหันหลังเดินออกไป พอขาเรียวเดินกลับมาหาร่างสูงก็แปลกใจ เพราะเจอคนรู้จักอีกแล้ว ซึ่งต่อแถวแคชเชียร์ช่องเดียวกัน กำลังจะจ่ายเงินเลย



"สวัสดีครับ พี่ฝน"



ฝนที่อายุเกือบสามสิบห้าแต่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์ยิ้มรับแปลกใจ "อ้าว น้องชะเอม 'ดีจ้า มาซื้อของเหรอ"



"ครับ นี่คินครับ เอ่อ เพื่อน...เพื่อนผมครับ" ชะเอมแนะนำตะกุกตะกัก คินก็ยกมือไหว้ ถึงจะไม่รู้จักแต่อาวุโสกว่าก็ทำเป็นมารยาท



"ไหว้พระเถอะจ้ะ โอ้โหชะเอม นี่พี่เพิ่งรู้ว่าเราก็มีเพื่อนหล่อเหมือนกันนะเนี่ย...งานดีมาก" ฝนยิ้มกริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์ ร่างบางยิ้มอ่อน ซึ่งร่างสูงก็ก้มหัวรับคำชมด้วยใบหน้านิ่งไม่พูดอะไร



"แล้วพี่ฟ้าไปไหนล่ะครับ" ชะเอมเห็นหญิงสาวแค่คนเดียวเอง



"อ้อ วันนี้เขาไม่ว่างจ้ะ เลยไม่ได้มาด้วยกัน...ขอบคุณค่ะ พี่ไปก่อนนะเอม วันนี้พี่รีบมาก ขอโทษนะจ๊ะ พรุ่งนี้เจอกัน" ฝนรับเงินทอนแล้วบอกลา เดินจากไปด้วยของเต็มไม้เต็มมือท่าทางพะรุงพะรัง ดูท่าทางหญิงสาวจะรีบมากจริงๆ ชะเอมจึงไม่ได้รั้งเอาไว้



ทั้งสองคนจ่ายเงินเสร็จ โดยที่คินเป็นคนออกเงิน เพราะร่างสูงบอกว่าเป็นคนกินเอง ชะเอมเลยไม่คัดค้าน



"นั่นใคร" เสียงทุ้มถามหลังจากขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ส่วนร่างบางก็นั่งบนเบาะข้างคนขับที่ไม่ได้นั่งมานาน ใบหน้าหวานงุนงง หันไปมองคินที่จ้องกลับมาด้วยสายตาคมกริบ



"เอ่อ...พี่ฝนเหรอ" ชะเอมเดา บรรยากาศในรถเงียบซะได้ยินเสียงลมหายใจ "เขาเป็นผู้จัดการร้านที่ผมไปทำงานพิเศษน่ะ"



"ผู้จัดการ? ทำงาน?"



"ครับ ผมทำมาได้หลายวันแล้ว"



"ทำงานอะไร" ร่างสูงถาม น้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์



"เป็นเด็กเสิร์ฟ บางทีก็ช่วยล้างจานบ้างน่ะครับ"



คินฟังแล้วขมวดคิ้ว หันมามองอย่างไม่เข้าใจ "...ไม่มีอะไรทำหรือไง ถึงต้องไปหางานทำ"



"ผมก็แค่ทำเวลาว่างเท่านั้น...ไม่ไปรบกวนเวลาเรียนหรอกครับ"



“เมื่อกี้พี่เขาบอกว่าเจอกันพรุ่งนี้ ทำวันธรรมดาด้วยเหรอ”



“ครับ ทำแค่ตอนเย็นหลังเลิกคลาสจากมหาวิทยาลัยแล้ว”



อีกฝ่ายฟังแล้วถอนหายใจ “ที่นายทำงานนี้เพราะอะไร...อยากได้เงิน?”



ริมฝีปากบางขบกัดกันแน่น “ครับ” ไม่รู้เหมือนกันว่าคำถามนั้นดูถูกกันหรือไม่ แต่มันก็ทำให้น้ำตารื้นขึ้นมา



"แล้วนายจะเอาเงินไปทำอะไร หือ"



"ก็ซื้อของที่อยากได้ หรืออาจจะออมเก็บไว้ครับ" เสียงใสตอบสั่นเครือ



"เก็บไว้?"



"ครับ ที่ผมได้มาจากคุณลุง ผมอยากจะคืนให้...ถึงชาตินี้ทั้งชาติผมอาจจะคืนให้ไม่หมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย"



"..."



"เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมพอทำได้ในตอนนี้ผมก็จะทำ" มือบางกำชายเสื้อแน่นจนข้อขาวซีด ใบหน้าหวานช้อนมองสบใบหน้าคมทั้งๆ ที่น้ำตามันกำลังจะไหล "คินเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอ"



'เงินของพ่อฉันน่ะเหรอ หึ เงินแค่นั้นครอบครัวเรย์เขาก็มีปัญญาจ่ายหรอก'



"ผมมันก็แค่คนที่ท่านเก็บมาเลี้ยง...ไม่มีสิทธิ์แม้แต่เศษเสี้ยวที่จะไปใช้เงินพ่อของคินด้วยซ้ำไป"



ยังไม่เคยลืม...คำดูถูกที่ตอกย้ำมาตลอดนั่น



"แล้วผม...ไม่อยากเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ทำตัวเป็นกาฝากเกาะชีวิตของคุณลุงเพื่ออยู่สบายๆ ไปวันๆ " เขาน่ะรู้สึกตัวมาตลอด...และไม่เคยคิดหลงระเริงคิดเป็นหงษ์ขาวบริสุทธิ์แสนสูงส่ง "คินคงจะไม่รู้ว่าผมก็...อึก เอมก็รู้สึกสมเพชตัวเองเหมือนกันที่ต้องคอยพึ่งพ่อของคินอยู่ตลอด"



เพราะเขารู้...ว่าเขาเป็นแค่ลูกเป็ดสีดำตัวจ้อยที่กำพืดต่ำเตี้ยเรี่ยดิน...เขาเป็นได้แค่นั้น



"เพราะงั้นที่ทำไปทั้งหมด ผมก็แค่ไม่อยากรู้สึกติดค้าง...ก็แค่นั้นเอง"



และทั้งหมดที่ทำไป



ไม่ใช่เพราะอยากได้ความสงสารใดๆ จากอีกฝ่ายเลย



ก็แค่อยากจะพิสูจน์ตัวเองให้คินเห็น...อยากให้ร่างสูงหันมามองกันบ้างว่าลูกเป็ดสีดำตัวนี้มันก็มีค่าพอที่จะให้รักเหมือนกัน







************************Whose fault? ************************





อย่าลืมเม้นให้กำลังกันด้วยเน้อออ

เจอกันจ้าาา
 :katai4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 20 update วันที่ 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 01-12-2018 23:50:51
เศร้าเด้อจร้า
ไรท์เติมพลังชีวิตให้เอมหน่อย

อย่างให้น้องเป็นยอดมนุดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 20 update วันที่ 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 02-12-2018 00:45:24
หน่วงจนจะเป็นโรคหัวใจไปกับเอมแล้ว :katai1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 20 update วันที่ 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 02-12-2018 09:16:33
เสียงต้องเศร้าน้าสงสารมาก มาต่ออีกนะครับ รอๆ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 20 update วันที่ 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-12-2018 23:49:26
เศร้าอีกแล้ววๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 20 update วันที่ 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Tak ที่ 03-12-2018 02:07:13
อึดอัดดดดด มาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 20 update วันที่ 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 05-12-2018 10:01:54


                                                  Whose Fault ?

                                                     ผิด...ที่ใคร

                                                ตอนพิเศษ วันพ่อ





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





ก๊อกๆ



"เข้ามาได้"



เมื่อได้ยินเสียงทุ้มอนุญาตเอ่ยขึ้น มือบางค่อยๆ บิดประตู



"อ้าวเอม มาทำอะไรแต่เช้าเชียว หืม" เกษมศักดิ์ถามเสียงเอ็นดูเมื่อเห็นว่าคนเปิดประตูเข้ามาเป็นใคร ประธานบริษัทที่ทำงานแม้แต่ตอนอยู่บ้านถอดแว่นตาออกและลุกจากโต๊ะทำงานเดินมาหาคนที่เป็นเด็กน้อยอยู่เสมอในสายตาด้วยตัวเอง



"คุณลุง" ร่างบางโผเข้ากอดคนตัวใหญ่กว่าแนบแน่น เอ่ยเสียงแผ่วเบา "สุขสันต์วันพ่อครับ"



เกษมศักดิ์รู้สึกเหมือนน้ำตารื้นขึ้นมาทันที อา...เด็กคนนั้นที่เขาเก็บมาเลี้ยง...โตขนาดนี้แล้วสินะ แต่ถึงจะโตหรืออายุมากขึ้นแค่ไหน ความน่ารักและใสซื่อก็ไม่เคยเปลี่ยน



"ถ้าจะอวยพรวันพ่อล่ะก็ ขอได้ยินหนูเรียกว่าพ่อสักครั้งได้ไหม"



ชะเอมนิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มเขินพูดออกมาจนได้ "สุขสันต์วันพ่อครับ...คุณพ่อ"



เด็กอะไร...น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง



“ขอบคุณที่รับเอมมาเลี้ยง เอมดีใจที่สุดเลยครับที่ได้เจอกับคุณลุง”



“ลุงก็ขอบคุณที่ได้เจอเอม”



ขอบคุณพระเจ้าที่ส่งเด็กตัวน้อยๆ น่ารักขี้อ้อนมาให้เขา...เพราะไอ้ลูกชายแท้ๆ มันไม่สามารถน่ารักได้เหมือนเด็กคนนี้น่ะสิ...โดยเฉพาะนิสัยของมัน



“เอมรักคุณลุง” ร่างบางยิ้มหวานตาปิดพูดจากใจจริง...และรู้ดีว่าเกษมศักดิ์ชอบที่จะได้ยินมันด้วย



"ชื่นใจที่สุดเลย~" คนแก่พูดอย่างที่รู้สึกจริงๆ ไม่ได้แซวหรือเอาใจแต่อย่างใด จมูกโด่งหอมแก้มใสซ้ายขวาเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ ซึ่งชะเอมก็หัวเราะคิกคักเพราะจั๊กจี้ แต่ก็ยอมให้หอมแต่โดยดี



"คุณลุงทำงานแต่เช้าเลย" ดวงตากลมโตจับจ้องที่โต๊ะทำงาน มีแต่เอกสารอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด



"อืม งานเยอะจนต้องเอากลับมาทำน่ะ"



"มีอะไรให้เอมช่วยมั้ยครับ"



"ไม่เป็นไร" เกษมศักดิ์ยิ้ม แค่ความเป็นห่วงที่ถูกส่งมาจากสายตาและน้ำเสียงเขาก็รู้สึกมีแรงขึ้นมาแล้ว



"ถ้างั้นเดี๋ยวคุณลุงพักสายตาสักหน่อย ลงไปทานข้าวเช้ากับเอมนะครับ"



"ไม่เป็นไร ลุงกินแล้ว"



"กาแฟน่ะเหรอครับ...กาแฟไม่ใช่ข้าวเช้าสักหน่อย" ดวงตากลมโตคาดคั้นดื้อดึง "ไม่ได้นะ ต้องไปทานข้าวเช้านะครับ จะได้มีแรงทำงาน" ไม่พูดเปล่า มือบางดึงแขนคนแก่จอมดื้อแต่หน้าตายังเหมือนคนไม่แก่เดินตามมา ซึ่งตามสเต็ป...ขัดใจไม่ได้อยู่แล้ว



"เจ้าคินล่ะ"



"นอนอยู่น่ะครับ พอดีเมื่อวานกว่าจะกลับมา...ดึกมากเลย เอมเลยปล่อยให้เขานอนไป"



"ดีเลยจะได้ไม่ขัดลาภ" เกษมพึมพำยิ้มๆ อยากจะอยู่กับชะเอมสองคนมานานแล้ว!



“อะไรนะครับ?”



“เปล่าๆ”



จริงๆ แล้วเราสองคนพ่อลูกอาจจะแปลกไปสักหน่อยที่ไม่ค่อยได้แสดงความรักออกมาให้เห็น จนบางครั้งชะเอมยังต้องคะยั้นคะยอให้โทรหาคินบ้างเดี๋ยวคินน้อยใจ



เจ้าลูกชายบ้านั่นมันไม่รู้สึกแบบนั้นหรอก...ก็เพราะเราพ่อลูกเหมือนกันมากจนน่าตกใจ โดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึก



เพราะฉะนั้นตอนที่รู้ว่าคินกับชะเอมคบกันก็แทบช็อค เกิดอาการหวงลูกชายบุญธรรมขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ...แต่เขาก็แค่หวงเท่านั้นแหละ ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่านี้เดี๋ยวมันจะผิดศีลธรรม



ไอ้ลูกชายคนนี้มันตาถึงซะจริง!



เกษมศักดิ์อุตส่าห์เลี้ยงดูชะเอมมาอย่างทะนุถนอม แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอดเพราะลูกชายตัวเอง



จริงๆ ก็แอบโล่งใจที่คนที่ดูแลชะเอมเป็นคิน ไม่ใช่ใครอื่นที่เกษมศักดิ์ไม่รู้จัก...เขาจะได้ไม่ต้องห่วงอีกต่อไปแล้ว และเชื่อว่าลูกชายคนนี้จะทำหน้าที่ทุกอย่างได้ดีพอ



"คุณลุงเอาข้าวเยอะมั้ยครับ" แม้ในบ้านจะมีสาวใช้อยู่สามถึงสี่คน แต่ชะเอมก็อาสาจะตักข้าวให้ผู้มีพระคุณด้วยตัวเอง



"ทัพพีครึ่งก็ได้เอม ลุงไม่กินเยอะเดี๋ยวอ้วน"



เสียงใสหัวเราะคิก "คุณลุงไม่อ้วนเลยนะครับ"



"นั่นแหละ ช่วงนี้เหมือนจะลงพุงหน่อยๆ ด้วย" มือตบบริเวณหน้าท้องที่ไม่แน่นตึงเหมือนเคยดังแปะๆ...เฮ้อ อายุเยอะแล้วก็แบบนี้สินะ



"ลงพุงก็ดูดีครับ ยังไงคุณลุงก็หล่ออยู่แล้ว" ชะเอมชมเปาะยิ้มหวานหลอกล่อคนอายุไม่น้อย "ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ นะครับ กับข้าววันนี้เอมลงมือเองเลยนะ"



"จริงเหรอ มิน่าน่ากิ๊นน่ากิน"



"น่ากินก็ทานเยอะๆ เลยครับ"



"เอม...ตักให้คินด้วยสิ" เสียงทุ้มดังมาก่อนตัว ชะเอมหันมองแล้วแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นร่างสูงปิดปากหาวหวอดอยู่ตีนบันได



"คิน ตื่นแล้วเหรอ เมื่อวานกลับมาซะดึกเลยเอมก็นึกว่าจะนอนตื่นสายๆ ซะอีก"



"นั่นน่ะสิ ตื่นมาทำไม" เกษมศักดิ์เท้าคางพูดเสียงเบื่อหน่าย



"ผมรู้สึกได้ว่าพ่อจะคิดไม่ดีตอนผมไม่อยู่น่ะสิ" พูดเสร็จก็หาวอีก



น่าน...ไอ้ลูกชายมันรู้มันเลยแหกขี้ตาตื่นมาเพื่อขัดลาภพ่อตัวเอง!



ประธานบริษัทเดาะลิ้นอย่างขัดใจ



"คินกินเยอะมั้ย" เสียงใสถามขึ้น ร่างสูงไม่ตอบแต่ชูสองนิ้วเป็นคำตอบ ขายาวเดินมานั่งอย่างเอื่อยเฉื่อยยังรู้สึกง่วงอยู่เลย...แต่ก็ปล่อยไว้ไม่ได้...ปล่อยปลาย่างไว้กับแมวไม่ได้



"คินล้างหน้าแปรงฟันหรือยังครับ"



"แปรงแล้วครับ...ว่าแต่เมื่อกี้เหมือนคินได้ยินเอมชมใครว่าหล่อๆ" คินถาม แม้จะง่วงๆ สลึมสลือแต่ก็ได้ยินเสียงใสหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาถึงข้างบนเลย



"อ๋อ ก็คุณลุงบอกว่าไม่อยากกินข้าวเยอะเพราะกลัวอ้วน เอมก็เลยบอกว่ายังไงก็หล่อน่ะ...นี่ครับ คิน" ใบหน้าหวานเล่าไปยิ้มไป ตักเสร็จมือบางก็ยื่นจานที่มีข้าวสวยหอมกรุ่นร้อนระอุให้ร่างสูง



โดยไม่รู้ตัวว่าคำบอกเล่าเมื่อกี้ทำให้ลูกชายหันไปจ้องพ่อบังเกิดเกล้าตาเขม็งแบบไม่กลัวนรกกินกบาล ซึ่งเกษมศักดิ์ยักคิ้วให้ยิ้มๆ



ครั้งนี้พ่อชนะ



"เอม แล้วคินหล่อมั้ย"



"หืม ถามอะไรน่ะ" แก้มใสแดงปลั่งทันทีที่ได้ยิน



"ตอบสิ"



"หล่อสิครับ หล่อมากๆ" เสียงใสอุบอิบ ทิ้งตัวลงนั่งข้างร่างสูงด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว



คินหันไปยักคิ้วให้คนเป็นพ่อ...ครั้งนี้ผมชนะใสๆ



เกษมศักดิ์คิ้วกระตุก "เหอะ ยังไงก็เป็นเชื้อของพ่อนั่นแหละว้า"



“พ่อก็ได้เชื้อปู่มาเหมือนกันนั่นแหละ”



สองพ่อลูกจ้องตาเขม็งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ราวกับเห็นสายฟ้าแปลบปลายผ่านแววตาทั้งสอง



ชะเอมมองงุนงง ก่อนจะเอ่ย "ทั้งสองคนเถียงอะไรกันน่ะครับ รีบทานข้าวเถอะเดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน"



พอได้ยินเสียงใสปราม พ่อลูกก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว



หลังจากนั้นก็สงบศึก...ซะที่ไหน



“อร่อยมากเลยชะเอม นี่หนูทำอร่อยถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”



ร่างบางยิ้มดีใจรับคำชม “ขอบคุณครับคุณลุง พอดีคินเขาช่วยชิมแล้วก็ติ เอมเลยปรับมาเรื่อยๆ น่ะครับ”



“ผมได้กินอาหารฝีมือเอมทุกวันเลย เนอะเอม”



“อ่า อื้ม” ชะเอมพยักหน้ายืนยัน คินได้ทีเลยยักคิ้วอวดใส่เกษมศักดิ์ยิ้มๆ



ยัง...มันยังไม่หยุด



“ลุงก็อยากกินทุกวันบ้างจัง”



“คุณลุงอยากกินงั้นเดี๋ยวเอมทำให้ทุกวันเลยครับ”



ร่างสูงข้างตัวหันขวับ “อ้าวแล้วคินล่ะ”



ร่างบางขมวดคิ้วมุ่น เอียงคองุนงง “เดี๋ยวเอมกับคินกลับมาที่บ้านอยู่แล้วยังไงคินก็ได้กินนะ”



“...”



“ก็กินพร้อมกันสามคนไงครับ”



เขาว่ากันว่าคนหัวเราะทีหลังมักดังกว่า...นั่นคือเกษมศักดิ์ล่ะ



แถมยังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสาวใช้แว่วมา เพราะความตลกขบขันของครอบครัวอนันต์โภคทรัพย์ที่มีให้เห็นทุกวัน เรียกได้ว่ามันคือศึกแย่งชิงคุณชะเอมระหว่างพ่อกับลูกบนโต๊ะอาหาร...ล่ะมั้ง



หลายปีก่อนเกษมศักดิ์เคยเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เฮฮาไปตามประสามองพ่อที่เป็นประธานบริษัททำงานอย่างหนัก แล้วเวลาก็ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้เกษมศักดิ์กลายเป็นประธานบริษัทแทนพ่อและอยู่ในจุดที่มองมุมมองเดียวกับที่พ่อเคยเป็นมาก่อน...ทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของลูกชายทั้งสอง...ภาพครอบครัวที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นด้วยสองมือ แม้จะเลี้ยงพวกเขาทั้งคู่มาโดยไม่มีภรรยา แต่คินกับชะเอมก็เติบใหญ่กลายเป็นคนดีของสังคม...และอีกไม่นานคินผู้ที่เป็นลูกชายแท้ๆ สืบทอดสายเลือดก็จะต้องมาแทนที่ที่เขาอยู่ตรงนี้ กลายเป็นประธานบริษัทเหมือนกับที่เกษมศักดิ์แทนที่พ่อ...ยังไงชีวิตต้องมีวันโรยราไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว



"วันนี้วันหยุด อยากไปไหนกันหรือเปล่า"



คินเหลือบมองก่อนจะพูดเสียงเรียบ "พ่อทำงานไปเถอะ ผมไม่รบกวน...งานเยอะไม่ใช่เหรอ ทิ้งงานไว้แล้วออกไปเที่ยว เดี๋ยวก็โดนเลขาด่าอีกหรอก"



คนเป็นพ่อนิ่งอึ้ง ฟังๆ ดูแล้วเหมือนลูกกำลังว่าว่าเขาไม่รับผิดชอบ...แต่ในอีกมุมมองมันคือการแสดงความเป็นห่วงของคิน...ทั้งๆ ที่ไม่มีใครบอกแต่ลูกชายแท้ๆ ก็ยังอุตส่าห์รู้ว่าภาระหน้าที่ที่เกษมศักดิ์แบกรับมันหนักหนาขนาดไหน



"ใช่ๆ คุณลุงยังมีงานค้างอยู่นี่ครับ" เอมพยักหน้าเห็นด้วย



"มันก็ใช่ แต่ถ้าอยากออกไปไหนลุงพาไปได้"



"ไม่เป็นไรครับ...เอมไม่อยากไปไหนหรอก คุณลุงทำงานเสร็จแล้วจะได้พักผ่อน" เกษมศักดิ์พยักหน้าเข้าใจจากนั้นก็มีเสียงพูดคุย เสียงช้อนกระทบจานเป็นระยะ คนแก่สุดที่กำลังตักข้าวเข้าปากรู้สึกเหมือนโดนจ้อง พอเงยหน้าก็พบว่าเป็นสายตาของเจ้าคินนี่เอง



เกษมศักดิ์เลิกคิ้วถาม แต่มันดันก้มหน้ากินข้าวต่อซะงั้น



...อะไรของมัน



"พ่อ" คราวนี้เสียงทุ้มเรียกขึ้นทำให้เกษมศักดิ์เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง



"อะไร"



"สุขสันต์วันพ่อครับ"



เกษมศักดิ์นิ่งอึ้งหลายวินาทีก่อนหลุดหัวเราะเบาๆ ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากปากลูกชายแท้ๆ เพราะมันไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรแนวๆ นี้ด้วย เลยไม่ได้คาดหวังมาตั้งนานแล้ว



แต่ก็...



"อืม ขอบใจ"



ไม่ว่าคำอวยพรจะมาจากลูกชายคนไหน



ก็ทำให้ชื่นใจจนน้ำตารื้นไม่แพ้กัน







************************Whose fault? ************************





สุขสันต์วันพ่อค่ะนักอ่านทุกคน

ตอนนี้รุยให้เซอร์วิสคุณลุงอย่างแรง

ใครเชียร์คุณลุงตอนนี้บอกเลยน่าร้าก

เอาตอนพิเศษไปก่อนสำหรับวันพิเศษ ส่วนตอนหลักเดี๋ยวตามมาลงค่ะ

นักอ่านทุกคนก็อย่าลืมบอกรักคุณพ่อกันนะคะ ^^



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ตอนพิเศษ วันพ่อ update วันที่ 05/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-12-2018 11:22:10
 :mew4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ตอนพิเศษ วันพ่อ update วันที่ 05/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 05-12-2018 11:54:41
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ตอนพิเศษ วันพ่อ update วันที่ 05/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 05-12-2018 12:58:45
สงครามพ่อลูกที่แท้จริง  :hao7:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ตอนพิเศษ วันพ่อ update วันที่ 05/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-12-2018 22:13:04
ถอนแบบกันมาเลยทรเดียว,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ตอนพิเศษ วันพ่อ update วันที่ 05/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 06-12-2018 09:36:01
แง่มๆ เมื่อไหร่จะตาหว่าง 55555
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 21 update วันที่ 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 07-12-2018 21:26:15


                                             Whose Fault ?

                                              ผิด...ครั้งที่ 21





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



คำพูดก็เปรียบเสมือนดาบสองคม

และตอนนี้ผมกำลังโดนคำพูดของตัวเองนั้นย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองเข้าอย่างจัง

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังทำร้ายใครอีกคนให้เจ็บลึกไม่มีวันลืมเลือน



'เงินที่ผมได้มาจากคุณลุง ผมอยากจะคืนให้ ถึงชาตินี้ทั้งชาติผมอาจจะชดใช้ให้ไม่หมดก็เถอะ'



'คินเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอ'



'ผมมันก็แค่คนที่ท่านเก็บมาเลี้ยง'



'คินคงจะไม่รู้ว่าผมก็...อึก เอมก็รู้สึกสมเพชตัวเองเหมือนกันที่ต้องคอยพึ่งพ่อของคินอยู่ตลอด'



คำพูดที่ระบายออกมาทั้งหมด ทำให้ผมรู้ว่าคำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของผมมันไปทำร้าย...คนที่บอกว่าชอบผม...ทั้งน้ำตา



'ผมชอบคินนะ...ชอบ'



ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น...



ไม่รู้สึกตัวเลย...ว่าร่างบางคิดมากเรื่องนี้มาโดยตลอด...เก็บไว้ในใจคนเดียว...แล้วคำพูดของผมก็ยิ่งไปตอกย้ำ ทำร้ายเขาอย่างทุกข์ทรมานโดยที่ผมไม่คาดคิด



อารมณ์ชั่ววูบ...และคำพูดที่พูดออกไปแล้วไม่สามารถเอากลับคืนมา แม้จะพยายามเยียวยา ก็ยากที่จะให้มันกลับมาเหมือนเดิม



ชะเอมจะรู้สึกอดทนกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มากขนาดไหน...กับสถานะที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นกึ่งคนนอกกึ่งครอบครัวก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องอยู่ในสถานะไหนกันแน่



กัดฟันอดทน...ด้วยร่างกายเล็กๆ ทั้งดูเปราะบางและอ่อนแอ









แคร้งๆ



เสียงกระทะกระทบกัน และกลิ่นหอมอบอวลเต็มห้องทำให้ผมอดเดินไปดูไม่ได้



"คิน อย่าเข้ามาครับ ข้างในร้อน" ร่างผอมบางในชุดผ้ากันเปื้อนสีเข้มส่งเสียงบอก มือบางรีบปิดแก๊สที่ควันกำลังโขมงอยู่เหนือกะทะแล้วเดินมาห้าม



"ทำอะไรอยู่"



"ทำไข่ยัดไส้ครับ รอแปปนึง ใกล้เสร็จแล้ว" ริมฝีปากบางตอบ แต่คิ้วเล็กขมวดเหมือนกังวลว่าผมจะรอนาน ความเอาใจใส่เล็กน้อยที่เจ้าตัวมักจะมีให้ผมอยู่เสมอ



“คิน ออกไปนั่งดูทีวีข้างนอกดีกว่า ในนี้กลิ่นมันแรงครับ เดี๋ยวติดเสื้อนะ” แขนบางดันตัวผมแต่ผมเบี่ยงซะแล้วจับเอวเขาให้หันหลังแล้วดันตัวไป



"เดี๋ยวช่วย"



"เอ๊ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอม...ผะ ผมทำเองครับ" เจ้าตัวบอกแต่ก็ขืนแรงผมไม่ได้ สรรพนามแทนตัวที่มักเผลอพูดออกมาแล้วพอรู้สึกตัวก็จะเปลี่ยนมันทันที



ผมทำเมิน ไม่สนใจที่เขาพูด "เหลืออะไรบ้าง"



"ไม่เป็นไรคิน..."



"อย่าดื้อ" ผมทำเสียงดุ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องยอม นั่นไงทำหน้าบูดทันที "เหลืออะไรบ้าง ช่วยจะได้เสร็จเร็วๆ ...หิวแล้ว"



"เหลือ...อ๊ะ คิน" ตาโตเบิกกว้าง ใบหน้าแดงเถือก เมื่อมือผมเลื้อยจากเอวไปหน้าท้องแบน



ร่างบางนี่ชักจะผอมเกินไปแล้ว...



แขนผอมรีบจับรั้งไว้ กับมือปลาหมึกท่าทางน่าหวาดเสียว "ปล่อยครับ ไหนบอกว่าจะช่วยไง"



"ปล่อยก็ได้..." เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูขาวที่บัดนี้ระเรื่อสีแดง ร่างบางดิ้นขลุกขลักด้วยแรงอันน้อยนิด "แต่เวลาคุยกันต้องแทนตัวเองว่าเอมเหมือนเดิม"



ผมไม่ชอบความเหินห่างที่อีกฝ่ายแสดงด้วยการแทนสรรพนามแบบนั้นกับผม



"..."



"แบบนั้นถึงจะปล่อย"



ร่างบางหยุดดิ้น เม้มปากแน่น แววตากลมโตตวัดมองอย่างดื้อดึง "ไม่...ไม่เอา"



"หืม"



"ผมไม่อยาก...คินก็มีเรย์อยู่แล้วนี่..." ใบหน้ามนก้ม ผมจึงไม่เห็นว่าเขาทำหน้ายังไง แต่น้ำเสียงซ่อนไม่มิดว่ากำลังน้อยใจ



'คินก็มีเรย์อยู่แล้วนี่' หมายถึง...?



"...เอม"



"แล้วจะให้ผมพูดแบบนั้นกับคิน แต่คินก็ไม่เห็นจะพูดบ้างเลย...ไม่เอาด้วยหรอก" เจ้าตัวก็ขบกัดริมฝีปากเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป จากนั้นร่างบางขืนตัวอีกครั้ง "คิน...ปล่อยสิครับ"



คราวนี้ผมยอมปล่อยอย่างง่ายดาย ชะเอมหลุดจากอ้อมแขนผมแล้วเจ้าตัวก็ง่วนอยู่กับหม้อกับกะทะตรงหน้าไม่ได้หันมาสนใจผมอีก



ความรู้สึกชอบของอีกฝ่าย...มันซื่อตรงมากจนผม...มองข้ามไม่ได้



ไม่อาจละสายตาได้



ตรึงสายตาไว้ที่คนๆ เดียว



"ตกลงจะช่วยมั้ยครับ" ตากลมตวัดมองเหมือนบอกว่า 'ถ้าไม่ช่วยก็ออกไป' อะไรแบบนั้นเลย



"เหลืออะไรบ้าง"



"ผมผัดไส้เรียบร้อยแล้วเหลือแค่ทอดไข่ คินอยากกินกี่ฟอง" มือบางหยิบไข่ขึ้นมาสองฟอง ชูให้ดูว่าพอมั้ย ผมก็พยักหน้า ร่างบางก็จัดการตอกไข่ตีอย่างคล่องแคล่ว เส้นผมสีดำเปียกชื้น ขมับมีเหงื่อซึมน้อยๆ ขนตาแพหนา แก้มขาวผ่อง กับริมฝีปากบางน่า...จูบ



"คิน ไปเตรียมจานสิครับ เดี๋ยวผมก็ทำเสร็จแล้ว"



ผมที่มัวแต่มองสำรวจอีกฝ่าย ก็โคลงหัวรับคำสั่ง(ไล่) อย่างช่วยไม่ได้ "ไปแล้วครับๆ"



ผมนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารไม่นาน กับข้าวหอมฉุย และข้าวสวยสีขาวร้อนๆ ก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ



แกงจืดหมูสับ



ปลานิลนึ่งซีอิ๊ว



ไข่ยัดไส้



ผัดผักบร็อคโคลี่



มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้น...



ชะเอมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามผมซึ่งถูกกั้นด้วยโต๊ะอาหาร ร่างบางมองหน้าผม ริมฝีปากยิ้มบางประกอบกับดวงตากลมโตที่มีประกายมีความสุข



"ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาตั้งนานแล้ว...วันนี้ขอบคุณมากเลยนะคิน"



ตึก...



"ขอบคุณที่ให้โอกาสผม"



ตึก...ตัก



"ถ้าอร่อย ก็กินเยอะๆ เลยนะ"



แก้มขาวเป็นสีแดงระเรื่อ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำพูดที่น่าอายอะไรเลย แต่กลับรู้สึกแปลกใหม่



'ผมชอบคินนะ'



ผมตักข้าวเข้าปาก ลิ้มรสชาดที่ไม่ได้กินมานาน แต่ผมก็จำได้ว่าที่ค่ายของมหาลัย ชะเอมก็เป็นคนทำ...แต่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนกัน



"อร่อยมั้ย" เสียงใสถามด้วยสีหน้าและแววตาคาดหวัง



"อืม อร่อยดี"



ไม่อร่อยสิแปลก เพราะเจ้าตัวเต็มที่กับมื้อนี้ขนาดไหน ทำไมผมจะไม่รู้



แล้วนอกจากนี้...เขาก็ยังคิดมากในทุกคำพูดของผม ทำไมผมจะไม่สังเกต เพียงแค่ผมบอกว่า 'กินอะไรก็ได้' ในตอนที่เขาถามทั้งๆ ที่คาดหวังอยากให้ผมเป็นคนบอกเองว่าอยากกินอะไร สีหน้าและแววตาแสดงถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน แม้สุดท้ายแล้วเขาจะทำสิ่งที่ผมชอบกินก็เถอะ



ทั้งเรื่องที่ต้องไปทำงานพิเศษด้วยเหมือนกัน



เขาแคร์ผมมาก



ทุกอย่างนี้รวมกัน มันแสดงออกว่าที่เขาพูดว่าชอบผมมันคือความจริง



มันคือเรื่องจริง



"คิน ครั้งหน้าไปเที่ยวด้วยกันมั้ย" ร่างบางวางช้อนทั้งๆ ที่ยังกินข้าวไม่หมด ริมฝีปากบางขบกัดกันแน่นอีกแล้ว เขาทำทุกครั้งที่ไม่มั่นใจตัวเอง แถมยังไม่สบตาผม "วันอาทิตย์หน้า..."



"ไหนบอกว่าแค่กินข้าวไง"



"...คะ คือ"



"ฉันจำได้ว่านายขอแบบนั้น" แววตาที่ก่อนหน้านี้เปล่งประกาย ตอนนี้กลับสั่นไหวอย่างหนัก



"ผะ ผม...ครับ ขอโทษครับ..." เสียงใสสั่นเครือ ไม่กล้าพูดอะไรอีก มือเอื้อมหยิบช้อนตักข้าวเข้าปาก แต่มันกลับไร้รสชาดทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังอร่อยอยู่เลย



เคร้ง!



"ขอโทษครับ ผมขอไปห้องน้ำ"



ผมมองตามแผ่นหลังบาง ที่เดินหายไปในห้อง ทั้งๆ ที่ห้องน้ำด้านนอกก็มี



ชะเอมกลับมาอีกที ในเวลาไม่นาน เจ้าตัวก็พูดขอโทษเสียงแผ่วอีกครั้ง



"คิน อิ่มแล้วเหรอ เอาอีกไหม เดี๋ยวผมตักเพิ่มให้นะ"



สายตามองเห็นจานว่างเปล่าตรงหน้าร่างสูง ก็รีบลุกขึ้น เดินอ้อมมาหยิบจานผม



ขอบตาแดง...ร้องไห้มาเหรอ



"แล้วงานของนายไม่ทำวันอาทิตย์หรือไง" ผมถามเขา สายตามองจานที่มีข้าวร้อนควันฉุยอยู่



"ครับ ผมได้หยุดวันนึง"



"ทำหกวัน"



"ครับ"



"แล้วจะไปไหน"



"ครับ?"



"...ที่นายชวนไปเที่ยวไง" ใช่ ผมใจอ่อน เพียงแค่เห็นแววตาเศร้าสร้อยของเขา "จะไปเที่ยวไหน คิดแล้วเหรอ"



ใบหน้ามนส่ายสะบัด ยิ้มบาง "ผมลองชวนดูครับ ถ้าคินบอกว่าไปก็ค่อยคิด...แต่ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ"



หมายความว่าเขาคงเผื่อใจไว้แล้วว่าผมอาจจะบอกว่าไม่ไปสินะ



แต่ถ้าบอกว่าไม่เป็นไรจริง แล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วย



ถ้าบอกว่าไม่เป็นไรจริง ก็อย่าทำสีหน้าคาดหวังเวลาขออะไรจากผมได้ไหม



ใครบ้างที่เห็นร่างบางทำหน้าเศร้าแล้วจะปฏิเสธได้ลง?



"ก็คินมีแฟนอยู่แล้ว แต่ต้องมาทำอะไรแบบนี้กับผมคงเป็นเรื่องน่าลำบากใจใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก...แค่มากินข้าวด้วยกันแค่นี้ก็ดีแล้ว" ปากบอกไม่เป็นไรๆ ก็อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ "ขอโทษครับที่ผมขออะไรที่เป็นไปไม่ได้"



"..."



"คินรีบกินเถอะ เดี๋ยวข้าวเย็นหมด" ชะเอมหยิบช้อนกลางตักปลามาไว้ให้ที่ริมจานของผม "เดี๋ยวกินเสร็จแล้ว ผมเก็บจานเอง ถ้าคินรีบกลับก็ไปก่อนได้เลยนะ"



ผมหยิบช้อนตักข้าวพร้อมกับเนื้อปลานุ่มลิ้นเข้าปากพร้อมกัน แต่เขานั่งนิ่งไม่เห็นจะกินต่อเลย ร่างบางนั่งมองผมกินข้าวราวกับจะเก็บรายละเอียด "แล้วนายไม่กินแล้วเหรอ"



"ครับ...ผมอิ่มแล้ว"



ทั้งๆ ที่กินไปแค่ครึ่งจานนี่นะ? "นายกินน้อยเกินไปแล้ว" เขาผอมลงเยอะมาก ถ้าเทียบจากแต่ก่อน



ชะเอมเพียงยิ้มไม่พูดไม่ตอบอะไร



"กินเข้าไปให้หมด...ข้าวบนจานนั่นน่ะ อย่ากินทิ้งขว้างสิ"



"...แต่ผม..."



"จะไปมั้ยเที่ยวน่ะ"



ชะเอมชะงัก ตาโตเหมือนได้ยินอะไรผิดไป "เอ๊ะ?"



"ถ้าจะไปก็กินเข้าไปให้หมด"



"คิน...จะไปเที่ยวกับผมเหรอ" เสียงใสถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ "เมื่อกี้คินบอกว่าจะไปเที่ยวกับผม"



หัวใจของผมกระตุกเมื่อเห็นริมฝีปากแย้มยิ้มดีใจ ก่อนจะพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เขาถามผม "อืม แต่นายต้องกินข้าวให้หมดก่อน แล้วค่อยว่ากัน"



"ครับ!" ร่างบางสีหน้าดีขึ้นมาก จับช้อนส้อมตักกับข้าวกินดูมีชีวิตชีวา แถมยังตักเผื่อแผ่ให้ผมอีกต่างหาก



มันทำให้ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกแล้ว







************************Whose fault? ************************

 

 

 

 

ครืด ครืด



โทรศัพท์ที่ถูกตั้งเป็นระบบสั่นไว้มันสั่นไม่หยุดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ผมกุมมันไว้เพราะถึงจะไม่มีเสียงแต่มันก็ดังอยู่ แต่ดีแล้วที่ชะเอมดูเหมือนจะไม่ได้ยิน



มันดังอยู่เป็นพักๆ แล้วก็เงียบไป



ผมขมวดคิ้ว เปล่าเลย ผมไม่ได้สนใจอะไรข่าวในทีวี...เสียงในทีวียังไม่เข้าหัวผมเลยด้วยซ้ำ



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่าสายที่โทรเข้ามาแต่ไม่ได้รับตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงตอนนี้ก็เป็นอย่างที่คาด



Rei

Missed Call (18)



ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากกลับมาจากค่ายมหาวิทยาลัยนั่น เรย์ดูจะติดผมแจมาก เจ้าตัวอ้างความเป็นแฟน แต่มันทำให้ผมอึดอัดมาก



เรย์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน



แล้วช่วงนี้เขาก็ชอบเล่นโทรศัพท์ของผม พอถามเขาก็บอกว่าเช็คอะไรนิดหน่อย แทบจะเก็บมือถือไว้กับตัวเองทั้งๆ ที่มันเป็นโทรศัพท์ของผม จะมีเวลาส่วนตัวหน่อยก็ตอนค่ำๆ นั่นแหละ



แถมวันนี้ผมก็เปิดไลน์ดูเพื่อเช็คข้อความ พบว่าแชทไลน์ของชะเอมถูกปิดแจ้งเตือนเอาไว้ แล้วร่างบางก็ส่งข้อความหาผมตั้งแต่หลายวันก่อน แล้วผมไม่ได้ตอบ...ซึ่งโชคดีที่ผมเห็นก่อน



โดยปกติผมเป็นคนไม่ชอบตั้งรหัสในมือถืออยู่แล้วเพราะมันสะดวกและรวดเร็วต่อการใช้งานมากกว่า จึงได้แต่สงสัยว่าใครเป็นคนตั้งปิดแจ้งเตือน ซึ่งนอกจากผมที่เป็นเจ้าของแล้วก็มีเรย์ แล้วก็มีพวกตาลกับเอกที่เอามือถือผมไปเล่นบ้าง แต่เจ้าพวกนั้นจะทำไปเพื่ออะไร? ...ผมไม่อยากจะคาดเดา เลยเปลี่ยนใจมาตั้งรหัสทั้งไลน์ ทั้งตรงหน้าจอหลักมือถือเอาไว้...กันไว้ดีกว่า



“คินไม่กลับเหรอ ถ้ารีบล่ะก็ไปเลยก็ได้นะครับ เพราะเดี๋ยวดึกมากแล้วขับรถมันจะอันตราย” ร่างบางเอ่ยมาพร้อมกับเสียงล้างจานและพวกกระทะดังโคร้งเคร้ง กับเสียงน้ำไหล



“ยังหรอก ดึกๆ รถโล่งดี เดี๋ยวค่อยกลับ”



ชะเอมมองผมอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ “อ่า...” เพราะเจ้าตัวก็ขับรถไม่เป็นด้วยนั่นแหละ



“นายไปมหาวิทยาลัยยังไง” ผมถามเพราะว่าแต่ก่อนผมเป็นคนขับรถให้เขานั่งมาตลอด แล้วตอนผมย้ายออกก็ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินทางยังไง...จะลำบากไหม



“ก็นั่งรถเมล์เอาครับ...แล้วก็ต่อสองแถว”



ผมมองเขาที่ง่วนล้างจานนิ่ง “ลำบากไหม”



เป็นถึงคนที่นายเกษมศักดิ์ อนันต์โภคทรัพย์ นักธุรกิจเจ้าของบริษัทรายได้หลักร้อยล้านโอ๋ยิ่งกว่าลูกแท้ๆ ...อีกฝ่ายจึงไม่เคยนั่งรถประจำทางด้วยซ้ำ



ถึงจะพูดแบบนั้น จริงๆ ผมก็ไม่เคยนั่งหรอก



“ตอนแรกก็ค่อนข้างครับ แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว...ผมว่ามันก็นั่งเพลินๆ ดี” ชะเอมเงยหน้า “แล้วคินล่ะ ตอนนี้พักอยู่ที่ไหน”



“ก็...ใกล้ๆ มหา’ลัย”



“เหรอ...มันก็ไกลจากที่นี่เหมือนกันนะ งั้นคินรีบกลับเถอะ”



ผมเลิกคิ้วมองเขาที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ที่มองผ่านเห็นในครัวได้ “ทำไม? ไล่กันเหรอ?”



ใบหน้ามนรีบส่ายทันที “เปล่านะครับ ก็แค่...ผมขอให้มากินข้าวด้วยเฉยๆ ตอนแรกนึกว่าคินจะรีบกินรีบกลับ”



“...”



“จริงๆ แล้วผมก็อยากให้คินอยู่ด้วยกันนานๆ” ชะเอมแย้มยิ้มบาง “แต่ผมก็เป็นห่วง...”



พอตั้งใจฟังดีๆ แล้ว ประโยคที่เขาพูดออกมาด้วยความใสซื่อ รับรู้ได้ถึงความจริงใจ มันสามารถทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนได้เหมือนกัน...มันรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ได้รับความรู้สึกดีๆ และเขาก็พูดออกมาได้อย่างตรงกับที่เขารู้สึก...ออกมาจากใจ



“แต่ผมไม่ได้ไล่เลยนะ ผม...กลัวคินไม่พอใจ พักหลังมานี้จะคุยด้วยก็ไม่รู้ว่าต้องพูดยังไง...กลัวว่าคินจะโกรธเหมือนวันนั้นอีก” ชะเอมสะบัดมือที่เปียกให้น้ำกระเซ็น “เพราะงั้นถ้าคินจะอยู่ ก็อยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไงห้องนี้ก็เคยเป็นของคินนี่นา”



“...”



“หรือว่าคินจะกลับมาอยู่ห้องนี้จะได้เดินทางไม่ลำบาก...ตะ แต่ว่าถ้าอึดอัดล่ะก็เดี๋ยวผมย้ายออกไปเองก็ได้”



“ทำไมพูดแบบนั้น ฉันไม่เคยบอกให้นายออกไปซักหน่อย” ผมย้ายออกไปเพราะผมไปเอง ถึงจะเคยโกรธมากแต่ก็ไม่ได้คิดไล่เขาออกจากห้องนี้...ไม่เคยคิด



ร่างบางเม้มปาก “อันที่จริงผม...คิดไว้ซักพักแล้วล่ะครับว่าถ้าผมเริ่มทำงานหาเงินเก็บได้ ก็จะคืนห้องนี้ให้คิน...แล้วผมก็ลองหาห้องเช่าเอาไว้แล้ว มีเยอะแยะเลย”



ได้ยินแล้วเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ...ทำไม...เขาถึงคิดแบบนี้



“ผมจะได้ไม่รบกวนค่าน้ำค่าไฟต้องให้คุณลุงจ่าย” ชะเอมอมยิ้ม แววตามีความยินดีเมื่อได้คิดว่าจะทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ “แล้วพอเรียนจบผมก็จะค่อยๆ คืนเงินที่ผมเก็บได้ทีละนิดๆ ให้ทุกเดือน...ดีมั้ยครับ”



ร่างสูงสูดลมหายใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ในสมองนึกคำพูดไม่ออก...ที่อีกฝ่ายคิดไปถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะคิดมากเรื่องที่ผมเคยพูดอีกแล้วใช่มั้ย



“ไม่...” แน่นอนว่าผมน่ะ... “ไม่ดี”



ใบหน้าหวานซีดทันที เสียงสั่นเครือ “ทำไมล่ะ เรื่องนี้น่ะ...ผม...”



“ไม่หรอก ไม่ใช่...ฉัน...คินต่างหาก...”



ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เขา ซึ่งเจ้าตัวแอบถอยหลังนิดหน่อย มองผมด้วยแววตาตื่น “มะ เมื่อกี้คิน...อ๊ะ...” ฝ่ามือใหญ่คว้ามือบางขึ้นมากุมทั้งที่เปียกชื้น...จูงเขามานั่งตรงโซฟาโดยไม่ปล่อยมือ



จะปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้ไม่ได้อีกแล้ว



ผมต้องคุยกับเขา...เราต้องคุยกัน



ถึงเรื่องของเรย์ ผมจะยังไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นความจริง แต่ผม...กับคนตรงหน้านี้ที่ผมทำอะไรผิดไป ผมอยากจะบอกเขา...



“คะ คิน...” มือบางสั่นจนผมรู้สึกได้ แววตากลมโตที่มองมาสั่นไหวเหมือนจะร้องไห้ ผมทำเขาเสียน้ำตาอีกแล้ว



“เอม” ผมมองตาเขา “ที่ไม่ดีน่ะ...คือคินต่างหาก...”



จ้องลึกเข้าไป...ในดวงตากลมสีดำดวงนี้



“ขอโทษนะ...ที่ตอนนั้นโมโห...”



อยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกผิด



“ทั้งที่พูดว่าเอมตอนนั้นทั้งหมด...ที่พูดแรงๆ ใส่...เพราะคินโมโหที่...”



เพราะอารมณ์ชั่ววูบของผม



‘เขาเจ็บก็เพราะนาย...ถ้าเรย์ตาย ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!’



ที่กล่าวโทษเขา...เพราะในตอนนั้นแค่ต้องการให้อีกฝ่ายเจ็บ...แต่ไม่เคยรู้ว่าจะทำให้ร่างบางจะเก็บมาคิดมาก...มากมายถึงเพียงนี้



“คินขอโทษ”



‘ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเป็นเด็กกำพร้าโดนพ่อทิ้ง’



มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ที่ผมอยากจะให้เขา...ให้อภัย



เพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ผมยกโทษให้ตัวเองไม่ได้...ที่ผมทำให้ชะเอมต้องทุกข์ทรมานกับคำพูดที่เปรียบเสมือนมีดคมปาดลึกเข้าไป...ติดตรึงในหัวใจ



‘คินเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอ’



‘ผมมันก็แค่คนที่ท่านเก็บมาเลี้ยง’



ผมเป็นคนฆ่าเขา...ด้วยวาจา



‘เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ทำตัวเป็นกาฝากเกาะชีวิตของคุณลุง’



ที่ต้องทำให้เขารู้สึกแบบนั้น...ทำให้เขาต้องพูดออกมาแบบนั้น



‘ผมไม่มีสิทธิ์แม้แต่เศษเสี้ยวที่จะไปใช้เงินพ่อของคินด้วยซ้ำไป’



‘คินคงไม่รู้ว่าเอมก็รู้สึกสมเพชตัวเองเหมือนกันที่ต้องคอยพึ่งพ่อของคินอยู่ตลอด’



...เป็นความผิดของผม



“เพราะงั้นเรื่องที่ผ่านมา ที่ทำให้เอมต้องเจ็บ...คินขอโทษจริงๆ”



ผมได้แต่หวังให้เรื่องที่อีกฝ่ายคิดจะทำทั้งหมดล้มเลิกไป



“คิน...” หยาดน้ำตาเม็ดโตไหลผ่านแก้มใส สะอื้นแรงจนตัวสั่นระริก “คินหายโกรธผม อึก...หายโกรธเอมแล้วใช่มั้ย”



ผมคว้าร่างบางที่ร้องไห้เหมือนเด็กให้จมกับอก ได้แต่พร่ำขออภัยกับความผิดนี้ “เอม...คินขอโทษ”



“ไม่ต้อง...ฮึก ฮึก ขอโทษ...แล้วครับ เอม...เอมไม่เคยโกรธคิน” ดวงตาพลันเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน ร่างบางเบียดกายโอบกอดแผ่นหลังกว้างตอบ “ไม่เคยโกรธเลยนะ”



...ไม่...จริง...



ชะเอมดันตัวผมออกเบาๆ ช้อนตาฉ่ำน้ำขึ้นสบ “เอมต่างหากที่ต้องขอให้คินให้อภัยเอม”



“ตอนที่คินขอเลิกกับเอม ฮึก เอมเสียใจมาก...มันเจ็บ...” เสียงใสพูดสะอื้น มือขาวยกขึ้นทาบตรงหน้าอกด้านซ้าย ทบน้ำตาไหลอีกครั้ง



ผมยังจำได้



‘เป็น...อย่างอื่นไม่ได้...เหรอ ทำไมถึงต้องขั้นเลิกกันด้วย’



เขาอ้อนวอน...ด้วยสายตาและมือแสนสั่นเทาที่กำรั้งชายเสื้อ



“เอมอยากจะขอโทษเพราะอยากให้เรากลับมาคืนดีกัน...อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม”



‘ผมขอโอกาส...คิน ขอร้องล่ะ อยากให้กลับมาคบกัน...ได้มั้ย’



“แต่ว่าคิน ฮึก...ฮึก คินเกลียดเอม...แล้วก็โกรธมาก”



ผมผิดเองที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น...ไม่อาจคัดค้าน



ชะเอมที่ร้องไห้ สะอื้นหนักเป็นเวลานานจนเริ่มหมดแรง ผมลูบหลังเขาแผ่วเบา คนที่อยู่ในอ้อมกอดของผมตัวเล็กขนาดนี้...ผอมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน



“เอมไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่เราเคยเป็นแฟนกัน...คินชอบเอมบ้างมั้ย” สายตาของคนตรงหน้ามีแต่ความกังวล



หลากหลายอารมณ์ที่เกิดขึ้น...มันก็เป็นเพราะผม



เพราะเขาแคร์ผม...แค่ผมคนเดียว



“เอมอาจจะเป็นคนงี่เง่า น่ารำคาญในสายตาของคิน...ที่ยังคบกันเพราะคุณลุงเคยบอกว่าให้ดูแลใช่รึเปล่า”



‘คิน ลูกต้องคอยดูแลเอมไว้นะ ลูกเป็นตัวแทนของพ่อแล้ว พ่อฝากคินด้วยนะ’



นั่นหรือคือสิ่งที่ร่างบางคิดมาตลอด...ผมมองข้ามความรู้สึกของอีกฝ่าย...ไม่เคยที่จะรับรู้



มีแต่อีกฝ่ายที่คอยเอาใจใส่ผม...อยู่ฝ่ายเดียว



“แต่ถึงแม้ว่าคินจะไม่เคยชอบเอมเลยก็ตาม แต่ว่าเอมชอบคินนะ...” เขาบอกเสียงแผ่ว ใบหน้ามนก้มหน้าลงซบกับอกกว้างอีกครั้ง น้ำตาที่ซึมไหลผ่านจนรู้สึกได้ “เอมรักคิน”



เสียงใสพูดแผ่วเบาทว่ากลับหนักแน่น...ความในใจที่จริงจังยิ่งกว่าใคร



ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ นอกจากจะรัดคนในอ้อมแขนให้แนบชิดมากขึ้นไปอีก รู้สึกน้ำอุ่นๆ รื้นขึ้นมากองอยู่ที่ขอบตา



ความรู้สึกของเขาที่คอยพร่ำบอก...มันส่งผ่านมา



“เอมรักคิน...”



ซึบซับลงในหัวใจ



‘เอมก็ชอบคินนะ...ชอบที่สุดเลย’ ภาพในอดีตมันซ้อนทับ รอยยิ้มสว่างสดใสและเสียงหัวเราะ





เด็กคนนั้นที่ผมเคยรัก...ยังน่ารักเหมือนเดิม...ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย







************************Whose fault? ************************





รีบมาต่อเพราะเดี๋ยวนักอ่านรอนาน

เรื่องนี้น่าจะประมาณ 40+ ตอนนะคะ

อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อน

และอย่าลืมมาคอมเมนต์ให้กำลังใจรุยและชะเอมกันด้วยนะก๊ะ!

เจอกันนน



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 21 update วันที่ 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 07-12-2018 23:27:15
 :katai4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 21 update วันที่ 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ywy1693 ที่ 08-12-2018 00:14:58
 :mew1:  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 21 update วันที่ 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 08-12-2018 01:12:29
ร้องไห้,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 21 update วันที่ 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kuayyai ที่ 08-12-2018 05:54:53
ทำเอาอ่านแล้วร้องไห้เลยอ่ะ
มันเศร้า สะเทือนใจ
ยิ่งตอนที่เอมพลั่งพลูสิ่งที่อยู่ใจออกมา
กับเรื่องที่โดนคินว่าเรื่องพ่อ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 21 update วันที่ 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-12-2018 10:54:51
ยังอยากเห็ากสรเอาคืนที่สาหัสกว่านี้นะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 21 update วันที่ 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 08-12-2018 12:31:04
รอวันที่เรย์ได้รับกรรมมมม  :ling1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 22 update วันที่ 09/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 09-12-2018 11:50:13

                          Whose Fault ?

​                           ผิด...ครั้งที่ 22

 



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



"ขอบคุณมากที่มาอุดหนุนครับ" ร่างบางก้มโค้งลูกค้าที่เดินออกจากร้านไป แขนบางปาดเหงื่อ วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษเนื่องจากเดินไม่หยุด คนเข้ามากินอาหารร้านนี้เยอะมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม



สงสัยเพราะอาหารฝีมือพี่ฟ้าจะอร่อย...แต่พูดไป เขาก็ไม่เคยกินหรอก



"ยินดีต้อนรับครับ...อ้าว ดิน! สินด้วย!" ชะเอมเอ่ยอย่างดีใจ เมื่อเห็นร่างสูงสองคนเดินกันมาเป็นคู่ แถมยังใส่เสื้อสีขาวดำเหมือนหยินหยางเลย



คิดถึงจัง...เพราะว่าเขาไม่ได้เจอสองคนนี้นานเกือบเดือนแล้ว



"ดีเอม สบายดีป่ะ" ดินทักทาย ไม่แปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายมายืนทำงานงกๆ เพราะคุยกันผ่านแชทไลน์ตลอด



ได้ยินคำถามก็ยิ้มตาปิด "อื้อ ก็ดีนะ สนุกดี แต่ก็เหนื่อยด้วย"



"เออ ทำงานมันก็ดี แต่อย่าโหมนักล่ะ" ร่างบางหัวเราะคิกเมื่อสินขยี้หัวอย่างหมั่นเขี้ยว “วันนี้สีหน้าดูดีนะ มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอ”



“อื้อ...ก็...” ชะเอมยกนิ้วเกาแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อ เห็นอากัปกิริยานั้นร่างสูงสองคนก็สบตากันเอง “นิดหน่อย”



“มีอะไรอยากเล่าให้พวกกูฟังก็ยินดีต้อนรับเสมอเลยนะ” ดินพูด สีหน้าสดใสของชะเอมทำให้พวกเขาดีใจ...เพราะเขาคอยภาวนามาตลอดว่าอยากให้อีกฝ่ายมีความสุข



“โอเค” เจ้าตัวรับปากเสียงใส สายตากลมโตมองหาเพื่อนอีกคน "แล้วรามล่ะ ไม่ได้มาด้วยเหรอ?"



"โอย มันก็ทำงานยุ่งๆ ไม่อยากรบกวนมัน"



"อ้าวเหรอ?" ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย



ดินเลิกคิ้วยิ้มมุมปาก "มันไม่อยากบอกมึงมากกว่า...มันทำงานหนักกว่ามึงอีกนาจะบอกให้ แทบไม่ได้นอน กูก็ห่วงๆ มันอยู่ ไม่รู้จะทำแบบนี้ได้ไปถึงเมื่อไหร่"



"เหรอ..." ที่เห็นวันนั้นรามก็ดูอิดโรยจริงๆ แถมยังผอมลง อาจจะเพราะโหมงานมากก็ได้



"เอาเถอะ วันนี้เรามาอุดหนุนนะครับคุณพนักงาน พาเราไปนั่งได้รึยัง" สินโบกมือปัด ส่วนดินที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มบ่นว่าหิวๆ แล้วเหมือนกัน เพราะสายตาเริ่มมองเมนูหน้าร้านเหมือนเล็งว่าจะกินอะไรดี



"อะ อ่ะ! ขอโทษครับ เชิญทางนี้เลยครับ!" ชะเอมรีบเอ่ยเหมือนอีกฝ่ายเป็นลูกค้าคนหนึ่งที่ต้องดูแลอย่างดี พาไปนั่งที่แล้วก็ส่งให้พนักงานคนอื่นเป็นคนรับออเดอร์ไป



‘วันนี้สีหน้าดูดีนะ มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอ’



คำทักของสินทำให้ชะเอมนึกไปถึงคืนนั้น ใบหน้าใสขึ้นสีอีกครั้ง







‘เอม...เอม’



ฟี้



‘หือ?’ ร่างสูงที่โอบกอดร่างเล็กอยู่ครางในลำคอ ก้มมองใบหน้ามนที่ซบอกหลับตาพริ้มทั้งที่ขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากพรูลมหายใจแผ่วเบา ‘หลับแล้วเหรอ...หึ นี่มันกินแล้วนอนชัดๆ’



ประโยคที่พูดกับน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนช่างขัดกัน



คินใช้มือเกลี่ยเส้นผมตรงหน้าผากไปทัดหูเล็ก ไล่สายตามองเครื่องหน้าที่ขาวใสไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป นิ้วโป้งลูบเบาตรงใต้ดวงตาบวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนัก จมูกเล็ก แก้ม ริมฝีปากบางได้รูป



ไม่ได้อยู่ใกล้กันแบบนี้กี่เดือนแล้วนะ



‘อือ...คิน’ คนในอ้อมแขนดิ้นหลุกหลิกไม่สบายตัว ละเมอครางเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมา ยิ่งเรียกรอยยิ้มมุมปากจากร่างสูง รอสักพักให้ร่างบางหาท่าสบายได้ก็หยุดนิ่งไปเอง ‘ฮื่อ...ฟี้’



นอนแบบนี้นานๆ ก็คงเมื่อยแน่ แต่ครั้นจะปลุกให้ลุกไปนอนที่เตียงก็ไม่อยากรบกวน...คินลังเลไม่นาน จับหัวทุยให้พิงกับไหล่ตัวเอง แขนข้างหนึ่งโอบแผ่นหลัง อีกข้างช้อนใต้ข้อพับขา เช็คแล้วว่าเจ้าตัวยังหลับสนิทค่อยยกขึ้นเบาๆ ...ชะเอมตัวเบาหวิวขนาดยกขึ้นง่ายๆ จนเสียงทุ้มต้องบ่นออกมา



‘ให้ตายสิ น้ำหนักน้อยเกินไปแล้ว’ ถึงแค่โอบกอดก็รู้อยู่แล้วว่าร่างบางจะผอมแค่ไหน แต่แบบนี้มันน่ากังวลมากแล้วไม่ใช่เหรอ



ถ้าไม่บังคับให้กินข้าวให้หมดจาน เจ้าตัวก็คงจะทานอยู่แค่นั้นทุกมื้อแน่...ไม่ผอมก็แปลกแล้ว



ขายาวผ่านประตูเข้าห้อง แล้ววางร่างเบาหวิวลงบนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ...แต่แบบนี้คงช่วยไม่ได้ คงต้องปล่อยให้นอนถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยตื่นขึ้นมาอาบแทน



สายตาเหลือบมองนาฬิกา...เกือบจะห้าทุ่มแล้ว



‘อาทิตย์หน้า ไปเที่ยวกันนะ’



ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลย



ช่างเถอะ คุยแชทเอาก็ได้...หรือถ้าจะแวะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ยังได้ เพราะว่าชะเอมไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว



ร่างสูงพิศมองใบหน้าหวานที่หลับปุ๋ยอีกครั้ง ก่อนที่ขายาวจะก้าวออกจากห้องโดยไม่ลืมห่มผ้าเปิดแอร์เบาๆ ให้











วันนั้น เขาหลับไปได้ยังไงนะ...น่าอายจัง



แต่ว่าคินจะต้องเป็นคนพาเขามานอนที่เตียงแน่นอน เขาไม่ได้ละเมอเดินมาเองอยู่แล้ว...คิดได้แบบนั้นก็หัวใจเต้นรัว...มีความสุข



คินพูดกับเขาเหมือนเดิมแล้ว



‘เอมรักคิน’



ความรู้สึกของเราส่งผ่านไปถึงอีกฝ่ายแล้ว



แบบนี้มันเป็นสัญญาณที่ดีเลยไม่ใช่เหรอ



“มีอะไรดีๆ เหรอ” เสียงทุ้มของใครบางคนเอ่ยแซว ทำให้ชะเอมที่ยืนเหม่ออยู่สะดุ้ง



“พะ พี่ฟ้า...อ อะไรเหรอครับ?” ร่างบางทำหน้าเหลอหลา...ทำไมพี่ฟ้าพูดเหมือนสินเลยล่ะ



เชฟหนุ่มยิ้ม “ก็แหม เห็นยืนยิ้มอยู่คนเดียว แบบว่า...แอบน่ากลัวหน่อยๆ นะ”



“จริงเหรอครับ” ร่างบางตาโตหน้าตื่น มือบางจับหน้าตัวเอง นี่เขาเผลอทำหน้าอะไรออกไป



คนอายุมากกว่าก็หัวเราะขำ...หลอกง่ายจริงเลย “ล้อเล่นน่ะ ไม่ได้น่ากลัวหรอก แต่เหม่อในเวลาทำงานแบบนี้ระวังคุณผู้จัดการหักเงินเดือนเอานา นั่นๆ จ้องเขม็งใหญ่แล้ว” ฟ้าชี้นิ้วไปทางที่หญิงสาวหรือก็คือภรรยาตัวเองยืนอยู่ ทำให้ชะเอมร้อนรนรีบก้มหัว



“ขะ ขอโทษครับ! ผมจะไม่เหม่อแล้วครับ!”



“เอ่อ...เอ้า รีบไปเสิร์ฟอาหารสิ เสร็จแล้ว” ฟ้ายิ้มเหงื่อตกรีบเปลี่ยนเรื่อง ก็รู้หรอกว่าร่างผอมเป็นคนซื่อ แต่นี่หลอกอะไรเล่นเชื่อซะทุกอย่าง เป็นคนที่จริงจังซะจริงๆ เลย



“ครับ” ชะเอมถือถาดอาหารไปเสิร์ฟตามเลขโต๊ะที่ระบุอย่างกระตือรือร้น



“วันนี้ก็ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ อ่ะนี่เงินของวันนี้”



ร่างบางยกมือไหว้อย่างสุภาพ “ขอบคุณมากครับ” ร่างบางรับซองสีขาวยิ้มๆ มองมันอย่างภูมิใจทุกครั้ง เพราะได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง



“จ้า พี่ก็ต้องขอบคุณเอมเหมือนกัน ทำงานที่นี่มาได้พักหนึ่งแล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ” ผู้จัดการสาวถามความเห็น



“สนุกมากเลยครับ ทุกคนเป็นกันเอง แล้วพี่ฟ้ากับพี่ฝนก็ใจดีมากเลย ผมชอบมากครับ”



“แหม ได้ยินแบบนี้พี่ปลื้มตายเลย” ฝนไม่เคยได้ยินใครชมแล้วชื่นใจขนาดนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะดวงตาที่สื่อออกมาด้วยความจริงใจของร่างผอมบางคนนี้ล่ะมั้ง



“ใช่ๆ รู้ไหมว่าคุณฝนน่ะ เอ็นดูเอมมากกว่าคนอื่นเลย” ฟ้าส่งเสียงแซวเมื่อเห็นรอยยิ้มของภรรยา



“ซะที่ไหนยะ ฉันเท่าเทียมกับทุกคนย่ะ” ฝนแหวใส่ทันที แล้วหันไปพูดกับชะเอมด้วยน้ำเสียงคนละโทน “เอาล่ะ วันนี้เอมรีบกลับเถอะ ไว้พรุ่งนี้เจอกันตอนเย็นเหมือนเดิมนะ”



“ครับ สวัสดีครับพี่ฝน สวัสดีครับพี่ฟ้า” ร่างบางก้มหัวนอบน้อม หยิบกระเป๋าพาดไหล่แล้วเดินออกมาจากห้างฯ ที่ตอนนี้ข้างนอกมืดไปหมด...แต่เจ้าตัวชินซะแล้ว



หลังเลิกงานพิเศษ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเกือบสี่ทุ่มทุกวัน



ครืด ครืด



ภาคิน : อยู่ไหน 9:24PM Read

ภาคิน : ทำอะไรอยู่ 9:24PM Read



คำถามเรียบง่ายแต่ก็เรียกรอยยิ้มบาง ขาเรียวที่ก้าวเดินสม่ำเสมอหยุดชะงักข้างถนนที่เงียบสงัดเพื่อพิมพ์ตอบอีกฝ่ายได้ทันท่วงที



chÄim : ถนนแถวๆ ห้างYYY ครับ 9:25PM Read

chÄim : เอมเพิ่งเลิกงานพอดี กำลังจะกลับครับ 9:25PM Read



ร่างบางพิมพ์ตอบเสร็จก็โยนมือถือเข้ากระเป๋า ขาบางก้าวเดินต่อ แต่สิ่งที่อยู่ในกระเป๋ามันก็สั่นแทบจะทันที



ภาคิน : มีรถกลับเหรอ 9:25PM Read

chÄim : เปล่าครับ เอมเดินกลับ 9:26PM Read

ภาคิน : ทำไมไม่ขึ้นแท็กซี่ 9:26PM Read

ภาคิน : มันดึกแล้ว 9:26PM Read



คิ้วบางขมวด เขาทำงานกว่าจะได้เงินมา จะให้หมดกับค่าแท็กซี่นี่นะ...ขณะพิมพ์ตอบ ปากบางก็มุ่ยไปด้วย เหมือนถ้าคินอยู่ตรงหน้าเขาก็จะทำแบบนี้แหละ



chÄim : มันแพงครับ แล้วอีกอย่างเอมเดินได้ เดินแปปเดียวก็ถึง 9:26PM Read



หน้าจอสว่างวาบทันที คราวนี้คินโทรมาเองเลย...ขณะที่มองชื่อสายเรียกเข้า หัวใจก็เต้นรัว ใบหน้าร้อนผ่าว นิ้วเลื่อนรับสาย ค่อยๆ ยกมือถือขึ้นแนบหู



“คิน...”



(“ทำไมถึงดื้อแบบนี้ หือ”)



ประโยคแรกที่ทักทายทำให้ใบหน้าหวานบึ้งตึงทันที “ไม่ได้ดื้อนะครับ เอมเดินแบบนี้ทุกวันนั่นแหละ”



(“เดินแบบนี้ทุกวัน? ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้น่ะนะ?”)



“ก็ใช่น่ะสิครับ เอมเป็นผู้ชาย คินไม่ต้องกลัวว่าเอมจะโดนฉุดหรอก”



(“ก็คินบอกให้นั่งแท็กซี่ไง”) อีกฝ่ายพูดเสียงเข้มดุ แต่ตอนนี้ชะเอมไม่กลัวหรอก



“ไม่นั่งครับ” ร่างบางเสียงแข็งใส่บ้าง อีกฝ่ายจะมาบังคับเขาได้ยังไงกัน



(“ดื้อ”)



คิ้วบางขมวด คินว่าเขาอีกแล้ว “ไม่ได้ดื้อสักหน่อย คินนั่นแหละ...”



(“เดี๋ยวไปรับ รออีกห้านาที”)



“หะ? มะ ไม่ต้องครับ เอมบอกแล้วไงว่าเดินแปปเดียวก็ถึงน่ะ!”



ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด



“คิน!”



ชะเอมยกหน้าจอขึ้นมาดู อีกฝ่ายวางสายไปแล้ว...



“อะไรเนี่ย...” ชะเอมขมวดคิ้วใส่มือถือ ไม่เข้าใจสุดๆ



เอี๊ยด!



รถฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำเฉี่ยวแล่นมาจอดข้างๆ ร่างบางภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ไม่ต้องคาดเดาว่าคนขับเป็นใคร เพราะเจ้าของรถเปิดประตูออกมาทันทีที่เบรกจอดข้างทางสนิท คินยืนเต็มความสูง ท้าวข้อศอกหลังคารถ แม้ในความมืดสลัวร่างสูงยังคงหล่อเหลาจนสาวๆ ประปรายข้างทางเหลียวหลังมามอง



“ขึ้นรถ”



ใบหน้าหวานบูดบึ้ง ชะเอมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับ แต่พอร่างสูงทำท่าจะเดินอ้อมรถมา มือบางก็เปิดประตูรถข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่ง ท่าทางเหมือนคนแง่งอนทำให้คินส่ายหน้าระอา ก่อนที่ขายาวจะก้าวขึ้นนั่งประจำที่ แล้วเหยียบคันเร่งออกตัว



“...”



“เงียบทำไม หือ” เสียงทุ้มเอ่ย เมื่อเห็นร่างผอมหันหน้าออกนอกหน้าต่างไม่ยอมมองหน้ากัน



“ก็เอมบอกแล้วไงว่าเอมกลับได้ เอมเดินกลับแบบนี้ทุกวัน” ริมฝีปากบางมุ่ยน้อยๆ



“...”



“เอมทำงานพิเศษเลิกดึกเอง เอมก็กลับเองได้ครับ ไม่ได้อยากรบกวนคินซักหน่อย”



ร่างสูงฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอ “...สรุปนี่งอน...หรือเป็นห่วงคิน?”



ร่างบางกอดอก บ่นอุบอิบหูแดง “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”



คินได้ยินก็หัวเราะหึ ยิ่งทำให้หูแดงยิ่งแดงเข้าไปใหญ่



สายตาคมมองเสี้ยวหน้าคนข้างๆ “แล้วทำไมไม่ลองคิดกลับกันดูบ้างล่ะ”



ชะเอมหันมามองทันที ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ...หมายความว่าไงน่ะ



ใบหน้ามนที่แสดงความงุนงงสงสัย ทำให้ร่างสูงหนักใจ...นี่ไม่เข้าใจเหรอ



“หลังจากนี้เลิกไปทำงานได้แล้ว” คินเปลี่ยนเรื่อง



“ไม่ครับ” เสียงใสตอบทันทีไม่ต้องคิด



คินถอนหายใจ ก็นึกไว้แล้วล่ะนะ แต่ไม่คิดว่าชะเอมจะดื้อขนาดนี้ “แล้วปกติเลิกงานกี่โมง”



“สามทุ่มนิดๆ ครับ”



ใบหน้าคมพยักหน้า เลี้ยวรถเข้าลานจอด “งั้นคินจะมารับ”



“ก็เอมบอกว่าไม่เป็นไรไงครับ...คินนั่นแหละที่ดื้อ” ร่างบางพูด ร่างบางเปิดประตูแต่มันยังไม่ได้ปลดล็อค



“ใช่ คินดื้อเองก็ได้”



“อ๊ะ!” ร่างบางถูกดึงแขนจนตัวปลิวให้ข้ามมานั่งตักแกร่งที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าตัวดิ้นหลุกหลิกตาโต แต่ด้วยน้ำหนักเบาหวิวแบบนี้ร่างสูงไม่รู้สึกอะไรสักนิด ครั้นจะเอื้อมมือไปปลดล็อคประตูก็ถูกมือใหญ่รวบไว้ซะแน่น



“ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองก็ดึงดูดผู้ชายให้เข้าหาเหมือนกันน่ะ หือ” คินโอบเอวบางให้อยู่นิ่งๆ พูดกระซิบข้างหู



“ยิ่งไปเดินคนเดียวบนถนนเปลี่ยวๆ กลางค่ำกลางคืนแบบนั้นน่ะ มันอันตรายมาก...ยิ่งใบหน้าแบบนี้ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของพวกหื่นได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ...รู้บ้างรึเปล่า” ชะเอมหดคอเมื่อลมหายใจร้อนเป่าใส่



“คิน พูดอะไรน่ะ ปะ ปล่อยเอมนะ” ร่างบางหน้าแดงเถือก แขนบางพยายามดันอกกว้างออกเพราะใบหน้าคมมันเข้ามาชิดเกินไปแล้ว



แค่ในรถมันก็แคบมากแล้ว นี่ยังต้องมานั่งเบาะเดียวกันอีก



ขะ เขา...เขากำลังนั่งอยู่บนตักคิน...บนตักของคินเลยนะ



ไม่ดีเลย...ไม่ดีต่อหัวใจเลย



ร่างบางมัวแต่กระวนกระวายหน้าแดง ไม่รู้ว่าโดนเสือตัวใหญ่จ้องเขม็งอยู่ เสียงใสโวยวายและดิ้นด้วยแรงเพียงน้อยนิด ริมฝีปากบางน่าจูบขมุบขมิบลอยอยู่ตรงหน้า



“นี่...เคยจูบรึเปล่า”



ใบหน้าหวานแดงอย่างกับมะเขือเทศ เมื่อได้ยินคินพูดอะไรน่าอาย “จะ จะ จะ...จะไปเคยได้ยังไงเล่า! ไม่เอาแล้วคิน เอมไม่คุยด้วยแล้ว...ปล่อยเอมนะ!”



ขนาดตอนคบกับคินเขายังไม่เคยทำอะไรมากกว่ากอดเลย แล้วจะ...จูบอะไรเนี่ยยิ่งไม่เคยเข้าไปใหญ่



ท่าทางใสซื่อเหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องทะลึ่งๆ แบบนี้ยิ่งกระตุ้นร่างสูงมากขึ้น สายตาคมกริบมองกระต่ายตื่นตูม



บริสุทธิ์...แม้แต่ริมฝีปาก



แขนบางพยายามงัดแงะมือใหญ่ที่กอดเอวเขาอยู่ ริมฝีปากบางแย้มยิ้มออกมาทันทีเพราะแขนข้างหนึ่งหลุดออกจากเอว แต่ที่ไหนได้ ร่างสูงจงใจต่างหาก มือใหญ่เอื้อมจับท้ายทอยเล็กให้หันตรงมา แล้วจู่ๆ ริมฝีปากร้อนก็ทาบทับ!



“อื้อ!!”



ตาโตเบิกกว้าง แต่ก็หลับตาปี๋ทันทีเพราะสายตาคมที่สบจ้อง ลิ้นร้อนพยายามแลบเลียรอยแยกที่ปิดสนิท ใบหน้าหวานทั้งแดงทั้งร้อนผ่าว ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง



รู้แต่เพียงสัมผัสนุ่มอุ่นและเปียกชื้นตรงริมฝีปากของตัวเองอย่างชัดเจน



จะหันหนีก็หันไม่ได้เพราะมือแข็งแกร่งที่จับให้รับองศาการจู่โจมของอีกฝ่าย ด้วยความที่ไม่เคย เจ้าตัวก็เกร็งปิดปากซะสนิทจนร่างสูงไม่อาจจูบได้ดั่งใจ ชะเอมรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ผละออกไปแล้วก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มกระซิบสั่งข้างหู



“เอม...ลืมตา”



“...” ชะเอมส่ายหน้าทันทีทั้งๆ ที่ยังหลับตาปี๋ ใครจะไปกล้ามอง...เขาก็อายเป็นนะ! เสียงหัวใจเต้นดังขนาดนี้ เขินจะตายอยู่แล้ว



“เอม...” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งดั่งมนต์สะกด ร่างบางปรือตาขึ้นมอง เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในแววตาคมที่จ้องมาที่เขาเหมือนกัน คินกระซิบอีกครั้ง “อ้าปากหน่อย”



ดวงตากลมสีดำยังงุนงง แต่ก็แง้มริมฝีปากน้อยๆ แต่เท่านั้นก็เพียงพอ



“อุ๊บ...อื้อ...” ร่างบางหลับตาปี๋อีกครั้งเมื่อรู้สึกเสียววาบข้างในช่องปาก ลิ้นร้อนๆ ของร่างสูงกวาดต้อนข้างในช่องปากเล็กทุกอณูรูขุมขน ไรฟันซี่เล็ก กระพุ้งแก้ม...เพดานปาก “ฮื่อ!”



ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกไล้เลียเน้นๆ ที่เพดาน เสียงน้ำลายและเสียงจูบดังขึ้นอย่างน่าอาย ร่างกายผอมบางอ่อนระทวยจนแทบจะนอนเกยทับร่างกายสูงใหญ่ แต่ริมฝีปากร้อนก็ยังไม่ลดละ ยิ่งเห็นปฏิกิริยาไร้เดียงสายิ่งสร้างความต้องการ



ดวงตากลมโตที่เฝ้ามองแต่เขา ทั้งจมูก แก้ม และริมฝีปากหอมหวานนี่ก็เป็นของเขาทั้งหมด



คนๆ นี้เป็นของเขา



มือบางทึ้งเสื้อของอีกฝ่ายเมื่อเริ่มหมดลมหายใจ เห็นแบบนั้นริมฝีปากร้อนก็ละออกให้



“ฮ่า...ฮ่า...” ริมฝีปากเล็กอ้าออกกวาดลมหายใจเข้าปอดอย่างคนขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน สติสตังลอยละล่อง ดวงตากลมโตปรือหวานฉ่ำ ร่างผอมนอนหมดแรงซบอยู่บนออกแกร่งอย่างน่าเอ็นดู ร่างสูงใช้จมูกคลอเคลียใบหน้าหวานที่เหม่อลอยไม่รู้สึกตัว



น่ารัก...



รออยู่สักพักเมื่อลมหายใจของชะเอมเริ่มเป็นปกติ มือใหญ่ช้อนคางเล็กขึ้นแล้วประกบจูบอีกครั้งอย่างคนไม่พอ



“ฮื่อ...อือ...จุ๊บ” เสียงครางอือในลำคอของร่างบาง กระตุ้นลิ้นร้อนให้จู่โจมอย่างหนัก จนอีกฝ่ายรู้ว่าจุดอ่อนที่ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตัวเกร็งอยู่ตรงไหน



“อื้อ! อื้อ!” ชะเอมกระตุกเพราะจู่ๆ โดนอีกฝ่ายดูดลิ้นจนรู้สึกแปลบปลาบขึ้นมา...ช่างแปลกประหลาด



“อืม” คินครางออกมา เสียงทุ้มเซ็กซี่อยู่ในลำคอกระทบหูร่างบางยิ่งทำให้ใบหน้าหวานแดงก่ำ ครั้นจะผละออกเพราะรู้สึกดีจนทนไม่ไหวก็โดนมือเหนี่ยวรั้งต้นคอเอาไว้ไม่ให้ผละจาก แถมถูกปรับองศาให้รับกับการกระทำของคิน ได้แต่ระบายอารมณ์ด้วยการกำเสื้อของร่างสูงจนยับยู่ยี่



ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้รับวันนี้จากคินเป็นครั้งแรกในชีวิต



นี่คือ...จูบเหรอ



รู้สึกดีจัง



“ฮ้า! แฮ่ก...แฮ่ก...” ร่างสูงทำอย่างนั้นซ้ำๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดคินก็ใจดีปล่อยให้เขาได้พักหายใจ จมูกโด่งคมไล้บนใบหน้าขาวใสที่ตาฉ่ำปรือ ริมฝีปากเจ่อบวมเนื่องจากถูกบดขยี้มาเป็นเวลานานอ้าน้อยๆ โดยไม่รู้ว่าท่าทางหมดแรงไร้สติของตัวเองเซ็กซี่ขนาดไหน...ไม่อยากให้ใครเห็นภาพนี้



“คิ...น....พอแล้ว...พอแล้วครับ” เสียงใสพูดทั้งๆ ที่ลมหายใจหอบสั่น จมูกโด่งยังคงไล้ข้างแก้มใส ร่างบางไม่มีแรงแม้แต่จะดิ้นหนีริมฝีปากร้อนที่กำลังจะประกบลงมาอีกครั้ง “เอมเหนื่อย...ไม่ไหว แฮ่ก...แล้ว”



หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างกับกลอง...ใต้แผ่นอกกว้างนี่ก็เหมือนกัน



“...เฮ้อ...โอเค พอก็ได้” คินผละออกพูดอย่างเสียดาย ถ้ามากกว่านี้หยุดไม่ได้แน่



...ช่วงล่างก็เริ่มหนึบๆ ขึ้นมาแล้วด้วย...ดีที่เจ้าคนซื่อ(บื้อ)ไม่รู้สึกตัว



“สรุปว่ายังไง ให้คินมารับนะ ห้ามปฏิเสธ” เสียงทุ้มเอ่ยเข้ม คราวนี้ขัดไว้ก่อนเลย



“แล้ว...” ชะเอมกัดปากลังเล



“แล้ว?”



“อื้อ” ร่างบางส่ายหน้า หลบตา “ไม่มีอะไร”



เห็นได้ชัดว่ามีอะไรอยากพูด แต่เจ้าตัวไม่ยอมพูด มือใหญ่เชยคางเล็กให้สบตา สั่งเสียงเข้ม “พูดมา”



ชะเอมพูดเบาอย่างกับกระซิบ “...แล้วเรย์ล่ะ?” แต่ในรถมีแค่สองคนแถมเงียบสงัด มีหรือจะไม่ได้ยิน

“...”



“...เรย์เป็นแฟนคินนะ มาทำแบบนี้จะดีเหรอ” ร่างบางถามช้อนตา มองมุมนี้ก็ยั่วอารมณ์อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว



“เรย์เกี่ยวอะไรด้วย” คินถามขมวดคิ้วกับสิ่งที่ชะเอมพูด ไม่เข้าใจจริงๆ



“กะ ก็...ถ้าคินเป็นแฟนกับเอม เอมก็ไม่อยากให้คินไปไหนกับใครบ่อยๆ หรอก...” เจ้าตัวอธิบายเสียงแผ่ว “คินไม่เข้าใจเหรอ”



“...”



ร่างสูงนิ่งไป ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร...นั่นสินะ



ตัวเขายังมี ‘พันธะ’ อยู่



“เอมดีใจ ที่คินทำเหมือนเป็นห่วงเอมแบบนี้ แต่ว่า...แต่ว่าเอมไม่รู้แล้วว่าจริงๆ คินคิดอะไรอยู่”



“...”



“มาใจดีด้วย เอาใจใส่ มา...จูบ...และทำให้รู้สึกดี” ปลายนิ้วแตะแผ่วเบาที่ริมฝีปาก ยังรู้สึกถึงสัมผัสร้อนผ่าวให้ชวนใจเต้น แต่มันทั้งดีแล้วก็ขมขื่นในเวลาเดียวกัน “ถึงเอมจะดีใจมากก็เถอะ...แถมคินยังบอกเอมว่า ‘อย่าเข้าใจผิด’ อีก”



“เอมเลยไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง...พยายามห้ามใจตัวเองแล้ว...” ชะเอมยกมือขึ้นแตะตำแหน่งอกด้านซ้าย “เพราะไม่อยากเจ็บ...”



มันช่างทุกข์ทรมาน ในยามที่คิดว่า ‘ใช่’ แต่กลับเป็น ‘ไม่’



เหมือนถูกผลักตกลงก้นเหวลึกที่มืดมิด...หรืออาจจะเป็นฝ่ายก้าวลงเหวด้วยตัวเอง...ไม่ว่าจะอย่างไหน...



“...”



“ทำไมถึงมีแต่เอม...ที่ชอบคินคนเดียวล่ะ มีแต่เอมที่บอกชอบคิน” น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะ มือบางลูบแก้วของคนตรงหน้า ได้อยู่ใกล้ขนาดนี้แล้ว มันทั้งดีใจ แต่ก็เสียใจ “มีแต่เอมที่รักคิน”



“เพราะงั้นคินช่วยบอกมาได้ไหม ที่ทำแบบนี้...คินชอบเอมบ้างรึเปล่า” ถ้าไม่เพียงอีกฝ่ายผูกความสัมพันธ์กับใครอีกคน ใจของเขาคงไม่ทรมานแบบนี้ “บอกมาทีว่าเอมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ฮึก ฮึก คิน”



ความรักที่มีให้กับคิน...มันทั้งสุขและทุกข์...ดีใจและเจ็บปวด



อยากจะหยุดแล้วก็ไม่อยากหยุด



ท้อแล้ว ท้ออีก



“เอม...” ร่างสูงที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นซักที “คินขอโทษ”



แต่มันเป็นคำพูดที่เขาไม่อยากจะฟัง



สุดท้ายแล้ว คำตอบของอีกฝ่ายก็เป็นเพียงคำขอโทษที่กำลังจะบอกว่าเขาเป็นฝ่ายคิดไปเองคนเดียวทั้งหมดใช่ไหม   



ทั้งบ้า...ทั้งกระวนกระวาย...ทั้งคิดมาก...ทั้งหัวเราะ...ทั้งยิ้ม...ทั้งร้องไห้...

           





ทั้งรักอีกฝ่าย...อยู่เพียงข้างเดียว

           

 

************************Whose fault? ************************






จูบครั้งแรกของชะเอมกระต่ายจอมซื่อทำให้คินกลายร่างเป็นหมาป่าจอมหื่นและเจ้าเล่ห์

อย่างที่ใครหลายคนคิด มันมาดีแค่ตอนเดียว ตอนถัดไปดราม่าอีกแล้ว เห้อๆ

หนูเอมน่าสงสารสุด นังคินกลับไปเคลียร์กับเรย์เดี๋ยวนี้เลยนะยะไม่งั้นคนอ่านจะเทแกแล้ว!

(แต่หนูเอมไม่เทหรอก แฮ่ๆ)





ติดตามตอนต่อไป!

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 22 update วันที่ 09/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 09-12-2018 12:58:21
รอตอนต่อไป. ชอบมาก,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 22 update วันที่ 09/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 09-12-2018 13:41:30
ต้องใส่ใจความรู้สึกเอมด้วยนะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 22 update วันที่ 09/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-12-2018 14:30:56
 :z6: มันมีอะไรที่มากกว่ากระทืบไหมคะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 22 update วันที่ 09/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: salaseen ที่ 10-12-2018 18:52:31
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
อ่านรวดเดียว22ตอน ร้องไห้ไปแล้ว21ตอนครึ่ง
ฮือออออออ น้องเอมลูกกกกกกกกก สงสารน้องมากๆๆๆจนอยากเข้าไปดึงน้องออกมาโอ๋ ฮือ อิเรย์มุงงงงงงงงงงอยากเข้าไปกระชากหัวมัน นังตัวดี!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 22 update วันที่ 09/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 12-12-2018 10:54:40
จูบดูดดื่มเชียว ชอบๆ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 22 update วันที่ 09/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 12-12-2018 18:51:44
สุดท้ายเอมก็ยังต้องเสียใจอยู่ดี

คินเมื่อไหร่จะชัดเจนกว่านี้
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งแรก update วันที่ 14/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 14-12-2018 20:48:39


                         Whose Fault ?

                          ผิด...ครั้งที่ 23

​                           ครึ่งแรก



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





หลังจากวันนั้น คินก็ไปรับไปส่งอย่างที่ปากบอกจริงๆ แต่เรื่องที่คุยกันค้างไว้ก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆไปโดยจบบทสนทนาที่คำว่าขอโทษของอีกฝ่าย



แล้วตอนที่เราสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพัง ก็มีเพียงถามคำตอบคำ



อึดอัดมากเลย



ก็มีแค่เขาคนเดียวที่ชอบ อยากให้เห็นความสำคัญ อยากให้มองแต่เขาคนเดียว ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ชอบการบังคับและผูกมัด...เขาก็ดันทุรังดื้อดึงจนอะไรที่กำลังจะดีมันพังเละเทะไปหมด



รู้อย่างนี้ให้มันเป็นแบบนั้นไปก็ดี...เขาไม่น่าถามมันออกมาเลย ถ้ามันทำให้สถานการณ์ระหว่างเรากลายเป็นแบบนี้ เขาน่าจะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปซะก็ดี



...แค่คินใจดีเหมือนเดิมก็ใช่ว่าเขาจะกลับมาหาเรา



เป็นเพราะเราเองที่โลภมากเกินไป...คาดคั้นอีกฝ่ายมากเกินไป



"วันนี้พอแค่นี้ เจอกันครั้งหน้าอย่าลืมเอางานมาส่งไว้ที่โต๊ะด้วยนะนักศึกษา"



"คร้าบ/ค่า"



ชะเอมเงยหน้าขึ้นมอง...อะไรกัน จบแล้วเหรอ



ให้ตายสิ อาจารย์สอนอะไรนะ ไม่เข้าหัวเลย



ร่างบางรวบชีทใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินออกนอกห้องไป...วันนี้เขายังเหลือเรียนคาบบ่ายอีก แล้วเดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปทำงานพิเศษต่อ



ตอนนี้เขาเริ่มมีเงินเก็บบ้างแล้ว แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะส่วนหนึ่งเขาแบ่งเอาไว้ซื้อของขวัญให้สำหรับวันเกิดของคินด้วย...ซึ่งมันใกล้เข้ามาทุกที อีกไม่กี่วัน



"พี่ชะเอมสวัสดีค่ะ"



"ครับ" ร่างบางยิ้มทักทาย ในใจนึกโทษตัวเองอย่างหนักว่าทำไมถึงจำไม่ได้ว่ารุ่นน้องตรงหน้าชื่ออะไร...อีกฝ่ายยังจำเขาได้เลย



"พี่เป็นอะไรรึเปล่าคะ?" คำถามของน้องที่เดินผ่านมาเป็นกลุ่มกล่าวทักทายทำให้ชะเอมชะงัก



"เป็นอะไรเหรอ?"



"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เห็นหน้าพี่ดูเพลียๆ เลยเป็นห่วง"



"จริงเหรอ" มือบางยกขึ้นแตะข้างแก้ม ก่อนจะยิ้มบาง "ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง"



"ไม่เป็นไรค่ะ...กรี๊ด เมื่อกี้เห็นป่ะ พี่ชะเอมโคตรน่ารักอ่า"



ประโยคหลังที่พึมพำก็เหมือนหันไปพูดกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองทำให้ร่างบางทำเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ขาเรียวตวัดหันหลังเดินไปไม่ได้พูดอะไร



วันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันๆ เดียวกับที่เขาขอให้คินมาทานข้าวด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็มาตามเวลาแต่ก็กลับไปหลังจากกินเสร็จทันที ไม่มีการพูดคุยที่มากไปกว่านี้



หรือว่านี่มันคือสัญญาณของอะไรบางอย่างใช่ไหม



‘เอม คินขอโทษ’



คำขอโทษที่คินพูดออกมามันหมายความว่ายังไงเหรอ...ช่วยบอกเอมที



ที่คินทำให้เอมทั้งหมดคือแค่ความรู้สึกผิดรึเปล่า ที่ไปรับไปส่ง คุยกันเหมือนเดิม ไม่ใช่ความรู้สึกดีๆ ไม่ใช่ความรู้สึกชอบ ทั้งหมดคือแค่ความรู้สึกผิด



'อย่าเข้าใจผิดสิ เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน'



ทั้งหมดคือเขาคิดไปเอง...ใช่รึเปล่าครับ



"อึก..." พอคิดมากทีไร มันก็แปลบปลาบจุกที่อกทุกที ช่วงนี้มันเริ่มถี่มากขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ค่ายในกระท่อมร้างแห่งนั้น



"เอม...เอม!" เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นใกล้ๆ แต่ในหูมันอื้ออึง ไม่รู้ว่าเป็นใคร กว่าจะปรับโฟกัสภาพได้ก็พักใหญ่ ร่างบางถูกพยุงด้วยร่างสูงของดินให้ค่อยๆ เดินมานั่งม้าหินใกล้ๆ วันนี้รามกับสินก็อยู่ด้วยพร้อมหน้า



ดวงตาคมกริบของดินเต็มไปด้วยความเป็นห่วง "เป็นอะไรวะ โรคประจำตัวกำเริบอีกแล้วเหรอ"



ร่างบางส่ายหน้าช้าๆ เพื่อคลายความกังวลให้เพื่อนทั้งสาม "ไม่เป็นไร ก็ปกติน่ะ"



"ไม่ปกติแล้วเอม นายหน้าซีดมากนะ ช่วงนี้เครียดอะไรหรือเปล่า แล้วยาล่ะ?" สินถามขมวดคิ้ว ชะเอมยังนั่งขดตัวห่อไหล่ แสดงว่ายังรู้สึกเจ็บในอกอยู่จนไม่สามารถยืดตัวได้



"เครียดเรื่องเรียนน่ะ" ริมฝีปากยิ้มบาง "ยาก็...กินทุกวันปกติ"



"เอามาไหม"



ใบหน้ามนพยักเชื่องช้า มือบางค่อยๆ ควานหาในกระเป๋าแต่ไม่เจอซักที สินกับรามก็เลยช่วยกันค้นแทน โดยมีดินคอยนั่งอยู่ข้างๆ ใช้มือพัดเรียกลมให้



"กูว่ามึงโหมงานพิเศษหนักไปหน่อยมั้ง ดูสิ ใต้ตาคล้ำเชียว"



สินกับรามเงยหน้าจากกระเป๋า "ไม่มีนะเอม"



"เหรอ...ไม่เป็นไร นั่งพักหนึ่งเดี๋ยวมันก็หาย" ชะเอมผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อคลายอาการเจ็บ โดยเพื่อนๆ มองกิริยานั้นด้วยความกังวล



"แล้วคินล่ะ?" รามถามแทรกขึ้น สายตามองค้นหาดวงตากลมจึงรีบหลบ



"ไม่รู้สิ..."



ถึงจะเจอคินทุกวันแค่หลังเลิกงานเพราะอีกฝ่ายไปส่งที่คอนโด แต่เวลาแบบนี้เขาไม่รู้หรอกว่าคินทำอะไร อยู่ที่ไหน...บางทีอาจจะเรียนอยู่ล่ะมั้ง หรืออาจจะอยู่กับเรย์ก็ได้



"อะไรกัน วันนั้นเห็นอยู่ด้วยกันก็นึกว่าคุยดีๆ กันแล้วซะอีก"



“มันก็...”



"อย่าบอกนะที่วันนั้นมึงอารมณ์ดีก็เพราะเรื่องของไอ้คินด้วย" เสียงทุ้มดังจากร่างสูงผิดคล้ำ เจ้าตัวหน้าขมึง "กูว่าแล้วไอ้เวรนี่มันไม่เคยสนใจเอมจริงๆ จังๆ หรอก ดูสิ เวลามึงเป็นอะไรแบบนี้ขึ้นมาแม่งหายหัวตลอด"



"ไม่ใช่นะดิน...ไม่ใช่คินหรอก..." ร่างบางได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็ค้านเสียงสั่น “อย่าโทษคินเลย นั่นน่ะเป็นเพราะเอมเอง”



เรื่องของความรัก...มันไม่ได้ผิดที่ใครทั้งนั้น...ถ้าจะผิดก็ต้องผิดที่ตัวเขาเอง...ผิดที่รักมากไป...ผิดที่ตั้งความหวังสูงเกินไป...ผิดที่คิดไปเอง



กรี๊ด



เสียงฮือฮาที่เรียกสายตารอบข้างหันไปมอง ในใจคิดว่าคนดังที่ไหนมาอีกแล้วเนี่ย เพราะคณะอักษรศาสตร์ไม่ค่อยมีคนดังๆ พอเห็นของแรร์ปรากฏตัวขึ้นก็ต้องวี้ดว้ายกระตู้วู้เป็นธรรมดา



"กรี๊ด! นั่นคินนี่นา"



เฮือก!



ชะเอมสะดุ้งเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ร่างผอมนั่งตัวเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อของใครบางคน



"มากันทั้งกลุ่มเลย นั่นเรย์ใช่ไหม เพิ่งเคยเห็นระยะใกล้แบบนี้ครั้งแรก โคตรของโคตรน่ารักเลยว่ะมึง"



"ช่าย~ ดูสิยิ่งอยู่คู่กับคิน ยิ่งฟินๆ ไปอีก"



"เหมาะสมกันมาก"



"แล้วเขามาทำอะไรกันที่นี่วะ"



"สงสัยอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาหาข้าวกินที่คณะเรามั้ง"



“เปลี่ยนบรรยากาศได้ไกลมาก อักษรกะวิดวะคนละฝั่งเลย”



“คินดีกรีหล่อ รวย อยู่แล้ว มีรถก็ขับมา มึงจะเดือดร้อนทำไม”



“ก็ไม่ทำไม หมั่นไส้เฉยๆ”



ชะเอมได้ยินเสียงพูดคุยกันก็หน้าซีดเซียวหนัก หัวใจเต้นดังตึกตักอยู่ภายในจนน่าอึดอัด



"เอม..."



"เรา...เราขอตัวก่อนนะ" ร่างบางรีบผุดลุกขึ้นเดินก้มหน้างุด ไม่พร้อมจะเห็นอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีทั้งนั้น มือบางกำสายกระเป๋าแน่น



ไม่อยากตอกย้ำสิ่งที่คิด...



การจะเดินออกไปได้ ต้องผ่านส่วนของโรงอาหารก่อนซึ่งถ้าเป็นตอนนี้ก็อาจจะไม่เจอ...ขอให้ไม่เจอทีเถอะ



พลั่ก!



"โอ๊ะ!" ร่างผอมบางแทบกระเด็น เมื่อปะทะกับใครบางคนเพราะสายตามัวแต่มองพื้น



"ชะเอมนี่นา~" เสียงระรื่นของใครบางคนดังขึ้น นี่มันร่างโปร่งผู้อารมณ์ดี เพื่อนของคิน



ชะเอมหน้าซีด นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว



"เอม..." เสียงทุ้มของคินดังขึ้นให้ชะเอมหันไปมอง



"คิน..."



"อ้าว บังเอิญจังเลย ชะเอม หวัดดี" เสียงเล็กทักทายพร้อมกับร่างเล็กๆ ก้าวเข้ามาในสายตา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหน



เรย์ยืนยิ้มตาหยีอยู่ข้างร่างสูง ซึ่งตอนนี้คินถือถาดที่มีข้างสองจานวางอยู่ และเรย์ก็ถือแก้วน้ำสองแก้วบรรจุน้ำสีสันเอาไว้



'เหมาะสมกันมาก'



ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ประโยคนั้นก็แล่นเข้ามาในหัว



ดวงตากลมโตสั่นไหวมองทั้งสองคน สบสายตาคมอย่างตัดพ้อ...และเสียใจ



'เพราะงั้นคินช่วยบอกเอมหน่อยได้ไหม ว่าคินชอบกันบ้างรึเปล่า'



คำถามโง่ๆ ...โง่จริงๆ



'เอม...คินขอโทษ'



"เอม!!"



อยากจะวิ่ง...วิ่งไปให้ไกล วิ่งหนีไป...เพราะไม่อยากเห็น...ไม่อยากจะเห็นอะไรทั้งนั้น



นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่อีกฝ่ายบอก ความจริงของคำขอโทษ



ในเมื่อคินไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย...



'กลับคนเดียว? ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้นี่นะ?'



'สรุปว่า คินมารับนะ ห้ามปฏิเสธ'



แล้วจะมาห่วงกันทำไม



'เคยจูบหรือเปล่า'



สัมผัสทั้งเร่าร้อนและรุนแรงยังตราตรึง



มาจูบเอมทำไม





"แฮ่ก...แฮ่ก..."



แปะ แปะ



"ฮึก ฮึก"



ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน ขอแค่ที่ๆ ไม่มีใครจะได้เห็น ขอแค่ที่ๆ จะได้อยู่คนเดียว...เพื่อให้ได้คิด



มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาก่อนเลื่อนมาขยุ้มเสื้อตรงอกอย่างเคยชิน



ตึกตัก ตึกตัก



อา อย่าเต้นดังนักสิ...หัวใจของเรา...



"อึก..." มันเจ็บ



ร่างกายของเราจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน



ชะเอมควานหาสิ่งที่จะสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้ได้ในกระเป๋าสะพายของตัวเอง



ไม่เจอ...



นั่นสิ เราลืมเอามานี่นา วางไว้ไหนนะ...บนโต๊ะในห้องนอนรึเปล่า หรือว่าในลิ้นชักหัวเตียง



ดวงตากลมโตเชื่อมน้ำตาสะท้อนความเจ็บปวดลึก...และความว่างเปล่า



ความคิดที่อยากจะมีชีวิตอยู่ช่างเลือนลาง



ไม่ว่าจะยังไงก็ช่างมันเถอะ



รอพักใหญ่ที่ทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ คิดว่าน่าจะเป็นดาดฟ้าของตึกซักตึก ถึงเป็นแบบนั้นแต่กลับดูร่มเย็น มีตะแกรงกั้นกันคนเผลอเดินตกลงไป ขาเรียวเดินไปชิดตะแกรงเหล็ก ใบหน้ามนเหม่อมองไปไกล



“...พยายามทำใจ...ท่องเอาไว้เลย...” ไม่รู้ทำไม ในใจนึกถึงแต่เพลงๆ นี้ “...เธอไม่รัก...เธอไม่รัก...”



ชะเอมได้ยินเพลงนี้จากร้านๆ หนึ่งในห้างฯ ที่เดียวกับที่เขาทำงาน เป็นเพลงที่ต้องหยุดตั้งใจฟัง...เพราะเนื้อหามันเหมือนชีวิตของเขาในตอนนี้เลย



“บอกกับฉัน...ว่าเธอไม่รักก็จบ...เธอไม่อยากจะพบจะผูกจะพัน...ไม่ต้องสงสาร...ฮึก แค่นั้นฉันก็เข้าใจ...” ชะเอมเสียงสั่นเครือจนแทบขาดหาย มือบางกำตะแกรงเหล็กแน่นให้มันเจ็บ เพื่อกลบความเจ็บปวดในใจ ทิวทัศน์เบื้องหน้าพร่ามัว หยาดน้ำตาไหลผ่าน



แทนที่คินจะพูดว่าขอโทษ ทำไมถึงไม่พูดไปเลยว่าไม่ได้รู้สึกดี...ทั้งหมดที่ทำไปเพราะความรู้สึกผิด...รู้สึกผิดที่เคยพูดแรงๆ กับเขา



ยังไงเขาก็ไม่เคยโกรธอยู่แล้ว...พออีกฝ่ายทำเหมือนใส่ใจเขามากเท่าไหร่...มันยิ่งทำให้เขา...



“ยิ่งรักเท่าไหร่...ยิ่งเจ็บ”



           



เขายังไม่เคยลืมว่าความปรารถนาอันดับแรกคือการทำให้คินตาสว่างเรื่องของเรย์ให้ได้ไม่ว่าต้องทำยังไง



อันดับสอง ถ้าสุดท้ายคินกับเขากลับมาลงเอยด้วยกันได้ก็คงดี เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ยังรักคินอยู่เสมอ



แต่ตอนนี้เรื่องของเขาจะเป็นยังไงก็ช่างมันแล้ว...ถ้าหากคินหลุดพ้นจากคนน่ารังเกียจอย่างนั้นได้เมื่อไหร่...







หน้าที่ของเขาก็คงจะจบลง







************************Whose fault? ************************







ชะเอมก็ยังคงเรียนสลับทำงานไปเรื่อยๆ ขากลับก็กลับเอง ไม่ใช่ว่าคินไม่มารับหรืออะไรหรอก...เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายหลบหน้าร่างสูงอยู่ ก็มันไม่อยากเจอ ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้จะคุยอะไร



อาจเป็นเพราะสถานะระหว่างเรามันคลุมเครืออยู่ตั้งแต่แรกแล้ว



จนตอนแรกที่คินเห็นว่าเขาหนีกลับคนเดียวโดยไม่รอให้ไปรับ ก็โทรมาทุกวันแต่เขาก็ไม่ได้รับสาย...ช่วงหลังๆ นี้ก็ไม่มีแล้ว



นอกจากนี้ก็กำลังคิดว่าจะทำยังไงให้คินเชื่อเขาเรื่องที่เรย์เป็นคนไม่ดี แทนที่จะเสี่ยงเอาหัวใจของตัวเองเข้าไปแลกความรู้สึกที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากความเจ็บปวดทุรนทุราย...เพราะฝ่ายที่มีแต่เสียกับเสียคือเขาคนเดียว



ครืด ครืด





ภาคิน : เอม 21.33pm Read

ภาคิน : กลับหรือยัง 21.33pm Read

ร่างบางกำลังเดินอยู่ริมถนนมืดมิด วังเวง มีแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวคือจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

ภาคิน : ตอนนี้อยู่ไหน 21.34pm Read

chÄim : เอมกลับแล้วครับ 21.34pm Read

chÄim : คินมีอะไรหรือเปล่า 21.34pm Read

chÄim : ถ้าจะมารับไม่ต้องมาแล้วนะ เอมใกล้ถึงแล้ว 21.34pm Read

ภาคิน : เรื่องไปเที่ยวน่ะ 21.36pm Read





ชะเอมยิ้มบาง คินยังจำได้





chÄim : อื้ม วันอาทิตย์นี้ดีไหม 21.37pm Read





ร่างบางเสนอ โชคดีที่อาทิตย์นี้เป็นวันเกิดของร่างสูง เขาจะได้ไปเที่ยวและอยู่ด้วยกันในวันสำคัญของคนสำคัญ





ภาคิน : เปล่า ขอโทษที อาทิตย์นี้ไม่ได้น่ะ 21.46 Read





ดวงตากลมอ่านข้อความนิ่งงัน



อ่า...ให้ตายเถอะ ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน



เจ็บ...ชะมัด



"ฮึก...ฮึก!" ร่างบางหยุดเดิน ปิดปากแน่นเพื่อกลั้นสะอื้น "อึก!"



น้ำตา...มาจากไหนก็ไม่รู้ ทำให้ทางข้างหน้าพร่ามัว



การคาดหวังและผิดหวัง รู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แต่ก็ยังประสบกับมันซ้ำๆ เหมือนราดเกลือลงแผลสดให้มันเหวอะหวะมากขึ้น



เจ็บแสบ



ทรมาน



ทางเดินข้างทางริมถนนที่คนเดินผ่านน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบัง ยังไงก็ไม่มีใครได้ยินอยู่แล้ว ชะเอมทรุดตัวลงแถวๆ นั้น ไม่สนใจแล้วว่าตนอยู่ที่ไหน จะมืดค่ำหรืออันตรายอย่างไร นานจนมือถือมีข้อความเข้าอีกครั้ง





ภาคิน : เอม 21.55pm Read

chÄim : ครับ ไม่เป็นไรคิน ถ้าว่างตอนไหนคินค่อยบอกเอมก็แล้วกันนะ 21.57pm Read

chÄim : แล้ววันนั้นจะมากินข้าวเย็นมั้ย 21.58pm Read





ไม่เป็นไร ถึงไม่ได้ไปเที่ยว แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้กินข้าวด้วยกัน เขาจะถือว่าเลี้ยงวันเกิดด้วยอาหารมื้อเย็นอร่อยๆ แล้วก็เค้ก...





ภาคิน : โทษที นั่นก็ไม่ได้น่ะ อาทิตย์นี้ไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะ 22.00pm Read





อืม...



รู้สึกดีเหมือนกันที่คุยผ่านข้อความ จะได้ไม่เห็นว่าเขาร้องไห้อย่างน่าสมเพชแค่ไหนในเวลานี้ กับแค่เรื่องเล็กน้อยนิดเดียว





chÄim : ครับ 22.05pm Read





เขาตอบแค่นั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าจะพิมพ์อะไรเพิ่มเติมอีก



วันเกิดของร่างสูง เขาอาจจะไปฉลองกับแฟนก็ได้นี่นะ



ทำไมเขาถึงได้คิดน้อยอย่างนี้



โง่จริงๆ เลยชะเอม



ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร



           





ช่างมันเถอะ







************************Whose fault? ************************



**เพลง ยิ่งรักยิ่งเจ็บ (Ost. อุบัติรักข้ามขอบฟ้า) โดย กอล์ฟ ไมค์



เป็นไงบ้าง ดราม่าพอมั้ย ทิชชู่พอรึเปล่า หรือนักอ่านอาจจะต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าแทน?

ส่วนเพลงที่ว่าใครไม่เคยฟังรุยแนะนำลองไปฟังนะคะ

ชอบละครเรื่องนี้  ฟังเพลงแล้วน้ำตาไหล...ชอบมาก

ถ้ายังร้องไม่พอก็ติดตามดราม่าครึ่งหลังได้ในวันพรุ่งนี้ (สงสารเอมมากมาย)

อย่าลืมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งแรก update วันที่ 14/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 15-12-2018 01:10:40
สงสารมาก,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งแรก update วันที่ 14/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 15-12-2018 09:27:09
เจ็บๆจุกๆ แต่คงไม่ใช่เรย์หรอกมั้งวันเกิด
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 15-12-2018 16:31:00


                               Whose Fault ?
 
                                ผิด...ครั้งที่ 23

                                    ​ครึ่งหลัง



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ก่อนหน้านี้กับตอนนี้



ถ้าให้เลือกว่าสถานะระหว่างเขากับคินก่อนหน้านี้กับตอนนี้...ถ้าเลือกได้จะให้มันเป็นแบบไหนดี



ก่อนหน้านี้ คินไม่คุยด้วยเลย แถมยังพูดเสียงแข็งใส่



แต่ตอนนี้ ถึงจะคุยกันดีๆ แล้วก็จริง แต่หัวใจกลับรู้สึกห่างเหินยิ่งกว่า



วันนี้วันอาทิตย์แล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็ว นับจากวันนั้นที่นั่งอยู่ริมถนนมืดๆ อยู่นานสองนานกว่าจะทำใจได้ เดินกลับถึงห้องได้ก็เกือบห้าทุ่ม



ลุงธรรมตกอกตกใจและเป็นห่วงยกใหญ่เพราะปกติเขาต้องเข้าคอนโดประมาณสี่ทุ่ม และต้องเจอหน้า กล่าวทักทายราตรีสวัสดิ์เขาทุกวัน



แถมยังกลับมาด้วยสีหน้าอิดโรยตาบวมอีก ลุงธรรมจะเป็นห่วงก็ไม่แปลกเลย



หลังจากพบอาหมอแล้วเขาก็ไม่มีอะไรทำ



โดนอาหมอว่าอีกตามเคย เพราะน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้นแล้วพอเล่าเรื่องเจ็บหน้าอกบ่อยขึ้น ก็โดนขู่ว่าจะฟ้องคุณลุงเรื่องนี้...ถ้าเล่าเรื่องคินด้วยคงโดนหนักกว่านี้แน่นอนเลย



ร่างบางเดินออกจากโรงพยาบาลก็เดินเล่นอยู่ริมถนนร้อนๆ...เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย



ยังไงวันนี้เขาก็ว่างทั้งวัน



พูดถึงคุณลุง จู่ๆ ก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมา...อยากคุย...อยากได้ยินเสียง



มือบางล้วงมือถือขึ้นมา กดโทรออก



ตรู๊ด...ตรู๊ด...



"สวัสดีครับ...เอ่อ..."



("ครับ จากใครครับ") เสียงที่ดังจากอีกฝั่งน่าจะเป็นเลขาของคุณลุงตามที่คุณลุงเคยบอกไว้ล่ะมั้ง



"คือว่าผม..."



("ท่านประธานกำลังประชุมอยู่ครับ ถ้ามีธุระแจ้งชื่อไว้ เดี๋ยวผมจะแจ้งท่านประธานให้โทรกลับครับ")



"อะ ครับ ขอโทษที่รบกวนครับ งั้น...ช่วยบอกว่าเอมภัทรโทรมานะครับ"



("คุณเอมภัทร...คุณชะเอมหรือครับ")



"ชะ ใช่ครับ"



("ท่านประธาน คุณชะเอมโทรมาครับ")



"อะ เอ๊ะ?" เสียงใสกำลังจะบอกห้ามว่าไม่เป็นไร รอให้คุณลุงประชุมเสร็จแล้วค่อยโทรกลับก็ได้ แต่ว่าในสายมีเสียงดังกุกกัก



จากนั้น...



("อะแฮ่ม! ชะเอม ลุงรอตั้งนาน ผ่านมาหลายวันหนูเพิ่งคิดถึงลุงเหรอ") น้ำเสียงทุ้มระรื่นมาตามสายทำให้คิ้วบางขมวดเป็นปม



"คุณลุง...ไหนเลขาของคุณลุงบอกว่าประชุมอยู่ไงครับ?"



("เอ่อ ก็เปล่า...จริงๆ ลุงไม่ได้ประชุมหรอก")



"แล้วทำไมต้องโกหกด้วยล่ะครับ"



("อ้า ก็แบบว่าชอบมีคนแปลกๆ โทรมาหาลุงเลยให้นายเสกรับแล้วบอกกันไว้ก่อนน่ะ...ว่าแต่ทำไมนายถึงไม่ถามก่อนว่าใครโทรมาฮะเสก!? ดูสิ ชะเอมรู้หมดเลย")



เสกที่ว่าคือชื่อของคุณเลขาสินะ



"คุณลุงไม่ต้องไปโทษคนอื่นเลยครับ" ชะเอมถอนหายใจเอือมๆ



("...ขอโทษครับ") เกษมศักดิ์แพ้เด็กคนนี้อีกจนได้ ร่างบางได้ยินคนแก่ทำเสียงหงอยก็หัวเราะออกมาได้



"ตกลงคุณลุงยุ่งอยู่รึเปล่าครับเนี่ย"



("เปล่าเลย ลุงว่างมาก")



"ทำไมเสียงสูงจังครับ"



("ท่านประธานงานตรงนี้ยังเคลียร์ไม่เสร็จเลยครับ...เฮ้ย! อย่าพูดสิ ไม่ใช่นะๆๆ ชะเอม ถ้าสำหรับหนูล่ะก็ลุงว่างคุยเสมอเลยนะ")



"สรุปว่าคุณลุงยุ่งอยู่ งั้นเอมว่างนะครับ" ชะเอมพูดยิ้มๆ แม้จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น



("...ลุงน้อยใจแล้วจริงๆ ด้วยนะ") ...นั่นไง



"เอาไว้เดี๋ยวเอมโทรหาอีกก็ได้ครับ เอมไม่อยากกวนคุณลุง ยังไงคุณลุงรีบเคลียร์งานแล้วจะได้คุยกับเอมไงครับ ดีมั้ย") เสียงใสพูดอ่อนใจ จริงๆ เขาก็อยากคุยไม่งั้นคงไม่โทรมาเองหรอก แต่อีกฝ่ายยุ่งอยู่นี่นา ทำไงได้ล่ะ



แล้วตกลงว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่น่ะ



("ก็ได้ แต่เดี๋ยวงานลุงเสร็จลุงโทรหาหนูเอง") เกษมศักดิ์รีบพูด เดี๋ยวไม่ทันใจคนแก่ ("งั้นลุงวางละ จะไปเคลียร์งาน")



ชะเอมหลุดหัวเราะ "ครับ สวัสดีครับคุณลุง"



ร่างบางยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง ยกมือขึ้นบังแดดจ้าแสนแสบตา "...ไปไหนดีนะ"



บรื้น...



พลันสายตาเหลือบเห็นรถเมล์คันที่ไปห้างฯ วิ่งผ่านหน้า ก็นึกได้แล้วว่าจะไปไหน



แวะไปดูที่ร้านพี่ฝนหน่อยดีกว่า...เผื่อจะมีอะไรให้ช่วย



กรุ๊งกริ๊งๆ



"ยินดีต้อนรับครับ!"



ร่างบางเปิดประตูเข้าร้านที่สะดุดแถมเตะตาสุดๆ ในห้างสรรพสินค้าที่กะจะแวะมาดูร้านที่ทำงานพิเศษซักหน่อย แต่...



'อ้าว เอม มากินข้าวเหรอ'



'เอ่อ เปล่าครับ ผม...มาดูว่ามีงานอะไรให้ช่วยมั้ย พอดีวันนี้ผมรู้สึกว่างๆ ไม่มีอะไรทำ'



'ไม่ต้องๆ เอมไปพักเลย ไม่ได้บอกเฉยๆ นะ นี่พี่สั่ง'



'แต่ว่าเอมอยากช่วย...'



'งั้นก็ช่วยทำตามที่พี่สั่งก็แล้วกันนะ ไปๆ พี่ยุ่งมาก'



แล้วหญิงสาวก็เดินหันหลังจากไป เขาเห็นแล้วว่ายุ่งมากจริงๆ ขนาดผู้จัดการร้านยังต้องมาเสิร์ฟอาหารลูกค้าเองเลย เขาจึงเดินไปหลังร้านในส่วนห้องครัว



'พี่ฟ้าครับ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย'



'เอม วันนี้หยุดไม่ใช่เหรอ' เชฟหนุ่มกำลังหั่นซูชิเป็นแว่นๆ อยู่ถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องในวันหยุดสุดสัปดาห์



'ครับ...แต่เอมว่างมากเลยจะมาช่วยน่ะครับ'



ฟ้าปฏิเสธทันที 'ไม่ต้องๆ ...เอมนี่แปลกคน มีแต่คนอยากจะพัก นี่เรากลับจะมาทำงาน ไม่มีอะไรทำก็ไปหาหนังสักเรื่องดูไป พี่กำลังยุ่งอยู่'



"อะไรกันน่ะ ทั้งพี่ฟ้า พี่ฝนเลย"



ชะเอมนึกถึงแล้วหน้าบูด อุตส่าห์ตั้งใจจะมาช่วย แต่กลับโดนไล่มาแบบนี้ จึงต้องมาเดินเล่นระหกระเหินเคว้งคว้างอยู่ในห้างฯ ใหญ่ตามลำพัง



สุดท้ายก็เจอร้านขายของกระจุกกระจิกน่ารักที่น่าสนใจสำหรับชะเอมมากที่สุด



ดวงตากลมโตกวาดสายตามองทั่วร้าน ทุกอย่างดูน่ารักไปหมด จนอดไล่ดูสินค้าแต่ละชั้นไม่ได้



พวงกุญแจเหรอ...



"คือว่า...มีพวงกุญแจที่เป็นแบบคู่กันมั้ยครับ" ชะเอมถามพนักงานขายที่ยืนมองอยู่ นิ้วเรียวชี้ไปที่ชั้นแขวนพวงกุญแจเรียงราย



"มีครับ...แต่ว่าจะมีแบบราคาถูกหน่อย ไม่ก็ราคาสูงไปเลยนะครับ คุณลูกค้าต้องการแบบไหนดีครับ" ชายหนุ่มยิ้มสุภาพ ถามคำถามเผื่อให้ลูกค้าเป็นคนตัดสินใจ



"งั้นผมขอดูก่อนได้มั้ยครับ"



"ได้อยู่แล้วครับ งั้นเชิญด้านนี้เลยครับผม" พนักงานผายมือ



ดวงตากลมโตกวาดมองทั่ว ดูเหมือนสินค้าที่พนักงานบอกว่าค่อนข้างราคาสูงนี่...ในตู้กระจกนี้แน่เลยเพราะงานฝีมือช่างละเอียดอ่อนแตกต่างจากสินค้าที่แขวนข้างนอกอยู่ทั่วไปมาก



อ๊ะ...อันนั้น...



"ผมขอดูชิ้นนั้นหน่อยครับ"



"สักครู่นะครับ" พนักงานหยิบกุญแจมาเพื่อไขตู้กระจก แล้วก็หยิบพวงกุญแจอันที่ชะเอมชี้ออกมา



"...น่ารักจัง" เสียงใสอดอุทานไม่ได้ ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายวิบวับ มองพวงกุญแจคู่ที่อันหนึ่งเป็นลูกโลก ส่วนอีกอันเป็นพระจันทร์เต็มดวงที่มีรอยผิดขรุขระเป็นรูปกระต่ายตัวเล็ก ทั้งสองอันเป็นพวงกุญแจแบบสามมิติแถมยังสลักลายลงสีได้อย่างเหมือนของจริงย่อส่วนมาก



"คุณลูกค้าตาถึงมากเลยนะครับ"



"...ครับ ผมชอบมากเลย" มือบางลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา พวงกุญแจลูกโลกนี้ให้คินเป็นของขวัญวันเกิดดีกว่า ส่วนพระจันทร์นี่ก็ของเรา...



"เท่าไหร่เหรอครับ"



"สามพันครับ"



ชะเอมเบิกตากับราคาของมัน "ทำไมแพงจังล่ะครับ"



"ผมคิดว่าราคาเหมาะสมกับสินค้ามากกว่านะครับ พวงกุญแจนี่ทำจากเงินแท้และทนทานมาก สีที่ลงก็กันน้ำ กันลอก เปียกฝนก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเปรอะเลย แถมการสลักลายก็ละเอียดมากเหมือนจริงเลย คุณลูกค้าก็สังเกตได้ใช่มั้ยล่ะครับ"



ฟังคำอธิบายแล้ว ร่างบางก็เบนสายตามามองของในมืออีกครั้ง



มันก็จริงอย่างที่ว่าอยู่หรอก...



แต่เงินที่เรามีมันไม่พอน่ะสิ อุตส่าห์ทำงานพิเศษมา แต่เงินเก็บของเรามันยังไม่พอซื้อของชิ้นนี้...



อยากให้นี่เป็นของขวัญวันเกิดคิน



อย่างน้อย...



"ขายแยกมั้ยครับ"



"คุณลูกค้าครับ นี่มันพวงกุญแจคู่นะครับ" พนักงานชายทำสีหน้าลำบากใจ



"ผมชอบมากเลยครับ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ...ถ้าคุณพนักงานขายแยกชิ้นหนึ่งก่อน แล้วอีกชิ้นผมมาซื้ออีกทีคราวหลังได้มั้ย"



"เอ่อ..."



"ได้มั้ยครับ"



"...เฮ้อ ก็ได้ครับ" อะไรของลูกค้าคนนี้นะ ทำสีหน้าอ้อนวอนแบบนั้น มันก็แย่น่ะสิ "ยังไงมันก็เป็นพวงกุญแจที่อยู่คู่กัน ดังนั้นอีกชิ้นผมเก็บไว้ให้ก่อนก็ได้ แต่คุณลูกค้าจะกลับมาซื้อจริงๆ นะครับ"



"แน่นอนครับ ผมจะให้เบอร์ของผมไว้ เผื่อคุณจะได้โทรมาตาม" ชะเอมยิ้มดีใจ ยกพวงกุญแจขึ้นมามองตาประกาย "ขอบคุณมากเลยนะครับ"



"ถ้างั้นก็ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยครับผม"



ร่างบางล้วงกระเป๋าตังหยิบเงินจ่าย "รบกวนใส่กล่องเล็กๆ ให้ด้วยได้มั้ยครับ"



"มีเตรียมให้ครับ แค่ผมคิดเพิ่มห้าสิบบาท"



"ตามนั้นเลยครับ ห่อกระดาษสีเรียบๆ นะครับ"



"เป็นของขวัญให้แฟนเหรอครับ" พนักงานชายถามยิ้ม แต่มือไม่หยุดทำงาน



ชะเอมฟังแล้วก็ส่ายหน้า ยิ้มบาง



"...ไม่ใช่หรอกครับ" ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป "...แต่เป็นคนสำคัญ"



"ท่าทางจะชอบเขามากเลยสินะครับ"



ร่างบางได้ยินแบบนั้นก็ชะงัก ชอบมากเหรอ...ถ้าจะอธิบายความรู้สึกของเขาออกมาได้...ก็คงจะเป็นคำๆ นี้แหละ



"ขอบคุณมากเลยนะครับ นี่เบอร์ผม" มือบางรับถุงสินค้ามา และยื่นกระดาษเล็กๆ ที่บรรจุตัวเลขสิบตัวอยู่ให้พนักงาน



"โอเคครับ คุณ..."



"ผมชื่อชะเอม ถ้าวันจันทร์หน้าผมยังไม่มา คุณพนักงานโทรตามผมได้เลย"



"รับทราบครับผม ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะครับ"



ชะเอมหยิบของในถุงขึ้นมาดู กล่องเล็กๆ ขนาดพอดีมือที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงินอย่างปราณีต ผูกโบว์สีแดงเข้ม ดูไม่หวือหวาจนเกินไป จนคนที่ไม่รู้อาจจะเดาไม่ออกว่าของข้างในคืออะไรกันแน่



ของขวัญชิ้นนี้อาจจะไม่ได้แพงมาก แต่มันก็เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาซื้อได้ด้วยเงินที่ตัวเองหามา



ได้แต่หวังว่าคินจะชอบและใช้มันอย่างทนุถนอม



ส่วนพวงกุญแจรูปดวงจันทร์รอก่อนนะ เขาจะต้องกลับมารับมันไปแน่ๆ





chÄim : คิน พรุ่งนี้ตอนเย็นมารับเอมได้ไหม 14.23pm





ร่างบางยืนจ้องโทรศัพท์ในมืออยู่นานสองนาน แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ก็เลยหย่อนมันลงกระเป๋ากางเกงไป



ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ ไม่รู้จะไปไหนแล้ว...กลับห้องดีกว่า



หมับ!



"เฮ้ย!" จู่ๆ ก็มีสัมผัสกอบกุมที่ต้นแขน ด้วยสัญชาตญาณก็สะบัดออกอย่างรวดเร็ว



แต่คนร้ายดันเรียกชื่อเขาอย่างกับคนรู้จัก "พี่ชะเอม"



"อะ...อะไรกัน ติมเองเหรอ พี่ตกใจหมด" พอพบว่าเป็นใคร มือบางยกขึ้นลูบอก สายตาเพิ่งสังเกตว่ารุ่นน้องตัวสูงมีคนพ่วงมาด้วยหนึ่งคน "ราม..."



สองคนนี้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว...?



แววตาของชะเอมคงสื่อด้วยความสงสัยงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ร่างโปร่งก็อึกอักไม่รู้จะตอบยังไง



"ไงเอม" รามเอ่ยทักเพียงเท่านั้น ซึ่งร่างบางก็ยิ้มทักทายตอบ



"ผมกำลังจะไปดูหนัง พี่ชะเอมไปด้วยมั้ยครับ" ติมถามขึ้น



"เอ๋ ดูหนังเหรอ" ดวงตากลมมีประกายสนใจ แต่พอมองหน้าของรามสลับกับติมแล้ว... "แต่ว่าติมมากับรามไม่ใช่เหรอ ทั้งสองคนจะไปดูหนังแล้วมาชวนพี่จะดีเหรอ"



เป็นคำถามง่ายๆ ที่ทำให้รามหน้าแดงเห่อ ยิ่งกับคนผิวขาวเหลืองอย่างร่างโปร่ง แค่นิดเดียวเห็นชัดแล้วแต่ดีที่คนซื่อ (บื้อ) ไม่ทันมอง



"ไม่หรอกครับ ผมแค่บังเอิญเจอเขา แต่ไม่ได้จะไปด้วยกันหรอก"



ทันใดนั้นใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อก็พลันซีดเผือด สายตาตัดพ้อ "แต่ติมบอกว่า..." เสียงทุ้มใสเงียบไปทันทีเมื่อเจอสายตาของไอติม



"เอ๊ะ อะไรกันเหรอ" ร่างบางงุนงง ทำไมทั้งสองคนดูมีอะไรลับลมคมในกันจัง



"ไม่มีอะไรหรอกครับ"



"จริงเหรอราม" ชะเอมหันไปถามเพื่อนแทน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมสบตาด้วย



"อืม ไม่มีอะไร เราขอตัวก่อน" แล้วร่างโปร่งก็เดินหันหลังไป ไม่ฟังคำทักท้วงอะไรจากชะเอมสักนิด



"ราม..."



"อย่าไปสนใจเขาเลยครับ พี่ชะเอมไปดูหนังกับผมกันเถอะ" ไอติมดันไหล่ผอมบางให้ไปด้วยกัน



"แต่ว่ารามน่ะ..." แต่ชะเอมยังเป็นห่วงเพื่อนจนอดเหลียวหลังหันไปมองไม่ได้ แต่ร่างโปร่งก็เดินหายไปแล้ว



เขารู้ดีว่าสายตาของรามเมื่อกี้มันคืออะไร...รู้ดียิ่งกว่าใคร



...เพราะมันคือสายตาของคนที่แอบรักข้างเดียวยังไงล่ะ



"ติม...หืม" พอหันไปก็เห็นไอติมกำลังแชทหาใครบางคน พอพิมพ์เสร็จแล้วก็ยัดมันลงกระเป๋ากางเกงไม่สนใจอีก แล้วหันมายิ้มสุภาพให้



"พี่เอมอยากดูหนังเรื่องอะไรดีครับ"



ชะเอมกระพริบตาปริบ นี่เขาตาฝาดไปรึเปล่าว่าเสี้ยวใบหน้ากับดวงตาคมกริบเมื่อกี้...ช่างเย็นชาและมืดมิด



"เอ่อ...พี่ไม่ค่อยจะสนใจอะไรพวกนี้ ก็เลยไม่รู้เรื่องเท่าไหร่" เสียงใสตอบตะกุกตะกัก "ว่าแต่ราม..."



"งั้นเดี๋ยวผมจะเลือกเองก็แล้วกันนะครับ พี่ชะเอมมีแนวที่ไม่ชอบดูมั้ยครับ"



ชะเอมหันขวับ ไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้อีกฝ่ายตั้งใจพูดแทรกรึเปล่า แต่พอเห็นใบหน้าและรอยยิ้มที่ดูไม่มีอะไรแอบแฝงของรุ่นน้องตัวสูงใหญ่กว่าข้างๆ ตัวแล้ว...น่าจะไม่มีอะไรมั้ง



ทั้งสองยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วหนังแล้ว ชะเอมรู้สึกได้ว่ามีหลายคนจ้องมองมา ก็เข้าใจแหละว่าไอติมก็เป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งเวลาอยู่กับคินก็จะมีอารมณ์ประมาณนี้เหมือนกัน



...โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองก็โดนมองเหมือนกัน โดยเฉพาะสายตาของผู้ชาย



"อืม...พี่ไม่ค่อยชอบหนังผี หรือหนังแนวที่ทำให้ตกใจ หรือว่า...ที่ต้องลุ้นๆ งี้อ่ะ" เสียงใสบอก ตาเริ่มเป็นประกาย พอดูไปดูมา ก็น่าสนใจเหมือนกันแฮะ...โรงหนังเนี่ย ไม่ได้เข้านานแค่ไหนแล้วนะ นานจนจำไม่ได้



"ครับผม งั้นรอตรงนี้นะ ให้ผมเลือกเองก็แล้วกัน โอเคมั้ยครับ"



"อะ อื้ม!"



รอไม่นานอีกฝ่ายก็กลับมา ชูตั๋วหนังสองใบโชว์ "มาแล้วครับผม"



"เท่าไหร่เหรอ" มือบางล้วงหากระเป๋าเงิน



"ไม่ต้องครับผมเลี้ยง"



"เห..." ร่างบางครางเสียงยาว เป็นรุ่นน้องเลี้ยงรุ่นพี่เนี่ยไม่เคยได้ยิน



"น่าๆ ยังไงผมก็ชวนมานี่นา นะครับ"



"...ก็ได้"



"นั่นอะไรน่ะครับ" สายตาคมมองถุงในมือขาวอย่างสงสัย



"อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก"



"เหรอครับ ว่าแต่พี่ชะเอมอยากกินอะไรมั้ย ป๊อบคอร์น? โค้ก?"



ใบหน้าหวานส่ายแรงๆ "ถ้าพี่บอกว่ากินเดี๋ยวติมก็เลี้ยงอีกน่ะสิ ไม่เอาดีกว่า"



"ออกคนละครึ่งก็ได้ครับ"



"ไม่ๆ พี่ไม่อยากกินหรอก" ชะเอมยกมือห้ามเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายจะเอาจริงๆ



"เอางั้นก็ได้ครับ ผมก็กลัวกินแล้วจะไม่หิวข้าวเย็น"



ร่างบางพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนยื่นหน้าไปดูตั๋วในมือใหญ่



"ว่าแต่ติมซื้อตั๋วเรื่องอะไรมาน่ะ"



"เรื่อง...ครับ"



"ไม่เห็นรู้จักเลย"



"รับรองความสนุกครับ"



"จริงน่ะ?"



"ถ้าจริงจะให้อะไรผมล่ะครับ"



ชะเอมตาโต ขอแบบนี้ก็ได้เหรอ "แล้วติมอยากได้อะไรล่ะ"



"หลังจากดูเสร็จแล้ว ถ้าพี่ชะเอมสนุก ตอนนั้นผมค่อยขอก็แล้วกันครับ"







"สนุกมากๆ เลย!"



"หึหึ ชอบมั้ยครับ"



"ชอบสิ ไม่ได้ดูหนังมาตั้งนานแล้ว เรื่องนี้ดีนะ ติมมีฝีมือในการเลือกเหมือนกันนี่นา" ชะเอมเอ่ยชมแววตาวิบวับ หนังเรื่องที่ไอติมเป็นคนเลือกเป็นหนังการ์ตูนของอเมริกา ดูแล้วทั้งสนุก น่ารัก ตลก เฮฮา คือสรุปว่าเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี...ประมาณนั้นเลย



ร่างสูงอมยิ้มขำมองร่างผอมบางที่ร่าเริงเหมือนเด็ก



"งั้นเอาไว้คราวหน้า พี่ชะเอมเป็นคนเลือกบ้างก็แล้วกันนะครับ"



"เอ๋ จะดีเหรอ" เสียงใสถามตาโต เขาเลือกหนังไม่เป็นหรอก



ร่างสูงเดินลิ่วนำไป หัวเราะขบขันอย่างหยุดไม่อยู่ ไม่ให้รุ่นพี่ตัวเล็กน่ารักรู้ตัวว่าเจ้าตัวตอบตกลงแล้วว่า'คราวหน้า' จะมาดูหนังด้วยกันอีก



น่ารัก...น่ารักจริงๆ



ไลน์!



เสียงข้อความดังขึ้น มุมริมฝีปากหยัดยิ้มไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา



แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาวูบหนึ่ง ถึงจะรู้แต่ก็ยังคงปล่อยมือถือของตัวเองให้นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าแบบนั้นไม่คิดจะหยิบขึ้นมาดู



"พี่ชะเอม จะไปไหนต่อมั้ยครับ" ไอติมตวัดร่างกายหันกลับไปมอง "ถ้ายังไงผมจะขอตัวกลับก่อน"



"อะ เอ้อ ไปเถอะ พี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน"



"ให้ผมไปส่งมั้ย"



ร่างบางรีบโบกมือ "ไม่เป็นไรๆ"



ฟอด...



จู่ๆ ร่างสูงก็ก้มลงใช้จมูกกดลงบนแก้มขาวใสสูดดมความหอมจากกลิ่นเด็กๆ ของร่างผอมบาง



ชะเอมนิ่งอึ้ง ทันใดนั้นเมื่อรู้สึกตัวได้ก็จับแก้มของตัวเองที่แดงเถือก "ตะ ติม! ทำอะไรน่ะ!!"



"อ้าว ไม่รู้เหรอครับว่าเรียกว่าอะไร" ติมหัวเราะเสียงทุ้ม มองดูกิริยาเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่ตอนนี้กลายร่างเป็นมะเขือเทศช่างน่ารัก...ใสซื่อและบริสุทธิ์



"ระ รู้สิ! แต่หมายถึง..." ชะเอมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนเห่อจนไม่กล้ามองหน้ารุ่นน้อง ไม่คิดว่าจะโดนทำอะไรแบบนี้



"ก็ไหนบอกว่าดูหนังสนุกแล้วจะให้ผมขออะไรก็ได้ไงครับ"



"กะ...ก็พี่นึกว่าเราจะขอของที่ใช้เงินซื้อ ไม่ใช่แบบนี้นี่!"



"เอาน่า พี่ชะเอม อย่างนี้ก็ไม่ต้องเสียเงินเลยเห็นมั้ยครับ ง่ายๆ แปปเดียว"



"ซะที่ไหน!" ชะเอมแหว



"งั้นผมกลับล่ะครับ"



ดวงตากลมโตมองแผ่นหลังกว้างของรุ่นน้องเดินลับไปด้วยความงงเล็กน้อย มาเร็วไปเร็วนะเนี่ย



และไอติมก็ทิ้งความหายนะไว้ให้ร่างบางโดยไม่รู้ตัว



ขวับ!



"อ๊ะ..." ต้นแขนบางถูกกระชากอย่างแรง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อคนที่จับแขนเขาแน่นคือ... "คิน!"



"มากับใคร"



"...คิน เจ็บ" ชะเอมคราง มือบางพยายามแกะมือที่เปรียบเสมือนดั่งคีมเหล็กที่บีบแน่นจนเจ็บร้าว



มือใหญ่ผ่อนแรงเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ แถมลากให้เดินผ่านเข้าประตูบันไดหนีไฟเพื่อที่ต้องการคุยในที่ๆ ไม่มีคนเดินผ่านพลุกพล่าน "คินถามว่ามากับใคร"



"ใคร...คินพูดถึงใครครับ เอมมาคนเดียว"



ทันทีที่ได้ยินร่างบางพูด ร่างสูงก็ทำหน้าทมึงถึง "อย่าโกหก! เมื่อกี้คินเห็น บอกมาว่านั่นใคร"



เมื่อกี้...



"นั่นมันรุ่นน้องที่มหาลัย เอมรู้จักเขาที่ค่ายครับ"



"แล้วทำไมถึงอยู่กับมัน ไหนบอกว่ามาคนเดียว"



"เอมมาคนเดียวจริงๆ ...กับไอติมเอมเจอน้องโดยบังเอิญแล้วน้องก็แค่ชวนไปดูหนัง เพิ่งจะดูเสร็จแล้วแยกกันกลับ" ร่างบางอธิบายหมดไม่มีปิดบัง เพื่อให้อีกฝ่ายท่าทางโกรธจัดซึ่งไม่รู้ว่าโมโหเรื่องอะไรสบายใจ



"แล้วไปกับมันทำไม...ใครจะชวนไปไหนก็ไปหมด แล้วยังยืนนิ่งปล่อยให้มันหอมแก้มอีก! ไม่รู้หรือไงว่ามันคิดอะไรกับเอม"



"เอมไม่รู้" ดวงตากลมน้ำตารื้น "ฮึก...แต่ว่าน้องเป็นน้อง" และไหลลงมาผ่านแก้ม



ได้ยินคินพูดแบบนี้ เขาเสียใจมาก



คำว่าชอบของเขามันดูไม่มีความจริงใจเลยอย่างนั้นเหรอ มันถึงทำให้อีกฝ่ายคิดแบบนั้น "คนที่เอมชอบก็อยู่ตรงหน้าเอมนี่ไง...คนที่เอมอยากไปไหนมาไหนด้วยก็คือคนๆ นี้"



ต้องบอกคำๆ นี้อีกกี่ครั้งกี่หน...คำว่า ‘รัก’... ที่ดูเหมือนจะไม่มีความหมายใดๆ ต่ออีกฝ่ายเลย



"..."



"ถ้าคินไม่อยากให้เอมไปไหนกับใคร ฮึก...แล้วทำไมคินถึงไม่มากับเอมเองล่ะ"



ทำไมถึงได้ปฏิเสธ...



คินหลบตาตอบ มือใหญ่คลายออกจากต้นแขนผอม "...ก็คินบอกว่าไม่ว่าง..."



"ฮึก! ...แล้วแบบนี้คินจะมาโมโหเอมได้ยังไง!? ก็เอมบอกแล้วไงว่ามาคนเดียวทำไมไม่ฟังบ้างเลย!" ร่างบางยัดถุงในมือให้อีกฝ่ายแรงจนยับยู่ยี่ "เอมแค่มาซื้อนี่ให้ อึก ถ้าคินไม่อยากได้...ก็ทิ้งมันไปก็แล้วกัน"



อยากจะบอกว่านั่นน่ะคือของขวัญที่เขาตั้งใจเลือกให้...



ครืด ครืด



ในความเงียบที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เสียงโทรศัพท์สั่นจึงทำให้ชะเอมรีบถอยออกมายืนปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด เจ้าของเสียงสั่นนั่นคือโทรศัพท์ของคินร่างสูงหยิบขึ้นมาแนบหู โดยร่างบางก็ไม่รู้อีกฝี่งเป็นใคร



("คิน หายไปไหนน่ะ เรย์หาไม่เจอเลย")



ไม่รู้ว่าด้วยความเงียบข้างนอก หรือโทรศัพท์เสียงมันดังออกนอกลำโพง จะอะไรก็แล้วแต่ มันยิ่งทำให้คนได้ยินเสียใจ



"เดี๋ยวคินไป รอตรงนั้นแหละ อย่าเดินไปไหน" คินกรอกเสียงเรียบนิ่ง แล้วกดวางทันทีไม่ต่อบทสนทนา



"รีบไปสิ มีคนรออยู่ไม่ใช่เหรอ ฮึก!"



"...เอม..."



"ถ้าคินไม่ไป เอมไปเอง"



ปึง!



"เอม!"



ขาเรียวออกแรงวิ่งไป...วิ่งฝ่าฝูงชนออกไป อย่างรวดเร็ว ด้วยความโชคดีที่ตัวเล็ก จึงผ่านไปอย่างง่ายดายและถูกคนหลากหลายบังจนหลุดพ้นมาได้ในที่สุด



ต้องกลับ...ต้องกลับไปแล้ว...นั่นไม่ใช่ที่ของเขา



“อึก!”



อย่าอยู่ในที่ๆ สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน...อย่าเห็น...อย่าฟัง...อย่ารับรู้อะไร



แค่นี้ก็เจ็บมากพอ



'โทษที วันอาทิตย์นี้ไม่ว่างน่ะ'



ไม่ว่างก็เพราะต้องอยู่กับใครอีกคน



ฉลองกับใครอีกคน



กินข้าวกับใครอีกคน



ในวันสำคัญของคนสำคัญ...เขาไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย







************************Whose fault? ************************







มาต่อแล้ว

แอบมีคู่ติมรามมาแทรกให้ลองเชิง

คินหนอคิน...เมื่อไหร่จะทำอะไรให้มันชัดเจน

คนอ่านอยากเปลี่ยนคู่ใจจะขาด (ฮา)

รักคนอ่าน อย่าลืมเม้นนะ จ้วบๆ

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 15-12-2018 17:09:20
ตบ มันต้องตบ งี้จิกหัวเลย ยีๆ. อินเกิ้น
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-12-2018 17:13:33
 :z6:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 15-12-2018 18:50:15
อดทนอีกนิดเอม
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 15-12-2018 21:24:12
 ตอนนี้ขอด่าติม เห็นแก่ตัวว่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-12-2018 00:26:43
คินจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ. สงสารชะเอม,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 16-12-2018 18:41:48
ผิดที่ใคร ผิดที่เรานี่แหละที่หลงเข้ามาอ่าน โอยยยย ติดเลย
สคิปไปตอนจบเลยได้ไหม หน่วงไปให้สุดทางแล้วจบที่บทสรุปให้รู้กันไปเลย
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 23 ครึ่งหลัง 15/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-12-2018 19:07:08
 :mew5: :mew5: :mew5: ไม่มีความชัดเจนเลย  เอมน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 24 18/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 18-12-2018 12:53:16
Whose Fault ?

ผิด...ครั้งที่ 24



 

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 

 

กริ๊งงง

 

พรึ่บ!

 

"อือ...”

 

ชะเอมสะบัดผ้าห่ม ตวัดกายลงจากเตียงนอน โซเซเล็กน้อยเนื่องจากเพิ่งตื่น ตากลมปรือมองนาฬิกาก่อนทำตาโต

 

“แย่ล่ะสิ!” มือเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

 

วันนี้เขาสายแล้ว...!

 

ถ้าเป็นวันปกติอาจจะไม่เป็นไร แต่วันนี้เขามีพรีเซนต์งานชิ้นใหญ่ซะด้วยสิ อา...เพราะเมื่อวานเคลียร์งานจนดึกๆ ดื่นๆ แน่เลย วันนี้ก็เลยดื้อไม่ยอมลุกจากที่นอนทั้งๆ ที่หูก็ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตั้งหลายครั้ง

 

ถึงจะรีบแค่ไหนแต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ล้มกระแทกพื้นเหมือนคราวก่อน ถึงไม่กี่วันก็หายปวด แต่นานเป็นเดือนกว่ารอยช้ำสีแดงคล้ำมันจะหายเหมือนเป็นปกติ

 

ร่างบางแต่งตัวอย่างรวดเร็วทว่าเรียบร้อย คว้ากระเป๋าสะพายวิ่งออกจากห้องอย่างลนลาน

 

"วันนี้รีบจังเลยนะครับคุณชะเอม" ลุงยามหน้าตึกทักทายยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของคนที่รู้จักกันดีพอสมควร

 

"อ้อ! วันนี้ผมสายแล้วครับ!" ร่างบางวิ่งผ่านแล้วยกมือไหว้ "ขอโทษที่ไม่ได้ทักทายดีๆ นะครับลุงธรรม!"

 

ลุงยามก้มหัวยิ้มไม่ถือสา เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่รีบจริงเจ้าตัวไม่วิ่งหอบผ่านหน้าผู้ใหญ่ไปดื้อๆ แบบนี้หรอก

 

ชะเอมโบกมือเรียกแท็กซี่ที่เปิดไฟว่างกำลังวิ่งมาพอดี นานๆ ทีวันนี้ขอใช้บริการรถที่สะดวกรวดเร็วนี้สักครั้งก็แล้วกัน

 

"ไปมหาลัย...ครับ"

 

มือบางล้วงหยิบของที่ต้องทานเป็นประจำทุกวัน วันนี้รีบจนไม่ได้ทานข้าวแต่ยังไงก็ต้องทานยา...แต่ว่าล้วงแล้วล้วงอีกก็ยังหาสัมผัสลื่นของขวดแก้วไม่เจอ เอ๊ะ...หายไปไหน

 

"อีกแล้วเหรอเนี่ย..." แหวกก็แล้ว เทของออกมาดูทั้งหมดก็แล้ว...มันไม่มีเลย "หายไปไหนน่ะ"

 

แค่ช่วงนี้รีบทำงานทั้งของมหาลัยและที่ทำงานพิเศษจนไม่ได้กินข้าวก็ว่าแย่แล้ว ยิ่งร่างกายขาดช่วงจากการทานยานี่แย่กว่า...ถ้าอาหมอรู้คงบ่นไม่หยุด

 

แล้วมันอยู่ไหนล่ะ...นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

 

"น่าจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง" ชะเอมคิดอย่างกังวล ดวงตากลมโตมองออกไปนอกหน้าต่าง กวาดตามองวิวไปเรื่อย

 

นี่ก็ผ่านมาตั้งสามวันแล้ว ตั้งแต่วันนั้น แต่ก็ไม่เห็นคินจะติดต่อมาเลย...ไม่มีการโทร...หรือส่งข้อความใดๆ ทั้งสิ้น

 

จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรให้คินเชื่อใจเขาเลยสักนิด

 

‘อย่าโกหก! เมื่อกี้คินเห็น บอกมาว่านั่นใคร’

 

แค่เรื่องนั้นอีกฝ่ายยังไม่เชื่อเลย...แล้วกับเรื่องเรย์ เขาจะทำได้แน่เหรอ...เรย์เป็นแฟน เป็นคนสำคัญของคิน...แล้วเขาล่ะเป็นใคร...ก็แค่คนนอก

 

เมื่อไหร่กันนะ...เมื่อไหร่จะถึงเวลาที่พวกเราเข้าใจกันและกันซักที และกว่าจะถึงตอนนั้น...

 

เขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้

 

ร่างกายนี้บอกความแน่นอนไม่ได้เลยว่าจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่

 

มือบางเผลอยกขึ้นลูบแผ่วเบาตรงอกผ่านเสื้อที่มีก้อนเนื้อที่เขาว่ากันว่าขนาดพอๆ กับกำปั้นของเจ้าของอย่างไม่รู้ตัว

 

ตึกตัก...ตึกตัก...

 

เสียงหัวใจเต้นยังคงดังเป็นจังหวะปกติ

 

ทำไมกันนะ

 

ทำไมถึงเกิดมามีร่างกายที่ไม่รู้ว่าวันไหนลมหายใจจะดับลง กลัวว่าวันไหนที่นอนหลับอยู่แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

 

กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคุณลุงกับคินอีก

 

แต่ถ้าเป็นแบบนั้น...พวกเขาก็จะได้ไม่ต้องมาพะวงไม่ใช่เหรอ...จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป

 

ถ้าหากเราตาย...

 

"คุณครับ ถึงแล้วนะครับ" คนขับหันมาบอกเมื่อผู้โดยสารนั่งนิ่งเหม่อลอย

 

"อะ ครับ!" ร่างบางสะดุ้งเฮือก ไม่รู้ตัวเลยว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ "นี่ครับ ขอบคุณมาก"

 

ขาเรียวในชุดนักศึกษาก้าวลงจากแท็กซี่อย่างรวดเร็ว

 

เมื่อกี้นี้เขาเผลอคิดอะไรไปน่ะ...

 

 

 

 

"เยี่ยมมาก ขอบคุณครับ เชิญคนต่อไปได้"

 

"ขอบคุณมากครับอาจารย์"

 

พรีเซนต์งานหรือพรีเซนต์โปรเจค ต้องพรีกับอาจารย์ตัวต่อตัว ถ้าใครพรีเซนต์เสร็จแล้วก็กลับได้เลย

 

เสร็จไปอีกงาน...ดวงตากลมมองนาฬิกา

 

"เกือบบ่ายโมงแล้วเหรอเนี่ย"

 

โครก...

 

มือบางยกลูบท้องแบนราบของตัวเอง

 

“หิวข้าวจัง”

 

ชะเอมไม่เลือกกิน ขาเรียวเดินผ่านโรงอาหารของคณะก็หาอะไรง่ายๆ ทานรองท้องไป...อย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่น้ำใส

 

แกร๊ก...

 

"หืม?" ในขณะที่กำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ช้อนอยู่ๆ ก็มีจานข้าววางอยู่ตรงข้าม ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง

 

"สวัสดีค่ะ พี่ชะเอม" ร่างเล็กน่ารักในชุดเสื้อนักศึกษาทับด้วยช็อปสีกรม ยิ้มตาสดใสเป็นเชิงทักทาย

 

"อ้าว น้องสา มาทำอะไรครับเนี่ย" ดวงตากลมโตมองอย่างสงสัยสุดๆ หายากมากที่จะพบคนใส่เสื้อช็อปแถวนี้เพราะคณะอักษรกับคณะวิศวะ มันอยู่ห่างกันถึงขนาดต้องนั่งรถโดยสารของมหาวิทยาลัยมาเลยล่ะ...ถ้าเดินยังไงก็ไม่น่าไหว

 

"พอดีสามาหาเพื่อนแถวนี้น่ะค่ะ ไม่นึกว่าจะได้เจอพี่ชะเอมด้วย...รินก็มาด้วยกันแต่กำลังซื้อข้าวอยู่...สานั่งด้วยคนนะคะ" รสากล่าวขออนุญาตแต่เจ้าตัวก็หย่อนตัวนั่งลงไปแล้วเรียบร้อยแล้วล่ะ

 

"นั่งเลยครับ ไม่ต้องขอหรอก พี่ไม่ใช่เจ้าของโต๊ะ" ชะเอมหยอกหัวเราะ

 

"แหม พี่ชะเอมก็" ท่าทางน่ารักขี้เล่นทำให้สาดีใจที่อีกฝ่ายพูดเหมือนสนิทใจกับเธอ

 

"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวรุ่นน้องผมยาวหน้าตาสะสวยกล่าวทักทาย เธอสวมชุดเดียวกับเพื่อนสาวตัวเล็ก แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก

 

"อ่า...สวัสดีครับ" ชะเอมรู้สึกตัวเกร็งขึ้นทันทีเพราะจำได้ว่าน้องรินไม่ค่อยชอบตนเอง ซึ่งตอนนี้ถึงจะไม่รู้ว่าน้องเขารู้สึกยังไง แต่สายตาเรียบเฉยนั่นก็ทำให้ประหม่าไม่น้อย

 

แต่มันก็ดีกว่าอีกฝ่ายมองด้วยสายตาเกลียดชังล่ะนะ

 

รินนั่งเยื้องไปเล็กน้อย พอเจ้าตัวหย่อนตัวนั่งปุ๊บ หญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวตรงหน้าไม่พูดอะไรอีกเลย สาที่มองข้างๆ ก็ถอนหายใจเบาๆ และยิ้มให้ชะเอมเป็นเชิงบอกว่า 'อย่าไปสนใจเธอเลยค่ะ' อะไรประมาณนั้น

 

ทั้งสามคนทานอาหารจนเสร็จ พอกำลังจะลุกขึ้นไปเก็บจานเพื่อแยกย้ายกลับถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน

 

"เดี๋ยวค่ะ...พี่เอม" ชะเอมชะงักเบิกตานิดๆ เหมือนอึ้ง

 

เมื่อกี้เธอเรียกเราว่าไงนะ

 

พี่เอม?

 

'ในรถคันนี้ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับนาย ถ้าจะมีก็คือตรงบันไดขึ้นลงรถโน่น'

 

จะว่าไปเมื่อกี้นี้เธอก็พูดค่ะกับเราด้วย ดูสุภาพขึ้นเยอะ...ผิดหูผิดตา

 

"...ครับ?"

 

"คือว่าฉันอยากจะถามอะไรพี่หน่อย...เรื่องวันที่อยู่ในกระท่อมนั่นน่ะ...ที่ค่าย"

 

ร่างบางขมวดคิ้วสงสัย "อื้ม น้องรินพูดมาสิครับ"

 

"ที่พี่ชะเอมบอกว่าจำหน้าคนที่พาพี่มาที่กระท่อมไม่ได้...พี่พูดจริงเหรอคะ?" รินหรี่ตามอง สายตาของรุ่นน้องทำให้รุ่นพี่เหงื่อตก ยิ้มแหย

 

นี่สาวเจ้ายังจำเรื่องนี้ได้อีกเหรอ ทั้งๆ ที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วนะเนี่ย

 

"เอ่อ เรื่องน้องคนนั้นเองเหรอ พี่ก็จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่...พี่พูดจริงนะ" ชะเอมยกมือสองข้างเหมือนสารภาพความผิดกับตำรวจยังไงยังงั้น "แล้วจู่ๆ น้องรินถามเรื่องนี้กับพี่ทำไมเหรอ"

 

"คือว่า...รินบอกสาว่ารินรู้จักๆ คนๆ นั้นค่ะพี่ชะเอม" สาบอกเสียงใส

 

"ยัยสา อย่าขัด" สายตาดุของเพื่อนทำให้ร่างเล็กรีบหดตัว ดวงตากลมโตสีดำมองกระพริบตาปริบ นี่ขนาดเพื่อนกันเองยังกลัวเลยเหรอ...

 

ร่างบางสะดุดหูประโยคที่สาพูดเมื่อครู่ "ว่าอะไรนะ น้องรินรู้จักน้องคนนั้นด้วยเหรอ"

 

แต่ว่าในสถานการณ์ตอนนั้นไม่มีทางที่น้องรินที่อยู่ในกระท่อมก่อนหน้าเขาจะเห็นใบหน้าของรุ่นน้องคนนั้นได้เลยนี่นา เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

 

"แล้วน้องรินเห็นหน้าเขาเหรอ พี่จำได้ว่าตอนนั้นมันแปปเดียวเอง"

 

"ค่ะ...พี่เอมลองดูรูปนี่ก่อน แล้วบอกฉันว่าใช่หรือไม่ก็พอค่ะ" มือบางของหญิงสาวยื่นมือถือมาให้ตรงหน้า

 

"จะดีเหรอ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ เพราะพี่เห็นหน้าเขาไม่ค่อยชัดซะด้วยสิ" ชะเอมพูด

 

"ยังไงก็ดูก่อนเถอะค่ะ"

 

"ก็ได้ครับ..." ชะเอมดูรูปแล้วก็นิ่งไป ดวงตากลมโตมองรูปในโทรศัพท์ค้าง จากนั้นมือขาวซีดก็ส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของก่อนจะพูดตะกุกตะกัก "พี่...พี่ไม่รู้..."

 

"พี่เอมไม่รู้หรือว่ากำลังโกหกอยู่คะ" เพราะใบหน้าของรุ่นพี่ตรงหน้าพูดโกหกไม่เนียนสักนิด ซึ่งชัดเจนว่าชะเอมอึกอักไม่กล้าสบตา

 

"แค่นี้ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่อยู่ตอบคำถาม ไปเถอะสา" รินผุดลุกขึ้นเดินออกไป เธอคิดว่าเธอได้อะไรบางอย่างแล้ว ถึงรุ่นพี่จะไม่บอกแต่เธอจะหาคำตอบของคำถามที่ติดอยู่ในใจเธอให้ได้

 

...แล้วจะได้รู้กันซักทีว่าตกลงเป็นใครกันแน่ที่เสแสร้ง...

 

ชะเอมนั่งนิ่ง เขาไม่รู้ว่าน้องรินคนนั้นจะอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไม ในใจติดสงสัยอย่างถึงที่สุดแต่ก็ได้แต่มองรุ่นน้องทั้งสองเดินจากไป

 

 

 

 

"เอม เสิร์ฟโต๊ะสิบหน่อย"

 

"ครับ!"

 

"ชะเอม คนในครัวล้างจานไม่ทัน รบกวนหน่อย"

 

"ครับ!"

 

"ลูกค้ารอคิวนานแล้ว เอมไปจัดการหน่อยเร็ว"

 

"ครับ!"

 

"เอม..."

 

"เอม..."

 

"เอม..."

 

"ขอบคุณมากเลยครับ" ชะเอมกล่าวขอบคุณก้มหัวให้กับลูกค้าคนสุดท้าย ห้างฯ ใกล้จะปิดแล้วแต่วันนี้ตั้งแต่เข้างานมาเป็นเวลาสี่ชั่วโมงกว่าเขายังไม่ได้หยุดนั่งพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะวันนี้พนักงานเสิร์ฟขอลาหยุดกันสองคน และพนักงานในครัวขอหยุดคนหนึ่ง แต่งานที่เพิ่มขึ้นกลับมากหลายเท่าตัว

 

"เหนื่อยจัง..." ใบหน้าหวานเหงื่อซึมอีกทั้งยังซีดเซียว มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อแต่ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็วูบไหว...พร่ามัว

 

ขาบางทรุดลงไร้เรี่ยวแรง แต่ดีที่แขนยังคงยันโต๊ะในร้านพยุงตัวเอาไว้ทัน

 

"เฮ้ย เอม! ไหวเปล่าวะ" ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนพนักงานอายุมากกว่าสองสามปีเห็นชะเอมที่หน้าซีด ลมหายใจหอบสั่นอีกทั้งยืนอ่อนแรงเหมือนคนจะเป็นลม ก็รีบเข้ามาพยุงให้นั่งเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ "เฮ้ยเป็นไรป่าว"

 

"ค..รับ ผมแค่เหนื่อย...ไม่...เป็นไร"

 

"เอ็งหน้าซีด"

 

"ครับ พี่เหน่ง...อย่าบอก...ผู้จัดการนะครับ ผมขอ" ร่างบางพูดทั้งๆ ที่ยังหายใจเหนื่อยอ่อน เปลือกตาบางกระพริบถี่ เพราะภาพเบื้องหน้าที่เห็นไม่ค่อยชัดเจน

 

"เออๆ พี่ไม่บอกแต่ถ้าเอ็งยังง่อยๆ แบบนี้ พี่แกก็รู้อยู่ดีเปล่าวะ" ปากคอเหมือนจะเราะร้าย แต่แววตาแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างยิ่ง ก็น้องชะเอมมันนิสัยดี แถมยังพูดสุภาพกับทุกคน แบบนี้จะไม่ให้เป็นที่รักได้ไง

 

"ว่าแต่ชะเอม นี่เอ็งไม่สบายรึเปล่า" เหน่งไล้มือตามซอกคอ ใบหน้าและหน้าผากมน นึกว่าจะร้อน...แต่นี่กลับเย็นเฉียบ

 

"เปล่าครับ ผมก็แค่วูบ...สงสัยยังไม่ได้กินข้าวเย็นมั้งครับ"

 

"แล้วทำไมไม่กิน" รุ่นพี่ขมวดคิ้ว ดูจากรูปร่างของเจ้าคนผอมบางแล้ว ถ้าไม่กินข้าวก็ไม่รู้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเดินด้วยซ้ำ

 

"ก็ลูกค้าเยอะนี่ครับ ผมไม่รู้จะกินตอนไหน"

 

"เออๆ เอ็งมันก็อ้างไปเรื่อยนั่นแหละ" เหน่งขี้เกียจบ่น รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เขารับภาระคนเดียว เพราะคนน้อยอยู่แล้ว หายไปอีกคนพนักงานเสิร์ฟจะเหลือเหน่งแค่คนเดียว ได้หัววุ่นตายแน่

 

"พี่เหน่ง..."

 

"นี่เอ็งดีขึ้นยัง เดี๋ยวผู้จัดการก็ออกมาเห็นหรอก" เหน่งบอก ผุดลุกขึ้นแต่สายตายังจับจ้องไปที่ชะเอม

 

"ครับ" ชะเอมพยักหน้า

 

"รีบๆ เปลี่ยนชุดจะได้กลับไปพักผ่อน มันดึกแล้ว" ก่อนที่รุ่นพี่จะหันหลังเดินไปหลังร้านก่อน

 

ร่างบางค่อยๆ ลุกขึ้น เขารู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยมีแรงมากนัก...สงสัยวันนี้จำเป็นต้องใช้บริการแท็กซี่อีกแล้ว

 

แกร๊ก...แอ๊ด

 

"..." หลังจากเปลี่ยนชุดอะไรเรียบร้อยแล้วมือบางก็เปิดประตูล็อคเกอร์กำลังจะเก็บชุด กระปุกขวดแก้วบรรจุเม็ดยาโรคประจำตัวของเขาตั้งอยู่ในนั้น ที่ไม่แปลกใจเพราะว่าเขาเห็นตั้งแต่ขามาทำงานตอนเปลี่ยนเป็นชุดพนักงานแล้ว ที่แท้มันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก แต่มันอยู่ในล็อคเกอร์ของที่ทำงานนี่เองล่ะ เขาคงลืมมันไว้แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไหน วันไหน

 

จะว่าไปช่วงนี้หลงๆ ลืมๆ บ่อยอยู่เหมือนกัน

 

ชะเอมคว้ามันใส่เข้ากระเป๋า ตรวจทานเรียบร้อยแล้วก็บอกลาพี่ๆ เหมือนทุกที

 

โครก...

 

ร่างบางลูบท้องที่ส่งเสียงประท้วงดัง ถึงจะหิวแต่ก็พอคิดว่าจะซื้ออะไรมากินรองท้องดี ก็รู้สึกเหมือนจะกินไม่ลงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 

ครืด ครืด

 

'คิน'

 

ชะเอมยืนนิ่งมองหน้าจอที่สว่างวาบแสดงชื่อของคนที่มักจะอยู่ในความคิดตลอดเวลา...ไม่อยากคุยเลย...ตอนนี้น่ะ...

 

ทำไมถึงโทรมาล่ะ...จนป่านนี้แล้ว

 

ร่างบางมองโทรศัพท์ที่สั่นเงียบๆ สักพักจนมันดับไป

 

ครืน...ครืน...

 

เสียงฟ้าร้องและสายลมพักกรรโชกทำให้รู้ว่าในอีกไม่นานฝนกำลังตกกระหน่ำอย่างแน่นอน

 

ขาเรียวขยับเดินออกจากห้างฯ ยืนอยู่ริมถนนข้างหน้าเพื่อมองหารถแท็กซี่กลับคอนโด ในใจรู้สึกผิดที่เมื่อครู่ไม่กดรับสายของร่างสูง...ทั้งๆ ที่เขาควรจะดีใจที่อีกฝ่ายโทรมาแท้ๆ

 

เคยหวังมาตลอดว่าอยากให้คินเป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจเขาบ้าง แต่ตอนนี้เขารู้สึกแย่กับสิ่งเหล่านั้นเหลือเกิน

 

ถ้าหากเลิกรักคินได้...เขาคงไม่ต้องทุกข์แบบนี้...ไม่ว่าชะเอมจะทำผิด หรือคินจะทำผิด สุดท้ายแล้วคนที่ทั้งเจ็บปวดและเศร้าใจก็คือเขาเพียงคนเดียว...แค่เขาฝ่ายเดียว

 

เอี๊ยด!

 

จู่ๆ รถเก๋งสีดำสนิทก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าอย่างฉิวเฉียด เสียงเบรคกะทันหันทำให้ร่างบางเผลอถอยหลังผงะ พอตั้งสติได้ ก็รู้ว่ารถนี่มันคือฮอนด้าแอคคอร์ด

 

รถของคิน

 

ปึง

 

ร่างสูงเปิดประตูรถลงมา "เอม...ทำไมไม่รับสายล่ะ คินโทรไปไม่ได้ยินเหรอ"

 

ขายาวเดินอ้อมมายิ่งทำให้ชะเอมถอยหลังหนี

 

"คินมาทำไม..."

 

คินชะงัก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นประตูฝั่งข้างคนขับเปิดออกมา

 

"คิน ฝนใกล้ตกแล้ว รีบหน่อยเถอะ เรย์ต้องรีบกลับบ้านนะ" ร่างเล็กของเรย์ก้าวลงจากรถตะโกนบอกดวงตากลมโตสีดำส่งสายตาตัดพ้อให้คิน พาเรย์มาด้วยแล้วจะมาหาเขาทำไม แค่นี้ยังทำให้เขาเจ็บไม่พออีกใช่มั้ย

 

"..."

 

"เอม...คินมารับ กลับกับคินเถอะ" ร่างสูงเดินมาจับมือชะเอมและดึงให้เดินตามไป

 

"ไม่! เอมไม่ไป เอมกลับเองได้!" ร่างบางใช้มืองัดแงะมือใหญ่ออก แต่มันก็ไม่ออก เพราะมือใหญ่บีบแน่นไม่ยอมปล่อย "คินปล่อยนะ!!"

 

เสียงใสตะโกนดังกร้าว มันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว...คินทำเหมือนเขาไม่มีความรู้สึกเลย เขาเสียใจมากขนาดนี้ เจ็บปวดทุกข์ทรมานมากขนาดนี้ทำไมถึงไม่เห็นใจกันบ้าง

 

เพียะ! ปั่ก!

 

“ทำไมคินถึงทำกับเอมแบบนี้!”

 

แขนบางทั้งทุบทั้งตีร่างสูงที่ยังคงลากตัวเองเดินไปยังรถ ทั้งที่เขาไม่เคยเลยที่จะคิดทำร้ายคิน เพราะว่ารักมาก...ไม่อยากให้เจ็บ แต่ตอนนี้แม้จะต้องทำยังไงก็ต้องทำให้อีกฝ่ายปล่อยให้ได้ เขาไม่มีวันที่จะไปอยู่ในที่ที่เดียวกันกับเรย์หรอก...ให้เขาอยู่ใกล้กับมันน่ะไม่มีวัน!!

 

แต่คินไม่สะทกสะท้าน เพราะว่าแรงของชะเอมไม่ได้มากขนาดนั้น เขาเจ็บกายก็แค่เล็กน้อย แต่หากสายตาเจ็บปวดทุกครั้งที่ลงมือกับเขานั่นต่างหากมันทำให้เจ็บที่ใจมากกว่า

 

"เอม..."

 

"คิน ถ้าเขาไม่ไปก็ปล่อยเขาเถอะ เจ้าตัวก็บอกว่ากลับเองได้นี่" เรย์เห็นท่าทางสะดีดสะดิ้งของชะเอมแล้วรกหูรกตาจึงพูดออกไปทันทีด้วยความหมั่นไส้ ซึ่งคินก็ไม่ได้สนใจซ้ำยังตวัดสายตามองอย่างรำคาญเสียด้วย ร่างเล็กจึงพ่นลมหายใจแรงอย่างโมโหก้าวขาขึ้นรถปิดประตูดังปัง!

 

พรึ่บ!

 

“อ๊ะ...ไม่...”



ต่อด้านล่างค่ะ

>>>>>>>>>>
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 24 18/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 18-12-2018 12:55:11


ต่อจากด้านบนค่ะ

>>>>>>>


ทันใดนั้นคินพลันรวบร่างผอมบางที่ยังงัดแงะมือใหญ่ไม่หยุดตวัดขึ้นพาดไหล่หนา ดีว่าเป็นเพราะดึกแล้วจึงไม่ค่อยมีรถ ไม่งั้นรถสีดำของร่างสูงคงโดนบีบแตรลั่นใส่เนื่องจากจอดไว้ข้างถนนนานหลายนาทีไปแล้ว

 

"อุก..." ชะเอมถูกโยนขึ้นเบาะหลัง ก่อนจะได้ทักท้วงอะไรคินก็ก้าวขึ้นรถล็อคกลอนเรียบร้อยไม่มีทางหนี แถมเท้าเหยียบคันเร่ง...รถออกตัวแล้ว

 

แปะ แปะ...ซ่า...

 

หลังจากขึ้นรถได้ไม่นาน ฝนที่ตั้งเค้าก็ตกลงมา ร่างผอมบางกอดแขนตัวเองแน่นเพราะความหนาวจากแอร์ของรถยนต์ มือใหญ่เอื้อมไปเบาแอร์ให้เนื่องจากมองกระจกหลังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพอดวงตากลมเผลอสบกับสายตาคมกริบก็เบี่ยงสายตาออกไปมองนอกรถทันที

 

ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบงัน ซึ่งแปลกมากที่เรย์นั่งได้สงบเสงี่ยมผิดปกติ นึกว่าจะพูดจาไพเราะหวานหูอย่างคนเสแสร้งใส่ซะอีก ซึ่งก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่นั่งทนฟัง

 

โครก...

 

มือบางยกมือลูบท้อง...หิวจัง เมื่อไหร่จะถึงซักที...อึดอัด

 

รถสีดำเฉี่ยววิ่งด้วยความเร็วหากแต่ในรถก็มีแต่ความเงียบสงัดที่ได้ยินเพียงเสียงลมแอร์ดังหึ่งๆ และในเวลาประมาณสิบนาทีก็ถึงที่หมาย คินขึ้นมาจอดบนลานจอดรถให้เพราะจะได้ไม่ต้องเสี่ยงโดนฝน

 

ริมฝีปากบางขบกัดแน่น...ความใจดีแบบนี้ที่อีกฝ่ายมีให้ก็มีแต่ทำให้เขาเจ็บ

 

มือบางเปิดประตูรถเพื่อออกไปจากความอึดอัดนี่เสียที แต่หูกลับได้ยินเสียงเหล็กอะไรบางอย่างกระทบกัน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่ามันคืออะไร

 

...เหมือนหัวใจกำลังจะหยุดเต้น

 

ตึก...ตัก!

 

“นั่น...มัน...”

 

“เอ๊ะ...อ๋อ~” เรย์ยิ้มตามปิด ชูสิ่งที่ว่าขึ้นมายิ่งย้ำชัดเจนว่าชะเอมไม่ได้ตาฝาด “สวยใช่ไหม เรย์ชอบมากเลย คินเขาซื้อให้เป็นของขวัญน่ะ”

 

“เรย์...มันไม่ใช่แบบนั้น...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น แต่ก็โดนร่างเล็กพูดแทรกขึ้นมา

 

“อ๋อ มันคือของขวัญการคบกันเป็นแฟนได้หนึ่งเดือนแล้วน่ะ คินจะพูดแบบนี้ใช่มั้ย” เรย์พูดจบก็หัวเราะคิกคัก ไม่สนใจคนที่นิ่งงันไปแล้ว

 

ร่างผอมจ้องมองเหล็กสีเงินวาววับที่ห้อยอยู่กับโทรศัพท์มือถือในมือเล็ก เหล็กที่ทำจากเงินแท้รูปทรงกลมสลักลายเป็นหลุมขรุขระเหมือนพระจันทร์เต็มดวงของจริงย่อส่วน

 

เล็บจิกเข้าที่ฝ่ามืออย่างแรง ริมฝีปากบางขบกัดจนเลือดซึม ดวงตาจ้องเขม็งไปข้างหน้า ภาพพร่ามัวเพราะเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่กำลังจะไหลริน

 

นั่นมันพวงกุญแจของเขา...ที่เขาอยากจะซื้อให้ตัวเอง เพื่อจะได้คู่กับพวงกุญแจวันเกิดของคิน

 

โลกกับดวงจันทร์

 

ทั้งๆ ที่เขาต้องการแค่นั้น...แล้วเรย์ก็ยังจะแย่งมันไปจากเขาอีก...ทุกสิ่งทุกอย่าง

 

“ก็...สวยดีนะ...”

 

"ใช่ไหมล่ะ กำลังจะอวดอยู่พอเลย แต่เห็นเองแบบนี้ก็แสดงว่าตาถึงเหมือนกันนี่นา"

 

"เรย์!" คินปรามเสียงเข้ม

 

"ก็คินซื้อให้มาคู่กัน เรย์ก็อยากจะอวด" ร่างเล็กแก้มพองลม ก่อนจะหันมาบอก แววตาที่มีแต่ชะเอมเห็น แววตาของคนเยาะเย้ย...เหนือกว่า "ของคินเป็นพวงกุญแจลูกโลกล่ะ คู่กันเลยเนอะโลกกับดวงจันทร์"

 

อา น้ำตามัน...บ้าจริง...อย่าไปแสดงท่าทีอ่อนแอแบบนี้ให้อีกฝ่ายเห็นสิ เพราะไม่งั้นจะโดนเหยียบซ้ำ

 

“อืม...วันนี้เราเหนื่อยแล้ว ขอตัว...อึก!” มือบางปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นที่มันออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ตอนแรกจะทนได้แต่ตอนนี้มัน...ไม่ไหว...แล้ว

 

ปัง!!

 

มือบางกระแทกประตูรถเสียงดัง ขาเรียวกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป

 

“เอม!” ได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่อ ยิ่งเร่งให้ร่างผอมบางวิ่งเร็ว

 

 “เอม เดี๋ยว!!” คินตะโกนเรียก ร่างสูงวิ่งกำลังมาทางนี้

 

ไม่นะ...ไม่! อย่าเข้ามานะ

 

นิ้วกดปุ่มลิฟต์สั่นระรัว ประตูค่อยๆ ปิดลงก่อนที่ร่างสูงจะก้าวเข้ามา ภาพสุดท้ายที่เห็นคือสีหน้าร้อนรนของใบหน้าคม

 

"ฮึก..." น้ำตาเม็ดโตไหลผ่านฝ่ามือลงพื้นไม่ขาดสาย “ฮือออ”

 

‘คู่กันเลยเนอะโลกกับดวงจันทร์’

 

‘คู่กันเลยเนอะโลกกับดวงจันทร์’

 

‘คู่กันเลยเนอะโลกกับดวงจันทร์’

 

ใช่สิ ไม่ต้องมาบอกหรอก เพราะว่าเขาเป็นคนซื้อของชิ้นนั้นให้คินด้วยตัวเอง...เลือกมันเองกับมือ

 

ของขวัญสำคัญที่เขาตั้งใจเลือกให้

 

คินใช้มันเพราะจะได้ใช้คู่กับเรย์...ก็ถึงขนาดไปหาซื้ออีกอันมาเลยนี่นะ ซึ่งอีกฝ่ายไปได้มาได้ยังไงก็ไม่อยากรู้แล้ว...ไม่อยากรู้อีกต่อไปแล้ว

 

ณ วินาทีแรกที่เห็นของชิ้นนั้นเขาก็ชอบมันมาก

 

โลกกับดวงจันทร์ มันมีความหมายสื่อคู่กัน

 

ชะเอมซื้อลูกโลกให้กับคิน เพราะคินเปรียบเสมือนโลกสำหรับเขา เป็นโลกทั้งใบสำหรับเขา...เป็นคนสำคัญยิ่งในชีวิตที่ขาดไม่ได้ ส่วนดวงจันทร์คือดาวที่โคจรรอบโลกอยู่ตลอดเวลา เป็นดาวที่ไม่สำคัญ ปรากฏมาเฉพาะแค่บางเวลาและมีผิวขรุขระ ขี้เหร่...เหมาะกับเขา

 

ทั้งที่เป็น ‘แค่’ ของชิ้นเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว แต่มันก็ทำให้ได้คำตอบบางอย่าง...รู้ชัดแล้วว่าคำอธิษฐานข้อที่สองของเขา...ไม่มีทางเป็นจริง

 

ไม่ว่าจะขอโอกาสจากคินอย่างไร เขาก็ไม่มีทางหรอก...ไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายหันมาชอบได้หรอก

 

ไม่มีวันที่เขาจะได้รับความรักจากคนที่รัก...ไม่มีวัน

 

‘เพราะงั้นคินช่วยบอกมาได้ไหม ที่ทำแบบนี้...คินชอบเอมบ้างรึเปล่า’

 

เพราะคินทำให้ชะเอมเห็นถึงคำตอบของคำถามในวันนั้นแล้ว

 

 

 

************************Whose fault? ************************

 

 

 

"พี่ฟ้า ชะเอมล่ะ ไม่มาทำงานเหรอ"

 

"มาสิ อยู่โน่นแน่ะ เห็นบอกว่าวันนี้เหนื่อยๆ เลยอยากอยู่หลังครัว" เชฟหนุ่มบุ้ยปากสีหน้ากังวล เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าร่างผอมบางคนนั้นมีเรื่องไม่สบายใจ...เพราะขอบตาบวมแดงแสดงว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

 

"อีกแล้วเหรอ" เหน่งทำสีหน้าเดียวกัน "เห็นซึมๆ มาหลายวันแล้วด้วย"

 

"นายก็สังเกตเหรอ ผิดคาดแฮะ"

 

"ทำไม!" ชายหนุ่มจ้องเขม็ง

 

"อย่าขึ้นเสียงสิ มันยิ่งเหมือนนักเลงนะรู้เปล่า" ฟ้ายกมือขึ้นสองข้างยอมแพ้ เขาไม่ชอบมีเรื่องซะด้วยแต่รู้ว่าเหน่งไม่ใช่คนไม่ดีหรอก ที่พูดแบบนั้นก็เพราะอีกฝ่ายทำผมทอง หน้าตายังหาเรื่องอีกต่างหาก

 

"ผมเป็นห่วงใครแล้วมันผิดตรงไหน"

 

"ครับๆ ไม่ผิดหรอก ไม่ว่าใครอยู่กับเด็กคนนั้นก็ต้องชอบนั่นแหละเนอะ"

 

คนฟังพยักหน้าช้าๆ หันมามองหน้าเชฟแล้วยิ้ม "ขนาดผู้จัดการยังหลงชะเอมซะจนคนเป็นสามีตกกระป๋องเลยนี่นะ"

 

"ช่ายๆ...ซะที่ไหนล่ะ!" หนุ่มเชฟพยักหน้าเออออ ก่อนจะหันขวับมาปฏิเสธเมื่อรู้ตัว พร้อมกระซิบกระซาบสายตาล่อกแล่ก "อย่าพูดให้ได้ยินเชียว ไม่งั้นนายโดนหนักแน่ ขอบอกไว้ก่อน"

 

"นี่พี่กลัวเมียเหรอ"

 

"เออสิ!"

 

"ตอบซะเต็มปากเต็มคำเชียว" เหน่งพึมพำอย่างเอือมระอาเจ้านาย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก จุดประสงค์แค่แซวเล่นแค่นั้นแหละ

 

"คอยดูเอมให้พี่หน่อยแล้วกัน พี่อาจจะยุ่งๆ" ขนาดตอนคุย มือยังต้องขยับเลยคิดดู คนครัวไม่ได้ว่างอย่างที่ใครๆ คิดกันหรอกนะ "ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายด้วย"

 

ชายหนุ่มผมทองเหมือนแยงกี้ขมวดคิ้ว "แล้วทำไมไม่ให้เขากลับบ้านไปล่ะครับ"

 

"ไม่ต้องจ้องแบบนั้นเลย เหน่งก็รู้ว่าพี่ไม่ใจร้ายขนาดใช้คนไม่สนใจสุขภาพหรอกน่า แต่ชะเอมดื้อจะอยู่เองต่างหาก ก็เจ้าตัวบอกว่าไหวๆ" ฟ้ายักไหล่

 

เขารู้ตัวว่าเป็นคนขี้ใจอ่อน ไม่ชอบบังคับคนเสียด้วย

 

เอาเถอะ เดี๋ยวยังไงถ้าหากมันเกินกำลังก็ให้คุณผู้จัดการมาบังคับเจ้าตัวด้วยตัวเองก็แล้วกัน

 

 

 

หัวปวดตุ้บๆ

 

กระบอกตาร้อนผ่าว

 

"แค่ก...แค่ก" ร่างผอมบางไอโขลกอย่างแรงจนแผ่นหลังสะท้อน ชะเอมรู้สึกร้อนปากร้อนคอร้อนจมูก อาการโดยรวมรู้สึกแย่มากถึงมากที่สุด เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บคอ ไม่คิดว่าตกเย็นจะอาการแย่ลงถึงขนาดนี้

 

เพราะงั้นเขาถึงขอมาอยู่หลังครัวเพื่อที่จะได้ไม่พบปะลูกค้าทั้งที่ตัวเองยังรู้สึกไม่สบาย แถมยังไอจามอยู่ตลอดเวลาแบบนี้

 

มือบางยังคงล้างจานที่เต็มไปด้วยเศษอาหารกองพะเนิน มือมีแต่รอยพลาสเตอร์เต็มไปหมด เพราะโดนมีดบาดหลายต่อหลายครั้งจนเลือดซึมต้องหาอะไรมาปิดแผลไว้ ทั้งเจ็บทั้งแสบแต่ก็ต้องอดทน นิ้วก็เปื่อยไปหมดเพราะต้องอยู่กับน้ำตลอดเวลา

 

แม้จะอยู่ในครัวที่ร้อนอบอ้าว แต่เหงื่อไม่ออกเลยสักนิด กลับรู้สึกหนาวและขนลุกอย่างแปลกประหลาดแทน

 

"ไหวมั้ย ชะเอม" พี่ฟ้าชะโงกหน้ามาถาม ซึ่งร่างบางก็พยักหน้าอัตโนมัติ

 

"ไหวครับพี่" ตอบเสียงแผ่วเบาอย่างคนเหนื่อยเพลีย

 

อีกชั่วโมงเดียวก็จะเลิกแล้ว อดทนอีกหน่อย พรุ่งนี้ก็เป็นวันอาทิตย์แล้ว...จะได้นอนพักยาวๆ

 

"ปกติกลับบ้านยังไงเหรอเรา"

 

ร่างบางหันไปมอง พลันภาพมืดวูบไหว เปลือกตาบางกระพริบตาหนักๆ หนึ่งที ลืมตาก็ดีขึ้น "ครับ...ผมเดินไปครับ อยู่คอนโดไม่ใช่บ้านครับพี่ฟ้า"

 

"เดิน? เลิกดึกๆ สามทุ่มทุกวันนี่นะ แถวนี้มันมืดจะตาย...เดินคนเดียวมันอันตรายนะ เอม" เชฟหนุ่มพูดอย่างเป็นห่วง "แล้ววันนี้ดูไม่ค่อยดีด้วย จะกลับยังไงล่ะ"

 

"ผมอาจจะนั่ง...แท็กซี่...แค่ก กลับ" ดวงตากลมกระพริบถี่ กระบอกตามันร้อนมาก ปวดหัวหนักกว่าเดิม "พี่ฟ้า ผม...ขอนั่งพัก...."

 

เคร้ง!

 

มีดที่ถืออยู่หล่นจากมือบางลงพื้นเสียงดัง ร่างผอมบางที่คิดจะก้าวถอยหลัง แค่เพียงก้าวเดียวขาก็ไม่มีแรง แต่ดีที่ทรงตัวได้ ไม่ล้มลงกระแทกกับพื้น

 

"เอม!" ฟ้ารีบวางมือ รุดเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว "เป็นอะไรรึเปล่า หน้ามืดเหรอ"

 

"ไม่เป็นไรครับพี่ฟ้า แค่ขาอ่อนเท่านั้นเอง" ร่างบางพูดแล้วหอบหายใจร้อนผ่าว มือบางยกขึ้นปิดปากทั้งที่เปียกชื้น "แค่ก! แค่ก!"

 

แปลบ!

 

"โอ๊ย" เส้นประสาทแล่นแปลบปลาบขึ้นที่ศีรษะวูบหนึ่ง มันเจ็บจี๊ดจนต้องร้องออกมา มือบางยกขึ้นแตะศีรษะตรงที่เจ็บ หายไปแล้ว

 

"เป็นอะไร ปวดหัวเหรอ" เชฟหนุ่มถามร้อนรน ค่อยๆ พยุงร่างผอมบางขึ้นนั่งเก้าอี้ดีๆ

 

"แค่ก..." ชะเอมยกมือจับลำคอขมวดคิ้วหนัก ปวดหัวไม่พอ...แถมยังเจ็บคอสุดๆ

 

"นายตัวร้อนจี๋เลย" ความร้อนจากการสัมผัสผ่านการพยุงตัวชะเอมเมื่อกี้ทำให้รับรู้ได้ว่าร่างบางอุณหภูมิสูงขนาดไหน

 

"ครับ...ผมขอพักครู่เดียว แล้วเดี๋ยวไปล้างต่อนะครับ" ชะเอมขออนุญาต รู้ดีว่าร่างกายของตัวเองเริ่มไม่ดีแล้ว แต่ก็อยากจะทำงานที่ค้างให้เสร็จๆ

 

อีกแค่แปปเดียวก็จะเลิกอยู่แล้ว...อดทนอีกแปปเดียว

 

"ไม่เป็นไรเดี๋ยวที่เหลือให้คนอื่นทำ นายกลับบ้านเถอะ เป็นแบบนี้พี่ไม่ค่อยสบายใจเลย"

 

"ไม่เป็นไรจริงๆ ครับพี่ฟ้า ผม..."

 

"พี่แกบอกให้กลับก็กลับเถอะน่า สภาพเอ็งแบบนี้อยู่ไปก็เกะกะเปล่าๆ"

 

"เหน่ง..." เชฟหนุ่มคราง เข้าใจว่าเป็นห่วงเหมือนกัน แต่ไม่เห็นต้องพูดแรงขนาดนั้นเลย

 

ชะเอมได้ยินก็พยักหน้าเข้าใจ "ขอโทษครับ..." ถึงจะเข้าใจแต่ก็สะเทือนใจไม่ได้ ใบหน้ามนก้มต่ำซ่อนน้ำตาที่คลอหน่วย พูดเสียงสั่นเครือ "ผมทำให้เดือดร้อน ขอโทษนะครับ"

 

ทั้งที่อยากจะพยายามให้เต็มที่แท้ๆ

 

แต่ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปหมด

 

ช่างไร้ประโยชน์...จริงๆ

 

"ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก ยังไงวันนี้ก็กลับก่อนเถอะนะ อีกแปปเดียวร้านก็ปิดแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้หรอก" เชฟหนุ่มเอ่ยเพื่อคลายบรรยากาศหดหู่ที่เกิดขึ้น

 

"ฮึก คะ ครับ" ชะเอมขยี้ตาเพื่อซ่อนน้ำตา ริมฝีปากบางพยายามฝืนยิ้ม "งั้นผมขอตัว..."

 

ร่างผอมผุดลุกขึ้นโซเซ รีบเดินไปห้องพนักงานหลังร้าน เพื่อเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดเดิมก่อนกลับ โดยมีสายตาเป็นห่วงและรู้สึกผิดสองคู่มองตามหลัง

 

"ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดแรงขนาดนั้นเลย ดูสิเหน่ง นายทำชะเอมร้องไห้แล้วเห็นมั้ย" ฟ้าบอกกับหนุ่มผมทองที่หน้าเจื่อนสนิท...คงจะรู้สึกผิดล่ะสิ

 

"ผะ ผม...ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อยนี่" เหน่งหน้าบูด "แค่เป็นห่วงแค่นั้น"

 

เชฟหนุ่มเขกหัวคนเด็กกว่าหลายปีเบาๆ "พี่รู้ แต่นายใช้คำพูดไม่ถูกน่ะสิ เจ้าบ้า คนกำลังไม่สบายอยู่ไปพูดแบบนั้น จะน้อยใจก็คงไม่แปลกเลย"

 

"ขอโทษ"

 

"ขอโทษพี่?"

 

"...ไม่ใช่เฟ้ย!" เหน่งแหวเสียงดัง ก็มีแต่เจ้านายคนนี้แหละที่ไม่ถือสากับคำพูดแสลงหูของเขา นอกจากไม่ถือสาแล้วยังหัวเราะร่าอีกด้วย

 

"งั้นนายก็ไปขอโทษกับเจ้าตัวเองสิ...หมายถึงครั้งหน้าน่ะนะ ส่วนตอนนี้กลับไปทำงานได้แล้ว" ฟ้าชี้นิ้วไปที่กองจานสกปรกที่เพิ่งถูกยกมาวางบนอ่าง "แล้วไปล้างจานที่เหลือด้วย"

 

"คร้าบ คร้าบ"

 

"หืม?" หางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างตกลงบนพื้นใกล้ๆ ...นั่นมันโทรศัพท์มือถือ...ของใคร?

 

"เฮ้ยเหน่ง นายทำมือถือตกไว้เปล่า"

 

"ใช่ที่ไหนล่ะครับ ผมจะไปมีปัญญาซื้อของแพงหูฉี่แบบนั้นได้ไง" หนุ่มผมทองก้มหน้าล้างชามเหลือบมองก่อนตอบยืดยาว

 

"ตอบสั้นๆ พี่ก็เข้าใจแล้ว" เชฟหนุ่มก้มมองไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ถ้านี่ไม่ใช่ของเหน่ง ก็เป็นของชะเอมน่ะสิ

 

ตอนนี้ไปรึยังก็ไม่รู้...ไม่สบายแบบนั้น กลับคนเดียวจะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย

 

"พวกนายฝากดูแลด้วย ฉันออกไปข้างนอกแปปนึง!"

 

"ครับลูกพี่!"

 

"บอกว่าอย่าเรียกแบบนั้นไง มันเหมือนหัวโจกนักเลง เจ้าพวกนี้นี่" ฟ้าบ่น ขายาวก้าวไปห้องพนักงานพบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว

 

ร่างสูงของเชฟชุดขาววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หวังว่าจะยังทันอยู่

 

ครืด ครืด

 

เสียงมือถือพร้อมแรงสั่นในมือใหญ่ทำให้ขายาวก้าวช้าลงกลายเป็นเดินเร็วแทน มองหน้าจอที่สว่างวาบก็พบว่าเป็น..

 

'คิน'

 

จะเป็นเพื่อนหรือใครก็แล้วแต่ ถ้าหากเขาวิ่งไปแล้วยังไม่เจอชะเอมก็จะได้ฝากของให้คนๆ นี้ไปก็ยังได้

 

"ครับ"

 

("...นั่นใครครับ เอมไปไหน") ฟ้ารู้สึกได้ว่าเสียงอีกฝ่ายเข้มมาก

 

"ผมเป็น...เจ้านายของชะเอมที่ทำงานพิเศษครับ น้องคินเป็นเพื่อนของชะเอมใช่รึเปล่า"

 

("ก็...ครับ ประมาณนั้น ช่วยบอกเอมว่าทำงานเสร็จแล้วอย่าเพิ่งกลับ ผมกำลังไปรับเขา")

 

"เอ้อ ดูเหมือนเค้าจะไม่สบายหนักเลย พี่ก็เลยอนุญาตให้เค้ากลับไปก่อน แต่เจ้าตัวก็ดันลืมมือถือไว้ พี่กำลังเดินออกไปไม่รู้ว่ากลับไปยัง" แม้ปากจะพูดแต่ขาก็ยังก้าวยาวๆ คนในห้างเริ่มบางตาตามเวลา

 

("อะไรนะครับ")

 

"เดี๋ยวนะ...เอม!!" ฟ้าตะโกนเรียก เมื่อเจอคนที่ต้องการหา

 

ร่างผอมบางนั่งอยู่ขอบฟุตบาธริมถนนหันหลังให้ท่ามกลางความมืด ลมเย็นพัดโกรก ได้ยินเสียงฟ้าคำรามฝนทำท่าเหมือนจะตก ตอนนี้รอบข้างจึงไม่มีคนหลงเหลืออยู่เลย ชะเอมไม่หันมามอง ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินเสียงเรียกหรือยังไง

 

ชะเอมนั่งกอดเข่าหลับตาสีหน้าซีดเซียว ลมหายใจหอบสั่น แขนบางกอดรอบเข่าแน่น เนื้อตัวสั่นเทาเพราะอากาศเย็นๆ

 

"เอม..."

 

เปลือกตาบาง ลืมขึ้นมอง ดูเชื่องช้าอ่อนแรง "...พี่ฟ้า...มาทำอะไรครับ"

 

"พี่เอามือถือมาคืน เอมลืมเอาไว้...แล้วทำไมถึงมานั่งหลับตรงนี้" ร่างสูงกวาดสายตามองไปรอบๆ ...แถวนี้มืดแล้วดูอันตรายสุดๆ

 

"คือผม...รอแล้วไม่มีแท็กซี่มาซักทีครับ ก็เลย..." ร่างผอมพูดแค่นั้น ก็หลับตาไปอีก ปวดหัว...เหนื่อยเพลียจนอยากจะหลับไปซะตรงนั้น รู้สึกหนาวแต่ร่างกายก็ร้อนผ่าว เดินไม่ไหว ลุกไม่ไหว เจ็บปวดไปทั้งร่างกายเลย

 

"รอแปปนึงนะ...” ฟ้าจับโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง “คินจะถึงรึยัง พี่ว่าเอมกลับเองไม่ไหวแน่"

 

("ครับ อีกแปปนึง พี่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาสักสิบนาทีทีนะครับ")

 

"โอเค รออยู่หน้าห้างฯ เลยนะ"

 

"เอม...เอม...ไหวมั้ย" ร่างสูงทรุดตัวนั่งข้างๆ รุ่นน้อง มือใหญ่ทาบหน้าผากมนที่ร้อนผ่าวอย่างน่าเป็นห่วง

 

"ครับ" ดวงตากลมโตลืมขึ้นอีกครั้ง แววตาฉ่ำน้ำที่มองแล้วชวนหวั่นไหว แต่ร่างบางกำลังไม่สบาย "ไหวครับ พี่ฟ้ามาทำอะไรเหรอ"

 

ชะเอมเหม่อลอย ไม่รู้ตัวว่าถามคำถามเดิม ซึ่งฟ้าไม่ถือสาอยู่แล้ว

 

"เอมลืมมือถือเอาไว้ พี่เลยจะเอามาคืน” ฟ้าจัดแจงใส่มือถือของเจ้าตัวลงกระเป๋าให้เอง เพราะแค่ร่างบางจะขยับตัวยังดูไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ “อดทนอีกนิดนะเอม เดี๋ยวเพื่อนที่ชื่อคินจะมารับแล้วนะ”

 

“ครับ...” ชะเอมรับคำไปอย่างนั้นเอง ปวดหัวจนไม่อยากฟังอะไร อีกฝ่ายพูดอะไรบ้างก็ไม่รู้ “พี่ฟ้า...ผมขอโทษครับ”

 

“ขอโทษเรื่องอะไร”

 

“ผม ฮึก ฮึก ทำให้พี่เดือดร้อน”

 

“เอม...คิดมากเรื่องที่เหน่งพูดเหรอ เขาไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ พี่เขาเป็นห่วงเอมมากก็เลยพูดแบบนั้นเท่านั้นเอง” เชฟหนุ่มเห็นอีกฝ่ายร้องไห้โยเยเหมือนเด็กน้อยแล้วอดสงสารไม่ได้ มือใหญ่ลูบหัวทุยเบา รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมา

 

“ผมขอโทษ...” ร่างผอมบางกอดเข่าพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาหลุดจากขอบตาไหลซึมผ่านกางเกง “ขอโทษครับ”

 

“ไม่เป็นไรเอม ไม่เป็นไร พี่ไม่โกรธหรอก อย่าร้องไห้” ฟ้าเอ่ยเสียงเบาปลอบประโลมคนไม่สบาย ชะเอมในยามนี้เอาแต่กล่าวขอโทษซ้ำๆ แต่ในคำพูดแฝงไปด้วยความโศกเศร้า...รู้สึกผิด

 

ผ่านไปไม่นาน รถสีดำสนิทแล่นมาจอดตรงหน้าด้วยความเงียบเชียบ ร่างสูงของคนไม่รู้จักก้าวเดินอ้อมรถมา เชฟหนุ่มรีบลุกขึ้นทันที

 

“คิน...ใช่มั้ย?”

 

“ครับ...” คินพยักหน้าให้ฟ้า ร่างสูงทรุดตัวลงใกล้ร่างผอมที่นั่งกอดเข่าตัวสั่นเทา ใช้หลังมืออังหน้าผาก ใบหน้า ลำคอเช็คอุณหภูมิ แต่ชะเอมก็ยังหลับตานิ่ง หอบหายใจแรง “เอม”

 

“เอม...”

 

“ครับ...พี่ฟ้า” ดวงตากลมปรือมอง ไม่ใช่นี่นา “คิน?”

 

ร่างสูงยิ้มบาง กระซิบถามเสียงเบา “เอม ลุกไหวมั้ย”

 

“คิน...คินเหรอ” แขนบางอ่อนแรงเอื้อมกอดคอคนตรงหน้า จะภาพลวงตาหรือความฝันก็ช่าง...ดีใจ “ฮึก!”

 

ความร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากร่างผอมบาง ทำให้คินขมวดคิ้วแน่น แม้จะไม่สบายขนาดนี้แต่ก็ไม่เคยบอกอะไรเลย...เวลาชะเอมเป็นอะไรไม่เคยพูดหรือบอกอะไรใครเลย จะมารู้ก็ตอนที่อีกฝ่ายอาการเป็นหนักแล้วแบบนี้

 

อ้อมแขนแกร่งกอดตอบคนไม่สบายที่สะอื้นฮักแนบอก ฟ้าที่ยืนมองอยู่ก็จะมาช่วยพยุง แต่คินส่ายหน้าปฏิเสธ

 

“ไม่เป็นไรครับ” ร่างสูงตวัดคนตัวเบาหวิวขึ้นอุ้ม ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความทะนุถนอม อ่อนโยน ใบหน้าคมพยักหน้าขอบคุณคนที่เปิดประตูให้ คินเอื้อมมือปิดแอร์ ปรับเบาะเอนระนาบ หยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่แขนอยู่หลังรถมาห่มให้ชะเอมที่นอนกอดตัวเองตัวสั่นเทา

 

“ขอบคุณมากนะครับ ที่อยู่รอเป็นเพื่อนเอม”

 

“ไม่เป็นไร รีบพาเขากลับเถอะ อีกเดี๋ยวฝนจะตกแล้วจะขับรถลำบาก”

 

“ครับ” คินเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ เหยียบคันเร่งออกตัว สายตาคมกริบเหลือบมองกระจกหลังรถเห็นคนที่อ้างว่าเป็นเจ้านายของชะเอมยังยืนมองอยู่ลิบๆ และสักพักร่างสูงก็หันหลังเดินกลับเข้าห้างสรรพสินค้าไป

 

 

************************Whose fault? ************************



ติดตามตอนต่อไปนะคะ

 ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านแล้วเม้นเป็นกำลังใจค่ะ

แจกันนน
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 24 18/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-12-2018 14:32:50
พาไปโรงพยาบาลเถอะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 24 18/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 18-12-2018 19:02:13
จะกรี้ด บ้าบอที่สุด
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 24 18/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 18-12-2018 20:33:47
 ดึงดราม่ามากไป จนยืดเยื้อ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 24 18/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 19-12-2018 01:49:55
 :angry2: ที่ :fire: :m31: เรย์หรือคินที่ใจร้ายกว่ากันนน
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 24 18/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 19-12-2018 02:37:06
 สงสารเอม,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-12-2018 00:02:51

                                                          Whose Fault ?

                                                           ผิด...ครั้งที่ 25





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



"เอม" เขาเรียกชื่อคนตรงหน้า ดวงตากลมแดงก่ำชุ่มฉ่ำด้วยน้ำตา นิ้วเรียวยาวลูบไล้ใต้ตาช้ำแผ่วเบา "คินขอโทษ"



คำขอโทษของเขา พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็รู้ดีว่าไม่สามารถชดใช้บาปที่ทำขึ้นกับคนตรงหน้าได้



เขาทำให้เอมเสียใจมาหลายร้อยครั้ง



มันเป็นเพราะ 'เขา'



ความผิดของเขาทั้งหมด







"คิน ช่วงนี้หายไปไหนบ่อยจัง เรย์โทรหาก็ไม่ค่อยรับ"



"อืม ก็นิดหน่อย" เสียงทุ้มตอบร่างเล็กสั้นๆ สายตามองไปข้างหน้าเนื่องจากขับรถอยู่ โดยทำเป็นไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนจับจ้องจากคนข้างๆ



"เราไปเที่ยวกันบ้างมั้ย ช่วงนี้เรียนหนักมากเลย เรย์เบื่ออะ" เรย์บ่นอิดออด



'ไปเที่ยวด้วยกันมั้ยคิน อาทิตย์นี้'



"เอ้อ ว่าแต่ใกล้วันเกิดคินแล้ว วันไหนนะ อาทิตย์หน้ารึเปล่า เรย์ขอจองตัวไว้ก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราจะได้ไปฉลองกันสองคน" เรย์หยิบมือถือขึ้นมาไถๆ เหมือนดูอะไรบางอย่างแล้วพูดอมยิ้ม



"อาทิตย์เหรอ...คินไม่น่าว่าง"



เพราะว่าเขาสัญญากับใครบางคนไปแล้ว



"อ้าว อะไรกัน ไม่ว่างเหรอ" เรย์พูดหน้าซึม "ไปไหนอะ เรย์อุตส่าห์รอวันนี้มาตั้งนาน ตั้งใจจะฉลองวันเกิดพร้อมกับฉลองการเป็นแฟนครั้งแรกซักหน่อย"



เขามองนิดๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำนั้นก่อนเอ่ยต่อรอง "เอาเป็นวันอื่นได้มั้ย วันเสาร์ก็ได้นี่ ยังไงเรย์ก็ว่างไม่ใช่เหรอ"   



"แต่ถ้าไม่ใช่วันเกิดคินก็ไม่มีความหมายนี่นา"



"..."



เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ สายตาคมยังคงจ้องมองไปข้างหน้าก่อนที่รถจะติดไฟแดง ทำให้เขาต้องหันหน้ามาสนทนากับร่างเล็กด้วยอย่างช่วยไม่ได้



"คินไปธุระไหน ทำไมไม่ว่างล่ะ คุณลุงยังทำงานอยู่เมืองนอกไม่กลับไม่ใช่เหรอ" เรย์ถาม ดวงตาที่มองมาทำให้เขาไม่กล้าสบกลับ เหมือนพยายามค้นหา...ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก "นี่...มีอะไรที่ 'สำคัญ' กว่าการอยู่ฉลองวันเกิดกับ 'แฟน' อีกเหรอ"



ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นมันช่างประชดประชันและเหน็บแนม



"เดี๋ยวคินขอดูก่อนก็แล้วกัน"



"เย้~! ว่าแล้วเรย์คิดไม่ผิดเลย ยังไงคินก็ต้องเห็นเรย์มาก่อนอยู่แล้วล่ะ"



จุ๊บ!



ร่างเล็กคว้าลำคออีกฝ่ายให้โน้มลงมาเพื่อที่เจ้าตัวประทับจูบลงบนริมฝีปากหยักง่ายดาย



 “ให้รางวัล” อีกฝ่ายพูดอมยิ้ม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีไฟจราจรก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ร่างสูงก็ได้แต่เหยียบคันเร่งออกไปไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก



"คินสัญญาแล้วนะ เดี๋ยวเรย์จะได้บอกคุณแม่ วันนั้นจะได้ไปทำบุญที่วัดแต่เช้าพร้อมๆ กันเลย"



คนพูดคนเดียวฮึมฮัมเพลงอะไรสักอย่างและมองออกไปนอกหน้าต่าง



ในเวลาต่อมาก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ สรุปแล้วเขาต้องไปกับเรย์...กับครอบครัวของเรย์



นี่หมายความว่าเขาจะต้องปฏิเสธชะเอมงั้นหรือ



'ไปเที่ยวด้วยกันมั้ยคิน อาทิตย์นี้'



นึกถึงรอยยิ้มดีใจในยามที่เขาตอบตกลง...เปลี่ยนเป็นหยาดน้ำตาและเสียงร้องไห้



เพียงแค่นึก...ในใจของเขามันก็แห้งผาก



'ชอบเขาแล้วยังเสือกปากแข็ง ระวังตัวเหอะ เสียเขาไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้ ถึงวันนั้นกูจะหัวเราะเยาะมึงให้ฟันหักเลยคิน'



รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเรย์มันเริ่มเข้ากันไม่ได้มากขึ้น...มากขึ้นทุกที



...อยากจะจบมัน...



พูดง่ายๆ และเห็นแก่ตัว...เขารู้ดี



แต่ยิ่งคบกันไป รังแต่จะทำให้ความรู้สึกของเขามันยิ่งแย่ลง



‘ผมชอบคิน’



...อยากจะจบมัน...



เรย์ไม่ได้ทำอะไรผิด ร่างเล็กก็แค่มีนิสัยที่...ควรจะให้คนอื่นที่พร้อมจะยอมรับและดูแลอย่างเต็มใจมากกว่าที่จะเป็นเขา



ตัวเขานี่โคตรแย่ที่ให้โอกาสอีกฝ่ายแล้วตอนนี้ก็ยังคิดจะเลิกราอย่างไร้เหตุผล...และแย่ยิ่งกว่าคือการลากชะเอมเข้ามาเจ็บด้วย



'ถ้ามึงยอมรับความรู้สึกจริงๆ ของมึงได้เมื่อไหร่และยังอยากจะรู้อยู่...ถึงตอนนั้นค่อยมาถามกูก็ได้'



เสียงของเอกผุดขึ้นดังก้องในโสตประสาท



ทำไมก็ไม่รู้ถึงรู้สึกขึ้นมาตอนนี้...แต่เขาอยากรู้ว่าเรื่องที่ไอ้เอกพูดตอนนั้นมันคืออะไร...



ความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรย์และเอม...อะไรบางอย่าง



แต่มันไม่สำคัญเท่าที่ถ้าหากรู้เรื่องนั้น...เขาจะสามารถหลุดจากการผูกมัดนี้ได้หรือไม่



ไม่อยากให้มันยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีกแล้ว







************************Whose fault? ************************







ภาคิน : เรื่องไปเที่ยวน่ะ 21.36pm Read

chÄim : อื้ม วันอาทิตย์นี้ดีไหม 21.37pm Read

ภาคิน : เปล่า ขอโทษที อาทิตย์นี้ไม่ได้น่ะ 21.46 Read

ภาคิน : เอม 21.55pm Read

chÄim : ครับ ไม่เป็นไรคิน ถ้าว่างตอนไหนคินค่อยบอกเอมก็แล้วกันนะ 21.57pm Read

chÄim : แล้ววันนั้นจะมากินข้าวเย็นมั้ย 21.58pm Read

ภาคิน : โทษที นั่นก็ไม่ได้น่ะ อาทิตย์นี้ไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะ 22.00pm Read

chÄim : ครับ 22.05pm Read

           



"เอม...เอม!!!"



ร่างผอมบางกำลังวิ่งหนีห่างออกไป เสียงทุ้มตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหันกลับมา...ไปไกล...ไกลมากขึ้นทุกที



ขายาวพยายามวิ่งไล่สุดฝีเท้า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทัน



เสียงทุ้มตะเบ็งสุดเสียงจนเจ็บลำคอ



"เอม...อย่าไป!!!"



เฮือก!



ร่างสูงสะดุ้งลืมตาโพลง ผุดลุกขึ้นนั่ง สัมผัสถึงความเปียกชื้นที่ใบหน้าและแผ่นหลังกว้าง หอบหายใจเข้าออกลึกเนื่องจากความฝันที่เหมือนจริง เขากำลังวิ่งไล่ชะเอมที่วิ่งหนีเขา



"แฮ่ก...เฮ้อ" คินทิ้งตัวลงนอน แขนใหญ่พาดปิดใบหน้า



ฝัน...



แม้ในตอนตื่นก็ยังจำความรู้สึกได้ ว่ามันโหยหาขนาดไหน...ใจหายขนาดไหนที่คิดว่าจะไม่ได้เจอร่างผอมบางคนนั้นอีกแล้ว



แต่ในฝันนั้นเขาไม่เห็นใบหน้าอีกฝ่ายเลย ชะเอมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่...กำลังร้องไห้อีกแล้วหรือเปล่า



'ผมชอบคินนะ ชอบ...'



ทั้งๆ ที่บอกแบบนั้นกับคิน แล้วทำไมถึงยังวิ่งหนีไปอีกล่ะ



มันหมายความว่ายังไง



...เอม...









"คิน...คุณภาคินครับ!"



"อะ อืม...ว่าไง"



ร่างเล็กกอดอกพองลม "เหม่ออะไรน่ะ ตั้งแต่ดูหนังแล้วนะ"



ถ้าเป็นแต่ก่อนคินอาจจะมองท่าทางตอนนี้ของเรย์ว่าน่ารัก แต่ไม่มีอารมณ์เลย...ในหัวมันตื้อ รู้สึกเฉยชาไปหมด



คิดถึงแค่คนๆ เดียว



‘ถ้าคินไม่ไป เอมไปเอง’



ถึงจะสังหรณ์ไม่ดีเพราะแผ่นหลังบางวิ่งหนีซ้อนกับความฝัน แต่ถ้าหากเขาตามไปรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายถอยหนีมากขึ้นก็เป็นได้...และชะเอมก็คงอยากจะอยู่คนเดียว...ในเวลานี้



กรุ๊งกริ๊ง



เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้น ทำให้สายตาคมก้มมอง



‘เอมแค่มาซื้อนี่ให้ อึก ถ้าคินไม่อยากได้...ก็ทิ้งมันไปก็แล้วกัน’



ไม่มีทางหรอก



พวงกุญแจที่เป็นของขวัญวันเกิดที่ชะเอมเป็นคนมอบมันให้กับผม...ผมชอบมาก



พวงกุญแจลูกโลกขนาดจิ๋วสลักลายและลงสีได้อย่างละเอียด ที่มองกี่ทีๆ ก็รู้สึกตรึงตราประทับใจ



มันสวยมาก จนร่างสูงต้องเอามันมาแขวนไว้ในที่ๆ เห็นได้ง่ายๆ อย่างโทรศัพท์มือถือ...เวลามองมันจะได้นึกถึงหน้าของคนที่ให้



เขา...อยากซื้อของให้ชะเอม ถ้าเขาให้ชะเอมบ้าง ร่างบางน่าจะดีใจ และน่าจะทำให้สายตาตัดพ้อนั่นจางลงไปเพียงเล็กน้อยก็ยังดี



ริมฝีปากหยักยิ้มโดยไม่รู้ตัว เพียงแค่นึกถึงใบหน้าดีใจของคนในภวังค์



"เราดูหนังกันแล้ว เดี๋ยวไปเดินเล่น หาซื้อของกันไหม คินอยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า"



"ไม่..." ร่างสูงตอบสั้นๆ ตักข้าวเข้าปากเคี้ยวมันทั้งที่รสชาดจืดชืด ไม่ได้สนใจท่าทางกระตือรือร้นของเรย์ที่ดูเหมือนอยากจะซื้อของให้เขาเสียเหลือเกิน



"ไม่เป็นไร เดี๋ยวลองเดินดูก่อนค่อยคิดก็ได้เนอะ" เขาไม่ตอบ ยกแก้วน้ำขึ้นดูดนิ่งๆ เพราะรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็เอาแต่ใจ คิดเองเออเองอยู่แล้ว



พักนี้นิสัยนี้ของเรย์ก็หนักมากขึ้นทุกที จนเขา...เบื่อหน่ายแกมเอือมระอา



"ยินดีต้อนรับครับ"



มือใหญ่ดันประตูที่มีกระดิ่งติดดังกรุ๊งกริ๊งและก้าวเดินเข้ามาในร้านที่มีของจุกจิกน่ารักเต็มไปหมด ร้านที่เหมาะกับผู้หญิงจะเดินเข้ามามากกว่าจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่บึกบึนแบบนี้ ส่วนเรย์นั้นบอกว่าจะไปดูอย่างอื่น...เขาจึงได้มีเวลาส่วนตัวบ้างเสียที



เอาเถอะ อันที่จริงคินก็ไม่ได้พิศวาสร้านอะไรแบบนี้หรอก ก็แค่อยากจะหาซื้ออะไรตอบแทนเอมบ้างเท่านั้น



และพวงกุญแจก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน



"หืม อ้าว...คุณลูกค้าครับ นั่นมัน..." ร่างสูงหันไปมองเมื่อมีคนทัก พนักงานชายที่จ้องมองส่วนล่างของเขาตาไม่กระพริบ ตอนแรกก็คิดว่าอะไร พอมองตามก็พบว่า "พวงกุญแจนั่น...แสดงว่าคุณก็เป็น...อ้า คุณรู้จักคุณชะเอมใช่มั้ยครับ บังเอิญสุดๆ ไปเลย"



การพูดเองเออเองของพนักงานชายคนนี้ ทำให้คินมองงงปนอึ้ง "นี่คุณรู้จักเอมด้วยเหรอ"



"ใช่ ใช่สิครับ เพราะพวงกุญแจลูกโลกนั่น เขาเพิ่งซื้อมันไปเมื่อบ่ายนี้เอง" อีกฝ่ายพูดอย่างตื่นเต้น คำบอกเล่าทำให้ผมนิ่งฟัง "เขาบอกจะซื้อไปให้คนสำคัญ ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง!"



ตึกตัก!



...คนสำคัญ...



คำบอกเล่าของพนักงานชายแปลกหน้าทำให้ใจของเขากระตุกอย่างแรง



"ว่าแต่คุณหาซื้ออะไรเหรอ"



"พอดีผมก็กำลังมาหาซื้อของตอบแทนให้เอมครับ แล้วก็คิดไว้ว่าจะให้เป็นพวงกุญแจเหมือนกันน่าจะดี..."



พนักงานหนุ่มดีดนิ้วดังเปาะ ยิ้มกว้าง "งั้นก็ดีเลยครับ คุณลูกค้าก็ซื้ออันนี้ไปให้คุณเอมเลยสิ" ว่าแล้วมือก็ค้นในตู้กระจกเพียงชั่วครู่แล้วหยิบมาวาง "จริงๆ มันเป็นพวงกุญแจคู่กับลูกโลกอันนั้นล่ะครับ แต่คุณเอมขอให้ผมเก็บเอาไว้เพราะเงินไม่พอซื้อ...ว่าไปแล้วก็บังเอิญจริงๆ เลยนะครับเนี่ย"



ผมหยิบพวงกุญแจอันที่ว่าขึ้นมาดู เป็นพระจันทร์เต็มดวงมีหลุมขรุขระเป็นลายกระต่าย...น่ารักดี



พวงกุญแจคู่เหรอ...



"งั้นผมเอาอันนี้แหละครับ"



"ขอบคุณที่อุดหนุนครับผม"



"นั่นอะไรน่ะ คิน" ร่างเล็กชะโงกหน้ามาดูถุงในมือใหญ่ ร่างสูงก็รีบเบี่ยงเล็กน้อย "ขอดูหน่อยสิ"



"ไม่มีอะไรหรอก"



"ไม่มีอะไรก็เอามาให้เรย์ดูสิ" เรย์คว้าถุงในมือคินไป จนร่างสูงยืนกลอกตาถอนหายใจเบาๆ



"เรย์ อย่าเอาแต่ใจนักสิ"



"เรย์เปล่า แต่คินมีความลับกับเรย์นี่นา เป็นแฟนกันห้ามมีความลับต่อกันนะ" ร่างเล็กยิ้มหวานตีหน้าซื่อ แหวกถุงมองแล้วตาเป็นประกาย "ว้าว พวงกุญแจสวยจัง"



"...เรย์เอาคืนมาได้แล้ว" เสียงทุ้มบอกเข้มพลางยื่นมือแบค้างตรงหน้า...รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย



"ทำไมคินต้องทำอะไรดูมีลับลมคมในด้วย" เรย์ยักคิ้วหลิ่วตา "ฮันแน่ อย่าบอกนะ...ว่าจะซื้อให้เรย์"



"มะ..."



เจ้าตัวพูดแทรกพลางยิ้มกว้างอย่างดีใจ "เสียใจด้วยนะเพราะว่าตอนนี้เรย์รู้แล้ว คราวหลังไม่ต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ ก็ได้...งั้นเรย์ขอล่ะ จะได้แขวนคู่กับคินด้วย" ร่างเล็กยิ้มเขิน รีบแกะถุงแล้วคล้องพวงกุญแจกับโทรศัพท์ของตัวเอง



มือใหญ่รีบคว้าข้อมือเล็กทันที เผลอขึ้นเสียงใส่เพราะนิสัยเอาแต่ใจและคิดเองเออเองไม่ถามเขาสักคำ



"เรย์! อันนี้ไม่ใช่...ถ้าอยากได้เดี๋ยวคินซื้ออันอื่นให้"



นั่นมันของชะเอม...เขาตั้งใจซื้อให้ร่างบางคนนั้น...ไม่ใช่เรย์



เรย์เบี่ยงตัวไม่ให้ร่างสูงเอาของคืน "ไม่เอา ก็เรย์ชอบอันนี้นี่"



"แต่นั่น..."



"จะซื้อให้เอมล่ะสิ" คินชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มบางของร่างเล็ก แต่ทว่าดวงตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย "คินรู้รึเปล่าว่าเดี๋ยวนี้ที่คินชอบหายไปแล้วเวลาเรย์โทรหาก็ไม่ยอมรับสายน่ะ...เรย์รู้มาตลอดแหละว่าคินไปหาเอม...ไปรับไปส่ง ประคบประหงมยิ่งกว่าแฟนตัวจริงอย่างเรย์"



"..."



"แบบนี้จะไม่ให้เรย์น้อยใจได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเจอมันทุกวันเข้าแล้วคิดอยากจะกลับไปหามันขึ้นมา"



คำพูดของเรย์มันทำให้เส้นบางอย่างในหัวของเขาขาดผึงทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกชะเอมว่า 'มัน'



"อย่าลามปามให้มากนัก...แล้วก็อย่ามาเรียกเอมแบบนั้น อย่าให้คินหมดความอดทน"



"ก็ลองดูสิ ถ้าคินทำอะไรขัดใจเรย์เมื่อไหร่ เรย์จะฟ้องคุณพ่อกับคุณแม่"



มือใหญ่กำหมัดแน่นเมื่ออีกฝ่ายอ้างถึงบิดามารดา โกรธยิ่งกว่าอะไรแต่ระบายมันออกไปไม่ได้



นี่เขาเคยคิดว่าเรย์เป็นคนนิสัยดี น่ารัก...ได้ยังไงกัน



เขาเพิ่งได้รู้ เมื่อตอนเจอกับพ่อของเรย์ครั้งแรก



คุณชาญณรงค์ โรจน์ศักดินา เป็นเพื่อนสนิทกับเกษมศักดิ์ พ่อของคินสมัยยังหนุ่มๆ และคุณฉัตรแก้วแม่ของเรย์ก็เป็นเพื่อนของแม่ที่จากโลกนี้ไปนานแสนนานแล้วตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ



และคิดว่าพ่อก็คงยังไม่รู้ว่าเรย์เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทที่ห่างหายไปนาน



"ยิ่งคินอยากจะให้อะไรเอม เรย์ก็อยากได้มันทั้งหมด...ของชิ้นนี้เรย์ก็ชอบ เพราะงั้นเรย์จะเอา" เจ้าตัวจับโทรศัพท์แล้วมองพวงกุญแจแกว่งไปมายิ้มๆ ตาประกาย "ถือเป็นของขวัญครบรอบหนึ่งเดือนของการคบกันเป็นแฟนระหว่างเราละกันเนอะ"



เป็นความผิดของเขา...ที่ได้แต่ยืนกำหมัดแน่นมองการกระทำเอาแต่ใจแบบนี้ของเรย์และปล่อยผ่านไปโดยไม่ทำอะไร



มันทำให้ต้องทำให้ชะเอมเสียใจภายหลัง







************************Whose fault? ************************







คินโทรหาเอมเพื่อที่จะบอกว่าวันนี้จะไปรับ ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่ม แต่แล้วเมื่อแนบโทรศัพท์กับหูก็ได้ยินเสียงรอสายที่ดังนาน...ทั้งๆ ที่มันควรเป็นเวลาเลิกงานแล้วแท้ๆ แต่อีกฝั่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย



เนื่องจากวันนี้เขาเรียนเลิกดึก เพราะอาจารย์ชดเชยคลาสเรียนคราวที่แล้วที่แกไม่ได้เข้าสอน พอเลิกเรียนปุ๊บร่างสูงก็คิดไว้ว่าจะแวะไปหาร่างผอมบางที่ไม่ได้เจอกันซักพักแล้ว



และอีกฝ่ายเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยรับสายของเขาด้วย อาจจะเพราะว่าวันนั้นที่พวกเราทะเลาะกัน แล้วก็ยังไม่ได้คุยหรือทำความเข้าใจกันเลย



แต่ถึงจะไม่รับ...ยังไงเขาก็อยากจะไปเจอ แค่เห็นหน้าก็ยังดี



หมับ!



มือใหญ่ที่กำลังเปิดประตูรถก็ต้องชะงักเมื่อมีแรงโถมจากด้านหลัง



"คินไปส่งเรย์หน่อย"



คินดันตัวร่างเล็กออกห่าง อีกฝ่ายมักจะชอบทำอะไรไม่อายสายตาคนอื่น ไม่ใช่ว่าร่างสูงจะอายอะไรกับเรื่องแค่นี้ แต่แค่รู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่อยู่กับเรย์ อึดอัดสัมผัสของเรย์ที่มักจะกอด หอมแก้ม จูบแบบไม่ทันตั้งตัว และช่วงนี้ก็เป็นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ



"เรย์ไม่ได้เอารถมาเหรอ" เสียงทุ้มถามอ้อมเป็นการไล่กลายๆ ...ครอบครัวอีกฝ่ายมีฐานะมาก ไม่มีทางที่พ่อแม่จะไม่ซื้อรถให้ลูกชายของตัวเอง ขนาดน้องริน...น้องสาวของเรย์ยังขับรถไปกลับเพื่อมาเรียนเองเลย



"คินพูดอะไรน่ะ แต่ก่อนยังไปรับไปส่งได้ แล้วทำไมตอนนี้ถึงถามแบบนี้" เรย์พูดจับผิด นี่แหละเป็นอีกนิสัยหนึ่งที่คนอย่างคินเกลียดมาก "อ๋อ ทำเป็นไล่เรย์ แต่จริงๆ แล้วจะไปหาชะเอมสิท่า"



"ถ้าใช่แล้วจะทำไม?" ร่างสูงตอบไม่ใส่ใจ เปิดประตูก้าวขึ้นรถทันที เห็นเรย์ยืนกระทืบเท้าไม่พอใจอยู่นอกรถ เขาก็เฉยชา มือคาดเบลท์และปลดเกียร์ เตรียมเหยียบคันเร่งแต่แล้ว...



เอี๊ยด!! ปริ๊น!!!



จู่ๆ ร่างเล็กก็กระโจนขวางหน้ารถ เสียงทุ้มสบถคำหยาบคายและกำปั้นหนักๆ ก็กระแทกลงหน้าพวงมาลัยด้วยความหงุดหงิด แต่อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านซ้ำยังเดินอ้อมมาเปิดประตูขึ้นนั่งอย่างหน้าด้านๆ



"เรย์ไปด้วย"



"ทำบ้าอะไร!!?"



"อย่ามาตะคอกเรย์นะ!"



"ลงไป"



"ไม่!"



"บอกให้ลงไป!!"



"ก็บอกว่าไม่ไง!"


>>>>>>ต่อด้านล่างเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-12-2018 00:03:31


ต่อจากด้านบนค่ะ<<<<<<<



ร่างสูงหายใจแรงจ้องตาคนที่ไม่ได้รับอนุญาตเขม็ง รู้สึกเหมือนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบ ขายาวจึงเหยียบคันเร่งกระชากรถเพื่อระบายอารมณ์แม้จะอยู่ในเขตรั้วของมหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจเลยว่าเรย์จะคาดเข็มขัดนิรภัยไว้หรือยัง



"คิน เบาๆ..."



"เงียบปากซะ อย่าพูดมาก บอกแล้วไงว่าอย่าให้ฉันหมดความอดทนมากไปกว่านี้"



"..."



"อย่าคิดว่าสถานะตอนนี้ของเราจะทำให้นายทำอะไรเอาแต่ใจอะไรก็ได้นะเรย์ เพราะฉันจะทำให้มันจบลงตรงนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังได้"



"ไม่! ...คินจะพูดยังไง เรย์ก็ไม่เลิกหรอก เรย์จะไม่ทำให้มันจบลงแบบนี้แน่" ร่างเล็กทำเป็นพูดเสียงแข็ง แม้ใจจะเริ่มหวาดกลัวกับอารมณ์รุนแรงของร่างสูง เขาจะไม่ยอมเสียหน้าเป็นคนน่าสมเพชแทนไอ้เอม คนที่ควรจะน่าสมเพชที่สุดคือมันไม่ใช่กู!



“แล้วถ้าคินทำจริง เรย์จะบอกพ่อ” แขนบางกอดอกวางท่าพูดประโยคเดิม



ร่างสูงเบื่อที่จะฟังอีกฝ่ายพูดเรื่องนี้เต็มทน “ถ้าคิดว่าคำพูดนี้จะใช้ได้ตลอดไปล่ะก็นายคิดผิดแล้ว”



 “แสดงว่าคินไม่เห็นหัวพ่อของเรย์เลยสินะ”



“ก็อยากจะเห็นอยู่ แต่ดูนิสัยของลูกชายซะก่อน” เสียงทุ้มหลุดหัวเราะพรืด ขำคำพูดร่างเล็กเสียเต็มประดา เหยียบเบรกเอี๊ยดเมื่อจราจรโชว์ไฟสีแดง เขาตวัดมองคนที่นั่งข้างๆ ด้วยสายตาคมกริบ “ถ้าฉันอยากจะเลิกก็คือเลิก แล้วก็ไม่ต้องเอาพ่อของนายมาอ้าง เพราะฉันจะไม่สนอีกต่อไปแล้ว”



ถ้าหากไม่คิดจะมีความเกรงใจให้กัน...ก็อย่าหวังว่าเขาจะมีให้



“ได้ แล้วเรย์จะคอยดู!” อีกฝ่ายพูดเสียงกร้าว



"หึ" คำพูดและความอวดดีของเรย์ มันทำให้ร่างสูงหัวเราะไม่คิดต่อคำพูดอีกเพราะเปลืองน้ำลายเปล่า มือเอื้อมกดปุ่มเร่งความเย็นของแอร์ให้มันหนาวยะเยือกเพื่อดับอารมณ์ร้อน ไม่สนใจว่าใครอีกคนจะทนความเย็นนี้ได้หรือไม่...เมื่อขึ้นมาแล้วก็ไม่มีสิทธิ์จะบ่น



เพียงไม่นาน ด้วยความเร็วระดับมากกว่าปกติทำให้มาถึงอย่างรวดเร็ว เขาจอดทันทีเมื่อเห็นร่างผอมบางคุ้นตายืนอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า แปลกใจแต่ไม่รอช้าร่างสูงรีบก้าวลงจากรถทันที



"เอม...ทำไมไม่รับสายล่ะ คินโทรไปไม่ได้ยินเหรอ"



ขายาวเดินเข้าใกล้มากเท่าไหร่แต่ยิ่งทำให้อีกฝ่ายผละถอยหนี



"คินมาทำไม..."



ลมหายใจของคนได้ยินกระตุกวูบ ไม่คาดคิดว่าจะเจอคำถามนี้ ชะเอมยังคงโกรธเรื่องวันก่อนอยู่...ดวงตากลมโตสีดำฉายความไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจในการกระทำของคิน



ผม...อยากจะแก้ไขทุกอย่าง ทุกอย่างที่ผมทำมันพัง ผมอยากจะแก้ไขมัน...ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่า



แต่ก่อนอื่น...ต้องพูดอะไรสักอย่าง



"คิน ฝนใกล้ตกแล้ว รีบหน่อยเถอะ เรย์ต้องรีบกลับบ้านนะ" สายตาคมกริบตวัดมองจ้องเขม็งไปยังร่างเล็กที่เปิดประตูลงจากรถมาเมื่อไหร่ไม่รู้พูดขึ้น



อย่าเพิ่งไปสนใจ คนที่ควรแคร์มากที่สุดในตอนนี้คือชะเอมที่มองผมด้วยดวงตาสั่นระริกเหมือนจะร้องไห้คนนี้



"เอม...คินมารับ กลับกับคินเถอะ" เสียงทุ้มอ้อนวอน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว ตั้งแต่เห็นเรย์ที่ก้าวลงจากรถของเขา ชะเอมมองกลับมาด้วยสายตาตัดพ้อและน้ำตาไหลลงจากขอบตา...หัวใจของเขาพลันเจ็บแปลบ



ก่อนที่ร่างบางจะคิดหนีเหมือนคราวที่ผ่านมา มือใหญ่ก็พลันเอื้อมไปจับข้อมือผอมเสียก่อนแล้วลากให้ขาเรียวเดินตามมา



"ไม่! เอมไม่ไป เอมกลับเองได้!" แต่ทันทีที่สัมผัสชะเอมก็สะบัดอย่างแรงแถมยังขืนตัวฝืน มือบางพยายามงัดมือของเขาออก แต่มันไม่มีผลเลย "คินปล่อยนะ!!"



ท่าทางขัดขืนสุดฤทธิ์มันทำให้คนมองอดปวดใจไม่ได้ ที่เจ้าตัวมีท่าทางอย่างนี้เพราะเขา...ที่ชะเอมตะโกนใส่เขาแบบนี้เพราะอีกฝ่ายอดทนมานานจนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย



“ทำไมคินถึงทำกับเอมแบบนี้!”



"เอม..."



เป็นครั้งแรก...ที่ชะเอมลงไม้ลงมือกับผม



แต่จะรู้ไหมว่าคนที่เจ็บกว่าคือเจ้าตัวนั่นแหละ แววตาใสซื่อที่แสดงออกอย่างซื่อตรง รู้สึกทรมานทุกครั้งที่ลงมือทุบตี...ชะเอมยังชอบเขาอยู่...แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่เขาจะพาอีกฝ่ายไปด้วย



ต่อจากนี้จะเป็นฝ่ายเขาบ้างแล้วที่จะไล่ตาม...แม้ว่าอีกฝ่ายจะหนีห่างก็ตาม



"คิน ถ้าเขาไม่ไปก็ปล่อยเขาเถอะ เจ้าตัวก็บอกว่ากลับเองได้นี่"



ร่างสูงไม่สนใจคำพูดพล่ามของเรย์ ตอนนี้ชัดเจนว่าจุดประสงค์ของร่างเล็กคืออะไร...ตั้งใจยั่วยุด้วยคำพูดและดูเหมือนว่าชะเอมที่ฝังใจกับหลายๆ เรื่องยิ่งดิ้นหนักเข้าไปใหญ่



คินกลั้นใจ ตัดสินใจยกร่างผอมบางพาดไหล่ไม่ทันให้ตั้งตัว "อ๊ะ...ไม่..." ความเบาหวิวนั่นยังทำให้แปลกใจไม่น้อยว่านี่คือร่างกายของผู้ชายจริงหรือ



"อุก..."



ขายาวก้าวขึ้นนั่งที่นั่งคนขับ เหยียบคันเร่งออกไปก่อนที่ชะเอมที่ถูกโยนลงเบาะรู้สึกตัว ไม่นานฝนก็พร่างพรายลงมาจากท้องฟ้ามืดครึ้ม ทำให้อากาศในรถที่หนาวอยู่แล้ว ยิ่งเย็นเสียดผิวมากกว่าเดิม นัยน์ตาคมเหลือบมองกระจกหลังร่างผอมบางที่หน้าซีดกอดตัวเองจนตัวสั่นเทา มือใหญ่เลื่อนไปเบาแอร์จนสุด...และสายตาก็เผลอเหลือบไปมองคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งเงียบผิดปกติ



“นั่น...มัน...” เสียงใสคราง ทำให้สายตาคมเหลือบมองผ่านกระจกหลังว่าชะเอมพูดกับใคร ดวงตากลมโตสีดำกำลังจดจ้องไปยังร่างเล็ก



“เอ๊ะ...อ๋อ~” เรย์ยิ้มตามปิด มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นโชว์พวงกุญแจที่คล้องห้อยแกว่งไปมา “สวยใช่ไหม เรย์ชอบมากเลย คินเขาซื้อให้เป็นของขวัญน่ะ”



นั่นมันของที่เขาตั้งใจจะซื้อให้เอม!



“เรย์...มันไม่ใช่แบบนั้น...”



“อ๋อ มันคือของขวัญการคบกันเป็นแฟนได้หนึ่งเดือนแล้วน่ะ คินจะพูดแบบนี้ใช่มั้ย” เรย์ปิดปากหัวเราะคิกคักดูเผินๆ แล้วน่ารัก...หากแต่ความจริงคือการกระทำแสนน่ารังเกียจ



'ยิ่งคินอยากจะให้อะไรเอม เรย์ก็อยากได้มันทั้งหมด...'



ร่างผอมขบริมฝีปากซีดอย่างแรง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยหยาดน้ำตากองหน่วยเตรียมจะไหล



"ก็...สวยดีนะ"



"ใช่ไหมล่ะ กำลังจะอวดอยู่พอเลย แต่เห็นเองแบบนี้ก็แสดงว่าตาถึงเหมือนกันนี่นา"



"เรย์!" คินขึ้นเสียงดัง...โมโหมากเหมือนกำลังจะระเบิดแต่ก็ไม่อยากทำต่อหน้าเอม...ที่เรย์ทำแบบนี้ เท่ากับกำลังท้าทายเขาอย่างแรง



"ก็คินซื้อให้มาคู่กัน เรย์ก็อยากจะอวด" ร่างเล็กแก้มพองลม มองกลับมาอย่างค้อนๆ แง่งอน "ของคินเป็นพวงกุญแจลูกโลกล่ะ คู่กันเลยเนอะโลกกับดวงจันทร์"



น้ำตาไหลเม็ดโตหลั่งไหล “อืม...วันนี้เราเหนื่อยแล้ว ขอตัว...อึก!” มือบางปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ชะเอมก้าวลงจากรถและ...



ปัง!!



มือบางกระแทกประตูรถเสียงดัง ขาเรียวกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป



“เอม!” คินไม่รอช้า รีบลงจากรถวิ่งตามไปทันที



...ต้องพูดกันให้เข้าใจ...แก้ไขความเข้าใจผิด...ก่อนที่จะสายเกินไป...



“เอม เดี๋ยว!!”



อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นแต่ชะเอมก็หายไปพร้อมกับประตูลิฟต์ที่ถูกปิดลง



สิ่งที่เห็นคือใบหน้าหวานที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด...ราวกับจะแหลกสลาย



ดวงตาตัดพ้อและยอมแพ้







ตึง!



"พอใจมั้ย"



"...พูดถึงอะไร"



"ที่พล่ามออกมาเมื่อกี้ไง"



"อะไรกัน เรย์ก็แค่อยากจะอวดของที่คินให้แค่นั้นเอง"



ร่างสูงสูดลมหายใจลึกกับสีหน้าท่าทางที่ไร้ความรู้สึกผิด "ไสหัวไป"



“ไม่...”



“บอกให้ไสหัวไปไงวะ!!”



ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก พูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลลงบนหลังมือแหมะๆ "...ทำไมคินถึงทำแบบนี้ เรย์ไม่เคยทำอะไรผิด ก็แค่หวงคิน เพราะคินเป็นแฟนเรย์...แล้วทำไมคินถึงกลับไปยุ่งกับเอมอีกล่ะ ลืมไปแล้วเหรอว่าเอมเคยทำอะไรเรย์น่ะ...ฮึก"



ท่าทางแตกต่างสุดขั้วจากคนเอาแต่ใจ กลายเป็นร่างเล็กที่ร้องไห้เสียงเครือดูน่าสงสาร



ได้ยินเรย์พูดเขาก็นิ่งเงียบ ปล่อยให้เจ้าตัวร้องไห้ไปอย่างนั้น ไม่คิดจะปลอบอะไรจนกระทั่งขับรถมาถึงบ้านของอีกฝ่ายก็ยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด "เรย์...นายไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก...ที่ผิดน่ะคือฉันเอง"



ผิดที่คิดสั้นจนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างล้มพังลงมา...รวมถึงคนที่สำคัญที่สุด



"..."



"เพราะงั้นเราจบกันตรงนี้เถอะนะ” เขาพยายามทำใจให้เย็น อะไรที่โมโหก่อนหน้านี้ก็ผ่อนลงและตัดสินใจพูดกับอีกฝ่ายดีๆ “...ฉันไม่เคยชอบนายมาตั้งแต่แรก จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยชอบ"



เพราะอยากจะให้ร่างเล็กเข้าใจกันบ้าง...ว่าเราทั้งคู่เข้ากันไม่ได้จริงๆ



“อย่างน้อยเราก็ได้กลับเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”



หากแต่ดวงตาฉ่ำหยาดน้ำแข็งกร้าวขึ้นทันใด "พูดง่ายไปรึเปล่าคิน เรย์ไม่ยอมหรอก...บอกไว้เลยว่าเรย์ไม่ยอมเลิกง่ายๆ แน่ ถ้าจะเลิกก็เลิกไปคนเดียว" ร่างเล็กปฏิเสธคำพูดของเขาทุกทาง ขาก้าวลงจากรถ และมือเหวี่ยงปิดประตูรถแรงจนสะเทือน



เสียงทุ้มถอนหายใจยาว มองแผ่นหลังเล็กที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันเดินเข้าบ้านไป



ตอนนี้สถานะระหว่างเราไม่รู้จะเรียกว่าอะไรได้แล้ว...ในใจนึกเป็นห่วงชะเอมมากแต่อะไรๆ ก็ค้างคาไปหมด



'ทำไมมีแต่เอมคนเดียวที่บอกชอบคินล่ะ'



ไม่ใช่...ไม่ใช่นะเอม...ตอนนี้คินน่ะ...



'ง่ายไปรึเปล่าคิน บอกไว้เลยว่าเรย์ไม่ยอมเลิกแน่'



ใบหน้าคมซบหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างหนักอก...ถ้าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เรย์คงจะไม่มีวันเลิกราแน่นอน





เขาคงต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างได้แล้ว...เพื่อที่จะเอาไอ้บ่วงบ้าๆ ที่เริ่มรัดคอเขาแน่นขึ้นจนหายใจไม่ออกนี่ออกไปซักที



ต้องทำอะไรสักอย่าง...ให้มันชัดเจน





************************Whose fault? ************************



นึกว่าจะไม่ได้มาอัพซะแล้ว

คือที่มาช้าขนาดนี้เพราะมัวแต่รีไรท์ตอนนี้อยู่ คือเขียนไว้นานนมแต่พอมาอ่านอีกที

เฮ้อ เรียบเรียงใหม่ดีกว่า...แก้ไปเยอะ เสริมไปเยอะ

คือรุยอยากได้อะไรที่มันต้องดีที่สุดมาเสิร์ฟให้นักอ่าน...สุดท้ายก็ปิ๊ง มาเสิร์ฟแล้วจ้า




จริงๆ แค่นังคินมีเรย์ก็ถือเป็นบาปเป็นกรรมแล้วล่ะ

จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี นี่แหละคือสิ่งที่ทำไว้กับหนูเอม เจอฤทธิ์นางเรย์เข้าไป

บอกเลยว่าเข็ดไปอีกนาน (หัวเราะสะใจสุดๆ)



เลิฟๆ นักอ่านทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าที่มาเม้นให้กำลังใจ

เจอกันตอนต่อไปนะก๊าา
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-12-2018 00:36:19
 :m16: เรย์มันร้าย  คินจะฉลาดขึ้นไม๋นะ  :m31:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-12-2018 02:41:02
 :z6:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mimasopu ที่ 22-12-2018 07:40:09
ถ้าถามว่าผิดที่ใคร ผิดที่เราจิ้มมาอ่านนี่แหละ
ค้างเติ่งอยู่ตรงนี้ มันค้างคา มันอยากมุดจอลงไปกระทืบกับความสตอของเรย์และเขย่าหัวคิน
เอาจริงๆนะจับมัดมันสองคนให่้ไปอยู่ด้วยกันเถอะ ส่วนน้องเอมให้น้องไปดีหรือไม่ก็หาคนมาช่วยดามใจช่วยดูแลน้องดีกว่า
อีคินมันไม่คู่ควรกับคนดีๆแบบน้อง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 22-12-2018 19:46:26
 :เฮ้อ: น้องเอม
มาลงเรือพี่ เดี๋ยวพี่พาไปหาผู้ชายอื่นค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 23-12-2018 12:06:56
เรย์นี่ร้ายกาจขึ้นทุกวัน ทุกวัน นะ,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 25 22/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 23-12-2018 14:30:23
ขอความชัดเจนด่วนๆ อย่าให้ชะเอมเจ็บไปกว่านี้เลย
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ตอนพิเศษ คริสต์มาส 25/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 25-12-2018 20:59:59


                                                          Whose Fault ?

                                                            ผิด...ที่ใคร
                                               Special on Merry X’mas Day





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม


We wish you a Merry Christmas

We wish you a Merry Christmas

We wish you a Merry Christmas

And a Happy New Year

Good tidings to you, where ever you are

Good tidings for a Christmas and a Happy New Year



เสียงเพลงยอดนิยมที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ว่าจะทั้งในโทรทัศน์หรือโลกภายนอกหรือจากร่างบางที่กำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีนี้อยู่ก็ดี ทำให้รู้ทันทีว่าวันนี้คือวันอะไร



"Good tidings to you, where ever you are~"



แกรก...



"Good tidings for a Christmas and a Happy New Year~"



 คินออกจากห้องน้ำได้ยินเสียงแว่วมาจากห้องครัวจึงเดินมาทั้งๆ ที่ยังพันผ้าขนหนูเพียงแค่ผืนเดียว



"อารมณ์ดีจังนะ"



"คิน" แก้มใสแดงปลั่งเมื่อเห็นสภาพของร่างสูง น้ำเกาะพราวบนกล้ามเนื้อสวยงาม...ดูเซ็กซี่ "ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสิครับ"



น่าไม่อายจริงๆ



เจ้าตัวว่าเสร็จก็หันหลังให้ทำตัวราวกับดูยุ่งมาก...ก็ยุ่งจริงๆ ...ทำกับข้าวอยู่



คนที่โดนว่าในใจแม้จะไม่พูดออกมาก็เหมือนจะรู้ด้วยความเคยชิน...ร่างสูงยืนนิ่งเอาผ้าขนหนูสีขาวที่พาดไหล่ยกขึ้นขยี้หัวเปียกชื้น ขายาวเดินอ้อมไปซ้อนหลังไม่ทันให้ร่างผอมรู้ตัว ยืนแนบชิดจนแผ่นหลังบางรู้สึกถึงอุณหภูมิเย็นๆ ของผิวกายเพราะอีกฝ่ายเพิ่งอาบน้ำเสร็จ



"คิน...ออกไปสิ มันเกะกะนะ"



"หูแดงแล้ว"



พอโดนทักก็เหมือนจะแดงยิ่งกว่าเดิม



"ออกไปสิเอมทำกับข้าวอยู่!" ชะเอมวางมือจากมีด และใช้ไหล่ผอมๆ ดันคนที่ทำตัวเกาะแกะออก



"ก็ทำไปสิ คินแค่ยืนดูเฉยๆ"



"ก็เอมทำไม่ถนัดไงครับ" คิ้วบางขมวดแน่น พอพูดแบบนั้นอีกฝ่ายก็เหมือนจะขยับห่างออกไปนิดนึง...แค่นิดเดียวจริงๆ



สายตาคมไล่มองทำให้ชะเอมขนลุกขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ...มองจากด้านหลังนี่ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ



ถ้า 'ทำ' จากด้านหลังคงจะรู้สึกดีไม่แพ้กัน...แต่ยังไม่เคยเลยสักครั้ง...ไหล่เล็ก...แผ่นหลังขาว...สะบัก...สะโพกโก้งโค้ง...และขาเรียวที่อ้ากว้างให้กระแทกกระทั้น



"หิว..." จมูกโด่งไล้ซอกคอขาว ทำให้ชะเอมหดคอพูดตะกุกตะกัก



"หิวก็ไปแต่งตัวครับ เอมจะได้ทำสะดวกๆ ...อ๊ะ อะไร..." ร่างบางสะดุ้งเมื่ออะไรแข็งๆ ทิ่มตรงสะโพกแถมพอรู้ตัวว่ามันคืออะไร กำลังจะดิ้นออกก็ถูกกดไว้แน่น



"อืม..."



"คิน คนทะลึ่ง!" ใบหน้าหวานแดงก่ำ "อื้อ...ฮึก"



"หิว..." มือร้อนล้วงเข้าใต้ชุดนอนไล้ผิวเนียนเรียบตั้งแต่หน้าท้องจนถึงแผ่นอก ฟันคมขบกัดที่ติ่งหูเล็กทำให้มือไม้อ่อนแรงปล่อยมีดกระทบเขียงดัง



แคร๊ง!



"ฮึก! กะ ก็บอกว่า...ให้...อะ ไปแต่งตัว...อื๊อ"  ร่างบางคู้ตัวลงเพราะถูกเล้าโลมตรงแผ่นอกจนรู้สึกวาบหวิว แต่นั่นยังทำให้สะโพกเล็กยิ่งบดเบียดแนบชิดแก่นกายที่ปูดนูนของร่างสูงเข้าไปใหญ่



"เอมอย่าทำแบบนี้สิ มันยิ่ง..." เสียงทุ้มหลุดครางต่ำ



"คินก็...อย่าบีบ...ฮึก" นิ้วยาวบดคลึงจุกนมให้ร่างบางดิ้นพล่าน



ก็เพราะคินทำแบบนั้นนั่นแหละ!



ยิ่งโดนจู่โจมร่างยิ่งอ่อนปวกเปียก ทั้งด้านบนด้านล่างถูกบดเบียดจนร้อนว ทั้งวาบหวิวและเสียวซ่าน ถ้าถูกจูบด้วยเขาคงไม่รอดแน่



และก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ชะเอมกลั้นใจฮึดแรงทั้งหมดและส่งศอกไปด้านหลังอย่างแรง



พลั่ก!



"อุก!" คินนิ่วหน้าจับท้องตัวเอง แม้แรงของชะเอมจะไม่มากแต่ก็ทำให้จุกได้เหมือนกัน แล้วพอโดนถองแบบนี้ 'อะไรๆ' มันก็หดหมด "เอม..."



"คนหื่น ไปช่วยตัวเองเลย! เข้าห้องน้ำไปเลยนะ!" ชะเอมที่นั่งกับพื้นเพราะหมดแรง กอดตัวเองเหมือนกำลังจะถูกข่มขืนและตะโกนลั่นห้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ "ถ้ายังไม่หยุดอีกก็ไม่ต้องกินข้าวที่เอมทำเลย!!"



จากนั้นคินก็คอตกเดินเข้าห้องและเปลี่ยนชุดตามคำสั่งของภรรยาผู้เขินอาย



อะไรนะ ทำไมไม่เข้าห้องน้ำเหรอ...ก็เพราะมันหมดอารมณ์แล้วไง







เสียงเพลงยอดฮิตที่แม้แต่ในห้างสรรพสินค้าก็ยังเปิด จนเด็กเล็กกระโดดโลดเต้นร้องเพลงตามอย่างมีความสุข แต่ทว่าตอนนี้อารมณ์ของคินกำลังคุกรุ่นอย่างหนัก ร่างสูงยืนกอดอกขมวดคิ้วและจ้องเขม็ง เพราะภาพที่เห็นตรงหน้า



คนสองคนที่หัวเราะต่อกระซิก ใบหน้าหวานยิ้มสว่างสดใสให้กับร่างสูงที่อยู่ข้างๆ กัน แถมแขนแกร่งยังโอบไหล่บางเวลาพูดคุย ทั้งเดิน ทั้งเลือกของ...ไม่ต้องแนบชิดขนาดนั้นก็ได้มั้ง!?



"คุณลุงครับ อันนี้ดีมั้ย"



"เอาสิ ถ้าเอมชอบ ลุงก็ชอบ" เกษมศักดิ์ตอบเอาใจ ก็เห็นตาใสเป็นระยิบระยับแบบนั้นจะปฏิเสธลงได้ยังไง



"แต่ว่าซื้อเยอะแบบนี้มันจะดีจริงๆ เหรอครับ" ร่างบางขมวดคิ้วกังวล เป็นครั้งแรกที่จะจัดงานคริสต์มาสที่บ้านใหญ่ แล้วเป็นชะเอมเองที่อยากได้ทั้งต้นคริสมาสต์แล้วก็ของประดับตกแต่ง แค่ต้นไม้ก็ปาเข้าไปหลายพัน แล้วนี่ยังจะพวกของกระจุกกระจิกอีก...พอคิดไปคิดมาก็เริ่มคิดมาก



"ถ้าเอมอยากจัดก็จัดสิ พวกแม่บ้านเขาจะได้สนุกด้วยกัน ไม่ดีหรือ" ร่างสูงเห็นลูกบุญธรรมที่น่ารักเม้มปาก ก็รู้ทันทีว่าเด็กน้อยคนนี้เริ่มเกรงใจอีกแล้ว "ถือว่าลุงอนุญาตเป็นของขวัญก็แล้วกัน"



"แต่นี่มันวันเกิดคุณลุง..."



"เอมกลับมาทำกับข้าวให้ลุงทาน ก็ถือเป็นของขวัญแล้วล่ะ"



"จะดีเหรอครับ"



"ดีสิ...ถ้างั้นลุงเรียกร้องอีกหน่อยเป็นของขวัญก็แล้วกัน"



"ได้ครับ ถ้าเอมให้ได้"



"ได้อยู่แล้ว" ประธานบริษัทใหญ่ยิ้มกว้าง "อืม เอาเป็น...คืนนี้ชะเอมมานอนกับลุงคืนนึงก็แล้วกันนะ"



หูคินกระดิกยิกๆ กำลังจะเข้ามาห้าม



"ได้สิครับ เอมก็อยากนอนกับคุณลุง!" ริมฝีปากบางแย้มยิ้มกว้างจนตาปิด เรียกรอยยิ้มเอ็นดูและหัวใจพองโตจากเกษมศักดิ์ได้เป็นอย่างดี...น่ารัก



ยังคงน่ารักเหมือนตอนเด็กๆ เลย



...ตอนนี้พระเอกของเรื่องถูกแบนเรียบร้อยแล้ว...



"อันนี้น่ารัก...อันนี้ก็น่ารัก..." ตากลมมองของบนชั้นแวววาวเหมือนเด็กเจอของถูกใจแต่ตอนนี้ชะเอมกำลังหนักใจเมื่อเลือกไม่ถูกว่าของตกแต่งต้นคริสต์มาสในมือทั้งสองข้างจะเอาอันไหนดี? ทำให้เกษมศักดิ์ต้องเอ่ยปากอย่างใจป้ำอีกครั้ง



"เอามาหมดเลยก็ได้"



ชะเอมมองร่างสูงข้างกาย...สมกับเป็นท่านประธานจริงๆ "แค่อันเดียวก็พอครับ แต่เอมเลือกไม่ถูก" ระหว่างตุ๊กตาหิมะสีขาวกับสีฟ้าอ่อน



"ลุงว่าน่ารักทั้งสองอัน"



"...ไม่ได้ช่วยเลยครับ"



"งั้นลุงเอาอันที่เอมชอบ" เกษมศักดิ์เท้าคางกับที่จับรถเข็นที่เต็มไปด้วยของตกแต่งต้นไม้คริสต์มาสส่วนต้นน่ะให้คินไปเก็บที่รถเรียบร้อยแล้ว แถมไปเก็บอย่างเร็วเลยด้วย



"คินชอบอันนี้" จู่ๆ คินก็โผล่มาข้างๆ ใบหน้าคมหล่อเหลาคล้ายกับคนอีกข้างหนึ่งยื่นเข้ามาซะชิด ทำให้ใบหน้าหวานแดงเรื่อ



"เอ๋..."



"เอมเอาอันนี้สิ"



"คินชอบเหรอครับ" ร่างบางอมยิ้ม พอได้รับการพยักหน้าเป็นคำยืนยัน ก็จับเจ้าตุ๊กตาหิมะตัวเล็กสีขาวใส่ตะกร้าไม่ต้องพูดซ้ำ



"..."



"มาพ่อเดี๋ยวผมเข็นเอง" คินพูดพร้อมแทรกตัวทำให้เกษมศักดิ์ต้องผละออกมา



คนเป็นพ่อคิ้วกระตุก ก่อนจะยิ้มกริ่ม "...ก็ได้"



จากนั้นคินก็ต้องไปเข็นรถเข็น ส่วนท่านประธานก็เดินนำไปกับชะเอมพร้อมทั้งโอบเอวแนบชิด ลูกชายเห็นดังนั้นก็จิ๊ปาก พ่นลมออกจมูกอย่างเซ็งๆ ...เสียท่าให้พ่อจนได้สิ



"เอมซื้อของขวัญให้ป้าอุ่นป้าใจป้าเรืองด้วยได้มั้ยครับคุณลุง"



คนโดนขอยิ้มขำ "ได้สิ ได้แน่นอนอยู่แล้ว"



เกษมศักดิ์ไม่แปลกใจที่ชะเอมจะเป็นที่รักของแม่บ้านทุกคน เพราะจิตใจที่อ่อนโยนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นึกถึงคนอื่นอยู่ตลอดเวลานี้เอง...จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอตลอดก็ได้ เพราะไม่ว่าลูกคนนี้อยากได้อะไรเขาก็พร้อมจะให้



"แล้วก็ยังมีลุงปอง พี่ชาติ พี่เสก ลุงธรรม...อือ" ร่างบางนับนิ้ว ขมวดคิ้วเมื่อนิ้วบนมือเริ่มไม่พอ ...ทำไมเยอะจัง แบบนี้ซื้อให้ครบทุกคนไม่ได้แน่เลย



เกษมศักดิ์หัวเราะ เห็นมั้ยดูเข้าสิ นอกจากสาวใช้ที่บ้านแล้วยังนึกถึงคนขับรถกับเลขาของเขาอีกด้วยแต่ละคนช่างโชคดีที่ได้รู้จักเด็กดีๆ อย่างชะเอม



ริมฝีปากบางเม้มแน่น เงยหน้ามองเมื่อมีสัมผัสที่หัว "ลุงบอกแล้ว เอมอยากซื้ออะไรให้ใคร ก็หยิบได้เลยลุงซื้อให้" เสียงทุ้มอ่อนโยนทำให้ชะเอมพยักหน้าดีใจหงึกหงัก



ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินเลือกซื้อของจนน่าจะครบทุกคนแล้ว



"เอม แล้วยลล่ะ" คินเอ่ยเตือน ทำให้ชะเอมตาโต



"จริงด้วยครับ ซื้ออะไรให้น้องยลดีล่ะ"



"เดี๋ยวคินเลือกให้ เอมกับพ่อไปต่อแถวจ่ายเงินเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา"



"ครับ"



ร่างบางยืนอมยิ้ม รู้สึกดีใจจนแก้มขึ้นสีแดง เพราะคินรู้ด้วยว่าเขาอยากจะซื้อของขวัญให้กับทุกคนและอาจจะเยอะจนลืมใครบางคนไป อีกฝ่ายถึงได้เตือนเขา...เพราะนึกถึงกันอยู่เหมือนกันสินะ



หารู้ไม่ ที่คินทำแบบนี้ก็เพราะเอาใจตัวเองนั่นแหละ



...เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง...



"ลุงเริ่มหิวแล้วสิ กลับไปอย่าลืมแสดงฝีมือเต็มที่เลยนะเอม" เกษมศักดิ์ลูบหน้าท้องที่คำรามออกมาแต่ยังดีที่คนรอบๆ ไม่ได้ยิน



ชะเอมหัวเราะตาปิด "ได้ครับ"



"แล้วเอมจะทำเค้กให้ลุงมั้ย"



"เอ๊ะ...?"



ท่านประธานมองลูกชาย "ก็วันนี้วันเกิดลุง"



"คือเอมยังไม่คล่องเท่าไหร่ครับ เลยไม่อยากให้คุณลุงกินของไม่อร่อย" เสียงใสตอบอุบอิบ คือเขาสั่งเค้กไว้แล้ว...แต่คุณลุงยังไม่รู้



"เหรอ..."



ชะเอมเม้มปากแน่น ฟังเสียงหงอยของคนแก่แล้วอยากจะบอกออกไปเลยแทนที่จะเป็นเซอร์ไพรส์



แต่สุดท้ายชะเอมก็อดทนเงียบไปจนถึงบ้านได้







"ตายแล้ว คุณหนูเอมคะ เดี๋ยวป้าช่วย" สาวใช้ที่มีอายุมานานเท่ากับบ้านหลังนี้ รับใช้ตั้งแต่คนรุ่นก่อนจนมาถึงรุ่นของคินชื่อว่าป้าใจอายุไม่น้อยลูบอกพูดเสียงสั่นหวาดกลัวเพราะคุณหนูตัวเล็กแม้จะอายุเยอะแล้วแต่ก็ยังน่าเอ็นดูของบ้านอนันต์โภคทรัพย์นั้น บัดนี้ไปอยู่เกือบยอดบันไดสูงเพื่อจะติดของตกแต่งบนต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่สูงจนเกือบติดเพดาน



"ใช่ค่ะอย่าปีนไปสูงขนาดนั้นสิป้าหัวใจจะวาย" ป้าเรืองพูดอีกคน ท่าทางทุลักทุเลทำให้คนแก่สะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก



"ไม่เป็นไรครับ ฮึบ อีกนิดเดียว...อ๊ะ!" พอแขวนลูกกลมสีแดงๆ ได้แล้วเท้าก็หลุดลื่นออกจากที่เหยียบ



พรึ่บ!



"ว้าย!!" สาวใช้ต่างพากันปิดตากรีดร้องเมื่อคนที่อยู่บนบันไดสูงเสียหลักร่วงลงมา



"ฮู่ว~" คนหนุ่มก็หัวใจจะวายแต่ดูเหมือนจะไม่เจ็บไม่อะไรเลยเพราะมีคนตัวสูงรองรับอยู่ด้านล่าง แถมยังยิ้มแป้น "ขอบคุณครับคิน"



"ไม่ต้องมาทำตาใสใส่เลย ระวังตัวหน่อยสิ!" คินเอ่ยเสียงดุดังพลางวางร่างผอมไร้น้ำหนักลง ทำให้แม่บ้านหน้าจ๋อยกันเป็นแถบทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนโดนดุเสียหน่อย จริงๆ แล้วถ้าคุณหนูชะเอมเป็นอะไรขึ้นมามีหวังพวกเธอถูกไล่ออกกันหมดแน่



"ขอโทษครับ..."



ร่างสูงมองใบหน้าหวานซึมแล้วถอนหายใจ "เดี๋ยวคินทำที่เหลือเอง เอมไปเตรียมกับข้าวในครัวไป คนอื่นๆ ไปช่วยชะเอมแล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมเรียกลุงปองกับพี่ชาติมาช่วยอีกแรง"



"แต่เอมอยาก..." อยากทำเอง...แต่ก็เถียงไม่ออก "...คร้าบ"



มือใหญ่ยกขยี้ผมนุ่ม "คินก็หิวแล้วรีบๆ ไปทำๆ ซะไป"



"..." ตาโตยังมองต้นคริสต์มาสตาปรอย



"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวออกมาจะได้เห็นมันสมบูรณ์แบบเองแหละ"



ชะเอมพยักหน้ายู่ปากงอน เดินไปทางครัวไม่วายเหลียวหลังหันมามองเหมือนเด็กหวงของเล่น ทำให้คินส่ายหน้าน้อยๆ สาวใช้ก็ต่างพากันมองแล้วอมยิ้มเดินตามคุณหนูไป







"ว้าว" ร่างบางอุทานเสียงสูง ตากลมโตสีดำใสเป็นประกายระยิบระยับตามไฟกระพริบเป็นสีสดใสที่พันรอบต้นคริสต์มาส จนคนมองต่างพากันอมยิ้มและหัวเราะกับเด็กคนนี้



"เป็นไงถูกใจมั้ย" คินกอดอกถามยิ้มขำ ได้เห็นรอยยิ้มของชะเอมแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มมากที่เต็มที่กับมัน ทั้งลุงปองคนสวนกับพี่ชาติที่เป็นคนขับรถส่วนตัวของเกษมศักดิ์ด้วย



"ชอบมากเลยครับ! ขอบคุณนะคิน" ชะเอมตอบเสียงใส ใบหน้าประดับยิ้มตื่นเต้นดีใจ



"คุณลุง สวยมั้ยครับ" มือบางกระตุกแขนเสื้อถามเกษมศักดิ์เหมือนตัวเองเป็นคนทำเองยังไงยังงั้น



"สวยสิ สวยมากเลย"



"เอมเลือกเองครับ" แก้มใสแดงปลั่งดีใจ ยังไม่หยุดเสนอว่าเป็นฝีมือตัวเองที่เลือกมันมาทั้งหมด ถึงจะไม่ได้ประกอบมันจนเป็นรูปร่างก็เถอะ



"ว้าว สวยๆ สวยจังคับ" เด็กชายตัวน้อยตบมือแปะๆ กระโดดโลดเต้น ไม่เคยเห็นอะไรที่มันทั้งกระพริบวิบวับแวววาวใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน



"ยลลูก อย่าเสียงดัง" สุชาติเดินเข้ามาปรามลูกน้อยอายุสามขวบที่ส่งเสียงแทรกขึ้นมา แต่ชะเอมก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร



ร่างบางยกเด็กตัวป้อมขึ้นอุ้ม "น้องยลชอบใช่มั้ยๆ พี่เอมเลือกเอง นี่ๆ อันนี้เรียกตุ๊กตาหิมะครับ"



"ว้าว ว้าว ยลชอบ...ชอบหิมะ" เด็กน้อยตาวาวพลางยื่นมือไปจับบ้าง ยลกับชะเอมหัวเราะคิกคักคุยกันกระหนุงกระหนิง ส่วนคนอื่นๆ ยืนคุยกันจอแจทำให้เกษมศักดิ์ปรบมือเรียกความสนใจ



"เอ้าทุกคนกินข้าวเถอะ"



ชะเอมส่งเด็กน้อยให้สุชาติและทรุดนั่งเก้าอี้ข้างๆ คิน โดยที่คนที่นั่งบนโต๊ะนอกจากคนในครอบครัวก็มีคุณเสก เลขาคุณลุงเพิ่มมาอีกคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็ยืนอยู่ริมห้องรอให้เจ้านายทานเสร็จก่อนถึงจะไปทานได้



"กับข้าวเต็มโต๊ะเลย"



"เอมทำของที่คุณลุงชอบทานเลยครับ แต่พวกของทอดของมันเอมก็งดน้อยลงหน่อยเพราะคุณลุงบอกว่ากลัวอ้วน"



"ถูกใจลุงมาก" เกษมศักดิ์ยิ้มบาง กำลังจะตักข้าวร้อนๆ เข้าปากแต่ชะเอมร้องขึ้นมา



"อ๊ะ! เดี๋ยวครับคุณลุง" ร่างบางผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินแผล็วออกไปนอกห้องอาหารทำให้เกษมศักดิ์มองงุนงง คินก็อมยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไร เพียงแค่ครู่เดียวชะเอมก็กลับมาพร้อมของขวัญกล่องพอดีมือ



เกษมศักดิ์มองลูกชายบุญธรรมคุกเข่าข้างเก้าอี้และยื่นกล่องในมือมาให้



"สุขสันต์วันเกิดครับ คุณลุง" ดวงตากลมโตช้อนมองแจกยิ้มหวานให้คนมองชื่นใจ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น "เอมกับคินเป็นคนเลือกให้ ขอให้คุณลุงมีความสุขมากๆ นะครับ อยู่กับเอมไปนานๆ เลยนะ"



"สุขสันต์วันเกิดครับพ่อ" คินพูดขึ้นบ้าง



เกษมศักดิ์รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก "ขอบคุณมากเลยทั้งสองคน"



หลังจากนั้นก็ทานข้าวโดยมีเสียงพูดคุยเสียงแซวดังขึ้นบ้างจนเสร็จ มือบางวางช้อนเป็นคนสุดท้ายก่อนจะพูดขึ้น "วันนี้เอมมีของขวัญให้พวกป้าเรืองด้วยนะครับ ถือเป็นคำขอบคุณที่ทำงานอยู่บ้านนี้มาเป็นเวลานานก็แล้วกันครับ...อ่า จริงๆ ก็ไม่ใช่เอมหรอก เพราะคุณลุงเป็นคนจ่ายเงิน..."



คนได้ยินก็ปิดปากหัวเราะ เกษมศักดิ์จึงพูดเอาใจ "แต่เอมเป็นคนเลือกเพราะงั้นวันนี้คนที่ได้ของขวัญจากเขาก็อย่าลืมขอบคุณซะล่ะ"



ได้ยินแล้วป้าๆ ยิ่งปลาบปลื้มจนแทบน้ำตาไหล รับของขวัญกล่องพอดีมือด้วยมือสั่นเทา



คุณหนูของพวกเขาน่ารักที่สุด



"Merry Christmas ครับ"



"ขอบคุณมากครับ" สุชาติยิ้มดีใจ ดีใจทุกครั้งที่ได้รับอะไรดีๆ แบบนี้จากคุณหนู เพราะงั้นเขาถึงรับใช้ด้วยใจมาได้หลายสิบปี แถมยังมีความเมตตาแบ่งมาถึงลูกและเมียด้วย



"อันนี้สำหรับน้องยลนะครับ" ชะเอมพูดยิ้มๆ ส่งกล่องเล็กๆ ให้เด็กชายที่ตบมือแปะๆ ดีใจ



"Merry Christmas ครับ"



"Mar...marry...kiss..." เด็กน้อยพูดตาม



"ขอบคุณรึยังครับยล" คนเป็นพ่อเตือนก่อนที่มือป้อมจะรับของมาลืมที่จะกล่าว



"ยลขอบคุณ...ขอบคุณคับพี่ชาเอ็ม" มือคู่เล็กประกบไหว้ทุลักทุเลก่อนจะรับกล่องของขวัญที่ใหญ่เกินตัวไปกอดหวงแหน



ชะเอมหัวเราะกับความไร้เดียงสา...น่ารักจนต้องก้มลงกดจมูกข้างแก้มยุ้ยอย่างหมั่นเขี้ยว



"แต่นี่พี่คินเป็นคนเลือกให้ น้องยลต้องขอบคุณพี่คินนะ"



เด็กชายได้ยินก็ก้มหน้างุดๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้อง ยิ่งพอเด็กน้อยพูดเสียงอ้อแอ้แล้วยิ่งขำก๊ากเข้าไปใหญ่โดยเฉพาะเกษมศักดิ์



"ยลกลัว...พี่คินหน้าดุ"



สุชาติรีบก้มหัวขอโทษลูกชายเจ้านาย แต่คินหัวเราะหึๆ ไม่ถือสา



"สุชาติ ลูกแกใช้ได้ๆ ฮ่าๆ"



"พ่อ ไม่ต้องหัวเราะดังขนาดนั้นก็ได้มั้ง" ลูกชายกลอกตาท้วง



"ผมมีให้พี่เสกด้วย" คนที่มีตำแหน่งเลขาท่านประธานที่นั่งขำอยู่ก็เลิกคิ้วแปลกใจ แต่ก็แอบดีใจไม่น้อยไม่คิดว่าจะได้ด้วย ที่ชะเอมเรียกว่าพี่เพราะอายุยังไม่ถึงสามสิบดีแต่ก็มีความสามารถมากไม่งั้นเกษมศักดิ์คงไม่เอาไว้ข้างกาย



"ขอบคุณมากเลยนะ" ร่างโปร่งในชุดสูทถูกระเบียบแม้ในวันธรรมดายกมือลูบหัวทุยเบาๆ อย่างเอ็นดู...นี่คือลูกชายบุญธรรมของท่านประธาน เพียงแค่คุยกันไม่กี่ครั้งก็สามารถเข้ามานั่งในใจเขาได้แล้ว น่ารักน่าชังอย่างที่เกษมศักดิ์บอก...ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะชอบโอดครวญและบ่นคิดถึงในยามอยู่ห่างไกล



ชะเอมยิ้มแก้มปริดีใจ จนพ่อลูกกระแอมไอเสียงดัง เลขาคนเก่งละมือออกจากผมนุ่มเก้อๆ



สองพ่อลูกนี่เหมือนกันเกินไปมั้ย



ในขณะที่ให้สาวใช้ยกขนมหวาน ช็อกโกแลต และเค้กวันเกิดสำหรับคุณลุงออกมาอวยพรเสร็จเรียบร้อย ร่างผอมบางยืนมองต้นคริสต์มาสไฟกระพริบหลากสีสวยงามแล้วไม่ทันรู้ตัวว่ามีใครบางคนยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งความอบอุ่นโอบล้อมรอบกายให้สะดุ้งเล็กน้อย แขนแกร่งของคินรัดรอบคนตัวผอมทำให้ผิวกายขาวเย็นเฉียบเพราะอากาศหนาวอุ่นขึ้น พร้อมกับหัวใจทั้งสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะไปพร้อมๆ กัน



"คิน..."



"ไม่ไปกินเค้กด้วยกันเหรอ"



เสียงใสหัวเราะพลางลูบท้องแบนราบ "เอมอิ่มอยู่ครับ ขอพักก่อนดีกว่า"



"กินไปนิดเดียวจะอิ่มอะไรหือ เพราะงี้ถึงได้ผอมขนาดนี้" มือใหญ่ได้โอกาสลูบไล้เอวบางลื่นมือ แต่อีกคนกลับหัวเราะและดิ้นหนีเพราะจั๊กจี๋



"อย่าสิครับ คิก...ฮ่าๆ"



จมูกโด่งหอมแก้มใสดังฟอด และยื่นหน้าให้อีกคนหอมกลับหน้าแดงก่ำ และยืนกอดก่ายให้ความอบอุ่นกันและกันมองต้นคริสต์มาสอยู่แบบนั้น จนได้ยินเสียงกระแอมไอถึงได้รู้ว่ารอบข้างเงียบกริบขนาดไหน แถมมองด้วยสายตาล้อเลียนด้วย



"เกรงใจพ่อด้วย"



คินยิ้มกริ่มยิ่งกอดรัดคนที่พยายามดิ้นออกหน้าแดงแน่น "นี่แฟนผม"



"ชะเอมมากินเค้กกับลุงดีกว่ามา"



"ครับ" ใบหน้าหวานพยักหงึกหงัก ก่อนจะแงะแขนที่ยังโอบรัดเอว "คินปล่อยเอม..."



คินหน้าบึ้งตึง ริมฝีปากร้อนฉกวูบจนร่างบางหน้าแดงก่ำก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ เดินล้วงกระเป๋าเดินไปอีกทางไม่สนใจเสียงกรี๊ดกร๊าด หรือเสียงเป่าปากจากคนรอบข้าง พวกป้าๆ ก็เอากับเขาด้วยทำตัวลืมอายุเป็นสาววัยแรกแย้มเลย...ให้ตายสิ



"ลูกชายของท่านประธานเอาเรื่องนะครับเนี่ย"



เกษมศักดิ์ฟังเสียงแซวของคนสนิทแล้วส่งเสียงฮึ่มฮั่ม มองชะเอมที่ปิดปากหน้าแดงแล้วถอนใจ



ทำแบบนี้แล้วชะเอมจะไปไหนรอดวะเจ้าคิน...ร้ายเหลือ



"มาๆ เอมกินเค้กกับลุงดีกว่า อร่อยมาก หนูสั่งที่ไหน" เกษมศักดิ์กวักมือเรียก ยื่นจานที่หั่นเค้กผลไม้เป็นชิ้นสามเหลี่ยมให้ตรงหน้า



"คินต่างหากครับ เป็นคนเสนอ เขาบอกว่าคุณลุงชอบแบบนี้"



"อ๋อ เหรอ" คนเป็นประธานเบะปาก ก่อนจะไม่ถามอะไรอีก



แต่ชะเอมรู้ว่าลึกๆ แล้วคุณลุงก็คงดีใจอยู่แน่ๆ



แปะๆๆ



"We wish you are marry kissmas..." เสียงอ้อแอ้และตบมือแปะดังตามจังหวะของเด็กชายที่กำลังร้องเพลงเลียนแบบเสียงเพลงที่เคยได้ยินในโทรทัศน์ การออกเสียงไม่ชัดเจนจนทำให้คนฟังอมยิ้มขำ ชะเอมลุกขึ้นช้อนอุ้มเด็กชายตัวป้อมแล้วร้องไปพร้อมกัน



"We wish you a Merry Christmas and a Happy New Year~"



"สุขสันต์วันเกิดคุณลุงครับ"



"สุขสันต์วันคริสต์มาส!"



"สุขสันต์วันปีใหม่ด้วย เฮ~!"



เสียงหัวเราะดังครืนประสานเสียงเพราะคำอวยพรที่ปนเปกันจนฟังไม่รู้เรื่อง บรรยากาศเฮฮาที่ทำให้ชะเอมอมยิ้ม



เห็นทุกคนมีความสุขในวันดีๆ แบบนี้ เขามีความสุขที่สุดเลย







"คุณลุง...ฟี้..." เสียงงึมงำคล้ายคนละเมอนอนอยู่บนเตียง ทำให้เกษมศักดิ์ต้องลูบหัวเด็กน้อยและปัดผมที่ปรกหน้าผากมนออก ริมฝีปากบางยิ้มราวกับกำลังอยู่ในฝันดี ลมหายใจพรูเข้าออกแผ่วเบาสม่ำเสมอ



ชะเอมสัญญาจะนอนด้วยหนึ่งคืน เขาจึงไม่เหงา...ตั้งแต่ขาดภรรยาไป ก็มีแค่ลูกๆ กับงานเท่านั้นที่คลายความเงียบเหงาจากชีวิตของเขาได้



"ฝันดีเอม"



ในความฝัน ชะเอมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ประทับบนหน้าผาก มันทั้งอบอุ่นอ่อนโยน จนทำให้ยิ้มออกมา







กลางดึก



แอ๊ด...



ร่างสูงของใครคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนอนสีเข้มย่องเข้ามาในห้องท่านประธานเบาๆ ...ไม่ใช่ขโมยหรือใครที่ไหน



ภาคินนั่นเอง



มือใหญ่ค่อยๆ เลิกผ้าห่มผืนหนาและช้อนคนตัวเบาที่หลับสนิทขึ้นแนบอกโดยคนโดนอุ้มไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยจนร่างสูงแอบคิดในใจ



แบบนี้ลักพาตัวสบายๆ เลย



"ทำอะไรห๊ะ เจ้าคิน" ทั้งๆ ที่มืดแต่เกษมศักดิ์ก็ยังรู้และเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน



คนแอบย่องไม่ตกใจแต่อย่างใด "ผมมาพาชะเอมไปนอนห้องผม"



"แต่วันนี้ชะเอมต้องนอนห้องพ่อ"



"นอนพอแล้ว ผมจะพากลับ" ว่าแล้วก็เดินออกจากห้อง ทำให้ประธานหน้าเหวอมองตามก่อนจะจิ๊ปากขัดใจ



"...เจ้าลูกชายบ้า..."



วันนี้วันเกิดพ่อนะ จะตามใจหน่อยก็ไม่ได้







เปลือกตาบางค่อยๆ ปรือเปิดขึ้นและกระพริบถี่เพราะแสงสว่างลอดผ่านผ้าม่าน มือบางดันตัวเองขึ้นนั่งสลึมสลือและขยี้ตาเบาๆ พอมองไปรอบห้องดูข้าวของและเฟอร์นิเจอร์ก็หายง่วงทันที เพราะรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่ที่เดิมกับเมื่อคืนที่เขานอน



พอมองคนนอนข้างๆ ก็ไม่ใช่คุณลุง "คิน?"



...ยังไงเนี่ย?



คิดก็คิดไม่ออก จนขี้เกียจคิด ลงไปช่วยป้าแม่บ้านทำกับข้าวดีกว่า



"อ๊ะ..."



ร่างบางถูกดึงให้กลับลงไปนอนเช่นเดิม ไม่ต้องหาตัวคนร้ายให้เสียเวลา แถมยังถูกกักด้วยร่างแกร่งที่ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด เพราะพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าชะเอมสู้แรงร่างสูงไม่ได้ จึงใช้คำพูดแทน



"คินปล่อยครับ"



"จะรีบตื่นไปไหน นอนด้วยกันก่อนสิ" คนพูดเสียงงัวเงีย ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ



"เอมหายง่วงแล้ว จะลงไปข้างล่าง"



"อือ..."



คินส่งเสียงอือๆ อาๆ และเงียบไป เสียงลมหายใจยืนยันว่าร่างสูงหลับไปแล้ว แต่แขนแกร่งยังโอบคนผอมไม่ปล่อย ชะเอมมองแล้วถอนหายใจ ก่อนจะยอมทิ้งตัว เปลือกตาบางปรือปิดลงอย่างยอมแพ้และเข้าสู่นิทราไปด้วยกัน







ลืมบอกไปเลย

Merry Christmas นะครับทุกคน





************************Whose fault? ************************



เอาตอนพิเศษไปอ่านแก้ขัดก่อน



พอดีรุยกำลังทำโพลล์เพื่อลองเก็บสถิติว่ามีใครอยากได้เล่มเรื่องนี้บ้างมั้ย

รายละเอียดอยู่ในเพจเฟสบุ๊ค H.Rui Novels เจ้าค่ะ

อยากรู้ว่าจะได้ทำเป็นเล่มหรือเปล่าแค่นั้นเอง

เพราะจะมีตอนที่เป็นติดเรท nc 20+ ทั้งตอนหลักตอนพิเศษ

เลยคิดว่าไม่น่าจะเกณฑ์ผ่านสำนักพิมพ์ค่ะ จะสั่งตีพิมพ์เองถ้ามีคนอยากได้เล่มกันเยอะ

ถ้าไม่เสียเวลานักอ่านมาก รุยขอให้ช่วยเข้าไปอ่านๆ ตอบๆ กันหน่อยเน้อ​ ขอบคุณมากๆค่ะ



ส่วนใครกำลังรอตอนหลักตอนต่อไป อีคินจะทำยังไง เดี๋ยวจะตามมาลง​นะจ๊าาา

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ตอนพิเศษ คริสต์มาส 25/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-12-2018 22:14:01
 o18  o13 ฟิน
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ตอนพิเศษ คริสต์มาส 25/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-12-2018 22:58:22
ขอบคุณครับ. สนุกมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 26 28/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 28-12-2018 18:04:44
​​

                                                              Whose Fault ?

                                                               ผิด...ครั้งที่ 26







โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวัน เรย์ยังคงตามติดจนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว



วันนี้ร่างเล็กก็วานให้เขาพามาคอนโดเพื่อเก็บของและไปส่งที่บ้าน...ความเอาแต่ใจที่อีกฝ่ายมักอ้างความเป็นแฟน...คินเกลียดและแขยงมันมากขึ้นทุกที



นอกจากนี้ยัง...



‘แม่ฝากน้องด้วยนะคิน พอดีน้องเรย์ขับรถไม่ค่อยแข็งน่ะจ้ะ รบกวนเกินไปรึเปล่าจ๊ะ'



'...ไม่เป็นไร ไม่รบกวนครับ'



จะให้ผมปฏิเสธยังไง



...เวรกรรมแท้ๆ ...



เสียงเอียดอาดของประตูรั้วขนาดใหญ่ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกอัตโนมัติด้วยรีโมต ปรากฏคฤหาสน์หลังใหญ่หรูหราที่มีพื้นที่รวมสนามหญ้าสีเขียวรอบๆ อย่างกว้างขวาง...แถมยังมียามเฝ้าหน้าประตูคอยตรวจรถเข้าออกทุกคัน



พ่อของเรย์เป็นนักการเมืองชื่อดังจะร่ำรวยเหมือนมหาเศรษฐีก็คงไม่แปลก



"?" สายตาคมกริบพลันเหลือบเห็นคนตัวเล็กที่กำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้ก็ขมวดคิ้ว...นั่นมันเด็กม.ปลายหรือไง



ในใจมันสงสัยจนอดถามออกมาไม่ได้ "บ้านนายมีเด็กมาทำงานด้วยเหรอ"



"แค่คนใช้น่ะ คินอย่าไปใส่ใจเลย" ร่างเล็กยิ้มร่า ขาเล็กก้าวลงจากรถ



การกระทำของเรย์ที่แสดงออกมาเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ทั้งๆ ที่ร่างสูงคิดว่าพูดออกไปค่อนข้างชัดเจนแล้ว...แต่เรย์ก็ยังทำเมินมัน



"..."



เรย์ยังยืนอยู่ตรงนั้นขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย มือใหญ่จึงกดปุ่มเปิดกระจก "คินทำอะไรอยู่น่ะ รีบลงมาสิ ไปทานข้าวเย็นด้วยกัน เรย์ให้แม่บ้านเตรียมไว้ให้แล้ว"



"ไม่เป็นไร ฉันมีธุระ"



"แต่เรย์บอกคุณแม่ไว้แล้วนะ"



"..." เสียงทุ้มถอนหายใจ "โอเค เดี๋ยวฉันเอารถไปจอดดีๆ ก่อน"



"ไม่เป็นไร ไม่มีใครว่าหรอก คินจอดตรงนี้แหละ"



นิ้วกดเลื่อนกระจกปิด บิดกุญแจดับเครื่อง ควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมา หวังจะส่งข้อความบอกชะเอมว่าวันนี้เขาอาจจะไปรับไม่ได้ เขายังคงทำเหมือนเดิมทุกอย่าง



ถึงแม้ว่าช่วงนี้ร่างบางจะไม่ค่อยตอบแชทและไม่ค่อยรับสายเลยก็ตาม



เขาเข้าใจ



ก๊อกๆๆ



"คิน มัวทำอะไรอยู่ ออกมาสิ" ใบหน้าคมเงยขึ้นมอง คราวนี้เรย์เดินมาเคาะกระจกฝั่งคนขับเลยทีเดียว แม้จะอยู่ในรถเขาก็ได้ยินเสียงพูดชัดเจน



คินสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดทนอดกลั้น แค่เวลาส่วนตัวแปปเดียว เรย์ยังจะคิดขโมยมัน



ยุ่งวุ่นวายจริงๆ!



"แปปนึง! เข้าไปก่อนเลย" เสียงทุ้มตะโกนบอก ใบหน้าคมก้มมองหน้าจอมือถือกดแอพสีเขียว





ภาคิน : เอม ขอโทษนะ วันนี้คินอาจจะไปรับไม่ได้ 19.54pm Read



chÄim : ครับ ไม่เป็นไร 19.54pm Read



chÄim : จริงๆ คินไม่ต้องมาแล้วก็ได้ 19.54pm Read



chÄim : คินไปดูแลแฟนคินเถอะ 19.54pm Read



chÄim : เป็นเอมก็คงเสียใจเพราะคินมัวแต่มายุ่งกับคนอื่น  19.54pm Read





เหมือนอีกฝ่ายจะจับมือถืออยู่แล้ว ก็เลยอ่านข้อความและตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว



ร่างสูงนั่งมองข้อความของชะเอมนิ่งงัน แม้เขาจะเสนอไปว่าจะไปรับไปส่งอีกฝ่ายหลังเลิกทำงานเพราะว่ามันดึกแล้วและอันตรายมาก เขาอยากเห็นเอมถึงห้องปลอดภัยทุกวัน ครั้งนี้ก็ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นชะเอมกลับไม่เรียกร้องอะไรเลย...กลับบอกว่าไม่เป็นไร...ไม่เคยอยากได้อะไรเลย



‘เป็นเอมก็คงเสียใจเพราะคินมัวแต่มายุ่งกับคนอื่น’



เขาไม่เคยมองว่าอีกฝ่ายเป็นคนอื่น



ร่างบางยังเป็นคนน่ารัก อ่อนหวาน ...อ่อนโยน



'เอมชอบคินนะ'



ทั้งความรู้สึกดีๆ



'คินเหนื่อยมั้ย'



ทั้งความเป็นห่วง



'ที่คินทำแบบนี้ คินชอบกันบ้างมั้ย'



ทั้งน้ำตาและความเสียใจ



ทั้งๆ ที่ชะเอมให้เขามากมายขนาดนี้ แต่เขากลับ...ปฏิเสธมัน



ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่าเขา...รักเอม



ต้องการอยู่ใกล้ๆ ...ดูแล เอาใจใส่ เป็นห่วงอย่างเปิดเผย



​‘พูดง่ายไปรึเปล่าคิน เรย์ไม่ยอมหรอก...บอกไว้เลยว่าเรย์ไม่ยอมเลิกง่ายๆ แน่ ถ้าจะเลิกก็เลิกไปคนเดียว’



ร่างสูงหลับตาถอนหายใจ หัวสมองเต้นตุบ



สายเกินไป



พลันดวงตาคมกริบลืมโพลงเมื่อนึกอะไรขึ้นได้รีบไถหาชื่อของใครบางคนบนหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างจ้าอย่างรวดเร็ว



'เอาเป็นว่าหลังจากนี้ถ้ามึงรู้ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ได้เมื่อไหร่ และถึงตอนนั้นยังอยากจะ ‘รู้’ อยู่ล่ะก็ค่อยมาถามกูอีกทีก็ได้...ถ้ามันยังไม่สายเกินไปล่ะก็นะ'



เอก...



เขาจะต้องคุยกับมัน...เร็วๆ นี้



ไม่รอช้า คินก็ส่งข้อความหาเพื่อนที่แม้จะเจอทุกวันในมหาวิทยาลัย แต่ครั้งนี้จะมีเรื่องเดียวที่เขาได้คุยกับมันอย่างจริงจัง



ติ๊ง!



ภาคิน : เอก พรุ่งนี้ ออกมาคุยกับกูหน่อย เกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกันที่ค่าย 20.00pm

 

 

************************Whose fault? ************************

 



ภาคิน : เอก พรุ่งนี้ ออกมาคุยกับกูหน่อย เกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกันที่ค่าย 20.00pm Read



วิน : เออ ที่ไหน 22.16pm Read



วิน : เฮ้ยลืมไป พรุ่งนี้ไม่ได้ว่ะ ไม่ว่าง ถ้าวันจันทร์ได้อยู่ 22.16pm Read



ภาคิน : จันทร์ก็ได้ 22.26pm Read



ภาคิน : กูคุยที่ไหนก็ได้ 22.27pm Read



วิน : งั้นเป็นร้านขนมแถวๆ ...นะ ไอ้เบาหวานมันอยากกิน 22.28pm Read



ภาคิน : นี่มึงจะพาตาลมาด้วยเหรอ 22.32pm Read



วิน : แน่ดิ กูไม่เคยมีความลับกับมัน 22.33pm Read



วิน : เหอะน่า มันเอ๋อๆ ไปฟังด้วยก็คงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนักหรอก 22.33pm Read



ภาคิน : เออ กูก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ 22.34pm Read



วิน : ว่าแต่มึงเหอะ อย่าหิ้วเรย์มาด้วยนะเว้ย 22.40pm Read



ภาคิน : ไม่หรอกน่า 22.40pm Read



วิน : ก็ดี กูจะได้เห็นเพื่อนหายโง่ก็วันพรุ่งนี้แล้วว่ะ 22.45pm Read



วิน ส่งสติกเกอร์



ภาคิน : ไอ้สัส 22.50pm Read



ภาคิน : พรุ่งนี้ 9 โมงเจอกันที่ร้าน 22.50pm Read



วิน : ไปทำเชี่ยไรเช้าๆ ไอ้เบาหวานมันไม่ตื่น เลื่อนเป็นสิบโมงแล้วกัน 23.00pm Read



ภาคิน : นี่มึงอยู่กินด้วยกันแล้วหรือไงวะ 23.02pm





ร่างสูงนั่งมองข้อความในไลน์ที่เอกมันบอกเอาไว้ ข้อความที่ถูกส่งไปเมื่อคืนก็ยังไม่ถูกอ่าน



ยอมรับว่าใจร้อนรนเมื่อเห็นเอกมันบอกว่าวันจันทร์...เขาอยากคุยตอนนี้เลย แต่ก็ช่วยไม่ได้



แต่ก่อนจะได้คุยกับเอกตามที่นัดกันไว้ คินดันมีเรื่องเข้ามาให้กังวลเสียก่อน



("ครับ")



"...นั่นใครครับ เอมไปไหน" เสียงทุ้มเอ่ยคาดคั้นเมื่อคนที่รับสายไม่ใช่เจ้าของ



("ผมเป็น...เจ้านายของชะเอมที่ทำงานพิเศษครับ น้องคินเป็นเพื่อนของชะเอมใช่รึเปล่า") เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยกลับมา ทำให้อารมณ์ร้อนลดลง



เจ้านาย? แล้วทำไมถึงรับสายแทน ปกติร่างบางไม่ได้พกมือถือไว้กับตัวหรอกเหรอ



"ก็...ครับ ประมาณนั้น ช่วยบอกเอมว่าทำงานเสร็จแล้วอย่าเพิ่งกลับ ผมกำลังไปรับเขา" แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะปกติชะเอมคงไม่รับสายเขา มักจะปล่อยให้สายเรียกเข้าดังจนเงียบไปทุกครั้ง



แต่ยังไงครั้งนี้ต้องเจอเขาให้ได้...และคุยกันให้รู้เรื่อง



("เอ้อ ดูเหมือนเค้าจะไม่สบายหนักเลย พี่ก็เลยอนุญาตให้เค้ากลับไปก่อน แต่เจ้าตัวก็ดันลืมมือถือไว้ พี่กำลังเดินออกไปไม่รู้ว่ากลับไปยัง") อีกฝั่งพูดแทรกเสียงหอบหายใจ



ใจผมเต้นระรัว ด้วยความกังวล



"อะไรนะครับ" มือใหญ่รีบเสียบหูฟังเพื่อคุยแทนเพราะต้องมีสติกับการขับรถบนถนนที่มืดมิด ขายาวเหยียบคันเร่งมากขึ้นเพื่อจะตามหัวใจที่ทะยานนำไป



ไม่สบายหนัก...เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายป่วย แต่ไม่เคยบอกกันเลย...ไม่เคยบอกเลย ชอบปิดบังตลอด



เพราะอะไรกัน



("เดี๋ยวนะ...เอม!!")



คินได้ยินเสียงเรียก พูดคุยแผ่วเบา เสียงกุกกักดังอยู่นาน ผ่านไปสักพักจึงได้ยินเสียงเดิมดังขึ้น



(“คินจะถึงรึยัง พี่ว่าเอมกลับเองไม่ไหวแน่")



ยิ่งได้ยินใจก็ยิ่งร้อนรน ความเร็วร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงยังทำให้รู้สึกว่าไม่เพียงพอ อยากจะไปให้ถึงเดี๋ยวนี้เลย แต่ก็ต้องบังคับใจให้เย็นลง "ครับ อีกแปปนึง พี่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาสักสิบนาทีทีนะครับ"



("โอเค รออยู่หน้าห้างฯ เลยนะ")



อดทนรอไม่นาน สายตาคมมองเห็นสองร่างแต่ไกล และรถสีดำสนิทแล่นมาจอดถนนหน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ร่างสูงโปร่งในชุดคนทำอาหารสีขาวสะอาดผุดลุกขึ้นทันทีที่ขายาวก้าวลงจากรถ



“คิน...ใช่มั้ย?”



“ครับ...” เจ้าของชื่อพยักหน้าตอบรับแต่สายตาจับจ้องที่ชะเอมที่นั่งกอดเข่าตัวสั่นเทาท่าทางอ่อนแรง ร่างสูงทรุดตัวลงใกล้ ใช้หลังมืออังหน้าผาก ใบหน้า ลำคอเช็คอุณหภูมิ แต่ชะเอมก็ยังหลับตานิ่งไม่รู้สึกตัว แถมลมหายใจอ่อนระโหยโรยแรง “เอม”



เห็นอาการของชะเอมแล้วคิ้วเข้มขมวด จู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นมา ชะเอมป่วยหนักขนาดนี้แต่เขากลับไม่รู้เลย “เอม...” เสียงทุ้มเรียกชื่อเจ้าตัวอีกครั้ง



“ครับ...พี่ฟ้า” เสียงใสแหบโหยเรียกชื่อใครที่คินไม่รู้จัก แต่พอดวงตากลมโตฉ่ำน้ำปรือมองก็เรียกใหม่ “คิน?”



ร่างสูงยิ้มบาง เข้าใกล้ร่างผอมและโอบกอดกระซิบถามเสียงเบา “เอม ลุกไหวมั้ย”



“คิน...คินเหรอ” คนไม่สบายหนักถามเหมือนละเมอ และสะอื้นไห้ “ฮึก!”



ความร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากร่างผอม ทำให้ผมกอดกระชับแนบอกมากขึ้น



“ไม่เป็นไรครับ” เสียงทุ้มเอ่ยปฏิเสธคนที่กำลังจะเข้ามาช่วย พลันร่างสูงตวัดคนตัวเบาหวิวขึ้นอุ้มทั้งที่แขนบางยังคงกอดคออีกคนไม่ปล่อย ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความทะนุถนอม ใบหน้าคมพยักหน้าขอบคุณคนที่เปิดประตูให้ คินเอื้อมมือปิดแอร์ ปรับเบาะเอนระนาบ หยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่แขวนอยู่หลังรถมาห่มให้ชะเอมที่นอนกอดตัวเองตัวสั่นระริก



“ขอบคุณมากนะครับ ที่อยู่รอเป็นเพื่อนเอม” คินไม่ลืมขอบคุณอีกฝ่ายที่อยู่ข้างๆ ชะเอมในยามช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้...ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าร่างบางจะเป็นยังไงบ้าง ซึ่งร่างสูงโปร่งเจ้านายของชะเอมก็โบกมือ พยักหน้ายิ้มบางอย่างใจดี



เห็นแบบนี้ร่างสูงก็รู้สึกโล่งใจที่ชะเอมได้ทำงานกับคนดีๆ



“ไม่เป็นไร รีบพาเขากลับเถอะ อีกเดี๋ยวฝนจะตกแล้วจะขับรถลำบาก”



“ครับ” ขายาวเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ และฮอนด้าแอคคอร์ดก็พุ่งทะยานออกไป



 

************************Whose fault? ************************

 





​“เอม...เอม”



​“ฮือ ไม่” แขนบางสะบัดหนีสัมผัสเย็นเฉียบที่ตนไม่ชอบ แถมกอดอกเกร็งซ่อนแขนไว้ไม่ให้ใครมาจับได้ “หนาว...เอมหนาว”



ร่างสูงถอนหายใจอย่างอ่อนใจปนเอ็นดู แต่ในใจก็รู้สึกกังวลมากเช่นกัน เพราะคนป่วยนอนขดตัวไม่ยอมให้จับ แล้วอย่างนี้จะอุ้มขึ้นห้องได้ยังไง



ชะเอมตัวร้อนจี๋ ลมหายใจก็ร้อนผ่าว แปลกใจเหลือเกินที่ก่อนหน้านี้ร่างผอมยังฝืนไปทำงานอยู่ได้



คินใช้เสื้อคลุมที่ห่มให้พันตัวเล็กๆ ของคนไม่สบายเอาไว้ แล้วช้อนร่างผอมบางขึ้น คราวนี้เจ้าตัวไม่ดิ้นหนีแล้วเพราะไม่ได้สัมผัสโดยตรง



แม้จะถูกเคลื่อนย้ายแต่ชะเอมไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แสดงว่าไม่สบายหนักจริงๆ



เขาวางร่างบางลงบนเตียงในห้องของเจ้าตัว ไม่ลืมห่มผ้าหนาๆ จนถึงลำคอ เสียงใสครางอืออาไม่รู้เรื่องรู้ราวทำให้ขายาวรีบเดินเข้าห้องน้ำหากะละมังขนาดเล็กใส่น้ำและผ้าสะอาดๆ มาเพื่อเช็ดตัวให้ไข้ลด



เฮือก!



ร่างผอมที่ร้อนผ่าวเมื่อโดนน้ำอุ่นแต่ก็ยังรู้สึกว่าเย็นสะดุ้งขดตัวหนีอีกครั้ง



ผิวขาวซีดแดงระเรื่อปรากฏตรงหน้า ตัดกับสีผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้ม เมื่อมือใหญ่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของชะเอมออกทั้งหมดเหลือไว้เพียงชั้นในสีขาวตัวเดียว ก็ปรากฎแผ่นอกเนียนและหน้าท้องเรียบบาง...ต้นขาเรียวเล็กขาวผ่อง ภาพตรงหน้าทำให้ร่างสูงกลืนน้ำลาย เลียริมฝีปากแห้งผาก ก่อนจะส่ายหน้าตั้งสติหันไปบิดผ้าสีขาวในกะละมังให้แห้งหมาด



ชะเอมกำลังไม่สบายอยู่...



แขนบางอ่อนแรงยกขึ้นปัดป้องทันทีที่ผ้านุ่มสัมผัสกาย “อื้อ ไม่ ฮึก ไม่เอา” แถมคนผอมยังพลิกตัวหันหลังให้ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีแรงขยับตัวด้วยซ้ำ



ชะเอมสะอึกสะอื้น คินเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้เขาทรมาน จึงใช้มือจับคนป่วยให้อยู่นิ่งๆ ไม่ให้ดิ้นหนี พลางเอ่ยปลอบแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่



“เอม เช็ดตัวแปปเดียว นะ...อย่าดิ้นสิ” เสียงทุ้มพูดกล่อมเหมือนคุยกับเด็กเล็กๆ มือใหญ่เร่งเช็ดตัวให้เสร็จ เน้นย้ำโดยเฉพาะจุดที่กักเก็บความร้อนไว้เยอะๆ อย่างลำคอ จักกะแร้ ข้อพับขาแขน ไล้ไปทั่วแม้กระทั่งฝ่าเท้า ทำให้อย่างไม่รังเกียจแม้แต่นิด



หลังจากสวมชุดนอนเนื้อนิ่มให้เสร็จสรรพก็ห่มผ้าปิดท้าย โดยแปะผ้าสีขาววางไว้บนหน้าผากมน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมให้ชะเอมกินยา



“เอม...เอมตื่นก่อน”



“...”



เสียงหอบและลมหายใจร้อนๆ ที่พรูออกจากริมฝีปากบาง ทำให้ร่างสูงจ้องมันนิ่งงัน เรียกแบบนี้ยังไงเจ้าตัวจะไม่ตื่นแน่ๆ



ถ้าอย่างนั้น...



มือใหญ่หยิบแก้วที่มียาลดไข้และยาแก้ปวดที่เตรียมไว้อยู่ในนั้นเทลงบนมือ ตบมันเข้าปากและดื่มน้ำตาม ผมยกศีรษะเล็กขึ้นแล้วก้มลงประกบปากปล่อยน้ำและยาผ่านช่องปาก ลิ้นร้อนดุนดันเข้าช่องปากเล็กที่ร้อนผ่าวยิ่งกว่าเพื่อส่งเม็ดยาและให้แน่ใจว่ามันจะผ่านลำคอของอีกฝ่ายจริงๆ



“อึก...แค่ก” ชะเอมสำลักเล็กน้อย ร่างผอมยังคงหลับสนิทไม่รู้สึกตัว เขาจึงกรอกน้ำที่เหลือในแก้วเข้าปากและประกบปากอีกครั้ง ลิ้นร้อนกวาดไปทั่วอย่างอุกอาจล่วงเกินคนป่วย นานหลายวินาทีกว่าที่ริมฝีปากจะผละออกอ้อยอิ่งอย่างเสียดายแม้น้ำเปล่าจะไหลลงลำคอหมดแล้ว มีบางส่วนที่ริมฝีปากบางไม่อาจควบคุมได้เนื่องจากไร้สติจึงปล่อยให้มันไหลซึมออกทางมุมปากจากคางสู่ลำคอจนคอเสื้อนอนเปียกชื้นเล็กน้อย



นิ้วโป้งลูบไล้ริมฝีปากบางที่เผยอหอบหายใจแรงและสั่นเครือ ไม่รู้เพราะไข้สูงหรือขาดอากาศหายใจเพราะการกระทำล่วงเกินจากร่างสูงกันแน่ คนมองสูดลมหายใจเข้าออกอย่างอดกลั้น มือปัดหน้าม้าออกจากหน้าผากมน จับผ้าสีขาวจากหน้าผากมนมาเช็ดใบหน้าและลำคอก่อนจะหย่อนลงกะละมังและบิดให้หมาด จัดวางลงบนหน้าผากมนอีกครั้ง



เพียงแค่จูบเดียวก็ทำให้ใจเต้นรัวได้



เพียงแค่จูบเดียวก็ทำให้แน่ใจ



ว่ารักขนาดไหน



คืนนั้นทั้งคืน ชะเอมนอนเพ้อไข้ขึ้นหนัก แม้จะกินยาไปแล้วแต่ก็เหมือนจะไม่ช่วย



“ฮึก...ฮึก คิน”



“เอม” ร่างสูงชะโงกหน้าเข้าใกล้เมื่อได้ยินเสียงชะเอมเรียก หากแต่เจ้าตัวยังไม่รู้สึกตัว



ละเมอ?



“คิน เอมขอโทษ ขอโทษครับ”



“เอม...”



“คิน อย่าเกลียดเอม...อย่าทิ้งเอมไป” แขนบางยกขึ้นไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ข้างหน้า แต่ความจริงมันคืออากาศ หยาดน้ำตาไหลลงผ่านขมับเพราะไม่สามารถคว้าสิ่งสำคัญมาได้ “กลับมา...เถอะ”



ไม่ว่าจะในความฝันหรือความเป็นจริง



ทว่าครั้งนี้มือใหญ่กลับคว้ามือบางเอาไว้ กุมมันไว้ให้แน่น



จะไม่ปล่อย...อีกแล้ว



คินนิ่วหน้าสะเทือนใจกับสิ่งที่เห็น แม้ในยามไม่สบาย...ไม่ได้สติ แต่ร่างบางก็ยังไม่เคยจะหยุดคิดถึงตัวเขาเลยแม้เพียงสักวินาทีเดียว “เอม คินต่างหากที่ต้องขอโทษ”



เป็นครั้งแรกที่หยาดน้ำตารินไหล...ผู้ชายคนนี้กำลังร้องไห้


>>>>>>>ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 26 28/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 28-12-2018 18:05:25

ต่อจากด้านบนค่ะ<<<<<<<<<<<<<<<



“คินขอโทษ...สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” สองมือกุมฝ่ามือเล็กร้อนผ่าวของคนป่วยที่ยังไม่สบายหนักแนบหน้าผาก “ได้โปรดช่วยตื่นขึ้นมาฟังที”



“...”



“คินรักเอมนะ” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาทว่าหนักแน่น ความรู้สึกอัดแน่นและดังก้องอยู่ข้างใน



มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ความรู้สึกรักใครบางคนอย่างแท้จริง เพียงแค่ได้บอกออกมาก็ทำให้ใจเต้นแรง



ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นหนักแน่นถึงเพียงนี้ มีให้แค่คนๆ นี้คนเดียว



ริมฝีปากคมยิ้มบาง ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายสงบลงจากการละเมอแล้ว แต่ใบหน้าหวานแดงก่ำ ริมฝีปากยังคงอ้าหอบหายใจแรงเหมือนอากาศไม่พอ เป็นเพียงอาการหนึ่งของคนไม่สบายหนักเท่านั้น ร่างสูงลุกหยิบผ้าขนหนูสีขาวที่กองอยู่ข้างหมอนเนื่องจากการนอนดิ้นของร่างบางขึ้นมาชุบน้ำในกะละมังบิดให้ใหม่ และค่อยๆ เช็ดผิวกายที่ร้อนผ่าวทั่วร่างอีกครั้ง



ทุกอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความใส่ใจและอ่อนโยนมากเพียงใด มีเพียงคนกระทำเท่านั้นที่รู้ดี



“อือ...”



เสียงครางของร่างที่นอนบนเตียงทำให้ร่างสูงที่นั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ สะดุ้งรู้สึกตัว



“...น...น้ำ...”



“เอม นี่...” ไม่รอช้าแขนแกร่งช้อนตัวคนตัวร้อนผ่าวขึ้นพิงอกเบาๆ มืออีกข้างถือแก้วน้ำและเอาหลอดจ่อปากแห้งผากที่เผยอนิดๆ เปลือกตายังปิดอยู่แต่ก็ดื่มน้ำอย่างกระหายจนหมดแก้ว “เอาอีกไหม”



อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ส่ายหน้ากับอกกว้างเบาๆ เหมือนยังไม่รู้สึกตัวดี ร่างสูงจึงวางแก้วน้ำก่อนจะค่อยๆ วางร่างผอมลงนอนและเพียงไม่นานก็พรูลมหายใจสม่ำเสมออีกครั้ง คินไม่ลืมห่มผ้าให้มิดชิด ดวงตาคมเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ้าม่านที่ถูกแง้มนิดๆ ทำให้เห็นท้องฟ้าที่เริ่มสาง ขายาวเดินไปหยิบกะละมังเพื่อเปลี่ยนน้ำที่อุณหภูมิเริ่มเย็น จะได้เช็ดตัวให้ชะเอมก่อนจะออกไปหาอะไรให้อีกฝ่ายกินสักหน่อย...แถวนี้น่าจะมีโจ๊กหรือข้าวต้มขาย ให้กินอะไรอ่อนๆ น่าจะดีกว่า



หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จ คินก็หยิบกระเป๋าตังแล้วเช็คความเรียบร้อยมองดูคนป่วยที่นอนเหงื่อท่วมอยู่บนเตียงแล้วท่าทางไม่น่าจะตื่นมาเร็วๆ นี้เลยวางใจ แต่คิดไว้แล้วว่าจะออกไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น



“สวัสดีครับลุงธรรม” ร่างสูงเอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า คนที่คอยดูแลความปลอดภัยคอนโดตึกนี้มาเป็นเวลานานหลายสิบปี จนเรียกได้ว่าแทบจะจำหน้าทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้ทั้งหมดว่าวันไหนมีใครหน้าใหม่หน้าเก่าเข้าออกตึกนี้บ้าง...ถึงจะอายุเยอะมากแล้วแต่แกก็ยังสุขภาพดีตาไวและความจำเป็นเลิศมาก



“คุณคิน! ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้างครับ” อีกฝ่ายเอ่ยสุภาพด้วยความเคยชินกับลูกชายของเจ้าของบริษัทชื่อดัง แม้จะอยู่ในชุดเสื้อยืดขาสั้นธรรมดาแต่ออร่าของความหล่อและรวยของชายหนุ่มคนนี้ก็ยังคงอยู่ในสายเลือด...ไม่ทิ้งเชื้อพ่อเลยจริงๆ



“ผมสบายดี แล้วลุงธรรมล่ะครับ”



“แหม ลุงก็สบายดีเหมือนกัน ว่าแต่คุณชะเอมล่ะ” ชายวัยห้าสิบกว่าในชุดซีเคียวริตี้ชะโงกหน้ามองหาร่างผอมบางเจ้าของชื่อนั้น



เสียงทุ้มตอบอย่างอ่อนใจระคนกังวล ยังนึกเป็นห่วงคนป่วยที่นอนอยู่ในห้องคนเดียว “ไม่สบายครับ ผมว่าจะลงมาหาซื้ออะไรให้เขากินซักหน่อย แถวนี้มีร้านข้าวต้มหรือโจ๊กมั้ยครับ”



“แถวนี้ไม่มีหรอกครับ ต้องขับรถไปซักหน่อยถึงจะมี”



“จริงเหรอครับ” ร่างสูงขมวดคิ้ว ไม่อยากออกไปนานๆ เลย กลัวว่าชะเอมจะตื่นมาแล้วจะไม่เจอใคร แล้วถ้าหากร่างบางต้องการอะไร ใครจะหยิบจับให้กันล่ะ



“ดูท่าทางคุณคินจะเป็นห่วงคุณเอมมากนะครับเนี่ย”



ร่างสูงชะงัก ก่อนจะยิ้มบางไม่ปฏิเสธ “ครับ...”



“เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ เดี๋ยวลุงให้คนไปซื้อให้ คุณคินจะได้ไม่ต้องออกไปซื้อเอง แล้วเดี๋ยวถ้าได้ของแล้วลุงให้คนโทรขึ้นไปเรียก” คนแก่กว่าเสนออย่างกระตือรือร้น



ใบหน้าคมหันไปมอง ตอนแรกว่าจะตอบรับแต่ก็ลังเล “จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจ”



“ไม่เลยครับ คุณชะเอมมักจะซื้อของมาให้ลุงบ่อยๆ แถมยังคอยถามเป็นห่วงเป็นใยด้วย ตอนนี้ลุงก็เป็นห่วงเด็กคนนั้นเหมือนกัน ตอนนี้ถึงตาลุงแก่คนนี้จะได้ตอบแทนบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นคุณคินก็อย่าปฏิเสธเลยนะครับ”



“ขอบคุณ...มากนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ย รู้สึกตื้นตันใจแทนชะเอมมากเมื่อได้ยิน ร่างบางคนนั้นจะรู้บ้างไหมว่ามีคนรอบตัวรักมากมายถีงเพียงนี้...เพราะความใจดีและนิสัยอ่อนโยนของชะเอมที่มักจะมีให้ใครๆ เสมอ



“ไม่มีปัญหาครับผม”



"นี่ครับ" มือใหญ่เปิดกระเป๋าควักแบงค์สีเทาให้หนึ่งใบ



อีกฝ่ายตาโต รีบบอก "โอ้โห โจ๊กข้างทางไม่แพงหรอกครับ เดี๋ยวลุงออกให้ก่อนแล้วกันถ้าคุณคินไม่มีแบงค์ย่อย"



"ไม่หรอกครับ นี่ผมให้ เงินทอนที่เหลือเป็นทิปครับลุงธรรม"



"อูย ไม่เอาหรอกครับ ผมเกรงใจ"



"ถ้าเกรงใจก็อย่าปฏิเสธผมสิครับ ...งั้นเอาเป็นว่านี่เป็นคำขอบคุณที่คอยดูแลชะเอมที่ผ่านมา ตอนที่ผมไม่อยู่ก็แล้วกัน ดีมั้ยครับ" ไม่รู้จะอ้างอะไรดี ก็พูดเหตุผลที่คิดว่าลุงธรรมไม่กล้าปฏิเสธ



"โธ่ ผมเต็มใจต่างหาก" ธรรมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ กับร่างผอมบางคนนั้น จะไม่เอ็นดูได้อย่างไร...แค่นึกถึงรอยยิ้มเวลาถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย บางทีเอื้อเฟื้อมาถึงภรรยาและลูกๆด้วย แค่นี้ก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว



"เอาเถอะครับ ผมขอโจ๊กสามถุง ไข่ลวกสองฟองนะครับ" ผมควักแบงค์เทาอีกใบกลายเป็นสอง ยัดใส่มือคนแก่อย่างมัดมือชกแล้วพูดยิ้มๆ ประมาณว่าห้ามปฏิเสธ "ทิปนี่แบ่งให้คนที่ลุงให้ไปซื้อของให้ด้วยแล้วกันนะครับ"



ลุงแก่ตาโตตกใจ แถมในอกลำบากใจเหลือเกิน แต่พอมองหน้าชายหนุ่มแล้วก็พูดไม่ออกนอกจากตอบรับ พยักหน้าช้าๆ "ครับคุณคิน"



"เดี๋ยวให้คนเอาของขึ้นไปให้ด้วยนะครับ ห้อง..." ผมบอกเลขห้องไป เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าขันแข็งแล้วก็โล่งใจ



"ครับผม"



ชะเอมนอนกระสับกระส่ายเนื้อตัวร้อนผ่าว ตากลมปรือสลึมสลือไม่รู้สึกตัวดี บางครั้งก็ยังละเมอพึมพำอะไรออกมาไม่รู้เหมือนกำลังอยู่ในฝันร้าย และหลับๆ ตื่นๆ อยู่แบบนี้จนผ่านไปอีกหนึ่งวันเต็มโดยมีคินคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาไม่ห่างกาย



จ๋อม...





มือใหญ่หย่อนผ้าสีขาวที่เพิ่งเช็ดตัวให้ชะเอมลงในกะละมังน้ำอุ่น ร่างผอมนอนหอบหายใจเหงื่อชุ่มโชกจนเสื้อนอนที่ใส่อยู่เปียกชื้น เขาว่ากันว่าถ้าเหงื่อเริ่มออกแสดงว่าเป็นสัญญาณที่ดี และร่างสูงก็เช็ดร่างกายชะเอมอีกรอบไปแล้วและเปลี่ยนเสื้อให้ด้วย ร่างบางจะได้นอนอย่างสบายตัว



มือใหญ่วางชามแก้วที่มีโจ๊กร้อนสีขาวหอมกรุ่นร้านเดิมบนโต๊ะข้างเตียงพร้อมกับแก้วน้ำ ยาลดไข้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขอบเตียงนุ่มจนมันอ่อนยวบ



"เอม" เสียงทุ้มส่งเสียงเรียก พลางเขย่าอีกฝ่ายให้รู้สึกตัว "เอม..."



"..." ร่างบางลืมตาช้าๆ ก่อนจะหลับลง ทำให้มือใหญ่ต้องเขย่าอีกรอบ



"เอม ตื่นมากินข้าวนะ" มือใหญ่เกลี่ยหน้าม้าที่ชุ่มเพราะเหงื่อออกจากหน้าผากมน ลูบหัวเบาๆ สัมผัสที่ทำให้ดวงตากลมโตปรือเปิดอีกครั้ง มองอย่างเหม่อลอย



ร่างสูงคุ้นตา นั่งอยู่ข้างๆ กำลังมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง...



"เอม..."



เสียงทุ้มนุ่มกำลังเรียกชื่อ...ชื่อของเขา



ฝัน...เหรอ



"คะ...แค่กๆ" จะเรียกชื่อของอีกฝ่ายแต่เจ็บคอเหลือเกิน แก้วน้ำและหลอดสีขาวถูกจ่อตรงริมฝีปากแห้ง กระหายจนอ้าปากงับดูดน้ำหมดแก้วอย่างช่วยไม่ได้



"เอาอีกไหม"



ใบหน้าหวานพยักขึ้นลงแผ่วเบา แต่พออีกฝ่ายลุกขึ้นเดินหันหลังไป ทำให้มือบางคว้าชายเสื้อของร่างสูงอย่างรวดเร็ว



ไม่เอา...อย่าไป



"อย่าไป...ฮึก" หยาดน้ำเม็ดโตไหลรินจากขอบตา "คิน"



ถ้านี่เป็นความฝัน ขอร้องล่ะ อย่าไปเลย...อย่าปฏิเสธคำขอ...เพียงแค่นี้



"คินไปเติมน้ำให้ไง...เอม ไม่เอาสิ ไม่ร้องครับ" ร่างสูงทรุดตัวลง



คินพูดเพราะจัง...ใจดีเหมือนเมื่อก่อนเลย



ต้องเป็นฝันแน่ๆ



"เอมไม่เอาแล้วก็ได้ คินอย่าไปเลยนะ" เสียงใสแหบโหยอ้อนวอน



"แต่เอมหิวน้ำไม่ใช่เหรอ" ทันทีที่ได้ยินริมฝีปากบางเบะ น้ำตาปริ่มไหลลงอีกครั้ง



"โอเคครับ คินไม่ไปแล้ว โอ๋ๆ" มือใหญ่ลูบหัวทุยของคนป่วยขี้แยอย่างเอ็นดู แขนอีกข้างคว้าร่างผอมเข้ามาซบอก การกระทำนั้นทำให้ชะเอมร้องไห้โฮ



แขนบางกอดอีกฝ่ายแน่นเท่าที่จะทำได้ แม้จะอ่อนแรงแต่ความฝันนี้ไม่อยากให้มันจบลง...คินที่ใจดีแบบนี้



นานหลายนาที กับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น กับเสียงทุ้มคอยปลอบ กว่าจะหยุดลง



"ไม่ร้องไห้แล้วนะ ดูสิ ตาแดงหมดแล้ว" ร่างสูงผละออก ก่อนจะหยิบชามโจ๊กที่ยังอุ่นขึ้นมา "กินข้าวก่อนนะ แล้วจะได้กินยา"



ร่างบางยังสะอื้นช้อนมองใบหน้าคมนิ่ง ก่อนส่ายหน้า "เอมไม่หิวเลยครับ"



"กินหน่อย นิดนึงก็ยังดีนะเอม"



"แต่ว่า..."



"เอมไม่สบายอยู่ ถ้าไม่กินข้าวแล้วจะหายได้ยังไง" อีกฝ่ายดุ แต่ก็เสียงทุ้มก็อ่อนลงทันที "นะ"



คนป่วยยังนั่งเบะปากตาแดงก่ำ ร่างสูงจึงยกชามโจ๊กขึ้นชิดริมจมูกสูดดม แล้วส่งเสียงชวนกิน "หืม นี่โจ๊กหอมน่ากินมากเลยนะเอม คินไปซื้อมาให้ ลองกินดูหน่อยว่าอร่อยมั้ย"



คินพูดแล้วอมยิ้มน้อยๆ ร่างสูงไม่เคยทำแบบนี้กับใคร แต่สำหรับชะเอมที่ทำอะไรให้กับตนเองมาตั้งหลายอย่างจนนับไม่ถ้วนแล้ว...เรื่องแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก และดูเหมือนว่าจะได้ผลเพราะร่างบางมองมาทางนี้ตาโต



คินซื้อมาให้...อุตส่าห์ซื้อมาให้เขาเหรอ



ไม่รอช้ามือใหญ่ตักข้าวขึ้นมาทันที "อ้า..." ช้อนที่มีข้าวเหลวร้อนอยู่พอดีคำถูกจ่อเข้าใกล้ และเสียงทุ้มพูดทำให้ริมฝีปากบางอ้างับช้อนอัตโนมัติ โจ๊กอุ่นๆ ไหลลงคอ หยาดน้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้ไหลลงมาอีกครั้ง...และปล่อยให้มันไหลอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะกินหรือร้องไห้ดี ดีใจจนแยกไม่ออกว่ารสชาดของอาหารเป็นอย่างไร



สายตาคมหม่นเศร้า มองท่าทางของชะเอมที่ทั้งกินทั้งสะอื้นฮักแล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากรู้สึกผิด



ไม่ถึงสิบคำ ใบหน้ามนก็ส่ายหวือ ดวงตากลมโตแดงช้ำเพราะร้องไห้ปรือเหมือนจะปิด สายตาคมมองโจ๊กที่เหลือ จะบังคับให้กินอีกก็ยากลำบาก ยังไม่ถึงครึ่งของครึ่งชามเลยด้วยซ้ำ



ได้แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะนะ



"กินยาก่อนแล้วค่อยนอนพักนะ" ผมรีบบอกคนที่นั่งพิงหัวเตียงจะหลับอยู่รอมร่อ ดีที่ได้เห็นแบบนี้เพราะหมายความว่าอาการของอีกฝ่ายดีขึ้นมากแล้ว



"กินได้ไหม" มือบางถือยาไว้ หัวทุยผงกน้อยๆ ก่อนจะโยนยาเข้าปาก ผมจึงยื่นแก้วน้ำ (ที่ไปเติมมาแล้ว) ให้ดื่ม



“คิน...อยู่กับเอมนะ” แม้จะง่วงจนแทบลืมตาไม่ไหว แต่ร่างบางที่เอนตัวลงนอนก็ยังยื่นมือคว้าชายเสื้อแล้วเอ่ยอ้อนวอน



มือใหญ่กุมมือบางร้อนผ่าวแน่นเป็นคำยืนยันทำให้ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆ และดวงตากลมค่อยๆ ปรือปิด พอคิดว่าชะเอมหลับไปแล้วจะดึงมือออกก็เบะปากร้องอืออาทำให้คินต้องอยู่นิ่งๆ อย่างนั้น



กว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับสนิทได้ก็ทำเอาเหงื่อตก



เวลาชะเอมงอแงนี่ไม่มีใครเอาอยู่เลยจริงๆ



"อืม โทษทีว่ะ พอดีเอมไม่สบาย ขอเลื่อนไปก่อนแล้วกัน" เสียงทุ้มบอกกับอีกฝั่งขณะแนบหูกับโทรศัพท์ มือตักโจ๊กเข้าปาก สายตาเหลือบมองคนป่วยในห้องที่นอนหลับปุ๋ยไปแล้ว



("อ้าว จริงเหรอวะ เป็นอะไรมากเปล่า") เสียงทุ้มพูดอย่างเป็นห่วง ("แล้วนี่คือมึงอยู่กับเอม?")



"ใช่" มือใหญ่ตักเข้าปากอีกคำ โจ๊กชามโตแต่ไม่ทำให้ผู้ชายตัวใหญ่อย่างคินกินแล้วอิ่มเท่าไหร่ ก็เขาไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน เพราะมัวแต่ห่วงร่างบางนั่นแหละ



("ใครเป็นอะไรเหรอเอก") เสียงทุ้มใสของอีกคนดังขึ้นถามแทรก ("พอดีชะเอมไม่สบาย...จริงเหรอ ไปเยี่ยมได้เปล่า ขอกูคุยกับไอ้คินบ้างสิ...")



เสียงสองคนคุยกันหงุงหงิง ทำให้เขาขมวดคิ้ว นี่พวกมันตัวติดกันตลอดเวลาเลยหรือไงวะ



"พวกมึงจะมาเยี่ยมเอมรึเปล่าล่ะ"



("ได้เหรอวะ...นี่ๆ คินว่าไงอะ อ๊า กูขอฟังด้วยสิ!")



"ได้ดิ...แล้วอีกอย่างกูอยากคุยเรื่องนั้นด้วย" ขายาวผุดลุกขึ้นยืนหยิบชามที่กินหมดแล้วเอาไปวางที่ซิงค์ล้างจาน เปิดน้ำก๊อกแช่ไว้



("กูน่ะได้อยู่หรอก แต่มันจะไม่รบกวนเอมหรือวะ")



"ไม่เป็นไร" ริมฝีปากคมยิ้มไม่รู้ตัว ดีซะอีกยิ่งคนเยอะๆ ชะเอมน่าจะดีใจ แถมไม่เหงาด้วย "เดี๋ยวกูส่งโลเคชั่นไปให้ ถ้ามาถึงแล้วบอกกูละกัน"



("เออๆ แล้วคอนโดมีที่จอดรถป่ะวะ")



"บอกยามว่าเป็นเพื่อนภาคิน เดี๋ยวเค้าน่าจะหาที่จอดชั่วคราวไว้ให้"



อีกฝ่ายหัวเราะ ("ครับ คุณชาย") มันรับคำแล้วเตรียมจะวางสาย ผมเลยเบรคไว้ก่อน



"เดี๋ยวเอก"



("ว่า")



"ฝากซื้อของกินหน่อยดิ เยอะๆ เลยนะ กูหิว"



("ทำไมไม่ซื้อเองล่ะวะ") อีกฝ่ายถามแล้วหัวเราะเหมือนรู้คำตอบอยู่แล้วว่าทำไม



"เหอะน่า อะไรก็ได้ซื้อมา"



อีกฝ่ายรับคำเสียงยาน ("เออลืมบอกเดี๋ยวกูพาเพื่อนอีกคนไปด้วยนะ")



"ถ้าหมายถึงตาลล่ะก็กูรู้แล้ว" มันจะบอกทำไมเพราะไม่มีทางที่มันจะไม่พาร่างโปร่งมาด้วยอยู่แล้ว แสดงความเป็นเจ้าของด้วยการทำตัวติดอยู่ตลอดเวลาซะขนาดนั้น



("ไม่ใช่ หมายถึงเพื่อนเราอีกคน เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วจะโทรไป แค่นี้นะ")



"เฮ้ย เดี๋ยวดิ...!" ห้ามไม่ทันเพราะเอกมันวางสายไปแล้ว ได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าจอโทรศัพท์



พูดอะไรของมัน



'เพื่อนเราอีกคน' นี่คือใครกัน...?





************************Whose fault? ************************



โดนนักอ่านทวงนิยายโหด ฮือ ขอโทษค่า ขอโทษที่หายเงียบไป

มัวแต่จัดการไฟล์นิยาย เสียใจไม่ค่อยมีใครเข้าไปดูในเพจรุยเลย แต่ต้องขอขอบคุณที่มีคนเข้าไปกดว่าอยากได้หนังสือ ขอบคุณค่ะ มีกำลังใจขึ้นมาก แต่จะบอกว่าถ้าคนอยากได้หนังสือน้อยขนาดนี้รุยอาจจะไม่ตีพิมพ์เพราะไม่มีทุนค่ะ และอย่างที่บอกไปว่าจะไม่ส่งสำนักพิมพ์แล้วเพราะตอนพิเศษมันหื่นติดเรท20+มาก(เนื่องจากเก็บกดเพราะตอนหลักมันดราม่าทุกตอน)

แต่ถึงเราจะไม่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม แต่สำหรับคนอยากอ่านตอนพิเศษ รุยกำลังดำเนินการจะนำหนังสือลงเว็บอีบุ๊ค ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ เหลือแค่รอนักวาดวาดปกนิยายอีกสองอาทิตย์ ถ้าไม่มีใครเข้าไปอ่านในเพจเราจะแจ้งข่าวในเว็บนี้ก็ได้ รบกวนอ่านกันหน่อยเน้อ แต่ถ้าใครคิดว่าไม่มีงบซื้อก็อ่านในนี้ไปก็ได้ ก็อาจจะมาต่อให้ช้าหน่อย

รายละเอียดหนังสือ Whose Fault ผิดที่ใคร ทั้งหมด 2 เล่มจบนะคะ

รวมทั้งหมดประมาณ1400หน้าค่ะ ในรูปแบบกระดาษ A5 ตัวหนังสือ Cordia new ขนาด16 Pt ค่ะ

ตอนหลัก 43 ตอน (nc18+ 3 ตอน)

ตอนพิเศษ 7 ตอน (nc20++ 7 ตอน) บอกเลยว่าสำหรับสายหื่นจริงๆ คือเซอร์วิสมากๆ ไม่เหมาะสำหรับคนไสยๆ เอ๊ย ใสๆ ค่ะ

-สินดิน : สักวันหนึ่ง (เป็นตอนระหว่างตอนที่ 8-9 ค่ะ ถ้านักอ่านคนไหนยังจำได้)

-สินดิน : รับผิดชอบ

-คินชะเอม : ข่าวดี

-คินชะเอม : หวง! หึง!
-คินชะเอม : รถใหม่

-คินชะเอม : แอดมิน สาววายจงเจริญ

-คินชะเอม : ชะเอม



ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องรูปเล่มก็อาจจะดูอีกทีในตอนลงใกล้จบเพราะอาจจะมีคนมาอ่านนิยายของรุยมากกว่านี้ ถ้ายังไงมีใครมีข้อสงสัยอะไรก็ถามในเม้นได้เลยค่ะ เดี๋ยวรุยจะมาตอบแน่นอนทุกคน หรืออยากจะคุยยาวๆ ติดต่อแชทเพจ H.Rui Novels ได้นะคะ

แล้วก็ถ้าลงอีบุ๊คเมื่อไหร่ก็จะมาแจ้งข่าวอีกทีค่า

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 26 28/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 28-12-2018 20:07:05
 :mew5: :sad4: อยากรู้ว่าคุยกันเรื่องไร ไรท์มาไวไวน้า
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 26 28/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-12-2018 21:38:47
ไม่ใช่พาเรย์มาหรอกนะ,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27 31/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 31-12-2018 21:55:02



                                                    Whose Fault ?

                                                     ผิด...ครั้งที่ 27





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



กิ๊งก่อง



ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงกดกริ่งหน้าประตู ทำให้ร่างสูงที่นั่งเฝ้าชะเอมที่ยังหลับสนิทลุกขึ้น ไหนบอกว่ามาถึงแล้วจะโทรมาไง



"ไง คิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"



"ทราย?" เขาเลิกคิ้วแปลกใจมากถึงมากที่สุดที่เห็นหญิงสาวที่ไม่ได้เห็นมานาน เพราะแม้แต่ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เจอ



คนตรงหน้ายิ้มบาง หน้าตาสะสวยอยู่แล้วยิ่งทำให้สวยจนน่ามอง "ไม่ได้เจอกันนานนะ"



คินฟังแล้วก็อมยิ้มแซว "นั่นสิ ก็เพราะทรายชอบตัวติดกับแฟนนั่นแหละ"



"อย่าอิจฉาย่ะ" เม็ดทรายเท้าสะเอวแยกเขี้ยว มองไปด้านหลังเห็นตาลโบกมือยิ้มกว้าง กับร่างสูงของเอกทำหน้านิ่งชูถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่ "แล้วจะยืนคุยอีกนานมั้ย รีบเชิญพวกฉันเข้าห้องได้แล้ว"



เพื่อนอีกคนที่ว่าของเอกคือเม็ดทรายเองเหรอ



"มึงซื้อมาซะเยอะเลย" มือใหญ่รับถุงในมือเอกมาเปิดดู เยอะเกินจนนึกว่ามันประชดหรือเปล่า มีขนมหวาน แซนวิช ขนมขยะหลายถุงแถมยังมีข้าวแช่เย็นของเซเว่นที่อุ่นแล้วตั้งสามสี่ชุด



"ให้มึงคนเดียวซะที่ไหน พวกกูก็ยังไม่ได้กิน"



...มิน่ามาซะเร็ว



"แล้วพวกมึงขึ้นมาถูกได้ไง"



"อ่อ ก็ลุงยามข้างล่างน่ะสิ แค่บอกว่าเป็นเพื่อนมึงก็แทบจะส่งกูถึงห้องอยู่แล้ว" เอกว่า พลางเอาของจากถุงมาวางบนโต๊ะ "กูเลยบอกว่าไม่เป็นไร แค่บอกเลขห้องมาก็พอแล้ว"



"แถมเขาบอกว่าอยากจะมาเยี่ยมชะเอมด้วยตัวเองด้วยนะ" ตาลเสริม มือจะแกะพายบลูเบอร์รี่กินแต่โดนมือใหญ่แย่งไปซะก่อน ประมาณว่าให้กินข้าวก่อนขนม



เขาฟังแล้วก็ร้องออ รู้ทันทีว่าใคร...หมายถึงลุงธรรมแน่ๆ เลย



"จะยังไงก็เถอะ ขอเข้าไปหาชะเอมได้มั้ย" ทรายพูดแทรก ทำให้ร่างโปร่งเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้



"ไปด้วยสิ!" ตาลพูดขอตาวาว



"ไปก็ได้ แต่เอมนอนอยู่นะ เบาๆ ก็แล้วกัน" ใบหน้าคมพยักหน้าอนุญาต แล้วเดินนำเข้าห้องนอนที่คนป่วยนอนพักอยู่



ขายาวเดินเข้าใกล้ชะเอมที่นอนเหงื่อชุ่มใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงปัดหน้าม้าที่เปียกเหงื่อออกจากหน้าผากมน ขณะที่คนอื่นยืนมองด้วยความเป็นห่วง



"เขากินข้าวรึยัง" ทรายถาม



"ตอนเช้ากินแล้ว แต่เที่ยงยังไม่ได้กินนะ"



"งั้นก็ปลุกขึ้นมากินเถอะ" หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวบอก "จะได้กินยา"



คินได้ยินก็เดินออกมาอุ่นโจ๊กถุงที่ฝากลุงธรรมซื้อมาตอนเช้า เตรียมยาเสร็จก็เดินเข้ามาเห็นทรายกำลังบิดผ้าเช็ดใบหน้าซีดของชะเอม โดยคนทำอะไรไม่เป็นอย่างเอกกับตาลที่ยืนอยู่คนละมุมมองอยู่



"พวกมึงอยู่เต็มห้องแล้วมันยังไงชอบกล"



"ยังไง" ตาลเลิกคิ้ว



"เกะกะ"



ร่างโปร่งหน้าบูดทันที ส่วนเอกยักไหล่เหมือนไม่สนใจว่าจะโดนว่าว่าอะไรก็ตาม เรียกได้ว่าหน้าหนา



"ไม่รวมฉันนะยะ" หญิงสาวรีบพูด ทำให้เขาหลุดขำ ร่างบอบบางของทรายลุกออกให้เขานั่งแทน มือใหญ่ยื่นจับไหล่บางเขย่าตัวชะเอมเบาๆ ที่นอนปรือตาเหมือนรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงคุยกัน



"เอม”



ดวงตากลมโตกระพริบช้าๆ



“เอม...”



คิน...คินเหรอ...



ร่างบางถูกประคับประคองให้ลุกขึ้นนั่งพิงร่างกายแกร่งโดยที่ดวงตากลมยังมองอีกฝ่ายเหม่อลอย



ทำไมถึง...ฝันเห็นคินบ่อยจัง...



ปวดหัว...ทั้งร้อนทั้งหนาว แถมยังเจ็บคอ...



กรุ๊งกริ๊ง



เสียงกระดิ่ง...ไม่ใช่สิ นั่นมันพวงกุญแจของเขา...ของขวัญของเขา



คินใช้มัน...แขวนมันไว้กับโทรศัพท์



‘สวยใช่ไหม เรย์ชอบมากเลย คินเขาซื้อให้เป็นของขวัญน่ะ’



แต่ที่คินใช้มัน ไม่ใช่เพราะเป็นของขวัญของเขา...แต่มันเป็นเพราะจะใช้คู่กับใครอีกคน



ใจร้าย...คินใจร้าย



“ฮึก! ฮือออ” น้ำตาเม็ดโตไหลริน ยิ่งปวดหัวยิ่งเจ็บเนื้อเจ็บตัวก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแอ



“เอม? เป็นอะไร ไม่เอาไม่ร้องนะ” คนทั้งห้องมองอย่างตกใจปนอึ้งที่จู่ๆ คนป่วยร้องไห้ แต่กับคินที่เจอแบบนี้มาเกือบสองวัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ



แต่มันไม่ได้ปกติอย่างที่ร่างสูงคิด



“คินใจร้าย...ใจร้าย!” กำปั้นเล็กรัวทุบบนตัวร่างสูงอย่างน้อยอกน้อยใจ ยิ่งเห็นพวงกุญแจอันนั้นอยู่ในสายตา มันยิ่งเจ็บในอก



คินงุนงงอย่างหนัก สองวันนี้ไม่เคยเห็นชะเอมเป็นแบบนี้มาก่อน จู่ๆ เป็นอะไรขึ้นมา “เอม...เป็นอะไรครับ” แขนแกร่งยังคงประคองคนป่วยที่ร้องไห้และทำร้ายเขา พอมือใหญ่จับเข้าที่ต้นแขนอีกฝ่ายก็สะบัดออก



“อย่ามาจับนะ! ...ฮึก”



“เอม”



“คินทำแบบนี้ทำไม ถ้าชอบเรย์แล้วมาใจดีกับเอมทำไม...ทำทำไม!!” เสียงใสตะโกนกร้าว ค่อยๆ ผุดลุกขึ้นทั้งๆ ที่ปวดหัวแทบตาย คินจะเข้ามาประคองร่างผอมที่โซเซแต่ก็ถูกสะบัดออกอีกครั้ง ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ยากที่จะรวบตัวคนไม่มีแรง แต่ตอนนี้ชะเอมกำลังดื้อดึง ถ้าใช้กำลังก็รังแต่จะต่อต้านมากขึ้นไปอีก



ร่างบางไม่ได้สังเกตว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย...ภาพตรงหน้าแสนพร่ามัว



“...”



"เอมเป็นแบบนี้แล้ว ยังไม่พอใจอีกใช่มั้ย!?"



 ทำไมต้องทำเหมือนเขาเป็นคนโง่ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วย



"ฮือ ไปให้พ้นเลยนะ!" ทั้งร้องไห้...และไล่ตะเพิด ไม่อยากเห็น...ทั้งใบหน้าคมทั้งของชิ้นนั้น มือบางตะครุบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาและพยายามจะแกะมันออก



“เอม อย่า!”



“นี่ของๆ เอม! เอาคืนมานะ!” นี่มันของๆ เขา...ไม่ใช่ของที่ให้อีกฝ่ายเอาไปใช้คู่กับมัน!



ร่างบางยุดยื้อของในมือกับคิน ในยามปกติจะสู้แรงอีกฝ่ายยังทำไม่ได้ แน่นอนว่ายิ่งไม่สบายยิ่งแล้วใหญ่ พอร่างสูงแย่งออกมาได้ก็ชูสูงจนคนเตี้ยกว่าได้แต่เงยหน้ามองแล้วสะอื้นไห้หนัก “ถ้าคินอยากใช้คู่กับเรย์ก็ไปซื้ออันใหม่สิ ฮึก อย่าทำแบบนี้ เอมเจ็บ...นี่มันของสำคัญของเอมนะ เอมซื้อให้คิน ทำไมคินถึงใจร้ายแบบนี้...”



ใบหน้าตัดพ้อน้อยใจ เห็นกี่ครั้งก็เจ็บปวดทุกครั้ง



"ทำไม" มือบางไร้เรี่ยวแรงยกมือขึ้นกำเสื้อตรงหน้าอก นัยน์ตาร้อนผ่าว หัวก็ปวดหนึบ "ทั้งๆ ที่คินมาทำแบบนี้มันเหมือนกับมาจุดความหวังในใจของเอม แต่คินกลับไม่เคยมองมาที่เอมเลย..." ไม่รู้เลยว่าทุกๆ วัน มีแค่เขาที่เอาแต่คิดถึงเหมือนคนบ้า "...ที่ผ่านมาที่เอมขอโอกาส ที่คินมาจูบ ที่คินขอไปรับไปส่ง...คินทำไปทำไมเหรอ..."



สิ่งที่ได้รับคือความเงียบที่ทำให้ร่างบางกัดริมฝีปากจนเลือดซิบ



"คินบอกเอมมาตามตรง ถ้าไม่เคยรู้สึกอะไรกับเอมแม้แต่นิด เอมจะเลิก..." มือบางกุมตอบพลางยิ้มฝืดเฝื่อนเหลือเกินในสายตาคนมอง "เพราะเอมก็เบื่อตัวเองที่เอาแต่โง่เง่า คาดหวัง ผิดหวัง เสียใจเพราะคิน"



มันเจ็บ



"..."



"ตอบมาสิ!"



ชะเอมปล่อยมือที่กำเสื้ออีกฝ่ายแน่น ทิ้งแขนไร้เรี่ยวลงข้างตัว สายตาคมที่มองมานิ่งเงียบ ไร้คำตอบอีกตามเคย



“คินไม่เคยรักเอมเลย...”



ดวงตากลมโตว่างเปล่า แค่นยิ้มสมเพชตัวเอง พูดถึงขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับ



ฝันดีของเขาจบลงแล้ว



"เอมเหนื่อย...ไม่อยากรักคินแล้ว" ชะเอมพูดอย่างท้อแท้...อ่อนแรงเหมือนกับที่ใจรู้สึก "พอรักคินแล้วเอมเจ็บ"



หากแต่คำพูดนี้คำพูดเดียวที่ทำให้คินเบิกตากว้าง กัดฟันกรอด...



"ไม่ให้เลิก!" ร่างสูงตะคอก มือใหญ่จับแขนเรียวให้หันมองซึ่งร่างบางก็ไม่ยอมเหมือนกัน



“เห็นแก่ตัวที่สุด!”



ได้ยินคำกล่าวนั้นก็ทำให้อ่อนลง เพราะเขาเป็นแบบนั้นอย่างที่เอมพูดจริงๆ “เอม คินอยากจะคุยด้วย แต่รอให้เอมหายก่อนได้มั้ย”



“ไม่! เอมไม่รอ! ถ้าคินจะพูดอะไรก็พูดมาตอนนี้เลย”



“...”



“ถ้าไม่พูดตอนนี้เอมก็จะไม่ฟังคินอีกแล้ว!! ปล่อยนะ!” ร่างบางตะโกนเสียงดัง และดึงแขนออกมาจากการกอบกุม ทั้งปวดหัวตุ้บจนเหมือนจะระเบิด



“เอม” คินขมวดคิ้วสีหน้าร้อนรน เพราะเนื้อตัวที่สัมผัสเริ่มร้อนมากขึ้น ในหัวได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ชะเอมอารมณ์เย็นลงได้บ้าง "เอม คินขอโท..."



เพียะ!



มือบางสะบัดเข้าที่ข้างใบหน้าคมอย่างแรง หยาดน้ำตาเม็ดใสไหลอาบหน้าซีดเซียวแต่เจ้าของก็ไม่คิดจะเช็ดมัน ทั้งๆ ที่ทำร้ายอีกฝ่ายแต่ดวงตากลมโตกลับสะท้อนความเจ็บปวดเสียเอง



"เอมไม่อยากได้ยินคำขอโทษของคินแล้ว ออกไป!"



“เอม...” คนได้ยินเจ็บปวด ในอกมันบีบรัดแน่น เพราะคำไล่ตะเพิดของร่างบางที่กรีดร้องเสียงดัง



“ออกไป!!!”



แม้จะตะคอกจนเจ็บคอ ร้องไห้จนแสบตา แต่คินก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ร่างบางจึงออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไป



ถ้าคินไม่ไป งั้นเขาจะเป็นฝ่ายไปเอง



อยากจะไปจากตรงนี้...ไปที่ไหนก็ได้...ไปให้ไกล



แต่ทว่าร่างบอบบางที่ฝืนสังขารมานานออกเดินเพียงแค่ก้าวเดียวร่างทั้งร่างก็ร่วงหล่นราวกับใบไม้



“เอม!”



คินรับร่างผอมที่ร้อนระอุเอาไว้ได้ก่อนจะกระแทกพื้น ทำเอาเพื่อนๆ ที่มองอยู่ตกใจ ก่อนที่ร่างสูงจะช้อนแขนอุ้มคนไม่สบายมาวางไว้บนเตียงอย่างรวดเร็ว



ชะเอมนอนหน้าซีดเผือด ลมหายใจหอบร้อนเหมือนไข้ขึ้นหนักอีกครั้ง...หมดสติอย่างสิ้นเชิง



ทำให้ต้องรีบเช็ดตัวโดยบอกให้เพื่อนออกไปรอข้างนอกห้อง



และไม่ลืมแกะพวงกุญแจอันนั้นออกเอาไปเก็บไว้ในที่ๆ ชะเอมมองไม่เห็น



“พวกมึง...กลับไปก่อนก็แล้วกัน” ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าที่จะเปลี่ยนชุดเปลี่ยน “ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้มาเห็นเรื่องแบบนี้”



“ไม่เป็นไร แต่เห็นแบบนี้จะให้พวกกูกลับไปได้ไงวะ ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ขออยู่ช่วย...เป็นกำลังใจก็แล้วกัน” ตาลพยักหน้ารับกับสิ่งที่เอกบอกพลางขมวดคิ้วกังวล เม็ดทรายก็เช่นกัน



“เจ็บหรือเปล่า” หญิงสาวถามเป็นห่วง เธอหมายถึงจิตใจ...แต่คนได้ยินตีความไปหมายถึงว่าเรื่องที่โดนชะเอมตบเข้าที่ใบหน้า มันมีรอยแดงขึ้นจริงแต่ก็ไม่ได้เจ็บมากมาย



คินส่ายหน้าเนือยๆ ขายาวเดินเชื่องช้าหย่อนตัวนั่งที่โซฟา และยกมือขึ้นปิดหน้าและผ่อนลมหายใจที่สั่นเครือ



อยาก...ร้องไห้



‘เอมเหนื่อย...ไม่อยากรักคินแล้ว’



เสียงกรีดร้องที่เสียดแทงเข้ามา ทำให้พูดอะไรไม่ออก



‘ออกไป!!’



‘เอมรักคินนะ’



น้ำตาอุ่นไหลผ่านร่องแก้มจนเปียกฝ่ามือ และเสียงสูดลมหายใจติดขัดคล้ายสะอื้นดังขึ้นเงียบๆ



ต้องเจ็บปวดขนาดไหนชะเอมถึงได้ทนไม่ไหวและพูดคำไล่นั้นออกมา...คำที่บอกว่าจะเลิกรักกัน



มันสายเกินไปแล้วงั้นหรือ





‘เอมแค่มาซื้อนี่ให้  ถ้าคินไม่อยากได้...ก็ทิ้งมันไปก็แล้วกัน’



‘เอ๊ะ...อ๋อ~ สวยใช่ไหม เรย์ชอบมากเลย คินเขาซื้อให้เป็นของขวัญน่ะ’



‘มันคือของขวัญการคบกันเป็นแฟนได้หนึ่งเดือนแล้วน่ะ คินจะพูดแบบนี้ใช่มั้ย’



แล้วเสียงเล็กก็หัวเราะคิกคักดังก้องไปทั่วในความฝันอันมืดมิด เสียงน่ารังเกียจ



เขาเกลียดมัน



‘ของคินเป็นพวงกุญแจลูกโลกล่ะ คู่กันเลยเนอะโลกกับดวงจันทร์’



เขาเกลียดมัน!



‘คนอย่างมึง ไม่เกิดมาซะก็ดี’ ชะเอมหน้าซีดหันมองเสียงอีกเสียงที่คุ้นเคยดี มีกลุ่มควันปรากฏร่างของพ่อที่ยังอายุเท่ากับตอนที่เขายังเด็กชี้หน้าตะคอกใส่และยกมือขึ้นจะทุบตีอีกครั้ง ทำให้ร่างผอมขดตัวยกมือขึ้นบัง



พ่อ!...เอมขอโทษ...ขอโทษครับ...!



แต่ก็ยังไร้ความเจ็บปวดใดๆ พอหันไปมองอีกทีพ่อก็หายไปแล้ว แต่ปรากฏร่างอีกร่างขึ้นมาแทน...คือร่างสูงที่เขารักหมดใจ



‘เอมรักคินนะ’ คำบอกรักแสนหวานที่อยากจะได้รับความรู้สึกเดียวกันตอบกลับมา...หวังไว้สักวันหนึ่งว่าถ้าไม่ยอมแพ้ยังไงคินก็น่าจะเห็นถึงความรู้สึกเขาบ้างแต่ใบหน้าคมหล่อเหลานั้นกลับบิดเบี้ยว...ตอกย้ำกลับมาด้วยคำพูดที่ทำให้จิตใจของเขาสลาย



‘แต่คินเกลียดเอม...เกลียด!’



‘ไม่...ไม่!!’ ไม่ใช่!! เขาไม่อยากได้ยินคำๆ นี้!



มือบางยกขึ้นปิดหู แต่คำเกลียดก็ยังเสียดเข้ามาให้คนได้ยินทุรนทุราย ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา



แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขาเลย แผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปพร้อมโอบกอดร่างเล็กของเรย์แน่น



หัวเราะอย่างมีความสุข...โดยทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง



“ไม่...ฮือ ไม่!!”



เสียงกรีดร้องดังขึ้นทำให้เหล่าคนที่กำลังปรือตาหลับอยู่สะดุ้งเฮือก คินพุ่งตัวเข้าไปหาคนแรกคว้าจับมือที่กำลังเอื้อมหาอะไรบางอย่างในอากาศเข้ามากุมแน่น



“เอม! เอม!!” ร่างสูงพยายามเขย่าและส่งเสียงเรียกเพื่อจะปลุกอีกฝ่ายจากฝันร้าย น้ำตาซึมเล็ดไหลจนใบหน้าและหมอนที่หนุนศีรษะเปียกชุ่ม



“ฮือ!! อย่าไป...อย่าไปนะ!!!” เสียงกรีดร้องตะโกนดังในความฝัน...มันดังจนมาถึงความเป็นจริงเพราะเพียงแค่อยากจะให้คนที่รักหันกลับมามอง “คิน!!!”



ร่างสูงนิ่วหน้าน้ำตาไหลรินอีกครั้ง สภาพของชะเอมที่เห็นตอนนี้มันถึงขั้นย่ำแย่จนเก็บเอาไปฝัน ฝันว่าเขาทิ้งอีกฝ่ายไป...และได้แต่ร้องเรียกให้เขากลับมา



นี่เขาทำอะไรลงไป



คินคว้าคนตัวผอมบางที่ยังดิ้นไม่หยุดแนบอกแน่น ทั้งลูบหัวลูบหลังเอ่ยปลอบ ทำยังไงก็ได้ให้อีกฝ่ายสงบลงเสียที...หยุดกรีดร้องด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแบบนี้เสียทีเถอะ



ได้โปรด



“ชู่วๆ เอม มันคือความฝันนะ...แค่ฝันร้ายเท่านั้น คินยังอยู่ตรงนี้ไงครับ...คินอยู่ตรงนี้”



คนปลอบก็เสียงสั่นเครือไม่แพ้กัน เพื่อนๆ ได้แต่ยืนมองภาพนั้น...ทำอะไรไม่ได้ แทรกเข้าไปไม่ได้ พอเห็นชะเอมเริ่มสงบลง เหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นก็ค่อยๆ ทยอยกันออกไป...เพราะพวกเขาคงช่วยอะไรคนป่วยไม่ได้นอกจากคนที่รัก



“ฮึก ฮือ”



“ไม่ร้องไห้แล้วนะ เดี๋ยวปวดหัวนะครับ โอ๋ๆ ...” ร่างสูงโยกตัวยังคงลูบหลังลูบหัวไม่หยุด อีกฝ่ายรู้สึกตัวตื่นแล้ว แต่ดวงตากลมปรือ ทั้งปวดหัวทั้งลมหายใจที่ร้อนผ่าวทำให้คินต้องค่อยๆ วางคนไม่สบายลงหนุนหมอนเหมือนเดิม ก่อนจะบิดผ้าขาวที่วางอยู่ในกะละมังใกล้ๆ ไล้ใบหน้าที่เลอะทั้งน้ำตาทั้งเหงื่อให้



“คินเกลียดเอม”



“ทำไมเอมถึงพูดแบบนั้น...มันไม่จริงเลย”



“คินพูด...ในฝัน คินพูดว่าเกลียด...เกลียดเอม” ริมฝีปากบางเบะและน้ำตาเม็ดโตก็ไหลแหมะอีกครั้ง ดวงตาฉ่ำน้ำช้อนมองคนที่กำลังเช็ดตัวให้ตนเองแผ่วเบา



“แต่นี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน...คินไม่ได้เกลียดเอม” ร่างสูงยิ้มบาง เกลี่ยผมเปียกเหงื่อให้ออกจากกรอบหน้าใส และก้มลงจรดริมฝีปากร้อนเข้าที่หน้าผากมน “คินรักเอม”’



คำรักแสนหวานที่รอฟังมานานแสนนาน เพราะเขาคิดว่าถ้ายอมอดทน...สักวันหนึ่งอีกฝ่ายจะรู้สึกแบบเดียวกันบ้าง   



“รักนะครับ”



ในที่สุดเขาก็ได้ยินมันแล้ว



“เอมก็ ฮึก เอมก็รักคิน”



ร่างสูงรีบจุ๊ปากเสียงเบาเพราะอีกฝ่ายเตรียมจะร้องไห้อีกครั้ง “คินรู้ แต่ตอนนี้นอนพักก่อนนะ ไม่ร้องไห้แล้วเนอะ” แต่คนป่วยยังจ้องร่างสูงไม่วางตา ทำให้คินต้องหย่อนผ้าขาวที่เช็ดเสร็จแล้วลงกะละมังและลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง มือใหญ่ช้อนจับมือเล็กร้อนระอุไว้ “คินจะอยู่ข้างๆ แบบนี้ไม่ไปไหน พอตื่นมาจะได้เจอคินคนแรกเลยไง ดีมั้ย”



ตากลมมองใบหน้าคมในระยะใกล้ เห็นรอยแดงของฝ่ามือแล้ว นั่น...เป็นฝีมือของเขาเอง



“คินเจ็บมั้ย” ชะเอมเอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด “เอมขอโทษ”



“เอมไม่ต้องขอโทษเลย คินไม่เจ็บ”



“แต่มันมีรอย...”



“เอาน่าเดี๋ยวก็หาย เอาล่ะ ถึงเวลาที่เด็กดื้อต้องนอนได้แล้ว” มือใหญ่จับผ้าห่มคลุมถึงคอแต่ยังจับมือบางไม่ปล่อย



“แต่เอมไม่อยากนอน” คนงอแงส่ายหน้าน้อยๆ ปรือตาจะปิดแต่พยายามฝืน เสียงใสโหยอ่อนแรง “กลัวฝันร้ายครับ”



คินยิ้มเข้าใจดี มันคงเป็นฝันร้ายที่ไม่อยากจะเจอ “งั้นคินนอนด้วยดีกว่า จะได้ฝันไปพร้อมกัน ดีมั้ย”



ร่างใหญ่แทรกตัวเอนนอนข้างๆ กอดร่างที่อุณหภูมิร้อนผะผ่าวเอาไว้แนบอก ชะเอมตาโตขึ้นนิดๆ ก่อนจะเอื้อมแขนไปกอดตอบ เปลือกตาปรือลงแนบหูกับอกกว้าง...ฟังเสียงหัวใจ



“ฝันดีนะครับ”



“...”



“คินรักเอมนะ”



แล้วชะเอมก็ได้หลับเต็มอิ่มเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน







“เอม ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”



"คิน..." ร่างสูงเข้าประคองคนตัวเบาให้ลุกขึ้นพิงหัวเตียง มือบางขยี้ตา



ก่อนที่ดวงตากลมจะจ้องไม่กระพริบ เมื่อคืน...ไม่ใช่ความฝัน



‘คินรักเอมนะ’



"เอมปวดหัว..."



คินจุ๊ปากเมื่อริมฝีปากบางเบะงอแง ใช้มือทาบหน้าผากวัดอุณหภูมิ...ยังร้อนอยู่เลย



"เมื่อเช้าคินปลุกเอมแล้วแต่ไม่ตื่น ตอนนี้จะเที่ยงแล้ว กินข้าวก่อนนะ" เสียงทุ้มกระซิบบอกเบาแต่ได้ยินกันทั้งห้อง ไม่สนใจรอยยิ้มล้อเลียนที่เพื่อนส่งมา ดูเหมือนชะเอมจะยังคงไม่รู้สึกตัวว่ามี 'คนอื่น' นอกจากร่างสูงอยู่ในห้องด้วย...แถมอยู่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว



หัวทุยส่ายหน้า "เอมไม่หิว"



"ไม่หิวก็ต้องกิน" เสียงทุ้มเผลอดุ ทำให้คนป่วยสะอื้นง่ายดายเพราะอ่อนไหว "เอ่อ..."



"ฮึก...ฮึก แต่เอมกินไม่ลงนี่" ร่างผอมน้ำตาซึม  "ทำไมคินต้องดุด้วย"



"คินขอโทษ คินไม่ได้ตั้งใจ" ร่างสูงรีบจับคนป่วยมานั่งพิงอก กอดปลอบลูบหัวเหมือนเด็ก แต่ก็ยังไม่คลายสะอื้น เขาจึงตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้าย "เอมไม่ยอมกินข้าวแบบนี้ คินก็ไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน เนี่ย ปวดท้องไปหมดแล้ว"



ร่างสูงกุมท้องร้องโอดโอยประกอบ ได้ผลชะงัด ชะเอมหยุดร้องไห้ทันใด แม้ตัวเองจะป่วย แต่ก็รีบหันมาถามผมอย่างเป็นห่วงด้วยท่าทางอ่อนแรง "คินยังไม่ได้กินข้าวเหรอ"



เห็นแล้วน่าเอ็นดู



"ใช่...โอ๊ย" ไม่วายร้องโอดงอตัวให้ร่างบางร้อนรน



"คินรีบไปกินข้าวสิ เดี๋ยวเอมกินทีหลังก็ได้" ริมฝีปากบางพูดในระยะใกล้ชิดยิ่งทำให้รู้สึกถึงความอุ่นร้อนของคนไม่สบาย



เป็นงั้นไป...



จมูกโด่งกดลงข้างขมับชื้นเหงื่อของชะเอมอย่างหมั่นเขี้ยว "ไม่เป็นไร คินทนได้ คินจะรอให้เอมกินก่อน แล้วคินค่อยกินทีหลัง"



"แต่...เอมกินก็ได้" ชะเอมพูดอุบอิบ



"กินข้าวแล้วจะได้กินยา จะได้หายไวๆ" คินจับตัวเขานั่งพิงหัวเตียงดีๆ เหมือนเดิม จะได้ป้อนข้าวง่ายๆ แต่กลับรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมานิ่ง ไม่ใช่เพื่อนๆ แต่เป็นของคนป่วยนี่แหละ



"หืม มีอะไร"



"เอมไม่..."



คินขมวดคิ้ว เพราะไม่ได้ยิน "เอมไม่อะไรครับ?"



มือบางขยุ้มผ้าปู "...เอมไม่อยากหาย"



"พูดอะไรแบบนั้น"



"ก็ถ้าหายแล้ว คินจะไม่สนใจเอมแล้วใช่มั้ย" เสียงแหบพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ "คินจะไปอยู่กับคนอื่น"



คำบอกรักที่ได้ยินเมื่อวานก็คงเหมือนกับเวทมนต์ที่มีนาฬิกาจับเวลา...พอหมดแล้วมันก็จะหายไป



"ไม่หรอก คินจะอยู่กับเอม ต่อจากนี้ไป คินจะอยู่กับเอมตลอดไปเลยนะ" เขาพูดหนักแน่นเน้นย้ำในสิ่งที่สัญญากับตัวเองไว้แล้ว และนี่เป็นความจริง



“ถ้างั้นช่วยบอกรักเอมอีกได้ไหม...นะครับ” ชะเอมขอทั้งๆ ที่เสียงสั่นไหว



บอกรัก...เหมือนที่ได้ยินเมื่อคืนก่อนที่จะหลับไป



แต่พอได้ยินคำขอแบบนั้นคินก็ยิ้มรับและกระซิบเสียงทุ้มข้างใบหูเล็ก ซ้ำยังแถมของขวัญโดยการแนบริมฝีปากที่ใบหูนั้นด้วย



คำพูดของเขาคงถูกใจอีกฝ่ายมากคนป่วยถึงได้อมยิ้มอยู่คนเดียว จากนั้นก็กินข้าวเงียบๆ โดยมีผู้สอดรู้สอดเห็นในห้องอีกสามหน่วย จนกินยาและหลับไปอีกครั้งหนึ่ง ลมหายใจสะท้อนขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ



"พวกมึงช่วยออกไปก่อนได้ป่ะ เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้เอมแล้วจะตามไป"



พวกมันไม่ได้พูดอะไร เดินออกไปเงียบๆ ทำให้ผมหันมามองชะเอมที่นอนอีกครั้ง



เพราะเขาละเลย ไม่สนใจความรู้สึกของชะเอม...ทิ้งให้อีกฝ่ายต้องอยู่คนเดียว ถึงต้องอ้อนวอนให้ใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง



'อย่าไป...เอมไม่เอาแล้วก็ได้ แต่คินอย่าไปเลยนะ'



'เอมไม่อยากหาย...ถ้าหายแล้วคินจะไม่สนใจเอมแล้วใช่มั้ย'



"รีบๆ หายนะเอม คินอยากจะคุยหลายๆ อย่างเลย"



ตอนนี้ผมไม่อยากพูดอะไร เพราะอีกฝ่ายยังไม่หายดี



อยากจะขอโทษกับทุกสิ่ง...และอยากจะบอกว่า 'รัก' อีกสักครั้ง...เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายคอยพร่ำบอกเสมอ



ร่างสูงหลับตาแตะหน้าผากเข้ากับหน้าผากมนของร่างบางนิ่ง ความรู้สึกของเขาที่ท่วมท้นขึ้นมานี้ รีบๆ หายแล้วมารับมันเอาไว้ที...เอม







************************Whose fault? ************************





ติดตามตอนต๊อไป่

ใครที่ไม่ได้ออกไปเคาท์ดาวน์ก็อ่านนิยายรอเคาท์ดาวน์ที่บ้านไปละกันเน้อ

สุขสันต์วันปีใหม่เจ้าค่าาา



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27 31/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 31-12-2018 22:15:48
 :mew5: เมื่อไหร่จะได้รู้เรื่องของเรย์อ่ะ ค้างงงงงง

สวัสดีปีใหม่นะคะไรท์ :L1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27 31/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 01-01-2019 08:47:32
เคลียร์เรื่องเรย์ด้วยนะจ๊ะ. หน่องคินนน :fire:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27 31/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-01-2019 01:26:54
เมื่อไหร่จะรู้ความร้ายกาจของเรย์,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27 31/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 03-01-2019 03:15:47
เหมือนจะโล่งใจก็โล่งใจไม่สุด น้องดูเจ็บปวดมากจริงๆ ดูแลน้องดีๆนะะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27 31/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-01-2019 05:15:37
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27.5 04/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 04-01-2019 20:57:27

                                                        Whose Fault ?

                                                      ผิด...ครั้งที่ 27.5


โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม




"เมื่อกี้หวานซะน้ำตาลขึ้นเลยนะมึง"



พอคินปิดประตูห้องนอนของคนป่วยปุ๊บ เสียงแซวก็ดังขึ้นทันที ไม่ต้องเดาว่าใคร



"ใช่ๆ กูยังเขินแทนเลยอะ ไม่เคยเห็นมุมนี้ของมึงมาก่อนเลย ขนาดตอนอยู่กับเรย์ก็ยังไม่เห็นมีซักนิด" ร่างโปร่งพูด พร้อมบิดตัวทำท่าเขินอายเหมือนสาวน้อย



ร่างสูงทรุดลงนั่งบนเก้าอี้เมินคำล้อเลียน ตาคู่คมมองเพื่อนตาขวางก่อนจะมองหาของกินที่วางอยู่เต็มโต๊ะ



"อันไหนของกู" หิวจะตายอยู่แล้ว...แทบจะกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะกว่าจะจัดการชะเอมที่ป่วยแล้วแสนดื้อและงอแงยิ่งกว่าใครก็ยังไม่ทันจะได้กินอะไร เลยวานให้พวกเพื่อนที่กำลังจะมาเยี่ยมอีกครั้งซื้อมา



"เปลี่ยนเรื่องเฉย...ทั้งหมดนี่แหละของมึง" ได้ยินเอกมันพูดแบบนั้น เขาจึงหยิบกล่องข้าวสองกล่องที่ยังอุ่นอยู่หน่อยๆ มาวางตรงหน้าเพื่อจัดการเป็นอย่างแรก



“ชะเอมดีขึ้นมั้ย”



“อืม ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” มุมปากกระตุกยิ้ม อย่างน้อยก็ไม่ฝันร้ายหรือละเมอพึมพำเหมือนวันก่อนๆ แล้วล่ะนะ



“เห็นอาการแบบนั้นแล้วเป็นห่วงแทบแย่” เม็ดทรายขมวดคิ้วด้วยความกังวลก่อนจะหันมาถามเพื่อนข้างๆ “แล้วหน้านายเป็นไงบ้าง”



“ไม่เป็นไร” คินตอบทันที แรงของชะเอมน้อยจะตาย แค่ตบเพียงครั้งเดียวไม่ทำให้เขาเจ็บได้หรอก แต่ก็ยังมีรอยแดงจางๆ อยู่เล็กน้อย



ต้องรีบหายเร็วๆ เพราะไม่อยากให้ร่างบางเห็น ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะต้องกล่าวโทษตัวเองอีกแน่



“นี่ๆ ...” เสียงของตาลพูดขึ้นทำให้คินเหลือบมอง แต่เปล่า ร่างโปร่งหันไปพูดกับเอกพลางยิ้มล้อๆ ใส่เขา “คินช่วยบอกรักเอมอีกได้ไหม...นะครับ”



“อึก...แค่ก! แค่กๆ ...” ร่างสูงสำลักข้าวไอจนหน้าแดง มือรีบคว้าแก้วน้ำดื่มอึกๆ จนหมด ไอ้พวกนี้นี่มัน!



“ได้สิเอม เรื่องแค่นี้เอง” เอกมันตอบก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม และทำท่ากระซิบข้างหูเหมือนที่เขาทำกับคนป่วยเมื่อครู่ในห้อง แต่...นั่นเขาไม่ได้พูดซักหน่อย! ร่างสูงคิดอย่างเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน ไม่รู้ว่าหูตัวเองแดงขนาดไหน



“โอ๊ย!”



จู่ๆ เอกก็ร้องออกมาทำให้เพื่อนมองกันตาโต คินก็ขมวดคิ้วสงสัยเช่นกัน ส่วนตาลรับบทต่อเนื่องได้อย่างลื่นไหล



“เป็นอะไรคิน”



“ยังไม่ได้กินข้าวเลย หิ๊วหิว”



“แล้วทำไมไม่กินล่ะ”



“ก็ถ้าเอมยังไม่กิน คินก็ยังไม่กินหรอก”



คิ้วเข้มกระติกยิกๆ “นี่พวกมึง...” พูดขู่เสียงเข้มก็แล้ว มองสายตาอาฆาตก็แล้ว แต่ไอ้สองคนตรงหน้ามันยังไม่หยุด เขาก็เลยปล่อยเลยตามเลย ให้มันบ่นหงุงหงิงกันไป



เม็ดทรายมองสองคนที่เล่นตลกแล้วหัวเราะขำ "นี่ไม่คิดจะห้ามพวกมันหน่อยเหรอ ทราย" คินถามขณะฉีกขนมถุงขนาดใหญ่ ข้าวสองกล่องนั้นเป็นซากในถังขยะไปแล้ว



หญิงสาวยังกุมท้องหัวเราะน้ำตาเล็ด "ห้ามทำไม ก็มันเรื่องจริงนี่...แล้วตกลงยังไงล่ะ"



"อะไรยังไง" คนฟังงง



"ยังไม่รู้อีก หมาย-ถึง-ว่ามึงรู้ตัวแล้วใช่มั้ยว่าชอบเอมน่ะ" เอกเลิกล้อหันมาถามเน้นคำ ร่างโปร่งข้างๆ ก็ทำสีหน้าลุ้นๆ



"เออ" เสียงทุ้มตอบ ไม่จำเป็นต้องโกหก และจริงๆ ก็รู้มาสักพักแล้ว "แล้วทำไมพวกมึงถึงรู้ล่ะ"



และดูเหมือนมันจะรู้เรื่องเขาดีกว่าเขารู้เรื่องตัวเองเสียอีก



"ก็กูบอกแล้วว่ามึงมันโง่"



ขมับคนฟังปูดด้วยเส้นเลือดทันที...มันกัดเขาอีกแล้ว ร่างสูงผ่อนลมหายใจเข้าออกลึก ด้วยความดีที่มันเคยทำเอาไว้ เตือนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า...เพราะฉะนั้นเขาจะยอมยกให้มันไปสักครั้ง ไม่สิ จริงๆ มันก็หลายครั้งแล้วนะที่มันด่าเขาเนี่ย



มือล้วงขนมขยะเข้าปากด้วยความหิว ส่วนในใจท่องนะโมพุทธังสามจบให้ใจสงบ



"แล้วเรย์ล่ะ"



ร่างสูงชะงัก หันไปมองเม็ดทราย เห็นว่าเพื่อนทั้งสองก็รอฟังคำตอบอยู่เหมือนกัน "...บอกเลิกไปแล้ว"



"เออดี" เอกพูดขึ้น ทำให้เขาขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ทรายก็ถามขึ้นอีกครั้ง



"เรย์ยอมเหรอ"



"...ไม่"



‘บอกไว้เลยว่าเรย์ไม่ยอมเลิกง่ายๆ แน่ ถ้าจะเลิกก็เลิกไปคนเดียว’



ดวงตาแข็งกร้าวของเรย์ พอนึกถึงแล้วขนมที่กินรู้สึกไร้รสชาดขึ้นมาทันที



เรื่องนี้แหละที่ยังหนักใจ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะต้องทำยังไงให้อีกฝ่ายเลิกราไปโดยดี พอมองใบหน้าสะสวยของเพื่อนสาวแล้วก็นึกขึ้นได้ หันไปถามไอ้เอก



"เอก มึงพาทรายมาทำไมวะ"



"อ้าว...เออ กูเกือบลืมละถ้ามึงไม่ถามอะ" ก็ผ่านมาตั้งวันหนึ่งแล้วมีแต่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นจนลืมจุดประสงค์กันหมด "เรื่องที่มึงอยากคุย...เรื่องที่กูรู้น่ะ...ก็มาจากทรายนี่แหละ ก็เลยว่าจะให้มาบอกด้วยตัวเองดีกว่า"



"หืม หมายถึงเรื่องเรย์น่ะเหรอ" ริมฝีปากบางยิ้มสวยจนผู้ชายที่ไหนมองคงจะละลายแน่ แต่กับเพื่อนที่รู้จักกันดีก็รู้ว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง



เรื่องของเรย์...เรื่องอะไร



"เล่าให้ฟังทีสิ"



"อ๋อ ก็เรื่องข่าวลือที่ว่าเอมเป็นคนทำให้เรย์โดนรถชนนั่น...เป็นเรื่องหลอกไง"



ตึก...



ได้ยินแล้วหัวใจเหมือนหยุดเต้น "เรย์เป็นคนจ้างคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นให้มาชนตัวเอง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ไง แต่ดูเหมือนหมอนั่นวางแผนมาแล้วว่าจะทำให้มันเกิดขึ้นได้"



'เอมไม่ได้ตั้งใจ เอมผลักเขาแล้วรถก็วิ่งมา...ชน เอมไม่ได้ตั้งใจนะคิน'



'วันนั้น...เรย์เป็นคนสร้างเรื่องทั้งหมด เพราะเขาอยากให้คินเลิกกับเอมไง! เรย์ชอบคินเขาเลยอยากให้คินกับเอมเลิกกัน!!'



'เรย์ชอบคิน ให้โอกาสเรย์นะ'



'คินหายโกรธเอมแล้วเหรอ'



'อย่าเข้าใจผิดสิ มันคนละเรื่องกัน'



ในหัวสมองเหมือนได้ยินเสียงในความทรงจำทั้งหมดมันย้อนกลับคืนมา



ตกลงว่านั่นเป็น "เรื่องจริง...เหรอ"



"จะเชื่อที่ฉันพูดหรือไม่ ฉันไม่แคร์หรอกนะ แต่ดูเหมือนนายก็จะรู้อะไรมาบ้างเหมือนกันนี่ ไม่งั้นคงไม่ช็อคขนาดนี้"



"มึงจำที่กูเคยพูดได้ไหม ว่าทุกครั้งที่เรย์กับเอมอยู่ด้วยกัน เรย์จะต้องเจ็บตัวทุกครั้ง และต้องเป็นตอนที่ให้มึงเห็นว่าเอมเป็นคนทำด้วยนะ"



'ไม่จริงนะคิน เรย์โกหก เอมไม่ได้...'



เสียงเหมือนจะขาดใจตอนนั้น ที่อีกฝ่ายพยายามอธิบายให้ฟัง...แต่เขากลับตะคอกใส่ชะเอม...



‘นายนั่นแหละหยุดพูดได้แล้ว!!’



และหันหลังให้ร่างบาง...เดินจากมา...ทิ้งอีกฝ่ายไว้เพียงลำพัง



ทุกสิ่งที่เขาทำทั้งหมด มันทำให้ชะเอมเก็บเอาไปคิด และตีแผ่ออกมาเป็นการกระทำ



'เอมว่าจะออกจากคอนโด ไปหาห้องเช่าถูกๆอยู่ล่ะ เอมจะได้คืนห้องนี้ให้คิน แล้วก็จะได้ไม่รบกวนคุณลุงด้วย'



รอยยิ้มทั้งน้ำตา



'คินบอกเอมเองไม่ใช่เหรอ คินมันก็แค่เด็กกำพร้า เป็นกาฝากเกาะคุณลุงกิน...คินคงไม่รู้...ว่าเอมก็สมเพชตัวเองเหมือนกัน'



เขาทำร้ายชะเอม...ด้วยคำพูดเลวๆ ...ทำร้ายเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนนั้น...ด้วยตัวของเขาเอง



‘ฮือ!! อย่าไป...อย่าไปนะ!!! คิน!!!’



แม้ในความฝันก็ยังพบกับความเจ็บปวด...เพราะการกระทำของเขาทั้งหมด



ความทรงจำหมุนย้อน และความรู้สึกผิดล้นทำให้น้ำตารื้นไหลออกจากขอบตาผ่านร่องแก้มอย่างไม่รู้ตัว



“คิน” เสียงเรียกจากทรายทำให้ร่างสูงหลุดจากภวังค์ กระพริบตามองงุนงง แต่นั่นยิ่งทำให้น้ำตาใสที่รื้นเอ่อไหลลงมาอีก “นาย...ร้องไห้”



“อา...โทษที” มือยกขึ้นปาดน้ำตา ทำให้เพื่อนๆ มองด้วยความเป็นห่วง "ทรายไปได้ยินจากไหน...เรื่องนั้น"



"ได้ยินจากเจ้าตัวเองเลย" กุลสตรีเพียงหนึ่งเดียวคว้าแก้วดูดน้ำเย็นฟืดๆ "เรย์กำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ตอนที่ฉันไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลน่ะ แต่คิดว่าคงไม่รู้หรอกว่าฉันได้ยิน"



"เรย์คุยกับใคร"



"ฉันคิดว่าน่าจะเป็นคนที่หมอนั่นจ้างมานั่นแหละ เห็นคุยกันว่า...ทำได้ดีมาก เดี๋ยวจ่ายเงินให้ อ้อ แล้วก็พูดว่าไอ้เอมน่ะเหรอ ป่านนี้โดนคินไล่เตลิดไปแล้ว สมน้ำหน้า อะไรประมาณนั้น...น้ำเสียงเรย์ดูสะใจมาก จนเหมือนเป็นคนละคนเลยล่ะ" ทรายถ่ายทอดสิ่งที่ยังจำได้ออกมาให้เพื่อนฟัง แล้วยักไหล่ดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่กับร่างสูงฟังแล้วกัดฟันกรอด "เพื่อนเราคนนี้ไม่ธรรมดา...ร้ายสุดๆ เลยล่ะ"



"ทำแบบนี้แล้วยังเรียกว่าเพื่อนได้อีกเหรอ" เอกพูดขึ้นสีหน้าเรียบนิ่ง ดูไม่ออกว่ารู้สึกยังไง "ถึงขนาดทำให้คนๆ หนึ่งโดนคนทั้งมหา’ลัยมองไม่ดีถึงขั้นเกลียดแบบนี้ ไม่เรียกโคตรเลวแล้วเรียกว่าอะไร"



"ฉันน่ะ ถ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งด้วยก็จะไม่อะไรหรอก" หญิงสาวว่า "แต่สงสารชะเอมมากกว่า เพราะเขาเป็นคนดีมาก...ไม่ควรจะโดนทำอะไรแบบนี้เลย"



ใช่ เขากับเรย์ต่างหากที่ควรจะโดนลงโทษอย่างหนัก โทษฐานที่ทำร้ายชะเอมจนความเจ็บปวดมันฝังลึกเข้าไปในจิตใจ



“คินรู้มั้ย ว่าตัวเองน่าอิจฉามาก...ที่มีคนอย่างชะเอมมาชอบ เขาชอบนายมาก รักนายคนเดียว” เม็ดทรายยิ้มบางขณะคิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกันกับร่างผอมบางคนนั้นแม้เพียงครั้งเดียวที่ค่ายต่างจังหวัด “เวลาฟังเขาพูดถึงนาย ฉันยังรู้สึกอิจฉาเลย”



"อืม เรารู้แล้ว"



ตอนนี้เขารู้ดีที่สุด...ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก



ไม่ว่ายังไง เขาก็จะไม่ปล่อยชะเอมไปอีกแล้ว



“แล้วคนๆ นั้นที่เรย์จ้างคือใครล่ะ” ตาลอมช้อนที่กินของหวานเสร็จแล้วถามขึ้น



“กูก็อยากรู้เหมือนกัน” เอกขมวดคิ้ว ถ้าหากรู้ว่าคนๆ นั้นคือใครก็อาจจะลองคุยให้มาเป็นพยานและหลักฐานได้



ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้...นอกจากจะไปถามจากเจ้าตัวโดยตรง และอย่าหวังเลยว่าจะได้คำตอบ



“ช่วงนี้เรย์เป็นยังไงบ้าง” เม็ดทรายถามถึงอีกคน ทำให้คินที่ในใจรู้สึกขยะแขยงคนชื่อนี้ไปแล้วเริ่มคิด พลางมุ่นคิ้ว



“จะว่าไปสองสามวันนี้ไม่เห็นติดต่อมาเลย”



ผิดปกติสุดๆ ...ทั้งๆ ที่หลายวันก่อนยังโทรมาทุกๆ สิบนาทีได้เลยมั้ง...เรียกได้ว่าถี่จนน่ารำคาญ



พอหายไปแบบนี้ จะว่าดีหรือไม่ดี ดีล่ะ



รู้สึกสังหรณ์ใจ...ไม่ดีเลย



 

************************Whose fault? ************************







ตรู๊ด...ตรู๊ด...



ในระหว่างที่ฟังเสียงรอสาย ขายาวเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องหลังจากที่เพื่อนๆ ขอตัวกลับไปแล้ว สายตาคมก็เหลือบมองไปที่ห้องนอนด้านใน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมือถือที่แนบหูอยู่ได้ยินว่ามีคนรับสาย “สวัสดีครับ”



(“อ้าว ว่าไงจ๊ะคิน”) เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งแว่วมาตามสาย



“อ่า ป้าฉัตรครับคือผม...” คินรู้สึกติดอ่างขึ้นมาทันที ไม่รู้จะเริ่มพูดว่ายังไง



(“ตายแล้ว ก็แม่เคยบอกแล้วว่าให้เรียกแม่ไงจ๊ะ”) เสียงแหลมสูงแหว จนร่างสูงต้องยกโทรศัพท์ออกห่าง ก่อนจะตอบกลับตะกุกตะกัก



(“แล้วสรุปว่าโทรมามีอะไรรึเปล่า จะว่าไปทำไมช่วงนี้แม่ไม่เห็นเรามาส่งน้องเรย์ที่บ้านเลย”)



“คือผมจะโทรมาเรื่องนี้แหละครับ” ในที่สุดเขาก็พูดเข้าเรื่องได้โดยไม่ต้องเปิดประเด็น



(“หืม?”)



“จริงๆ แล้วผมกับเรย์เลิกกันแล้วน่ะครับ” คินพูดออกไป ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็ไม่อาจคาดเดา แต่ยังไงก็เตรียมใจพร้อมรับเอาไว้แล้ว



(“อ้าว จริงเหรอ...ทำไมล่ะ น้องไปทำอะไรให้คินลำบากใจหรือยังไงจ๊ะ”) คินเลิกคิ้วผิดคาดที่ได้ยินฉัตรแก้ว มารดาของเรย์พูดออกมาแบบนี้ ดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเท่าที่เขากังวลเลย



“ผมว่าเราคบกันไม่ค่อยราบรื่น ทะเลาะกันบ่อยมาก ก็เลยคิดว่าเราสองคนอาจจะเหมาะกับการเป็นเพื่อนกันมากกว่าน่ะครับ” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งหนักใจ แต่ยังไงก็ต้องเอ่ยออกไป “ผม...ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ”



เพราะว่ายังมีคนที่รอคอยเขาอยู่...รอคอยมาตลอด



(“...คินเป็นเด็กที่สุภาพมากรู้ตัวมั้ย...ไม่ต้องกังวลเลย แม่ไม่โกรธหรอก เพราะเราๆ ก็ยังอายุน้อย มีโอกาสได้พบกับคนอีกมาก”) อีกฝั่งพูดไปหัวเราะคิกคักไป ก่อนจะพูดต่อ (“กว่าแม่จะได้เจอกับคุณณรงค์ก็เหมือนรอเวลาลิขิตเราให้มาเจอกันแน่ะ...”)



คินยิ้มบาง “ขอบคุณมากเลยครับที่เข้าใจ”



(“จ้ะ โชคดีนะจ๊ะ ว่างๆ ก็แวะมากินข้าวที่บ้านได้ ไม่ต้องเกรงใจนะ”)



“ขอบคุณมากครับ” คินกดวางสายแล้วมองมันอย่างตะลึง ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกยาวๆ ความรู้สึกมันเหมือนกับยกภูเขาออกจากอกยังไงยังงั้น...นี่เขานั่งกังวลทำไมตั้งนาน



ขายาวเดินเข้าห้องนอนเงียบเชียบที่มีเสียงแอร์ดังแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งข้างเตียง มือปัดปรอยผมหน้าม้าที่ปรกออกก่อนจะจรดจูบหนักแน่นกลางหน้าผากมน



ริมฝีปากหยักได้รูปยิ้มออกมาอย่างยินดี



คินต้องขอโทษที่ทำให้รอนานนะเอม

           



************************Whose fault? ************************



ตึกๆๆๆ!!



เสียงฝีเท้ากำลังใกล้เข้ามาทางนี้ ใบหน้าคมตวัดมองอย่างหวาดระแวง แต่ข้างหน้าเป็นความมืดที่ไร้จุดหมาย...มองไม่เห็นอะไรเลย



“คิน ระวัง!”



พลันได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นอีกทางและทันใดนั้นก็ถูกผลักให้ล้มลง



ปัง!



เสียงกึกก้องกัมปนาทดังสะท้อนในความคิดจนหูอื้อ ร่างสูงจับหัวตัวเองที่มึนเพราะโขกพื้นอย่างแรง ร่างบางที่กระแทกให้เขาล้มลงนอนอยู่บนตัวเขาคือชะเอม...แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับนอนแน่นิ่ง



“เอม...” มือกำลังยกดันไหล่บางแต่...นี่อะไรกัน มือทั้งสองข้างของเขามันกำลังเปียกชุ่มไปด้วยเลือด! “เอม!!”



เลือดที่ว่านั่นมันไหลมาจากแผ่นหลังบางของชะเอม นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?



เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นทำให้เขาหันขวับมองตามทิศทางนั้น ร่างเล็กของเรย์ยืนถือกระบอกปืนที่มีควันโชยอยู่เหมือนลูกกระสุนเพิ่งวิ่งจากปากกระบอก ดวงตาแดงก่ำถลนเส้นเลือดปูดโปนเหมือนคนบ้าคลั่งนั่นยิ่งทำให้เขาโอบกอดร่างของชะเอมไว้แน่น



“อะ...ฮะๆๆ มันต้องเจอแบบนี้แหละ ไอ้คนที่มันแย่งคินไปจากกู ไอ้เด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ไม่มีใครต้องการ มึงไม่จำเป็นต้องมีใครหรอก! อย่างมึงน่ะสมควรตายแล้ว!”



ตาย...?



แขนทั้งสองข้างที่กำลังประคองร่างบางมันสั่นระริก...มองคนในอ้อมกอดที่หน้าซีดเผือดอย่างคนเสียเลือดมาก แต่แล้วชะเอมก็ขยับน้อยๆ ให้ร่างสูงใจชื้นขึ้น



“คิน...ไม่เจ็บ...ตรง...ไหน...นะ” มือบางยกขึ้นแตะข้างใบหน้า ความรู้สึกเปียกชื้นที่สัมผัสได้นั้นคือเลือดสีแดงฉานที่ติดปลายนิ้วเรียว รอยยิ้มบางที่ฝืนส่งมาให้คล้ายหมดเรี่ยวแรง เขารีบกุมมือบางไว้เพราะแขนที่ไม่มีแรงจะยกขึ้นตกลงเพราะแรงโน้มถ่วง



“คินไม่เป็นไร เอมต่างหาก เอมถูกยิง...เจ็บตรงไหน อย่าเป็นอะไรไปนะ” เสียงทุ้มถามด้วยความร้อนรน สติไม่มีเหลืออยู่แล้ว “อยู่กับคินก่อน”



“ดี...จัง เอม...ได้ชดใช้...แล้ว” รอยยิ้มอ่อนแรงฝืนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ดวงตากลมโตปรือปิดลง



“ไม่นะ เอม...ไม่จริง” คินเขย่าร่างของชะเอมแรงอย่างไม่กลัวอีกฝ่ายเจ็บ ขอแค่อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเพียงแค่นั้น...แค่นั้นก็พอ



ได้โปรดตอบคินที



“เอม...อย่าล้อคินเล่นสิ” เสียงทุ้มสั่นเครือ



ลุกขึ้นมา ส่งเสียงเรียกชื่อ...ยิ้มให้คินแล้วบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเรื่องโกหกสิ



หยาดน้ำตาไหลจากดวงตาคมลงอาบใบหน้าไม่หยุดปนเปผสมกับเลือดสีแดงฉานจนแยกไม่ออก



เป็นเพราะเขา...ความผิดของเขา!



“ไม่!!!”



เสียงกรีดร้องที่ดังเสียดโสตประสาท



นั่นคือเสียงของเขาเอง



เฮือก!



คนที่นอนฟุบหลับอยู่ข้างเตียงสะดุ้งตัวขึ้น เบิกตาโพลง เสียงทุ้มหอบหายใจหนักอย่างกับคนที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำ เหงื่อไหลซึมทั้งหน้าและแผ่นหลังกว้าง



ฝันอะไร...เมื่อกี้ผมฝันเห็นอะไร!



ฝันว่าเอมโดนยิง...ฝันว่าร่างผอมบางคนนั้นนอนแน่นิ่งเหมือนคนตาย



ตาย!?



ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันที ใช้มือสัมผัสหน้าผากมน แก้มซีด อังเหนือจมูกเล็กแล้วยังมีลมหายใจอ่อนๆ ผ่อนสม่ำเสมอ แต่เท่านั้นเหมือนจะยังไม่เพียงพอ สะบัดผ้าห่มที่คลุมร่างผอมบางทิ้งและแนบหูลงกับแผ่นอกบาง ฟังเสียงหัวใจที่ยังคงเต้นดังตุบๆ ช้าๆ ...ฟังอยู่นานจนหัวใจที่เต้นรัวเร็วเหมือนค้างจากฝันร้ายค่อยๆ ช้าลงจนหัวใจทั้งสองเต้นใกล้เคียงกัน



ทั้งหมดเพื่อพิสูจน์ว่าชะเอมยังอยู่ตรงนี้



น้ำตามันไหลออกมา...เพียงแค่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิต...นี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน



เขาช้อนมือบางขึ้นมากุมและร้องไห้อยู่อย่างนั้น ถึงจะขาวซีดแต่มือนี้ยังอุ่นอยู่ ไม่ได้เย็นชืด



เขากลายเป็นคนน้ำตาตื้นไปแล้วเมื่อรู้ตัวว่าชะเอมเป็นคนสำคัญ



“อือ...” ร่างบางที่หลับอยู่ค่อยๆ ปรือตาขึ้น กระพริบตาถี่รัวเพราะแสงสว่างที่แยงเข้ามา การกระทำนั้นทำให้ร่างสูงยิ้มอ่อนอย่างเอ็นดู



เขาไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว



ไม่อยากให้มันสายเกินไป...จะไม่รอให้มันเกิดอะไรขึ้นแล้วเสียใจภายหลังอีกแล้ว



แค่ความฝันก็หนักหนาเกินจะรับไหว...ไม่อยากคิดถึงความเป็นจริง



แดดลอดผ่านผ้าม่านมาทำให้รู้ว่าแสงแห่งรุ่งอรุณวันใหม่มาถึง



“เอม...เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นรึยัง” มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวทุยเบาๆ ซ้ำยังไล้จากหน้าผาก ลำคอเพื่อวัดอุณหภูมิ อาการดีขึ้นเยอะเลยจากสามวันก่อน



“ครับ” ชะเอมขยี้ตา แล้วเอ่ยทั้งง่วงงุน “คิน เอมหิว”



ร่างสูงหลุดหัวเราะเบาๆ รู้สึกทั้งโล่งใจทั้งดีใจที่ร่างบางพูดแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ดื้อจะไม่กินข้าวลูกเดียว ถึงจะกินก็ได้แค่นิดหน่อยจนเขากังวลว่าชะเอมจะผอมมากไปกว่านี้...แค่นี้ก็ตัวเบาจนยกได้ด้วยแขนข้างเดียวแล้ว



“อยากกินอะไรดี ข้าวต้มหรือโจ๊ก คินซื้อเตรียมไว้ทั้งสองอย่างเลย”



ได้ยินที่พูดใบหน้าหวานก็บูดบึ้ง สงสัยจะเบื่อแล้วทั้งสองอย่างเพราะสองสามวันนี้ก็กินสลับกันแค่นี้ แต่เจ้าตัวก็คงไม่อยากเอาแต่ใจ “ข้าวต้มก็ได้ครับ”



“งั้นรอแปปนึง...”



“แล้วคินล่ะ...” จู่ๆ เสียงใสก็พูดแทรก ทำให้ขายาวชะงัก ทำหน้างง แต่ก็เข้าใจได้ในวินาทีต่อมา ยกมือลูบผมนุ่มแผ่วเบาเป็นรางวัล



“เดี๋ยวคินกินทีหลัง ไม่ต้องห่วงนะ”



มือบางยกขึ้นจับมือเขาแล้วมองด้วยสายตากล้าๆ กลัวๆ “เอมอยากกินด้วย...อยากกินพร้อมกัน”



“แต่...”



“เอมหายแล้ว” คนป่วยรีบบอก แต่พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งไม่พูดอะไรก็หน้าซึมเสียงเศร้า “...ไม่ได้เหรอ”



แพ้ทางจริงๆ



“เอมลุกไหวรึเปล่า กินสองคนต้องไปนั่งกินที่โต๊ะข้างนอกห้องนะ”



“ไหวครับ” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มดีใจ แต่ถึงกระนั้นร่างผอมที่ไม่ได้ลุกจากเตียงเลยเป็นเวลาสามวันเต็มก็ต้องมีอ่อนแรงกันบ้าง ขาเรียวทรุดลงแต่แขนแกร่งรับไว้ทันท่วงที แถมยกคนตัวเล็กขึ้นอุ้มแนบอก...เบามาก



“คะ คิน!? เอมเดินไหว ให้เอมเดิน...” แขนบางยกขึ้นคล้องลำคอคนตัวใหญ่ที่เมินคำร้องเสียงใส ขายาวเดินออกนอกห้อง วางร่างบางลงบนเก้าอี้ด้วยความนุ่มนวล



“คราวหลังถ้าไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหวสิ”



“แต่เอม...”



“เอม”



“...ครับ” เสียงใสหงอยซึมเมื่อโดนเรียกชื่อดุๆ ดวงตาหลุบลงไม่กล้ามอง แต่กลับโดนมือใหญ่เชิดคางขึ้นสบสายตาคมกริบ



“ต่อไปนี้พูดความจริงกับคินทุกเรื่องได้ไหม เล่าเรื่องทุกอย่างให้คินฟัง”



ได้ยินแบบนั้นน้ำตาก็รื้นจากขอบดวงตากลมโตสีดำ เสียงใสตะกุกตะกัก “ตะ แต่ว่า...”



แล้วถ้าบอกไปแล้วคินไม่เชื่อล่ะ...ถ้าอีกฝ่ายไม่เชื่ออีกแล้วเราจะทำยังไง



คินยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของชะเอม นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่ไหลปริ่มออกมา “คินขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น...คินขอโทษ”



เขา...จะไม่รออีกต่อไปแล้ว



หัวใจของชะเอม...รอนานแค่ไหนกว่าจะได้รับคำตอบรับ



‘เอมชอบคิน’



คำว่าชอบ...ที่เขาจะตอบรับมันอย่างเต็มหัวใจ



“คิน...” เสียงใสสั่นเครือ ดวงตากลมโตสั่นไหวมองใบหน้าคมที่ยื่นเข้ามาใกล้ จนในที่สุดก็ไม่มีช่องว่างอีกต่อไป



ริมฝีปากทั้งสองแนบชิดสนิท ดวงตากลมโตปรือปิดจนน้ำตาที่ขังอยู่ไหลหยด เนิ่นนานหลายนาทีกว่าริมฝีปากหยักจะผละออก พูดเสียงแผ่วเบาแต่ทว่าหนักแน่น เรียกน้ำตาเม็ดโตของชะเอมให้ไหลอีกครั้ง



“คินรักเอมนะ”





************************Whose fault? ************************



ปรบมือยินดีรัวๆ! อีพระเอกหายโง่อย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ!!

ต่อไปและต่อไป(คิดว่าน่าจะ)หวานแล้วนะคะ

ดีใจมากมีคนมาทวงนิยายถึงในเพจ (ฮา)

จริงๆ ปกติก็เข้ามาอ่านเม้นทวงนิยายเกือบทุกวันในเว็บอยู่แล้ว (ความเห่อของมือใหม่อ่ะ)



ใครอ่านเสร็จแล้ว อย่าลืมอ่านอัพเดทข่าวสารหน้าถัดไป

(ขอความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง อ่านเถอะนะพลีส)


ติดตามตอนต่อไปเด้อออจ้า
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27.5 04/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 04-01-2019 21:04:16
อัพเดทเรื่องe-book และรูปเล่มนะคะ

ขอพื้นที่ประกาศหน่อยเน้อ
สำหรับคนที่อยากอุดหนุนอีบุ๊คกับรูปเล่มจงอ่าน
ใครที่อยากตามอ่านแค่ในเว็บก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ แต่อ่านก็ดีเผื่ออยากเปลี่ยนใจ -.,-

ขอแจ้งเรื่องอีบุ๊คก่อน
น่าจะได้ลงเว็บไม่วันเสาร์ อาทิตย์ก็จันทร์นี้ (วันที่5,6,7 มค62) นะคะ ที่ไม่แน่นอนเพราะว่าทางอีบุ๊คบอกว่าถ้าหากนิยายผ่านพิจารณาเมื่อไหร่ก็ลงขายทันที (ขนาดคนเขียนก็ไม่อาจรู้ล่วงหน้า) รู้แค่ว่ามีอีเมล์แจ้งเตือนว่าขายแล้วเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องของโปรโมชั่นลดราคาจาก 650฿เหลือ600฿ ที่สัญญากันไว้ว่าจะตั้งลดให้ในวันแรกที่ลงขาย ก็น่าจะเป็นตามวันที่บอก
แต่ถ้าลงขายปุ๊บรุยจะแจ้งข่าวอีกทีแบบปัจจุบันทันด่วนในทุกเว็บนิยายและเว็บเพจค่ะ
(แต่ถ้าไม่ผ่านพิจารณาก็จะต้องเลื่อนไปอีกแล้วรุยก็จะมาแจ้งให้ทราบเช่นกันค่า)
รายละเอียดของอีบุ๊ค Whose Fault ผิดที่ใคร
ราคา : 650 บาท/2เล่ม
(โปรโมชั่นวางขายวันแรก 600บาท/2เล่ม)
จำนวน : 2 เล่ม
ตัวอักษร : cordia new 16 pt.
จำนวนหน้าของเนื้อหา : รวม 1365 หน้า
เล่ม1 677หน้า
เล่ม2 688หน้า
เนื้อหา :
ตอนหลัก 43 ตอน (มีลงในเว็บ)
ตอนพิเศษ 7 ตอน (ไม่มีลงในเว็บและเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปค่ะขอเตือน)
-สินดิน ตอน สักวันหนึ่ง
-สินดิน ตอน รับผิดชอบ
-คินชะเอม ตอน ข่าวดี
-คินชะเอม ตอน หวง! หึง!
-คินชะเอม ตอน รถใหม่
-คินชะเอม ตอน แอดมิน สาววายจงเจริญ
-คินชะเอม ตอน ชะเอม

ส่วน...คนที่สนใจหนังสืออ่านทางนี้ค่ะ
เรื่องรูปเล่มหนังสือ
รุยไปนั่งคิดนอนก่ายหน้าผากคิดแล้ว สุดท้ายฟันธงว่าจะตีพิมพ์เด้อจ้า ตอบสนองแก่คนที่อยากได้เล่มเอาไปกอดหรือหนุนหมอนก็ได้ (เพราะมันหนามาก)

รายละเอียดของหนังสือ Whose Fault ผิดที่ใคร
ราคาเซ็ต : 900 บาท/2เล่ม
จำนวน : 2 เล่ม
ตัวอักษร : cordia new 14 pt.
จำนวนหน้าของเนื้อหา : รวม 1106 หน้า
เล่ม1 554หน้า
เล่ม2 552หน้า
เนื้อหา :
ตอนหลัก 43 ตอน (มีลงในเว็บ)
ตอนพิเศษ 7 ตอน (ไม่มีลงในเว็บและเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปค่ะขอเตือน)
-สินดิน ตอน สักวันหนึ่ง
-สินดิน ตอน รับผิดชอบ
-คินชะเอม ตอน ข่าวดี
-คินชะเอม ตอน หวง! หึง!
-คินชะเอม ตอน รถใหม่
-คินชะเอม ตอน แอดมิน สาววายจงเจริญ
-คินชะเอม ตอน ชะเอม

สำหรับรูปเล่มก็จะมีความล่าช้านิดนึง อาจจะได้ไม่ปลายเดือนกุมภาก็ต้นเดือนมีนา (หรืออาจเร็วกว่านั้น) เนื่องจากต้องขอเวลาให้นักวาดปกเล่มสองที่เพิ่งกลับมาจากหยุดปีใหม่กับให้เวลาโรงพิมพ์เขาหน่อย
ถ้ามีนักอ่านคนไหนที่พร้อมรับตามเงื่อนไขที่แจ้งด้านบนนี้(โปรดอ่านอย่างละเอียด) ก็สามารถสั่งจองรูปเล่มหนังสือ โดยการโอนเงินมาได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเลยค่ะ

จำนวนเงินที่ต้องโอนคือ 900 บาทถ้วน รวมค่าส่ง EMS แล้วนะคะ (มีที่คั่น2อันลายตามหน้าปกจ้า)

โอนได้ที่ :
เลขที่บัญชี 147-244654-5
ชื่อบัญชี กรองแก้ว ดิลกฤทธิศักดิ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

ขอบเขตการสั่งจองรูปเล่ม : วันนี้ - 15 กุมภาพันธ์ 2562 (วันที่นี้จะยืดหยุ่นตามสถานการณ์นะจ๊า)

ช่องทางแจ้งชำระเงิน :
-ผ่าน inbox เพจ H.Rui Novels (แนะนำช่องทางนี้)
-อีเมล์ Krongkaew.earnอย่าแสดงเมลบนบอร์ด
แจ้งแล้วแนบหลักฐานและชื่อที่อยู่จัดส่งมาพร้อมกันเลยนะคะ

ถ้าหากรุยเช็คหลักฐานเรียบร้อยแล้วจะตอบกลับไปทางช่องทางที่นักอ่านแจ้งโอนมาค่ะ
ถ้าหากไม่ตอบภายในหนึ่งวันกรุณาส่งมาอีกทีเผื่อตกหล่นนะคะ :)

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งงง
สุดท้ายนี้ใครมีอะไรสงสัยก็ทักมาถามได้ที่เพจ H.Rui Novels เลยยย
เลิฟนักอ่านทุกคนเสมอๆ <3

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27.5 04/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-01-2019 22:08:58
เฮ้ออ กว่าจะหายโง่ได้นะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27.5 04/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 04-01-2019 23:34:26
 :mew5: พระเอกเขาหดหายแล้ว...ปรบมือ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27.5 04/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-01-2019 00:02:23
แล้วเรย์ล่ะ จะรับกรรมยังไง??
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27.5 04/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 05-01-2019 00:09:44
เรย์หายต๋อมจนน่ากลัวจริงๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 27.5 04/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 05-01-2019 00:17:14
ฉลาดแล้ว  :mew2:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 28 10/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 10-01-2019 19:48:16
                           
                                                    Whose Fault ?

                                                    ผิด...ครั้งที่ 28





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





​“ดูสิ ร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว”



“ก็!...ก็คินน่ะ มาพูดแบบนั้น” เสียงใสอุบอิบ ตักข้าวต้มเข้าปากเคี้ยวหงับๆ ทั้งตาแดงก่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก



คินหัวเราะคนขี้เขิน ที่ใบหน้าแดงสลับขาวซีดจนคนมองสับสนแทน ไม่รู้ว่าจะเขินหรือจะอะไรกันแน่



พอเงยหน้าขึ้นก็สบตากับตากลมใสสีดำ ก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้าหลบตักข้าวต้มเข้าปากอีกหลายคำ แก้มใสตุ่ยขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู



"น่ารัก" เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้



"...!?" ตาโตกระพริบ พลันหน้าแดงเห่อเมื่อสบตาคมที่มองมา



อะไรกัน...พูด...แล้วก็มามองแบบนั้น



"คิน...ไม่สบายรึเปล่าน่ะ" เสียงใสถามขมวดคิ้ว



ร่างสูงหลุดหัวเราะพรืด "ทำไมล่ะ"



เขาแข็งแรงอย่างที่เห็น อีกฝ่ายต่างหากที่เป็นคนป่วยนอนซมไม่สบายตั้งสามวัน



"ก็ มาพูดว่า...น่ะ น่า...รั...ก" ริมฝีปากบางขบกัดกันพูดเสียงเบาลงทุกขณะ ยิ่งพูดยิ่งอาย



เสียงทุ้มครางในลำคอ...เรื่องแค่นั้นเอง



"ก็เอมน่ารักจริงๆ"



"...ไม่พูดด้วยแล้ว"



"หึหึ รีบๆ กินให้เสร็จจะได้กินยาเข้าไปนอนพัก"



ชะเอมหน้ามุ่ย "นอนอีกแล้วเหรอ"



"ยังไม่หายดี ทำไงได้ล่ะ" ร่างสูงยักไหล่ พอเห็นว่าชะเอมอ้าปากจะพูดอะไร ร่างสูงก็ลุกขึ้นยกจานของตัวเอง ร่างบางเห็นดังนั้นก็รีบลุกถือชามข้าวต้มของตัวเองขึ้นตามบ้าง



"ไม่ต้อง เดี๋ยวคินเก็บเอง" มือใหญ่แย่งชามในมือเล็กไปให้คนมองตามหน้าบูด



ซ่า



"หืม เอม มีอะไร" เสียงทุ้มถามร่างผอมที่เดินมายืนข้างๆ ตอนกำลังถูสบู่กับเครื่องชามในมือ



"...เอมช่วย" เจ้าตัวพูดเสียงเบา



"ไม่ต้องเลย" ร่างสูงจัดการล้างน้ำ และวางชามและช้อนที่สะเด็ดน้ำแล้วบนตะแกรง "ไปเอายามากินแล้วเข้าไปนอนในห้องซะดีๆ"



ชะเอมฟังแล้วเงียบนิ่ง ทำปากมุ่ย ก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้องไป ดวงตาคู่คมมองตามแล้วได้แต่ส่ายหน้า



"...จริงๆ เลย"







"เอม...กินยาก่อนแล้วค่อยนอนสิ"



ร่างผอมที่นอนห่มผ้าตะแคงข้างหันหลังให้คินค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มือใหญ่หยิบเม็ดยาวางลงบนฝ่ามือเล็กก่อนจะส่งน้ำให้



ชะเอมมองยาบนมือนิ่ง เพียงครู่เดียวก็กรอกมันเข้าปาก...ร่างบางเป็นคนกินยาง่ายๆ จนผมไม่ต้องพูดอะไรมาก



แต่ตอนนี้ชะเอมนิ่งเงียบจนร่างสูงไม่สบายใจ น้อยใจอะไรอีกแล้วหรือเปล่า โดยที่เขาไม่รู้ตัว



"อ๊ะ!"



เสียงใสร้องเมื่อถูกตวัดร่างให้ลุกขึ้นนั่งทับตักแกร่งโดยหันหน้าเข้าหากันอย่างรวดเร็ว



"คะ คิน!?" ชะเอมดิ้นขลุกขลัก แขนดันอกกว้างและจะถอยหนีแต่ติดที่แขนแข็งแรงโอบรอบเอวบ้างไว้แน่น แถมถูกดึงเข้าใกล้ชิดจนไม่มีช่องว่าง "ทำ...อะไรน่ะ..."



เสียงใสเงียบลงเมื่อถูกผนึกด้วยริมฝีปากร้อนผ่าว



อีกแล้ว...ถูกจูบอีกแล้ว



จากสัมผัสแนบชิดแผ่วเบาราวกับขนนกให้จักกะจี้ริมฝีปาก เมื่อเห็นเปลือกตาบางปรือเปิดเพียงครึ่ง และริมฝีปากบางเผยอแง้ม เพียงชั่วแวบเดียวความอดทนก็หมดลง



"!"



ร่างผอมสะดุ้งเกร็งตัวแน่น เมื่อจู่ๆ ลิ้นเปียกลื่นไหลเข้ามาในช่องปากเล็กเมื่อชะเอมกำลังจะอ้าปากหายใจ ซ้ำยังซุกซนซอกซอนไปทั่วจนดวงตากลมโตหลับปี๋ ใบหน้าหวานร้อนเห่อกับสัมผัสน่าอายที่เรียกความรู้สึกเสียวซ่าน อยากจะร้องออกมาก็ไม่ได้ เพราะการจู่โจมต่อเนื่องที่อีกฝ่ายตักตวงอยู่ฝ่ายเดียว



หายใจ...ไม่ออก...



เสียงแลกลิ้นแลกน้ำลายดังจ๊วบจ๊าบยิ่งทำให้ปวดมวนในท้องน้อย มือบางจิกไหล่กว้างขยุ้มเสื้อจนยับยู่ยี่ไม่รู้ตัว และลมหายใจร้อนหอบสั่นจากปลายจมูกที่เป่าใกล้ชิด ยิ่งทำให้คินฮึกเหิมมากขึ้น



ชะเอมจะรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองทำให้เขาแทบคลั่ง ลิ้นเล็กที่เกี่ยวพันตอบกลับมาอย่างไร้เดียงสา ตากลมปรือปรอยกับน้ำตาที่ขังอยู่ตรงขอบตาเพราะอารมณ์เร่าร้อน



"...แฮ่ก...อือ..."



ร่างสูงผละออกให้โอกาสให้ร่างบางได้ตักตวงลมหายใจที่ขาดห้วง ชะเอมตัวอ่อนปวกเปียกซบใบหน้าลงกับอกกว้างอย่างหมดแรง แต่ผมยังไม่หยุดละริมฝีปากที่ตามติด มือใหญ่เชยคางมนให้เงยหน้าเตรียมรับการจู่โจมครั้งต่อไป



อีกครั้งและอีกครั้ง



เนิ่นนานจนชะเอมรับไม่ไหว ร่างผอมสำลักน้ำลายที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร



"แค่ก!! แค่ก...พะ...แล้ว" เสียงใสเอ่ยห้ามตะกุกตะกัก แต่เขาไม่อยากหยุด ดูสิ แรงจะดิ้นหนียังไม่มีเลยด้วยซ้ำ แล้วเจ้าตัวคิดได้อย่างไรว่าแค่พูดเท่านั้นจะทำให้เขาหยุดได้ "คิน...พอแล้ว...นะครับ"



ร่างสูงไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แววตาคมกริบจ้องมองริมฝีปากแดงช้ำขยับอยู่ตรงหน้า ชวนให้ลิ้มลอง...มันหวานมาก จนชิมเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย



"คิน..."



ร่างสูงผ่อนลมหายใจที่ร้อนผ่าว พยายามตั้งสติ รั้งร่างบางเข้ามากอดแน่นๆ ข่มอารมณ์บางอย่างที่มันกำลังพลุ่งพล่าน



แค่จูบยังเป็นถึงขนาดนี้



"คิน?"



"เมื่อกี้...เอมโกรธอะไรคินเหรอ"



"เอ๊ะ...ปะ..."



"บอกมาเถอะ" เขารีบพูดแทรกก่อนที่ชะเอมจะพูดคำที่มักจะพูดว่าเปล่า หรือ ไม่เป็นไร แววตาคมจ้องมองตากลมสีดำลึกลงไป "อย่าโกหกคินเลย"



เพราะชะเอมชอบพูดว่าไม่เป็นไร และปฏิเสธมาตลอด แม้ในยามที่อีกฝ่ายเจ็บไข้ไม่สบายเขาก็ไม่เคยรู้เลย



เขาจึงไม่ชอบ...



ดวงตาสุกสกาวสั่นไหวระริก ริมฝีปากบางเม้มแน่น



"...เอม...คะ คือว่าเอม..."



"..."



"เอมไม่รู้...ไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าที่คินเป็นอยู่นี่ ที่คินใจดีด้วยเป็นเพราะอะไร..."



"..."



"ที่บอกว่ารักนั่นด้วย" น้ำตาเม็ดกลมไหลพาดแก้มใส ทั้งสุขและเศร้า "เอมดีใจมากเลย จนคิดว่าเป็นความฝัน"



"..."



"เอมกลัว...ว่าถ้านี่เป็นความฝัน แล้วตื่นมาแล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เอมเลยไม่กล้าพูด"



"...เอม..."



"ถ้าเอมงี่เง่าอีก คินก็จะทิ้งเอมไปใช่มั้ยครับ" แขนบางโอบกอดลำคอคนตรงหน้าไว้แน่น แน่นจนไม่อยากปล่อย "คินอย่าเกลียดเอมเลยนะ...เอมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว"



ใบหน้าหวานกดซบลงกับไหล่กว้าง ยังรับรู้ถึงความร้อนระอุจากคนไม่สบาย เสื้อบริเวณไหล่เปียกชื้นเป็นวงเพราะน้ำตา



เขา...ทำร้ายชะเอมจนเป็นแบบนี้ เป็นคนที่กังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง



แค่ทำเสียงดุใส่...ร่างบางก็คิดว่าเขาโกรธ



'ไม่ต้อง เดี๋ยวคินเก็บเอง'



แค่เขาบอกให้ไปนอนเพราะเป็นห่วง...เอมก็คิดว่าเขาขับไสไล่ส่ง



'ไปเอายามากินแล้วเข้าไปนอนในห้องซะดีๆ'



ทุกคำพูดของเขา ทำให้เอมกลายเป็นคนขี้กลัว...กลัวว่าจะถูกเกลียด...ถูกทิ้ง



"เอม..." คินดึงร่างบางออกมา ปาดน้ำตาออกให้อย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังไหลผล็อยๆ ออกมาไม่หยุดจนขอบตาบอบบางแดงช้ำ "คินขอโทษจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องพูดขอโทษสักกี่ครั้งถึงจะพอกับทีคินทำเลวกับเอม"



"ฮึก...ไม่...ไม่ใช่..."



"ใช่สิ คินมันเลวที่สุด สมควรแล้วที่โดนเอมไล่แบบนั้น”



"ฮึก! ฮือออ" คราวนี้ชะเอมเบะปาก ร้องโฮ "ไม่ใช่นะ...เอมผิดเอง"



เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ควรเกิดมาตั้งแต่แรก เพราะเขาคนเดียวที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย...เพราะเด็กกำพร้าอย่างเขา



ทั้งๆ ที่เขาผิดมากมายขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เคยโทษเขาเลย...ไม่เคยโยนความผิดให้ใคร...และโทษตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวซ้ำไปซ้ำมา



จะมีใครที่อ่อนโยนเท่าเด็กคนนี้อีก



"คินขอโทษ...ขอโทษนะ"



‘เอมไม่อยากฟังคำขอโทษของคินแล้ว!’



แม้อีกฝ่ายจะไม่อยากฟังแล้ว แต่ก็อยากจะพูด สักร้อยครั้ง...ล้านครั้ง



"คินไม่ต้องขอโทษแล้ว ฮึก...เอมไม่เคยโกรธคินเลย เคยบอกแล้วนี่นา" ชะเอมฝืนยิ้มทั้งๆ ที่ยังสะอื้น มือยกลูบตรงข้างแก้มที่เคยฟาดลงไป “ที่ตบคิน เอมขอโทษ”



ยิ่งฟังก็รู้สึกว่าเขามันยิ่งเลวเกินทน



"ไม่ต้องขอโทษคินเพราะมันสมควรแล้วที่เอมจะลงโทษคินแบบนั้น” จริงๆ แล้วเขาควรจะโดนมากกว่านั้นด้วยซ้ำ “แล้วก็อย่ายกโทษให้คิน...อย่ายกโทษให้ผู้ชายเลวๆ คนนี้"



"คิน..."



"แต่คินขอโอกาส...ให้โอกาสคินได้แก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง มันอาจจะลบเรื่องเก่าๆ ไม่ได้ ...แต่จากนี้ไป คินขออยู่เคียงข้างตลอดไปได้มั้ย"



"คิน" น้ำตาไหลรินอีกครั้งเมื่อคำขอโอกาสดังจากปากของอีกฝ่าย...ครั้งนี้มันมาจากคนที่เขาคาดหวังมาตลอด



ครั้งนี้...มันไม่ใช่ความฝัน



"คินรักเอมนะ...ขอให้คินได้หลงรักและดูแลเด็กคนนี้อีกครั้งได้มั้ย"



สมัยยังเด็ก คินได้เจอและได้รู้จักเด็กน่ารักคนหนึ่งที่พ่อพามาที่บ้าน เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายชื่อชะเอม อายุน้อยกว่าหนึ่งปี หน้าตาน่ารักและตัวเล็กกว่าเขา ผิวขาวใสน่าเอ็นดูเหมือนเด็กผู้หญิง



เด็กคนนั้นที่ไม่ว่าจะเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายแค่ไหนอย่างไรก็ยังคงงดงามเต็มไปด้วยความใสซื่อและบริสุทธิ์ไม่เปลี่ยนแปลง



คินยิ้มมองชะเอมที่ร้องไห้จนใบหน้าเปรอะเปื้อนดูไม่ได้ ดีใจเหลือเกินที่ได้รับความรักจากคนๆ นี้ เอมรักเขามากจริงๆ โดยที่ไม่ต้องเอ่ยออกมา...อีกฝ่ายแสดงให้เขาเห็นแล้ว



"เอม...คำตอบของคินล่ะ"



ศีรษะทุยผงกจนผมสะบัดแรง "คะ...ครับ!" ปาดน้ำตา สูดน้ำมูกและยิ้มกว้างที่สุดในรอบหลายเดือน



ดีใจที่สุดเลย





************************Whose fault? ************************





"สวัสดีค่ะพี่"



"ไง ยัยริน"



"ไปไหนมาคะ" รินส่งเสียงถาม คำถามเหมือนตามมารยาทหรือความเป็นห่วงเป็นใยปกติที่น้องมีให้พี่แต่มันแฝงไปด้วยความอยากรู้



 "ธุระนิดหน่อย" ไหล่เล็กยักก่อนเดินเลี่ยงออกไป ขาเรียวเตรียมก้าวขึ้นบันได แต่โดนน้องสาวเรียกรั้งเอาไว้ก่อน



"เดี๋ยวค่ะ"



"อะไรริน พี่เหนื่อย จะขึ้นไปนอน" น้ำเสียงใสเจือด้วยความหงุดหงิด



"รินมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย"



จมูกเล็กพ่นลมหายใจแรง นึกว่าอะไร "เอาไว้วันอื่นก็แล้วกัน"



"เรื่องสำคัญมากนะคะ"



เสียงเน้นคำทำให้เรย์ปรายตามอง สบกับแววตาจริงจังของสาวสวยผมยาวที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับตัวเอง



"อีกสิบห้านาทีค่อยตามขึ้นมา ขออาบน้ำก่อน"



ครอบครัวโรจน์ศักดินาเป็นครอบครัวนักการเมืองที่สืบสกุลมารุ่นต่อรุ่น โด่งดังมีชื่อเสียงนับตั้งแต่คนรุ่นแรกสร้างเอาไว้ ทำงานอุทิศตนเพื่อสังคมส่วนรวมและมียึดมั่นในความยุติธรรมอย่างสูง จึงไม่แปลกใจที่ใครได้ยินนามสกุลโรจน์ศักดินาแล้วมีแต่คนรู้จัก



ถ้าไม่รู้จักสิน่าแปลก



บ้าน...ไม่สิ คฤหาสน์หลังนี้ก็เริ่มสร้างตั้งแต่ครอบครัวโรจน์ศักดินาเริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ก่อสร้างและต่อเติมมาเรื่อยจนหลังใหญ่โตขนาดนี้ ทั้งยังซื้อพื้นที่ไว้เยอะจนมีอาณาเขตรอบบ้านกว้างขวางสนามหญ้าด้านนอกก็เอาไว้ปลูกต้นไม้ซะเยอะเพราะคุณหญิงของบ้านชอบต้นไม้มาก



และรุ่นนี้ก็มีทายาทสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่งคือเรย์กับรินนั่นเอง



ก๊อก ก๊อก



"เข้ามาสิ"



หญิงสาวได้รับคำอนุญาตผ่านประตูไม้สักหนาแล้วก็หมุนลูกบิดเปิดเข้าไป



ห้องนอนใหญ่โอ่อ่าปรากฏออก เตียงนุ่มใหญ่โตที่มีเสาสี่เสาจนผู้ชายตัวใหญ่ๆ นอนได้ถึงสี่คนและผ้าม่านที่เหมือนเห็นในภาพยนตร์คนร่ำรวย ทั้งตู้ ทั้งโต๊ะ ทั้งเตียงทั้งหมดทำจากไม้สักแท้ราคาแพง สมกับเป็นห้องนอนของลูกชายนักการเมืองชื่อดัง



เมื่อหญิงสาวก้าวเข้ามาในห้องนอนที่ขึ้นชื่อว่าห้องส่วนตัวของผู้ชาย แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเขินอายใดๆเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าพี่ชายของเธอไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้หญิง แถมหน้าตาที่น่ารักกว่าทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายก็ไม่ใช่สเปคของเธอด้วย



แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รักและนับถือพี่เรย์มาก...ขอให้สิ่งที่เธอกำลังจะรู้ในวันนี้ มันไปเปลี่ยนเป็นคำว่ารักและนับถือ...เป็นคำว่าเสียใจและหมดศรัทธาเลย



ร่างเล็กที่มีความสูงกว่าเธอเล็กน้อยทั้งที่เป็นพี่ชายยืนหันหลังให้ ใส่ชุดคลุมอาบน้ำสีขาว และกำลังเช็ดเส้นผมเปียกชื้นอยู่ จึงไม่เห็นใบหน้าว่าอยู่อารมณ์ไหน



"มีอะไร รีบๆ พูดมาเลยนะวันนี้พี่ไม่ค่อยมีอารมณ์"



"ค่ะ งั้นรินไม่อ้อมค้อม ขอถามตรงๆ ก็แล้วกัน" ริมฝีปากบางยิ้มหวาน "เรื่องที่พี่บอกรินเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุจนพี่ต้องเข้าโรงพยาบาลในวันนั้น...เป็นเรื่องจริงรึเปล่าคะ?"



มือเล็กชะงักหันมามอง สีหน้าที่แสดงออกมีแต่ความงุนงงสงสัย เนียนจนแทบจับไม่ได้



"แกหมายความว่าไง"



"ก็ที่พี่บอกว่าพี่เอมเป็นคนผลักให้รถมาชนพี่ไง...รินถามว่ามันจริงรึเปล่า" เสียงใสเรียบนิ่งขึ้นทุกที หากแต่ในใจเต้นระรัวกลัวความจริงที่จะต้องรับรู้



"แกพูดเรื่องอะไรน่ะ เห็นพี่เป็นคนขี้โกหกหรือไง มันก็ต้องเป็นความจริงอยู่แล้ว" เรย์โยนผ้าขนหนูที่เช็ดเสร็จแล้วลงตะกร้าผ้า เดินมานั่งที่ขอบเตียงโดยที่น้องสาวยังยืนมองมาเงียบๆ "แล้วนี่อะไร ไปเรียกมันว่าพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ลืมไปแล้วหรือไงว่ามันทำอะไรพี่ของแกเอาไว้"



... ‘มัน’ เหรอ...



ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของรินจับจ้องไปที่แผลบนขมับเพราะอีกฝ่ายเสยให้ดูชัดๆ



"คิดจะไปญาติดีกับมัน คิดถึงใจพี่บ้าง" ร่างเล็กแค่นเสียง ขบกรามจนปูด "คินก็เหมือนกัน ช่วงนี้แจ้นไปหามันซะไม่สนใจพี่ที่เป็นแฟนเลยสักนิด" เรย์พูดเมินคำบอกเลิกของคินราวกับไม่เคยเกิดขึ้นและเขาก็ไม่เคยได้ยินอะไรทั้งนั้น



"เป็นเพราะเขารู้นิสัยจริงๆ ของพี่แล้วมากกว่ามั้งคะ"



ดวงตาวาวโรจน์ตวัดมอง "เธอว่าอะไรนะ"



"เปล่าค่ะ"



"ตกลงเธอมาถามเพราะสงสัยเรื่องแค่นี้?"



"เปล่าค่ะ ยังมีอีกเรื่อง...ตอนอยู่ที่ค่ายต่างจังหวัดพี่เป็นคนส่งคนมาขังพี่ชะเอมไว้ในกระท่อมร้างใช่รึเปล่า"



ดวงตาเบิกกว้างลืมเก็บอาการ "...นี่เธอ..." รู้ได้ยังไง



"ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไง เพราะรินเห็นน่ะสิ..." ถึงจะเพียงแค่แวบเดียว แต่เธอก็จำเสี้ยวหน้านั่นได้ "พี่สั่งนามให้ทำแบบนั้นทำไม"



"ไอ้นามมันเป็นแค่คนใช้ แกจะเดือดร้อนทำไม"



ริมฝีปากบางเม้มแน่น "...แสดงว่าพี่ทำจริงๆ สินะ" ดวงตาฉายแววเสียใจ เธอเพียงแต่พูดออกมาเพื่อหลอกล่อ ไม่คิดว่าเรย์จะเผลอพูดออกมาจริงๆ



"แล้วไง อย่าบอกนะว่าสงสาร พี่แค่จะสั่งสอนให้มันรู้สึกนึกบ้าง...ก็แค่จะเอาคืนแค่นั้น เพราะพี่เจ็บตัวเพราะมันมาตั้งหลายครั้งแล้ว" ร่างเล็กกอดอกพูด แม้แต่คำโกหกที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ก็ยังพูดออกมาได้อย่างลื่นไหล...แม้แต่กับน้องสาวของตัวเอง



หญิงสาวน้ำตารื้นจนภาพพร่ามัว ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน



"พี่รู้รึเปล่าคะ ว่ารินก็อยู่ในนั้นด้วย"



เรย์หันมามองอย่างตกใจนิดๆ แต่ไม่มีความสำนึกผิด



"...แล้วแกไปทำบ้าอะไรอยู่ในนั้นล่ะ"



ไม่มีแม้แต่ความเป็นห่วงเป็นใย...รินปาดน้ำตา แค่นหัวเราะ



"เรื่องของรินยังไงก็ช่างเถอะ แต่พี่รู้ตัวมั้ยว่าตัวเองเกือบจะฆ่าคนๆ นั้นไปแล้ว"



“พูดบ้าอะไรของแก” เรย์ชักสีหน้า "ทำไม ก็แค่ขังมันไว้เฉยๆ แล้วมันจะตายได้ยังไงห๊ะ!?"



"พี่ชะเอมเขาเป็นโรคหัวใจ แล้วเขาก็อาการกำเริบอยู่ในกระท่อมนั่น! ถ้าไม่มีรินกับสา เขาคงตายไปแล้วก็เพราะพี่นั่นแหละ!!!"



พอน้องสาวขึ้นเสียงสูงใส่ อารมณ์ก็โมโหขึ้นอย่างไร้เหตุผล ยิ่งได้ยินคำเป็นห่วงไอ้เด็กกำพร้านั่นมันยิ่งโกรธ ร่างเล็กผุดลุกขึ้นถลึงตาตะคอกหน้าแดงก่ำ "เออ ก็ช่างมันสิ! คนอย่างนั้นน่ะ...ให้มันตายๆ ไปเลยซะก็ดี!"



"ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้" หญิงสาวมองทั้งน้ำตา ท่าทางก้าวร้าวกับคำพูดใจร้ายที่แสดงออกมา... ทำไมพี่เธอเป็นคนใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ "ถ้าหากเขาตาย พี่จะเป็นแค่ไอ้ฆาตกรเลือดเย็น รินสามารถทำให้พี่ไปอยู่ในคุกได้เลย"



"แกก็ลองดูสิ! แกกล้าทำกับพี่ชายคนนี้ได้ลงเหรอ หา!!?" นิ้วชี้หน้าคนในสายเลือดอย่างเอาเรื่อง



"ทำไมคะ พี่ชายทำผิด ทำไมรินจะทำให้มันถูกต้องไม่ได้"



"เหอะ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันจังนะ ไปโดนมันเป่าหูอะไรมาอีกล่ะ...ไม่ว่าจะหน้าไหนๆ" เสียงใสแค่นแค้น ไม่ว่าจะหน้าไหนๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจเลยแม้แต่คนเดียว



"พี่เอมเขาไม่ได้พูดอะไรเลย"



แต่เพียงเท่านั้นเธอก็เปลี่ยนใจ...จากที่เคยเกลียด เปลี่ยนเป็นนับถือ...รุ่นพี่แสนดีคนนั้น



"เหอะ" เรย์แค่นเสียง ตากลอกมองบนอย่างไม่เชื่อ



แล้วดูคนที่เธอเคยรักสิ พี่ชายที่น่ารักของเธอกลับเปลี่ยนไปขนาดนี้



"ตอนนี้รินชักไม่แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่พี่พูดก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกหรือเรื่องจริงกันแน่" ดวงตาเรียวคมของหญิงสาวแข็งกระด้าง แต่ลึกลงไปกลับสะท้อนความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงรุ่นพี่คนนั้น "อย่างน้อยพี่ชะเอมก็ไม่เคยโทษใคร ไม่เคยใส่ร้ายใคร...เหมือนอย่างที่พี่เป็น!"



"ยัยริน!!" ดวงตาโตถลึงโมโหอย่างสุดขีดเมื่อถูกเอาไปเปรียบเทียบกับคนที่เกลียด "ออกไปเดี๋ยวนี้...ถ้ายังเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าแกเป็นพี่ชายแท้ๆ ล่ะก็ ออกไป!"



รินหัวเราะ "แทงใจดำหรือไงคะ"



"บอกให้ออกไปไง!"



"พี่คอยดูว่ารินจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่ จนกว่าจะได้รู้ความจริงทุกอย่าง!"



ปัง!!



"พี่จำคำพูดรินเอาไว้นะ!!"



เสียงหอบหายใจฟืดฟาดดังขึ้นหลังแผ่นประตูเพราะความโมโหที่ไม่ได้รับการระบาย



ยัยรินรู้แล้ว



แต่...ยังไม่รู้ทั้งหมด ยังไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาทำให้เกิดขึ้น...ทุกๆ ครั้ง



แค่คินขอเลิกก็แทบจะหมดความอดทน...แล้วนี่ยังจะน้องสาวตัวเองอีก ไอ้เอมมันหว่านเสน่ห์ด้วยอะไร ทำไมใครๆ ถึงรักถึงหลงมันกันนัก!?



เป็นแค่เด็กกำพร้า คิดจะเทียบเคียงเขา คิดจะเหนือกว่าเขางั้นเหรอ



ดวงตาโตแดงก่ำ มีเพียงไอ้เอม...เด็กกำพร้านั่น น้องสาวแท้ๆ กับคนใช้ที่รู้ว่าทุกเหตุการณ์ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่คือการจงใจ



"หึ...หึหึ..."



แต่จะห่วงไปทำไม ยังไงก็ไม่มีใครทำอะไรได้อยู่แล้ว...เขาเป็นใคร ลูกชายของพ่อเชียวนะ...ลูกชายของนักการเมืองชื่อดัง เขาคือผู้ที่จะสืบทอดสายเลือดของตระกูลต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อก็ต้องทำอะไรสักอย่างอยู่แล้ว



ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน...พ่อก็จะต้องช่วยเขาแน่นอน



'พี่ชะเอมเขาเป็นโรคหัวใจ แล้วเขาก็อาการกำเริบอยู่ในกระท่อมนั่น! ถ้าไม่มีรินกับสา เขาคงตายไปแล้วก็เพราะพี่นั่นแหละ!!!'



ถ้าหากถูกเข้าใจแบบนี้แล้ว...แล้วทำไมถึงไม่ทำให้เป็นจริงไปซะเลยล่ะ



ยังไงซะตอนนี้เขาก็ไม่มีใคร...เพราะโดนไอ้ชะเอมมันแย่งไปทั้งหมด



ริมฝีปากบางแสยะยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว "...ต้องให้มันตายๆ ไปซะ...ไอ้เด็กกำพร้าน่ารังเกียจ ให้สาสมกับที่มึงเอาของสำคัญกูไป"





************************Whose fault? ************************




ต่อด้านล่างเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 28 10/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 10-01-2019 19:48:55

ต่อจากด้านบนเจ้าค่ะ








ร่างสองร่างกอดกันแน่นไม่ห่างอยู่บนเตียงใหญ่ โดยที่ร่างผอมบางในชุดนอนนั่งคร่อมตักร่างสูงใหญ่ หัวทุยซบอกกว้างแนบชิดโดยไม่มีทีท่าว่าคนโดนนั่งทับกดน้ำหนักอยู่นั้นจะมีท่าทีอึดอัดหรือบ่นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว



"คิน..." เสียงใสแหบโหย เพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง ทั้งตากลมและจมูกเล็กก็แดงก่ำ



ทั้งง่วงทั้งเหนื่อยแต่ก็อยากคุย



"หืม"



มือบางยกขยี้ตาที่แสบจนมือใหญ่ต้องดึงออก



"มีอะไรไหนพูดมาสิ"



"คือ..." ริมฝีปากบางเม้ม เสียงใสพูดแผ่วเบา "คินจำ...ครั้งแรกที่คินเข้ามาเจอเรย์กับเอมทะเลาะกันในห้องนี้ได้ไหม"



คินนิ่งนึก...ภาพความทรงจำย้อนมา เสียงโวยวายของคนสองคนในยามที่เขาเปิดประตูเข้าไป ร่างเล็กของเรย์ล้มกองบนเศษแจกันแก้วแตกกระจาย กับร่างผอมบางของชะเอมที่ยืนหน้าซีดอยู่ไม่ไกล



หมายถึงเรื่องนั้นเหรอ



"จำได้"



"เอมเคยจะบอกคินแล้วที่ค่ายแต่ตอนนั้น..." ชะเอมอึกอัก



'แล้วรอยตบบนแก้มล่ะ จะบอกว่าเรย์ตบหน้าตัวเองงั้นเหรอ?'



'นั่น...ผมเป็นคนทำเอง แต่ก็เพราะว่าเรย์น่ะ...!"



'ยังไงก็เปลี่ยนสิ่งที่นายทำไปแล้วไม่ได้หรอกนะ'



"ตอนนั้นคินพูดถูกแล้ว" ดวงตากลมสั่นระริก น้ำตาปริ่มขอบตาแดงช้ำอีกครั้ง "เอมเป็นคนตบหน้าเรย์เอง"



'อันที่จริงถ้าฉันเป็นพ่อของคิน ก็อาจจะคิดอยู่หน่อยๆ แหละว่าเมื่อไหร่กาฝากอย่างแกจะออกไปซะที'



'ไปอ่อยอะไรไว้ล่ะ เขาถึงเลี้ยงดูแกต่อ เอาคนลูกไม่พอยังจะมาเอาพ่อ...'



"แต่ที่เอมทำแบบนั้นก็เพราะเรย์ว่าคุณลุง เอมยอมไม่ได้...ทนฟังไม่ได้จริงๆ นะ" ผมได้แต่มองคนบนตักพูดเสียงสั่นเครือ "เขาจะว่าเอมกี่ครั้งก็ได้ แต่มาว่าคุณลุงแบบนั้น เอมก็เลย...อึก!"



"..."



มือบางยกขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วพูดต่อ "แล้วอยู่ๆ คินก็เข้ามา เอมรู้ตัว...อึก อีกที เขาก็ปัดแจกันแตกแล้วล้มลงไป ตอนนั้นเอมก็ตกใจ..."



อย่างนี้นี่เอง



"หมอนั่นว่าอะไรพ่อเหรอ" เสียงทุ้มถาม ริมฝีปากคมยิ้มเอ็นดูเมื่อน้ำตาที่ยิ่งเช็ดยิ่งไหลออกมา มือใหญ่ก็ยกขึ้นจับแก้มใสที่เปียกชื้นแล้วใช้นิ้วโป้งช่วยไล้ขอบตาแดงช้ำเบาๆ



ผลิตน้ำตาได้ไม่หยุดเลยเด็กคนนี้



"เขาบอก ฮึก ว่าเอมเป็นเด็กกำพร้า เป็นกาฝากมาเกาะคุณลุง...มาอ่อยคุณลุงให้เลี้ยงดู ฮึก ฮึก!" ยิ่งพูดยิ่งคับแค้นใจ ไม่รู้ทำไมถึงยังจำได้...มันติดตรึงในความทรงจำ...ความทรงจำแย่ๆ



ใจเขากระตุกเมื่อได้ฟัง มือจับไหล่บางสองข้างไว้แน่น และหายใจแรง "เอมพูด...ว่าอะไรนะ..."



กาฝาก? อ่อย...? ทำไมถึงได้พูดแรงขนาดนี้



"แล้วเรื่องพ่อรับเอมมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เขารู้ได้ยังไง" เสียงทุ้มถาม เลี่ยงการใช้คำพูดว่าร่างผอมบางเป็นเด็กกำพร้า...คนที่รู้เรื่องนี้น้อยจนแทบจะนับคนได้ เรื่องที่ว่าเขากับเอมจริงๆ แล้วเป็นพี่น้องต่างสายเลือดกันอย่างถูกกฎหมาย



ร่างบางกระพริบตาปริบ สูดน้ำมูกเสียงดัง แผ่นหลังบางกระตุกเพราะแรงสะอื้น "เรย์บอกว่าคินเป็นคนบอก"



เขาอึ้งอีกครั้ง "ไม่ คินไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้กับใครเลย"



บ้าไปแล้ว เรื่องสำคัญแบบนี้ ใครจะพูดพร่ำเพรื่อ



แล้วเรย์รู้ได้ยังไง? รู้มาจากไหน?



...เรื่องนี้มันชักจะยังไงๆ แล้วล่ะสิ...



จากนั้นชะเอมก็ค่อยๆ พูดทีละเรื่องออกมา คินก็ได้แต่ฟังและพยักหน้า ลูบหลังคนสะอื้น เอ่ยปลอบเสียงเบา



"จริงสิ...แล้วเรย์ล่ะครับ คินมาอยู่กับเอมแบบนี้ เรย์ไม่..." ชะเอมเงียบไป เพราะไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี...โวยวาย? อาละวาด? เพราะตอนนี้รู้ดีว่าคนที่เอ่ยถึงนิสัยเป็นเช่นไร



"เอม คินเลิกกับเขาแล้ว"



ร่างบางดันตัวมองใบหน้าคมทันที ตาโตเบิกกว้างอย่างแปลกใจ ถามเสียงแผ่วอย่างไม่อยากเชื่อ



"จริงเหรอ?"



ร่างสูงพยักหน้ายืนยัน แววตาจริงจังไม่โกหก



"ทำไมล่ะครับ"



"...ไม่รู้สิ...อันที่จริงคินไม่ได้ชอบเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่คบกับเรย์ก็เพราะเขาขอ..." ใบหน้าคมส่าย เขาจะไม่โยนความผิดให้ใคร เพราะนั่นก็เป็นความผิดของเขาเช่นกัน "เพราะคินมันโง่เง่าเอง แล้วอีกอย่างเราสองคนก็เหมาะจะเป็นเพื่อนกันมากกว่าด้วย"



ดวงตาคู่คมจ้องมองดวงตากลมสีดำใสสุกสกาวที่รอฟังเขาพูดอยู่ ใบหน้าคมเลื่อนแตะหน้าผากเข้ากับหน้าผากมนอุ่นกระซิบบอกอีกฝ่ายให้ชัดเจน



"และเพราะคินตกหลุมรักใครบางคนอย่างเต็มหัวใจ...คนดีของคิน...ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้"



"คิน..." ร่างบางน้ำตาปริ่ม เขาผละออกทันที



"อะอะ ไม่เอาแล้ว ร้องจนตาปูดเป็นมะนาวแล้วเนี่ย"



"กะก็ ก็! คินน่ะแหละ...พูดให้เอม...ดีใจ...ทำไมล่ะ" มือบางรีบปาดน้ำตาทิ้ง



"เด็กขี้แย"



"เอมไม่ได้ขี้แยซักหน่อย!"



ร่างสูงหลุดหัวเราะขำออกมากับคนเถียงข้างๆ คูๆ จนร่างบางก็หัวเราะออกมาบ้าง



"เรื่องเรย์ คินขอโทษนะ ที่ทำให้เอมเสียใจ เพราะคินโง่ คิดง่ายๆ..."



"อื้อ" ใบหน้าหวานส่ายยิ้มๆ นิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากหนา เพราะตอนนี้...ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ ยังไงคินก็อยู่ตรงนี้แล้ว



ยังมีอีกเรื่องที่ยังติดค้างในใจ คินอยากให้มันเคลียร์ออกไปจากใจทั้งหมด เพื่อที่จะเริ่มต้นกับชะเอมอย่างไม่ต้องพะวงเรื่องอดีต



"เรื่องพวงกุญแจ" ร่างบางกระตุกเฮือก ทำให้เขาต้องลูบแผ่นหลังบางปลอบ "คินตั้งใจจะซื้อพวงกุญแจนั่น...ให้เอมตอบแทนเรื่องของขวัญ แต่เรย์ดันมาเห็นแล้วบอกว่าจะเอาให้ได้ มันก็เลย..."



เสียงทุ้มถอนหายใจยาว ยิ่งพูดเหมือนยิ่งแก้ตัว มันก็เป็นเพราะเขาอีกนั่นแหละที่ไม่พูดกับเรย์ให้เด็ดขาดชัดเจน



"ที่คินยังแขวนมันไว้ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าอยากจะคู่กับเรย์...แต่มันเป็นของขวัญที่เอมให้...ของสำคัญของคิน...คินชอบมากเลยรู้มั้ย" ร่างสูงจูบปลายจมูกเล็กตรงหน้าอย่างหมั่นเขี้ยว



"คินชอบเหรอ" ร่างบางฟังแล้วเริ่มยิ้มออก



"ชอบสิ ชอบมากเลย"



"เอมเลือกเอง" เจ้าตัวพูดเสียงใส ยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ แต่ก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด หงอยซึมอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคถัดมา



"แต่คินจะไม่แขวนมันแล้ว"



"ทำไมล่ะ..."



มือสากจับแก้มใสให้สบตา ไล้นิ้วโป้งอย่างแผ่วเบา "เพราะคินอยากได้ของที่ใช้คู่กับเอมมากกว่า...ไว้เราไปเลือกใหม่ด้วยกันดีมั้ย"



คราวนี้ดวงตากลมโตกลับมาสุกสกาวระยิบระยับ และรอยยิ้มแย้มกว้างตอบรับ ใบหน้าหวานพยักแรงๆ หลายที "อื้อ!"



เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของคนสองคนดังขึ้นในห้องนอนกว้าง คินรู้สึกว่าหลงรักชะเอมมากขึ้นไปอีกเพียงได้อยู่ด้วยกัน คุยกัน ด้วยนิสัยที่ซื่อบริสุทธิ์ แสดงออกมาอย่างซื่อตรงไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่มเติมอะไรเลย เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขาเป็นที่รักของคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย...และเขาก็เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้รับความรักจากคนๆ นี้...จะมีใครที่แคร์และเอาใจใส่เขาได้มากเท่าเด็กคนนี้อีก ใบหน้าหวานที่แสดงอารมณ์หลากหลายเพียงเพราะคำพูดของเขาไม่กี่คำ



อ้อมแขนใหญ่ตวัดโอบกอดอีกฝ่ายเข้ามาแนบอกแกร่งแน่น จนร่างผอมบางแทบจะจมหายเข้าไป



"เอม เล่าเรื่องที่เหลือให้คินฟังด้วยนะ คินอยากฟัง ห้ามปิดบัง"



อยากจะใช้ทุกวินาทีที่มีค่า...ให้คุ้มกับที่เสียไป...กับเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาอย่างทุกข์ทรมานใจ



"...ก็ได้อยู่หรอก แต่เอมอยากอาบน้ำก่อน ตัวเหนียวไปหมดแล้ว"



"ไม่ได้ เอมยังตัวรุมๆ อยู่...เอางี้ เดี๋ยวเอมนอนพักก่อน พอตื่นแล้วค่อยเล่าให้คินฟัง โอเค้"



"แต่เอมเหม็นเหงื่อตัวเอง" ชะเอมบ่นอุบ ยกแขนตัวเองขึ้นดมแล้วย่นจมูกเล็กอย่างน่ารัก



จมูกโด่งถือโอกาสกดลงบนแก้มใสหอมกรุ่น "เหม็นที่ไหน หอมจะตาย"



"คะ คิน!? ทำอะไร...ทะลึ่ง!" ชะเอมตาโตยกมือขึ้นจับแก้มตรงที่โดนจู่โจม จะถดตัวออกแต่ก็โดนรั้งเอวเอาไว้



"เมื่อกี้ก็จูบไปแล้ว เพิ่งจะอายเหรอ" เขาเอ่ยแซวแล้วเหมือนร่างบางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ใบหน้าหวานแดงเถือกปากพะงาบๆ ท่าทางตลกทำให้ร่างสูงหัวเราะขำ



"อะ...อะ"



"อยากอาบเดี๋ยวคินอาบด้วย ตัวเหนียวแล้วเหมือนกัน"



"มะ ไม่ต้อง! เอมจะอาบคนเดียว!"



"อายอะไร คินเห็นมาหมดแล้วเพราะคินเป็นคนเช็ดตัว เปลี่ยนทั้งเสื้อทั้งกางเกงทั้งชั้นในให้เอมเอง...ทั้งหมดเลย" ดวงตาคู่คมเหลืองมองต่ำและยิ้มกริ่มราวกับจะบอกด้วยสายตาว่าเห็นอะไรๆ มาหมดแล้ว



แต่ที่ไหนได้...กางเกงในน่ะเขาไม่ได้เปลี่ยนให้สักหน่อย



คนขี้เขินหัวระเบิดดังปุ้ง ทั้งหน้าทั้งหูแดงจนไม่เห็นพื้นที่สีขาว...จะอายอะไรปานนั้น



แต่เห็นแบบนี้ยิ่งทำให้คินรู้ว่าเรื่องที่ผู้ชายทั่วไปเขารู้กัน ชะเอมไม่รู้เรื่องสักนิด...เรื่องอย่างว่าน่ะ



ริมฝีปากหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที



"นี่ รู้มั้ยว่าเป็นแฟนกันแล้วเรื่องแบบนั้นก็ต้องมีบ้างนะ" เขากระซิบพร้อมเป่าลมร้อนเข้าใบหูแดงจนชะเอมหดคอหนี



"ระ เรื่องแบบนั้น? แบบไหน? แล้วนี่ตกลงเอมเป็นแฟนกับคินแล้วเหรอ!?" เสียงใสถามดัง ตากลมที่โตอยู่แล้วโตขึ้นอีก ครั้งนี้กับครั้งที่แล้วถึงจะเป็นแฟนเหมือนกันแต่ว่าความรู้สึกต่างกันลิบลับ



"ไม่อยากเป็นแฟนกับคินเหรอ"



"ยะ อยากสิ"



"งั้นเราคบกันแล้วนะ" เสียงทุ้มพูดสรุปอย่างเร็วก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง "แล้วอยากรู้มั้ยว่าคนเป็นแฟนกันต้องทำอะไรบ้าง"



"เอ่อ...อืม ไปเที่ยว? จะ จับมือ...เอ๊ะ ไม่ใช่เหรอ" ใบหน้าหวานแดงระเรื่อเมื่อคิดคำตอบได้ "หะ หอมแก้ม"



เขาส่ายหน้าอีก คิ้วบางเริ่มขมวดมุ่น



"กอดเหรอ" เสียงใสตอบแผ่ว



คำตอบมันเริ่มน่าอายมากขึ้นทุกที



"หึ"



พออีกฝ่ายส่ายหน้า ใบหน้าใสก็แดงแปร๊ด "จ...จูบ"



"หึ...เกือบถูก แต่นั่นน่ะยังไงก็ต้องมีแน่อยู่แล้ว" เขายิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ แล้วก็เฉลยคำตอบที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงคาดไม่ถึงแน่นอน เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาแต่เรียกเสียงหัวใจเต้นดังก้อง



" 'เซ็กส์' ต่างหากครับ คุณชะเอม"



"!!!?"



หน้าตกใจตาเหลือกทำให้ร่างสูงหลุดหัวเราะเสียงดัง "อย่าบอกนะว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย"



"...ไม่แน่นอนอยู่แล้วล่ะ!"



"ใสซื่อจริงๆ" เสียงหัวเราะในลำคอทำให้คนฟังขนลุกเกรียว



"ใครจะหื่นเหมือนคินกันล่ะ!"



"ไม่ได้หื่นสักหน่อย เรื่องธรรมชาติ ผู้ชายเขารู้จักกันหมดแหละ"



"ผู้ชายที่คิดแต่เรื่องทะลึ่งน่ะสิ"



"ยิ่งผู้ชายที่มีคนรักแล้วก็อยากทำเรื่องลามกกับแฟนกันทั้งนั้นแหละ"



"อุ..." ชะเอมเถียงไม่ออก ถึงจูบของคินจะรู้สึกดีมากก็เถอะ แต่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย



...เซ็กส์เหรอ...



ดวงตากลมโตเผลอสำรวจกวาดมองคนที่กอดตนตอนนี้ ถ้าหากร่างกายสูงใหญ่ ไหล่กว้างและอกตึงแน่น หน้าท้องเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนี่จะต้องกอดเขาจริงๆ ...ตอนที่ต้องทำอะไรๆ กัน...คินในตอนเปลือยแก้ผ้า...ไม่มีอะไรบดบังเลย...และส่วนล่างก็...



ร่างบางไล่สายตามองก่อนจะสะดุ้งส่ายหัวแรงๆ สะบัดความคิดลามกที่ถูกบังคับให้ยัดลงมาในสมองออกไป



ใบหน้ามนที่เคยขาวซีดเห่อร้อนแดงก่ำจนคนมองยิ้มกริ่ม อดแซวล้อๆ ไม่ได้ "หน้าแดงแบบนี้ สงสัยเอมกำลังคิดลามกกับคินอยู่ล่ะสิ ใช่แน่เลย...ทะลึ่งเหมือนกันนะเนี่ย"



"มะ ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่สักหน่อย" เสียงใสพูดรัวจนลิ้นพัน...มีพิรุธชัดเจน...ยิ่งปฏิเสธยิ่งหน้าแดงไม่รู้ตัว



"โอเคๆ คินไม่แกล้งแล้ว อยากอาบก็ไปอาบ แต่ห้ามสระผม" แขนแข็งแรงยกร่างเบาหวิวขึ้นวางบนเตียงและลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ในตู้ให้ร่างบาง พอหันมาเห็นชะเอมหน้างอก็รู้ว่าเป็นอะไร "พรุ่งนี้ถ้าดีขึ้นแล้วจะให้สระนะ"



"...ครับ" ร่างบางรับคำว่าง่ายเดินเข้าห้องน้ำไป โดยมีสายตาคมมองตามไม่ละจนกระทั่งประตูห้องน้ำปิดลง



มือใหญ่ยกทาบอกด้านซ้าย หัวใจเต้นตึกตักหนักแน่น ริมฝีปากหยักระบายยิ้มบาง รู้สึกดีที่เหมือนได้เคลียร์เรื่องหนึ่งออกไปให้หายอึดอัด



แต่ส่วนลึกกับมีบางอย่างที่ติดขัด...ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอีกแล้ว...มันเพราะอะไรกัน



รู้สึก...ชะเอมยังมีเรื่องที่ยังปิดบังไม่ให้เขารู้อยู่อีก





************************Whose fault? ************************


นักอ่านหน้าเก่าหายวับ สงสัยจะอ่านอีบุ๊คจบ แล้วหมดลุ้น กลายเป็นนักอ่านหน้าใหม่มาทวงนิยายแทน

สวัสดีทวกคน ไม่ได้อัพนิยายแค่สี่วันทำไมรู้สึกเหมือนนานแรมปี

มีคนถามว่าจะต่อจนจบมั้ย แน่นอนค่ะเคยแจ้งไปแล้วว่าจะลงจนถึงจบเลย แต่! ตอนพิเศษจะยกเว้นไว้

สำหรับคนพิเศษที่ยอมควักเงินจ่าย ไม่ว่าจะอีบุ๊คหรือรูปเล่ม

และต่อไปนี้จะขอโฆษณา รูปเล่มของรุยกำลังดำเนินการตีพิมพ์นะคะ

สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้นะ ได้เล่มปลายเดือนหรือเร็วกว่านั้น ใครที่โอนแล้วยังไม่แจ้ง กรุณามาแจ้งด้วยเด้อ

ใครอ่านจบแล้วก็ติดตามเรื่องทดแทนรัก คู่ติมรามได้เป็นเรื่องต่อไปนะก๊ะ

มาเม้นๆ ให้กำลังใจกันบ้างก็ได้ อย่าหายไปแบบนี้ ใจไม่ดี (ฮา)

ติดตามตอนต่อไป

ปล.มีข้อสงสัยทักแชทถามเลยที่เพจ H.Rui Novels ตอบไวปานสายฟ้าแลบ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 28 10/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-01-2019 20:10:32
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 28 10/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 10-01-2019 20:20:02
เรย์น่าจะร้ายได้อีก
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 28 10/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-01-2019 22:18:34
 :hao3: เค้าอข้าใจกันแล้ววว
แต่เอม....ทำไมไม่บอกเรื่องหัวใจกับคนอื่นนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 28 10/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-01-2019 00:56:53
ร้ายกาจมากนะเรย์,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 29 16/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 16-01-2019 20:22:19




                                                               Whose Fault ?

                                                               ผิด...ครั้งที่ 29



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



"อึ...อือ..."



ภายในห้องน้ำกว้าง ที่มีกระจกใสกั้นระหว่างที่อาบน้ำกับส่วนอ่างล้างหน้าและชักโครก ปรากฏร่างสองร่างยืนแนบชิดภายใต้สายน้ำที่ทำให้กระจกใสขึ้นไอพร่ามัว เสียงน้ำไหลจากฝักบัวดังแต่ไม่สามารถกลบเสียงครางใสในลำคอได้ ดวงตากลมโตปรือเงยมองไปด้านหน้าอย่างหลงใหล ทั้งที่ผิวกายเย็นฉ่ำจากน้ำก๊อกแต่กลับร้อนผ่าวเมื่อลิ้นร้อนจากคนตัวโตกวาดต้อนไม่หยุดจนขาเรียวสั่นระริก รู้สึกดีจนแทบขาดใจ



"แฮ่ก...ฮ่า คิน เสื้อเปียกหมดแล้วครับ" ร่างเล็กเอ่ยอ่อนแรง ผมเปียกลู่ยิ่งเซ็กซี่ในสายตาคนมองเข้าไปใหญ่



"ไม่เป็นไร ให้มันเปียกไป"



"แต่ อืม..."



เสียงใสเงียบไปเพราะร่างสูงจู่โจม ประกบริมฝีปากเข้ามาอีกครั้ง เขาไม่ได้เสื้อเปียกหรอก แต่คินต่างหากที่เสื้อเปียกเพราะไม่ได้ถอด ส่วนตัวเขาเปลือยเปล่าเพราะถูกปลดเปลื้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เหลือเพียงชั้นในสีขาวที่มีหรือไม่มีก็มีค่าเท่ากัน



ผ่านมาอีกหลายวัน เขาหายจากเป็นไข้ไม่สบายแล้วแต่ทั้งสองคนก็ยังหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหน นอกจากชะเอมที่ถูกล่วงเกิน ทำเรื่องน่าอายตลอดตอนเผลอและไม่เผลอ เขาเองก็ยอมให้ถูกกระทำ เพราะก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการ...คิดแค่นั้นก็หน้าร้อนผ่าว



แต่ไม่เคยมากกว่าจูบ...หยุดแค่ที่จูบ



แต่จูบของคินเต็มไปด้วยความต้องการ เร่าร้อน เวลาจูบกันทีไรก็ทำเอาเหนื่อยหมดแรงไปหลายนาทีไม่รู้เพราะขาดอากาศหายใจ หรือ หมดแรงกับความเร่าร้อนนั้นกันแน่



ร่างผอมบางกระตุก สะดุ้งตัวสั่นเป็นพักๆ เมื่อมือใหญ่ทั้งสองข้างลูบไล้ไปทั่ว ทั้งท้ายทอย แผ่นหลัง เอว สะโพก



"ฮ่า...อา"



"เอม..."



"ครับ?" เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่อ เสียงใสรับคำตาปรือไม่รู้ตัว แต่มองจากมุมสูงแบบนี้ ร่างผอมตัวขาวจั๊วผิวเนียนเรียบ หมดแรงยืนพิงโถมน้ำหนักมาทั้งตัว แนบชิดไร้ช่องวาง แอบเห็นหัวนมสีชมพูจุกเล็กวับๆ แวมๆ ให้กลืนน้ำลายอย่างอยากกระหาย แก้มใสแดงระเรื่อ ตากลมปรือปรอย ริมฝีปากเจ่อบวมเพราะถูกบดเบียดเปลี่ยนมุมเปลี่ยนองศาหลายต่อหลายครั้ง



ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันนี้ทำให้ชะเอมเป็นคนที่ยั่วยวนอย่างใสซื่อโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว



คนตัวบางตัวสั่นเพราะความหนาวทำให้คินเอื้อมปิดก๊อกน้ำ ทุกอย่างเงียบลงได้ยินเสียงหอบหายใจของคนทั้งสอง



"เอม" แขนยาวรัดเอวบางเปลือยเปล่ากระชับแน่น จมูกโด่งก้มลงสูดดมความหอมกรุ่นทั้งแก้ม ทั้งซอกคอ "ขอทำ...มากกว่าจูบได้มั้ย"



"แฮ่ก...เอ๋?" ดวงตากลมฉ่ำน้ำตาฉายความงุนงง ยังไม่เข้าใจ



"แค่...ตรงนี้ก็ได้" สายตาคมมองหน้าอกแบนที่มีเม็ดติ่งชูชันจากความหนาวอย่างวอนขอ "นะ"



ริมฝีปากบางเม้ม สีแดงพาดแก้มร้อนผ่าว "คิน...จะทำอะไรเหรอ"



ไม่ห้าม แต่เอ่ยถามแทน



ร่างสูงถือว่านั่นเป็นคำอนุญาต



คินจับมือบางลากออกจากห้องน้ำเพราะคิดว่าภารกิจที่กำลังจะทำ ในห้องน้ำคงไม่น่าจะอำนวบความสะดวกมากพอ ขาสองคู่เดินมานั่งบนเตียงทั้งตัวเปียกๆ มีแรงขัดขืนเล็กน้อยเพราะชะเอมเขินอายที่เดินออกจากห้องน้ำทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรปกปิดร่างกาย  แค่ชั้นในบางเปียกๆ สีขาวที่แทบจะไม่ต่างอะไรกับเปลือยแม้แต่นิดไม่ได้ช่วยอะไร แต่สุดท้ายก็โดนแรงที่มากกว่าลากตัวปลิวไปจนได้ แถมยังโดนจับครอมบนตักแกร่งอีก



"ก็..." คินพูดต่อจากเมื่อครู่ สายตาคมลากจากสิ่งน่าสนใจบนอกแบนขึ้นมามองใบหน้าหวานที่เขินอายจนไม่รู้จะอายยังไง "ทำแบบนี้"



"อ๊ะ!!!" เสียงใสร้องลั่น ปลายนิ้วเล็กจิกเกร็งจนขึ้นขาวที่ไหล่แกร่ง เมื่อความเปียกชื้นอุ่นร้อนจากปลายลิ้นแตะเข้าที่ยอดอกเล็ก "อะ ฮะ คะ คิ...น อื้อ"



ความรู้สึกรุนแรงแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนกำลังจู่โจมอย่างหนัก เสียวซ่านอย่างบอกไม่ถูก...มันมากมายจนรู้สึกมวนในท้อง



"ฮื้อ ฮึก"



ร่างทั้งร่างบิดเร่า กระตุกเฮือกเมื่อริมฝีปากร้อนครอบอม ไล้เลีย ดูดดึง ขบกัด จนได้ยินเสียงเฉอะแฉะจ๊วบจ๊าบน่าอาย



"เอม ไม่ ฮึก ไม่ไหว"



ร่างสูงหายใจแรง แค่ได้ยินเสียงร้องครางใสใกล้หูไม่พอ ร่างผอมยังบดเบียดร่างกายตัวเองเข้ากับร่างกายของเขาด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูง ทั้งความหอมกรุ่นกับความนุ่มนิ่ม  ทำให้ช่วงล่างเขาแข็งตัวอย่างง่ายดาย



"อ๊า! อื้อ...ฮึก!"



พอปรนเปรอฝั่งนึงแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นอีกฝั่งทำให้ร่างผอมดิ้นพล่าน เสียงครางเครือเต็มไปด้วยกามอารมณ์ หยาดน้ำตาเม็ดโตไหลปริ่ม มือเล็กทึ้งดึงเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายแรงแต่คินไม่ว่าอะไร ทั้งยังลงแรงที่ริมฝีปากหนักขึ้นอีก



ไม่ไหว...ไม่ไหวแล้ว!



"คิน ฮึก พอแล้ว..."



ปวด...มวนในท้องเหลือเกิน



"เอม" คินยอมละริมฝีปากออกมา มองผลงานที่ตัวเองทำอย่างพึงพอใจ เงยหน้ามองใบหน้าหวานที่เบะปากร้องไห้สะอื้นก็ยิ้มมุมปาก ร่างสูงตวัดร่างบางให้นอนราบ ส่วนตัวเองนอนตะแคงข้างจับขาเรียวให้อ้าออก มือใหญ่ล้วงเข้าไปในชั้นในสีขาวตัวเล็กของร่างบางอย่างรวดเร็ว



"เดี๋ยวคินช่วย...เอมจะได้ไม่ทรมาน...นะ" นิ้วโป้งขยี้ส่วนปลายเบาๆ ให้เสียงใสหลุดคราง



"อ๊ะ! อ๊ะ...คิน ไม่เอามันสกปรก" มือบางตะครุบข้อมือใหญ่ หากแต่ไม่สามารถห้ามได้ ปรือตาครางเสียงสั่น "อือ..."



มือกำรอบแก่นกายเล็กที่แข็งตัวเล็กน้อยรูดรั้งเบาๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้คนตัวเล็กสั่นระริก หอบเครือหายใจหนักหน่วง



"อื๊อออ!" ริมฝีปากบางขบเม้มสกัดกลั้นเสียงครางน่าอายของตัวเองแต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ ใบหน้าหวานส่ายไปมาหลับตาปี๋ ไม่อยากมองมือใหญ่ที่ขยับรูดรั้งทำลามกกับร่างกายตัวเอง ในขณะที่มือบางก็ยังจิกข้อมืออีกฝ่ายเหมือนจะห้ามแต่ก็ห้ามไม่ได้



มือใหญ่ละออกจากแก่นกายเล็กชั่วครู่ ก่อนจะถกชั้นในเกะกะลงไปกองที่ท่อนขาเรียวเพื่อจะทำภารกิจได้ถนัดถนี่ ร่างบางสะดุ้งครางฮืออีกครั้งเมื่อมือใหญ่เข้ากอบกุมและชักรูดส่วนอ่อนไหวหนักกว่าเดิม



"ฮึก...ฮื่อ..."



ยั่วยวน...เซ็กซี่...หอมหวาน...



ลิ้นร้อนเลียริมฝีปากแห้งผาก ขณะที่สายตาคมจ้องมองไปทุกส่วนของร่างบางที่บิดเร่ายั่วอารมณ์หื่นกามจนหยุดที่เม็ดสีชมพูเต่งบวมที่ตนเพิ่งได้ลิ้มลองไปว่ามันหอมหวานขนาดไหน แค่คิดก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปชิมมันอีกครั้ง



"อ๊ะ อ๊า..."



จุดอ่อนไหวโดนเล้าโลมพร้อมกันสองทางแบบนี้ยิ่งทำให้ชะเอมปั่นป่วนในท้องน้อยหนักหน่วง...มันกำลังจะ...



อะไรบางอย่างมันกำลังจะปะทุออกมา...ไม่รู้ว่ามันคืออะไร



หัวใจเต้นรัวดังประหนึ่งกลองโหมกระหน่ำ...วันนี้หัวใจของเขาทำงานหนักเกินไปแล้ว...รับไม่ไหว



"คะ คิน...ช่วย...เอมจะ...ฮะ! อ๊ะ อ๊าาา!!" เพียงไม่นานใบหน้าหวานก็สะบัดเชิดครางเสียงสูง ร่างทั้งร่างกระตุกเฮือกแอ่นหยัดโค้งพร้อมกับปลายมือปลายเท้าที่จิกทึ้งผ้าปูที่นอนจนรั้งยับย่น



"อา...อือ..."



เมื่อปลดปล่อยออกมาจนหมด ร่างผอมก็ทิ้งตัวนอนหมดแรง หอบหายใจเหนื่อยอ่อน ดวงตากลมโตฉ่ำปรือ รู้สึกดีจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร...ทำไมคินถึงได้เชี่ยวชาญขนาดนี้นะ



"อืม" ริมฝีปากบางเผยอรับจูบเหนื่อยอ่อน คราวนี้เป็นจูบอ่อนโยนให้ใบหน้าร้อนผ่าว...ไม่ได้เร่าร้อนรุนแรงที่เต็มไปด้วยความต้องการ



"...คินไปไหน" ชะเอมเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ...มีเพียงร่างกายของร่างสูงเท่านั้นแหละที่มันกำลังไม่ปกติ ดวงตากลมโตมองคินที่ผละออกไป อีกฝ่ายถอดเสื้อเปียกออกโยนลงตะกร้าที่อยู่ไม่ไกลเผยร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมชายชาตรี ชะเอมหน้าแดงเขินอายขึ้นมาเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของร่างสูง ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ



"เดี๋ยวคินขอเข้าห้องน้ำแปป"



"ทำไม...อะ..." เสียงใสเงียบกริบไม่กล้าถามต่ออีก เพราะรู้แล้วว่าทำไม "...ครับ"



คินหัวเราะเสียงต่ำ ลมหายใจร้อนยังไม่กลับเป็นปกติเพียงแค่มองร่างบางผิวขาวนอนเปลือยเปล่าอยู่กลางเตียง "สิบห้านาทีเดี๋ยวคินออกมาแล้วเอมค่อยอาบน้ำนะ ตัวเปียกแบบนี้เดี๋ยวไข้กลับอีก"



ชะเอมที่ก้มหน้างุด พยักหน้าเบาๆ ไม่กล้ามอง...อย่าหันมาสิ คนบ้า!



สิ่งที่อยู่ในกางเกงยีนส์มันตุงนูนออกมาจนเห็นชัดขนาดนั้นแล้วยังจะหันมายืนโชว์อีก...จะอวดกันหรือไงน่ะ!?



"อึก อา ซี้ด...เอม" เสียงครางทุ้มเรียกชื่อคนรักก้องดังชัดเจนจนเล็ดลอดออกจากประตูห้องน้ำจงใจให้คนข้างนอกได้ยิน



แกร๊ก...



หลังจากนั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง คินออกมาก็ไม่เจอชะเอมที่ควรนอนอยู่บนเตียงเพราะเจ้าตัวย้ายไปนั่งรอเก้าอี้ในห้องนั่งเล่นแทน...ภาพคนหน้าบึ้งแก้มแดงทำเอาหลุดหัวเราะขำอย่างห้ามไม่อยู่



เฮ้อ...ก็น่ารักแบบนี้ ไม่ให้รักได้ไง







************************Whose fault? ************************







"หาาา!!? เมื่อกี้มึงว่าไงนะ!?"



"น่าน่า ใจเย็นๆ ก่อน"



"ก็แล้วมันไปหนักหัวมึงตรงส่วนไหนล่ะ?"



"มึงดูมันพูดนะสิน!"



"มึงก็ด้วยอย่าไปยั่วมันนักดิ" สินพูดกับไอ้คนที่นั่งข้างๆ ชะเอม พร้อมถอนหายใจเหนื่อยหน่ายเหลือทน...คนหนึ่งไม่แยแส พูดกวนบาทา(โดยไม่ได้ตั้งใจ) ส่วนอีกคนนี่ก็ยั่วอารมณ์ขึ้นง่ายซะ



"หึ..." ร่างสูงยักไหล่ไม่สนใจ



"คิน ทำไมถึงพูดกับดินแบบนั้นล่ะ"



พอเสียงใสดังขึ้นข้างๆ พร้อมสายตากลมโตที่มองมาทำให้ร่างสูงอ่อนลงนิดหน่อย



"ดินกับสิน ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีของเอม...เขาอยู่เป็นเพื่อนตอนที่...เอมอยู่คนเดียว"



ตอนที่คินทิ้งกันไป...



"เพราะงั้นคุยกันดีๆ ได้ไหม...ดินด้วย เราขอ"



คนผิวคล้ำพอได้ยินเสียงออดอ้อนของเพื่อนร่างบางผู้น่ารัก ก็อดไม่ได้ที่จะหายใจแรงเพื่อระงับอารมณ์โมโห



"เออ"



ดินตอบไปงั้นแต่ก็ชะเอมยิ้มกว้างดีใจ ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ "คิน..."



"ครับๆ เอมว่าไงคินก็ว่างั้น"



ร่างสูงยกมือสองข้างยอมแพ้ ท่าทางที่ยอมให้กับชะเอมนั้นทำให้ดินมองก่อนจะจิ๊ปาก...เออ ยอม(จริงๆ)ก็ได้วะ!



"ว่าแต่วันนี้เรียกมาทำอะไรน่ะเอม" สินถามยิ้มๆ



"แหะๆ ก็ไม่มีอะไร เราแค่อยากให้มารู้จักกันเฉยๆ น่ะ" ร่างบางเกาหน้าเขินๆ ...อยากให้เพื่อนคนสำคัญรู้จักกับคนสำคัญมันแปลกเกินไปรึเปล่านะ "ว่าแต่รามล่ะ ยังไม่มาเหรอ"



ดวงตากลมโตสอดส่องหาเพื่อนอีกคน



"อืม มันบอกเดี๋ยวตามมา อะ นั่นไง...พาใครมาด้วยวะน่ะ" สินมองออกไปนอกร้าน



"นั่น...ติมนี่นา"



คินหันขวับมองใบหน้าหวานที่เรียกชื่อใครอีกคน แถมบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปทันที



"รู้จักเหรอ"



"ก็...อื้ม" ชะเอมเหงื่อตก เพราะนึกขึ้นได้ว่าติมเป็นคนเดียวกันกับที่คินเคยเห็น...และทะเลาะกันครั้งใหญ่พอสมควรเลยล่ะ



สายตาคมมองสองคนที่เข้ามาในร้าน คนหนึ่งเป็นร่างโปร่งผิวขาวหัวยุ่งเล็กน้อย ใส่เสื้อยืดตัวใหญ่หลวมโพรกกับกางเกงยีนส์สีซีดตัวเล็ก อีกคนตัวสูงใหญ่ใส่เสื้อยืดแบบเดียวกัน ความสูงน่าจะพอๆ กันหรืออาจจะสูงกว่าคินเลยด้วยซ้ำ



ไอ้หมอนั่น...!



"พี่เอม หวัดดีครับ" ร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ยิ้มกว้าง ทักทายชะเอมเป็นคนแรกราวกับคนอื่นเป็นแค่ตัวประกอบ ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศทะมึนที่แผ่ออกมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ



"อ่า อื้ม หวัดดี...ราม นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว" เสียงใสตอบอึกอัก ก่อนจะหันไปทักเพื่อนของตัวเองที่ยืนอยู่ เลี่ยงให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้คินอารมณ์ไม่ดี



"มาสิ ต้องมาอยู่แล้ว...แต่โทษทีนะที่มาช้า"



"ไม่เป็นไรๆ ทั้งคู่มานั่งก่อน"



สองคนมาใหม่รีบนั่งโดยโต๊ะเป็นโต๊ะกลมใหญ่พอควร ไอติมเห็นช่องว่างตรงข้างๆ ร่างบางก็ได้ทีหย่อนตูดนั่งเลย รามเห็นดังนั้นก็เงียบ เดินไปอีกฝั่งนั่งแทรกคินกับดินเป็นไม้กันหมาไม่ให้สองคนกัดกันโดยไม่รู้ตัว



"ว่าแต่ทำไมทั้งคู่มาด้วยกันล่ะ" สินเป็นคนเอ่ยถาม



"พอดีผมได้ยินว่าพี่ชะเอมนัดรามมากินข้าวผมก็เลยมาส่ง แต่รามชวนมากินด้วยกัน ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ "ติมหันไปถามชะเอม แน่นอนว่าร่างบางยิ้มยินดีไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่คนข้างๆ เนี่ยสิ



"ทำไมรามใส่เสื้อตัวใหญ่จัง" ชะเอมถามอย่างสงสัย ก็เสื้อมันใหญ่จนไหล่จะหลุดแบบนั้น "นี่รามผอมลงมากเลยรู้มั้ย"



ร่างโปร่งอึกอัก "อ่า คือ..."



"นั่นเสื้อผมเองแหละ ผมให้รามยืมใส่น่ะ พอดีเมื่อคืนรามทำงานจนดึกก็เลยไปค้างที่ห้องผม"



"อ๋อ..." เสียงใสครางไม่ถามอะไรต่อ แต่คนสะดุดกับคำพูดนั้นคือดินกับสินต่างหาก



...ไปค้างที่ห้อง



"ว่าแต่มึงไม่เรียกรามว่าพี่วะ ยังไงมันก็เป็นรุ่นพี่มึงนะ" ดินเลิกคิ้ว รามสะดุ้งน้อยๆ รีบโบกมือ



"เฮ้ยไอ้ดิน..."



"ก็ผมเรียกแฟนด้วยชื่อก็ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยไม่ใช่เหรอ" ร่างสูงเท้าค้างยิ้มมุมปากหัวเราะน้อยๆแต่แววตากลับเย็นเยียบที่ไม่มีใครเห็น



"..."



"หา!!!?"



เกิดความเงียบก่อนพักหนึ่งก่อนที่เสียงร้องตกใจดังขึ้นจากชะเอม แน่นอนสินกับดินด้วย



"...จริงเหรอ?" ชะเอมทำตาโตยิ้มยินดีมองหน้ารามกับติมสลับไปมา



"เฮ้ยเอาจริงเหรอวะ" สินถามบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก มันเป็นสิทธิ์และเรื่องส่วนตัวของเพื่อน แต่ก็ยังคงจำได้ว่าก่อนหน้านี้เหมือนสองคนนี้ไม่ชอบหน้ากันจะตาย...แล้วจู่ๆ มันลงเอยกันได้ไง



"..." ดินมุ่นคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่หลังจากตกใจแทบตาถลน



รามเม้มปากก้มหน้าเหมือนจะเห็นสีหน้าระเรื่อขึ้นวูบหนึ่งเพราะเขินสายตารอบข้างแต่แค่แวบเดียวก็หน้าซีดยิ้มฝืดเฝื่อน



"อืม ตามนั้นแหละ"



"ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ" ชะเอมรีบถาม เพราะก่อนหน้านี้ที่เจอสองคนอยู่ด้วยกันตอนนั้นก็ดูท่าทางไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้น่าจะไปได้ด้วยดี



"ได้สักพักแล้วล่ะครับ"



"พักนี้ก็ว่าไม่ค่อยได้เห็นมึงเลยราม มาเรียนก็สาย เรียนเสร็จก็กลับ คุยก็ไม่ได้คุย"



"โทษทีว่ะ พอดีที่บ้านยุ่งๆ"



"เหรอวะ มีอะไรให้ช่วยบอกได้นะเว้ย" ดินว่าก่อนจะตบไหล่เพื่อนที่ทำหน้าเครียดดังปั้กๆ



"อืมขอบใจ"



ส่วนคินไม่ได้สนใจฟังบทสนทนาบนโต๊ะแม้แต่นิด มัวแต่นั่งจ้องเขม็งไปที่หน้าของไอ้คนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม



"วันนี้วันดีจังเนอะคิน" เจ้าของชื่อชะงัก พอเห็นรอยยิ้มกว้างแล้วก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายิ้มตอบ อมยิ้มกับท่าทางมีความสุขไม่ใช่น้ำตา



"อืม"



หัวทุยเอียงรับสัมผัสจากมือใหญ่แล้วหลับตาพริ้ม ร่างบางชอบที่โดนลูบศีรษะแบบนี้เพราะมันเหมือนว่าได้รับความรักความเอาใจใส่



พอทั้งโต๊ะเงียบทำให้สองคนที่ทำตัวเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวรู้สึกตัว สายตารอบข้างมองค้าง



"คะ คือว่า..." ร่างบางสะดุ้ง ใบหน้าหวานแดงเรื่อ ทุกคนเห็นหมดแล้ว



"สองคนนี้ยังไง" สินส่งเสียงแซว ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูสุขุมนุ่มลึกแบบนี้จะเคยทิ้งคนดีๆ อย่างชะเอมได้ลง "สรุปคืนดีกันได้ยังไงเนี่ยเอม"



แต่เขาไม่คิดจะขุดคุ้ยอดีตขึ้นมาพูด



"คืนดีกันแล้วเหรอ" รามถาม



"คะ คือ..." เสียงใสตะกุกตะกัก ดวงตากลมสีดำเหลือบมองไปที่คนข้างกาย พอได้รับรอยยิ้มกลับมาก็กล้าตอบ "อื้ม"



"แล้วคืนดีกันได้ไงล่ะ" ดินถามบ้าง



"เอ่อ...ก็คือวันก่อนเราไม่สบาย คินอยู่ดูแลเราตลอดเลย...ก็เลย..."



"เห..." ดินครางรับอย่างแปลกใจ ไอ้หมอนั่นอ่ะนะ ดูแลคนอื่นเป็นด้วย



"แล้ว?" สินเลิกคิ้ว ทำให้ชะเอมหันมองทำหน้างงใส่



"แล้ว?"



"เป็นแฟนกันยังล่ะ"



"เอ๋"  แก้มใสขึ้นสี รู้สึกร้อนผ่าว คินหัวเราะขำท่าทางน่ารัก ทำให้ใบหน้าหวานตวัดมองบูดบึ้ง "คิน!"



"ครับ"



"ขำเอมเหรอ"



"ขำ 'แฟน' "



"..."



ถ้าร่างบางพองตัวได้ คงพองตัวลอยออกไปแล้ว สังเกตได้จากหน้าแดงหูแดง แล้วเหมือนจะมีควันลอยออกมาจากหูด้วย...เขินหนักเลยนะนั่น



"กูว่าไม่ต้องถามแล้วมั้ง" ดินบอกสินขณะมองคู่ที่ทำตัวอย่างกับอยู่กันสองคน ในใจรู้สึกโล่งอกที่เห็นชะเอม เพื่อนที่น่ารักมีความสุข "คำตอบชัดเจนขนาดนี้"



รามมองชะเอมด้วยความยินดี ทั้งที่ในใจคิดว่ารู้สึกแบบนั้นแต่ลึกๆ แล้วกลับเป็นห่วงใครบางคน ดวงตาเรียวเหลือบมองติม แต่อีกฝ่ายไม่เคยมองกลับมาสักครั้ง ร่างโปร่งยิ้มจืดเจื่อนท่ามกลางความเฮฮาเสียงดัง



"เอมหิวมั้ย เดี๋ยวคินสั่งข้าวก่อน"



"อื้ม เอาสิ คนอื่นก็คงหิวแล้วเหมือนกัน"


>>>>>>>ต่อด้านล่างเด้อ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 29 16/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 16-01-2019 20:23:00



>>>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนจ้า



"พี่ครับ" คินกวักมือเรียกพนักงานที่กำลังเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าโต๊ะใกล้ๆ ให้มาจดเมนู

"คุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ"



"ราม...ไอ้ห่าราม!"



"หะ...?" ร่างโปร่งสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ "ว่า?"



"เป็นไรวะ ช่วงนี้ซึมๆ อึนๆ ทำงานเหนื่อยเหรอ" ประโยคหลังพูดเบาๆ ไม่ให้ชะเอมได้ยิน รามยิ้มอ่อนส่ายหน้าน้อยๆ



"เปล่า โทษที"



"เออแล้วจะกินไร กินเยอะๆ หน่อย...อย่างที่เอมบอกอะ มึงผอมเกินไปแล้วนะ"



"กูไม่ค่อยหิวว่ะ" รามบอกดินก่อนหันไปหาเอม "โทษนะเอม วันนี้คงไม่ได้กินข้าวด้วยแล้ว เดี๋ยวเราต้องไปทำงานต่อ"



ไอติมหันขวับ ส่วนชะเอมครางทำหน้าเสียดายอย่างชัดเจน ร่างโปร่งจึงขอโทษอีกครั้ง



"ไม่เป็นไรราม ครั้งหน้าก็ได้เนอะ” ร่างบางพยักหน้าอย่างเข้าใจ หันไปถามรุ่นน้อง “แล้วติมล่ะเอาไง"



"ผม..." ติมยังไม่ได้ตอบอะไร รามก็แทรกขึ้น



"เดี๋ยวติมอยู่ที่นี่ก็ได้ พี่ไปทำงานคนเดียว"



"ไอ้ห่า งานอีกแล้วเหรอวะ วันนี้อุตส่าห์มาเจอกันทั้งทีก็พักหน่อยดิ" ดินบอก



สินพยักหน้ารับ "กูเห็นด้วย"



"ขอโทษจริงๆ ว่ะ..."



แต่พอร่างโปร่งยันตัวลุกขึ้นก็เซเหมือนจะล้ม คินที่นั่งเงียบเพียงแต่ฟังคอยสังเกตมานานผุดลุกขึ้นพยุงไว้ทันท่วงที ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนและโต๊ะรอบข้าง รามตั้งสติได้รีบผละตัวออกอย่างเร็ว



"ขอบใจ..."



"ราม เป็นอะไร" ชะเอมรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ด้วยความเป็นห่วง ตกใจไม่น้อยที่เห็นคนที่เคยแข็งแรงอย่างรามเป็นแบบนี้ "ราม..."



ดินกับสินก็มีสีหน้าไม่สบายใจเช่นกัน ต่างคิดกันไปว่าเพราะอีกฝ่ายทำงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อน



"ไม่เป็นไร เอม แค่หน้ามืดนิดหน่อยเท่านั้น" เสียงทุ้มใสเอ่ยย้ำยืนยัน ใบหน้าที่ซีดลงเล็กน้อยยิ้มให้ร่างบางสบายใจ "โทษทีนะที่ทำให้เป็นห่วง"



"หรือว่าหิวข้าวรึเปล่า ถ้าไม่รีบก็กินอะไรสักหน่อยรองท้องค่อยไปทำงานก็ได้นะ"



"ขอบใจเอม"



"ถ้างั้น..."



"แต่ว่ามันเป็นงานด่วนมาก ครั้งหน้าเดี๋ยวเรานัดออกมาอีกทีดีมั้ย"



ชะเอมแม้จะเป็นห่วงแต่ไม่อยากดื้อดึง "ก็ได้"



"งั้นเราไปก่อนนะ...พวกมึงกูไปก่อน"



ดวงตากลมสีดำมองตามร่างโปร่งที่เดินออกจากร้านด้วยความกังวล ไม่นานร่างสูงที่นั่งเงียบอยู่นานก็ลุกเดินตามไป



"ติม..."



นานๆ ทีกว่าจะได้เจอและคุยกันทั้งทีนะ



"ไม่ต้องห่วงหรอก สัญญาว่าครั้งหน้าไม่ใช่เหรอ"



"คิน"



ร่างสูงกางเมนู แล้วกวักมือเรียก "มากินข้าวก่อน คินหิวแล้ว เอมอยากกินอะไร"



คินมองเมนูแล้วถามความเห็นทำให้ชะเอมหน้ามุ่ยเดินมานั่งข้างๆ เหมือนเดิมแต่โดยดี และประจวบเหมาะกับที่พนักงานหญิงมาจดออเดอร์



"รับอะไรดีคะ"



ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างกลับมาดำเนินเป็นปกติ





************************Whose fault? ************************





"ไปไหนต่ออะ" ดินลูบท้องป่องๆ ของตัวเอง เมื่อกี้กินเข้าไปเยอะใช่ย่อย...ก็แหม อาหารมันอร่อยใช้ได้เลยนี่หว่า



"นั่นสิ คินไปไหนดีล่ะ?" ชะเอมหันไปถามความเห็น "จะกลับเลยมั้ย"



"ไปซื้อของกัน"



"ของ? อะไรเหรอ คินอยากได้อะไร"



"เปล่า ซื้อผ้าปูใหม่"



"ผ้าปู..."



"ก็มันเลอะหมดแล้ว"



ความทรงจำในหัวเล็กหมุนอย่างเร็ว มะ เมื่อเช้า...ผ้าปู!?



"ถ้างั้น! ดะ เดี๋ยวเรากับคินขอตัวก่อนนะ แอะแหะๆ" แขนบางผลักร่างสูงออกไป แล้วรีบบอกลาเพื่อนทั้งสองคน...เมื่อกี้ทั้งคู่จะได้ยินมั้ยน่ะ!?



ดินกับสินมองตามคนสองคนที่เดินหันหลังไป ก่อนจะมองหน้ากันแล้วหลุดหัวเราะ จริงๆ ก็จะไม่คิดอะไรหรอก แต่พอเห็นท่าทางร้อนตัวกับใบหน้าแดงๆ นั่นก็รู้ทันที...ซื่อจริงๆ เล้ย



“คินพูดอะไรน่ะครับ! ถ้าพวกเขาได้ยินกันจะทำยังไงล่ะ” ชะเอมขมวดคิ้วต่อว่าแก้มพองลม คินมองท่าทางนั้นอย่างไม่ยี่หระ...นี่เป็นท่าขู่ที่น่ารักที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย



“ทำไมล่ะ ก็คินแค่บอกว่าผ้าปูมันเปื้อนเฉยๆ อาจจะเลอะอย่างอื่นก็ได้ ไม่ใช่...”



“คิน!!!”



“ชู่ๆ เบาๆ หน่อยสิเอม” คินจุ๊ปาก แต่ตัวเองนั่นแหละดันหลุดหัวเราะเสียงดังกับท่าทางเขินอายสุดขีด



“คินนั่นแหละที่...โธ่ เอมไม่คุยด้วยแล้ว” ดูท่าทางเถียงไปก็ไม่ชนะคนหื่นชอบลื่นไหล จึงเปลี่ยนเป็นเดินหนีแทน ขายาวรีบเดินตามไปจับแขนบางและลากไปอีกทาง



“เอม ไปซื้อผ้าปูร้านอยู่ทางนี้”



“ใครบอกว่าเอมจะไป คินจะไปก็ไปคนเดียวเลย”



“แต่คินอยากให้เอมไปเลือกด้วยกัน” คำว่าด้วยกันทำให้ร่างบางอ่อนลง แต่ใบหน้ายังแดงเรื่อ คินเห็นแบบนั้นรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีก่อนทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้ “แล้วเดี๋ยวเราไปหาซื้อของคู่กันดีมั้ย เอมอยากได้อะไร”



“...ไปก็ได้” ชะเอมพยักหน้า อดขมวดคิ้วพูดพึมพำไม่ได้ “แต่ถ้าคราวหน้ามีแบบนี้อีกเอมไม่มาซื้อด้วยแล้วนะ”



คินหัวเราะ “ครับๆ”



ร่างสูงเดินจับมือบางแน่น ริมฝีปากยิ้มกริ่ม ร่างบางจะรู้ตัวมั้ยว่าเป็นคนอนุญาตให้มีคราวหน้าด้วยตัวเอง...แต่เขาไม่บอกให้รู้ตัวหรอก



เดี๋ยวกระต่ายตัวนี้จะตื่นตูมไปเสียก่อน



เพราะยังไงๆ ก็ ‘ต้องมี’ แน่นอน





************************Whose fault? ************************

 



คินกับชะเอมเดินจับมือกันอยู่ในห้างสรรพสินค้า เดินผ่านโซนที่ขายของเกี่ยวกับภายในบ้าน มองนู่นมองนี่ละลานตาไปหมด ร่างบางไม่เคยเดินมาแถวนี้เลยด้วยซ้ำ



ก็ไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไรนี่นา



ขาเรียวหยุดเดิน เมื่อเห็นบางอย่างสะดุดตา ก่อนจะจ้องมองนิ่งไปที่โคมไฟตั้งโต๊ะที่สลักไม้เป็นรูปนกฮูกตัวใหญ่ ที่ท้องของมันมีไฟสีส้มส่องสว่างอยู่...แต่พอเห็นราคาแล้วก็ต้องผละออก



“อยากได้เหรอ”



ร่างบางส่ายหน้าจนผมสะบัด “เปล่า เอมว่ามันสวยดี” ริมฝีปากยิ้มแหย “แต่มันแพงไปหน่อย...แต่เอมว่าก็สมราคาล่ะ”



ชะเอมรีบดึงร่างสูงให้เดินออกมาจากโซนนั้น ซึ่งคินก็ไม่ได้พูดอะไร มองแขนเล็กบางที่จับมือเขาแน่นไม่ปล่อยแล้วได้แต่อมยิ้ม



“เอมคิดถึงคุณลุงจัง” จู่ๆ เสียงใสก็พูดขึ้นมา...จะว่าไปตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย มันกี่วันมาแล้วนะ



“ไม่โทรไปหาล่ะ”



ชะเอมขมวดคิ้วกังวล อยากทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน “ก็คุณลุงท่าทางจะงานยุ่ง เอมไม่อยากกวนนี่ครับ”



คราวที่แล้วโทรไปก็ติดงานจนไม่กล้าโทรไปอีก ตอนนั้นคุณลุงสัญญาว่าจะโทรกลับแต่ก็ไม่ได้โทรมา...แบบนี้ก็แสดงว่างานยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ



คินยิ้มบางกับความเกรงใจที่ร่างบางมักจะมีอยู่ตลอด “พ่อน่ะ จะยุ่งแค่ไหนก็หาเวลามาคุยกับเอมให้ได้อยู่ดี”



“จริงเหรอ?”



“จริงสิ”



“แล้ว...คินไม่โทรหาคุณลุงบ้างเหรอ”



“ไม่ล่ะ” เจ้าพ่อบ้านั่น โทรมาบ่อยจะตาย แถมถามไถ่แต่เรื่องของชะเอม ดูเหมือนร่างบางจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ



“ไป ถึงแล้ว เลือกลายที่ชอบสิ” ขาสองคู่หยุดยืนอยู่ตรงแผนกขายเตียง ฟูก หมอน ผ้าห่มและผ้าปูที่นอนที่วางเรียงราย ดวงตากลมโตกวาดมองผ้าปูที่มีลายต่างๆ ละลานตา ก่อนที่จะมีพนักงานหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม



“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”



“พอดีจะมาซื้อผ้าปูที่นอนน่ะครับ” คินบอกเรียบนิ่ง เสียงทุ้มกับใบหน้าคมหล่อเหลาที่ทำให้ใจของหญิงสาวละลาย ยังไม่รวมสายตาคมกริบที่ไม่ว่าใครมองก็แทบจะถูกสะกด



“อ่ะ คะ ค่ะ ไม่ทราบว่าอยากจะได้แบบไหนคะ”



“แล้วมีแบบไหนบ้างครับ”



เหมือนชะเอมจะแอบเห็นพนักงานหญิงอีกสองคนที่แอบยืนกัดผ้าเช็ดหน้าน้ำตานองมองเพื่อนอย่างอิจฉาด้วยล่ะ



ร่างบางหัวเราะแห้ง ดวงตากลมโตมองร่างสูงที่กำลังยืนคุยกับพนักงานหญิงที่พูดแนะนำสินค้าตะกุกตะกักหน้าแดงระเรื่อ แต่คินหาได้สนใจไม่...ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าคินเป็นคนมีเสน่ห์มาก เพราะได้เชื้อพ่อมาเต็มๆ แถมท่าทางยังสุขุมนุ่มลึก ร่างกายสูงกำยำเพียงแค่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ มาก็หล่อจนสาวๆ หลงแล้ว



หวง คำๆ นี้มันผุดขึ้นมาในหัว...ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าเป็นแฟนกันแล้ว แต่เขาน่ะไม่กล้าแสดงออกหรอก



คินหันมามองเลิกคิ้ว ก่อนกวักมือเรียก “ทำอะไรน่ะเอม มาเลือกสิ ชอบลายไหน จะได้บอกเขา”



“อ่า อื้ม”



ครืด ครืด



“อะ แปปนึงนะครับ” มือบางล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู



กฤษณะ



...อาหมอนี่นา



 “ครับ...”



(“นี่ชะเอม! อาทิตย์ที่ผ่านมาทำไมไม่มาหาอาที่โรงพยาบาลหา!?”) พอรับสายปุ๊บเสียงคาดคั้นของกฤษณะก็ดังผ่านสายมาปั๊บ ชะเอมรีบยกโทรศัพท์ห่างจากหูเพราะเสียงดังๆ นั่น ขาเรียวรีบเดินแยกออกมาให้ร่างสูงอีกคนยืนเลือกของไปก่อน



“ขะ ขอโทษครับอาหมอ คือเอม...” ร่างบางเลิ่กลั่กทันที...ไม่รู้จะตอบยังไงเพราะลืมซะสนิท!



(“บอกอามาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่สมเหตุสมผลอาจะตีให้ก้นลายเลย”)



ร่างบางป้องปากพูดกระซิบกระซาบ แม้จะเดินออกมาห่างจากคินพอสมควรแล้วแต่ก็อดพูดเสียงเบาไม่ได้ “เอมไม่สบายครับอาหมอ ก็เลยไม่ได้ไป ขอโทษนะครับ”



(“ไม่สบาย!? นี่หนูไม่สบายอีกแล้วเหรอ แล้วหายหรือยัง”)



“ครับ หายแล้วครับ”



(“ไม่ได้ อาไม่ไว้ใจ หนูชอบเกรงใจชอบโกหก อาไม่เชื่อหรอก...มาหาอาเดี๋ยวนี้”)



“ครับ!?” ร่างบางตาโต



(“หรือจะให้อาไปหาที่คอนโด เลือกเอา ไม่เกินสองชั่วโมง เราต้องเจอกัน”)



“เดี๋ยวสิครับ อาหมอ คือเอมอยู่กับคิน...ขอเป็นอาทิตย์ที่จะถึงไม่ได้เหรอครับ ตอนนี้เอมหายแล้วจริงๆ นะ”



(“อยู่กับคิน? นี่ดีกันแล้วเหรอ”)



“ครับ...ก็ใช่”



(“งั้นให้คินพามาสิ”)



ชะเอมรีบเอ่ยร้อนรน “ไม่ได้ครับ อาหมอลืมไปแล้วเหรอว่า...”



(“หนูแค่บอกว่ามาตรวจไข้เฉยๆ แล้วอาแค่อยากยืนยันว่าหายดีแล้วจริงๆ เท่านั้น...หรือว่าเรื่องที่ไม่สบายเอมโกหกอา?”)



“เปล่านะครับ...ก็ได้ครับอาหมอ เอมไปก็ได้” เสียงใสอ่อย เบะปากงอนอย่างไม่รู้ตัว



(“ดีมาก แล้วเจอกัน ภายในสองชั่วโมงนะ ไม่งั้นเอมจะเจออารออยู่ที่คอนโดแน่”)



“คร้าบ...” ดวงตากลมโตมองไปที่โทรศัพท์ที่โชว์ว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้วได้แต่ถอนใจ...โหดชะมัดเลย อย่างกับคุณลุงเวลาโมโหยังไงยังงั้น



“ใครโทรมาน่ะ” คินถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินกลับมาท่าทางหงอยๆ



“อาหมอ...” เสียงใสตอบเบา



“อากฤษ?”



“ครับ” ชะเอมพยักหน้าช้าๆ “คือว่า...คิน...” จะพูดยังไงดีล่ะ



“ว่าไงเอม ตกลงอยากได้ลายไหน เลือกได้แล้วเหรอ” คินถาม พนักงานสาวก็ยิ้มกว้างยื่นแผ่นอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนแคตาล็อกลายผ้าปูให้ชะเอมดู แต่สายตาสาวเจ้าก็ยังคงเหล่มองไปที่ร่างสูงข้างกายไม่สนใจลูกค้าตัวเล็กคนนี้สักนิด



ชะเอมมองงุนงง กลายเป็นเรื่องนั้นได้ไง “คือ...อันนี้ก็ได้ครับ”



นิ้วบางจิ้มไปมั่วๆ ที่เป็นสีเรียบๆ มีลายเล็กน้อยไม่ฉูดฉาด...ในใจกำลังคิดว่าจะพูดยังไงไม่ให้คินสงสัยดี



“งั้นตามนี้แหละครับ ฝากด้วยครับ” คินว่าก่อนจะหันมามองท่าทางผิดปกติของชะเอม เจ้าตัวขมวดคิ้วมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว



“ลายนี้นะคะ รอสักครู่ค่ะ” หญิงสาวที่ปรายตามองร่างสูงเป็นครั้งสุดท้าย คิดว่าน่าจะเป็นท่าที่เซ็กซี่ที่สุดแต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจทำให้สาวเจ้าต้องเดินส่ายสะโพกเก็บเศษหน้าที่แตกออกไปด้วย



“เป็นอะไรเอม ไม่สบายเหรอ” มือใหญ่ยกทาบทับหน้าผากมนอย่างเป็นห่วงไม่สนใจสายตารอบข้าง แต่สัมผัสที่ได้รับกลับมากลับไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิร้อนผิดปกติใดๆ



คินขมวดคิ้วกังวล เพราะเวลาเจ้าตัวเป็นไข้ทีนอนซมไม่ได้ลุกออกจากเตียงไปหลายวัน



“เปล่าครับ คือเอม...คือ...”



“เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คุยกับอากฤษเมื่อกี้รึเปล่า” คินเดา เพราะตั้งแต่คุยโทรศัพท์กลับมาก็ดูกระสับกระส่ายไม่ร่าเริงอย่างที่ร่างบางเป็นตัวของตัวเอง



“อ่า ครับ คืออาหมอบอกว่าให้ไปหาที่โรงพยาบาลหน่อยเพราะเอมเล่าว่าวันก่อนเอมไม่สบาย แต่ตอนนี้เอมหายดีแล้ว แต่อาหมอไม่เชื่อเลยจะตรวจไข้ด้วยตัวเองน่ะครับ” ชะเอมเล่ารัวเร็ว ในใจเต้นตึกตักลุ้น แต่คินกลับตอบกลับมาสบายๆ เหมือนกับไม่ได้คิดอะไร



“เอาสิ เดี๋ยวคินพาไป”



“จริงเหรอ” ร่างบางโล่งใจ ยิ้มกว้าง รู้สึกดีใจที่คินไม่ได้สงสัยอะไร “ขอบคุณครับ”



จากนั้นชะเอมก็ทำตัวเหมือนเดิม หากแต่ไม่รู้ตัวว่าคินเก็บความสงสัยไว้ในใจกับท่าทางแปลกๆ เมื่อครู่



เรื่องแค่นั้นน่ะเหรอจะทำให้ชะเอมเลิ่กลั่กกังวลจนเกินเหตุ...มีพิรุธสุดๆ



ดูท่าทางร่างบางจะปิดบังอะไรไว้จริงๆ ด้วย





************************Whose fault? ************************





ตอนนี้แอบเสิร์ฟติมรามนิโหน่ย แต่แน่นอนว่ายังไงฉากเลิฟซีนครั้งแรกที่ชะเอมยังไม่ตกเป็นเมียของนางคินก็มาแรงกว่า ฟันธง คอนเฟิร์ม -.,- เห็นไหมว่าน้องเอมน่าลาก(?)และหมาป่าคินหื่นน้ำลายสอแค่ไหน

แต่ยังไงก็ไม่สู้ตอนพิเศษในเล่มอยู่แล้ว หึหึหึ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 29 16/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-01-2019 23:04:22
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 29 16/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-01-2019 23:57:03
คินสงสัยแล้ว ทีนี้ละ เอาไม่น่ารอด,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 29 16/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-01-2019 12:07:04
 :-[ :-[ เขิน  เค้าเริ่มหวานกันแล้ว
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 30 22/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-01-2019 19:37:49

Whose Fault ?

ผิด...ครั้งที่ 30







โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





"มานี่เลย มาให้อาจับตีก้นเลยดีมั้ย เด็กดื้อคนนี้นี่"



"คือว่า..."



"ไม่ต้องมาคือมาเคอเลย! ไม่สบายอยู่ตั้งสี่ห้าวันไม่บอกอาสักคำ แล้วถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาอาจะไปพูดกับคุณลุงยังไงหือ!?"



"แค่ไม่สบายเองครับ อาหมอก็" เสียงใสอุบอิบ



"สำหรับคนทั่วไปอาจะไม่ห่วงเท่านี้หรอก สำหรับหนูมันไม่ใช่แค่ไม่สบายธรรมดานะ อีกอย่างนิสัยแบบนี้ท่าทางจะรอให้เป็นหนักมากๆ แล้วค่อยพักล่ะสิ อารู้"



"..."



"เฮ้อ ดื้อไม่มีใครเกิน" คุณหมอส่ายหน้าบ่นตามประสาคนแก่



"ขอโทษครับ..." ใบหน้าหวานก้มต่ำ พูดเสียงหงอย แต่คราวนี้กฤษณะจะไม่ยอมใจอ่อนอีกแล้ว ร่างสูงใหญ่แบมือไปตรงหน้า



"อาขอดูกระปุกยาหน่อย"



"คือเอม...ไม่ได้พกไว้น่ะครับ" ชะเอมตอบอึกอัก เรียกสีหน้าขึงขังของกฤษณะได้เป็นอย่างดี



"ว่าอะไรนะ"



"...คือว่าคิน..."



"นั่นยาโรคประจำตัวนะเอม ไม่ใช่ลูกอมที่จะพกก็ได้หรือไม่พกก็ได้ ถ้าอาการกำเริบขึ้นมาจะทำยังไง?"ดวงตาดุกับเสียงเรียบๆ ทำให้ร่างบางเม้มปากเถียงแผ่วเบา



"ก็คินอยู่ด้วย ถ้าเอมเอาขึ้นมาทาน คินก็ต้องถามแน่ๆ เลยนะครับ"



"นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ!!"



เฮือก!



ร่างบางสะดุ้งหน้าซีดเผือด กฤษณะถึงรู้ตัวว่าเพิ่งขึ้นเสียงตะคอกออกไป ก่อนจะอ่อนลง



"ร่างกายของหนู มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเอม...ที่อากำชับบ่อยๆ ไม่ได้บอกใครอย่างที่หนูเคยขอไว้เพราะอาไว้ใจหนูคิดว่าดูแลตัวเองได้" คนที่เป็นทั้งหมอทั้งอารีบอธิบาย "แต่ถ้าเป็นแบบนี้ อาคงต้องบอกคินแล้วก็พี่เกษมเอาไว้จริงๆ"



"ฮึก” น้ำตาเม็ดโตร่วงอย่างสะเทือนใจ “...เอมขอโทษครับ"



"อาก็ต้องขอโทษเหมือนกัน อาไม่ได้ตั้งใจจะตะโกนใส่แบบนั้น"



"ไม่หรอกครับ เอมรู้ว่าอาหมอเป็นห่วง" ชะเอมเช็ดน้ำตาป้อยๆ ท่าทางน่าสงสารทำให้คนเป็นอารู้สึกผิดเขาทำเด็กคนนี้ร้องไห้จนได้



"ความเกรงใจของเอมน่ะเป็นสิ่งดี แต่ถ้ามันมากเกินไปมันจะกลับมาทำร้ายตัวเองนะ เชื่อที่อาพูดซักครั้งเถอะ...เอมน่ะเป็นคนในครอบครัว อาคิดว่าหนูควรจะบอกคุณลุงกับคินได้แล้ว อย่าปิดเรื่องนี้เอาไว้เลยมันไม่ดีต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้างหรอก"



ร่างบางฟังแล้วก็นิ่งเงียบ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ "งั้น...ให้เอมบอกคินกับคุณลุงเองได้มั้ยครับ"



"เอางั้นก็ได้"



กฤษณะว่า เขาน่ะเคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่ายอยู่แล้ว



"อย่าปล่อยให้เรื่องมันบานปลายจนใหญ่โตนะเอม เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่...หนูเข้าใจที่อาพูดนะ?"



"...ครับ" ร่างบางผุดลุกขึ้น "ขอบคุณมากเลยครับอาหมอ"



แล้ว...เขาจะพูดกับคินยังไงดีล่ะ



ครืด...



"เอม เมื่อกี้คุยอะไรกันเสียงดังเชียว" สายตาคมเบนไปที่คนที่ยืนข้างหลัง ยกมือไหว้ผู้อาวุโส "สวัสดีครับอากฤษ"



"หวัดดีคิน ดีจังนะที่เห็นดีกันได้แบบนี้" คนอายุเยอะกว่าสองรอบกล่าวยิ้มๆ "แล้วก็...ทำดีมากที่ช่วยดูแลเอมตอนป่วย อาเป็นห่วงมากเลย"



คินพยักหน้าเข้าใจความหมายนั้น ก็ร่างกายของชะเอมไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะดีขึ้นได้เมื่อหลายปีก่อนนี้เอง อากฤษจะเป็นห่วงเป็นพิเศษก็ไม่แปลก



"นี่ร้องไห้เหรอ อากฤษทำอะไร" เสียงทุ้มถามคนตัวบางที่เดินเข้าใกล้ด้วยท่าทางหงอยๆ มือใหญ่เชิดคางมนให้เงยหน้าขึ้น เพื่อให้มองเห็นชัดๆ



"เดี๋ยวสิ..." กฤษณะเอ่ยถอนใจ ถึงจะคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ถึงตอนนี้คนแก่ก็ยังรู้สึกผิดเหมือนกันนะ!



"เปล่าหรอกครับ" ชะเอมส่ายหน้า ขยี้ตา



"เปล่าที่ไหนกัน ดูสิ ตาแดงเชียว" นิ้วโป้งไล้ขอบตาแดงช้ำ "หือ ไม่ใช่เหรอ เด็กขี้แย"



คนโดนว่าเบะปากทันที "เอมไม่ได้ขี้แยสักหน่อย"



"ครับๆ ไม่ได้ขี้แยก็ไม่ได้ขี้แย...อากฤษผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็ขอบคุณมากครับ"



"อือๆ ดูแลกันดีๆ ล่ะ" คนเป็นแพทย์โบกมือลา



"สวัสดีครับ อาหมอ"



กฤษณะรับไหว้ร่างบางที่ยังซึมๆ อยู่...เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วรู้สึกผิดมากไปอีก...ไม่น่าเลย



ถ้าพี่เกษมรู้ เขาต้องโดนด่าแหงแซะ โทษฐานทำลูกชาย(?)สุดที่รักของแกน้ำตาร่วง







************************Whose fault? ************************







ปึง!



ทั้งสองขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ภายในเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจระรัวของร่างผอมบาง ก้อนเนื้อเล็กๆ ในอกเต้นดังตุบๆ



"คิน..."



"หือ"



"คือว่า..." ริมฝีปากบางขบกัดกัน คิ้วขมวดอย่างกังวลใจ



เขาพูดไม่ออก...พูดไม่ออกจริงๆ



"มีเรื่องไม่สบายใจอะไรเหรอ"



'อาคิดว่าหนูควรจะบอกคุณลุงกับคินได้แล้ว อย่าปิดเรื่องนี้เอาไว้เลย'



ร่างบางชะงักนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ "...ครับ"



"อยากเล่าหรือเปล่า"



"..."



"ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ต้องพูดก็ได้...แต่อยากให้รู้ไว้ว่าต่อจากนี้เอมจะมีคินอยู่เคียงข้าง" สัมผัสอบอุ่นบนศีรษะทำให้ร่างบางผินมองใบหน้าคมที่มองอยู่เหมือนกัน "คินจะรับฟังเอมทุกเรื่อง พร้อมเมื่อไหร่ก็เล่าให้คินฟังนะ"



ชะเอมน้ำตาซึม



"ร้องไห้อีกแล้ว ไหนบอกไม่ได้ขี้แยไง"



มือบางยกขึ้นขยี้ตา สูดน้ำมูกดังฟืด "ไม่ได้ขี้แยซักหน่อย"



ร่างสูงหัวเราะเสียงต่ำ มือใหญ่เอื้อมบิดกุญแจสตาร์ทรถ "อยากไปไหนต่อมั้ย"



"ไม่ครับ..." ร่างบางเอนตัวพิงเบาะอย่างเพลียๆ ...อยากกลับห้องแล้ว "คินจะไปไหนหรือเปล่า ถ้ายุ่งเดี๋ยวเอมกลับรถเมล์ก็ได้นะ"



ชะเอมกระเด้งตัวก่อนจะปลดเบลท์แต่ร่างสูงรีบจับข้อมือบางไว้



"ไม่ต้อง เดี๋ยวคินไปส่ง"



"แต่เอม..." ...เกรงใจ



"เราเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ เลิกเกรงใจได้แล้ว" คินว่าก่อนจะเปลี่ยนจากจับข้อมือมาเป็นกุมมือไว้เบาๆ "ต่อไปนี้ เอมจะเอาแต่ใจยังไงก็ได้ อยากให้คินทำอะไร ไม่อยากให้ทำอะไร เอมบอกคินเลย"



ถึงจะพูดแบบนั้น "แต่ว่า...เอมไม่กล้าหรอก..."



กลัว...ที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม



"คินไม่ชอบคนงี่เง่า แล้วบางทีเอมก็..."



"กลับกัน คินก็จะทำแบบนั้นกับเอมบ้าง เราจะได้เจ๊าๆ กันไง"



คราวนี้กลายเป็นร่างบางที่ทำหน้างง "ทำแบบนั้น?"



"ก็..." คินยกนิ้วขึ้นเกาหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อย "บางทีคินอาจจะงี่เง่า ชอบหวงหรือ...หึงไม่เข้าท่าบ้าง..."



ชะเอมนิ่งไปก่อนที่ใบหน้าหวานจะแดงก่ำ...หะ หวง? หึง!?



พอดวงตาคู่คมมองชะเอมแล้วก็อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ต้องจิ้มหน้าผากมนแรงๆ จนหงายเงิบ "เอมน่ะแหละที่ซื่อจนไม่รู้ตัวว่ามีคนมาจีบบ่อยๆ ...แบบนี้จะให้คินปล่อยไปได้ไง คินก็หวงของคินเหมือนกัน"



"เอมไม่ได้ฮอตเหมือนคินสักหน่อย จะไปมีคนมาจีบได้ไงครับ" ปากบางยู่ ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกด้อย...แถมหน้าตาก็ไม่ได้ดีเท่าคินด้วย



ร่างสูงได้ยินกลับเลิกคิ้วแปลกใจสุดๆ นี่เจ้าตัวไม่รู้ตัวจริงๆ หรือไงว่าตัวเองก็ดังไม่แพ้เขาเลย



ความนิยมของชะเอม ใบหน้าหวานๆ แบบนี้จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็เข้าหามากหน้าหลายตา จะมีแต่ร่างบางนี่แหละที่ยิ้มไร้เดียงสาคุยกับเขาทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร...



"คินต่างหาก มีแต่ผู้หญิงเข้าหา เอมเป็นผู้ชายจะไปกล้าหะ...หวง...ได้ไงล่ะ" เสียงใสพูดแผ่วเบาลง โดยเฉพาะคำนั้นเหมือนเสียงจะหายไป แต่คนที่ได้ยินก็หลุดขำ



"หัวเราะอะไรน่ะ" เสียงใสแหว



"หัวเราะคนขี้หวง"



"ก็...ก็คินบอกเองว่าเราเป็นแฟนกัน จะไม่หวงได้ไง...เล่า" แก้มใสค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ แปรผันกับเสียงที่ค่อยๆ เบาลง



"คินบอกแล้วว่าหวงได้ หึงได้ เพราะคินก็จะทำเหมือนกัน" สายตาคมกริบมองสบ "จะว่าไปพอพูดแล้วก็นึกขึ้นได้...เอมห้ามไปยุ่งกับไอ้หมอนั่นอีกนะ"



ร่างบางตัวหดลงเล็กน้อย ทำตาน่ากลัวชะมัดเลย



"คะ ใคร...เหรอ"



"ไอ้เวรติมนั่นไง ที่ไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่าคินลืมหรอกนะจะบอกให้"



"ตะ แต่ว่านั่นน้อง..."



"ถ้ามันไม่ได้คิดกับเอมเป็นพี่เป็นน้องด้วย คินไม่นับว่ามันเป็นรุ่นน้องหรอก" คินว่า "อีกอย่างไอ้หมอนั่นน่ะ..."



สายตาเย็นเยียบนั่นมัน...อันตราย



มันจะเป็นรุ่นน้อง จะอายุน้อยกว่าหรืออะไรก็ช่าง...มันเป็นผู้ชายที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย



"คิน?"



"...ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งอีกเด็ดขาด"



ชะเอมขมวดคิ้ว เอ่ยต่อรอง "คุยเฉยๆ ก็ไม่ได้เหรอ ยังไงเขาก็เป็นแฟนของเพื่อนของเอมนะ"



พอได้ยินร่างบางพูดแบบนั้นมันยิ่งรู้สึกตงิดใจ ทั้งๆ ที่ไอ้หมอนั่นมีแฟนแล้ว...แล้วทำไมถึงทำท่าสนใจชะเอมอีกล่ะ



คินเหลือบเห็นสายตาอ้อนๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ "ก็ได้"



ไอติมกับราม



ความสัมพันธ์ของสองคนนั้น...ช่างประหลาด



ปริ๊นๆ



เสียงบีบแตรและเครื่องยนต์ดังลั่นบนถนนใจกลางเมือง เป็นภาพปกติที่เห็นกันได้ทุกวัน แต่วันนี้การจราจรเป็นไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำทะเบียน กท1222 ติดอยู่สี่แยกไฟแดงนี้ตั้งสิบนาทีแล้วรถยังไม่เคลื่อนเลยแม้แต่นิด



"ทำไมรถติดจัง" ร่างบางชะโงกหน้าพยายามมองไปด้านหน้าว่ามีเหตุการณ์อะไรอย่างรถชนหรือรถเสียรึเปล่า แต่ก็ไม่เห็นอะไร



"นั่นน่ะสิ" คินหันไปมองใบหน้าหวานที่ขมวดคิ้วเป็นปมแล้วสายตาเบนมองแก้มใส "เอม"



"ครับ?"



ใบหน้าคมยื่นด้านข้างไปใกล้ๆ ร่างบางก็ถดตัวหนีพร้อมกับสีหน้างุนงงที่หนักกว่าเดิม "อะไรเหรอคิน?"



คินยังคงเงียบ ชะเอมก็ขมวดคิ้วหนัก ใบหน้าหวานยื่นเข้าใกล้ ดวงตากลมโตสำรวจที่ใบหน้าด้านข้าง "ไม่มีอะไรติดอยู่นะ"



"ไม่ใช่" เสียงทุ้มบอกทันทีอย่างระอา "หอมแก้มหน่อย"



"...ครับ?"



"หอม-แก้ม-หน่อย"



"คิน..." ใบหน้าหวานแดงเรื่อเมื่อเข้าใจจุดประสงค์ ทำไมอีกฝ่ายถึงพูดเรื่องน่าอายได้ไม่หยุดหย่อนแบบนี้ "นี่มันข้างนอกนะ"



"ไม่มีใครเห็นหรอกน่า ฟิล์มดำขนาดนี้"



"แต่..."



"เร็ว"



"..." ริมฝีปากเม้ม มือบางขยุ้มหน้าตัก ใบหน้าหวานเห่อร้อน...จะให้ทำแบบนี้ในรถเหรอ มันไม่ต่างจากทำข้างนอกเลยนะ...ถึงคินจะยืนยันว่าคนนอกรถมองไม่เห็นก็เถอะ



"เฮ้อ ทีไอ้รุ่นน้องนั่นเอมยังให้หอมแก้มต่อหน้าคนหน้าโรงหนังตั้งเยอะ แต่กับคินหอมไม่ได้เหรอ" เสียงทุ้มเอ่ยน้อยใจ คินกลับไปนั่งตัวตรงเหมือนเดิม ปากหยักพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้มองหน้าชะเอมให้รู้ว่านี่น้อยใจจริงๆนะ



ร่างบางเห็นดังนั้นก็กล้ำกลืนฝืนใจตอบออกไป "กะ ก็ได้! ...เอมยอมแล้ว" โดยไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์



ฮือ อายจะตายอยู่แล้วนะ



คินหันหน้าด้านข้างยื่นเข้าใกล้อีกครั้ง ร่างบางหน้าแดงค่อยๆ ปรือเปลือกตาลงแตะริมฝีปากที่แก้มร่างสูง



จุ๊บ!



"อื้อ!?" ดวงตากลมโตเบิกกว้าง สบกับสายตาคมที่มองมาพอดี นี่มัน...!



ไม่ทันตั้งตัว เพราะมัวแต่ตกใจกับสัมผัสนุ่มของริมฝีปากทำให้ร่างสูงได้ทีจับท้ายทอยเล็กไว้แน่น ก่อนที่จะเอียงหน้าเปลี่ยนองศาแทรกเรียวลิ้นเข้าแยกริมฝีปากที่เผยอเล็กน้อยเพื่อชิมความหอมหวาน



"อื้อ อืม" เสียงใสคราง รีบหลับตาปี๋เมื่อถูกลิ้นร้อนต้อนกวาดภายใน ร่างผอมกระตุก มือบางเกร็งขยุ้มเสื้อยืดบริเวณไหล่แกร่งจนยับ



เนิ่นนานจนชะเอมหายใจไม่ทัน เพราะเรียวลิ้นที่อีกฝ่ายซุกซนจนคนโดนรุกตัวสั่นระริก กำปั้นเล็กทุบเบาๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว



"ฟุฮ่า...แฮ่ก..."



ริมฝีปากคมละออกมาให้ร่างผอมได้พักหายใจ ชะเอมซบไหล่แกร่งอย่างหมดแรง จมูกโด่งยังคงไล้ทั่วกรอบหน้าสูดดมความหอมกรุ่นแนบชิด เมื่อผ่านไปสักพักจนลมหายใจนิ่ง ริมฝีปากร้อนก็กดแนบชิดอีกครั้งอย่างคนไม่หายอยากแต่...



ปริ๊นนน!!!



เสียงบีบแตรดังจากรถด้านหลัง ทำให้ร่างสองร่างสะดุ้งเฮือก เด้งตัวออกห่างจากกันอย่างรวดเร็ว ชะเอมตัวเกร็งตกใจ มือบางยกปิดหน้าแดงก่ำ ส่วนคินก็กลับนั่งประจำที่รีบใส่เกียร์และเหยียบคันเร่งออกไปผ่านแยกที่ไฟถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้



ตามด้วยเสียงใสตะโกนอย่างอายสุดขีดที่มีแต่คนในรถที่ได้ยิน ทำให้ร่างสูงเหงื่อตก



"คินคนบ้า! ทีหลังไม่ต้องมาจูบเลยนะ!!"



ซวยแล้วสิแบบนี้...







************************Whose fault? ************************







เสียงจอแจของคณะอักษรศาสตร์ดังขึ้นเนื่องจากเป็นเวลาเลิกคลาสและเป็นช่วงเที่ยงพอดี นักศึกษาหลายคนจึงทยอยออกมาจากห้องในเวลาเดียวกัน บ้างยืนจับกลุ่มคุยกันหน้าห้อง บางคนรีบวิ่งไปเพราะหิวข้าว ขาเรียวภายใต้กางเกงนักศึกษาพาร่างผอมบางเดินลงบันไดมาจากชั้นเจ็ด ชะเอมเองก็รีบแต่ไม่ได้รีบมาก จึงไม่ใช้ลิฟต์เพราะว่าคนรอเยอะ



"แฮ่ก..." กว่าจะมาถึงชั้นหนึ่งได้ก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน  เม็ดเหงื่อซึมน้อยๆ ข้างขมับ แขนบางโอบกระชับหนังสือปกแข็งและปึกชีทเล่มหนาที่หนักเอาเรื่องแน่น ก่อนที่จะพาตัวเองเดินเข้าโรงอาหาร ดวงตากลมสีดำสอดส่ายสายตาหาใครบางคน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...



"เอม!" เสียงทุ้มตะโกนเรียกให้เจ้าของชื่อหันไปตามทิศทางที่มา เห็นร่างสูงในชุดเสื้อช็อปและใบหน้าหล่อเหลายกมือให้เห็นชัดๆ



...แค่หน้าตาก็โดดเด่นพอแล้ว นี่ยังทำตัวให้เด่นจนคนรอบข้างมองมากขึ้นไปอีก



ชะเอมก้มหน้างุดค่อยๆ เดินลัดเลาะผู้คนที่เบียดเสียดพลางจับจ้องมาอย่างกับเขาเป็นตัวประหลาด



"นั่นคินนี่นา อ๊าย ไม่ได้เห็นตั้งนาน เทพบุตรสุดหล่อข้างช้านปรากฏกายแล้ว"



"ดีใจทำไมยะ เขาไม่ได้มาหาแกสักหน่อย"



"ใครสน เดินมาถึงคณะอักษรที่อยู่ห่างไกลคนละฟากแบบนี้ ก็ถือว่ามาหาชั้นแล้ว ว้าย ปลื้ม!"



"ไม่อยากขัดหรอกนะ แต่คินเขาขับรถมาหรอกย่ะ"



"แป่ว..."



"คิก"



ชะเอมหลุดหัวเราะ เพราะเดินผ่านกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังพูดถึงคินแล้วเผลอได้ยินเข้าพอดี แต่พอรู้สึกตัวก็ปิดปากทันที แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะคนทั้งกลุ่มหันมามองร่างบางจนเจ้าตัวต้องรีบก้มหัวที่เสียมารยาท



"คะ คือ ขอโทษครับ!" เสียงใสเอ่ยอย่างรู้สึกผิด แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับยิ่งทำให้ใบหน้าหวานหน้าซีด "คือผมไม่ได้ตั้งใจ..."



"น้อง!"



"ฮะ คะ ครับ!?" ชะเอมสะดุ้งเฮือกเผลอกลั้นลมหายใจเมื่อคนที่เป็นผู้ชายตัวโตหัวเกรียนหน้าโหดตะโกนเรียก ลุกจากโต๊ะและเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางคุกคาม



"ต๊ายตาย ท่าตกใจเมื่อกี้น่ารักใช้ได้เลยนะเนี่ย"



คำพูดและท่าทางที่เปลี่ยนไปคนละขั้วที่ทำใบหน้าหวานงง "เอ๋?"



"พี่ก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกจ้า พอดีพี่กับเพื่อนแค่คุยกันสนุกๆ เฉยๆ แค่นั้นเอง ไม่ต้องขอโทษหรอกนะน้องชะเอม"



"เอ๊ะ?" งงรอบสอง คนๆ นี้รู้ชื่อเราได้ไง "พี่..."



"เอม!" ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าทมึงถึง ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่เห็นผู้ชายตัวใหญ่หัวเกรียนคนนี้ทำท่าข่มขู่ร่างผอมบางที่ยืนหน้าซีด



"คิน..."



"ต๊าย คินนี่นา!" ผู้ชายที่ดูดิบเถื่อนเมื่อกี้เรียกชื่อคนเพิ่งมาด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้ง ขายาวชะงัก...เวรละไม่ใช่ผู้ชายนี่หว่า ร่างสูงเบนความสนใจมาที่ชะเอมทันที ขายาวเดินเข้ามาใกล้แย่งหนังสือในแขนบางไปถือแทน การกระทำเล็กๆ น้อยที่ชายหัวเกรียนร่างใหญ่แอบสังเกตตาวาว



"เอม มัวทำอะไรอยู่น่ะ คินก็นึกว่า..." โดนผู้ชาย (ที่ไม่ใช่ผู้ชาย) ข่มขู่ซะอีก



"คือว่าพี่เขา...คือพอดีว่าเอม..." ร่างบางพูดวกไปวนมา มองสลับระหว่างคนที่เรียกตัวเองว่าพี่เมื่อกี้กับคิน...คือไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากตรงไหนดี



"ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะ!" คินผงะออกแทบไม่ทันเมื่อใบหน้าของชายเถื่อนยื่นเข้าใกล้



"เอ่อ ครับ?"



"คินกับน้องชะเอมเป็นอะไรกันคะ?"



คินมองหน้าเอมที่ขมวดคิ้วสงสัย ก็ถามกลับไปแทน "พี่รู้จักชะเอมด้วยเหรอครับ"



"แน่นอนสิคะ! น้องชะเอมเป็นสมบัติของคณะเรา เป็นคนที่น่ารัก ใสซื่อ ไร้เดียงสาจนหาไม่ได้อีกแล้วในมหาวิทยาลัยนี้ แถมเป็นคนดังในคณะเราด้วยนะ" คนพูดขยิบตา "ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเลยก็เถอะ"



คนโดนบรรยายสรรพคุณตาโตน่ารักในสายตาคนมอง...นั่นมันตัวเขาเหรอน่ะ



"ดังนั้นถึงจะเป็นคิน เดือนคณะวิศวะสุดหล่อลากดิน พี่ก็ต้องคัดกรองค่ะ ถ้าไม่เหมาะสมพวกพี่ก็พร้อมเตะโด่งน้องออกไปทันที"



พอฟังจบก็เกิดความเงียบก่อนที่ร่างสูงจะหลุดหัวเราะออกมาเพราะไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อน ส่วนชะเอมยืนหน้าแดงระเรื่อ



"คือว่ารุ่นพี่ครับ..." ชะเอมไม่ทันได้พูดอะไร (อีกแล้ว) แขนยาวของคนข้างๆ ก็โอบเอวบางและพูดในสิ่งที่ทำให้หน้าแดงแปร๊ด



"ชะเอมเป็นแฟนผมครับ"



"อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด" ชายตัวใหญ่หน้าเถื่อนที่ไม่เหมาะกับชุดนักศึกษาปิดปากอุทานตาโต เสียงรอบข้างฮือฮาขึ้นมาทันที ข่าวนี้จะต้องถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอนเพราะนักศึกษาคณะอักษรส่วนใหญ่ก็ได้ยินกันถ้วนหน้า ยังมีนักศึกษาคณะอื่นบางคนที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งกินข้าวที่นี่ก็ด้วย



"แน่วแน่แบบนี้ให้ผ่านเลยค่า!!" อีกฝ่ายยกนิ้วให้ พร้อมกับเสียงปรบมือเป็นลูกคู่ดังอยู่ด้านหลัง...ก็กลุ่มเพื่อนตลกโปกฮาของพี่แกนั่นแหละ



"แค่นี้พอแล้วใช่มั้ยครับ" บอกตามตรงว่าร่างสูงเป็นคนไม่ชอบคนมุงเยอะๆ เลย แต่ที่บอกออกไปเมื่อกี้ก็เพื่อที่จะบอกให้ใครหลายๆ คนรู้ว่าชะเอมมีเจ้าของแล้วจะได้ไม่มาวอแวขณะที่เขาไม่อยู่ข้างๆ ...การเรียนคนละคณะก็มีความยากลำบากเหมือนกัน



ห่างหูห่างตา



"อ่ะ จ้า..."



"อันที่จริงแล้วจะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน ผมจะให้ชะเอมเป็นคนตัดสินใจเองครับ" สายตาคู่คมเย็นเยียบ "คนอื่นผมไม่สน"



คินโอบไหล่บางให้เดินไปพร้อมๆ กันจากที่ตรงนั้น จากนั้นชาวไทยมุงก็สลายตัวอย่างหมดเหตุการณ์น่าสนใจ



"ต๊ายตาย สายตาเย็นชา มองแล้วร้อนรุ่ม" พี่เถื่อนยังคงความเป็นตัวเอง ส่วนเพื่อนสาวคนหนึ่งก็เดินมาตบไหล่



"ไอ้คิน ไปยุ่งกับเขามากๆ ระวังโดนกระทืบนะมึง นั่นวิศวะนะอย่าลืม"



"ก็มาสิ" ริมฝีปากใหญ่ยิ้มกรุ้มกริ่ม พร้อมกับทำหน้าเย้ายวนอ่อนระทวย ดูน่าขนลุก "อยากโดนกระแทกใจจะขาดแล้ว"



"เฮ้อ" เพื่อนทั้งกลุ่มกุมขมับถอนหายใจดังกับความเพี้ยนสุดขีด ก่อนจะปล่อยให้มันสะดีดสะดิ้งต่อไป



ชื่อเหมือนกันแท้ๆ แต่ไม่เห็นจะเหมือนกันเล้ย ตั้งแต่ภายนอกยันภายใน



"คิน พูดแบบนั้นจะดีเหรอ นั่นรุ่นพี่นะ" เสียงใสถามด้วยความกังวล อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปด้านหลังด้วยความไม่สบายใจ



"คินพูดไม่ดีตรงไหน"



"ก็..." จะว่าไปก็ไม่ได้ไม่ดีหรอก...ปากบางยู่ เถียงไม่ออกเลย



"แต่ที่คินพูดน่ะ คินจริงจังนะ"



"..."



"คินจะมีสิทธิ์ได้อยู่ข้างกายเอมหรือเปล่า คินจะให้เอมเป็นคนตัดสินใจ" คินยิ้มมุมปาก "มีแค่เอมคนเดียวที่มีสิทธิ์จะให้คินอยู่หรือไป...แค่เอมคนเดียว"



"..." ชะเอมก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าร้อน ไม่กล้ามอง ยอมรับว่าหลังจากที่คินบอกว่ารัก...หลังจากที่เป็นแฟนกัน อีกฝ่ายก็แน่วแน่อย่างที่พี่คนนั้นพูดจริงๆ



ทำให้ใจเต้น...และเขินตลอดเวลา



ทั้งคำพูด สายตา และการกระทำ



ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะมีเพียงแค่เราเท่านั้น



"เอมก็รอมาตลอดนะ...รอคินคนเดียว"


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 30 22/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-01-2019 19:38:34



>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบน




ไม่มีวันที่จะไล่อีกฝ่ายไปไหนหรอก



"ร้อนเหรอ เหงื่อซึมเชียว" มือใหญ่หยิบทิชชู่ซับข้างขมับเล็กให้ ไม่สนใจสายตารอบข้างแม้แต่นิดราวกับอยู่กันแค่สองคน



โรงอาหารเป็นแบบโปร่งไม่ใช่ห้องแอร์ แต่ก็ไม่ใช่กลางแจ้ง คนค่อนข้างจอแจเป็นพิเศษยิ่งเกิดเรื่องเมื่อกี้ขึ้นยิ่งทำให้คนมาเยอะเหมือนมาสอดส่องเดือนคณะวิศวะคล้ายปูชนียบุคคลที่นานๆ ทีจะได้เห็น



"ขอบคุณนะ"



"ไม่เป็นไร กินข้าวเถอะ"



"คินอุตส่าห์มาถึงนี่เหนื่อยมั้ย"



"ไม่เลย" ร่างสูงแกะข้าวกล่องที่ร่างผอมแพ็คมาตั้งแต่เช้า กับข้าวสามอย่างปริมาณสำหรับสองคน "เพราะคินขับรถมา"



ชะเอมหลุดหัวเราะ เพราะนึกถึงคำพูดที่รุ่นพี่คนเมื่อกี้กับเพื่อนๆ คุยกัน



อ๊ะ จะว่าไป...ยังไม่รู้จักชื่อรุ่นพี่คนเมื่อกี้เลยนี่นา คุยกันตั้งนาน



"เอมต่างหากตื่นเช้ามาอุตส่าห์ทำข้าวกล่องเผื่อให้คินด้วย น่าจะเหนื่อยกว่านะ"



"แต่คินก็หิ้วของมาให้นี่นา ถึงจะใช้รถก็เถอะ" ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะหลุดหัวเราะเพราะเถียงเรื่องไร้สาระอย่างใครเหนื่อยกว่าใคร บรรยากาศรอบด้านอบอวลด้วยความรัก



"โอเคครับ กินเร็ว ตอนบ่ายมีเรียนไม่ใช่เหรอ"



ชะเอมพยักหน้า "เอมเรียนบ่ายสองครึ่ง คินล่ะ"



"ไม่มีนะ"



"อ้าวเหรอ ถ้างั้นเดี๋ยวทานมื้อเที่ยงเสร็จ คินก็กลับห้องก่อนเลยนะ" ชะเอมรีบบอก อีกฝ่ายกลับมาอยู่ที่ห้องด้วยกันแล้ว แล้วก็บอกด้วยว่าก่อนหน้านี้ที่ออกไปอยู่คนเดียวก็ไปเช่าหอพักใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ไม่ได้อยู่กับเรย์อย่างที่เข้าใจผิดมาตั้งนาน



'ขอโทษนะที่ทำให้เสียใจมาตลอด ขอโทษที่คินทิ้งให้เอมอยู่คนเดียว' เสียงทุ้มเอ่ยขอ มือใหญ่ช้อนจับมือบางขึ้นกอบกุม 'เอมครับ...คินขอกลับมาอยู่ด้วยได้มั้ย'



ร่างบางฟังแล้วน้ำตาซึม 'ไม่เห็นต้องขอเลย เพราะยังไงห้องนี้ก็เป็นของคินมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา'



ไม่ว่าอะไร...ก็ไม่ใช่ของๆ เขาเลยแม้แต่อย่างเดียว



'แต่คินอยากขอ อยากให้เอมรู้และเข้าใจว่าห้องนี้เป็นของเราสองคน ไม่ใช่ของคินคนเดียว' ร่างสูงมองตรงมาอย่างอ่อนโยน ยกมือบางขึ้นจรดริมฝีปากแผ่วเบา 'นะครับ ให้คินกลับมาอยู่ด้วยนะ...คิดถึงอาหารฝีมือเอมจะแย่แล้วเนี่ย'



'ครับ เอมอยู่คนเดียวก็เหงาเหมือนกัน' ชะเอมยิ้มดีใจทั้งน้ำตา 'ยินดีต้อนรับกลับครับ'



"เดี๋ยวคินรอ"



ร่างบางรีบวางช้อนส้อมลง โบกมือห้าม "ไม่ต้องๆ เดี๋ยวเอมเรียนเสร็จเอมจะไปทำงานพิเศษต่อครับ คินกลับไปรอที่ห้องเลย"



คินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินว่า 'ทำงานพิเศษ'



"คินไม่ให้ทำ"



ดวงตากลมโตเบิกกว้าง "หืม ไม่ได้นะครับ  นี่โชคดีด้วยซ้ำที่พี่ฝนไม่ไล่เอมออกเพราะหยุดงานติดกันตั้งหลายวันแต่ไม่โทรบอกพี่เขาก่อน"



"แต่มันเหนื่อย คินไม่อยากให้ทำแล้ว"



"แต่เอม..."



"แล้วเอมจะทำไปถึงเมื่อไหร่" สายตาคมหม่นแสงลง "นี่อย่าบอกนะว่าเอมยังคิดมากเรื่องคำพูดของคินอยู่"



"เปล่านะครับ..." ชะเอมปฏิเสธเสียงเบา เพราะมันก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดนั่นแหละ



"เอมยังโกรธคินอยู่ใช่มั้ย"



ร่างบางส่ายหน้า "เปล่านะ"



"แล้วทำไม? ...ที่คินห้ามเพราะเป็นห่วงเอม พอวันนั้นเห็นเอมทำงานหนักไม่สบาย ไม่บอกใคร ไม่บอกแม้แต่คิน...ถ้าวันนั้นคินไม่ไปรับ แล้วเอมจะกลับยังไง ถ้าหากเป็นลมล้มอยู่ที่ไหนแล้วไม่มีใครรู้ล่ะ?" ยิ่งพูดยิ่งนึกโทษตัวเอง "แบบนี้คินจะปล่อยให้เอมทำงานต่อไปได้ยังไง"



ชะเอมกัดปากแน่น



"แต่เอมอยากทำ แล้วเอมจะไม่ฝืนแล้วก็ได้ ถ้ารู้สึกไม่ดีเมื่อไหร่เอมจะบอกทันทีเลย...นะครับ"



คินถอนหายใจ แบบนี้อีกฝ่ายไม่ยอมแน่ๆ จึงตัดสินใจงัดเหตุผลนี้มาใช้แทน



"แต่คินอยากอยู่กับเอม กลับบ้านพร้อมกัน กินข้าวด้วยกัน"



"..."



"อยากจะใช้เวลาช่วงนี้ทดแทนเวลาทั้งหมดที่เสียไป...หรือว่ามีแค่คินที่รู้สึกแบบนี้"



"...ไม่ครับ เอมก็..." อยากจะอยู่ด้วยกัน ร่างบางตัดสินใจกลั้นใจร้องขอ "แต่เอมอยากจะทำจนกว่าสิ้นเดือนนี้ ได้มั้ยครับ"



คินมองตากลมอ้อนวอนแล้วได้แต่ถอนหายใจ กว่าจะสิ้นเดือนนี้ก็เหลืออีกตั้งอาทิตย์กว่าๆ



"ก็ได้" พอพูดจบปุ๊บดวงตาสีดำเหมือนลูกกวางก็เป็นประกายระยิบ แต่ก่อนที่จะให้ชะเอมได้ใจ เสียงทุ้มก็เอ่ยจนเปลี่ยนเป็นหน้างอ "แต่เอมต้องให้คินไปรับไปส่ง เลิกทำงานแล้วโทรมาหาด้วย"



"แต่...!"



"ห้ามขัด ห้ามปฏิเสธ"



"...แต่เอมเดินทางเองได้ มันจะทำให้คินลำบากเปล่าๆ นะ" เสียงใสยังอดเถียงออกมาไม่ได้ แต่ก็แผ่วเบาลงทุกที พลันสบตากับสายตาคมที่มองมาก็ต้องตอบรับอย่างเดียว แม้หน้าจะมุ่ยขนาดไหน "...ก็ได้"



"โอเคกินข้าวต่อ เดี๋ยวไม่ทันนะ"



"..." ชะเอมตักข้าวเข้าปากเงียบๆ แต่คิ้วมุ่นนั่นทำให้คินอดหัวเราะในลำคอไม่ได้



"งอน...งอน" แขนยาวเอื้อมไปหยิกแก้มใสที่เคี้ยวข้าวตุ่ยๆ จนยืด



"ฮื่อ!!"



มือบางตีแขนคนตรงข้ามดังเพียะ ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มจากร่างสูงที่ไม่สะทกสะท้านกลบด้วยเสียงจอแจของคนรอบข้าง ก่อนที่ทั้งสองจะลงมือกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย







************************Whose fault? ************************







"ขอบคุณมากครับที่มาอุดหนุน"



"ขอบใจชะเอมมากเลยวันนี้" ผู้จัดการสาวที่ไม่ได้เจอมาหลายวันพูดขึ้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้น่าจะประมาณสี่ห้าวันได้



ชะเอมยิ้ม "ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ฝนที่ไม่ไล่ผมออก"



"ก็ถ้าฟ้าไม่บอกพี่ว่าเอมไม่สบายล่ะก็นะ พี่กะจะไล่ออกอยู่แล้ว" สาวเจ้ากอดอกพูดเหมือนขู่ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้สื่อแบบนั้น



"ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ"



"เอาล่ะๆ ไม่ต้องขอโทษแล้ว" ฝนถอนหายใจกับความเกรงใจที่ร่างผอมบางแสดงออกมา ก่อนจะพยักเพยิดไปทางคนที่ยืนเช็ดโต๊ะเก็บเก้าอี้อีกทาง "ถ้าจะขอโทษล่ะก็ไปขอโทษเจ้านั่นดีกว่า ป่านนี้งอนตุ๊บป่องแล้วมั้ง เห็นหน้าแบบนั้นก็เถอะ"



พูดจบก็หัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปหลังร้าน ชะเอมยิ้มแหยหันไปมองที่รุ่นพี่ตัวสูงผมทอง ขาเรียวเดินเข้าไปหา



"พี่เหน่ง..."



เจ้าของชื่อชะงักมือที่กำลังเช็ดโต๊ะ ปรายตามองกลับมานิดนึง "ว่า"



ชะเอมแอบหน้าเสียกับคำพูดสั้นห้วนของอีกฝ่าย "ผมขอโทษครับ"



"ขอโทษเรื่อง"



"ก็วันนั้น...ที่ผมทำให้เดือดร้อน"



โป๊ก!



"โอ๊ย! ...เจ็บ" มือบางยกขึ้นกุมหน้าผากที่แดงเพราะถูกมะเหงกเขก ชะเอมน้ำตาเล็ด...เจ็บอะ



"พี่โกรธเรื่องนั้นที่ไหน!"



"อ้าว แล้ว..."



"เอ็งนี่จริงๆ เลย" ร่างสูงกว่ายกแขนขึ้นกอดอก ใช้นิ้วจิ้มตรงที่เขกจึ้กๆ จนใบหน้ามนแหงนหงาย"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงต่างหาก!"



"ขอโทษที่...ทำให้เป็นห่วง?" ชะเอมมองงุนงง "พี่เป็นห่วงผมเหรอ"



คนหัวทองได้ยินแล้วคิ้วกระตุกยิกๆ "...ไอ้เจ้าเด็กคนนี้"



"ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วง พี่เหน่ง" ร่างบางแย้มยิ้ม "ถึงผมจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน แต่ผมก็ดีใจที่ได้รู้จักกับพี่เหน่งนะครับ"



"อีกแค่อาทิตย์เดียวสินะ"



"รู้แล้วเหรอครับ"



"อือ ก็พี่ฟ้าบอก" เหน่งใจโหวงๆ เหมือนกันเพราะสนิทกับร่างบางพอควร คุยถูกคอ แถมยังสุภาพน่าเอ็นดู



"ทำไมถึงเลิกทำแล้วล่ะ"



"คือว่า...ฟะ แฟนเอมเขาไม่อยากให้ทำน่ะครับ ตั้งแต่ป่วยคราวนั้น" ชะเอมเกาแก้มหน้าแดงเรื่อ พอพูดออกมาเองแบบนี้ก็ทำให้เขินเหมือนกันนะเนี่ย



"โอ้โห นี่เอ็งมีแฟนด้วยเหรอ อิจฉาวุ้ย" รุ่นพี่ผมทองแซวล้อๆ ให้ใบหน้าหวานแดงก่ำขึ้นไปอีก “สาวที่ไหนวะ”



ชะเอมเงียบ ถ้าบอกว่าเป็นผู้ชาย พี่เหน่งจะตกใจหรือเปล่านะ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะถามไปงั้นไม่ได้สนใจมากมายเท่าไหร่



"ไหนมากอดหน่อย เดี๋ยวก็จะไปแล้วนี่ แค่อาทิตย์เดียวแปปเดียวก็จบแล้ว" ร่างสูงกางแขน ซึ่งชะเอมก็เอื้อมกอดให้รุ่นพี่ตัวใหญ่ที่ดูอบอุ่นผิดจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ลูบหลังลูบหัวคลายความเหงา



"คิก...พี่เหน่งอย่าจับเอวมันจั๊กจี๋ครับ"



"นี่แน่ะๆ" ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ ทำให้ร่างผอมดิ้นขลุกขลักหัวเราะไม่หยุด



"เฮ้อ...ว่างๆ ก็มาอุดหนุนกันบ้างละกัน พี่จะได้ขึ้นเงินเดือนกับเขาบ้าง"



"แหม พี่เหน่งก็พูดไป ตอนนี้ผมยังไม่ออกสักหน่อยนะครับ"



เสียงใสหัวเราะขำกับคำพูดที่ดูเหมือนจะเอาจริงหรือล้อเล่นก็ไม่รู้ ก่อนจะผละออกจากอ้อมกอด พลันดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อมองออกไปนอกกระจกร้านเจอร่างสูงคุ้นตายืนอยู่



"คิน!?" ขาเรียวรีบเร่งเดินออกมานอกร้าน "คิน ทำไมมาเร็วจังเลย"



"..."



"เอมว่าจะให้มารับหน้าห้างจะได้ไม่ต้องเดินเข้ามา"



"..."



"คิน...เป็นอะไรเหรอ"



ทำไมหน้าบึ้งจัง...



"ทำไมโทรมาไม่รับ"



มือบางตบกระเป๋ากางเกง ก่อนจะนึกได้ "อ๋อ คือโทรศัพท์อยู่ในล็อกเกอร์ครับ"



"แล้วทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดอีก"



 "คือเอม..."



"ไอ้หมอนั่นเป็นใคร"



"เอ๊ะ?"



"ทำไมถึงยืนกอดกัน"



"คิน เดี๋ยว เอมตามไม่ทัน..." ครั้นจะคิดอะไรเกี่ยวกับคำถาม มันก็งุนงง ไม่ทันได้ทำความเข้าใจ คินก็ดันถามมาอีก



"ไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวนี้ กลับบ้านแล้วค่อยคุยกัน!"







"เล่ามา"



"จะไม่อาบน้ำก่อนเหรอ" ร่างบางขยับตัวขยุกขยิก เพิ่งทำงานกลับมาเหนียวตัวจะตายอยู่แล้ว ยังให้มานั่งตักกอดเอวแนบชิดแบบนี้ กลัวอีกฝ่ายจะเหม็นหัวเหม็นตัวเองมากกว่าไม่ใช่อะไร



แต่ดูเหมือนร่างสูงจะไม่รอ ใบหน้าคมขึงขัง



"เล่า! ถ้าไม่น่าพอใจวันนี้ก็ไม่ต้องอาบน้ำเลย"



"ฮื่อ...ทำไมวันนี้อารมณ์ไม่ดี"



"ก็เพราะใครล่ะ"



"เอมทำอะไร?" ชะเอมทำหน้างงสงสัยสุดๆ ไม่คิดว่าจะไปทำอะไรให้คินโมโหด้วยซ้ำไป



"เอมขอโทษที่ไม่รับโทรศัพท์คิน"



"ไม่ใช่เรื่องนั้น"



"หรือเอมปล่อยให้คินรอนาน คินหิวข้าวเหรอ" แต่มันผ่านข้าวเย็นมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ก็น่าจะกินมาแล้วนี่นา



ร่างสูงคิ้วกระตุก ดูเหมือนสิ่งที่ร่างบางคาดเดาจะหลุดจากเป้าหมายไปไกลลิบ คินชักจะเหงื่อตกที่แกล้งทำเป็นโกรธชะเอมซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำอะไรผิด...



คิดผิดซะแล้วมั้ง



"ทำไมถึงปล่อยให้คินรอนาน" เสียงทุ้มเริ่มด้วยคำถามที่คิดว่าจะนำมาสู่คำตอบที่ต้องการ



ร่างบางนิ่งคิด "ก็เอมคุยกับพี่ที่ทำงานอยู่"



อ้อ ไอ้หมอนั่นคือพี่ที่ทำงานสินะ...คำตอบแรกเก็ท



"แล้วทำไมต้องคุย เวลาเลิกงานก็กลับบ้านสิ"



"พี่เขาเป็นห่วงเอมที่หยุดไปหลายวันเพราะไม่สบาย เอมเลยไปขอโทษที่ทำให้เขาเป็นห่วงแค่นั้นเองครับ" ร่างบางพูดไปยิ้มไป ยิ่งทำให้อารมณ์ขึ้น ยิ่งคำว่า 'เป็นห่วง' ออกจากปาก อารมณ์ยิ่งขึ้นคูณสอง...คำตอบที่สองไม่เก็ท! แล้วก็ไม่อยากเก็ทด้วย!



"แล้วทำไมต้องกอดกันด้วย หืม" คินถามเสียงเย็น คำถามนี้ถ้าตอบไม่ดีจะโดนไม่ใช่น้อย



"ก็เอมบอกผู้จัดการไปแล้วว่าจะทำแค่ถึงสิ้นเดือนนี้ แล้วพี่เหน่งก็แค่ขอกอดเพราะเดี๋ยวจะไม่เจอกันแล้ว เอมว่าเขาอาจจะเหงาถ้าเอมลาออก"



พอฟังได้ แต่ก็ไม่โอเคอยู่ดี...คำตอบที่สามไม่เก็ท!



"ต่อไปนี้ห้ามเอมไปกอดกับใคร แม้จะเพื่อนหรือรุ่นพี่อะไรที่ไหนก็ช่าง ห้าม!"



ตาโตกระพริบปริบกับคำพูดราวกับคำสั่ง "แต่นั่นพี่ที่ทำงานนะ เอม..."



"จะเป็นใครก็ห้ามกอดทั้งนั้น ต่อไปนี้คินห้ามเด็ดขาดยกเว้นคินกับพ่อ อ่อ อากฤษก็ได้ไม่ห้าม"



"เอ๋..." เสียงใสสูงครางยาวอย่างคนไม่เข้าใจ "ทำไมล่ะครับ"



"จะให้คินยอมเห็นแฟนตัวเองไปกอดกับ(ผู้ชาย)คนอื่นแบบนี้เหรอ...คินก็หึง หวงเป็น" คำนั้นที่ละไว้เพราะเดี๋ยวเจ้าตัวเถียงออกมาซื่อๆ ว่าเป็นผู้หญิงก็ได้ใช่ไหม...เพราะงั้นเหมารวมไว้ก่อนดีกว่า



"คินหึงเหรอ" ดวงตากลมทำตาโต แก้มขึ้นสีระเรื่อ



"หึง"



"แต่นั่นแค่พี่"



"จะพี่หรือน้องหรือเพื่อนก็หึงหมดแหละ" ร่างสูงคิ้วกระตุกกับคนที่ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย "หรือจะให้คินไปกอดกับผู้หญิงคนอื่นก็ได้งั้นเหรอ...เอมยอม?"



คิ้วบางขมวดเมื่อนึกภาพตาม ปากบางเบะออกพูดเสียงสั่นเครือ "...ฮื่อ ไม่เอา"



แขนบางกอดลำคอคนตรงหน้าอย่างเด็กหวงของ แค่คิดก็น้ำตาซึม มือใหญ่จึงลูบแผ่นหลังบางปลอบใจนี่แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้จะทำจริงๆ แต่แค่นี้ก็ทำให้ใจน้อยๆ เสียได้แล้ว



"เห็นมั้ย คิดถึงใจคินบ้างสิ"



"...เอมขอโทษ"



"ครับ แต่หลังจากนี้ช่วยระวังตัวเองหน่อยนะ เมื่อกี้คินเห็นแล้วก็โกรธมากเลย" จริงๆ แล้วไม่ได้โกรธมากแต่ก็โกรธล่ะ



ชะเอมดันตัวออกแล้วร้องออเหมือนเพิ่งนึกออก "เอมก็ว่าทำไมคินหน้าบึ้งจัง"



นิ้วยาวจิ้มหน้าผากมนกับคิ้วมุ่นๆ อย่างหมั่นเขี้ยว "ก็คนบื้อแถวๆ นี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยมากกว่า"



"ฮือ...ก็เอมไม่รู้ เอมขอโทษ"



"แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วย" นี่เป็นสิ่งที่ตะขิดตะขวงใจที่สุด



พอได้ยินแล้วแก้มก็แดง นี่เห็นตอนนั้นด้วยเหรอ "...นี่คินยืนอยู่ตรงหน้าร้านนั่นนานแค่ไหนเนี่ย"



"ไม่บอก...ตอบมาได้แล้ว" พอยิ่งคาดคั้นแก้มใสยิ่งแดงทำให้มือใหญ่หยิกแก้มแดงๆ นั่นจนยืดทั้งสองข้าง "ตอบ...มา..."



"อื้อ~ เอ็บ~"



ร่างบางโอดครวญ จนมือใหญ่ยอมปล่อย มือบางยกขึ้นลูบแก้มแดงที่มีรอยหยิกน้ำตาเล็ด



"งือ...ก็พี่เหน่งเขาถามเอมว่าทำไมถึงไม่ทำงานแล้ว" เสียงใสอุบอิบ ดวงตากลมหลุบต่ำไม่กล้าสบ ใบหน้าร้อนผ่าว "อะ เอม...ก็เลย...บอกว่า..."



"..."



ริมฝีปากคมยิ้มกว้าง คว้าคนตัวบางกอดแน่นแนบอก สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจ...หัวใจเต้นรัว ดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



'...บอกว่า...แฟนเอมเขาไม่อยากให้ทำ'



คำตอบสุดท้ายเก็ท...โคตรเก็ทเลย



"คิน...กอดแน่นเกินไปแล้ว เอมเจ็บ"



"โทษที มันดีใจ" แขนยาวคลายออกเล็กน้อย ให้ชะเอมผละออกเล็กน้อย



"แบบนี้แสดงว่าหายโกรธแล้วใช่มั้ย"



"...ยัง"



"แล้วต้องทำยังไง...ถึงจะหายโกรธล่ะ"



พอพูดจบปุ๊บเหมือนชะเอมจะเห็นรอยยิ้มและแววตาเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมทันที



"งั้น...จูบ"



ใบหน้าหวานร้อนผ่าวทันทีที่ได้ยิน มือบางผลักไสและเริ่มดิ้นหนี "ไม่เอา คินเอาเปรียบกันชัดๆ เลยนี่นา"



"เอาเปรียบที่ไหน เวลาจูบก็เห็นเอมรู้สึกดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ"



ร่างบางเขินตัวแดง ราวกับมีควันออกจากใบหูเล็กที่แดงก่ำ



ไม่ปฏิเสธที่คินพูด...ก็มัน...รู้สึกดีจริงๆ นั่นแหละ



"นะ คราวนี้เอมเป็นฝ่ายเริ่ม นะครับ..." เสียงทุ้มอ้อนๆ ก่อนที่ตาจะเบิกกว้าง ลมหายใจสะดุดเมื่อจู่ๆ ริมฝีปากหยักก็ได้สัมผัสนุ่มอุ่นแนบชิดและกลิ่นหอมหวานจากกายบาง ดวงตากลมโตปิดพริ้มทั้งๆ ที่ใบหน้าหวานแดงระเรื่อเขินอายแต่ก็ตอบรับคำขอของเขา



ร่างสูงกำลังเพลิดเพลินกับการละเลียดสิ่งนุ่มละมุน แขนยาวผ่อนคลายร่างในอ้อมกอดเล็กน้อย ทันใดนั้นชะเอมก็ถือโอกาสผุดลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว



ปัง!



"...หะ?" ใบหน้าคมเหวอสุดขีด ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะตั้งสติได้และตะโกนออกมา "เอม!!"



"เอมจะอาบน้ำแล้ว ตัวเหนียว!"



นั่นมันข้ออ้างชัดๆ!



ปังๆ!



คินทุบประตูไม่เบานักทำให้คนที่อยู่ในห้องน้ำกำลังถอดเสื้อสะดุ้งหันขวับมามอง



"เอม ออกมาโดนแน่!" โทษฐานมาหลอกให้เขาเคลิ้มแล้วจากไปแบบนี้



"ไม่เอา ถ้าคินทำอะไรมากกว่านี้เอมจะนอนในห้องน้ำจริงๆ ด้วย"



"ทำมากกว่านี้คือทำอะไร แล้วอีกอย่างเอมยังไม่ได้จูบคินเลยนะ!"



"เอมจูบไปแล้ว!"



"นี่ไม่ได้เรียกว่าจูบซักหน่อย" จูบเด็กๆ แบบที่แค่สัมผัสแบบนั้นน่ะ "ถ้าจูบน่ะต้องใช้ลิ้น..."



"คินคนบ้า! ออกไปเลยนะ!! หื่น! โรคจิต!" เสียงใสด่าดังก้องในห้องน้ำอย่างต่อเนื่อง ไม่เห็นภาพแต่ก็พอจะนึกออกว่าอีกคนคงเขินกับสิ่งที่เขาพูดจนหน้าแดงตัวแดงก่ำ "ถ้ายังไม่หยุดพูดอีกเอมจะไม่ให้นอนด้วยแล้ว!"



เท่านั้นแหละร่างสูงหยุดการกระทำทุกอย่างทันที ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน



ฮึ่ม...ยอมก็ได้!







************************Whose fault? ************************

 

อีคินน่าหมั่นไส้เนอะ เอาแต่จะตักตวงหนูเอม ออกไปไกลๆเลยค่ะ!!! ทีมชะเอมเพียบนะคะแถวนี้

มีคนสงสัยว่าเมื่อไหร่นางคินจะรู้เรื่องเอมเป็นโรคหัวใจ...เดี๋ยวก็มาๆ

มีคนสงสัยว่าเรย์ไปไหน...เดี๋ยวมันก็มา ใกล้แล้วด้วย เขาว่ากันว่าตอนลมสงบนี่แหละน่ากลัวที่สุด

เพราะพายุมันกำลังจะพัดมาแล้ว

ตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายที่จะลงก่อนส่งหนังสือล็อตแรกที่จองเอาไว้ อิ๊วๆ!

ใครอยากอ่านทั้งเรื่องจบในอาทิตย์หน้า ก็รีบมาอุดหนุนหนังสือกันนะค้า ติดต่อที่เพจ H.Rui Novels เลย!



ส่วนอีกเรื่องอยากจะฝาก นั่นครือออ! ...รุยลงทดแทนรัก Introduction ไปแล้วเด้อออ

ใครอยากอ่านคู่ติมราม หรือกำลังรอคอย ไปอ่านได้ในธัญวลัยและอย่าลืมเม้นๆ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะก๊า

ขอบคุณค่าาา></////



หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 30 22/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-01-2019 22:26:52
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 30 22/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-01-2019 23:50:31
หวานกันจริงๆ เรย์มานี่ดราม่าแน่นอน,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 30 22/01/2562
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 23-01-2019 01:44:52
ช่วงของเรย์นี่จะหนักหนาสาหัสมาไหมคะ กลัวใจเหลือเกิน แต่กรี้ดกร้าด ดีใจมีคู่ของติมรามเพิ่ม  จะตามไปอ่านค่า แต่ถ้ามาลงในเล้าด้วยจะดีใจมาก เลยค่า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 31 01/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 01-02-2019 22:28:08


                      Whose Fault ?

                      ผิด...ครั้งที่ 31



โปรดใช้วิจาณญาณในการรับชม



เพจติดตามคนดัง

'คินสุดหล่อ กับ ชะเอมหนุ่มหน้าหวานประกาศตัวปังๆ เป็นแฟนกันแล้วค่า! ไม่พูดเปล่าแต่โอบเอวกันด้วยนะค้า!! แซ่บเวอร์ไม่มีใครเกิน'

<แนบรูป>

'ใครอยากรู้ว่าคู่นี้ยังไงๆ กัน เราไปติดตามกันเลย!'

แอดมิน : เอ่อ ขอโทษนะค้า น้องคิน พี่ขอสัมภาษณ์หน่อยได้มั้ยคะ เป็นแอดมินจากเพจติดตามคนดังน่ะค่ะ (คิน หนุ่มหล่อเดือนคณะวิศวะคนเถื่อนกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับชะเอม หนุ่มน้อยหน้าหวานคนดังคณะอักษรปีเดียวกันที่มองมาทางแอดตาโตเหมือนลูกกวาง พอได้เห็นใกล้ๆ แล้วน่ารักมากเว่อร์สมคำล่ำลือจริงๆ ค่ะ)

คิน : ขอโทษครับ เวลาส่วนตัว

ชะเอม : คะ คิน... (น้องหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย)

แอดมิน : งั้นถ้ารอจนทานข้าวเสร็จแล้วได้มั้ยคะ (แอดมินตะล่อมถาม พอเจอสายตาคมกริบตวัดมองก็แทบมุดโต๊ะหนี)

คิน : ถามชะเอมดูละกันนะครับ ถ้าเขาโอเคผมก็โอเค

แอดมิน : ได้มั้ยคะน้องชะเอม

ชะเอม : คะ คือ... (เหล่มองคิน เหมือนขอคำอนุญาต ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ) ก็ได้ครับ

-รอจนทานข้าวเสร็จ-

คิน : จะสัมภาษณ์เรื่องอะไรครับ (ทั้งสองคนย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกันแล้วให้แอดนั่งตรงข้าม)

แอดมิน : เรื่องทั่วไปนิดหน่อยน่ะค่า ไม่ต้องอึดอัดนะค้า ถ้าเรื่องไหนไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้

คิน : (นิ่งไปแปปนึง) จะสัมภาษณ์ก็ได้ แต่ผมจะให้ชะเอมอยู่ด้วย

ชะเอม : จะดีเหรอ? เอมอยู่แล้วมันจะรบกวนเปล่าๆ ...

คิน : ถ้างั้นผมก็ไม่สัมภาษณ์อะไรทั้งนั้นครับ

แอดมิน : ไม่มี๊~ไม่มีปัญหาเลยค่ะ! (แอบเช็ดเหงื่อ) จริงๆ แล้วก็ถ้าไม่รบกวนเกินไปแอดมินก็อยากจะสัมภาษณ์น้องชะเอมด้วย

ชะเอม : เอ๊ะ...ผมเหรอ? (เจ้าตัวชี้หน้าตัวเองงงๆ ...ทำหน้าน่ารักอีกแล้ว)

แอดมิน : ใช่ค่า

ชะเอม : ก็ได้ครับ ถ้าไม่รังเกียจ (เจ้าตัวว่ายิ้มบางๆ ...ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ) แต่ว่าผมมีเรียนบ่ายสองครึ่ง...

แอดมิน : โอ้ ทันแน่นอน แอดรบกวนแค่แปปเดียวค่ะ...แปปเดียว

แอดมิน : ถ้างั้นแอดขอเริ่มการสัมภาษณ์เลยนะคะ รบกวนทั้งสองคนช่วยแนะนำตัวหน่อยนะคะ ขอเป็นชื่อ สกุล ชื่อเล่น อายุ วันเดือนปีเกิด คณะและเอกที่เรียน งานอดิเรก ส่วนเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้จะพูดอะไรก็ได้ค่ะ เริ่มจากน้องคินก่อนเลย

คิน : ครับ คินครับ ภาคิน อนันต์โภคทรัพย์ อายุยี่สิบเอ็ด เกิดวันที่สามสิงหา เรียนวิศวะโยธาฯ งานอดิเรก...ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ

แอดมิน : ค่ะ ต่อไปน้องชะเอม

ชะเอม : ครับ เอมภัทร อนันต์โภคทรัพย์ ชื่อเล่นชื่อชะเอมนะครับ อายุยี่สิบปี เอ่อ เรียนคณะอักษรเอกภาษาจีนครับ

แอดมิน : วันเกิดล่ะคะ

ชะเอม : อ้อ หนึ่งมกราคมครับ

แอดมิน : มีงานอดิเรกมั้ยคะ

ชะเอม : (อมยิ้ม) ชอบทำอาหารมากๆ ครับ

แอดมิน : ขอบคุณมากค่ะ เอ...ตายจริง! พี่เพิ่งสังเกตว่าเราสองคนนามสกุลเดียวกันเลย (แอบเห็นน้องเขาสะดุ้งหน่อยๆ) อย่าบอกนะคะ...ว่าจดทะเบียนสมรสกันแล้ว!? โอมายก็อด!

ชะเอม : ปะ ปะเปล่านะครับ (หน้าแดงแปร๊ด)

คิน : คำถามนี้ขอไม่ตอบแล้วกันครับ (ยิ้มกรุ้มกริ่ม)

แอดมิน : อ่ะค่ะ แหม อยากรู้ใจจะขาด...จะว่าไปน้องชะเอมเรียนปีเดียวกับน้องคินใช่มั้ยคะ

ชะเอม : คะ ครับ (ยังหน้าแดงอยู่)

แอดมิน : แล้วทำไมอายุเราถึงอ่อนกว่าหนึ่งปีล่ะ

ชะเอม : อ๋อ คือผมเรียนเร็วหนึ่งปีครับ

แอดมิน : โอ้ว ว้าว เป็นคนหัวดีใช่มั้ยคะ

ชะเอม : (ทำตาโตส่ายหน้าหวือ) ไม่หรอกครับ เรื่องธรรมดา สมัยนี้ใครๆ ก็เรียนเร็วกันทั้งนั้น

คิน : เขาเป็นคนเก่งครับ แต่ชอบถ่อมตัว เกรงใจเป็นที่หนึ่ง (มีโมเมนต์ลูบหัว ยิ้มอ่อนโยน อ๊าย)

แอดมิน : แหม ชมกันแบบนี้ คนไม่เกี่ยวข้องยังเขินเลยนะคะเนี่ย...ขอถามนิดนึงได้มั้ยคะ มีหลายๆ คนว่าน้องคินเป็นคนน่ากลัวระดับหนึ่งเลย ทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ แต่พอเห็นอยู่กับน้องชะเอมแบบนี้ดูอบอุ่นอย่างกับคนละคนแน่ะ

คิน : ก็...

ชะเอม : ไม่เลยครับ คินเป็นคนเก่ง ใจดีแล้วก็อ่อนโยนมาก ส่วนเรื่องที่ผู้หญิงไม่กล้าเข้าใกล้น่ะผมขอยืนยันว่าไม่จริงเลยสักนิด เพราะคินเขาฮอตมากเลยนะครับ

แอดมิน : โอ้...

คิน : (หัวเราะในลำคอ เจ้าเล่ห์มาก) หึงเหรอ

ชะเอม : ...ไม่ใช่สักหน่อยครับ (พูดอุบอิบทั้งหน้าแดง)

แอดมิน : จริงๆ แล้วแอดว่าน้องคินน่าจะใจดีกับแค่น้องชะเอมนะคะ

คิน : คนเราก็ต้องมีคนพิเศษ ปฏิบัติแบบพิเศษๆ กันทั้งนั้นแหละครับ (สายตาอบอุ่นหันมองไปที่น้องเอมที่ตัวแดงเป็นกุ้งไปแล้ว)

แอดมิน : เอาล่ะค่ะ อย่าเพิ่งจีบกันตอนนี้นะคะ เพราะแอดจะเขินแทนน้องชะเอมแล้ว...อะแฮ่ม! ต่อไปเป็นคำถามจริงจังแล้วนะคะ ได้ข่าวว่าคินเพิ่งจะคบกับน้องเรย์มาไม่ใช่เหรอคะ อันนี้แฟนคลับแอบกระซิบถามมา (แอดรู้สึกผิดสุดเพราะตอนนั้นเห็นน้องชะเอมทำหน้าเศร้ามาก)

คิน : ผม...ใช่ครับ เป็นความจริง แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว เราเลิกกันแล้วครับ (น้องคินกุมมือน้องเอมใต้โต๊ะแต่แอดเห็นนะ)

แอดมิน : แต่ยังเห็นน้องเรย์บอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนกับน้องคินอยู่เลยนะคะ

แอดมิน : หรือว่าน้องคินเลิกกับอีกฝ่ายฝ่ายเดียวรึเปล่าคะ แต่น้องเรย์ไม่รู้เรื่อง

คิน : ไม่ครับ ผมบอกต่อหน้าเขาเลย แต่...ดูเรย์ก็เหมือนจะไม่ยอม

คิน : จริงๆ แล้ว ผมผิดเองที่รับปากคบกับเขาทั้งๆ ที่ไม่เคยชอบเขาเลย...ผมทำร้ายความรู้สึกดีๆ ของเขา พอนานเข้าอะไรๆ มันแย่ลงด้วย ผมเลยขอเลิกครับ

แอดมิน : ค่ะ แล้วทำไมถึงเลิกกันคะ พอจะบอกได้ไหม

คิน : อย่างที่บอกคือนิสัยเราเข้ากันไม่ค่อยได้ พอคุยกันนานเข้าก็มีแต่ปากเสียงกัน ผมเลยคิดว่าเราน่าจะเหมาะจะเป็นเพื่อนกันมากกว่า แล้วตอนนั้นผมก็มารู้ตัวว่าชอบเอมเข้าแล้ว (มองด้วยสายตาอบอุ่นอีกแล้ว ใจแอดจะละลาย)

แอดมิน : แหม โอเคค่ะ ขอบคุณมากนะคะ งั้นคำถามต่อไป เป็นเรื่องของน้องชะเอมก่อน ...น้องชะเอมคะ

ชะเอม : คะครับ (น้องทำตาโตตื่นๆ)

แอดมิน : ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ แอดไม่กัดค่ะ

ชะเอม : (เกาแก้มยิ้มเขินๆ) ขอโทษครับ คือผมเพิ่งเคยโดนสัมภาษณ์อะไรแบบนี้ ก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อยก็ผมไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนคินเขา

แอดมิน : อุ๊ยตาย (อุทานหนักมาก) นี่น้องชะเอมไม่รู้เหรอคะว่าตัวเองฮอตพอๆ กับน้องคินนั่นแหละค่า

ชะเอม : เอ๊ะ...เอ่อ อันที่จริงเหมือนผมก็เคยได้ยินประมาณนี้เหมือนกัน แต่ไม่จริงหรอกครับ (เจ้าตัวโบกไม้โบกมือ)...ใช่มั้ยคิน

คิน : ไม่รู้สิ (ยิ้มบาง)

ชะเอม : เห็นมั้ยครับ ขนาดคินยังไม่รู้เลย แสดงว่าผมไม่น่าจะฮอตแบบที่เขาว่ากันหรอก (พยักหน้ายืนยันสีหน้าจริงจังมาก)

แอดมิน : อ่ะค่ะ (แอดไม่อยากเถียงคนซื่อ) ถ้างั้นเริ่มคำถามกันเลยนะคะ...น้องเอมมาคบกันน้องคินได้ยังไงคะ

ชะเอม : คะ คือ...เริ่มยังไงดี เรื่องมันยาวมากเลยครับ (ขมวดคิ้วลำบากใจ)

แอดมิน : เอาสั้นๆ ก็พอค่ะ

ชะเอม : ครับ จริงๆ แล้วเอมเป็นคนชอบคินก่อน (พูดเสียงเบ๊าเบา แถมแก้มแดงอีกแล้ว...น่ารักอะ) แล้วก็ขอโอกาสอยู่ใกล้ๆ เขาครับ

แอดมิน : ยังไงคะ

ชะเอม : ก็ผมขอให้เขามากินข้าวด้วยกันทุกอาทิตย์ครับ

แอดมิน : แค่อาทิตย์ละครั้งเองเหรอคะ

ชะเอม : แค่นั้นผมก็ดีใจแล้วครับ ตอนแรกนึกว่าคินจะไม่อนุญาตด้วยซ้ำ

คิน : ก่อนหน้านี้ผมทะเลาะกับเอมเพราะเข้าใจผิดกัน ก็เลยคุยกันค่อนข้างลำบาก แต่ชะเอมก็ดีกับผมมาตลอด และความรู้สึกของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน

แอดมิน : อูว ฟังแล้วซับซ้อนซ่อนเงื่อนนะคะ

ชะเอม : ครับ แล้วก็จนมีวันหนึ่งผมไม่สบายเขาก็ตามมาดูแลจนหาย แล้วเราก็คุยกันดีขึ้น แล้วก็...(หน้าแดงแปร๊ด แอดพอจะรู้ว่าเพราะอะไร)

แอดมิน : หลังจากนั้นก็เป็นแฟนกันสินะคะ (ซึ่งเจ้าตัวพยักหน้าก่อนก้มงุดๆ ดูเขินมากเว่อ)

แอดมิน : ใครเป็นคนขอใครเป็นแฟนคะ

คิน : ผมเองครับ (ยิ้มละมุน) ก็เขาจีบมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องหลงรักสิครับ

แอดมิน : เบานิดนึงก็ได้ค่ะ ดูน้องชะเอมสิตัวแดงเป็นกุ้งแล้ว

แอดมิน : ดูไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าน้องเอมเป็นคนเริ่มจีบก่อนแบบนี้ ผิดคาดมากค่ะ

คิน : เขาเป็นคนที่ความรู้สึกมั่นคงมาก แล้วก็เป็นคนอ่อนโยน ใจดี สุดท้ายคนไปไหนไม่รอดดูเหมือนจะเป็นผมเอง...ทุกวันนี้ก็หวงเขามาก อยากจะอยู่ด้วยตลอดเวลาเลย (คือน้องชะเอมจะละลายกับคำพูดของน้องคินแล้วค่ะ)

แอดมิน : ดูเหมือนคนที่จะหนีไปไหนไม่รอดไม่ใช่แค่คินนะคะ น้องชะเอมก็ด้วย

คิน : (ก้มมองนาฬิกาข้อมือ) เอม ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้วนะ

ชะเอม : อ๊ะ จริงด้วย

แอดมิน : เดี๊ยวววค่ะ ขออีกคำถาม คำถามสุดท้ายแล้ว

แอดมิน : ทั้งสองคน... (ยื่นหน้าไปใกล้ๆ และกระซิบเบาๆ) เคยจูบกันรึยังคะ

คิน : (สิ้นคำถามก็หัวเราะเบาๆ กับคนข้างๆ ที่ตัวแดงเป็นกุ้งก้มหน้างุดไปแล้ว) ขอไม่ตอบดีกว่าครับคำถามนี้

แอดมิน : อ้าว คำถามนี้มีคนรอเยอะมากเลยนะคะ จะไม่ตอบจริงๆ เหรอ

คิน : ไม่ครับ เพราะเดี๋ยวเอมเขาจะเขิน แล้วเวลาเขินเขาจะไม่ให้ผม...อีก (น้องคินไม่ได้พูดแต่ทำปากเป็นคำว่าจูบ)

ชะเอม : คิน!

คิน : เห็นมั้ยครับ

ชะเอม : นิสัยไม่ดี เอมไม่คุยด้วยแล้ว ไปเรียนดีกว่า (คนขี้เขินอันดับหนึ่งคว้ากระเป๋าวิ่งแผล็วไปอย่างเร็วแต่ไม่ลืมหันมาบอกลาแอดด้วย...มารยาทดี๊ดี)

แอดมิน : ไปซะแล้ว... น้องเอมไม่อยู่แล้ว ตอบได้มั้ยคะคำถามเมื่อกี้

คิน : (หัวเราะ) ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากโดนเขาไล่ออกจากห้อง

แอดมิน : อุ๊ยตาย (พูดแบบนี้แสดงว่าเขาอยู่กินด้วยกัน...นอนด้วยกันแหงๆ!) นอนห้องเดียวกันหรือคะ

คิน : ไหนบอกว่าคำถามสุดท้ายไงครับ

แอดมิน : (อยากจะกรีดร้อง และตบปากตัวเองรัวๆ สิบรอบ) โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ต้องขอขอบคุณน้องคินมากๆ เลยนะคะที่ให้ทางเพจติดตามคนดังมาสัมภาษณ์ ไม่ทราบว่าอนุญาตให้เราลงบทสัมภาษณ์นี้ให้สาธารณชนได้อ่านกันได้รึเปล่าคะ

คิน : ได้ครับ

แอดมิน : ตอนแรกแอดนึกว่าน้องคินจะไม่ให้ เพราะดูโลกส่วนตัวสู๊งสูงไม่เหมือนน้องเอม

คิน : ตอนแรกก็ว่าจะไม่ครับ แต่ผมคิดอีกทีลงไปคนอื่นๆ จะได้รู้ว่าชะเอมเขาเป็นแฟนผมแล้ว...เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมดีครับ (รอยยิ้มเจ้าเล่ห์สุด)

แอดมิน : (อื้อหือ อยากจะกรี๊ดดังๆ กับความหวงแฟน) แล้วมีส่วนตรงไหนของบทสนทนาที่ไม่อยากให้เอาลงมั้ยคะ บอกมาได้เลยค่ะ

คิน : (ทำท่านึก) ไม่เป็นไรครับ

แอดมิน : ต้องขอขอบคุณมากกกเลยค่ะ ฝากขอบคุณน้องชะเอมด้วยนะคะ ถ้าคราวหน้าขอมาสัมภาษณ์อีกคงได้นะคะ

คิน : แต่ต้องพร้อมกับชะเอมนะ

แอดมิน : มมปห ไม่มีปัญหาค่ะ! น้องชะเอมก็น่ารักน่าชัง แอดก็อยากคุยค่ะ รู้สึกชอบมาก

คิน : (หัวเราะ) งั้นก็ยินดีครับ...ส่วนคำถามสุดท้ายเมื่อกี้ก็ไว้โอกาสหน้าละกันนะครับ

แอดมิน : (กรี๊ด) ถ้ายอดวิวดี ก็คงเร็วๆ นี้แหละค่ะ

'เอาล่ะค่ะ นี่คือบทสัมภาษณ์ทั้งหมดที่แอดไปคุยมา บอกตามตรงนะคะว่าเริ่ดดดมากจริงๆ! คือแบบงานดีทั้งคู่ น้องคินกับน้องชะเอมนั้นเป็นคู่ที่เข้ากันอย่างประหลาด แถมเขามีความละมุน เป็นห่วงเป็นใยให้กันตลอดเวลา (น่ารักมากจริงๆ) บอกตามตรงว่าข่าวที่เคยลือๆ กันว่าน้องชะเอมร้ายนี่แอดบอกเลยว่าไม่จริงแน่นอน! เถียงสุดฝ่าเท้าเลย! ได้คุยครั้งนึงแล้วจะเข้าใจจริงๆ ...ลองเข้ามาคุยได้นะคะน้องใจดี(และซื่อมากจนน่าเอ็นดู) ส่วนใครยังคิดจะจีบน้องคินอยู่บอกเลยว่าหมดสิทธิ์แล้วเพราะใจน้องอยู่ที่แฟนหมดแล้ว กิ๊วกิ๊ววว! ถึงแอดจะแอบเสียดายผู้ชายที่ลดลงไปอีกสองคนแต่ถึงขนาดนี้แล้วเขาคงเกิดมาคู่กันจริงๆ เพราะงั้นก็ปล่อยพวกเขาไปเท้อะ

ทุกๆ คนมาอวยพรให้พวกเขาสองคนครองรักกันไปนานๆ เลยนะคะ!

ปล.ใครชอบกดไลค์กดแชร์ ติดตามคู่นี้ได้ในบทสัมภาษณ์ครั้งหน้า รับรองแซ่บ! กว่าเดิมชัวร์ป้าบ

<แนบรูป>'





************************Whose fault? ************************





"โธ่เว้ย!!!"

ปัง! โครม! เพล้ง!

โทรศัพท์มือถือราคาแพงที่เคยดูดี บัดนี้หน้าจอแตกร้าวอยู่บนพื้นไม้สัก ชิ้นส่วนบางชิ้นกระเด็นออกมาตามแรงอารมณ์ที่ปาลงไป ยืนยันได้เลยว่าไม่มีสิทธิ์จะกลับมาใช้ได้อีก แต่ของแค่นั้นจะซื้ออีกกี่สิบเครื่องก็ทำได้ ถ้าเป็นครอบครัวโรจน์ศักดินาแล้วล่ะก็ ถึงจะร้อยหรือพันเครื่องขนหน้าแข้งไม่ร่วงแม้แต่นิด

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

"ไอ้---เอ๊ย!" สัตว์เดรัจฉานหลุดออกจากปาก เมื่อคนพูดอยู่ในอารมณ์โมโหอย่างหาที่ระบายออกไม่ได้จึงทำลายข้าวของและด่าออกมาแทน แต่มันก็ไม่สามารถดับอารมณ์นี้ได้เลย

โมโห...โมโห...โมโห!!!

ร่างเล็กกวาดของที่อยู่บนโต๊ะ เอกสาร หนังสือ ชีทต่างๆ รวมถึงโคมไฟตั้งโต๊ะตกลงมาแตกกระจายเละเทะ ขาตวัดเตะถังขยะจนกระเด็นปลิวไปกระแทกประตูไม้สักอย่างแรง

ปึง!

"เป็นอะไรรึเปล่าคะคุณเรย์!" เสียงตะโกนของสาวใช้ดังเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินความผิดปกติจากห้องของเจ้านาย

"ไสหัวไป ไม่ต้องมายุ่ง!" เจ้าของชื่อตะคอกตาแดงก่ำด้วยความคลั่งแค้น มือเล็กกำแน่นจนสั่นเล็บแหลมจิกเข้าไปในเนื้อ ยิ่งนึกถึงสิ่งที่เห็นในโทรศัพท์แล้ว มันยิ่ง...

เรย์สูดลมหายใจเข้าออกแรง พลันสายตากระทบกับชีทปึกหนึ่ง มันคือเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลประวัติของคนๆ หนึ่งที่จ้างนักสืบหามาให้

...เอมภัทร อนันต์โภคทรัพย์...

ไอ้คนที่มันไม่มีอะไรเลยมาตั้งแต่แรก...เป็นแค่คนไร้พ่อไร้แม่ ไม่มีใครสั่งสอน อยู่ๆ ก็กลายเป็นหนูตกถังข้าวสารเพราะพ่อของภาคินเก็บมาเลี้ยง กลายเป็นลูกบุญธรรมของมหาเศรษฐีหลายพันล้าน...ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเป็นของมัน!

ทั้งเงิน!

ทั้งคิน!

คู่สร้างคู่สมเหรอ...

เหมาะสมเหรอ...

"คินเป็นของกู!!!"

แควก!

"กาฝากจนๆ อย่างมึงจะมาเหมาะสมกว่ากูได้ยังไง!? ห๊า ตอบมา!!"

มือฉีกทึ้งกระดาษที่มีรูปหน้าของชะเอมจนขาดวิ่น  ยังไม่พอขยำจนมันเป็นก้อนยับยู่ยี่ราวกับกระดาษแผ่นนั้นคือใบหน้าของเจ้าตัวจริงๆ ก่อนจะปามันลงพื้นและ...เหยียบ...ขยี้

'สุดท้ายคนไปไหนไม่รอดดูเหมือนจะเป็นผมเอง...ทุกวันนี้ก็หวงเขามาก อยากจะอยู่ด้วยตลอดเวลาเลย'

"มึงนี่มันดีแต่เอาของๆ คนอื่นจริงๆ เลยนะ...ไอ้แมวขโมย"

ปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...ต้องทำให้มันรู้สำนึก...ว่าการมาทำให้กูเสียหน้าต้องเจออะไรบ้าง

เสียงในห้องเงียบไปแล้ว และร่างอวบอ้วนของสาวใช้ก็ยืนลังเลไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อไป เธออยู่บ้านนี้มาเกือบห้าปีเพิ่งเคยเห็นอารมณ์เกรี้ยวกราดขนาดนี้ของคุณเรย์เป็นครั้งแรก

"อ้อย...ยืนทำอะไรอยู่"

เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงจากข้างหลัง เธอตวัดกลับหลังหันอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าซีดเผือด

"คะ คุณริน...คืออ้อย...ได้ยินเสียงในห้องคุณเรย์ก็เลยจะเข้ามาถาม...แต่..."

"โดนตะคอกกลับมาสินะ" รินมองสาวใช้อายุมากกว่าเล็กน้อยที่อยู่มานานสักพักแล้วจึงเข้าใจ ความลำบากใจที่ไม่กล้าเอ่ย "ช่างเถอะ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เธอไปทำงานของเธอเถอะ"

"จะดีหรือคะ"

"อืม"

"งั้นอ้อยขอตัวค่ะ..."

หลังจากสาวใช้เดินลงบันไดไปชั้นล่าง รินก็หันกลับมามองที่หน้าประตูของห้องพี่ชาย รู้ดีว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นเพราะเสียงโครมครามมันดังลั่น แม้จะเก็บเสียงได้บ้างแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครได้ยิน

โชคดีที่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยู่เพราะไปออกงานสังคม...ไม่งั้นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแบบนี้คงโดนลงโทษอย่างหนักแน่ เพราะด้วยความเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่แบกรับนามสกุลที่มีชื่อเสียงนี้

สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายโมโหจนหลุดมาดแบบนี้คือบทสัมภาษณ์ที่ลงเว็บเพจชื่อดังที่คนติดตามเป็นจำนวนกว่าล้านคน แน่นอนรินก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะสาเป็นคนชวนให้ลง เพจติดตามคนดังมีแต่ข่าวในมหาวิทยาลัยชื่อดังเกี่ยวกับคนดังๆ หน้าตาดี โดยเฉพาะพวกเดือนดาวคณะทั้งหลาย และคนที่ถูกโหวตว่าฮอตฮิตเป็นที่นิยมโดยคนส่วนใหญ่

บทสัมภาษณ์ที่ว่าคืออะไร มันคือบทสัมภาษณ์ที่ลงไปเมื่อวันก่อน และเป็นใครไปไม่ได้ก็พี่คินกับพี่ชะเอมนั่นแหละ ถึงจะไม่รู้ว่าไปสัมภาษณ์ตอนไหนยังไง แต่ทั้งสองคนก็ดังเพียงข้ามคืน เพราะเป็นที่รู้จักอยู่แล้วด้วย และเนื้อความในบทสัมภาษณ์ก็เกี่ยวกับเรื่องคบหาดูใจกันด้วย พี่เรย์ที่เห็นดังนั้นก็ไม่แปลกที่จะอาละวาดหนักขนาดนี้

หญิงสาวนึกแล้วยิ้มนิดๆ เพราะเธอคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะกลายเป็นแบบนี้...เธอเป็นหนึ่งคนที่อวยพรให้พี่ทั้งสองคนเป็นไปได้ด้วยดี แม้เธอจะเป็นน้องสาวของพี่เรย์ก็เถอะ

อาจเป็นเพราะว่า...ใบหน้าของรุ่นพี่คนนั้นในรูปภาพช่างดูมีความสุขมาก จนอดยิ้มตามไม่ได้

'ยินดีด้วยนะคะ พี่ชะเอม...ขอให้พี่มีความสุขแบบนี้ตลอดไป อย่าให้ 'ใคร' ...มาทำให้รอยยิ้มสวยงามแบบนี้เลือนหายไปเลย'

เพจติดตามคนดัง

201k comments

Choppery : อ๊ายยย!! พี่คินกับพี่ชะเอม เขา-คบ-กัน-ละละแล้ววว! ไม่ผิดจากที่คาด เห็นรางๆ ตั้งแต่ที่ค่ายละ เชียร์ค่า!

ปลาฉลามขึ้นบก : แกรรร คนนี้ไงพี่คินอะ หล่อโฮกกก @ห่อหมก

จะน่ารักต้องให้สุด : กรี๊ดกร๊าด แอดมินเพจเก่งมากอะ อุตส่าห์ไปสัมภาษณ์คินเดือนวิดวะมาได้ เข้าใจความยากลำบาก #อิจฉาแฟนคิน

HokkiNs : ที่ไหนยะ นางชะนีทั้งหลาย คนที่น่าอิจฉาคือคินต่างหากที่ได้นางฟ้าของเอกเราไปครอบครองแบบนี้ น้องชะเอมยังไงก็น่ารักที่สุดค่ะ!!

ตามตมดิน : ทำไมผู้หญิงต้องชอบสัมภาษณ์คนหล่อด้วยฟะ ไม่มาสัมภาษณ์ตูบ้างล่ะ!?

Oilil : พี่ชะเอมนิสัยน่ารักอย่างที่ว่าจริงๆ ค่ะ ออยเคยคุยด้วย...สุภาพมากๆ แถมอ่อนโยนกับผู้หญิงทุกคน ขนาดออยยังหลงรักเลย >< พี่คินก็ต้องหลงมากแน่ๆ #อิจฉาแฟนพี่ชะเอม

ยามานาง : @ตามตมดิน ไอ้ตม มึงจบไปเป็นชาติแล้วก็อย่าสาระแนเด็กๆ สิวะ #รุ่นทวดของทวด

ช้างเผือกงาดำ : ก็มันอิจฉาคนหน้าตาดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แถมตอนนี้ก็ยังโสดอยู่ไม่แปลกหรอกว่ะ @ยามานาง @ตามตมดิน #รุ่นทวดของทวด

ตามตมดิน : พวกมึงอุตส่าห์ตามมาทับถมกรูว ขอขอบพระคุณเพื่อนรักทั้งหลาย...ไอ้พวกเลวเอ๊ย! @ยามานาง @ช้างเผือกงาดำ ว่าแต่น้องชะเอมน่ารักจัง...

ยามานาง : หญิงไม่จีบเลยจะเบี่ยงเบนไปชอบชายแทนสิ น่าเศร้า

ช้างเผือกงาดำ : มึงไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเล็บของไอ้น้องคินสุดหล่อหรอกเว้ย

Rasa : ยินดีด้วยนะคะ พี่ชะเอม ขอให้มีความสุขมากๆ ค่ะ

...และบลาๆๆ


>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 31 01/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 01-02-2019 22:28:37


>>>>>>>>>>>>>>>>จากด้านบน




"โอ้โห อะไรมันจะขนาดนี้วะ มึงดูดิว่ายอดวิวพุ่งพรวดๆ จะสองล้านอยู่แล้ว...ดังยิ่งกว่าดารา"

"ไหนใครวะ คิน...ชะเอม...เฮ้ย คนนี้กูเคยเดินผ่านเจอแถวๆ หน้ามอ งานดีอย่างที่ว่า ตัวบางผิวขาวเนียนกริ๊บยิ่งกว่าผู้หญิงบางคน"

"ขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

"เอ้อ! ไม่ได้โม้"

"ชักอยากเห็นตัวจริงแล้วดิ"

"เขาก็ไม่ใช่นินจาที่ไหน เรียนอยู่อักษร ไปนั่งรอเดี๋ยวก็เห็นเดินผ่านไปผ่านมาเองแหละ"

"ดูๆ ไม่ใช่แค่ยอดวิวนะ ยอดคอมเมนต์นี่มันอะไรกันวะ อื้อหือ เด้งเอาๆ ตามอ่านแทบไม่ทัน"

เสียงจอแจจากในโซเชียลก็ยังดังกระหึ่มมาถึงข้างนอก แทบจะเรียกได้ว่านักศึกษาทุกคนกำลังคุยกันเรื่องหัวข้อนี้อยู่ เพราะว่านานมากแล้วที่กว่าจะได้สัมภาษณ์จากคิน เดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์เมื่อสองปีก่อน แถมยังพ่วงมาด้วยชะเอมหนุ่มหน้าหวานยิ้มโลกสดใสที่ทั้งหญิงทั้งชายหมายปอง จนเรียกได้ว่าเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปแล้ว

"ทำไงดีเนี่ย..." เสียงใสเอ่ยอย่างลำบากใจอยู่หลังเสาต้นหนึ่งอยู่ใต้ตึกชั้นล่างของอาคารเรียนที่เจ้าตัวกำลังจะไปกินข้าวกลางวัน แขนบางโอบกอดหนังสือเล่มใหญ่รวมทั้งกระดาษปึกหนึ่งแนบอก คิ้วบางขมวดมุ่น

ไม่น่าเชื่อว่าแค่บทสัมภาษณ์ในโซเชียลของไม่กี่วันก่อนจะทำให้คนฮือฮากันขนาดนี้ ร่างผอมบางที่ไม่เคยมีใครสนใจกลายเป็นคนดังที่ใครๆ ก็อยากรู้จักภายในข้ามคืน

จริงๆ แล้วชะเอมก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เพราะว่าทุกคนที่เข้ามาก็แค่อยากมาคุยเฉยๆ บางคนอาจจะมาถ่ายรูปหรืออะไรก็แล้วแต่...แต่ว่าคินน่ะสิ...

"อ๊ะ!" ชะเอมร้องอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ โดนกระชากตัวปลิวให้มาหลบหลังกำแพงอีกด้านหนึ่ง

"ชู่--" เสียงทุ้มจุ๊ปากในระยะประชิด ดวงตากลมใสสีดำเพิ่งโฟกัสเห็นชัดๆ ว่าคือใคร แพขนตายาวกระพริบปริบๆ

"คิน"

"อย่าเพิ่งพูดอะไร" ใบหน้าคมเข้ามาใกล้อีกจนจมูกจะโดนแก้มใสอยู่แล้ว ลมหายใจร้อนที่เป่ารดทำให้ร่างบางหน้าแดงเรื่อ

"มาทำอะไรน่ะ เอมบอกให้รออยู่ในรถไงครับ" ร่างบางป้องปากพูดเสียงเบากลับไปพลางมองรอบข้าง

"ก็เอมไม่มาสักที"

"เอมกำลังเดินไป"

"ก็คินรอนานแล้ว มา คินช่วย" มือใหญ่รับของไปถือด้วยมือๆ เดียวทั้งๆ ที่ชะเอมต้องโอบด้วยแขนสองข้างแท้ๆ ...ส่วนมือใหญ่อีกข้างคว้าจับมือบางจูงเดินไปด้วยกัน

"ดูสิ ตอนนี้มึงกลายเป็นคนดังไปแล้ว"

"กูไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย" เสียงทุ้มตอบยานเอือมระอา

"ไม่ได้ตั้งใจยังไงยะ สัมภาษณ์แบบนั้น มันก็ต้องเรียกคนให้เข้ามาอยู่แล้วล่ะย่ะ!" หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวกระแทกเสียงใส่อย่างหมั่นไส้

ร่างบางหันมองซ้าย มองขวา ขมวดคิ้วกังวลใจ "คือว่า..."

"นายหยุดเลยเอม คิดจะแก้ตัวให้หมอนี่อีกแล้วล่ะสิ"

"เปล่านะครับ" ร่างบางส่ายหน้าหวือ กระซิบบอกเสียงเบา "คุณทรายเบาเสียงหน่อยเถอะนะครับ คนมองกันเต็มแล้ว"

เม็ดทรายเลิกคิ้วมองชะเอมที่คิดว่าเธอเสียงดังคนในร้านอาหารเลยมอง...ไม่รู้อะไรซะเล้ย "...ที่เขามองนั่นเป็นเพราะนายกับคินต่างหากล่ะยะ"

ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะฉายความกังวล ยู่ปากน้อยๆ เอ่ยถามคนข้างๆ "คิน..."

"เห็นมั้ย มึงทำให้เอมกังวลแล้ว นิสัยไม่ดีเลย" ตาลว่า มองชะเอมอย่างเห็นใจ

จริงๆ แล้วคินก็คิดเหมือนกันว่ามันชักจะวุ่นวาย สิ่งที่คาดคิดไว้ว่าจะประกาศเพื่อไม่ให้มีใครมายุ่งกับร่างบาง แต่ตอนนี้ผิดคาดอย่างแรงเพราะมีแต่คนอยากจะเข้าหา อยากคุยบ้าง ถ่ายรูปบ้าง หรืออาจจะอยากมาเห็นหน้าค่าตาว่าชะเอมน่ารักอย่างที่แอดมินเพจว่าไว้หรือเปล่า

กับตัวเขาที่โดนมองมากเท่าไหร่ก็ไม่สะทกสะท้านหรอก แต่กับชะเอมคงจะไม่ชิน

บอกตามตรงว่าหวง...หวงมาก

"เอมไม่ชอบใช่มั้ย เดี๋ยวคินไปบอกคนที่มาสัมภาษณ์ให้ลบโพสต์ให้"

"ไม่เป็นไร...เอมแค่...ไม่ค่อยชิน คินต่างหากที่ดูเหมือนไม่ค่อยชอบมากกว่าเอมอีก" คินได้ยินแล้วเลิกคิ้วงงๆ

"เอม" เอกเรียกให้เจ้าของชื่อหันไปมองเห็นกลั้นขำก่อนจะหลุดหัวเราะ "เราว่าที่คินมันไม่ได้ไม่ชอบคนมองเยอะๆ หรอก...ไอ้ที่ไม่ชอบน่ะเพราะมีคนมาเกาะแกะเอมมากกว่านะ"

ชะเอมกระพริบตาปริบเหมือนกำลังคิดก่อนหน้าแดงระเรื่อ...เข้าใจแล้ว

สายตาคนบนโต๊ะมองร่างบางเพื่อนใหม่ที่คินเพิ่งพามาแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ ก็เป็นคนที่ใสซื่อจนน่าเอ็นดูระคนกังวลอย่างที่คิด เพราะงั้นเรย์จึงคิดจะทำอะไรก็ได้โดยคิดว่าเอมไม่มีทางโต้ตอบได้งั้นสิ

แต่สุดท้ายแล้วเรย์ก็แพ้ความดีและซื่อตรงของชะเอมล่ะนะ...แค่ยังไม่ถูกตีแผ่การกระทำชั่วๆ ที่ทำเอาไว้ให้คนได้รับรู้ว่าตัวตนที่เคยเสแสร้งแสดงออกมาจริงๆ แล้วเป็นยังไง

"เน่ๆ เอมทำอาหารอร่อยมากเลย ที่ค่ายอะ" ตาลพูดขึ้นมา

"เหรอ ขอบใจนะ" ชะเอมยิ้มรับคำชม ถึงจะได้ยินบ่อยแต่ก็อดดีใจไม่ได้

"แล้วทำขนมได้เปล่าอะ" ร่างโปร่งทำหน้าลุ้น

"ที่ถามเพราะอยากกินฟรีน่ะสิ" เอกพูดกับคนที่บ้าของหวานเข้าเส้นเลือด

"รู้ได้ไงเนี่ย" ตาลขมวดคิ้วสงสัย และหันไปถามเอม "ตกลงทำขนมได้ปะ อะไรก็ได้"

ชะเอมยิ้มแหยอย่างลำบากใจ เพราะอีกฝ่ายทำตาเหมือนมีความหวัง ไม่กล้าปฏิเสธแต่ก็ไม่อยากโกหก"ทำไม่เป็นน่ะ เราไม่เคยทำเลย ขอโทษนะตาล"

แต่ผิดคาด อีกฝ่ายทำหูกระดิก "ไม่เคยทำไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้นี่ ลองทำดูสิๆๆ จะได้ทำเป็น"

"เอ่อ..."

"ตาลมึงไปซื้อกินเองดิ ปกติก็ทำอย่างนั้นนี่" คินบอก เพราะไม่อยากให้มายุ่งกับเอมมากนัก

"มึงมันเห็นแก่ตัว คิน! กินกับข้าวที่เอมทำทุกวัน! กูก็อยากกินมั่งนะ...ถ้าได้ขนมด้วยจะดีมากเลยง่ะ นะเอมนะ" ด่าเพื่อนเสร็จก็หันมาอ้อนวอนเอมต่อ

"ได้สิ...เดี๋ยวจะลองทำดูนะ" ชะเอมอมยิ้ม ได้ลองทำขนมดูบ้างหน่อยจะเป็นอะไรไป จะได้ทำขนมเป็นด้วย "ตาลชอบกินอะไรล่ะ"

"ก็...มัฟฟิน แพนเค้ก พาร์เฟต์ วาฟเฟิล โทสต์ ชูครีม เครปเค้ก ไอติม บิงซู น้ำปั่นช็อกโกแลตก็ได้นะแล้วก็ยังมี...โอ๊ย! ทำไรเนี่ย!" ตาลจับหัวที่ถูกโบกอย่างแรงโดยมือใหญ่ของเอก ส่วนชะเอมเหงื่อตกกับรายชื่อขนมที่ร่างโปร่งร่ายมา...นั่นชอบกินหมดเลยเหรอ ถ้ากินหมดนั่นแล้วทำไมไม่อ้วนเลยเนี่ย?

"หัดเกรงใจซะบ้าง"

"...ฮื่อ..." ตาลทำเสียงหงอยที่เอกทำเสียงเหมือนดุใส่...ปกติกินอะไรเท่าไหร่เอกก็ไม่ค่อยห้าม แต่พอเจอแบบนี้ ก็รู้สึกใจเสียหน่อยๆ เหมือนกัน

"ไม่เป็นไรหรอกเอก เดี๋ยวเราทำให้ๆ แต่ทีละอย่างนะ เราทำครั้งแรกน่ะ" พูดขนาดนี่แต่ก็ยังทำให้คนหงอยร่าเริงไม่ได้ เสียงใสจึงเอ่ยต่อ "แต่เราต้องหาคนชิมเสียด้วยสิ คินก็ไม่ชอบกินของหวาน แถมเราคงกินคนเดียวไม่ไหว...ตาลช่วยเราหน่อยได้มั้ย"

"..." ตาลเหลือบมองเอกที่นิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม แถมยิ้มกว้างเห็นเขี้ยวน้อยๆ น่ารักดี "ได้สิ! ถ้าของหวานล่ะก็เราได้ไม่อั้นอยู่แล้ว"

ชะเอมหัวเราะขำ "อื้ม"

"วันก่อนไปไหนมาอะทราย" คินถามหญิงสาวที่นั่งกินขนมที่เพิ่งสั่งเงียบๆ "เห็นลงรูป"

"เที่ยวกับ..."

"แฟน"

"ครอบครัวย่ะ" เม็ดทรายแยกเขี้ยวแหวใส่ ทำให้คนบนโต๊ะหัวเราะครืน "นายนี่เอะอะๆ อะไรก็แซวตลอดมีแฟนแล้วก็ไม่ต้องมาอิจฉาแล้วก็ได้มั้ง"

คินหัวเราะเบาๆ กับคำพูดนั้น

"โอเค แล้วไปเที่ยวไหนกับครอบครัวมาล่ะ" เสียงทุ้มถามความเป็นไปของเพื่อน เพราะปกติไม่ค่อยได้เจอกันอยู่แล้ว แม้จะกลุ่มเดียวกันแต่เธอติดแฟนยิ่งกว่าอะไร...แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอติดแฟนหรือแฟนติดเธอ

"ก็ไปอังกฤษมา อากาศดีมาก แต่ของแพงไปหน่อย"  เม็ดทรายพูดเสียงเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ก็เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ เพราะครอบครัวเธอไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ แต่คนไม่เข้าใจมาได้ยินอาจจะหมั่นไส้ได้เพราะเหมือนอวดตัวว่ารวย แต่ชะเอมรู้สึกว่าน่าทึ่ง...ไปเที่ยวต่างประเทศ อย่าว่าแต่จะต่างประเทศเลย แค่ต่างจังหวัดในประเทศก็ยังไม่เคยไปด้วยซ้ำ

"พูดถึงเที่ยว เราไปเที่ยวกันบ้างดีมั้ย ต่างจังหวัดหรือที่ไหนก็ได้ ค้างสักคืนสองคืน ไปกันแค่กลุ่มเพื่อน" ตาลเสนอขึ้นมา เหมือนจุดไฟในตะเกียงจิตใจที่กำลังโหมกระหน่ำ

"ไปเที่ยว...ต่างจังหวัดเหรอ" ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายแวววาว ริมฝีปากแย้มยิ้มดีใจ รีบพยักหน้าหงึกหงัก พลางเอื้อมไปเขย่าแขนคนข้างๆ ด้วย "ไปสิ อยากไป...คิน เอมอยากไป"

เป็นครั้งแรกที่ชะเอมเอ่ยความต้องการออกมาด้วยตัวเอง...ทั้งๆ ที่ไม่เคยพูดเลยสักครั้งว่าอยากได้อะไร

คินฟังแล้วก็พยักหน้าตามใจ ก่อนถามยิ้มๆ กับคนที่ดีใจแบบเด็กๆ เพียงเพราะได้ยินคำว่าไปเที่ยว

"อยากไปไหนล่ะ"

สิ่งที่เขาให้ไม่ได้เมื่อครั้งก่อน...ครั้งนี้เขาจะตามใจอีกฝ่ายทุกอย่าง ไม่ขัดใจเลย

"ทะเลไหม...ทะเล!" ตาลเสนอตาเป็นประกายไม่แพ้กันเมื่อมีคนเห็นด้วยสองเสียงแล้ว...อยากกินอาหารทะเลกับของหวาน(?)ที่สุดเลย!

"คินมันถามเอมต่างหาก" เอกตบหน้าผากมนดังแปะ จนตาลโอดครวญเบาๆ

"อื้อ" ชะเอมส่ายหน้า อมยิ้ม "เราไปไหนก็ได้"

"งั้นไปทะเลเนอะ"

"โอเคเลย" ร่างบางอดยิ้มดีใจไม่ได้ รอคอยวันที่จะได้ไปเที่ยวที่ไหนสักที่กับคินและเพื่อนๆ ...ดวงตากลมเบิกนิดๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ "คิน ชวนพวกดินไปด้วยได้มั้ย"

ร่างสูงนิ่ง จริงๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกแต่ก็แอบคิ้วกระตุกหน่อยๆ เพราะคิดว่าจะได้เจอกับเพื่อตัวสูงผิวคล้ำของชะเอมคนนั้น...ที่ชอบโวยวายเสียงดัง พูดคำหยาบและชอบแขวะเขาเป็นประจำ

"ได้สิ ถ้าพวกเขาอยากไปด้วยล่ะก็นะ"

"งั้นเดี๋ยวเอมชวน" ร่างบางไม่รอช้า ล้วงหยิบมือถือขึ้นมาเข้าแอพที่มีแชทกลุ่ม ใบหน้าหวานเงยมองถามคนบนโต๊ะอย่างตื่นเต้น "ว่าแต่เราจะไปกันวันไหนเหรอ"

ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนหญิงสาวจะพูดออกมา "สรุปนี่ฉันต้องไปด้วยเหรอ ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไป"

ร่างบางชะงักนิ่ง ถามเสียงหงอย "...คุณทรายไม่ไปเหรอ"

เขามัวแต่ดีใจว่าจะได้ไปเที่ยว แต่ไม่ได้ถามความสมัครใจของคนอื่นเลยว่าอยากไปรึเปล่า

ท่าทางซึมๆ เหมือนน้องหมาตัวเล็กหูหางตกแบบนั้นทำให้เธอรีบพูดขึ้นมา "ไปสิไป...แต่ฉันจะพาแฟนไปด้วยนะ"

ท่าทางของชะเอมคงจะน่าเอ็นดูมากจนคนอื่นมองแล้วยิ้มตาม พอได้ยินว่าเม็ดทรายพูดว่าจะไปใบหน้าก็กลับมาสดใสอีกครั้ง

"อื้ม...ไปกันเยอะๆ ก็น่าจะสนุกกว่าเนอะ"

หญิงสาวเท้าคางลงกับโต๊ะ ถอนหายใจระอากับตัวเอง...ใครๆ ก็ต้องใจอ่อนละน่าเห็นท่าทางแบบนั้น

"หึหึ"

พอได้ยินเสียงหัวเราะของคนข้างๆ ทำให้ชะเอมหันมอง "คินหัวเราะอะไรครับ"

“หัวเราะเด็ก"

"หืม..." ดวงตากลมกระพริบปริบกวาดมองไปรอบโต๊ะ...ไม่มี...โต๊ะข้างๆ หรือโต๊ะถัดๆ ไปก็ไม่เห็นมีเด็กเลย "เอมไม่เห็นเด็กเลยนะคิน"

"หัวเราะเด็กอยากไปเที่ยว...เด็กทำหน้าหงอยเพราะอยากให้เพื่อนไปด้วย"

ชะเอมหน้าแดงเรื่อ นั่นมัน... "เอมไม่ใช่เด็กสักหน่อย"

"เด็กสิ"

"ไม่ใช่เด็ก"

"เด็กงอแง ขี้แยด้วย"

แก้มใสพองลม ท่าทางแบบนั้นทำให้คินยิ้มมุมปาก เดาได้ทันทีว่าต่อไปอีกฝ่ายจะพูดอะไร

"คินนิสัยไม่ดี เอมไม่คุยด้วยแล้ว"

นั่นไง...เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เวลางอนหรือเขินมากๆ แล้วทำอะไรไม่ถูกหรือเถียงต่อไม่ได้ ร่างบางมักจะพูดแบบนี้ทุกครั้งไป แต่เจ้าตัวไม่ได้งอนนานหรอก อีกห้านาทีก็กลับมาคุยเหมือนเดิม

"คินบอกเพื่อนแล้ว พวกดินจะไปด้วย" ชะเอมเล่าอย่างดีใจ เพื่อนกลุ่มแรกของเขาจะไปเที่ยวครั้งแรกด้วยกัน

"สรุปว่าจะไปกันวันไหนอะ" ตาลเคี้ยวขนมหวานของร้านตุ้ยๆ ...ขาดความหวานไม่ได้จริงๆ

"ก็ไปวันหยุดนี้เลยสิ ยังไงก็สอบเสร็จแล้ว" เม็ดทรายเสนอ

"เออก็ดีเนอะ เสนอปุ๊บสนองปั๊บ แล้วดูท่าทางเอมจะทนไม่ไหวแล้วด้วย อยากไปสุดๆ เลยนะนั่น"

"อื้ม เราไม่ค่อยได้เที่ยวเท่าไหร่น่ะ" เสียงใสบอก ทำให้ตาลครางรับอย่างเข้าใจ

"นี่ ถามอะไรหน่อยดิ" เอกที่นั่งเงียบมานาน จู่ๆ ก็พูดขึ้นกลางวง "แล้วเรื่องเรย์อะ จะเอาไง"

ทั้งโต๊ะชะงักงัน โดยเฉพาะคินกับชะเอมที่เป็นส่วนเกี่ยวข้องหลัก

"ว่าไปช่วงนี้เรย์หายไปเลยอะ" ตาลว่า "มาเรียนรึเปล่าก็ไม่รู้"

เพราะคาบเรียนส่วนใหญ่อาจารย์ก็ไม่ค่อยได้เช็คชื่อถ้าไม่สำคัญจริงๆ อย่างมีการสอบย่อยหรืออะไรแบบนี้ก็จะปล่อยผ่านไปเลย ประมาณว่าจะเรียนหรือไม่เรียนก็ขึ้นอยู่กับตัวนักศึกษาล้วนๆ

"เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเรารู้เรื่องไม่ดีที่เขาทำแล้ว" เม็ดทรายพูดขึ้นมา "แต่ที่หายไปเพราะอาจจะช็อคก็ได้นะ เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ในเพจนั่น"

"..."

"ยังไงซะ ความรู้สึกชอบคินของเรย์ก็ไม่น่าใช่ของปลอม"

"แล้วยังไง" เอกส่ายหน้า "ถึงจะเป็นแบบนั้นจริง แต่วิธีการของเรย์ที่ใช้แย่งแฟนคนอื่นมานั่นแหละ...ที่แย่ที่สุด"

"ปล่อยไปซะก็สิ้นเรื่อง" คินบอกเสียงเรียบ พอนึกขึ้นแล้วก็รู้สึกโมโหทั้งเรย์ทั้งตัวเอง "ไม่ต้องไปยุ่ง...และไม่ต้องให้มายุ่งอีก"

ทั้งโต๊ะเงียบไปชั่วครู่กับน้ำเสียงเย็นเยียบเด็ดขาด ก่อนที่เสียงใสจะพูดอย่างไม่แน่ใจ

"อืม เอมคิดว่า...ถ้าเรย์เขาสำนึกได้ เราก็ควรจะให้อภัยเขานะ"

"เอม..." คินครางอย่างไม่อยากเชื่อ

“เอม นายนี่ก็เป็นคนดีเกินไปนะ” ทรายถอนหายใจ

"ใช่ เราเห็นด้วยกับทรายนะ...แบบนี้มันจะดีเหรอ" เอกขมวดคิ้วถาม ก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรได้มากหรอก ถ้าคนที่โดนผลกระทบโดยตรงจากการกระทำของเรย์พูดออกมาแบบนี้ แต่ก็อดท้วงไม่ได้ “โดนทำซะขนาดนั้น”

ริมฝีปากบางเม้มแน่น อีกใจก็ลังเล "เราก็ไม่รู้..."

เพราะข้างในลึกๆ แล้วบาดแผลมันยังเจ็บไม่หาย

"แล้วถ้าเรย์ไม่หยุดล่ะ? เราคิดอย่างนี้นะเอม...ยิ่งถ้าเรย์เห็นบทสัมภาษณ์ในเพจเฟสบุ๊คนั่นแล้ว มีหรือจะไม่โมโห?" เอกพูดอย่างที่ใจคิด ลางสังหรณ์มันบอก "เรย์อาจจะไม่ยอมก็ได้ที่เห็นเอมกลับมาคบกับไอ้คิน..."

"พูดอะไรถึงเรากันเหรอ"

"!"

อาจเพราะทุกคนมัวแต่จดจ่ออยู่กับบทสนทนา จึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ด้านหลัง และไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วย

"โทษนะน้อง รับเมนูหน่อยครับ" ร่างเล็กยิ้มพราวทำตัวปกติทุกอย่าง ก่อนลากเก้าอี้แถวนั้นหย่อนตัวนั่งแทรกระหว่างคินกับชะเอม เพราะโดนเบียด ร่างบางจึงขยับหนีอย่างช่วยไม่ได้ให้คนมาใหม่เข้าแทรกง่ายดายโดยไม่ทักท้วง "ว่าไง เมื่อกี้เหมือนได้ยินชื่อเรา อย่าบอกนะว่าแอบนินทากัน 'ลับหลัง' "

ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันทีที่โดนแทรกแยกห่างจากชะเอม ทำให้เรย์หันขวับ "คินไปไหน"

ร่างสูงไม่ตอบแต่หน้าตึงพยายามอดทนไม่แสดงอารมณ์รุนแรงออกมาในที่สาธารณะ ขายาวเดินอ้อมมาหาชะเอมที่นั่งก้มต่ำซ่อนสีหน้า "เอม ไปกัน"

ใบหน้าหวานซีดเซียวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เงยขึ้นสบ แต่ยังคงนั่งนิ่งจนโดนมือใหญ่ฉุดดึงให้ลุกขึ้นตาม เสียงทุ้มเอ่ยเบาต่างจากท่าทางแข็งกระด้างที่แสดงออกมาต่อหน้าเรย์ "กลับกันเถอะ"

"นี่...เอม ครั้งนี้เรามาดีนะ คุยกันก่อนสิ" เรย์พูดขึ้นทำให้ทั้งสองคนชะงัก

"ไม่ให้คุย...เอม กลับ" คินรู้สึกว่าความอดทนเริ่มหมดลงทุกที...ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานกว่านี้ซักวินาทีเดียว

"เอม" เรย์ยังคงไม่ยอมแพ้

"เดี๋ยวคิน" มือบางยื้อร่างสูงเอาไว้ ทำให้ขายาวหยุดชะงัก "เอมจะลองคุยดู"

ริมฝีปากของเรย์พลันแสยะยิ้ม


************************Whose fault? ************************



มาเสิร์ฟแล้ววว ไม่รู้จะยังมีนักอ่านเก่าๆ ยังอยู่ไหม ถ้างั้นยินดีต้อนรับนักอ่านใหม่ๆ ก็แล้วกัน^^

ต้นเดือนแว้ว ใครอยากได้หนังสือก็อย่าลืมมาเปย์เน้อ มีสต็อคอยู่จ้า ใครสั่งก่อนได้ก่อนนะ!

ติดต่อเรื่องรูปเล่มได้ที่แชทเพจ H.Rui Novels นาจา


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 31 01/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-02-2019 23:14:13
 :hao7: :hao7: :hao7:  อีเรย์มาตอแหลอะไรอีกละ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 31 01/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 02-02-2019 00:00:47
 :mew5: เอมอย่าใจดีขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 31 01/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-02-2019 00:37:46
เอมใจดีเกินไปละ,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 32 08/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-02-2019 21:40:06


                                                    Whose Fault ?

                                                     ผิด...ครั้งที่ 32





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ท่าทางของคินเป็นแบบนี้แสดงว่าไอ้เอมบอกไปหมดแล้วสินะ...แต่ว่า...กูจะไม่ให้มันจบง่ายๆ หรอก แค่ลมปากคนน่ะทำให้จิตใจของใครบางคนเปลี่ยนทิศทางได้ง่ายยิ่งกว่าอะไร



แถมไม่มีหลักฐานแบบนี้ จะให้ยอมรับในสิ่งที่ทำน่ะ ไม่มีทางหรอก!



"เรย์จะคุยอะไรกับเรา" เสียงใสเอ่ย ร่างบางเปลี่ยนมานั่งตรงข้ามแทนเพราะจะได้คุยกันง่ายขึ้น ถึงแม้จะทำใจให้เข้มแข็งแต่ก็ไม่อาจซ่อนเสียงสั่นๆ นี้ได้ แต่ว่าคินก็นั่งอยู่ข้างๆ กาย ความอบอุ่นของฝ่ามือใหญ่กระชับจับมือบางที่สั่นระริกแน่น...ไม่ไปไหน



ส่วนเพื่อนๆ ของคินก็ยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม แต่ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด



"พอเรามาแล้วบรรยากาศมันอึดอัดแปลกๆ ชอบกลเนอะ" ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาเดฟรัดรูปนั่งไขว่ห้างสบายๆ พูดไปเรื่อยเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละที่ทำให้มันอึดอัด



"กินข้าวกันแล้วเหรอ"



"...อืม" คนที่ตอบมีเพียงคนเดียวคือตาล



"ว่าแต่ใจร้ายจังไม่ชวนเราเลย ถ้าไม่เดินผ่านมาก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าอยู่ในนี้"



"..."



"ที่พวกนายเป็นแบบนี้เพราะว่าเอมเล่าอะไรให้ฟังเหรอ บอกว่าเราทำอะไรไป อย่างเช่นเรื่อง...อุบัติเหตุวันนั้น"



ชะเอมนั่งยังคงนิ่งรอฟังว่าเรย์จะพูดอะไร จะเสแสร้งหรือโกหกอะไรอีก...เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะมาคุยดีๆ อย่างที่ปากบอก



แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว...เขายังมีคิน...ยังมีเพื่อนอีกมากมายที่อยู่เคียงข้าง



ไม่ได้อยู่คนเดียว



"เอม...เราขอพูดตรงๆ นะ นายเลิกทำเสแสร้งสักทีเถอะ"



สุดท้าย...เรย์ก็ยังไม่ยอมหยุดจริงๆ



"แค่คินยังไม่พอใช่มั้ย ยังเอาเพื่อนเราไปอีก...นายทำแบบนี้ทำไม"



ชะเอมฟังแล้วเม้มปากแน่น ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ คนที่มีนิสัยน่ารังเกียจที่สุดที่เคยเจอคือคนตรงหน้า...ขนาดพ่อแท้ๆ ของเขายังไม่น่ารังเกียจเท่านี้เลย



เสแสร้ง



เอาดีเข้าตัว



และเอาชั่วใส่คนอื่น



"หรือว่าเป็นเพราะนายเคยถูกทิ้งมาก่อนจนต้องหาใครซักคนมาอยู่เป็นเพื่อน?"



ปึง!



"อย่ามาพูดแบบนี้กับเอม" คินฟังคำพูดของเรย์แล้วตบโต๊ะเสียงดังอย่างโมโห จนชะเอมต้องกระตุกมือให้เย็นลง คนเกือบทั้งร้านหันมามองแล้วซุบซิบ



ร่างสูงหายใจแรงจนตัวสั่น โกรธ...แต่ทำอะไรไม่ได้



ร่างเล็กหัวเราะหึไม่สะทกสะท้าน "ดูสิ ขนาดคินก็เป็นไปกับเขาด้วย เอม...นี่นายหว่านเสน่ห์ชนิดไหนกัน? เล่นคุณไสยฯ เสกมนต์ให้คินหลงรึเปล่า เขาถึงเป็นขนาดนี้"



คินกัดฟันกรอด ส่วนชะเอมยังนิ่งเฉย



"เรื่องอุบัติเหตุนั่นเราจะฟ้องตำรวจ ที่ไม่ได้ทำอะไรตั้งแต่แรกเพราะเห็นเป็นแฟนเก่าคินหรอกนะ แต่ตอนนี้นายทำเกินไปแล้ว เราจะไม่ยอม...เราจะฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายเกือบถึงชีวิต แถมยังใส่ร้ายเราให้คนอื่นเข้าใจผิด"



"ใส่ร้ายให้คนอื่นเข้าใจผิด?" เม็ดทรายพูดแทรกขึ้นมา...ทนฟังไม่ไหวจริงๆ "คนอื่นที่ว่าคือใครเหรอเรย์"



"ก็พวกเธอนั่นแหละ ที่ทำท่าตั้งแง่เราแบบนี้เพราะเอมเล่าอะไรให้ฟังจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ"



"แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ" อีกคนที่พูดขึ้นมาคือเอก "นายพูดเหมือนรู้ว่ามันเป็นเรื่องอะไร"



ร่างเล็กยกแก้วน้ำขึ้นดูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการโดนคนที่เคยเป็นเพื่อนรุมคาดคั้น



เขาจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ...แค่พูดออกมาเพราะคิดว่าเป็นอย่างนั้นเท่านั้นแหละ เพราะเท่าที่จำได้ก็มีแต่ตอนที่ไปค่ายที่เผลอพูดเรื่องแผนที่วางไว้กับเอมไปครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่มันจะเอามาฟ้องคินได้



"ใจเย็นๆ ก่อนนะทุกคน" จู่ๆ ชะเอมที่นั่งเงียบที่สุดก็เอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศสงบลงเล็กน้อย ภาพนั้นที่เห็นมันยิ่งทำให้เรย์หัวเราะเย้ยหยัน



"ทำเป็นคนดี"



"เราไม่ใช่คนดีหรอกเรย์"



"ก็แน่ล่ะสิ นายทำร้ายเรากี่ครั้งแล้วล่ะ เราเจ็บเพราะนาย แต่เราไม่เคยคิดเอาเรื่องเลย แล้วนายก็มาทำแบบนี้...บอกเลยนะว่าเราจะไม่ยอมแน่"



"..."



เรย์แสยะยิ้มเริ่มแน่ใจแล้วว่าชะเอมมันยังเป็นรองอยู่ "พูดแบบนี้แสดงว่าปฏิเสธไม่ออกเลยสิ"



"..."



พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเกินคาดแถมไม่ตอบไม่พูดอะไร ทำให้เรย์เบนความสนใจไปที่ร่างสูงข้างๆ แทน "คิน...คินใจร้ายมากเลยที่ทำลายความรู้สึกดีๆ ของเรย์" ร่างเล็กส่งสายตาตัดพ้อน่าสงสารเปลี่ยนท่าทีเร็วจนคนมองรู้สึกสะอิดสะเอียน "บทสัมภาษณ์นั่นเรย์เห็นแล้ว...ทำไมคินไม่บอกกับเรย์ตรงๆ ว่าเพราะอะไรทำไมถึงบอกเลิกกัน"



คินถอนหายใจ "ขอโทษที แต่ระหว่างเรามันเคลียร์จบไปแล้ว"



เป็นการตัดบท ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรอีก...จบคือจบ



"บอกแล้วใช่มั้ยว่าเรย์ไม่ยอมเลิกหรอก เรย์ปรับปรุงตัวเองได้ ขอแค่คินบอกมา..." ร่างเล็กพยายามใช้วาจาเพื่อชักจูง



"ไม่ได้หรอก"



คนที่พูดไม่ใช่คิน แต่เป็นชะเอมที่มีดวงตาแข็งกร้าว



"เรย์ นายพูดจบรึยัง?" เสียงใสเอ่ยเรียบนิ่ง เป็นท่าทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อน "เราฟังจนเบื่อแล้ว"



ร่างเล็กมองท่าทีนั้นด้วยไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ "เรากำลังคุยกับคินอยู่ อย่าพูดขัดได้มั้ย ไม่มีมารยาทเลย พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรือไง...อ๋อ ลืมไปว่านายมัน..."



"ไม่มีพ่อไม่มีแม่...เป็นเด็กกำพร้าสินะ นี่คือสิ่งที่นายอยากจะพูด?" ร่างบางพูดแย้มยิ้มบางไม่สะทกสะท้าน แต่กลับทำให้คนรอบข้างมองอย่างตกใจ เพราะข้อมูลที่ได้รับ...ไม่เคยรู้มาก่อน



คินกระตุกมือบางแต่คำตอบที่ได้รับคือส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร



จะต้องไม่เป็นไร



ถ้านี่เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ...เขาจะเปิดรับอย่างไม่อายใคร



"เราไม่มีมารยาทเฉพาะกับคนที่นิสัยแย่ๆ เท่านั้นแหละ" เสียงใสเน้นคำราวกับจะบอกว่าที่พูดน่ะหมายถึงคนตรงหน้านั่นแหละ



"..." เรย์กำหมัดแน่นใต้โต๊ะ สายตาเริ่มไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด



ชะเอมมันเปลี่ยนไป



"แล้วก็อย่ามาพูดกับคินแบบนั้นอีก เพราะมันจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ ถ้านายอ่านบทสัมภาษณ์ล่ะก็น่าจะรู้ว่าคินเป็นแฟนของเราแล้ว"



"พูดหน้าด้านๆ ...นั่นเพราะนายแย่งเขาไปต่างหาก นายมันเป็นชู้ที่มาแทรกกลางระหว่างเรากับคิน! ทำไมตอนสัมภาษณ์ถึงไม่บอกไปด้วยล่ะ!?" เรย์ถลึงตาเริ่มพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนโต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามอง



ชะเอมยิ้มบางไม่ปฏิเสธคำกล่าวนั้น...อยากจะเข้าใจอย่างไรก็เข้าใจไป



"เรื่องเมื่อกี้...ที่นายบอกว่าจะแจ้งตำรวจ..." เสียงใสเกริ่นขึ้นเปลี่ยนเรื่องทำให้เรย์ยิ้มเหยียด ใจโลดไปไกลเพราะคิดได้ว่ายังมีเรื่องที่เหนือกว่าที่เขากุมมันไว้อยู่ในกำมือ



"ทำไม รู้สึกกลัวขึ้นมาเหรอ ถ้าขอโทษแล้วบอกความจริงกับทุกคนล่ะก็เราจะไม่เอาความก็ได้..."



"นายนี่มันน่าสมเพชกว่าที่เราคิดเยอะเลย" เสียงใสเอ่ยขัด ริมฝีปากเม้มแน่น ยิ่งฟังยิ่งทนไม่ไหว "แถมยังน่ารังเกียจ"



สะอิดสะเอียน



ปึง!



"อย่ามาว่ากูแบบนี้นะ! ไอ้กาฝากอย่างมึงแค่มีบารมีคุ้มหัวนิดหน่อยก็คิดว่าใหญ่แล้วงั้นสิ!?"



"...ถึงเราจะเป็นแค่เด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่อย่างที่นายว่า แต่ก็ไม่เคยคิดอะไรทุเรศๆ แบบที่นายเป็น!" ร่างบางหายใจเข้าออกแรงอย่างคนอดกลั้น เขาก็เป็นคนเหมือนกัน ได้ยินแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่โมโห



เขาไม่เคยเห็นว่าคุณลุงเป็นบารมีคุ้มหัวหรืออะไรทั้งนั้น



...น้ำตามันกำลังจะไหล...



"คนที่ทุเรศน่ะคือมึงต่างหาก! แย่งทั้งคิน ทั้งเพื่อนกูไป! แค่นี้ก็คิดว่าเหนือกว่ากูแล้วงั้นเหรอ"



"..."



"เรย์ หยุดเถอะ" ทรายพูดเตือนเพราะเสียงที่ดังเถียงกันมันทำให้คนในร้านมองเป็นตาเดียว และพากันซุบซิบนินทาแต่ดูเหมือนร่างเล็กที่อยู่ในอารมณ์โกรธจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว



"ไม่! ไม่หยุด! จนกว่ามันจะขอโทษที่ว่ากู...พวกมึงทุกคนก็ได้ยิน แล้วทำไมถึงยังเข้าข้างมันอีกล่ะ"



"เรย์ นายจะพูดอะไรก็พูดไป เพราะความจริงยังไงก็คือความจริงวันยังค่ำ" เสียงใสบอก แววตาไม่ยอม "ไม่มีใครอยู่ข้างนายอีกแล้ว"



"...มึงพูดอะไร..."



"เรื่องที่นายทำตัวเองให้รถมาชนวันนั้น เรามีพยานว่านายทำจริงและเราสามารถเอาเรื่องนี้ไปฟ้องตำรวจได้...ในข้อหาพยายามใส่ร้ายผู้อื่นให้มีความผิด"



"!" เรย์หยุดลมหายใจไปชั่วครู่อย่างตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง แต่แค่แปปเดียวก็กลับมายิ้มหยันเหมือนเดิม "ทำเป็นพูดดี ไหนล่ะพยานที่ว่า"



ใจเย็นไว้ มันก็พูดดีไปงั้น ทำเป็นอวดเก่ง...คนอย่างไอ้ชะเอมมันก็มีดีแค่นี้เท่านั้นแหละ



"ฉันเอง" เรย์หันขวับอย่างไม่อยากเชื่อ "ก็วันนั้นนายดันคุยโทรศัพท์ให้ได้ยินกับคนที่จ้างน่ะสิ...จนฉันรู้สึกเสียความรู้สึกที่อุตส่าห์วิ่งไปหาถึงโรงพยาบาลเพราะเป็นห่วงเลยนะนั่น"



ร่างเล็กหน้าชาวาบ กำหมัดแน่น กับท่าทางไม่แยแสของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว ไม่คิดว่าคนที่คบด้วยกันตั้งแต่เข้าเรียนจะย้อนกลับมาทำร้ายกันแบบนี้



มิน่าล่ะ เม็ดทรายเป็นคนแรกที่ทำท่าทีแปลกๆ แถมเว้นระยะห่างจากเขาเป็นคนแรกเลย เพราะรู้อะไรไม่เข้าท่าเข้าซะได้



แถมท่าทีที่เหนือกว่านั่น...มันทำให้ยิ่งโมโห



"แล้วไงล่ะ? พยานที่ว่าคือทรายจริงแต่ไม่มีหลักฐานก็เหมือนใส่ร้ายด้วยลมปากลอยๆ"



"นายนี่ร้ายจริงๆ เลย" เม็ดทรายหลุดหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินเหมือนเป็นเรื่องตลก อย่างที่ชะเอมว่าไม่มีผิด ท่าทางของเรย์ตอนนี้นี่น่าสมเพชจริงๆ



ดวงตากลมโตสีดำมองคนที่เอาตัวรอดข้างๆ คูๆ ทั้งที่มีความผิดอยู่เต็มมือ



"เอาตัวรอดได้ก็แค่ตอนนี้...แต่ถ้าคิดจะฟ้องตำรวจว่าเราเป็นคนทำ เราก็ฟ้องกลับได้เหมือนกัน"



"มึงไม่มีอำนาจอะไรด้วยซ้ำ อย่ามาทำอวดดี!"



"ทำไมจะไม่มี อย่าลืมสิว่าพ่อของคินเป็นใคร"



"สุดท้ายมึงก็แค่ไอ้กาฝากคิดทำตัวเป็นใหญ่" เรย์แผดเสียงมือปัดแก้วและจานจนหล่นลงมาแตกเพราะไม่สบอารมณ์ที่เหมือนถูกกดให้อยู่ต่ำกว่า เสียงตะคอกของร่างเล็กทำให้คนในร้านเริ่มอยู่ไม่ได้ต้องทยอยกันออกไป บางคนด่าทอเสียๆ หายๆ กับการกระทำเหล่านี้ และบางคนก็ถ่ายวิดิโอเก็บไว้ด้วย แต่เรย์ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ดวงตาแดงก่ำเริ่มคลุ้มคลั่งถลึงมองคนตรงหน้า...ต้องกำราบไอ้คนที่มันทำตัวอวดเก่งไม่สมกับตัว



"ก็ถูกว่ามาแบบนั้น ก็ต้องทำตัวให้สมกันสิ" ชะเอมยิ้มไม่สะทกสะท้านกับคำด่าอันเจ็บแสบ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนว่าอะไรนิดๆ หน่อยมันก็สะเทือนใจเหมือนคนอ่อนแอแท้ๆ



คนอย่างมันต้องต่ำต้อยกว่ากู



ต้องแย่กว่ากู



ไม่ใช่มาอวดดีทำวาจาอวดเก่งแบบนี้!



"มึงคงคิดดีแล้วที่คิดจะมาข่มกูแบบนี้"



"..."



"แล้วกูจะคอยดูความพินาศของมึง"



ชะเอมมองเรย์ที่เดินสะบัดออกจากร้านทั้งๆ ที่ยังไม่ได้กินอาหารที่สั่งมาบนโต๊ะ น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ อารมณ์ทั้งหมดที่อดทนอดกลั้นเอาไว้ถูกปลดปล่อยออกมาผ่านหยาดน้ำตา



"เอม..." คินมองร่างบางที่บัดนี้ก้มหน้าแผ่นหลังงองุ้ม แตกต่างจากแผ่นหลังหยัดตรงเมื่อกี้นี้ลิบลับ...คงจะอดทนมาตลอดกับคำด่าเจ็บแสบที่เรย์พูดออกมา



"ฮึก! อึก!" ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อน น้ำตาหลายเม็ดหยดลงบนตักและหลังมือจนเปียกชุ่ม เสียงร้องไห้ที่พยายามกลั้นสะอื้นแต่ก็ห้ามไม่ได้



'ไอ้กาฝากอย่างมึงแค่มีบารมีคุ้มหัวนิดหน่อยก็คิดว่าใหญ่แล้วงั้นสิ'



โมโหมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้...เพราะที่เรย์พูดมันเป็นความจริงทุกอย่าง



เขามันก็แค่...เด็กกำพร้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ถ้าไม่มีคุณลุงก็ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว...



"เอม อย่าไปใส่ใจที่เรย์พูดเลย เอมยังมีคินอยู่นะ" คินคว้าคนข้างๆ มากอดจมอก ร่างผอมบางคนนี้แม้จะแสดงออกมาว่าไม่รู้สึกอะไร แต่แท้จริงแล้วทุกข์ใจยิ่งกว่าใคร



เขาก็รู้สึกโมโหจนแทบจะระเบิดออกมา แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเคยทำร้ายชะเอมด้วยคำพูดแบบเดียวกันก็พูดอะไรไม่ออก



โมโหเรย์...พอๆ กับที่โมโหตัวเอง



"...ฮึก!"



เพื่อนทั้งสามคนมองชะเอมที่ร้องไห้จนหมดแรงแล้วสงสารจับใจ



"เรย์พูดแรงเกินไปแล้ว" เอกว่าและกำหมัดแน่นไม่รู้ตัว แค่เขาเป็นคนนอกฟังแล้วยังรู้สึกโมโหขนาดนี้ แล้วเจ้าตัวล่ะ? จะรู้สึกขนาดไหน



หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย "เอมคงจะเจอแบบนี้มาตลอดโดยที่พวกเราไม่เคยรู้อะไรเลย"



และคนที่รู้สึกผิดที่สุดก็น่าจะเป็นคนใกล้ตัวที่สุดอย่างคิน



...เอมภัทร อนันต์โภคทรัพย์...



ที่นามสกุลเดียวกันเพราะพ่อของคินเก็บมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม แปลว่าเป็นพี่น้องกับคินทางกฎหมายแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด เป็นความจริงที่ถูกเปิดเผยขึ้น...ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจจะถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็ว เพราะมีคนอัดวิดีโอไว้ด้วย



และเรย์คงจะต้องเดือดร้อนไม่น้อยเหมือนกัน



"พวกมึงกูกลับก่อน" ร่างสูงลุกขึ้นโดยที่ในอ้อมแขนมีร่างผอมที่หลับปุ๋ยทั้งที่ขอบตาแดงช้ำ...คงจะร้องไห้จนเหนื่อยเลยเผลอหลับไป



"เออ พาเอมไปพักเถอะ"



"เดี๋ยวฉันถือของให้" เม็ดทรายลุกขึ้นอาสาและจับกระเป๋าของเอมและคินมาถือเอาไว้ ส่วนเอกกับตาลก็ลุกขึ้นตามไปเช็คบิลและกล่าวคำขอโทษพร้อมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น



"วันนี้ขอบใจมากเลย ที่ช่วยเอม"



"ไม่หรอก เอมต่างหากที่เข้มแข็ง" หญิงสาวมองใบหน้าหวานที่อิดโรยหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราว...แม้ภายนอกจะแสดงออกมาให้คนอื่นดูว่าเข้มแข็งแต่จริงๆ แล้วจิตใจก็ยังอ่อนโยน



"แต่ถ้าไม่มีเธอกับพวกเอกสถานการณ์คงจะแย่กว่านี้" คินรู้สึกขอบคุณหลายๆ อย่างจากใจ



"ดูแลเอมดีๆ" เอกที่เพิ่งเดินตามมาบอกเสียงเครียด "จากที่ได้ยินวันนี้ กูว่าเรย์คงไม่ยอมจบง่ายๆ เพียงแค่นี้แน่...ระวังตัวไว้"



พอได้ยินคำกล่าวคล้ายเตือน คิ้วเข้มก็ขมวดกังวลทันที นึกถึงความฝันครั้งก่อน...ฝันร้ายคราวนั้น



"กูเคยฝัน...ว่าเรย์ถือปืนไล่ยิงเราสองคน"



"!"



"นี่มึงพูดจริงเหรอ?" เอกถามอย่างตกใจ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้...แต่ไม่อาจคาดคิดว่าหมอนั่นจะทำจริงหรือเปล่า



"ในความฝันนั้นเอมก็วิ่งเข้ามาบังกูไว้...รับกระสุนแทน" ร่างสูงกระชับร่างในอ้อมกอดแน่น แต่คราวนี้อุณหภูมิผิวกายไม่ได้เย็นเหมือนในความฝัน



ใบหน้าของเรย์อยู่ในอารมณ์คลั่งยิ่งกว่าที่เห็นในความเป็นจริง ราวกับว่า...พร้อมจะคร่าชีวิตของทุกคนที่ขวางหน้า



ผนวกกับอารมณ์รุนแรงที่เรย์แสดงออกมา ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะแปรเปลี่ยนและแสดงออกมาเป็นรูปธรรมหรือไม่...เมื่อไหร่



เพราะไม่อาจคาดเดาว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...จึงเป็นกังวล



"มึงอยากให้พ่อกูช่วยอะไรมั้ย"



คินนิ่งไปก่อนจะส่ายหน้า "...ไว้ก่อนดีกว่า กูอาจคิดมากไปเอง"



เอกอยากค้าน แต่สุดท้ายพยักหน้าเข้าใจ "แล้วแต่มึง"



"ขอบใจมากเว้ย...ให้กูไปส่งปะ"



"ไม่เป็นไร มึงกับเอมจะได้ไปพัก"



"เอม ฝันดีนะ" ตาลบอกลากับร่างบางที่หลับสนิทซบอกกว้าง



"เอมคงดีใจที่มีคนเป็นห่วงขนาดนี้" ร่างสูงพูดทั้งที่ยังมองใบหน้าใส ทั้งสายตาอบอุ่นและรอยยิ้มเอ็นดู ผู้หญิงหลายคนคงอิจฉา...แต่หารู้ไม่ ตัวเขาเองต่างหากที่น่าอิจฉาที่ได้รับความรักจากชะเอม



เม็ดทรายยิ้มล้อ "เขาคงไม่ดีใจเท่ามีนายอยู่ข้างๆ หรอกน่า"



คินยิ้มอ่อนกับคำกล่าวนั้น...ไม่ต้องให้ใครมาบอก...ก็รู้ดียิ่งกว่าใคร



แต่คนที่เคยทำร้ายจิตใจของร่างบางมาก่อนอย่างตัวเขา...ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไปว่าเรย์ด้วยซ้ำ



ร่างสูงคิดอย่างเจ็บปวดใจเหลือแสน...รู้สึกผิดกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว แต่กลับไปแก้ไขไม่ได้



มีแต่ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด...เพื่ออนาคต



"เรื่องไปเที่ยว เดี๋ยวไว้คุยกันในแชทนะคิน" ร่างโปร่งโบกมือยิ้มๆ คนที่ดีใจที่จะได้ไปเที่ยวรองจากชะเอมก็เห็นจะเป็นตาลนี่แหละ



"โอเค"



ไปเที่ยวเหรอ...



ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็อยากจะให้ร่างบางสนุกจนลืมความทุกข์ในใจนี้ไปได้บ้าง





************************Whose fault? ************************





"อยากไปที่ไหน?"



"หมายถึงเที่ยวสุดสัปดาห์นี้น่ะ"



"อ๋อ เรื่องที่คุยกันไว้" ชะเอมพยักหน้าหงึกหงัก นิ่งนึกไปแปปนึงก่อนจะเอ่ยอย่างลำบากใจ "เอมไม่เคยไปไหนเลย...ไม่รู้เหมือนกันครับ..."



"งั้นวันนี้มาเลือกกันไหม" ร่างสูงเสนอ "จะได้จองที่พักอะไรไว้ก่อน"



"ก็ได้ครับ" ร่างบางเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะหันไปล้างชามเช่นเดิม รอยยิ้มและแววตากลมไม่สดใสร่าเริงอย่างที่เคยเป็น...คินรู้สึกเช่นนั้น



ทั้งสองคนเพิ่งจะทานข้าวเย็นเสร็จได้ไม่นาน หลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัย วันนี้คินมีเรียนทั้งเช้าและบ่าย ชะเอมที่มีเรียนแค่ตอนเช้าจึงไปนั่งรอที่ใต้ตึกวิศวะที่มักมีคนเดินอย่างพลุกพล่าน



ตามที่คาดข่าวเรื่องทะเลาะกันภายในร้านอาหารเมื่อวันก่อนแพร่ออกไปไวกว่าที่คิด...ร่างบางเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็อึดอัดเหลือเกินที่ใครต่อใครเดินผ่านและมองเขาอย่างตัวประหลาด



ต้องทำใจและท่องเอาไว้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป



"พี่ชะเอม"



ร่างบางในชุดนักศึกษาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง "...น้องสา น้องริน"



ก้อนเนื้อในอกเต้นดังอย่างประหลาด มือบางสั่นหวาดกลัว...กลัวว่าสายตาของรุ่นน้องที่รู้จักกันจะมองตนเปลี่ยนไป ยิ่งกับสาวรินที่เริ่มคุยดีๆ กันบ้างแล้ว ยิ่งกับคนที่เพิ่งไปมีปากเสียงกับพี่ชายของเธอมา...จะกลับไปเกลียดกันเหมือนเดิมหรือเปล่า



กังวลไปหมด



"มารอพี่คินเหรอคะ" รินถามก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะและหย่อนตัวลงนั่งตรงข้าม ให้ร่างบางมองอย่างงุนงง



"อ่ะ ครับ...ใช่"



"งั้นรินนั่งด้วยนะคะ"



"อ่าครับ" ชะเอมได้แต่ตอบครับๆ พยักหน้ายิ้มอ่อนๆ สาวผมยาวก็พยักหน้านิ่งๆ เปิดหนังสือในมืออ่านก่อนที่สาวตัวเล็กจะเดินอ้อมหลังมานั่งข้างๆ ชะเอมอย่างบรรยากาศรอบตัวร่าเริงสดใสสุดๆ



"พี่ชะเอม ไม่ได้เจอกันนานเลยเป็นยังไงบ้างคะ" สาถาม แถมยิ้มตาใส จนร่างบางยิ้มตาม



พี่ชะเอมเนี่ยน่ารักที่สุดเลย...



"พี่สบายดี แล้วน้องสาล่ะ เรียนวิศวะเหนื่อยมั้ย"



"หนักมากเลยอ่าค่ะ เนี่ยทุกวันนี้สาต้องพึ่งรินตลอดเลย เพราะสาฟังอาจารย์พูดไม่ค่อยเข้าใจ"



ชะเอมมองสาวน้อยน่ารักบ่นหงุงหงิงแล้วได้แต่หัวเราะจนตาปิด ลืมความกังวลไปสิ้นเพราะท่าทางเป็นกันเองที่แสดงออกมาเหมือนเดิม ทำให้ร่างบางโล่งใจขึ้นมาก



"สาเหนื่อย..."



"บ่นมากๆ ระวังพี่ชะเอมจะเอือม" รินพูดขึ้นมาทำให้สาหันขวับเบะปาก



"รินอะ...พี่ชะเอมไม่เอือมสาหรอกใช่มั้ยคะ"



ร่างบางส่ายหน้ายิ้มๆ ใครจะไปเบื่อรสาได้ลง...รู้สึกเหมือนได้น้องสาวน่ารักๆ คนหนึ่ง ไม่เหงาดี



"ว่าแต่พี่คินเลิกกี่โมงคะพี่ชะเอม"



"ห้าโมงครึ่งครับ"



"งั้นเดี๋ยวพวกรินนั่งรอเป็นเพื่อน พี่คงไม่รำคาญใช่มั้ยคะ" สาวผมยาวพูดนิ่งๆ แต่สายตาเหลือบมองเพื่อนตัวเล็กตอนที่พูดว่ารำคาญราวกับจะบอกว่ายัยนี่แหละตัวน่ารำคาญเลย



"งือ ไม่เห็นต้องพูดแรงขนาดนั้นเลย"



"พี่ไม่รำคาญหรอกครับ...แต่ว่าทั้งคู่ไม่มีธุระไปไหนเหรอ"



"สาไม่มีค่ะ" รสาตะเบ๊ะท่าทะเล้นๆ บอกรุ่นพี่ แต่รินพูดแทรกขึ้นมาทำให้เธอเบะปากอีกครั้ง



"เธอน่ะมีธุระต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ไง"



"ก็สารอให้รินติว..."



"ไม่ติวให้แล้ว"



"แง..."



ชะเอมมองรุ่นน้องต่างคณะทั้งสองคนที่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ ที่แสดงท่าทีแบบเด็กสาวๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สาวผมยาวหน้าตาสะสวยอ่านหนังสือด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่สังเกตดีๆ จะเห็นรอยยิ้มจางๆเหมือนกับสนุกที่ได้แกล้งเพื่อนสาวตัวเล็กผมสั้นน่ารักที่หน้างอเบะปากงอแงใส่ราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน



ดูเป็นกันเอง...จนทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาในใจ



"น้องริน ไม่โกรธพี่เหรอ"



สาวสองคนเงียบเสียงลง ก่อนจะหันมามองหน้าร่างบางของรุ่นพี่ด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป



"เรื่องอะไรคะ"



"ที่...เรย์..." ชะเอมพูดแค่นั้นเพราะไม่อยากจะพูดอะไรที่กระทบกระเทือนพี่ชายของเธอไปมากกว่านี้


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง




หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 32 08/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-02-2019 21:40:43


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบน



แม้จะไม่ชอบเรย์ แต่เรย์ก็เป็นพี่ชายของริน



ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของชะเอมทำให้รินยิ้มบาง...ช่างเป็นคนที่ประเสริฐยิ่ง จนไม่เสียดายความรู้สึกนับถือนี้เลย   



"เรื่องนั้นรินรู้นานแล้วล่ะค่ะ เพราะงั้นคนที่ต้องถามควรเป็นรินมากกว่า พี่ชะเอมไม่โกรธรินเหรอคะ ที่รินเคยว่าพี่เอาไว้"



ทั้งหมดที่ผ่านมา...เธออยากขอโทษสิ่งที่พี่ชายเป็นคนทำและสิ่งที่เธอทำ...ความผิดทั้งหมดนี้...จะยกโทษให้ได้หรือเปล่า



"รินขอโทษ...ทั้งเรื่องของริน และของพี่เรย์ด้วย"



"พี่ไม่เคยโกรธน้องรินเลย...แต่กับเรย์...พี่ไม่..." ไม่สามารถยกโทษให้ได้...กับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ



มันหนักหนาเกินไป...เกินกว่าสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ควรทำต่อกัน



...เกลียด...



"พี่ขอโทษนะ"



ทั้งๆ ที่เธอและพี่ชายทำผิดมากมายนับคณาต่อเขาแบบนั้น...แต่พี่ชะเอมก็ยังขอโทษเธอ...ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ



...คำขอโทษที่อ่อนโยน...







แกร๊ก...



เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกทำให้ชะเอมหลุดออกจากภวังค์ ใบหน้าหวานหันไปมอง ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้าง แก้มใสแดงปลั่ง



"คิน...ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้ดีๆ ล่ะครับ"



"ก็คินร้อน" ร่างสูงที่ใส่แค่กางเกงนอน ยังมีน้ำเกาะบางส่วนที่กล้ามเนื้อหน้าท้อง ยืนเช็ดผมที่เปียกชื้นด้วยท่าทางเซ็กซี่ที่ทำให้ร่างบางที่นั่งอยู่บนเตียงเขินอายได้



ร้อนอะไรกัน แค่แอร์ที่เปิดอยู่นี่ก็หนาวจะตายอยู่แล้ว...



"อ๊ะ..."



เพราะมัวแต่เขิน ร่างสูงที่เดินออกมาด้านหลังต้ังแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ดึงไปนั่งซ้อนตักแล้วโอบเอวไว้...ชอบจังเลยนะท่านี้



"คินไม่หนักเหรอ?" ร่างบางถามทั้งที่หน้าแดงเรื่อ ก็แผ่นหลังมันสัมผัสได้ถึงอกอุ่นๆ แบบแนบเนื้อเลยนี่นา



"ไม่หนักเลย เด็กบางคนยังหนักกว่าเอมด้วยซ้ำ" ว่าแล้วมือใหญ่ลูบเอวบางยืนยันว่าอีกฝ่ายผอมจริงๆติดกระดูก ไม่มีไขมันเลย



"คินก็...พูดโอเวอร์ไปครับ"



"คินพูดจริงๆ เดี๋ยวคินต้องขุนน้ำหนักให้เอมหน่อยแล้ว" เวลากอดจะได้เต็มไม้เต็มมือหน่อย...อันที่จริงก็เพื่อตัวเองด้วยล่ะนะ "ตอนนี้น้ำหนักเท่าไหร่"



"เอ่อ เอมไม่แน่ใจ"



"ล่าสุด"



"น่าจะ...เกือบๆ ห้าสิบได้" ชะเอมตอบอย่างไม่แน่ใจ แต่คำตอบที่ได้ยินทำให้คินตกใจไม่น้อย ความสูงของชะเอมก็ไม่ได้น้อยมาก แต่ก็ไม่แปลกที่จะได้ยินคำตอบแบบนี้เพราะตอนเจ้าตัวใส่ชุดนักศึกษาก็เห็นรูปร่างได้ชัดว่าผอมบางแค่ไหน



"เบากว่าผู้หญิงบางคนอีก" มิน่าตอนอุ้มถึงได้รู้สึกเบาขนาดนี้...



"เอมกำลังพยายามเพิ่มน้ำหนักอยู่เหมือนกัน" เอมว่าอย่างหนักใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะอาหมอบอกด้วยล่ะ



"เพราะงั้นเอมต้องกินเยอะๆ"



"ครับ" ร่างบางพยักหน้ารับคำ แม้สิ่งที่คินพูดอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็จะพยายาม



"เมื่อกี้เอมกังวลเรื่องอะไร" เสียงทุ้มพูดขึ้นทำให้ชะเอมเอี้ยวตัวหันมามองใบหน้าคม



"ครับ?"



"บอกคินหน่อยได้มั้ย"



ในอกบาง ก้อนเนื้อเล็กเต้นตุบตับเสียงดังจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่ถูกคินสังเกตเห็นถึงความกังวล



รู้ด้วยเหรอ



"แค่นิดหน่อยครับ เรื่องน้องรินน่ะ"



"ทำไม"



"ก็แต่ก่อน...น้องรินเธอเกลียดเอมมากเพราะว่าเข้าใจผิดว่าเอมเป็นคนไปทำร้ายพี่ชายเธอจนบาดเจ็บถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล แต่ตอนนี้พอเรื่องของเรย์มันเปิดออกมาว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง น้องสาวแท้ๆ จะรู้สึกยังไงกันนะ?"



จะรู้สึกยังไงที่พี่ชายตนโกหกเพื่อเอาดีเข้าตัว...แถมยังใช้น้องสาวเป็นเครื่องมือโพนทะนาเรื่องอุบัติเหตุนั่นอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วรินเคยรักเรย์มากก็เลยทำแบบนั้น เพราะไม่อยากให้พี่ชายตนไม่ได้รับความยุติธรรม



เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่เรย์แล้วที่ถูกมองไม่ดี...รินก็ด้วย



"เอมเป็นห่วงน้องริน"



พี่ชายที่เคยเป็นหลักยึดเหนี่ยว ตอนนี้เลือนหายไป คงเคว้งคว้างน่าดู



ใบหน้ารู้สึกผิดของร่างบางบนตัก ทำให้แขนยาวโอบกระชับแน่นกว่าเดิม บางทีก็คิดว่าชะเอมเป็นคนดีเกินไปแล้ว...ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลยก็ได้แท้ๆ



ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะยกโทษให้เขาเลยแท้ๆ ...ความผิดของเขามันมากมาย แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยนึกโกรธเลย



"เอมไม่ต้องห่วงไปหรอก รินน่ะเข้มแข็งกว่าที่คิด...เป็นสาวแกร่งพอๆ กับเม็ดทรายเลยนะจะบอกให้"



"จริงเหรอ"



"อืม"



"ทรายน่ะสามารถสยบหัวใจของชายที่แกร่งที่สุดในมหา'ลัยเราได้เลยนะ"



ชะเอมหัวเราะคิกกับคำบอกเล่านั้น แม้จะไม่เคยเห็นว่าแฟนที่แกร่งที่สุดของเธอเป็นยังไงก็เถอะ "คุณทรายเนี่ยสุดยอดไปเลยครับ"



ในท่าที่ทั้งสองคนนั่งแอบอิงกันทำให้ใบหน้าคมอยู่ข้างใบหน้าหวานในระยะใกล้มาก จมูกโด่งเอียงสูดดมความหอมของสบู่อ่อนๆ บนแก้มใสดังฟอดจนชะเอมต้องหดคอหนี



ทั้งๆ ที่ใช้สบู่ขวดเดียวกัน แต่ไม่รู้สึกว่าหอมเท่าอยู่บนผิวกายขาวนี้เลย



"คิน..."



"หายกังวลแล้วใช่มั้ย" คินถาม เมื่อเห็นสีหน้าสบายใจที่แตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าน้อยๆ



"ครับ"



"มางั้นมาดูกันดีกว่าว่าวันหยุดนี้จะไปไหนดี" คินให้ชะเอมลงจากตักเขยิบไปด้านข้าง ส่วนตัวเองเอื้อมหยิบมือถือที่โต๊ะข้างๆ เตียงมาเปิดหาข้อมูล "สรุปเราไปกันกี่คนนะ"



"ก็มี...คิน เอม เอก ตาล คุณทราย ดิน สิน ราม ไอติม..." ร่างสูงนั่งมองชะเอมที่ยกมือสองข้างขึ้นมานับนิ้ว ทันทีที่ได้ยินชื่อใครบางคนหลุดออกจากริมฝีปากบางคิ้วเข้มก็ขมวดเป็นปม



"ไอ้หมอนั่นไปด้วยเหรอ"



ชะเอมกระพริบตาปริบ "ครับ ก็รามไปด้วย ติมก็เลยไปด้วย"



"..."



พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไป เสียงใสจึงเอ่ยถามด้วยความกังวล "คินไม่อยากให้น้องไปเหรอ"



นี่เขาชวนใครต่อใครไปโดยไม่นึกถึงความรู้สึกของคนสำคัญอีกแล้วหรือเปล่า



คินนิ่งเงียบนั่งพิงหัวเตียงไถมือถือไปเรื่อย โดยสายตาที่อ่านตัวหนังสือไม่เข้าหัวสักนิด จะทำไงได้ ดูหน้าสิ จะพูดตรงๆ ว่าไม่อยากให้ไปก็ทำหน้าซึม จะให้พูดยังไงนอกจากแบ่งรับแบ่งสู้



"จะไปก็ไป แต่แยกกันไปนะบอกไว้ก่อนเลย" ร่างสูงพูดห้วน เขาไม่มีทางให้มันขึ้นมาอยู่บนรถคันเดียวกันแน่



ร่างบางยิ้มแหย "ครับ ไอติมเอารถไปเองเขาบอกเอมแล้ว"



"อืม"



"เอมชวนน้องสากับน้องรินไปด้วยได้มั้ย" คราวนี้ชะเอมเอ่ยขออนุญาต ซึ่งคินก็พยักหนารับง่ายๆ



"ได้ คินแล้วแต่เอมเลย"



"วิวสวยจังครับ" ดวงตากลมโตประกายวาววับ เมื่อเห็นรูปในมือถือที่คินกำลังดู ร่างบางเขยิบเข้าใกล้แทบจะเกยบนร่างกายกำยำอุ่น "ที่ไหนเหรอ"



"ใต้น่ะ...ทะเลสวยๆ มีเยอะเลย"



"จริงด้วย แต่ว่าเราจะไปกันไกลขนาดนั้นเลยเหรอ"



"เอมไม่อยากไป?"



หัวทุยส่าย "เอมอยากไป แต่ว่าแค่สองวันมันแปปเดียวเอง..."



"งั้นก็หยุดเรียนสักวันสองวันก็ได้ถ้ากลับมาไม่ทัน" คินพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา การเรียนกับโดดเรียนมันเป็นของคู่กัน



"ไม่ครับ เอมไม่อยากหยุด" ใบหน้าหวานเงยสบสาวตาคม ดวงตาสีดำมองอย่างดื้อดึง ทำให้คินยอม



อา...นักเรียนดีเด่นนี่นะ



"งั้นเราไปใกล้ๆ กันก่อนก็ได้" ร่างสูงเสิร์ชคำใหม่ ซึ่งในหัวคิดไว้ว่าไม่น่าจะพ้นพัทยา ชะอำ หัวหิน...แต่ชะเอมก็ยังไม่เคยไปเลยนี่นะ



ไว้วันหยุดยาวหรือปิดเทอมค่อยไปเที่ยวไกลๆ สักที่และค้างหลายๆ วัน



ครืด ครืด



"เสียงโทรศัพท์..." ชะเอมลุกขึ้นนั่ง มองหาที่มาของเสียงสั่นของมือถือตน ก่อนจะล้วงหยิบขึ้นมาดูหน้าจอและใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม หันมาบอกร่างสูงที่นอนมองมาด้วยน้ำเสียงดีใจปิดไม่มิด "คุณลุงโทรมาล่ะ"



มือเลื่อนกดรับไม่ต้องคิดเลยด้วยความคิดถึง



"สวัสดีครับ"



("เอม...นอนหรือยัง")



เพียงแค่ได้ยินเสียงก็ยิ้มแย้มดีใจ อาจเพราะตอนนี้มีคินอยู่ข้างๆ ด้วย "ยังครับ เอมเพิ่งอาบน้ำเสร็จครับ คุณลุงล่ะ?"



("อา ลุงเหนื๊อยเหนื่อย อยากได้กำลังใจเลยโทรมาหา")



"ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ"



("...อย่าพูดถึงมันสักวิได้มั้ย ลุงจะอ้วกออกมาเป็นกระดาษกับตัวหนังสืออยู่แล้ว...จมูกยังได้กลิ่นหมึกอยู่เลยเนี่ย")



ชะเอมหัวเราะคิก กับคำบ่นของประธานบริษัทที่หลุดมาดอย่างน่าเหลือเชื่อ "พูดแบบนี้แสดงว่ายังไม่เสร็จแน่เลย คุณเลขาไม่อยู่เหรอครับ อ๊ะ...คิน ปล่อยเอมก่อน"



("จะไปเสร็จได้ไงงานเก่าเคลียร์ยังไม่ทันเสร็จ งานใหม่ก็ถมมาอีกแล้ว...ว่าแต่ไอ้ลูกชายอยู่ด้วยเหรอ")



"อ่า ใช่ครับ คุณลุงอยากคุยกับคินมั้ยครับ" แก้มใสแดงระเรื่อเมื่อถูกร่างสูงคร่อมอยู่เหนือร่างแถมยังกักไว้ไม่ให้ดิ้นหนีอีกต่างหาก เสียงใสพยายามควบคุมให้พูดออกไปปกติเหมือนเดิมเพราะเดี๋ยวคุณลุงจะจับได้



มือใหญ่แย่งโทรศัพท์ออกจากมือบางกดปุ่มลำโพงเปิดเสียงและโยนมันลงบนเตียงข้างๆ ศีรษะ



("ไม่อะ ลุงอยากคุยกับเอมมากกว่า นี่ว่าแต่คินมันกลับมานอนห้องเหมือนเดิมแล้วเหรอ")



"คร...อื้อ" ร่างบางเบิกตาโตและดิ้นขลุกขลัก เมื่อถูกมือใหญ่ปิดปากไม่ให้พูด



"ครับพ่อ"



คินตอบแทน แต่สายตาคมกริบกวาดมองทั่วเรือนร่างสีขาว ที่ถูกปกปิดด้วยชุดนอนผ้านิ่มสีกรมท่า ยิ่งขับผิวนวลเนียนให้สว่างกว่าเดิม...พอมองแล้ว ทั้งปากทั้งลำคอก็แห้งผากจนต้องแลบลิ้นไล้เลีย อยากจะกลืนกินไปทั้งตัว



ท่าทางคุกคามอันตรายกับสายตาที่มองมาทำให้ร่างบางหน้าแดงก่ำแต่พูดอะไรไม่ได้ มือบางพยายามแงะมือใหญ่ออก



("ชิ แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่ห้ะ ทำไมแกถึงมาอยู่ห้องชะเอม ถึงเวลานอนของเด็กแล้วก็ไปนอนซะไป พ่อจะคุยกับเอม")   



"ถึงเวลานอนแล้ว งั้นวางสายก่อน ผมกับเอมจะได้ 'นอน' ด้วยกัน" คำพูดที่อีกฝั่งได้ยินกับสายตาที่สื่อออกมาที่ชะเอมได้รับมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง



("เฮ้ย เดี๋ยวดิ!")



"อะไรครับ"



มือใหญ่อีกข้างล้วงเข้าใต้ชายเสื้อสัมผัสหน้าท้องที่หดเกร็งทันทีรับกับมือร้อนผ่าว บ่งบอกอารมณ์เจ้าของได้เป็นอย่างดีว่ามันตื่นเต้นขนาดไหน ก่อนจะค่อยๆ ถกให้มันเลิกขึ้นจนถึงลำคอ เห็นแผ่นอกบางสะท้อนกระเพื่อมและ...เม็ดสีชมพูทั้งสองน่าลิ้มลอง



"ฮึก..." ร่างบางสะดุ้งหลับตาปี๋ เพราะความเปียกชื้นของลิ้นร้อนที่แตะลงบนแผ่นอกเพียงเท่านั้นก่อนที่จะครอบปากลงดูดดุน...



("เฮ้ย ได้ยินมั้ยเนี่ย!!")



ร่างสูงหลุดจากภวังค์ ร่างสูงละสายตาออกจากสิ่งน่าสนใจ ก่อนจะเสยผมอย่างหงุดหงิด คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เสียงคนแก่ทะลุสายออกมาจนทำเกือบหมดอารมณ์  มือใหญ่คว้าหยิบโทรศัพท์มากดโหมดปกติและกรอกเสียงถอนหายใจใส่ให้รู้ว่าเอือมระอาสุดๆ "พ่อ ไว้เดี๋ยวให้เอมโทรไปทีหลัง เขาง่วงแล้วแค่นี้นะ"



("เดี๋ยวเด้ พ่อขอบอกฝันดีกับเอมก่อน...!")



"พ่ออะไรกวนประสาทชะมัด" คินมองหน้าจอมือถือที่ดับไปแล้วเพราะเขาตัดสายเอง เสียงทุ้มพึมพำบ่นๆ ก่อนจะละสายตาไปมองร่างบางที่ควรจะนอนอยู่ตรงนี้...แต่...ไม่มี



ชะเอมหายไปไหนแล้ว?



"เอม" ร่างสูงหันซ้ายหันขวา แต่ก็ไม่เจอ มือโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงคิดจะออกไปหานอกห้องแต่...



โป๊ก!



"โอ๊ย" เสียงใสอุทานอยู่แถวๆ นี้ ก่อนที่คินจะเห็นก้อนกลมบางอย่างอยู่ใต้ผ้าห่มที่มีมือถือที่เขาโยนทิ้งไว้แถวๆ เดียวกัน



"เอม"



"ยะ อย่าจับนะ!" เสียงใสตะโกนอู้อี้ผ่านออกมา ก่อนจะรู้สึกว่าเจ้าตัวขดตัวแน่นกว่าเดิม "คินบ้า คนหื่น ไปนอนนอกห้องเลย วันนี้เอมไม่นอนด้วย!"



ร่างสูงหลุดหัวเราะ นี่อายถึงขนาดต้องขดเป็นกระต่ายหนีเข้าหลุมเลยเหรอ



"เอม"



"มะ ไม่ คินปล่อยเอมนะ" ร่างบางดิ้นหนีขลุกขลักเมื่อร่างสูงโถมตัวลงมากอดผ่านผ้าห่ม "ไม่ต้องมากอดเลย แล้วก็ไม่ต้องมานอนด้วย...คนหน้าไม่อาย"



"เอมโกรธคินเหรอ"



"...โกรธ..." เสียงใสผ่านผ้าห่มอู้อี้ ที่สำคัญคืออายมากกว่า



"ถ้าคินไปนอนนอกห้องแล้วเอมจะหายโกรธใช่มั้ย" คินเอ่ยลองใจ พอคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ร่างสูงก็ผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องจริงๆ ...แถมปิดประตูปิดไฟให้ด้วย



ผ่านไปสักพัก บรรยากาศเงียบแปลกๆ ทำให้สิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มโผล่ออกมาเล็กน้อยและเมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วจริงๆ ชะเอมก็ออกมาจากผ้าห่มทั้งใบหน้าแดงๆ นั่น



คนหน้าไม่อาย...ทั้งๆ ที่คุยโทรศัพท์อยู่กับคุณลุงอยู่แท้ๆ แต่มาทำแบบนั้น มันก็เหมือนไม่ต่างกับทำต่อหน้าเลยไม่ใช่หรือ? แค่อีกฝ่ายไม่เห็นเท่านั้นเอง



แต่...ทำยังไงก็หลับไม่ลง...เพราะเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะนอนยังไง หนาวหรือเปล่า? โซฟาที่นอนก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมายที่จะรองรับร่างสูงใหญ่ของคินได้ คิดได้แบบนั้น ทำให้ชะเอมค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง



แอ๊ด...



ขาเรียวย่องเบาๆ หยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูงที่นอนหลับอยู่บนโซฟาที่สั้นกว่าจนเท้าเลยตกขอบลงมาเป็นอย่างที่คิด คงจะนอนไม่สบายแน่ๆ เลย...ร่างบางคุกเข่าลงพิศมองใบหน้าคมใกล้ๆ พยายามหายใจให้เบาที่สุดไม่ให้อีกฝ่ายตื่น



รู้สึกผิดที่ไล่อีกฝ่ายออกจากห้อง แต่ว่าคนที่ทำผิดก่อนน่ะคือคินไม่ใช่เหรอ?



"ก็คินนั่นแหละ ที่ผิดนะ" ริมฝีปากบางกดข้างมุมปากหยักอย่างเผลอไผล เหมือนถูกใบหน้าคมหล่อเหลาสะกดให้ต้องมนต์หลงรัก "เอมรักคิน"



"..."



"...รักนะครับ" ย้ำด้วยคำพูดไม่อาจเพียงพอ ริมฝีปากนุ่มกดแนบชิดย้ำๆ ที่ริมฝีปากคม แต่ไม่ล่วงเกินก่อนจะผละออกมาซบใบหน้าข้างโซฟา จ้องมองใบหน้าหลับพริ้มของคินอย่างนั้นสักพักจนหลับไปง่ายดาย...



หารู้ไม่ว่าหัวใจอีกฝ่ายเต้นดังก้องอย่างกับกลอง ใบหน้าคมแดงเรื่อร้อนผ่าวในความมืดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน



...นี่มัน...ลักหลับกันชัดๆ...



มือใหญ่ยกขึ้นปิดหน้าเขินอาย รู้สึกเหมือนจะกลายเป็นสาวน้อยเมื่อได้ยินคำว่ารักของร่างบาง...หัวใจของเขาจะละลายอยู่แล้ว



...ทำไมชะเอมถึงได้ทำตัวน่ารักแบบนี้...



แต่อีกฝ่ายคงโกรธหนักกว่านี้แน่ถ้ารู้ว่าเขาไม่ได้หลับจริงๆ ...ดังนั้นเขาจะทำเป็นหลับแล้วตื่นมาอย่างคนไม่รู้เรื่องราวอะไร



แต่ก็อดคิดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้...ถ้ารู้ว่าถูกงอนแล้วจะมาง้อกันแบบนี้ จะงอนเยอะๆ บ่อยๆ เลย



คุ้ม...





************************Whose fault? ************************





"ท่านประธาน ทำอะไรอยู่ครับ" เลขาหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทำงานที่รอบห้องติดด้วยกระจกใสรอบด้านเห็นวิวแสงไฟในเมืองไม่หลับใหลจากตึกสูง เกษมศักดิ์กำลังยืนจ้องมือถือเขม็งแถมทำหน้าเหมือนจะกลืนมันเข้าไปยังไงยังงั้น ไม่ได้สนใจคนถามเลยแม้แต่น้อย



"ไอ้ลูกชายคนนี้ ไอ้เรารึอุตส่าห์หาช่วงว่างๆ โทรไป...แต่มันทำตัวเป็นมารหัวขนซะงั้น"



ฮึ่ม!! โมโห!!



มือกดปุ่มโทรไปอีกครั้งและแนบหู แต่เสียงแบบนี้มัน...ปิดเครื่อง!



มือไม้ตกลงแนบลำตัวอย่างหมดแรง น้ำตาตกใน



"ฮือ ชะเอม ลุงคิดถึง...อยากกลับบ้านแล้วอะ"



...อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งตอนนี้เลยดีกว่า...



และคนที่เพิ่งเข้ามาก็เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ





************************Whose fault? ************************



สวัสดีจ้าาา มาต่อให้แล้วเด้อ

เป็นไงเป็นไง ความร้ายและบ้าคลั่งของเรย์(ยา) แต่ชะเอมก็ไม่ได้ยอมให้ด่ากันง่ายๆ นะคะเอ้อ

อีคินนี่ก็นะ...หื่นไม่มีใครเกิน คุณพ่อฟังอยู่มันก็เอาค่ะ!!

ตอนหน้าจะรู้ความจริงแล้วนาาา...ความจริงเรื่องอะไร มารอลุ้นๆๆ กัน ><!!

ไม่ลืมโฆษณารูปเล่ม ใครอยากได้ก็ยังมีอยู่นะเอ้อ ทักมาได้ตลอดเลยที่เพจ H.Rui Novels จ้า

บอกเลยว่าต้องเก็บ ไม่เก็บไม่ได้ ตอนพิเศษน่าอ่านมว้ากจริงๆ ไม่ได้โม้
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 32 08/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 08-02-2019 22:23:47
น่าสงสารเขานะคะ ท่านประธานน่ะ 5555
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 32 08/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-02-2019 23:14:14
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 32 08/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-02-2019 23:54:00
ไม่ใช่ว่าเรย์จะตามไปด้วยหรอ??  อย่าให้ไปนะ,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 33 15/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 15-02-2019 15:46:53


                                Whose Fault ?

                                 ผิด...ครั้งที่ 33





"ว้าว..." ดวงตากลมโตสดใสมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่วิ่งฉิว ประกายแสงอาทิตย์ที่สะท้อนบนผืนน้ำทะเลกว้างใหญ่ช่างดูระยิบระยับไม่แตกต่างจากประกายบนแววตาของชะเอมตอนนี้เลย



ลมทะเลเย็นๆ ที่ปลิวปะทะใบหน้าทำให้ร่างบางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ปล่อยออกมา ท่าทางสดใสที่แสดงออกมา ทำให้คินที่มองอยู่ยิ้มมุมปาก



"พี่ชะเอมเหมือนเด็กเลยค่ะ" เสียงใสดังขึ้นจากเบาะด้านหลังรถ สองสาวรุ่นน้องติดรถมาด้วยกันเพราะว่ารินไม่เคยขับรถมาที่ไกลๆ จึงไม่อยากขับมาด้วยตัวเอง...สาเลยติดมาด้วยตามประการฉะนี้แล



คำกล่าวจากคนที่อายุน้อยกว่าทำให้ชะเอมเขินหน่อยๆ "ก็พี่ไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย" ใกล้สุดก็คงจะเป็นห้างสรรพสินค้าแถวๆ คอนโดมั้ง...พูดไปก็อายเปล่าๆ



"ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาไกลแบบนี้" พูดแล้วก็ยิ้มบาง ตั้งแต่เด็กๆ แล้วเพราะคุณลุงงานยุ่งมากก็เลยไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวซักเท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็เกรงใจมากด้วย เข้าใจว่าคนที่เป็นถึงประธานบริษัทจะต้องงานยุ่งจริงๆ



แต่ก็ไม่เคยน้อยใจคุณลุงเลยแม้แต่ครั้งเดียว



"เราจองที่พักไว้ที่...เอ่อ โรงแรมอะไรนะครับ"



"โรงแรม...น่ะ นั่นไงเห็นตึกสูงๆ นั่นมั้ย พวกเราใกล้ถึงแล้ว"



ดวงตาสีดำจ้องมองตามทิศทางที่ว่า เพียงไม่นานก็มาถึง รถฮอนด้าสีดำแอคคอร์ดแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมหรูอย่างเงียบเชียบ และพอลงจากรถก็มีพนักงานลงมาช่วยยกกระเป๋าให้ ร่างผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนใส่สบายและขาสามส่วนพอดีเข่าเหมาะกับมาเที่ยวทะเลกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจ กับร่างสูงที่ลงจากรถมายืนข้างๆ ก็แต่งตัวแบบเดียวกันเป๊ะๆ



"โห เฮ้ย เสื้อคู่กางเกงคู่นี่หว่า" เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งเอ่ยแซว ทำให้สี่คนที่เพิ่งมาหันไปมอง ซึ่งสองสาวมองอย่างสงสัยเพราะไม่รู้จัก



"ดีนะไม่ใส่รองเท้าคู่ด้วย" สินแซวต่อยิ้มๆ



"ดิน! สิน!" ชะเอมเดินเข้าใกล้เพื่อนก่อนจะมองหาคนอื่นๆ "แล้วรามล่ะ?"



"มากับผั...แฟนมันอะดิ" ดินเกาหน้าตอบเลี่ยงๆ ...เกือบหลุดคำไม่ดีไปแล้วไงกู



"เหรอ... แล้วทั้งคู่ล่ะ มาถึงนานแล้วเหรอ"



"ก็ประมาณครึ่งชั่วโมงได้" สินควงกุญแจ ก่อนจะเลิกคิ้วถามเมื่อสังเกตได้ว่ามีผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่เยื้องๆ ด้านหลังมาด้วยกัน "ว่าแต่สองสาวตรงนั้นคือ...?"



"อ๋อ นี่รุ่นน้องของคินน่ะ เรียนวิศวะ ชื่อสากับรินอยู่ปีหนึ่ง" ชะเอมรีบแนะนำสองสาวให้เพื่อนรู้จัก ซึ่งทั้งสาและรินก็ก้มหัวเกร็งๆ



"สวัสดีค่ะ"



"ส่วนนี่ เพื่อนพี่อยู่คณะเดียวกันแต่คนละเอก สินกับดินนะ"



"เอม มึงกินข้าวมายัง" ดินเอ่ยถาม พร้อมลูบท้องที่ร้องโครกครากมาตั้งแต่เช้า "พวกกูว่าจะไปหาอะไรกินสักหน่อย ไปด้วยกันปะ"



ร่างบางเหลือบมองใบหน้าคมที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วก็บอกปฏิเสธ "เรากับคินกินมาแล้วแต่น้องๆ ยังไม่ได้กินเลย"



"แล้วพวกน้องจะไปกินกับพวกพี่มั้ย" ดินชะโงกถามสองสาวที่มองหน้ากัน



"ที่ไหนคะ"



"ไม่รู้ดิ คงหาแถวนี้แหละ ร้านเยอะแยะ หรือจะกินในโรงแรม?"



"ในโรงแรมก็ได้ค่ะ" รินว่า เธอไม่ค่อยชอบกินอาหารตากแดดร้อนๆ เท่าไหร่ ส่วนรสายังไงก็ได้เพียงแต่ไม่ค่อยกล้าออกความคิดเห็น...ก็พี่ดินกับพี่สินดูน่ากลัว ไม่เห็นเหมือนพี่ชะเอมเลย



"งั้นรีบไป พี่หิว จะกินควายทั้งตัวได้อยู่แล้ว" ดินเร่งฝีเท้าเดินฉิวมุ่งหน้าเข้าโรงแรมไปก่อน โดยทิ้งเพื่อนกับรุ่นน้องไว้ สองสาวมองตาปริบๆ แล้วสินก็หลุดหัวเราะ



"ไม่ต้องกลัวนะ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ทำตัวสบายๆ เข้าไว้" จริงๆ แล้วสินจะพูดว่ามันก็หยาบคายอย่างนี้แหละ แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ



"ค ค่ะ"



"งั้นเดี๋ยวเราไปเดินเล่นแถวนี้กับคินก่อนนะ" ชะเอมชี้ออกไปนอกทะเล ประมาณว่าจะไปเดินที่ชายหาด



ซึ่งสินก็ทำมือโอเคก่อนพาสองสาวเดินเข้าโรงแรมไป



"ไปกันเถอะคิน" มือบางจับมือใหญ่แล้วเดินนำ ซึ่งขายาวก็เดินตามแผ่นหลังบางไปไม่ได้พูดอะไร



สัมผัสที่แทรกผ่านเข้ารองเท้าแตะมาทำให้ชะเอมถอดรองเท้า และใช้เท้าสัมผัสกับเม็ดทรายสีขาวละเอียดโดยตรง



"เอม อย่าถอดรองเท้าสิ เดี๋ยวมีอะไรบาดขึ้นมาจะทำยังไง" คินเอ่ยเสียงดุด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นได้บ่อยจะตายว่ามีทั้งเปลือกหอยหรือเศษแก้วบาดเท้านักท่องเที่ยวกันให้วุ่น แต่ชะเอมที่ตื่นเต้นเหมือนเด็กเดินไปนู่นแล้ว ร่างสูงก็ถอนใจก้มหยิบรองเท้าที่ชะเอมถอดทิ้งไว้ก่อนจะเดินตามไป



ใบหน้าหวานมุ่ยเมื่อมองคินใส่รองเท้าแตะเข้ามา "มาเดินชายหาดเขาก็ต้องเดินเท้าเปล่าสิครับ"



ไม่งั้นก็ไม่รับรู้ถึงธรรมชาติไม่ใช่เหรอ



ดวงตากลมมองน้ำทะเลและคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งก่อนที่เท้าจะเหยียบลงบนทรายเปียกๆ ยืนลุ้นรอให้คลื่นทะเลมันซัดเข้ามาโดนเท้าอีกครั้ง



ซ่า...



"เย็น..." เท้าก้าวไปข้างหน้าอีกนิด...อยากสัมผัสมากกว่านี้อีกสักนิด มือบางกวักเรียกให้คนยืนมองมาด้วยกัน "คิน มานี่สิ น้ำทะเลเย็นๆ ครับ"



ร่างสูงถอนใจ หึ ถือซะว่าพาเด็กมาเที่ยวเล่น...ถ้าอีกฝ่ายมีความสุข เขาก็จะตามใจ



"อยากเล่นทะเลแล้วสิ"



"เอาไว้เย็นๆ รอแดดร่มก่อนแล้วเดี๋ยวคินจะให้เล่นนะ"



ชะเอมพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย ก่อนจะถามตาวาว "แล้วคินจะมาก่อทรายด้วยกันมั้ย เอมอยากก่อปราสาท"



ตอนเด็กๆ ได้ยินเพื่อนๆ คุยกันในโรงเรียนว่าไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวมาแล้วก่อทรายเป็นรูปนั้นนี้อย่างน่าอิจฉา คราวนี้ร่างบางได้มาเอง เขาจะต้องทำให้เป็นรูปร่างจะได้ถ่ายรูปเก็บไว้เอากลับไปอวดคุณลุง



"ได้ เอาสิ" คินพยักหน้ายิ้มๆ ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาทำอะไรเด็กๆ แบบนี้ แต่ถ้าหากนี่เป็นสิ่งที่ชะเอมต้องการ...เขาก็อยากจะทำด้วยเช่นกัน



ทั้งสองเดินเล่นอยู่สักพักจนผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง แดดจากอ่อนๆ เริ่มแรงขึ้นจนร้อนอบอ้าว



ครืด ครืด



"ว่า? มาถึงแล้วเหรอ...เออ อยู่ชายหาด เออเดี๋ยวเข้าไป" ร่างสูงวางสายจากเอกที่โทรมาบอกว่าถึงแล้วเมื่อครู่และกำลังรออยู่ที่ห้องโถงรับรองแขกของโรงแรม



“เอม พวกเอกมาถึงแล้ว เราก็เข้าไปกันเถอะ”



"ครับ..." ขาเรียวเดินตามแผ่นหลังกว้าง จู่ๆ ร่างบางก็รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ภาพที่เห็นตรงหน้าพร่าเลือน "คิ...น"



เป็นอะไรน่ะ...?



ร่างบางหยุดยืนนิ่ง หรี่ตาพยายามมองตรงไป ขายกก้าวเดินอีกก้าว...ไม่พ้นก้าวที่สอง ก่อนที่ขาเรียวจะทรุดลงกับพื้นทรายที่ร้อนระอุ



คินหันมา เพราะได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างล้มลง “เอม?”



"เอม!!" ภาพที่เห็นทำให้ขายาวรีบถลันตัวเข้าไปดูชะเอมที่ยังพยุงตัวเองให้คุกเข่าไว้ แต่แค่แปปเดียวก่อนที่ร่างทั้งร่างจะทิ้งตัวอย่างอ่อนแรง แต่คินรับไว้ทัน "เอม...เป็นอะไร!?"



"แฮ่ก..."



มืด...มองอะไรไม่เห็น แต่รับรู้ได้ว่าตนยังมีสติ ได้ยินเสียงทุ้มตะโกนผ่านโสตประสาทที่อื้ออึง และจากนั้นก็เหมือนถูกอุ้มไปที่ไหนสักแห่ง



ร่างบางเหงื่อออกมากซ้ำยังหอบหายใจติดขัดเหมือนคนจะเป็นลม ไม่มีแรงแม้แต่จะพยุงตัวจนต้องพิงอกกว้างด้วยน้ำหนักทั้งหมด คินไม่รอช้าช้อนร่างเบาหวิวแนบอก ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่โรงแรมอย่างรวดเร็วพอมาถึงเลาจ์โรงแรม เพื่อนที่เพิ่งมาถึงยืนคุยกันอยู่ พากันหันมามองก็พากันตกใจ



"เฮ้ย เอม...เป็นไรวะ!?" ดินส่งเสียงมาก่อนใครเพื่อน



"เหมือนจะเป็นลม ใครมียาดมบ้าง ขอหน่อย!" คินรีบแกะยาดมที่ได้รับจากใครก็ไม่รู้โบกเหนือจมูกเล็กให้ร่างบางได้รู้สึกดีขึ้น ในใจร้อนรนกังวลเหลือแสน เคยเห็นครั้งหนึ่งที่ชะเอมเป็นแบบนี้เมื่อตอนอยู่ค่ายแต่นั่นเป็นเพราะเอมไม่สบายและฝืนทำงานกลางแจ้ง แต่นี่อะไร ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย...แล้วทำไม



"อึก..."



ผ่านมาหลายนาที อาการของชะเอมไม่ดีขึ้น แถมยังยกมือขึ้นมากุมหน้าอกเหมือนก้อนเนื้อด้านในนั้นมันบีบตัวทำให้เจ้าของร่างกายมีท่าทางทรมาน พอเป็นแบบนี้มือไม้ของคินก็ยิ่งสั่นหนักเข้าไปใหญ่



...เอม เป็นอะไรน่ะ...



ไม่อยากจะคิดไปไกลว่ามันคืออะไร...ได้แต่หลอกตัวเอง



"กูว่าไม่ดีแล้ว" ดินพูดออกมา



"พี่คินคะ รินว่าเรียกหมอดีกว่า"



"ถ้าหากต้องการหมอล่ะก็ ทางเรามีเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วครับ" พนักงานชายที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ภาคินเดินอุ้มคนตัวเล็กเข้ามาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เพราะชีวิตของลูกค้าในโรงแรมก็ถือเป็นสำคัญ



"ครับ ขอความกรุณาด้วย"



"งั้นเชิญทางนี้เลยครับ"



การมาเที่ยวครั้งนี้ ยังไม่ทันเริ่มก็หมดสนุกซะแล้ว...







"อาการข้างเคียงของคนเป็นโรคหัวใจครับ"



"คุณหมอ...ว่าอะไรนะครับ" คินถามอีกครั้ง เมื่อกี้หูคงฝาดถึงได้ยินอะไรผิดไป "หมอต้องตรวจอะไรผิดแน่ครับ เพราะเอมหายขาดจากโรคไปนานแล้ว ไม่มีทางที่มันจะ..."



"ต้องขอโทษนะครับ คนป่วยโรคหัวใจถ้าหากดูแลรักษาร่างกายดีๆ อาจจะหายได้จริง แต่ไม่อาจหายขาด หากมีปัจจัยบางอย่างอย่างเรื่องความเครียด การพักผ่อน หรือการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเรื่องเหล่านี้จะสามารถกลับมาทำให้เป็นและมีอาการกำเริบได้อีก และดูจากอาการของคุณเอมภัทรแล้วหมอว่าน่าจะเป็นมาได้สักพักแล้ว" คินฟังคำบอกเล่าอาการของแพทย์แล้วเหมือนถูกตบจนหน้าชา "และร่างกายก็น่าจะได้รับยาระงับอาการมาหลายครั้งแล้วด้วยนะครับ"



เป็นมาสักพักแล้ว?



ยาระงับอาการ?



“ไม่ทราบว่าคุณเอมภัทรมีหมอประจำตัวอยู่รึเปล่าครับ”



หมอประจำตัว?



ถ้าหากเรื่องนี้ที่เขาเพิ่งได้รับรู้เป็นเรื่องจริงล่ะก็ คนที่รู้ดีกว่าใครน่าจะเป็นอากฤษ ไม่รอช้ามือล้วงหยิบมือถือขึ้นมาทันทีด้วยมือสั่นๆ จึงค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะหาเบอร์คนที่อยากจะโทรหาเจอ



("ว่าไงคิน")



"อากฤษครับ ผม...ขอถามอะไรหน่อยจะได้ไหม"



("...ว่ามาสิ")



"เรื่องเอม"



("รู้แล้วเหรอ?") กฤษณะกรอกเสียงมาตามสายเมื่อได้ยินเสียงร้อนรนของชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนเป็นหลาน คินนิ่งอึ้ง คำพูดสั้นๆ ของอากฤษยิ่งตอกย้ำสิ่งที่หมอตรงหน้าพูดว่ามันเป็นความจริง ("หรือว่าอาการกำเริบอีกแล้ว? แล้วเอมเป็นอะไรมากหรือเปล่า")



"ครับ...เป็นลมหน้ามืดกับเจ็บหน้าอก" สายตาคมเหม่อมองร่างบางที่นอนหลับหน้าซีดเซียว



("อ่า อาให้เขาพกยาโรคประจำตัวเอาไว้ คินก็ช่วยเตือนๆ เขาหน่อยแล้วกันว่าให้กินประจำเช้าเย็น และทุกครั้งที่มีอาการ")



"นานหรือยังครับ"



("หืม?")



"ชะเอมเป็นแบบนี้นานหรือยัง" คินถามเสียงเบาหวิว "บอกความจริงผมมาเถอะครับ"



อย่า...โกหกกันไปมากกว่านี้เลย



กฤษณะอึกอักแต่สุดท้ายก็ยอมบอกด้วยเสียงหนักใจ ("ก็...เฮ้อ ก็หลายเดือนแล้วล่ะ อาคิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ชะเอมโกหกอาว่าคินออกไปค้างหอเพื่อนเพราะทำงานกลุ่ม ราวๆ ครึ่งปี")



ตึก! ตัก!



นั่นมันคือช่วงที่เราสองคนทะเลาะกันและเขาออกจากห้องไปจริงๆ



ความจริงที่ถูกปิดบังไว้ พอรู้แล้วมันรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบดขยี้



ทั้งเจ็บ...ทั้งจุก



รู้สึกน้ำตามันกำลังจะไหล



ชะเอมจะรู้สึกยังไง ตอนที่อยู่คนเดียวไม่เหลือใครเลย...ตอนที่ทิ้งชะเอมไป ไม่เคยคิดว่าร่างบางจะต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายอยู่เพียงลำพัง ต่อสู้กับมัน...คนเดียว



ในเวลาที่ชะเอมทุกข์ทรมานเพราะร่างกายอ่อนแอ ทำไมผมถึงไม่คอยอยู่เคียงข้างเขา



"ขอบคุณ...มากครับ" พอพูดจบ มือกดปุ่มวางสายทันที ไม่มีสติจะฟังอะไรอีก แขนตกข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง



แล้วทำไม...ถึงเป็นเขาที่ต้องรู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย



ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญของคนสำคัญที่สุดแท้ๆ



"อือ..." ชะเอมที่นอนหลับส่งเสียงเป็นสัญญาณว่ารู้สึกตัวแล้ว



'ไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอกคิน อารู้ว่าเธอกำลังโทษตัวเองอยู่...แต่อาเคยเตือนเอมหลายต่อหลายครั้งเรื่องที่จะให้บอกเรื่องอาการที่กำเริบนี้กับคินและพี่เกษม แต่รู้มั้ยว่าเอมตอบอาว่ายังไง'



ร่างสูงหยุดยืนอยู่หน้าเตียงมองร่างบางที่สลึมสลือกระพริบตาถี่เพราะต้องแสงไฟ



เตียงสีขาวกับผิวสีขาวช่างไม่เข้ากันเสียเลย...ไม่เหมาะกันเหมือนกับตอนที่อยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าปูสีเข้มในห้องของ 'เรา'



ถึงกระนั้น...



คินค่อยๆ พยุงคนตัวผอมขึ้นแผ่วเบาและใช้หลังมือไล้ที่ผิวใบหน้า...มันเย็นเฉียบ



ดูเหมือนว่าชะเอมจะรู้สึกตัวและทบทวนสติได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ริมฝีปากบางเม้มแน่นและมองใบหน้าคมอย่างกล้าๆ กลัวๆ



เขาคงรู้ว่าผม 'รู้' แล้ว



"...!"



ร่างสูงคว้ากอดคนตรงหน้าไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไร



ไม่รู้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร



...รู้สึกผิด...



...เสียใจ...



...เศร้าใจ...



...เจ็บปวดทุกข์ทรมาน...



มันปนเปกันไปหมด



'ไม่อยากทำให้คินกับคุณลุงเป็นห่วง...ดื้อสุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะเด็กคนนี้น่ะ'



จะต้องรอให้อีกฝ่ายเป็นถึงขนาดไหนผมถึงจะได้ 'รู้' ...ต้องรอให้เสียเขาไปก่อนใช่ไหม



ถ้านี่เป็นเรื่องที่ชะเอมปิดบังเอาไว้ ผมอยากจะขอ...ให้มันเป็นเรื่องเดียวและเรื่องสุดท้าย



'เอมน่ะ คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนในครอบครัวจริงๆ'



ผมไม่อยากเป็นคนโง่...ที่จะได้รู้เรื่องเป็นคนสุดท้ายอีกแล้ว



'เอมเป็นแค่เด็กกำพร้า ไม่มีสิทธิ์ไปใช้เงินพ่อของคินหรอกครับ'



"คิน? ฮึก..." น้ำตาเม็ดโตไหลออกมาเมื่อรับรู้ถึงความเปียกชื้นที่ลาดไหล่ คินกำลังร้องไห้ "เอมขอโทษ...เอมขอโทษครับ"



'คิน เอมรักคิน...รักนะครับ'



ถ้าหากชดใช้ด้วยชีวิตนี้ได้...เขาพร้อมยินดีทำเพื่อชะเอมอย่างไม่ลังเล



เขาขอสาบาน




************************Whose fault? ************************



หนังสือมีสต็อคอยู่มาติดต่อที่เพจ H.Rui Novels ได้เลยจ้า

ส่วนอีบุ๊คก็ลงไว้ที่ ookbee เสิร์ชชื่อเรื่องปุ๊บขึ้นปั๊บ จ่ายแล้วได้อ่านทันที ^^!

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 33 15/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 15-02-2019 15:48:06


                                          Whose Fault ?

                                          ผิด...ครั้งที่ 33.5





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



'อย่าปิดบังกันอีกเลยนะ'



นั่นคือสิ่งที่คินขอร้องชะเอมทั้งน้ำตา เพราะคนที่มารู้ทีหลัง...มันเจ็บปวด ทุกข์ทนไม่แพ้กัน



ไม่โทษใครนอกจากตัวเอง เป็นเพราะเขาไม่ใส่ใจอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก



'จากนี้ไป มาทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นกันนะ'



...เริ่มต้นกันใหม่...



จากนั้นชะเอมก็ยอมเล่าให้เขาฟังทุกอย่าง ตั้งแต่ป่วยครั้งแรกและจำนวนครั้งของอาการที่กำเริบ มีมาเรื่อยๆ และทุกครั้งก็ใช้ยาเป็นตัวช่วย



และเรื่องของพ่อแท้ๆ ที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว แม้แต่กับพ่อ



"สมัยก่อนตอนเอมเด็กๆ พ่อมักจะออกไปข้างนอกทั้งวัน กลับมาอีกทีก็จะมีแต่กลิ่นเหล้า เอมไม่รู้ว่าพ่อออกไปไหน แต่กลับมาทุกวันเอมจะต้องโดนพ่อทุบตี เอมจำได้แค่ว่าเจ็บ...เจ็บมาก..." ชะเอมพิงอกแกร่งเล่าเสียงแผ่ว เผลอขดตัวเข้าหากันเพราะยังรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง และในบางครั้งยังฝันร้ายที่ส่งผลมาถึงความเป็นจริง "พ่อจะตีเอมแล้วก็ด่าว่าเพราะเอมทำให้พ่อจน เพราะเอมทำให้แม่ตาย เป็นเพราะเอมทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง และเอมก็ได้แต่ภาวนาให้แต่ละวันจบไป ถ้าไม่สลบไป พ่อก็แค่เบื่อเหนื่อยแล้วก็เลิกไปเอง"



คินได้แต่กอบกุมมือบางเอาไว้ อดีตของร่างบางทำให้เขารู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาสบายอยู่บนกองเงินกองทองเพราะสิ่งที่ต้นตระกูลสร้างเอาไว้



"ตอนนั้นถึงเอมจะเป็นเด็กแต่เอมก็เข้าใจสิ่งที่พ่อพูดทุกประโยค...ทุกคำ"



คนเรานั้น...เลือกเกิดไม่ได้



"จนเอมทนไม่ไหวอีกต่อไป เอมวิ่งหนีออกมา ไม่รู้ว่าคือที่ไหน จนหลงทางมาที่สถานเด็กกำพร้า"



และวันนั้น...



"แล้วเอมก็ได้เจอกับคุณลุง คุณลุงใจดีมาก ใจดีจนเอมกลัว" เสียงใสหลุดหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลกแต่ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ "เพราะสิ่งที่เคยเจอมีแต่เรื่องเลวร้าย เอมเลยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คุณลุงมีให้คืออะไร"



เกษมศักดิ์ที่เดินเข้ามาหาและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน...ช่างน่ากลัว



"แต่ตอนนี้เอมรู้สึกขอบคุณที่ได้มีวันนี้ ได้เจอคุณลุง...ได้เจอคิน...ได้รัก..."



ไม่ว่าจะขอบคุณอีกสักกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถตอบแทนพระคุณนี้ได้เลย ผู้มีบุญคุณต่อชีวิตของเขา



...เกษมศักดิ์ อนันต์โภคทรัพย์...



และคนที่กลายมาเป็นคนสำคัญ...ลูกชายของท่าน



...ภาคิน อนันต์โภคทรัพย์...



"เพราะงั้นเอมเลยพยายามจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองบ้าง เพราะรู้อยู่แล้วว่าซักวันหนึ่งจะต้องออกมาพึ่งตัวเอง..." ริมฝีปากบางยิ้มอ่อนให้ร่างสูงที่ทำหน้าเศร้า



"เอมเป็นครอบครัวของเรานะ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนอื่นอีกเลย คินขอร้อง"



"เอมก็อยากทำแบบนั้น” คุณลุงกับอาหมอก็เคยพร่ำบอกอยู่ตลอด “แต่ในใจลึกๆ แล้วก็ไม่อาจยอมรับมันได้อย่างเต็มใจ เพราะรู้ดีว่าเอมไม่ใช่ลูกคุณลุงจริงๆ ...ไม่ใช่สายเลือด"



ไม่อยากถูกมองว่าเป็นเป็ดดำที่ริอาจเป็นหงส์ขาว



"ใครจะมองก็ให้เขามองไปสิ อย่างน้อยพ่อก็ไม่สนใจอยู่แล้ว"



"คินก็รู้...เอมไม่อยากทำให้คุณลุงเดือดร้อน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร"



ทั้งสองอิงแอบแนบชิดกันบนเตียงสีขาวของผู้ป่วยในห้องพักพยาบาลของโรงแรม กอดซึมซับถ่ายทอดความรู้สึกซึ่งกันและกัน



"มีใครรู้บ้าง เรื่องของเอม"



"ก็มี เพื่อนของเอม พวกรามน่ะ...แล้วก็น้องสากับน้องริน"



"รู้ได้ยังไง เอมเป็นคนบอกเหรอ" คินถามขมวดคิ้วเผลอกระชับร่างผอมในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัว



"เปล่า พวกรามน่ะอาหมอเป็นคนบอก ส่วนน้องสากับน้องริน ถ้าคินยังจำได้ เอมเคยอาการกำเริบในกระท่อมร้างนั่นที่ค่ายด้วย...มันปิดบังกันไม่ได้อยู่แล้ว เอมก็เลยบอกไป"



"คินไม่เคยรู้เลย..." นึกเรื่องเก่าๆ แล้วได้แต่โทษตัวเอง



"ก็เอมไม่อยากให้รู้นี่นา” ร่างผอมหัวเราะ “แล้วคินรู้ได้ไงครับ"



"หมอคนที่มาตรวจเขาบอก...คินตกใจมาก..." ใบหน้าคมซบลงลาดไหล่จากด้านหลัง สูดดมความหอมที่ไม่ว่าอย่างไรความหอมบริสุทธิ์เหมือนเด็กอ่อนก็ไม่เคยเจือจางหายไปไหน "ก็เลยโทรไปถามอากฤษเพราะน่าจะรู้เรื่องนี้"



"..."



"จริงๆ คินก็ตะหงิดๆ ใจอยู่แล้วว่าเอมมีเรื่องที่ยังปิดบังไม่ได้บอก...แต่ไม่คิดเลย...ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงแบบนี้"



ช็อคขนาดไหน เมื่อรู้ความจริง



แขนบางโอบกอดตอบอ้อมแขนแข็งแกร่งที่ดูอ่อนแรงเหลือเกินในตอนนี้ "เอมขอโทษครับ..."



...เพราะไม่อยากให้เป็นห่วงจึงเลือกที่จะปิดบัง...



คินดันร่างบางออก จับไหล่บางแน่นบอกเสียงจริงจัง



"แต่ยังไงเอมก็ต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อ"



"แต่คุณลุงกำลังยุ่งเรื่องงาน" คิ้วบางขมวด ถ้าหากเรื่องของเขาไปรบกวนจนไม่ได้ทำงานล่ะ



"ชีวิตของเอมสำคัญกว่านะ!" เสียงทุ้มตะคอกดัง ไม่เข้าใจสักนิด...ทำไมอีกฝ่ายถึงพูดเหมือนชีวิตของตัวเองมาทีหลังก็ไม่เป็นไรล่ะ? ใช้ชีวิตด้วยความคิดแบบนี้...มันไม่ดีเลย "อย่าพูดเหมือนชีวิตของตัวเองไม่สำคัญได้มั้ย ถ้าคินทำให้เอมเคยรู้สึกแบบนั้น คินขอโทษ..."



รู้ดี...ว่าจะขอโทษสักกี่ร้อยกี่พันครั้งมันก็ชดใช้ไม่ได้



แขนยาวทำได้แต่กอดคนตรงหน้าไว้แน่นๆ ...เพราะรู้สึกเหมือนชะเอมจะห่างออกไปทุกที



จะให้ทำยังไง...ยังไงก็ได้



"บอกพ่อเถอะ อย่าให้มันสายเกินไป...คินเสียใจแค่ไหนเอมรู้มั้ย" ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหลไม่หยุด ตาคมแดงก่ำ แค่นึกถึงตอนที่เห็นอีกฝ่ายไม่มีชีวิตอยู่แล้ว...มันเจ็บปวดทรมาน "ถ้าชะเอมรักพ่อก็อย่าให้เขารู้สึกเสียใจแบบที่คินเป็น"



ในอกบางเจ็บหนึบ นี่คือสิ่งที่เขาพยายามจะทำมาตลอด เลือกปิดบังเกี่ยวกับร่างกายตัวเอง...แล้วเป็นยังไง



ผลลัพธ์คือภาพที่เห็นปรากฏอยู่เบื้องหน้า หยาดน้ำตาและความเสียใจยิ่งของคนที่รัก



ชะเอมคิดอะไรไม่ออกจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับคำขอร้อง



"ครับ"



...ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาเสียใจกับเรื่องของเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว







************************Whose fault? ************************







"เป็นไงบ้างเอม"



ชะเอมยิ้มอ่อน ก็กว่าจะคุยและปรับความเข้าใจกับคุณลุงได้ แถมอีกฝ่ายเกือบจะทิ้งงานทั้งหมดและกลับมาจากต่างประเทศนั่นแหละ ทำให้ต้องเกลี้ยกล่อมและสุดท้ายชะเอมก็ต้านความดื้อไม่ไหวต้องฝากคุณเลขารับมือต่อ



"อืม ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ขอโทษนะทุกคนที่ทำให้ตกใจ"



อาการกำเริบของเขาถ้าใครไม่ชินก็ต้องมีตกอกตกใจกันบ้างเป็นธรรมดา บางคนใจเสียไปเลยก็มี อย่างเช่นน้องสาที่ร้องไห้ตาแฉะอยู่ตรงนั้น



"น้องสา พี่ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ"



"คะ ค่ะ พี่ชะเอมไม่เป็นไรแล้ว สาก็ ฮึก ดีใจ" รสาพูดว่าดีใจแต่ก็ยังสะอึกสะอื้นไม่หาย ทำให้รินที่อยู่ข้างๆ คอยลูบหลังปลอบตลอด ก่อนที่เธอจะเดินและยื่นของมาให้



"นี่ของๆ พี่ค่ะ"



กระเป๋าของเขา?



"ขอบคุณนะน้องริน" ชะเอมยิ้มบาง



"ว่าแต่..." สินมองชะเอมสลับกับคิน ซึ่งเพียงแค่เอมยิ้มอ่อนและพยักหน้า ก็ดูเหมือนจะเข้าใจง่ายๆ ...บอกไปแล้วสินะ "ดีแล้ว"



เพราะคนที่น่าจะรู้สึกผิดและเจ็บปวดยิ่งกว่าใคร ไม่น่าจะพ้นชายคนนั้นหรอก



“เอม” ร่างโปร่งเดินเข้ามาตบไหล่ สีหน้าโล่งใจขึ้น “ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไร”



“ราม...” ชะเอมยิ้มดีใจ เพื่อนคนแรกของเขา แม้ไม่ได้เจอกันสักพักแต่ก็ยังเหมือนเดิม “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”



"นี่บอกทุกคนแล้วเหรอ" ชะเอมมองไปที่เพื่อนๆ ที่จ้องมองมาทางนี้ทุกคน



"เจอแบบนั้นเข้าไป ไม่บอกก็คงโดนคาดคั้นอยู่ดีแหละ" สินยักไหล่ประมาณว่าช่วยไม่ได้จริงๆ



"อะฮะๆ" ร่างบางยิ้มแหยหัวเราะแหะๆ ...ก็นั่นน่ะสินะ



"แล้วเอาไงต่อ ยังมีอารมณ์เที่ยวต่อมั้ย" เม็ดทรายถามขึ้น เท้าสะเอวอยู่ข้างกายชายกำยำกล้ามใหญ่ “หรือว่าจะกลับ”



"เที่ยวสิ เราเป็นคนชวนทุกคนมา ไม่ให้มาเสียเที่ยวหรอก" ชะเอมรีบโบกมือ ทำให้ทุกคนโล่งใจเพราะดูท่าทางร่างบางสดใสขึ้นเยอะ คงจะไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ "ยังไงก็เช็คอินโรงแรมก่อน..."



"พวกกูทำแทนให้แล้ว...อ่ะ เอากุญแจไป" ดินเดินเข้ามายัดสิ่งที่น่าจะเป็นกุญแจห้องใส่มือบาง ก่อนที่ดวงตากลมจะมองอย่างสงสัย "พวกเราแบ่งห้องกันแล้ว ห้องละสองคนพอดี"



ชะเอมกระพริบตาปริบกวาดตามอง...คุณเม็ดทรายกับแฟนหนุ่ม เอกกับตาล น้องสากับน้องริน ดินกับสิน รามกับไอติม สุดท้ายเขากับคิน...ลงตัวจริงๆ ด้วย



"ดีนะแบ่งเป็นบ้านส่วนตัว เวลาจะทำอะไรจะได้ไม่ต้องกังวลว่าใครจะได้ยิน" สินเป็นคนพูด ยิ้มกริ่มคนเดียวไม่มีใครเข้าใจ



"บ้าน?" ชะเอมงุนงง “เป็นบ้านเหรอ”



"อ้าว ก็ไอ้คินผัวมึงจองบ้านไว้ไง บ้านส่วนตัวหลังละสองคน อยู่หลังตึกใหญ่ไปนิดหน่อย"



ชะเอมหน้าแดงแปร๊ดกับคำเรียกหยาบคายของดิน ไม่ได้ฟังแล้วว่าอีกฝ่ายอธิบายอะไร แก้ไขความเข้าใจผิดที่คนผิวคล้ำตั้งใจให้มันผิด "ดิน คินเป็นแฟนเฉยๆ นะ"



"อ้าว อีกหน่อยก็ต้องเป็นผ...อยู่ดีไม่ใช่เหรอวะ"



"...งือ" หลายๆ คนหัวเราะกับคนขี้เขินที่ได้ยินคำเรียกก็ตัวแดงเป็นกุ้งได้แล้ว ในบรรยากาศผ่อนคลายมีอยู่สองคนที่ไม่ได้ร่วมหัวเราะสนุกสนานไปกับเขาด้วยคือไอติมที่ยืนหน้านิ่งกับ...คิน



ชะเอมเหลือบมองร่างสูงที่ยืนนิ่งเยื้องอยู่ด้านหลังอย่างกังวล แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ ใบหน้าหวานก็หงอยซึม



...คิน...เป็นอะไรน่ะ...



ดินปรบมือเรียกความสนใจ "เอ้าๆ เอากระเป๋าไปเก็บแล้วเดี๋ยวมาเจอกันตอนเที่ยง แล้วค่อยออกไปกินข้าวกัน ก่อนถึงเวลาเป็นช่วงฟรีสไตล์อยากไปไหนก่อนก็แล้วแต่เลยนะ"



"ได้/โอเค/ตามนั้น"



"...ว้าว บ้านสวยจัง" ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วตั้งแต่รอบๆ บ้านที่มีต้นไม้สีเขียวเต็มไปด้วยธรรมชาติ บ้านเดี่ยวชั้นเดียวแต่อาณาเขตกว้างขวาง ดูใหญ่เกินกว่าสำหรับอยู่กันสองคนด้วยซ้ำ ทางเดินที่ถูกปูด้วยกระเบื้องแผ่นยาวนำพาขาสองคู่ให้ก้าวเดินไป



บรรยากาศระหว่างคนสองคนเงียบเชียบมีแต่เสียงฝีเท้า ร่างบางเดินตัวเปล่าสะพายเพียงแค่กระเป๋าที่มักจะต้องมีของจำเป็นติดกายเอาไว้แค่นั้น เพราะกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเขาใช้กระเป๋าเดียวกับคินเพราะใบมันใหญ่พอสำหรับใส่ของๆ ผู้ชายสองคน แถมมากันแค่สองวันสัมภาระเลยไม่ได้มากมายอะไร



ริมฝีปากบางเม้มจนซีดขาว มือบางกำสายกระเป๋าและกุญแจในมือแน่น กังวลใจเหลือเกิน



คินโกรธอะไรเขาเหรอ?



ทำไมถึงไม่พูดอะไรสักคำ



หรือเพราะเรื่องที่ไม่บอกว่าป่วย



ยิ่งนึกถึงภาพก่อนจะแยกเดินมาที่พัก คินยังคุยและยิ้มกับคนอื่นปกติอยู่เลย แล้วทำไมกับเขา...



"...อึก" ชะเอมกลืนน้ำลาย พอคิดมาก ก้อนเนื้อในอกก็เริ่มปวดหนึบ เพิ่งอาการกำเริบมาจึงรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายเป็นพิเศษ มือค่อยๆ ยกขึ้นกำเสื้อตรงเหนืออกหนักสลับเบา...ยังไม่เป็นไร แค่เจ็บนิดหน่อยเท่านั้น



เมื่อเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ แขวนป้ายเล็กๆ น่ารักบ่งบอกเลขห้องอยู่เหนือศีรษะเล็กน้อย ชะเอมก็ไขประตูด้วยมือไม้สั่นเทา



แกร๊ก...



พอเปิดเข้าไป สิ่งที่พบอย่างแรกคือห้องโถง มีโต๊ะไม้ที่ไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างตัวใหญ่ กับเก้าอี้สี่ตัว ทีวีจอแบน ลิ้นชักเล็กๆ มุมห้อง แจกันใส่ดอกไม้



ขายาวเดินนำเข้าห้องด้านในไปก่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน ร่างบางก็เดินตามไป ในใจกังวลมากขึ้นจนกลายเป็นเริ่มหวาดกลัว ริมฝีปากบางขบกัดกันอย่างคนคิดมาก



ชะเอมหย่อนตัวลงนั่งขอบเตียงเดี่ยวกว้าง ไม่ได้สนใจมองอะไรอีกแล้วนอกจากแผ่นหลังกว้างที่ก้มลงเปิดกระเป๋าเดินทาง ง่วนกับการทำอะไรสักอย่าง...ไม่มองหน้า ไม่สนใจ



"คิน..." เสียงใสเรียกแผ่วเบา แต่อยู่กันสองคนไม่มีทางที่จะไม่ได้ยิน แต่กระนั้นเจ้าของชื่อก็ยังไม่หันมามือเริ่มขยำเสื้อแน่นเพราะความทรมาน ก้อนเนื้อในอกเต้นดังขึ้นทุกที จนหูอื้อไปหมด



"..."



"คิน..." ร่างผอมบางคู้ตัวลงขดนอนที่ปลายเตียง มือบางพยายามควานหาของที่อยู่ในกระเป๋า แต่เหมือนเสียงสวบสายทำให้คินรู้สึกตัวแล้วหันมามอง



"เอม...เจ็บหัวใจอีกแล้วเหรอ" ร่างสูงเดินมาหาถามอย่างร้อนรน อาการที่เกิดขึ้นทำให้คินมือสั่นเต็มไปด้วยกังวล



"คิน ยา...ให้หน่อย..." มือบางยังไม่หยุดค้นหา แค่เค้นเสียงพูดออกมาก็ยิ่งทรมานจนน้ำตาไหล ร่างสูงได้ยินดังนั้นก็รีบแหวกกระเป๋าของชะเอมและเทออกมา เจอขวดใสบรรจุเม็ดยาสีขาวซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยาโรคประจำตัว ไม่รอช้าเปิดฝาและเทออกมา ขาก้าวไปหยิบน้ำในตู้เย็นที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ แขนยาวประคองตัวให้นั่งพิง มือบางรับไว้ก่อนจะตบมันเข้าปากตามด้วยน้ำซึ่งมีบางส่วนไหลออกมาจากมุมปากจนเปียกลำคอ



มือใหญ่สั่นระริกกุมมือเล็กกว่าแน่น ขมวดคิ้วมองชะเอมที่นั่งพิงอกหอบหายใจทั้งติดขัดทั้งสั่นเครือและยังไม่คลายมือจากการขยุมเสื้อตรงอก



"เอม..."



อีกฝ่ายเป็นแบบนี้...เขาไม่ชอบเลย...



มันทำให้เกลียด...โกรธตัวเอง



ทำไมพระเจ้าถึงไม่ลงโทษเขาซะ...มันคงจะดีกว่าเห็นร่างบางทรมานแบบนี้



กว่าทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติ ก็เกือบสิบนาที คินยังคงกระชับอ้อมแขนอยู่อย่างนั้น ชะเอมก็กอดตอบ ความรู้สึกน้อยใจที่รู้สึกเมื่อกี้ถูกแปลเปลี่ยนเป็นคำพูด



"คิน...อย่าเกลียดเอม ฮึก อย่าเกลียดเอมเลยนะ"



ร่างสูงลมหายใจสะดุด เมื่อเห็นอีกฝ่ายสะอึกสะอื้น "เอม พูดอะไร?"



"คินไม่สนใจเอมเลย เบื่อเอมที่เป็นแบบนี้ใช่มั้ยครับ" น้ำตาเม็ดโตร่วงแหมะ จนเปียกซึมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายเป็นวงกว้าง



"เอมรู้ เอมก็รำคาญตัวเองเหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่เอมคิดว่าคินเกลียดเอมโกรธเอม มันเจ็บ" มือบางยกขยุ้มตำแหน่งในร่างกายที่ผิดปกติ "ทำไมเอมถึงไม่เกิดมาเหมือนคนอื่นล่ะ"



อยากมีร่างกายแข็งแรง



"อย่าพูดแบบนั้น เอมเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับคินเลยนะ" คินจูบลงขมับพร้อมลูบหัวปลอบเด็กน้อยที่กำลังตัดพ้อน้อยใจ



"แล้วทำไมคินถึงไม่พูดกับเอมเลยล่ะครับ?" ดวงตากลมโตที่ชื้นน้ำตาช้อนขึ้นมอง น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงอาบแก้มให้ริมฝีปากร้อนต้องจูบซับ



"คินขอโทษ คินกำลังเหม่อ...กำลังคิดอยู่ครับ"



ดวงตากลมงุนงง "คินคิดอะไร?"



"คินอยากพาเอมกลับ ไม่อยากให้เที่ยวแล้ว" ชะเอมเม้มปากส่ายหน้าทันที แต่เสียงทุ้มพูดต่อ "คินเห็นเอมเป็นแบบนี้ มันกังวลไปหมด...ทั้งกังวล ทั้งกลัว ว่าเอมจะเป็นอะไรอีกรึเปล่า ถ้าเพียงแค่คินละสายตาแล้วเอมเป็นอะไรไป...คินคง..." ยิ่งพูดน้ำตายิ่งจะไหล พอเป็นเรื่องของร่างบาง เขาก็ทนไม่ได้จริงๆ



ถ้าขาดชะเอมไป



เขาคง...อยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว



"งั้นคินก็อยู่กับเอมตลอดเวลาเลยสิครับ" ร่างบางเริ่มยิ้มออก เมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกลียดตนอย่างที่คิด มือจับข้างใบหน้าคม ดันตัวให้ดวงตามองสบกันในระยะใกล้ชิด "คินก็อย่าละสายตาจากเอม เอมก็จะอยู่ใกล้ๆคิน...อยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน"



คินมองใบหน้าใสที่มองตรงมา ริมฝีปากบางเอ่ยคำคล้ายปลอบใจระคนออดอ้อนก็ไม่ปาน ทำให้เสียงทุ้มหลุดหัวเราะขำ "โอเคครับ คินจะไม่ละสายตาจากเอมเลย"



เราทั้งสอง...ต่างฝ่ายต่างกังวล...เรื่องของใครอีกคน



จมูกโด่งไล้กดขมับลงมาตรงแก้มใส สัมผัสจั๊กจี้ทำให้ร่างบางหัวเราะคิก ชะเอมหดคอหันมามองตาใสพลิกตัวเข้าหาและกอดลำคอแน่น



"คินไม่เกลียดเอม...ไม่โกรธเอมแล้วใช่มั้ย" เสียงใสเอ่ยแผ่ว



"ไม่ได้เกลียด แล้วก็ไม่ได้โกรธด้วย อย่าคิดแบบนั้นอีกนะเอม" คินทิ้งตัวลงนอนราบ โอบกอดเอวบางให้ล้มลงมาทับบนตัว "คินรักเอมนะ"



"...ครับ...เอมก็รักคิน"



คำบอกรักที่ออกมาจากใจทั้งสองดวง...ใครเล่าจะรู้ว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง ผ่านความเจ็บปวด เสียใจ มาหลายร้อยหลายพันครั้ง



กว่าจะกลั่นออกมาเป็นความรู้สึกที่รักอย่างแท้จริง



"กว่าจะเที่ยงก็อีกชั่วโมงกว่า เอมนอนพักสักหน่อยดีกว่านะ"



ชะเอมเด้งตัวดันอกแกร่งยกตัวขึ้นมองหน้าคนพูด "แต่เอม..."



คำว่า 'จะไปเดินเล่น' ถูกขัดขึ้นทันที



"ถ้ายังไม่ดีขึ้นคินจะไม่ให้เล่นน้ำหรืออะไรทั้งนั้นและจะพากลับกรุงเทพฯ ทันที" ร่างสูงตวัดมองดุพูดขู่แกมเอาจริงและทำให้ชะเอมคลานขึ้นเตียงนอนสงบเสงี่ยมอย่างง่ายดาย ราวกับเด็กน้อยที่กลัวไม่ได้เที่ยวเล่น



คินมองแล้วถอนใจ...ดื้อไม่มีใครเกิน



"คิน..." ชะเอมเรียกเสียงแผ่วเบา



"ยังไม่นอนอีกเหรอ?"



"...นอนด้วยกัน"



คินยิ้มกับเด็กอ้อน "ครับๆ" ก่อนจะเดินมาล้มตัวลงนอนข้างกัน ไม่ลืมห่มผ้าจนถึงลำคอให้อีกฝ่ายที่นอนตาปรือจะหลับแหล่มิหลับแหล่แต่ก็ยังอุตส่าห์เรียกให้เขามานอน



"คิน..."



"หืม?"



"สัญญานะว่าจากนี้ไปคินจะไม่คิดมากเรื่องโรคของเอมอีก...ไม่โทษตัวเอง...นะครับ สัญญาสิ"



ร่างสูงเอื้อมมือลูบหัวทุยแผ่วเบา



"ถ้างั้นเอมก็ต้องสัญญาว่าจากนี้ต้องให้ความสำคัญกับตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองต่ำกว่าคนอื่น และอย่าคิดว่าคินจะรักใครได้นอกจากเอมอีก เอมสัญญากับคินสิ"



ปากบางยู่ "...คินขี้โกงนี่นา" แถมเงื่อนไขก็เยอะกว่าอีก



"แลกกันไง" ริมฝีปากสีเข้มยิ้มบาง



"...ครับ เอมสัญญา" ร่างบางยื่นนิ้วก้อยมาให้ ทำให้เสียงทุ้มหัวเราะคนที่มักทำตัวเหมือนเด็กแต่ก็ชอบปฏิเสธว่าตนไม่ใช่เด็ก...จะทำอะไรได้นอกจากยื่นไปเกี่ยวก้อยด้วย



"สัญญากันแล้วนะ"





************************Whose fault? ************************



เขาว่ากันว่ามาเสม็ดเสร็จทุกราย

แต่กับหมาป่าเจ้าเล่ห์ไม่ว่าจะไปที่ไหนที่ไม่ใช่เสม็ด กระต่ายก็โดนกินอยู่ดี

แบบนี้หมายฟามว่าไง...ก็หมายความว่าอีกไม่กี่ตอนชะเอมจะเสียตัวยังไงล่ะ =.,=//

และใครคิดว่าความดราม่าหมดแล้ว คิดผิด!! มันยังมีอีกเพราะอีเรย์มันยังไม่ตายค่ะ

ถ้ายังมีมันอยู่เรื่องนี้ไม่จบแน่นวล

อย่าลืมใครอยากอ่านหนังสือติดต่อแชทเพจ H.Rui Novels ได้นาจา มีสต็อคให้เปย์เสมอ

อีบุ๊คก็เช่นกัน ookbee นะคะ  ^^ รายละเอียดก็อ่านได้ที่หน้าเว็บเลยค่า
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ตอน วันแห่งความรัก 15/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 15-02-2019 15:54:02


                                                       Whose Fault ?

                                                          ผิด...ที่ใคร

                                              Special on Valentine Day





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





"ท่านประธานครับ"



"หืม...ว่าไง เอม อยู่กันสองคนไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นก็ได้นะ" คนพูดกลั้วหัวเราะ จากที่ทำงานขมักเขม้นเครียดๆ ก็ต้องวางปากกาเพราะคำไม่กี่คำจากร่างบาง



"ไม่ได้หรอกครับ ถ้าใครมาได้ยินเข้ามันจะดูไม่ดี" ใบหน้าหวานส่ายยิ้มๆ



"ใครที่ว่าน่ะ...ถ้าเป็นคนในบริษัทเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าคุณเอมภัทรเป็นลูกชายสุดที่รักของคุณเกษมศักดิ์ ประธานคนก่อน แล้วก็เป็นคนรักคนปัจจุบันเพียงหนึ่งเดียวของประธานภาคินสุดหล่อด้วย"



คนฟังย่นจมูกกับคำอธิบายยืดยาวอันแสนพ่วงไปด้วยความหลงตัวเอง "คิดไปเองหรือเปล่าครับ ใครสุดหล่อกัน"



"ก็คินไง" แขนแกร่งคว้าเอวบางที่เข้ามาใกล้ให้ขึ้นมานั่งบนตัก "รู้นะว่าคิดอะไร...คินก็ต้องหลงตัวเองไว้ก่อนไง เอมจะได้หลงคินบ้างจนโงหัวไม่ขึ้น"



"ฮื่อ! หยุดเลยครับ เดี๋ยวพี่เสกเข้ามา...ไม่เอา..." จากที่หลบจมูกโด่งที่เข้ามาหอมแก้มเป็นพัลวัน ต้องยอมจนได้เมื่อริมฝีปากเข้าจู่โจมให้ตัวอ่อนปวกเปียก คนถูกล่อลวงก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกอดคอและเกี่ยวลิ้นตอบ



"อืม..." เสียงทุ้มครางต่ำในลำคออย่างพอใจ ผละออกให้ได้ยินเสียงดังจุ๊บน่าอาย ก่อนที่ใบหน้าคมจะกระซิบเสียงพร่าติดริมฝีปากบาง "เดี๋ยวนี้จูบเก่งขึ้นเยอะนะ"



ชะเอมแก้มแดงกับคำชม "ก็เพราะใครล่ะ..."



คราวนี้ใบหน้าหวานประกบริมฝีปากก่อน ศีรษะทุยเอียงคอเปลี่ยนองศาตามการชักนำ ดวงตาคมกริบปรือหรี่มองใบหน้าขาวใสที่หลับพริ้มและจูบตอบอย่างเร่าร้อนจนอดลูบมือผ่านแผ่นหลังบางไล่ลงมาที่เอวและต้นขาเล็กไม่ได้ น่าสงสัยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะกินเยอะมากขึ้นเท่าไหร่ ตัวก็ยังบางเช่นเดิมไม่เปลี่ยน



"ฮ่า..."



คินยกมือลูบแก้มแดงเรื่อที่ลมหายใจหอบสั่น "วันนี้เป็นอะไรหืม ทำไมดูไม่เหมือนปกติ"



ใบหน้าหวานซบลงกับไหล่แกร่งก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ ไม่อยากตอบ แน่นอนว่าคินก็กอดตอบพร้อมลูบหลังผอมเบาๆ



อาการแบบนี้...



"เป็นอะไรเอม ไหนบอกคินหน่อยครับว่างอนอะไร"



"เอมเปล่างอน..."



"ไม่งอนก็ต้องน้อยใจอะไรสักอย่าง"



"เอมเปล่า อายุจะสามสิบแล้วจะมาน้อยใจอะไรล่ะ..." คินมองหน้าคนบอกว่าเปล่าแถมยังอ้างอายุแต่ทำหน้าบึ้งขมวดคิ้วชัดเจนไม่ต่างจากตอนอยู่มหาลัย คนมองหยักยิ้มก่อนที่นิ้วยาวจะคีบแก้มสองข้างจนยืดออก



"งื้อออ!"



"ใครบอกอายุจะสามสิบแต่ทำปากจู๋อย่างกับเด็กอนุบาลกันน้า"



"เอมเปล่า~~!! อื้อ เอ็บบบ!"



"ยังจะมาแก้ตัว"



ก๊อกๆ



"ท่านประธานครับ" ทันทีที่ได้ยินเสียงของเสกเรียกชื่อร่างสูงดังผ่านประตูไม้สักหนาเข้ามา ชะเอมก็ตาโตรีบดิ้นขลุกขลัก มือบางฟาดมือหนาเพียะๆ ที่หยิกแก้มตนไม่ปล่อย



"มีอะไรเสก!" เสียงทุ้มตะโกนออกไปขณะที่เอื้อมมือปิดปากคนร้องอู้อี้โวยวายพลางดิ้นเหมือนกระต่ายถูกหมาป่าตะครุบ



"มีคนมาขอพบครับ"



"ใคร"



"คุณนาเดียครับ"



คำตอบของเสกทำให้ร่างบางเกร็งตัวขึ้นทันใด อาการผิดปกติที่คินสังเกตเห็นทำให้รู้ได้ทันที ริมฝีปากหยักยิ้มกริ่ม นาเดียคือคู่ค้าบริษัทที่เป็นหุ้นกันอยู่ในโครงการใหญ่ที่กำลังร่วมลงทุนกันอยู่ในตอนนี้ ช่วงนี้เลยคุยกันบ่อยมากถึงมากที่สุด นาเดียเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน เธอจึงเป็นคนสวยและมั่นใจมาก ที่สำคัญสาวเจ้ายังโสดและทำท่าเหมือนสนใจเขาไม่ใช่น้อย...ดูเหมือนคนที่รู้สึกจะไม่ใช่แค่คิน แต่เป็นร่างบางที่คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาด้วย



มิน่าล่ะ ถึงได้ออกอาการแบบนี้



"ท่านประธาน?"



"โอเคเดี๋ยวออกไป!" เสียงทุ้มตะโกนออกไปก่อนจะหันมาจัดการกระต่ายตัวขาวบนตัก "ชู่ๆ เอมจะดิ้นทำไมเนี่ย"



"แล้วคินมาปิดปากเอมทำไมล่ะ!" เสียงใสแหวใส่ใบหน้าบึ้งตึง



"อ้าว ก็เอมเสียงดัง"



"ก็เพราะคินมาปิดปากเอมนั่นแหละ!" คนโดนว่าว่าเสียงดังหน้าง้ำ เถียงออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม



คินนิ่งอึ้งอ้าปากค้าง เหมือนเขากำลังนั่งเถียงกับเด็กอนุบาล...ว่าไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกันอยู่เลย



ร่างสูงตั้งสติ "ไม่เอาสิ เอม...คุณนาเดียก็แค่หุ้นของบริษัทเรานะ ถ้าคินไม่คุยด้วยมันจะดูไม่ดี"



จากคนที่ทำงอนอยู่เปลี่ยนเป็นหน้าแดงก่ำเหมือนถูกจับได้ว่าซ่อนอะไรไว้ "นะ นะ นี่คินพูดอะไร...เอมเปล่า!"



เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ...ยังจะปฏิเสธอยู่อีก



"อ่ะๆ ไม่งอนก็ได้" ร่างสูงปล่อยให้กระต่ายหลุดออกจากการกอบกุมก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานที่อยู่ไม่ไกลภายในห้องเดียวกันไม่สนใจประธานภาคินอีก



คินจัดเสื้อสูทเล็กน้อยก่อนจะปรายตามองชะเอมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้อง...ปากบอกว่าเปล่า แต่ถ้าเขาหายไปกับคุณนาเดียอยู่นานสองนานก็อย่ามางอนกันทีหลังก็แล้วกัน



"คินคนบ้า!" ร่างบางตะโกนเสียงดังให้เกษมศักดิ์และแม่บ้านมองเหวอ ดวงตากลมโตน้ำตาคลอหน่วย ก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งช้อนส้อมลงกับจานแล้ววิ่งขึ้นห้อง



"เอม!" ไม่ฟังเสียงเรียกของคินเลยแม้แต่น้อย ปกติชะเอมจะไม่ออกอาการรุนแรงแบบนี้ต่อหน้าแขก แต่ดูเหมือนว่าบางอย่างที่ติดกังวลอยู่ในใจพอเห็นปรากฏออกมาเป็นภาพทำให้ชะเอมน้อยอกน้อยใจมากกว่าตอนไหนๆ



เอาแล้วไง...



"อ้าว อะไรกันคะ นั่นแฟนคุณคินไม่ใช่เหรอ" เสียงใสถาม ดวงตาสีเทาอ่อนงุนงงมองตามแผ่นหลังบางขึ้นไปไม่ต่างจากคนอื่น



"อ่า...คุณนาเดียรอตรงนี้นะครับ พ่อ ผมฝากรับแขกหน่อย" ขายาวรีบก้าวขึ้นบันไดได้ยินเสียงเกษมศักดิ์อวยพรตามมา



"เออๆ คุยกันดีๆ"







"ฮึก...ฮึก...!"



ทั้งๆ ที่เคยคิดมาตลอด...ว่ายังไงเขาก็ไม่ดีพอสำหรับคิน ชะเอมเป็นผู้ชาย ท้องก็ไม่ได้ ไม่สามารถมีผู้สืบทอดให้กับครอบครัวอนันต์โภคทรัพย์



ความจริงที่กังวลมากอยู่แล้วกลับยิ่งคิดมากขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นตอนที่คินอยู่กับคุณนาเดีย ไม่ว่าจะเป็นเวลางานหรือเวลาไหน มันอดคิดไม่ได้ว่าทั้งคู่ช่างเหมาะสมกัน จุดที่เขายืนอยู่ตรงนี้มันหม่นหมองจืดจางไป ทั้งหวง ทั้งรัก แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกว่ารู้สึกอย่างไร



...เพราะแค่ความรักมันยังไม่พอ...



...ชะเอมรักคินมากแค่ไหนมันก็ยังไม่พอ...



ถ้าหากเขาเป็นผู้หญิงก็คงดีกว่านี้ จะได้รักได้อย่างไม่อายใคร



"อึก..." มือบางยกขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะขดตัวกอดเข่าเหมือนเดิมให้ตัวเล็กลงอีก ทำไม...ทำไมคินถึงพาผู้หญิงคนนั้นเข้ามาที่บ้านล่ะ เขาจะต้องรับรู้อะไรที่เจ็บปวดใจอีกเหรอ



...แบบนี้หมายความว่าคินพาคุณนาเดียเพื่อจะมาเปิดตัวใช่มั้ย...



แอ๊ด...



"เอม"



เสียงเรียกชื่อและร่างสูงที่เปิดประตูเข้ามาทำให้ชะเอมรีบเช็ดน้ำตา แต่ไม่ทันแล้ว



"เอม...เอมร้องไห้ทำไมครับ" คินถามด้วยความร้อนรน ขายาวรีบคลานขึ้นเตียงจับคนตัวเบาให้หันหน้ามา นานแล้วที่เอมไม่ร้องไห้ พวกเรารักกันดี แล้วก็มีความสุข แต่นี่เป็นเพราะเขาอีกแล้วที่ทำให้ร่างบางต้องเสียใจและเสียน้ำตา



และสาเหตุคงไม่พ้นเรื่องของคุณนาเดียเป็นแน่...รู้งี้น่าจะบอกความจริงไปตั้งแต่แรก



"เอม คินขอโทษ"



"ฮึก...คินไม่รักเอมแล้วเหรอ"



"คิดอะไรอย่างนั้น" มือใหญ่จับศีรษะเล็กให้มาซบอก ทันใดนั้นร่างบางก็ปล่อยโฮเสียงดัง ร่างสูงโทษตัวเองว่าเป็นเขาเองที่ทำให้ชะเอมคิดแบบนั้น



"..."



"คินรักเอมคนเดียว...ไม่ว่าจะยังไงในหัวใจของคินก็มีแค่เอมคนเดียว"



คนฟังผลิตน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงใสถามสั่นเครือ "แล้วทำไม..."



"เอม ฟังคินนะ คุณนาเดียเธอไม่ได้ชอบคิน" ร่างสูงตัดสินใจบอกความจริง ใบหน้าหวานเงยขึ้นมอง ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ทั้งๆ ที่มีน้ำตาชุ่มแพขนตา



"อะ...อะไรนะครับ"



"คุณนาเดีย เธอไม่ได้ชอบคิน" คราวนี้เน้นย้ำชัดเจนจนดวงตากลมโตเบิกกว้าง "วันนี้ที่พามาบ้าน เพราะเธอบอกอยากคุยกับพ่อที่เป็นประธานเก่า...พอดีพ่อสนิทกับพ่อของเธอน่ะ แล้วที่เธอทำเหมือนสนใจคินก็แค่สนใจในฐานะคนทำงานแค่นั้นเอง"



"..."



"จริงๆ"







"ขะ ขอโทษนะครับ...ที่ทำตัว...เสียมารยาท" ใบหน้าหวานทั้งแดงก่ำทั้งรอยยิ้มแหยสุดฤทธิ์ อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหายไปเลย



นาเดียปิดปากหัวเราะคิกด้วยท่าทางคุณหนูผู้ดีราวกับถูกอบรมมารยาทมา "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นิสัยของคุณชะเอมน่ารักสมกับที่คุณคินชอบโม้ให้ฟังเลยนะคะ...เหมือนน้องสาวของนาเดียเปี๊ยบเลยค่ะ"



"..." ร่างบางหน้ามุ่ยลงอีกเมื่อได้ฟัง หัวใจยิ่งเต้นแรงอย่างเขินอายเมื่อเขาเข้าใจผิดไปไกล ซ้ำยังร้องไห้ให้ภาคินเห็นอีก



ว่าแต่คินไปคุยอะไรกับคุณนาเดียน่ะ สรุปว่าไม่ได้คุยเรื่องธุรกิจ แต่คุยเรื่องของเขาหรอกเหรอ!?



“ว ว่าแต่คุณนาเดียมีน้องสาวด้วยเหรอครับ” ชะเอมเกาแก้มถามเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาและหนีจากความอาย



“ค่ะ อายุห่างกันมาก ยังอยู่แค่ชั้นประถมอยู่เลย...แถมยังขี้น้อยใจมากค่ะ” คำพูดนั้นทำให้คนบนโต๊ะเงียบไปสักพักก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อนึกได้ว่าหญิงสาวเพิ่งพูดว่า ชะเอมเหมือนน้องสาวเธอ...ก็หมายถึงขี้น้อยใจน่ะสิ!



"จริงครับ เจ้าตัวก็ขี้น้อยใจแบบนี้แหละ" คินพูดยิ้มๆ “งอนจนบางทีผมก็ลืมไปว่าชะเอมเขาอายุเท่าไหร่กันแน่ หึหึ”



"คิน...!" เสียงใสเตรียมแหวร่างสูงแต่ลืมไปว่าอยู่ต่อหน้าแขก แถมยังเป็นคนสำคัญของบริษัทด้วย จึงรีบเก็บท่าทางก่อนจะหันไปแก้ตัวกับสาวเจ้า "ไม่ใช่นะครับ คุณนาเดีย ผมไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย"



"ค่า ไม่ใช่เลยค่ะ เมื่อกี้ใครไม่รู้ตะโกนว่าคินคนบ้า! แล้วก็งอนตุ๊บป่องขึ้นบ้านไปน่ะค่ะ" แซวเสร็จก็ปิดปากหัวเราะท่าทางน่ารักเช่นเดิม แต่คราวนี้ทั้งบ้านพร้อมกันประสานเสียงหัวเราะ ทั้งคินทั้งคุณลุงทั้งป้ารักป้าอุ่นป้าใจ เป็นกันหมดเลย



งือ เขาโดนกลั่นแกล้ง!!







"ทำอะไรคะ คุณหนู" เช้าตรู่วันหนึ่งเสียงของหญิงแก่เอ่ยทักทายเมื่อเดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นร่างบางยืนร่อนแป้งอยู่อย่างขมักเขม้น



"..."



คำตอบที่ได้รับคือความเงียบทำให้ใจเลิกคิ้ว มองอุ่นและรักที่ทำหน้าสงสัยไม่แพ้กัน ปกติแล้วชะเอมจะไม่เมินเธอทั้งสามคนแบบนี้ จะบอกว่าไม่ได้ยินก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงทักออกไปไม่ได้เบาเลย



"คุณหนูคะ"



ป้าทั้งสามชะโงกหน้ามอง ใบหน้าหวานหันไปอีกด้านหนีสายตา พอชะโงกไปอีกด้านใบหน้าหวานก็หันหนีอีก คราวนี้ชัดเจนเพราะเห็นใบหน้าบึ้งตึงกับปากจู๋ๆ



ใจ รัก อุ่นหันมองหน้ากันยิ้มคิกคัก



"คุณหนูงอนอะไรคะ"



พอโดนทักปุ๊บปากบางก็ยู่ ส่งเสียงแง่งอน "ฮึ!"



แต่ป้าๆ หัวเราะไม่ได้กังวล...เนี่ยเหรอที่เจ้าตัวบอกว่าตนโตแล้ว เหมือนกับสมัยเด็กๆ ไม่มีผิด



"ผมงอนพวกป้าแล้ว ไม่ให้กินช็อกโกแลตด้วย"



คราวนี้รีบพูดกันจ้อย "โอ๋เอ๋ค่ะ คุณหนู ป้าล่ะอยากกินขนมฝีมือคุณหนูจังค่ะ...อร๊อย อร่อย"



"ป้าก็ด้วย"



"ป้าด้วยค่ะ"



"ไม่ต้องเลยครับ มาชมผม อย่าคิดว่าผมจะหายงอนนะ" เสียงใสว่าแบบนั้น ก่อนที่จะเงียบไปสักพักได้ยินเสียงง้อจากป้าๆ ว่าอยากกินขนมแสนอร่อยอย่างนู้นอย่างนี้ สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมาเอง



...ก็เขางอนใครได้นานเสียที่ไหน...



"ใกล้จะวันวาเลนไทน์แล้วสินะคะ"



"ใช่เลยครับ"



"แล้วคุณหนูทำช็อกโกแลตให้ใครบ้างคะ"



"ให้ทุกคนครับ" ชะเอมตอบยิ้มๆ ทำให้ป้าที่อายุมากกว่าหลายรอบแถมยังหัวโบราณถามขึ้นอย่างสงสัย



"ปกติช็อกโกแลตทำให้คนรักไม่ใช่หรือไงคะ คุณหนูชะเอม"



"ผมก็รักทุกคนนั่นแหละ ทั้งคุณลุง ป้าๆ ที่เลี้ยงดูผม ทุกคนในบ้าน...แล้วก็คินด้วย..." เสียงท้ายแผ่วเบา แต่หน้าแดงยิ่งกว่าเอ่ยชื่อใคร ทำให้คนมองทั้งสามอดยิ้มกรุ้มกริ่มเอ็นดูไม่ได้



"ท่าทางคนสุดท้ายน่าจะได้ช็อกโกแลตชิ้นใหญ่กว่าใครเลยนะคะ" ใจ อุ่น รักเอ่ยแซวหัวเราะคิกคัก ทำให้ชะเอมแหวเขินๆ



"ที่ไหนเล่า ทุกคนก็ได้ชิ้นเท่ากันนั่นแหละครับ"



"แต่คินอยากได้ชิ้นใหญ่ๆ"



ชะเอมตาโต หันไปมองก็ต้องผงะเมื่อร่างสูงใหญ่เข้ามาประชิดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ "คิน! มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ..."



เสียงใสเงียบสงัด ถามยังไม่ทันจบก็ถูกผนึกริมฝีปากไว้ ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงแนบชิดแค่เพียงวินาทีก่อนจะผละออกไปแล้วพูดยิ้มๆ



"ไม่-บอก...หึหึ" คินอมยิ้มขำคนหน้าแดงที่ไม่มองตาแต่ดวงตากลมสีดำหลุบมองที่ริมฝีปากหยักของเขาอย่างหลงใหล



...แบบนี้มันน่า...ให้ 'รางวัล' หนักๆ ...



ริมฝีปากบางอ้าๆ หุบๆ พูดตะกุกตะกัก "ถ้าไม่บอก...ถ้าไม่บอก...ก็ไม่ต้องเอาช็อกโกแลตเลยนะ" เสียงใสพูดขู่ไปอย่างนั้น เพราะอย่างไรชะเอมก็จะทำให้คินอยู่แล้วแน่นอนที่สุด



“เห...” คินเหลือบมองแก้มใสป่องน่าฟัด ครางในลำคอเหมือนไม่ได้เดือดร้อนอะไรเมื่อเจ้าคนตัวเล็กว่าจะไม่ให้ช็อกโกแลตตน



“รู้ไว้ด้วยว่าเอมยังไม่หายโกรธคิน...ฮื้อ...มันจั๊กจี๋”



ร่างสูงโอบเอวบางไว้แน่นก่อนจะกระซิบแผ่วเบาข้างหูเล็กที่แดงจนมีควันออก



"ช็อกโกแลตน่ะไม่เอาก็ได้ เพราะยังไง..."



...เอมก็รักคินที่สุดอยู่แล้ว...



"...ใช่มั้ยล่ะ"



และคำตอบที่น่าชื่นใจอยู่ไม่ไกลเมื่อแก้มใสพลันแดงปลั่งทันทีที่ได้ยินคำถามจบ ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา “ครับ...”







"สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ คุณลุง"



"โอ้ ขอบใจนะเอม...มิน่า ลุงได้กลิ่นอะไรหอมๆ แต่เช้าเลย ที่แท้หนูก็แอบไปทำช็อกโกแลตให้ลุงเองเหรอ"



ชะเอมหัวเราะคิก "เอมไม่ได้แอบทำซักหน่อยครับ” ก็ออกจะโจ่งแจ้งไป แต่เกษมศักดิ์เองต่างหากที่ไม่ได้เดินไปดู “แล้วก็ทำให้ทุกคนด้วย"



ทุกคนดีใจเนื้อเต้น ยิ้มแป้นแก้มปริกันทุกคนที่ไม่ว่าชะเอมจะโตแค่ไหนก็ไม่เคยลืมกันแม้แต่วันเดียว ร่างบางแจกจ่ายช็อกโกแลตที่อยู่ในแพ็คเกตน่ารักน่าชัง ซ้ำยังดูน่ากินมากอีกต่างหากให้กับทุกคน



โดยเฉพาะช็อกโกแลตรูปหมีน้อยให้กับเด็กตัวจ้อยเพียงหนึ่งเดียวซึ่งตบมือแปะๆ ดีใจที่สุด



“คุณหมี ฮิๆ คุณหมี”



"อ้าว เอม แล้วไหนของคิน" พอร่างบางกลับมานั่งที่เดิม แต่ของหมดมือแล้วทำให้คนรอคอยท้วงขึ้นหน้าเหวอๆ ...ก็เขายังไม่ได้เลย!



"เอ๊ะ ก็คินบอกว่าไม่เอานี่ครับ" คนตอบเลิกคิ้วเสียงใสพาซื่อ ซื่อมากจนบื้อ ร่างสูงแอบกลอกตามองบน



นั่นเขาพูดเล่นไหมล่ะ!! ใครจะรู้ว่ากระต่ายซื่อจะทำจริงๆ!?



"อืม ได้ ไม่เอาก็ได้..." เสียงทุ้มแอบน้อยใจทำให้ชะเอมทำหน้างุนงง ก็ตอนแรกไหนบอกว่าไม่เอา ทำไมถึงทำท่างอนไม่เป็นผู้ใหญ่เช่นนั้นเล่า



ถ้าหากอ่านใจชะเอมได้ทุกคนคงคิดเหมือนๆ กันว่า...



...เวลาตัวเองน้อยใจเขาก็ท่าทำเหมือนเด็กอนุบาลไม่ต่างกันหรอก...



"เอมทำให้ตาลกับเพื่อนๆ ด้วย เตรียมไว้อยู่หลังครัว เดี๋ยวคินไปเป็นเพื่อนเอมหน่อยนะ จะได้เอาไปให้...ตาลต้องดีใจแน่ๆ เลย" เสียงใสพูดจ้อยๆ ไม่รู้ว่าขมับร่างสูงเริ่มปูดโปน ทั้งๆ ที่เขากำลังน้อยใจอยู่แต่ชะเอมกลับพูดว่าทำเผื่อคนอื่นได้อย่างน่าโมโห!



นี่มันวันวาเลนไทน์! วันแห่งความรัก! แล้วทำไมคนรักอย่างเขาถึงไม่ได้ช็อกโกแลตอยู่คนเดียว!?



ครืด!



คินลุกขึ้นเดินขึ้นบ้านไปเงียบๆ ซ้อนทับแผ่นหลังบางเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ไม่มีเสียงโวยวายใดๆ



"อ้าว คิน...จะไปไหนครับ" ชะเอมร้องเรียกก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินตามไป อารมณ์แบบนี้แสดงว่าไม่ปกติ "คิน งือ...งอนอะไร"



ร่างบางทำเสียงกังวลใจเดินตามแผ่นหลังกว้างพลางกระตุกชายเสื้อและถูกพาเข้าห้องนอนไปเงียบๆ สิ่งที่ชะเอมไม่เห็นคือริมฝีปากหยักยิ้มเจ้าเล่ห์...กระต่ายตกหลุมกับดักหมาป่าเข้าให้แล้ว



เกษมศักดิ์หัวเราะ นี่มันคู่รักชนิดไหนกัน สลับกันง้องอนเหลือเกิน ก่อนจะส่ายหน้าและสนใจกินข้าวและช็อกโกแลตจากลูกชายสุดที่รักเช่นเดิม







"อะ...อึก ฮึก..." ฟันขาวกัดปากตนแน่น กับแรงขับเคลื่อนที่ไม่ปราณีกันจากด้านบนส่งให้เตียงขยับสั่นไหวรุนแรง "คนเจ้าเล่ห์ อ๊า...!"



เขาอุตส่าห์ตามมาง้อ แต่ไหงกลายเป็นแบบนี้ได้!?



มือบางยกขึ้นปิดปากแต่เพียงเสี้ยววิก็ถูกดึงออก "จะปิดทำไม หืม คินอยากฟัง"



"ไม่เอา เสียง แฮ่ก เอม...อื้อ! ฮื้อ...!" ส่วนล่างถูกบดขยี้รุนแรงจนทนไม่ไหว หลุดครางออกมาจนได้ มือสองข้างถูกแขนแกร่งตรึงเอาไว้...ราวกับจะกลั่นแกล้งกัน



"ก็ไหนบอกรักคินที่สุดไง รักก็ต้องตามใจสิครับ...แล้วก็จะลงโทษให้หนักๆ สำหรับคนซื่อบื้อที่ไม่ยอมทำช็อกโกแลตให้คินด้วย"



"คะ ฮะ ใคร...บอก"



"ก็ป้าใจพูด"



"นั่นป้าใจ ไม่ใช่เอม...อ๊ะๆๆ!" ชะเอมเกร็งตัวครางดังลั่นเมื่อเบื้องล่างบดขยี้อย่างหมั่นเขี้ยวกับคนปากไม่ตรงกับใจ



"เหรอ แสดงว่าเอมไม่ได้รักคินที่สุด?"



"ฮือ...คินนิสัย อ๊ะๆ ฮึก! ไม่...ดี"



คนมองยิ้มกริ่ม ใบหน้าหวานส่ายไปมาหน้าแดงก่ำ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร แต่การกลั่นแกล้งคนน่ารักเป็นอะไรที่สนุกสนานและจรรโลงใจสำหรับร่างสูงอย่างมาก



"รักไหม"



"อ๊ะ ฮึก...อย่า...หยุดนะ"



ยิ่งห้ามยิ่งกระตุ้นให้ใส่แรงหนัก เนื้อกระทบเนื้อดังลั่นตับๆ น่าอาย เคล้าคลอกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงและเสียงครางสองโทน ไพเราะหวานหูจนอยากฟังอีกครั้งไม่รู้จบ



"คินรักเอมนะ"



"คิน...คิน เอมก็...อื๊อ~" กายบางบิดเร่า ทั้งแขนและขาเรียวเกี่ยวกอดรัดแผ่นหลังกว้างกับเอวสอบแน่นยามจะถึงจุดสูงสุด คินเห็นดังนั้นก็เลียปากขยับเร่งความเร็วขึ้นอีก



ไม่ต้องบอกรักก็ได้ เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าชะเอมไม่มีวันรักคนอื่นมากเท่าเขาอีกแล้ว



แค่แขนผอมกอดก่ายแผ่นหลัง จิกข่วนในยามหฤหรรษ์



แค่ตอดรัดในยามแทรกซึมลึก



แค่เสียงครางสั่นเครือเสียงสูง ร่ำร้องเรียกชื่อ



แค่ดวงตากลมโตคลอหน่วยด้วยน้ำตามองตรงมาที่เขาคนเดียว



"เอมรักคินที่สุด อ๊ะ อ๊า!"



...แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว...







"อร่อยๆ! อยากกินอีก เอมทำมาอีกนะ...เยอะๆ เลย" คนมีเขี้ยวยิ้มแป้นอย่างมีความสุข คราบขนมสีน้ำตาลเข้มเลอะปากจนคนข้างๆ ต้องเช็ดออกให้ "อร่อยกว่าของที่เราซื้อมาอีก แบบนี้โคตรปลื้ม!"



ยิ่งได้ยินเสียงชมเปาะ คินยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถึงเขาจะไม่ชอบขนมหวาน แต่วันสำคัญแบบนี้มันก็เป็นสิ่งที่เขาควรจะได้จากชะเอมสิ ไม่ใช่ไอ้น้ำตาลที่นั่งกินช็อกโกแลตไม่หยุดแบบนี้!



ปึง!



ร่างสูงกระแทกประตูรถปิดอย่างแรง อารมณ์คุกรุ่นที่ทำให้ชะเอมงุนงงอีกครั้ง ก่อนที่เสียงทุ้มจะคลายความกระจ่าง



"กลับไป ทำช็อกโกแลตให้คินใหม่เลยนะเอม"



"..."



"ถ้าไม่ได้วันนี้ คินจะเอาความรักแบบอื่นๆ ให้หนักๆ เลย"



แก้มใสแดงปลั่ง เมื่อคิดว่าแบบอื่นๆ ที่อีกฝ่ายพูดคือแบบไหน ซึ่งคำตอบอยู่ไม่ไกล



"ให้ลุกจากเตียงไม่ได้เลย...ดีไหม"



ได้ข่าวว่าก่อนมานี่ก็ทำไปหลายรอบแล้วแต่สงสัยจะยังไม่พอใจ



“หรือจะทำในรถ...ก็ไม่เลว”



คนหื่นน่ะยังไงก็หื่นอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ...บ้าที่สุด!


************************Whose fault? ************************


ย้อนหนึ่งวัน มาลงให้ช้านิสนึง ><


คงคอนเซปต์ดราม่ามาก อีคินทำน้องร้องไห้อีกแล้วค่ะ!

ตอนพิเศษนี้เสิร์ฟเล็กๆ น้อยๆ คั่นตอนหลัก แม้จะไม่ได้หวานมาก แต่ก็น่ารักดีใช่มั้ยคะ ^^

มีความแง่งอนน่ารักน่าชัง กระต่ายซื่อก็ยังหลงกลหมาป่าเจ้าเล่ห์อยู่ร่ำไป

สุดท้ายนี้ สำหรับวันแห่งความรักก็ขอให้นักอ่านทุกคนมีความสุขค่า

เจอกันตอนหลักตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ตอน วันแห่งความรัก 15/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-02-2019 20:41:08
 :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ตอน วันแห่งความรัก 15/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-02-2019 22:54:40
รับกำจัดเรย์ซะ,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ตอน วันแห่งความรัก 15/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 18-02-2019 18:45:30
 :3123:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 34 19/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 19-02-2019 09:07:15
                                                Whose Fault ?

                                                ผิด...ครั้งที่ 34



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

เนื้อหาเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป



"คิน...เอมจะไปเล่นน้ำแล้ว" ขาเรียวนั่งยองๆ ค้นกระเป๋าเดินทางหาเสื้อกับกางเกงสำหรับไปเล่นน้ำทะเลที่เตรียมเอาไว้แล้ว

หลังจากกลับมาจากกินข้าวมื้อเที่ยงข้างนอกที่ต้องขับรถไป ก็ได้เดินเล่นนิดหน่อยรอบๆ โรงแรม แต่โดนห้ามจากคินไม่ให้เดินเที่ยวทะเลเพราะแดดมันแรงเกินไป จึงได้แต่เดินหงอยกลับมา แต่พวกเอกกับสิน(ที่สนิทกันตอนไหนก็ไม่รู้)ชวนไปเล่นไพ่ที่ห้อง ร่างบางไม่ปฏิเสธแม้จะเล่นไม่เป็น แต่ได้ฆ่าเวลาหน่อยก็ดี กว่าจะเล่นเป็น กว่าจะเล่นแต่ละตาแพ้ชนะสลับกันไปจนถึงเวลาห้าโมงเย็น ชะเอมขอตัวกลับห้องเพราะถึงเวลาที่คินอนุญาตให้ลงทะเลได้แล้ว

"แปปนึง เดี๋ยวคินไปด้วย" เสียงทุ้มตะโกนออกมาจากห้องน้ำ ทำให้ร่างบางพยักหน้าหงึกหงักราวกับอีกฝ่ายจะเห็น พอยิ่งค้นหน้าก็ยิ่งนิ่ว ขมวดคิ้ว...เอ เสื้อกล้าม...กับ...กางเกงขาสั้น...หายไปไหน

"ทำอะไรอยู่"

"คิน" ใบหน้าหวานหันขวับมองเมื่อได้ยินเสียงทุ้มพูดอยู่เหนือหัว ก่อนจะหันกลับไปค้นต่อ "เอมหาเสื้อกับกางเกงที่จะใส่เล่นน้ำไม่เจอ"

...ก็ว่าจัดใส่กระเป๋ามาแล้วนะ...ยิ่งคิดยิ่งเกาหัวแกรก หน้ามุ่ยกว่าเดิม

"มาเดี๋ยวคินหาให้" คินทรุดลงข้างๆ ร่างบางกระพริบตาปริบมองอย่างสงสัย ไม่ถามกันเลยเหรอว่าลักษณะมันเป็นยังไง ร่างสูงค้นไม่ถึงห้าวินาที ก็หยิบขึ้นมา แต่...

"นี่ไม่ใช่" ชะเอมส่ายหน้าทันใด

"ใช่สิ"

"ไม่ใช่" เสียงใสบอกอย่างมั่นใจ มือบางล้วงค้นๆ อีกครั้งแต่ก็ไม่เจอจริงๆ "ที่เอมเอามาเป็น..."

"เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้น"

"...อ้าว? คินรู้..."

"รู้ แล้วคิดว่าคินจะให้ใส่เหรอ...ใส่อันนี้ไป" ชะเอมหน้างอ มองเสื้อยืดสีเข้มแขนสั้นกับกางเกงบอลที่ถูกยัดเข้ามาในมือ "ไปเปลี่ยนเร็ว จะเล่นมั้ย? น้ำทะเลน่ะ"

คินมองยิ้มๆ กับร่างผอมที่เดินหันหลังด้วยใบหน้างอง้ำเข้าห้องน้ำไป เพียงไม่นานก็ออกมาด้วยชุดที่เขาเตรียมให้ เจ้าตัวไม่รู้เลยหรือไงว่าเรือนร่างของตัวเองน่ามองขนาดไหน แค่ปกติยังมีผู้ชายมองเลย แล้วจะให้ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นโชว์หุ่นแบบนั้นออกไปเล่นน้ำอีกงั้นหรือ?

"ตัวใหญ่จัง" ชะเอมมองเสื้อที่ใส่ พร้อมจับเสื้อที่โคร่งกระพือมองหน้ามองหลัง ก็ใครให้เจ้าตัวผอมขนาดนั้นกัน ใส่แล้วดูตัวเล็กไปอีก

"เสื้อเก่าของคินเอง"

แก้มใสแดงระเรื่อหน่อยๆ เมื่อรู้ว่ามันเป็นเสื้อของใคร ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้และพองลมใส่แก้ม "นี่แสดงว่าคินสลับเสื้อกับกางเกงของเอมออกเหรอ?"

"...ใช่"

"เอมอุตส่าห์เตรียมไว้" ร่างบางเดินผ่านยู่ปาก แต่ไม่ทันออกนอกห้องนอนก็โดนมือใหญ่จับแขนเอาไว้ลากตัวปลิวมานั่งคร่อมตักแกร่งตรงขอบเตียง

"งอน...งอน" คินหมั่นเขี้ยวแก้มใสที่พองลมน่าฟัดนักจึงหยิบและยืดมันออกทั้งสองข้าง ซึ่งมือบางก็ตีเพียะรัวๆ เข้าที่แขนคนตัวสูงแต่เจ้าตัวไม่เห็นสะทกสะท้านแม้แต่นิด

"ฮื่อ!...เอ็บบบ"

"เสื้อบางๆ แบบนั้นใครจะอยากให้ใส่กันฮึ ไม่เข้าใจกันบ้างเลย"

ชะเอมน้ำตาเล็ดยกมือลูบแก้มที่โดนบีบซะแดง "แต่เสื้อกล้ามมันสีดำเปียกน้ำก็ไม่เห็นหรอกครับ..."

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่เข้าใจ...

"ใส่ตัวนี้ก็ดีแล้ว คินเลือกให้ ไม่ดีหรือ?" ริมฝีปากสีเข้มกระซิบชิดจนใบหน้าหวานแดงเรื่อ ผละออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงแผ่ว

"...ดีก็ได้" ครั้นเจ้าคนตัวเล็กจะลุกจากตัก แขนแกร่งก็รัดเอวบางไว้เสียแน่น "คิน ปล่อยเอมสิ พวกดินรออยู่นะครับ"

"เอม” เสียงทุ้มเรียกชื่อทำให้ดวงตากลมสบสายตาคมกริบที่มองมา ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้หน้าร้อนผ่าวได้ เพราะสายตาที่สื่อความหมายนั้น

"เอม..."

ดวงตากลมหลุบลง แก้มใสแดงน่ารัก ตอบรับเสียงแผ่วเบา "ครับ"

"จูบได้ไหม" แม้จะเอ่ยขอ แต่ริมฝีปากร้อนผ่าวนั้นพูดซะชิดห่างไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร จะถอยหนีก็ไม่ได้เพราะถูกโอบเอวเข้าไปแนบชิดจนแผ่นอกติดกันไม่มีช่องว่างเหลือ...อะไรๆ ก็...

"คะ คิน อะ เอมอยากเล่นน้ำแล้ว" ชะเอมเฉไฉ ไม่สนใจคำขอร้องที่แทบจะกลืนกินเขาทั้งตัว

"นะครับ ครั้งเดียว"

ริมฝีปากบางเม้มแน่น ประสบการณ์ที่ถูกช่วงชิงเอาลมหายใจไปทุกครั้ง เพียงแค่นึกถึงก็ทำให้หน้าแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้

"นะ..."

"คะ แค่ ครั้งเดียว...อื้อ..." ริมฝีปากสีเข้มแนบประกบทันทีไม่รอให้เสียงใสพูดจบ แต่ชะเอมขมวดคิ้วเม้มปากแน่น ทำให้คินผละออกมาเอ่ยเสียงพร่า

"เอม อ้าปากหน่อย"

ชะเอมส่ายหน้าทันที ทั้งที่แก้มแดง "ฮื่อ..."

"เอม..." คินหายใจแรงอย่างต้องการ สิ่งที่ต้องการอยู่ตรงหน้าแล้วแต่จับต้องหรือสัมผัสไม่ได้ มันช่างเป็นอะไรที่ทรมาน ร่างสูงใช้นิ้วโป้งคลึงมุมปากให้เปิดออกมาแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอม

ร่างบางก้มหน้างุด "เวลาคินจูบแล้วเอมหายใจไม่ออก"

"เดี๋ยวคินสอนเอง...ถ้าจูบเป็นล่ะก็รู้สึกดีนะ...แถมไม่ทรมานด้วย" เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบตะล่อมข้างใบหูเล็ก ทำให้ชะเอมเงยหน้ามองงุนงง

"จูบเป็น?" แค่จูบต้องมีเป็นไม่เป็นด้วยเหรอ "จูบยังไงครับ"

คินกลืนน้ำลาย อดทนไว้เพื่อความหอมหวานที่รอคอย "อ่ะ อ้าปาก"

ริมฝีปากบางค่อยๆ เผยอออกเล็กน้อยเห็นซี่ฟันสีขาวเล็กน่ารักเรียงเป็นระเบียบ คินก็ขยับหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะพูดอีกครั้ง "เวลาจูบกัน ให้หายใจทางจมูก อย่ากลั้นหายใจเพราะงั้นเดี๋ยวจะหายใจไม่ออกรู้เปล่า"

"...ครับ" ชะเอมหน้าแดงน้อยๆ ที่เรื่องแค่นี้ยังต้องให้มาสอนกัน แต่ก็รู้สึกว่าร่างสูงยังใจดีที่ไม่ทำให้เขาอึดอัด

มือใหญ่จับท้ายทอยเล็กให้เข้าใกล้และเริ่มต้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องรอให้บอกร่างบางเผยอปากให้สอดลิ้นเข้าไปอย่างง่ายดาย แต่ร่างกายแอบสะดุ้งกระตุกเบาๆ อย่างคนไม่ชิน แต่เป็นปฏิกิริยาที่ใสซื่อยั่วยวนกิเลสชายหนุ่มเป็นอย่างดี

"อือ...อืม" ชะเอมที่มัวแต่โฟกัสกับการหายใจ ทำให้ลิ้นของอีกฝ่ายรุกเข้าช่องปากทุกซอกทุกมุมจนลมหายใจกระตุก มือใหญ่เลื่อนจากเอวลูบแผ่นหลังบางไปทั่วจนชะเอมรู้สึกวาบหวิว

ใบหน้าทั้งสองผละออก เปลี่ยนองศาและประกบเข้าหากันอีกครั้งและอีกครั้ง ใบหน้าหวานร้อนผะผ่าว...รู้สึกดีอย่างที่คินบอกจริงๆ ด้วย

"ฮึก...อื้อ" ชะเอมสะดุ้งทุกครั้งที่คินดูดลิ้นของตน ความร้อนที่เปียกชื้นและลื่นไหลอยู่ในช่องปาก มันรู้สึกดีจนต้องขยับลิ้นตอบรับเงอะงะ ยิ่งลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันบรรยากาศก็ยิ่งเหมือนมันระอุมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำลายไหลย้อยจากมุมปากเปรอะเปื้อนแต่เจ้าของหาได้สนใจไม่

วาบหวิวจนรู้สึกปวดมวนที่หน้าท้อง

คินหงายหลังลงนอนราบกับเตียงนุ่ม บังคับให้ร่างบางนอนทับตนอีกที ทำให้ชะเอมไม่สามารถต้านทานได้ ยิ่งน้ำหนักจากมือที่กดท้ายทอยยิ่งไม่สามารถผละออกจากริมฝากสีเข้มนี้ได้เลย

จุ๊บ...จุ๊บ

"ฮื้อ" ร่างบางไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง ปวดมวนในท้องเหมือนคราวนั้น จนต้องดันผละออกมา "ฮ่า...คะ คิน...เอม ฮึก!"

"เป็นอะไร...เอม" เสียงทุ้มถาม

"เอม รู้สึก..." ร่างบางกัดปากแน่น หน้าแดงก่ำ ไม่กล้าบอก แต่คินรู้ดีที่สุด ทำไมจะไม่รู้ว่าชะเอมกำลังรู้สึกยังไง ก็เพราะของร่างบางมันเริ่มแข็งตัวดันหน้าท้องของเขาอยู่น่ะสิ

แถมเจ้าตัวก็บดเบียดสิ่งนั้นเข้าหาร่างกายของเขาโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย...ยั่วยวน

"หมายถึง...ตรงนี้เหรอ" มือใหญ่ตะปบตรงสะโพกเล็กทั้งสองข้างกดมันให้เบียดกับร่างกายแข็งแกร่งมากขึ้น และเป็นอย่างที่คิดร่างกายบอบบางดิ้นเร่าทันที

"อ๊ะ อ๊า...!"

เสียงใสที่ครางสูงชิดริมหูทำให้คินกัดฟันกรอด ผุดลุกขึ้นนั่งและพลิกตัวชะเอมให้นั่งหันหลังพิงอกแกร่งมือถอดกางเกงกับชั้นในลงให้ด้านล่างเปลือยเปล่า

"คินจะทำอะไร...!" ใบหน้าหวานแดงก่ำกับท่าทางน่าอายของตัวเอง แต่หนักยิ่งกว่าเมื่อเห็นมือใหญ่จับกลางกายแข็งขึงไว้มั่น "ฮื่อ..."

"เดี๋ยวคินจะช่วยเอมก่อน...ถ้าทนไม่ไหวก็ปล่อยออกมาเลยนะ"

"อื้อออ!!" มือบางจิกทั้งแขนทั้งข้อมือของร่างสูงที่กระทำบางอย่างกับร่างกายตัวเอง มือใหญ่รูดรั้งอย่างรวดเร็วจนกลั้นเสียงครางไว้ไม่ได้ หยาดน้ำตาไหลแหมะเพราะรู้สึกมากเกินไป "อะ อ๊ะ ฮะ! อื้ม"

...เสียวซ่าน...

แค่เสียงครางก็มากพอ แต่นี่ยังเห็นร่างกายสีขาวนี่บิดเร้าอย่างยั่วยวนอีก น้ำเหนียวใสเริ่มผุดไหลซึมผ่านมือใหญ่จนเปรอะเปื้อน แต่คินไม่รังเกียจแม้แต่นิด มืออีกข้างถกชายเสื้อสีน้ำตาลเข้มที่เจ้าตัวเพิ่งใส่ให้ขึ้นไปกองที่ลำคอ ตอนนี้ชะเอมไม่ต่างจากคนไร้เสื้อผ้าเพราะเขาเห็นร่างกายผอมมันทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะขาเรียวสองข้างที่พยายามหนีบเข้าหากันแน่นจนต้องบังคับให้มันแยกออกทุกครั้ง สะโพกเล็กโยกรับกับสัมผัสของมือใหญ่ที่รูดรั้งท่อนเนื้อเล็กๆ สีอ่อน เอวผอมบาง ซี่โครง จุกนมสีชมพูสองข้าง และใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากอ้าคราง ดวงตากลมโตคลอหน่วยด้วยหยาดน้ำตา

"อ๊าอ๊ะ! มะ ไม่!" ชะเอมสะบัดหน้าคราง เมื่อถูกบีบคลึงที่หน้าอก มือใหญ่ไม่ปรานีกันเลยทั้งส่วนล่างที่ขยับรวดเร็วจนหายใจแทบไม่ออก แล้วยังที่หัวนมของเขา...รู้สึกดีเกินไปจนทรมานเหลือเกิน

สะโพกเล็กเกร็งตัวขยับเข้าหา ขาสองข้างอ้ากว้างไม่รู้ตัว รู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังจะมา...เขาจะถึง...

อีกนิด...อีก...นิดเดียว

"อ๊ะ...อ๊าาา!"

ร่างบางครางสุดเสียง น้ำสีขาวขุ่นพุ่งแรงจนถึงแผ่นอกสีน้ำนม คินช่วยรีดน้ำจนหมดแล้วจูบริมฝีปากบางอย่างเก็บเกี่ยว ก่อนจะปล่อยให้ชะเอมได้พักหายใจ

แค่นี้ก็หมดแรงแล้ว...แล้วอย่างนี้จะมีแรง 'ช่วย' เขาไหมเนี่ย

"เอม เหนื่อยแล้วเหรอ"

"อือ..." ดวงตาปรือปรอย ไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตัวเองและอีกฝ่าย เสียงรูดซิป และเสียงครางทุ้มต่ำ

"อะ อา...เอม" ลมหายใจร้อนคลอเคลียข้างใบหน้า เสียงครางข้างใบหู ก่อนจะรู้สึกเปียกชื้นที่ลำคอ "ซี้ด"

ชะเอมเริ่มหายเหนื่อยจึงมีสติรู้สึกตัว มองใบหน้าคมที่อยู่เหนือศีรษะ ร่างสูงคร่อมอยู่เหนือร่างเปลือยเปล่าของเขา และดวงตากลมก็ต้องเบิกกว้างหน้าแดงเถือกอีกครั้ง...คินกำลัง!!!?

"อย่าเพิ่งขยับ...อา เอม นอนเฉยๆ ซี้ด" เสียงครางและเสียงหอบหายใจของคิน สายตาเร่าร้อน และเสียงรูดรั้งท่อนเนื้อของอีกฝ่ายมันทำให้หัวใจเต้นรัว หน้าร้อนผ่าว

"คิน..." ริมฝีปากบางขบกัดกันอย่างทนไม่ไหว ทำแบบนี้เขาอายนะ "ลามก"

ร่างสูงกำลังช่วยตัวเองโดยการคร่อมร่างบางและใช้สายตามองไปทั่วร่างเปลือย จมูกโด่งสูดดมแค่เพียงได้กลิ่นกายหอมกรุ่นก็รู้สึกฮึกเหิมมีกำลัง

"ใช่ คินลามกกับเอมแค่นั้นแหละ อือ อืม..." เห็นสายตาเขินอายที่มองมาแล้วยิ่งรู้สึกดี จนอดเอ่ยขอไม่ได้ "เอม ช่วยคินหน่อย"

"ชะ ช่วย...ช่วยยังไง" ร่างบางขนลุกเกรียว เมื่อคินใช้จมูกไซ้ลำคอ ลมหายใจร้อนๆ มันเป่ารด ดวงตากลมหลับปี๋ "อือ..."

"จับมันหน่อย" ชะเอมสะดุ้งปรือตามองก่อนจะหลบวูบ แก้มแดงปลั่ง ไม่กล้ามองตรงๆ รู้สึกอายเกินกว่าจะมอง

"ของคินก็เหมือนของเอม...นะ"

มือบางสั่นน้อยๆ แตะตรงส่วนปลาย เพียงเท่านั้นร่างกายกำยำก็กระตุกเฮือก "อา..." ชะเอมรีบผละออกเพราะความร้อนระอุของมัน "เอม...จับแน่นๆ"

แล้วใบหน้าหวานก็แดงก่ำเมื่อกำรอบและรู้ว่ามันใหญ่ขนาดไหน หัวใจสูบฉีดหนักจนใบหน้าหาสีใดไม่เจอนอกจากสีแดง ไม่รอให้ชะเอมผละมือออกคินก็ทายทับมันด้วยมือของตัวเอง...และชักรูดไปพร้อมๆกัน

"ซี้ดดด" เสียงสูดริมฝีปากทำให้ชะเอมเขินหนัก ใบหน้ารู้สึกดีของคินเป็นแบบนี้เอง รู้สึกมวนในท้องอีกครั้งเมื่อเสียงครางทุ้มดังไม่หยุด ความร้อนที่สัมผัสเสียดสีผ่านฝ่ามือมันทำให้ชะเอมกัดริมฝีปากแน่น

"คิน...จูบ..." เหมือนรออยู่แล้ว ริมฝีปากหยักฉกจูบลงมา ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าช่องปากและรุกรานทั้งลิ้นเล็ก ไรฟัน เพดาน ร่างบางเสียวซ่านจากจูบเพียงจูบเดียวจนแผ่นหลังบางเดาะ เปลี่ยนมุมเปลี่ยนองศาจนคนใต้ร่างหายใจไม่ทัน "ฮ่า...ฮือ..."

"เอม...ใกล้...อา คินใกล้แล้ว" หน้าท้องแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อหดเกร็งเป็นลูกคลื่น มือใหญ่ปัดมือเล็กออก ก้าวคุกเข่าคร่อมแผ่นอกบางและขยับรูดรั้งแก่นกายใหญ่รวดเร็วตามใจเพราะใกล้ถึงฝั่ง

"...อือ คิน" ร่างบางนอนหงายนิ่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่น มองสิ่งนั้นตาปรือปรอย...เพียงแค่พิศมองท่าทางเซ็กซี่เหล่านั้น ก็ทำให้ร่างบางรู้สึก...หวิวในอก

เสียงสูดปากดังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขื่อนที่กักเก็บไว้จะแตกออก น้ำสีขาวขุ่นเหนียวพ่นแรงตั้งแต่หน้าอกบาง ลำคอขาวและใบหน้าหวานที่หลับตาปี๋

อุ่น...

ร่างกายแข็งแกร่งกระตุกเฮือกไม่หยุดราวกับไม่เคยปลดปล่อยแรงขนาดนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะต่อหน้าร่างบางคนนี้ทำให้รู้สึกมากเป็นพิเศษ มือใหญ่รูดรั้งแก่นกายจนน้ำออกหมดและอ่อนตัวลงในที่สุด

"อย่าเพิ่งขยับนะ"

พอลมหายใจสงบ ร่างสูงก็บอกคนที่นอนนิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นหยิบทิชชู่มาเช็ดที่ใบหน้ามนออกให้ และดวงตากลมค่อยๆ ปรือเปิด และดวงหน้าที่แดงก่ำก็ปรากฏอีกครั้ง

"คิน...ลามกที่สุด" เสียงใสอุบอิบ "ไหนบอกว่าจูบเดียว" ปากบ่นและกุลีกุจอลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าให้เหมือนเดิมโดยที่คนโดนว่าหัวเราะหึๆ เดินเข้าไปกอดจากด้านหลังแล้วหอมแก้มใสที่สะอาดแล้ว (?) ดังฟอด

"ก็อยู่กับเอมแล้วมันหยุดไม่ได้"

"ไม่ต้องมาอ้างเลย!" แขนบางผลักร่างสูงออก และเด้งตัวออกห่าง เขายังเขินอยู่อย่ามากอดอย่ามาหอมนะ! "ไม่ต้องมาจับนะ คนบ้า! คนหื่น!"

ปังๆ

"เอมโว้ย! ไปเล่นน้ำกัน!"

ชะเอมสะดุ้งเฮือกกับเสียงตะโกนด้านนอก...ดินนี่นา!

"อื้อ!! ไปแล้ว!" ขาเรียวตวัดวิ่งแผล็วหนีออกไปอย่างเร็ว ทิ้งร่างสูงยืนนิ่งในบ้านพักเอาไว้

คินเสยผม เหลือบมองเตียงขาวที่ผ้าปูยับยู่ยี่และมีน้ำบางอย่างเลอะอยู่บางส่วนแล้วก็อดเลียริมฝีปากแห้งผากไม่ได้

ทั้งๆ ที่เพิ่งปลดปล่อยไป...แต่ความต้องการก็ไม่ลดลงเลย

ขายาวเดินไปที่หัวเตียง หยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์หนึ่งแล้วโทรออก

...กฤษณะ...

"อากฤษครับ" แววตาคมกริบมองออกไปนอกหน้าต่างบ้านที่พักเห็นแผ่นหลังบางลิบๆ เดินอยู่ข้างเพื่อนตัวสูง

"คนป่วยโรคหัวใจเนี่ย...มีเซ็กส์ได้รึเปล่าครับ"



************************Whose fault? ************************



พระอาทิตย์กำลังตกดินลับขอบฟ้า มองจากชายหาดทรายกว้างใหญ่สีขาวแห่งนี้แล้วสวยงามจนอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ ผู้คนหลากหลายที่มาพักผ่อนที่โรงแรมแถบนี้ก็พากันมาเล่นทะเลตอนเย็นๆ ที่แดดเริ่มหมดพอดี

"เค็ม..."

"ก็ทะเลนี่จะให้มันจืดได้ไง" สินตอบกวนๆ กับชะเอมที่ทำปากปะแล่มๆ ขมวดคิ้วมุ่น ก็คนกำลังพูดอยู่ดีๆ คลื่นก็ซัดเข้าฝั่งซะงั้น แถมมันยังกระเซ็นเข้าปากด้วย

"เอ้า!"

ซ่า!

"ดิน! ...มันเข้าปากเราแล้วนะ" ร่างบางลูบหน้าลูบตาใส่คนตัวสูงผิวคล้ำที่สาดน้ำทะเลใส่...เพิ่งบ่นไปแท้ๆ ว่าน้ำทะเลมันเค็ม ลูบเสร็จก็สาดคืนหลายๆ ที "นี่แน่ะๆ เอาไปเลย"

"โฮ้ย...แหวะ! เค็มปี๋"

"เห็นมั้ยล่ะ" ว่าแล้วยังไม่หยุดรู้สึกสะใจอย่างประหลาดที่เห็นเพื่อนเปียกปอนไปหมดไม่ต่างจากตัวเอง

"พอแล้ว พอแล้วโว้ยยย...อย่าให้รอดไปได้นะ แค่กๆ เค็ม!!"

"ฮ่าๆ" เสียงใสหัวเราะลั่นจนดังมาถึงฝั่งที่นั่งริมหาด เรียกสายตาและรอยยิ้มเอ็นดูจากคนมองเป็นอย่างดี

"แหม แหม~ น่าอิจฉาชะเอมเนาะ มีเดือนสุดหล่อคณะวิศวะจากมหาลัยชื่อดังที่สาวๆ หลายคนหมายปองมานั่งเฝ้าเล่นน้ำด้วย"

"นั่นสิ"

แฟนหนุ่มของเม็ดทรายยิ้มขำกับคำแซวอ้อล้อของแฟนตัวเอง ปกติเม็ดทรายจะเป็นหญิงสาวที่ดูน่าเกรงขามสำหรับคนอื่นแต่พอเธออยู่กับเพื่อนก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง นี่คือนิสัยน่ารักที่ชายคนนี้ชอบ

ร่างกำยำกล้ามโตที่อยู่ข้างๆ นั้นชื่อศร เป็นรุ่นพี่ปีสี่คณะวิศวะเหมือนกันแค่คนละสาขาและเป็นนักมวยของมหาวิทยาลัยที่ถูกส่งไปแข่งและกลับมาพร้อมชัยชนะทุกครั้งจนเป็นที่กล่าวขาน และศรกับพวกเขาก็รู้จักกันดี

"ไม่หรอกครับพี่ศร ผมต่างหาก..."

"นู่นๆ ดูสาวอกโตใส่บิกินีทางนั้นสิ เขาจ้องนายตาเขม็งเลย"

ร่างสูงส่ายหน้ากับคำยั่วยุของหญิงสาว "อุตส่าห์ใส่ชุดว่ายน้ำมาทั้งที ถ้าว่างนักก็ไปเล่นน้ำซะไป"

"ไล่...ไล่ ไปก็ได้ ศรคะไปก่อทรายกันดีกว่าค่ะ"

"ครับ"

และเสียงง้องแง้งก็ค่อยๆ เบาลง ร่างสูงถอนหายใจ มองชะเอมกับเพื่อนที่เล่นน้ำอย่างสนุกสนานแล้วก็ตัดสินใจ

'ไปเล่นด้วยดีกว่า'

ขายาวกำลังจะลุกขึ้นเดินไปหาร่างบางที่อยู่ตรงนั้น แต่เสียงแหลมของผู้หญิงก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

"ขอโทษนะค้า หนุ่มหล่อตรงนั้น"

และสาวสองคนหุ่นอวบอั๋น ใส่เสื้อว่ายน้ำแบบทูพีซโชว์ร่องอกก้าวเข้ามาในครองสายตา บังทิวทัศน์ของทะเลมิด...นั่นหมายความว่าเขาก็มองไม่เห็นชะเอมที่กำลังเล่นน้ำด้วย

"ครับ?"

"ว่างมั้ยคะ พวกเราอยากวานให้คุณไปตรงนั้นด้วยกันหน่อย" สาวผมน้ำตาลเป็นลอนใส่ทูพีซสีแดงแปร๊ดมีเกล็ดแวววาวติดตรงหน้าอกและกางเกงในตัวน้อยระยิบระยับ ไม่แค่ถามเฉยๆ ยังก้มมาซะ และยังใช้แขนบีบจนอกอวบจะทะลักออกมาจากผ้าชิ้นน้อยอยู่แล้ว

"ไม่ว่างครับ" คินหันหน้าออก เดี๋ยวใครมาเห็นจะเข้าใจผิดหมด ไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น ขายาวเลี่ยงเดินออกอีกทางแต่สาวอีกคนมาขวางทางไว้ คราวนี้เป็นคนผมดำ

"จะรีบไปไหนล่ะคะ ก็เห็นอยู่คนเดียว"

"ใช่ๆ ที่บอกว่าไม่ว่างคงจะโกหกล่ะสิ" สาวบิกินีแดงด้านหลังพูดเสริม

ข้างขมับเริ่มปูดด้วยเส้นเลือดเพราะเสียงแหลมๆ ที่ฟังดูน่ารำคาญ "ก็บอกว่า..."

"คิน?" เสียงใสดังแทรกทำให้ร่างสูงชะงักหันขวับไปมอง ร่างกายผอมบางเปียกโชกทั้งตัว จนเสื้อที่เคยใหญ่โคร่งลู่ลงแนบกายจนเห็นว่าไหล่นั้นเล็กบางแค่ไหน

"เอม...!"

ดวงตากลมกระพริบปริบๆ มองที่ร่างสูงและหญิงสาวสลับกันอย่างงุนงง "เอมจะมาชวนไปเล่นน้ำ...ใครเหรอครับ?"

คินกำลังจะอ้าปากตอบว่าไม่รู้ แต่สองสาวปรี่เข้าไปหาคนใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา

"ตายจริงหนุ่มน้อยคนนี้น่ารักอะ"

"อื้อ ใช่ๆ เห็นด้วยเลย~"

"เอ๊ะ เอ๋? คือ..." ร่างบางเลิ่กลั่ก หน้าขาวเริ่มแดงเรื่อไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนที่แต่งตัวน่าอายขนาดนี้มาก่อน สองสาวยิ่งถูกใจเพราะคิดว่าชะเอมชอบพวกเธอ

"คิกๆ ชื่ออะไรจ๊ะ...เอมใช่มั้ย"

"คะ ครับ"

พอเห็นท่าไม่ดี ร่างสูงก็ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าชะเอมจนบังร่างบางมิด ตวัดกลับมามองสองสาวด้วยสายตาคมกริบ

"อย่ามายุ่งมากกว่านี้...จะไปหาผู้ชายที่ไหนก็ไป ไม่ใช่ที่นี่" และไม่ใช่คนนี้

"เห อะไรกันเนี่ย ท่าทีเปลี่ยนจากเมื่อกี้ลิบลับเลย" สาวอวบอั๋นผมสีดำตรงบิกินีสีเดียวกันมีโบว์ใหญ่ๆ ผูกอยู่ตรงกลาง เดินกรีดกรายเข้าใกล้

"จริงๆ สเป็คของฉันก็เป็นหนุ่มน่ารักมากกว่าซะด้วย ยกเด็กคนนั้นให้ไม่ได้เหรอ ส่วนเธอไปเล่นกับเพื่อนฉันก็ได้ ไม่ต้องแย่งกัน"

"ไสหัวไป" ร่างสูงไม่อยากเถียงให้มากความ อีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงจึงไม่อยากใช้กำลังไล่ไป จึงจับข้อมือบางให้เดินตามมาอีกทางแทน

>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 34 19/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 19-02-2019 09:07:46

ต่อจากด้านบน<<<<<<<<<<<<<<<<<


"คิน...ผู้หญิงพวกนั้น?"

"ไม่ต้องสนใจ"

"เขามาจีบคินเหรอ" เสียงใสถาม ทำให้ขายาวหยุดเดิน คิ้วเข้มเลิกนิดๆ "พวกเธอสนใจคินเหรอครับ?"

ตอนแรกเขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกันแหละ แต่พอชะเอมเดินมาเจ้าตัวก็กลายเป็นเป้าไปซะงั้น นี่อย่าบอกว่าเจ้าตัวไม่รู้อีกแล้ว

เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอ ก็ดีอยู่หรอกที่อีกฝ่ายเป็นคนใสซื่อ แต่ว่าบางทีก็ตามความคิดของคนอื่นไม่ทัน...ซึ่งอันตรายจนน่าเป็นห่วง

ร่างสูงยกมือปัดหน้าม้าเปียกๆ ที่ปรกออก ก่อนจะจรดริมฝีปากแนบชิดตรงกลางหน้าผากมนเรียกลมร้อนตีขึ้นจนใบหน้าหวานผะผ่าวแก้มแดง "คะ คิน?"

"วี้ดวิ้ว หวานเกินไปแล้วนะเว้ย"

" ‘ไรเนี่ย กลางทุ่งเลยเหรอ"

"ไม่ใช่กลางทุ่ง กลางทะเลต่างหาก"

กลุ่มเพื่อนที่มองอยู่ก็ส่งเสียงแซวเป่าปากกันดังสนั่น ทำให้ชะเอมยิ่งต้องเม้มปากก้มหน้างุดๆ เขินอายจนไม่กล้ามองหน้าใครเลย แต่ก็โดนมือของคนตรงหน้าเชิดให้เงยสบตา

"คินไม่สนใจหรอกนะ ไม่ว่าจะผู้หญิงคนไหน"

"...คิน"

"ยังไงก็ไม่น่าสนใจเท่าคนตรงหน้าคินตอนนี้...เพราะงั้นไม่ต้องงอนนะ" คินพูดยิ้มๆ ทำให้ปากบางมุ่ยๆ

"อะ เอมไม่ได้งอนซักหน่อย"

"เหรอ?"

"ก็แค่...แค่คิดว่าถ้าเอมเป็นผู้หญิงคงจะดีกว่านี้...เพราะยังไงผู้ชายก็ต้องชอบร่างกายผู้หญิงมากกว่าอยู่แล้วนี่นา" ร่างสูงฟังแล้วนิ่งอึ้ง ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง ที่แท้น้อยใจอยากให้เขาสนใจมากกว่านี้เหรอ

"ที่เอมพูดมันก็จริง" คินพยักหน้าเห็นด้วย ทำให้ชะเอมหน้าบูดบึ้งทันที "แต่ว่านะ...เรื่องของคนรักก็อีกเรื่องไม่ใช่เหรอ"

"ก็คนที่คินรักเป็นเอม คินไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง"

ร่างบางเม้มปากแน่น ยิ่งฟังยิ่งหน้าแดงเรื่อ

"ถึงจะมีผู้หญิงสวยๆ มาถอดเสื้อเปลือยร่างอยู่ตรงหน้า คินก็ไม่มีอารมณ์เท่าเห็นร่างเปลือยของคนรักหรอก" มือดึงแขนบางและโอบเอวเข้าใกล้ กระซิบเสียงทุ้มแหบพร่าข้างหู "เมื่อกี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ"

ใบหน้าหวานมีสีแดงพาดผ่าน เมื่อนึกถึงตอนที่อยู่ในบ้านพัก

"หรือเอมอยากจะให้คินพิสูจน์อีกทีคืนนี้ด้วย"

"มะ ทะ ทะลึ่ง!" แขนบางดันอกแกร่งออกทันที แต่สู้แรงที่โอบเอวนี้ไม่ได้ พอชะเอมเผลอแขนแกร่งอีกข้างก็ช้อนใต้ข้อพับยกคนตัวเบาจนเท้าลอย "อ๊ะ คินปล่อยเอมนะ...ปล่อย งือ ไม่เอานะ เอมว่ายน้ำไม่เป็น!"

ร่างบางตีเท้าดิ้นขลุกขลักหนักเมื่อร่างสูงเดินเข้าหาทะเลค่อยๆ จมลง...จมลง

"ไม่ต้องห่วง เอม คินไม่ปล่อยให้เอมจมหรอก"

เสียงทุ้มเหมือนมนต์สะกดให้ชะเอมค่อยๆ หยุดดิ้น...รู้สึกไว้ใจ

แต่ก็ยังกลัวอยู่ดี

แขนบางโอบกอดลำคอร่างสูงแน่นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งห่างจากชายฝั่งมากเท่าไหร่ร่างกายบางยิ่งสั่นระริกจนคินหยุดนิ่ง ดวงตากลมมองซ้ายมองขวากะระยะทางแล้วอยู่ห่างจากฝั่งพอสมควร เขาเคยยืนในน้ำทะเลมากสุดก็แค่ระดับเอว...ไม่เคยมาลึกขนาดนี้

"ไม่ต้องกลัว ยังยืนได้อยู่นะเอม"

"ไม่เอา เอมกลัว" ชะเอมส่ายหน้าเบะปาก เสียงใสสั่นเครือ แม้อีกฝ่ายจะยืนยัน แถมระดับน้ำถึงแค่ไหล่ร่างสูงก็เถอะ...แต่ก็กลัวอยู่ดี

คลื่นในทะเลพัดให้ร่างสองร่างลอยห่างออกไป ยิ่งทำให้ชะเอมตัวสั่นกอดคอแน่น "เอมกลัว คิน เอมว่ายน้ำไม่เป็น"

คินเห็นท่าไม่ดี จึงค่อยๆ เดินกลับเข้าฝั่งจนน้ำทะเลถึงแค่ระดับอก "ขอโทษ คินขอโทษครับเอม" มือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางปลอบคนที่ยังกอดคอตนหลับตาปี๋แม้จะมาถึงในส่วนที่อีกฝ่ายก็ยืนได้แล้ว

"เอม...ยืนได้แล้วนะ..."

"จัดไปน้อง!"

ผัวะ! พลั่ก!

"โอ๊ย!"

เสียงทุ้มร้องดัง ทำให้ชะเอมรีบเปิดตามองอย่างตกใจ เห็นคินกำลังยกมือจับตรงศีรษะและมีสีหน้าเจ็บปวด ร่างบางปล่อยแขนออกจากคอทันทีและถามไถ่อาการ "คิน เป็นอะไร เจ็บตรงไหนเหรอ"

ดวงตากลมสีดำกวาดมองไปรอบกายก็เห็นลูกวอลเล่ย์บอลสีขาวลูกหนึ่งลอยเติ่งอยู่เหนือน้ำข้างๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้น่าจะลอยมากระแทกหัวของคิน

"เฮ้ย คิน ขอโทษว่ะ!" ดินว่ายมายกมือขอโทษขอโพยราวกับไม่ได้ตั้งใจ "แต่พวกมึงสวีทหวานเกินจนน้ำทะเลมันเปลี่ยนเป็นน้ำหวานแทนแล้ว...กูเห็นแล้วหมั่นไส้อะ"

สรุปคือจงใจสินะ

ชะเอมทำหน้ายุ่งขมวดคิ้วมุ่น คว้าและโยนบอลกลับไป "ดิน! เล่นเบาๆ หน่อยสิ ถ้าหัวคินเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ!"

เพื่อนตัวสูงอึ้ง ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาเพิ่งเคยเห็นสีหน้าดุๆ จริงจังของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก "เอ่อ...โทษทีเอม"

พอสายตาของดินเหลือบมองไปด้านหลัง เห็นคินมองมาริมฝีปากยิ้มกริ่มไม่มีท่าทางเจ็บปวดเหมือนเมื่อครู่...ไอ้ห่าเอ๊ย มันแกล้งทำเป็นเจ็บนี่หว่า!!?

ดินเดาะลิ้นขัดใจ "ร้ายนักนะ"

"เมื่อกี้ดินว่าอะไรนะ?"

"ปะ เปล่าจ้า..."

"คินหายเจ็บหรือยังครับ" ชะเอมหันไปมองกะทันหัน ทำให้คินเปลี่ยนท่าทีแทบไม่ทัน จับหัวร้องโอดโอย

"อ่า อืม เอมช่วยดูหน่อยสิ คินยังเจ็บๆ อยู่เลย"

"ให้ตายสิ ดินนี่เล่นอะไรก็ไม่รู้...คินเจ็บตรงไหนเหรอ" เสียงใสบ่นอุบอิบ เพราะเป็นห่วงร่างสูงจับใจทำให้ดินที่ยืนหันหลังให้อยู่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่ตอนแรกกะจะให้เจ็บจริงแต่ดันโดนมันตลบหลังเสียได้...แถม

โดนชะเอมโกรธใส่แบบนี้ไม่คุ้มเลย

“ไม่เป็นไรนะคิน เพี้ยง! หาย” ชะเอมเป่าเบาๆ เข้าตรงที่ศีรษะคนตัวสูงกว่า ไม่พบรอยแดงหรืออะไรก็โล่งอก

คินอมยิ้มขำกับวิธีรักษาเหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็ก แต่จริงๆ แล้วคนรักษานั่นแหละที่เด็กกว่า “ขอบคุณครับ”

หัวใจรู้สึกอิ่มเอมเหลือเกินเมื่อเห็นชะเอมเป็นห่วงและนึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลา...ในสายตามีเพียงเขาคนเดียว

"โฮ่ย เอม คิน...มาเล่นลิงชิงบอลด้วยกันสิ!" ตาลโบกมือตะโกนเรียก ทำให้ทั้งสอง

"โอเค เดี๋ยวเราไป! คินไปเล่นด้วยกันนะ" ริมฝีปากบางยิ้มกว้างตาใสแบบเด็กๆ ทำให้คนมองยิ้มตาม

"ครับ"

ไม่ว่ายังไง ก็อยากจะเห็นรอยยิ้มนี้ตลอดไป





ครึ่งชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าเริ่มมืดและท้องของใครหลายคนเริ่มร้องประท้วง จึงกลับห้องพักเพื่ออาบน้ำทำความสะอาดร่างกายกัน

"เอม ขึ้นได้แล้วนะ" คินเอ่ยกับร่างบางที่นั่งขมักเขม้นก่อทรายอยู่แต่ก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเสียที

ชะเอมหน้ามุ่ยนิดๆ อดมองกลับไปที่ทะเลไม่ได้ "เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าๆ ค่อยมาเล่นอีกทีดีไหม ก่อนกลับ"

ดวงตากลมโตประกายวาววับ "ครับ" พยักหน้าหงึกหงักว่าง่าย ทำให้คินอดหัวเราะในลำคอไม่ได้ หลอกล่อง่ายๆ เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด

"งั้นขึ้นกัน ดูสิ มือเปื่อยหมดแล้ว" คินจับมือบางที่เลอะทรายหงายขึ้น และไล้ปลายนิ้วเล็กที่ยับย่นเป็นคลื่น

ทั้งสองคนเดินเข้าบ้านพักพร้อมกัน ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ล้างตัวจากฝักบัวด้านนอกริมชายหาดมาแล้วแต่ก็ยังเปื้อนทรายอยู่บ้างเล็กน้อย

"อีกประมาณเกือบชั่วโมงค่อยออกไปหาอะไรกินนะ ไอ้เอกบอก"

"ครับ" ชะเอมตอบรับ นั่งยองๆ หน้ากระเป๋าค้นเสื้อที่จะใส่ออกมาวาง เตรียมเพื่อเข้าห้องอาบน้ำ

"เอมหยิบให้คินด้วยสิ"

"ครับ...แล้วคินอยากใส่ตัวไหน"

"ตัวไหนก็ได้"

ร่างบางวางเสื้อกับกางเกงของร่างสูงไว้บนเตียงตามคำขอ ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อแขนยาวเข้ามาโอบเอว "คิน...ตกใจหมดเลย"

อีกฝ่ายหัวเราะ "ตกใจอะไรอยู่กันสองคน ไปอาบน้ำได้แล้ว อากาศหนาวๆ แบบนี้เดี๋ยวไม่สบาย"

"ครับ...อ้าว คินปล่อยเอมสิ" มือบางแงะแขนแกร่ง กอดแบบนี้แล้วจะอาบยังไง

"คินหมายถึงอาบด้วยกัน" ร่างสูงยกคนตัวเบาเท้าลอย แน่ล่ะต้องดิ้นโวยวายอยู่แล้ว

"คะคิน ไม่เอา เอมจะอาบคนเดียว" ใบหน้าหวานแดงก่ำเมื่อในหัวนึกถึงแต่เรื่องน่าอาย จนมาถึงในห้องน้ำที่มีส่วนที่เป็นอ่างน้ำจากุชชี่กับฝักบัวแยกกัน คินจัดการปิดประตูและล็อคกลอนแน่นหนา

"อาบสองคนเร็วกว่า"

"คิน!" เสียงใสดังก้องสะท้อน มันจะช้ากว่าเดิมน่ะสิไม่ว่า!

"ครับ? เอมเรียกคินทำไม" ทั้งๆ ที่รู้ดีแต่ร่างสูงก็ทำเป็นไม่รู้ ใบหน้าหวานงอง้ำ แก้มแดงเรื่อ ทำไมต้องให้อธิบายออกมาเป็นคำพูดด้วย...มันน่าอายจะตาย

"ก็คินไม่อาบน้ำอย่างเดียวใช่ไหมล่ะ"

"...เอมไม่ชอบเหรอ"

"..." แก้มใสแดงปลั่งเขินอาย

"ถ้าเอมไม่ชอบคินจะไม่ทำ" คินยิ้มบาง "เอมรีบอาบเถอะเดี๋ยวเป็นหวัด"

ร่างสูงถอดเสื้อไม่พูดอะไรอีก ทำให้ริมฝีปากบางขบกัดกัน ตัดสินใจพูดออกมาจนได้

"มะ ไม่ได้...ไม่ชอบ"

มือใหญ่ที่กำลังปลดซิบกางเกงชะงัก "...?"

"ก็ ท ที่คินทำ เอมแค่อาย...แต่ไม่ได้ไม่ชอบนะ"

กลัวว่าร่างสูงจะน้อยใจ เลยพูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง

"ไม่ได้ไม่ชอบ...แปลว่าชอบสินะ"

ชะเอมกำชายเสื้อแน่น แก้มใสแดงก่ำพองลม ไม่พูดแล้ว...อีกฝ่ายชอบหลอกให้พูดแต่เรื่องน่าอาย

"เอม ถอดเสื้อสิ เร็ว" คินเดินไปรองน้ำอุ่นใส่อ่าง "จะได้มาแช่น้ำอุ่น"

"อะ เอมจะ...อาบฝักบัว" เสียงใสพูดอุบอิบ ดวงตากลมโตมองที่อ่างสีขาว จะให้ไปแช่ในอ่างแคบๆ นั่นสองคนมัน...และรีบหลุบตาลงเม้มปากหน้าแดงเมื่อเห็นร่างกายกำยำเปลือยเปล่าหันหน้าเดินมาโทงๆ ไม่อายใคร

"อ๊ะ คิน เอมถอดเองได้นะ!" ชะเอมคู้ตัวขัดขืนคนที่เดินเข้ามาถอดเสื้อออกให้ แต่สุดท้ายก็สู้คนแรงมากกว่าไม่ได้อยู่ดี

"มัวแต่ลีลาวันนี้ก็ไม่ต้องอาบกันพอดี"

แปปเดียวก็ต้องเข้ามานั่งแช่ในอ่างน้ำร้อนสองคนพร้อมกัน ร่างบางนั่งซ้อนตักแกร่งแนบชิด แม้จะเป็นท่าประจำที่คินชอบให้นั่งแต่มันสัมผัสถึงความร้อนของร่างกายต่างกันลิบลับ

"ไม่ต้องเกร็ง คินไม่ทำอะไร" มือใหญ่บีบสบู่ไล้คนตัวบางให้ เน้นตรงเอว อก และขาเรียวบางเป็นพิเศษพอนิ้วยาวสะดุดโดนตรงจุกสีชมพูที่แข็งเป็นไตเพราะความหนาว ชะเอมก็สะดุ้งเฮือกๆ ตัวเกร็ง แถมหลุดเสียงครางแผ่ว...ท่าทางแบบนี้ไม่เรียกอารมณ์หื่นให้ตื่นขึ้นมาได้ ผู้ชายคนนั้นก็ตายด้านเกินไปแล้ว

"เอม..."

แผล่บ

"อ๊ะ...คิน ไหนบอกว่าไม่ทำอะ...ไร ฮึก ไงครับ"

สัมผัสเปียกชื้นร้อนตรงหลังคอ ลิ้นร้อนไล้เลียและขบเม้มไม่สนใจเสียงท้วง

หอมหวาน...

"ไม่ทำอะไรๆ แค่นิดหน่อยเท่านั้น" ไล้เลียจากคอลงมาลาดไหล่บางสีขาวอ้าปากกัดมันจนเป็นรอยฟันร่างกายบางกระตุกเฮือก แถมนิ้วเผลอเลื่อนขึ้นบีบจุกนมน่ารักทั้งสองจนเสียงใสแหวลั่น

"อ๊ะ!! คิน!"

"ขอโทษครับ คินเผลอ" ร่างสูงหายใจแรงตั้งสติ พยายามควบคุมลมหายใจให้ไม่ร้อนไปมากกว่านี้ กัดฟันแน่นจนกรามปูดอย่างอดทน เสียงทุ้มเอ่ยพร่า "คินอยากมีเซ็กส์กับเอม"

ริมฝีปากบางอ้าค้าง หน้าแดงเถือกเมื่อได้ยินอะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อน

"เซ็กส์..."

"ครับ เวลาคนรักทำรักกัน เรียกว่าเซ็กส์นะ เอมรู้จักมั้ย"

"..." ใบหน้าหวานพยักหงึกหงักเบาๆ "แต่เอมไม่รู้ว่า...เซ็กส์...เขาทำกันยังไง"

"เดี๋ยว 'คืนนี้' คินสอน...นะครับ" เสียงทุ้มพร่าเอ่ยขอ จมูกโด่งไล้แก้มใสของคนบนตัก สูดดมความหอมที่เป็นเอกลักษณ์แล้วยิ่งรู้สึกร้อนมากขึ้นไปอีก

มือใหญ่ไล้ลงไปเบื้องล่าง ไล้นิ้วตรงช่องทางที่ปิดสนิททำให้ร่างบางหุบขาหนีบมือนั้นแน่นแล้วครางอือ

"ตรงนี้...คินจะใส่ของคินเข้าไป นั่นคือเซ็กส์นะเอม" ว่าแล้วก็ใช้นิ้วกดคลึงหนักให้ร่างบางดิ้นเร่า ชะเอมเม้มปากหน้าแดงก่ำ

ทำรัก...กับคินเหรอ

"แต่ถ้าเอมอนุญาตนะ คินจะไม่ฝืนใจหรอก"

"..."

"เอม?"

คินบอกว่าจะใส่ของคิน...เข้ามา...ตรงนั้นของเรา

ริมฝีปากบางเม้มแน่น "...มัน...เจ็บมั้ย"

"คินก็ไม่รู้เหมือนกัน" ริมฝีปากร้อนจูบหลังใบหูเล็กอย่างหมั่นเขี้ยว "แต่คินจะไม่ทำให้เอมเจ็บ"

"..."

"คินรักเอมนะ เพราะงั้นถึงได้อยากทำรักกับเอมแค่คนเดียว"

ก่อนที่ริมฝีปากสีเข้มจะยิ้มกว้างเพราะคำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้างุดๆ ของร่างบาง

"ขอบคุณนะครับ" คินจูบลาดไหล่กลมกลึงที่แดงก่ำแรงๆ

ดีใจสุดๆ

"ตะ แต่ถ้าเจ็บล่ะก็...คะ คราวหน้าไม่มีอีกแล้วด้วยนะ!" ชะเอมพยายามทำหน้าดุ แต่แก้มใสแดงปลั่งมันน่ารักมากกว่าน่ากลัว

"ครับๆ รับทราบแล้วครับ"

จากนั้นเสียงหัวเราะทุ้มก็ดังก้องสะท้อนในห้องน้ำ พร้อมกับเสียงใสแหวแกมด่าและมีเสียงครางเครือดังปนแทรกออกมาเป็นระยะๆ





************************Whose fault? ************************


สนใจรูปเล่มทักได้ที่เพจ H.Rui Novels นะคะ ส่วนอีบุ๊ควางจำหน่ายแล้วที่ ookbee ค่ะ ^^


คู่ของติมราม เรื่องทดแทนรักนะคะ -> https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69548.0#lastPost
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 34 19/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 19-02-2019 23:42:15
มีครั้งต่อไปด้วย 555
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 34 19/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Chakaimook ที่ 21-02-2019 17:55:23
ตอนนี้หวานน้ำตาลหยดย้อยมากกก หมือนคลื่นทะเลสงบก่อนสึนามิมาเลยค่ะ //ต้มน้ำร้อนรอ5555  :katai1: :katai3:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 34 19/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-02-2019 19:23:31
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 34 19/02/2562
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 22-02-2019 17:08:48
ล่อเด็กสำเร็จ 55555
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:13:01


                                                      Whose Fault ?

                                                       ผิด...ครั้งที่ 35





โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

เนื้อหาเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป


ตลาดนัดตอนกลางคืนเต็มไปด้วยคนจอแจคึกคักและแสงไฟ ผู้คนพากันหลั่งไหลมาเที่ยวแถวนี้และยังมาทานข้าวเย็นบ้าง เดินเล่น ซื้อของบ้าง จนเวลาเดินต้องเบียดเสียดกันอย่างมาก ถ้าไม่ดูกันดีๆ ก็อาจพัดหลงกันได้เลย

กลุ่มของชะเอมที่พากันมาเดินในตลาดแห่งนี้ก็เช่นกัน พากันตื่นตาตื่นอกตื่นใจมองนู่นมองนี่อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน...ก็แค่บางคนล่ะนะ

"คิน อันนี้คืออะไรครับ" มือบางกระตุกเรียกร่างสูงข้างกายที่เดินประกบตัวติดไม่ห่างไปไหน นิ้วเรียวชี้ไปที่อะไรบางอย่างมีสีเหลืองๆ ขาวๆ ถูกทอดเป็นแพอยู่บนกระทะแผ่นใหญ่ แถมมีกลิ่นแปลกๆ ลอยออกมาด้วย ชะเอมย่นจมูกกับกลิ่นของมัน จะหอมก็ไม่หอม จะเหม็นก็ไม่เหม็น...ไม่เคยเห็นมาก่อน

คนโดนถามนิ่วหน้า และหันหน้าออกจากควันที่โชยมา เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายก็ไม่รู้จักแถมไม่ชอบกลิ่นของมันสุดๆ

"ไข่ปลาหมึกทอด...ก็อร่อยดีนะ เค็มๆ มันๆ" คนตอบคือศร รุ่นพี่เพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มยื่นหน้าหันมาถามคนตัวเล็กยิ้มๆ "นี่กินข้าวอิ่มแล้วยังอยากกินอยู่อีกเหรอ"

"...ก็...นิดหน่อยครับ" ชะเอมเงยหน้าหัวเราะแหะๆ ท่าทางน่าเอ็นดูนั้น ทำให้รุ่นพี่อดยกมือลูบหัวทุยไม่ได้

"อย่ากินเยอะนะ มันไม่ดีกับร่างกายเราเท่าไหร่หรอก"

"ครับ" ร่างบางยิ้มกว้างพยักหน้าหงึกหงักกับความเป็นห่วงและหวังดีของพี่ศรแม้จะเพิ่งรู้จักกันแต่ก็เป็นคนดีมาก ไม่เห็นจะน่ากลัวหรือดูโหดเหมือนที่จินตนาการเอาไว้เลย

แขนยาวที่โอบรอบตัวรัดแน่นขึ้น ทำให้ใบหน้ามนหันมอง "คิน?"

เป็นอะไรอีกแล้ว?

"ห้ามหลงชะเอมเด็ดขาดนะคะ ศร ไม่งั้นทรายเอาถึงตายแน่" เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้น ทำให้ศรชะงัก

"หะ...ฮ่าๆ พูดอะไรน่ะทราย พี่แค่เอ็นดูน้องเขาแค่นั้น" ให้พูดตามตรงไม่เคยเจอผู้ชายที่ไหนที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูเท่าชะเอมมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ใบหน้าหวานมองซ้ายมองขวา แก้มเริ่มแดงเรื่อเมื่อเข้าใจอะไรมากขึ้น...งั้นแสดงว่าเมื่อกี้คินก็...

"งั้นเดี๋ยวผมกับคินไปเดินตรงนู้นนะครับ" ร่างบางดึงแขนยาวให้แหวกฝูงชนตามมาซึ่งลำบากพอควรเพราะคนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กความคล่องตัวมันต่างกันลิบลับ

"เอม เดินช้าๆ สิ แล้วนี่จะไปไหน"

"เอมก็ไม่รู้ แค่อยู่กับคินสองคนจะไปไหนก็ได้" ชะเอมเอ่ยเอาใจ ริมฝีปากบางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

คินเลิกคิ้ว "อ๋อ นี่แสดงว่าเริ่มรู้อะไรบ้างแล้วสิ หือ เด็กซื่อ"

คิ้วบางขมวด โดนว่าอีกแล้ว "เอมไม่ได้ซื่อ ทำไมคินชอบว่าเอมเรื่อยเลย"

"ก็ซื่อจริงๆ ตามคนอื่นไม่ค่อยทัน"

ร่างบางส่ายหน้าจนผมสะบัด...ไม่จริงเลย "เดี๋ยวนี้เอมตามทันแล้ว"

"เหรอครับเด็กซื่อ...งั้นก็ตามคินให้ทันบ้างสิ" มือเอื้อมหยิกแก้มใสที่เดี๋ยวนี้เถียงเก่งขึ้นเยอะ...พัฒนาๆ

"เอมไอ้ไอ้เอ็ก! ...อื้อ เอ็บ" มือบางตีรัวๆ ที่แขนแกร่ง นานกว่าที่มือจะปล่อยออกจากแก้ม ชะเอมน้ำตาเล็ด งือ มันเจ็บจริงๆ นะ

"เจ็บเหรอ" ร่างสูงมองคนตัวบางที่จับแก้มน้ำตาคลอแล้วอดสงสารไม่ได้ จึงปลอบใจโดยการกดจมูกโด่งเบาๆ ลงที่แก้มที่เขาเป็นคนดึงเมื่อครู่

...คินไม่รู้ว่าชะเอมหายงอนหรือยังแต่ใบหน้าหวานก็แดงก่ำอีกตามเคย น่าจะหายงอนเปลี่ยนเป็นเขินอายแทน...

ภาพคนสองคนที่ยืนหัวเราะและยิ้มหยอกล้อกันไม่สนใจคนรอบข้างแบบนั้นทำให้เพื่อนๆ ที่ยืนเป็นกลุ่มก้อนอยู่ใกล้ๆ ก็อดถอนใจไม่ได้

"นี่พวกมันจะไม่สนใจใครเลยหรือไงกัน" ดินยืนกอดอกพ่นลมหายใจแรง อย่างเอือมระอา ที่ชายหาดตรงโรงแรมว่าโจ่งแจ้งแล้ว แต่นี่ในตลาดคนพลุกพล่านยิ่งแล้วใหญ่เลย

"เอาน่า เอมมีความสุขก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ"

"เออ จริงๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่ดูเหมือนเอมมันจะตามผัวมันไม่ทันแหงแซะ ไอ้หมอนั่นเจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกิน"

"มึงก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขานะ" รามพูดขึ้น จะบอกว่าดินก็ตามสินไม่ค่อยทันเหมือนกันน่ะแหละ

"แล้วมึงเป็นไงบ้าง ราม ช่วงนี้หายหัวเข้ากลีบเมฆ"

"อ่า พอดีต้องจัดการเรื่องที่บ้าน แล้วอีกหลายๆ เรื่องอะ...เลยยุ่งๆ นิดหน่อย" ร่างโปร่งตอบคลุมเครือมีเรื่องปิดบังไว้อย่างเห็นได้ชัด

"แล้ว...เรื่องติมล่ะ" พอได้ยินคำถามดวงตาเรียวก็หม่นลงชั่ววูบ ก่อนจะกลบมันอย่างรวดเร็ว รามระบายยิ้ม

"อืม ก็โอเคนะ"

"เหรอ" สินครางรับ แต่ในใจไม่เชื่อเสียทีเดียว "ถ้ามีอะไรให้กูช่วยก็บอกนะ"

"ขอบใจว่ะ"

"เออว่าแต่ผัวเด็กมึงไปไหนวะ" ดินว่า มองซ้ายขวา ปกติเป็นแฟนจะต้องตัวติดกันเหมือนอย่างไอ้คินกับชะเอมไม่ใช่เหรอ แต่นี่อะไร หายหัวไปเลย

"แถวๆ นี้แหละ" ร่างโปร่งฟังแล้วหน้าแดง แม้จะแสลงหูเหลือเกินแต่ก็ตอบไป มือล้วงมือถือขึ้นมาเมื่อมีสายโทรเข้า ก่อนจะก้าวเดินไปอีกทาง "เดี๋ยวกูมา"

"เออ หาไม่เจอก็โทรมาละกัน" ร่างโปร่งโบกมือประมาณว่ารับทราบแล้ว การเดินเขยกๆ ของพระรามไม่รอดพ้นสายตาของเพื่อนทั้งสอง ดวงตาหันมาสบกันเหมือนรู้ทัน

"มึงคิดเหมือนกูป่ะสิน"

"อืม"

...สงสัยไอติมนี่จะ 'จัด' หนักเหมือนกันนะเนี่ย...





เฮือก...!

"คิน เป็นอะไรเหรอ"

"...เปล่า ไม่มีอะไร" ร่างสูงส่ายหน้าก่อนจะยิ้มให้ชะเอมสบายใจ พอเห็นร่างบางว่าละสายตาไปแล้วสายตาคมจึงหันกลีบไปมองทิศเดิมด้วยความสงสัยปนหวาดระแวง เมื่อกี้...เหมือนมีใครจ้องมองเราสองคน "ว่าแต่ เอมเลือกได้หรือยัง"

"อืม เอมอยากได้ตัวนี้ แต่ยังเลือกให้คินไม่ได้" ร่างบางลังเลพักหนึ่ง ก่อนจับเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมาทาบบนร่างกายตัวเอง "คินว่าลายนี้เป็นยังไงบ้างครับ"

ร่างสูงมองเสื้อที่ออกแบบพื้นหลังสีดำ ขอบชายเสื้อ แขนเสื้อและปกเป็นสีขาว และมีลายนิดหน่อยไม่ฉูดฉาดเหมาะสำหรับผู้ชายใส่ ส่วนของชะเอมที่ถืออยู่น่าจะเหมือนกันแต่เป็นพื้นสีขาวลวดลายสีดำ

"ก็ได้นะ เรียบๆ ดี" ร่างสูงตอบไปงั้น เพราะไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็ใส่ได้ทั้งหมดนั่นแหละ

ชะเอมหน้ามุ่ยเมื่อคินไม่ให้ความร่วมมือ นี่มีแต่เขาคนเดียวหรือที่อยากใส่เสื้อคู่?

"หรือว่าคุณลูกค้าอยากได้ลายนี้มั้ยคะ เซ็ตนี้เพิ่งออกแบบมาใหม่เลย"

"ไหน...ครับ" ร่างบางขมวดคิ้วเมื่อเจ้าของร้านสาวสวยไม่ได้ถามเขา แต่เดินเข้าไปถามคินต่างหาก

"สนใจมั้ยคะ" สาวเจ้าเดินนวยนาดไป ก้มต่ำสะบัดผมพริ้วอวดทรวงอกและสายเดี่ยวถามเหมือนขายตัวเองมากกว่าขายของในร้านเสียด้วยซ้ำ

แต่คินไม่สนใจ เดินเลี่ยงมาหาร่างบางที่ยืนหน้าบูดอยู่ และเอื้อมมือโอบเอวบางและพูดเสียงอ่อน

"เอมมาดูสิ...เดี๋ยวผมให้แฟนเลือกให้ครับ" ก่อนจะพูดยิ้มๆ กับพนักงานที่อ้าปากค้างไปแล้ว

แก้มใสแดงเรื่อ...ขยันจังนะทำให้เขาเขินเนี่ย

เจ้าของร้านสาวสวยที่เคยมั่นใจตัวเองตัวหดลีบหน้าแตกชนิดหมอไม่รับเย็บ...เดี๋ยวนี้ผู้ชายเขานิยมกินกันเองแล้วเหรอ อะไรแบนๆ ราบๆ นั่นมันน่าสนใจตรงไหนกันน่ะ!? แล้วเนื้อนมไข่เด้งดึ๋งตรงนี้ล่ะ...ไม่สนใจกันแล้วใช่มั้ย!!?

สุดท้ายก็เลือกได้จนได้ โดยที่ไม่ใช่ลายใหม่ที่สาวเจ้าของร้านเสนอด้วย ตอนจ่ายเงินนี่เธอทำหน้าเหมือนจะกินหัวชะเอมได้อยู่แล้ว...ร่างบางก็ยิ้มงุนงงรับเงินทอนมา

นี่เขาทำอะไรผิดหรือทำอะไรให้เธอไม่พอใจโดยไม่รู้ตัวรึเปล่า?

พอออกจากร้านคินมองไปรอบๆ ...ความรู้สึกที่โดนจับจ้องเมื่อครู่มันหายไปแล้ว ก่อนที่จะปัดมันออกจากความคิดและหันมาสนใจร่างบางที่ยืนขมวดคิ้วมุ่นมองนู่นนั่นนี่ไปเรื่อย มือใหญ่ช่วยถือถุงที่ชะเอมคอยจับจ่ายซื้อของมาให้ โดยที่ให้คนตัวบางเดินตัวเปล่า สายตาคมเห็นเหงื่อไหลซึมข้างขมับจึงยกมือเช็ดให้ เผลอกดจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มที่ชื้นเหงื่อแต่ก็ยังคงความหอมเอาไว้

“ร้อนเหรอ”

“ครับ วันนี้คนเดินเยอะมากเลย” ชะเอมพยักหน้า พอได้ยินคำว่าร้อนแขนบางก็ยกขึ้นปาดเหงื่อเหมือนเพิ่งรู้สึกได้

“แต่คินว่าคนน่าจะเยอะทุกวันนะ”

นี่ขนาดเป็นวันธรรมดาๆ ที่ไม่ใช่เทศกาลยังเยอะขนาดนี้...ไม่ต้องคิดถึงวันหยุดยาวเลยว่าคนจะเยอะขนาดไหน

“จริงเหรอครับ” ดวงตากลมโตแปลกใจมองไปรอบๆ มองผู้คนมากหน้าหลายตาที่หลั่งไหลพากันมาเดินที่นี่ทุกวัน...แสดงว่าตลาดแห่งนี้ต้องเป็นที่ที่นิยมมากแน่ๆ

“เหนื่อยรึเปล่า”

ใบหน้าหวานส่ายยิ้มๆ “ไม่ครับ”

“คินขอแวะร้านนั้นแปปนึง” คินชี้ไปและจูงมือบางให้เดินตามซึ่งชะเอมไม่ขัดเพราะเขาก็ขอแวะมาหลายร้านแล้วเช่นกัน แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าร่างสูงอยากจะซื้ออะไรถึงเอ่ยปากขอขึ้นมาเองแบบนี้

“คินอยากได้อะไรเหรอ” ดวงตากลมกวาดมองไปรอบร้าน ของพลาสติกใส่กล่องหลายขนาดหลากสีสันสดใสที่มีแต่เด็กๆ ตัวน้อยทั้งหญิงและชายเต็มไปหมด

มันคือร้านขายของเล่น

“รออยู่ตรงนี้” บอกปุ๊บเจ้าตัวก็เดินเข้าร้านไปเลย ปล่อยให้ชะเอมยืนกระพริบตาปริบค้างเติ่งอยู่ด้านหน้าร้าน

“เย้” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งตัวสูงแค่เข่าวิ่งผ่านหน้าไป ถือตุ๊กตาบาร์บี้ใส่ชุดสีชมพูฟูฟ่องสวยงามเอาไปอวดกับหญิงสาวที่คาดว่าน่าจะเป็นมารดาอยู่อีกทาง “คุณแม่ขา คุณพ่อซื้อตุ๊กตาให้หนูด้วยล่ะ”

...พ่อ...

“ว้าว น้องบาร์บี้สวยจังเลย แล้วลิลลี่ขอบคุณคุณพ่อรึยังคะ”

“ขอบคุณแล้วค่า” เด็กหญิงยิ้มแป้น หัวเราะเสียงใสและกอดตุ๊กตาแนบอกลูบผมยาวลอนนั้นแผ่วเบา “ลิลลี่จะรักษาอย่างดีเลย”

ชะเอมยิ้มบางกับภาพที่เห็น...คำว่าครอบครัวอันอบอุ่นที่ตนไม่เคยสัมผัสมันเลยสักครั้งในสมัยเด็ก...แต่ตอนนี้เขารับรู้มันอย่างเต็มใจ...มองได้อย่างเต็มตาโดยไม่เจ็บปวดอีกแล้ว

วี้...

จู่ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่างพร้อมกับลมอ่อนๆ พัดเข้าใบหน้า ดวงตากระพริบปริบมองคนถือ “คิน?”

“คินซื้อมาให้ เห็นเอมร้อน” ชะเอมยิ้มดีใจแต่รอยยิ้มนั้นก็หุบลงเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาว

“คุณลูกค้าคะ ลืมเงินทอนค่ะ” เพียงแค่เหรียญไม่กี่บาท แต่เจ้าของร้านก็อุตส่าห์ออกมาด้วยตัวเอง พอทอนเงินเสร็จเธอก็ยังยืนนิ่งใบหน้าแดงเรื่อเขินอาย “ขอโทษนะคะ ขอทราบ...ชื่อของคุณหน่อยได้มั้ยคะ”

คินทำสีหน้าลำบากใจทันที ดวงตาคมแอบเหลือบมองชะเอมเล็กน้อย “ขอโทษนะครับ พอดีผมมีแฟนแล้วน่ะ”

คำตอบที่ตอบไปด้วยความเคยชิน เพราะเจอแบบนี้บ่อยๆ จึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย...แต่ตอนนี้มีสิ่งที่ต้องคิดเพิ่มเติม

“เหรอคะ...แต่ว่าบอกแค่ชื่อก็ได้นี่คะ” สาวเจ้าหน้าเจื่อน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ถ้าหนุ่มหล่อคนนี้ยังไม่มีภรรยาซะอย่าง เธอก็น่าจะมีความหวัง

“ขอโทษนะครับ ไม่ได้จริงๆ” แต่พอได้รับคำตอบตอกย้ำมาแบบนี้เธอก็หน้าม้านเดินกลับเข้าร้าน

"เป็นอะไร ทำหน้างอน" ร่างสูงง้อด้วยการเอาพัดลมที่เพิ่งซื้อจ่อเอาใจชะเอมที่จู่ๆ ก็หันหลังเดินออกจากร้านมา

"...คินมีแต่ผู้หญิงเข้าหาตลอดเลย...ช่วยหล่อน้อยกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ" ยิ่งพูดเองก็เขินเอง เหมือนชมอีกฝ่ายไปในตัวว่าหล่อไม่บันยะบันยังเกินไปแล้วนะ

ร่างสูงหลุดหัวเราะกับคำขอที่ฟังดูประหลาดๆ "เอ้า หล่อก็ผิด?"

"ก็มีคนมายุ่งกับคินมากๆ เอมก็ไม่ชอบนี่นา" ชะเอมตัดสินใจพูดออกมา แม้เขาจะไม่กล้าแสดงออกมาตรงๆ ว่าหวง เพราะกลัวคินจะรำคาญกันเสียก่อน แต่ในใจอดที่จะคิดมากไม่ได้ "คินรำคาญเอมมั้ย"

"ไม่เลย คินดีใจที่เอมหึงคิน"

สีแดงพาดแก้มไส ริมฝีปากระเรื่อเม้มแน่น "ห หึง...เอมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าหึง"

"ก็อาการแบบนี้แหละเขาเรียกว่าหึงหวง" นิ้วยาวจิ้มแก้มใสที่ขยันแดงเอาๆ ทำเอาชะเอมยู่ปาก "เอมก็เหมือนกันแหละ"

"เหมือนกัน?"

คินยิ้มขำคนทำหน้างงใส่

ไหนบอกไม่ใช่เด็กซื่อ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ

"เอมก็ช่วยน่ารักให้น้อยลงกว่านี้หน่อยได้มั้ย เรียกทั้งผู้ชายผู้หญิงให้เข้าหาแบบนี้ คินก็หึงก็หวงเหมือนกัน"

“...คินพูดอะไร...”

“เพราะเอมน่ารัก ก็เลยมีทั้งสาวๆ หนุ่มๆ มาจีบ...ต้องเป็นคินต่างหากที่ต้องบอกว่าให้เอมน่ารักน้อยกว่านี้หน่อย”

"เอม เอมไม่ได้...น่ารัก...ขนาดนั้นสักหน่อย คินพูดเกินไป" เสียงใสพูดอุบอิบแผ่วเบา สายตาคมจริงจังมองมาทำให้เขาใจเต้นแรง

"ไม่เกินไปหรอก"

พอได้ยินคำพูดตอกย้ำ ริมฝีปากบางก็เม้มแน่น ดวงตากลมช้อนมอง "คินหึงเอมเหรอ?"

"น้อยไปสิ เรียกว่าโคตรหวงโคตรหึงเลยดีกว่า" มือใหญ่จูงร่างบางเดินไปด้วยกัน ขาเรียวเร่งเดินตามให้เสมอกันเพราะอยากได้ยินต่อว่าคินจะพูดอะไร "ก็คนแถวนี้เป็นเด็กซื่อนี่ คุยไปทั่วไม่รู้จุดประสงค์ที่เขาเข้าหาแม้แต่นิด"

"เอมบอกแล้วไง ว่าไม่ได้ซื่อ" ชะเอมเบะปาก

"ไม่ได้ซื่อจริงเหรอ?" คินยิ้มกริ่ม

ใบหน้ามนพยักหงึกหงักยืนยัน

"งั้นเดี๋ยว 'คืนนี้' ช่วยพิสูจน์หน่อยนะ...ว่าไม่ได้ซื่อ"

สายตาคมกริบอย่างนักล่า ทำให้กระต่ายสีขาวตัวสั่นระริก...สงสัยว่าคืนนี้เขาคงไม่รอดแน่

        ...เพราะถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์จับกิน...





************************Whose fault? ************************





"คิน..."

"หืม"

"เอม...อือ" ฟันสีขาวเรียงสวยขบกัดริมฝีปากด้านล่างเพื่อสะกดกลั้นเสียงคราง ถึงจะอยู่ในห้องพักแล้วมีอยู่กันแค่สองคนแต่มันก็อายอยู่ดี ไม่อายตัวเอง...ก็อายร่างสูงนี่แหละ

ในห้องนอนที่มีเตียงเดี่ยวกว้างขวางบรรยากาศเงียบเชียบ ร่างสองร่างเปลือยเปล่า ร่างผอมบางผิวขาวสว่างนั่งคร่อมตักแกร่งหันหน้าเข้าหาร่างสูงใหญ่ที่เหยียดขาตรง มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้าปู เสียงน้ำลายเฉอะแฉะดังตรงแผ่นอกบาง เสียงใสครางเครือและหอบหายใจ

ดวงตากลมโตปรือมองคนที่ใช้ริมฝีปากเล้าโลมอารมณ์ แลบเลียหัวนมสีชมพูที่บัดนี้มันคัดเต่งทั้งสองข้างเพราะผ่านเค้นคลึงเป็นเวลานาน เพียงแค่อีกฝ่ายแตะลิ้นลงมาก็ทำให้ชะเอมสะดุ้งดิ้นพล่านได้

"เจ็บ...อึก"

"เจ็บจริงเหรอ" ลิ้นร้อนเลียมันอีกครั้ง ครอบปากและดูดดึง สายตาคมเหลือบมองปฏิกิริยาจากใบหน้าหวานที่กัดปากล่าง ตัวสั่นระริก มือบางเผลอขยุ้มกลุ่มเส้นผมบนศีรษะของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว

ในอกรู้สึกวาบหวิว เมื่อมองคนรักใช้ลิ้นเพลิดเพลินกับร่างกายตัวเองดูท่าทางเอร็ดอร่อย

"แฮ่ก คินครับ มัน...อา...อร่อยเหรอ?" ชะเอมถามเสียงเครือ ตากลมปรือฉ่ำวาว

"หวาน" ใบหน้าคมผละออกเลียริมฝีปากมองผลงานอย่างพึงใจ ตอนนี้มันทั้งช้ำทั้งแดงก่ำดูน่ากินมากกว่าตอนแรกหลายเท่า "ให้คินชิมทั้งวันยังได้เลย"

ทั้งวัน...เพียงแค่นึกร่างบางก็ตัวสั่นระริกส่ายหน้าแดงๆ "ทั้งวันไม่ไหวหรอก เอมเจ็บ..."

"เอมไม่ได้เจ็บหรอก...แต่รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ"

ร่างบางส่ายหน้าน้ำตาคลอ "ไม่ ฮึก เอมเจ็บ...อ๊ะ!"

มือใหญ่ตรงเข้ากอบกุมแก่นกายที่แข็งขืนเล็กน้อยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากยุ่งกับแค่ติ่งไตสองเม็ดเท่านั้น ร่างสูงยิ้มกริ่ม พูดเสียงต่ำ "ดูสิเอม แบบนี้เรียกว่าไม่ได้รู้สึกดีเหรอ"

"อ๊า อื้อออ" ร่างบางอ้าปากครางลั่น ร่างกายผอมบิดดิ้นเร่าเพราะถูกรูดรั้งจุดอ่อนอันเป็นศูนย์กลาง

"เป็นเด็กซื่อก็พูดให้ตรงกับที่รู้สึกหน่อยสิเอม..."

"อื้อ ฮึก!! หะ...!"

มือบางจิกไหล่แกร่งแน่น เชิดหน้าครางจนน้ำลายไหลจากมุมปากอย่างเย้ายวนทำให้คินที่มองอยู่รีบไล้ลิ้นเลียน้ำจากไหปลาร้า คอขาว และประกบริมฝีปากปิดเสียงให้ชะเอมประท้วงอื้ออึง

แขนใหญ่โอบเอวบางให้มาแนบชิดกว่าเดิม...แนบชิดให้รับรู้ถึงตัวตนที่ร้อนผ่าวที่ตอนนี้กำลังต้องการอีกฝ่ายมากแค่ไหน

ชะเอมที่เริ่มจูบเป็นก็โต้ตอบลิ้นร้อนบ้าง เกี่ยวกระหวัดเร่าร้อนตอบรับให้ลมหายใจร้อนกระชั้นถี่ ยิ่งได้ยินเสียงจ๊วบจ๊าบจากการแลกลิ้น เสียงน้ำลาย มันยิ่งทำให้หน้าท้องแบนเรียบเกร็งขมึง...ปวดมวนไปหมด...

และจู่ๆ คินก็ผละจูบออกมาอย่างเร็วจนร่างบางสำลักอากาศ

"ฮั่ก! ฮ่า..."

"เอม มือ..." ร่างสูงพูดเพียงเท่านั้น สายตาคมกริบเหลือบมองเบื้องล่างอย่างสื่อความหมาย ทำให้ชะเอมที่ยังมึนเบลอจากรสจูบอยู่เข้าใจ...เรียนรู้เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอ ไม่ต้องให้บอกอีก

แก้มใสแดงปลั่ง มือบางสั่นระริกยกขึ้นแตะปลายยอดที่แข็งแกร่งและมันเลื่อม

...ร้อน...

หัวใจเต้นตึกตักดังสนั่นจนกลัวว่าร่างสูงจะได้ยินว่าเขาตื่นเต้นแค่ไหน ยิ่งได้ยินเสียงสูดปากยิ่งกระตุ้นให้มือเล็กขยับชักขึ้นลงเร็วขึ้น ดวงตากลมจ้องมองปฏิกิริยาของมันเห็นน้ำใสบางอย่างผุดซึมจากส่วนปลายจนไหลเปรอะเปื้อนมือเล็กทำให้ยิ่งสัมผัสลื่นไหล

"อืม...ซี้ด เอม..." เมื่อถูกเรียกชื่อดวงตากลมก็ละสายตาจากสิ่งนั้น สบสายตาคมกริบที่จ้องมองมาทำให้ชะเอมหัวใจเต้นแรงรัว

อีกฝ่ายก็รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะสัมผัสของเขา

จะละลาย...จะละลายอยู่แล้ว

"เอม ขยับมาใกล้ๆ ...ใกล้อีก" แขนยาวโอบเอวบางชิดและจับรวบแก่นกายทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน ร่างบางกระตุกเฮือกเพราะสัมผัสกับอุณหภูมิของร่างกายอีกฝ่ายมันเทียบไม่ได้เลย

"อ๊ะ คิน...เอม...อ๊ะ" สะโพกเล็กขยับไหวตามมือใหญ่ที่ชักรูด อ้าปากครางตัวสั่น รู้สึกดีจนมือเล็กเผลอไผลลูบไล้ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างหลงใหล

"คิน...คิน เอมจะ..."

"ทนอีกนิดนะเอม อีกนิด" คินรับรู้ถึงสัญญาณร่างกายชะเอมที่เกร็งไปทุกส่วน แต่วันนี้เขาอยากจะไปพร้อมกัน

"ฮึก คิน เอม มะ...ฮะ" ชะเอมรู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองกำลังจะถึงเส้นชัย สะโพกเล็กขยับสอดรับตามจังหวะถี่ และเชิดหน้าตัวเกร็งกระตุกพ่นสายธารไปพร้อมๆ กับคิน

"อ๊า!!"

ทุกอย่างพร่างพราย

ร่างกายผอมทิ้งตัวลงซบแอบอิงร่างสูงหอบหายใจเหนื่อยอ่อนจนตัวสั่นระริก น้ำสีขาวขุ่นเลอะเต็มหน้าท้องแกร่ง แต่ไม่มีใครสนใจจะทำความสะอาดมัน

"เอมเหมือนจะ...แฮ่ก หายใจ...ไม่ออกเลยครับ" เสียงใสเจือปนหอบเค้นเสียงพูดออกมา จากร่างกายที่แนบชิดกัน รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นรัวดังเป็นกลอง มือใหญ่ลูบไล้ทั้งหลังทั้งเอวบางอย่างปลอบโยน

"ไหวมั้ยเอม"

"...เอมไม่รู้"

ชะเอมตอบแผ่วเบา ดวงตากลมปรือ รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะหลับ

"อย่าเพิ่งหลับนะเอม มันยังไม่จบนะ"

"ยังอีกเหรอครับ เอมเหนื่อย" พอได้ยินว่ายังมีต่อ คนง่วงก็เริ่มงอแง

"ลืมแล้วเหรอ เอมบอกว่าจะมีเซ็กส์กับคิน"

"เอ๋...นี่ก็..."

"นี่ไม่ใช่เซ็กส์นะ แค่ปลดปล่อยตามประสาผู้ชายทั่วไปต่างหาก" คินลุกขึ้นอุ้มร่างบางนอนราบลงบนเตียง แทรกกายกลางระหว่างขาเรียวที่ถูกบังคับให้อ้ากว้าง สัมผัสความนุ่มของผ้าปูทำให้ตากลมยิ่งปรือจะปิด

ไม่ได้รับรู้ถึงอันตราย

"อ๊ะ! เย็น...อะไร..." ร่างบางสะดุ้ง ขาเรียวหนีบเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างแตะเข้าตรงส่วนล่าง

"ใจเย็นๆ แค่โลชั่นน่ะ" คินไล้นิ้วตรงช่องทางสีสวย สะกิดปากทางที่ขมิบแน่นแล้วต้องกลืนน้ำลายดังอึก เลียริมฝีปากหายใจแรงอย่างหื่นกระหาย

ใจเย็นๆ ...ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน


>>>>>>>>>ต่อด้านล่างค่ะ<<<<<<<<<<<<
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:13:43


>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนค่ะ<<<<<<<<<<<<<<<<


"เอม ผ่อนคลายนะ เดี๋ยวคินจะสอดนิ้วเข้าไป" จบคำพูดก็สอดนิ้วกลางเข้าไปทันที ไม่ทันให้ร่างบางได้เตรียมใจ

"อื้อ!!"

ภายในอุ่นร้อนและบีบรัดแน่นยิ่งทำให้คินกัดฟันกรอดอย่างอดทน

"คิน" ดวงตากลมโตมองมาน้ำตาคลอ ทำให้ร่างสูงก้มลงจูบซับน้ำตา

"ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง..." เสียงทุ้มพูดปลอบและค่อยๆ คืบคลานสอดนิ้วกลางเข้าไป...จนสุด

"ฮึก"

"ชู่ว...เดี๋ยวคินจะทำให้รู้สึกดีนะ"

"มันแปลกๆ ครับ อ๊ะ คิน...อย่...า อ๊ะ"

"สุดยอด" นิ้วกลางยาวขยับสอดเข้าออกสร้างความเคยชินให้ช่องทางนุ่มอุ่นที่ขมิบรัดแถมยังตอดถี่รัว...นี่แค่นิ้วนะ ถ้าเป็นของที่ใหญ่กว่านี้ไม่อยากจะนึก

เพียงแค่คิดก็เผลอสูดปากไม่ได้

มือใหญ่จับขาเรียวที่ค่อยๆ หุบเข้าหากันเพราะความเสียวซ่านจากเบื้องล่างให้อ้าออกเพื่อจะได้มองเห็นชัดๆ ปากทางสีชมพูดูดกลืนนิ้วยาวเข้าไปจนสุด...เป็นภาพที่น่ามอง

ชะเอมเม้มปากหลับตาปี๋ ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร...บางอย่างสอดแทรกเข้าช่องทางด้านล่าง เสียดสีเข้าๆ ออกๆ ...มันร้อนวูบวาบ แถมยังเสียวแปลบปลาบให้ร่างกายกระตุกสะดุ้ง มือบางจิกทึ้งผ้าปูจนมันยับย่นเพื่อระบายอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย

นานหลายนาที ในความรู้สึก นิ้วยาวสอดจนครบสามนิ้ว

"อ๊า อ๊ะๆๆ คิน เอมไม่ไหว" ร่างกายขาว บิดเร่ายั่วยวน ปากบอกไม่ไหวแต่สะโพกเล็กขยับสอดรับให้นิ้วยาวกระทุ้งเข้าไปลึกขึ้น...ทำไปอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคมกริบมองทุกการกระทำที่ใสซื่อ จึงเลียริมฝีปากที่แห้งผาก

...จะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว...

"รู้สึกดีมั้ยครับ"

"คะ อ๊ะ ครั...บ...อืม" เสียงทุ้มแว่วหวานหลอกล่อ สะกดให้คนอยู่ในห้วงอารมณ์ตอบรับ ร่างสูงโน้มตัวคร่อมลงป้อนจูบเร่าร้อน ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดระบายอารมณ์ที่มี คินดูดลิ้นเล็กแรงจนช่องทางด้านล่างขมิบแรง

เฮือก!

"ฮ่า...ฮ่า..." หน้าอกบางสะท้อนหอบเหนื่อยอ่อน เมื่อร่างสูงผละจูบออก แถมด้านล่างก็โล่งวูบเพราะนิ้วยาวถอนออกไปแล้ว “แฮ่ก”

วันนี้คิน...เร่าร้อนจัง

ร่างบางถูกมือใหญ่จับข้อพับให้แยกขากว้าง ท่าทางน่าอายของตัวเองทำให้ชะเอมเม้มปากแก้มแดง แก่นกายใหญ่จ่อตรงปากทางสีแดงที่ขมิบถี่จนเจ้าของสะดุ้งเฮือกกับความร้อนที่ดุนดัน "คิน?"

"เอม คินจะเข้าไปแล้วนะ อดทนหน่อยนะครับ"

ร่างบางตัวสั่นระริก...

"คิน...จูบเอมหน่อย" ร่างบางยื่นแขนสั่นๆ ไปด้านหน้า ทำให้ร่างสูงโน้มตัวลงมาประกบจูบให้ตามคำขอลิ้นกวาดต้อนไล้เลียในช่องปากอ่อนโยนและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรุนแรง ณ ตอนนั้นเองที่คินสอดส่วนปลายเข้าไปในตอนที่ชะเอมกำลังเผลอไผลกับจูบ

"อื๊อ!!" หยาดน้ำตาไหลอาบเพราะความเจ็บปวดแทรกเข้ามา เพราะขนาดมันใหญ่ผิดจากนิ้วในตอนแรกมาก

เจ็บ

จุ๊บ...

คินจับหน้าเล็กไม่ให้หนีจากจูบ ลิ้นร้อนละเลงหลอกล่อให้สนใจด้านบนเพื่อที่จะผ่อนคลายช่องทางด้านล่าง แต่ดูเหมือนจะไม่พอ มือใหญ่ทั้งสองเลื่อนบีบคลึงจุดอ่อนไหวทั้งสองตรงหน้าอก เม็ดสีชมพูที่เต่งเป็นไตรับสัมผัสกับนิ้วโป้งเป็นสัญญาณที่ดี พอด้านล่างผ่อนคลายลงอีกนิด แก่นกายก็คืบคลานแทรกลึกเข้าไปอีก

คินซี้ดปาก หลุบมองแก่นกายที่หลุดเข้าไปได้กว่าครึ่ง แต่ภายในยังไม่หยุดตอดรัด ร่างสูงเกร็งหน้าท้องจนขึ้นเป็นลูก หอบหายใจหนักหน่วงแต่กระนั้นก็ยังเป็นห่วงอีกฝ่าย "เอม ไหวมั้ย"

"ฮ่า...แฮ่ก..." ดวงตากลมโตฉ่ำปรือ มือลูบตรงหน้าท้องแบนราบ...บริเวณที่รู้สึกเหมือนมีอะไรร้อนระอุอยู่ด้านใน

...ของๆ คิน

"คิน..."

เสียงทุ้มครางรับในลำคอ ท้าวแขนคร่อมต่ำและแนบริมฝีปากแผ่วเบา "เจ็บเหรอ"

ร่างบางค่อยๆ ส่ายหน้ายิ้มบาง หลุบมองส่วนล่างที่เชื่อมต่อกัน "คินเข้าไป...หมดแล้วเหรอ"

"ยังเลย"

ชะเอมเบะปาก "เอมต้องตายแน่เลย"

คินหัวเราะขำคนงอแง "ไม่ตายหรอก"

"คิน..."

"หืม?"

"รู้สึกดีมั้ย"

คำถามที่ทำให้คนได้ยินยิ้ม...ไม่รู้ทำไม ชะเอมถึงได้น่ารักขึ้นทุกวัน และความรักที่มีก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

"คินรู้สึกดีมาก ข้างในของเอมมันรัดคินแน่นไปหมด"

"..." มือบางยกปิดหน้า แต่หูแดงก่ำ

"อุ่นมาก"

"คินอย่าพูด เอมอาย อ๊ะ..." ชะเอมสะดุ้งเมื่อสะโพกแกร่งเผลอแกล้งขยับเข้าอีกนิด มือใหญ่จับเอวบางแน่นไม่ให้ขยับหนี

"เอม ผ่อนคลาย..." ลิ้นร้อนเลียปาก กลืนน้ำลายที่สอขึ้นมา "อย่าเกร็ง"

ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตากลมปรือมองใบหน้าคมที่สะกดกลั้นอารมณ์ แถมยังหอบหายใจแรงเหมือนคนอดทนอดกลั้นอย่างมาก

ชะเอมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ มือบางตะปบที่ข้อมือแกร่งทั้งสอง อ้าขากว้างตามเสียงทุ้มบอก จนในที่สุด...

"ฮ้า..." ชะเอมหอบหายใจหนักหน่วง รู้สึกวันนี้หัวใจจะทำงานหนักมาก...ภายในท้องตึงแน่นไปหมด

"อา อึก เอม...ตอดคินแน่นเกินไปแล้ว" คินกัดกรามแน่น เกร็งหน้าท้องแน่น ไม่เคยอดทนกับอะไรขนาดนี้มาก่อน ลมหายใจหอบสั่นไม่ต่างกับร่างบาง ความอบอุ่นบีบรัดนี่มัน...จะทำเขาทะลักทะลายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ขยับ

คินรอจนชะเอมน่าจะปรับตัวได้ ก่อนจะเริ่มกดสะโพกบดคลึงจนร่างผอมดิ้นพล่าน

"ฮั่ก คิน แป...ป น...เอมยัง...อื๊อ" สิ่งที่อยู่ในร่างกายมันร้อนระอุ ยิ่งขยับเข้าออกเสียดสียิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบเสียวซ่านเกินจะทานทน "อ๊า อ๊าาา"

คินสูดปากเสียงดัง ขยับสะโพกกระชับหนักหน่วง พยายามควบคุมไม่ให้แรงไปมากกว่านี้ เพราะเดี๋ยวร่างผอมอาจจะเจ็บตัวได้ มือใหญ่ช้อนขาเรียวให้อ้ากว้างมากกว่าเดิม สายตาคมกริบหลุบมองช่องทางอบอุ่นที่กลืนกินความเป็นชายและมันยังขมิบรัดตอดถี่รัวมอบความเสียวซ่าน...รู้สึกดีจนอยากจะฝังกายเอาไว้ในความอุ่นร้อนนี้ตลอดเวลา

"อา..." ใบหน้าคมเชิดครางเสียงต่ำ หยุดขยับสะโพกไม่ได้เลย ช่องทางสีสวยมันขมิบเชิญชวนให้ลิ้มลองไม่หยุด

"อ๊า ฮ้า คิน...คิน...!" ใบหน้าหวานส่ายไปมา เสียงใสกรีดร้องเรียกชื่อคนรัก มือบางจิกทึ้งผ้าปูแทบขาด ความรู้สึกมันรุนแรงจนทนไม่ไหวแล้ว!

เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเป็นจังหวะหนักหน่วง ปะปนกับเสียงครางเครือหอบหายใจ

ร่างสูงโน้มคร่อมตัวร่างบางลงจูบ แต่สะโพกยังทำหน้าที่ของมันไม่หยุด มือใหญ่จับแขนบางให้โอบกอดแผ่นหลังกว้าง เล็บสั้นจิกครูดจนเป็นรอย แต่ก็ไม่อาจระบายความเสียวซ่านนี้ได้เลย

"คิน อ๊ะ อ๊ะ เอมรักคิน"

เสียงทุ้มครางต่ำ "คินก็รักเอม" เพราะคำพูดของชะเอมทำให้รู้สึกหวามในอกจนเผลอใส่แรงไปนิดจนร่างบางกระตุกเฮือก

"คิน ฮั่ก เอมจะ อ๊ะ จะถึง"

"คินก็ใกล้แล้ว อา พร้อมกันนะ"

ร่างบางเกร็งแน่นจนคินร้องซี้ดเพราะช่องทางขมิบตอดรัด พยายามอดทนไม่เผลอกระแทกรุนแรงเกินไป เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังไม่ถึงสิบครั้งก่อนที่สะโพกปอดขยับแทรกให้ลึกที่สุด...ลึกที่สุดและปลดปล่อยออกมา

เสียงใสครางยาว ขาเรียวหนีบแน่นเกร็งรับสายธารอุ่นร้อนที่พ่นเข้ามาในท้องจนแผ่นหลังบางหยัดโค้ง ทั้งวาบหวิวเสียวซ่าน รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ร่างสองร่างกระตุกเป็นพักใหญ่ก่อนที่เสียงหอบหายใจจะดังประสาน ดวงตากลมปรือเปิดเหนื่อยอ่อนมองใบหน้าคมหล่อเหลาชื้นเหงื่อใกล้เข้ามาและก้มลงป้อนจูบอีกครั้ง

...คิน...

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่จำได้ก่อนจะสลบไป





************************Whose fault? ************************





"เอม...เอมตื่นเถอะ"

"อือ..." ปกติชะเอมไม่ใช่คนขี้เซา แต่ว่าตอนนี้ยังรู้สึกง่วงอยู่เลย...ขออีกสิบนาทีได้ไหม

ร่างบางพลิกตัวหนี ช่วงล่างพลันเจ็บแปลบขึ้นมาทันที!

"โอ๊ย...!"

ร่างบางค่อยๆ ขดตัวเข้าหากัน ก่อนที่จะลืมตาแต่ก็หลับลงทันทีเพราะแสงแดดจากหน้าต่างส่องลอดเข้ามาจนแสบ...เช้าแล้วเหรอ?

"เอม เจ็บมากมั้ย"

"คิน" ชะเอมขยี้ตา รู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งตัว

"ครับ"

"เอมเจ็บ" โดยเฉพาะตรงข้างล่างนั้นมันแสบมากเลย...ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้

"คินขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อคืนคงแรงไปหน่อย”

เมื่อคืน?

ภาพความทรงจำย้อนคืนเหมือนม้วนเทป มาชัดทั้งภาพทั้งเสียง...ใบหน้าหวานร้อนผะผ่าวเพราะเพิ่งจำได้ว่าเมื่อคืนเขากับคิน...

“แต่คินทายาให้แล้ว เอมทนหน่อยนะ" ร่างสูงทรุดลงข้างเตียง บีบผ้าในกะละมังก่อนจะไล้ตัวให้กับคนที่นอนห่มผ้าอยู่ แต่เพียงแค่เลิกผ้าห่มขึ้นชะเอมก็พลันหน้าแดงเข้าไปใหญ่

นี่เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้น!

มือบางแย่งผ้าห่มจากร่างสูงแต่สู้แรงไม่ได้อีกตามเคย

"เอม อยู่นิ่งๆ สิ คินจะเช็ดตัวให้”

"ไม่เอาเอมโป๊ คินอย่ามองนะ" แขนเรียวๆ กอดตัวเองแถมขดขาขึ้นมาปิดบังลืมความเจ็บไปเสียอย่างนั้น

คินหัวเราะขำ "เมื่อคืนคินเห็นมาหมดแล้ว เอมก็เลิกเขินได้แล้วมั้ง"

แก้มใสพองลม ก็ใครจะไปหน้าไม่อายเหมือนคินกันล่ะ!?

“หรือจะให้คินแก้ผ้าด้วย จะได้เลิกเขิน” คินเลิกคิ้วเสนอ

ชะเอมแก้มแดงปลั่งปฏิเสธเสียงดัง “ไม่ต้อง!!” แบบนั้นมันจะยิ่งทำให้อายมากกว่าเดิมน่ะสิ!

"งั้นมานอนดีๆ คินจะเช็ดตัวให้ เอมไม่สบายอยู่นะรู้มั้ย" มือใหญ่ต้องโยนผ้าลงกะละมังและมาจับคนตัวเบาหวิวนอนราบดีๆ แม้จะยังมีแรงขัดขืนแต่ก็ไม่มากอาจเพราะเหนื่อยล้าจากภารกิจเมื่อคืนก็เป็นได้

คินก้มลงใช้หน้าผากแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิ "อืม ยังรุมๆ อยู่เลย เดี๋ยวคินเช็ดตัวเสร็จ เอมก็กินข้าวกินยานะ แล้วจะได้นอนพักต่อ"

"แล้วคนอื่นล่ะครับ?"

"คินบอกให้ทยอยกลับไปแล้ว ไม่ต้องรอ"

"แล้วทุกคน..." รู้หรือเปล่า...เรื่องเมื่อคืน...

คินมองแก้มแดงๆ แล้วยิ้ม "น่าจะรู้นะ ก็นอนซมเสียขนาดนี้"

"...งือ..."

"เลิกเขินได้แล้ว แล้วก็นอนดีๆ" เสียงทุ้มเอ่ยดุๆ มือใหญ่แปะผ้าลงลำคอและไล้ตามใบหน้ามน "เมื่อ คินตกใจหมดเลย เพราะอยู่ดีๆ เอมก็สลบไป...คงจะเหนื่อยมาก"

ดวงตากลมมองใบหน้าคมที่เหมือนจะหล่อมากกว่าเดิม...หวงขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

"คิน เมื่อคืน รู้สึกดีมั้ย"

"รู้สึกดี...ดีมาก" มือไล้ผ้านุ่มที่ลำตัว ลงมาที่ขา "ดีจนอยากจะทำอีกหลายๆ รอบ"

"คนหื่น" เสียงใสบ่นงุบงิบเผลอถดตัวหนี ซึ่งคนโดนว่าก็หัวเราะรับไม่สะทกสะท้าน

“คินยังไม่ได้ขอบคุณเรื่องเมื่อคืนเลย...ขอบคุณนะครับ”

เสียงทุ้มที่เอ่ย และรอยยิ้มที่ปกติคินจะไม่ค่อยทำให้ใครเห็นทำให้ชะเอมเขินอีกครั้ง

อะไรล่ะนั่น

“คินไม่เห็นต้องขอบคุณเลย” ริมฝีปากบางเม้มแน่น แก้มแดงเรื่อ “เพราะเอมก็...รู้สึกดี”

คินยิ้มกว้าง คว้าคนตัวบางเข้ามากอดอย่างดีใจ ซึ่งตอนแรกชะเอมก็ตกใจตาโตก่อนจะหลุดหัวเราะคิก

“เอมเป็นของคินแล้วนะ”

คนฟังเบะปาก น้ำตารื้นขึ้นมา “คินก็เป็นของเอมแล้วเหมือนกันนะ”

ดีใจเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้

ความเจ็บปวดที่ผ่านมาทั้งหมด...มันเหมือนจะถูกทำให้เลือนหายไปเพราะความสุขล้นใจ

“ขี้แย” ร่างสูงแซว ซึ่งแน่นอนว่าชะเอมหน้างอง้ำยกมือปาดน้ำตาป้อยๆ

“เอมไม่ได้ขี้แยซักหน่อย...ก็น้ำตามัน...ไหลเองนี่นา”

เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอ มือใหญ่ลูบหัวทุยก่อนจะกดจมูกข้างขมับอย่างหมั่นเขี้ยว...น่ารัก

"เอมอ้าขาหน่อย"

"หะ!?" ชะเอมตาโตตกใจรีบผละหนี...เมื่อกี้กำลังซึ้งอยู่เลย ทำไมอีกฝ่ายเป็นคนหื่นแบบนี้นะ!?

"ใจเย็นๆ คินแค่จะดูแผลตรงนั้นให้ คินกลัวมันอักเสบจะได้ทายาให้อีกรอบ"

ร่างบางยอมนอนนิ่งก่อนที่แก้มจะแดง เม้มปากแน่นมองภาพคินที่จับเข่าของตนแยกออกและสายตาคมจ้องมองมาที่ตรงนั้น ความรู้สึกมันเหมือนจะถูกหมาป่ากินอีกครั้ง

"เย็น...!"

"ไม่ต้องเกร็งนะ ผ่อนคลาย"

"คิน อ๊ะ ไม่..." นิ้วยาวสอดเข้าลึกที่ช่องทางแดงช้ำ กระทุ้งเข้าออกและควานเล็กน้อยก่อนจะถอนออกอย่างรวดเร็ว "อือ..."

"ยานี้ต้องทาข้างใน จะได้หายเร็วๆ ขอโทษนะที่ทำให้กลัว" จมูกโด่งกดข้างขมับปลอบคนตัวเล็กที่นอนหอบหายใจสั่น ร่างสูงเดินไปหยิบเสื้อผ้าและเอามาให้ชะเอมใส่ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเอนตัวนอนห่มผ้าอีกครั้ง

"เดี๋ยวคินเอาข้าวมาให้นะ"

"ครับ...คิน...”

“หืม?”

“คินเอายาเมื่อกี้มาจากไหนเหรอ" ร่างบางนอนตาปรือถามเสียงง่วงงุน

เพราะเห็นอีกฝ่ายรู้ดีจังเลยว่าต้องใช้ยาป้ายแบบไหนยังไง

"อ๋อ คินโทรถามอากฤษแล้วเขาก็แนะนำมาน่ะ" แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไปแวะซื้อมาระหว่างทางตอนที่ขับรถกลับจากตลาดที่ไปเมื่อวาน

"เหรอครับ..."

"เอมอย่าเพิ่งหลับนะ ต้องกินข้าวกินยาก่อน" คินบอกอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่ยาแก้ไข้อย่างเดียว ยังมียาโรคประจำตัวที่อีกฝ่ายต้องทานอีกด้วย

"แต่เอมง่วง..."

"งั้นนอนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวคินเข้ามาแล้วจะปลุก"

คนง่วงพยักหน้าแผ่วเบา จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แต่ได้ยินว่าเหมือนอนุญาตจึงปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ห้วงนิทรา

"เอม"

ผ่านไปแค่แปปเดียวในความรู้สึก เจ้าตัวก็ถูกปลุกอีกครั้ง แขนหนักอึ้งยกขึ้นขยี้ตา รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมายังไงไม่รู้

"หนาว..."

เสียงใสพึมพำแผ่วเบาทั้งที่ยังลืมตาไม่ขึ้น สัมผัสเย็นๆ แตะที่หน้าผากให้ต้องหันหนีอีกครั้ง

"เอมตัวร้อน กินข้าวแล้วกินยาจะได้หายไวๆ นะครับ" เสียงทุ้มพูดหวานหูเพราะคนไม่สบายมักจะอ่อนไหวเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับร่างบางคนนี้ด้วย

คินมองใบหน้าหวานซีดเซียวด้วยความเป็นห่วงและกังวล พอจะศึกษามาบ้างว่าเวลาผู้ชายที่ถูกสอดใส่ครั้งแรกจะไม่สบาย...รู้อยู่แล้วแต่ก็อดโทษตัวเองไม่ได้ ดังนั้น เขาต้องดูแลชะเอมให้ดีที่สุด

จากนี้และตลอดไป

ร่างสูงค่อยๆ ช้อนคนตัวเบาที่ยังตาปรือนั่งพิงกับหัวเตียง ยกชามข้าวต้มหมูร้อนหอมฉุยตักขึ้นเป่าและจ่อปากคนป่วย "อ้า..."

ดวงตากลมปรือเมื่อได้ยินเสียง ริมฝีปากบางค่อยๆ อ้าออกงับช้อน รสชาดฝืดเฝื่อนทำให้เจ้าตัวส่ายหน้าตั้งแต่คำแรก

"ไม่เอาแล้ว..."

"อีกคำนะครับ"

"ฮือ..." เสียงใสครางอือดื้อดึง แต่ก็ต้องอ้าปากเพราะเสียงทุ้มอ้อนกล่อม คำที่สามและสี่ แต่เพียงแค่ห้าช้อนเจ้าตัวก็หันหน้าหนี "อิ่มแล้ว"

"อีกคำนึงนะ"

"ฮื่อ" ส่ายหน้า

คินถอนใจยิ้มๆ กับเด็กดื้อ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่คิดเบื่อหน่าย หนำซ้ำยังเอ็นดูมากขึ้น พอคนป่วยปฏิเสธมาแบบนี้ก็มีแต่ต้องวางชามข้าวต้มที่ไม่พร่องลงจากตอนแรกแม้แต่นิด และเปลี่ยนเป็นแก้วน้ำและเม็ดยาสีขาวแทน "งั้นกินยาครับ"

คราวนี้ไม่ต้องบอกซ้ำ ชะเอมจัดการโยนยาเข้าปากและดื่มน้ำอย่างว่าง่าย ดวงตากลมมองคินที่วางแก้วลงกับโต๊ะข้างเตียงเรียบร้อยแล้วก็จ้องนิ่งๆ ทำให้คินเลิกคิ้วถาม

“เอมมีอะไรหรือเปล่า”

เสียงใสเอ่ยออดอ้อน “กอดหน่อยครับ”

คินหย่อนตัวนั่งร่างบางเขยิบเข้าใกล้โอบกอดร่างกายอุ่นๆ ของร่างสูงแน่น

"เอมหนาว"

คินจัดการกดรีโมทปิดแอร์ให้ ห่มผ้าคลุมร่างบางจนถึงลำคอ นอนสักพักลูบแผ่นหลัง ลูบศีรษะทุยจนลมหายใจดังสม่ำเสมอ

“ฟี้...”

ครั้นจะผุดลุกขึ้นปล่อยให้อีกฝ่ายนอนพักแต่แล้วแขนบางก็เกร็งกอดร่างสูงไว้แน่น

"ไม่เอา...คินอย่าไป" เสียงใสสั่นเครือ หยาดน้ำตาซึม...ทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่ “...อย่าทิ้งเอมไปอีกเลยนะ”

"ไม่ไปแล้วครับ อย่าร้อง" ร่างสูงโอบกอดร่างบางที่อุณหภูมิสูงไว้ เอ่ยปลอบและจูบหน้าผากมนอุ่นร้อนย้ำซ้ำๆ หวังให้อีกฝ่ายฝันดี "คินอยู่ตรงนี้นะ"

เสียงทุ้มเอ่ยกล่อมจนชะเอมสงบลงและนอนหลับปุ๋ยอีกครั้ง ดวงตาคมพิศมองใบหน้าใสสักพักก็เริ่มง่วงบ้างจึงหลับตาลงและเข้าสู่นิทราไปพร้อมๆ กัน

คินอยู่ตรงนี้...จะไม่ไปไหนอีกแล้ว...คินสัญญา



************************Whose fault? ************************





หนูเอมท้องก่อนแต่ง =.,=// ในที่สุด...ในที่สุด!! น้องก็เสียตัวให้พี่แล้วค่า

แบบสมยอมด้วยนะคะ (จริงๆ ก็สมยอมเพราะลีลาและการออดอ้อนของหมาป่าด้วยนั่นแหละ)

อย่าลืมไปเยี่ยมชมทดแทนรัก คู่ติมรามนะคะ

ใครสนใจหนังสือผิดที่ใคร โอนได้เลยไม่ต้องจอง และแจ้งโอนที่เพจ H.Rui Novels นะค้า

ebook ก็มีจำหน่ายแล้วที่ meb, ookbee , fictionlog ค่ะ จัดการได้ตามสะดวกเลย


หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:15:05


                            Whose Fault ?

                             ผิด...ครั้งที่ 36



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ปัง! ...ปัง! ...ปัง!



เสียงค้อนตอกตะปูเข้ากับไม้หน้าสามอันใหญ่ดังลั่นใต้ตึกคณะอักษร ส่วนนักศึกษาคนอื่นก็วิ่งวุ่นดูวุ่นวายเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะรุ่นน้องปีหนึ่ง เพราะนี่เข้าใกล้ช่วงกีฬาสีของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้แล้ว เป็นกิจกรรมที่ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันแสดงฝีมือ ไม่ใช่แค่เพียงปีหนึ่ง แต่ปีสอง สาม สี่ ก็มีส่วนร่วมด้วยแม้จะไม่ใช่เสาหลัก



ส่วนใหญ่ปีหนึ่งก็จะต้องทำเกือบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสแตนด์เชียร์ พาเหรด ส่วนผู้นำเชียร์ส่วนใหญ่เป็นปีหนึ่งก็จริงแต่ถ้าไม่มีอาสาสมัครก็ต้องขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ปีก่อนๆ มาช่วยเสริมเพราะต้องฝึกซ้อมอย่างหนักยิ่งใกล้วันจริงต้องซ้อมถึงเช้าเลยก็มี ดังนั้นคนที่อยากเป็นจึงน้อยมากเพราะไม่อยากเหนื่อย บางคนก็เห็นว่าไร้สาระไม่โผล่มาช่วยงานเลยก็มีเหมือนกัน



"รุ่นพี่ครับ เดี๋ยวผมช่วย..." ขาเรียวรีบผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นชายคนหนึ่งกำลังยกของหนักด้วยท่าทางทุลักทุเล



"อ่า น้องเอม ไม่ต้องๆ พี่ไหวครับ ไปช่วยพวกผู้หญิงวาดรูปตรงนั้นเถอะ" พี่คนนั้นรีบเอ่ยห้ามตะกุกตะกัก จากที่เหนื่อยๆ อยู่แล้วเหงื่อไหลท่วมมากกว่าเดิม



ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะหันขวับเมื่อพี่คนเดิมตะโกนเรียกเพื่อนมาช่วยแทน



แล้วทำไมไม่ให้เขาช่วยล่ะ...ใบหน้าหวานคงมีแต่เครื่องหมายคำถามติดอยู่ เพื่อนผู้หญิงหลายคนก็หัวเราะขึ้นมา พอร่างบางหันไปมองก็เกิดอาการเลิ่กลั่กหลบตา เป็นปฏิกิริยาที่แปลกตาสุดๆ สำหรับร่างบาง



นี่เขาน่ากลัวเหรอ?



คงไม่ได้รังสีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าเข้าใกล้ติดมาจากคินหรอกนะ?



"เฮ้ย เอม ทำอะไรตรงนั้นวะ ผู้หญิงเยอะแล้วมาช่วยกูทางนี้ดีกว่ามา" ดินตะโกนเรียกและกวักมือ สินกับรามก็อยู่ด้วย ทำให้ชะเอมรีบรุดเข้าไปหา ทางนี้มีแต่ผู้ชาย และส่วนใหญ่ก็นั่งเฉยๆ ไม่ค่อยได้ลงมือทำอะไรเพราะมันเป็นงานฝีมือที่ไม่ค่อยถนัดมากกว่า



"มากูวาดรูปแล้ว มาช่วยลงสีหน่อย ไอ้พวกนี้ก็ไม่ได้เรื่องสักคน ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง" ร่างสูงบ่นชี้นิ้วโป้งไปที่ 'ไอ้พวกนี้' ที่นอนเอกเขนกมองอย่างเดียว บางคนนอนกรนครอกๆ ด้วย "เฮ้ย!! อาจารย์อุตส่าห์ยกคลาสให้มาช่วยน้องทำกิจกรรม เสือกมานอนซะงั้น"



"โห่ย~ ไอ้ดิน มึงมีดีก็แค่วาดรูปกับเล่นเกมแหละว้า ไม่มีสิทธิ์มาว่าพวกกูนะเฟ้ย"



"ใช่ๆ"



จากนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายมากันใหญ่ สินที่นั่งฟังก็หัวเราะท้องแข็ง รามก็นั่งมองยิ้มๆ



กำปั้นใหญ่มีเส้นเลือดปูด "ไอ้-พวก-เวร"



"น่าๆ เขาพูดเรื่องจริงนี่" ร่างโปร่งเอ่ยไกล่เกลี่ย ให้ดินแหวหนักไปใหญ่



"นี่มึงเข้าข้างใครกันฟะ!?"



ชะเอมได้ยินแล้วหัวเราะเสียงใส ดินกับเพื่อนนี่สนิทกันดีจัง



"เดี๋ยวเราช่วยนะดิน"



ร่างสูงผิวคล้ำลดมือที่ชูขึ้นอย่างหาเรื่องลงเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจ "เจอมึงแล้วกูอารมณ์โมโหกูหดเลย"



"ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ" ชะเอมยิ้มบาง ก้มมองรูปที่เขาต้องลงสีแล้วดวงตาเป็นประกาย อดชมไม่ได้ "ดินวาดสวยมากเลย"



ธีมของคณะอักษรคือเทพผู้พิทักษ์ ดังนั้นรูปที่ดินวาดออกมาบนผ้าดิบผืนใหญ่คือรูปของเจ้าหญิงสวมมงกุฏ สยายผมยาว และมีดวงตาน่าเกรงขามนั่งอยู่บนบัลลังก์และมีชายกำยำตัวใหญ่ใส่เกราะถือดาบอยู่ข้างกายสี่คล้ายองครักษ์อะไรประมาณนั้น รายละเอียดของภาพมันเยอะมากจนไม่อยากเชื่อว่าถูกสร้างสรรค์ด้วยผู้ชายอย่างดิน



ชะเอมเกาหน้าแอบหัวเราะในใจ เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าดินหยาบคายหรอกนะ...ขอโทษนะดิน



ส่วนร่างสูงได้ยินคำชมแล้วอดถูจมูกแก้เขินไม่ได้ ปกติเคยได้ยินแค่คนที่ชมไปงั้นเป็นมารยาท แต่กับชะเอมมันออกมาจากใจจนคนฟังรับรู้ได้ "เออ ก็ของถนัดนี่หว่า"



"เอมไม่ต้องชมมากเดี๋ยวมันเหลิง" สินพูดยิ้มๆ ไม่สนใจดินที่แยกเขี้ยวใส่



"มีอะไรให้ช่วยมั้ย" รามถามพลางขยับเข้ามานั่งข้างๆ



"รามจะช่วยเราเหรอ"



"อืม ถ้าเรื่องช่วยเปลี่ยนถังน้ำล้างพูกัน หรือผสมสีล่ะก็พอจะช่วยได้อยู่" ร่างโปร่งอมยิ้ม "แต่เราลงสีไม่เป็นหรอก เดี๋ยวเละหมด"



"แค่นั้นก็ช่วยได้เยอะแล้วล่ะ" มือบางลงมือแกะฝากระป๋องสีที่คิดว่าจะใช้ ต้องค่อยๆ ทำเพราะตอนนี้ใส่ชุดนักศึกษาสีขาว โดนสีกระเด็นใส่ขึ้นมาล่ะก็ไม่พ้นต้องซื้อเสื้อใหม่เป็นแน่



“ไม่รู้ทำไม เหมือนทุกคนไม่ค่อยอยากให้เราเข้าใกล้เลย รามรู้ไหม?” ชะเอมพูดสิ่งที่กังวล ติดอยู่ในใจมาตั้งแต่แรก ทำให้รามเลิกคิ้ว



“ยังไง เล่าให้ฟังหน่อย”



“ก็...เมื่อกี้เราเห็นรุ่นพี่เขายกของหนัก เลยจะเข้าไปช่วย แต่เขาปฏิเสธมา แถม...พวกผู้หญิงเธอก็พากันหลบตาใหญ่เลย นี่เราน่ากลัวเหรอ?”



ใบหน้าหวานขมวดเครียด นี่เขาติดเชื้อน่ากลัวมาจากคินจริงๆ เหรอ



ดินกับสินที่นั่งฟังพากันหลุดหัวเราะพรืด



“ฮ่าๆ ซะที่ไหนเล่า ก็เขากลัวผัวมึงมาเขม่นเอาต่างหาก”



ชะเอมหน้าแดงกับคำเรียกนั้น...อีกแล้ว “ดิน เบาๆ สิ แล้วคินเขาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”



“ถ้าใครหน้าไหนเข้าใกล้มึงหรือใช้งานมึง ก็ไม่วายโดนไอ้คินมันจ้องตาเขม็งเอาทุกรายหมดแหละ”



“อะไรกัน...” ชะเอมหน้ามุ่ยแต่ก้อนเนื้อภายในอกบางเต้นตุบๆ อย่างดีใจ



“คินคงหวงน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” รามบอกยิ้มๆ เมื่อเห็นหน้าใสงอง้ำ...น่ารักจนไม่แปลกใจเลยที่ ‘ใครๆ ’ ต่างก็มาชอบ



ผ่านไปไม่นาน พู่กันที่ใช้เริ่มเลอะเปรอะเปื้อนจนล้างไม่ออก แถมน้ำเปล่าที่ใช้ล้างก็ข้นจัด รามจึงยกไปเปลี่ยนโดยมีเพื่อนผู้ชายคนอื่นอาสาไปช่วยด้วยทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังนอนเอกเขนกกันอยู่เลย



"ขอบคุณนะ" ใบหน้าหวานยิ้มๆ พูดกับเพื่อนๆ ที่เห็นหน้ากันบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้คุยกันแม้แต่ครั้งเดียว



"มะ ไม่เป็นไร"



และหนุ่มๆ ก็หน้าแดงกันเป็นทิวแถบ คิดแบบเดียวกัน



นางฟ้าของคณะอักษร...ชะเอม...น่ารักโคตร



สายตาของผู้ชายหลายคนจับจ้องร่างผอมบาง ใบหน้าขาวที่ผมปรกหน้า แต่ยังเห็นดวงตากลมสีดำมุ่งมั่นกับสิ่งตรงหน้าจนน่าหลงใหล จมูกเล็กเชิดรั้น กับริมฝีปากบางสีแดงเรื่อน่าจูบ จริงๆ แล้วชะเอมเป็นคนที่น่าจับตามองมากที่สุดตั้งแต่เข้าคณะมาตอนปีหนึ่ง แต่เป็นคนที่เข้าหายากเพราะดูเงียบๆ พอต้นปีมานี้ก็ดูเศร้าๆ ซึมๆ อีกและเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่เจ้าตัวเปลี่ยนไปมาก น่าเข้าหาและที่สำคัญคือน่ารักขึ้นเยอะ ทั้งรอยยิ้มและแววตาสดใส ยิ่งมีหลายคนอยากคุยด้วย ไม่แปลกเลยที่ตอนนี้จะมีหลายคนดึงความกล้าและเข้าไปคุย ถ้าหากไม่มีคิน แฟนหนุ่มสุดหล่อเดือนคณะวิศวะอยู่ด้วยละก็นะ



แน่นอนว่าการกระทำซุ่มแอบมองของชายหลายคนชะเอมไม่ได้ทันสังเกตหรอก เพราะเจ้าตัวซื่อ(บื้อ)เกิน รามมองแล้วถอนหายใจ...ดีนะที่คินมันไม่ได้อยู่แถวนี้



"เอม ผมเริ่มยาวไปหน่อยแล้วหรือเปล่า" สินทัก มองผมสีดำประกายน้ำตาลนุ่มนิ่มเริ่มระต้นคอส่วนหน้าม้าก็เริ่มยาวจะปิดตาอยู่แล้ว



"อ่า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" มือบางเปรอะเปื้อน จึงไม่อาจหยิบจับอะไรได้เอง เพราะอากาศอบอ้าวไม่มีลมพัดผ่านจึงทำให้เหงื่อเริ่มผุดไหลซึมข้างขมับ แขนบางยกขึ้นเช็ดใบหน้าไม่ค่อยถนัด เช็ดไปเช็ดมาเหงื่อเข้าตาจนแสบไปหมด จากนั้นชะเอมก็ได้ยินเหมือนเสียงฮือฮาอะไรไม่รู้



"มาแล้วว่ะ..."



"มาทีไรขัดลาภทุกทีอะ โธ่ นางฟ้ากู"



ร่างบางไม่เห็นว่าคืออะไร เพราะดวงตากลมหลับปี๋ จากนั้นได้กลิ่นอะไรคุ้นๆ หอมๆ โชยมา ริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อจำได้แล้วว่าเป็นใคร และสัมผัสนุ่มนิ่มก็ซับเบาๆ ลงบนใบหน้า ขมับ และเหงื่อที่เข้าตาออกให้



"ขอบคุณครับ" เสียงใสเอ่ย ก่อนที่ดวงตากลมปรือเปิด ใบหน้าคมหล่อเหลาที่สาวๆ หลายคนเผลอกรี๊ดปรากฎอยู่ตรงหน้า "คิน"



อีกฝ่ายเลิกคิ้ว "รู้ด้วยเหรอว่าเป็นคิน"



"เอมจำกลิ่นได้"



เหมือนได้ยินเสียงวี้ดว้ายจากที่ไกลๆ



'อ๊าย แก หวานอะ กรี๊ดๆ'



'มีเช็ดหน้าเช็ดตาให้กันด้วย แถมเมื่อกี้อะไร บอกว่าจำกลิ่นของแฟนได้'



"ฮะๆ" เสียงทุ้มหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบ "เป็นหมารึเปล่าเนี่ย"



คนโดนว่ายู่ปาก "เปล่าสักหน่อย...ว่าแต่คินมาได้ไงครับ ไม่ได้อยู่ช่วยงานน้องๆ เหรอ"



"คินเอาข้าวมาให้ กินด้วยกันนะ" ร่างสูงชูถุงผ้าสะอาดที่บรรจุกล่องข้าวเอาไว้ข้างในแม้มองไม่เห็นแต่ร่างบางก็รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเขาเป็นคนลงมือทำเองทั้งหมด



"ใกล้เที่ยงแล้วเหรอ"



"ใช่ ว่าแต่เอมทำอะไร...ลงสี"



ชะเอมพยักหน้าน้อยๆ มองมือที่เปรอะเปื้อนสีจนเหนียวเหนอะหนะไปหมด "เดี๋ยวเอมต้องไปล้างมือก่อน"



"เดี๋ยวคินไปด้วย"



ร่างสูงผุดลุกขึ้นและเดินตาม ไม่สนใจว่าตั้งแต่เขามามีแต่คนมองมากและซุบซิบมากกว่าเดิม ชะเอมหน้าแดงเรื่อเพราะเริ่มได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้น ไม่ได้เบาเสียเลย



'แก แค่ไปล้างมือยังตามติดเลยอะ นี่เรียกว่าโรคติดแฟนป่ะ โอ๊ย ฟินจะเป็นลม'



'ไม่เคยเห็นพี่คินโหมดนี้ ทั้งหล่อ ทั้งอ่อนโยน โฮก สามีในฝันของกู'



'เขาอ่อนโยนกับแค่แฟนเขาเท่านั้นแหละย่ะ'



'พี่ชะเอมก็ดูจะเขินๆ นะ เห็นแก้มแดงตลอด น่ารักง่ะ'



'อ๊า อยากให้พี่คินมาที่คณะทุกวัน จะได้เห็นอะไรฟินๆ'



"คิน..." ดวงตากลมโตช้อนมองคนข้างๆ อย่างอายๆ ฟันขบกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่รู้จะทำยังไง



"ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล" คินพูดยิ้มๆ เขาก็ได้ยินเช่นกัน แต่คนเหล่านั้นไม่ได้ปองร้ายหรือคิดไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกังวล



"แล้วทำไมเอมทำอยู่คนเดียว คนอื่นไม่คิดจะช่วยเลยเหรอ" สายตาคมกริบตวัดมองคนที่กินข้าวเสร็จแล้วมานอนเอกเขนกเช่นเดิม ต้องสะดุ้งสุดตัว ร่างบางยิ้มแหยเอ่ยปราม



"ไม่เอาน่าคิน คนอื่นเขาทำไม่ได้ก็เลยขอให้เอมมาช่วยไงครับ" เสียงใสเหมือนน้ำเย็นที่ชะโลมคนอารมณ์กรุ่นให้เย็นลง "เดี๋ยวเอมต้องทำงานแล้ว คินกลับไปที่คณะตัวเองเถอะ พวกเอกคงตามหาอยู่"



ก็ให้มันหาไป...คินคิดแบบนี้แต่ปากตอบไปอีกอย่าง "ไม่เป็นไร เดี๋ยวคินอยู่ช่วยเอม"



"ไม่ได้นะ"



"ทำไม"



เชื่อว่าถ้าเป็นคนอื่นคงหัวหดไปแล้วถ้าเจอเสียงดุๆ และตาดุๆ แต่ชะเอมยังคงว่าเสียงใส "นี่มันงานของคณะอักษร คินมีงานของคินก็ไปทำสิครับ"



"ไล่คินเหรอ" คิ้วเข้มกระตุก มองหน้าผากมนขาวเนียนที่เปิดกว้างเพราะหน้าม้าถูกผูกเป็นจุกให้ตั้งขึ้นไปเห็นดวงตากลมสีดำใสชัดเจน ใบหน้าหวานน่ารักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า...แล้วแบบนี้จะให้ปล่อยไว้คนเดียวท่ามกลางเจ้าพวกนี้ได้ไง



ต้องคอยนั่งกันเอาไว้...พวกแมลงจะได้ไม่มาตอม



ชะเอมขมวดคิ้วส่ายไปมาปฏิเสธ "เอมเปล่า"



คนที่เอ่ยไล่ยังไม่รู้ตัว...



"คินไม่ไป"



"ทำไมคินดื้อ" แก้มใสพองลม มองคนที่นั่งนิ่งไม่ไปไหนอยู่ข้างๆ แล้วก็ทำเป็นไม่สนใจอีก อดเอ่ยเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้ "ถ้าพวกเอกว่าเอมไม่รู้ด้วยนะ"



มันไม่ว่าหรอกน่า



"ทำไมมึงยังไม่ไปอีกวะ งานการไม่มีทำไง?" ดินพูดกับคินซึ่งร่างสูงหูทวนลมไม่สนใจ "มานั่งเฝ้าเมียอยู่ได้ ไอ้ขี้หวง"

คนโดนว่าไม่สะทกสะท้าน แต่คนข้างๆ สะดุ้งโหยงหน้าแดงกับคำเรียก (อีกแล้ว) มองซ้ายมองขวาก่อนจะโล่งอกเมื่อน่าจะไม่มีใครได้ยิน "ดิน...พูดอะไรน่ะ"



"เสร็จมันแล้วก็บอก"



"..." แค่ใบหน้าที่แดงเป็นมะเขือเทศนี่ก็เฉลยคำตอบแล้วคงไม่ต้องพูดหรอก คินเท้าคางมองท่าทางนั้นยิ้มๆ ...จะว่าไปนิสัยซื่อๆ นี่ก็ดีนะ ดูง่ายดี



น่ารักจนไม่อยากให้ใครมอง



ผัวะ!



"อย่าล้อเพื่อน" สินโบกเข้าที่ท้ายทอยดินไม่แรงนักเป็นการเตือน



"รู้แล้วน่า..." ดินโอดโอยทำหน้าเหม็นเบื่อ



"จะเสร็จเมื่อไหร่?" เสียงทุ้มถามขึ้นเมื่อนั่งมองท่าทางขมักเขม้นตั้งใจของชะเอมอยู่นานสองนานจนรู้สึกง่วง



"เอมก็ไม่รู้เหมือนกัน"



"ไม่เสร็จก็มาทำต่อพรุ่งนี้ได้ ไม่ต้องรีบ" ดินบอก พลางมองรูปที่ตัวเองเป็นคนวาดเริ่มมีสีสันประปรายแล้วรู้สึกดีที่ให้ชะเอมมาช่วย



"ว่าแต่รูปนี้จะเอาไปทำอะไร วาดซะใหญ่เลย"



"น่าจะพื้นหลังของอะไรซักอย่าง"



"นี่วาดทั้งๆ ที่ไม่รู้เนี่ยนะ"



"ก็จัดให้ตามสั่งแค่นั้น ทำไมกูต้องรู้ด้วยวะ" ดินพูดตามที่คิด เขาแค่คิดว่ามันออกมาดีก็ดีแล้วนี่



"กูก็แค่ถามไปงั้น"



ดินคิ้วกระตุก...คนอย่างนี้นี่มันมีดีอะไรให้เอมชอบนอกจากกวนส้น...



"ว่าแต่รามหายไปไหนนะ" ร่างบางมองหา



"คงไปกับไอติมล่ะมั้ง" สินละสายตาจากโทรศัพท์ "อ้าวนั่นไง จริงด้วย"



ร่างสูงที่นั่งอยู่ตาขวางทันที



"พี่ชะเอมหวัดดีครับ" ไอ้คนมาใหม่รีบเดินเข้ามาทักชะเอมคนแรก มองข้ามหัวใครบางคนไป แน่นอนคินก็ไม่สนใจเหมือนกันเพราะไม่ได้อยากจะรู้จักมันแต่แรกอยู่แล้ว



แต่ปล่อยผ่านไม่ได้เพราะไอ้หมอนี่ชอบมายุ่งกับคนของเขา



"อื้อ ไม่ได้เจอนานเลย" ใบหน้าขาวยิ้มสว่างสดใส



"ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็เพิ่งเจอนี่ครับ"



รอยยิ้มบางเจื่อนลงเล็กน้อย "อ่า จริงด้วย เราไม่ได้คุยกันเลยนี่เนอะ" แต่คินแอบยิ้มมุมปากเยาะๆ



"ก็เกิดเรื่องขึ้นเยอะนี่ครับ...ว่าแต่พี่ชะเอมผูกจุกแบบนี้แล้วน่ารักมากเลย" ริมฝีปากคมยิ้มละมุน ผิดกับร่างโปร่งข้างๆ ที่ได้ยินคำนั้นแล้วยิ้มฝืดเฝื่อน ขบปากจนเลือดซึม



ชะเอมหัวเราะแหะๆ ไม่พูดตอบอะไรเพราะเดี๋ยวคินโมโห  เสียงใสร้องเรียกเพื่อนแทนทำให้ร่างโปร่งต้องปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ "...รามมาช่วยเราหน่อยสิ ไม่มีใครช่วยเปลี่ยนน้ำให้เลย"



"ได้สิ" ร่างโปร่งเดินเข้ามาหยิบถังน้ำที่มีน้ำเปล่าข้นๆ ที่มองแทบไม่ออกว่ามันคือน้ำเปล่าขึ้น



"งั้นเดี๋ยวเราไปด้วย ต้องล้างแปรง"



"คินช่วย" มือใหญ่แย่งบางส่วนมาถือเองจนสีเลอะมือไปด้วย



"งั้นผมไปด้วย"



"มึงจะไปทำไม" คินคิ้วกระตุกพูดเสียงเข้ม พอเห็นแบบนั้นร่างบางเลิ่กลั่กเงยมองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะพูดอะไร ส่วนรามยืนนิ่ง สินเลยเข้ามาปราม



"เฮ้ยๆ ใจเย็นหน่อยเว้ย คนมองหมดแล้ว"



"จะไปกับแฟน มีปัญหาอะไรครับ"



"ไปเถอะเอม" รามที่ถูกพาดพิงเอ่ยขึ้นมาและเดินนำไปก่อน ทำให้ชะเอมรีบเดินตามไปติดๆ และแน่นอนคินกับไอติมเห็นแบบนั้นก็เดินตามมาด้วย



ระหว่างทางเดินผ่านไปยังห้องน้ำที่จะต้องไปเปลี่ยนน้ำและล้างอุปกรณ์ ก็มีซุ้มบางอย่างที่กำลังต่อเติมไม้เป็นชั้นเวทีหรืออะไรสักอย่าง ดูวุ่นวายจนต้องเดินห่างออกมา แต่แล้วก็มีอีกกลุ่มเดินเข้ามาอีกทางไม่ได้มองแบกท่อนไม้หน้าสามท่อนใหญ่หลายท่อนมาและชนกับชะเอมกับรามเข้าอย่างจัง



"ระวัง!!" คินตะโกนดังลั่น ร่างสูงทั้งสองรีบกระโจนเข้าไป ก่อนที่เสียงโครมและเสียงของหล่นจะดังขึ้นต่อเนื่อง ไม้ที่ถูกแบกมาหลายท่อนร่วงกราวลงมาทับแต่ดูเหมือนจะโชคดีที่ชะเอมจะไม่เป็นไร แต่ร่างโปร่งถูกตะปูขึ้นสนิมตัวใหญ่หลายตัวที่ติดมากับไม้หน้าสามพวกนั้นทิ่มลึกเข้าที่แขนจนเลือดไหลท่วม



"เอมไม่เป็นไร...ราม!" เสียงใสตกใจทำให้คนอีกสองคนหันมามอง



เจ็บ...

ฟันขาวขบกัดริมฝีปากล่างจนเลือดซึม แผลนี้เจ็บมาก...แต่ก็ไม่เจ็บเท่ากับที่เห็นไอติมกระโจนเข้าไปปกป้องชะเอมโดยปล่อยเขาทิ้งไว้



>>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:15:34


ต่อจากด้านบนค่ะ<<<<<<<<<<<<<<<<<<


รู้อยู่แล้ว...ว่าไม่ใช่คนสำคัญ



ร่างบางปรี่เข้ามาดู ไม่ได้สนใจรอบข้างที่ฮือฮา แต่ตอนนี้เพื่อนของเขากำลังบาดเจ็บ "ราม...เลือด..."



"เอม ไม่เป็นไร..." เสียงทุ้มใสสั่นเครือ ภาพข้างหน้ามันพร่ามัว รู้สึกท้อแท้เหลือเกิน...ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าใครคนนั้น



"ไม่เป็นไรที่ไหน ราม...ติม ช่วยพารามไปห้องพยาบาล..."



"ไม่! ไม่ต้อง...เดี๋ยวเราไปเอง" เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ปฏิเสธเสียงแข็งทันที หยาดน้ำตาที่ไหลก็ปล่อยให้มันไหลไป รามฝืนดึงแขนออกจากเหล็กแหลมที่ติดกับไม้จนเผลอกัดปากเข้าที่แผลเดิม จากนั้นขาเรียวพยายามลุกขึ้น "โอ๊ย..."



เท้าของเขา...



พอดวงตาเรียวเห็นว่าสภาพของข้อเท้าตัวเองมันบวมแดงขนาดไหน ก็ยิ่งตัดพ้อ...บ้าจริง...ทุเรศที่สุด



ตัวเขาในตอนนี้มันทุเรศจนมองไม่ได้



"อึก..." น้ำตามันไหลซึ่งพยายามเช็ดเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมหยุดเสียที บอกความรู้สึกนี้ไม่ได้ มีแต่จุก...เจ็บ



ภาพเมื่อครู่มันติดตรึง...ไม่หายไป ในยามมีอันตรายคนที่อีกฝ่ายจะเลือกปกป้องก่อนคือชะเอม ไม่ใช่เขา



"ราม...ไปหาหมอเถอะนะ" ชะเอมบอกด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นรามเป็นแบบนี้...ร้องไห้แบบนี้



เพื่อนของเขาไม่เคยเป็นแบบนี้



มือแตะแขนเรียวเบาๆ ที่เลือดไหลท่วมแต่เจ้าของไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่นิด ยิ่งน้ำสกปรกในกระป๋องเมื่อกี้ที่รามถือมาเพื่อจะทิ้งก็หกหมดแถมเลอะจนเสื้อนักศึกษาเป็นรอยด่างดำ นั่นไม่สำคัญเท่าน้ำนั้นสาดโดนแผลฉกรรจ์ด้วย ดวงตากลมหันไปมองรุ่นน้องตัวสูงที่ยังยืนนิ่งแล้วก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงนิ่งได้ขนาดนั้น รามกำลังบาดเจ็บนะ



"คิน..." เสียงใสเรียกคนรักขอความช่วยเหลือ คินก็เดินเข้าใกล้กำลังจะช้อนร่างโปร่งขึ้น แต่ทันใดนั้นเองร่างสูงอีกคนก็เข้ามาแทรก



"หลบ" ติมเอ่ยเสียงเข้ม แต่พอเข้าใกล้คนเจ็บ รามก็ถอยหนีทั้งๆ ที่เลือดยังไหล...ไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิด



"ไม่ต้อง! พี่ไปเอง..." ร่างโปร่งปาดน้ำตากัดฟันลุกขึ้นอีกครั้ง จนในที่สุดก็ยืนขึ้นจนได้ ขาเรียวด้านขวาเกร็งสั่นเพราะต้องรับน้ำหนักทั้งตัวเนื่องจากขาซ้ายไม่อาจใช้งานได้



ก่อนที่เท้าจะลอยขึ้นเหนือพื้นในวินาทีต่อมาเพราะถูกช้อนตัวโดยคนที่ไม่อยากมองหน้ามากที่สุด



“ติม!”



"ติมพี่ฝากด้วยนะ" ชะเอมพูด ถึงแม้ใจจะคิดว่าทั้งคู่ทะเลาะกันอยู่หรือไม่ ไม่ว่าจะยังไงก็อยากให้ดีกันไว้



"ครับ"



"ปล่อยพี่...!" และมีหรือที่คนโดนอุ้มจะยอมดีๆ แต่เสียงโวยวายก็ค่อยๆ เบาลงเพราะขายาวพาร่างสองร่างให้เดินห่างออกไป ใบหน้าหวานซีดเซียวหลังจากที่เห็นเลือดสีแดงฉาน ยืนนิ่งงันไม่ขยับไปไหนจนกระทั่งมีเสียงเรียกจากคิน



"ถ้าเป็นห่วงล่ะก็จะตามไปดูมั้ย"



ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนจะพยักหน้าไม่คลายความเป็นห่วงและกังวล "แต่เอมต้องเก็บของตรงนี้ก่อน แล้วก็ต้องไปบอกพวกดินด้วย"



คินพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งสองคน และคนตรงนั้นจะมาช่วยเก็บของ น้ำที่หก เลือดที่หยดนองเต็มพื้นให้สะอาดเหมือนเดิม





************************Whose fault? ************************





ณ มุมตึกอันเงียบสงัดที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน มันจึงมักเป็นที่ซ่องสุมของพวกขี้เหล้า เมายา สูบบุหรี่แต่ตอนนี้มีกลุ่มของนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งประมาณสี่ถึงห้าคนที่ใส่ชุดนักศึกษายืนเรียงหน้ากระดาน และเสียงแหลมกร้าวก็ดังแทรกจากนั้นใบหน้าของชายเหล่านั้นก็สะบัด



เพียะ! เพียะ!



"ไอ้พวกโง่!! ไม่ได้เรื่อง!" เสียงเล็กด่ากราดและตบหน้าคนที่ยืนก้มหน้าแถวนั้นดังฉาดทุกคนจนหน้าแดงขึ้นรอยนิ้วมือ บางคนเลือดกลบปากไปเลยก็มี



"มันไม่เป็นอะไรเลยพวกมึงไม่เห็นรึไง!?" ลมหายใจเข้าออกแรงดังฟืดฟาด เขาซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ หวังว่าจะให้มันเลือดตกยางออกบ้างแต่มันไม่มีแม้แต่รอยถลอกหรือรอยขีดข่วนเลย



"แล้วที่กูบอกให้เอายาไปเปลี่ยนน่ะทำกันรึยัง!?"



"..."



ความเงียบเป็นคำตอบที่ดีที่สุด...และมันก็ทำให้โมโหมากที่สุดเช่นกัน!



เพราะมันแปลว่าพวกมันยังไม่ได้ทำตามที่เขาสั่ง!



"กระเป๋าของมันมีคนเฝ้าอยู่ตลอดนะครับ ไม่เจ้าตัวก็ไอ้คิน..."



"กูไม่อยากฟังคำแก้ตัว...แล้วก็อย่ามาเรียกคินว่าไอ้!"



เพียะ!



คนๆ นั้นที่โดนมือเล็กสะบัดเข้าที่หน้าอีกทีก็กระเด็นล้มลงกับพื้นหญ้า...ไม่คิดจะออมแรงให้แม้แต่นิด



"ถ้ามึงพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับคินอีก จะโดนหนักกว่านี้"



"..."



ร่างเล็กกอดอกพ่นลมหายใจ "มีกันตั้งเยอะแยะแต่ไม่รู้จักใช้หัวคิด โง่จริงๆ"



"ขอโทษครับ..." เสียงทุ้มพากันพูดเสียงซึมหงอยประสาน มีแค่บางคนที่ไม่ชอบสักนิดกับการรองรับอารมณ์ไม่มีเหตุผลแบบนี้



"คราวหน้า...ถ้ายังพลาดอีกกูจะไม่ให้เงินแม้แต่แดงเดียว และอย่าหวังว่าคราวนี้กูจะมีอะไรให้ เพราะแค่ทำให้มันมีแผลซักนิดก็ยังทำไม่ได้!"



เสียงเล็กเกรี้ยวกราดทิ้งคำสบประมาทไว้และเดินกระทืบเท้าออกไป



เงาดำมืดบางอย่างที่อยู่อีกฟากของผนังราวกับยืนฟังอยู่นานแล้วก่อนจะยิ้มมุมปากและเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ



"ผมทนไม่ไหวแล้วนะ" คนที่โดนตบถึงสองครั้งจนเลือดกลบพูดออกมาเมื่อคาดว่าเรย์พ้นจากบริเวณนี้ไปแล้ว



"กูก็ว่าแม่งทำเกินไปว่ะ ตอนแรกเห็นน่ารักจริงแต่ก็น่ารำคาญชิบหาย มิน่าไอ้คินถึงได้ทิ้ง สมน้ำหน้า" ชายคนหนึ่งพูดไม่สบอารมณ์ เขาน่ะโดนใบหน้านั้นหลอกเข้าตายใจเลย...ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วนิสัยอีกฝ่ายเป็นแบบนี้กัน



"เลิกดีไหม?"



พอโดนพูดแบบนี้มากเข้าแน่นอนว่าต้องมีคนลังเล แต่ใครคนหนึ่งพูดขัดขึ้นมา



"แต่ได้เงินเยอะนะมึง คิดดีๆ จะมีงานไหนที่ง่ายกว่านี้อีกวะ"



"ใช่ แค่เปลี่ยนยาสำเร็จก็น่าจะพอใจแล้ว เราทำแค่นั้นก็พอนี่"



หลายๆ คนพยักหน้า ถ้าแค่นั้นล่ะก็...



คำสั่งของผู้ว่าจ้างคือให้ไปสลับยาที่ให้มากับที่ชะเอมกำลังพกติดตัว ตอนแรกพวกเขาก็กังวลว่ามันจะมีอะไรร้ายแรงหรือไม่ แต่ก็ได้คำตอบมาแล้วว่ามันคือยาแก้ปวดธรรมดา



แต่หารู้ไม่ นั่นน่ะคือคำสั่งให้ไปฆ่าคนเลยต่างหาก





************************Whose fault? ************************





"คิน เจ็บมากมั้ย" เสียงใสเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล มือบางช่วยทำแผลให้ร่างสูง ทายาแดงติดผ้าก๊อซ วันนี้แผลหนักกว่าทุกวัน ชะเอมขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยสุดฤทธิ์ "ทำไมช่วงนี้คินถึงซุ่มซ่ามบ่อยจังเลยล่ะครับ?"



ร่างสูงนิ่งเงียบ ดีที่หันหลังให้อยู่จึงไม่เห็นหน้าเครียดขึงของใบหน้าคม ช่วงนี้ทำไมถึงซุ่มซ่ามบ่อยงั้นเหรอ อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ซุ่มซ่าม แต่ชะเอมต่างหากที่มักจะเจอเรื่องบ้าบอคอแตกอย่างคนเดินมาชนทำของหล่นใส่ น้ำร้อนกระเด็น ทุกวี่ทุกวันแต่เจ้าตัวก็ไม่บาดเจ็บเลยเพราะร่างสูงมองเห็นทันและป้องกันไว้ก่อน ถ้าไม่อย่างงั้นร่างผอมๆ นี่คงอ่วมก่อนแน่



เรื่องบาดเจ็บไม่น่าสงสัยเท่าคนที่สร้างเหตุการณ์อุบัติเหตุเหล่านั้น เป็นใบหน้าเดิมๆ คนเดิมๆ ชะเอมคงไม่ได้สังเกต แต่นี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วนับจากวันแรกที่รามบาดเจ็บ



"โอ๊ย! ...แสบ" คินสะดุ้งโหยง แผลจากกระจกหน้าต่างแตกแล้วกระเด็นมาปักที่แผ่นหลังนี่มันเจ็บปวดกว่าที่คิด



"เอมขอโทษ..." ใบหน้าหวานซีดเซียวมองอย่างเป็นห่วง ริมฝีปากบางเม้มแน่น น้ำตาคลอ เพราะสงสารร่างสูงจับใจ "คินเจ็บมากมั้ย เอมขอโทษครับ"



"ไม่ต้องขอโทษ..."



แขนแกร่งคว้าคนตัวผอมที่น้ำตาซึมมากอดปลอบ รู้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่ถ้าจะให้ชะเอมเจ็บตัวเขายอมเจ็บแทนดีกว่า เขาคงทนไม่ได้แน่ถ้าเห็นร่างเล็กที่เขารักเป็นอะไรไป "เอมไม่ผิดเลย"



ร่างสูงกอดปลอบ ลูบหัวลูบหลังกว่าจะสงบ



"เอมเป็นห่วงคิน"



"ไม่ต้องห่วง แผลแค่นี้เลียหน่อยก็หาย" เสียงทุ้มพูดติดขำ แต่คนฟังทำหน้างงไม่เข้าใจว่ามันเป็นมุข



"เลียอะไรล่ะครับ คินไม่ใช่น้องหมาที่เลียแผลตัวเองแล้วจะหายสักหน่อย"



"ก็ถ้าเลียเองไม่หาย ก็ให้เอมเลียก็ได้ คินว่าคินหายแน่นอน"



แก้มใสแดงเรื่อ บ่นอุบอิบ "มันจะไปหายได้ยังไงล่ะครับ"



คินหัวเราะ กดจมูกหอมแก้มใสคนที่ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูจนมันแดงกว่าเดิม



"อีกไม่กี่วันนี้ก็ถึงวันกีฬาสีแล้ว คินลงแข่งวิ่งกับบาสเก็ตบอลไว้ไม่ใช่เหรอครับ"



"อ่า จริงด้วย" เสียงทุ้มครางต่ำ...ลืมเสียสนิท "สงสัยโดนไล่ออกจากทีมแล้วล่ะมั้ง"



ดวงตากลมเบิกกว้างตกใจ หันขวับไปมองคนที่พูดเสียงนิ่งไม่ทุกข์ร้อน "ทำไมล่ะครับ?"



"ก็คินไม่ได้เข้าไปซ้อมเลยนี่นา"



"อ้าวเขามีซ้อมกันเมื่อไหร่ เอมไม่เห็นรู้เลย" นอกจากนี้คินก็ไม่ได้บอกอะไรด้วย



"ก็มีซ้อมทุกเย็นนั่นแหละ" คินบอก ก็เห็นเพื่อนในทีมว่าอย่างนั้นนะ...ชวนอยู่ทุกวันแต่ทำไงได้ เขามีภารกิจที่ต้องเป็นไม้กันหมาให้ชะเอม จะละเลยต่อหน้าที่ได้ยังไง



"งั้นก็ไปซ้อมสิครับ โธ่ แล้วทำไมเวลาเอมถามถึงตอบว่าไม่มีธุระล่ะ"



ร่างสูงเหงื่อตก ถ้าชะเอมรู้ความจริงล่ะก็เขาต้องโดนไล่แน่ๆ



"ไม่รู้ล่ะ ถ้าเอมรู้ว่าคินถูกไล่ออกจากทีมเพราะมาตามติดเอมจนไม่ได้ไปซ้อมล่ะก็ เอมไม่ยอมจริงๆ ด้วย" สาบานว่าคินเพิ่งเคยเห็นคนที่เอ่ยคำขู่ได้น่ารักขนาดนี้มาก่อน



"ไม่มีคินเขาก็หาคนอื่นมาแทนได้นี่" เสียงทุ้มพูดเรียบง่ายไม่เดือดร้อน แต่คนที่เดือดร้อนแทนคือร่างบางเนี่ย



"ไม่ได้!"



เห็นสีหน้าจริงจังแล้วจะตอบอะไรได้นอกจาก "...ครับ คินไปซ้อมก็ได้ แต่เอมต้องไปดูคินซ้อมด้วย" เสียงทุ้มเอ่ยเข้มแกมบังคับ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ชะเอมอยู่คนเดียวเด็ดขาด ทั้งหวงทั้งห่วง



"เอมมีงาน"



"งานนั่นให้คนอื่นทำก็ได้"



ชะเอมอึกอัก “ทำแบบนั้นไม่ได้นะ..."



"งั้นก็ให้คนอื่นมาแข่งแทนคิน"



แก้มใสพองลม เอาแต่ใจที่สุดเลย "คินขี้โกง"



" เดี๋ยวคินไปรับ" ร่างสูงยิ้มสรุปเสร็จสรรพ



ร่างบางส่ายหน้าระรัว "เดี๋ยวเอมไปเอง คินซ้อมที่ไหน"



"โรงยิมของคณะวิศวะ เอมมาถูกเหรอ?"



"เดี๋ยวเอมถามทางคนแถวนั้นก็ได้ครับ" ชะเอมบอกยิ้มๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับแค่ไม่รู้ทาง ลำบากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว



คิ้วเข้มกระตุกทันทีเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะ 'ถามทาง' ...นั่นมันหมายถึงร่างบางจะต้องเข้าไป 'คุย'กับคนอื่นไม่ใช่หรือ?



ไม่สนหรอกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย...ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด



"ไม่ได้...เอมต้องรอให้คินไปรับ จบนะ ไม่คุยแล้ว" ร่างสูงสวมเสื้อหลังจากที่ทำแผลเสร็จก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้ทันที...ให้รู้กันว่าแบบนี้คือห้ามปฏิเสธ!



"คิน...ทำไมถึงเอาแต่ใจแบบนี้ครับ" ร่างบางคลานตัวพลิกร่างสูงให้นอนหงาย คินก็โอนอ่อนตามแรงง่ายดายกว่าที่คิด ทันทีที่แผ่นหลังติดเตียงแขนแข็งแกร่งก็ดึงแขนบางตวัดให้ชะเอมมานอนคร่อมตนทันทีที่เผลอ ทำให้ร่างเบาหวิวหน้าแดงดิ้นขลุกขลัก แต่พอคินไม่ได้ทำอะไรชะเอมก็นอนนิ่งให้กอดอยู่อย่างนั้น



"คินเอาแต่ใจเพราะหวงเอม"



เสียงทุ้มเอ่ยออดอ้อน เป็นท่าทางที่คนอื่นจะไม่มีวันได้เห็นนอกจากคนๆ เดียวคือคนตรงหน้า



"หวง?" ชะเอมนิ่งนึก ช่วงนี้ก็ไม่เห็นมีใครมาคุยด้วยเลย "เอมยังไม่ได้ทำอะไรให้คินต้องหวงเลยนะ"



"ก็เอมบอกว่าจะไปถามทางคนแถวนั้น"



ฟังคำบอกเล่าแล้ว เสียงใสหลุดหัวเราะเสียงดัง



"ไม่ต้องขำเลย ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเสน่ห์แรงขนาดไหน"



"โอเวอร์ไปแล้วครับ" ชะเอมกระถดตัวขึ้นให้ใบหน้าใกล้กัน ริมฝีปากบางแย้มยิ้มแก้มใสแดงเรื่อ "ยังไงเอมก็รักคินคนเดียวนะ"



"คินรู้ แต่มันก็อดหวงไม่ได้อยู่ดี"



"ก็คินจะมารับเอมใช่มั้ยล่ะครับ" จมูกเล็กหอมข้างแก้มใบหน้าคมซ้ายขวาเอาใจคนขี้หวง ก่อนจะพูดอุบอิบอายๆ "งั้นเอมจะรอก็ได้"



ร่างสูงมองดวงตากลมสีดำสั่นไหวเพราะเขินอายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มกลับบ้างอย่างหมั่นเขี้ยวและกดท้ายทอยเล็กมอบจูบที่อ่อนโยนและยาวนานที่สุดให้กับคนรักที่ผละออกหายใจหอบสั่น



ผ่านไปสักพักก่อนที่ไฟในห้องดับมืดลง ชะเอมนอนหลับปุ๋ยพรูลมหายใจเหมือนเด็กๆ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะแนบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง จนร่างบางส่งเสียงอืออาพลิกตัวดิ้นหนีเพราะถูกรบกวน



ภายนอกเหมือนจะรู้สึกสบายใจแต่ลึกลงไปภายในใจนั้นมันเป็นหลุมดำมืด ความกังวลและลางสังหรณ์บางอย่างกำลังร่ำร้องว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นร้ายแรงมากกว่านี้



...มากยิ่งกว่านี้



************************Whose fault? ************************

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:16:33


                                                  Whose Fault ?

                                                  ผิด...ครั้งที่ 37



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



“เฮ!!”

ในโรงยิมที่เต็มไปด้วยเสียงฝีเท้า เสียงเอี๊ยดอ๊าดของรองเท้าที่เสียดสีกับพื้น เสียงเดาะบาสดังปึ้งๆติดต่อกันเป็นเวลานาน และเสียงเฮฮาเสียงกรี๊ดเชียร์ของผู้ชมที่นั่งอยู่เต็มสแตนด์เชียร์ แน่นอนว่ามีแข่งกันมานี่ก็วันที่สองแล้ว แต่วันนี้คนแน่นเอี๊ยดเป็นพิเศษเพราะว่าหนึ่งในทีมที่แข่งกันตอนนี้คือคณะวิศวกรรมศาสตร์แชมป์บาสเก็ตบอลหลายสมัย ดังนั้นจึงเป็นเกมที่พวกสายกีฬาโดยเฉพาะนักบาสทุกคนต้องมาดู พลาดไม่ได้เด็ดขาด

นอกจากนี้ก็ยังมีสาวๆ หลากหลายมานั่งเต็มที่นั่ง พูดได้ว่าจำนวนมากกว่าผู้ชายที่ตั้งใจมาดูกีฬาเสียด้วยซ้ำ แน่สิเพราะพวกเธอน่ะมาดูคนต่างหาก...ก็ผู้ชายวิศวะมีแต่คนหล่อๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะ...

ตึ้ง!!

"โอววว"

เสียงเชียร์โห่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง เพราะนักกีฬาคนหนึ่งของฝั่งวิศวะเพิ่งจะกระโดดดังค์ลูกเข้าห่วงทำแต้มไป

“สุดยอด นั่นใครน่ะ” สาวคนหนึ่งปิดปากอุทาน ถามเพื่อนคนข้างๆ

“ก็พี่คินไง เห็นว่าเป็นเดือนคณะวิศวะเมื่อสามปีก่อน ทั้งหล่อทั้งรวยแถมเก่งกีฬาอีกด้วย นี่ขนาดไม่ได้มาซ้อมกับทีมทุกวันยังโชว์ฟอร์มได้ขนาดนี้ เท่สุดๆ เลย!”

ฟังสรรพคุณที่เพื่อนสาธยายออกมาแล้วตาวาว ​“จริงเหรอๆ?...แล้วเขามีแฟนยังอ่ะแก”

“มีแล้ว นั่นไง นั่งอยู่ตรงที่นั่งเชียร์ฝั่งวิศวะชั้นล่างสุด เห็นมั้ย ที่ขาวๆ หน้าหวานๆ หน่อย” หนึ่งสาวชี้ไปฝั่งตรงข้าม ทั้งที่อยู่ไกลพอสมควรแต่ก็ยังเห็นว่าใครเป็นใคร โดยเฉพาะ ‘แฟนคิน’ น่ะเด่นสุดๆ

“ไหนยะ แกมั่วรึเปล่า ชั้นล่างสุดฉันเห็นแต่ผู้ชาย”

“ก็ฉันบอกแกตอนไหนว่าเป็นผู้หญิง...แฟนพี่คินเขาเป็นผู้ชายย่ะ!”

"หา!?" ​คนใส่แว่นใบหน้าเต็มไปด้วยฝ้ากระตกใจตาเหลือกเมื่อได้คำตอบ

“แกเถอะไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันมา ถึงได้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเล้ย”

“ย่ะๆ ฉันมันไม่รู้อะไร ไหนเล่ามาหน่อยซิ” สาวรอบรู้เอือมระอาเพื่อนที่เปลี่ยนจากหน้าตกใจเป็นสนใจและอยากรู้อยากเห็นแทน “ชื่ออะไรน่ะ เรียนคณะอะไร ไหนๆ ฉันยังไม่รู้เลยว่าคนไหน”

“ก็คนที่เด่นที่สุดในชั้นล่างน่ะสิ ไม่เห็นหรือไง”

ในระหว่างที่กำลังจ้องมอง เสียงนกหวีดก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงเป็นสัญญาณการบอกเวลาจบเกมนักกีฬาทั้งสองทีมต่างจับมือขอบคุณสำหรับความสนุกและหยาดเหงื่อในครั้งนี้ และทีมผู้ชนะจะเป็นใครไปไม่ได้ ก็คือทีมคณะวิศวกรรมศาสตร์นั่นเอง

“เหนื่อยหน่อยนะครับ” ผ้าขนหนูผืนสีขาวสะอาดถูกส่งจากมือบางยื่นตรงหน้าร่างสูงเหงื่อโชกในชุดเสื้อกล้ามสีดำขอบแดง มีตัวเลขสีขาวตัวใหญ่แสดงอยู่บนตัวบ่งบอกว่าเป็นตัวจริงในทีม

“ขอบคุณครับแฟน”

ร่างสูงยิ้มหวานเช็ดทั้งหน้าและลำคอที่เปียกเหงื่อด้วยท่าทางที่ทำให้สาวๆ บนแสตนด์เชียร์กรี๊ดเกรียวกราว ทำให้ชะเอมยิ้มเขินๆ ก่อนจะส่งน้ำเย็นให้กับคิน โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องออกแรงเปิดขวดให้เสียเวลาเพราะร่างบางเปิดฝาและปักหลอดไว้ให้แล้ว

“กรี๊ดดด” เสียงสาวๆ กรี๊ดระลอกสองเพราะเดือนวิศวะสุดหล่อไม่รับขวดน้ำจากแฟนแต่ก้มลงดูดจากมือบางแทน

“ไอ้ห่าเอ๊ย หวาน...หวานเกิน” เพื่อนร่วมทีมส่งเสียงแซวเป่าปาก “น้องชะเอมจ๋า ขอน้ำให้พวกเราบ้างสิ”

“ได้สิครับ พี่นายเขาเตรียมไว้ให้สำหรับทุกคนเลย” ชะเอมยิ้มสว่างพูดถึงผู้จัดการทีมก่อนจะยื่นน้ำเย็นที่วางอยู่ให้อีกหลายขวดอย่างไม่ถือสา เพราะตั้งแต่มาดูคินซ้อมหลายวันก็สนิทกับเพื่อนๆ และพี่ๆ เขาพอสมควร

“น่าร้าก...อ้าว” พอพี่คนหนึ่งจะรับน้ำก็ถูกยัดใส่มือจากอีกคนแทนซะงั้น และเป็นขวดเปล่าที่กินหมดแล้วด้วย “ไอ้ห่าคิน”

คินไม่สนคำด่าแต่หันไปพูดกับร่างบางแทน “อย่าไปแตะนะเอม เดี๋ยวติดเชื้อ”

“ไอ้ขี้หวง! กับพี่ก็ไม่เว้นเลยนะ” รุ่นพี่ร่วมทีมแหวเสียงดัง เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ

“พี่ไม่ใช่พี่ผมซักหน่อย”

“โอ้โห มันตัดพี่ตัดน้องกันตอนนี้เลยเว้ย...กระซิก น้องเอมดูมันสิ พี่จะร้องไห้~” ร่างสูงที่ตัวพอๆ กับคินทำท่าปาดน้ำตาคร่ำครวญหันมารวบมือบางทั้งสองข้างกำไว้แน่น โดยที่เจ้าตัวที่ยังดูงุนงงเลยไม่ทันได้ปฏิเสธอะไรด้วยซ้ำ

“บอกว่าอย่ามาจับไง!”

คินตะคอกก่อนรวบร่างบางกลับมาและกอดเอาไว้แนบอก การกระทำที่แสดงออกมาทำให้คนทั้งโรงยิมโห่ฮิ้ว ชะเอมหน้าแดงเถือก ความอุ่นร้อนจากการออกกำลังและกลิ่นกายของร่างสูงก็ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงมากขึ้นไปอีก

“คินครับ ปล่อยเอมก่อน...”

“พี่คินขา พี่ชะเอมหน้าแดงหมดแล้วค่า!”

“กรี๊ดๆ”

ร่างสูงหน้าเรียบนิ่งไม่ยินดียินร้าย รีบจูงมือบางลากเดินไป จุดหมายคือประตูโรงยิม ไม่สนใจเสียงร้องกระตู้วู้หรือเสียงโห่ของเพื่อนร่วมทีมแม้แต่น้อยราวกับพวกมันคืออากาศธาตุ

"คิน จะไปไหนครับ?" ชะเอมถามคนที่ทำอะไรปุบปับรวดเร็ว แต่ขาเรียวก็เดินตามไม่ได้ขัดขืน ดีนะที่กระเป๋าพกของสำคัญแขวนติดตัวไว้ตลอดไม่งั้นคงได้ลืมวางไว้ที่ไหนไม่สักที่ก็สักวันแน่นอน

"หิว" คินตอบอ้างสั้นห้วน

ไม่ใช่แค่นั้นหรอก นอกจากนี้ก็รำคาญเสียงพวกนี้ด้วยต่างหาก

“เฮ้ยคิน มีแข่งตอนบ่ายต่อนะเว้ย ตรงเวลาๆ!” รุ่นพี่คนเดิมป้องปากตะโกนบอกสองคนที่กำลังจะพ้นประตูโรงยิม ซึ่งเจ้าของชื่อแค่โบกมือไม่หันกลับมาเป็นเชิงรับรู้ จนแผ่นหลังทั้งสองเล็กลงจนหายไปในที่สุด

"พี่คิวก็ ไม่เห็นต้องไปยั่วไอ้คินมันเลยครับ" รุ่นน้องคนหนึ่งทักขึ้น นั่งยืดขาโปะผ้าลงบนศีรษะอยู่บนเก้าอี้สำหรับนักกีฬาข้างสนาม

"แหม ก็น้องชะเอมน่ารักจริงๆ นี่นา"

เพื่อนร่วมทีมทุกคนหันมามองพูดประสานเสียง "ขืนพูดแบบนั้นให้ไอ้คินได้ยินอีกมีหวังโดนเขม่นใส่แน่"

เจ้าคนโดนเตือนเกาหัวหัวเราะอ้าปากกว้างไม่รักษามาดใดๆ "งั้นเหรอๆ"

"ให้ตายสิ พี่คิวนี่จะชิวเกินไปแล้วนะ..."

"ทำตัวให้สมกับเป็นกัปตันทีมหน่อยสิคร้าบ"

"แล้วแบบนี้ช่วงบ่ายมันจะมาช่วยเราเล่นเหรอ"

คิวยักไหล่ไม่ยี่หระ "ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงเราก็มี 'ตัวช่วยพิเศษ' ที่ยังไงคินมันก็ต้องยอมฟังแน่ๆ อยู่คนหนึ่ง"

"หมายถึงชะเอมเหรอ"

 "ช่าย จะบอกว่าที่ช่วงหลังมาซ้อมด้วยกันก็เพราะน้องเอมเป็นคนบอกให้มานั่นแหละ"

"อุหวา..." หลายๆ คนอุทานไม่อยากจะเชื่อ โดยปกติคินจะเป็นคนที่นิ่งๆ เข้าหาค่อนข้างยากถ้าไม่สนิทไม่คิดจะพูดกับใครหรือว่าฟังใครพูดด้วยซ้ำ ขนาดกัปตันไปขอให้มาช่วยยังยากเลย

...แสดงว่าคินเป็นพวกเกรงใจเมียสินะ...

แถมยังเป็นคนขี้หวงมากด้วย

“แก๊ ฟินมาก คุ้มมาก ได้มาเจอพี่คิน แถมพี่เอมก็อยู่ด้วย”

“ตอนบ่ายยังมีแข่งต่ออีกใช่ป่ะ”

“ใช่ๆ”

“งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จตอนบ่ายมาอีกเนอะๆ”

“อื้อ~”

เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งได้ยินสาวๆ คุยกันแล้วถามขึ้นเสียงเบื่อหน่าย “ถามไรหน่อยดิ มานั่งดูคนหล่อๆ สวีทกับแฟนผู้ชายมันน่าดูตรงไหนวะ”

“โห่ย มึงมันไม่เข้าใจฟีล”

“จริงๆ ตอนแรกฉันก็ใจสลายเหมือนกัน แต่พี่ชะเอมน่ารัก ให้อภัย คิคิ”

“แล้วพี่เรย์อ่ะ” สาวคนหนึ่งพูดอย่างนึกขึ้นได้ แต่กลับโดนเพื่อนสาวอีกคนรีบโบกความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

“แกอย่าไปขุด ป่านนี้คงถูกทิ้งตกกระป๋องไปแล้ว ตอนนี้ตัวจริงของพี่คินคือพี่ชะเอมย่ะ”

ท่ามกลางเสียงคุยจอแจของผู้คนในโรงยิมที่กำลังทยอยเดินออกไปเพราะการแข่งจบลงแล้วแถมเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง ยังมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งสุมหัวด้วยใบหน้าทะมึนเครียดขึงขัดกับบรรยากาศรอบตัว น่าแปลกจนบางคนต้องหันมามอง

"ถ้ามันติดกระเป๋าไว้กับตัวตลอดแล้วจะเปลี่ยนได้ยังไงกันวะ!?" ชายหัวร้อนคนหนึ่งสบถใช้กำปั้นทุบหน้าตักอย่างอารมณ์เสีย เพื่อนข้างๆ รีบกระซิบ

"ใจเย็นหน่อยดิวะมึง แล้วก็พูดเบาๆ ด้วยเดี๋ยวคนอื่นได้ยินจะสงสัยเอา”

“ตอนบ่ายเห็นว่ายังมีแข่งอีก งั้นแสดงว่าก็ยังมีโอกาสอยู่" อีกคนพูดขึ้น

"โอกาสห่าไรอีก นี่กูอดทนรอมาหลายวันแล้วเว้ย!"

"กูมีแผนแล้ว"

ชายอารมณ์กรุ่นชะงักหรี่ตามองเพื่อนที่เปรียบเสมือนเป็นหัวโจกก่อนที่จะได้เห็นรอยยิ้มแสยะ

"เดี๋ยวออกไปข้างนอกแล้วค่อยคุยกัน"





************************Whose fault? ************************

"อ้า--"

"คิน...ทานเองสิครับ" เสียงใสท้วงหน้าแดงเรื่อเมื่อคนตัวสูงนั่งเท้าคางอ้าปากรอแถมส่งเสียงเหมือนเด็กอ่อนทั้งๆ ที่มือทั้งสองข้างก็ว่างแท้ๆ

ทั้งสองคนกำลังนั่งกินข้าวด้วยกันใต้ต้นไม้ร่มเงาไม่ไกลจากโรงยิมใกล้ๆ ที่จอดรถพอดีเพราะอย่างที่พี่คิวบอกคินต้องแข่งตอนบ่ายต่อเพราะตอนเช้าแข่งชนะไปและในงานกีฬาสีแบบนี้คนก็วิ่งไปวิ่งมาดูไม่เงียบสงบเหมือนวันปกติทำให้ชะเอมอายสายตาคนรอบข้างที่มองมาไม่น้อย "คนมองกันหมดแล้ว"

"ก็ปล่อยให้มองไปสิ คินหิว เอมป้อนหน่อย" ว่าแล้วก็อ้าปาก ไม่สนใจสาวๆ ที่เดินผ่านแล้วซุบซิบเลยแม้แต่น้อย ร่างบางแก้มแดงปลั่งมัวแต่เขิน คินเลยอ้าปากเก้อไม่ได้กินซักที "หิวจัง...ตอนบ่ายมีแข่งด้วย สงสัยต้องเป็นลมเพราะหิวข้าวแน่"

โครกคราก...

เสียงเอฟเฟคต์ของกระเพาะอาหารตามมา ทำงานได้ตรงเวลาทำให้คำพูดนั้นดูน่าเห็นใจมากขึ้นไปอีก

...ข้าวกล่องก็ตั้งอยู่ตรงหน้าไม่ใช่หรือไง...

"โธ่ คินนี่ล่ะก็" เสียงใสเอ่ยเสียงอ่อนแกมเอือมระอา...เรียกร้องเหมือนเด็กๆ เลย

ร่างสูงเห็นอีกฝ่ายอมยิ้มแล้วก็รู้ทันทีว่าชะเอมยอมเขาแล้ว ขายาวรีบผุดลุกขึ้นย้ายไปนั่งข้างๆ ร่างบางแทน ทำให้ชะเอมมองงุนงง

"?"

"เดี๋ยวหก" พูดเสร็จก็อ้าปาก ทำให้ชะเอมหัวเราะตาปิด

"ครับๆ" จะทำอะไรได้นอกจากตอบรับ มือบางจับช้อนตักข้าวพอดีคำป้อนเข้าปากคนข้างๆ สายตาคมที่จ้องมองร่างบางทุกการกระทำทำให้ใบหน้าใสร้อนผะผ่าว

อย่าจ้องกันแบบนั้นสิ

ชะเอมตักข้าวกล่องของตัวเองทานบ้าง เคี้ยวหงับๆ ตากลมเสมองไปทางอื่นทั้งที่แก้มร้อนผ่าว ไม่กล้ามองคนข้างๆ ที่จ้องเขาตาไม่กระพริบเสียอย่างนั้น...บอกเลยว่าอาย

"อร่อย"

คนได้ยินคำชมยิ้มกว้างสว่างไสว ถึงจะได้ยินทุกวันแต่ก็ยังดีใจ "อร่อยก็กินให้หมดเลยนะครับ"

คินยิ้มรับมองท่าทางน่ารักนั้นแล้วไม่อยากละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

"อยากกินทุกวัน"

"ทุกวันนี้ก็กินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ"

"คินหมายถึงทุกวัน...ตลอดไป"

ชะเอมชะงักนิ่ง ...ตลอดไป?

ดวงตากลมน้ำตารื้นเอ่อเมื่อเข้าใจความหมายของมัน มือบางยกขึ้นขยี้ตา "เอมทำให้ได้อยู่แล้ว แต่คินก็อย่าเพิ่งเบื่อไปก่อนนะ"

ทั้งสองคนกินข้าวพูดคุย ได้ยินเสียงกลองเชียร์ที่แว่วมาแต่ไกล ใช้เวลาพักเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงไปด้วยกัน...ค่อยๆ ทดแทนเวลาที่เคยเสียไป

ทีละนิด ทีละนิด

คินมักจะชอบเอ่ยหยอกล้อให้ร่างบางที่ชอบแสดงออกมาแง่งอน แก้มใสพองลมแต่ประเดี๋ยวเดียวก็หัวเราะออกมาเมื่อโดนมือใหญ่รวบเอวและจั๊กจี๋ ก่อนที่ชะเอมจะบอกยอมแพ้แต่แขนแกร่งก็ยังไม่ปล่อย ซ้ำยังกอดรัดแน่น...ดวงตากลมหลบวูบก่อนที่ ใบหน้าคมจะยื่นเข้าใกล้กระซิบทุ้มข้างใบหูเล็ก ก่อนแก้มใสจะแดงปลั่ง เม้มปากแน่น จะดิ้นหนีก็ถูกล็อคตัวไว้แน่น ปฏิเสธก็ไม่ได้ มองซ้ายมองขวาทำใจพักหนึ่งก่อนที่จมูกเล็กกดลงข้างแก้มของใบหน้าคม และผละออกอย่างรวดเร็วก้มหน้างุดๆ ซบอกกว้าง...ได้ยินเสียงหัวใจเป็นจังหวะเดียวกัน

คินก็รู้สึกเหมือนกัน ดีใจจัง

...ถ้าเป็นแบบนี้ทุกๆ วันก็คงจะดี...

...ถ้าได้มีความสุขแบบนี้ทุกวัน...ก็คงดี...

"น้องเอมขาอยู่นี่เอง!" ร่างบางรีบดันตัวเองออกหน้าร้อนผ่าวและหันไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า และเธอก็ดูเหมือนจะวิ่งมาจากที่ไหนไม่รู้แต่คงไกลมากถึงได้หอบหายใจท่าทางเหนื่อยสุดๆ

"ครับ...พี่?" ดวงตากลมงุนงง ก็คุ้นๆ หน้าอยู่หรอกแต่ว่าเขาจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่รู้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่คณะของตัวเอง "มีอะไรหรือเปล่าครับ"

"พี่ชื่อนุชนะ คือพอดีว่าพี่มีเรื่องด่วนมาวานน้องชะเอมหน่อยน่ะ น้องชะเอมพอจะช่วยพี่หน่อยได้มั้ยคะ ขอร้องล่ะ!" สาวนุชก้มหัวต่ำ ทำให้ชะเอมรีบโบกมือ

"รุ่นพี่ครับ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ แล้วผมก็ยังไม่รู้เลยว่าคือเรื่องอะไร...ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือเปล่าด้วย"

"ช่วยได้แน่นอนค่ะ!"

"อ่าครับ แล้วมันคือ...?" ชะเอมกระพริบตาปริบ

"พอดีว่างานพาเหรดที่จะจัดพรุ่งนี้ คนที่แต่งตัวเป็นเจ้าหญิงเขาเกิดอุบัติเหตุกะทันหัน แล้วพี่ก็หาใครมาแทนไม่ได้เลย พี่ก็เลยนึกถึงน้อง..." รุ่นพี่อธิบายเว้นช่วง หวังให้ชะเอมปะติดปะต่อเอาเอง

ชะเอมพยักหน้า ธีมของคณะอักษรคือผู้พิทักษ์ ยังจำที่ดินวาดรูปลงผืนผ้าได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนลงสีเองกับมือ ดังนั้นพาเหรดที่จะจัดแสดงวันพรุ่งนี้ ก็คงจะไม่หลุดออกไปจากนี้ ก็คือต้องมีคนที่สวมเกราะถือดาบและต้องมีเจ้าหญิงนั่งบัลลังก์ และเมื่อกี้พี่นุชก็เพิ่งบอกว่าผู้หญิงที่ได้รับบทแต่งตัวเป็นเจ้าหญิงเกิดอุบัติเหตุ...แต่แล้วยังไงล่ะ?

นุชมองหน้าใบหน้ารุ่นน้องคนซื่อที่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ ผิดกับคนข้างๆ ที่เปลี่ยนสีหน้าและแววตาไปเรียบร้อยแล้วทำเอาเธอเหงื่อตก

แต่เธอจะยอมตรงนี้ไม่ได้! อุตส่าห์วิ่งทั่วมหา'ลัยเพื่อที่จะหาตัว แล้วก็เจอจนได้...อย่างน้อยก็ขอให้ได้พูดออกไป

"คือพี่อยากจะวานให้น้องเอมมาช่วยแต่งตัวเป็นเจ้าหญิงแทนให้หน่อยน่ะค่ะ"

"จะ เจ้าหญิง!?" ชะเอมอุทานตกใจแล้วชี้หน้าตัวเองประมาณว่า...เขาเนี่ยนะ ก่อนจะหลุดหัวเราะขำ "พี่นุชครับ ผมเป็นผู้ชาย"

นุชเหงื่อตก มองดูใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นล่ะค่ะน้อง เธอล่ะอยากจะขยี้หัวตะโกนก้อง ทำไมพูดกับร่างบางคนนี้มันถึงได้ยากลำบากขนาดนี้เนี่ย!

และมันยิ่งยากมากขึ้นเป็นสามเท่าเพราะมีคินทำหน้าโหดอยู่ข้างๆ ด้วย!

"พี่รู้ค่า แต่น้องชะเอมน่ารักหน้าหวานจะตาย แต่งหญิงยังไงก็ขึ้นค่ะ พี่ขอล่ะนะคะน้อง ช่วยพี่หน่อยได้มั้ย"

ชะเอมยิ้มแห้ง ก็ได้ยินคำชมว่าน่ารักมาบ่อยๆ อยู่หรอก...แต่เป็นผู้ชายจะให้มาแต่งหญิงเนี่ยเกินไปหน่อยมั้ย

"แต่ผมว่าพี่นุชไปหาผู้หญิงในคณะดีกว่านะครับ เยอะแยะเลย น่าจะดีกว่าผู้ชายแบบผมด้วย"

"ไม่มีใครอาสาเลยค่ะ พี่ก็เลยมาหาน้อง..."

"จริงเหรอครับ?"

เฮือก

นุชสะดุ้งหน้าซีดเมื่อเจอสายตาดุดันเย็นชา

"ไม่มีใครอาสา หรือพี่ไม่หากันแน่ครับ"

"พะ พี่...พี่หาแล้วจริงๆ ค่ะ..."

ชะเอมมองรุ่นพี่หน้าเจื่อนตอบคินตะกุกตะกักแล้วก็อดสงสารไม่ได้

"ถ้าหาไม่ได้จริงๆ เอมก็ช่วยได้นะครับ"

"จริงเหรอคะ!?"

"แต่ว่ายังไงเอมก็ต้อง..." ดวงตากลมเหลือบมองคนข้างๆ ที่ฟังแล้วยังนิ่งเงียบ ดูแล้วไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ "งั้นพี่ลองถามคินดูนะครับ ถ้าคินโอเค ผมก็โอเค"

นุชหน้าเหวออยากจะกรีดร้องดังๆ เหมือนกำลังดูหนังผี

น้องชะเอมคะ...ส่งพี่ไปตายชัดๆ!

นุชฮึดสู้ทำใจดีสู้เสื้อ แย้มรอยยิ้มที่มันแหยสุดๆ

"แหะๆ น้องคิน..."

"ไม่อนุญาตครับ"

ฮือ...เด็ดขาดมาก

>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:17:01



ต่อจากด้านบน<<<<<<<<<<<<<<<<<



"ค่ะ..." เธอร้องไห้น้ำตานองและเดินคอตกออกไป

ไม่ต้องพูดซ้ำสอง...เพราะไม่กล้าพูด ใครจะกล้าพูด!! ถ้าจะต้องให้เสี่ยงตายขนาดนี้พี่ไปหาคนอื่นก็ได้ค่ะ!

"ทำไมคินพูดห้วนจังครับ" พอหญิงสาวรุ่นพี่เดินหน้าจ๋อยออกไป ชะเอมก็ขมวดคิ้วหันมาถามด้วยความเป็นห่วงรุ่นพี่คนนั้น...ยังไงซะเธอก็เป็นผู้หญิง แถมเป็นรุ่นพี่ด้วย

"คินพูดห้วนตรงไหน" คิ้วเข้มเลิกถามสงสัย สุภาพจะตายไป เขารู้หรอกน่าว่าต้องมีคำลงท้ายกับคนอายุมากกว่าน่ะ

"ก็น้ำเสียง..." ชะเอมชะงักนิ่งไป ที่เป็นแบบนี้เพราะคินอาจจะทำเพื่อเขา แถมจะให้ไปบังคับอยากให้อีกฝ่ายเป็นยังไงก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นอึดอัดกันทั้งสองฝ่าย "อื้อ ไม่มีอะไรครับ"

ถ้าพูดมากๆ คินอาจจะไม่ชอบก็ได้...เขาไม่อยากให้กลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว

คินเท้าคางมองใบหน้าใสที่ขมวดคิ้วมุ่นดูกังวล น่าจะไม่ใช่เรื่องเมื่อกี้ ...แต่เป็นเรื่องของเขาต่างหาก "คินแค่ไม่ชอบให้เขามายุ่งกับเอม"

"เอ๊ะ...?"

"คินน่ารำคาญรึเปล่า ที่ทำแบบนี้ ทั้งกีดกัน ทั้งหึงหวง ไม่ว่าใคร คินก็ไม่อยากให้เข้าใกล้เอม..."

ฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วชะเอมก็อดหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงไม่ได้ ร่างบางเม้มปากก่อนจะส่ายหน้าแรงๆ "ไม่เลย เอมไม่เคยรำคาญคิน"

ร่างสูงยิ้มบาง "คินก็เหมือนกัน"

ตึกตัก!

เหมือนกัน? ...หมายถึง?

"ไม่ว่าเอมจะพูดเอาแต่ใจ งอแง ขี้แยยังไง คินก็ไม่รำคาญเอมหรอกนะ เพราะงั้น..."

ชะเอมน้ำตารื้นอีกครั้ง แค่คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้เขารู้สึกอย่างง่ายดาย

นี่สังเกตเขาด้วยเหรอ? ...รู้ด้วยเหรอว่าเขากังวลอะไร?

"เอมทำตามที่ใจต้องการเถอะนะ"

ชะเอมมุ่นคิ้วเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่มั่นใจ "เอมหวงคินได้เหรอ?"

"คินยังหวงเอมเลย ทำไมคินถึงจะห้ามเอมไม่ให้ทำแบบนั้นล่ะ...กลับกันคินดีใจด้วยซ้ำ"

ชะเอมยิ้มรับ ถึงอีกฝ่ายจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ไม่รู้ว่าถึงเวลาจริงๆ เขาจะกล้าหรือเปล่า...

ร่างสูงเท้าคางมอง ก็รู้อยู่หรอกว่าอะไรๆ ไม่น่าจะเป็นไปอย่างที่คิดได้ง่าย เพราะเสียใจมาหลายต่อหลายครั้งเพราะตัวเขา จึงสูญเสียความมั่นใจไปด้วย แต่เขาก็จะไม่เร่งรัด...ต้องทำให้ชะเอมมั่นใจในความรู้สึกของเขาให้ได้สักวันหนึ่ง

สักวันหนึ่ง...ที่เราสองคนจะมีความสุขโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีกต่อไป





************************Whose fault? ************************





"ไอ้คิน มาทางนี้ได้แล้ว! มาซะเลทเลย ให้ตายสิ" เพื่อนร่วมทีมชื่อว่านกวักมือเรียก ดูเหมือนนักกีฬาทุกคนจะพร้อมแล้ว และผู้ชมก็เริ่มมากันประปราย

ร่างสูงยกนาฬิกาขึ้นมาดู "ผมมาตรงเวลานะครับ"

กัปตันคิวกุมขมับ "ไอ้นี่ก็ซื่อตรงเกิน เวลานัดเขาต้องมาก่อนเวลาสักสิบห้านาที มันเป็นมารยาทที่ควรรู้นะเฟ้ย"

"..."

"ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลย ไปๆ ไปได้แล้ว...น้องชะเอมจ๋าเดี๋ยวพี่มาหานะ" ร่างสูงของรุ่นพี่คิวไม่ลืมหันมาฉอเลาะร่างบางแฟนน้องร่วมทีม โดยไม่สะทกสะท้านกับสายตาคมกริบของคินแม้แต่น้อย

ชะเอมหัวเราะแหะๆ และชี้ไปที่สแตนด์ "เอมนั่งเชียร์อยู่ที่เดิมนะ"

ร่างสูงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินหันหลังไป

เพียงแค่มองใบหน้าและท่าเดินของคินก็รู้ว่าเหนื่อยหน่ายขนาดไหน

ที่คินยอมมาแข่งแบบนี้ก็เพราะเขาเป็นคนขอร้องให้มา เรื่องซ้อมทีมก็เหมือนกัน...ไม่ใช่อยากจะบังคับให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาอยากให้ทำ แต่เขาก็อยากจะเห็นคินได้อยู่กับเพื่อน...อยากจะเห็นคินได้ทำหลายๆ อย่างหลายๆ มุม

"นาย เรานั่งข้างๆ ได้เปล่า"

จู่ๆ ก็มีคนมาทัก ชะเอมเลยหันไปมอง "อ่า เชิญครับ" ใบหน้าพยักน้อยๆ ยิ้มให้กับผู้ชายสองคนที่ไม่คุ้นหน้าเลยแม้แต่นิดหย่อนตัวลงนั่งถัดจากเขาไป...ดูจากหน้าไม่รู้ว่าเป็นรุ่นพี่หรือเป็นรุ่นน้อง

น่าจะปีเดียวกันมั้ง?

ปรี๊ดดด!

นกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มเกมทำให้ชะเอมหันกลับไปมองที่สนาม ลีลาการเล่นของร่างสูงช่างน่าหลงใหลจนละสายตาไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสาวๆ ถึงกรี๊ด แม้ลูกบาสสีส้มจะหลุดจากมือส่งไปให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นแล้วแต่ดวงตากลมโตก็ไม่อาจละสายตาจากคนที่รักและหลงใหลได้ มีแค่เขาคนเดียวที่ได้ครอบครองหน้าตาหล่อเหลาร่างกายสูงแขนขายาวสมส่วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เวลาเหงื่อออก หอบหายใจ เสียงทุ้มต่ำครางเครือ...ยิ่งเร่าร้อน

ชะเอมเม้มปากหน้าแดงไม่รู้ตัว ทำไมถึงได้คิดอะไรทะลึ่งตึงตังขึ้นมาตอนนี้นะ

"เอม เป็นอะไร หน้าแดงๆ"

"!?"

จู่ๆ ใบหน้าคมเข้ามาปรากฏในระยะใกล้ ทำให้ร่างบางผงะหน้าแดงก่ำหนักเขาไปใหญ่ มือใหญ่ยื่นเข้ามาทาบทับที่หน้าผากมน

"ตัวไม่ร้อนนะ"

"อะ เอม...ไม่เป็นไร" เสียงใสตอบแผ่ว "แล้วคินแข่งเสร็จแล้วเหรอครับ"

ร่างสูงเท้าสะเอวชี้นิ้วโป้งไปด้านหลัง "พวกนั้นขอเวลานอก นี่เหม่ออะไรอยู่ ไม่ได้สนใจคินเล่นเลยใช่มั้ย"

"..." คนเหม่อเม้มปาก ไม่มีทางบอกหรอกว่าก่อนหน้านี้เขาคิดอะไร...แล้วก็ไม่ได้ไม่สนใจอีกฝ่ายสักหน่อย...สนใจมากๆ ต่างหาก...สนใจมากจนคิดลึกไปไกล

อาการแปลกๆ ที่คินไม่ได้เอ่ยทักแต่เพียงยิ้มมุมปาก ยังไงในหัวเล็กๆ นี่ก็คิดถึงแต่เขาคนเดียวมาตลอดอยู่แล้วนี่นะ

"มึงอย่าหวานมาก กูหมั่นไส้"

"พี่เป็นอะไรกับผมนักหนา" ร่างสูงถอนหายใจเสียงดัง เหนื่อยหน่ายเหลือเกินขี้เกียจจะเถียงด้วย

"ไม่เป็นอะไรกับมึง กูเป็นกับน้องเอมต่างหาก ใช่มั้ยจ๊ะ!" กัปตันยิ้มแป้นหันไปถามร่างบางแสนน่ารักน่าชัง แต่ถูกดันหน้าไว้โดยร่างสูงข้างๆ

"ไปไกลๆ"

ชะเอมหัวเราะแห้ง ส่วนเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ดื่มน้ำอึกๆ หันหลังคุยกันทำเป็นไม่สนใจ ไอ้พี่คิวนี่มันวอนตายจริงๆ

ก่อนที่ความวุ่นวายจะเกิด กัปตันที่สร้างความวุ่นวายเองนั่นแหละเป็นคนปรบมือเรียกความฮึกเหิม "เอ้าพวกเราได้เวลาแล้ว...ทีมนั้นกำลังอ่อนแรงเพราะเจอเราไล่ต้อน ตอนนี้เป็นเวลาดีที่จะทำแต้มนำห่างไปอีก แล้วพวกเราก็ยังมี 'ไม้ตาย' อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว...ทำให้เต็มที่ไปเลยนะพวกเรา!"

"โอ้!"

ชะเอมมองแล้วยิ้มบาง...ถึงจะเห็นแบบนั้นก็เป็นกัปตันจริงๆ ล่ะนะ...สมแล้ว

"อ้าว น้ำหมด...เวรล่ะ ไม่ได้ซื้อเตรียมไว้ซะด้วยสิ" รุ่นพี่ผู้ชายตัวเล็กผิวสีน้ำผึ้งคนหนึ่งที่คล้ายๆ เป็นผู้จัดการทีมบาสเก็ตบอลของคณะวิศวะเกาหัวบ่นเปรยๆ "เดี๋ยวถ้าพวกไอ้คิวมันเล่นจบแล้วไม่มีน้ำให้แดกล่ะบ่นหูชาแน่"

"ไปซื้อดีมั้ยครับ พี่นาย เดี๋ยวผมไปซื้อให้" ชะเอมอาสาขึ้นพลางค้นหาเงินในกระเป๋า แต่นายรีบโบกมือระรัวทำตาเหลือกหน้าเหวอด้วย

"เห้ยๆ ไม่ต้องๆ! เดี๋ยวพี่จัดการเอง เอมนั่งเฉยๆ"

คิ้วบางขมวดมุ่น "ทำไมล่ะครับ ผมไปช่วยดีกว่า"

"เดี๋ยวคินมันบ่นพี่ ถ้าใช้เอมอ่ะดิ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่นายคิดมากเกินไปแล้ว" ใบหน้าใสพูดยิ้มขำ "ถ้าจะซื้อให้ครบ ของมันคงหนักแย่ พี่นายถือคนเดียวคงไม่ไหว ให้ผมไปช่วยเถอะนะ"

"อ่า เออๆ ไปก็ไป" นายเกาหัว จริงๆ ก็กลัวไอ้คินมันด่าอยู่หรอก แต่จะให้ปฏิเสธความหวังดีคนมันยากกว่าอีก

"แต่กระเป๋าผม..." ชะเอมมองลังเล กะจะถือไปแค่เงินอย่างเดียว ส่วนกระเป๋าที่ข้างในไม่มีอะไรสำคัญมากมายนอกจากยาโรคประจำตัว

"นายวางไว้ก็ได้ เดี๋ยวเราดูให้" คนข้างๆ ที่มาขอนั่งเมื่อกี้พูดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าชะเอมเกรงใจ ไม่รู้จักกันแท้ๆ แถมคนๆ นี้กับเพื่อนอาจจะออกไปธุระหรือไปห้องน้ำเมื่อไหร่ก็ไปไม่ได้เพราะว่าต้องเฝ้าของๆ เขา "เรายังอยู่อีกสักพัก ไม่ต้องห่วง"

"อ่า..." ร่างบางขมวดคิ้วลังเล ถึงอีกฝ่ายจะยืนยันแบบนั้นแต่ยังไงก็เกรงใจอยู่ดี

"เอมวางกระเป๋าไว้ตรงที่นั่งนักกีฬาก็ได้นะ ไม่มีใครขโมยหรอกพี่รับรอง" พี่นายเสนอชี้ไปตรงที่นั่งที่กองกระเป๋าของพวกคินพะเนิน ซึ่งร่างบางก็ยิ้มแห้ง

"คือผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ...งั้นยังไงเราฝากหน่อยนะแต่ถ้าจะไปไหนก็ไปได้เลย ไม่ต้องห่วง...แล้วก็ขอบคุณมาก" ชะเอมตัดสินใจวางกระเป๋าไว้ตรงที่ตัวเองนั่งก่อนที่จะเดินออกมาพร้อมกับนาย

โดยที่ไม่เห็นว่าคนๆ นั้นที่เสนอตัวอย่างหวังดีแสยะยิ้มและแอบสับเปลี่ยนของบางอย่างในกระเป๋าตนเอง

ไม่ได้รู้เลยว่ามันถูกสลับไป...เพราะด้วยสิ่งของสองสิ่งที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันทุกอย่าง

ไม่รู้เลย...จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น





************************Whose fault? ************************





("เรียบร้อยแล้วครับ")

"แน่ใจนะ"

("ครับ")

ร่างเล็กยิ้มพอใจ "เดี๋ยวโอนเงินไปให้ บอกเลขบัญชีมาก็แล้วกัน"

("ขอบคุณมากครับ")

"ไว้ครั้งหน้ามีอะไรจะเรียกใช้อีก แล้วเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับด้วย คงรู้นะว่าถ้าพูดออกไปพวกมึงจะเป็นยังไง"

("ครับ")

หึ...หึหึ

เสียงใสหัวเราะอยู่คนเดียวในความมืด ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นจนแสงสว่างส่องหน้า นิ้วเลื่อนไถไปเจอรูปๆ หนึ่งในโซเชียล ดูเหมือนจะมีคนแอบถ่ายรูปคู่รักคู่หนึ่งที่นั่งกินข้าวหวานชื่นใต้ต้นไม้อย่างมีความสุข ดวงตากลมโตมองภาพนั้นแล้วก็แสยะยิ้ม

“สวีทหวานกันเข้าไป เพราะเดี๋ยวมึงก็จะไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว...ไอ้ชะเอม”

มือใหญ่วางโทรศัพท์กระแทกโต๊ะสแตนเลสอย่างแรงไม่เกรงว่ามันจะพัง เสียงหอบหายใจแรงสูดเข้าออกราวกับกำลังอดกลั้นความโมโหที่มันจะทะลักออกมา

"ครั้งหน้าเหี้ยไร ไม่มีอีกแล้วเว้ยกับคนอย่างมึง" เสียงเค้นลอดไรฟันกระแทกกระทั้น ยังไม่ลืมว่าถูกเรย์ตบหน้าเอาไว้เพียงแค่ทำเรื่องไม่สำเร็จอย่างดั่งใจ จนเพื่อนต้องตบไหล่เบาๆ ให้อารมณ์เย็นลง

"ใจเย็น แล้วตกลงได้เงินป่ะ"

"เออเดี๋ยวมันโอนมาให้” พอพูดถึงค่าตอบแทนมันก็คุ้มค่าอยู่กับงานง่ายๆ แบบนี้

“ถ้าได้เงินก็จบแล้วเว้ย"

"ครั้งเดียวก็เกินพอว่ะ ถ้าจะให้ทำอะไรอีกกูก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน"

หลายคนเห็นพ้องต้องกัน ตามที่ผู้ว่าจ้างว่า งานครั้งนี้จะถูกเก็บไว้เป็นความลับ

...งานครั้งนี้สำเร็จผ่านไปได้ด้วยดี...

แต่ละคนเริ่มยิ้มและหัวเราะได้เมื่อเห็นตัวเลขเงินค่าตอบแทนถูกโอนผ่านเข้ามาทางมือถือ มันมากมายจนทำให้ลืมความโกรธก่อนหน้านี้ไปจนหมด

น่าสงสารที่คนเหล่านี้ไม่ได้นึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมา

ว่ามันร้ายแรงจนถึงทำให้อนาคตของตนดับสิ้น





************************Whose fault? ************************




หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:17:57




                                                    Whose Fault ?

                                                    ผิด...ครั้งที่ 38



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ภายในครัวของคอนโดหรูห้องหนึ่ง ขาเรียวขยับโยกย้ายพาตัวเองไปนู่นมานี่อย่างยุ่งวุ่นวายมีเสียงดังกอกๆ แกกๆ เกิดขึ้นทุกๆ เช้าตรู่ ถ้าหากมองจากห้องนั่งเล่นก็จะเห็นร่างบางที่ยังใส่ชุดนอนเนื้อนิ่มสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีเข้ม ใบหน้าชื้นเหงื่อขมักเขม้นกับการทำข้าวเช้าและเตรียมข้าวกล่องสำหรับข้าวกลางวัน บอกได้เลยว่าการทำอาหารกินเองเป็นอะไรที่สะอาดและประหยัดมาก เขาจึงตื่นเช้าทุกวันมาทำไม่ได้ขาดตกบกพร่อง



"เอ...สามกล่อง...หรือสี่กล่องดี...สี่ดีกว่า เผื่อภรรยาของลุงธรรมด้วย" มือบางหยิบกล่องข้าวมาวางไว้และตักข้าวสวยร้อนๆ ลงไป จากนั้นก็ตักกับข้าวใส่ปิ่นโตอย่างละชั้นทั้งหมดสี่ชั้นสองชุด ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะยิ้มน้อยๆ ...ได้เวลาพอดี มือบางยกจานกับข้าวไปวางเตรียมบนโต๊ะเรียงไว้อย่างสวยงาม ถอดผ้ากันเปื้อนก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไป



ความเงียบที่มีแต่เสียงแอร์แผ่วเบาทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้สึกตัวตื่นสักที



"คิน...ตื่นได้แล้วนะ"



"อือ..." แรงเขย่าทำให้ร่างสูงที่ง่วงงุนพลิกตัวนอนคว่ำกดหน้าลงกับหมอนแน่นและส่งเสียงอืออาอู้อี้เรียกรอยยิ้มจากคนมอง



นี่น่ะหรือคินสุดหล่อเดือนวิศวกรรมศาสตร์เมื่อสามปีที่แล้ว...มาเจอสภาพนี้สาวๆ คงเมินกันหมด



"วันนี้มีแข่งวิ่งนะครับ"



"..."



"คิน" ชะเอมถอนหายใจก่อนจะมองนาฬิกา เอาเถอะ ให้อีกฝ่ายนอนต่ออีกสักสิบนาทีก็ได้ แล้วค่อยมาปลุกใหม่ "งั้นเอมไปอาบน้ำก่อน ออกมาต้องตื่นแล้วนะ...อ๊ะ!"



จู่ๆ ก็แขนบางก็ถูกรั้งโดยไม่ทันตั้งตัวจึงเซล้มทับไปบนร่างกายกำยำที่นอนหงายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อย่างจงใจ



"คิน ตื่นแล้วก็ลุกสิครับ!" กำปั้นเล็กทุบปั้กๆ เข้าที่อกแกร่งด้วยความหมั่นไส้พร้อมดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่อาจสู้แรงรัดของอ้อมแขนที่โอบรอบเอวนี้ได้เลย "ฮื่อ!" แถมยังต้องหนีจมูกโด่งที่พยายามจะหอมแก้มนี้ด้วยความยากลำบากด้วย



"ปล่อยเอมนะ..."



"จูบอรุณสวัสดิ์หน่อยครับ"



สายตาคมจ้องมองทำให้ปรากฏสีแดงที่แก้ม "จูบอะไรล่ะ...ไปแปรงฟันก่อนเลย..."



"คินแปรงแล้ว"



ดวงตากลมกระพริบปริบ "ตอนไหนครับ?"



"ตอนเอมทำกับข้าว"



ใบหน้าหวานเหวอ...งั้นก็แสดงว่าตื่นนานแล้วน่ะสิ!!



"ฮึ่ม!" หลอกกันได้นะ...!



แขนบางดันอกแกร่งยกตัวขึ้นหวังจะให้หลุดออก แต่ก็สู้แรงไม่ได้...ทำไมถึงแรงเยอะขนาดนี้นะ



ท่าทางกระต่ายโมโห ดิ้นพล่านบนตัวเขานี่เป็นอะไรที่เพลิดเพลินน่าดู สนุกสุดๆ สำหรับคิน



"ยอมให้คินจูบดีๆ ก็จบแล้ว"



"..." แก้มใสแดงก่ำน่ารัก...ก็เวลาจูบแล้วไม่ยอมจบแค่จูบนี่แหละที่น่าระแวงที่สุด



"คราวนี้จูบจริงๆ"



ก็พูดแบบนี้ทุกที แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ



"ไม่ใช่ลิ้นด้วย"



"คิน!!!"



ชอบจริงๆ เลยนะทำให้เขาอายเนี่ย!



"ฮ่าๆ ขอโทษครับๆ"



จุ๊บ!



"ป่ะ เห็นมั้ยจบแล้ว...ไป ไปอาบน้ำกัน" ร่างสูงยกตัวขึ้นช้อนร่างเบาหวิวด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิง ชะเอมกระพริบตาปริบ ยกมือจับริมฝีปากที่มีความอบอุ่นประทับเมื่อครู่อย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ก่อนที่จะรู้สึกตัวประตูห้องน้ำก็ปิดลงพร้อมเสียงโวยวายและเสียงครางเครือเล็ดลอดออกมา



"คิน อ๊ะ อ๊า..."



ยังไงๆ กระต่ายซื่อก็เสร็จหมาป่าเจ้าเล่ห์อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ





************************Whose fault? ************************





"นี่ครับ" แขนยาวส่งกระเป๋าใส่ปิ่นโตใส่กับและกล่องข้างที่น้ำหนักพอควรส่งผ่านทางหน้าต่างรถยนต์ให้กับลุงยามที่รู้จักกันดีขณะที่จะขับออกจากคอนโด



"หูย ลุงเกรงใจ"



"เอาไปเถอะครับ ปกติชะเอมเขาก็ทำทุกวันอยู่แล้ว ทำเผื่ออีกหน่อยก็ไม่หนักหนาอะไร แล้วก็อยากขอบคุณหลายๆ อย่างด้วยครับ เพราะงั้นรับไปเถอะ"



"ครับ งั้นลุงขอล่ะ กับข้าวฝีมือคุณชะเอมก็อร่อยอย่างบอกใคร ลุงกับเมียนะติดใจ๊ติดใจ...ขอบคุณคุณคินมากนะครับ คุณชะเอมด้วยนะ" ธรรมย่อตัวลงมองเข้าไปด้านที่นั่งข้างคนขับ และเห็นร่างบางก็ยิ้มให้กลับมาเช่นกัน



เป็นเด็กดีจริงๆ



"กินให้อร่อยๆ นะครับ เดี๋ยวผมทำมาให้อีก" เสียงใสบอก



"ครับ ขับรถดีๆ นะครับ"



"สวัสดีครับลุง" คินบอกลาก่อนจะเลื่อนกระจกปิดและเหยียบคันเร่งออกไป



ท่ามกลางความเงียบภายในรถที่แล่นอยู่บนท้องถนนต่างจากด้านนอกที่มีแต่เสียงเครื่องยนต์เสียงบีบแตรอย่างลิบลับ ไม่มีเสียงพูดคุย บอกได้เลยว่าบรรยากาศมาคุอึมครึมสุดๆ



"เอม..."



"..."



"เอมครับ"



"ไม่ต้องมาคุย" ชะเอมนั่งกอดเข่าโชว์ขาขาวเรียว เพราะใส่กางเกงวอร์มขาสั้นเพื่อที่จะขยับสะดวกๆใบหน้าหวานหันไปอีกฝั่ง แก้มใสพองลม เห็นชัดว่างอน



แต่งอนแบบเขินๆ นะ



"หายงอนเถอะนะ นะครับ" ร่างสูงเอ่ยออดอ้อน ระหว่างติดไฟแดงก็เอื้อมมือไปแตะแขนแต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็วเหมือนโดนของร้อน "อย่ามาจับ!"



กระต่ายดุขนพอง แต่หน้ากับหูงี้แดงจนหาพื้นที่สีขาวไม่เจอ



"เอมโกรธอะไร...คินขอโทษ"



"คินรู้ ไม่ต้องมาถามเลย"



"คินไม่รู้ คินยังไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจาก..."



"ไม่ต้องพูดเลยนะ!"



ชะเอมตะโกนหน้าแดง ริมฝีปากขบกัดกัน อายไม่รู้จะอายยังไง



"แล้วคินต้องทำยังไงเอมถึงจะหายโกรธ"



"..."



"เมื่อกี้คินล้างจานให้แล้วหลังกินข้าวเป็นการไถ่โทษ..." เสียงทุ้มหงอยซึม มองไฟแดงเปลี่ยนเป็นเขียวแล้วได้แต่ออกรถ สายตายังเหลือบมองคนข้างๆ ง้อๆ



แต่ร่างบางก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร คินจึงเปลี่ยนเรื่องพูดซะ ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง



"เอมกินยาหรือยัง"



ชะเอมอ่อนลงเมื่อรับรู้ได้และเขาก็ไม่อยากงอนนานด้วย "ยังครับ...เอมลืม"



"งั้นกินเลยสิ อย่าขาดนะ คินเป็นห่วง"



ชะเอมพยักหน้า มือบางหยิบกระปุกยาขึ้นมาจากกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ "แต่เอมไม่มีน้ำ"



"เดี๋ยวคินแวะซื้อให้" ร่างสูงบอก มองกระจกก่อนตีไฟเตรียมหักรถเข้าร้านสะดวกซื้อ



"ไม่ต้องหรอกครับมันจะสายแล้ว เดี๋ยวไปถึงมหาลัยค่อยกินก็ได้ ตรงนั้นก็น่าจะมีน้ำให้ซื้อครับ"



คินเหลือบมองคนข้างๆ ก่อนจะมองถนน อีกแปปเดียวก็ถึงมหาลัยแล้ว



"เอาแบบนั้นก็ได้"



"มาช้าชิบ"



"หนักหัวใคร"



"หนักหัวกูไง มึงมีศึกที่ต้องตัดสินกับกูวันนี้! และขอบอกว่าวันนี้คณะอักษรจะต้องชนะ...เห้ย สนใจกันหน่อยสิฟะ!"



ชะเอมยืนหัวเราะกับความตลกขบขันของดินที่จู่ๆ พอเขาสองคนเดินมาที่สนามฟุตบอลที่ถูกล้อมด้วยสนามแข่งวิ่งพื้นลาดยางตีเส้นขาวเป็นลู่วิ่งก็ถูกทักทายตามฉะนี้แล



ใช่ วันนี้ทั้งวันที่นักกีฬาที่ลงแข่งวิ่งจะมารวมตัวกัน ก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กีฬาอย่างอื่นเลยทีเดียว แถมก็จะเจอคนที่รู้จักกัน หรือเป็นเพื่อนกันมาแข่งกันเอง อย่างดินกับสิน แล้วก็คินเป็นต้น



ถามว่าเขาเชียร์ใครเหรอ...ก็เชียร์ทั้งคู่นั่นแหละ



ที่หัวเราะก็เพราะว่าคินเมินดินอย่างสิ้นเชิง เดินไปที่อัฒจรรย์วางกระเป๋าที่ใส่รองเท้าและของส่วนตัวและกวักมือเรียกเขาให้เดินไปหา ริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อเจอคนรู้จัก



"ไงเอม ไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลยเป็นไงบ้าง" ร่างโปร่งในชุดนักวิ่งรองเท้าวิ่งกำลังนั่งกินไอศกรีมโคนช็อกโกแลตท่าทางเอร็ดอร่อยเหมือนเคย



"เราสบายดี ตาลล่ะ"



"อื้ม ดีๆ"



"ลงวิ่งด้วยเหรอ" เสียงใสถามอย่างแปลกใจ ดูตาลเป็นคนไม่ค่อยออกกำลังกายเหมือนเขาแท้ๆ แต่ว่าอย่างน้อยเจ้าตัวก็ไม่ผอมไร้กล้ามเนื้อแบบเขา



"แน่นอน นี่นักวิ่งเพรียวลมนะขอบอก" เจ้าตัวตบอกอวดๆ ก่อนจะกัดของในมือเข้าปากกร้วมๆ อย่างมีความสุขโดยที่เอกนั่งมองยิ้มๆ ข้างกาย



"เห้ยเอก มีน้ำป่ะ ขอหน่อย" คินที่เปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อยแล้วหันมาถาม



"อ่ะ เอมไม่ได้เตรียมมาให้เหรอวะ"



"เปล่า กูไม่ได้กิน จะให้เอมกินยา" คินส่งขวดน้ำมาให้เขาที่ยืนมองอยู่ ก่อนที่ร่างบางจะเอ่ยขอบคุณเอก รับขวดน้ำมาและหยิบขวดยาออกมาเทใส่ฝ่ามือ และจับมันใส่ปากดื่มน้ำตามอย่างเคยชิน



"ขมรึเปล่า"



"อื้ม ก็ยาน่ะ ปกติ"



"คงเบื่อแย่เลย ต้องกินยาทุกวัน" ตาลพูดพลางเบะปาก เขาเกลียดยาที่สุดเพราะนอกจากไม่หวานแล้วยังขมปี๋อีกต่างหาก



"เราชินแล้วล่ะ" ชะเอมยิ้มบางให้



'นักกีฬาวิ่งทุกคนขอให้มารวมตัวกัน ณ กลางสนามฟุตบอลด้วยค่ะ มาเข้าแถวลงทะเบียนแล้วรับป้ายไปติดที่เสื้อด้วยนะคะ ภายในเวลาแปดโมงครึ่งทุกคนต้องเตรียมพร้อมแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นขอให้รีบมาลงทะเบียนและรับป้ายชื่อ ประกาศอีกครั้ง...'



"คินฝากของหน่อยนะเอม...เอกกูฝากเอมด้วย"



"เออ" เอกครางรับพลางโบกมือเป็นเชิงไล่



"ไปยังตาล"



"อืมๆ" ร่างโปร่งยัดขนมที่เหลือไม่มากเข้าปากและเคี้ยวๆ กลืน ก่อนที่เอกจะจับคางเล็กให้หันไปและเช็ดปากที่เลอะเทอะให้ อย่างกับพ่อดูแลลูกยังไงยังงั้น



"ฮ่า...แต๊งกิ้วเอก" ตาลยิ้มโชว์เขี้ยวก่อนจะกระโดดแผล็วลงพื้นเดินตามคินที่หันหลังเดินไปนู่นแล้ว



ชะเอมมองแผ่นหลังกว้างเดินไปกับตาล ก่อนจะหัวเราะนิดๆ ...ขนาดตัวนี่คนละไซส์เลย



"ตาลตัวเล็กจัง"



เอกหัวเราะหึๆ กับคนที่บอกคนอื่นว่าตัวเล็กในขณะที่ตัวเองตัวเล็กกว่าใครเพื่อนเลย



"เอมพวกกูฝากของด้วยดิ"



ร่างบางหันมองร่างสูงสองคนที่เดินมาก็ยิ้ม "ดิน สิน...วางเลยๆ เดี๋ยวเราเฝ้าให้"



"แต๊งกิ้ว"



ร่างบางมองคนที่กำลังเดินทยอยเข้าไปในพื้นสนามสีเขียวแล้วต้องร้องโอ้โหกับคนที่เดินยั้วเยี้ย...นักกีฬาวิ่งนี่มีเยอะเหมือนกันแฮะ



ชะเอมหันมาถามคนข้างๆ ตาใส "เอกไม่เล่นกีฬากับเขาบ้างเหรอ"



"ไม่ล่ะ ขี้เกียจ" เอกตอบไปงั้น จริงๆ แล้วเขาไม่ชอบที่จะออกไปทำอะไรแบบนี้แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบออกกำลังกายหรอก ปกติก็เข้าฟิตเนสอยู่แล้วทุกวัน



"เหรอ..." ชะเอมฟังคำตอบแล้วครางในลำคออย่างอิจฉาหน่อยๆ ทั้งๆ ที่มีร่างกายที่แข็งแรงแท้ๆ ...เขาน่ะอยากจะวิ่งได้เหมือนคนอื่น ออกแรงได้เหมือนคนอื่นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องโรคบ้าๆ นี่



ตึก...



จู่ๆ ก้อนเนื้อด้านในก็บีบตัวเต้นผิดจังหวะ ทำให้มือบางรีบยกขึ้นมากุม



"อึก..."



"เอม?" เอกรีบหันมาเมื่อสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของคนข้างกาย ก่อนที่ร่างบางจะละมันออกเมื่อหัวใจเข้าสู่ความปกติ



ขนาดชะเอมยังแปลกใจ เพราะเมื่อกี้ไม่ได้รู้สึกไปเองแน่ๆ



เมื่อกี้...มันเป็นอะไร



"ไม่เป็นไร...หายแล้ว"



ถึงจะตอบแบบนั้นแต่เอกก็ยังกังวลอยู่ดี



"ฮาย~"



"ทราย ไม่เอาแฟนมาด้วยเหรอ"



"ทำไมทั้งแกทั้งคินถึงชอบแซะฉันเรื่องศรนักยะ" หญิงสาวแหว วันนี้เม็ดทรายดูสวยเฉี่ยวเป็นพิเศษเพราะมัดผมรวบขึ้นไปทั้งหมดและปล่อยผมน้อยๆ คลอเคลียข้างแก้ม...เปลี่ยนลุคไปเลย



"ก็เธอทำตัวติดแฟนเองไม่ใช่เหรอ"



"ติดแล้วหนักหัวใครยะ โน่น ตามมาโน่นแล้ว" ทรายชี้ไปอีกทางเห็นร่างสูงกำยำของแฟนหนุ่มกำลังเดินมาทางนี้อย่างโดดเด่น



"คุณทราย สวัสดีครับ"



"บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องสุภาพ" ร่างบางทิ้งตัวนั่งข้างชะเอมบ่นระอาๆ ซึ่งริมฝีปากบางยิ้มตอบคำนั้นไม่พูดอะไร เนื่องจากเหงื่อเริ่มซึมข้างขมับทั้งๆ ที่ไม่ได้ร้อนอะไรเลย อากาศกำลังดี ลมพัดเย็นสบาย



ตึกตัก...ตึกตัก



หัวใจมัน...บีบรัด



"อึก..." มันเอาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่า "เอก แฮ่ก..."



"เอม!?" เอกและทรายอุทานอย่างตกใจ เบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างบางกุมอกคู้ตัวเหงื่อซึมและหายใจติดขัด คนที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างศรก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าไม่ดี



"เราขอ...น้ำ" ชะเอมกัดฟันในขณะที่อีกมือฝืนหยิบขวดยาขึ้นมาเทยาลงบนมือแต่มันก็หกออกมาเกือบหมดและหล่นเต็มพื้น แต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจ ตบยาที่มีอยู่สองสามเม็ดเข้าปากรวดเร็วและกลั้นใจดื่มน้ำแม้ว่าจะอึดอัดจนกลืนแทบไม่ลงมากแค่ไหน



ทุกๆ ครั้งที่เคยกินยาระงับอาการ มันจะดีขึ้นในไม่ช้าแต่ครั้งนี้มันยิ่งเจ็บ เจ็บมากขึ้นไปอีก...ทำไมล่ะ เมื่อกี้ก็กินยาเข้าไปแล้วนี่...มันควรจะดีขึ้นสิ...



“อั่ก...ฮึก!”



ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน



ยิ่งผ่านไปร่างบางยิ่งดิ้นทุรนทุรายหนักมากขึ้น จนคนมองใจไม่ดี เม็ดทรายมือไม้สั่นไปหมด



"ศร ทำไงดีคะ เอม...เป็นอะไร อาการกำเริบอีกแล้วเหรอ"



ศรก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชะเอมเป็นอะไรแต่ก็ตอบและบีบมือแน่นให้แฟนสาวสบายใจ "ไม่เป็นไรหรอก เขาทานยาไปแล้ว เดี๋ยวก็..."



"แต่นี่ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว..." เอกมองยาสีขาวบนพื้นหญ้าสีเขียว ที่เมื่อกี้ชะเอมยิ่งมีอาการมากขึ้น ร่างสูงประคองร่างบางที่คู้ตัวเกร็งแน่นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจ จนหยาดน้ำตาหลั่งไหล


>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:18:23



ต่อด้านบน <<<<<<<<<<<<<<<<



"เอก...เจ็บ...เจ็บ! ฮึก..." นิ้วเกร็งจิกที่เสื้อของเอกจนมันเกือบขาด ทำให้คนมองหน้าซีด นอกจากนี้ก็เริ่มฮือฮามากขึ้นเพราะแถวๆ นั้นก็คนเยอะไม่น้อยต่างมองมาและตกใจหน้าซีดกันเป็นทิวแถว



"เฮ้ย แก เค้าเป็นไรวะ"



"เชี่ยไม่รู้ เหมือนเป็นหอบ"



“แต่กูว่าเหมือนคนหัวใจวายมากกว่า”



"เค้าจะชักป่ะวะ กูเคยได้ยินเป็นหนักๆ ถึงขั้นชักได้เลยนะเว้ย"



"ทราย เรียกคินให้หน่อย เร็ว!! ต้องพาเอมไปโรงพยาบาลแล้ว" ไม่ต้องพูดซ้ำหญิงสาวรีบวิ่งไปบอกคินซึ่งร่างสูงก็รีบวิ่งออกมาใบหน้าเครียดขึง ทั้งตาลทั้งดินและสินก็ตามมาด้วย พอได้ยินเม็ดทรายพูดก็ไม่มีใครมีกระจิตกระใจจะไปวิ่งแข่งแล้ว พอคินเห็นอาการของชะเอมก็ไม่ถามให้มากความรีบช้อนคนตัวเบากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่รถ ไม่สนใครทั้งนั้น



"เอก ขับรถให้กูหน่อย!"



"คิน...ฮึก ฮึก เอมเจ็บ...อึก" ชะเอมทั้งจิกทั้งทึ้งแผ่นหลังกว้างที่โอบกอดเอาไว้ ซึ่งคินไม่ว่าอะไรเลย ซ้ำยังยกมือขึ้นมาจับหอมขมับเล็กกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมา



"เอม ทนหน่อยนะ ทนหน่อยนะครับ คินจะพาไปโรงพยาบาลแล้ว" พอเห็นร่างบางทรมานแบบนี้แล้ว ใจของเขาเหมือนถูกบดขยี้ "เอก เร็วหน่อย กู..."



"รู้แล้ว กูกำลังเร่งอยู่" เอกตอบหน้าเครียด มองกระจกหลังแล้วเสกลับมามองที่ถนน ทำเป็นไม่เห็นว่าเพื่อนกำลังหลั่งน้ำตา



เพราะเห็นคนที่รักเจ็บปวด...ใจจึงเจ็บปวดยิ่งกว่า



"คิน..." ใบหน้าคมของคิน มันเลือนลาง...ใจที่เต้นแรงจนรู้สึกได้เมื่อกี้มันกำลังแผ่วเบา...แผ่วเบาลงทุกทีจนคล้ายจะหยุดเต้น



...คิน...



มือใหญ่กำมือเล็กที่เริ่มอ่อนแรงไว้แน่น



"เอม..."



ผมอยากจะขออ้อนวอนต่อพระเจ้า...



"เอม ขอร้อง...ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ...ได้โปรด อึก ได้โปรด อย่าทิ้งคินไป..."



...อย่าเอาชีวิตของคนสำคัญของผมไป...





************************Whose fault? ************************





"ขอโทษค่ะ ญาติผู้ป่วยกรุณารอด้านนอกนะคะ"



ร่างสูงมองร่างบางและใบหน้าหวานซีดเซียวที่ถูกเข็นเตียงเข้าห้องฉุกเฉินไป ก่อนที่ประตูจะปิดลง



คินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หน้าห้องอย่างหมดแรง ก้มหน้าเสียจนเอกไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำหน้าอย่างไรอยู่



เอกหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ และตบไหล่เพื่อน "คิน เอมถึงมือหมอแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงก็เอมก็ต้องปลอดภัย"



ถึงจะพูดแบบนั้น แต่จะให้นั่งสบายใจเลยมันก็...ร่างสูงกุมมือหลับตาแน่นคล้ายภาวนา



ได้โปรด...ช่วยเอมด้วย



ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ



"คิน"



"คิน!"



"เอก!"



เสียงเรียกและเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังก้องมาตามทางเดิน คือพวกดินที่เพิ่งตามมาถึงนั่นเอง



แน่นอนว่าการแข่งขันพวกเขาคงต้องสละสิทธิ์ ไม่มีใครกล่าวโทษกันในสถานการณ์แบบนี้



คินเงยหน้ามอง ดวงตาคมช่างว่างเปล่า เพราะไม่รู้ว่าคนข้างในนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้วตอนนี้ มันสงบใจไม่ได้แม้สักนิดเดียว



จิตใจมันร้อนรน



"ตกลงเอมเป็นไงบ้าง"



"ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ออกมาเลย" เอกตอบแทน



"แล้วจู่ๆ เป็นแบบนี้ได้ไง เอมมันไปออกแรงที่ไหนมา" ดินถามขมวดคิ้ว ปกติชะเอมค่อนข้างระวังตัวเองจะตายไป



"เอมไม่ได้ทำอะไร ปกติดี" เอกตอบ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่อยู่ด้วยกันกับร่างบางคนนั้นตั้งแต่แรกจนเกิดเรื่อง "ว่าแต่ทรายเก็บยามารึเปล่า"



"เก็บมาหมด" หญิงสาวส่งขวดยาที่ว่าใส่มือใหญ่ให้ มันคือขวดยาโรคประจำตัวของชะเอมนั่นเอง



"ของกูก็เก็บมาหมดแล้ว อยู่บนรถไอ้สิน" ดินหมายถึงพวกกระเป๋าและของส่วนตัวที่พวกคินมันทิ้งไว้ แหงล่ะ สถานการณ์แบบนั้นใครจะมาห่วงเก็บของ



"ว่าแต่ยานั่นมันทำไม" เม็ดทรายถามอย่างสงสัย จุดขึ้นมาเป็นประเด็นให้ทุกคนสนใจกับมัน และคินก็เช่นกัน



เอกหันมาหาคินที่นั่งอยู่ ชูขวดยาขึ้นในระดับสายตาและถามเสียงจริงจัง "คิน กูถามหน่อย ทุกครั้งที่เอมกินยานี่ มีครั้งไหนมั้ยที่มีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น...อะไรก็ได้"



คินขมวดคิ้วเพราะคำถามที่ถามมันฟังดูทะแม่งแปลกๆ แต่ก็พยายามนึกตามที่อีกฝ่ายบอก



ชะเอมมักจะกินยาตามที่กฤษณะบอกทุกวันวันละสองมื้อเช้าเย็น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกวันดำเนินชีวิตตามปกติเพราะเขาแทบจะอยู่กับชะเอมตลอดเวลา ดังนั้นถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเขาก็ต้องรู้



"...ไม่ ทำไมวะ"



"แล้วยานี่ใช่ขวดเดิมรึเปล่า" เอกส่งของในมือให้คินดู ซึ่งทั้งสัมผัสและมองสำรวจดูแล้วเหมือนเดิมทุกอย่าง



"ใช่”



"มึงแน่ใจ?"



"มึงต้องการจะพูดอะไรกันแน่" ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าไอ้เอกมันกำลังจะบอกว่า...



"คิน มึงเคยบอกกูว่ามึงก็พกยาไว้เหมือนกันใช่มั้ย...เอามารึเปล่า"



ใช่ หลังจากที่รู้ว่าชะเอมป่วยเป็นโรคหัวใจและมักจะขี้ลืมวางยาไว้ที่นู่นที่นี่เป็นประจำ เขาจึงขอแบ่งครึ่งเอาไว้ที่ตัวเองอีกขวด เผื่อร่างบางเกิดลืมขึ้นมาก็จะได้มีของเขาสำรองไว้



"เปล่า อยู่ในกระเป๋า" ก็เพราะเมื่อกี้กำลังจะแข่งวิ่งเลยไม่ได้พกอะไรเลย "ตกลงมึงกำลังจะบอกกูว่าอะไร...เอก"



คินถามเสียงเครียด ทำให้เอกถอนหายใจ พอไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบก็ไม่อยากจะพูดหรือฟันธงอะไร...มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานของเขาเท่านั้น



"คิน ตั้งแต่ที่เอมกินยาวันนี้ตอนเช้าที่เราเห็น จู่ๆ ก็มีอาการกำเริบ และหลังจากนั้นชะเอมก็กินยาเข้าไปอีก เพราะคิดว่าจะช่วยแต่ไม่เลยอาการมันเริ่มหนักขึ้น...จนอยู่ในสภาพที่มึงมาเห็นนั่นแหละ"



"ใช่ เป็นแบบนั้นเลย" เม็ดทรายพยักหน้ายืนยันกอดแขนแฟนหนุ่มแน่น เธอน้ำตาคลอยังขวัญเสียกับสิ่งที่เห็นอยู่เลย เพราะคนรอบตัวเธอมีแต่คนร่างกายแข็งแรง เจอแบบนั้นเข้าไปก็ทำอะไรไม่ถูก



"มึงหมายความว่า..."



"ยานี่ไม่ใช่ยาขวดเดิม เป็นสิ่งของที่เหมือนกันถูกสับเปลี่ยนมา นั่นคือสิ่งที่กูคิด"



"!?"



"แต่กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าถูกเปลี่ยนจริงหรือเปล่าและถูกเปลี่ยนตอนไหน กูเลยให้ทรายเก็บมาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่กูคิดถูกต้องหรือเปล่า...ต้องให้หมอลองตรวจดู"



"เชี่ย ถ้ามันเป็นยาคนละตัวจริงๆ ล่ะ" ดินถามหน้าซีด นั่นหมายถึง...



เอกพยักหน้ารับคำนั้น "แสดงว่าคนเปลี่ยนมีเจตนาจะทำให้ชะเอมถึงตายเลย"



คำว่า 'ตาย' ที่เอกเอ่ยออกมา ทำให้สายตาคมกริบวาววับ คินกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด กรามกัดขึ้นเป็นรอยนูน ท่าทางทรมานของชะเอมและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดมันยังติดตราตรึง



'คิน เอมเจ็บ'



หยาดน้ำตา...ที่หลั่งออกมา



'เอมรักคิน'



'ได้โปรด...อย่าทิ้งคินไป'



ปึง!!!



กำปั้นทุบลงเก้าอี้ข้างตัวจนดังลั่นระบายอารมณ์โมโหที่มาจากไหนไม่รู้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่ฝ่ามือเพราะข้างในอกมันเจ็บยิ่งกว่า



ถ้าหากพระเจ้าจะพรากชะเอมไปจากเขา เขาอาจจะพออ้อนวอนได้บ้าง แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่คิดชั่วๆ ...คิดจะพรากชีวิตของร่างบางไป...เขาจะไม่ให้อภัยมัน!



"คิน ใจเย็นก่อน กูบอกแล้วว่ายังไม่แน่ใจเท่าไหร่ ลองให้หมอตรวจดูก่อนแล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงก็ค่อยมาคิดอีกทีว่าจะทำยังไงกันต่อ" เอกว่า...ถึงเขาจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าถ้ามันเป็นจริงแล้วใครจะเป็นคนทำก็เถอะ



คนที่วางแผนทำเรื่องนี้ทั้งหมดมีแค่คนเดียว



สายตาของเอกเหลือบมองเพื่อน ก่อนจะหลุบตาลง ถ้าหากเป็นจริงล่ะก็...



ไอ้คินจะต้องรู้สึกผิดกับเรื่องนี้จนอยากตายเลยล่ะ



ปึง...



ร่างสูงเด้งตัวลุกขึ้นก่อนใครและเดินเข้าหาแพทย์ที่เปิดประตูออกมา ถามอย่างร้อนรนระคนเป็นห่วงคนข้างในอย่างยิ่ง "อากฤษ...เอม เอมเป็นไงบ้างครับ"



กฤษณะยิ้มบาง ยื่นมือตบไหล่กว้างของคนที่เปรียบเสมือนหลานชาย "ปลอดภัยแล้ว ดีใจด้วย"



"ขอบคุณมากเลยครับ" คินผ่อนลมหายใจสั่นเครือ เหมือนในอกจะโล่งลงนิดหน่อย



...ชะเอมปลอดภัยแล้ว...



"สรุปเอมเป็นอะไรครับ" เอกถามทะลุปล้องขึ้นมา "ไม่ใช่อาการกำเริบธรรมดาใช่รึเปล่าครับ คุณหมอ"



จู่ๆ กฤษณะก็เปลี่ยนท่าทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น แววตาคมกริบของหมอกฤษณะเครียดขึงขึ้นมาทันใด กวาดตามองหนุ่มสาวหลายคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของชะเอม ก่อนจะจบลงที่คิน "เรื่องนี้อาขอคุยหลังจากที่ย้ายชะเอมไปพักที่ห้องผู้ป่วยแล้วดีกว่านะ"



คินพยักหน้าเพราะตอนนี้ใจมันไม่ได้ห่วงอะไรมากไปกว่าอยากจะเห็นใบหน้าของคนสำคัญ



พยาบาลเข็นเตียงของชะเอมออกมาจากห้องฉุกเฉิน ร่างบางยังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนนั้น ใบหน้าหวานซีดไม่ต่างจากตอนเข้าไปเลย ขายาวไม่รอช้ารีบก้าวตามเตียงที่เข็นออกไป และเพื่อนที่เหลืออยู่ก็มองหน้ากัน รีบเดินตามไปด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน



ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...

คินยืนจ้องมองคนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่ง ฟังเสียงเครื่องตรวจอัตราการเต้นของหัวใจดังเป็นจังหวะ ถ้าหากไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ชะเอมก็ดูเหมือนแค่หลับไปเฉยๆ เท่านั้น



ร่างสูงหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย ค่อยๆ ช้อนมือเล็กบางเย็นเฉียบขึ้นมากุมให้ความอบอุ่นแผ่วเบา



เพียงแค่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่...ก็รู้สึกยินดีมากจนอธิบายไม่ได้



ได้แต่ ขอบคุณ...ขอบคุณที่มันยังไม่ถึงเวลาที่พระเจ้าจะมาเอาชีวิตของเขาไป



ขอบคุณจริงๆ



"..." ไม่มีเสียงพูดใดๆ มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของคินที่เล็ดลอดออกมา เป็นสภาพที่ไม่แม้แต่เพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกันก็ไม่เคยเห็นมาก่อน



ดินที่กำลังจะเดินเข้าไปดูอาการชะเอมบ้างก็ถูกสินรั้งไหล่เอาไว้ ก่อนจะถูกดึงออกไปจากห้อง คนที่เหลือก็เช่นกัน



...ปล่อยให้เขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน



ให้ซึมซับความรู้สึกนี้เอาไว้...



เอกเดินรั้งท้าย มองแผ่นหลังของเพื่อนที่งองุ้มสั่นเทาและประตูก็ปิดลงอย่างแผ่วเบา



"เอม...คินขอโทษ..." เสียงทุ้มเอ่ยสั่นเครือ แม้จะรู้ว่าชะเอมไม่ได้ยิน แต่ก็อยากจะพูด "ขอโทษครับ"



...อย่าให้มันสายเกินไป...



คำเตือนเหล่านั้นที่เพื่อนสนิทกรอกหูเขา มันกำลังจะย้อนกลับมาทิ่มแทงให้รู้สึกผิด...ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้



ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เป็นเพราะเขาทั้งสิ้น เพราะเขาเองที่ทำให้ร่างกายนี้อ่อนแอลงจนน่าหวั่นใจ พอมีอะไรมากระทบร่างกายหรือจิตใจเข้าหน่อยก็หวั่นกลัวว่าสักวันหนึ่งจะ...ร่างกายบอบบางนี้จะเย็นชืดไปตลอดกาล



และเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น



"ผมขอโทษ..."



คำขอโทษครั้งนี้...ไม่รู้จะต้องเอ่ยกับใคร อาจจะเป็นความผิดบาปในอดีตที่เขาก่อมันขึ้น หรืออาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่จ้องเอาชีวิต



...ได้โปรด...



อยากจะได้ก็ขอให้เอาชีวิตของเขาไป...ความผิดของเขามันก็ควรให้เขาได้ชดใช้ อย่าลงโทษเขาด้วยวิธีแบบนี้...อย่าลงโทษเขาด้วยการเอาชีวิตของชะเอมไป...เพราะมันทุกข์ทรมานและเจ็บปวดยิ่งกว่า



"ผมขอโทษ"



ร่างสูงพูดซ้ำๆ ย้ำไปย้ำมา...ในที่ซึ่งไม่มีใครได้ยิน



และรู้ดีว่าคำขอโทษของเขามันไม่มีวันส่งไปถึง



เพราะบาปนี้มันหนักเกินกว่าจะให้อภัย





************************Whose fault? ************************

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:19:20


                                           Whose Fault ?

                                            ผิด...ครั้งที่ 39



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ฉึบ...



สัมผัสที่ไหล่ทำให้คินที่นอนฟุบหน้าอยู่ข้างเตียงรู้สึกตัว เขาไม่ได้หลับ เพียงแค่อยากจะอยู่เงียบๆ ฟังเสียงลมหายใจของร่างบางเท่านั้น



ร่างสูงเงยหน้าขึ้น เป็นกฤษณะนั่นเองที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้และด้านหลังก็คือเพื่อนที่มาด้วยกันยืนประปรายอยู่ทำให้ในห้องดูคับแคบขึ้นมาทันตาเห็น



"คิน เอมไม่เป็นไรแล้ว แค่รอให้เขาฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง”



“ครับ” ใบหน้าคมพยักหน้าเชื่องช้า เสียงทุ้มช่างไร้ชีวิตชีวาจนกฤษณะต้องพูดอีกครั้ง



“เธอต้องเข้มแข็งไว้นะ อย่าอ่อนแอให้ชะเอมเห็น พอเขาฟื้นขึ้นมาจะได้ไม่เป็นห่วงเธออีก"



พอได้ยินแบบนั้น แววตาคมก็เริ่มมีประกาย...นั่นสินะ



ตลอดมาเขาเอาแต่ทำตัวให้ชะเอมต้องมาเป็นห่วงตลอด



คินยกยิ้มบางๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจ



เมื่อครู่นี้ที่เขาอยู่กับชะเอมสองคนท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงเสียงดังติ๊ดๆ ของเครื่องตรวจอัตราการเต้นหัวใจและเสียงลมหายใจของคนป่วย เขาโทษตัวเองมามากพอ ชะเอมถ้าเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็คงโทษตัวเองเช่นกัน เพราะงั้น...เขาจะไม่ทำให้ร่างบางต้องนึกเสียใจอีกเด็ดขาด



"ขอบคุณครับ อากฤษ"



กฤษณะพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง "พร้อมจะคุยกันได้แล้วสินะ"



"คุย?"



"เรื่องอาการกำเริบของชะเอมไง" เอกพูดแทรกขึ้นมา ทำให้คนฟังทั้งห้องเผลอกลั้นหายใจ คินหันกลับไปมองหน้ากฤษณะที่ยืนล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์แล้วถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้



"จริงด้วย...สรุปว่าเอมอาการกำเริบได้ยังไงครับอากฤษ" เสียงทุ้มถามเรื่องที่สงสัยขึ้นมา สายตาคมกวาดมองไปรอบๆ ดูเหมือนว่าเพื่อนทุกคนก็คงอยากจะรู้จึงได้ทำใบหน้าเครียดและหนักใจ



"จากผลการตรวจ อาการกำเริบที่เกิดขึ้นของชะเอมเกิดจากการที่ทานยาหรือสารเคมีบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำให้โรคประจำตัวแสดงอาการออกมาอย่างรุนแรง"



"!?" คินขมวดคิ้วฉับและกุมขมับ "นั่นมันหมายความว่า..."



"หมายความว่าสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ มันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยครับ" เอกว่า



กฤษณะพยักหน้ารับคำนั้น ก่อนที่จะล้วงขวดยาที่เอกเคยเอาให้เขาดูขึ้นมาชู



ขวดยาโรคประจำตัวของเอม...



"อาฟังที่เอก เพื่อนของเธอเล่าให้ฟังแล้วมันมีความเป็นไปได้มากเลยทีเดียว อาจึงส่งยาตัวนี้ไปตรวจมา ได้ผลว่ามันไม่ใช่ยาโรคประจำตัวที่อาเอาให้ชะเอมกิน...มันคือยาแก้ปวดทั่วๆ ไปที่มีหน้าตาเหมือนกัน ดังนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมชะเอมถึงได้กินมันเข้าไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นว่ามันเป็นคนละตัวกัน"



"ถ้าเป็นแค่ยาแก้ปวดอย่างที่คุณหมอบอก แล้วทำไมมันถึงส่งผลรุนแรงขนาดนั้นล่ะคะ" หญิงสาวถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย และคนอื่นๆ ก็คงเหมือนกัน



"ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปทานเข้าไปก็คงไม่เป็นอะไรหรอก" กฤษณะเสมองคนป่วยหน้าซีดที่นอนหายใจแผ่วเบา ทำให้ทุกคนมองตามโดยเฉพาะคินที่มีสีหน้าเจ็บปวด "ไม่สิ...จริงๆ แล้วสำหรับคนทั่วไปก็ห้ามกินยาแก้ปวดพร่ำเพรื่ออยู่แล้ว ยิ่งถ้าหากผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูงทานยาแก้ปวดเข้าไปจะส่งผลให้โรคที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น"



"..."



กฤษณะนิ่วหน้า "ร้ายแรงที่สุด...ถ้าหากได้รับยาเกินขนาด แล้วอาการกำเริบและมาส่งถึงโรงพยาบาลไม่ทัน...ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้"



ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ พอได้ยินเรื่องอะไรที่มันน่าเหลือเชื่ออย่างการทานยาผิดตัวแล้วทำให้คนป่วยถึงขั้นเสียชีวิตนี่เป็นอะไรที่น่าสลดใจเมื่อมันเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว



พวกเขาเกือบจะเห็นเพื่อนคนสำคัญตาย...ต่อหน้าต่อตา



"อาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนเล่นอะไรพิเรนทร์ถึงขนาดนี้"



"เล่น? นี่มันไม่ใช่การเล่นแล้วครับ นี่มันกะจะฆ่าชะเอมชัดๆ!!" คินตะโกนก้องห้องผู้ป่วย หายใจเข้าออกแรงอย่างโมโห ใครที่มันทำถึงขนาดนี้ แล้วมันทำได้ยังไง!?



เอกจับคาง ถามเพื่อนในสิ่งที่ตนสงสัย "คิน ปกติชะเอมเก็บยาไว้ในกระเป๋าใช่รึเปล่า"



"ใช่"



"แล้วติดกระเป๋าไว้กับตัวตลอดหรือเปล่า"



คราวนี้คินขมวดคิ้วนึก "คิดว่าน่าจะตลอด...แต่ถ้าอยากแน่ใจต้องถามเจ้าตัว"



สายตาคมเบนมองใบหน้าซีดเซียว และคงต้องรอให้ฟื้นก่อนด้วย



"แล้วใครล่ะที่เป็นคนทำ ชะเอมมันเป็นคนดีจะตาย ใครจะคิดร้ายกับมันถึงขนาดนั้น" ดินกัดฟันกรอดเมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่คาดไม่ถึง เขาก็เป็นคนหนึ่งที่โมโหไม่แพ้กัน พวกเขาเป็นเพื่อนคนแรกของชะเอม รู้ดีกว่าใครว่าร่างบางที่มักจะยิ้มแย้มคนนั้นจิตใจอ่อนโยนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ขนาดไหน...ใครๆ ที่ได้รู้จักต่างก็รักชะเอมกันทั้งนั้น



แล้วนี่คืออะไร?



เขาไม่เชื่อหรอกว่าชะเอมจะไปทำอะไรให้ใครเกลียดถึงขั้นจะปองร้ายเอาชีวิตแบบนี้



"มีคนๆ เดียวไม่ใช่เหรอที่เป็นไปได้มากที่สุด" เอกพูดขึ้นมา มองหน้าเพื่อนกลุ่มตัวเองที่ต่างพากันหน้าซีดเมื่อได้คำตอบ



"ถึงฉันจะคิดไว้แล้วก็เถอะ แต่จะใช่จริงๆ เหรอ" เม็ดทรายถามเสียงสั่น กุมมือกันเองแน่นอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คิด ไม่เคยคิดว่าคนๆ นั้นจะทำได้ขนาดนี้



...น่ากลัว...



"จะเป็นไปได้หรือไม่ได้ มันก็เป็นไปแล้ว"



ยิ่งเอกพูดย้ำ ยิ่งทำให้คินกุมขมับก้มหน้าต่ำ



มีเพียงสินกับดินและกฤษณะที่ไม่รู้เรื่องอะไร ต่างพากันมองหน้า สลับไปมา มองคนนู้นคนนี้พูดจนดินเริ่มมีน้ำโห



"แล้วมันเป็นใครล่ะวะ?! พูดกำกวมรู้กันเองอยู่ได้!"



"เรย์" คินเอ่ยขึ้นทำให้ทั้งห้องเงียบ "ต้องเป็นเรย์แน่"



เขายังจำได้ดี แววตาคลั่งที่เต็มไปด้วยความแค้นนั่นในวันนั้น



‘มึงคงคิดดีแล้วที่คิดจะมาข่มกูแบบนี้...แล้วกูจะคอยดูความพินาศของมึง’



หรือนี่จะเป็นการกระทำของคำเตือนในวันนั้น



"ใช่ และที่เรย์ทำแบบนี้ก็เพราะมึงนั่นแหละ ไอ้คิน" เอกว่า



"กู..."



ในขณะที่ทุกคนสลดใจ เป็นดินที่กำหมัดแน่นเดินเข้าไปใกล้ "ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!!"



ผัวะ!!



"เอมเป็นแบบนี้ตลอดเลยก็เพราะมึง! ไอ้เหี้ยคิน!" ดินเงื้อหมัดลงแรงทั้งหมดไปที่ใบหน้านั้นอีกครั้ง "และครั้งนี้ก็เป็นเพราะมึงอีกแล้วเหรอ!?"



พลั่ก! ปั่ก!



กำปั้นที่กำลังจะกระทบใบหน้าคมอีกครั้งก็ละออกเพราะดินโดนสินรั้งตัวเอาไว้ "ดิน อย่า นี่มันในโรงพยาบาลนะเว้ย!"



"..."



ทั้งห้องเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ด้วยแรงโมโหทำให้สินไม่สามารถดึงตัวดินที่ใหญ่พอๆ กับเขาเอาไว้ได้ เอกกับศรจึงเข้ามาช่วยห้าม ทำให้ดินดิ้นจนเหนื่อยและหยุดไปเอง ก่อนจะสะบัดออก มือทั้งสองกระชากคอเสื้อคินอย่างแรง



"พวกกูอยู่กับเอมตลอด มึงเคยรู้บ้างมั้ยว่ามันเจออะไรมาบ้าง ทั้งรักมึง เจ็บเพราะมึง มันทั้งโง่ทั้งงี่เง่า...แต่ก็ยังรักมึงคนเดียว..." เสียงของดินสั่นเครือ ยิ่งนึกถึงแต่ก่อนมันยิ่งทำให้เพื่อนอย่างเขาสงสารและเศร้าใจแทน "แล้วมึงดูสภาพมันตอนนี้สิ..."



ชะเอมที่ทั้งอ่อนแอและบอบบางแต่ใบหน้ามักจะประดับด้วยรอยยิ้มสดใส บัดนี้นอนนิ่งหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล



คินเงียบนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้แรงโมโหของอีกฝ่ายมันกระทบเข้าที่ใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า...เพราะรู้ดีว่านี่แหละคือสิ่งที่เขาสมควรโดนแล้ว



สิ่งที่ทำกับเอม...นี่คือบทลงโทษที่เขาสมควรโดน



เขาต้องโดนแบบนี้ถึงจะคุ้มค่ากับความเจ็บปวดที่ชะเอมเคยเจอ



"ต่อยกูอีกสิ" เสียงทุ้มเอ่ยเรียบนิ่ง แม้เลือดจะไหลออกจากจมูกและมุมปาก แต่ก็ยังพูดออกไป



ยังไม่พอหรอก โดนแค่นี้น่ะ...เขาอยากจะรู้สึกเจ็บให้มากกว่านี้



เพราะอยู่กับชะเอมมากเกินไปก็เลยลืมไปว่าความผิดของเขามันมากมายขนาดที่ชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่ได้



ดินกัดฟันแน่นจนกรามปูดเพราะดูเหมือนว่าคนพูดมันจะยังไม่เข็ด แว่วเสียงห้ามจากหมอกฤษกับสินและหลายๆ คนแต่มันดังอื้ออึงเพราะในหัวไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากจะต้องกระทืบไอ้หมอนี่ให้สาแก่ใจเท่านั้น



"ถ้ายังไม่พอ มึงจะกระทืบหรือจะฆ่ากูเลยก็ได้"



"!?"



คนทั้งห้องมองอย่างตกใจที่จู่ๆ เขาเอ่ยอะไรออกมา



"นี่มึง..." ดินชะงักนิ่งอึ้ง มองแววตาคมที่ฉายชัดออกมา...มันเอาจริง



“ฆ่ากูเลยสิ!” เสียงทุ้มตะโกนกร้าว



"ดิน พอเหอะ..." สินปราม ดินจึงคลายมือออกจากคอเสื้อของคิน ไม่ใช่เพราะสินเป็นคนบอกหรอกแต่ดินรู้แล้วว่ามันก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน



รู้อยู่แล้ว



ในเวลาแบบนี้คนที่จะเจ็บปวดมากที่สุด...ก็คงเป็นตัวคินเองนั่นแหละ



"ตอนนี้เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำยังไงต่อ แทนที่จะมาทะเลาะกัน" เอกว่า



สินพยักหน้าก่อนตบไหล่ดินเบาๆ "สรุปว่าเป็นเรย์จริงเหรอ คิน"



ร่างสูงจัดปกคอเสื้อก่อนจะยกมือเช็ดเลือด ซึ่งกฤษณะอาสาเข้ามาช่วยทำแผล ก่อนที่เสียงทุ้มจะตอบ "กูแค่เดา แต่เหมือนทุกคนจะคิดเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้เรย์เคยเข้ามาคุยกับชะเอม ตอนนั้นพวกเราทุกคนก็อยู่ด้วย แล้วก็มีปากเสียงกันก่อนที่เรย์จะหายไป...ไม่เจอกันอีกเลย"



...ไม่รู้อีกฝ่ายทำอะไร อยู่ที่ไหน เวลาเรียนก็ไม่มาเรียน งานกีฬาก็ไม่เห็นโผล่มาแม้แต่เสี้ยวหน้า...



เอกจับคางขมวดคิ้วอีกครั้ง ถ้านั่นคือล่าสุดที่เจอล่ะก็... "ช่วงนี้ก็ไม่เจอเลยใช่มั้ย"



"อืม"



"ถ้าเป็นอย่างที่ว่า แสดงว่าตอนเปลี่ยนขวดยาเรย์จะต้องสั่งให้คนอื่นมาแน่" เอกมองหน้าเม็ดทราย "เพราะตามที่ทรายเล่าให้ฟัง เรื่องก่อนหน้านี้หมอนั่นก็สั่งให้คนอื่นขับรถมาชนตัวเองนี่นะ"



"หะ!? เหี้ย เรื่องนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุเหรอ!" เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่มากที่ดินกับสินเพิ่งรู้ จึงตกใจแทบหัวใจหยุดเต้น ไม่เพียงเท่านั้นกฤษณะที่ยืนฟังอยู่ก็เช่นกัน



ในคืนนั้นที่ชะเอมร้องไห้อย่างหนักและโทษตัวเองมาตลอดว่าตนเป็นคนทำให้เรย์บาดเจ็บถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล พวกเขาก็อยู่ด้วยและรับรู้ว่าชะเอมเจ็บปวดมากแค่ไหน...แต่เรื่องนี้ชะเอมก็คงรู้ความจริงนานแล้ว คงจะเป็นตั้งแต่ที่ค่ายนั่น แต่ก็ไม่เคยบอกพวกเขาเลยว่าความจริงแล้วเป็นอย่างไร



"ใช่ พอดีทรายไปได้ยินตอนเรย์คุยโทรศัพท์เข้าพอดีว่านั่นคือเรื่องที่หมอนั่นมีเจตนาไม่ดีให้เกิดขึ้น"



“เอมบอกว่า...เรย์อยากให้กูเลิกกับเอมก็เลยกุเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทั้งหมด”



คินก้มหน้าต่ำ ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเอง...ยังไงซะเป็นเขาเองที่บ้าบอเข้าใจผิดไปมากมาย ทำให้เข้าแผนเรย์ไปซะหมด



ดินฟังเหตุผลแล้วนิ่วหน้าขยะแขยง "ถึงขั้นทำขนาดนี้ ไอ้หมอนี่มันโรคจิตชัดๆ"



"แล้วยังจะเรื่องนี้อีก..." สินคราง ไม่อยากเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์ที่มันดู...ไร้สาระอะไรแบบนี้เกิดขึ้นจริง...แถมยังเกิดกับคนใกล้ตัวอีกต่างหาก



"อาว่าเรื่องนี้ต้องแจ้งตำรวจแล้วล่ะ" กฤษณะเสนอขึ้น เพราะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างการกลั่นแกล้งกันทั่วไปของเด็กแล้ว



ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงได้น่ากลัวขนาดนี้นะ



"ไม่ได้หรอกครับ เรายังไม่มีหลักฐาน" เอกแย้งขึ้นตามความเป็นจริง เพราะตำรวจเขาไม่รับเรื่องการแจ้งความด้วยลมปากลอยๆ หรอก แถมเรย์ยังมีหลักฐานว่าชะเอมเป็นคนทำร้ายเรย์ที่กล้องวงจรปิดหน้าโรงพยาบาลอีกด้วย เผลอๆ จะโดนฟ้องกลับในข้อหาทำร้ายร่างกาย...ถึงแม้จะไม่มีเจตนาก็เถอะ



จู่ๆ คนที่เงียบที่สุดเอ่ยขึ้น "ลองถามคนใกล้ตัวเรย์ดูสิ"



เอกหันขวับถามคนตัวเล็กข้างกาย "ใคร"



"มีด้วยเหรอ" คินก็ขมวดคิ้ว



ตาลเลิกคิ้ว "อ้าว ก็น้องสาวของเรย์คนนั้นไง"



ทั้งห้องเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึง



จริงด้วย



************************Whose fault? ************************



"พี่ชะเอม...เป็นแบบนี้อีกแล้ว น่าสงสารจังค่ะ" รสายืนมองชะเอมที่นอนหลับนิ่งก่อนจะน้ำตารื้นอย่างสงสารจับใจ มือเล็กค่อยๆช้อนมือขาวซีดทั้งบางและเบาขึ้นมากุม อุณหภูมิเย็นเฉียบที่สัมผัสได้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย



เหมือนกับที่กระท่อมร้างในวันนั้น



"พี่ชะเอมหลับไปนานหรือยังคะ" สาวตัวเล็กช้อนตามองคินที่ยืนข้างๆ



"ตั้งแต่อาการกำเริบก็ยังไม่ฟื้นเลย" คินตอบพลางยิ้มบาง



"เหรอคะ..." เสียงใสเศร้าสร้อย



รุ่นพี่ที่น่ารักคนนี้ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้นะ



ร่างสูงยกมือลูบหัวเล็กเบาๆ เอ่ยคำที่ทำให้รสายิ้มดีใจ "ถ้ารสามาเยี่ยม เดี๋ยวเขาก็คงฟื้นเร็วๆ นี้แหละ"



"ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีนะคะ!"



"อืม"



หญิงสาวผมยาวอีกคนที่ยืนข้างกายเพื่อนสาวก็มองใบหน้าหวานที่นอนหลับตานิ่ง แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงแผ่วเบา ดูเหมือนแค่หลับไปเฉยๆ ...แต่คงไม่ใช่สินะ



และที่เธอโดนเรียกมาแบบนี้ คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย



"อยู่ๆ พี่เขาอาการกำเริบได้ไงคะ" รินถามขึ้นพร้อมมองไปรอบๆ ห้อง รุ่นพี่ที่เธอรู้จักกับคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของพี่ชะเอมอยู่เต็มไปหมด ได้ยินคำถามของรุ่นน้องแบบนั้นทำให้คินสบมองจริงจัง



"พี่เรียกสามาก็เพราะอยากจะคุยกับรินเรื่องนี้แหละ"



เธอพยักหน้าเข้าใจด้วยหัวสมองอันชาญฉลาดก่อนจะขมวดคิ้ว พอจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างสาก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัย



"เรื่องอะไรเหรอริน"



รินมองหน้าเพื่อนก่อนจะถอนหายใจ "...สา ฉันหิวน้ำ เธอไปหาซื้ออะไรให้ดื่มหน่อยสิ"



ใบหน้าเล็กส่ายแรงๆ จนผมสั้นๆ กระจาย



"ไม่เอาหรอก นี่รินจะไล่สาอีกแล้วใช่มั้ย ทำไมรินถึงชอบทำเหมือนสาเป็นคนนอกไม่รู้เรื่องอะไรเรื่อยเลย...ถ้าเรื่องที่จะคุยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่ชะเอมล่ะก็สาจะอยู่ฟังด้วย!" รสาพูดรัวอย่างดื้อดึง มีไม่มากที่เธอมักจะกล้าที่จะบอกอะไรอย่างที่ใจคิด และทุกครั้งมักจะเป็นเพราะชะเอม ได้ยินแบบนั้นทำให้รุ่นพี่ต่างหัวเราะ รินก็ถอนหายใจอีกครั้ง



"ตามใจเธอ" หญิงสาวใบหน้าคลับคล้ายกับคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทมองหน้าคิน "ว่ามาเลยค่ะ"



คินทำหน้าลำบากใจ "พี่อยากจะถามว่าช่วงนี้เรย์ได้ไปไหนกับใคร บ้างหรือเปล่าหรือแบบ...ทำอะไรที่เห็นว่าดู...แปลกๆ”



เขาพยายามหาคำพูดที่ดูไม่กระทบมากเกินไปเพราะยังไง เรย์ก็เป็นพี่ชายของริน โดยที่ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าแต่ละคนรู้เรื่องนิสัยจริงๆ ของเรย์แล้ว



"พี่พูดมาตรงๆ เลยก็ได้ค่ะ เพราะรินก็พอจะรู้บ้างแล้วว่าพี่เรย์เขาเป็นคนยังไง" รินพูดสบายๆ เหมือนกับไม่ได้พูดถึงเรื่องคนในครอบครัวหรือพี่ชายตัวเอง...เธอตาสว่างได้ก็เพราะรุ่นพี่ที่ชื่อชะเอมคนนี้



ถ้าหากพี่ชะเอมต้องการความช่วยเหลือ เธอก็จะให้ความร่วมมือ



"?" คินประหลาดใจแกมสงสัย ยังไม่เข้าใจซะทีเดียวว่าที่รินพูดหมายความว่ายังไง "หมายความว่าไงน่ะริน?"



"เรื่องอุบัติเหตุนั่นไงคะ รินรู้แล้วว่าพี่เรย์เป็นคนจ้างคนให้ทำแบบนั้น" หลายๆ คนต่างตาเหลือกตกใจ แต่เธอกลับยิ้ม "แล้วรินก็รู้แล้วด้วยว่าคนๆ นั้นที่พี่เรย์จ้างเป็นใคร"



คราวนี้หลายๆ คนอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าอะไรๆ มันจะได้เรื่องอย่างรวดเร็ว...คิดถูกแล้วที่เรียกเธอมา



คินสูดลมหายใจ "รินพูดจริงเหรอ?"



>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง




หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 08-03-2019 20:19:54


ต่อจากด้านบน<<<<<<<<<<<<<<<<<



"ค่ะ เป็นคนงานที่บ้าน" เธอพูดออกไปหมด "แล้วถ้าพี่คินยังจำได้ คนๆ นี้ก็เป็นคนเดียวกับที่ขังเราไว้ที่กระท่อมร้างที่ค่ายต่างจังหวัดด้วยค่ะ"



คินกับดินที่อยู่ในเหตุการณ์ยังจำได้ดี ได้แต่กำหมัดแน่น



เรื่องมันชักจะ...



"ไอ้ห่าเอ๊ย แม่งเลวจริงๆ" ดินสบถกำหมัดแน่น ทำให้สินรีบปรามเพราะคนที่ดินว่านั่นก็พี่ชายของริน และเธอยังยืนฟังอยู่ตรงนี้



"เดี๋ยวนะ คนงานที่บ้านกับคนที่ไปที่ค่ายนั่น...?" ดินกุมขมับกับข้อมูลที่รับมา "ถ้าเป็นคนเดียวกัน งั้นก็แสดงว่า..."



"เขาเป็นรุ่นน้องที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพวกเราค่ะ"



"แล้วเธอรู้ได้ยังไง" ดินถาม "ว่าเป็นเขาจริง"



"พอดีว่าวันนั้นฉันก็เห็นหน้าน้องเขาแวบหนึ่ง ไม่มั่นใจเท่าไหร่ก็เลยไปถามพี่ชะเอม" เธอก็ได้คำตอบในวันที่ไปถาม ยังจำได้ถึงใบหน้าหวานที่มีสีหน้าลังเลและลำบากใจ "และก็เป็นอย่างที่คิด พี่ชะเอมจำหน้าน้องเขาได้ แต่กลับไม่บอกใคร"



ชะเอมคงคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก จึงเก็บความลับให้มันตายไป...แต่หารู้ไม่ ความอ่อนโยนและใจดีนั้นกำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง



“ถ้ารินบอกว่ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก แล้วทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจ” เอกกอดอกถามเสียงนิ่ง ยังไงรินก็เป็นน้องสาวของเรย์ อาจจะช่วยกันปกป้องก็ได้ใครจะรู้



“พี่เอก...!”



สาวตัวเล็กผุดลุกขึ้นเตรียมแย้ง แต่รินก็ยกมือปรามไว้ เธอหันมามองรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนของพี่ชายด้วยแววตานิ่งไม่แพ้กัน “ตอนแรก...ฉันน่ะเกลียดพี่ชะเอม คนที่บังอาจมาทำร้ายพี่เรย์...ฉันเกลียดมาก”



“...”



“แต่ไม่ว่าฉันจะต่อว่าหรือด่าเขาแรงแค่ไหน พี่เอมเพียงแค่ยิ้มและไม่ใส่ใจ ตอนแรกฉันคิดว่าคนแบบนี้หน้าด้านเกินทน ถึงด่าไปแล้วไม่รู้สึกอะไร...แล้วตอนอยู่ในกระท่อมนั้นโรคหัวใจของพี่เขากำเริบ ฉันก็คิดว่าไม่ว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว...แต่เขาก็เพียงแค่อ้อนวอน ขอให้ปิดมันเอาไว้เป็นความลับ...”



“...”



รินมองหน้าคิน “ฉันเคยถามพี่เขาว่าทำไมถึงไม่บอกพี่คินไปว่าโรคหัวใจกำเริบ ถ้าบอกไปล่ะก็เพียงเท่านั้นก็น่าจะทำให้พี่คินกลับมาหาเขาได้ แต่เขาก็ยิ้มและตอบเพียงแค่ว่า...ไม่อยากให้พี่เป็นห่วงเขา ไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องมากังวล”



“...”



“ ‘อา คนแบบนี้น่ะหรือที่จะทำร้ายคนอื่นได้’ ... ‘คนที่ร่างกายอ่อนแอแบบนี้แล้วยังมีความคิดที่จะเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองแบบนี้น่ะนะจะกล้าทำร้ายใคร’ ...ฉันคิดแบบนั้น” เธอเล่าไปยิ้มไป...ยังจำได้ถึงรอยยิ้มของชะเอมวันนั้น มือบางปัดผมที่ปรกหน้าผากมนของใบหน้าหวานที่หลับตานอนนิ่งออกแผ่วเบา



เธอไม่เคยเห็นใครที่อ่อนโยนได้เท่าพี่คนนี้มาก่อน



เธอถูกชะเอมชโลมจิตใจให้ละจากความโกรธ...เปลี่ยนเป็นเคารพนับถือ



“...”



“ถ้าหากสิ่งที่พี่ชะเอมแสดงออกมาให้ฉันเห็นมันไม่ใช่สิ่งหลอกลวง...แล้วแบบนี้จะเป็นใครกันล่ะที่โกหก” คราวนี้เสียงของเธอกลับมาจริงจัง “ฉันก็แค่ลองกลับไปถามพี่เรย์ดูแล้วก็ได้เรื่องมาแค่นั้นแหละค่ะ”



คินฟังแล้วรู้สึกเหมือนยิ้มออกมาได้ รู้สึกดีแทนชะเอม...ถ้าหากคนป่วยฟื้นขึ้นมาจะต้องยิ้มอย่างดีใจแน่เพราะรินพูดได้แบบนี้ก็เพราะตน



 “ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมไม่แจ้งความ เพราะถูกขอเอาไว้ค่ะ”



“ใคร? อย่าบอกนะว่าเรย์” ดินถามขึ้นอย่างมีน้ำโห



รินส่ายหน้าใจเย็น “เปล่าค่ะ หมายถึงคนที่ถูกจ้างที่ว่า...คนงานที่บ้านน่ะค่ะ”



“แล้วทำไม...” คินไม่เข้าใจ



“เพราะเขาก็ถูกพี่เรย์บังคับให้ทำเหมือนกัน พูดง่ายๆ ก็ถูกขู่น่ะแหละค่ะ”



“แต่วันนั้นได้ยินว่าได้เงินด้วยนะ เรย์จ่ายเงินค่าจ้างให้นี่” ทรายพูดขึ้น เพราะจำได้



“เขาไม่ได้เอาเงินนั้นไปทำอะไรเลยค่ะ คืนให้รินมาแล้วด้วย” รินว่า “นามและแม่ของเขาถูกคุณพ่อช่วยเหลือเอาไว้จึงมีที่พักอาศัยแล้วก็ได้เรียนด้วยแต่ทั้งคู่ก็ทำงานที่บ้านเป็นการทดแทน แต่พี่เรย์ทำเหมือนเขาเป็นทาสแถมขู่ว่าจะฟ้องคุณพ่อด้วยถ้าหากไม่ทำตาม...กับคนที่เป็นลูกชายของผู้มีบุญคุณนามคงไม่อยากจะปฏิเสธน่ะค่ะ”



“แต่นี่ให้มาทำร้ายคนอื่นนะเว้ย! จะเชื่อฟังยังไงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ!” ดินโมโห ฟังแล้วไม่เห็นเข้าใจ



“ไม่ใช่ทำร้ายคนอื่นค่ะ ทำร้ายตัวเองให้คนอื่นเข้าใจผิดต่างหาก” รินแก้ความเข้าใจผิด



“...” ดินอึกอัก เถียงไม่ออก ก่อนจะกอดอกพูดเปลี่ยนเรื่อง “แล้วไงล่ะ มันสำนึกผิดก็ใช่ว่าจะไม่มีความผิดสักหน่อย”



“ค่ะ นามบอกว่าถ้าจะให้เป็นพยานยืนยันเรื่องความผิดของพี่เรย์ล่ะก็เรียกได้ตลอดเลย เขาก็คงกลัวเหมือนกันว่าจะถูกพี่เรย์ใช้ไปทำอะไรไม่ดีอีกรึเปล่า”



“ถ้าไม่ได้มีเจตนาอย่างที่รินว่า พี่ก็ไม่อยากเอาเรื่องหรอก” คินนิ่งคิดก่อนจะพูดขึ้น แต่ผิดกับเอกที่แย้งถาม



“จะดีเหรอวะคิน”



“อืม ก็เขาบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะช่วยเป็นพยาน แล้วอีกอย่าง...” คินก้มหน้ามองชะเอม “ถ้าเอมฟังอยู่ด้วยล่ะก็ เขาก็คงยกโทษให้คนที่ชื่อนามไปแล้วล่ะ”



ไม่งั้นร่างบางคงไม่ปิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกหรอก



“แต่กับเรื่องนี้มันไม่เหมือนกัน เจตนาครั้งนี้มันจงใจอย่างเห็นได้ชัด แถมผลลัพธ์มันก็ร้ายแรงเกินกว่าจะให้อภัยได้”

"พี่พูดเรื่องคะ" รินถามสงสัย



"ที่ชะเอมอาการกำเริบและเป็นอยู่ตอนนี้เนื่องจากกินยาผิดตัวเข้าไป เพราะมีคนสลับขวดยา"



"นั่นมัน..."



"พี่คาดว่าเรย์น่าจะเป็นคนทำ ครั้งนี้เรย์น่ะ...เกือบจะฆ่าเอมจริงๆ แล้ว ถ้าพวกพี่พามาโรงพยาบาลไม่ทัน" ยิ่งนึกยิ่งแค้นจนกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน



สาได้ยินแล้วปิดปากร้องไห้น้ำตาไหล "อะไรกัน..พี่ชะเอมเขาไปทำอะไรให้เหรอคะถึงต้องทำร้ายกันถึงขนาดนี้"



คินยิ้มเศร้าก่อนจะหันมาถามรินต่อ "พี่เลยอยากรู้ว่าช่วงนี้เรย์ทำอะไรกับใครที่ไหนบ้าง เพราะพี่ไม่เจอเขาเลย"



คิ้วบางขมวด ช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้คุยกับพี่ชายซะด้วยสิ "พี่เรย์หมกตัวอยู่แต่ในห้อง...บางครั้งก็หายออกไปข้างนอกแล้วกลับมาซะดึก ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะเรื่องนี้"



ในขณะที่ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป เธอไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น



พี่เรย์ พี่กำลังคิดอะไรอยู่...ทำไมพี่ถึงทำอะไรแบบนี้



ถ้าคุณพ่อรู้เรื่องล่ะก็...



"อย่างนี้เราก็ไม่มีทางรู้ตัวคนทำเลยสิ" สินถามเสียงเครียด



"นี่พวกเราจะต้องปล่อยให้ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรตามใจแล้วลอยนวลไปแบบนี้เหรอ กูไม่ยอมนะเว้ย" ดินว่าอย่างโมโห ก่อนจะชะงักเมื่อคนที่แก่ที่สุดเอ่ยขึ้น



"อาถามอะไรหน่อยได้มั้ย" เสียงทุ้มนุ่มทำให้บรรยากาศมาคุในห้องลดลงพอสมควร "ที่อาฟังมาทั้งหมดมันน่าเหลือเชื่อมาก อาน่ะเคยเจอเรย์ครั้งหนึ่ง เขาดูไม่เหมือนเด็กที่ทำแบบนั้นได้เลยนะ...ถึงอาจะไม่รู้จักเด็กคนนั้นดีเท่าพวกเธอก็เถอะ...เขาจะทำเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร"



พอได้ยินคำถาม ในห้องก็เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ไม่มีใครสามารถตอบได้



"ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะเรย์ชอบคินมากก็ได้นะครับ" เอกพูดขึ้นมา แต่นั่นทำให้คนไม่เข้าใจขมวดคิ้ว



"แค่ความรักทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ"



"หนูว่านิสัยเขาเปลี่ยนไปด้วยนะคะ จากตอนที่เจอกันครั้งแรก แบบว่าดูอารมณ์รุนแรงมากขึ้น" เม็ดทรายยังจำได้ดี วันนั้นที่พอเรย์โมโหขึ้นมาก็ตะคอกด่าตาแดงก่ำ ไม่สนใจใครทั้งนั้น แถมยังทำลายข้าวของของทางร้านจนเสียหายอีกต่างหาก



"อันนี้ฉันเห็นด้วยค่ะ"



กฤษณะกุมคาง พึมพำเบาๆ "...ปัญหาทางจิตหรือ"



รินหน้าซีด "นี่พี่เรย์เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ"



"จากที่อาได้ยินถ้าทำได้ถึงขนาดวางแผนจะฆ่าแกงกันเนี่ยก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน...แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้นอกจากต้องลองตรวจดูอย่างละเอียดอีกที"



"แล้วเอาไงต่อ"



"นี่...ขวดนั้นน่ะถ้าส่งให้ตำรวจตรวจสอบลายนิ้วมือได้รึเปล่า" คินเสนอ



"แล้วจะหาคนทำได้ไงล่ะ" ทุกคนมองหน้ากัน



ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก



"กูรู้แล้วว่าจะทำยังไง" เอกยิ้มมุมปากทำให้ทุกคนหันมอง "ก็ทำให้คนร้ายแสดงตัวออกมาเองก็หมดเรื่อง"



************************Whose fault? ************************



เพจติดตามคนดัง



'ทอล์คออฟเดอะทาวน์!



แอดมินสาวกน้องคินน้องชะเอมขอใช้พื้นที่ของเพจติดตามคนดังมาประกาศข่าวร้าย



หลายๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันแข่งกีฬากรีฑาที่สนามฟุตบอลอาจจะรู้และเห็นแล้วว่าตอนนี้น้องชะเอมเป็นโรคหัวใจและอาการกำเริบนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งจะไม่ใช่เรื่องร้อนอะไรเลยถ้าหากนี่ไม่ใช่ฝีมือของคนเลวที่บังอาจสับเปลี่ยนขวดยาที่น้องชะเอมพกอยู่เป็นประจำ ทำให้อาการของน้องย่ำแย่จนเกือบถึงชีวิต (เรื่องจริงนะคะไม่ได้ล้อเล่นยืนยันจากแพทย์ประจำตัวของน้องแล้ว)



และขวดยานั้นก็ถูกส่งให้ถึงมือตำรวจและตรวจสอบลายนิ้วมือเรียบร้อยแล้วด้วย บวกกับมีการแจ้งความข้อหามีเจตนาเอาชีวิตผู้อื่น ถ้าหากคนทำเห็นข้อความนี้ โปรดออกมามอบตัวเสียโดยดีนะคะ ถ้าไม่อยากให้ตำรวจแวะไปถึงที่บ้าน นอกจากนี้โทษจะได้ลดลงจากหนักเป็นเบาด้วยนะคะ



แอดมินได้รูปภาพของคนทำมาแล้ว อย่าให้ถึงขั้นแฉลงโซเชียลเลยค่ะเพราะคุณคงไม่สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติอีกต่อไป



ปล.โปรดแชร์ให้คนเลวได้รู้ตัว จะได้รู้ว่าการทำเลวอยู่บนโลกนี้อย่างสงบสุขไม่ได้ค่ะ!



ขอขอบพระคุณชาวโซเชียลที่ช่วยกัน'



100k liked  12.4k ความคิดเห็น  20k shared



ปลาฉลามขึ้นบก : คนทำเลวจริงๆ ชะเอมก็ดูบอบบางอยู่แล้วยังไปทำเขาได้อีก



Rasa : พี่ชะเอมน่าสงสารมากค่ะ ทำกันแบบนี้พี่คินจะต้องไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลแน่นอน



Hokkins : ใครบังอาจมาทำลูกรักของคณะเรา มันต้องโดนประนาม!!! ทำกันแบบนี้ต้องแฉไม่ให้มันไปผุดไปเกิดอีกเลยค่ะถึงจะดี!



J : อยู่โรงพยาบาลไหนครับ อยากไปเยี่ยมจัง



ตามตม : คนทำไม่รู้หรือจงใจ แต่ไม่รู้นี่ก็เกินไป ส่วนถ้าจงใจนี่ก็ควรส่งมันลงนรกนะครับ



ชาติชายชาตรี : @ตามตม พูดดีครับตม



ตามตม : สุดหล่อก็งี้แหละครับชาย @ชาติชายชาตรี



MaEgh : ขอให้น้องหายไวๆ



Pakin : ตอนนี้เอมอาการทรงตัวแล้ว ขอบคุณทุกๆ คนที่เป็นห่วง ถ้าชะเอมได้สติขึ้นมาก็คงจะดีใจเหมือนกัน ส่วนเรื่องคนร้ายทางเรากำลังดำเนินคดี และผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด



สามเกลอ : สู้ๆ ครับ



Rasa : หายไวๆ นะคะพี่ชะเอม



Hokkins : เจ๊เอาใจช่วยค่ะ ขอให้น้องชะเอมหายไวๆ

"เห้ย มึง เห็นในเฟสป่ะวะ นั่นมันคนที่เราไปเปลี่ยนยานี่หว่า เรื่องมันใหญ่ขนาดนี้ได้ไงวะ เหี้ยเอ๊ยทำไงดี" คนพูดยกมือขย้ำหัวตัวเองอย่างกระวนกระวาย หน้าซีดร้อนรนผิดปกติ



"ก็ไหนเรย์บอกว่าไม่เป็นไรไง... โธ่เว้ย!" อีกคนเตะเก้าอี้พลาสติกจนปลิวกระเด็นไปกระแทกกำแพงเสียงดัง "แม่งหลอกเรา!"



"รีบโทรหามันสิวะ!"



อีกคนรีบกดเบอร์โทรออก แต่ไม่มีเสียงตอบรับ "มันไม่รับว่ะ...ทำไงดี นี่กูต้องโดนตำรวจจับเข้าคุกใช่มั้ยวะ"



เมื่อคนหนึ่งเริ่มขวัญเสีย คนอื่นๆ ก็เริ่มสั่นกลัวตามมาไม่แพ้กัน ไม่นึกว่าการรับจ้างที่ได้เงินเยอะและดูอะไรๆ มันจะง่ายดายสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้



"หรือเราจะยอมมอบตัว ถ้าเราบอกว่าถูกจ้างมาเขาอาจจะไม่เอาผิดเราก็ได้"



"บ้าหรือไง ใครจะไปเชื่อ"



"แล้วทำไมถึงไม่รับสายวะเนี่ย!?"



"ทำไงดี ทำไงดี"



เกิดความวุ่นวายขึ้นใหญ่ เพราะข้อความที่ถูกโพสต์ลงเพจติดตามคนดังบอกว่าถ้าไม่ยอมไปมอบตัวจะถูกแฉหน้าลงโซเชียลด้วย มีหวังพวกเขาทุกคนคงโดนไล่ออกแถมไม่มีหน้าไปเรียนที่ไหนต่อด้วย แล้วจะหางานทำก็ยาก...พูดได้เลยว่าหมดอนาคต



เพียงเพราะหลงเชื่อคนพรรค์นั้นและความโลภในเงินทอง



ตึง!



“ทุกคนใจเย็นๆ” คนที่ทุบโต๊ะเสียงดังพูดขึ้นเสียงเรียบทั้งที่ใบหน้ามีเหงื่อผุดซึม “กูว่ามันต้องหลอกพวกเราแน่ๆ จริงๆ แล้วมันยังไม่รู้หรอกว่าเราเป็นคนทำ ถึงจะมีรอยนิ้วมือแต่ถ้าไม่เอาไปเทียบก็ไม่สามารถฟันธงได้ว่าคนร้ายคือใคร”



ฟังดูแล้วมีเหตุผลจนใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความหวัง “จริงเหรอ?”



“เออ พวกเราต้องอยู่เฉยๆ อย่ามีพิรุธ...”



แกร๊ก...



“โอ๊ะโอ๋...กูว่าพวกมึงคงจะอยู่เฉยไม่ได้แล้วล่ะนะ”



“!!!”



“อย่าขยับ ถ้าไม่อยากให้หัวของเพื่อนมึงมีรูไปประดับ” ชายถือปืนจ่อศีรษะยิ้มเหี้ยม เป็นคนที่ใส่หมวกแก๊ปดึงปีกหมวกปิดหน้าซะมองไม่เห็นว่าเป็นใคร “แล้วก็อย่าโวยวายด้วย”



ชายร่างสูงอีกคนเดินเข้ามาล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างน่าเกรงขาม แต่คนๆ นี้ไม่ได้ปกปิดใบหน้าแต่อย่างใด เมื่อขายาวก้าวเข้ามาจนแสงสาดส่องก็เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราฮอลลีวูด “ไอ้พวกนี้เหรอวะ”



“ใช่ กูเห็นพวกมันสุมหัวกันตั้งแต่ครั้งแรก”



“อ้อ...” ชายหน้าหล่อรับคำเสียงนิ่งเข้าใจความหมายกันแค่สองคน ก่อนที่จะเดินเข้ามากระชากผมหัวโจกจนหงายเงิบ



แกร๊ก!



“กูบอกว่าอย่าขยับไง หรืออยากได้รูบนหัว” ชายอีกคนหน้าซีดตัวสั่นขลาดกลัวเห็นท่าไม่ดีก็เลยว่าจะชิ่งหนี แต่ชายใส่หมวกตาไวเหลือเกิน มืออีกข้างที่เคยล้วงกระเป๋าเสื้อควักออกมาจ่อ มันคือปืนดำเลื่อมอีกกระบอก...สรุปชายคนนี้ถือปืนสองข้าง ไม่ได้ถือไว้ขู่เล่นๆ เพราะชายคนนี้ถนัดทั้งสองมือ



“ขะ ขอโทษครับ! อย่ายิงนะ...” คนขี้ขลาดบอกเสียงสั่น ยกมือขึ้นบังราวกับจะช่วยอะไรได้



คนถือปืนเดาะลิ้นขัดใจ “กูบอกว่าอย่าเสียงดังไง เดี๋ยวยิงแม่งเลย”



“ใจเย็นๆ สิธาร” เสียงทุ้มเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะดังขึ้นจากหนุ่มหน้าหล่อ และปืนที่จ่อเล็งเป้าหมายก็ละลงตามคำสั่ง แต่ก็ไม่ประมาท



“พวกมึงเป็นใคร” หัวโจกถามขณะที่ยังถูกจิกหัวอยู่ “ต้องการอะไร”



“ไม่ได้ต้องการอะไร”



“...”



“แค่จะมาบอกว่าอย่าคิดหนี” มือที่ล้วงกางเกงชูบางอย่างขึ้นในระดับสายตา มันคือเครื่องบันทึกเสียง “เพราะพวกกูมีหลักฐาน”



ชายหน้าหล่อยิ้มกริ่ม กดปุ่มเล่นมันซะก่อนที่คนทั้งห้องก็ตื่นตะลึง เพราะมันคือเสียงของพวกเขาและนายจ้างที่เคยตกลงกันเรื่องงานถูกบันทึกเอาไว้...ตอนนั้นมีคนแอบฟังอยู่ด้วย!?



ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาหย่อนไอพอดลงกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม ก่อนจะพูดเสียงนุ่มอีกครั้ง “คงได้ยินกันแล้วนะ แต่กูจะให้โอกาสพวกมึงได้ไปมอบตัวด้วยตัวเอง...โดยไม่ส่งหลักฐานชิ้นนี้ไปด้วย”



“...”



“เพราะฉะนั้น...กูก็หวังว่าพวกมึงจะทำตัวกันดีๆ” มือใหญ่ที่จิกทึ้งปล่อยเป็นอิสระ ก่อนจะปัดมือกับกางเกงอย่างรังเกียจ และก้าวเดินออกจากรังสุมหัวไป ไม่ลืมทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยเสียงที่น่าขนลุก



“เข้าใจแล้วนะ”



************************Whose fault? ************************

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-03-2019 00:16:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 09-03-2019 18:42:47
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 09-03-2019 23:31:18
โอ้ยยย กำลังเข้มได้ที่เลย ฉับกันซะงั้น ลุ้นไปด้วยเลย
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 12-03-2019 12:36:56
ตื่นเต้นๆ มาต่ออีกนะครับ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 39 08/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 14-03-2019 00:21:09
ลุ้นมากเลย,,,
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 15-03-2019 21:24:04


                                             Whose Fault ?

                                              ผิด...ครั้งที่ 40



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



"เห็นว่าคนทำมามอบตัวแล้ว" เอกที่นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟาริมห้องผู้ป่วยห้องใหญ่สำหรับวีไอพีหันมาบอกคินที่นั่งข้างเตียงผู้ป่วย ก่อนจะกลับไปคุยในสาย "ขอบคุณมากครับพ่อ"



"เส้นสายใหญ่จริงๆ เลย" ร่างบางที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยปิดปากหัวเราะเสียงใส ทำให้คินเอ่ยเสียงดุๆ



"เอม นอนพักสิ"



"ก็เอมนอนพักมาทั้งวันแล้วนี่นา เอมเบื่อ" แก้มใสซีดเซียวพองลมงอนๆ



"ที่คินบอกเพราะเป็นห่วงนะ"



"เอมรู้ครับ..." ชะเอมยอมแพ้ ก่อนจะค่อยๆ เอนตัวลงโดยมีคินประคองอยู่ข้างๆ "แล้วคินจะทำยังไงกับเรย์เหรอ"



"เอาผิดตามกฏหมาย" เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่นไร้ความปราณี...หมอนั่นผิดเองที่ทำกับชะเอมแบบนี้



"แล้วเรย์จะยอมรับผิดเหรอ"



"พยานเยอะแยะขนาดนี้ คงหนีไม่รอด" เอกลุกขึ้นเดินมาข้างเตียงที่ชะเอมนอนอยู่ ก่อนจะยิ้ม "ไม่ต้องกลัวนะ เพราะตำรวจต้องจับคนผิดได้แน่...พวกมันทุกคน"



"มีเอกก็เลยช่วยได้เยอะเลย ขอบคุณนะ...ขอบคุณคุณพ่อด้วย" เสียงใสเอ่ยอย่างจริงใจ



"ไม่เป็นไรหรอกน่า...เรื่องเล็ก ทุกๆ คนเขาก็เป็นห่วงเอมกันทั้งนั้น เราก็เหมือนกัน"



"แล้ว..." ร่างบางขมวดคิ้ว เม้มปากแน่น "แล้วถ้าเรย์ถูกจับจริงๆ จะถูกลงโทษอะไรบ้าง"



"โทษที่คิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาหรือไตร่ตรองไว้ก่อนน่ะมันหนักหนามาก" เอกยิ้มนิดๆ แต่ในใจก็หนักอึ้งไม่แพ้กัน "ถ้าไม่ประหารชีวิต...ก็อาจจะติดคุกตลอดชีวิต"



ทั้งห้องเงียบไป ราวกับสิ่งที่ได้รับรู้มันอาจจะหนักหนาเกินกว่าที่คิด



"สมควรแล้วล่ะ" คินพูดขึ้นมา ไม่ได้แคร์สักนิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนสนิทหรือแฟนเก่า



ชะเอมเงียบไปไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาก็เข็ดมากเช่นกันที่ถูกทำถึงขั้นปองร้ายจะเอาชีวิต ยังจดจำความเจ็บปวดได้อยู่เลย...ตอนนี้ก็ยังเจ็บหนึบๆ เพียงแค่ขยับตัว



"ยังไงเอมก็พักผ่อนตามที่คินบอกไปก่อนดีกว่านะ เอาไว้หายดีแล้วจะได้ออกไปเดินเล่นได้" เอกบอกก่อนจะหันไปพูดกับคิน "เดี๋ยวกูจัดการเรื่องนั้นให้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะโทรมาบอก"



"ขอบคุณมากเอก กูขอบคุณจริงๆ" คินมองหน้าเอกยิ้มๆ ไม่รู้จะเอ่ยยังไงให้สมกับที่รู้สึกตอนนี้...อยากจะขอบคุณมากกว่านี้ด้วยซ้ำ...ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้ หรือตอนนี้



เอกหัวเราะหึ "มึงติดหนี้กูแล้วคิน"



"...จะให้ใช้เมื่อไหร่ก็บอก" เขาพร้อมเสมอเพื่อเพื่อนคนนี้



"เออ เจอกัน"



หลังจากที่ประตูปิดลง ร่างสูงก็ทรุดลงนั่งอีกครั้ง และเลิกคิ้วมองหน้าชะเอมที่ยังนอนตาแป๋วแหวว



"ยังไม่หลับอีกเหรอ"



"ก็เอมไม่ง่วง..."



คินยิ้มบาง มันทั้งดูจืดเจื่อนและโศกเศร้า "ยังเจ็บ...อยู่รึเปล่า"



"ครับ นิดหน่อย" ชะเอมตอบตามจริง ไม่โกหก



พอมือใหญ่ยกขึ้นมากุมแน่นนิ่งเงียบไป ก็รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตากลมโตพิศมองใบหน้าคมหล่อเหลาที่มีรอยช้ำข้างแก้มและรอยแตกตรงมุมปากและจมูกโด่ง



ถึงจะมีรอยตำหนิ แต่ก็ยังดูดีสมกับเป็นเดือนคณะจริงๆ



"เจ็บมั้ยครับ"



คนที่กำลังเหม่อ เลิกคิ้วมองมางงๆ เล็กน้อยก่อนจะรู้ตัวว่าถูกถามเรื่องอะไร "อ๋อ...ไม่เจ็บหรอก..."



"..."



เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ชะเอมอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่พอจะพอจะพูดมันก็...



'เป็นไงบ้าง'



'อื้ม โอเคแล้วล่ะ'



'นี่สิน...แผลที่หน้าของคินน่ะ อาหมอบอกเราว่า...' เขาถามขึ้นมา ไม่ได้อยากกล่าวโทษ แต่แค่อยากรู้ว่าทำไม...



'ต้องขอโทษแทนดินมันด้วย แต่ว่าเราก็อยากให้เอมเข้าใจมันนะ'



'เรา...'



'ดินมันแค่เป็นห่วงนายเท่านั้นเอง' ร่างสูงมองใบหน้าหวานซีดเซียวที่บอกว่าโอเคขึ้นแล้ว แต่ก็ยังดูน่าเป็นห่วง 'พวกเราก็โกรธคินเหมือนกันนะที่ทำให้เอมเป็นแบบนี้ ถ้าจะให้ทนมองอยู่เฉยๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้'



'...'



'เพราะว่านายไม่เคยบอกอะไรพวกเราที่เป็นเพื่อนเลย แม้จะเป็นเพื่อน...ก็ไม่ได้วางใจถึงขนาดอยากเล่าให้ฟังทุกเรื่องสินะ'



เสียงใสแย้งขึ้นทันที 'ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่...เราแค่...!'



หยาดน้ำตาคลอหน่วย...ทำไมล่ะ มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ



'ไม่เป็นไร...อย่ากังวลไปเลย แล้วก็ทำใจสบายๆ เดี๋ยวอาการแย่ลงแล้วไอ้คินมันจะมาด่าเราเอา' เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน มือใหญ่ยกลูบผมนุ่มของคนที่ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ 'เรารู้ว่าเป็นห่วง แต่รู้มั้ยว่าทั้งราม ทั้งเรา ทั้งดินมันก็เป็นห่วงเอมไม่แพ้กัน ...เพราะอย่างนั้นช่วยเชื่อใจพวกเราให้มากกว่านี้หน่อยได้มั้ย'



'...'



'พึ่งพากันบ้าง...'



มือบางกำผ้าปูที่นอนแน่น เขาทำให้พวกดินเป็นห่วงโดยที่ไม่เคยรู้เลย



"เอมรู้แล้วว่าดินเป็นคนทำ..." ริมฝีปากบางเม้มแน่น ไม่พูดต่อแต่ร่างสูงก็รู้ว่าร่างผอมบางต้องการจะบอกอะไร



"คินโกรธดินมั้ยครับ?"



"ไม่โกรธ...ไม่โกรธหรอก" เสียงทุ้มตอบทันที เห็นสีหน้ากังวลและคิ้วขมวดแล้วคินก็หัวเราะ "ทำไม กลัวว่าคินจะไม่ถูกกับเพื่อนของเอมเหรอ"



หัวทุยพยักหงึกหงัก หน้าซึม



"เอมมีเพื่อนที่ดีนะ...เพื่อนที่คอยเป็นห่วงหรือรู้สึกแทนกันแบบนี้หาได้ยากมาก" คินยกมือลูบรอยช้ำตรงแก้ม ยังจำความโกรธเกรี้ยวและความเจ็บปวดในแววตานั้นได้...เจ้าพวกนั้น



ชะเอมยกยิ้มบาง "ครับ ดินเป็นเพื่อนของรามอีกที รามเป็นคนพามารู้จักน่ะ"



เขารู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้รู้จักเพื่อนทั้งสามคน



'นี่นาย เป็นอะไรหรือเปล่าหน้าซีดๆ นะ'



ยังจำได้ถึงครั้งแรกที่เราเจอกันบนรถเมล์



ในความโชคร้าย ยังมีความโชคดี



ทำให้เขาได้เจอเพื่อนแท้



"พูดถึงราม หมอนั่นมาเยี่ยมด้วยนะ ตอนที่เอมยังหลับอยู่"



"รามเหรอ?" ดวงตากลมโตขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้เจอรามมาซักพักแล้ว ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุคราวนั้นเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน แล้วรามก็ไม่ได้มามหาลัยอีกเลยเพราะต้องนอนพักเนื่องจากขาและแขนข้างหนึ่งใช้งานไม่ได้



ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ?



"แล้วมาได้ยังไงครับ รามหายแล้วเหรอ" เขายังจำได้ว่าวันนั้นหมอดามขาของรามแพลง และห้ามใช้งานมัน สองเดือนกว่าจะหายสนิท



"อ่า..." คินกลอกตา ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ "ก็มากับ...ติม แต่พอเห็นเอมหลับอยู่ก็กลับไปน่ะ"



"เหรอ สองคนนั้นดีกันแล้วสินะ" เสียงใสพูดอย่างโล่งอกสบายใจ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ...ไม่งั้นคงไม่ดูแลรับส่งกันแบบนี้หรอกเนอะ ชะเอมคิดอย่างแง่บวก



แต่คินกลับนั่งนิ่งไม่แก้ไขความเข้าใจผิด เพราะสิ่งที่เขาเห็นมันตรงกันข้ามมากกว่า



"เอาล่ะ สบายใจก็นอนได้แล้วสิ หืม" คินลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะจัดผ้าห่มให้คลุมร่างผอมดีๆ ยกมือปัดหน้าม้าที่ปรกหน้าผากมนออกและก้มลงแนบริมฝีปาก



แผ่วเบา...อ่อนโยน



ดวงตากลมจ้องมองที่ใบหน้าหล่อเหลาแล้วทำให้นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...ก่อนที่เขาจะหลับไป



"คิน..."



"หืม?"



"ตอนนั้น...เอมนึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคินอีกแล้ว" คินฟังแล้วนิ่ง ก่อนจะช้อนมือขาวซีดขึ้นมากุม มันอุ่นขึ้นมานิดหน่อย ให้ความรู้สึกดีกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก



"เอมกลัวมากเลย" เสียงใสสั่นเครือ ทำให้คนฟังสะเทือนใจ



...ความหวาดกลัว...ที่ต้องจากลา...



"...คินก็...กลัวเหมือนกัน..." สัมผัสได้ถึงมือใหญ่ที่สั่นระริก "นึกว่าจะไม่ได้คุยกับเอมอีกแล้ว"



ทำไมกันนะ? ทำไมทุกครั้งที่เกิดเรื่อง เขาถึงไม่ได้อยู่ข้างกายร่างบาง...แต่กลับเป็นคนอื่น?



"เอมขอโทษ...ที่ทำให้เป็นห่วง"



"คินก็ขอโทษเหมือนกัน...สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง..." คินก้มต่ำหยาดน้ำตาไหลกระทบหลังมือสีซีด มันทำให้คนมองเจ็บปวด "เป็นเพราะคิน..."



"ไหนบอกว่าจะไม่โทษตัวเองแล้วไงครับ" ชะเอมบอกพลางดึงมือใหญ่มาแนบอก "สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ"



ใบหน้าคมเงยขึ้น หยาดน้ำตาเหือดแห้งราวกับว่าความอบอุ่นของชะเอมถูกส่งมาทำให้น้ำตาระเหยไป



ตึกตัก...ตึกตัก



แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ยังสัมผัสได้ ก้อนเนื้อในนั้นยังคงเต้นดัง...เป็นจังหวะ



พอสบดวงตากลม ริมฝีปากคมก็ยิ้มออกมาจนได้ ทำให้ชะเอมยิ้มเผล่ "เดี๋ยวนี้คินกลายเป็นคนขี้แยแทนเอมแล้วสิเนี่ย"



คำล้อทำให้เสียงทุ้มหลุดหัวเราะ และเอ่ยกลับด้วยคำที่ทำให้แก้มใสพองลม "ก็คงติดคนแถวนี้มาแหละ"



"ว่าเอมอีกแล้ว ...จะงอนจริงๆ แล้วนะ" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ใบหน้ายิ้มแย้ม แถมยังจับมืออีกฝ่ายไว้แน่นพลิกตัวนอนตะแคงหันเข้าหาร่างสูงและค่อยๆ ปรือตาลง



คินยิ้มน้อยๆ ลูบหัวทุยที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มแผ่วเบา "นอนเถอะ อย่าฝืนนัก"



"คินก็เหมือนกัน อย่าฝืนนะครับ เอมเป็นห่วง"



"ครับ"



"เอมรักคิน..." เสียงใสพึมพำเหมือนคนละเมอ แต่ถึงกระนั้นก็รู้ว่ามันมาจากใจจนต้องบอกกลับไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนกัน



"...คินก็รักเอม"





************************Whose fault? ************************





"บอกแล้วไงว่าผมถูกจ้างมา ทำไมถึงไม่เชื่อผม! ผมไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย!" ภายในสถานีตำรวจมีเสียงดังจอแจขึ้นเนื่องจากกลุ่มชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่มาโวยวายเสียงดัง ทั้งๆ ที่ทำความผิดแต่กลับไม่มีความสำนึกแม้แต่น้อย



"พวกคุณช่วยสงบสติอารมณ์หน่อยนะครับ ทางเราจะขอตรวจสอบประวัติก่อน"



"ผมแค่จะมาบอกเท่านี้ ว่าผมไม่ได้เป็นคนวางแผน ผมแค่ทำตามที่ว่าจ้างบอกแค่นั้น แล้วพวกผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในขวดยานั่นมันคืออะไร!?"



"แต่ของกลางมีลายนิ้วมือของพวกคุณทุกคน จะแก้ต่างอะไรก็ฟังไม่ขึ้นหรอก" เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังทำให้เหล่าคนทำผิดสะดุ้งหันขวับ



"คุณเอกวิน"



เอกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มหัวทักทายตำรวจทุกคนในที่นี้ที่อาวุโสกว่าเขา แต่ที่เรียกอย่างสุภาพเพราะเอกเป็นลูกชายของคนใหญ่คนโต ถ้าไม่ทำงั้นขืนคุณเอกวินไม่พอใจพวกเขามีหวังถูกเฉดหัวส่งแน่!!



...แต่ว่าเอกไม่เคยทำกับใครแบบนั้นสักคน...พวกนั้นคิดไปเองทั้งนั้น...



"มึงเป็นใคร..." คนที่เหมือนเป็นหัวโจกพูดขึ้นตาขวาง



"ก็เป็นคนที่ล่อพวกมึงมาที่นี่ไงล่ะ" เอกพูดพร้อมแบ้มรอยยิ้มแสยะน่าขนลุก "มีหลักฐานมัดตัวขนาดนี้ก็อย่าหวังว่าจะรอดจากคุกไปได้"



"กะ ก็บอกแล้วไงว่าพวกกูไม่ได้ตั้งใจ!! แค่ถูกจ้างมาไม่เข้าใจหรือไงวะ ใช่มั้ยพวกเรา!"



ต่างคนต่างพากันพยักเพยิดตาม



"ใช่ๆ"



"ผู้ว่าจ้างให้เงินเท่าไหร่ล่ะ ถึงจ้างให้ไป 'ฆ่า' คนแล้วพวกมึงก็ยังยอม...คงมากพอดูสินะ หือ"



"ไม่ได้ฆ่านะ!!"



"..."



คนขี้ขลาดหน้าซีดตาลึกโหลคนหนึ่งตะโกนลั่นทั้งๆ ที่ปากสั่น "พะ พวกเราไม่รู้สักหน่อยว่ายาในขวดนั่นน่ะ..."



"ไม่รู้? ถ้าใช้คำนี้แล้วคิดว่าตำรวจจะปล่อยพวกมึงไปล่ะก็คิดผิด" ใบหน้าคมจ้องเย็นเยียบกดดัน "เพราะยังไงการที่มึงทำให้คนๆ หนึ่งเกือบตายนั่นก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้"



"แต่มันก็ยังไม่ตายใช่มั้ยล่ะ"



ฟังเสียงระรื่นที่ของคนหัวโจกพูดที่ทำสีหน้ายียวนแล้วทำให้ร่างสูงข้างๆ เอกที่มาด้วยอีกคนกำหมัดแน่นและพุ่งออกไปไม่ทันตั้งตัว



"ไอ้เลวเอ๊ย!!"



ผัวะ!!



"โอ๊ย!"



พลั่ก!



ยังไม่พอ ร่างสูงตึงใช้เท้าถีบที่สีข้างคนเดิมอย่างแรงจนกระเด็นไปนอนที่พื้น



"เห้ย คิน ใจเย็นดิวะ"



"ใจเย็นเหี้ยไร มึงฟังที่มันพูด!"



"กูฟังอยู่หรอกน่า แต่มึงก็ใจเย็นหน่อยไม่งั้นกูจะให้ตำรวจหิ้วมึงออกไป" เอกพูดเสียงเย็นทำให้คินสะบัดตัวออกและจัดเสื้อผ้า



"ไอ้ห่านี่!" คนที่ล้มลงหมดสภาพเช็ดเลือดที่ปากและเตรียมจะพุ่งเข้ามาแต่โดนตำรวจล็อคตัวไว้



"มึงต้องโดนตำรวจจับ ใครๆ ก็เห็นว่ามันทำร้ายผม ...ต่อหน้าต่อตา!"



"กูเอาคืนต่างหาก" คินตอบเสียงเข้มไม่สะทกสะท้าน สายตาคมกริบกวาดมองหน้าทุกคนที่อยู่ในความทรงจำ "ไม่ใช่แค่มึง ...แต่พวกมึงทุกคน อย่าคิดว่ากูจำไม่ได้"



"มึงพูดเรื่องเหี้ยอะไร!"



"คิน มึงหมายความว่า?"



"พวกมันคือคนที่ลอบมาทำร้ายชะเอมก่อนที่จะเกิดเรื่อง...ผู้ว่าจ้างคงสั่งมาล่ะสิ"



คราวนี้พวกมันหน้าซีดปากสั่นกันทุกคน



"ความผิดสองกระทงแล้วสินะ" เอกถอนหายใจ บอกให้ตำรวจจดข้อกล่าวหาเพิ่มเข้าไปอีกข้อ



"ถ้ายังไม่ยอมรับ ก็ไปเปิดกล้องวงจรปิดที่มหาลัยดูได้ เพราะกูจำได้หมดว่ามันเกิดที่ไหนบ้าง...ทุกเหตุการณ์...ทุกสถานที่" คินหัวเราะหึ "มันจะต้องมีหน้าของพวกมึงปรากฏอยู่ในนั้นแน่นอน"



ดวงตาคมกริบเย็นชา



จะไม่ให้อภัย...กับคนที่มาทำร้ายนาย



"ก็ลองจับพวกกูเข้าคุกดูสิ กูจะบอกพ่อกูแน่ว่าพวกมึงใส่ร้าย!" หัวโจกตะโกนกร้าวอย่างไม่ยอมแพ้ พลันเอกหลุดหัวเราะเสียงดังจนตำรวจในกรมสะดุ้ง ร่างสูงขำจนต้องกุมท้องที่หัวเราะจนปวด



"โทษทีๆ ฮะๆ อะไรเนี่ย กูเพิ่งเคยเห็นคนที่แถจนเลือดออกซิบๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกเลย..."



"กูไม่ได้พูดเล่นนะโว้ย!! ถ้าอยากลองดีกับพ่อกูก็ลอง..."



"ก็ลองดูสิ! ถ้ามึงคิดว่าพ่อมึงจะมีอำนาจหรือบารมีมากพอจะต่อกรกับคดีครั้งนี้ได้ก็ลองดู!"



คนที่ทำผิดแล้วคิดจะเอาเงินกลบฟังแล้วกัดฟันกรอด ทำไม...อะไรที่ทำให้มันมีความมั่นใจถึงขนาดนั้นกัน



"ถ้ามึงคิดว่าผู้ปกครองของคนที่เสียหายจากการกระทำของพวกมึงในครั้งนี้จะยอมล่ะก็ มึงคิดผิดแล้ว"



เอกวินไม่ได้โอ้อวดแต่อย่างใด กับภาคินนั้นว่าน่ากลัวแล้ว แต่เทียบไม่ได้กับบิดา เกษมศักดิ์ อนันต์โภคทรัพย์จะไม่มีทางยอมอย่างแน่นอนที่มาทำร้ายคนสำคัญของเขา



"ตัดใจซะเถอะ จะดิ้นยังไงพวกมึงก็ไม่มีทางรอดอยู่แล้ว" เอกยิ้มแสยะ พูดเสียงเหี้ยมจนคนฟังตัวสั่น "แต่ก่อนที่จะต้องให้พวกมึงได้รับโทษอย่างสาสมก็จะขอให้มาเป็นพยานจับผู้ว่าจ้างสักหน่อยล่ะ"





************************Whose fault? ************************





 "อย่างนั้นเหรอ แล้วตอนนี้เอมเป็นยังไงบ้าง" เสียงทุ้มถามเรียบนิ่งผิดปกติ กรอกใส่โทรศัพท์ ทั้งเลขาข้างตัวและคนในสายรู้ดีที่สุดว่าชายคนนี้อดทนอดกลั้นมากขนาดไหน...ที่จะไม่เขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง



("อาการทรงตัวครับ แต่ต้องตรวจอาการและนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน")



"งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบกลับไป ภายในอาทิตย์นี้"



("ครับพี่เกษม")



"ขอบใจมากกฤษ"



เสกมองท่านประธานเกษมที่วางสายจากอีกฝั่งที่อยู่คนละฟากโลกไปสักพัก ใบหน้าคมที่แม้จะกรำวัยแต่ยังคงหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบ ทว่าเส้นเลือดปูดโปนที่หลังมือและขมับ แววตาคมกริบตวัดสบมองทำให้เสกสะดุ้งรีบตอบรับ



"ครับ ท่านประธาน"



"เสก ฉันวานไปเอางานทั้งหมดที่ต้องเคลียร์มา ฉันจะต้องทำให้เสร็จภายในสามวัน"



"สะ สามวัน!?" เลขาหนุ่มตกใจ ก่อนจะขมวดคิ้วกังวล "แต่นั่นมันเยอะมากเลยนะครับ ผมเกรงว่า..."



แต่ก็ต้องเงียบไปเมื่อถูกสายตาคมกริบสบอีกครั้ง



"อย่าให้พูดซ้ำ"



เสกกลืนน้ำลายรู้สึกถึงเหงื่อชื้นที่แผ่นหลัง "ครับ" และร่างโปร่งในชุดสูทถูกระเบียบก็เดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว



ไม่มีเรื่องใดที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวของประธานเกษมศักดิ์เปลี่ยนไปได้นอกจากเรื่องคู่แข่งในการงาน...



กับคนในครอบครัว



************************Whose fault? ************************






หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 15-03-2019 21:25:48


                                              Whose Fault ?

                                               ผิด...ครั้งที่ 41



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ก๊อกๆๆ

"พี่เรย์"

ก๊อกๆๆ

"...พี่เรย์คะ"

มือเรียวเคาะประตูไม่สักที่ทั้งใหญ่ทั้งหนารัว แต่ไม่มีทีท่าว่าเจ้าของห้องจะเปิด ไม่มีทางที่จะไม่อยู่เพราะเธอเช็คดูแล้วว่าทั้งรถทั้งรองเท้าก็ยังอยู่ในบ้าน

"พี่เรย์คะ" เรียกแล้วก็รัวเคาะไปอีก แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ

รอเพียงอึดใจ มือบางจึงถือวิสาสะเปิดประตู แต่ติดกลอนที่ล็อคเอาไว้

หรือว่าจะไม่อยู่? แล้วไปไหน?

"คุณริน" ร่างเล็กๆ ของชายคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าก้มต่ำและเรียกชื่อหญิงสาวร่างบางที่อยู่ในชุดลำลองเสื้อยืดขาสั้น คุณหนูของบ้านหลังนี้ "คุณเรย์บอกว่าอย่ารบกวนครับ"

"นาม" ตาคมเฉี่ยวหรี่ลงเล็กน้อย "แสดงว่าอยู่จริงๆ ด้วยสินะ"

ก๊อกๆๆ!

"พี่เรย์ เปิดประตูหน่อย รินมีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ!" รินหาได้ฟังคำเตือนของสาวใช้ไม่ ยิ่งทำในทางตรงกันข้ามคือใช้มือเคาะประตูรัวและดังกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับกลับมาแม้แต่นิดเดียว

...มันเงียบราวกับไม่มีคนอยู่อย่างนั้นแหละ

ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะมา...

"คะ คุณนาย! คุณหนู! แย่แล้วครับ! แย่แล้ว!" แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นบ้านด้วยน้ำเสียงร้อนรนรินรีบวิ่งไปเกาะที่ระเบียงและมองลงไป เห็นชายอายุเกือบสี่สิบที่เป็นคนขับรถประจำของบ้านวิ่งเข้ามาตาลีตาเหลือก

"คุณทศ มีอะไรคะ"

"คุณริน! คะคือ!" ชายชื่อทศเงยหน้ามอง และก่อนที่จะได้พูดหรืออธิบายอะไร ผู้หญิงวัยเกือบสี่สิบแต่ใบหน้าราวกับยี่สิบปลายๆ เดินใส่ชุดนอนเรียบลื่นสีเข้มรองเท้าแตะนวยนาดออกมาจากห้องทีวี

คุณหญิงฉัตรแก้ว โรจน์ศักดินา ภรรยาของคุณชาญณรงค์ โรจน์ศักดินา...กล่าวได้ว่าหญิงคนนี้ก็คือคุณแม่ของเรย์กับรินนั่นเอง

"อะไรกันนายทศ เสียงดังอะไรกัน" เธอถามสีหน้าค่อนข้างไม่พอใจ เพราะเธอไม่ชอบคนที่ไม่มีมารยาทใครๆ ก็รู้แต่บัดนี้ทศหน้าซีดและชี้ออกไปข้างนอกประตูซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไร

"ตะ ตำรวจครับ! ตำรวจมา!"

"ห๊า!" เสียงแหลมอุทานตกใจพร้อมกับปิดปากตาโต รินที่ได้ยินก็เบิกตาและสูดลมหายใจลึก เธอรู้ว่าตำรวจมาหาใครและมาทำไม

"แล้ว แล้วตำรวจจะมาทำไม มาหาใคร!?" พอคุณหญิงตั้งสติได้ก็รีบถาม เธอมั่นใจมากว่าครอบครัวของเธอไม่เคยทำอะไรที่เข้าข่ายให้ตำรวจต้องเข้ามาสงสัยหรือตรวจสอบใดๆ และสามีของเธอ คุณณรงค์ก็เป็นคนมีชื่อเสียงที่ทำงานออกสื่อสังคมอยู่ตลอดเวลา จึงต้องซื่อตรงและบริสุทธิ์อยู่เสมอ...งั้นแล้วทำไมกัน!?

"ขะ เขาบอกว่ามาหาคุณเรย์ครับ!"

พอได้ยินฉัตรแก้วก็ตะลึงยิ่งกว่าเดิม ยังไม่ทัน

"แล้วผมก็มีหมายจับมาด้วยนะครับ" นายตำรวจสองคนเดินเข้ามาในบ้านได้อย่างไรไม่มีใครทราบ ชูใบสีขาวมีตราบางอย่างบ่งบอกถึงความเป็นทางการและชื่อและนามสกุลของเรย์ปรากฎเด่นหราอยู่บนนั้น

...นายเรชิตา โรจน์ศักดินา...

นั่นมันชื่อของลูกชายเธอ!

"พวกคุณมาจับลูกชายของดิฉันในข้อหาอะไรกันคะ!?" คุณหญิงหน้าอ่อนถามเสียงสูง มองข้ามคำถามที่ว่านายตำรวจทั้งสองถึงเข้ามาในรั้วบ้านได้ยังไงไป...เพราะตอนนี้มีสิ่งสำคัญที่ต้องพูดมากกว่า "ถ้าพูดมั่วๆ กล่าวหาลอยๆ ล่ะก็เรื่องมันไม่จบแค่นี้แน่ คงรู้ใช่มั้ยคะ!"

นายตำรวจหน้านิ่งจริงจังคนหนึ่งก้าวเข้ามาข้างหน้า อย่างไม่สะทกสะท้านกับเสียงแหลมและคำขู่เหล่านั้น "นายเรชิตา โรจน์ศักดินา โดนแจ้งความข้อหาฆ่าคนโดยเจตนาครับ"

"วะ ว่าไงนะ!"

"ทางเรามีการตรวจสอบ มีพยานให้การและหลักฐานมัดตัวคนร้ายอย่างแน่นหนา และในตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนการออกหมายจับเพื่อนำตัวคนร้ายไปดำเนินคดี ฉะนั้นคุณผู้หญิงช่วยหลีกทางด้วยครับ มิเช่นนั้นพวกเราจะถือว่าคุณไม่ให้ความร่วมมือและขัดขวางเจ้าหน้าที่"

ฟังแล้วเธอหน้าซีดเซียวเหมือนจะเป็นลม แต่ด้วยความเป็นแม่ก็ยังยืนหยัดด้วยร่างบอบบางกางแขนปกป้อง "ละ ลูกของดิฉันเป็นเด็กดีทุกคนค่ะ! เพราะงั้นดิฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเรย์จะไปทำอะไรแบบนั้นพวกคุณตำรวจเข้าใจผิดเป็นคนอื่นรึเปล่าคะ...!"

"คุณแม่คะ"

"ริน..." บัดนี้ฉัตรแก้วหน้าซีดเหลือเกิน แต่พอเห็นลูกสาวที่เดินเข้ามาก็เหมือนมีความหวังบางอย่าง คุณหญิงเดินเข้าไปเกาะแขนบอบบาง "รินมาช่วยแม่พูดหน่อยสิลูก ตำรวจพวกนี้จะมาจับเรย์ บอกว่าเรย์ฆ่าคน นี่มันบ้าไปแล้ว ไม่มีทางหรอก..."

แต่ปฏิกิริยาของรินธิดา ลูกสาวของเธอกลับนิ่ง แววตาไม่มีความสั่นไหวใดๆ ยิ่งทำให้ใจเธอตกไปที่ตาตุ่ม

"ริน...?"

ตาคมเฉี่ยวที่ได้จากแม่ เสมองไปที่ตำรวจ "เชิญทางนี้ค่ะ ห้องของพี่ชายอยู่ด้านบน"

"ริน!"

"แม่คะ อย่างที่ตำรวจบอก มันเป็นความจริงค่ะ เรื่องที่พี่เรย์วางแผนจะฆ่าคนอื่น" รินเอ่ยเสียงเยียบเย็น

ยิ่งได้ฟังจากปากลูกสาวแท้ๆ ยิ่งทำให้น้ำตาเธอไหลบ่า มือบางยกขึ้นปิดหน้า เรียวขาไม่อาจจะทรงตัวได้อีกต่อไป "อะไรกัน ไม่จริง...ฮึก ฮือๆ"

เสียงร้องไห้สั่นเครือ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกชายของเธอ...เรย์จะทำแบบนั้นจริงๆ!

รินมองร่างบอบบางของแม่นั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง ร้องไห้อย่างไม่สนใจภาพพจน์คุณหญิงใดๆ อีกแล้ว

พี่เรย์ ทำไมพี่ถึงทำให้แม่เสียน้ำตาถึงขนาดนี้...นี่ถ้าพ่อรู้เรื่อง ไม่สิ...ป่านนี้เรื่องนี้คงถึงหูบิดาที่ไปออกงานอยู่ที่ต่างจังหวัดแล้วแน่ๆ

"ทางนี้ค่ะ" ร่างบางเดินนำสองตำรวจให้ตามขึ้นไป และหันไปสั่งสาวใช้ที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียวกังวลเมื่อได้ยินเรื่องน่าตกใจ "เธอไปเอากุญแจสำรองห้องพี่เรย์มาให้หน่อยสิ"

"ค ค่ะ!"

รอเพียงไม่ถึงห้านาที ก็ได้กุญแจที่ต้องการ รินรับมันมาอย่างรวดเร็ว สอดมันเข้ารูและบิดให้หยักเข้ากันเพื่อปลดล็อค

แกร๊ก

"!"

พอเปิดประตูเข้าไปสิ่งที่อยู่ในห้องทำให้คนมองอึ้งตะลึง ของในห้องกระจัดกระจายเต็มไปด้วยเศษกระดาษที่ถูกทึ้งฉีกขาดปลิวว่อน ทั้งหมอนทั้งผ้าห่มถูกกรีดจนไส้ทะลัก สิ่งที่ควรจะอยู่ที่เดิมอย่างโคมไฟตั้งโต๊ะที่เพิ่งเปลี่ยนไปก็แตกอยู่บนพื้น เรียกได้ว่าห้องนี้ที่เคยหรูหราบัดนี้พังพินาศไม่เหลือเค้าเดิม...ซึ่งในคฤหาสน์หลังโตที่มีความปลอดภัยขั้นสูงแบบนี้ไม่น่าจะโดนโจรปล้นหรือขโมยยกเค้าอะไรหรอก

ทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้าของห้องเองนั่นแหละ

"พะ พี่..."

"ถอยไปครับ"

ตำรวจในเครื่องแบบกันตัวของรินที่กำลังจะก้าวเข้าห้อง ก่อนที่ทั้งสองจะแทรกตัวเข้ามาแทนเดินเข้ามาอย่างอุกอาจ กวาดตาสำรวจอย่างระมัดระวัง เดินรอบห้อง เปิดดูทุกซอกทุกมุมและในที่ๆ คิดว่าคนจะสามารถเข้าไปซ่อนตัวได้ แต่ก็ไม่พบอะไร

"ไม่พบตัวคนร้าย"

"หนีไปแล้วเหรอ"

"รีบแจ้งไปที่กรมก่อน เร็วเข้า"

รินตาโต

บ้าน่า...เธอเช็คทั้งรถทั้งรองเท้าแล้วก็ยังอยู่นี่

หรือว่าตั้งใจตบตากันเหรอ!?

แล้วจะไปที่ไหน?

'...ปัญหาทางจิตเหรอ?'

'นี่พี่เรย์เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ'

'ถ้าคิดถึงขั้นวางแผนฆ่าคนกันได้ขนาดนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงอยู่นะ'

...ฆ่า...

และหัวพลันนึกไปถึงโพสต์อันนั้นของแอดมินเพจดังในโซเชียล

'ตอนนี้อาการของชะเอมทรงตัวแล้วครับ ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้ทางเรากำลังเดินคดีและจับตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด'

รินเบิกตาโตอย่างตกใจจนลมหายใจเหมือนหยุดไปชั่วขณะ

แย่แล้ว...!

"คุณตำรวจคะ รีบไปที่โรงพยาบาล...เดี๋ยวนี้เลยค่ะ!"

นายตำรวจคนหนึ่งที่กำลังโทรศัพท์รายงานผลหันมามองงงๆ

"ดิฉันคาดว่าพี่เรย์กำลังจะไปที่นั่นค่ะ รีบหน่อยนะคะ" เธอบอกรัวก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมา ค้นหาเบอร์โทรคนที่ต้องการแต่ก็ต้องสบถออกมาอย่างหงุดหงิดหลุดมาดคุณหนู

บ้าจริง! เธอไม่มีเบอร์ติดต่อรุ่นพี่เลยสักคน

นิ้วจึงเลื่อนหาเบอร์ของเพื่อนตัวเล็กที่สามารถติดต่อรุ่นพี่ได้ด้วยมืออันสั่นเทาที่น่าขัดใจ

ได้โปรด

ขออย่าให้สายเกินไป...!



************************Whose fault? ************************



"กรี๊ด!" เสียงแหลมเล็กกรีดร้องดังขึ้นในห้องเครือไปด้วยเสียงหัวเราะ

"คิก ฮะๆ"

"แบร่ๆๆ~"

"ไอ้เด็กพวกนี้มันมาจากไหนกันวะ" ดินที่มาพร้อมกับสินเปิดประตูเข้ามาก็แทบตกใจเมื่อมีเด็กหญิงวัยประถมสองคนอยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพีของชะเอม กระโดดโหยงๆ บนเตียงที่มีร่างบางของเจ้าของห้องนั่งอยู่ เสียงร่าเริงสดใสทำให้ห้องพยาบาลที่ควรจะซึมเศร้าดูไม่เงียบเหงา

"เป็นเด็กห้องข้างๆ น่ะ พวกเขาขอมาเล่นด้วย"

"พี่ชะเอมน่ารักค่ะ อิงชอบ" เด็กหญิงผมแกละน้ำตาลอ่อนตอบพลางยิ้มแป้น หนูน้อยตัวเล็กก็อยู่ในชุดผู้ป่วยเช่นกัน แต่ทำตัวไม่เหมือนคนป่วยแม้แต่นิด

"อรก็ชอบ" เด็กอีกคนตอบ เพิ่งสังเกตว่าหน้าเหมือนกันเดี๊ยะ ต่างกันแค่คนนี้ใส่ชุดลำลองปกติ

ดินหัวเราะ "เฮ้ยๆ ไม่มาเยี่ยมแปปเดียวไปหว่านเสน่ห์สาวข้างห้องมาติดได้ไงวะเนี่ย"

"ดิน พูดแบบนั้นเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ของเด็กๆ มาได้ยินเข้าก็เข้าใจผิดพอดี" เสียงแหลมอีกเสียงกล่าวเตือน ทำให้ร่างสูงหันมอง...ทรายนั่นเอง

ดินหัวเราะ มองไปรอบห้องเห็นแค่เม็ดทรายกับศรที่นั่งอยู่โซฟาริมห้อง และเด็กโข่งหนึ่งเด็กจริงอีกสองบนเตียง

"ไอ้คินไปไหนล่ะเนี่ย"

"ไปซื้อของกินเดี๋ยวคงขึ้นมา"

"ให้มันกินอย่างอื่นนอกจากฝีมือชะเอมบ้างก็ดี" เสียงทุ้มพูดกระแทกแซวตามประสา ไม่ได้จริงจัง...จริงๆ คืออิจฉามากกว่า คือเขาอยากกินบ้างไง ไม่ได้กินนานแล้วตั้งแต่ที่ค่ายโน่น

ดินทิ้งตัวนั่งพร้อมสิน ในที่ว่างของโซฟาที่ศรเขยิบให้ พร้อมกับที่วางตะกร้าผลไม้วางบนโต๊ะที่เตรียมไว้รองรับแขกที่มาเยี่ยม

"แมงมุมลายตัวนั้นฉันเห็นมันอยู่บนหลังคา~" เด็กหญิงคนหนึ่งที่ใส่ชุดผู้ป่วยร้องนำ พลางจีบนิ้วที่หลังมือตัวเองอีกข้างหนึ่ง เด็กหญิงอีกคนทำตามและร้องท่อนต่ออย่างน่าเอ็นดู

ชะเอมปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันส่วนร่างบางหย่อนขาลงจากเตียงและเดินมาหาเพื่อนยิ้มๆ

"เอม เรากับดินเอาผลไม้มาฝากนะ" สินชี้

"อื้ม เราเห็นแล้วล่ะ ขอบใจนะ" ชะเอมจ้องมองพลางหมุนตะกร้าหรูหราไปมา "จริงๆ ไม่ต้องซื้อมาก็ได้นะ เราเกรงใจมากเลย"

"ถ้าเกรงใจก็ปลอกผลไม้กูแดกดิ" สินกำลังจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ดินแทรกขึ้นมาด้วยคำพูดที่ทำให้สินต้องโบกหัวอีกฝ่ายแรงๆ

ผัวะ!

"ไอ้ห่า นั่นซื้อมาฝากเขา" ...แถมยังไปใช้คนป่วยอีก

นี่มันยังมีสามัญสำนึกอยู่อีกเหรอเนี่ย

ดินลูบหัวบุ้ยปากมองคนข้างๆ แรง "มึงนี่ชอบทำร้ายร่างกายกูอยู่เรื่อย"

"ดูมึงพูดมันไม่น่าทำร้ายเลยมั้ง"

ความตลกขบขันของทั้งสองคนทำให้คนนั่งมองหัวเราะเสียงใส "ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราทำให้ เรากินคนเดียวไม่หมดหรอก"

"เอาดิๆ" ดินตอบรับทันที ไอ้ที่ซื้อมาเพราะเห็นมันน่ากินด้วยแหละ มีโอกาสได้กินก็ตอบรับทันที

ร่างบางไม่อิดออดยกทั้งกระเช้าไปที่ที่มีอ่างล้างน้ำ จานและมีดเตรียมไว้อย่างกับห้องอะไรสักอย่างไม่ใช่ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล นอนทั้งวันบนเตียงก็เบื่อหน่าย จึงอยากจะเดินไปมาหรือทำอะไรที่มากกว่านอนหลับตาหรือดูโทรทัศน์บ้าง ดีที่ได้เด็กหญิงสองคนที่เพิ่งรู้จักกันมาเล่นสนุกหัวเราะกันแก้เหงาเพราะน้องอรเปิดห้องเยี่ยมผิดแทนที่จะเป็นแฝดของตนที่ชื่ออิง แต่กลายเป็นห้องของเขาซะงั้น หลังจากนั้นก็เลยได้คุยกัน พอสนิทใจก็มาเล่นที่ห้องเสียเลย

เด็กหญิงทั้งคู่น่ารักน่าชัง

แกร๊ก

ตอนที่มือบางกำลังแกะพลาสติกที่ซีลกระเช้าออก ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน

"คิน" ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมหิ้วถุงพลาสติกบางอย่างมาด้วย

"อ้าวเอม ทำอะไร...ทำไมลุกจากเตียง?" เสียงทุ้มถามอ่อนโยนปนเป็นห่วง พลันสายตาคมมองไปที่กระเช้าผลไม้ก็เลิกคิ้ว

"คือดินกับสินเขาเอามาฝากครับ เอมก็เลยมาปอกให้ทุกคนกิน เอมกินคนเดียวไม่หมด"

เสียงทุ้มครางในลำคอ มองเข้าไปในห้องก็เห็นความวุ่นวายที่น่าระอาใจ ขายาวจึงก้าวเข้าใกล้ร่างผอมที่สูงเพียงแค่ปลายจมูกวางถุงที่ถือมาไว้แถวนั้นและใช้มืออีกข้างช้อนท้ายทอยให้ใบหน้าหวานเงยขึ้น

"!"

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ไม่ทันให้ชะเอมได้ท้วงอะไร

ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะปรือลงรับสัมผัสนุ่มอุ่นที่ริมฝีปาก แนบชิดเปลี่ยนองศาและ ลิ้นร้อนก็แลบเลียริมฝีปากบางที่ไม่ได้ลิ้มรสมานานหลายวัน ...ยังคงหวานฉ่ำเหมือนเคย

"อึก..." ชะเอมหน้าร้อนผ่าวเมื่อร่างสูงไม่หยุดแค่จูบธรรมดา เพราะทันทีที่แง้มริมฝีปากเพียงเล็กน้อยเพื่อรับอากาศเข้าปอดลิ้นร้อนก็ไหลลื่นเข้ามาอุดทำให้มือบางต้องปล่อยวางจากทุกสิ่งยกขึ้นมากำชายเสื้อของอีกฝ่าย ปลายเท้าต้องเขย่งเพื่อรับจูบเนื่องจากความสูงต่างกันแต่คินไม่ทำให้ชะเอมต้องเมื่อยนานเพราะแขนยาวโอบเอวบางให้แนบชิดจนตัวลอย ความร้อนพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนจะสูงขึ้นเรื่อยๆเพราะสองลิ้นที่กระหวัดเกี่ยว

นานนับนาที...ทั้งคู่ลืมสิ้นไปแล้วว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน

ในที่สุดคินก็ยอมผละจากอ้อยอิ่ง ให้ชะเอมได้หายใจเฮือก

อา...ไม่ไหวเลย

อยากจะจูบมากกว่านี้แท้ๆ ...ริมฝีปากสีหวานนี่

สายตาคมกริบละจากริมฝีปากที่โดนบดเบียดจนอวบอิ่ม กวาดมองทั่วใบหน้าขาวใสที่แดงเรื่อเล็กน้อยกับดวงตาฉ่ำปรือ จนมือเผลอนวดคลึงที่เอวบางราวกับสะกดกลั้นความรู้สึก

"ปอกผลไม้ต่อสิ" เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูเล็กสีแดงจนร่างบางต้องสะดุ้ง

"คะ ...ครับ"

ตากลมสีดำจดจ้องอยู่ตรงหน้ามือที่จับมีดและแอปเปิ้ลสั่นระริก ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเพื่อน ก็เขา...ทำเรื่องน่าอายทั้งๆ ที่มีคนเต็มห้องเลยนี่นา

ส่วนร่างสูงที่ยังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่แต่ก็ยอมเดินผ่านเข้าไปไม่รบกวนร่างผอมอีก โดยที่ไม่ลืมหยิบถุงที่ซื้อมาด้วย เห็นสายตาล้อๆ ของเพื่อนก็รู้ทันทีว่าเมื่อกี้เห็นกันทุกคน

"ทำอะไร พวกฉันเห็นนะจะบอกให้~" เม็ดทรายพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่นี้ เพราะเดี๋ยวชะเอมคนขี้เขินจะได้ยิน

คินยิ้มมุมปากยักไหล่ประมาณว่า...เห็นก็เห็นไปสิ ทำให้ทรายส่ายหน้า

"ไม่เกรงใจพวกกู ก็เกรงใจเด็กหน่อยดิ เดี๋ยวน้องมันเข้าใจผิดหมดหรอก" ดินสอนจริงจัง การทำตัวเป็นแบบอย่างเป็นสิ่วที่สามารถสอนให้เด็กได้ในทางหนึ่ง โดยด้านหลังของคินมีเสียงร้องเพลงของเด็กน้อยสองคนเป็นซาวน์เอฟเฟคต์เป็นการบอกว่าไม่ใช่เด็กไม่เห็นอย่างเดียว เด็กมันไม่แม้แต่สนใจเลยด้วยซ้ำ

คินหย่อนตัวนั่งเก้าอี้ตัวเล็กและแหวกถุงเอามาม่าถ้วยหอมกรุ่นออกมาตั้ง การเมินแบบเงียบๆ นั้นทำให้ดินชูกำปั้นอย่างโมโหถ้าไม่มีสินห้ามไว้คงได้มีซัดกันซักตั้ง

"คิน ทำไมกินของไม่มีประโยชน์อย่างนั้นล่ะครับ" เสียงใสทักมาก่อนตัว ก่อนที่ชะเอมจะวางจานที่ใส่แอปเปิ้ลมาตั้งไว้ตรงกลางโต๊ะพอดี พลันมือคล้ำที่ไวกว่าใครฉกมันขึ้นมามองในระดับสายตา

"โอโห...รูปกระต่ายด้วย"

สายตาชื่นชมวาววับของดิน และหมุนสำรวจตัวกระต่ายรอบด้านทำให้ชะเอมที่มองอยู่ปิดปากหัวเราะ "อาหารจะอร่อยก็ต้องหน้าตาดูน่ากินด้วยใช่ไหมล่ะ"

ดินพยักหน้าหงึก "เห็นด้วย" และโยนเข้าปากเคี้ยวหงุบๆ ส่วนศรก็หยิบขึ้นส่งให้เม็ดทรายก่อนจะหยิบกินเองบ้าง

...อืม ถึงจะแอปเปิ้ลเหมือนกัน แต่ความรู้สึกแตกต่างนิดหน่อย "...อร่อย"

"อร่อยก็กินเยอะๆ นะ เดี๋ยวเราปอกอย่างอื่นมาให้" พูดเสร็จก็เดินไปที่เดิม

"ชะเอมสุดยอด แม่ศรีเรือนสุดๆ" ทรายชม และคินก็พยักหน้าเห็นด้วย

ก็เขากินอาหารฝีมือร่างบางทุกวัน อร่อยทุกวัน...ไม่เคยเบื่อเลย

"ผิดกับทรายสุดๆ เลยเนอะ" ศรพูดขึ้นหยอกล้อ ทำเอาคนข้างๆ ที่กำลังเคลิ้มๆ กับรสชาดแอปเปิ้ลพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันขวับ

"พูดแบบนี้อยากโดนใช่มั้ยคะศร"

ชายตัวโตหุ่นนักกล้ามหัวเราะแหะๆ "เปล่าจ้ะเปล่า"

ก๊อกๆๆ

ชะเอมที่ยืนอยู่ใกล้ประตูที่สุดหันมอง มือวางมีดและสาลี่ลงก่อนจะเช็ดมือที่เปียกชื้นกับผ้าที่วางอยู่แถวนั้น

ก๊อกๆๆ

"ครับ มาแล้วครับ อ้าว..."

"สวัสดีค่า/สวัสดีครับ" หญิงสาวหนึ่งชายหนุ่มหนึ่งหน้าตาดูดีทั้งคู่ที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นคนคุ้นตาของชะเอมดี เพราะทั้งคู่คือพ่อแม่ของเด็กหญิงฝาแฝดอิงอรนั่นเอง "ขอโทษนะคะ ลูกๆ ของดิฉันคงมารบกวนอีกแล้ว"

"อ้อ ครับ อยู่ข้างใน" ชะเอมยิ้มหัวเราะก่อนจะเบี่ยงตัวให้ผู้ปกครองมองเข้าไป "จริงๆ ก็ไม่ได้รบกวนอะไรเท่าไหร่หรอกครับ เด็กๆ น่ารัก"

ทั้งคู่หัวเราะยิ้มรับกับคำนั้นของร่างบางก่อนจะส่งเสียงเรียก "น้องอิงน้องอร พ่อแม่มาแล้วค่ะ"

"อ๊า คุณพ่อ~คุณแม่~" เด็กหญิงทั้งสองร้องดิ้นดุกดิกเมื่อได้ยินเสียงแม่ของตน พยายามจะลงจากเตียงแต่ด้วยความสูงและขาสั้นๆ จึงลงไม่ได้ ทำให้คินที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดลุกขึ้นช่วยอุ้มลงมาวางพื้นอย่างปลอดภัยทีละคน หลังจากนั้นก็วิ่งพล่านเข้าอ้อมอกคนที่อ้าแขนรอ

"ขอโทษนะคะที่มารบกวน/ขอโทษนะครับ"

ชะเอมยิ้มขำกับความเกรงใจ "ไม่เป็นไรครับ... น้องอิงน้องอรบ๊ายบายค่ะ"

"บ๊ายบาย~/พี่ชะเอมบายค่ะ" ทั้งสองยกมือเล็กสองข้างโบกระรัว ความร่าเริงทำให้ชะเอมเอ็นดู...น่ารักจริงๆ "ไว้จะมาเล่นใหม่นะค้า~!"



>>>>>>>>>>ต่อด้านล่าง




หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 15-03-2019 21:26:16



>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบน



ก่อนปิดประตูยังได้ยินเสียงเล็กๆ เล็ดลอดเข้ามาและตามด้วยเสียงเอ็ดของพ่อแม่คู่นั้นอย่างไม่จริงจังทำให้ริมฝีปากบางหลุดยิ้ม

ชะเอมก้าวยืนประจำตำแหน่งและหยิบมีดคมขึ้นและสาลี่ที่ปอดค้างไว้เช่นเดิม

ครืด ครืด

คินวางส้อมที่ตักเส้นมาม่าในถ้วยหมดแล้วลงข้างๆ ก่อนจะควักมือถือขึ้นมาดู ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ชะเอมหันมองและขมวดคิ้ว มือวางมีดที่เพิ่งถือลงและเดินไปหน้าประตูอย่าสงสัยก่อนจะเอื้อมแตะกลอนและแง้มออก

("พี่คินคะ แย่แล้วค่ะ!")

พลันปรากฏใบหน้าแสยะยิ้มที่เห็นแล้วร่างบางต้องเบิกตากว้างตกตะลึง

"ว่าไงนะ" ได้ยินเสียงของคินดังขึ้นด้านหลัง ดูเหมือนจะยังไม่มีใครรู้ตัวว่าคนในสายที่กำลังพูดถึงนี่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว!

("พี่เรย์ไม่อยู่ที่บ้าน ฉันก็เลยโทรมาบอกเพราะคิดว่าพี่เรย์อาจจะไปหาพี่ชะเอมที่นั่น พี่คินระวัง...!")

"ระ...!"

วัตถุแข็งเย็นสีดำที่อีกฝ่ายไม่คิดจะปกปิดยื่นจ่อที่หน้าท้องแบนราบแนบชิด ทำให้ชะเอมที่คิดจะพูดชื่ออีกฝ่ายเงียบลงทันใด

ร่างเล็กกว่าค่อยๆ เดินผ่านประตูเข้ามาอย่างเงียบเชียบใช้วัตถุอันตรายจี้เข้ามาทำให้ชะเอมต้องค่อยๆถอยร่น ฟันขบริมฝีปากที่สั่นระริกจนห้อเลือดขึ้น ใบหน้าชื้นเหงื่อด้วยความเครียดระคนหวาดกลัว ยังคงได้ยินเสียงคินที่คุยมือถือกับใครไม่รู้และวางสายไปในที่สุด

"ดูเหมือนรินจะบอกว่าเรย์ไม่ได้อยู่บ้าน ตำรวจเข้าไปตรวจค้นแล้วไม่เจอ"

"ว่าอะไรนะ"

"ชิบแล้ว แล้วมันไปไหน"

"ดูเหมือนว่ารินจะบอกให้ระวังเอาไว้เพราะคิดว่าเรย์จะมาที่นี่”

ฟังแล้วยิ้มมุมปากผิดกับดวงตาแข็งกร้าว ใบหน้าเล็กพยักเพยิเสั่งให้ชะเอมหันหลัง ร่างบางทำตามนั้นเปลี่ยนจากด้านหน้ากลายเป็นถูกจ่อด้านหลังแทน

"เอม เมื่อกี้ใครมาน่ะ" คินตะโกนถาม มองจากตรงที่คินนั่งจะมองเห็นส่วนทางเดินก่อนประตูห้องแค่เพียงเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงโซฟาที่จัดอยู่ริมผนัง ดังนั้นตอนนี้ไม่มีใครเห็นเลยว่าด้านหลังของเขามีคนไม่พึงประสงค์เข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว

"คะ คิน..." ชะเอมค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ ด้วยใบหน้าซีดเซียว คินมองงุนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจร่างสูงผุดลุกขึ้นทำให้เพื่อนในห้องหันมามองและเด้งตัวขึ้นพร้อมๆ กัน

"เอม!!?"

"เรย์" เม็ดทรายกลั้นลมหายใจ

"เรย์" คินกำหมัดแน่น ก่อนจะมองใบหน้าหวานเซียวที่มีสีหน้าหวาดกลัว "คิดจะทำอะไร!?"

"ปล่อยเอมนะเว้ย!!" ดินตะโกนกร้าว

"โอ๊ะๆ ถ้าไม่อยากให้ไอ้ชะเอมมันโดนเจาะหลังจนเป็นรูไปก่อนล่ะก็นะ อย่าทำอะไรผลีผลามจะดีกว่านะ" เรย์พูดยิ้มกริ่มพลางดันชะเอมให้เดินไปข้างหน้าอีกเพื่อที่จะให้

"โอ๊ย" มือเล็กจิกผมตรงท้ายทอยคนที่สูงกว่าบังคับให้เดินอ้อมไปฝั่งระเบียง ดวงตากลมจ้องมองอยู่เพียงคนเดียว "คิน..."

"เอม!"

"เรียกกันเข้าไป รักกันหวานชื่น" เรย์กัดฟันกรอดและมองด้วยความอิจฉาริษยา

พลั่ก!

"โอ๊ย!!" ชะเอมหน้าสะบัดเพราะถูกมือที่ถือปืนกระแทกข้างขมับอย่างแรง แต่ไม่อาจล้มลงไปเพราะถูกกระชากหลังคอเสื้อขึ้นมาใหม่ ทำให้ต้องฝืนยืนทั้งๆ ที่ขาอ่อนแรง

เม็ดทรายปิดปากแน่นไม่กล้ามองภาพตรงหน้า ส่วนคนอื่นๆ ได้แต่ยืนกำหมัดกัดกรามอย่างอดทน

ชะเอมยืนโงนเงนมึนหัว...ตรงที่โดนทุบ มันเจ็บมาก...จนกระทั่งรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ไหลอาบข้างใบหน้า มือบางแตะขึ้นมาดูมันคือ...เลือด

"เรย์ นี่มึงต้องการอะไร ทำแบบนี้ทำไม!!!?" คินคอกอย่างโมโห ให้ยืนมองแบบนี้มันทนไม่ไหวแล้ว

ลืมสิ้นความที่เคยเป็นเพื่อนกันมา...คนตรงหน้ามันไม่ใช่เพื่อน มันกลายเป็นบ้าไปแล้ว

"ก็ต้องการให้มันตายน่ะสิ!! ไอ้เหี้ยชะเอมนี่แหละ!" เสียงสูงตะโกนกลับ ใบหน้าที่เคยน่ารักบัดนี้บิดเบี้ยว"ทั้งลอบฆ่าก็แล้ว! วางยาก็แล้ว! มันก็ยังทนทายาทไม่ตายๆ ไปซักที!"

"ทำไม..." เสียงใสอ่อนแรงพูดแทรก "ทำไมนายถึงต้องคิดแค้นเราขนาดนี้ด้วย"

...ไม่เข้าใจเลย...เขาไปทำอะไรให้...

"ก็เพราะว่ามึงแย่งคินไปจากกูไง!"

"...นั่นน่ะ..." เป็นความผิดของเขางั้นหรือ?

"กูชอบคินมากกว่ามึง ดีกว่ามึง เหมาะสมกับเขามากกว่ามึง กูรวยกว่า หน้าตาดีกว่า...แล้วมึงมันอะไร ไอ้ขี้เหร่! มึงมันก็แค่ไอ้เด็กไม่มีพ่อแม่แท้ๆ! แล้วคิดจะตีเสมอขึ้นมาเทียบเคียงกู!? ไม่มีทางที่คินจะเลือกมึงหรอก!! มึงวางยาเสน่ห์ใส่คินใช่มั้ย บอกกูมา...บอกกูมา!!!!" ยิ่งพูดยิ่งโมโห แววตาของเรย์เต็มไปด้วยความเกลียดชังทั้งแดงก่ำและบ้าคลั่ง มือยกขึ้นใช้ปืนจ่อกดแน่นที่ใต้คางทำให้ชะเอมกรีดร้องตัวสั่นน้ำตาไหลพราก

"ฮือออ คิน! ช่วยเอมด้วย ช่วยเอมด้วย!"

"เอม! เอม!!!" คินได้แต่ตะโกนร้องเรียกชื่อคนรัก ใจมันบีบรัดอย่างเจ็บปวดเมื่อเห็นน้ำตาและความหวาดกลัวถึงขีดสุดของร่างบาง

ถ้ามันลั่นขึ้นมา...ชะเอมจะต้อง...

"กรี๊ดดด!!" เม็ดทรายปิดหูปิดตากอดศรแน่น ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น

"ไอ้เหี้ยเอ๊ย!! อย่าทำอะไรเอมนะเว้ย!" ดินตะคอกหน้าแดงก่ำ ส่วนสินได้แต่กำโทรศัพท์ภาวนา

ร่างบางหวั่นกลัวเหลือเกินว่าปืนมันจะลั่นไก แต่ก็ขัดขืนไม่ได้เพราะมือที่จิกรั้งศีรษะมันทึ้งอย่างเหนียวแน่น

ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นไปมากกว่านี้ ร่างสูงทิ้งตัวลงคุกเข่า ทั้งห้องพลันเงียบงันมีแต่เสียงสะอื้นหวาดกลัวของชะเอมดังแผ่ว

"ฮึก คิน..."

"คิน? คิดจะทำอะไร" ร่างเล็กมองอย่างหวาดระแวง แต่การกระทำของร่างสูง ทำให้มือเล็กละปืนออกมาเล็กน้อย

"เรย์...ขอร้อง...ได้โปรด" สายตามองตรงไป น้ำตาค่อยๆ หลุดจากขอบตาไหลอาบใบหน้าคม "ปล่อยเอมไปเถอะ อย่าทำอะไรเอมเลย"

"คิน..."

เอม ...คินสัญญาไว้แล้ว...

ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ก็จะปกป้อง

"ได้โปรด..."

ไม่ว่าจะต้องคุกเข่าอ้อนวอนคนที่เกลียดเข้ากระดูกดำ...อย่างน่าสมเพชมากเพียงใด

'เอมรักคิน'

ถ้าเพื่อนาย...ก็จะทำอย่างไม่ลังเล

"ได้โปรด..."

"คิน..." เสียงใสสั่นเครือเมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่สั่นพร่าเพราะหยาดน้ำตา คินอ่อนลงก็เพื่อขอร้องให้ไว้ชีวิตเขา

...เพื่อช่วยเขา...

ความจริงใจที่อยากให้เรย์รับรู้เผื่อว่าเรย์อาจจะเห็นใจกันบ้าง แต่หารู้ไม่มันกลับยิ่งเติมเชื้อเพลิงให้ไฟริษยาลุกโหมกระหน่ำ

"นี่เพื่อมัน...นี่คินทำเพื่อมันถึงขนาดนี้เลยเหรอ!!"

ปึง!

"อย่าขยับ! ตำรวจเข้าล้อมไว้หมดแล้ว!" ประตูห้องถูกกระแทกเปิดอย่างแรงและตำรวจในเครื่องแบบใส่เกราะกันกระสุนกรูเข้ามาในห้องในจำนวนพอประมาณอย่างรวดเร็ว

"!"

ร่างเล็กตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถอยกรูดจนแผ่นหลังชนประตูกระจกที่สามารถเปิดผ่านไปที่ระเบียงกว้างได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ถูกตำรวจอพยพออกไปนอกห้อง ส่วนคินที่พยายามเข้ามาก็ถูกกักเอาไว้

"เอม!"

"คิน! โอ๊ย!" ร่างบางยื่นมือพยายามคว้า แต่ถูกรั้งคอเสื้อเอาไว้รัดคอแน่นจนหายใจลำบาก รู้สึกเริ่มออกอาการหวิวๆ ตาพร่าเหมือนจะเป็นลมเพราะขาดเลือดมาก

"คุณเรชิตา คุณถูกจับข้อหามีอาวุธในครอบครองและพยายามฆ่าผู้อื่น ยอมจำนนแต่โดยดีเถอะ" ตำรวจคนหน้าสุดพยายามเอ่ยเกลี้ยกล่อม "โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา"

"จับห่าอะไร พ่อกูเป็นใคร พวกมึงไม่มีสิทธิ์จะมาจับกูทั้งนั้น! ถอยออกไปไม่งั้นไอ้นี่ตาย!!" เรย์ยกปืนขึ้นขู่ แน่นอนว่าได้ผลเพราะตำรวจนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีใครกล้าขยับ

"คุณเรชิตา ใจเย็นๆ ...ปล่อยตัวประกันมาเถอะ"

"ไม่! พวกมึงนั่นแหละถอยออกไป!"

"คุณเรชิตา..."

"บอกให้ถอยออกไป!" เสียงเล็กตะโกนจนเส้นเสียงแทบขาด ทำให้ตำรวจค่อยๆ ก้าวถอยหลังแค่เพียงครึ่งก้าว เท่านั้นก็ทำให้ร่างเล็กแสยะยิ้มย่ามใจ ทั้งๆ ที่ตัวทั้งตัวสั่นระริก

ไม่ใช่ว่าไม่กลัว...กลัวมาก...แต่...เขาไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว...

ทำไมมีแต่คนจ้องมองมาที่เขา...สายตานั่น...ไม่ใช่เทิดทูน แต่เป็น...หวาดระแวง...ไม่พอใจ

"ทำไม!? ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจเลย...ความรักของกูมันไม่มีค่าเลยใช่ไหม!? ห๊ะ ตอบมาสิ คิน!" เรย์พึมพำกรอกตาล่อกแล่ก สักพักก็เหมือนคุยกับใครบางคน แล้วตะคอกถามเพราะเหลือบไปเห็นร่างสูงอยู่แถวนั้น ไม่มีอาการของคนปกติอีกต่อไปแล้ว

"นี่...คิน ถ้ากลับมาล่ะก็ จะยอมยกโทษก็ได้นะ เอามั้ย...? เรย์จะกลับไปเป็นคนดี น่ารักเหมือนเดิม คินจะได้รัก..."

ห้องทั้งห้องเงียบงัน มีเพียงเสียงของเรย์ที่พูดอยู่คนเดียว ลมหายใจของชะเอมขาดห้วงติดขัด แต่ดวงตากลมก็ยังสังเกตเห็นว่าคินกระซิบอะไรบางอย่างกับตำรวจ ก่อนที่จะหันมาสบตากันอย่างมีความหมาย ชะเอมมองหน้าคินพร้อมส่ายหน้าน้อยๆ แต่คินกลับมองมาด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยว

ไม่นะ...คิน

"ได้สิ เรย์ ถ้านายต้องการแบบนั้น" เสียงทุ้มพูดขึ้น ค่อยๆ ก้าวมาข้างหน้าแทนเพื่อให้ความแน่ใจแก่คนที่ถูกกดดันรอบด้าน

"จริงเหรอ!? จริงนะคิน" เรย์มีน้ำเสียงดีใจ แต่นัยน์ตาไม่สะท้อนภาพใดๆ อีกแล้ว

"อืม เพราะงั้น..." ขายาวก้าวเข้าไปทีละนิด...ทีละนิด มือยื่นออกไปใกล้จะถึงตัวประกัน "เรย์ปล่อยชะเอมไปเถอะ"

ร่างเล็กเกร็งขึงผิดท่าทีกับตอนแรกที่กำลังจะโอนอ่อนเพราะถูกเกลี้ยกล่อมด้วยคำหวาน เมื่อได้ยินคำเดียว

ชื่อของมัน...ชะเอม

"ไอ้ชะเอม...ไอ้ชะเอม..." ร่างเล็กหายใจเข้าออกแรงอย่างคนบ้าคลั่ง กอนจะตะโกนออกมาทำให้ร่างสูงสะดุ้งตกใจ "ไอ้ชะเอม!!"

อะไรๆ ก็มีแต่คนพูดถึงมัน! ชอบมัน! สรรเสริญมัน!

เด็กกำพร้าขี้ริ้วขี้เหร่มันจะมีอะไรดีกว่าเขาซึ่งเป็นลูกนักการเมืองชื่อดัง...แค่เกิดมาก็ต่ำกว่าแล้ว ยังจะตะเกียกตะกายดิ้นรนมาเพื่ออยู่สูงกว่า!?

แค่มันเท่านั้นที่เขาจะไม่ยอม!!

"คินจะต้องกลับมารักเรย์ แต่มันต้องตาย!" ปืนที่ละออกเพราะโดนเกลี้ยกล่อมกำลังจะจ่อกลับเข้าที่เดิม ดวงตากลมโตสบตาคมที่อยู่ใกล้กว่าเดิม

"คิน!"

"เอม!"

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่คินทำไปจะต้องไม่เสียเปล่า...การเสียสละเจรจาเพื่อยื้อให้คนของเรา 'พร้อม'

"ยิง!" คำสั่งประกาศิตดังขึ้นและเสียงดังราวกับฟ้าผ่าที่ตามมาในเสี้ยววินาทีถัดมา

ปัง!

"อะ อ๊ากกก! ขะ ขากู!!" ความเจ็บปวดและเสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นเมื่อลูกกระสุนวิ่งทะลุต้นขาเล็กของคนร้ายที่มีอาวุธปืนอย่างแม่นยำ ทำให้เรย์ต้องทรุดนั่งและปืนก็หลุดจากมือ ชะเอมเห็นดังนั้นจึงดิ้นหลุดมาได้อย่างหวุดหวิด คินถือโอกาสดึงแขนบางเข้าอ้อมอกและโอบกอดแน่น เมื่อได้สัมผัสอ้อมกอดที่อบอุ่นแม้จะเพียงไม่นาน แค่นั้นก็ทำให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลบ่า

"ฮือออ"

"เอม ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ" คินประคองคนอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ แต่พอคิดว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดี สายตาคมพลันเบิกตะลึงเมื่อเรย์ฝืนหยิบปืนที่กระเด็นลงพื้นไม่ไกลขึ้นมาถือเอาไว้และจ่อมาทางเขาสองคนด้วยดวงตาแดงก่ำกร้าว

เจ็บ...ทั้งเจ็บแสบปวดร้อนแผลที่ต้นขา แต่ไม่สนใจ...แค่มันเท่านั้น

ถ้ากูไม่ได้ครอบครอง...ก็อย่าหวังว่ามึงจะได้!!

ต้องตาย...ต้องตาย...มันต้องตาย

"ตายซะเถอะมึง!!"

"ระวัง!!!" เสียงตะโกนมาจากไหนไม่อาจรู้ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน

คินโอบกอดร่างบางไว้แน่นจนมิด พลิกตัวหันหลังบังวิถีกระสุนเพื่อปกป้อง...

สัญญาไว้แล้ว

ปัง! ปัง!

ถ้าหากอยากได้ชีวิตล่ะก็...

ขอให้เอาของเขาไปแทน

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที เสียงปืนที่ดังครั้งแรก เรย์ที่ล้มลงฝืนจิกเล็บเข้าเนื้อเพื่อใช้ความเจ็บข่มความเจ็บหยิบปืนขึ้นมาเล็งยิง เสียงตะโกนกร้าวและเหนี่ยวไก ร่างสูงที่ตวัดตัวเขาแทนที่และค่อยๆ ล้มลง...มันเกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาที

"คิน!!!" ชะเอมกรีดร้องเสียงดังเมื่อร่างสูงค่อยๆ ทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรงจนคนตัวเล็กกว่ารับน้ำหนักไว้ไม่ไหวทำให้ล้มลงกระแทกพื้นไปพร้อมกัน แขนบางโอบกอดแผ่นหลังกว้าง พอยกขึ้นมาดูก็พบน้ำสีแดงข้นส่งกลิ่นคาวเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด...มันค่อยๆ ไหล...เจิ่งนองเต็มพื้น

คินถูกยิง...เพราะรับกระสุนแทนเขา

“คิน ฟื้นสิ! ไม่นะ...ได้โปรด...”

ไม่อาจห้ามหยาดน้ำตาที่ไหลนี้ได้ แม้จะพร่ามัวแต่ก็ได้แต่เงยหน้าร้องขอให้ช่วยคนสำคัญ

"ใครก็ได้! ช่วยด้วย...คุณตำรวจช่วยคินด้วยครับ!"

"มีคนโดนยิง! บาดเจ็บสาหัส!"

มันวุ่นวาย...วุ่นวายไปหมด

“โอ๊ย เจ็บนะโว้ย ปล่อยกู! ปล่อยกู!!! กูจะฆ่ามัน!” เสียงกระโชกโฮกฮากและดิ้นเพื่อออกจากการกอบกุมไม่เข้าหูคนฟัง จนเสียงนั้นค่อยๆ เงียบลง

ชะเอมได้แต่ยืนมอง ร่างสูงที่หลับตาไร้การตอบสนองถูกหามเปลออกไป

เสียงดังลั่นของปืนในตอนนั้น กระสุนอีกนัดหนึ่งคือกระสุนที่ยิงจากกระบอกปืนของตำรวจที่ยิงเข้าใส่เรย์เพื่อสกัดการกระทำ แต่ไม่อาจห้ามได้ทัน...ดังนั้นตอนนี้เรย์ก็บาดเจ็บเช่นเดียวกัน แต่แล้วไงล่ะ...เขาไม่สนใจใครอีกต่อไปแล้ว

"คิน..." ขาเรียวอยากจะเดินตาม...แต่มันก้าวไม่ออก ภาพด้านหน้าคือแผ่นหลังที่พร่ามัวของเพื่อนที่วิ่งตามเตียงเข็นที่แบกคนรักของเขา...ห่างออกไปเรื่อยๆ

เสียงดังทั้งๆ ที่มันควรจะวุ่นวายรอบกายแต่ตอนนี้กลับอื้ออึง...น่าหดหู่ไปเสียหมด

"อาหมอ ช่วยคินด้วยครับ" เสียงใสแผ่วเบา และแขนบางก็ตกลงข้างกาย มันช่างหนักอึ้ง ก่อนที่ร่างบางทั้งร่างตกลงตามแรงโน้มถ่วง

"คุณครับ! คุณ!"

...ขอร้องล่ะ อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ...

...พระเจ้า ผมขอร้อง...อย่าเอาชีวิตคินไปจากผมเลย...

...ได้โปรด...



************************Whose fault? ************************



มาแย้วว

เจ้มจ้น เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้วนะคะ...นักเขียนคงจะคิดถึงนักอ่านมากแน่ๆ

อย่าลืมไปติดตามอ่านเรื่อง Love Substitute ทดแทนรัก คู่ติมรามนะคะ กำลังต้มมาม่าสุกได้ที่
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-03-2019 21:51:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-03-2019 22:14:22
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 15-03-2019 23:48:36
ลุ้น


ลุ้น



ลุ้น
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 16-03-2019 01:10:53
โหย อ่านกันเหนื่อยเลย ลุ้นตัวโก่ง 5555
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 41 15/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 20-03-2019 13:03:18
ตัวโกงโดนแล้วเห้ยๆ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-03-2019 19:38:13


Whose Fault ?

ผิด...ครั้งที่ 42



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม





ติ๊ด...ติ๊ด....ติ๊ด...



ชะเอมนั่งมองคนบนเตียงที่นอนหน้าซีดอย่างเหม่อลอย ใบหน้าคมหล่อเหลามีเครื่องช่วยหายใจปิดไว้ครึ่งหน้า สายระโยงระยางทั้งน้ำเกลือและอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเชื่อมกับเครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ใบหน้าหวานใสบัดนี้ซีดเซียวไม่ต่างกัน ขอบตาทั้งบวมทั้งแดงก่ำ แต่ก็ฝืนยืนยันที่จะนั่งเฝ้าคนป่วยอยู่แบบนี้ ตั้งแต่ออกมาจากห้องผ่าตัด แม้จะยืนยันแล้วว่าปลอดภัยแต่ใจดวงน้อยนี้ก็เต้นเชื่องช้าไม่ต่างจากคนใกล้ตาย





"เอม ฟื้นแล้วเหรอ"



เมื่อลืมตาฟื้นขึ้นมา ดวงตากลมกระพริบงุนงงและหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มองไปรอบห้องก็เห็นสายตาหลายคู่ของเพื่อนที่มองมาอย่างเป็นห่วง มือบางยกขึ้นกุมขมับเมื่อรู้สึกตึงๆ สัมผัสได้ถึงผ้าก๊อซแปะอยู่ตรงนั้น



นี่เรา...เป็นอะไร?



ปัง! ปัง!



'คิน!!!'



เสียงปืนและเสียงกรีดร้องของตัวเองย้อนเข้ามาในความทรงจำทำให้ร่างบางผุดลึกขึ้นทันที ไม่ห่วงอาการของตัวเอง



"คิน! คินเป็นไงบ้าง!?"



เลือดสีแดงที่ติดอยู่ที่เสื้อผ้าของเขา...มันคือของๆ คิน



หยาดน้ำตาไหลทันทีที่นึกขึ้นได้



คินโดนยิง...มันไม่ใช่ความฝัน มันคือความจริงอันแสบเจ็บปวดทรมาน



"เอม นายเป็นลมเพราะขาดเลือดนะ อย่าลุกขึ้นกะทันหันแบบนั้นสิ"



พอใครบางคนพูดก็ดูเหมือนจะรู้สึกหวิวๆ จริงๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาอ่อนแอ



"คิน...คินล่ะ ฮือออ คินเป็นไงบ้าง ดินบอกเราสิ! ...คินเป็นยังไงบ้าง!" ชะเอมร้องไห้โฮอย่างคนไร้สติเพราะใจนึกเป็นห่วงอีกคนอย่างถึงที่สุด มือบางเขย่าตัวร่างสูงที่เข้ามาประคองอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนทำสีหน้าลำบากใจ เม็ดทรายก้มหน้าหลุดร้องไห้ยิ่งทำให้ชะเอมสะเทือนใจหนัก "ทำไมถึงไม่พูดเล่า!?"



มันหมายความว่ายังไง!



"เอม...คือ..."



"เอม คินปลอดภัยแล้ว" ชะเอมหันขวับมองเมื่อได้ยินเสียงพูดของใครบางคนดังขึ้น กฤษณะนั่นเองที่เพิ่งเดินเข้ามาและเห็นว่าชะเอมรู้สึกตัวแล้ว



แต่...มันไม่ดี...ไม่ดีเลย



"จริงเหรอครับอาหมอ" ดวงตากลมประกายยินดี แล้วทำไมเพื่อนๆ ถึงมีท่าทีแบบนี้กันล่ะ?



กฤษณะมีสีหน้าลำบากใจ ไม่อยากจะบอกความจริงนี้...แต่รังจะเก็บไว้ ถ้ารู้เอาภายหลังเจ้าตัวก็จะเจ็บปวดยิ่งกว่า



ร่างสูงในชุดเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเดินเข้ามากอดร่างบางแน่น ได้ยินเสียงหลุดสะอื้นของเพื่อนในห้องที่กลั้นไว้ไม่ไหวอีกต่อไป



"คินปลอดภัยแล้วจริงๆ แต่...เอมฟังอาดีๆ ...ทำใจดีๆ ไว้นะ"



"อาหมอ...อาหมอพูดเรื่องอะไรน่ะครับ" ร่างบางทั้งเสียงทั้งใจสั่นดันคนที่กอดแน่นออก ดวงตากลมโตมองอย่างไม่เข้าใจ กฤษณะจับไหล่บางและมองหน้า...สบตาและพูดอย่างจริงจัง



"เอม คินปลอดภัยแล้วก็จริง แต่..." นายแพทย์สูดลมหายใจเข้าลึกที่ดูจะยากลำบากกว่าทุกครั้ง "กระสุนที่ยิงเข้าแผ่นหลังนั้น ไปโดนเส้นประสาทที่เกี่ยวกับการควบคุมขาทั้งสองข้างจนเสียหาย"



"ไม่...จริง..."



"ตั้งแต่สะโพกลงไป คินอาจจะไม่มีความรู้สึก...และไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก"



ชะเอมเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง น้ำตาไหลลงอีกครั้ง ความยินดีเหมือนถูกคำพูดเมื่อครู่เหยียบมันให้จมลงดิน



"อ๊า...ไม่จริง...ไม่!!" มือบางยกขึ้นกุมหัวและกรีดร้องจนคนมองสะเทือนใจ เม็ดทรายกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เพื่อนๆ ที่รู้ความจริงในตอนแรกก็เจ็บปวดมาก แต่คนที่เจ็บปวดมากที่สุดคงไม่พ้นร่างบางคนนี้ "อาหมอโกหก!"



"เอม...เอมใจเย็นๆ" กฤษณะไม่โกรธสักนิดที่ทั้งกำปั้นทั้งฝ่ามือรัวทุบลงบนตัวเขา ซ้ำยังกังวลระคนเป็นห่วงพยายามกล่อมคนป่วยที่ดูจะไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิดให้อารมณ์เย็นลงหน่อย ถ้าหากฝืนกว่านี้อาการโรคหัวใจของเจ้าตัวอาจจะกำเริบได้



กลัวว่าจะเป็นอะไรไปอีกคน



พี่เกษมกลับมาคงเอาเขาตายแน่



"ไม่จริง...ไม่จริง!! อาหมอโกหก! โกหก!!" รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครผิด แต่ก็อยากจะระบายความเจ็บปวดนี้ออกไป



ทำไม...



ทำไมต้องเป็นคิน...ทำไมต้องลงโทษคนที่เขารักแบบนี้



คนที่ผิดคือเขาเอง...เขาน่าจะโดนยิงตายๆ ไปซะ



"ฮือ คิน...คิน...!"



นานกว่าครึ่งชั่งโมงกว่าอารมณ์จะสงบ ร่างบางนอนหมดแรงอยู่ในอ้อมอกของกฤษณะ ใบหน้าหวานซีดเซียวเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ดวงตาบวมแดงเพราะร้องไห้ไม่หยุด แม้ในตอนนี้น้ำตาก็ยังคงไหล



"อาหมอช่วยรักษาคินไม่ได้เหรอ..." นัยน์ตากลมช้อนมองอ้อนวอน "อาหมอเป็นหมอที่เก่งที่สุดไม่ใช่เหรอครับ"



กฤษณะใจกระตุก...หมอที่เก่งที่สุด?



"..."



"ขอร้องล่ะครับ ฮึก อาหมอ..."



แพทย์กฤษณะก้มหน้าต่ำ ไม่สามารถตอบอะไรได้เลย...



และความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด ที่ไม่ต้องตอกย้ำความเป็นจริงใดๆ แต่มันก็ทำให้ชะเอม...เจ็บปวดชอกช้ำ



"ฮึก ฮึก! อาหมอครับ คินอยู่ไหน เอมอยากไปหาคิน..."



"อย่าฝืนเลย เอม คินยังไม่ฟื้น...เพราะฉะนั้นพักก่อนเถอะ"



"เอมอยากไปหาคิน...นะครับ" เสียงใสโหย "...ได้โปรด..."





ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...



"ฮึก! อึก..."



เพียงแค่มอง...ก็เจ็บเหลือเกิน



มือบางที่กุมมือใหญ่บีบแน่นจนมือของตัวเองเจ็บแทน เสียงใสสะอึกสะอื้นไร้เรี่ยวแรง



 น้ำตาไหลไม่หยุด...ไม่มีวันหมด



"คิน...เอมอยู่นี่แล้วนะ"



อยากได้ยินเสียง...อยากเห็นรอยยิ้ม...



"เอมรักคินนะ"



บอกรัก...ด้วยความรู้สึกอย่างทุกครั้ง



เพราะฉะนั้นก็ช่วยบอกกลับมาด้วยความรู้สึกเดียวกันที



'คินก็รักเอม'



"เอม...นายนั่งอยู่ตรงนานแล้วนะ ไปกินข้าวกินยาพักผ่อนบ้างสิ"



เสียงทักทำให้ร่างบางยกศีรษะขึ้น...นี่เขาเผลองีบหลับไปตอนไหนกันนะ



"สิน..."



"เดี๋ยวให้คนอื่นเฝ้าเอง นายไปล้างหน้าหาอะไรกินบ้างเถอะ จะได้มีแรงมาเฝ้าไอ้คินมันต่อ"



ชะเอมเสมองใบหน้าคมที่ยังหลับสนิทแล้วก็พยักหน้าเบาๆ ขาเรียวพลันลุกขึ้นแต่โซเซ เสียการทรงตัว



"เอม!" ความรู้สึกเหมือนห้องหมุนแทรกเข้ามา ...ลมหายใจหอบสั่นอย่างแรง ร่างบางถูกร่างสูงช้อนอุ้มมานอนที่โซฟาและจากนั้นใครบางคนก็เรียกอาหมอเข้ามาตรวจ



สมองมึนงงกว่าจะตั้งสติอะไรได้ก็พักใหญ่ ดูเหมือนจะไม่ได้รับสารอาหารและการพักผ่อนอย่างเพียงพออาหมอว่าแบบนั้นและโดนดุอีกตามเคย



"ขอโทษครับ" ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากคำนี้จริงๆ



"มึงนั่งพักบ้าง เดี๋ยวพวกกูซื้ออะไรมาให้กิน" ดินเอ่ยขึ้นและเรียกให้สินไปพร้อมกัน



"ขอบคุณนะ..."



"เอมอย่าทำแบบนี้เลย อารู้ว่าหนูเป็นห่วงคิน แต่อย่าฝืนตัวเองแบบนี้ ถ้าคุณลุงมาเห็นจะยิ่งเป็นห่วงนะ"



พอได้ยินกฤษณะพูดถึงคุณลุง ยิ่งเรียกหยาดน้ำตาให้ไหลริน



"ถ้าคุณลุงรู้ต้องโกรธต้องเกลียดเอมมากแน่ๆ"



เป็นเพราะเขาที่ทำให้คิน ลูกชายของท่านเป็นแบบนี้



"ใครบอกหรือว่าลุงจะโกรธ"



ชะเอมหันขวับเพราะคนที่ตอบไม่ใช่อาหมอที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นคนที่มาใหม่ที่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ



"คุณลุง ฮึก ฮึก! คุณลุงครับ" ชะเอมเบะปากเมื่อเห็นคนที่ไม่ได้เห็นมานานนับหลายเดือน ขาเรียวพลันลุกขึ้นโผเข้ากอดอ้อมแขนใหญ่ที่อ้ารอรับ โดยที่เกษมศักดิ์ก็กอดร่างผอมแน่น



ไม่ได้เจอนานมากจริงๆ



เพราะได้ยินแต่เสียงผ่านทางโทรศัพท์เพียงเท่านั้น จึงไม่เคยรู้เลยว่าชะเอมผอมลงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่



"คุณลุง ฮึก คินเค้า..." ร่างบางสะอื้นฮักๆ ช้อนมองหน้าใบหน้าผู้ปกครอง "...เพราะเอม...เป็นเพราะเอมที่..."



เกษมศักดิ์ลูบหัวลูบหลังปลอบ ปาดน้ำตาจากใบหน้าใส "ชู่ว ลุงรู้แล้ว ลุงรู้ทุกเรื่อง เพราะงั้นเอมอย่าโทษตัวเองเลย...นะ"



ชะเอมไม่ตอบไม่พยักหน้า เพราะจะไม่ให้โทษตัวเองนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าหากเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นคืนก็คงจะไม่โดนยิง



ถ้าหากไม่มีเขาซะ...



ก็จะไม่มีใครเดือดร้อนแท้ๆ



เกษมศักดิ์รู้ดีว่าพูดไปยังไงอีกฝ่ายก็คิดมาก...เรื่องนี้คงต้องให้เวลาช่วยเยียวยา



แถมป่านนี้เจ้าคินก็ยังไม่ฟื้นเลยด้วย



เกษมศักดิ์โอบกอดคนร้องไห้จนเหนื่อย หมดแรงแต่ยังกอดตอบตนแน่น ใช้สายตาบอกกฤษณะและเลขาตนให้ออกไปรอนอกห้องอย่างเงียบเชียบ ในห้องเหลือกันแค่สามคน



"ร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว ไหนดูซิ มาให้ลุงดูเด็กขี้แยหน่อย" ร่างสูงช้อนตัวคนเบาหวิวแถวร่างกายอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงขัดขืนขึ้นแนบอก พามานั่งที่โซฟา ให้ชะเอมได้นอนเหยียดขา พอเจอแบบนี้ร่างกายก็เหมือนจะสับสวิตช์ เปลือกตาบางปรือกระพริบพยายามฝืนแต่ยากลำบากเหลือเกิน



"คุณลุง..."



 "หลับซักหน่อยนะ ชะเอม" คนแก่จุ๊ปากเหมือนเลี้ยงเด็กน้อย ก่อนจะก้มลงประทับจูบเหมือนที่เคยทำสมัยเด็กตอนกล่อมให้คนตรงหน้านอน "ฝันดีครับ"



คล้ายกับคำอนุญาต ร่างบางก็ทิ้งความคิดและหลับลึกจมดิ่งลงไปทันที...



พอชะเอมหลับไปแล้ว ท่านประธานบริษัทก็หยิบหมอนแถวนั้นมารองศีรษะให้อย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น แต่ว่าหลับลึกขนาดนี้คงจะตื่นยาก



ร่างสูงเดินไปยืนนิ่งข้างเตียงผู้ป่วยซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขาเอง เกษมศักดิ์กลับมาเมืองไทยได้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ และข่าวเรื่องนี้เข้าถึงหูทันทีเพราะเลขาหนุ่มเป็นคนรายงาน อยากจะตรงมาถึงโรงพยาบาลทันทีที่ได้ยินด้วยซ้ำแต่ก็ต้องไปจัดการเรื่องคดีก่อน และบอกไว้ว่าจะเอาเรื่องจนถึงที่สุด ที่ทำให้ลูกชายทั้งสองของเขา...บาดเจ็บทั้งกายและใจ



'เกษม ฉันขอโทษแทนลูกชายด้วย'



แค่คำขอโทษ ...มันจะไปพออะไร



กับสิ่งที่เขาสูญเสียไป



กับสิ่งที่ลูกชายของเขาสูญเสียไป



แปะ...แปะ



"เจ้าลูกชายบ้าเอ๊ย..."



นานนับยี่สิบหรือสามสิบปีก็ไม่รู้ที่ดวงตาคมกรำงานแห้งผาก แต่บัดนี้หยาดน้ำตาถูกกลั่นออกมาจากดวงตาอย่างง่ายดายเพียงเพราะเห็นลูกชายคนสำคัญนอนอาการสาหัสอยู่บนเตียง



แม้จะปลอดภัยแล้ว...แต่ผลที่ออกมาคือสูญเสียการควบคุมไปครึ่งตัวส่วนล่าง...ไม่อาจใช้การขาทั้งสองข้างได้อีก...



'เส้นประสาทไขสันหลังเสียหายอย่างหนัก'



มันหมายความว่าคินจะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต



"ทำไมถึงเป็นแบบนี้"



เพราะเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับการทำงาน...ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันถึงได้สูญสิ้น...พังทลายไปหมด



ร่างสูงที่มีแผ่นหลังหยัดตรงและมองไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาก็เอาชนะมันได้จนมาถึงจุดๆนี้...แต่มาดูตอนนี้สิ...ถ้าแลกกลับมาได้เขาก็อยากจะแลก...



ไม่ว่าจะงาน ทรัพย์สินเงินทองหรือชื่อเสียงที่สร้างมา



มันไม่สำคัญอีกแล้ว...ไม่สำคัญเลย...



"คิน พ่อขอโทษ..."

.

.

.

พ่อขอโทษ



>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่างค่ะ

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-03-2019 19:38:39



ต่อจากด้านบน<<<<<<<<<<<<


"ฮือออ...ฮือ"



เขาได้ยิน...เสียงร้องไห้ของใครบางคน ดังสะท้อนในความเงียบงัน



"ฮือๆ คิน"



และเสียงนั้นเรียกชื่อเขา



ใครน่ะ



"เอมกลัว...เอมกลัว"



เอม? ชะ...เอม?



จำได้แล้ว...เขาจำได้แล้ว



แต่เสียงนั้นเด็กกว่าที่เคยได้ยิน และตอนนี้รอบด้านยังคงมืดสนิท ไม่เห็นอะไรเลย



"เอมจะกลัวอะไร คินอยู่ตรงนี้" เสียงของใครอีกคนตอบไป เป็นเสียงของเขาแต่ไม่ใช่ 'เขา'



"คินอย่าทิ้งเอมไป"



พลันแสงสว่างวางขึ้นจนแสบตา พอปรับโฟกัสก็เห็นเด็กน้อยยืนขยำเสื้อเบะปาก ดวงตากลมแวววาวด้วยน้ำตาชุ่มฉ่ำ



...ทิ้งเหรอ...ทำไมถึงพูดแบบนั้น...



"คินไม่มีทางทิ้งเอมหรอกน่า เพราะงั้นก็หยุดร้องไห้ก่อนสิ"



"ฮึก...ฮึก"



"จำเอาไว้...จำเอาไว้เลยนะคินไม่มีทางทิ้งเอมเด็ดขาด"



"จริงนะ?"



"จริงสิ! สัญญาเลย!"



...สัญญา...ว่าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว...



...เอม...





นิ้วมือของคนที่นอนนิ่งขยับเล็กน้อย ทำให้เกษมศักดิ์ที่นั่งเฝ้ามองอยู่ตลอดสังเกตเห็น ร่างสูงผุดลุกขึ้นแววตาฉายความยินดี



"คิน...คิน! กฤษ เจ้าคินลืมตาแล้ว"



...เสียง...



"ชีพจรคงที่...ทุกอย่างปกติดีครับ...คินได้ยินที่อาพูดมั้ย"



อากฤษ?



นี่เรา...



"คิน คิน ได้ยินพ่อมั้ย"



เสียงของ...พ่อ



ใบหน้าของพ่อที่ชะโงกเข้ามาในคลองสายตา



น้ำตา...ของพ่อ



ใครทำพ่อร้องไห้...เขาเหรอ?



"พ..." พยายามจะส่งเสียงแต่ลำคอนั้นแห้งผาก...เจ็บแสบเหลือเกิน ซ้ำยังไอค่อกแค่กแทนจนสะเทือนแผล...



เจ็บ...!



เจ็บร้าวไปทั่วทั้งแผ่นหลัง...ปวดแสบปวดร้อนจนน้ำตาเล็ด



“อย่าเพิ่งขยับตัวสิ” คนเป็นพ่อเอ่ยเมื่อเห็นหน้านิ่วของลูกชาย



กฤษณะเห็นดังนั้นรีบหยิบแก้วน้ำและใส่หลอด แต่ไม่ให้คนป่วยดูด เขากลับเอานิ้วกั้นหลอดด้านหนึ่งและส่งน้ำเพียงแค่ครึ่งหลอดเข้าปากทีละนิด



"ค่อยๆ จิบนะเดี๋ยวสำลักแล้วจะกระเทือนแผล อาต้องขอโทษด้วยแต่คนที่เพิ่งผ่าตัดจะไม่อนุญาตให้ทานน้ำเยอะมาก อดทนหน่อยล่ะคิน"



"คินเป็นยังไงบ้าง พูดอะไรหน่อยสิ"



"ใจเย็นๆ ครับพี่เกษม เขาอาจจะยังมึนๆ เบลอๆ อยู่"



คินกระพริบตาช้าๆ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เบลอ ได้ยินทุกคำพูด...เห็นทุกอย่าง แต่ร่างกายมันไม่ฟังคำสั่งของสมอง



"...พ่...อ..."



"แกจำอะไรได้บ้าง" เสียงทุ้มถามร้อนรน ทำให้ร่างสูงนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ



'ระวัง!!!'



"ผม...ถูกยิง"



'คิน...คิน!!! ใครก็ได้! ช่วยด้วย...คุณตำรวจช่วยคินด้วยครับ!’



คนป่วยเบิกตาน้อยๆ พยายามผงกหัวขึ้นมองหาใครบางคน แต่เจ็บแผลมากจนต้องนอนลงเหมือนเดิม



"อย่าขยับสิคิน เธอเพิ่งจะผ่าตัดไปได้ไม่กี่วันเอง"



คินไม่สนใจแต่ถามในสิ่งที่อยากรู้ "เอมล่ะครับ?"



"ไม่ต้องห่วง เอมปลอดภัยดี นอนอยู่ตรงนั้น" เกษมศักดิ์ชี้ให้ลูกชายโล่งใจ



"คุณลุง...?" คนที่กำลังนอนอยู่ขยับตัวเพราะเหมือนได้ยินเสียงโวยวายบางอย่าง ชะเอมถึงได้รู้สึกตัว มือบางกำลังยกขยี้ตาแต่กลับชะงัก ตากลมโตเบิกกว้าง "คิน!? คินฟื้นแล้ว!"



ขาเรียวรีบผุดลุกขึ้นเดินมาไม่ระวัง จนเดินชนขอบโต๊ะ ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่นิดเพราะความดีใจมันมากยิ่งกว่า



คินยิ้มรับ "เอม...ปลอดภัยสินะ"



ดวงตากลมโต ทั้งๆ ที่แดงก่ำก็ยังเหมือนจะผลิตน้ำตาได้อีก "ครับ ฮึก เอมไม่เจ็บตรงไหนเลย เพราะคินช่วยเอมไว้"



มือบางช้อนกุมมือที่ทั้งใหญ่ทั้งอุ่นแน่นนานหลายนาทีจนเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น



เป็นการสนทนาที่คนทั้งห้องต้องกลั้นลมหายใจ



...ความจริงที่แสนเจ็บปวดทรมาน...



"อากฤษ..." คินตะขิดตะขวงใจมาตั้งแต่เมื่อกี้ พยายามจะขยับถูกส่วนของร่างกาย แต่... "ขาผม...มัน..." ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะอธิบายไม่ถูก



...มันยกไม่ขึ้น...



ไม่สิ มันไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยด้วยซ้ำ



ดูจากสีหน้าของคนในห้อง ทั้งกฤษณะ ทั้งพ่อ ทั้งชะเอมที่ดวงตาแดงก่ำ...เขาก็พอจะรู้



"ฮึก คิน...เอม..."



"อากฤษ...ช่วยบอกความจริงกับผม..."



กฤษณะพยักหน้า ก็ไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้วเพราะด้วยจรรยาบรรณแพทย์ แต่เขารู้สึกเป็นห่วงผู้ป่วยมากกว่า...เด็กคนนี้จะรู้สึกอย่างไรที่ชีวิตประจำวันที่เคยเป็นมันจะเปลี่ยนไป ...พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว "คิน กระสุนที่ถูกแผ่นหลังมันไปโดนเส้นประสาทไขสันหลังที่เป็นตัวควบคุมขาทั้งสองข้าง มันส่งผลทำให้เธอ...อาจจะเดินไม่ได้อีก"



เดินไม่ได้อีก



หมายความว่าเขากลายเป็นคนพิการ...?



มือใหญ่กำผ้าปูแน่น...ทึ้งจนมันแทบขาดก่อนจะผ่อนออก



"เหรอ...ครับ..." ภาคินดูนิ่งกว่าที่คิด



ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจ...เสียใจมาก



ถ้าบอกว่าทำใจได้...มันไม่ใช่เลย



แต่...พอได้ยินเสียงร้องไห้ของชะเอมแล้วมันทำให้เขาคิดได้...ว่านี่คือผลจากการที่เขาได้เสียสละ...ปกป้อง...อย่างที่ตั้งใจไว้



เพราะสัญญาเอาไว้แล้ว



คินก้มหน้าต่ำ เพราะแบบนี้เองสินะ เกษมศักดิ์ที่ไม่เคยร้องไห้กลับน้ำตาไหลเพราะเรื่องนี้



"พ่อครับ ผมขอโทษ" ...ที่ทำให้เสียใจ ผิดหวัง และอีกมากมาย "ขอโทษนะครับ"



เกษมศักดิ์ส่ายหน้าน้ำตารื้น "ไม่เลย พ่อต่างหาก ที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ คอยดูแล... ที่แกเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อ..."



"ไม่ใช่นะครับ! เป็นเพราะเอมต่างหาก! ฮือออ ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นเพราะเอม! เพราะคินรับกระสุนแทนเอม!!" เสียงใสตวาดกร้าว น้ำตานองเพราะแต่ละคนเอาแต่ว่าๆ เป็นความผิดของตน



แต่จริงๆ แล้วมันคือบาปของเขา! คินเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา!



เขาเป็นคนเดียวที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลง!



แล้วทำไมถึงไม่มีใครโทษเขาเลยล่ะ...ถ้าทุกคนมาลงที่เขา...มันอาจจะดีกว่านี้



คินมองใบหน้าหวานที่บิดเบี้ยวด้วยความเสียใจแล้วก็ได้แต่เอ่ยปลอบ "เอม อย่าร้องไห้สิ..."



ยังมีคน...ที่เจ็บแทนเขา



เป็นห่วงเขา



รักเขาอย่างสุดหัวใจ



"ฮึก ฮึก คิน เอมขอโทษ..." ชะเอมสะอึกสะอื้น รู้ความจริงครั้งแรกว่าทรมานแล้ว แต่มันไม่เท่ากับตอนที่เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้เลย



อย่าปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...เพราะมันทำให้ยิ่งรู้สึกผิด



"พ่อครับ ผมขอโทษที่เป็นแบบนี้" คินยกมือลูบผมนุ่มเบาๆ และช่วยปาดน้ำตาคนขี้แย ที่ร้องไห้จนตาบวมปูด



"...แต่ผมไม่เคยนึกเสียใจ เพราะถ้าย้อนกลับไปได้...ผมก็จะทำแบบเดิม"



"คิน...พูดอะไรน่ะ" ชะเอมครางไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายพูดอะไรออกมา



"เพราะว่าเอมยังยืนอยู่ตรงนี้ ยังร้องไห้ให้ผมได้ยิน...ยังสามารถยิ้มหัวเราะและมีความสุข..." แววตาคมฉายความเด็ดเดี่ยวทว่าอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มจาง ไม่มีความเจ็บปวดเจือปนอยู่อีกแล้ว "เพราะเอมยังมีชีวิตอยู่ ผมถึงไม่เสียใจที่แม้จะแลกด้วยขาทั้งสองข้างของผม"



"คิน..." น้ำตาเม็ดโตไหลรื้นขึ้นอีกครั้งก่อนจะโผเข้ากอดร่างสูงที่นอนเจ็บอยู่จนคนโดนโถมใส่ร้องโอดโอย และแว่วเสียงเอ็ดห้ามจากกฤษณะและเกษมศักดิ์



ความเป็นจริงที่น่ายินดีที่สุดในตอนนี้คือเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ...ยังสามารถพูดคุย หัวเราะ หรือกอดกับคนที่รัก



สัญญาแล้ว...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม...ก็จะปกป้องนาย



สัญญาแล้ว...ว่าจะไม่ทิ้งนายไปอีก...



ในตอนนั้นถ้าหากเขาไม่ทำแบบนี้ เอมอาจจะถูกยิง แล้วก็อาจจะตายก็ได้



และนั่น...คงทำให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่...มากกว่าที่เป็นตอนนี้



เพราะฉะนั้น...เป็นแบบนี้...ดีแล้วล่ะ...ดีแล้ว



คินยกมือกอดตอบร่างบางแน่นและยิ้มน้อยๆ



...ขอขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้พวกเราทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่...



...ขอบคุณจริงๆ...





************************Whose fault? ************************




หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-03-2019 19:39:56


Whose Fault ?

ผิด...ครั้งที่ 43

​ตอนจบ



โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



'การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่



ภาคิน อนันต์โภคทรัพย์ ลูกชายเพียงคนเดียวของนักธุรกิจบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับร้อยล้าน เกษมศักดิ์อนันต์โภคทรัพย์ถูกยิงเข้าที่แผ่นหลังโดยเรชิตา โรจน์ศักดินา ลูกชายของนักการเมืองชื่อดัง ชาญณรงค์โรจน์ศักดินา ด้วยเหตุทะเลาะวิวาทหรือขัดใจบางอย่างจนอาการบาดเจ็บสาหัส พิการไม่สามารถใช้ขาทั้งสองข้างได้อีก เป็นฝันร้ายและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริงในครอบครัวของอนันต์โภคทรัพย์ไม่มีวันลืมเลือน



และไม่น่าเชื่อว่าอย่างครอบครัวที่ทำเพื่อสังคมมาตลอดอย่างโรจน์ศักดินาจะทำเรื่องฉาวโฉ่ได้ถึงขนาดนี้ ตำแหน่งในงานนักการเมืองของคุณชาญณรงค์อาจจะต้องได้รับพิจารณาอีกครั้ง



ทางฝ่ายคุณเกษมศักดิ์ขอยืนยันว่าจะเอาเรื่องอย่างถึงที่สุดเพราะเรชิตายังมีชีวิตอยู่แม้จะอาการบาดเจ็บเพราะถูกตำรวจยิงสกัดก็ตาม



'จริงๆ แล้วผมไม่อยากเอาเรื่องเด็กๆ เข้ามาเป็นอารมณ์ส่วนตัว แต่ลูกชายคนสำคัญของผมเป็นแบบนี้แล้วก็อย่าหวังว่าลูกชายของคุณจะได้มีชีวิตเหมือนคนทั่วไปอีกเลย'



นอกจากนี้ยังมีความผิดอีกหลายข้อหาที่ถูกแจ้งความจับนายเรชิตา มีอาวุธผิดกฏหมายในครอบครองวางแผนวางยาผู้อื่นให้ถึงแก่กรรม และมีการจ้างคนให้ไปทำงานผิดกฏหมายอีกด้วย เรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นจึงมีการตั้งข้อสงสัยว่านายเรชิตาคนนี้จิตปกติหรือไม่ จึงถูกส่งตัวให้ไปตรวจเช็คสุขภาพจิตที่โรงพยาบาลจิตเวชเพิ่มเติมพบว่านายเรชิตานั้นมีอาการคล้ายผู้ป่วยโรคประสาทชนิดหนึ่ง คนในครอบครัวก็ไม่ทราบดีว่าอาการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จนสายเกินไป ผลลัพธ์ที่ออกมาจากการกระทำคือนายเรชิตาโดนจิตหลอกหลอนเลยคิดจะคร่าชีวิตผู้อื่นไปเสียแล้ว



ผลการดำเนินคดี ผู้สมรู้ร่วมคิดของนายเรชิตาทุกคนรวมเป็นจำนวนหกคน ถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาสองปีและไม่อนุญาตให้ประกันตัว และการกระทำและความผิดทั้งหมดของนายเรชิตาถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตและไม่อนุญาตให้ประกันตัว



เป็นข้อสรุปที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง'



ก๊อกๆๆ



"ท่านประธานครับ มีคนมาขอพบคุณคิน" เสกเคาะประตูเรียกความสนใจของคนในห้องที่มีอยู่เต็มไปหมด ทั้งเพื่อนที่ยืนกระจัดกระจาย ชะเอมที่กำลังป้อนข้าวให้ร่างสูงและเกษมศักดิ์ก็อยู่ด้วย



"ใครครับ"



"ครอบครัวของคุณชาญณรงค์ครับ"



ทั้งห้องเงียบไปทันใด พร้อมใจกันมองหน้าคิน ต่างคนต่างคิดกันไปหลากหลาย



...ทำกันขนาดนี้ยังกล้ามาเจอหน้าอีกหรือ...



เกษมศักดิ์มองหน้าคิน แลเห็นลูกชายตนพยักหน้าก็ถอนหายใจ



"เด็กๆ ออกไปรอข้างนอกสักครู่นะ"



พอได้ยินเกษมศักดิ์บอกแต่ละคนก็พยักหน้าและค่อยๆ ทยอยเดินออกไป และอนุญาตให้เสกพาแขกเข้ามาในห้อง ก่อนเลขาจะเดินออกจากห้องไปเพื่อให้ความเป็นส่วนตัว



ทั้งสามคนที่เดินเข้ามามีสีหน้าทุกข์ใจ ยิ่งเห็นร่างสูงของภาคินอยู่ในชุดผู้ป่วยยิ่งสะเทือนใจ



"ภาคิน...ลุงเอาของฝากมาเยี่ยม..." ชายในชุดสูทเรียบร้อยบุคลิกดีมีภูมิฐาน แถมหน้าตาก็ยังสะอาดสะอ้าน จนไม่อยากจะเชื่อว่าลูกชายของอีกฝ่ายจะเป็นคนที่กล้าเกรี้ยวกราดทำร้ายคนอื่น ชาญณรงค์พยักหน้าให้รินยกกระเช้าผลไม้ไปวางบนโต๊ะในห้อง



"ขอบคุณมากที่มาเยี่ยมเจ้าคิน แต่ถ้าณรงค์กับฉัตรมีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า" เกษมศักดิ์เอ่ยขึ้นเพราะเห็นใจทั้งคินทั้งชะเอมที่ดูคนหลังจะหนักกว่าเพราะตอนนี้ตาเริ่มกลับมาแดงก่ำอีกรอบ



ชาญณรงค์พยักหน้าก่อนจะมองหน้าคิน "ลุงขอโทษแทนเจ้าเรย์มันด้วย"



ทั้งห้องเกิดความเงียบ รู้ดีอยู่แล้วว่าคนเหล่านี้จะมาพูดอะไร เพราะเป็นครอบครัวของคนที่ทำให้ภาคินมีชีวิตไม่ต่างจากคนพิการ



ชะเอมกำหมัดแน่น เม้มปาก นิ่วหน้า ไม่อยากจะเห็นหน้าคนพวกนี้ทั้งนั้น



"ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้มันมาขอโทษเธอเองด้วยซ้ำ แต่..." ร่างสูงทั้งร่างทิ้งตัวลงคุกเข่าจนคนในห้องมองตกใจ



คนที่มีหน้ามีตาในสังคม มาทำแบบนี้ ถ้ามีนักข่าวคงพาดหน้าหนึ่งยกใหญ่



"คุณคะ!"



"คุณพ่อ!"



"ลุงณรงค์ อย่าทำแบบนี้เลยครับ พ่อ...ห้ามเขาทีสิครับ" คินเอ่ยเสียงเครียด



"นี่เป็นสิ่งที่ลุงควรทำ อย่าห้ามเลย" เจ้าตัวก้มหน้าไม่ยอมเงย "คิน...ได้โปรดอโหสิกรรมให้ลูกชายลุงด้วย ยังไงมันก็ติดคุกไปแล้ว จะให้ลุงทำยังไงก็ได้..."



สิ่งที่เรย์ทำไว้ มันส่งผลร้ายไปทั่ว



ทำให้พ่อแม่เสียน้ำตา เสียใจ เสียหน้า



"ผมไม่โกรธหรอกครับ...เพราะงั้นเงยหน้าแล้วลุกขึ้นเถอะครับ"



"แต่ผมโกรธ" ชะเอมผุดลุกขึ้นพูด แม้น้ำเสียงจะแข็งแต่ใบหน้าที่ราวกับจะร้องไห้มันทำให้คนมองรู้สึกเข้าใจและเจ็บปวด "พวกคุณรู้ไว้ด้วยว่าผมไม่มีทางยกโทษให้เรย์หรอก! ไม่มีวัน!"



คนที่ทำให้คินเจ็บ ...เขาน่ะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด



จะให้ยกโทษง่ายๆ ได้ยังไง



มือบางกำแน่นจนสั่น แล้วน้ำตาก็ไหลอาบใบหน้าใส จนคินต้องดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแม้จะสะเทือนแผลและเจ็บแค่ไหน แต่ชะเอมคงเจ็บที่ใจมากกว่าหลายเท่า



พอเห็นคนสำคัญเจ็บ ใจของตนก็เจ็บไปด้วย ...พวกเราต่างเหมือนกัน...จึงเข้าใจ



"...เธอ..." ชาญณรงค์อึ้งที่เด็กตรงหน้าแสดงความโกรธได้อย่างตรงไปตรงมา



"ลูกชายอีกคนของฉันเอง" เกษมศักดิ์พูดก่อนจะเดินเข้ามาดึงแขนของเพื่อนที่เคยสนิทกันสมัยก่อนลุกขึ้น "ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ในใจของพวกเราคงตะขิดตะขวงใจเรื่องนี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่"



"..."



"อย่างที่ชะเอมว่า ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้น...ถ้าเป็นไปได้อยากจะให้ลูกชายของนายได้ลิ้มรสความรู้สึกเดียวกันด้วยซ้ำ" ดวงตาคมกริบบ่งบอกว่าไม่ล้อเล่น ทำคนฟังหน้าซีดกันเป็นแถบ "ลูกชายของนายก็เหมือนตัวแทนครอบครัว ที่จะทำอะไรก็บ่งบอกไปหมดว่าการดูแลและสั่งสอนของผู้ปกครองเป็นยังไง"



"นี่คุณ!" ฉัตรแก้วทนฟังไม่ไหวจึงแผดเสียงออกมาหน้าแดงก่ำแต่ก็ถูกทำให้เงียบลงด้วยสายตาเย็นเยียบของนักธุรกิจกรำงาน



"นายคงหมดอนาคตในหน้าที่การงานของนายแล้วล่ะณรงค์ มันก็สมกันดีเพราะลูกของนายก็ทำให้คินหมดอนาคตเหมือนกัน"



คำพูดที่ดูเรียบง่าย แต่กับน้ำเสียงช่างเย็นชา



เกษมศักดิ์ไม่มีความปราณีใดๆ ทั้งสิ้น แม้คนตรงหน้าจะเคยเป็นเพื่อนหรือไม่ นี่คือสิ่งที่อีกฝ่ายควรจะได้รับแล้ว



เฉพาะเรื่องงานกับครอบครัวเท่านั้นที่เขาจะไม่ยอมให้ใคร



จะไม่ยอมสูญเสียไปอีกแล้ว



ก่อนที่ครอบครัวของเรย์จะออกไป รินหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “พี่คิน พี่ชะเอม รินต้องขอโทษแทนพี่ชายด้วยจริงๆ ค่ะ” และหลังจากนั้นเธอก็เดินตามพ่อกับแม่ออกไป



คล้อยหลังครอบครัวโรจน์ศักดินา ไม่ถึงสิบนาที ก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้งหนึ่ง เป็นเสกที่เปิดประตูเข้ามา ไม่ใช่เพียงคนเดียว



“สวัสดีค่ะ คุณเกษมศักดิ์ คุณภาคิน คุณเอมภัทร” หญิงร่างผอมติดกระดูกวัยสี่สิบกว่าปีอยู่ในสภาพเสื้อผ้าสีทะมึนทรุดโทรมยกมือขึ้นไหว้คนในห้อง จนรับไหว้แทบไม่ทัน บวกกับสีหน้างุนงงว่าเธอคนนี้เป็นใคร “ดิฉันเป็นแม่ของน้องนามค่ะ”



“นาม?” เกษมศักดิ์จำได้ว่าในหัวสมองของเขาไม่มีคนรู้จักชื่อนี้



“ผู้สมรู้ร่วมคิดกับเรย์ครับพ่อ” คินตอบคำถามพ่อตัวเอง ขณะที่กำลังลูบหัวคนตัวบางที่ยังคงร้องไห้อยู่



ท่านประธานเลิกคิ้ว “แล้วคุณมีธุระอะไรครับ”



“ดิฉันแค่อยากจะมาขอโทษเท่านั้นค่ะ” หญิงคนนั้นห่อไหล่ลง และพูดเสียงสั่นเครือ “เพราะน้องนามเป็นเด็กดี ที่น้องนามเขาทำแบบนี้ก็เพราะ...”



“เอาเถอะครับ ผมไม่อยากฟัง” เกษมศักดิ์ยกมือเบรก เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนอย่างอดทนอดกลั้น “ผมขอรับไว้แค่คำขอโทษก็แล้วกัน เสกพาเธอออกไป”



“ครับ!”



ใครมาเห็นอาจจะมองว่าใจร้าย ท่านประธานหยิ่งยโสไม่ฟังแม้แต่คำอธิบายใดๆ ...แต่ใครจะรู้ล่ะว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร



คำขอโทษมันไม่มีความหมายอะไรใดๆ ด้วยซ้ำ



“ได้โปรดเถอะค่ะ คุณเกษมศักดิ์ น้องนามเขา...!”



“จะอย่างไรความผิดที่เขาทำมันก็ไม่เปลี่ยน...และคุณเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว”



“...”



“แม้จะติดคุก แต่ลูกของคุณยังมีชีวิตอยู่! แต่ลูกชายของผมเขาเดินไม่ได้อีกแล้ว!”



ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ทำไมเขาถึงจะไม่เข้าใจ



แล้วความรู้สึกของเขาล่ะ เคยมีใครคิดจะเข้าใจบ้าง



เกษมศักดิ์กัดกรามแน่น สูดลมหายใจเข้าออกลึก แต่พอได้ยินเสียงของลูกชายจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเพิ่งหลุดมาดประธานไป



“พ่อครับ...” คินคราง พ่อไม่เคยหลุดมาดขนาดนี้ เลขาเสกต่างหากที่มองอย่างตกใจยิ่งกว่า



เกษมศักดิ์หลับตา ก่อนจะสั่งเสียงเข้มอีกครั้ง “เสก พาเธอออกไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็อย่าเชิญใครเข้ามาอีก”



“ครับ ท่านประธาน...เชิญครับ”





************************Whose fault? ************************





"เขาว่ายังไงบ้าง...พ่อกับแม่ของเรย์น่ะ" เอกถามขึ้น



"ก็มาขอโทษ"



“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ด้วยเหรอวะ”



“อืม”



“เมื่อกี้ได้ยินเสียงของพ่อมึงด้วย” ที่ตาลพูดได้เพราะเกษมศักดิ์ไม่อยู่แล้ว สงสัยจะออกไปธุระ



ก็พ่อของคินโคตรน่าเกรงขาม แถมยังน่ากลัวอีกต่างหาก



“อืม” ร่างสูงฟังแล้วยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพ่อโมโห...และนั่นเป็นเรื่องของเขา



คินยังคงกอดคนตัวบางที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดแนบอก ก่อนจะโยกๆ ลูบหัวลูบหลังเหมือนปลอบเด็ก "เอม หยุดร้องได้แล้วนะ ดูสิ ใครกันบอกไม่ขี้แย...ใครหนอๆ"



"ก็...ก็! ฮึก!" ยิ่งพูดน้ำตาเม็ดโตยิ่งไหล จนชุดบางๆ สีฟ้าอ่อนของคินเปียกไปหมด



"ตาบวมหมดแล้ว ไม่อายเพื่อนหรือไงครับ หืม"



ชะเอมมุดหน้าซุกกับไหล่กับอกกว้าง ไม่มีทีท่าจะหยุดร้องง่ายๆ ...ก็คนมันเสียใจ



เขารู้ว่าคินคงยังทำใจไม่ได้...แต่ก็ยังคอยปลอบเขาเหมือนเดิม



ทั้งอ่อนโยน...ใจดี



"ปล่อยชะเอมเถอะ เพราะเขาเสียใจเรื่องนายมากกว่าใคร" เม็ดทรายบอกอย่างเห็นใจ



คินยิ้ม เขาก็รู้อยู่...แต่อยากให้อีกฝ่ายพักบ้าง ตั้งแต่เขานอนโรงพยาบาลมาหลายวัน ชะเอมนอนน้อยกว่าเขา แถมยังมาร้องไห้แบบนี้อีก...คงจะเหนื่อยน่าดู



ดื้อจริงๆ เลย



"เอม คินง่วงแล้ว ปรับเตียงให้หน่อยสิ"



ร่างบางขยับตัวทันทีที่อีกฝ่ายพูด พอจัดอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ถูกมือใหญ่ดึงให้ขึ้นมานอนด้วยกัน



"ไม่เอา เดี๋ยวคินนอนไม่สบาย"



"ไม่เป็นไรหรอกน่า เอมตัวนิดเดียว"



"เดี๋ยวเอมไปโดนแผล"



"ไม่เป็นไรครับ ก็คินอยากนอนกับเอม...นะ"



มีแต่ต้องพูดแบบนี้เท่านั้น อีกฝ่ายถึงจะยอมนอนได้ซักที



และทันทีที่เอนตัวชะเอมก็พรูลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทันที เพราะกลิ่นกายหอมๆ ของคินที่ทำให้ชะเอมนอนหลับสนิท



"มาเดี๋ยวกูพาเอมมันไปนอนตรงโน้นดีกว่า จะได้ไม่เบียดมึง" ดินเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะค่อยๆ สอดแขนใต้ร่างผอมและดึงออก



"ฮือ...ไม่เอา! คิน...!" ชะเอมขมวดคิ้วงอแงทั้งๆ ที่ยังหลับสนิท มือบางคว้าเสื้อคินแน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าถูกดึงออกห่างจากกายอุ่น ดินเห็นดังนั้นก็เลยปล่อยลง และร่างบางก็ขยับซบหน้าลงที่เดิมที่นอนสบายสุดและระบายยิ้ม



อากัปกิริยาที่ดื้อรั้นเหมือนเด็กน้อยหวงของเอมทำให้เพื่อนในห้องหัวเราะขำ



"ไอ้เอมนี่มันอย่างกับเด็กติดหมอนข้าง" เสียงทุ้มบ่น เกาหัวแกรกๆ



คินยิ้มเอ็นดูคนนอนละเมองึมงำ ก่อนจะเอ่ยกับเพื่อน "ไม่เป็นไรดิน กูขอบใจ...ให้เอมนอนตรงนี้แหละ"



ดินยักไหล่ "ก็เห็นจะต้องเป็นแบบนั้นอ่ะนะ"



"มึงเองก็พักเถอะคิน จะได้หายไวๆ" เอกก็พูดขึ้นบ้างอย่างเป็นห่วง



ร่างสูงปรือตา บอกเสียงอ่อน "อืม กูฝากด้วย"



"ไม่ต้องห่วง พวกกูจะอยู่เฝ้าจนกว่ามึงจะตื่นเลย"



ร่างสูงต้องโอบเอวบางของอีกฝ่ายเข้ามาอีก ชะเอมไม่ใช่คนนอนดิ้นก็จริง แต่ป้องกันไว้ก่อนเพราะถ้าตกเตียงไปคงเจ็บไม่น้อย



จมูกโด่งหอมผมนุ่ม ขมับและข้างแก้มสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ นอนฟังเสียงคุยกันของเพื่อนในห้องเหมือนกล่อมให้หลับตาและเข้าสู่นิทราไป





************************Whose fault? ************************





ผ่านมาแล้วสองเดือนครึ่งนับจากวันนั้น...วันที่เกิดความวุ่นวายที่สุดในชีวิต



แผลของคินที่โดนยิงดีขึ้นมากจนอาหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ คุณลุงต้องจ้างคนมาอีกหนึ่งคนเป็นชายฉกรรจ์ตัวใหญ่แต่อัธยาศัยดี คนรู้จักของพี่เสกเอาไว้คอยช่วยให้พยุงคินในการขึ้นลงจากรถเข็นวีลแชร์ที่ถูกเตรียมเอาไว้



"ขอบคุณครับพี่รัก เดี๋ยวผมเข็นเอง" ชะเอมขอบคุณคนตัวโตแต่ชื่อน่ารัก ที่ลูบหัวตัวเองยิ้มๆ



รักรีบโบกไม้โบกมือ "อย่าเลย มันเป็นหน้าที่ผมครับคุณชะเอม"



"ไม่เป็นไรผมเข็นเองได้ แล้วก็ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหรอกครับ เรียกธรรมดาเหมือนพี่เสกดีกว่านะครับ"



รักลูบศีรษะตัวเองหัวเราะแหะๆ อีกครั้ง... จะให้เรียกเจ้านายแบบนั้นได้ยังไงกัน


>>>>>>>ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-03-2019 19:40:23



ต่อจากด้านบน<<<<<<<<<<<<



'อย่าขัดใจเจ้านาย เขาอยากจะให้ทำอะไรก็ทำ'



เสียงของเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กบัดนี้เป็นเลขาคนใหญ่คนโตไปแล้วดังขึ้นในความคิด



"คะ ครับ คุณ เอ๊ย น้องชะเอม" เรียกชื่อห้วนๆ คงไม่ดี เรียกแบบนี้ก็แล้วกัน



คำตอบที่ได้รับคือรอยยิ้มกว้าง...ช่างสดใส



"ขอบคุณนะเอม ถ้าเหนื่อยก็ให้พี่รักเขามาเข็น..."



"ไม่เหนื่อยเลยครับ เอมอยากดูแลคิน" แม้เหงื่อจะผุดซึมแต่ปากสีแดงเรื่อก็ยังยืนยัน



"แต่เอมต้องดูแลตัวเองด้วยนะ อย่ามัวแต่ห่วงคิน" ชะเอมพยักหน้าหงึกหงักรับคำยิ้มๆ ก่อนจะชะงักเมื่อใครบางคนเดินเข้ามาในสายตา



"ราม!"



"ไงเอม"



"รามมาทำอะไรเหรอ" เสียงใสเอ่ยถามด้วยความดีใจ เพราะไม่ได้เจอรามนานมาก ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะอาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำและแขนก็ไม่ต้องคล้องผ้าที่ใช้ประคอง



ร่างโปร่งมองคิน "ก็ได้ข่าวว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายเลยมาแสดงความยินดี"



คินผงกหัวยิ้มน้อยๆ "ขอบใจ แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง"



รามชะงัก คำถามที่รู้กันแค่สองคน...เป็นยังไงบ้างเหรอ?



ร่างโปร่งยิ้มเฝื่อนไม่ตอบ เพียงเท่านั้นคินก็รู้



"แค่ก...แค่ก!" รามปิดปากไอหนักสามสี่ครั้งก่อนจะหอบหายใจแรง



"ราม?" คนตัวเล็กขมวดคิ้วเป็นห่วงเพื่อน "เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ"



"ไม่เป็นไร..." ร่างโปร่งยิ้มเหมือนเดิมเพื่อให้ทั้งคู่ที่มองอยู่ไม่สงสัย



"ไอติมล่ะ? ไม่ได้มาด้วยเหรอ..."



"นายได้เจอรักแท้ของนายแล้วนะเอม...ขอให้พวกนายทั้งคู่มีความสุข รักกันนานๆ" รามพูดยิ้มๆ น้ำเสียงจริงใจ



ขอให้พวกนายมีความสุข



ส่วนเขา...



"ขอบใจนะราม" ชะเอมยิ้มรับแก้มขาวใสแดงเรื่อ มีความสุขที่สุดที่ได้ยินคำๆ นี้จากปากอีกฝ่าย...เพื่อนคนแรกของเขา



"ฉันก็ขอบใจมาก แล้วก็ขอให้นายมีความสุข" สายตาคมกริบจ้องตอบดวงตาเรียวที่อ่อนล้าอย่างสื่อความหมาย...ขอให้นายได้เจอความสุขและขอให้ 'มัน' ได้รู้สึกตัวเสียที



อย่าให้...คนสำคัญต้องหายไป...



รามยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบอะไรอีกเช่นเคย ก่อนจะโบกมือลาคนทั้งคู่และเดินจากมา รอยยิ้มของชะเอมช่างสว่างเจิดจ้าจนคนมองอิจฉา



เพื่อนของฉัน...นายได้เจอความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว



รามไม่ได้บอกว่าการพบกันครั้งนี้ระหว่างเรา...อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย



...ไม่มีใคร...ล่วงรู้อนาคต...



ชะเอมกับคินคุยกันระหว่างรอคุณลุงกับอาหมอคุยกันประมาณห้านาที ถึงจะได้กลับบ้าน



...บ้านของเรา...





"คอนโดนั้นจะเอาไงต่อดี ขายให้คนอื่นดีมั้ย ยังไงก็ไม่ได้เข้าไปอยู่อีกแล้ว" เกษมศักดิ์ถามกึ่งๆ เสนอเพราะเจ้าของห้องเป็นชื่อคินกับเอม เขาไม่อยากจะทำไปโดยพลการ



"เอมยังไงก็ได้ เพราะจะอยู่กับคินครับ"



"ผมแล้วแต่เอม"



ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ทั้งคู่ก็มีสีหน้าตะขิดตะขวงไม่อยากจะทิ้งมันไปให้คนอื่น คนแก่ยิ้มน้อยๆ



"งั้นปล่อยไว้แบบนั้นก่อนดีกว่าเนอะ จะขายทิ้งก็เสียดาย" เสียงทุ้มบอกทำให้ทั้งคู่พยักหน้าพร้อมกัน



จริงๆ แล้วไม่ได้อยากขายมันให้คนอื่น...เพราะห้องนั้นเป็นความทรงจำของเราสองคน



“เอมอ่านหนังสืออะไรน่ะ” คินชะโงกหน้าไปมอง ชะเอมก็ยิ้มกว้างหันหน้าปกให้ดูแทน



‘กายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาตครึ่งซีก’



คินเลิกคิ้วเป็นคำถามว่าอ่านทำไม



“ก็เอมได้ยินว่าถ้าหากดูแลเอาใจใส่และมีการทำกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วยทุกวันก็สามารถมีโอกาสกลับมาเหมือนปกติได้นะครับ”



ดวงตากลมโตประกายระยิบ...ในใจลึกๆ เขายังคงมีความหวัง...ว่าสักวันหนึ่งจะเห็นคินยืนได้ด้วยสองขาของตัวเองอีกครั้ง



“เรื่องนั้นลุงก็เคยได้ยิน” เกษมศักดิ์ชะโงกหน้ามาดูก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย อืม เป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าสนใจ



“ใช่มั้ยครับ” คนฟังยิ้มดีใจ ก่อนจะเอ่ยกับร่างสูงที่ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกัน “เอมก็เลยลองซื้อหนังสือมาอ่าน จะได้มีความรู้และช่วยคินทุกๆ วันเลย”



“ขอบใจนะเอม” ร่างสูงอดยกมือลูบผมนุ่มไม่ได้...อีกฝ่ายชอบทำตัวให้น่า ‘รัก’ ได้ทุกวัน



เกษมศักดิ์มองภาพที่ชวนยิ้ม ก่อนจะเสนออะไรดีๆ ออกมา “งั้นเดี๋ยวลุงจ้างคนมาช่วยดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะดีกว่า ส่วนเอมก็ลองให้เขาสอนและฟังคำแนะนำดู”



“ดีครับ!” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ถ้าดีกับคินเขายินดีทุกเรื่องอยู่แล้ว



ตอนที่รู้ว่าภาคินป่วยหนัก ทุกคนที่บ้านใหญ่ต่างเสียใจร้องไห้กันหลายวัน โดยเฉพาะพวกป้าๆ ที่ทำงานรับใช้ครอบครัวนี้มานานช็อคแทบเป็นลม แต่พอสุชาติเห็นแบบนี้แล้วอดนับถือไม่ได้ คุณชะเอมกับคุณคินช่างเข้มแข็ง



เพราะว่าจะมามัวแต่นั่งเศร้าไม่ได้ คนป่วยต้องการการดูแลเอาใจใส่และกำลังใจ...ดังนั้นชะเอมก็เลยทำตัวร่าเริงสดใสเอาไว้



จมูกเล็กรั้นกดข้างแก้มของใบหน้าคมทั้งสองข้างแรงๆ จนคินหน้าเหวอ ก่อนจะยิ้มออกมา



"เดี๋ยวนี้มีแต๊ะอั๋งเหรอ"



ร่างบางหัวเราะแหะๆ ถ้าปกติคนขี้เขินคงหน้าแดงม้วนต้วนไปแล้ว แต่นี่ไม่อายซ้ำยังให้จมูกโด่งหอมกลับหลายๆ ที



แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะลืมไปว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน



“เฮ้ๆ เกรงใจพ่อกับชาติหน่อยสิ”



ใบหน้าใสแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างโดยที่ยังจับมืออุ่นของคินไม่ปล่อย



“นี่สงสัยพ่อคงต้องทำใจเรื่องทายาทเอาไว้ซักหน่อยแล้วสิ”



“คุณลุง...” ชะเอมเม้มปาก



เกษมศักดิ์ยิ้มน้อยๆ “รู้มั้ยว่าพ่อรู้ตั้งแต่แรกแล้วเรื่องแกกับเอม”



ทั้งคู่หันขวับ สีหน้าแตกต่างกัน ชะเอมเบิกตากว้าง แต่คินขมวดคิ้วไม่เข้าใจ...ตั้งแต่แรกคือตอนไหน



“แล้วก็ตอนที่ทะเลาะกัน ที่เอมบอกลุงว่าคินไปทำงานกลุ่ม ลุงก็รู้แล้วว่าเริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากล”



ชะเอมขบริมฝีปาก...ตอนนั้นด้วยเหรอ?



แสดงว่าคุณลุงก็รู้น่ะสิว่าเขาโกหก



“ลุงไม่อยากไปทำงานโดยปล่อยพวกเธอทิ้งไว้สองคน แต่ลุงก็เชื่อว่า...ยังไงสักวันหนึ่งคินมันจะต้องกลับมาหาหนูแน่ๆ”



คินยิ้มน้อยๆ เพราะความรู้ดีของพ่อตัวเอง



“เฮ้อ นี่ลุงมีลูกคนชายคนเดียว...ถ้าหากว่าเจ้าคินมันคบกับผู้ชาย ลุงคงหมดสิทธิ์ที่จะมีหลานแล้วล่ะนะ”



ร่างบางเกร็งตัวแน่น หัวใจเต้นระรัว หยาดน้ำตาเม็ดโตไหลผ่านแก้มหยดลงหลังมือแหมะๆ



คุณลุงกำลังจะพูดอะไร? พูดอะไรน่ะ?



“พ่อ” คินส่งเสียงเข้ม ขมวดคิ้วเปลี่ยนสีหน้า



“แต่ตอนนี้ลุงมีลูกชายอีกคนแล้ว แถมยังน่ารักน่าชังมากกว่าลูกชายคนเดิมอีก” เกษมศักดิ์พูดกลั้วหัวเราะ “แบบนี้ลุงคงไปไหนไม่รอดเพราะไม่ว่าลูกคนนี้อยากจะทำอะไร ลุงก็ห้ามไม่ได้...อ้าว เอมร้องไห้ทำไม!?”



“ฮึก...ฮึก! ฮือ...” ชะเอมเบะปากน้ำตาไหลหนักกว่าเดิม มือบางที่สั่นระริกถูกมือใหญ่กำแน่น



“เจ้าคินแกทำอะไรเอม” ท่านประธานหันมาคาดคั้นลูกชายตัวเอง



“พ่อนั่นแหละพูดอะไร!”



เกษมศักดิ์ขมวดคิ้ว “พ่อพูดอะไร ก็แค่จะบอกว่าไม่ว่าชะเอมจะทำอะไร ก็ไม่ห้าม ถึงนั่นจะเป็นการคบกับเจ้าคินมันเป็นแฟนก็เถอะ”



ร่างบางปาดน้ำตาค่อยๆ คลายสะอื้น “คุณลุง...”



“ลุงแค่อยากเห็นหนูมีความสุข” เด็กน่ารักแววตาหม่นเศร้าที่เขารับมาดูแลในวันนั้น



สัญญากับตัวเอง...ไม่ว่าจะยังไงก็อยากเห็นเด็กคนนี้ยิ้มอย่างมีความสุข



คำพูดของเกษมศักดิ์ทำให้น้ำตาปริ่มไหลอีกครั้ง



“ขอบคุณครับ...คุณลุง”



คุณลุงจะรู้ไหมว่าตอนนี้เขามีความสุขแล้ว เพราะความสุขของเขาอยู่ที่คนเหล่านี้...อยู่รอบตัวเขานี้เอง



“พ่อนี่พูดอะไร...เห็นมั้ยพ่อทำเอมร้องไห้อีกแล้ว”



“อะไรกัน นี่พ่อผิดเหรอ” ท่านประธานหัวเราะขำ ทำให้สุชาติยิ้มตาม ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของคุณท่านบ่อยๆ นัก นอกจากอยู่กับลูกชายทั้งสองคน “ว้า สงสัยพ่อต้องผลิตคนใหม่ซะแล้วสิ เพราะลูกชายมันดันคบกันเองซะงั้น”



"พ่อผลิตตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วแหละ" คินพูดเอือมๆ



"ดูถูก! คนอย่างพ่อน่ะแข็งแรงปึ๋งปั๋งตลอดเวลาหรอก"



"อ๋อเหรอ"



ร่างบางที่ปาดน้ำตาหลุดหัวเราะ



“แถมเอมก็เคยชมลุงว่าหล่อด้วย ใช่ไหมเอม”



คำถามของเกษมศักดิ์ทำให้ใบหน้าคมตวัดมองชะเอมขวับ ร่างบางสะดุ้งก่อนจะตอบความจริง “ครับ”



“แกก็ได้หน้าตามาจากพ่อ เพราะฉะนั้นขอบคุณเชื้อแข็งแรงๆ ของพ่อซะนะ”



คินมุ่ยหน้าก่อนที่เสียงหัวเราะประสานดังขึ้น



"เอ้าถึงแล้ว"



พอเปิดรถปุ๊บก็มีทั้งแม่บ้านทั้งคนสวนมาต้อนรับ



"คุณคินขา~" เสียงป้าเรืองป้าอุ่นป้าใจมาก่อนเลย แถมถือผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาด้วย



"ยินดีต้อนรับกลับครับคุณท่าน คุณคิน คุณชะเอม"



ชะเอมกับคินมองหน้ากันแล้วหลุดหัวเราะ...อย่างน้อยที่บ้านยังมีคนคอยเป็นห่วงเป็นใย...และรอคอยพวกเขากลับมา





"คินอยากทำอะไรมั้ยครับ" หลังจากที่พี่รักพาคินเข้ามาในห้องแล้ว ชะเอมก็จัดของจัดอะไรต่างๆ ที่เป็นสิ่งจำเป็นให้ดูเป็นระเบียบและหยิบจับง่าย



คุณลุงสั่งให้ป้าแม่บ้านย้ายของๆ คินลงมาให้อยู่ห้องด้านล่างเพื่อจะได้ไม่ต้องขึ้นลงให้ลำบากลูกชายและจัดห้องข้างๆ ให้เป็นที่พักของพี่รักด้วย...ส่วนตัวเขาก็นอนห้องเดียวกับคินเพื่อดูแลได้ตลอดเวลา



"ไม่ล่ะ เอม ขอบใจ"



"เบื่อหรือเปล่าครับ"



"นิดหน่อย"



"งั้นมาดูหนังกันมั้ย เอมเปิดให้" ร่างบางลุกขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ใช้สายยูเอสบีต่อเข้ากับทีวีจอแบนขนาดใหญ่บนผนัง



"หนัง...เรื่องอะไร"



"ก็...อืม คินชอบดูการ์ตูนมั้ย เอมดูในโรงมาสนุกมากๆ"



คินเลิกคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ นิ่วหน้า "อย่าบอกนะว่าที่คินเจอเอมที่หน้าโรงครั้งนั้น กับไอ้...กับติม"



"ใช่ครับ" ชะเอมพยักหน้างุนงง จำได้ด้วยเหรอ



"งั้นคินไม่ดู...ไม่เห็นจะอยากดู"



ใบหน้าหวานหันขวับกับน้ำเสียงแข็งขึ้นนิดหน่อย พอเห็นใบหน้าคมบึ้งตึงเสหน้าออกไปมองหน้าต่างที่เห็นวิวสระน้ำภายในบ้านด้านนอก ริมฝีปากบางยิ้ม ขาเรียวผุดลุกขึ้นทิ้งโน๊ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้ แล้วหย่อนตัวนอนข้างกายสูงบนเตียงกว้าง



"คินงอนเอมเหรอ" ชะเอมซุกซบอกกว้างอ้อนๆ แต่คินก็ยังไม่ตอบอะไร จนดวงตากลมต้องช้อนมองยื่นหนาจูบปลายคาง "งอนเหรอครับ"



คราวนี้เรียกความสนใจได้ซักที แถมยังเรียกร้องอะไรให้ชะเอมแก้มแดง



"จูบหน่อยครับ"



ซึ่งแน่นอนว่าชะเอมไม่อิดออด ยื่นหน้าเข้าไปใกล้โดยมีมือใหญ่ประคองท้ายทอย และดวงตากลมก็ค่อยๆ ปรือตารับสัมผัส



ทันทีที่ริมฝีปากทั้งสองประกบแนบชิด บรรยากาศก็พลันเร่าร้อนเพราะลิ้นร้อนหนาตวัดเกี่ยวลิ้นเล็กในช่องปากไม่หยุด



เพราะไม่ได้จูบนาน...จึงโหยหามากกว่าที่เคย



"ฮ่า..."



มือใหญ่นวดท้ายทอยเล็กด้วยอารมณ์ค้างคา อีกมือช่วยปาดน้ำลายที่เลอะออกมาข้างมุมปากสีแดง ดวงตากลมฉ่ำน้ำปรือปรอย



"...รักนะครับ...เอมรักคิน..."



คินยิ้มรับ แขนกระชอบคนในอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม



มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใครว่าคำว่ารักที่อีกฝ่ายพร่ำบอกมันจริงใจ...จริงจังแค่ไหน



ความรู้สึกที่ชะเอมมีให้กับเขามันยิ่งใหญ่จนเขาต้องยอมแพ้ให้กับมัน



"คินก็รักเอม"



ร่างสองร่างนอนยิ้มโอบกอดกันนิ่ง ฟังเสียงลมหายใจของทั้งสองดังประสานสม่ำเสมอและเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นไปพร้อมกัน



มันช่างสงบสุขจนอดนึกถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้...ว่าเราทั้งสองนั้นต่างผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน



ความเจ็บปวด...ความเศร้า...ความทุกข์...ความสุข...ถึงแม้ว่าเส้นทางจะเต็มไปด้วยขวากหนามคอยทิ่มแทง...แต่อย่างน้อยเรื่องเหล่านั้นก็ทำให้เราได้เรียนรู้กันและกัน...ได้รู้จักความรัก...ความเชื่อใจ...



ได้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตนั้น...สำคัญมากจนสามารถเสียสละแม้ชีวิตของตนเพื่อปกป้องรักษาสิ่งนั้นไว้...



และจะขอจับมือประคับประคองอีกฝ่ายให้ไปถึงฝั่ง



มีแค่กันและกันแบบนี้ตลอดไป





-THE END-



************************Whose fault? ************************



ในที่สุดรุยก็ได้ปิดเรื่องนี้เสียที ผิดที่ใครถึงตอนอวสานแล้วค่า!

​ถึงเรื่องนี้จะจบแล้ว ก็อยากให้ไปติดตามเรื่องอื่นๆ กันนะคะ

ขอบคุณมากจริงๆ จ้า

รักนักอ่านทุกคน
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: โฮเซกิ รุย ที่ 22-03-2019 19:41:50


สปอยล์ตอนพิเศษในเล่ม





ตอนพิเศษ  สักวันหนึ่ง... (สินxดิน)​

(ปล.ตอนนี้อยู่หลังตอนหลักที่ 8 นะคะ เผื่อใครลืม)



ปัง!

"เดี๋ยว สิน...!"

"อะไรอีก" ร่างสูงถามเสียงขุ่น แต่ตาจดจ้องแค่ริมฝีปากสีชมพูเข้ม

สินเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองด้วยท่าทางหื่นกระหาย

"จะอะไรล่ะ" มือสีเข้มดันหน้าคมที่อยู่ในระยะประชิดให้ห่างออก ไอ้นี่มันไวเกินไปแล้ว! "กูเหนื่อย อยากอาบน้ำ ขะ...ขออาบน้ำก่อน! ฮื่อ!" ดินสะบัดหน้าแดงๆ ของตัวเองหนีริมฝีปากร้อนที่ฉกลงมาเฉียดมุมปากไปนิดเดียว

"อย่าหนี มึงสัญญาแล้ว" สินจับคางของคนตรงหน้าแน่น ให้หันมาเผชิญหน้า

สายตาเต็มไปด้วยความต้องการ ที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตา เหมือนกับมนต์สะกด...ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

หัวใจเต้นดังลั่นเหมือนมีกลองตีกันอยู่ในอก "ดิน กูชอบมึง" ดวงตาที่ค่อยๆ ลดระยะเข้ามาเรื่อย ไม่อาจถอยหนีไปไหนได้อีก "กูชอบมึง"





ตอนพิเศษ  รับผิดชอบ (สินxดิน)​



​เฮือก

อะ อะ...อนาคอนด้า!

"รู้สึกดีมั้ย"

"หะ...?" สายตายังไม่ละจากสิ่งนั้น นั่นใครให้มึงมาทำไมมันใหญ่ขนาดนั้น

"มัวแต่มอง ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมึงก็ได้" เสียงทุ้มหัวเราะ "กูถามว่ารู้สึกดีมั้ย"

"หะ อะ...กะ ก็ ก็ดีนะ" คือ...มึงช่วยเก็บมันไปได้ป่ะกูชักกลัวแล้ว

สินยิ้มกว้าง "ดีใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวจะทำให้รู้สึกดียิ่งกว่านี้อีก"

"สิน กูว่า..."

"กูไม่หยุด"

ดินกลืนน้ำลาย ​"อึก...แต่ถ้าเจ็บ...กูไม่เอาจริงๆ ด้วยนะ"

"ไม่เจ็บๆ ไม่เจ็บแน่นอนครับ"

"ทีงี้พูดเพราะเชียวนะมึง!"





ตอนพิเศษ ข่าวดี​ (คินชะเอม)



"ที่ผมกำลังจะบอกก็คือ..." กฤษณะสบตาทั้งสามคนเป็นลำดับและจบที่คินเป็นคนสุดท้าย "คินอาจจะมีโอกาสกลับมาเดินได้อีกครั้งหนึ่ง"

มันเป็นประโยคที่ทำให้คนที่นั่งรถเข็นอยู่เบิกตากว้าง ในใจจุดประกายความหวังราวกับแสงสว่างส่องทาง

"นี่อากฤษพูดจริง..."

"อาหมอ...อาหมอพูดจริงเหรอครับ!?"

ส่วนคนที่ดีใจที่สุดคงจะเป็นชะเอมถามไปร้องไห้ไปอีกครั้ง...ด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี

ศัลยแพทย์พยักหน้ายิ้มๆ "ถ้าหากทำกายภาพบำบัดและดูแลเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง ประมาณปีครึ่งถึงสองปีอาจจะกลับมาใช้ขาได้เหมือนเดิม"

ทั้งสามคนสูดลมหายใจเข้าลึก จากที่เคยทำใจไว้ว่าอาจจะเป็น 'ตลอดชีวิต' แต่พอได้ยินคำว่า 'สองปี' มันเป็นอะไรที่ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว

แค่ 'สองปี' เท่านั้นเอง

"เอาไงคิน จะสู้หรือเปล่า"





ตอนพิเศษ หึง! หวง!​ (คินชะเอม)



"น้องพี่หิวน้ำจัง"

"...ครับ ผมหยิบให้" ชะเอมเดินเชื่องช้า ใบหน้าหวานนั้นนิ่งกว่าที่คิด แต่น่ากลัวสำหรับคินยิ่งนัก มือบางยื่นแก้วน้ำไปให้พี่นัต แต่แล้วจู่ๆ มือไม้เขาก็อ่อนหรือยังไงไม่อาจทราบ ทำแก้วน้ำหกใส่มาทางเขาจนเลอะกางเกง!

"เฮ้ย!"

"คิน! พี่ขอโทษ...น้องพี่ขอผ้าหรือทิชชู่หน่อยนะ" อีกครั้งที่พี่เขาหันไปบอกกับชะเอมที่ยืนยิ่งกำหมัดแน่นราวกับอดทน ขาเรียวตวัดเดินเข้าห้องน้ำที่ติดอยู่ในห้องนอนของเขา "เดี๋ยวพี่เช็ดให้นะคิน"

"ไม่เป็นไรครับ..." เขารีบฉุดกางเกงขึ้น กับปัดมือที่กำลังจะพยายามปลดซิปกางเกงเขาออกเหลือเกิน

"อีกนิดเดียว เดี๋ยวพี่เช็ดให้คินเอง...โอ๊ะ!"

"จะทำอะไร!" ชะเอมตะโกนหน้าบึ้ง มือถือผ้าขนหนูสีขาวแน่นสั่นระริก

พี่นัตโดนเสียงใสขึ้นใส่ ก็ลุกขึ้นเสยผมแก้มาด "นี่น้องไม่เห็นเหรอว่าพี่กำลังช่วยเช็ดกางเกงที่มันเปียก"

"เช็ดกางเกง? จะเช็ดหรือจะถอดกันแน่ครับ นี่ตกลงพี่มากายภาพบำบัดหรือจะมาอ่อยแฟนผม!?"





ตอนพิเศษ รถใหม่​ (คินชะเอม)



"นี่คินจะทำอะไรอีกแล้วครับเนี่ย!?"

"คินอยากทำบนรถ"

ชะเอมสะดุ้งเฮือกหน้าแดง ดิ้นขลุกขลักทันที "มะ ไม่เอานะ!!"

"ก็คราวก่อนทำในห้องแล้วเอมบอกว่าคนอื่นได้ยิน คราวนี้คินเลยมาทำข้างนอกแทนไง"

"แต่นี่มันในรถนะครับ!?" รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงด้วย ทำไมอีกฝ่ายถึงได้หื่นขนาดนี้!?

"เอาน่า นะครับนะ คินตื่นเช้ามาไม่เจอเอม รู้มั้ย 'มัน' คิดถึงเอมขนาดไหน" คินไม่ว่าเปล่ายังยกสะโพกบด 'มัน' ขึ้นมาเสียดสีร่องสะโพกเล็กหนักหน่วงจนชะเอมกระตุกเฮือกกัดปาก

"อะ ฮึก!"

ดวงตากลมมีน้ำตารื้นเอ่อ เมื่อสัมผัสถึงความร้อนที่ผ่านเนื้อผ้าบางขึ้นมา...คินรู้สึกอีกแล้วเหรอ





ตอนพิเศษ แอดมิน สาววายจงเจริญ​ (คินชะเอม)



"คิน อย่าสิครับ คนข้างนอกเยอะแยะ" มือบางยกดันอกแกร่งผ่านชุดสูทราคาแพงเบาๆ ดวงตากลมโตหวานเชื่อม ริมฝีปากบางเผยอขึ้นน่าจูบยิ่งทำให้คินวอนขอ

"จูบเดียวเอง"

"โธ่...เอาแต่ใจที่สุดเลยครับ" แก้มใสแดงปลั่ง เสียงใสบ่นอุบแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อนนานนับนาที "พะ พอแล้วนะครับ"

ชะเอมกระซิบหอบติดริมฝีปากหยัก คินจึงต้องผละออกอย่างเสียดายสุดซึ้ง ใช้นิ้วโป้งลูบคลึงริมฝีปากบางที่บวมแดงเล็กน้อยอย่างต้องการ

"เอม..."

"ครับ?"

"เอารถไปจอดแล้วไปหาคินข้างบนที่ห้องทำงานนะ"

พลันหน้าหวานแดงก่ำ "คิน...เมื่อคืนกับเมื่อเช้าก็ทำไปแล้วนะ" ยิ่งพูดยิ่งต้องเม้มปากแน่นเขินอาย

"แต่เวลาคินอยู่กับเอมแล้วคินทนไม่ได้" คินจับมือบางให้สัมผัสของๆ ตนที่แผ่ความร้อนผ่าวผ่านกางเกงหนา "ข้างล่างมันปวดหนึบต้องการเอมตลอดเวลาเลย"

"..." หน้าแดงไม่หาย

"เร็วๆ นะครับ คินจะรอ"

ทุกอย่างในบทสนทนาเป็นเพียงจินตนาการของเราเองค่ะ! แต่ท่าทางแบบนั้นมันจะต้องเป็นบทสนทนาแบบนี้แน่นอน!!! โฮก! อยากรู้ต่อว่าเขาจะทำอะไรกัน กรี๊ด นี่มันหน้าบริษัทนะ! ที่ทำงานที่มีคนพลุกพล่านแบบนี้ยังสามารถสวีทหวานกันได้อีก งือออ ไม่ได้แล้ว เราต้องตามติด! ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาทำอะไรกันค่ะ!!

ใครอยากรู้...ตามมา!





ตอนพิเศษ ชะเอม​ (คินชะเอม)



"ลุงมีบางสิ่งอยากจะบอกหนู ความจริงที่ลุงเก็บไว้นานมาแล้ว"

เก็บไว้นานจนกลายเป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผย ถ้าหากเขาตายไป ความลับนี้มันจะจมหายไปตลอดกาล ...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกษมศักดิ์ต้องการ "ลุงรอมาหลายปี...รอให้ถึงเวลา และตอนนี้ลุงคิดว่าชะเอมคงพร้อมแล้วที่จะรับฟังเรื่องราวต่อไปนี้"

เกษมศักดิ์พูดไปยิ้มไป ยกมือขึ้นลูบหัวชะเอม เด็กชายตัวน้อยน่ารักที่เขาพบที่สถานที่แห่งนี้

เขาไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะสูญสิ้นไปเมื่อใด เด็กน้อยของเขาอายุสามสิบกว่าแล้ว เติบโตเป็นผู้ใหญ่อยู่เคียงข้างเจ้าคินลูกชายที่รัก ในขณะที่เขาก็มีแต่แก่ลงเรื่อยๆ รอวันที่อายุขัยจะหมดลง

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คินและชะเอมจะอยู่เคียงข้าง ประคองชีวิตคู่กันตลอดรอดฝั่ง เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาคงไม่จำเป็นอีกต่อไป

...นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว...

"เอม...ที่หนูคิดมาตลอดว่าหนูไม่ใช่ครอบครัวของลุง เป็นเพราะหนูคิดว่าลุงเป็นลูกบุญธรรมไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดใช่มั้ย" เกษมศักดิ์ถามเสียงอ่อนโยนไม่เร่งรัด ชะเอมฟังแล้วเม้มปากแน่น พยักหน้าช้าๆ

"แล้วถ้าลุงบอกว่าหนูเกี่ยวข้องกับเราทางสายเลือดล่ะ"





************************Whose fault? ************************



จบแล้ววว นี่จบของจริง

บอกแล้วว่าตอนพิเศษของเราพิเศษจริงๆ ...เนื้อหาเข้มข้นไม่แพ้กับตอนหลักหรอกนะ^^

สามารถติดตามอ่านได้ในหนังสือหรืออีบุ๊คเท่านั้นค่ะ

ผู้ที่เปย์แล้วขอความกรุณาอย่านำเนื้อหาเหล่านี้ไปเผยแพร่ในที่ใดๆ

หากละเมิดลิขสิทธิ์นำไปขาย ระวังความซวยจะวิ่งเข้าตัวนะคะ^^

หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-03-2019 22:36:10
 :กอด1: :pig4: :mew1:ขอบคุณผู้แต่งค่ะ
ความหน่วง น้ำตาซึมมาจัดเต็มมาก
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-03-2019 22:51:32
 :3123: :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 01-04-2019 07:09:33
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ แต่ยังค้างเรื่องของ ติมกับรามอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 06-06-2019 11:14:59
ตอนที่อ่านมาได้ครึ่งเรื่องในใจคิดแต่ว่าคินไม่สมควรได้รับการให้อภัยอะอยู่กัชะเอมมานานเท่าไรทำไมไม่รู้จักนิสัยของชะเอมเลยหลงเชื่อแต่การกระทำเลว ๆ ของเรย์แต่ถ้ากลับมาคิดให้ดีคนเรามันก็สมควรได้รับโอกาสอะนะ(ถึงจะไม่ค่อยอยากให้ก็เถอะ)เพราะอยากให้ชะเอมมีความสุขหรอกถึงไม่สาปแช่งคินไปมากกว่านี้ :call:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 14-07-2019 12:32:26
เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 30-03-2020 14:58:53
เราอ่านจบหน้าสามแล้วค่ะ สนุกนะคะ บีบคั้นใจมาก แต่เรารู้สึกว่าคนเขียนใจร้ายมากจริงๆ ที่เขียนให้ชะเอมทนทุกๆอย่างมาจนถึงจุดนี้ ตอนนี้เราแค่หวังว่าในอนาคตบทต่อๆไป จะมีอะไรมารดน้ำให้ใจคนอ่านอย่างเราบ้าง คือเราอ่านเราก็ไม่คิดว่าชะเอมจะยอมมากขนาดนี้แต่แบบนี่ยอมเกินไปจริงๆ ไอ้เวรคินนั่นมันสมควรเป็นพระเอกหลอ


ขอบคุณที่เขียนนะคะ ยืนยันว่าสนุก ขอโทษที่เม้นแรงใส่พระเอก มันไม่ควรเป็นพระเอกนิ



Edit//// เราอ่านไม่จบ ไม่ไหวละ ถ้าถามว่าใครผิด เรานี่แหละผิดที่คิดว่าอ่านเรื่องนี้ไหว

-เพราะเรารู้สึกไม่อินกับการที่คินเป็นพระเอก บอกว่ารู้จักกับเอมมาแต่เด็กคบกันมาแต่ไม่รู้เลยหลอว่าเอมนิสัยเป็นยังไง เอมมีโรคประจำตัวมั้ย ตรงนี้เราพยายามมองข้ามเพราะคิดว่าน่าจะมีเหตุผลให้ในบทอื่นแต่เราอ่านไม่จบเอง ก็ช่างมันเถอะ

-คินมันร้ายกับชะเอมต่างๆนาๆ และชะเอมก็ทำได้แค่เสียใจตลอดเวลา พอคืนดีกันก็ง่ายๆแบบนั้น เราคาดหวังว่าคินมันจะได้อะไรที่ยากกว่านี้ แต่นี่ง่ายดายมากแค่บอกรักคำเดียว แค่รู้สึกผิดก็พอหลอ เผอิญเอมคงพอแหละแต่คนอ่านไม่พอ รับไม่ไหว มันสอนให้เรารู้ว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ชะเอมก็้คินไง เนี่ย!!โครตเล่นกับความศรัทธาในพุทธศาสนาของเรา

-ชะเอมไม่รักตัวเองเลย อ่านจนคืนดีกับอีคินชะเอมก็ยังไม่ดีขึ้น ไม่ก้าวหน้าขึ้น เราก็จบกับชะเอมเหมือนกัน ขอเท


ระหว่างที่เราอ่านอย่างที่บอกในบรรทัดบนๆว่าอึดอัดมาตลอด จุกจนแบบเจ็บแทนนายเอก อาการตอนที่นายเอกไปดีกับพระเอกง่ายๆ ก็เหมือนกับตอนที่เพื่อนสนิทมาตีโพยตีพายโวยวายกับเราเรื่องแฟนและมันก็ไปดีกันเฉยให้เราเป็นหมานั่นแหละค่ะ ขอโทษอีกครั้งที่เม้นแรง เราแค่บันทึกไว้เพราะจำไม่ค่อยได้ว่าอ่านเรื่องไหนไปบ้าง
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: tong_pub ที่ 09-04-2020 11:32:50
เอากระบือมาเป็นพระเอกก็น่าจะจั่วหัวบอกไว้สักหน่อยนะคะ
ปล.บทตัวเอกของเรื่องทั้งพระเอกนายเอกโดนตัวประกอบกินหมดเลย คนเขียนน่าจะลองปรับเปลี่ยนการวางบทนิยายสักนิดนึงจะได้ลื่นไหลมากกว่านี้นะคะ^^
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-04-2020 00:55:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 10:03:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 02-12-2020 20:53:42
 :-[
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 13 วันที่ 27/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-01-2022 11:20:30
ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเอมถึงไม่ชอบเรย์...ทั้งๆ ที่เรย์ก็นิสัยน่ารัก ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเข้ากันได้ดีด้วยซ้ำไป
ไอ้ควาย.....ไอ้โง่  อีเรย์มันไปประกาศว่าชอบมึงแล้วจะให้เอมชอบอีเรย์ลงหรา ไอ้ควายเอ๊ยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร ผิดครั้งที่ 19 วันที่ 30/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-01-2022 16:01:21
 อ่านยากพอสมควร เนื้อเรื่องปัจจุบันกับความคิดในอดีตเขียนปนกันไปหมด อ่านแล้วต้องตั้งสติแยกแยะเองว่าเป็นเนื้อเรื่องปัจจุบันหรือเป็นอดีตที่ตัวละครย้อนไปนึกถึง