พิมพ์หน้านี้ - ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: NooDangzz ที่ 17-02-2018 23:03:53

หัวข้อ: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-02-2018 23:03:53
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


******************************************************

การเสียชีวิตของมารดาอย่างกะทันหันทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีอย่าง ‘กานต์’ เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือหลังมือ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องอึ้งงันจนพูดไม่ออก นอกจากเรื่องการจากไปของมารดาแล้ว
ก็คือเรื่องที่เขามี ‘พ่อเลี้ยง’ โดยที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน

‘ออสติน สเวน’ นักธุรกิจชาวอเมริกันก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
พร้อมกับข้อเสนอเพื่อให้เขาได้ศึกษาต่อจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
เด็กหนุ่มที่สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่เหลือใครนอกจากตนเองจะทำอะไรได้อีก
ได้แต่ตอบตกลงไปเสี่ยงโชคเอาข้างหน้า

สายสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้ชายตาสีฟ้าน้ำทะเลจึงเริ่มต้นขึ้น
ในฐานะ ‘เด็กในการดูแล’ และ ‘ผู้ปกครอง’

ทว่า...ออสติน สเวน มีเสน่ห์เหลือล้นมากเกินไปจนทำให้กานต์แทบไม่อาจห้ามใจให้ไม่คิดกับเขาเป็นอื่น
ขณะที่ชีวิตประสบกับจุดหักเห ความรู้สึกวุ่นวายที่พร่างพรายขึ้นมาในใจก็ทำให้กานต์สับสน

‘ผู้ปกครอง’ ที่ค่อยๆ กลายเป็น ‘เจ้าของหัวใจ’
ชักจะทำให้เด็กหนุ่มแสนดีคนนี้เกเรขึ้นทีละน้อยแล้วสิ...


 TALK


เรื่องนี้เป็นแนว E-Romance ค่ะ กำลังชาเลนจ์ตัวเอง
เขียนอะไรในสไตล์ที่ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อยในเรื่องของสำนวนกับการบรรยาย
พยายามเลี่ยงการใช้คำบอกเครื่องเพศหรือใช้ให้น้อยที่สุด
แต่อ่านแล้วจะได้อารมณ์ Sexy ในเรื่องของ Feeling มากกว่า Action
ตั้งใจจะเขียนให้ออกมาแบบนี้ค่ะ พนมมือรับซินรับพอร์นกันนะคะ
ใครอยากหวีด เชิญที่แฮชแท็ก #แด๊ดดี้ครับ เน้อ

******************************************************

Prologue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3791463#msg3791463)
Chapter 1: Daddy (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3791951#msg3791951)
Chapter 2: My good boy (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3792133#msg3792133)
Chapter 3: Naughty child (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3792641#msg3792641)
Chapter 4: Favorite smell (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3793233#msg3793233)
Chapter 5: Lust (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3793642#msg3793642)
Chapter 6: Pure sin (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3794259#msg3794259)
Chapter 7: New friend (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3794404#msg3794404)
Chapter 8: Questions[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3795371#msg3795371)
Chapter 8: Questions[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3795371#msg3795371)
Chapter 9: Punishment[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3796242#msg3796242)
Chapter 9: Punishment[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3796243#msg3796243)
Chapter 10: Big mistake (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3796551#msg3796551)
Chapter 11: Jeffrey O’conell[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3797288#msg3797288)
Chapter 11: Jeffrey O’conell[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3797290#msg3797290)
Chapter 12: Jealous[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3797882#msg3797882)
Chapter 12: Jealous[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3797883#msg3797883)
Chapter 13: Safe sex (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3798319#msg3798319)
Chapter 14: Kiss me, please (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3802847#msg3802847)
Chapter 15: More and more (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3803383#msg3803383)
Chapter 16: Do you love me? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3803807#msg3803807)
Chapter 17: Our sin (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3805533#msg3805533)
Chapter 18: Beware of the vicious dog (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3807247#msg3807247)
Chapter 19: Impossible (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3807882#msg3807882)
Chapter 20: Tell me by your kiss (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3808286#msg3808286)
Chapter 21: Only you and I (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3817178#msg3817178)
Chapter 22: Truth[1] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3818753#msg3818753)
Chapter 22: Truth[2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3818754#msg3818754)
Chapter 23: You are mine (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3820513#msg3820513)
Chapter 24: The top secret[1] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3821878#msg3821878)
Chapter 24: The top secret[2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66245.msg3821879#msg3821879)
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-02-2018 23:06:47
Like Daddy, Like Baby
 
Prologue

หากมารดาผู้บังเกิดก้าวไม่เสียชีวิตกะทันหัน เด็กหนุ่มก็คงจะไม่มีโอกาสได้เจอกับ ‘เขา’

…พ่อเลี้ยง
...ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี

‘กานต์’ เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคิดว่าตนน่าจะหายตกใจเรื่องนี้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็ยังคงสับสนอยู่ ด้วยเรื่องราวทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเสียจนเขารับมือไม่ทัน ทุกอย่างมันเริ่มมาจากที่เมื่อปีที่แล้ว มารดาของเขาบอกกับเขาว่าจะไปทำงานเป็นแม่บ้านที่ร้านอาหารไทยในอเมริกาเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวและส่งเสียเขาให้เรียนต่อ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กานต์ต้องย้ายไปอยู่กับยายซึ่งแก่ชรามากแล้วที่ต่างจังหวัด ทว่าใครจะคิดว่าจู่ๆ วันหนึ่งก็มีข่าวว่ามารดาของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต

ตั้งแต่ที่บิดามารดาแยกทางกันเมื่ออายุได้เพียงสิบปี กานต์ก็อยู่กับมารดามาตลอด บิดาไม่เคยเหลียวแลด้วยมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว การสูญเสียทำให้ทั้งเขาและยายเสียศูนย์อยู่ไม่น้อย เขามืดแปดด้าน คิดไม่ออกว่าต่อจากนี้ตนจะใช้ชีวิตอย่างไร

แต่...หลังจากงานศพของมารดาเขา จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์จากล่ามชาวไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกาติดต่อมา พร้อมกับส่งข่าวน่าตกใจให้เขากับยายรับรู้

มารดาของเขาแต่งงานใหม่กับชายชาวอเมริกัน...

กานต์ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรนอกจากตกใจดี มารดาแต่งงานใหม่แต่ไม่เคยบอกกับเขา เท่าที่ได้ยินจากล่ามคนนั้น ดูเหมือนว่าจะแต่งงานกันมาเกือบปีแล้ว อะไรไม่ว่า ผู้ชายคนนั้นยังเสนอทางเลือกบางอย่างให้กับเขา

จะเป็นผู้ปกครองให้จนกว่ากานต์จะบรรลุนิติภาวะ...

แน่นอนว่าหมายถึงการส่งเสียเลี้ยงดูค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตของเขาด้วย โดยมีเงื่อนไขเดียว

...กานต์ต้องย้ายไปอยู่ที่อเมริกากับผู้ชายคนนั้น

เด็กหนุ่มซึ่งเหลือยายเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวไม่มีวันที่จะทิ้งครอบครัวไปอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตาแน่ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอ้างตัวว่าเป็นพ่อเลี้ยงและมีใบจดทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานก็ตาม

แต่แล้ว...ความสูญเสียก็มาเยือนอีกครั้ง

ยายซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายตรอมใจจากการเสียลูกสาว อีกทั้งยังมีโรคชรา ทำให้จากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยอีกคน ทำให้กานต์สิ้นไร้ไม้ตอก ในเมื่อหันไปทางไหนก็ไม่เห็นทางรอด เขาจึงจำเป็นต้องกลับคำ

...เขาจะย้ายไปอยู่ที่อเมริกากับพ่อเลี้ยงในฐานะ ‘เด็กในการดูแล’

ทันทีที่เขาตัดสินใจติดต่อไปทางล่ามของพ่อเลี้ยง ทุกอย่างก็ถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็ว

กานต์มองไปรอบๆ ตัวอย่างประหม่า หลังจากวันนั้นที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรหาล่ามคนนั้น วันนี้เขาก็มายืนอยู่บนแผ่นดินแห่งเสรีภาพแล้ว

ดวงตากลมสีนิลฉายแววกังวลออกมาอย่างไม่ปกปิด มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์มือถือที่ต่อไวไฟสนามบิน ก่อนจะยกขึ้นมากดเข้าไปในโปรแกรมแชทเพื่อตรวจดูว่าเขาไม่ได้มาผิดสนามบิน

สนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี... ไม่ผิดแน่ อีกฝ่ายบอกให้เขาขึ้นเครื่องมาลงที่นี่

ไม่เพียงแต่บอก เป็นคนจองตั๋วให้ด้วยซ้ำ แล้วก็บอกให้เขามายืนรอที่แถวประตูทางออก สังเกตคนที่มายืนถือป้ายที่มีชื่อเขาให้ดี เพราะอีกฝ่ายจะส่งคนมารับ

แต่...ผ่านมาแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง กานต์ยังไม่เห็นจะมีใครมายืนถือป้ายที่มีชื่อเขาเลยสักคน

ความกังวลพร่างพราย เรียวคิ้วเริ่มขมวดมุ่นเข้าหากัน

ถ้าพ่อเลี้ยงเขาไม่มาล่ะ ถ้าเขาถูกหลอกมาลอยแพที่อเมริกา เขาจะทำยังไง?

คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ความกังวลไม่มีสิ้นสุด มีแต่จะทวีคูณ ในหัวคำนวณจำนวนเงินที่ได้รับมาจากผู้ชายคนนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งพอจะมีติดตัวอยู่ทันควัน

ถ้าถูกเท อย่างน้อยก็มากพอที่จะไปเช่าโรงแรมแถวสนามบินนอน...มั้ง

คิดไปแล้วก็ไม่มั่นใจหรอก แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ท่องจำเบอร์โทรศัพท์ของสถานทูตไทยในอเมริกาได้ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ก็คงต้องโทรไปขอความช่วยเหลือจากที่นั่น

ทว่าก่อนที่จะคิดอะไรไปไกล อันดับแรกเขาควรจะโทรหาพ่อเลี้ยงของเขาก่อนต่างหาก เผื่อว่าอีกฝ่ายจะลืม

ปิ๊บ...

ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร แค่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอก็ดับไปทันควัน กานต์สบถออกมา

“บ้าฉิบ ทำไมแบตฯ จะต้องมาหมดตอนนี้ด้วยวะ”

รู้สึกได้ถึงลางร้าย ภาษาอังกฤษตัวเองก็พูดไม่คล่อง แม้ว่าก่อนหน้านั้น พ่อเลี้ยงของเขาจะส่งเงินมาให้ไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่บ้างแล้วก็เถอะ ที่สำคัญ เบอร์ของผู้ชายคนนั้นเขาก็จำไม่ได้ มิหนำซ้ำก็ยังไม่ได้จดเอาไว้

อะไรมันจะซวยขนาดนั้นวะไอ้กานต์...

อดไม่ได้เลยที่จะบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงเพื่อสงบสติอารมณ์

เอาล่ะ ใจเย็นๆ อย่างน้อยก็เดินหาอีกรอบก่อน เผื่อว่าจะมาแล้ว

คิดได้ก็ลากกระเป๋าใบเขื่องไปละแวกหน้าประตูทางออกอีกครั้ง สายตามองหาคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนที่พ่อเลี้ยงของเขาส่งมารับ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้ถามไว้ว่าคนที่มารับมีหน้าตาท่าทางเป็นแบบไหน นึกโทษตัวเองที่สะเพร่าจนแทบอยากจะยีหัวให้ยุ่งนัก

ทว่า...ทุกความคิดก็ต้องยุติลงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา

เขาใส่สูทสีกรม แต่งตัวเนี้ยบสะอาดสะอ้านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มองปราดเดียวก็รู้ว่าเครื่องแต่งกายทุกอย่างบนตัวเขาเป็นของแบรนด์เนมราคาแพง แต่อะไรก็ไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับเครื่องหน้าของเขา

คมเข้ม... มีไรหนวดเคราขึ้นเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลมะฮอกกานี และดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ล้วนแล้วทำให้เขาดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ขนาดกานต์ที่เห็นเขาครั้งแรกยังหยุดมองไม่ได้เลย

หล่อมาก... อย่างกับนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสาร

ดูแล้วผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะอายุอานามในวัยยี่สิบกว่าๆ หรอก น่าจะเข้าเลขสามแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้กานต์ละสายตาจากเขาไม่ได้เลยสักนิด

มอง...จนลืมไปแล้วว่ามีเรื่องสำคัญกว่านี้ต้องทำ

ผู้ชายคนนั้นมาหยุดยืนบริเวณเดียวกับที่พวกคนมารอรับผู้โดยสาร ก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก พลันก็ขมวดคิ้วยุ่งเหยิง จากนั้นก็กดโทรออกอีกครั้ง เมื่อปลายสายไม่มีการตอบสนอง เขาก็เก็บโทรศัพท์กลับเข้าที่เดิม ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท คว้ากระดาษขนาดเอสี่ออกมากาง บนกระดาษนั้นเขียนว่า...

‘Kan’

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจนักว่านั่นเป็นชื่อของเขาหรือเปล่า ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะตัดสินใจเดินไปหยุดตรงหน้าแล้วเอ่ยปากถาม

“อะ...เอ็กซ์คิวส์มี...”

จากนั้นก็พูดต่อไม่ออก ทั้งนึกคำไม่ออกว่าควรจะถามว่าอะไรดี ทั้งพูดไม่ออกเพราะถูกดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องมอง

คุณมารอผมใช่ไหม... ภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร

กานต์อึกๆ อักๆ ครู่หนึ่งทีเดียว คาดเดาได้เลยว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะต้องเสียดายเงินที่ส่งเขาไปเรียนปรับพื้นฐานแน่ๆ ขนาดประโยคง่ายๆ ยังพูดไม่ได้ เอาไว้ถ้าถูกว่าเรื่องนี้ค่อยแก้ตัวไปแล้วกันว่าเพราะไม่ค่อยได้คุยกับชาวต่างชาติก็เลยประหม่า
ขณะที่ผู้ชายคนนั้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วก็รอให้อีกฝ่ายพูด แต่ในเมื่อคนตรงหน้าไม่พูด นอกจากส่งเสียง ‘เอ่อๆ อ่าๆ’ ไม่เลิก เขาเลยเป็นฝ่ายเปิดปากแทน

“กานต์ใช่ไหม”

คนถูกเรียกชื่อถึงกับเบิกตาโตทันควัน

ภาษาไทย!?

ไม่ทันจะได้ถาม ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาอีก

“ฉันมารับเธอ”

ได้ยินเท่านั้น ความกังวลของกานต์ก็มลายหายไปในพริบตา
“พ่อเลี้ยง... เอ่อ... คุณสเวนส่งคุณมารับผมเหรอครับ”

ในเมื่อพูดภาษาไทยมา เขาก็พูดภาษาไทยตอบ ถึงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมฝรั่งตรงหน้าถึงพูดไทยได้ชัดขนาดนี้ แต่การไปให้พ้นจากสนามบินนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญกว่า

คนถูกถามพยักหน้า ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ส่วนกานต์กลับยิ้มกว้าง

“ค่อยยังชั่ว ผมนึกว่าจะไม่มีใครมารับผมซะแล้ว”

“ประชุมเลิกช้ากว่ากำหนดน่ะ ขอโทษด้วย” เขาว่า “จะไปกันหรือยัง” แล้วก็ถามมาอีก

“ครับ”

มีเหตุผลอะไรจะต้องปฏิเสธอีก กานต์พยักหน้าตอบตกลงทันที ก่อนจะลากกระเป๋าเดินตามหลังผู้ชายคนนั้นไป ในใจก็ขบคิดไม่หยุด

ผู้ชายคนนี้... หรือจะเป็นลูกน้องของพ่อเลี้ยงเขา?

รู้ว่า ออสติน สเวน คนนั้นเป็นนักธุรกิจ แล้วก็รู้ด้วยว่าเป็นเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ถ้าจะมีลูกน้องคอยทำงานให้ก็ไม่แปลก

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”

พอเดินออกมานอกสนามบินจนกระทั่งถึงลานจอดรถ ระหว่างที่รอให้ผู้ชายคนนั้นยกกระเป๋าใส่ท้ายรถให้ กานต์ก็ออกปากถาม อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงให้ถามได้

“คุณทำงานให้คุณสเวนเหรอครับ”

เสียงปิดท้ายรถดังตามมาหลังจากนั้น ก่อนที่คนถูกถามจะยืดตัวขึ้น

“ฉันดูเหมือนลูกน้องของพ่อเลี้ยงเธอเหรอ”

กานต์เม้มริมฝีปากไปครู่ “เปล่าครับ แต่คุณสเวนบอกว่าจะส่งคนมารับผม ผมก็เลยเดาเอาว่าคงจะเป็นลูกน้อง”

คนฟังหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “เขาไม่ได้ส่งคนมารับเธอหรอก”

สีหน้าของเด็กหนุ่มฉาบพรายไปด้วยความสงสัยทันที

ถ้าไม่ได้ส่งมา แล้วคนตรงหน้าเขาเป็นใครกันล่ะ

หรือว่า...

เกือบจะคิดไปแล้วว่าเป็นมิจฉาชีพแอบอ้างอะไรหรือเปล่า ทว่าผู้ชายตรงหน้าก็พูดขึ้นมาก่อน

“เพราะเขามารับเธอเอง”

!?

กานต์เบิกตาโต มองคนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา

“งะ...งั้นก็แสดงว่าคุณคือ...”
“ออสติน สเวน”

พูดจบก็ยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองตกตะลึงไปได้ไม่ยาก แต่ถึงจะไม่ยิ้ม กานต์ก็ตะลึงงันไปแล้ว

พ่อเลี้ยงของเขายังหนุ่มขนาดนี้เลยเหรอ!?

หนุ่มอย่างเดียวไม่พอ หล่อประหนึ่งนายแบบบนรันเวย์อีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแม่ของเขาจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้

“ขึ้นรถได้แล้ว จะได้กลับบ้านกัน”

กานต์ได้สติคืนกลับมาในตอนนี้ พยักหน้ารับหงึกหงัก เดินไปเปิดประตูรถข้างคนขับ แทรกตัวเข้าไปนั่งท่ามกลางความรู้สึกสับสน
ออสติน สเวน... มีเรื่องทำให้เขาเซอร์ไพรส์ไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ
--------------------------
อยากเขียนอะไรอุ่นๆ ให้อ่านกันค่ะ เป็นฟีลกู้ดอ่านเรื่อยๆ แต่ก็จะบาปๆ นิดๆ หน่อยๆ 555
ใครจะหวีด ติดแท็ก #แด๊ดดี้ครับ นะคะ เรื่องนี้เอาไว้เขียนคลายเครียด แต่จะอัปเรื่อยๆ ฝากติดตามด้วยเน้อ
 
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 17-02-2018 23:30:41
เห็นชื่อคนแต่ง...จิ้มรอเลย  :z13:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 18-02-2018 00:34:47
 :-[ มันจะต้องบิดจนตะคริวกินแน่ๆ  :z1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2018 04:25:55
ท่าทางคุณพ่อคงจะดูอบอุ่นน่าดูชิมิ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 18-02-2018 06:54:21
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 18-02-2018 16:49:37
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Indy555 ที่ 18-02-2018 17:14:30
ปักจ้าาาาา   :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Prologue [17-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-02-2018 19:36:23
Chapter 1: Daddy

ออสติน สเวน ต่างจากการคาดเดาของกานต์ไปมากอยู่โข ตอนแรกเขานึกว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะเป็นตาลุงวัยกลางคน ไม่หัวล้านก็พุงโลตัวใหญ่อะไรแบบนี้มากกว่าเสียอีก ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่าตัวจริงจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีขนาดนี้

ระหว่างทางที่ออสตินขับรถ เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะลอบมองเป็นระยะ ขนาดซีกหน้าด้านข้าง ออสตินยังดูหล่อจนแทบละสายตาไม่ได้ สันกรามเป็นแนวชัดเจนรับกับหนวดเคราที่ได้รับการตัดแต่งมาอย่างดีบ่งบอกชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเจ้าสำอางขนาดไหน เมื่อไล่สายตาไปตามเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นคนระเบียบจัด ไม่อย่างนั้นคงไม่แต่งตัวเนี้ยบถึงขนาดนี้ ส่วนนาฬิกาสีเงินแวววาวที่เขาสวมเป็นเครื่องประดับ นั่นก็บอกถึงความมีรสนิยม

เรียกได้ว่าทุกอย่างของ ออสติน สเวน เพอร์เฟ็กต์ไปทุกกระเบียดนิ้ว เคยเห็นพระเอกหนังฝรั่งในมาดนักธุรกิจหล่อเหลายังไง ตัวจริงของพ่อเลี้ยงเขาก็เป็นอย่างนั้นเลย กานต์ไม่แปลกใจถ้าแม่ของเขาจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น

แต่...ก็น่าจะบอกเขาสักหน่อยนะว่าแต่งงานใหม่แล้ว ไม่ใช่จดทะเบียนไปโดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วก็มาจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้บอกเรื่องสำคัญนี่ให้เขารู้ด้วย

ทว่าจะกล่าวโทษมารดาไปก็ป่วยการ ในตอนนี้เขามาอยู่บนแผ่นดินที่สามีของแม่เกิดแล้วเป็นที่เรียบร้อย อย่างน้อยก็ถือว่าดีอย่างหนึ่งตรงที่ผู้ชายคนนี้ยังคิดเป็นห่วงเขา เป็นห่วงลูกชายของภรรยาทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าค่าตากันมาก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ กานต์ต้องแย่แน่ๆ

“ถึงแล้ว”

เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อรถขับมาจอดเทียบฟุตปาธที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง กานต์มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่
อันที่จริง...ก็ไม่ได้ใหญ่นักหรอกสำหรับออสติน เขามีบ้านที่หลังใหญ่กว่านี้อีกหลายหลัง หลังที่พากานต์มาอยู่เรียกได้ว่าเป็นหลังเล็กที่สุดแล้ว

“โทษทีนะที่พามาอยู่บ้านหลังเล็ก ฉันเห็นว่ามันใกล้กับโรงเรียนใหม่ของเธอ เลยให้มาอยู่ที่นี่”

ชายหนุ่มว่าพลางทอดสายตามองไปทางบ้านหลังนั้นด้วย ทำเอากานต์รีบหันมาส่ายศีรษะให้กับเขา

“ไม่เล็กเลยครับ ใหญ่มาก ใหญ่กว่าบ้านยายของผมเยอะเลย”

เขาว่าไปตามความจริง มองจากสายตาแล้ว สนามหญ้าหน้าบ้านน่าจะกว้างกว่าตัวบ้านของยายเขาด้วยซ้ำ แล้วราคาก็น่าจะแพงหูฉี่ด้วย ก็นี่มันหมู่บ้านจัดสรรในละแวกแมนฮัตตันที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งธุรกิจเลยนี่นา ขนาดแมนชั่นยังแพง แล้วประสาอะไรกับบ้านเป็นหลังๆ กันล่ะ

“งั้นเหรอ” ออสตินครางรับเสียงแผ่ว “ถ้างั้นก็ไปเอากระเป๋าเถอะ ฉันจะได้พาเธอไปดูข้างในบ้าน”

พูดจบ กานต์ก็ไม่รอช้า ลงจากรถไปคว้ากระเป๋าออกจากท้าย ลากเข้าบ้านตามหลังออสตินไป

ภายนอกบ้านก็ว่าใหญ่แล้ว พอเปิดประตูเข้าไป ภายในกลับใหญ่กว่า มิหนำซ้ำยังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เข้าเซ็ตกันเป็นอย่างดี ทำเอากานต์ที่อยู่บ้านปูนชั้นเดียวในต่างจังหวัดมาโดยตลอดถึงกับอ้าปากค้าง มองนั่น สำรวจนี่ด้วยความสนใจ

“ห้องของเธออยู่ชั้นบน” ออสตินทำลายความเงียบ “ห้องฉันก็อยู่ข้างๆ เธอ ที่ชั้นบนมีห้องน้ำอยู่อีกห้อง” เขาเสริมขึ้นมาอีก
พอกานต์หันไปมอง ออสตินก็ชี้นิ้วไปทางห้องหนึ่งที่อยู่หลังบ้าน

“ห้องที่ถัดจากห้องนั่งเล่นเป็นห้องครัว ตรงนั้นห้องน้ำ ถ้าจะซักผ้าก็ห้องนี้ ปกติแล้วแม่เธอจะเป็นคนทำความสะอาดที่นี่ แต่พอแม่เธอประสบอุบัติเหตุ ฉันก็เลยไม่ได้มาอยู่พักใหญ่ อาจจะมีฝุ่นสักหน่อย แต่ฉันให้แม่บ้านมาทำความสะอาดให้เมื่อเช้าแล้ว”

กานต์พยักหน้า

บ้านหลังนี้...แม่ก็เคยอยู่เหรอ?

“ห้องที่เธอนอนคือห้องของแม่เธอ”
ออสตินพูดราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคิดอะไร แต่ไม่ทันที่จะได้พูดเอ่ยอะไร ออสตินก็สรุปรวบรัด

“เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บแล้วอาบน้ำพักผ่อนให้เรียบร้อย มื้อเย็นค่อยลงมาร่วมโต๊ะกับฉัน วันนี้ฉันจะเลี้ยงต้อนรับเธอ สักหกโมงเย็นค่อยลงมา”

“ครับ” กานต์ว่าเสียงแผ่ว ในใจรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อยที่พ่อเลี้ยงมาเลี้ยงต้อนรับเขาในวันที่แม่ไม่อยู่

ถ้าเขาได้เจอกับออสตินในวันที่แม่มีชีวิตอยู่ มันน่าจะดีกว่านี้...

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก้าวขึ้นไปยังชั้นบน ทำตามที่ออสตินบอก ภายในห้องนั้นที่ออสตินบอกว่าเป็นห้องเดิมของแม่เขา ตอนนี้มันไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของมารดาเขาอยู่แล้ว ห้องถูกจัดเก็บทำความสะอาดใหม่ทั้งหมด ที่หลงเหลืออยู่ก็จะมีแค่รูปถ่ายต่างหน้าที่มารดาเขาพกติดตัวมาด้วย

มันเป็นรูปของเธอในวัยสาวที่อุ้มลูกชายวัยกระเตาะไว้ในอ้อมแขน กานต์เดินไปหยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนชั้นขึ้นมาดู พลันความคิดถึงก็แผ่กำจาย ก่อนที่จะวางรูปนั้นลงที่เดิมเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างล่างสั่งให้เขาทำอะไร



 
เพราะเดินทางอย่างยาวนานทำให้เด็กหนุ่มเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะลุกขึ้นไปจัดข้าวของ เขาทำได้แค่เตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำแล้วก็กลับมาทิ้งตัวลงนอนที่เตียง ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เลยเวลามื้อเย็นแล้ว

กานต์กระเด้งตัวผึง ตกใจอยู่ไม่น้อยที่มาตื่นเอาในเวลานี้ เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าคนอเมริกันค่อนข้างจริงจังกับเรื่องเวลา การที่เขาผิดนัดเป็นเรื่องที่เสียมารยาทเป็นอย่างมาก และมันก็เสียมารยาทสุดๆ ไปเลยสำหรับผู้มีพระคุณอย่างออสติน

เด็กหนุ่มหุนหันออกจากห้อง รีบลงไปที่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะต้องชะงักขาเมื่อเห็นว่าออสตินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สายตาจับจ้องอยู่ยังหน้าจอโน้ตบุ๊กที่วางบนตัก

“ตื่นแล้วเหรอ”

อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมาของกานต์ ก่อนจะเบนหน้าหันไปถาม ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่สูทแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในชุดเดิม เพียงแต่ไม่ได้สวมเนคไทและสูท มีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปลดกระดุมสองสามเม็ดกับกางเกงสแล็กที่สวมอยู่เท่านั้น

ดูอย่างไรก็มีเสน่ห์...

แต่ไม่ใช่เวลาที่กานต์จะมาชื่นชม...

“ขอโทษครับ พอดีผมผล็อยหลับไป”

อันดับแรกเลยต้องขอโทษ จิตใต้สำนึกของกานต์บอกว่าอย่างนั้น

“ฉันรู้แล้ว เห็นอยู่” ออสตินว่า “ฉันขึ้นไปเรียกเธอที่ห้องมา แต่เห็นเธอหลับอยู่ก็เลยปล่อยให้นอน”

กานต์ได้ยินแล้วก็นิ่ง ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มขึ้นมาบางๆ

“เตียงนอนสบายดีไหม”

ไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยได้แต่พยักหน้า

“สบายครับ”

“ฉันเพิ่งไปซื้อมาเปลี่ยนให้เธอเมื่อวานนี้เอง ฟูกเก่ามันมีกลิ่นอับ” ออสตินว่าสบายๆ ยกโน้ตบุ๊กจากตักไปวางบนโต๊ะกระจกข้างหน้าแล้วลุกขึ้นยืน “หิวหรือยัง ฉันจะได้ไปเตรียมอาหาร”

กานต์พยักหน้า ไม่หิวก็ต้องหิวแล้วล่ะ นี่จะสองทุ่มอยู่แล้ว

“งั้นไปนั่งรอในครัว ฉันก็หิวแล้ว”

เด็กหนุ่มเดินไปตามคำสั่ง ขณะที่ออสตินเองก็เข้าไปในครัวเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ตรงไปนั่งที่เก้าอี้ เดินไปคว้าผ้ากันเปื้อนสีดำมาสวม ถลกแขนเสื้อขึ้นสูง จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เย็น คว้าเอาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารออกมา จากนั้นก็สาละวนกับการทำอาหารโดยปล่อยให้ลูกเลี้ยงได้นั่งมอง

ผู้ชายคนนี้...นอกจากจะมีเสน่ห์มากๆ แล้ว ยังจะใจดีอีก แล้วที่เป็นเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ นั่นก็คงเพราะเก่งน่าดู

เป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมไปทุกด้าน แถมอันตรายต่อใจผู้หญิงจริงๆ...

กานต์อดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลย ขนาดเขาเพิ่งเจอกับออสตินแท้ๆ ยังชื่นชมเขาไม่หยุด แต่ในความชื่นชมนั้นก็เต็มไปด้วยความประหม่า ทั้งประหม่าเพราะไม่คุ้นชิน ประหม่าเพราะเป็นชาวต่างชาติ ประหม่าเพราะเขาเพียบพร้อมเกินไป ที่สำคัญ... เขาดูมีอำนาจบางอย่างแฝงอยู่ภายใน ซึ่งมันทำให้กานต์ทั้งเกรงใจ ทั้งหวาดเกรงเขามากเลยทีเดียว

“กินเนื้อวัวได้ใช่ไหม”

จู่ๆ ออสตินก็ร้องถามขึ้นมา กานต์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบตอบรับไป

“ได้ครับ”

“ค่อยยังชั่ว ฉันทำจนเสร็จแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแม่เธอเคยบอกว่าคนไทยบางคนไม่กินเนื้อวัว”

“ผมกินได้ครับ ไม่ต้องห่วง”

ได้ยินอย่างนั้น ออสตินก็พยักหน้า พลันยกจานอาหารที่เพิ่งเตรียมเสร็จมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ

มื้อเย็นสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับลูกเลี้ยงของเขานั้นเป็นอาหารแบบง่ายๆ ...สเต็กเนื้อ ออสตินคิดว่ามันง่ายในการปรุงและทำมากที่สุดสำหรับเขาแล้ว

“ถ้าไม่ถูกปากหรือจืดเกินไปก็เอาซอสพริกราดแล้วกัน ฉันไปซื้อมาจากไชน่าทาวน์ เผื่อว่าเธอจะยังไม่คุ้นชินกับอาหารตะวันตก”
พูดพลางเอาขวดซอสพริกเมดอินไทยแลนด์วางลงตรงหน้า เด็กหนุ่มมองแล้วก็อมยิ้มขึ้นมา

“ซอสพริกศรีราชา”

ออสตินเลิกคิ้ว

“ผมชอบกินซอสยี่ห้อนี้นะครับ”

“แม่เธอก็ชอบ”

เขาตอบรับ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะคว้าเอาส้อมและมีดมาถือในมือ ปล่อยให้เด็กหนุ่มมองเขาพลางเม้มริมฝีปาก
ทุกครั้งที่กานต์พูดอะไรก็ตาม ออสตินมักจะเสริมขึ้นมาว่าแม่เขาอย่างนั้น แม่เขาอย่างนี้ ดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็คงจะคิดถึงภรรยาตัวเองเหมือนกัน

“กินกันเถอะครับ”

กานต์ตัดบท ไม่ค่อยอยากพูดถึงมารดาตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะเขาค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆ ที่มีผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อให้ความสนใจแม่ของเขาแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาติดพันมารดา เพราะแม่เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ต่อให้อายุย่างเข้าวัยสี่สิบกว่าแล้วก็ยังดูเหมือนอยู่ในวัยสามสิบ รูปร่างก็ยังสมส่วน ถึงจะไม่ได้หุ่นดีเหมือนสมัยสาวๆ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

ทว่า...ก็ไม่ได้ดูดีหรือเหมาะสมกับออสตินหรอก ผู้ชายอย่างออสตินดูดีมากเกินไปจนกานต์นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผู้หญิงที่สวยสมกับความหล่อของเขาจะต้องเป็นแบบไหน บางทีอาจจะต้องเป็นนางฟ้าหรือเทพธิดา เพราะออสตินดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรปูนปั้นตามปฏิมากรรมกรีกโรมันอย่างไรอย่างนั้น

“กินสิ มองอะไรอยู่”

มัวแต่มองจ้องหน้าอีกฝ่ายจนคนถูกมองเอ่ยปาก กานต์ได้สติ พยักหน้ารับเร็วๆ

“ครับคุณสเวน”

พอได้ยินสรรพนามเรียกแทนตัวเอง ออสตินก็เหลือบมอง

“ยังจะเรียกฉันว่าคุณสเวนอยู่อีกเหรอ”

เป็นกานต์บ้างแล้วที่ชะงัก มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจบ้าง

“ไม่ต้องเรียกว่าคุณสเวนหรอก” ออสตินว่า ขณะที่เริ่มลงมือหั่นสเต็กเนื้อในจาน

“ถ้าไม่ให้ผมเรียกว่าคุณสเวน แล้วจะให้เรียกคุณว่าอะไรล่ะครับ”

“เธอคิดว่าควรจะเรียกฉันว่าอะไรดี”

“ออสติน”

นึกถึงชื่อของเขาได้ขึ้นมาก็เลยพูดออกไป เท่านั้นคนถูกเรียกก็ชะงัก เหลือบขึ้นมามองเล็กน้อย

“ฉันไม่ชอบ”

“ไม่ชอบ?”

“ใช่ ไม่อยากให้เรียกชื่อ”

“งั้นก็กลับไปเรียกคุณสเวนเหมือนเดิมดีไหมครับ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเรียกว่าคุณสเวน ซึ่งมันหมายความว่าฉันไม่ต้องการให้เธอเรียกว่าคุณสเวน เข้าใจหรือเปล่า มันฟังดูไม่สนิทสนมกัน ฉันต้องการที่จะสนิทสนมกับเธอ ถึงได้ให้เปลี่ยนวิธีการเรียก”

น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธหรือไม่พอใจเลย แต่ไม่รู้ทำไม กานต์กลับรู้สึกหวาดเกรงในสายตาที่อีกฝ่ายจับจ้องมา มันดูมีอำนาจบางอย่างที่เขาไม่กล้าต่อกรด้วย จึงได้แต่เงียบไปจนกระทั่งออสตินเอ่ยขึ้นมาอีก

“ลองคิดดูว่าอยากเรียกฉันว่าอะไร”

กานต์ไม่มีคำตอบให้หรอก เขาไม่รู้ว่าในวัฒนธรรมฝรั่ง ถ้าไม่เรียกด้วยชื่อหรือนามสกุล ควรจะเรียกพ่อเลี้ยงว่าอะไร ถ้าเป็นคนไทยก็คงจะเรียกน้า อา ลุง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นศัพท์ในเครือญาตไปแล้ว แต่นี่...เป็นฝรั่ง

คิดเสียจนหัวแทบแตก นั่งเงียบไปพักใหญ่เลยทีเดียว จนกระทั่งออสตินหั่นสเต็กในจานตรงหน้าเสร็จถึงได้เหลือบขึ้นมามองอีกครั้ง

“ว่าไง คิดออกหรือยัง”

กานต์เม้มริมฝีปาก ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ท่าทางประหม่านั่นทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอขึ้นมาหน่อยๆ

“เรียกว่าพ่อดีไหม”

คนถูกถามถึงกับมองหน้า
“พ่อ?”

“ถ้ารู้สึกว่ามันมากเกินไปก็ไม่ต้องเรียกก็ได้”

มากไปจริงๆ แหละ จะให้มาเรียกผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน มิหนำซ้ำยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่ว่าพ่อ มันก็ฟังดูแปลกๆ อยู่
ก็ไม่ได้ผูกพัน ไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ นี่นา...

“ลำบากใจสินะ”

กานต์ไม่ปฏิเสธ ผงกศีรษะเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ

“งั้นเรียกแด๊ดดี้ก็แล้วกัน ง่ายดี ฟังดูสนิทสนมกันด้วย เธอคงไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรใช่ไหม”

ถึงจะมีความหมายว่าพ่อเหมือนกัน แต่คำภาษาอังกฤษก็ทำให้กานต์พอที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดลงมาได้

“ครับ”
ตอบรับไปเรียบร้อยแล้วด้วย ออสตินเลยได้ทีออกคำสั่ง

“ไหนลองเรียกฉันหน่อยสิ”

“เรียกคุณ?”

“เรียกว่าแด๊ดดี้ไง”

ถึงตอนนี้ กานต์ก็กลับมาอึกอักอีกครั้ง แต่พอถูกสายตาคมของออสตินจับจ้อง เขาก็เหมือนต้องมนตร์สะกด ปากเผยออ้าเปล่งเสียงออกไป

“ดะ...แด๊ดดี้”

เสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ แต่ออสตินกลับได้ยินเต็มสองหู แล้วเขาก็พอใจมากเสียด้วย จนต้องเอ่ยปากชม

“เด็กดี”

มุมปากยกขึ้น รอยยิ้มเต็มไปด้วยเสน่ห์ผุดพราย กานต์เหลือบมองแล้วก็ต้องรีบหลุบสายตาหนี คราวนี้ไม่ใช่แค่เพราะประหม่าอย่างเดียว เขาเขินอายขึ้นมาหน่อยๆ ด้วย รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้หน้าของเขาเห่อร้อนไปหมด

กับแค่คำว่า ‘เด็กดี’ มันทำให้เขาเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?

เลือกผู้ชายมาแต่งงานได้อันตรายมากเลยแม่...

พลันก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนที่จะถูกออสตินจับได้ว่าเป็นอะไร

“กินต่อเถอะ”

ถูกสั่งอีกครั้ง กานต์ก็พยักหน้า คว้ามีดกับส้อมบนโต๊ะขึ้นมาถือในมือ เตรียมตัวจะหั่นสเต็กบ้าง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเอื้อมมือมายกจานสเต็กตรงหน้าของเขาไป ก่อนที่จะยกอีกจานซึ่งอยู่ตรงหน้าของตัวเองมาวางแทน

“จานนี้มันของคุณ...”

กานต์เอ่ย แล้วก็ต้องปิดปากฉับไปทันทีเมื่อถูกดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็ง พลันว่าออกมาใหม่

“จานนี้มันของแด๊ดดี้”

คราวนี้ออสตินยิ้มออกมาน้อยๆ

“ฉันหั่นให้ จะได้กินง่าย” เขาว่า “เธอคงไม่ถนัดใช้มีด ใช้ส้อมจิ้มกินเลยง่ายกว่า เอ้า นี่ผ้า เอาวางรองบนตักซะ จะได้ไม่หกเปื้อน”
กานต์นิ่งงันไปเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะดูแลเขาประหนึ่งว่าเขาเป็นเด็กเล็กๆ ความจริงแล้วมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะดีกว่าถ้าออสตินเป็นคุณลุงอ้วนฉุท่าทางใจดีเหมือนซานต้าคลอส ไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อเหลามีเสน่ห์ขนาดนี้

เป็นผู้ชายที่อันตรายต่อสายตาและหัวใจมากจริงๆ นะแม่...

ร้องบอกมารดาที่อยู่บนสวรรค์ในใจไปอีกระลอก เดาได้เลยว่าป่านนี้เธอคงจะหัวเราะขบขันในความประหม่าของเจ้าลูกชายคนนี้เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว

เรียกแด๊ดดี้เพื่อความสนิทสนมเหรอ?

สนิทสนมอะไรล่ะ จะทำให้เกร็งมากขึ้นกว่าเดิมอีกน่ะสิ มันทั้งทะแม่งๆ ทั้งก่อให้เกิดบรรยากาศประหลาดๆ แต่พอกานต์ชำเลืองมองผู้ชายตรงหน้าที่นั่งหั่นสเต็กแล้วส่งชิ้นเนื้อหอมกรุ่นเข้าปากอีกครั้ง พลันก็ลอบระบายลมหายใจออกมา

แต่ถ้าแด๊ดดี้ของเขาเป็นผู้ชายคนนี้ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ นิสัยดี ใจดี อัธยาศัยดี มิหนำซ้ำ...

...ยังเจริญหูเจริญตาดีอีกด้วย
 ----------------------------
มาต่อแล้วค่ะ เขาเรียกแด๊ดดี้กันแล้ว ฮา
ชอบกันมั้ยคะแนวนี้ ถ้าชอบก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1: Daddy [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 18-02-2018 19:52:39
ว๊ายยย daddy  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1: Daddy [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 18-02-2018 20:41:06
ดีแล้วค่ะ เรียกพ่อมันก็จะแปลกๆไปหน่อย คนไม่เคยรู้จักกัน
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1: Daddy [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-02-2018 23:07:01
Chapter 2: My good boy

กานต์พยายามปรับตัวให้เข้ากับบ้านใหม่และพ่อใหม่ให้เร็วที่สุดด้วยไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นปัญหาของออสติน แค่อีกฝ่ายเมตตาเขาถึงขนาดนี้ก็นับว่าดีมากพอแล้ว เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่ควรทำให้ผู้มีพระคุณต้องหนักใจไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม

หลังจากมื้ออาหารเมื่อวาน เด็กหนุ่มก็ขอบคุณเจ้าของบ้าน พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องใครห้องมัน เขาไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ ตั้งใจว่าจะรีบตื่นก่อนออสติน อย่างน้อยจะได้แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่ใช่คนขี้เกียจที่จะนอนตื่นสายจนอีกฝ่ายต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้ พูดก็พูด กานต์ตั้งใจจะเป็นฝ่ายทำอาหารให้นั่นแหละ ในหัวก่อนนอนมีเมนูอาหารฝรั่งแบบง่ายๆ ผุดพรายขึ้นมาอยู่สองสามเมนู

ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว เบคอนหรือไส้กรอกทอด กับกาแฟ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ...

ทว่าพอถึงเวลาจริงๆ เขากลับไม่ตื่นตามเวลาที่คาดหวัง เพราะยังไม่คุ้นชินกับเวลาที่ดินแดนแห่งนี้ซึ่งแทบจะสลับกลางวันกลางคืนกับประเทศไทย รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่ตะวันโด่งแล้ว

กานต์รีบกระเด้งลงจากเตียงทันทีที่เห็นว่านาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาเกือบเที่ยง เขารีบวิ่งลงไปด้านล่างก่อนเป็นอันดับแรก ในใจคาดหวังว่าออสตินอาจจะยังไม่ตื่น แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งไขว่ห้างอ่านอะไรบางอย่างในแท็บเล็ตอยู่ที่โซฟาใต้บันได

“ตื่นแล้วเหรอ”

ได้ยินเสียงตึงตัง ออสตินก็ละสายตาจากหน้าจอหันมามอง กานต์พยักหน้ารับ ไม่แน่ใจนักว่าควรจะทำสีหน้ายังไงดี วันแรกก็ตื่นสายเสียขนาดนี้ จะโดนดุหรือเปล่านะ

“ล้างหน้าแล้วหรือยัง”

แทนที่จะดุ ออสตินกลับถาม กานต์ซึ่งยังยืนค้างอยู่บนบันไดบ้านส่ายหน้า เท่านั้นก็ถูกไล่

“ไปล้างหน้าแปรงฟันซะ จะได้ลงมากินมื้อเที่ยง อ้อ ไม่สิ มื้อเช้าของเธอสินะ”

เหมือนจะเป็นประโยคหยอกล้อ แต่กลับทำให้คนฟังหน้าม้าน

วันแรกก็ตื่นสายโด่งเสียแล้ว ถึงจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเพราะเมื่อวานเขาเดินทางมาไกลเลยทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ แต่มันก็ยากที่จะเอ่ยปากแก้ตัวออกไปอย่างนั้น

“ไปสิ ฉันจะไปเตรียมอาหารให้”

แล้วความฟุ้งซ่านของกานต์ก็สิ้นสุดลงเมื่อออสตินตัดบทขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็เป็นพ่อเลี้ยงของเขาที่เป็นคนทำอาหารให้ กานต์ละอายใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องรบกวนเขาถึงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนแล้วจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อยในเวลาอันสั้น

ไม่นานนักก็กลับลงมาข้างล่างด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ออสตินเตรียมอาหารเสร็จแล้ว มื้อกลางวันของพวกเขาเป็นอาหารง่ายๆ อย่างแซนด์วิซและสลัดผัก กานต์ไม่ค่อยชอบกินอาหารฝรั่งพวกนี้หรอก เขาชอบกินอาหารไทยมากกว่า แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกมากได้ ออสตินทำให้กินก็ดีแล้ว อีกอย่าง อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าบรรยากาศที่โต๊ะอาหารในตอนนี้มันเงียบเสียเหลือเกิน ออสตินไม่ใช่คนพูดมาก เขาจะพูดก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น กานต์เองก็เช่นกัน ประกอบกับที่เขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่เลยทำให้การชวนใครคุยสักคนเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่สำหรับพ่อเลี้ยงของเขา...เพื่อความสนิทสนมและไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป คงต้องชวนคุยสินะ

“คุณสเวนไม่ไปทำงานเหรอครับ”

ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าโพล่งออกมา ออสตินที่กำลังรินกาแฟดำใส่ถ้วยชะงัก เหลือบตามามองทันที

“คุณสเวน?”

แทนที่จะตอบ กลับพูดชื่อของตัวเองแทน กานต์เลยรีบเปลี่ยนคำพูดทันควัน

“แด๊ดดี้...เอ่อ...ไม่ไปทำงานเหรอครับ”

นึกขึ้นมาได้ว่าจริงๆ แล้วต้องเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าแด๊ดดี้ ซึ่งก็ใช่ ที่ออสตินทวนชื่อของตัวเองก็เพราะต้องการให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวนั่นแหละ

“ถามเหมือนไม่อยากให้ฉันอยู่บ้าน”
“เปล่าครับ พอดีผมเห็นว่าวันนี้เป็นวันจันทร์”

ออสตินหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเสีย

“ฉันจะเข้าบริษัทก็ต่อเมื่อมีประชุมหรือมีเอกสารสำคัญต้องจัดการเท่านั้น ซึ่งวันนี้ไม่มีอะไรสำคัญ อีกอย่าง ฉันควรจะอยู่บ้านเพราะต้องดูแลเธอ”

ได้ยินเหตุผลแล้ว คนฟังก็เกรงใจขึ้นมาทันที

“ขอโทษที่รบกวนนะครับ”

ออสตินเลิกคิ้วสูง “อย่าพูดอย่างนั้น ฉันรับปากเธอแล้วว่าจะดูแลก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด ฉันเป็นผู้ปกครองเธอนี่”
เรื่องนั้นกานต์รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่การที่ออสตินแสดงออกชัดเจนว่าอยู่ในสถานะไหน มันทำให้กานต์ประหม่าขึ้นมาน้อยๆ

“แล้วก็รับปากแม่เธอแล้วด้วยว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี จะปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียวตั้งแต่วันแรกที่มาถึงนิวยอร์กได้ยังไงกัน”
อันที่จริงแล้วการที่เขาอยู่บ้านเพื่อดูแลเด็กในอาณัติน่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้มากกว่า บ่งบอกชัดเจนเลยว่าเขาเป็นคนรักษาสัญญาอยู่ไม่น้อย

“ขอบคุณครับ”

กานต์ซาบซึ้งในบุญคุณนี้ แต่ออสตินไม่สนหรอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะคิดอย่างไรกับเขา เอาแต่พูดสิ่งที่อยากจะพูดออกไป

“อยากถามอะไรฉันอีกไหม”

คนฟังเลิกคิ้วสูง... จริงๆ แล้วก็มีอยู่เหมือนกัน กานต์อยากรู้ว่าออสตินอายุเท่าไหร่ เพราะเขายังดูหนุ่มเกินกว่าที่จะเป็นพ่อเลี้ยงของเด็กอายุสิบเจ็ด แต่ถามออกไปตอนนี้คงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่จึงได้แต่ส่ายหน้า

“ถ้าเธอไม่ถาม งั้นฉันจะถามแล้วกัน”

กลายเป็นว่าเปิดโอกาสให้ออสตินได้ซักไซ้เสียอย่างนั้น กานต์นั่งเหยียดหลังตรงขึ้นมาราวกับเตรียมพร้อมต่อการถูกซัก ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มของผู้เป็นเจ้าของบ้านจะดังขึ้น

“เธอคิดบ้างแล้วหรือยังว่าหลังจบไฮสกูลแล้ววางแผนยังไงต่อ”

จู่ๆ บทสนทนาก็กลายเป็นเรื่องนี้ กานต์ซึ่งไม่ทันจะได้เตรียมรับมือกับคำถามนี้นิ่งงันไปครู่

“คุณหมายถึง...”

“จะทำงานหรือเรียนต่อ หรือจะกลับไทย”

ออสตินขยายความให้ กานต์เลยเข้าใจขึ้นมาได้ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ทำเอาออสตินเลิกคิ้วสูงขึ้นมาข้างหนึ่ง

“ไม่ได้คิดเลยเหรอ”

เด็กหนุ่มยังคงส่ายหน้าอีก

“ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันจะเป็นผู้ปกครองเธอแค่ปีเดียว เธอก็ยังไม่ได้วางแผนชีวิตตัวเองหลังจากนั้นเอาไว้?”
“ครับ”

กานต์ยอมรับอย่างจำนน ก็ก่อนหน้านั้นจนถึงตอนนี้ เขาเอาแต่คิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยังไงกับผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานอย่างเดียวนี่นา ใครจะไปคิดกันล่ะว่าจะต้องคิดเรื่องนั้นเร็วขนาดนี้

ออสตินยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย หลังจากวางมันลงบนโต๊ะ สายตาก็มองจ้องไปยังอีกฝ่ายเขม็ง

“ควรคิดได้แล้วนะ”
“แต่ผมเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้แค่วันเดียว”

ถ้านับวันนี้ด้วยก็เป็นวันที่สอง กานต์พยายามจะบอกเหตุผลเป็นนัยว่ามันไวเกินไปที่จะคิดเรื่องนั้น เขายังไม่รู้เลยว่าสังคมที่นี่เป็นอย่างไร เขาจะอยากเรียนต่อหรือทำงาน หรือจะกลับไทยก็ยังไม่รู้สักนิดเพราะเวลาที่ต้องเลือกมันยังมาไม่ถึง ออสตินไม่ใช่ว่าไม่รู้ เขารู้ แต่ว่ามันก็ควรต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เหรอ

“เธอมาอยู่ที่นี่ได้แค่วันเดียวก็จริง แต่เธอก็รู้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่าเธอจะอยู่ที่นี่แค่ปีเดียว ดังนั้นก็ควรที่จะมีแผนรองรับอนาคตตัวเองคร่าวๆ เพราะพอเธออายุครบสิบแปด ความเป็นผู้ปกครองของฉันก็จะสิ้นสุดลง”

กานต์สบตาอีกฝ่าย ตอนนี้เรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับออสตินอีกอย่างก็คือผู้ชายคนนี้นอกจากจะเป็นคนที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแล้ว ยังเป็นคนตรงไปตรงมาอีกด้วย ตรงเสียจนสร้างความกดดันให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่กานต์จะออกปากถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“หมายความว่าพอครบหนึ่งปีตามกำหนดแล้ว ผมควรจะกลับไทยเหรอครับ”

“ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจ คนตัดสินใจคือเธอต่างหากว่าหลังจากบรรลุนิติภาวะแล้วจะเลือกทางเดินชีวิตแบบไหน แล้วที่ฉันถามก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอกลับไทย ทุกเรื่องหลังจากที่เธออายุครบสิบแปด เธอจะต้องตัดสินใจเอง ฉันถึงได้ถามไงว่าเธอวางแผนได้ยังไง จะเรียนต่อ ทำงาน หรือกลับไทย”

“แสดงว่าผมไม่ต้องกลับไทยก็ได้ใช่ไหม”

“บอกแล้วไงว่าคนตัดสินใจคือเธอ”

ถึงออสตินจะไม่ได้ดุ น้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ กานต์ไม่กล้าจะถามต่อเมี่อถูกเขาจ้องนิ่งๆ สายตาคู่นั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะมองตรงๆ หรือต่อกรด้วย และการที่นิ่งเงียบไปก็ทำให้ออสตินเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา

“ที่ฉันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะย้ำเธอว่าเป้าหมายของฉันที่รับเธอมาอยู่ด้วยก็คือส่งเสียเธอเรียนให้จบไฮสกูล หลังจากนั้นเธอจะเรียนต่อ ฉันก็ยินดีสนับสนุน ถ้าอยากจะทำงาน ก็ไม่ว่ากัน อยากจะทำงานในบริษัทฉัน ฉันก็จะจัดคนมาดูแลให้ แต่ถ้าอยากจะไปจากที่นี่ มันก็สิทธิ์ของเธอ เพราะข้อตกลงของเรามันสิ้นสุดลงเมื่อเธออายุครบสิบแปดเท่านั้น” เขาว่ายาว พอเด็กหนุ่มสบตาก็เสริม “แต่ภายในหนึ่งปีที่ฉันเป็นผู้ปกครอง เธอจะต้องเชื่อฟังฉัน เข้าใจใช่ไหม ถึงจะเป็นพ่อเลี้ยงแต่ก็ให้คิดซะว่าฉันเป็นครอบครัวคนเดียวของเธอ”

ราวกับว่าจงใจแสดงสถานะระหว่างเขากับกานต์ให้ชัดเจนว่าใครอยู่ในสถานะไหน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะออสตินสังเกตท่าทางของเด็กหนุ่มมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าค่อนข้างจะเกร็งกับเขาจนวางตัวไม่ถูก เขาก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าเป็นเพราะกานต์ไม่คุ้นชินกับเขาซึ่งมีสถานะไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า แต่ในเมื่อตกลงปลงใจมาอยู่กับเขาแล้ว ดังนั้นก็ควรที่จะตระหนักไว้ตลอดว่าเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าอย่างที่เด็กหนุ่มรู้สึก

ได้ยินแล้ว กานต์ตอบรับเสียงแผ่ว “ครับ”

“ส่วนเรื่องอนาคตของเธอ ฉันอาจจะถามเร็วไปหน่อย แต่ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็มาบอกฉัน จะได้วางแผนเตรียมตัวล่วงหน้า”
“ผม...ขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ”

กานต์รู้สึกว่าตัวเองถูกเร่งรัดอีกรอบก็ว่าเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ในใจก็รู้สึกไม่มั่นคงไปด้วยเมื่อจู่ๆ ออสตินก็คุยเรื่องนี้ มิหนำซ้ำยังพูดวนเรื่องระยะเวลาที่ต้องอยู่ในอาณัติซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าจริงๆ แล้ว ออสตินไม่ได้อยากให้เขามาอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่ แต่ที่ยื่นข้อเสนอมาให้นั่นเป็นเพราะได้สัญญากับแม่ของเขาเอาไว้

ก็นะ ถึงออสตินจะไม่ได้อยากให้มาอยู่จริงๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา เขาอาจจะอยากทำความต้องการของภรรยาที่เสียไปให้สำเร็จก็เป็นได้ แล้วกานต์เป็นคนตกปากรับคำมาเองนี่นา จะโทษใครก็ไม่ได้ อันที่จริงต้องขอบคุณออสตินเสียอีกที่ยื่นข้อเสนอนี้ให้เขา ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีต่อจากนี้หลังจากที่เหลือตัวคนเดียวแล้วแน่ๆ

“ได้ เธอยังมีเวลาอยู่อีกหนึ่งปี คิดให้ดีเพราะมันมีผลต่ออนาคตเธอ”

ออสตินไม่ยี่หระสักเท่าไหร่ ก่อนจะยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งแล้วเหลือบมองอีกฝ่ายที่นั่งก้มหน้า ขมวดคิ้วราวกับขบคิดอะไรบางอย่าง

“แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะไล่เธอไประหว่างที่เธออยู่ที่นี่ ทำใจให้สบายเถอะ ฉันรับปากกับแม่เธอไว้แล้วว่าถ้ามีโอกาสก็จะดูแลเธอเหมือนลูก” จากนั้นก็เผยอยิ้ม “ถึงฉันจะไม่เคยมีลูกมาก่อนก็เถอะนะ อาจจะดูแลได้ไม่ดีนัก แต่ฉันจะพยายาม แปลกดีนะ มีลูกทั้งที กระโดดข้ามเป็นหนุ่มวัยรุ่นเลย แต่ก็ยังดีกว่าต้องมาคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ล่ะนะ”

กานต์หัวเราะออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย เห็นอย่างนี้ ออสตินเองก็มีมุกตลกอยู่เหมือนกัน แต่ในหัวของเขาก็ยังคงขบคิดเรื่องที่ออสตินพูดไม่เลิก แล้วก็ต้องหยุดคิดไปเมื่อออสตินตบท้าย

“เหตุผลที่ฉันไม่อยากให้เธอเรียกชื่อก็เพราะอย่างนี้ เธอเป็นลูกฉัน เรียกว่าแด๊ดดี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว”

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เอาเข้าจริงแล้วความรู้สึกเป็นพ่อเป็นลูกกับผู้ชายที่เป็นสามีของแม่ซึ่งเขาไม่ได้สนิทสนมด้วยเลยมันไม่มีแม้แต่น้อย ทว่าก็พยายามจะบอกตัวเองว่าการที่อีกฝ่ายเอ็นดูตนเองก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ถึงแม้ว่าข้อเสนอในการดูแลของเขามันจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็เถอะ

“แล้วเตรียมเอกสารสำหรับไปยื่นให้ทางโรงเรียนหรือยัง”

ฉับพลันหัวข้อสนทนาใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น เรื่องนั้นกานต์เตรียมไว้หมดแล้ว

“เรียบร้อยแล้วครับ”

ออสตินยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะว่าออกมานิ่งๆ

“my good boy”

เป็นครั้งแรกที่กานต์ได้ยินพ่อเลี้ยงของเขาพูดภาษาอังกฤษ แต่...ไม่นึกเลยว่าคำแรกที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นคำนี้

“เป็นเด็กดีมาก”
“...”
“ถึงจะคิดเรื่องอนาคตตัวเองน้อยไปหน่อยแต่รู้จักรับผิดชอบดี ฉันชอบเด็กมีความรับผิดชอบ มันทำให้ฉันอยากจะใจดีด้วย”
“...”
“ถ้าเธอทำตัวเป็นเด็กดีอย่างนี้สม่ำเสมอ สักวันฉันจะให้รางวัล”

ออสตินชมมาอีก ไม่รู้ว่าชมจากใจจริงไหม กานต์รู้อย่างเดียวว่าคำพูดนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

แม่ครับ... ผมชอบพ่อคนนี้

แวบหนึ่งก็รู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา ถึงออสตินจะทำให้เขาประหม่าในหลายๆ อิริยาบถ ทว่าก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะดีมากๆ เลยด้วยซ้ำถ้าเทียบกับพ่อแท้ๆ ของเขาที่ทั้งทำร้ายแม่กับเขา มิหนำซ้ำยังมีผู้หญิงอื่นจนเป็นเหตุให้ครอบครัวของเขาต้องพังพินาศ แต่ก็ดีแล้วล่ะที่พ่อไปจากเขาและแม่ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของเขาคงไม่ต่างจากตกนรก ทว่าออสตินกลับตรงกันข้ามกับพ่อแท้ๆ ของเขา...ทุกอย่างหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนัก ที่แน่ๆ คือเรื่องความใจดี ออสตินชนะขาด

“รีบๆ กินซะ ขนมปังเริ่มแข็งแล้ว”

ออสตินโพล่งขึ้นมาเรียกความสนใจให้เด็กหนุ่มหันไปมอง กานต์หยิบเอาแซนด์วิซในจานตรงหน้าขึ้นมากัดเข้าปาก ออสตินลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงไปเปิดตู้เย็น หยิบเอากล่องน้ำผลไม้ออกมาวางบนโต๊ะ พอเด็กหนุ่มหันไปมอง ศีรษะของเขาก็ถูกมือใหญ่วางลงมาเบาๆ แล้วออกแรงยีไม่แรงนัก

“กินเยอะๆ ตัวเล็กขนาดนี้ ถ้าถูกเพื่อนที่โรงเรียนใหม่แกล้งแล้วสู้ไม่ไหว อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นอกจากความใจดีแล้วก็ความอบอุ่นนี่แหละที่ออสตินมีเต็มเปี่ยมจนกานต์สัมผัสได้ในระยะเวลาอันนั้น

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยกยิ้มรับ เขาชอบความใจดีของผู้ชายคนนี้จริงๆ

ออสตินกลับไปนั่งที่ ดื่มกาแฟและจับจ้องที่หน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง มื้ออาหารมื้อนั้นดำเนินไปด้วยความเงียบอีกครั้ง แต่กานต์กลับรู้สึกว่าบรรยากาศไม่เหมือนกับตอนก่อนหน้า ความประหม่าที่มีมาตั้งแต่เมื่อวานยามอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย

หวังว่ามันจะหายไปหมดในเร็ววันนี้ ดูท่าเขาจะต้องทำตัวเป็นเด็กดีให้มากๆ เสียแล้ว ออสตินจะได้ใจดีกับเขามากๆ ไม่เผลอแผ่รังสีความกดดันใส่อีก

ต้องเป็นเด็กดีของแด๊ดดี้...

กานต์ท่องไว้ในใจ ปากกัดแซนด์วิซเคี้ยวตุ้ยๆ จนกระทั่งหมดชิ้น พอคว้าชิ้นใหม่ขึ้นมากัดกิน ออสตินก็เหลือบมองพลางยกยิ้ม จากนั้นก็หลุบตามองหน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
--------------------------
ตอนแรกว่าจะมาพรุ่งนี้ แต่ดันเขียนจบก่อน มาวันนี้เลยก็แล้วกันค่ะ
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1-2(อัป 2 ตอน) [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-02-2018 02:22:00
มีเวลาแค่ปีเดียว จะทำไงนี้ล่ะเนี่ย ลุ้น ๆ ว่ากานต์จะคิดอย่างไง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1-2(อัป 2 ตอน) [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 19-02-2018 03:19:07
ถ้าเราเป็นกานต์นีืคงอึดอัดน่าดู เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1-2(อัป 2 ตอน) [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 19-02-2018 07:01:23
แด๊ดดี้ ว้ายยยย ใครจะขย้ำใครก่อนเนี่ยย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1-2(อัป 2 ตอน) [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: พันธุ์ไทย ที่ 19-02-2018 12:05:47
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1-2(อัป 2 ตอน) [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2018 17:41:20
ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 1-2(อัป 2 ตอน) [18-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 19-02-2018 21:25:22
Chapter 3: Naughty child



ออสตินดูแลลูกเลี้ยงของตนเป็นอย่างดี ดีมากเสียจนกานต์ที่คิดว่าตัวเองน่าจะเริ่มไม่ค่อยเกร็งเวลาอยู่กับเขาเกร็งมากขึ้นไปอีก นอกจากการอาการเกร็ง ก็ยังจะมีความเกรงใจที่พร่างพรายขึ้นมาไม่หยุดหย่อน เพราะทุกสิ่งที่ออสตินทำนั้น ไม่ต่างอะไรจากการเป็นพ่อของใครสักคนเลยแม้แต่น้อย

เรียกได้ว่าดูแลเด็กหนุ่มดีกว่าพ่อแท้ๆ ของเขาอีก กานต์ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งเลยพยายามทำตัวดี ตั้งใจว่าจะเป็นเด็กดีของแด๊ดดี้อย่างที่เคยคิดไว้ในตอนแรก แต่ความเป็นเด็กดีของเขานั้นก็คงอยู่ไม่ได้นานสักเท่าไหร่ ชีวิตของเด็กวัยรุ่นแน่นอนว่าจะต้องมีบางครั้งที่ดื้อบ้าง ซึ่งการดื้อของการก็คือ...

“ตั้งแต่วันนี้ มาเรียจะแวะมาดูแลเธอในช่วงเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น เธอจะได้มีเพื่อนเวลาฉันไม่อยู่บ้าน”

ออสตินว่าขณะที่แนะนำผู้หญิงชาวตะวันตกวัยกลางคนให้กับเด็กหนุ่มรู้จัก มาเรียเป็นผู้หญิงรูปร่างอ้วนท้วม หน้าตาและท่าทางใจดี เหมือนกับซานต้าคลอสในเวอร์ชันผู้หญิงก็ไม่ปาน เมื่อเห็นหล่อนยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กานต์ก็ยิ้มตอบด้วยท่าทางประดักประเดิด

“อยู่กับมาเรียอย่าดื้อ” ออสตินบอกตบท้ายก่อนจะหันไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ “ฝากดูแลเขาด้วย”

“ได้ค่ะคุณสเวน”

จากนั้นชายหนุ่มก็หันมาบอกกับลูกเลี้ยงของตนด้วยภาษาเดียวกัน พักนี้ออสตินเริ่มพูดภาษาอังกฤษกับเด็กหนุ่มตรงหน้าแทนภาษาไทยมากขึ้นแล้ว ด้วยเหตุผลว่ากานต์จะได้ค่อยๆ ปรับตัวกับสังคมที่นี่

“ฉันไปล่ะ เจอกันมื้อเย็น”

มือคว้าเสื้อสูทมาสวม ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม ออกแรงยีเบาๆ เป็นการบอกลาอย่างที่เคยทำ

ทุกครั้งที่ออสตินจะออกไปไหน เขามักจะทำอย่างนี้กับลูกเลี้ยงของตนเสมอ ประหนึ่งว่าเป็นการลูบหัวสุนัขเพื่อบอกให้เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น

กานต์เองก็เห็นภาพตัวเองเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้คิดอะไร ออกจะชอบเสียอีกที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับตนเช่นนั้น เพราะฝ่ามือหยาบกร้านของพ่อเลี้ยงเขามันอบอุ่นมากจนไม่อาจปฏิเสธสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย

คล้อยหลังของชายหนุ่มไป มาเรียก็ออกปาก

“ไปที่ครัวกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะทำมื้อเที่ยงให้”

กานต์นิ่งไปครู่หนึ่ง หัวสมองกำลังประมวลผลกับสำเนียงภาษาที่สองที่เขายังไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ ก่อนจะพยักหน้ารับในท้ายที่สุดเมื่อเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร

เด็กหนุ่มตรงไปนั่งยังเก้าอี้ประจำ สายตามองไปยังผู้หญิงคนนั้นที่สาละวนกับการทำมื้อเที่ยงให้เขา ทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดีถ้าหากว่ามาเรียนไม่พยายามชวนเขาคุย

“มาที่นี่แล้วเป็นไงบ้าง”

“ครับ?”

“ฉันถามว่าเป็นยังไงบ้าง หมายถึงเธอชอบที่นี่ไหมน่ะจ้ะ”

กานต์เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน เขาไม่มีปัญหาเรื่องการฟัง แต่ปัญหาของเขาก็คือการพูดมากกว่า

“คือผม...”

แน่นอนว่าปัญหาเรื่องการพูดก็ไม่ใช่เพราะเขาเรียบเรียงประโยคไม่ได้ ต่อให้มันจะยากในตอนแรก แต่พอมาอยู่ที่นี่ได้ร่วมสัปดาห์ เขาก็ขยันหัดฟังสำเนียงภาษาจากภาพยนตร์บ้าง ซีรีส์บ้าง จนกระทั่งค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่น่าจะมีปัญหาในส่วนนี้

“ว่ายังไงจ๊ะ เป็นยังไงบ้าง เธอชอบไหม”

มาเรียยังคงถาม หน้าที่ชวนคุยนั่นก็เป็นหน้าที่ซึ่งเธอได้รับมอบหมายจากผู้เป็นนาย ทว่ากานต์กลับอึกอักแล้วก้มหน้างุด

“ผม...” พลันก็ว่าเสียงแผ่ว “ครับ ผมชอบ”

“แล้วเธอตื่นเต้นไหมที่จะได้ไปโรงเรียนใหม่”

“ครับ”

“ทำไมล่ะ”

ดูก็รู้ว่าถ้าตอบไป มาเรียจะต้องเล่นเกมหนึ่งร้อยคำถามกับเขาแน่ เพราะทุกครั้งที่ตอบ เธอจะถามต่อเนื่องขึ้นมาทันที และนั่นมันทำให้กานต์กดดันเป็นอย่างมาก

“คือ...”

นอกจากตอบแค่ ‘ครับ’ กานต์ก็ไม่รู้ว่าจะพูดประโยคอื่นอย่างไรดี กับออสติน เขายังกล้าพูดเพราะเริ่มคุ้นชินบ้าง แต่พอต้องพูดประโยคยาวๆ กับคนอื่น เขากลับไม่มีความมั่นใจ

“ตกลงแล้วทำไมถึงตื่นเต้นล่ะ”

ทนไม่ไหวแล้ว...

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เด็กหนุ่มตัดบทฉับพลัน เป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่เขาคุยกับแม่บ้านคนนี้ ก่อนจะหุนหันลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งขึ้นไปหลบในห้องตัวเองที่ชั้นบน

เขาไม่ชอบ... ไม่ชอบเลยที่จะต้องถูกกดดัน

แต่การกระทำของเขานั้นก็ไม่ใช่มารยาทที่ดี การที่เดินหนีไปเฉยๆ อย่างนั้นทำให้มาเรียถึงกับขมวดคิ้วมุ่น เธอพอจะเข้าใจเรื่องความขี้อายของชาวเอเชีย แต่ก็ไม่เคยพบเคยเจอใครบางคนเดินหนีเธออย่างนี้มาก่อน เท่านั้นมืออวบอูมของเธอก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คว้าเอาโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรหาผู้เป็นนายทันที

“คุณสเวนคะ...”

[เขาดื้อใช่ไหม]

ปลายสายถามกลับมาอย่างรู้ทัน

“ค่ะ”

[ไม่ต้องไปตาม ปล่อยไว้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง]

สิ้นเสียง ปลายสายก็ตัดไป โดยที่เด็กหนุ่มข้างบนบ้านไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

 

ตกเย็น... มาเรียกลับไปแล้ว อันที่จริงกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะออสตินสั่งให้กลับไป ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะให้มาเรียคอยดูท่าทีของกานต์ก่อน เผื่อว่าเด็กหนุ่มจะกลับลงมาเมื่อปรับตัวได้ แต่หลังจากที่อีกฝ่ายหนีขึ้นห้องไป กานต์ก็ไม่กลับลงมาเลย แม้แต่จะลงมาหาอะไรกินก็ไม่ทำ สิ่งนั้นทำให้ออสตินไม่ชอบใจสักเท่าไหร่นัก เพราะมันคือการหนี

ออสตินไม่ชอบการที่เด็กหนุ่มเปิดรับแต่เขาเพียงคนเดียว แล้วก็ไม่ชอบความไม่มั่นใจที่กานต์แสดงออกมาด้วย พอเขาถึงบ้าน ก็ไม่รอช้าที่จะร้องเรียกให้อีกฝ่ายลงมาข้างล่าง

กานต์ได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่อตนก็ลุกจากเตียงนอน ก้าวลงมาข้างล่างก็พบว่าคนเรียกกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สูทที่สวมอย่างเรียบร้อยในตอนแรกถูกพาดอยู่บนพนักพิง บนตัวของออสตินมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่หลุดลุ่ยกับกางเกงสแล็กสีกรมท่าเท่านั้น

“มานั่งนี่สิ”

ออสตินพยักพเยิดไปยังโซฟาบุนวมตัวเดี่ยวที่อยู่ไม่ไกล กานต์ก้าวไปทรุดตัวนั่ง จากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเขาคงไปทำอะไรผิดมา ออสตินถึงได้เรียกเขาให้มานั่งแบบนี้ ซึ่งนั่นก็จริงเสียด้วยเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น

“วันนี้เกเรอะไรมา”

ออสตินไม่พูดภาษาไทยอย่างเคยแล้ว ประโยคนี้ว่าออกมาด้วยภาษาอังกฤษ กานต์ชะงักไปครู่ก่อนจะตั้งสติได้

“เกเรอะไรครับ”

“เธอน่าจะรู้ดีแก่ใจ”

สมองของกานต์ประมวลผลทันที แต่ยังไม่ทันจะคิดออก ออสตินก็ปรายตามองพลางว่าเสียงเข้ม

“มาเรียบอกกับฉันว่าวันนี้เธอเดินหนีหล่อน”

ตอนนี้เข้าใจได้แล้วว่าเกเรที่ออสตินว่านั้นหมายถึงอะไร

“ทำไมถึงไม่คุยกับหล่อน?”

เขาถามมาอีก กานต์ตอบกลับมาเป็นภาษาไทย

“ผมไม่คุ้นกับเธอครับ”

“ฉันไม่เข้าใจ” ออสตินสวนด้วยภาษาอังกฤษทันที “พูดภาษาฉันสิ พูดภาษาเธอแล้วฉันจะเข้าใจได้ยังไง ฉันไม่ใช่คนไทย”

เป็นการประชดประชันที่ทำให้กานต์เข้าใจได้อย่างชัดเจน

ออสตินกำลังบีบให้เขาต้องพูดภาษาที่สอง...

ในหัวเรียบเรียงคำและประโยคฉับพลัน

“ผมไม่คุ้นกับเธอครับ พอถูกเธอถามมากๆ ก็เลยอึดอัด”

“เลยเดินหนีเธอว่าอย่างนั้น?”

ปฏิเสธไม่ได้จึงตอบรับ “ครับ”

“มันเหมาะสมเหรอ”

ถึงตอนนี้ กานต์ก็พูดไม่ออก

ไม่...มันไม่เหมาะสมหรอก เป็นการกระทำที่เสียมารยาทเป็นอย่างมาก อีกอย่าง มันเป็นการปฏิเสธความหวังดีของออสตินด้วย ซึ่งนั่นทำให้ออสตินไม่พอใจจนอดไม่ได้ที่จะดุออกมา

“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนเสียมารยาทขนาดนี้ น่าผิดหวังนะ เธอคิดว่าที่ฉันส่งให้เธอไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่เป็นเพราะอะไรกัน”

“...”

“ก็เพื่อให้เธอได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมที่นี่ไม่ใช่เหรอ ฉันช่วยเธออย่างเต็มที่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่รู้จักคิดที่จะพัฒนาตัวเอง”

“...”

“เรื่องอนาคตของตัวเองก็ไม่รู้จักวางแผน ไม่คิดที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่ตอบรับความหวังดีของคนอื่น ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”

พูดไป สายตาคมก็จ้องมองเด็กหนุ่มที่นั่งตัวลีบไปด้วย กรอบหน้าของกานต์มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย เป็นครั้งแรกเลยที่เขาถูกพ่อเลี้ยงดุ มันรู้สึกไม่ดีเลย ถึงมันจะเหมาะสมแล้วก็เถอะ แต่ออสตินจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าแค่ตอนเวลาปกติ เขาก็ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้หวาดเกรงได้มากพออยู่แล้ว ทว่าพอเอ่ยปากดุออกมาพร้อมกับปรายตามองอย่างตำหนิ ก็ยิ่งทำให้กานต์ทำอะไรต่อไม่ถูกจนได้แต่กำมือแน่นแล้วก้มหน้านิ่ง

“เป็นอะไร”

ออสตินถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาแต่เงียบ และดูท่าทางจะปิดปากเงียบอีกนานแน่ เพราะตอนนี้กานต์เม้มปากแล้ว

“ฉันถามว่าเป็นอะไร”

คำถามที่หลุดออกจากริมฝีปากหนาอีกครั้งนั้นยังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม แต่เมื่อกานต์สบตากับดวงตาสีฟ้าคู่สวยนั่น เขาก็ต้องหวาดหวั่นในใจขึ้นมา

ออสตินไม่เคยดุเขาด้วยคำพูดเลย แต่มักจะใช้สายตาข่มขู่ ซึ่ง...มันก็ไม่ใช่สายตาดุดันเช่นกัน เป็นการมองนิ่งๆ แต่กลับมาพลังอำนาจมหาศาลที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องยอมศิโรราบ

“ว่ายังไง จะตอบคำถามฉันได้หรือยัง”

ออสตินประสานมือลงบนตัก ท่าทางนั้นคาดคั้นให้กานต์ต้องเปิดปากพูด

“ผมไม่ชอบ...”

“หืม?”

“ไม่ชอบครับ”

“ไม่ชอบอะไร”

“ไม่ชอบให้คุณดุผม”

กานต์ยอมรับออกไปตามตรงว่าสาเหตุที่เงียบคืออะไร

“แล้วทำอะไรผิดมาล่ะ”

“ผมเกเร”

“เกเรอะไรมา”

“ดื้อกับคุณ”

“ใช่ ขนาดตอนนี้ก็ยังดื้อ”

ออสตินว่า กานต์ครุ่นคิดเป็นพัลวันทันทีว่าทำอะไรผิดนอกเหนือจากการที่ดื้อไปก่อนหน้านั้น

“ฉันบอกอะไรไว้ทำไมถึงไม่รู้จักฝึกให้ชิน”

ตอนนี้เข้าใจชัดแจ้งเลยว่าออสตินหมายถึงเขาดื้อเรื่องอะไร

“ผมขอโทษครับแด๊ดดี้”

รอยยิ้มประดับพรายที่มุมปากของชายหนุ่มทันที

“ใช่ เธอต้องฝึกเรียกฉันว่าแด๊ดดี้ให้ชิน ไม่ใช่เรียกคุณอย่างนั้นอย่างนี้”

“ครับ”

“แล้วเมื่อเช้าทำอะไรผิดมา”

วกกลับเข้าเรื่องเดิมจนได้ กานต์เม้มริมฝีปากแน่นไปครู่ จากนั้นก็เปิดปากพูดก่อนที่จะถูกถามย้ำอีกครั้ง

“ผมไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับมาเรีย”

“นั่นสินะ” ออสตินครางรับ “ไม่ยอมพูด มาเรียถามก็อึกๆ อักๆ เดินหนี เป็นอย่างนี้แล้วฉันจะให้เธอไปเรียนปรับพื้นฐานก่อนมาที่นี่ทำไม”

เดาได้ไม่ยากเลยว่าแม่บ้านคนนั้นไปฟ้องพ่อเลี้ยงของเขา อันที่จริงอาจจะเป็นออสตินนี่แหละที่สั่งให้มาเรียคอยสอดส่องแล้วไปรายงาน

“ฉันไม่ได้ให้มาเรียมาทำความสะอาดบ้านอย่างเดียวหรอกนะรู้ไหม” ชายหนุ่มว่าขึ้นมาอีก “แต่ให้หล่อนมาคอยเป็นเพื่อนฝึกภาษาให้เธอก่อนที่เธอจะไปโรงเรียนด้วย เข้าใจหรือยังว่าทำไมฉันถึงได้หัวเสียที่เธอเดินหนีหล่อน”

กานต์พยักหน้า เหลือบตามองอย่างสำนึกผิด

ผู้ชายคนนั้นหวังดีกับเขา ถึงจะดุไปบ้าง ทำเขาอึดอัดเป็นบางครั้ง แต่ทุกอย่างที่ทำให้คือความหวังดีจากใจจริง กานต์จึงเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

“ขอโทษครับแด๊ดดี้”

“อืม”

“แด๊ดดี้...ไม่โกรธผมนะครับ”

สิ่งนี้คือสิ่งที่กานต์กลัวมากที่สุด เพราะถ้าออสตินโกรธแล้ว นอกจากโดนดุ อาจจะถูกทำร้ายด้วยก็ได้เพราะเขาเองก็เรียกว่ายังไม่รู้จักกับออสตินดีพอ จึงไม่รู้ว่าเวลาที่เขาโกรธขึ้นมาจะปะทุอารมณ์ออกมาแบบไหน ทว่าพอสิ้นประโยคนั้น ออสตินกลับไม่แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวอะไร นอกจากยิ้มออกมาหน่อยๆ ด้วยความเอ็นดู

“ถ้าเธอเป็นเด็กดี ฉันก็ไม่โกรธหรอก”

กานต์โล่งใจขึ้นมาในวินาทีนั้น

“แต่วันนี้เธอดื้อใช่ไหม”

“ครับ”

สลดลงไปอีกแล้ว ขณะที่ออสตินว่าเนิบๆ

“เด็กดื้อต้องถูกทำโทษ รู้ใช่ไหม”

คนฟังกลืนน้ำลาย

ทำโทษ... ทำยังไง? ทำอะไร?

ในหัวคิดวุ่นวายไปหมด แต่แล้วก็ต้องโล่งใจอีกครั้งเมื่อได้ยินออสตินพูดขึ้น

“ห้ามใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งอาทิตย์”

“แค่นี้เหรอครับ?”

“อืม ตอนแรกว่าจะกักบริเวณเธอด้วย แต่เธอไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน ฉันเลยคิดว่าวิธีนั้นคงจะไม่ได้ทำให้เธอสำนึกสักเท่าไหร่ เธอดูไม่ได้เดือดร้อยถ้าจะต้องอยู่แต่ในบ้านทั้งอาทิตย์ งดเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วกัน เธอจะได้มีเวลาปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์จริงๆ มากขึ้น”

กานต์ก็พอจะได้ยินมาอยู่บ้างว่าครอบครัวของชาวอเมริกันไม่นิยมตีลูกหลานเป็นการลงโทษหรือสั่งสอนเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับกฎหมายการทารุณกรรมเด็ก ดังนั้นวิธีการทำโทษจึงเป็นไปในลักษณะของการจำกัดอิสระแทน

“อย่าให้จับได้ว่าแอบเล่นเชียว”

ออสตินว่าสั้นๆ แค่นี้ก็ทำให้กานต์พยักหน้าหงึกหงักแล้ว

“ผมไม่เล่นครับ สาบาน”

ออสตินพยักหน้ารับเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าเสื้อสูทที่วางพาดอยู่บนพนักขึ้นมาถือ

“ไปกินมื้อเย็นกัน มาเรียทำอาหารเตรียมไว้ให้แล้ว”

พูดจบก็ก้าวเข้ามาใกล้กับลูกเลี้ยง กานต์อยากจะเอาใจให้อีกฝ่ายหายหัวเสียเรื่องเขาเลยรีบยื่นมือไปคว้าเสื้อสูทเอาไว้ พอออสตินหันไปมอง ก็ว่าออกมา

“ผมเอาไปเก็บให้ครับ”

ออสตินมองอย่างชั่งใจ

“จะเอาใจฉันชดเชยความผิดเหรอ”

ถูกจับได้ กานต์ก็มีท่าทีอึกๆ อักๆ ขึ้นมา

“คือ...”

“ไม่ได้ผลหรอกนะ ความผิดก็ส่วนความผิด ไม่ได้ทำให้ฉันลดโทษเธอได้หรอก” ชายหนุ่มว่า “แต่ถ้าอยากจะเอาไปเก็บให้ก็ตามใจ เอาไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องฉัน พรุ่งนี้ฉันจะใส่มันอีก”

กานต์พยักหน้ารับ มือรับเอาเสื้อสูทมาแล้วก้าวไวๆ ขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยให้คนเป็นพ่อเลี้ยงมองตามหลังครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปในครัว

เด็กหนุ่มเข้ามาในห้องนอนของออสตินแล้ว เห็นสภาพห้องนอนแล้วก็ได้แต่ครางออกมา

“เนี้ยบมาก...”

ทุกส่วนถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกชัดเจนถึงลักษณะนิสัยโดดเด่นของออสติน แต่กานต์ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ พอจะรู้อยู่แล้วว่าพ่อเลี้ยงเขาเป็นคนแบบนี้

ขาก้าวไปหยุดยังตู้เสื้อผ้า เปิดประตูแล้วตั้งใจว่าจะเอาเสื้อสูทแขวนเข้ากับไม้แขวนเก็บให้ ทว่าในจังหวะที่จัดเสื้อสูทให้เข้าที่ กลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยมาเตะจมูกเขาเข้าอย่างจัง

มันเป็นกลิ่นน้ำหอม...

กลิ่นหอมแบบนุ่มนวล จะว่าเป็นกลิ่นดอกไม้ก็ไม่แน่ใจนัก เพราะในกลิ่นนุ่มนวลนั้นก็มีกลิ่นของไม้แห้งอบอวลอยู่ด้วย แต่จะเป็นกลิ่นของส่วนประกอบใดบ้าง กานต์ก็ไม่สนใจแล้ว เขารู้แต่เพียงอย่างเดียวว่ามันหอมเสียจนอดไม่ได้ที่จะเอาเสื้อสูทตัวนั้นขึ้นมาสูดดม

เปลือกตาหลับพริ้ม...

หอมมาก...

ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

...เขาชอบกลิ่นนี้

กลิ่นของ ออสติน สเวน...

-------------------------

หน่องกานต์เริ่มแหล่วเด้อ เริ่มออกอาการหื่นแบบใสๆ 555

เรื่องนี้เขียนแล้วฮีลลิ่งมากจริงๆ ค่ะ ชอบคุณสเวนเป็นการส่วนตัว เป็นผู้ชายที่แด๊ดดี้มากๆ #ปาดน้ำลาย

ฝากฟีดแบ็กกันด้วยนะคะ จะพยายามมาอัปให้ได้วันละตอนนะ

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 3:Naughty child [19-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: milin03 ที่ 19-02-2018 22:21:12
Thanks!!! :กอด1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 3:Naughty child [19-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-02-2018 02:17:33
กานต์เริ่มหลงแดดดี้แล้ว แล้วอีกคนล่ะหลงลูกชายหรือยังเอย :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 3:Naughty child [19-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 20-02-2018 23:30:48
Chapter 4: Favorite smell

พ่อเลี้ยงของกานต์...ไม่ใช่คนดุ แต่เป็นคนระเบียบจัด เขาไม่ชอบอะไรที่ไม่เป็นแบบแผน ไม่ชอบอะไรที่นอกกฎเกณฑ์ที่เขาวางไว้ และที่สำคัญ...ไม่ชอบเด็กดื้อ

เรื่องนี้กานต์ท่องจำขึ้นใจแล้ว ถึงจะไม่ได้โดนดุ แต่ก็ใช่ว่าอยากจะถูกดวงตาคู่สวยของออสตินจับจ้องอย่างจับผิดเท่าไหร่หรอก หลังจากที่โดนดุไปวันนั้น วันรุ่งขึ้นมาเรียก็ถูกสั่งให้มาดูแลเขาระหว่างที่พ่อเลี้ยงไม่อยู่อีกครั้ง คราวนี้กานต์ข่มความเกร็ง ไม่หนีไม่หลบ ยอมพูดคุยกับมาเรียตลอดทั้งวัน จนกระทั่งความขัดเขินระหว่างคนแปลกหน้าค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย ความจริงแล้ว แม่บ้านคนนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะน่ารักเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ทำให้เด็กหนุ่มกำพร้าอย่างเขารู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีออสตินเป็นพ่อเลี้ยง

เหตุผลน่ะเหรอ?

เพราะออสตินเป็นคนใจกว้าง...

มาเรียพร่ำชมชายหนุ่มไม่หยุดว่าถึงจะเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความลึกลับจนให้บรรยากาศเข้าถึงได้ยาก ทว่าตัวตนที่แท้จริงของเขากลับเมตตาใจดี เขาเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิเกี่ยวกับเด็กและสตรี มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษาให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาสในอเมริกามากมายหลายร้อยโครงการด้วยซ้ำ

ไม่ใช่แค่ใจกว้างแล้ว ยังใจดีอีกด้วย

กานต์เสริมในใจ จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับตัวออสตินโดยการเล่าเรื่องผ่านมาเรียตลอดทั้งวัน ข้อมูลใหม่เท่าที่กานต์รู้ในวันนี้นอกจากเรื่องข้างต้นก็คือ...ออสตินอายุสามสิบห้า ไม่เคยแต่งงานมาก่อน ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว เป็นหนุ่มโสดตัวคนเดียว ครอบครัวเก่าก็ไม่มี พอคิดจะสร้างครอบครัวกับผู้หญิงสักคนขึ้นมาบ้าง ผู้หญิงคนนั้นก็มาด่วนจากไปทั้งที่แต่งงานกันได้ไม่กี่เดือน

ซึ่งนั่นก็คือแม่ของเขานั่นเอง...

เด็กหนุ่มเสียดายอยู่สักหน่อยที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว ถ้ามีแม่อยู่ด้วยในตอนนี้ ครอบครัวของเขาจะสมบูรณ์แค่ไหน กานต์ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย แต่ถึงจะไม่มีแม่อยู่แล้ว เขาก็ยังชอบออสตินอยู่ดี และความนิยมชมชอบก็ทวีมากขึ้นด้วยเมื่อมาเรียว่า...

“ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะรับเธอมาอุปการะ มีแต่คนรอบข้างคัดค้าน แต่เขาไม่ฟังใครเลย พูดอยู่ประโยคเดียวว่าจะต้องรักษาสัญญา จากนั้นก็ไปรับเธอมาอย่างที่เห็น”

ถ้าฝรั่งรู้ว่าการกราบเบญจางคประดิษฐ์คืออะไร กานต์คงจะไม่รีรอที่จะทำอย่างนั้นกับออสติน แต่สำหรับชาวตะวันตก แค่ขอบคุณกับทำตัวเป็นเด็กดีอย่างสม่ำเสมอให้ออสตินสบายใจก็คงจะเป็นการขอบคุณที่เพียงพอแล้ว

“คุยอะไรกันอยู่ ดูท่าทางสนุกเชียว”

คุยกับมาเรียต่อได้อีกไม่นานเท่าไหร่ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นหลังจากที่เสียงประตูบ้านถูกเปิดดังมาให้ได้ยินก่อนหน้า

สายตาของเด็กหนุ่มและแม่บ้านหันไปมองยังผู้มาใหม่ที่เดินเข้าบ้านมาในสภาพที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด ก่อนที่มาเรียจะยิ้มรับ

“กำลังคุยเรื่องของคุณค่ะ”

“เรื่องของฉัน?”

“ฉันเล่าให้คาร์ลฟังว่าคุณเป็นคนดีแค่ไหน”

คาร์ล...กลายเป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียกกานต์ ด้วยชื่อนี้มันออกเสียงคล้ายกับชื่อภาษาไทย ออสตินเลยตัดสินใจให้เขาใช้ชื่อนี้เป็นชื่อใหม่ ขณะที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเรียกเด็กหนุ่มด้วยชื่อภาษาไทย

“งั้นเหรอ... แต่ฉันกลับมาแล้ว พวกเธอคงหมดเวลาที่จะนินทาฉันต่อแล้วมั้ง”

ออสตินว่าทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากกานต์อยู่คนเดียวคงจะทำหน้าไม่ถูกด้วยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดเล่นหรือจริงจัง ขณะที่มาเรียซึ่งทำงานกับชายหนุ่มมานานรับรู้ได้ ก่อนที่เธอจะหัวเราะร่วน

“ไม่ได้นินทาคุณสักหน่อย เล่าถึงความดีของคุณต่างหาก”

ออสตินยิ้มบางๆ

“งั้นก็เก็บเอาไว้เล่าวันอื่นบ้าง หมดเวลางานแล้ว กลับได้เลยมาเรีย”

ออสตินไม่ได้ไล่ เขาแค่เตือน อันที่จริงมาเรียยังอยากอยู่ต่อเพราะการพูดคุยกับกานต์ก็สนุกดีไม่น้อย แต่ออสตินนั้นเป็นเจ้านายที่เข้มงวดเรื่องเวลา ทั้งเวลาเข้างานและออกงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ตรงเป๊ะๆ ห้ามขาดห้ามเกิน

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณสเวน เจอกันใหม่จ้ะคาร์ล”

โบกมือลาพ่อลูกคนละสายเลือดเรียบร้อยก็ผลุบหายออกไปจากบ้าน เสียงประตูปิดดังขึ้น ออสตินเดินตรงไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาเพื่อพักเหนื่อยจากการขับรถ ขณะที่กานต์นึกอยากจะเอาใจพ่อเลี้ยงขึ้นมา จึงเดินตามไปหยุดตรงหน้า พอออสตินเหลือบมอง อีกฝ่ายก็เปิดปาก

“เหนื่อยไหมครับ”

“เธอจะเอาอะไร”

“ครับ?”

“ฉันถามว่าอยากได้อะไรถึงได้ถาม”

หัวสมองของกานต์ประมวลผลทันที เข้าใจได้ว่าออสตินหมายความว่าอะไร

“ผมไม่ได้ถามแด๊ดดี้เพราะอยากได้อะไรนะครับ”

“ฉันก็คิดว่าประจบเพราะอยากได้อะไร” ออสตินหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าง้ำ ก่อนจะเสริมขึ้นมา “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น บางทีฉันก็อยากจะหยอกเธอเล่น แต่มุกของฉันอาจจะไม่ตลกสำหรับเธอ”

ใช่...ไม่ตลกเลย ไม่ตลกสักนิด

กานต์ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะว่าพึมพำ

“ผมแค่อยากจะดูแลแด๊ดดี้เป็นการตอบแทนที่ใจดีกับผมเฉยๆ ไม่ได้อยากจะประจบประแจงอะไรหรอกครับ”

คนฟังพยักหน้า เข้าใจที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ พลันยกขาขึ้นไขว่ห้าง แขนข้างหนึ่งวางราบไปกับพนักโซฟา ปรายตามองพลางถาม

“แล้วเธออยากจะดูฉันด้วยวิธีไหนดีล่ะ”

นั่นสิ ดูแลด้วยวิธีไหนดี จะบอกว่าทำงานบ้านก็ไม่ได้ เพราะบ้านนี้มีมาเรียมาดูแลทุกวัน

ถ้าอย่างนั้น...

“ให้ผมเอาเสื้อสูทไปเก็บให้ไหมครับ”

...วิธีเดิมก็แล้วกัน ได้ดูแลนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี

“ก็เอาสิ” ออสตินไม่ปฏิเสธ ขยับตัวมาถอดเสื้อสูทออกแล้วส่งให้กับลูกเลี้ยง “แต่ครั้งนี้ไม่ต้องเอาไปแขวนในตู้นะ เอาไปใส่ตะกร้าที่ห้องน้ำไว้ ฉันจะให้มาเรียส่งไปร้านซักพรุ่งนี้”

กานต์พยักหน้า ถือเสื้อสูทเตรียมจะเอาไว้พับใส่ไว้ในตะกร้าที่หน้าห้องน้ำข้างๆ ครัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ออสตินก็ร้องเรียกไว้ พอหันไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

“อันนั้นไม่ต้องซัก แต่อันนี้ต้องซัก เอาไปใส่เครื่องซักผ้า ปั่นแล้วอบให้แห้งด้วย”

ว่าพลางถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากตัวโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบรับ กานต์ถึงกับเบิกตาโตเมื่อเห็นแผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่าย เขารู้ว่าไม่สมควรจะมองจ้อง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจไล่อย่างลืมตัว

ผิวสีบ่มแดดจนออกสีน้ำตาลและไรขนอ่อนๆ ที่ขึ้นประปรายบริเวณหน้าอกทำให้กานต์ต้องลอบกลืนน้ำลาย จากนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อออสตินก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งเสื้อเชิ้ตให้

“ไปจัดการซะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปอาบน้ำ ลงมาแล้วค่อยกินมื้อเย็นกัน”

จังหวะนี้เองที่กลิ่นหอมจากน้ำหอมซึ่งออสตินใช้ประจำลอยเข้ามาใสโสตสัมผัส

มันยังคง...หอม

หอมเย้ายวนเสียจนปลุกความฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่มวัยรุ่นให้เตลิดเปิดเปิง

“มัวยืนมองอะไรอยู่ ไปสิ”

ได้สติกลับคืนมาในคราวนี้ กานต์พยักหน้ารับเร็วๆ

“คะ...ครับ”

สองขารีบก้าวไปโดยไว ออสตินมองตามหลังเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ปลีกตัวขึ้นไปบนบ้านเพื่อทำธุระส่วนตัวของตัวเอง

 

กานต์ยืนอยู่หน้าเครื่องซักผ้า ศึกษาวิธีใช้ด้วยการอ่านปุ่มสวิตซ์ต่างๆ อยู่พักใหญ่ กดมั่วบ้างไม่มั่วบ้าง แต่สุดท้ายก็ใช้งานมันได้ เขาหยิบเสื้อผ้าทำงานของออสตินใส่ลงไปในเครื่องทีละตัว ก่อนจะต้องนิ่งงันไปเมื่อมือคว้าเอาเสื้อเชิ้ตที่ออสตินถอดส่งมาให้มาถือไว้ในมือ

ถึงตอนนี้...กลิ่นหอมนั่นก็ยังติดอยู่เลย

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นของไม้แห้งที่ให้อารมณ์ผู้ชายแข็งกระด้างแต่เรียบง่าย กานต์ชอบกลิ่นนี้ มันทำให้หัวของเขารู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่มีเหตุผลหรอกว่าทำไมถึงชอบ ที่รู้ๆ เขาอยากจะได้กลิ่นมันชัดๆ อีกครั้ง

มือยกเสื้อเชิ้ตตัวนั้นขึ้นจรดปลายจมูก สูดลมหายใจเข้าปอด กลิ่นสารสกัดดอกไม้สารพัดอบอวลอยู่ในโพรงจมูก เย้ายวนให้เด็กหนุ่มเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นนั้นจนลืมไปสิ้นว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร

กลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น...

กลิ่นหอมยั่วยวน...

กลิ่นของความนิ่งขรึม ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอ่อนโยน...

“ทำอะไร”

เสียงทุ้มทำให้กานต์สะดุ้งสุดตัว หลุดออกจากภวังค์ รีบลดมือลงทันใดก่อนจะหันไปเห็นเจ้าของเสียง เท่านั้นก็พลันก็หน้าซีดเผือดไปหมด

“มะ...ไม่ได้ทำอะไรครับ”

“เหรอ” ออสตินครางรับอย่างไม่เชื่อ เมื่อครู่นี้เขาเห็นอยู่เต็มๆ สองตาว่าเจ้าลูกเลี้ยงของเขาทำอะไร ก่อนจะเอนตัวพิงกับขอบประตู กอดอกว่าอย่างจับผิด “แต่เมื่อกี้ฉันเห็นเธอดมเสื้อของฉัน”

ได้ยินแค่นั้น คนถูกจับได้ก็เหงื่อแตกซิก คิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ตัวอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาแบบนั้น

“ดมทำไม”

เห็นว่ากานต์ไม่พูด ออสตินก็ถามออกมาอีก ขณะที่กานต์แสดงอาการลอกแลกออกมาอย่างไม่ปกปิด

จะให้เขาบอกได้ยังไงว่ากลิ่นที่ติดอยู่บนเสื้อของออสตินน่ะมันยั่วยวนใจจนทำให้เขาอดใจไม่ไหวขนาดนั้น

“ว่าไง มาแอบดมเสื้อของฉันทำไม”

คำถามคาดคั้นมาอีกแล้ว

“คือผม...”

กานต์หมดสิ้นคำแก้ตัว ก่อนจะสารภาพออกไปอย่างจำนน “ผมชอบกลิ่นของแด๊ดดี้ครับ”

“กลิ่นของฉัน?”

สีหน้าของออสตินมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่แปะหรา ขณะที่เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ

“ใช่ครับ”

“เธอหมายถึงกลิ่นน้ำหอมใช่ไหม”

กานต์พยักหน้ารับไปอีกที คราวนี้ออสตินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

“แล้วทำไมไม่บอกว่าชอบกลิ่นน้ำหอมนี้ มาแอบยืนดมเสื้อฉันอย่างนั้น ไม่รู้สึกว่าแปลกๆ บ้างหรือไง”

แปลกสิ แปลกมากด้วย เขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะมายืนดมเสื้อของพ่อเลี้ยงเพราะทนต่อแรงต้านทานของกลิ่นหอมยวนใจไม่ไหวแบบนี้

“มาสิ ไปที่ห้องฉัน”

กานต์ถึงกับเบิกตาโพลง

จู่ๆ ก็ชวนไปที่ห้อง หรือว่า...!?

“ฉันจะได้เอาน้ำหอมให้เธอ”

โธ่...

ไม่รู้ว่ากานต์ควรจะโล่งใจหรือเสียดายดี แต่เขาก็พยักหน้ารับ

“ครับ”

จากนั้นก็บอกตัวเองว่าไม่ควรคิดอะไรไปไกลขนาดนั้น เพราะคนตรงหน้าเขาคือผู้มีพระคุณ และมีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยง แต่จิตใต้สำนึกที่พร่างพรายขึ้นมาชั่วครู่ของเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ กานต์ไม่เคยชื่นชมผู้ชายคนไหนมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลย ทว่าการชื่นชมของเขาก็ทำให้สับสนอยู่ไม่น้อย

มันเป็นความชื่นชมหรืออะไรกันแน่... เพราะมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเทิดทูนคนตรงหน้าอย่างเดียวเท่านั้น มันกลับทำให้เลือดในกายของเด็กวัยรุ่นอย่างเขาร้อนรุ่มอย่างไม่รู้สาเหตุไปด้วย

พอดึงสติตัวเองกลับมาได้ กานต์ก็อยากจะตบหน้าตัวเองนัก

กล้าคิดอย่างนั้นไปได้ยังไงกัน! อีกอย่างนะ พ่อเลี้ยงคงจะไม่คิดอะไรกับลูกเลี้ยงหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกเลี้ยงเป็นผู้ชาย...

 

กานต์เดินตามออสตินขึ้นไปชั้นสอง ก้าวเข้าห้องนอนของเขาเมื่อเจ้าของห้องเชื้อเชิญ

“นั่งสิ”

เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง สายตาจับจองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ก่อนที่จะหยิบน้ำหอมออกมาสองสามขวด

“กลิ่นที่เธอชอบ หมายถึงกลิ่นที่ฉันฉีดไปวันนี้ใช่ไหม”

กานต์พยักหน้า “แล้วก็กลิ่นที่คุณใช้เมื่อวานด้วยครับ”

ออสตินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็นึกออก

“อืม กลิ่นเดียวกัน”

วางขวดน้ำหอมที่ไม่ใช่กลับคืนที่เดิม ถือเพียงขวดที่ใช่ออกมาเพียงขวดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็มาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับเด็กหนุ่ม

“กลิ่น ODIN OO AURIEL ของแบรนด์ ODIN เป็นกลิ่นที่ให้อารมณ์สัมผัสของวัฒนธรรมชาวตะวันออกกลางและเอเชีย มีกลิ่นที่มาจากสารสกัดของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ กุหลาบและมะลิ บังเอิญฉันได้เชิญไปงานเปิดตัว ก็เลยได้กลับมาเป็นของขวัญชุดใหญ่ ฉันให้เธอขวดนึง มีที่ยังไม่ได้เปิดใช้อยู่ในตู้”

จากนั้นก็ทำท่าจะลุกไป ทว่ากานต์กลับโพล่งขึ้นมาก่อน

“เอาขวดนี้ก็ได้ครับ”

ออสตินเลิกคิ้วสูง “แต่ขวดนี้ ฉันใช้ไปแล้วนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมคงไม่ได้ใช้อะไรมาก แค่ชอบกลิ่นมันเฉยๆ ไม่ได้คิดจะใช้”

คำพูดนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะว่าสวนขึ้นมา

“น้ำหอมถ้าไม่ได้ใช้ก็ไม่เรียกว่าน้ำหอมสิ ส่งมือมา” พลันออกคำสั่ง

กานต์มองใบหน้าคร้ามอย่างชั่งใจ แต่แล้วก็ยอมยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตรงหน้าโดยดี ออสตินคว้าข้อมืออีกฝ่าย ก่อนที่จะฉีดน้ำหอมลงบนข้อมือ ครู่หนึ่งก็ยกขึ้นจรดที่ปลายจมูก สูดดมกลิ่นหอมนั่น

ลมหายใจอุ่นร้อนจากจมูกโด่งเป็นสันระเรื่อยไปตามผิวเนื้อของเด็กหนุ่ม กานต์แทบจะหยุดหายใจ ยิ่งสายตาเหลือบมองสำรวจที่มือใหญ่ของออสตินซึ่งจับข้อมือเขาอยู่ กานต์ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะควบคุมสติของตัวเองให้ปกติ

มือข้างนั้น...เต็มไปด้วยแนวเส้นเลือดที่ดันผิวหนังขึ้นมา สิ่งนั้นขับให้เสน่ห์ความเป็นบุรุษเพศของออสตินกำจายไปทั่ว ยิ่งมอง กานต์ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของชายหนุ่มตรงหน้า พลันก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อมีความรู้สึกประหลาดแวบขึ้นมาในหัว

อยากจะกัดแขนนั่นจัง...

“กลิ่นนี้เข้ากับเธอดี”

ก้อนเนื้อในอกของกานต์เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้ม ความรู้สึกอยากกัดนั่นไม่จางหายไปไหน แต่ก็คืนสติกลับมาได้อยู่บ้าง

“เธอไม่ชอบเหรอ?” ออสตินถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มข้างหน้าเอาแต่เงียบ

กานต์สบดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่จ้องมองเขานิ่งอย่างคาดคั้น ก่อนจะเผยอริมฝีปากตอบ

“ชอบครับ”

รู้สึกว่าทั้งริมฝีปากและลำคอของเขาแห้งผากไปหมดเพราะเอาแต่กลืนน้ำลายทุกครั้งที่มองออสติน ขณะที่คนถามไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของเด็กหนุ่มเลย ถามออกมาอีกครั้ง

“แต่เธอทำท่าทางเหมือนไม่ชอบ”

“คือผม...”

“ความจริงมันก็เป็นกลิ่นเดียวกับฉันนั่นแหละ เพียงแต่เวลาที่น้ำหอมสัมผัสกับผิวหนังหรือเหงื่อ กลิ่นมันก็จะเพี้ยนไปบ้างตามแต่กลิ่นกายของแต่ละคน”

พูดไป ออสติสก็คลายฝ่ามือออกจากข้อมือของคนตรงหน้า ฉีดน้ำหอมใส่ข้อมือตัวเองบ้าง รอสักครู่แล้วก็ยื่นออกไปตรงหน้า

“กลิ่นอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่มันก็คือกลิ่นเดียวกัน”

กานต์มองข้อมือของออสตินนิ่งสลับกับใบหน้าของเจ้าของด้วยความไม่เข้าใจ

“ดมสิ”

ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าออสตินยื่นแขนมาข้างหน้าทำไม ก่อนที่เด็กหนุ่มจะใช้สองมือประคองมือใหญ่ข้างนั้นขึ้นไปจรดที่ปลายจมูก

กลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจทำให้สติของเขาฟุ้งซ่านอีกครั้ง ความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจบางอย่างพลุ่งพล่าน เขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะอ้าปากกัดท่อนแขนแน่นๆ นั้น สะกดความต้องการของตัวเองจนขบกรามเสียปวดไปหมด สิ่งที่ทำได้คือการไล้ปลายจมูกไปตามผิวเนื้อของออสติน

ตอนนี้กานต์เข้าใจได้แล้วว่ากลิ่นหอมที่ยั่วยวนเขาให้เผลอเคลิบเคลิ้มไป มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอมยี่ห้อนี้หรอก แต่มันเป็นกลิ่นของผู้ชายตรงหน้า

เป็นกลิ่นของออสติน สเวน...

หอม...

กลิ่นของแด๊ดดี้หอม...

“กลิ่นเหมือนกันใช่ไหม”

สติถูกกระชากกลับมาอีกครั้งจนได้ กานต์สะดุ้งโหยง รีบปล่อยมือจากอีกฝ่ายทันที

“คะ...ครับ”

พอคิดได้ว่าเมื่อครู่เผลอทำอะไรลงไป ในใจก็ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่าขออย่าให้ออสตินจับได้ว่าเขาคิดอะไรไปไกลกับพ่อเลี้ยงคนนี้

สวรรค์คงเห็นใจเด็กหนุ่มไม่ประสาต่อโลกอย่างเขาอยู่ไม่น้อย ออสตินถึงได้พูดขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้นฉันยกให้เธอขวดนึง ถือซะว่าเป็นของขวัญต้อนรับเธอแล้วกัน”

กานต์รับขวดน้ำหอมมาถือ เขาก้มหน้ามองขวดแก้วในมือที่บรรจุของเหลวเกือบเต็มพลางเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่ออสตินถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ชอบไหม”

“ชอบครับ”

“ชอบก็ดี กลิ่นโปรดของฉันเลย หวังว่ามันจะเป็นกลิ่นโปรดของเธอเหมือนกัน”

ใช่...ต่อจากนี้มันจะเป็นกลิ่นโปรดของเขา

กลิ่นของแด๊ดดี้...

จะเป็นน้ำหอมกลิ่นโปรดของเขาตั้งแต่วันนี้...

------------------------------

วันนี้มาดึกนิดนึงค่ะ พรุ่งนี้มาต่อตอนใหม่ให้นะ

แต่ลงตอนนี้แล้วก็คงจะรู้ละเนอะว่าใครหลงใครก่อน นุ้งกานต์เด็กใจแตกกก 555

สมควรใจแตกค่ะ แด๊ดดี้เซ็กซี่ขนาดนี้ ทนไหวก็ไปบวชเถอะลูก ฮา

ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ ^^

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 4:Favorite smell [20-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-02-2018 03:33:06
คงจะโดนเขาจับได้เร็วๆนี้แน่ว่าชอบเขา
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 4:Favorite smell [20-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-02-2018 03:48:18
หลงกลิ่นพ่อเลี้ยงเต็ม ๆ เลยนะกานต์  :m17:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 4:Favorite smell [20-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-02-2018 18:57:08
 

Chapter 5: Lust

ถ้าความร่าเริงสดใสเป็นเสน่ห์ของเด็กหนุ่มวัยรุ่น ความลึกลับน่าค้นหาก็คงจะเป็นเสน่ห์ของชายหนุ่มวัยกลัดมัน หากจะต้องตอบว่าอย่างไหนที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่ากัน สำหรับกานต์แล้ว เขาคงจะเลือกตอบอย่างที่สองโดยไม่ลังเล

ก็ดูพ่อเลี้ยงของเขาสิ... แม้แต่ผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับออสติน กานต์ก็พูดได้เต็มปากเลยว่ายังไม่เคยเห็นใครมีเสน่ห์เท่ากับผู้ชายคนนี้เลยสักครั้งเดียว

และเพราะความที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างเหลือล้น ประกอบกับการได้ใกล้ชิดทั้งทางประสาทการรับกลิ่นและการจับต้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ทำให้กานต์ไม่อาจละความสนใจไปจากออสตินได้เลย นับตั้งแต่คืนนั้น สายตาของเด็กหนุ่มก็ลอบมองออสตินทุกครั้งที่มีโอกาส สำรวจร่างกายของอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกาย ออสตินก็ไม่มีจุดบกพร่องเลยสักนิด แม้กระทั่งรอยย่นบนหน้าผากหรือหางตาที่ปรากฏให้เห็นตามอายุวัย กานต์ก็ไม่คิดว่ามันเป็นตำหนิที่น่าเสียดายสักนิด คิดไปว่ามันเป็นหนึ่งในเสน่ห์ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

หรือจะเป็นเพราะตกบ่วงของความเสน่หาไปแล้วถึงได้เห็นอีกฝ่ายดีงามไปทุกกระเบียดนิ้ว?

คงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้กานต์ก็ยังชื่นชมออสตินในฐานะแบบอย่างที่ดี เทิดทูนในฐานะพ่อเลี้ยง เพียงแต่มีอีกความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมา

หลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น...

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากเมื่อทอดสายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่กำลังถอดเสื้อสูทส่งให้เขาหลังจากที่เดินเข้าบ้านมาการนำเสื้อสูทไปเก็บให้ออสตินกลายเป็นหน้าที่ของกานต์ไปแล้ว ซึ่งเขาก็ยินดีที่จะรับหน้าที่นี้ด้วย เพราะเขาจะได้มีโอกาสลอบสูดดมกลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดของเขาที่มีชื่อว่าออสติน สเวน

“มาเรียได้ทำมื้อเย็นทิ้งไว้ให้ไหม”

ออสตินถามขณะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา

“ทำไว้ครับ”

“อืม ดีแล้ว เพราะถ้าไม่ทำ ฉันอาจจะต้องสั่งพิซซ่ามาเป็นมื้อเย็น”

คนฟังเลิกคิ้วสูง เขาจำได้ดีกว่าเมื่อหลายวันก่อน ออสตินเพิ่งจะบอกกับเขาไปเองว่าหากหลีกเลี่ยงการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดได้ก็ควรเลี่ยง ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าจะเห็นเขาลงมือเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารเองบ่อยๆ

“ทำไมล่ะครับ”

เพราะสงสัยถึงได้ถาม ออสตินเอนหลังพิงพนักโซฟา ยกมือขึ้นคลึงที่ผิวหนังระหว่างคิ้วพลางหลับตาพริ้ม

“วันนี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อย”

ดูจากท่าทางแล้วคงไม่น่าจะนิดหน่อย กานต์ไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทางเหนื่อยล้าอย่างนี้ออกมาให้เห็นเลย

“ประชุมวันนี้ทำฉันประสาทเสีย” ออสตินว่าออกมาอีก ทำให้ลูกเลี้ยงเลิกคิ้วสูง “ตั้งแต่เช้าจนเย็น ไมเกรนกินหัวฉันไปข้างแล้ว”

“ไปหาหมอดีไหมครับ”

ได้ยินอย่างนั้น กานต์ก็เป็นห่วงขึ้นมา ชายหนุ่มหยุดมือที่คลึงหน้าผากตนเอง เปิดเปลือกตามอง

“ไม่เป็นไร กินยาก่อนกลับมาแล้ว อีกสักพักก็คงหาย”

“ครับ”

“แต่เรื่องเจ็บคอนี่คงจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันควัน “แด๊ดดี้เป็นหวัดเหรอครับ”

ความเป็นห่วงพร่างพราย เขาไม่อยากให้ผู้ปกครองของเขาต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แต่แล้วก็ต้องโล่งอกเมื่อออสตินตอบ

“ใช้เสียงเยอะไปหน่อย มีเรื่องให้ต้องดีเบตกับพวกบอร์ดบริหาร”

คนฟังร้องอ๋อ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เขาคงจะต้องดูแลบริการออสตินเป็นอย่างดีให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายเสียแล้ว

“งั้นเดี๋ยวผมเอาเสื้อสูทไปเก็บแล้วจะรีบลงมาอุ่นมื้อเย็นให้นะครับ”

พูดจบก็รีบก้าวขึ้นไปยังชั้นสองทันที ปล่อยให้ออสตินนั่งรออยู่ชั้นล่าง ไม่นานนัก กานต์ก็กลับลงมาอีกครั้ง มุ่งหน้าเข้าครัว นำอาหารที่มาเรียทำทิ้งไว้ให้ไปอุ่นในไมโครเวฟ จัดโต๊ะให้พร้อมรับประทาน เมื่อเสร็จสิ้นก็รีบก้าวออกมาเพื่อเรียกให้อีกฝ่ายไปกิน

“แด๊ดดี้ครับ ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้ว”

“อืม”

“จะทานเลยไหมครับ”

“สักแป๊บนะ ฉันขอพักอีกหน่อย”

ท่าทางของออสตินในวันนี้ดูเหนื่อยล้ามากจริงๆ เพราะทันทีที่พูดจบ เขาก็แหงนหน้าขึ้นพลันหลับตาลง หายใจยาวออกมาเต็มแรง ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ไม่กล้าจะเอ่ยเสียงใดๆ ออกมารบกวน

คงจะต้องปล่อยให้พักก่อน...

กานต์คิดอย่างนั้น ใจคิดจะไปเปิดน้ำร้อนใส่อ่างเตรียมให้อีกฝ่ายแช่ คิดเอาเองว่าหากได้แช่น้ำอุ่น ความเหนื่อยล้าก็น่าจะทุเลาลงไปบ้าง

ทว่า...ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน กานต์ก็ต้องนิ่งงันราวกับสัตว์ที่ถูกสตัฟฟ์เมื่อออสตินส่งเสียงกระแอมไอออกมา

หากเป็นการส่งเสียงกระแอมไอแล้วจบไป เด็กหนุ่มก็คงจะไม่สะดุดใจอะไร ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้มือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองสามเม็ดจนแผงอกเผยออกมาให้เห็น ก่อนที่จะใช้มือข้างหนึ่งลูบลากไปยังลำคอ

ท่าทางนั้น...ทำให้กานต์ต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ภายในห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสบายตา บัดนี้กลับไม่สบายอย่างที่เจ้าของบ้านอยากให้เป็นเมื่อกลิ่นของความน่าหลงใหลที่ลอยออกมาจากร่างของออสตินอบอวลอยู่ภายในห้องเสียจนทำใครอีกคนหายใจแทบไม่ออก

กานต์หายใจติดขัด ความร้อนรุ่มบางอย่างแล่นพล่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เขารู้ว่าการยืนมองอยู่อย่างนี้ไม่เป็นการดีกับเขาอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจละสายตาไปได้

ดวงตาจับจ้องยังลำคอแกร่งของออสติน เส้นเลือดที่ดุนดันอยู่ใต้ผิวหนังทำให้กานต์ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ยิ่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบตั้งแต่ปลายคางลากไล่ผ่านลูกกระเดือก กระทั่งลงมายังแนวไหปลาร้า ก็ยิ่งทำให้กานต์หายใจไม่คล่อง

ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้มีอะไรบางอย่างที่กระตุ้นให้ความปรารถนาตามสัญชาตญาณมนุษย์ในกายของเด็กหนุ่มทำงานอย่างหนักหน่วง

มันเป็นแรงขับทางเพศ...

กานต์รู้สิ่งนั้นดี เขาเองก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่ประสาอะไรขนาดนั้น ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขาก็ค่อยๆ เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง จึงไม่มีทางที่จะไม่รู้เลยว่าความรู้สึกที่ก่อเกิดในตัวเขาเวลานี้มันคืออะไร

ร่างกายค่อยๆ ร้อนรุ่มขึ้นมาทีละน้อยจนแทบจะระเบิด อันที่จริงเขาควรจะรีบกำจัดความรู้สึกนั้นออกไปด้วยการไม่มองภาพของผู้ชายตรงหน้า ทว่าออสตินไม่ใช่ผู้ชายที่จะละสายตาได้ง่ายๆ ยิ่งมองก็ยิ่งลุ่มหลง มองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เหลือร้าย...

สายตาไล่มองไปตามฝ่ามือหนาของออสตินที่ลูบคลำลำคอ ก่อนที่กานต์จะรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียง

“ชงน้ำผึ้งใส่มะนาวให้ฉันสักแก้วได้ไหม”

ตอนนี้ออสตินลืมตาขึ้นมาแล้ว พลางมองจ้องมายังลูกเลี้ยงนิ่ง

“อะ...”

“ฉันถามว่าชงให้ฉันได้ไหม”

พอถูกอีกฝ่ายถามอีกครั้ง กานต์ก็รีบพยักหน้ารับ

“ดะ...ได้ครับ”

พลันก้าวไวๆ ออกไปจากบริเวณนั้นด้วยใจที่เต้นระส่ำ ขณะที่ตรงเข้าไปในครัว เขาก็พยายามควบคุมอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านของตัวเองอย่างสุดความสามารถไปพร้อมๆ กัน หากแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะพอหยิบจับอุปกรณ์สำหรับชงน้ำผึ้งมะนาว การกระทำของเขาก็เป็นไปอย่างลุกลี้ลุกลนจนข้าวของหล่นหลุดมือไปหมด

เพล้ง!

“ฉิบ...”

เด็กหนุ่มสบถเมื่อทำแก้วมัคที่หยิบมาจากชั้นวางหล่นแตกบนพื้น เขาทิ้งตัวลงนั่งยอง ตั้งใจว่าจะเก็บเศษแก้วไปทิ้ง แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าบริเวณกลางลำตัวของตนเองมีร่องรอยเป็นเนินนูนปรากฏให้เห็นรางๆ

เวรแล้ว!

ถึงกับเบิกตาโพลง เสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว

มะ...เมื่อกี้แด๊ดดี้เห็นหรือเปล่า?

เห็นใช่ไหม!?

ไม่หรอกกานต์... ไม่น่าจะเห็น

เด็กหนุ่มคิดเข้าข้างตนเองไปอย่างนั้น กางเกงวอร์มที่เขาใส่อยู่ค่อนข้างตัวใหญ่และเนื้อผ้าหนา มันก็น่าจะพอปกปิดอะไรต่อมิอะไรที่ออสตินไม่สมควรเห็นได้

แต่ถึงอย่างนั้น กานต์ก็ไม่อาจวางใจ

แล้วถ้าแด๊ดดี้เห็นล่ะ?

คิดมาแค่นี้ สันหลังก็เสียววาบ เขากลัวเหลือเกิน... กลัวว่าออสตินจะเห็น ก่อนที่จะรีบเก็บกวาดเศษแก้วอย่างร้อนรน จากนั้นก็รีบชงน้ำผึ้งมะนาวตามสั่งด้วยคิดว่าการทำตัวให้วุ่นวายน่าจะทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่านของเขาสงบได้โดยไว แต่เพราะรีบร้อนเกินไปหน่อย น้ำร้อนที่กดออกมาจากกาต้มน้ำจึงลวกเข้าที่มือ

“โอ๊ย”

เด็กหนุ่มร้องออกมา รีบวางแก้วลง พลันตรงไปที่ซิงค์ล้างมือ เปิดน้ำเย็นให้ไหลผ่านผิวเนื้อบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวก

ความเจ็บแสบเริ่มทุเลาลงแล้ว แต่ก็ทิ้งร่องรอยแดงเป็นปื้นเอาไว้ กานต์มองไปยังรอยนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเต็มแรง

ถึงมันจะเจ็บ แต่ก็ทำให้ความกำหนัดที่ถูกปลุกโดยสัญชาตญาณดิบสงบลงอย่างได้ผลชะงัด

หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก...

กานต์วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เขาไม่ลุ่มหลงจนเผลอไผลไปกับบาปราคะนี้อีก พลันเดินกลับมาคว้าแก้วที่ชงน้ำผึ้งมะนาวเสร็จแล้วกลับออกไปยังห้องนั่งเล่น

“นี่ครับแด๊ดดี้”

มือวางแก้วมัคลงบนโต๊ะกระจก ออสตินขยับมาคว้าแก้วไปถือ ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามือของลูกเลี้ยงมีรอยเป็นปื้นแดง

“มือไปโดนอะไรมา”

กานต์เหลือบมองมือของตัวเอง ก่อนจะตอบไปตามตรง

“โดนน้ำร้อนลวกครับ”

คนฟังชำเลืองมองหน้า “เมื่อกี้เหรอ”

“ครับ”

“ทำไมไม่ระวัง”

เด็กหนุ่มเม้มปากเมื่อได้ยินคำถามนั้น... เขาจะถูกดุอีกหรือเปล่านะ?

“คือ...”

“มานั่งตรงนี้”

กำลังจะแก้ตัวถึงเหตุผลที่ไม่ทันได้ระวังตัวเลย เพราะแน่นอนว่าเขาไม่มีวันบอกออกไปอยู่แล้วว่าที่ไม่ทันระวังเป็นเพราะพยายามควบคุมกำหนัดบ้าๆ ให้สงบลง หากแต่ออสตินก็โพล่งมาก่อน ดังนั้นกานต์จึงไม่รอช้าที่จะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้นด้วยการทำตามคำสั่ง

พอทิ้งตัวนั่งลงได้ ออสตินก็ว่าออกมา

“ฉันจะไปเอายามาให้ รอก่อน”

สิ้นเสียงก็ลุกออกไป รออยู่ครู่หนึ่ง ออสตินก็กลับมาพร้อมกับหลอดยาเล็กๆ ในมือ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เด็กหนุ่ม

“ส่งมือมาสิ”

“เดี๋ยวผมทาเองก็ได้ครับ”

ไม่อยากให้แตะตัวสักเท่าไหร่ เพราะกานต์รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายสัมผัสตัวเขาแม้เพียงปลายเล็บ ความรู้สึกร้อนรุ่มก่อนหน้านี้จะต้องบังเกิดขึ้นมาอีกแน่

“ฉันบอกให้ส่งมือมา”

แต่ออสตินไม่ฟัง ออกคำสั่งอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำทะเลจับจ้องอย่างบังคับ ทำเอากานต์ต้องยอมศิโรราบโดยดี

มือยื่นออกไปตรงหน้า ออสตินคว้ามาวางบนตักของตน ก่อนจะบีบยาออกจากหลอดแล้วทาลงบนผิวเนื้อของลูกเลี้ยง

ปลายนิ้วสากและหนาลูบไล้ไปยังหลังมือของกานต์อย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นแผ่กำจายไปทั่วบริเวณหลังมือนั้น ขณะเดียวกันก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของกานต์ เด็กหนุ่มเม้มปาก เขารู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังเข้าครอบงำสัญชาตญาณตามธรรมชาติของเขาอีกแล้ว ในใจได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองเป็นพัลวัน

อย่านะไอ้กานต์...อย่าเชียว...

แต่จะทานทนได้นานแค่ไหนกัน ไม่นานเขาก็ต้องรู้สึกอึดอัดที่บริเวณกลางลำตัว ยิ่งได้กลิ่นกายของออสตินลอยเข้ามาในจมูก กานต์ก็ไม่อาจทนไหว นั่งหนีบขา พยายามเบี่ยงตัวหลบด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นเข้าว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป

“เป็นอะไร”

การอยู่ไม่สุขของเด็กหนุ่มทำให้ออสตินต้องออกปากถาม กานต์ถึงกับสะดุ้งเฮือก มองหน้าคนถามอย่างตื่นๆ

“คือผม...”

“เจ็บเหรอ”

“คะ...ครับ”

ขอบคุณพระเจ้าที่ออสตินเข้าใจไปแบบนั้น ขณะที่อีกฝ่ายเบามือลงอีกหน่อย

“ขอโทษที ฉันคงจะมือหนักไปหน่อย”

ไม่หนักเลย... แต่ที่หนักน่ะคือความรู้สึกของกานต์ที่มีต่อออสตินต่างหาก ยิ่งปล่อยให้ออสตินสัมผัส แรงขับทางเพศก็ยิ่งรุมเร้าเข้าเล่นงานเขาเสียจนเลือดสูบฉีดไปที่หัวใจจนทำงานหนักหน่วง

ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่เป็นการดีแน่... เหนือสิ่งอื่นใด เขากลัวเหลือเกินว่าออสตินจะเห็นว่าอะไรต่อมิอะไรของเขามันไม่สงบ จึงรีบชักมือออกแล้วว่าเร็วๆ

“เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเองดีกว่าครับ”

ออสตินดูแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากจะส่งหลอดยาให้

“ถ้าอย่างนั้นก็เอายานี่ไว้ไปทา”

“ครับ” กานต์รับมา ก่อนจะว่าเร็วๆ “ผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ”

“ไม่กินมื้อเย็นเหรอ”

“ผม...”

“เธอต้องกินอาหารให้ครบสามมื้อ”

พูดมาอย่างนี้ กานต์จะกล้าบอกได้อย่างไรล่ะว่าจะไม่กินน่ะ

“ผมว่าผมจะไปอาบน้ำก่อน วันนี้ช่วยมาเรียทำงานบ้านทั้งวัน ตัวเหนียวน่ะครับ”

ก็เลยบ่ายเบี่ยงไปเป็นเรื่องอื่นแทน ออสตินพยักหน้า ไม่ได้ขัดอะไร เท่านั้นเด็กหนุ่มก็รีบก้าวไปที่บันได หากแต่ขึ้นไปได้เพียงสองสามก้าวก็ชะงักขา ในใจเกิดกังวลอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงได้ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากถาม

“แด๊ดดี้ครับ”

“หืม?”

“คือ...เมื่อกี้แด๊ดดี้เห็น...”

พูดไปได้แค่นั้นก็เกิดใจฝ่อขึ้นมา ไม่กล้าถามต่อว่าเห็นหรือเปล่าว่าอวัยวะบางอย่างของเขามันอยู่ไม่สุข และเพราะการที่ไม่พูดต่อ ก็ทำให้ออสตินต้องออกปากถาม

“เห็นอะไร”

“ไม่มีอะไรครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรก็รีบไปอาบน้ำ ฉันจะพักสายตาสักหน่อย เสร็จแล้วก็มาเรียกฉันแล้วกัน”

โดยปกติแล้ว ออสตินจะต้องเค้นถามด้วยเขาไม่ชอบให้ใครก็ตามมาพูดก้ำๆ กึ่งๆ ไม่จบประโยคแบบนี้ แต่ในครั้งนี้เขากลับยอมที่จะปล่อยให้กานต์หยุดพูดไปได้ง่ายๆ

กานต์ไม่อยากคิดในแง่ร้ายว่าออสตินเห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ จึงรีบก้าวขึ้นบ้านแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

 

ความร้อนรุ่มยังคงไม่จางหายไป เด็กหนุ่มเปิดน้ำจากฝักบัวให้ไหลรดร่างกายของตนเอง

หยดน้ำเย็นเยียบไหลผ่านเส้นผมสีดำสนิท ระเรื่อยลงไปตามใบหน้าและทุกส่วนของร่างกาย ก่อนที่จะชำระล้างเอาความรู้สึกผิดบาปของกานต์ให้ไหลไปตามพื้นกระเบื้อง พัดพาลงสู่ท่อระบายน้ำราวจนไม่เหลือคราบคาวใดๆ ที่เขาปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่

กานต์ยื่นมือไปหมุนฝักบัวปิด ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้า ความรู้สึกเต็มตื้นที่ความอึดอัดอันเกิดจากแรงขับทางเพศได้ถูกระบายออกไปช่างทำให้เขาหัวสมองปลอดโปร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ในความอภิรมย์นั้น เขาก็รู้สึกผิดมหันต์ไม่น้อย

ออสติน...ทำให้เขาต้องกระทำบางอย่างไม่สมควรจนได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กระทำกับอีกฝ่าย แต่การปลดเปลื้องด้วยตนเองก็เป็นสิ่งไม่สมควร

เด็กหนุ่มพิงหน้าผากตนเองเข้ากับผนังห้องน้ำ ถอนหายใจให้กับบาปอันบริสุทธิ์ที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิด

ความผิดของคุณ...

มันเป็นความผิดของคุณที่ทำให้ผมลุ่มหลงขนาดนี้

เป็นความผิดของคุณคนเดียว...ออสติน

-------------------------------

ตอนนี้น้องกานต์บาปมากกกก บาปบริสุทธิ์มากกกกก แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็แด๊ดดี้เซ็กซี่มากขนาดนี้อะเนอะ น้องเลยใจแตกเลย นุ้งกานต์ลูกกก ฮา ความผิดของแด๊ดดี้คนเดียวเลยข่ะ!

เรื่องนี้หนูแดงเปลี่ยนสไตล์การเขียนนิดหน่อยค่ะ พอดีกำลังชาเลนจ์ตัวเองหลังจากที่ไปเรียนเขียนนิยายมา ปกติจะชอบพร่ำเพ้อพรรณนา เรื่องนี้ก็พยายามที่จะลดทอนลงให้มันกระชับกับห้วนๆ ขึ้นหน่อย แต่ก็ยังมีติดสไตล์เดิมอยู่บ้าง

แล้วที่กำลังพยายามเปลี่ยนก็คือจะหัดเขียนฉากเลิฟซีนที่เน้น Feeling มากกว่า Action โดยการที่พยายามไม่เขียนหรือเลี่ยงเขียนคำศัพท์ที่บ่งบอกเครื่องเพศให้มากที่สุด มีฟีลอยากเขียนอะไรที่ทำให้คนอ่านจินตนาการเตลิดมากกว่าเขียนเล่าให้ฟังตรงๆ เหมือนเรื่องก่อนๆ ที่เคยเขียนๆ มาค่ะ

หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ

ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 5:Lust[21-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 21-02-2018 22:23:15
หลงรัก แด๊ดดี๊ มากกกกกก ฮือออละมุนหัวใจเหลือเกิน

สู้ๆนะคะ ติดตามค่าท :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 5:Lust[21-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-02-2018 02:21:05
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กานต์หลงไปหมดทุกอย่างเลย อันตรายนะเนี่ย  o18
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 5:Lust[21-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 22-02-2018 06:50:44
หลงเสน่ห์แด๊ดดี้ดข้าเต็มเปาเลย แบบนี้มันอยู่ยากนะแด๊ด
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 5:Lust[21-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 22-02-2018 17:33:49
ก็แด๊ดดี้มีเสน่ห์ขนาดนี้นี่นะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 5:Lust[21-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-02-2018 19:05:15
Chapter 6: Pure sin

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนทั้งหมด กานต์ต้องยอมรับแล้วล่ะว่าเขาไม่ได้คิดกับผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ผู้อุปการะ ไม่ว่าจะเพราะเสน่ห์ของออสตินหรือปัจจัยใดก็ตามที่ล่อลวงเขาให้เผลอคิดไปไกลกว่าสถานะที่ควรจะเป็น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยินยอมรับความรู้สึกที่ผุดพรายขึ้นมาในใจของตัวเองอย่างชัดเจนอยู่ดี

เขากำลังหลงใหลออสติน...

นอกจากจะสนใจฟังเรื่องราวของเขาผ่านปากของมาเรียแล้ว เด็กหนุ่มยังปลดปล่อยตัวเองโดยใช้ผู้ชายคนนั้นช่วยในการจินตนาการทุกครั้ง บางครั้งก็ลอบไปหยิบยืมเสื้อของออสตินที่แขวนอยู่ในตู้มากอดก่ายเป็นอุปกรณ์ช่วยสำเร็จความใคร่ เพ้อพกไปว่าเสื้อที่กอดอยู่ในอ้อมแขนนั้นคือร่างกายแกร่งของอีกฝ่าย บางครั้งก็ใช้น้ำหอมที่ออสตินให้เป็นของขวัญมาฉีดพรมบนร่างกายของตัวเองให้กลิ่นอันคุ้นเคยอบอวลอยู่รอบข้าง หลับตาพริ้มฝันละเมอไปว่าบนเตียงภายในห้องนอนของเขามีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วย จนทำให้พักนี้เด็กหนุ่มช่วยตัวเองบ่อยเกินกว่าปกติ

มันเป็นความบาปอันบริสุทธิ์ที่กานต์ไม่อาจหลีกเลี่ยง...

แต่ก็ยังดีกว่าจะต้องมาปล่อยให้กำหนัดพร่างพรายขณะที่อยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย กานต์คิดเข้าข้างตัวเองว่าตราบใดที่สิ่งที่เขาจินตนาการไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้มีพระคุณ มันก็คงจะไม่เป็นอะไร

...คิดไปเองว่าไม่เป็นอะไร

เอาเข้าจริงแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถควบคุมจินตนาการของตัวเองได้ดีขนาดนั้น เผลอทีไรก็คิดเตลิดเปิดเปิงไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้อยู่กับออสติน

บางทีเขาอาจจะต้องบอกออสตินแล้วว่ารสนิยมทางเพศของเขาเป็นแบบไหน เขารู้ว่าตัวเองชอบเพศเดียวกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้นแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะสำคัญจึงไม่ได้บอกกับออสตินไป หากแต่พอคิดจะบอกมันก็กลายเป็นเรื่องยาก จะให้บอกไปตามตรงก็กลัวเหลือเกินว่าออสตินจะรับไม่ได้ที่เด็กในอุปการะของเขามีรสนิยมทางเพศที่ผิดธรรมชาติไป ถึงในปัจจุบันนี้การที่เป็นเกย์มันจะไม่ผิด ทว่ากานต์ก็ไม่รู้ว่าออสตินจะมีมุมมองต่อกลุ่มคนเพศทางเลือกแบบไหน

ถ้าหากว่ารับไม่ได้ขึ้นมาล่ะ เขาจะทำยังไง?

เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่หลายวัน ชั่งใจอยู่หลายที ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะบอกหรือไม่บอกดี ทว่า...เขาก็ไม่สามารถที่จะเก็บงำแรงขับจากภายในของตัวเองได้เหมือนกัน

ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอก...ต่อให้รับไม่ได้ก็ต้องบอก ถือเสียว่าเขาแสดงความจริงใจต่อคนที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของเขาก็แล้วกัน

แต่ก็ยังหาโอกาสบอกไม่ได้สักที พอตัดสินใจจะบอก ทุกคำพูดก็ถูกกลืนลงคอไปทั้งหมดเมื่อถูกสายตานิ่งเรียบของออสตินจ้องมอง

เขายังคงหวาดเกรงสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจคู่นั้น... วันนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่อุตส่าห์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะบอกให้ได้ หากแต่เมื่อพบกับออสตินในตอนเช้า กานต์ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมากับสิ่งที่เขาทำลงไปลับหลังอีกฝ่าย จนสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอยู่ดี ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับปกติทุกวัน

“อยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

ออสตินถามขณะที่ขับรถออกจากรั้วบ้าน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาสัญญากับลูกเลี้ยงเอาไว้ว่าทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งคู่จะออกจากบ้านไปทำกิจกรรมพิเศษๆ ร่วมกัน ถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งครอบครัว

กานต์ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับส่ายหน้าน้อยๆ เขาไม่มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษ จริงๆ แค่ได้อยู่บ้านกับออสตินตามลำพัง เท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว

“ไม่อยากไปไหนเลยจริงๆ เหรอ”

ออสตินถามมาอีก กานต์มาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนสักเท่าไหร่ อันที่จริงก็เป็นความผิดของเขาที่ไม่ค่อยมีเวลาให้นอกจากช่วงอาทิตย์แรกที่กานต์มาอยู่ที่นี่

“ครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอกนะ ฉันสัญญากับเธอแล้วว่าจะพาเธอไปเที่ยว อยากไปที่ไหนก็บอกฉัน”

“ผมไม่ได้มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษจริงๆ ครับ”

แต่ผมอยากอยู่กับแด๊ดดี้มากกว่า...

กานต์อยากจะต่อประโยคนี้ ทว่าก็กลืนมันลงคอไปหมด ออสตินละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามามองหน้าของเด็กหนุ่มเล็กน้อย

“เธอนี่แปลกดีนะ ปกติแล้วพวกวัยรุ่นน่าจะชอบไปเที่ยวเล่นสิ หรือจะเป็นพวกชอบเก็บตัว”

พูดมาอย่างนั้น กานต์ก็เลยพยักหน้ารับเลยตามเลย

“งั้นไปนั่งเล่นที่คาเฟ่แถวนี้แล้วกัน ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว”

ออสตินตัดสินใจเอง ไม่บังคับเด็กหนุ่มหรอกในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากไป กานต์ก็ไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ขับรถไปตามทางจนกระทั่งถึงที่หมาย

ร้านกาแฟขนาดย่อมถูกเลือกเป็นจุดหมายของวันนี้ ออสตินมาที่ร้านนี้ค่อนข้างบ่อยจนเรียกได้ว่าเป็นลูกค้าประจำ เขาชอบร้านนี้เพราะไม่มีคนพลุกพล่าน เหมาะสำหรับใช้เป็นที่พักผ่อนสมองยามเครียดๆ เพราะการตกแต่งของร้านให้บรรยากาศอบอุ่น เมื่อได้จิบกาแฟหอมๆ ระหว่างนั่งพัก ก็รู้สึกเหมือนกับได้ปลีกเข้าสู่โลกส่วนตัว ตัดขาดจากความวุ่นวายทันใด

แต่กานต์ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด เขาเพียงปรายตาสำรวจบรรยากาศของร้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ในสวนข้างๆ ร้าน รับเมนูมาเลือกเครื่องดื่มและของหวานตามคำสั่งของผู้ปกครอง

“ถ้าเธอไม่ชอบดื่มกาแฟ ก็สั่งไอศกรีมหรือของหวานอะไรมากินเล่นก็ได้”

“ถ้างั้นผมเอาอันนี้ก็แล้วกันครับ”

นิ้วไล่ชี้ส่งๆ ไป ออสตินชำเลืองมองก่อนจะหันไปสั่งบริกร

“สตรอเบอร์รี่พายพาเฟ่ต์ที่นึง”

“รับวิปครีมด้วยไหมครับ” บริกรถามเมื่อเห็นว่าเมนูนี้มีออฟชั่นพิเศษเสริม

“ว่าไง เอาด้วยไหม” ออสตินถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ครับ” ทั้งที่ไม่ได้อยากกินแท้ๆ แต่ก็ตอบรับไป

ออสตินสั่งตามที่เด็กหนุ่มบอก ก่อนจะสั่งเมนูนั้นให้ตัวเองด้วย แต่ของเขาไม่ได้สั่งวิปครีมเพิ่มแต่อย่างใดเพราะเขาไม่ใช่คนที่ชอบกินของหวานสักเท่าไหร่นัก

รออยู่ครู่หนึ่ง ไอศกรีมน่าตาน่ารับประทานก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า กานต์นั่งเหม่อจนไม่รับรู้ว่าตอนนี้เมนูที่เขาสั่งถูกยกมาวางเรียบร้อยแล้ว ได้สติก็ตอนที่ออสตินร้องเรียก

“กานต์”

“ครับ”

“กินสิ” ว่าพลางพยักพเยิด

กานต์มองถ้วยไอศกรีมแล้วพยักหน้า คว้าช้อนขึ้นมาถือในมือมั่น

เมื่อครู่นี้ที่เขาเหม่อ... เขาเผลอจินตนาการไปไกลอีกแล้ว

จินตนาการไปว่าจะเป็นยังไงถ้าไอศกรีมพวกนี้ถูกราดลงบนตัวของเขาแล้วออสตินมาละเลียดชิมความหวานเย็นจากตัวของเขา...

คิดแล้วก็ต้องมานั่งสำนึกผิด ขนาดอยู่ต่อหน้าออสติน เขายังไม่วายที่จะหมกมุ่นเรื่องอย่างว่าพวกนั้น

ความคิดลามกพวกนี้จะต้องเป็นความบาปที่ซาตานล่อลวงเขาให้คิดอย่างแน่นอน...

แต่มนุษย์เราจะทนทานต่อการล่อลวงของซาตานได้นานแค่ไหน?

คำถามนี้กานต์ตอบไม้ได้หรอก แม้แต่ตัวของอดัมและอีวาซึ่งเป็นบุตรแห่งพระเจ้าเองก็ยังเผลอไผลไปกับสิ่งเย้ายวนใจจนความปรารถนาผลักดันให้ต้องละเมิดกฎแห่งสวรรค์เลย

กานต์เองก็เช่นกัน...ความปรารถนาของเขาพุ่งทะยานขึ้นไม่มีหยุดหย่อนในทุกๆ วัน ไม่ต่างจากนักปีนเขาที่ดันทุรังจะไต่ไปให้ถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์ทั้งที่รู้ว่าข้างหน้ามีอุปสรรคนานัปการที่ทำอันตรายเขาถึงแก่ชีวิตได้ หากก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว มีหวังคงมีสภาพน่าอดสูมากเลยทีเดียว

ออสตินก็เหมือนยอดเขาลูกนั้น...สูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านไม่หวั่นต่อสิ่งใด ทำเอานักปีนเขาตัวเล็กๆ อย่างกานต์หวั่นใจทุกครั้งที่สับสลักปีนเขาไต่ขึ้นไปตามร่องหินสูงชัน

เขาจะพลาดตกลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...ถ้ายังรักตัวกลัวตาย เห็นทีจะต้องหยุดพักแล้วไต่ลงมาเพื่อความปลอดภัย

เด็กหนุ่มลอบระบายลมหายใจ ตักไอศกรีมเข้าปากราวกับจะให้ความเย็นจากของหวานในถ้วยตรงหน้าบรรเทาความร้อนรุ่มใจ

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของออสตินจับจ้องคนตรงข้ามนิ่ง ท่าทางรีบร้อนผิดปกติของลูกเลี้ยงทำให้เขาต้องเอ่ยปากปราม

"ค่อยๆ กิน มันไม่ละลายหนีเธอไปไหนหรอก"

กานต์ชะงัก เหลือบมองแล้วตอบรับ "ครับ"

จากนั้นก็ผ่อนความเร่งรีบลง ออสตอนมองอย่างพอใจ ครู่หนึ่งก็ต้องหัวเราะในลำคอออกมาเมื่อเห็นว่าที่มุมปากของเด็กหนุ่มมีวิปครีมสีขาวเปรอะเปื้อนอยู่

"บอกให้ค่อยๆ กินไง"

พลันก็เอื้อมมือมาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบนั้นออกให้ สัมผัสอุ่นๆ บนปลายนิ้วสากทำให้กานต์ต้องชะงักงัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงงันเมื่ออีกฝ่ายดึงมือกลับไปและแลบลิ้นเลียวิปครีมที่ติดปลายนิ้วนั่น

"แด๊ดดี้..."

ออสตินดูดปลายนิ้วเล็กน้อย ทำเอาคำพูดที่กานต์ตั้งใจจะพูดถูกกลืนหายไปในลำคอจนหมด

"อร่อยดี รู้อย่างนี้ฉันจะสั่งเพิ่มวิปครีมเหมือนกับเธอ"

คำพูดนั้นแทบไม่เข้าหูของเด็กหนุ่มเลย เขารู้สึกแต่เพียงว่าใบหน้าเห่อร้อนจนลามถึงลำคอไปหมด

แด๊ดดี้ของเขา...กำลังจะกลายร่างเป็นงูที่ล่อลวงอดัมกับอีวาให้ละเมิดกฎสวรรค์

เด็กหนุ่มกำช้อนในมือแน่น เขาไม่แน่ใจแล้วว่าควรเหวี่ยงสลักไปเกี่ยวหินเบื้องหน้าแล้วปีนสู่ยอดเขาต่อดีหรือไม่

"ขอฉันชิมสักคำ"

มีก็แต่ออสตินเท่านั้นที่ไม่ล่วงรู้ความคิดวุ่นวายของเด็กหนุ่มเลย ถือวิสาสะเอาช้อนของตัวเองตักเอาครีมเนื้อนุ่มในถ้วยไอศกรีมของกานต์เข้าปาก

"หวานไปหน่อยแต่ก็อร่อยดี"

กานต์จับจ้องไปยังริมฝีปากหยักนิ่ง

ออสตินก็กินเลอะปากเหมือนกัน...

เท่านั้นก็รู้สึกราวกับมีเสียงของซาตานมากระซิบที่ข้างหู บอกให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ

"แด๊ดดี้ครับ"

"หืม?"

"ปากเลอะครับ"

แทนที่จะส่งทิชชูให้ แต่กานต์เลือกที่จะทำแบบเดียวกับที่คนตรงหน้าทำกับเขา

ปลายนิ้วชี้ลากลูบไปบนขอบปากบนตรงรอยหยัก สัมผัสนุ่มทำให้กานต์ลากไล้อย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก

ริมฝีปากของออสตินเปรียบเสมือนกับผลแอปเปิลสีแดงสดที่เย้ายวนให้เด็ดชิมก็ไม่ปาน

กานต์อยากจะลองชิมดูสักคำ...

อยากสัมผัส...

อยากรับรส...

อยากรู้ว่ามันจะหวานฉ่ำแค่ไหน…

แต่คงจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เด็กหนุ่มถอดใจจากเรื่องนั้น ก่อนจะปาดเอาคราบวิปครีมออก ดึงมือกลับมาแล้วสอดนิ้วชี้นั้นเข้าไปในปาก ดูดดุนกลืนกินวิปครีมเข้าไปพลางทอดสายตาจับจ้องใบหน้าคร้ามของอีกฝ่ายนิ่ง

สายตานั้นฉ่ำเยิ้ม... ราวกับจะยั่วยวนให้คนตรงหน้าหลงใหลในตัวเขา การกระทำนั้นทำให้กานต์แปรเปลี่ยนจากมนุษย์อันเป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเจ้าอสรพิษร้ายที่หมายจะล่อลวงออสตินแทน

หากแต่ออสตินนิ่ง...

ดวงตาสีฟ้านั้นประกายวูบไหวเล็กน้อยเมื่อกานต์ดึงนิ้วออกจากปาก และเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มดังตามมา...

"อร่อยดีนะครับ"

...เขาก็ว่าเสียงเรียบ

"รีบๆ กินซะ จะได้กลับบ้านกัน ในเมื่อไม่มีโปรแกรมจะไปไหนก็ไปนั่งเล่นที่บ้านดีกว่า"

เท่านั้นความผิดหวังพร่างพรายขึ้นมาในใจของกานต์ดั่งพายุถาโถม

แค่นี้เองเหรอ?

แล้วเขาคาดหวังให้ออสตินมีปฏิกิริยาอะไรกันล่ะ?

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าปรารถนาอะไร เขาอยากให้ออสตินแสดงท่าทีอะไรออกมาก็ได้ จะตอบสนองเขาหรือเกรี้ยวกราดใส่ เขาก็ยินดีทั้งนั้น ไม่ใช่นิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรอย่างนี้ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะตอบเสียงแผ่ว

“ครับ”

ตั้งหน้าตั้งตากินไอศกรีมถ้วยนั้นจนหมด...

ช่างเป็นของหวานที่...ขมมากทีเดียว

 

ออสตินขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน ทั้งสองไม่พูดอะไรกันสักคำตั้งแต่ตอนนั้น บรรยากาศในขณะขับรถกลับต่างจากตอนมาโดยสิ้นเชิง มันชวนให้อึดอัด แม้ออสตินจะไม่พูดอะไรแต่ก็ทำให้กานต์หายใจแทบไม่ออก

เด็กหนุ่มชักอยู่ไม่สุข กระสับกระส่ายจนแสดงท่าทางออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นด้วยการขยับไปมาบ่อยครั้ง ออสตินเหล่มอง แล้วในที่สุดเขาก็เป็นคนทำลายความเงียบ

“นั่งไม่สบายเหรอ”

เท่านั้นกานต์ก็ใจชื้น ในที่สุดความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ก็บรรเทาลงเสียที

“เปล่าครับ”

“แล้วขยับไปมาทำไมบ่อยๆ”

กานต์ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี เพราะในความเป็นจริงแล้ว ที่เขาขยับไปมาไม่หยุดไม่ใช่เพราะนั่งไม่สบาย แต่เป็นใจของเขาที่ไม่สบายจนกระอักกระอ่วนมากกว่า

“คือผม...”

แวบหนึ่งก็คิดว่าจะบอกไปว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่พูดได้แค่นั้นก็เงียบไปอีก

กลัวอีกแล้ว...

“เธอทำไม” เห็นอีกฝ่ายเงียบไป ออสตินก็ถามขึ้น

“ไม่มีอะไรครับ”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่กานต์เอ่ยขึ้นมาแล้วก็เงียบไป ออสตินรับรู้ได้ถึงความหัวเสียของเด็กหนุ่มที่มีต่อตัวเองจึงไม่ได้สนใจที่จะถามต่อ ทำเพียงบอกเสียงเรียบเท่านั้น

“ถ้าเธอมีอะไรไม่สบายใจแล้วอยากจะบอกฉัน เอาไว้บอกตอนที่เธอพร้อมก็แล้วกัน”

ในเวลาอย่างนี้ ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้กานต์ได้รู้สึกว่าออสตินไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิด

“ครับ”

 

รถเคลื่อนเข้าสู่โรงรถภายในรั้วบ้าน ออสตินดับเครื่อง ปลดล็อกประตู แล้วหันไปมองยังคนข้างกาย

“เข้าบ้านกันเถอะ จะได้พักผ่อน”

กานต์ควรจะพยักหน้าตอบรับ แต่เขากำลังเตรียมใจอยู่

เตรียมใจว่าจะบอก... เขาคิดมาตั้งแต่ที่เอ่ยประโยคสุดท้ายกับออสตินแล้ว ทว่าคงจะเว้นจังหวะนานไปหน่อย ออสตินเห็นว่ายังเงียบอยู่ก็เลยเตรียมตัวจะลงจากรถ แต่แล้วกานต์ก็โพล่งขึ้นมา

“แด๊ดดี้ครับ”

คนถูกเรียกชะงัก หันไปมองก็พบว่ากานต์กำลังสบตาเขาอยู่

“ผมมีเรื่องจะบอก”

เท่านั้นออสตินก็จัดท่านั่งให้เป็นปกติทันใด

“เรื่องอะไร”

“เรื่องของผม”

“ว่ามาสิ”

อีกฝ่ายรอฟังอย่างเต็มที่ กานต์สูดหายใจเข้าเต็มปอด แม้ว่าความหวาดกลัวในปฏิกิริยาของออสตินหลังจากรับรู้ว่ารสนิยมของเขาเป็นอย่างไรจะเกาะกุมจิตใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปริปากออกมาจนได้

“ผมเป็นเกย์ครับ”

ไม่มีเสียงใดหลุดออกมาจากริมฝีปากหยักของออสติน มีเพียงดวงตาที่จับจ้องไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย... แต่กลับทำให้กานต์หวั่นใจอย่างถึงที่สุด

แล้วก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นเมื่อจู่ๆ ออสตินก็ลงจากรถ เดินเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้หันหลังมามองลูกเลี้ยงแต่อย่างใด

หัวใจของกานต์ร่วงหล่นไปยังตาตุ่ม รีบลงจากรถแล้วก้าวไวๆ ตามอีกคนเข้าไปข้างใน มองซ้ายขวาหาว่าออสตินอยู่ที่ไหน ก่อนหูจะได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กออกมาจากห้องครัว พอโผล่เข้าไปก็เห็นว่าออสตินกำลังล้างมืออยู่

“แด๊ดดี้ครับ...”

ริมฝีปากบางเอ่ยเรียก ออสตินไม่ได้หันมา เอื้อมมือไปกดขวดปั๊มของสบู่เหลวฟอกไปทั่วทั้งมือ

“แด๊ดดี้...”

ยังไม่หันมาอยู่ดี ล้างฟองสบู่เหล่านั้นออกด้วยน้ำสะอาดจากก๊อก ท่าทางนิ่งเฉยนั้นทำให้คนมองใจไม่ดีหนัก

กำลังโกรธอยู่หรือเปล่า? โกรธใช่ไหม?

คิดวุ่นวายสับสนไปหมด มือทั้งสองข้างบีบเข้าหากัน ในใจหวั่นเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะโกรธจนไม่ยอมมองหน้าหรือพูดด้วยอย่างเคย ขณะที่ออสตินเดินมาดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะเช็ดมือก่อนจะโยนลงถังขยะ แล้วเอ่ยขึ้นมา

“เธอบอกว่าเธอเป็นเกย์เหรอ”

กานต์หันขวับไปมองทันที

“คะ...ครับ”

“แล้วมันทำไมล่ะ”

ได้ยินคำถามนี้ กานต์ก็อึกๆ อักๆ ไปต่อไม่ถูก

“กะ...ก็ผม...”

“มันทำไม”

“ผมกลัวว่าแด๊ดดี้จะรับไม่ได้”

“อืม” ออสตินครางออกมาแค่นั้น ก่อนจะก้าวเข้าหาจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม “เธอก็เลยกังวลล่ะสินะ”

กานต์ไม่ปฏิเสธ ตอบรับด้วยการพยักหน้าทันที

“กังวลว่าฉันจะดุหรือเกลียดเธอใช่ไหม”

กานต์พยักหน้ารับไปอีกที ตอนนี้เขามีสภาพไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ เลยแม้แต่น้อย มองใบหน้าคร้ามด้วยสายตาใสซื่อ รอให้ออสตินพูดประโยคอะไรก็ได้ออกมาอีกเพื่อให้เขาสบายใจขึ้นกว่าเดิม หากแต่ออสตินไม่พูดอะไรสักคำ นอกจากจะยกมือขึ้นจับปลายคางมนของเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นสบตาเขา

ดวงตากลมสีนิลสบประสานกับนัยน์ตาอัลมอนด์สีน้ำทะเล ความเงียบงันทำให้เวลาภายในห้องครัวหยุดนิ่ง จะมีก็แต่ออสตินเท่านั้นที่ไม่ได้หยุดตาม เขาใช้ปลายนิ้วโป้งแตะลงไปเบาๆ บนกลีบปากสีเชอร์รี่ของเด็กหนุ่ม กดและลูบเบาๆ ไปทั่วทั้งริมฝีปากบนและล่าง

กานต์ตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน ทำเพียงเบิกตาโตขึ้นมา แต่แล้วก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นรู้สึกร้อนรุ่มแทนเมื่อออสตินออกแรงกดปลายนิ้วสากลงมาอีก

กด...และดุนดันเข้าไปในปาก ลากไปตามแนวฟันขาว

วูบหนึ่งกานต์ก็รู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมา ปากอ้าขึ้นโดยอัตโนมัติ ก่อนจะใช้ฟันคมๆ งับลงมาบนนิ้วนั้นไม่แรงนัก งับแล้วก็เหลือบมองสีหน้าของอีกฝ่ายว่าออสตินอนุญาตให้เขาทำแบบนี้ได้หรือไม่ ทว่าออสตินกลับไม่พูดอะไร ดันปลายนิ้วเข้าไปด้านในอีกก่อนจะวางมันลงบนลิ้นนุ่ม

ถือว่าเป็นการอนุญาตก็แล้วกัน...

เด็กหนุ่มขยับปลายลิ้นโลมไล้นิ้วโป้งข้างนั้น ดูดดุนอย่างกระหาย ความรู้สึกอัดแน่นที่อยู่ภายในจิตใจปะทุขึ้นมาในตอนนี้ เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ออสตินสัมผัสแค่ไหน เมื่อออสตินถอดถอนนิ้วออกมาจากโพรงปากแล้ว เด็กหนุ่มก็ใช้สองมือยกขึ้นมาจับมือของคนตรงหน้าเอาไว้ อิงแอบแนบแก้มลงไป หลับตาพริ้มราวกับว่าทุกความปรารถนาได้รับการตอบสนองในตอนนี้อย่างหมดสิ้น

ออสตินปล่อยให้กานต์ได้ทำอย่างนั้นอยู่อีกครู่ ก่อนที่จะเอ่ยออกมา

“กานต์”

กานต์ลืมตาขึ้นมอง มือยังคงไม่ปล่อยจากอีกฝ่าย

“ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นเกย์”

“...”

“แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าเธอคิดอะไรกับฉัน ร่างกายของเธอบอกฉันหมดแล้วตั้งแต่วันนั้น”

วันนั้น...หรือว่าจะเป็นวัน...

“ถ้าฉันไม่รู้ ฉันคงจะไม่ใช้ให้เธอไปชงน้ำผึ้งมะนาวมาให้ฉันหรอก”

กานต์เบิกตาโตทันที “คุณรู้!?”

ออสตินไม่พูดอะไรในทันที ปล่อยให้กานต์ได้อึ้งงันอยู่อีกครู่ รับรู้ความอับอายจนใบหน้าร้อนฉ่าจนทำอะไรต่อไม่ถูก ก่อนที่จะว่าออกมา

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของวัยรุ่นอย่างเธอดี มันเป็นช่วงที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน จะคิดอะไรอย่างนั้นมันก็ไม่แปลก แต่ก็อยากจะบอกเธอเอาไว้อย่างหนึ่ง”

“...”

“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไม่ควรจะเกิดเรื่องแบบนี้”

เท่านั้นกานต์ก็พูดไม่ออก ออสตินไม่ได้พูดอะไรผิด มันถูกต้อง

เขาเป็นครอบครัวเดียวกัน... คนในครอบครัวเดียวกันไม่ควรจะมีความรู้สึกแบบนี้

“ฉันไม่ได้รังเกียจไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร”

“...”

“แต่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉัน...เก็บมันเอาไว้ สักวันเธอจะได้เจอคนที่มีความรู้สึกแบบนี้ด้วย สำหรับฉัน ขอแค่ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันก็พอแล้ว”

เป็นการปฏิเสธโดยอ้อมและถนอมน้ำใจที่สุด กานต์เข้าใจดี เขาไม่นึกโทษออสตินเลยที่จะพูดออกมาแบบนี้

ลงเอยแบบนี้ก็ดีแล้ว เขาจะได้หายคิดฟุ้งซ่านลงไปได้บ้าง

“ไปพักผ่อนเถอะ วันนี้เธอน่าจะเหนื่อย ไว้มื้อเย็นค่อยลงมา”

เป็นการไล่โดยอ้อมอีกเช่นกัน กานต์ก็ไม่โต้แย้งใดๆ พยักหน้ารับ ปล่อยมือออกจากฝ่ามือของคนตรงหน้า หมุนตัวกลับออกจากห้องครัวแล้วรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว

ปิดประตูแล้วก็ยืนพิง ยกมือขึ้นลูบหน้า ในใจคิดวุ่นวายไม่ตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ไม่น่าเลย...เขาไม่น่าทำแบบนั้นเลย

แม้สิ่งที่เขาทำมันจะเป็นบาปบริสุทธิ์ด้วยการกระทำทั้งหมดนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำมันตั้งแต่แรก ทว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกส่วนลึกผลักดันให้ความปรารถนาของเขาพวยพุ่ง ทุกอย่างมันถึงได้เลยเถิด

ทว่ากานต์ก็เลิกคิดถึงสัมผัสที่แตะลงมาบนริมฝีปากเขาไม่ได้เลย

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก เลียไปมาแผ่วเบา หลับตาคิดถึงช่วงเวลานั้นราวกับว่าไม่อยากให้มันหลุดลอยหายไป

รสชาตินี้...ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะลิ้มลองมันไปทุกวัน...

บาปนี้...ไม่ว่าจะบริสุทธิ์เพียงใด แต่มันคงจะไม่บริสุทธิ์อีกแล้วถ้าหากเด็กหนุ่มยังหยุดคิดหมกมุ่นเรื่องของออสตินไม่ได้สักที

-----------------------------------

ที่เว็บอื่นอัปตอนนี้ไปแล้ว มาอัปในเล้าให้อีกทีค่ะ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ ^^

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 22-02-2018 19:25:17
 
โธ่ แด๊ดดี้คะ การกระทำสวนทางจริงๆ เล่นอ่อยเด็กซะขนาดนั้นใครจะไม่เคลิ้มกันเนี่ย
สงสารก็แต่กานต์ จะเป็นยังไงต่อกัน จะเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ต่างคนต่างอยู่ครอบครัวสุขสันต์หรือจะมีตัวแปรอย่างอื่นเข้ามาเพิ่ม

แต่แด๊ดดี้ก็เซ็กซี่จริงๆเลย ใครจะอดใจไหวล่ะนั่น  :hao6:
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-02-2018 19:33:20
แอร๊ยยยย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 22-02-2018 20:16:57
โอ้วววว นี่แด๊ดดี้ไม่ได้อ่อยอยู่ใช่ไหมคะ?
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 22-02-2018 20:17:10
จะร้อง
ทำไมมันขมขื่น
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 22-02-2018 20:52:32
แดดดี้ ก็มองในมุมผู้ใหญ่อะเนอะ  :z2:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 22-02-2018 20:55:45
แดีดไม่ควรทำแบบนี้ กานต์คงทำตัวลำบากกว่าเดิมอีก
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-02-2018 21:02:48
กานต์ดูหยุดความรู้สึกตัวเองได้ยากแล้วนะนั่น แล้วแดดดี้จะทำอย่างไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Minzero ที่ 22-02-2018 22:14:49

แด๊ดดี้!! :z3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 6:Pure sin[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-02-2018 22:25:55
Chapter 7: New friend

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้กานต์คิดไม่ตก เขากลัวเหลือเกินว่าการกระทำของตนเองจะเป็นเหตุที่ทำให้มองหน้าออสตินไม่ติด แค่ไม่ได้ทำอะไร เขาก็รู้สึกว่าการเข้าหาผู้ชายคนนั้นมันยากมากพออยู่แล้ว แต่นี่... เขาถึงกับดูดดุนนิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายราวกับว่ามันเป็นโลลิป็อป

ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไรตอนอยู่ต่อหน้าพ่อเลี้ยงแล้ว...

ทว่าออสตินกลับทำทุกอย่างเหมือนเช่นทุกวัน วันใหม่มาถึง เขาก็พูดคุยกับกานต์ราวกับเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่หวาดหวั่นในเรื่องนี้พอจะผ่อนคลายลงมาได้บ้าง

แต่...ก็แค่ได้บ้าง ในใจของเขายังตะขิดตะขวงอยู่

ออสตินไม่คิดหรือรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อวานนี้บ้างเลยเหรอ?

ปากอยากจะถามนัก แต่เมื่อเห็นออสตินไม่พูด กานต์ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก ได้แต่ชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สายตาไล่ไปบนหน้าจอแท็บเล็ตตรวจสอบกราฟหุ้นประจำวันอยู่ เมื่อรู้ตัวว่าถูกดวงตาคู่สวยของลูกเลี้ยงจ้องมอง ออสตินถึงได้ละสายตาเพื่อหันกลับไปมองบ้าง

“มีอะไรอยากจะพูดงั้นเหรอ”

กานต์สะดุ้ง จะเสแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรก็คงจะไม่ทันแล้ว จึงได้แต่อึกๆ อักๆ

“คือผม...”

“อยากจะพูดเรื่องเมื่อวานใช่ไหม”

คำถามตรงๆ ทำให้กานต์ไม่กล้าปฏิเสธ พยักหน้ารับเซื่องๆ ออสตินวางแท็บเล็ตลงบนตัก ว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ไม่ต้องคิดมาก ฉันกับเธอไม่ได้ผูกพันกันมา ไม่แปลกหรอกถ้ามันจะมีความรู้สึกแปลกๆ โผล่มาให้เห็นบ้าง เธอเองก็ยังเป็นวัยรุ่น มันเลี่ยงไม่ได้ถ้าหากมันจะเกิด”

“...”

“แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เราเป็นครอบครัวกันแล้ว มันไม่ควรมีความรู้สึกแบบนั้น ถ้ากลัวว่าฉันจะโกรธล่ะก็ เธอทำใจให้สบายแล้วเอาเวลาไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนวันแรกไม่ใช่หรือไง”

“ครับ”

ฟังแล้วกานต์ก็พอจะสบายใจขึ้นมาอยู่บ้าง ออสตินมักมีคำพูดที่ชาญฉลาดมาพูดให้เขาสบายใจได้เสมอ ซึ่งนั่นมันได้ผล สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือถูกออสตินโกรธ ทว่านอกจากจะไม่โกรธแล้ว ออสตินยังไม่สร้างบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างเขาทั้งสองอีกต่างหาก

“อยากได้อะไรเพิ่มเติมไหม เครื่องเขียน สมุดโน้ต...”

จากนั้นก็เบี่ยงประเด็นเพื่อไม่ให้จมอยู่กับหัวข้อนั้นนานเกินไป

“ผมเตรียมหมดเรียบร้อยแล้วครับ”

“อืม ฉันชอบเด็กมีความรับผิดชอบ”

ถึงกานต์จะบอกให้ตัวเองไม่ให้คิดวุ่นวายฟุ้งซ่านกับคนตรงหน้าอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อได้ยินคำชม หัวใจของเขาก็พองโตขึ้นมาแม้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ออสตินชมเขาในเรื่องนี้ก็ตาม

“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งเธอ เลิกเรียนแล้วจะไปรับ พอเธอเริ่มคุ้นชินแล้วถึงจะให้เธอไปกลับเอง มีปัญหาอะไรไหม”

“ทำไมผมถึงต้องมีปัญหาด้วยล่ะครับ”

“เผื่อเธอไม่อยากให้ฉันไปรับ อายุสิบเจ็ดแล้วยังมีผู้ปกครองไปคอยรับคอยส่ง บางทีมันก็น่าอาย”

สำหรับเด็กอเมริกันอาจจะใช่ แต่สำหรับกานต์แล้ว เขาไม่อายเลย ดีเสียอีกที่ผู้ชายคนนี้ใส่ใจเขาถึงขนาดนั้น เขาออกจะยินดีด้วยซ้ำ

“ไม่อายครับ”

“อืม”

“แต่ถ้าแด๊ดดี้ไม่สะดวก ผมก็ไม่มีปัญหา ไปกลับเองได้ครับ”

แล้วก็ว่าอย่างเกรงใจทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ทำเอาออสตินเหลือบมองแล้วถามนิ่งๆ

“ฉันบอกเธอแล้วเหรอว่าไม่สะดวก”

กานต์นิ่งงันไปบ้าง พลันส่ายหน้า “เปล่าครับ”

“งั้นก็แสดงว่าสะดวก ฉันจะไปรับส่งเธอจนกว่าเธอจะคุ้นเคยเส้นทาง”

คราวนี้ไม่ปฏิเสธหรือพูดสิ่งใดออกไปแล้ว กานต์พยักหน้ารับ ขณะที่ออสตินระบายยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางเซื่องๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเบนความสนใจกลับมาที่แท็บเล็ตบนตักของตัวเองอีก ปล่อยให้กานต์ได้ทอดมองพลางพร่ำบอกกับตนเองในใจ

เท่านี้...เพียงความรู้สึกเท่านี้ กานต์ก็หลงคิดไปว่ามันมากเพียงพอแล้ว

ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นพ่อเลี้ยง เป็นสามีของแม่ ไม่ควรที่จะคิดเกินเลยไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ

 

วันใหม่มาถึง กานต์รีบตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปโรงเรียนวันแรก โรงเรียนของเขาอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่อยู่มากนัก สามารถเดินเท้าไปที่โรงเรียนได้โดยใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที หากขึ้นรถบัสที่ถนนหน้าหมู่บ้านก็ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าการไปมาสะดวกสบาย ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ออสตินไปรับไปส่งด้วยซ้ำ แต่ออสตินก็ดึงดันว่าจะไปส่ง โดยบอกกับเด็กหนุ่มว่าวันนี้เขาจะต้องเข้าไปคุยกับครูใหญ่ของโรงเรียนด้วย เนื่องจากว่ากานต์มาเข้าเรียนกลางคัน จึงต้องมีการพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนสักหน่อย

กานต์ก็ไม่ได้มีปัญหา เขาไม่ค่อยรู้เรื่องระบบการศึกษาในระดับไฮสกูลสักเท่าไรหรอก ออสตินบอกให้ทำอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น กระทั่งผู้ปกครองของเขาคุยธุระกับครูใหญ่เสร็จสิ้นถึงได้ออกมาพบเขาที่นั่งรออยู่ข้างหน้าห้องครูใหญ่อีกครั้ง

“เดี๋ยวที่ปรึกษาของเธอจะพาไปที่ห้องเรียน”

ออสตินว่า ด้านหลังของเขามีผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีอยู่ กานต์พอจะเดาได้ว่าเจ้าหล่อนคืออาจารย์ที่ปรึกษาที่ว่า

“แล้วเดี๋ยวฉันจะมารับ”

ความสนใจของเด็กหนุ่มถูกดึงกลับไปอีกครั้ง ก่อนที่จะต้องใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อมือใหญ่ของอีกฝ่ายวางลงมาบนศีรษะแผ่วเบา

“เป็นเด็กดี ไว้ตอนเย็นค่อยเจอกัน”

รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มอีกครั้ง พลันบอกลาออสตินที่เดินห่างออกไปทีละน้อย

ถึงจะบอกกับตัวเองเพียงใดว่าไม่ควรคิดกับผู้ชายคนนั้นไปมากกว่าคนในครอบครัวเดียวกัน พร่ำบอกว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยง เป็นสามีของแม่อย่างไร มันก็เหมือนจะสูญเปล่า ในเมื่อในใจของเขายังคงพร่ำเรียกหาอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน ยิ่งกลิ่นหอมอันเป็นกลิ่นประจำตัวของเขาลอยอบอวลเข้ามาในจมูก กานต์ก็ต้องกำมือแน่นด้วยพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านี้

“ไปกันได้แล้วจ้ะคาร์ล”

สติทั้งมวลถูกดึงกลับมาโดยอาจารย์ที่ปรึกษา กานต์อยากจะขอบคุณหล่อนเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่กระชากเขาออกมาจากหลุมของความฝันเฟื่องได้ ตอนนี้กานต์ประจักษ์แล้วว่าความยากของการใช้ชีวิตในต่างแดนไม่ใช่เรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสังคมของที่นี่หรือการเรียนการสอนที่ไม่คุ้นชิน แต่เป็นการอยู่ร่วมกับผู้ชายที่เขาหลงเสน่ห์อย่างเต็มเปาคนนั้นต่างหาก

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก้าวตามหลังอาจารย์ที่ปรึกษาไปยังห้องเรียน

ถึงเขาจะทำตัวไม่ดีไปเมื่อวาน แต่วันนี้เขาจะเป็นเด็กดีอย่างที่เคยเป็น

จะไม่ทำอะไรบ้าๆ อีกแล้ว...

 

ถึงจะบอกว่าการเรียนการสอนนั้นไม่ยากลำบากเท่ากับการอยู่กับออสติน แต่เอาเข้าใจก็ทำหืดขึ้นคออยู่เหมือนกัน นอกจากสำเนียงการพูดของออสตินและมาเรียแล้ว เขาก็ดูเหมือนจะไม่คุ้นชินกับสำเนียงของชาวอเมริกันคนอื่นสักเท่าไรนัก ปัญหาหลักที่เขาต้องเผชิญคือการฟังไม่ทัน ทำให้การเข้าสังคมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันยากพอสมควร พอพักเที่ยง กานต์จึงขอปลีกตัวไปพักตามลำพังด้วยเหนื่อยล้ากับการใช้สมองประมวลผล ตอนนี้ถึงเพิ่งเข้าใจว่าตลอดมาที่ฟังออสตินพูดรู้เรื่องเป็นเพราะอะไร

ผู้ชายคนนั้นตั้งใจพูดช้าๆ เพื่อให้กานต์ได้ฟังอย่างชัดเจน มาเรียก็เช่นกัน แต่ที่หล่อนพูดช้าเป็นเพราะเจ้านายอย่างออสตินสั่งเอาไว้ต่างหาก

ออสติน สเวน ทำอะไรเพื่อเขามากมายจริงๆ...

กานต์บอกย้ำกับตัวเองว่าไม่ควรทำลายความหวังดีของออสตินด้วยการหมกมุ่นคิดแต่เรื่องอกุศลอย่างนั้นเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก่อนจะเดินทอดน่องเลาะไปตามสนามฟุตบอลเพื่อหาที่นั่งพักกินแซนด์วิซที่ซื้อมาจากโรงอาหารเป็นมื้อกลางวัน

หากแต่ขณะที่เดินเลาะไปตามสนามฟุตบอลนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นทีมฟุตบอลกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ เขามีโอกาสได้ดูกีฬาชนิดนี้ผ่านทางโทรทัศน์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยได้ดูให้เห็นกับตาจริงๆ สักครั้ง ดังนั้นระหว่างที่เดินอยู่ก็เลยหยุดที่ข้างสนาม ทอดสายตามองการฝึกซ้อมของนักฟุตบอลเหล่านั้นไปครู่

ทว่า...คงจะมองเพลินไปสักนิดเลยไม่ทันได้สักเกตว่าลูกฟุตบอลลูกเขื่องถูกโยนมาทางเขา รู้ตัวอีกทีว่าตนกลายเป็นคนรับลูกฟุตบอลก็ตอนที่ลูกบอลพุ่งเข้ามากระแทกที่ศีรษะเขาจนล้มไปกับพื้นแล้ว ล้มอย่างเดียวไม่ว่า ยังจะถลาไปล้มใส่กระถางสีที่ภารโรงของโรงเรียนวางไว้ตรงนั้นสำหรับทาสีรั้วที่อยู่ใกล้ๆ อีกต่างหาก ทำเอากางเกงของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยสีขาวไปหมด

“เฮ้ย!”

เสียงของใครบางคนดังตามมา ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะถูกใครสักคนก่นด่า

“จัดการเลยเจฟ! ความผิดนาย ไปรับผิดชอบเร็วเข้า!”

เด็กหนุ่มผู้เป็นมือขว้างลูกฟุตบอลลูกนั้นมุ่ยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่ล้มหงายไม่เป็นท่า เข้ามาใกล้ได้ก็โน้มตัวถาม

“นายโอเคไหม”

กานต์ยังมึนอยู่ แต่ก็พอจะมีสติบ้างแล้ว เงยหน้ามองก็พบว่าคนที่เข้ามาถามเขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์สว่าง รูปร่างสูงใหญ่ตามประสานักฟุตบอล ทว่าก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปจนดูบึกบึนเกินอายุเด็กในรั้วไฮสกูล ที่สำคัญ...เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งทีเดียว มองแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าคงจะเป็นหนุ่มฮ็อตประจำโรงเรียนอะไรอย่างนั้น

“นี่นาย... เด็กใหม่นี่นา”

แล้วจู่ๆ เขาก็ทักขึ้นมาอีกด้วยคุ้นหน้าคุ้นตากับกานต์ ทิ้งตัวลงนั่งยอง ขณะที่คนถูกทักย่นคิ้วยู่

“ฉันอยู่ห้องเดียวกับนาย จำไม่ได้เหรอ ที่นั่งอยู่ข้างหลังห้อง ถัดจากนายไปสองที่นั่งน่ะ”

กานต์ยังคงย่นคิ้วอยู่ เขาจำไม่ได้หรอกว่าเพื่อนในห้องเขาหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากับคนตรงหน้าอยู่บ้างด้วยเขาโดดเด่นกว่าใคร

แต่...ไม่ได้โดดเด่นถึงขนาดจะทำให้กานต์จดจำได้ เพราะในสายตาของเขามีเพียงออสตินเท่านั้น

“ให้ตาย โทษทีนะ ทำนายเปื้อนไปหมดแล้ว”

แล้วจากนั้นก็เพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากจะปาลูกฟุตบอลใส่ศีรษะของเด็กใหม่แล้ว ยังจะทำกางเกงของกานต์เปื้อนไปด้วยสีไม่มีชิ้นดีด้วย กานต์เองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวในคราวนี้ เขาออกจะหัวเสียอยู่เหมือนกันแต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรได้ไง เปื้อนอย่างนี้นายจะเรียนคาบบ่ายได้ไงกัน” อีกฝ่ายโวยทันทีเมื่อได้ยินกานต์ว่าอย่างนั้น ก่อนจะผุดไอเดียขึ้นมา “เอางี้ ที่ห้องชมรมพอจะมีกางเกงวอร์มให้เปลี่ยนอยู่ ไปกับฉันแล้วกัน จะได้ไปเปลี่ยน ดูท่ากางเกงของนายจะใส่อีกไม่ได้แล้วล่ะ”

เป็นอย่างที่ว่านั่นแหละ คงจะต้องทิ้งสถานเดียว ต่อให้เอาแช่ทินเนอร์ก็ไม่สามารถล้างคราบสีออกได้แล้ว

“ไปลุก ฉันพาไป”

พูดเองเออเองเสร็จสรรพ ไม่ลืมที่จะหันไปร้องบอกเพื่อนร่วมทีมด้วยว่าจะแวะไปที่ห้องชมรมสักครู่หนึ่ง ซึ่งก็ไม่มีใครขัดอะไรด้วยเห็นกันทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายที่เดินอยู่ดีๆ ก็ต้องมาเป็นเด็กเก็บฟุตบอลอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ว่าแต่นายจะไปด้วยสภาพนี้จริงๆ น่ะเหรอ ห้องชมรมอยู่ไกลนะ”

เด็กหนุ่มผมบลอนด์หมายถึงในสภาพที่กางเกงเปื้อนสีทั้งตัว หากไปในสภาพนี้ ดูจะเป็นตัวตลกอยู่ไม่น้อย แต่กานต์มีทางเลือกอื่นอีกไหมล่ะนอกจากจะพยักหน้า

“อืม ก็คงจะต้องอย่างนั้นแหละ”

คนฟังย่นคิ้วทันที “น่าเกลียดตาย นายคงไม่อยากถูกล้อตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนหรอกมั้ง เอางี้ เอาเสื้อฉันมัดเอวไปแล้วกัน อย่างน้อยก็พรางสายตาคนอื่นได้”

ไม่พูดเปล่า ถอดเสื้อแจ็กเก็ตวอร์มของชมรมที่สวมอยู่ออกมาด้วย พลันทำท่าจะเอามามัดเข้าที่เอวให้ ทำเอากานต์ต้องรีบร้องปราม

“เดี๋ยวเสื้อนายก็เปื้อนสีไปด้วยหรอก”

คนฟังชะงัก ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันมีหลายตัว ตัวนี้เก่าแล้ว ว่าจะทิ้งอยู่เหมือนกัน ไหนๆ จะทิ้งแล้ว ก่อนทิ้งก็ขอใช้ประโยชน์หน่อย”

ดูเหมือนจะไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย ดึงดันจะทำให้ได้ กานต์มองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มร่าให้เขาแล้วก็รู้สึกถึงสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ขึ้นมา

จะมากระดิกหางระริกระรี้ใส่เขาอย่างเป็นมิตรตั้งแต่เจอกันครั้งแรก... ไม่สิ ครั้งที่สองอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าหมาใจง่าย

แต่อีกฝ่ายจะสนใจอะไร เห็นกานต์ไม่ตอบโต้ก็ถือวิสาสะเอาเสื้อแจ็กเก็ตมาพันรอบเอวทันที

“นายชื่ออะไร” พลันถามออกมา

“อยู่ห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่รู้จักล่ะ”

เพราะความเป็นกันเองของคนตรงหน้าทำให้กานต์ผ่อนคลาย ถึงเขาจะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นมิตรขนาดนี้ ความสบายใจในการพูดคุยก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฉันก็ไม่ได้ฟังที่นายแนะนำตัวเท่าไร เมื่อเช้ายังไม่ตื่นดี” อีกฝ่ายว่าติดตลก ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ตกลงนายชื่ออะไร”

คราวนี้เห็นทีว่าจะไม่ตอบคงไม่ได้แล้ว

“กานต์”

“หืม?”

“เรียกว่าคาร์ลก็ได้ถ้านายไม่ชิน นั่นมันชื่อไทย”

พอพูดไปอย่างนั้น คนตรงหน้าก็ยกยิ้มขึ้นมา

“ได้คาร์ล ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเจฟฟรี่ย์... เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล”

พูดจบจังหวะเดียวกับที่เสื้อแจ็กเก็ตวอร์มถูกมัดที่เอวของกานต์เรียบร้อยพอดี เด็กหนุ่มผมบลอนด์ผละถอยห่างไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาตรงหน้าให้กานต์ได้จับ

“ยินดีที่ได้รู้จัก”

กานต์เพียงยื่นมือออกไปสัมผัสเท่านั้น คนตรงหน้าก็กระชับมือของเขามั่น จับเขย่าๆ พลางว่าด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“เรียกว่าเจฟก็ได้ถ้านายไม่ถนัด บางทีเจฟฟรี่ย์อาจจะยาวไป”

ความเป็นมิตรของเขาทำให้กานต์ผ่อนคลาย รอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบางๆ บนใบหน้า ก่อนที่จะเปล่งเสียงพูด

“ฉันตั้งใจจะเรียกนายว่าคุณโอโคเนลน่ะ”

คนฟังเบ้หน้า “หยึย”

“มันสุภาพดีสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้นายกับฉันรู้จักกันแล้ว เรียกว่าเจฟก็พอ”

“ได้”

“ต้องเรียกว่าเจฟเฉยๆ นะ ไม่ใช่เจฟฟรี่ย์”

คนตรงหน้าย้ำอีกอย่างทะเล้น คราวนี้เรียกเสียงหัวเราะของกานต์ออกมาได้ทันควัน

ได้...เจฟก็เจฟ กานต์บันทึกข้อมูลลงในสมองของตนเองอย่างรวดเร็ว

เพื่อนใหม่ของเขามีชื่อว่า...เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล แต่เขาจะจำไว้ว่าต้องเรียกว่าเจฟเฉยๆ

ยินดีที่ได้รู้จัก...เจฟเฉยๆ

 

กานต์ถูกเพื่อนใหม่พาไปเปลี่ยนชุด โชคดีที่กางเกงวอร์มของนักกีฬามีไซส์สำหรับคนเอเชียตัวเล็กอย่างเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงจะต้องใส่กางเกงเปื้อนสีไปทั้งวันแน่

แต่เพราะเสื้อผ้าที่ต่างจากในตอนเช้าที่ใส่มา ทำให้ออสตินซึ่งมารับตามสัญญาในตอนเย็นต้องหรี่ตามองเขม็ง พอเด็กหนุ่มขึ้นรถมานั่งข้างๆ ก็ไม่วายปราดสายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่กลิ่นเหม็นฉุนของสารเคมีบางอย่างจะลอยมาแตะจมูก

“ไปทำอะไรมา”

พลันก็ถามขึ้นด้วยสงสัย ทำเอากานต์หันไปมองพลางเลิกคิ้วสูง

“ครับ?”

“ฉันถามว่าเธอไปทำอะไรมาถึงได้มีกลิ่นแบบนี้”

อ๋อ สงสัยจะได้กลิ่นสี

“ผมล้มใส่ถังสีเมื่อตอนกลางวันน่ะครับ”

เพียงคำตอบสั้นๆ ก็ทำให้ออสตินเข้าใจได้ว่าทำไมลูกเลี้ยงของเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อเช้า แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงกลับไม่ใช่เรื่องนั้น เขาเป็นห่วงอย่างยิ่งในเรื่อง...

“โดนใครแกล้งหรือเปล่า”

...โดนบูลลี่

สิ่งนี้ล่ะที่ทำให้ออสตินไม่ยอมให้กานต์ไปกลับเองโดยอ้างว่าจะมารับส่งจนกว่าจะเคยจริง ความจริงแล้วเขาต้องการจะมาคอยดูต่างหากว่าลูกเลี้ยงของเขาถูกใครรังแกหรือไม่ต่างหาก

เด็กอเมริกันบางจำพวกก็ไว้ใจไม่ได้...

“เปล่าครับ”

“เธอแน่ใจนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า ออสตินมองจ้องนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่เชื่อคำพูดสักเท่าไรเพราะพอจะรู้ว่าเด็กอย่างกานต์คงจะไม่มีวันบอกอะไรเขาแน่ถ้าไม่ถูกต้อนจนมุม แต่ก็ไม่อยากจะคาดคั้น จึงได้ถามไปเรื่องอื่น

“แล้วเอาชุดใครมาใส่”

“ชุดของชมรมฟุตบอลน่ะครับ”

“ไปเอามาได้ยังไง”

“พอดีกัปตันชมรมเป็นคนให้ยืมมา”

แน่นอนว่าหมายถึงเจฟฟรี่ย์ กานต์เพิ่งจะมารู้ในระหว่างที่ถูกพาไปเปลี่ยนชุดว่าเขาเป็นกัปตันทีมตอนที่คุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับการที่ออสตินพยายามหาทางจับผิดอะไรบางอย่าง

“อย่าบอกฉันว่าหมอนั่นเป็นคนทำให้เธอต้องล้มใส่ถังสีด้วย”

ใช่เลย...มันเป็นอย่างนั้นแหละ พอกานต์พยักหน้า ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของออสตินก็วูบไหวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถามเสียงเรียบออกมา

“หมอนั่นชื่ออะไร”

“จะ...เจฟครับ”

“เจฟอะไร”

“เขาบอกให้ผมเรียกเขาว่าเจฟเฉยๆ”

“...”

“เจฟฟรี่ย์ โอโคเนลครับ”

ว่าจะหยอกสักหน่อย แต่ถูกสายตานั้นกับความเงียบงันคาดคั้น กานต์ก็ออกอาการปากเปราะทันที หากแต่ออสตินได้ยินชื่อนั้นแล้วก็คลายความดุดันในสายตาลง

“เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล?”

“ครับ”

“อืม”

ครางรับเพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก ท่าทางที่ดูเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างทำให้กานต์อดสงสัยไม่ได้

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฉันรู้จักเด็กนั่น”

“ครับ?”

“ลูกชายของคุณโอโคเนล หุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัทฉันเอง”

กานต์ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่าโลกจะกลมถึงขนาดนี้ แต่ออสตินก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแสดงออกมาให้เห็น ได้แต่พูดสั้นๆ เท่านั้น

“หมอนั่นนิสัยใช้ได้ คบเป็นเพื่อนไว้ก็ดี ดีใจด้วยที่เธอมีเพื่อนใหม่แล้ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องการวางตัวหน่อย หมอนั่นค่อนข้างจะเป็นนักปาร์ตีตัวยง ระวังถูกพาเสียคน อย่าคล้อยตามไปทุกอย่าง”

แล้ว...อย่างไรต่อล่ะ?

ก็ไม่ยังไงต่อ ออสตินไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้ว ทำเพียงสตาร์ตรถแล้วขับออกไปเท่านั้น ปล่อยให้กานต์ได้นั่งนิ่ง เบนสายตามองออกไปข้างทาง ขณะที่ออสตินขับรถไปก็เหลือบมองคนข้างกายตัวเองไปด้วย

เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล...

 เจฟเฉยๆ...

เจ้าเจฟเฉยๆ กำลังจะมาเป็นเพื่อนคนแรกของลูกเลี้ยงเขา

จู่ๆ หัวคิ้วก็ย่นเข้ามาชนกันอย่างไม่อาจควบคุมได้ ภายในใจของออสตินนั้นคิดอะไรอยู่ เด็กหนุ่มข้างๆ เขาไม่อาจรับรู้ได้เลยนอกจากความเงียบตลอดทางกระทั่งถึงบ้าน

----------------------------------

ตอนแรกว่าจะไม่อัป เขียนจบตอนพอดี (อีกแล้ว ฮา) เลยอัปให้เลยค่ะ เรื่องนี้เขียนไวเพราะกำลังอิน

เห็นหลายๆ คอมเมนต์บอกว่าอยากอ่านพาร์ตที่เป็นความคิดของแด๊ดดี้ ใจเย็นๆ นะคะ มันเพิ่งเปิดเรื่อง แต่เดี๋ยวมีแน่ๆ ค่ะไม่ต้องห่วงเน้อ ตอนนี้อยู่กับความวัยรุ่นว้าวุ่นของน้องกานต์ก่อนนะ

ฝากฟีดแบ็กกันด้วยจ้า ^^

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 7:New friend[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-02-2018 22:48:25
เพื่อนใหม่น้องกานต์จัดว่าคูลเลยทีเดียว แด๊ดดี้ไม่หึงเนอะ ถถถ :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 7:New friend[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-02-2018 02:25:31
เจฟที่ดีหรือไม่ดี ท่าทางคุณพ่อไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่  o18
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 8:Question[24-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-02-2018 18:14:39
 

Chapter 8: Questions[1]

การได้ไปโรงเรียนเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้กานต์เลิกหมกมุ่นกับเรื่องของออสติน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เลิกคิดอย่างเด็ดขาด ก็ต้องยอมรับว่าเขายังคงคิดอยู่ เพียงแต่ไม่ได้คิดตลอดเวลาแล้ว ด้วยมีสิ่งอื่นที่ต้องใส่ใจมากกว่าเรื่องของพ่อเลี้ยง แน่นอนว่ามีเรื่องการเรียนการสอนที่ต้องปรับเข้ากับระบบที่ไม่คุ้นเคยให้ได้ ไหนจะเรื่องชมรมที่ต้องมีเพื่อสร้างสังคม และเรื่องเพื่อน...

“ไง”

เสียงของใครบางคนดังขึ้นขณะที่กานต์กำลังก้มหน้าจัดการกับมื้อเที่ยงของตัวเอง พอเห็นว่าเป็นเจฟฟรี่ย์ในชุดวอร์มของชมรมฟุตบอล เขาก็ส่งยิ้มให้

“ไงเจฟเฉยๆ”

คนถูกเรียกอย่างนั้นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม

“มากินมื้อเที่ยงคนเดียวอีกแล้ว ทำไมไม่ไปกับพวกนั้นล่ะ”

พวกนั้นก็คือกลุ่มเพื่อนในห้องที่เจฟฟรี่ย์แนะนำให้รู้จัก เด็กพวกนั้นไม่ได้เลวร้าย ออกจะนิสัยดีเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเขากลายเป็นที่สนใจของกลุ่มเด็กพวกนั้นจากการโอ้อวดของคนตรงหน้า

ก็เจฟฟรี่ย์เที่ยวไปบอกใครต่อใครว่ากานต์เป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของเขานี่นา หนุ่มฮ็อตที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างเขาก็ต้องมีสาวๆ อยากจะเอาใจอยู่แล้ว เผื่อว่าการทำตัวดีกับเพื่อนสนิทของเขาจะเป็นการเปิดโอกาสให้เจฟฟรี่ย์สนใจมาเดตกับพวกเธอสักคนก็เป็นได้ หากแต่กานต์ไม่ได้สนใจสักเท่าไรนัก ค่อนไปทางอึดอัดด้วยสาวๆ พวกนั้นเอาแต่ถามถึงเรื่องของเจฟฟรี่ย์ ต่อให้ไม่ถามก็พูดถึงอยู่ดี ไม่ใช่เพียงแค่สาวๆ ด้วย หนุ่มๆ บางคนก็เช่นกัน มันทำให้กานต์อึดอัดอยู่ไม่น้อย จนสุดท้ายก็ต้องปลีกตัวมาใช้เวลาตามลำพัง

“ฉันว่าจะไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาสักหน่อยน่ะ ก็เลยมากินคนเดียว”

กานต์อ้าง จริงๆ แล้วเขาไม่มีเรื่องจำเป็นที่จะต้องไปพบกับที่ปรึกษาเสียหน่อย แค่ไม่อยากให้เจฟฟรี่ย์ซึ่งอุตส่าห์แนะนำเพื่อนคนอื่นๆ ให้รู้จักคิดว่าเขาปฏิเสธความหวังดีก็เท่านั้น

“นายไปทำอะไรไว้ล่ะถึงต้องไปพบ โดดเรียนหรือถูกจับได้ว่าไปกุ๊กกิ๊กกับสาวๆ ในห้องน้ำโรงเรียน?”

เจฟฟรี่ย์ว่าติดตลก เรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับกานต์อยู่แล้ว เขาเองก็รู้ว่าคนตรงหน้าว่าหยอก จึงได้แต่หัวเราะรับมุกตลกนั่นไป

“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“อีกหน่อยนายก็คงจะทำถ้านายยังคิดจะคบฉันเป็นเพื่อนน่ะนะ”

นี่ก็พูดเล่น แต่กานต์พอจะรู้ว่ามันมีเค้าโครงความจริงอยู่บ้าง ได้ยินสาวๆ จากกลุ่มเพื่อนที่เจฟฟรี่ย์แนะนำให้รู้จักเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าพวกผู้ชายในชมรมฟุตบอลชอบชวนพวกหล่อนไปทำเรื่องอย่างว่าในห้องน้ำของชมรม บางครั้งก็เป็นหนุ่มๆ ด้วยกันเอง เรื่องนี้ถึงหูอาจารย์ในโรงเรียนหลายครั้งแล้ว ถูกจับได้ก็หลายครั้งเช่นกัน เรียกกันว่าเป็นที่โจษจันเลยทีเดียว

“แต่ฉันไม่พาใครไปกุ๊กกิ๊กในห้องน้ำชมรมหรอก”

พอพูดไปอย่างนี้ เจฟฟรี่ย์ก็หัวเราะ มือยื่นไปคว้าเอาแคร์รอตต้มในจานอาหารของคนตรงหน้ามาเข้าปากอย่างถือวิสาสะ

“งั้นเหรอ? ก็ไม่แน่นะ เรื่องของอนาคต ใครจะไปรู้”

แล้วก็เคี้ยวแคร์รอตนั่นตุ้ยๆ กานต์ยิ้มน้อยๆ ตอบรับ ถึงเจฟฟรี่ย์จะชอบพูดไปเรื่อยเปื่อย บางครั้งก็ห่ามและตรงไปบ้างจนกานต์ไม่ชิน แต่ความเป็นกันเองของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายสบายใจที่จะพูดคุยกับเขามากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ก่อนที่กานต์จะว่าเสียงเบามาอีกครั้ง

“ฉันไม่ทำหรอก เก็บห้องน้ำของชมรมนายไว้ใช้เองเถอะกัปตัน”

คราวนี้เจฟฟรี่ย์ถึงกับเลิกคิ้วสูงกับสรรพนามนั้น กานต์เองก็รู้จักตอบโต้เหมือนกัน ไม่ใช่จะสงบปากสงบคำอย่างท่าทางที่เห็น

“จะว่าไป ฉันมีเรื่องจะถาม”

แล้วเจฟฟรี่ย์ก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมา พอกานต์สบตา คนตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาทันควันโดยไม่รอให้กานต์ได้ถามก่อนว่าเรื่องอะไร

“ฉันได้ยินมาว่านายเป็นลูกเลี้ยงของคุณสเวน”

เรียวคิ้วของกานต์ย่นยู่เล็กน้อย เขาไม่เคยบอกกับเพื่อนคนไหนเรื่องนี้ มีเพียงอาจารย์ที่ปรึกษากับครูใหญ่รู้เท่านั้น

“นายไปได้ยินมาจากไหน”

น้ำเสียงที่เจือความครียดเล็กน้อยหลุดออกจากริมฝีปากสีเชอร์รี

“ได้ยินครูที่ห้องพักครูคุยกัน” จากนั้นก็รีบแก้ตัวยกใหญ่เมื่อเห็นกานต์ขมวดคิ้วยู่ “แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังนะ พอดีเอาของไปให้โค้ชก็เลยได้ยิน”

กานต์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่เรื่องของเขาถูกพูดถึงมากกว่า แต่ก็เอาเถอะ ออสตินไม่ได้สั่งห้ามนี่ว่าห้ามบอกให้ใครรู้ ไม่อย่างนั้นเขาจะมาส่งลูกเลี้ยงของตัวเองที่โรงเรียนทำไม ทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าพร้อมที่จะเปิดเผยอยู่แล้ว

“ตกลงนายเป็นลูกเลี้ยงของคุณสเวนจริงไหม”

เจฟฟรี่ย์ถามมาอีกเมื่อเห็นว่ากานต์เงียบ ต่อให้เสียมารยาทแต่เขาก็อยากรู้ กานต์นิ่งไปครู่ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าครอบครัวของอีกฝ่ายก็รู้จักกับออสติน คงจะไม่เป็นอะไรถ้าจะบอกความจริงไป

“อืม ฉันเป็นลูกเลี้ยงของเขา”

“นายพูดจริงเหรอ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่กานต์บอก เจฟฟรี่ย์ก็เบิกตาโต ก่อนหน้าที่จะได้ยินครูพวกนั้นคุยกัน เขาก็พอจะได้ยินพ่อแม่ของเขาคุยกันมาก่อนอยู่บ้างว่าออสตินจะรับอุปถัมภ์เด็กชาวเอเชียซึ่งเป็นลูกของผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วย แต่ก็ไม่คิดว่าโลกจะกลมถึงขนาดนี้

“อืม”

พอกานต์ขานรับ เจฟฟรี่ย์ก็หยิบเอามันฝรั่งทอดในจานอาหารของกานต์เข้าปากไปอีก เคี้ยวตุ้ยๆ พลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

“ไม่น่าเชื่อ โลกกลมชะมัด ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้มาเป็นเพื่อนกับลูกเลี้ยงของคุณสเวน”

กานต์พยักหน้า คิดเช่นเดียวกัน เขาก็ไม่คิดว่าจะได้มาเป็นเพื่อนกับลูกชายหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทที่พ่อเลี้ยงของตนเป็นเจ้าของอยู่ ก่อนที่เจฟฟรี่ย์จะเปิดปากอีก

“งั้นก็แสดงว่าเรื่องที่พ่อแม่ฉันคุยกันเป็นความจริง”

“พ่อแม่นายคุยอะไร”

“พวกเขาบอกว่านายไม่เคยเจอหน้าคุณสเวนมาก่อน มาอยู่ด้วยทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ตัวเองแต่งงานกับพ่อมด...ไม่สิ คุณสเวนน่ะ”

“พ่อมดเหรอ?”

“เขาได้รับฉายาว่าเป็นพ่อมดแห่งโลกตลาดหลักทรัพย์” เจฟฟรี่ย์ขยายความให้ “แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ตอบฉันมาดีกว่าว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงไหม”

ถึงจะอยากปฏิเสธแต่มันก็คือเรื่องจริง ดังนั้นกานต์จึงพยักหน้ารับไป ทำให้เจฟฟรี่ย์ครางออกมา

“ไม่อยากจะเชื่อว่ามีเรื่องแปลกๆ แบบนี้ด้วย แต่ที่แปลกกว่าคือคนอย่างคุณสเวนแต่งงาน”

“มันแปลกยังไงเหรอ”

เจฟฟรี่ย์มองหน้าคนถามทันที “นายไม่รู้เหรอว่าเขามีข่าวลือว่าอะไร”

แน่นอนว่าต้องไม่รู้ เด็กหนุ่มส่ายหน้าทันควัน

“คุณสเวนเป็นนักธุรกิจที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการตลาดหลักทรัพย์ มีผู้หญิงมากมายอยากจะจับเขาก็จริง แต่นายรู้ไหมว่าเขาไม่เคยมีข่าวว่าออกเดตกับใครให้ได้ยินเลย จนมีข่าวลือมาว่าเขาน่ะตายด้าน”

กานต์หัวเราะน้อยๆ คงจะจริงอย่างนั้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเคยแสดงออกต่อหน้าออสตินจนถูกปฏิเสธมา

ต่อให้เขาเป็นผู้หญิงก็คงจะโดนปฏิเสธ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะตายด้านจริงๆ นั่นล่ะ

“แต่น่าตกใจนะที่จู่ๆ เขาก็แต่งงาน ไม่ประกาศอะไร รู้กันอีกทีก็ตอนที่เขาแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ขนาดคนสนิทของเขาบางคนยังไม่รู้เรื่องนี้เลย”

เจฟฟรี่ย์ว่าขึ้นมาอีก กานต์ฟังอย่างตั้งใจ เรื่องนี้เขาก็ได้ยินมาเรียพูดเหมือนกันว่าหล่อนตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ออสตินก็มาบอกว่าแต่งงานแล้วและจะพาภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่หล่อนก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรไปมากกว่านี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย

“แล้วเขาดีกับนายไหม”

จู่ๆ เจฟฟรี่ย์ก็เปลี่ยนเรื่อง คงเพราะรู้ว่ากานต์เข้ามาอยู่ที่บ้านของออสตินหลังจากที่มารดาเสียชีวิตถึงได้ถามอย่างนี้

“ดีสิ”

“จริงเหรอ”

“อื้ม ดีมาก”

“ดีของเขานี่เป็นยังไง ไม่ใช่ว่าให้นายไปนอนห้องใต้บันไดหรือห้องใต้หลังคาอะไรแบบนั้นหรอกนะ”

พูดมาถึงตอนนี้ กานต์ก็หัวเราะ

“ไม่ใช่หนังพ่อเลี้ยงใจร้ายกับลูกเลี้ยงผู้น่าสงสารซะหน่อย แด๊ดดี้ให้ฉันไปนอนห้องเดิมของแม่น่ะ”

เอ่ยคำว่า ‘แด๊ดดี้’ ออกมาก็ชวนให้เจฟฟรี่ย์สะดุดหูอยู่ไม่น้อยเพราะคนตรงหน้าไม่ได้ผูกพันอะไรกับออสตินเลยสักนิด จู่ๆ มาเรียกว่าแด๊ดดี้มันก็แปลก หากทว่าคำว่า ‘ห้องเดิมของแม่’ ทำให้เขาสะดุดมากกว่า

“เฮ้ๆ เดี๋ยวนะ ที่นายบอกว่าห้องเดิมของแม่นี่หมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าเขาไม่ได้นอนร่วมห้องกับแม่นาย?”

เป็นกานต์บ้างแล้วที่ชะงัก เขาไม่เคยฉุกใจคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่สำหรับเจฟฟรี่ย์ที่ไม่ได้ไม่ประสากับเรื่องเหล่านี้กลับรู้สึกถึงความผิดปกติตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของกานต์ พอกานต์พยักหน้าให้เป็นคำตอบ เขาก็ทำหน้าไม่เชื่อออกมา

“เอาจริงดิ แต่งงานกันแต่ไม่ได้นอนร่วมห้องกันนี่นะ?”

ความเงียบเป็นคำตอบชั้นดี พอเจฟฟรี่ย์โพล่งออกไปแบบนี้ กานต์ถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แปลกแฮะ แต่ก็น่าสนใจ”

เด็กหนุ่มผมบลอนด์ทำท่าเหมือนได้ยินเรื่องสนุก ทว่าเขาก็ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เพื่อนในชมรมที่ตามหาตัวกัปตันทีมอยู่นานสองนานก็มาโผล่อยู่ทางข้างหลัง ก่อนจะจัดการลากอีกฝ่ายให้ไปฝึกซ้อมประจำวันทันใด

“เดี๋ยวฉันต้องไปก่อน ไว้เจอกันใหม่นะคาร์ล”

กานต์พยักหน้ารับ ยกมือขึ้นเตรียมจะบอกลา แต่ก็ต้องยกค้างเมื่อเจฟฟรี่ย์เอื้อมมือมาหยิบของกินจากจานอาหารเที่ยงของเขาอีก

“ขอบใจสำหรับมันฝรั่งทอด”

พูดจบก็เอาเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ พลันเดินออกไปนอกอาคารกับเพื่อน ปล่อยให้กานต์มองจานอาหารของตนที่แหว่งเป็นหย่อมๆ เพราะถูกเจ้านักฟุตบอลตัวโตนั่นแย่งกินแล้วหัวเราะกับตัวเองตามลำพัง

เจ้าเจฟเฉยๆ นี่ตะกละน่าดู โดนแย่งของกินแบบนี้จะเรียกว่าโดนบูลลี่ได้หรือเปล่านะ?

ขณะเดียวกันก็มีสิ่งหนึ่งที่รบกวนใจเขาขึ้นมา...

เรื่องของออสตินกับแม่ของเขา...

กานต์เม้มริมฝีปาก คิดไม่ตกเรื่องนี้ฉับพลัน

 

ออสตินยังคงมารับเด็กหนุ่มหลังเลิกเรียนตามสัญญา หากแต่วันนี้เขาทั้งคู่ไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่มุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งที่อยู่ละแวกแมนฮัตตัน โดยออสตินบอกกับลูกเลี้ยงของตนว่าอยากจะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะตั้งแต่ที่กานต์ย้ายมาอยู่ที่นี่ ยังไม่มีวันไหนเลยที่ได้ออกกินทานอาหารเย็นนอกบ้าน

ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ตกแต่งอย่างหรูหราเป็นที่หมายของพวกเขา กานต์รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางไปเสียหน่อยเมื่อเดินเข้ามาด้านในและเห็นบรรยากาศในร้าน ชุดไปรเวทที่เขาใส่ไปเรียนไม่ได้เข้ากับร้านอาหารหรูนี่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งออสตินเองก็คิดแบบนั้น ก่อนลงจากรถจึงได้ยื่นเสื้อสูทตัวหนึ่งให้กับเขาพร้อมกับบอกว่า ‘ให้เป็นของขวัญ’

ของขวัญชิ้นที่สองที่ไม่มีโอกาสพิเศษใดๆ กานต์อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายไปรู้ขนาดตัวของตนได้อย่างไร แต่ไม่ต้องเอ่ยปาก ออสตินก็ไขข้อข้องใจให้เป็นที่เรียบร้อยว่าเอาเสื้อแจ็กเก็ตของเขาที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าไปให้ช่างวัดเอา

เรียกได้ว่าเป็นการเซอร์ไพรส์ที่เหนือความคาดหมายของกานต์มากจริงๆ...

แต่ถึงจะสวมสูททับเพื่อให้กลมกลืนไปกับร้านอาหารร้านนี้ กานต์ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางอยู่ดี พอจะสงบลงได้เมื่อออสตินโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหู

“ไม่ต้องเกร็ง ทำตามฉันก็พอ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า เดินตามหลังผู้ชายอีกคนไปขณะที่บริกรเลื่อนเก้าอี้ให้ทั้งคู่นั่ง ออสตินนั่งลงก่อน พลันปรายตามองกานต์ที่ขยับร่างกายเหมือนกับหุ่นยนต์ ก่อนที่รอยยิ้มจะประดับขึ้นมาที่มุมปาก

“ฉันบอกว่าไม่ต้องเกร็งไง”

“พูดน่ะมันง่าย แต่ทำจริงๆ มันไม่ง่ายนะครับ”

กานต์เถียงหลังจากนั่งลงได้ ออสตินหัวเราะในลำคออย่างขบขัน ทำท่าจะส่งเมนูอาหารให้ แต่ก็ต้องหยุดมือไว้เมื่อกานต์สวนขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“แล้วก็อย่าคิดให้ผมสั่งอาหารเลยครับแด๊ดดี้”

“ทำไมล่ะ”

“ผมไม่รู้จักอาหารอิตาเลี่ยนหรอกครับ สั่งมาแล้วเดี๋ยวกินไม่ได้ แด๊ดดี้สั่งให้ผมเลยครับ”

พูดไปก็ทำหน้าตาจริงจัง ออสตินรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายพูดจริง ซึ่งก็ไม่แปลก กานต์เกิดและโตที่เมืองไทยมาทั้งชีวิต และเขาก็ไม่ได้กินอาหารต่างชาติบ่อยสักเท่าไรนัก รู้จักมักกะโรนี สปาเก็ตตี้ กับพิซซ่าก็ถือว่าดีแล้ว ออสตินจึงไม่ได้ขัดอะไร สั่งอาหารที่คาดว่าลูกเลี้ยงของเขาน่าจะกินได้มา

ไม่นานนัก อาหารน่าตารับประทานก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะ แต่กานต์ก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับอาหารที่เขาไม่เคยเห็นหรือเคยกินมาก่อนสักเท่าไร เพียงแค่ตื่นตาตื่นใจในแวบแรกเท่านั้น ก่อนที่จะนั่งขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง

“เป็นอะไร อาหารไม่อร่อยเหรอ”

เห็นเด็กหนุ่มทำท่าเหมือนไม่อยากอาหาร ออสตินก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ ทว่ากานต์กลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“แล้วทำไมถึงไม่ค่อยกิน”

อันที่จริงต้องเรียกว่าไม่กินเลยจะดีกว่า กานต์ยอมรับว่าคำพูดของเจฟฟรี่ย์รบกวนจิตใจของเขามาตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว เขาเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนิ่งๆ ความรู้สึกที่อยากจะดื่มด่ำกับการกินมื้อเย็นสุดหรูมื้อนี้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย มีเพียงอยากจะถามคำถามที่ค้างคาใจอยู่เท่านั้น

“แด๊ดดี้ครับ”

ในที่สุดก็ออกปากไปจนได้ ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังกระดกแก้วไวน์จรดที่ปลายจมูกต้องชะงัก

“ผมมีเรื่องอยากจะถาม”

“ว่ามาสิ”

“แต่ผมไม่แน่ใจว่าแด๊ดดี้จะอยากตอบผมหรือเปล่า”

“เธอยังไม่ได้ลองถามด้วยซ้ำ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าฉันอยากจะตอบหรือไม่อยากตอบ”

“ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัว...”

“ลองถามมาก่อน”

พูดมาอย่างนี้ กานต์ก็ไม่เซ้าซี้ เม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วรวบรวมความกล้าถามออกไป

“แด๊ดดี้แต่งงานกับแม่ของผมใช่ไหมครับ”

“อืม”

“จดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องด้วย?”

“ใช่”

“แล้วทำไมถึงแยกห้องนอนกันล่ะครับ”

ถึงตอนนี้ ออสตินเหลือบขึ้นมามองหน้า เข้าใจแล้วว่าทำไมกานต์ถึงไม่เจริญอาหาร แต่พอเห็นดวงตาสีนิลจับจ้องมายังเขาอย่างขอคำตอบ เขาก็ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ลิ้มรสความหวานระคนเฝื่อนอยู่ครู่ ไม่ยอมตอบอะไรสักที ทำให้กานต์กระสับกระส่ายจนต้องทวงคำตอบอีกครั้ง

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 7:New friend[22-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-02-2018 18:15:33
Chapter 8: Questions[2]


“แด๊ดดี้ครับ ผมอยากรู้”

วินาทีนี้เองที่ออสตินยอมเอ่ยปาก

“อยากรู้เพราะอะไร”

แต่ไม่ใช่คำตอบที่เด็กหนุ่มต้องกานต์ ถามกลับเสียอย่างนั้น

“ผมก็แค่อยากรู้ว่าทำไมคนที่เป็นสามีของแม่ผมถึงไม่นอนร่วมห้องกับแม่ก็เท่านั้น”

เป็นครั้งแรกที่กานต์พูดออกไปตามที่ตัวเองคิด ออสตินออกจะประหลาดใจอยู่สักหน่อยที่คนตรงหน้ากล้าถามอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร ตอบคำถามให้

“คนที่เป็นสามีภรรยากันไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา บางทีก็มีบ้างที่ต้องการความเป็นส่วนตัว”

“ก็เลยแยกห้องนอนเหรอครับ”

“อืม”

“แยกห้องนอน... แสดงว่าแต่งงานกับแม่ผมแต่ไม่ได้มีอะไรกันเลยใช่ไหมครับ”

ออสตินถึงกับชะงักทันควัน คราวนี้ขมวดคิ้วมองคนถามอย่างดุๆ

“ถามทำไม”

“ไม่รู้สิ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าแด๊ดดี้กำลังปิดบังอะไรผม”

เรื่องนั้นออสตินไม่ตอบหรอก ถึงเขาจะมีเรื่องที่ปิดบัง แต่มันก็...

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันจะบอกหรือไม่บอกเธอ มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันจริงไหม”

กานต์พยักหน้ารับ ก่อนที่อีกฝ่ายจะว่าต่อ

“และต่อให้ฉันจะมีหรือไม่มีอะไรกับแม่ของเธอ แล้วมันสำคัญยังไง เธอมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่าถ้าได้รู้เรื่องนี้?”

“ไม่มีครับ”

“รู้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรใช่ไหม”

“ครับ”

“ถ้างั้นก็ไม่สำคัญที่จะต้องตอบคำถามนั้น”

เด็กหนุ่มยอมแพ้แล้ว เขาตะล่อมออสตินไม่ได้เลยสักทาง จึงได้แต่ก้มหน้างุด มองอาหารในจานตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่อยากจะแตะต้องมันเลยแม้แต่น้อย

ความจริงคำถามเมื่อครู่นี้ เขาก็ไม่ควรที่จะถามมันนั่นแหละ แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ นี่ ถ้าเจฟฟรี่ย์ไม่พูดมาอย่างนั้น เขาก็คงจะไม่ตัดสินใจถาม

“เป็นอะไร”

ออสตินที่เห็นว่าลูกเลี้ยงของตนเอาแต่นั่งก้มหน้าก็ออกปาก กานต์เงยหน้าขึ้นมามองพลันส่ายศีรษะ

“เปล่าครับ”

“คิดมากเรื่องที่แม่ของเธอไม่ได้นอนห้องเดียวกับฉันหรือไง”

กานต์เป็นเด็กหนุ่มที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกและความคิดของตัวเอง เมื่อถูกถามก็พยักหน้ารับไปซื่อๆ

ออสตินวางมีดและส้อมในมือลง คว้าผ้าขึ้นมาเช็ดมือพลางว่าอย่างสบายๆ

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็มานอนห้องเดียวกับฉันดีไหมล่ะ”

กานต์เบิกตาโตอย่างไม่เชื่อหูทันควัน

“อะไรนะครับ”

จากนั้นก็มั่นใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไปอย่างแน่นอนเมื่อออสตินว่าขึ้นมาอีกที

“จะได้ชดเชยที่แม่ของเธอไม่ได้นอนห้องเดียวกับฉันไง”

นะ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?

“ฉันพูดจริง” เห็นท่าทางอึ้งงันของกานต์แล้วก็พอจะเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรจึงได้ยืนยันคำพูดไปอีกครั้ง

มือของเด็กหนุ่มสั่นระริกขึ้นมาทันที ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระส่ำเมื่อมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นไม่ผิด

นอน...หมายความว่า...

“แค่นอนเฉยๆ นอนหลับ”

ยังไม่ทันจะได้คิดจนจบ ออสตินก็ว่าออกมาแล้ว กานต์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก...หรือเสียดาย เขาก็ไม่แน่ใจตัวเองสักเท่าไรนัก แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือทำไมจู่ๆ ออสตินถึงพูดอย่างนี้ออกมามากกว่า ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาน่ะ...

“แต่แด๊ดดี้รู้ใช่ไหมครับว่าถ้าผมนอนห้องเดียวกับแด๊ดดี้ ผมคง...”

...คงคิดฟุ้งซ่านแล้วก็ทำเรื่องบ้าๆ อย่างที่เคยทำตอนนั้นขึ้นมาอีก

ออสตินรู้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดก็รู้ เขาเหลือบมองแล้วก็ว่าช้าๆ

“ฉันก็แค่เสนอเพราะเห็นว่าเธอเป็นครอบครัวเดียวกันกับฉัน การนอนด้วยกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวมันเป็นเรื่องปกติ ถ้าเธออยากจะนอนด้วย ฉันก็ไม่ว่าอะไร ส่วนเรื่องนั้น เธอจะทำได้หรือไม่ได้ มันขึ้นอยู่ที่ตัวเธอ ฉันมีหน้าที่แค่เตือนในฐานะผู้ปกครอง”

‘ผู้ปกครอง’… คำนี้ทำให้กานต์ต้องย้ำเตือนตัวเอง

ต้องไม่คิดอะไร...

ต้องไม่ฟุ้งซ่าน...

ต้องไม่หลงเสน่ห์ของผู้ชายตรงหน้าไปมากกว่านี้...

“ตัดสินใจเอาเองนะ”

“ครับ”

เด็กหนุ่มขานรับเสียงแผ่ว ปล่อยให้ออสตินได้ลงมือกินอาหารต่อ ครู่หนึ่งถึงได้ตัดสินใจ

“แด๊ดดี้ครับ”

“หืม?”

“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่ผมว่าผมไม่เอาดีกว่า ผมกลัวว่าจะควบคุมความคิดของตัวเองไม่ได้”

“แล้วแต่เธอ”

ออสตินตอบรับสั้นๆ เพียงเท่านั้น ไม่มีมีท่าทางอยากจะรั้งหรือให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้งเลยแม้แต่น้อย จากนั้นความเงียบก็เข้ามาครอบงำพวกเขาทั้งคู่ตลอดมื้ออาหารนั้น

 

หลังจากกลับมาบ้าน ทั้งคู่ก็ต่างแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวของตนก่อนจะเข้านอน ทั้งที่คืนนี้น่าจะเป็นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมาแท้ๆ แต่คำพูดของออสตินกลับดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มไม่หยุดหย่อน

กานต์พลิกตัวไปมาบนเตียง กระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

‘ถ้าอย่างนั้นเธอก็มานอนห้องเดียวกับฉันดีไหมล่ะ’

ถ้าตอบตกลงไป ก็คงไม่ต้องมากระสับกระส่ายอย่างนี้

กานต์คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหน้าจอ เห็นนาฬิกาบอกเวลาว่าตีสอง เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ป่านนี้ออสตินคงจะหลับไปแล้วล่ะ

แต่...เขานอนไม่หลับนี่นา สงบสติอารมณ์ไม่ได้ด้วย ลุกพรวดขึ้นมา มองรอบห้องภายใต้ความมืดพลางถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

อยากนอนกับแด๊ดดี้... อยากนอนห้องเดียวกัน...

กานต์ยกมือขึ้นลูบใบหน้า อยากจะตะโกนออกมาให้ออสตินรับรู้นัก ทว่าก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ขืนโดนโกรธขึ้นมาที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าๆ บอๆ กลางดึก มีหวังคงถูกดุแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็หลับไม่ลงอยู่ดี สุดท้ายก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงจากเตียง ก้าวออกนอกห้องไปยืนอยู่ที่หน้าประตูของห้องข้างๆ สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายต่อหลายครั้ง พลันยกมือขึ้นเคาะ

“แด๊ดดี้ครับ”

ร้องเรียกเสียงเบาด้วย กลัวว่าคนด้านในจะไม่ได้ยิน ยืนรออยู่สักพัก ไม่เห็นมีคนมาเปิดก็ถอนหายใจตบท้ายอีกที

สงสัยจะหลับไปแล้ว...

ตัดใจในฉับพลัน เกือบจะหมุนตัวกลับห้องอยู่แล้ว แต่ประตูก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน หันไปมองก็เห็นออสตินที่อยู่ในชุดนอนยืนมองอยู่ สีหน้าของเขาในตอนนี้มีคำถามผุดพรายอย่างชัดเจนว่า ‘มีอะไร’ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เอาแต่มองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ถึงออสตินจะใส่เพียงเสื้อยืดกับกางเกงขายาว ไม่ได้ใส่สูทอย่างเคย แต่ก็มีเสน่ห์ชวนมองจนทำให้เด็กหนุ่มลืมเรื่องที่จะพูดไปหมดสิ้น

เสื้อยืดสีขาวบางๆ ที่แนบลู่ไปกับผิวเนื้อจนเหมือนจะเห็นลอนกล้ามหน้าท้องข้างในนั้น...

กางเกงขาวยาวพอดีตัวที่เกาะต่ำอยู่ช่วงสะโพกจนเห็นไรขนอ่อนๆ วับแวม...

ทำเอาสติของกานต์แทบจะเตลิดเปิดเปิง!

เรียวคิ้วเข้มของออสตินขยับขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่ามีอะไรเมื่อเห็นว่าลูกเลี้ยงของตนไม่ยอมพูด ก่อนที่จะเรียกคนตรงหน้าเพื่อดึงสติเมื่อเห็นว่าจ้องมองเขานานเกินไป

"กานต์"

"อะ...ครับ?"

"มีอะไร"

นั่นสินะ มีอะไรล่ะถึงได้มายืนเคาะประตูห้องเรียกกลางดึกอย่างนี้

กานต์เม้มริมฝีปากแน่น นึกเรื่องที่ตั้งใจจะพูดขึ้นมาได้ก่อนที่จะเปล่งเสียง

"เรื่องนอนกับแด๊ดดี้...ผมเปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหมครับ"

ออสตินยกมือขึ้นกอดอกทันใด สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องด้วย

"เปลี่ยนใจตอนตีสองเนี่ยนะ"

เด็กหนุ่มพยักหน้า รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่สมควร อาจจะทำให้ออสตินหัวเสียได้ แต่ก็ให้ทำอย่างไรได้ล่ะ จิตใจเขามันวุ่นวายจนทำให้ร่างกายกระสับกระส่ายไปหมด อุตส่าห์เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็หลับไม่ลงสักนิด เอาแต่คิดถึงคำพูดของออสตินไม่เลิกรา

"แต่เธอเป็นคนปฏิเสธเองแต่แรก"

พอออสตินว่ามาอย่างนี้ กานต์ก็ก้มหน้างุด

"พูดเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากนอนห้องเดียวกับฉัน"

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ"

"แล้วมันอย่างไหน"

"คือผม..."

อ้ำๆ อึ้งๆ ไปอีก ออสตินเอนตัวพิงกับขอบประตู รอให้อีกฝ่ายพูดอย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่ง กานต์ถึงได้เอ่ยปากออกมา

"ผมคิดว่าผมจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไม่ได้ถ้าได้นอนกับแด๊ดดี้ กลัวว่าจะคิดไม่ดี ทำตัวไม่เหมาะสมอีก แต่พอปฏิเสธไปแล้ว ผมก็นอนไม่หลับ"

"เพราะอะไรล่ะ"

"เพราะจริงๆ ผมอยากนอนกับแด๊ดดี้ครับ"

ยอมรับสารภาพออกไปตามตรงด้วยท่าทางสัตย์ซื่อ ออสตินมองจ้องอีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนตัวลีบด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน กานต์คิดในใจแล้วว่าเดี๋ยวเขาจะต้องถูกไล่กลับห้องแน่

"กลับห้องไป"

...นั่นไง เดาผิดเสียที่ไหน

"แล้วไปเอาหมอนกับผ้าห่มมา ที่ห้องฉันไม่มีสำรอง"

เด็กหนุ่มมีสีหน้าอึ้งงันทันที พลันสติก็กลับมาเมื่อออสตินว่าออกมาอีกครั้ง

“รีบไปเอามา จะได้มานอน ดึกมากแล้ว”

กานต์ไม่รอช้า รีบหมุนตัวเตรียมกลับเข้าไปในห้องของตัวเองทันที หากแต่ก็ต้องชะงักขาไว้เมื่อถูกเรียกอีก

“กานต์”

“ครับ?”

“เอามาแค่หมอนก็พอ เดี๋ยวใช้ผ้าห่มผืนเดียวกับฉันก็ได้ ผืนมันใหญ่ เอามาเพิ่มอีกผืนเดี๋ยวจะแน่นเตียง”

กานต์ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ปกปิดด้วยความดีใจทันควัน ก่อนจะรีบขานรับ

“ครับ!”

สิ้นเสียงก็หายวับเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับหมอนที่กอดอยู่ในมือ ออสตินมองเด็กหนุ่มที่แสดงท่าทางดีใจออกมาอย่างชัดเจนแล้วก็ได้แต่หัวเราะในลำคอน้อยๆ

ลูกเลี้ยงของเขาเหมือนลูกหมาน้อยไม่มีผิด...

 

ในที่สุดก็ได้นอนกับออสตินสมใจปรารถนา หากแต่ถึงจะได้นอนเตียงเดียวกัน กานต์ก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี เผลอๆ จะกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยเพราะในตอนนี้หัวใจของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ความจริงเต้นระส่ำไม่หยุดมาตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในห้องของออสตินแล้ว

ก็จะให้เขาไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกันล่ะ รับรู้ถึงไออุ่นของออสตินอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ เขาสงบสติอารมณ์ของตัวเองไม่ได้หรอก ยิ่งได้มาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้ว เขาก็...

กานต์สูดหายใจเข้าปอดเพื่อระงับความฟุ้งซ่าน เหลือบไปมองร่างใหญ่ภายใต้ความมืดที่ตอนนี้จังหวะลมหายใจเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ

ออสตินหลับไปแล้ว... ดูท่าทางจะไม่ได้คิดอะไรมากที่อนุญาตให้ลูกเลี้ยงมานอนร่วมเตียงด้วยอย่างนี้ มีแต่กานต์เท่านั้นล่ะที่คิดวุ่นวายไปเอง เขาก็พยายามแล้วที่จะหยุดคิด อยากจะนอนข้างๆ ออสตินแล้วผล็อยหลับไปโดยไม่คิดอกุศลเช่นกัน แต่ว่า...กลิ่นหอมอ่อนๆ ของออสตินที่ลอยมาแตะจมูกในระยะประชิดมันทำให้เขาไม่คิดไม่ได้

กลิ่นสบู่...

กลิ่นแชมพู...

กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากเสื้อผ้าที่สวมใส่...

ล้วนแล้วทำให้กานต์อยู่เป็นสุขไม่ได้เลยสักนิด เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง พยายามข่มตาด้วยการดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดใบหน้า

ไม่ต้องได้กลิ่นก็คงจะไม่ฟุ้งซ่าน...

แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อกลิ่นของออสตินไม่ได้มีแค่กลิ่นพวกนั้น บนผ้าห่มของเขาก็มีกลิ่นหอมเช่นกัน เรียกได้ว่ามีกลิ่นของออสตินอบอวลอยู่ทุกที่

จะทนไม่ไหวแล้วนะ!

กานต์ตัดสินใจจะพลิกตัวหนี อย่างน้อยการนอนหันหลังให้ก็คงจะทำให้เขาสงบลงได้บ้าง ทว่า...สวรรค์กลับไม่เป็นใจเสียเลย เพราะในจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังจะพลิกตัว มือของเขาก็เหวี่ยงไปโดนกับหลังมือของออสตินที่อยู่ใต้ผ้าห่มพอดี ผิวเนื้ออุ่นร้อนทำให้กานต์ถึงกับนิ่งงันราวกับหิน นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยอารามตกใจ

จะตื่นหรือเปล่า!?

พลันก็แกล้งหลับทันที ผ่านไปครู่หนึ่งถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเหลือบมอง พอเห็นว่าออสตินยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ลมหายใจก็สม่ำเสมอเหมือนเดิม เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ไม่ตื่นก็รอดตัวไป...

แต่ว่า...การได้สัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจกลับทำให้กานต์ล้มเลิกความคิดที่จะพลิกตัวหนี เขาค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะที่หลังมือของออสตินช้าๆ ระหว่างนั้นก็ลอบสังเกตคนข้างกายไปด้วย

เมื่อไม่เห็นว่าออสตินจะมีปฏิกิริยาใด มือของเด็กหนุ่มก็กอบกุมฝ่ามือใหญ่อย่างถือวิสาสะ ริมฝีปากเม้มแน่น ใจเต้นระทึกด้วยความตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกเต็มตื้นอย่างถึงที่สุด

มือของออสติน...อบอุ่นกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากทีเดียว ตอนแรกคิดว่าจะจับเพียงครู่แล้วปล่อย แต่สุดท้ายแล้วก็เผลอไผลไปจนได้

ไว้ถ้าแด๊ดดี้ตื่นค่อยอ้างว่าละเมอก็แล้วกัน...

ถึงตอนนี้กานต์ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แล้ว ต่อให้ต้องกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เขาก็ยินดี

รอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าอ่อนเยาว์ กานต์ค่อยๆ หลับตาลง ซึมซับเอาความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากฝ่ามือหยาบกร้านนั้นผ่านมือของตัวเอง ก่อนที่จะก้าวย่างเข้าสู่นิทรารมย์

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอและเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้นจากเด็กหนุ่ม มือของเขายังไม่ปล่อยจากมือของคนข้างกาย และดูท่าทางจะไม่ได้ปล่อยออกจากมือนั้นตลอดทั้งคืนด้วยเมื่อมือใหญ่ค่อยๆ ขยับกระชับฝ่ามือเล็กเข้าหา สอดประสานปลายนิ้วแนบแน่นโดยไร้เสียงใดๆ ท่ามกลางความมืดมิด

เห็นทีคืนนี้กานต์คงจะหลับฝันดี...

---------------------------

ว่าจะอัปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ แต่หนูแดงไม่ค่อยสบายก็เลยขอยกยอดมาวันนี้

ตอนนี้ยาวจุใจเลย นุ้งกานต์ยังคงวัยรุ่นว้าวุ่นเหมือนเดิม ส่วนแด๊ดดี้...นางร้ายยยย แกล้งหลับคืออัลไลลล 555

ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันหน่อยนะคะ เดี๋ยวมาต่อให้ค่า
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 8:Question[24-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-02-2018 18:51:10
ต้องมีตัวกระตุ้นให้แดดดี้แสดงความรู้สึกออกมาบ้าง แอบเห็นใจน้องกานต์นะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 8:Question[24-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 24-02-2018 19:47:42
ใครจะอดใจไม่ไหวก่อนกันนะ :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 8:Question[24-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-02-2018 02:54:10
นั่นซิอยากรู้เหมือนกันว่าแต่งงานในนามใช่ปะ เหตุผลทางธุรกิจหรือป่าว  :hao4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 8:Question[24-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 25-02-2018 23:54:43
 

Chapter 9: Punishment[1]

เมื่อคืนเป็นคืนที่ฝันดีที่สุดสำหรับกานต์ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์ก ทว่าฝันหวานของเขาก็ต้องมลายหายไปเมื่อรู้สึกตัวตื่นและเห็นว่าคนข้างกายทิ้งไว้เพียงที่ว่างเย็นเยียบข้างตัวเท่านั้น เด็กหนุ่มถึงกับใจหายวูบ

เมื่อคืนนี้เขาลอบจับมือของออสติน อีกฝ่ายตื่นก่อนอย่างนี้ อย่าบอกนะว่า...

เท่านั้นก็ไม่รอช้า รีบวิ่งลงมายังชั้นล่างพอดี ก่อนที่จะต้องออกอาการประดักประเดิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังg=Hfรองเท้าหนังที่ขัดจนเงาวับอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น

เสียงตึงตังเรียกให้อีกฝ่ายหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นลูกเลี้ยงในชุดนอนก็ออกปาก

“ตื่นแล้วเหรอ”

“คะ...ครับ”

ถึงจะหวาดหวั่นเพียงใด แต่ถูกถามมาแล้วก็ต้องตอบ พลันสายตาก็หลุกหลิกไปมาเมื่อถูกคนตรงหน้าจ้อง

“รีบไปล้างหน้าแต่งตัวซะ จะได้กินมื้อเช้าแล้วไปกัน”

ความนิ่งเฉยของออสตินทำให้กานต์นิ่งไปครู่

หรือว่าจะไม่รู้ว่าเมื่อวานเขาแอบจับมือ?

ใจก็อยากจะถาม แต่เห็นว่าชายหนุ่มไม่พูดอะไรหลังจากนั้นก็ได้แต่อึกอัก จนกระทั่งเป็นออสตินที่พูดขึ้นมาอีก

“มีอะไรเหรอ”

กานต์ก็สรุปเอาเองทันทีว่าเขาอาจจะเผลอปล่อยมือจากออสตินก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่น ดังนั้นคนตรงหน้าถึงได้ยังคงมีท่าทีปกติอย่างที่เห็น

“ไม่มีอะไรครับ”

ในเมื่อออสตินไม่พูดหรือทักอะไร เขาก็ไม่ควรที่จะถาม กานต์ปฏิเสธ ส่ายศีรษะดิก ทำให้ออสตินต้องออกคำสั่ง

“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปจัดการธุระส่วนตัวได้แล้ว เสร็จแล้วก็รีบลงมา ฉันรอ”

“ครับ”

กานต์ขานรับ วิ่งขึ้นไปยังชั้นบนอีกครั้ง ก่อนหลุบเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูได้ก็ยกมือลูบหน้าอกตัวเองด้วยความโล่งใจ

ท่าทางจะไม่รู้...ค่อยยังชั่ว

 

แต่...ไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ?

ถึงออสตินจะไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา ทำตัวเป็นปกติทุกอย่าง ทว่ากานต์คงจะลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่ากันเยอะ เวลาที่เขาทำผิดอะไรหรือมีอะไรผิดแปลก มีเหรอที่ออสตินจะพูดหรือแสดงออกมาให้รับรู้ได้ ขนาดเรื่องที่เขาคิดฟุ้งซ่านจนเผลอปล่อยให้อะไรต่อผิดอะไรมันตื่นตัวขึ้นมา ออสตินยังไม่พูดเลย ได้แต่ไล่ให้เขาไปชงน้ำผึ้งมะนาวให้ แล้วครั้งนี้...ก็ไม่แน่ว่าอาจจะรู้แต่ไม่พูดเหมือนกัน

เด็กหนุ่มเพิ่งจะมาสำนึกได้เมื่อมาถึงที่โรงเรียน พอคิดอย่างนั้น เขาก็แทบจะเอาศีรษะโขกกับกำแพงให้สมกับการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของตน

บ้าบอชะมัด ถ้าแด๊ดดี้แล้วจะคิดยังไง!

ออสตินยิ่งเป็นคนอ่านยากๆ อยู่ด้วย ไม่วายสู้หน้าได้ยากกว่าเดิมแหง แต่ก็คงจะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว นอกจากจะแสร้งทำตัวปกติ

กานต์ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างหัวเสียกับการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของตน ต่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จะเป็นฝันดี แต่ถ้ามันส่งผลเสียในอนาคต เขาก็จะไม่ทำมัน

จะไม่ทำ...

ไม่มีวันทำเลย...

“คาร์ล เฮ้! ฟังฉันอยู่หรือเปล่า”

“หืม?”

คนถูกเรียกสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง พอเห็นว่าคนที่เรียกคือเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าก็แลดูงุนงง ขณะที่อีกฝ่ายขมวดคิ้วยู่

“ฉันถามนายตั้งหลายครั้งแล้ว มัวเหม่ออะไรอยู่”

ตอนนี้เองถึงรู้สึกตัวว่าเขามานั่งกินมื้อกลางวันกับเจฟเฉยๆ อยู่ เมื่อครู่เจฟฟรี่ย์ก็พูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ได้ฟัง มัวแต่เหม่อ

“เมื่อกี้นายถามอะไร”

กานต์เลี่ยงไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับแทน เจฟฟรี่ย์ยู่ปากเล็กน้อยทว่าก็ไม่ได้ถือสาอะไรที่ถูกเมิน ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อครู่

“ฉันถามนายว่าคืนนี้นายว่าไง ตกลงว่าจะไปไหม”

คนฟังเลิกคิ้วสูง “ไปไหน?”

“เอ้า ก็ไปทำรายงานที่บ้านฉันไง รายงานที่มิสเจนสั่งเมื่อเช้า”

เจฟฟรี่ย์ว่า ส่วนกานต์ก็ร้องอ๋อ... รายงานวิชาประวัติศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายเมื่อเช้านี้นี่เอง

“แต่กำหนดส่งมันตั้งอาทิตย์หน้า”

เขารู้สึกว่าเร็วไปหน่อยที่จะทำ งานเพิ่งได้รับมอบหมายมาเมื่อเช้าแท้ๆ มาถูกชวนให้ไปบ้านของอีกฝ่ายวันนี้เลย เขารู้สึกว่ามันกะทันหันไปหน่อย หากแต่เจฟฟรี่ย์กลับยกยิ้ม

“นักเรียนที่นี่ก็อย่างนี้แหละ มีงานอะไรให้ทำก็รีบทำ จะได้มีเวลาเล่นสนุก”

คงเป็นอย่างนั้น การเรียนการสอนของที่นี่ต่างจากที่ไทยมากทีเดียว ความกระตือรือร้นของนักเรียนเองก็เช่นกัน ทำให้กานต์ไม่ได้ใส่ใจที่จะถามอะไรซอกแซกสักเท่าไรนัก

“แต่ฉันต้องขออนุญาตแด๊ดดี้ก่อน”

พูดมาอย่างนี้ เจฟฟรี่ย์ก็เบ้หน้า “คุณสเวนน่ะเหรอ”

“อืม”

“ฉันก็ลืมไปว่านายเป็นลูกเลี้ยงของเขา” ครางออกมาอีก พลันเรียวคิ้วก็ยุ่งเหยิงไปหมดราวกับขบคิดไม่ตกว่าเขาสมควรชวนเด็กหนุ่มตรงหน้าไปที่บ้านตัวเองหรือไม่ เพราะดูท่าแล้วคงจะมีปัญหาตามมาไม่น้อยถ้าหากชวนคนตรงหน้าไป แต่...ตอนนี้กานต์เป็นเพื่อนสนิทเขานี่นา ไม่ว่ายังไงก็อยากให้ไปนี่นะ

“งั้นนายลองไปถามคุณสเวนหน่อยได้ไหมว่าให้กลับบ้านได้กี่ทุ่ม”

“นายคิดว่าฉันควรกลับกี่ทุ่มล่ะ”

“จริงๆ อยากให้อยู่ทั้งคืนน่ะนะ แต่ดูท่าทางแล้วคงจะต้องกำหนดลิมิตไว้ที่สี่ทุ่ม ไม่เร็วเกินไป ไม่ดึกเกินไป”

เจฟฟรี่ย์ว่า กานต์แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่ากับแค่ทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์ ทำไมจะต้องกลับดึกขนาดนั้น แต่พอคิดจะถาม คนตรงหน้าก็พูดออกมาก่อนแล้ว

“ต้องเรียบเรียงข้อมูล แล้วก็ต้องปรึกษากันเรื่องรูปแบบการพรีเซ้นต์ ดูท่าต้องใช้เวลาหน่อย มิสเจนยิ่งเขี้ยวๆ อยู่ด้วย ต้องวางแผนงานให้ดี”

กานต์พยักหน้า เจฟฟรี่ย์ก็มีเหตุผลดี ถึงจะเพิ่งเคยเรียนกับอาจารย์คนนี้ กานต์ก็สัมผัสได้ว่าเจ้าหล่อนเป็นคนละเอียดมากทีเดียว หากข้อมูลผิดพลาดไป มีหวังคงโดนหักคะแนนแหลกลาน ทำให้เขาตกปากรับคำไป

“อืม งั้นไว้จะไปขออนุญาตก่อนนะ”

ได้ยินดังนั้น เจฟฟรี่ย์ก็ยกยิ้มขึ้นมา

“ฉันจะรอคำตอบของนาย ขอให้คุณสเวนอย่าทำตัวมีปัญหาเถอะ”

เป็นคำภาวนาที่ไม่รื่นหูกานต์เอาเสียเลย ถึงจะรู้ว่าออสตินเป็นคนเข้มงวด แต่เขาก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะให้คนอื่นมาว่าพ่อเลี้ยงของเขาหรอกนะ

ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะทันทีที่เจฟฟรี่ย์พูดจบ เพื่อนในทีมฟุตบอลของเขาก็โผล่มาพอดี กานต์รู้จักคนพวกนั้นหมดแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนของกานต์อีกกลุ่มหนึ่งก็ว่าได้ เขาเลยเปลี่ยนไปทักทายกับคนพวกนั้นแทน

“เดี๋ยวฉันไปซ้อมก่อน ไว้ค่อยเจอกันที่ห้องเรียน”

เจฟฟรี่ย์ว่าส่งท้ายเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว พอกานต์พยักหน้ารับ โบกมือลา เพื่อนๆ คนอื่นในทีมฟุตบอลก็ร้องบอก

“คืนนี้นายอย่าพลาดเชียวคาร์ล ต้องมาให้ได้นะ”

“ใช่ รับรองเลยว่ามันส์แน่นอน!”

จากนั้นเสียงหัวเราะขรมก็ดังขึ้น คนฟังขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

มันส์... เกี่ยวอะไรกับการทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์กัน?

อยากจะถามเจฟฟรี่ย์ให้รู้เรื่องในตอนนี้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่อยู่รอให้ถามแล้ว ทิ้งเพียงคำพูดสั้นๆ

“ไว้เจอกัน”

จากนั้นก็จากไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมหลังจากนั้น ปล่อยให้กานต์มองตามด้วยความสงสัย

 

เรื่องการไปบ้านของเจฟฟรี่ย์นั้น บอกตามตรงว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะไปสักเท่าไรนัก อันที่จริงก็คิดไว้แล้วด้วยว่าจะปฏิเสธด้วยรู้สึกว่ามันค่อนข้างกะทันหันไปหน่อยที่จู่ๆ ก็จะไปขออนุญาตออสตินไปบ้านเพื่อนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าก่อนหลายๆ วัน แต่เจฟฟรี่ย์ก็มาคะยั้นคะยอราวกับรู้ว่ากานต์คิดจะปฏิเสธ มิหนำซ้ำพวกเพื่อนๆ ที่อยู่กลุ่มรายงานกลุ่มเดียวกันยังผสมโรง ก็ทำให้กานต์หนักใจที่จะปฏิเสธ ยิ่งเจฟฟรี่ย์ออกตัวว่าจะมาช่วยขออนุญาตพร้อมกับขันอาสาทำหน้าที่สารถีรับส่งด้วยแล้ว กานต์ก็ปฏิเสธไม่ออกหนักไปใหญ่

อะไรไม่ว่า พอเลิกเรียนก็ควงแขนกานต์มาหาออสตินที่มารอรับถึงที่รถ ทำเอาเด็กหนุ่มปั้นหน้าไม่ถูกทันทีเมื่อสิ้นเสียงเจฟฟรี่ย์หลังจากที่เอ่ยขออนุญาตกับออสตินตรงๆ

“มันจำเป็นต้องทำวันนี้เลยหรือไง”

กะไว้อยู่แล้วเชียวว่าออสตินเองก็ต้องรู้สึกว่ามันเร็วไป อย่างที่บอกว่างานเพิ่งได้รับมอบหมายเมื่อเช้านี้

“มันมีรายงานหลายวิชาที่ต้องทำนี่ครับคุณสเวน รีบจัดการให้จบไปเลยจะได้ไม่ต้องมาหนักตอนใกล้จะส่ง”

เจฟฟรี่ย์ว่าพลางอมยิ้ม ท่าทางของเขาไม่ได้ยี่หระกับน้ำเสียงเรียบๆ และใบหน้านิ่งเฉยของออสตินเลยแม้แต่น้อย พูดก็พูดคือไม่มีท่าทีว่าจะกลัวสักนิด มีก็แต่กานต์เท่านั้นที่ก้มหน้างุดด้วยอึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไปแล้ว

“แล้วทำไมต้องไปทำที่บ้านเธอ”

ออสตินถามออกมาอีก ในน้ำเสียงนิ่งเรียบนั้นมีความนัยบางอย่างประหนึ่งว่าไม่อยากให้กานต์ไปที่นั่น

“บ้านผมอยู่ใกล้โรงเรียน แล้วก็หลังใหญ่ เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มสะดวกมารวมตัวที่นี่”

ทว่าเจฟฟรี่ย์เองก็มีเหตุผล เรื่องนั้นออสตินก็ยอมรับได้ แต่ที่เขายังชั่งใจอยู่เป็นเพราะรู้ดีว่าการที่เด็กวัยรุ่นรวมตัวกันไปที่บ้านของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ตรงหน้า มันต้องไม่ได้จบแค่การทำรายงานอย่างเดียวแน่ ก็เขาพอจะรู้นิสัยของเจฟฟรี่ย์ว่าเป็นคนรักสนุกแค่ไหน เรื่องการทำรายงานอะไรนั่นก็เป็นแค่การบังหน้าเท่านั้นแหละ

“เอ่อ...ถ้าไม่อยากให้ผมไปก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมโอเค”

เห็นออสตินเงียบไปเสียนาน ไม่ตอบสักที กานต์ก็ว่าขึ้นมา เขาเองก็รับรู้ได้ว่าผู้ปกครองของเขาดูไม่พอใจสักเท่าไรที่ตนขอไปบ้านเพื่อนอย่างนี้ มิหนำซ้ำเพื่อนยังเป็นคนขออนุญาตแทนเขาด้วย เดาไปเองว่าคงจะเพราะมันกะทันหัน ไม่ได้บอกล่วงหน้าหลายๆ วันอย่างที่คาดเดา ออสตินถึงได้แสดงท่าทางเคร่งขรึมออกมาอย่างนี้

ซึ่ง...นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ออสตินไม่อยากให้ไป มันเป็นเรื่องที่แน่นอน เหตุผลอื่นๆ ก็มีอีกหลายประการ เขาเห็นว่ากานต์ยังไม่คุ้นชินกับนิวยอร์กและโรงเรียน การไปบ้านของเพื่อนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานอย่างนั้น แล้วยังมีเพื่อนคนอื่นไป ทำให้กานต์มีโอกาสที่จะถูกกลั่นแกล้งมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

หรือ...บางทีเขาก็อาจจะเป็นห่วงมากไปถึงได้คิดเลอะเทอะไปอย่างนั้น

อีกทั่งเมื่อมาคิดดูดีๆ แล้ว เขาไม่ควรที่จะห้าม เพราะกานต์เองก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น การไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ หากห้ามปรามหรือเข้มงวดเกินไป แล้วในอนาคตแอบหนีไปโดยไม่บอกกล่าวเขาขึ้นมา นั่นจะยิ่งทำให้เขาหัวเสียมากไปใหญ่

“เอาน่าคุณสเวน ยังไงคุณก็รู้จักบ้านผม บ้านเราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมดูแลคาร์ลให้เอง”

เห็นคนอาวุโสกว่าลังเล ไม่ยอมอนุญาตสักที เจฟฟรี่ย์ก็ว่าขึ้นมาอีก

ดวงตาสีฟ้าชำเลืองมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วถาม

“ไปแล้วจะกลับกี่โมง”

“ผมขอลิมิตที่สี่ทุ่มครับ”

เป็นเจฟฟรี่ย์ที่พูด ส่วนกานต์ก้มหน้างุดไปแล้ว

ออสตินไม่รู้หรอกว่าลูกเลี้ยงของเขาอยากจะไปหรือเปล่า แต่มีท่าทางลำบากใจอย่างนั้น ก็คงต้องปล่อยให้ไป อย่างน้อยก็ต้องรักษาความสัมพันธ์ในสังคมเพื่อนให้กับกานต์ ถ้าไปเข้มงวดมาก ผลเสียมันตกอยู่ที่ลูกเลี้ยงของเขาแน่ ไม่วายโดนตราหน้าว่าเป็นลูกแหง่ แล้วจะกลายเป็นการจุดชนวนให้ถูกกลั่นแกล้งทีหลัง

“แล้วไปกลับยังไง”

ถามมาอย่างนี้ เจฟฟรี่ย์ก็ยิ้มร่าราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวจะตอบตกลง

“เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปส่งเอง คุณสเวนไม่ต้องห่วง”

ห่วงสิ ห่วงแน่... ออสตินเหลือบมองทันใด

“นายจะขับรถมาส่ง?”

“ครับ”

ได้ยินอย่างนั้น คนฟังก็ยิ่งย่นคิ้วมากขึ้นไปใหญ่

เด็กอายุสิบเจ็ด ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และยังไม่มีใบขับขี่ แต่อาสาจะมาส่งลูกเลี้ยงเขาที่บ้านดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ยิ่งต้องน่าเป็นห่วง

“ให้คนขับรถบ้านเธอขับมาส่ง”

ออสตินเลยโพล่งออกไปแบบนั้น สายตาที่มองไปยังเจฟฟรี่ย์ดุดันประหนึ่งกำลังวางอำนาจและออกคำสั่ง กานต์ไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลย เขาจึงยืนตัวลีบ ขณะที่เจฟฟรี่ย์พยักหน้ารับอย่างไม่ยี่หระ

“โอเค ไม่มีปัญหา ตามนั้นครับ”

ไม่มีปัญหาแน่นอนอยู่แล้วล่ะ แค่พากานต์ไปด้วยให้ได้ อะไรเขาก็โอเคทั้งหมด

“แล้วขาไป...”

“เดี๋ยวคนขับรถผมมารับ ไม่ต้องห่วง ให้คาร์ลติดรถไปได้เลย”

ออสตินตั้งใจจะพูดว่าเขาจะเป็นคนไปส่งกานต์ที่บ้านนั่นแท้ๆ แต่ถูกเจฟฟรี่ย์โพล่งสวนมาอย่างนี้ก็จำต้องปิดปากสนิท ระบายลมหายใจออกมาแล้วมองหน้าของเด็กในอาณัติตนนิ่ง

“อย่าผิดสัญญา”

จากนั้นก็ว่าสั้นๆ กานต์รีบพยักหน้ารับหงึกหงักทันที

“เธอต้องถึงบ้านตอนสี่ทุ่ม”

ออกคำสั่งมาอีก กานต์ก็รีบตอบรับทันควัน

“ครับ”

“ฉันจะรอที่บ้านจนกว่าเธอจะกลับ”

พูดจบก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป ทิ้งให้ลูกเลี้ยงของตนมองตามหลังกระทั่งรถของออสตินหายลับไปจากสายตา

“เป็นพ่อเลี้ยงที่เข้มงวดดีจัง”

เจฟฟรี่ย์ว่าขำๆ แต่สาบานได้เลยว่าลูกเลี้ยงอย่างกานต์ไม่ขำด้วยสักนิด เขารู้สึกผิดที่ให้เจฟฟรี่ย์ไปขออนุญาตแทนอย่างนั้น เหนือสิ่งอื่นใด... เขารู้ตัวทันทีว่าไปทำให้ออสตินไม่พอใจเข้าเสียแล้ว

“จะไปกันหรือยัง คนขับรถมาแล้ว”

ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์เอ่ยเรียก กานต์พยักหน้ารับ เดินตามหลังอีกฝ่ายไป ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังทิศทางที่รถของออสตินขับออกไปเมื่อครู่นี้

บางทีการไปบ้านของเจฟฟรี่ย์ในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม...

ถ้าทำให้ออสตินไม่พอใจ อะไรก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้นแหละ

 

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 8:Question[24-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 25-02-2018 23:55:34

Chapter 9: Punishment[2]


ออสตินเคยเรียนไฮสกูลมาก่อน เขารู้ว่าการทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์มันต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการค้นคว้า แต่การที่เด็กหนุ่มในอาณัติของเขาไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ เรื่องรายงานมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีในการแก้ตัวสักนิด

ดวงตาทรงอัลมอนด์เหลือบมองไปที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบรนด์หรู เข็มยาวเลยเวลาสี่ทุ่มมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เขากำลังบอกตัวเองให้รออีกฝ่ายกลับมาบ้านอย่างใจเย็นอยู่ ทว่า...ก็หยุดกระสับกระส่ายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เขาอนุญาตให้กลับบ้านอย่างช้าคือสี่ทุ่มไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงยังไม่กลับมา!?

ใจก็พอจะรู้อยู่ว่าเพราะอะไร ทำรายงานที่บ้านเจฟฟรี่ย์เหรอ? คิดว่ามันจะมีแค่การทำรายงานอย่างเดียวหรือไง กับเจ้าเด็กผมบลอนด์ที่รักสนุกเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งเพื่อนๆ แห่กันไปที่บ้านของเขาอย่างนั้น มันหนีไม่พ้นแอบจัดงานปาร์ตีอยู่แล้ว

ออสตินหงุดหงิดตัวเองพอสมควรที่อนุญาตให้กานต์ไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจในเรื่องนี้ หากแต่เขาก็ยังคงทำใจเย็น รอเวลาอยู่อีกสักพักด้วยคิดว่ากานต์คงจะต้องหาทางรีบกลับมาบ้านตามสัญญาแน่

เข็มสั้นและเข็มยาวชี้เลขสิบเอ็ด...

ออสตินขมวดคิ้วจนเส้นเลือดขึ้นเป็นร่องที่ข้างขมับ

กานต์ยังไม่กลับมา... เลยเวลาที่สัญญาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

จากที่ยังใจเย็นอยู่ ตอนนี้เป็นเขาเองแล้วที่เริ่มทนไม่ไหว ออกอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ความเป็นห่วงพร่างพรายขึ้นเกาะกุมจิตใจ

แน่นอนว่าความเป็นห่วงของเขาเป็นไปในฐานะผู้ปกครอง

แต่นั่น...เป็นเพียงคำหลอกลวงที่เขาใช้กล่อมจิตใจตนเอง แท้จริงแล้วตอนนี้ออสตินรู้สึกราวกับว่าของรักของหวงของเขากำลังจะสูญหายไป

ชายหนุ่มไม่ทนอีกต่อไป ลุกขึ้นจากโซฟา คว้าเอากุญแจรถ พุ่งออกไปนอกบ้าน ตั้งใจว่าจะไปรับลูกเลี้ยงของตนกลับมาเอง แล้วก็จะเล่นงานเจ้าคนที่ทำให้เด็กดีของเขาต้องเสียคนด้วย

ตอนนี้ในใจคิดแต่จะจัดการกับเจฟฟรี่ย์ ทว่าความคิดนั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเปิดประตูบ้านออกมา สายตาก็ปราดมองไปเห็นรถคันหนึ่งมาจอดเทียบที่หน้าบ้าน หากจำไม่ผิด รถคันนั้นเป็นของบ้านโอโคเนล พอเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่าผู้ชายที่ขับรถคันนั้นมาเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี

“คุณสเวน”

ชายคนนั้นเอ่ยทัก เขาเป็นคนขับรถให้กับบิดาของเจฟฟรี่ย์และคุ้นเคยกับออสตินดี ทว่าออสตินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขามองไปผ่านกระจกที่ติดฟิล์มดำมือเข้าไปในรถโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้คนตรงหน้าเอ่ยปาก

“ผมพาคนของคุณมาส่งครับ”

‘คนของคุณ’…เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเป็นกานต์

ออสตินไม่พูดอะไร เอื้อมมือไปเปิดประตู จากนั้นก็ต้องย่นคิ้วจนยู่ไปหมดเมื่อเห็นสภาพของคนที่กำลังรออยู่

สลบไสลไม่ได้สติ นอนฟุบคอพับคออ่อนอยู่บนเบาะผู้โดยสารทางด้านหลัง กลิ่นเหล้าฉุนๆ และกลิ่นเหม็นไหม้ลอยคละคลุ้งเข้าจมูกทันทีที่เอื้อมมือไปพยุง ทำเอาเขาต้องหันไปมองหน้าคนขับรถทันควัน

“คุณเจฟฟรี่ย์จัดงานปาร์ตี”

อีกฝ่ายรีบบอกอย่างรู้ทัน ออสตินระบายลมหายใจออกมาเต็มแรง

กะไว้แล้วเชียว...

“มีเหล้า”

คู่สนทนาพยักหน้า

“แล้วก็มีกัญชาด้วย”

พวกเด็กนั่นคงไม่ดูดกันแค่บุหรี่หรอก คนขับรถพยักหน้ารับมาอีกที รู้ดีว่าป่วยการที่จะปฏิเสธหรือแก้ตัวให้กับลูกมหาเศรษฐีที่เอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ แล้วก็รู้ดีด้วยว่าการเข้าข้างเจฟฟรี่ย์ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เพราะถ้าออสตินไม่พอใจขึ้นมา เขาอาจจะทำให้เจ้านายซึ่งเป็นบิดาของเจฟฟรี่ย์ต้องหัวเสียแทน

“เด็กพวกนี้”

ออสตินครางเสียงต่ำในลำคอ ความไม่พอใจผุดพรายอย่างรุนแรง พร่ำโทษตนเองไม่หยุดว่าไม่น่าให้กานต์ไปเลย ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจก็ยังจะให้ไป ลูกเลี้ยงของเขาเลยกลับมาในสภาพนี้

“ให้ผมช่วยพาเขาเข้าไปข้างในไหมครับ”

ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่คนขับรถร้องถาม ออสตินส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ ฉันดูแลต่อเอง”

พูดจบก็แทบจะอุ้มเด็กหนุ่มเข้าบ้าน ไม่สนใจที่จะหันมามองหน้าคนรับหน้าที่มาส่งหรือบอกลาด้วยซ้ำ เข้ามาในบ้านได้ก็พากานต์ไปนั่งพักที่โซฟา ตอนนี้เองถึงได้เห็นว่ากานต์ไม่ได้เมามายจนไม่ได้สติอย่างที่เห็นในตอนแรก

เปลือกตาบางปรือขึ้นมามองออสตินที่กำลังถอดรองเท้าให้ตนอยู่ ก่อนที่ริมฝีปากจะเผยอขึ้น

“แด๊ดดี้~”

น้ำเสียงอ้อแอ้เรียกสายตาของผู้ปกครองให้เหลือบมอง พลันก็เห็นว่าเจ้าเด็กเกเรกำลังยกยิ้มอยู่ เขาก็ถอนหายใจออกมา การไม่พูดอะไรของเขาทำให้กานต์ต้องร้องเรียกออกมาอีก

“แด๊ดดี้คร้าบ~”

เมามายจนไม่มีสติสัมปชัญญะจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นออสตินก็เชื่อว่าการที่กานต์ตกอยู่ในสภาพนี้ ต้องไม่ใช่เพราะเขาดื่มหรือสูบของมึนเมาพวกนั้นเองแน่ๆ ต้องเป็นฝีมือของพวกเพื่อนๆ โดยเฉพาะเจฟฟรี่ย์

“แด๊ดดี้คร้าบ~ สนใจผมหน่อย~”

เห็นออสตินไม่หือไม่อือ กานต์ก็ส่งเสียงกระเง้ากระงอดออกมา มือทั้งสองข้างเริ่มป่ายปัดคว้าเอาตัวของคนที่อยู่เบื้องหน้ามาจับ ออสตินถอดรองเท้าผ้าใบออกให้เรียบร้อยแล้ว พลันก็ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา มือเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เปียกชื้นไปด้วยเครื่องดื่มมึนเมาออกให้

“แด๊ดดี้~”

ดูเหมือนกานต์พยายามจะคว้าเอาคนตรงหน้ามากอด ออสตินเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ปัดมือออกพลางส่งเสียงดุ

“อยู่เฉยๆ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เหม็นไปทั้งตัวแล้ว”

เหม็นไปทั้งตัวจริงๆ กลิ่นฉุนทั้งจากบุหรี่ กัญชาและสุราไม่ได้เหมาะกับใบหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มคนนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่ากานต์ก็ยังคงไม่รู้สึกตัว เขารับรู้แต่เพียงว่าคนตรงหน้าคือคนที่เขาชอบ เขาก็อยากแต่จะสัมผัสเท่านั้น

“ขอผมกอดหน่อยน้า”

จิตใต้สำนึกบอกอย่างนั้น ผสมกับความมึนเมาก็ทำให้กานต์โผเข้า สองแขนโอบกอดร่างใหญ่ ใบหน้าซุกเข้ากับแผงอกแกร่งทันที ก่อนจะไถไปมา สูดกลิ่นหอมของออสตินเข้าปอด ออสตินก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการกระทำนี้หรอกเพราะเขายังสาละวนกับการแกะกระดุมเสื้อของอีกฝ่าย แต่เพราะเด็กตรงหน้าอยู่ไม่สุขเลยแม้แต่น้อย เขาเลยต้องดันไหล่ออกแล้วดุขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันบอกให้อยู่เฉยๆ ไงกานต์”

กานต์หัวเราะ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการถูกดุเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ในเวลาปกติ เขากลัวที่จะถูกออสตินดุจะตาย

“แด๊ดดี้เซ็กซี่มาก กอดผมที”

แล้วก็พูดจาไร้สาระขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกด้วย ออสตินฟังแล้วก็ได้แต่มองนิ่งๆ เขารู้ว่าถ้อยคำพวกนั้นหลุดออกมาขณะที่กานต์ไม่ได้สติ ย่อมไม่เป็นเรื่องจริงอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ พลันออกคำสั่งอีกครั้ง

“อยู่เฉยๆ”

มือเอื้อมไปปลดกระดุมอีก หากแต่เด็กหนุ่มกลับไม่เชื่อฟังเลยแม้แต่น้อย เห็นร่างใหญ่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมก็เกาะก่าย คราวนี้ยื่นมือไปโน้มใบหน้าคร้ามของออสตินเข้ามาใกล้พลันยื่นริมฝีปากไปทำท่าจะจูบ ออสตินรีบผละออกทันที มองหน้าอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย ขณะที่กานต์เองก็มีสีหน้ายุ่งเหยิงเช่นกัน

“ทำไมล่ะ ทำไมไม่กอดผม”

“ฉันบอกให้อยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือไง”

“ทำไมไม่กอดผม! ทำไม!”

ยิ่งพูดยิ่งไม่รู้เรื่อง ยิ่งต่อล้อต่อเถียง กานต์ยิ่งเสียงดัง ออสตินจึงเลือกที่จะเงียบแล้วตั้งใจจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จ เช็ดตัวให้แล้วพาขึ้นนอนเลย... เขาตั้งใจไว้อย่างนั้น มือก็เอื้อมไปปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงของอีกฝ่ายออกโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้กานต์ที่อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนมองแล้วว่าเสียงขุ่น

“ทำไมไม่กอดผม...”

ออสตินไม่ตอบ ใช้ความเงียบเป็นการตอบสนอง เท่านั้นสีหน้าของกานต์ก็ย่นยู่อย่างขัดใจ ก่อนที่สายตาขุ่นเคืองนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเว้าวอน

“แด๊ดดี้...”

ไม่เพียงแค่สายตา น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป เมื่อครู่เพิ่งจะโวยวายเสียงดังเพราะถูกขัดใจแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเสียงอ่อนเสียงหวานออดอ้อนเสียอย่างนั้น

ออสตินชำเลืองมอง เห็นสีหน้าเว้าวอนนั่นแล้วเขาก็เบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นไม่สนใจอีกครา

“แด๊ดดี้...”

แต่กานต์กลับไม่หยุดแค่นั้น

“แด๊ดดี้ครับ...”

“...”

“แด๊ด...”

ไม่ตอบสนองก็เลยขยับตัวเข้าหาออสตินอีกครั้ง สองแขนตวัดโอบกอด หากแต่ออสตินดึงออกฉับพลัน

“อย่า”

ในที่สุดก็คลำหาเสียงของตัวเองเจอ มือใหญ่รั้งหัวไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ ดันให้ติดกับพนักโซฟาขณะที่กานต์ขมวดคิ้วด้วยขัดใจที่ถูกปราม

“อย่าทำแบบนี้”

เสียงทุ้มดังขึ้นมาอีก คนฟังยังคงมีสติไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี แต่ก็เข้าใจได้ว่าคนตรงหน้าหมายถึงอะไร ทว่า...ถึงจะเข้าใจไปก็เท่านั้น สติสัมปชัญญะที่ขาดๆ เกินๆ ของกานต์ทำให้จิตใต้สำนึกของเขาทำงานอย่างรุนแรง ความมึนเมาจากฤทธิ์ของกัญชาและสุราบีบคั้นให้แรงขับภายในกายขับเคลื่อน กานต์มองอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน ริมฝีปากเผยอขึ้น เรียกคนตรงหน้าเสียงแผ่ว

“แด๊ดดี้...”

“ฉันจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ นั่งเฉยๆ...ตรงนี้”

ออสตินพยายามควบคุมสติของตัวเองด้วยการออกคำสั่ง ครั้นลุกจากพื้น มือของเขาก็ถูกลูกเลี้ยงฉุดเอาไว้

“ไม่...อย่าไป...ได้โปรด”

ร่างกายปวกเปียกไถลลงมาจากโซฟา ทรงตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทำให้ออสตินต้องพยุงเด็กหนุ่มขึ้นไปนั่งอีกครั้ง

“ได้โปรดจูบผม...”

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เอ่ยคำที่ออสตินไม่อยากได้ยินที่สุดออกมา เขากะไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้เพราะก่อนหน้านั้นกานต์ก็เพิ่งจะร้องขอให้เขากอดไป

ดวงตาสีน้ำทะเลจับจ้องไปที่ใบหน้าเมามายของกานต์นิ่ง รู้ดีว่าต่อให้อธิบายเหตุผลใดๆ ไปก็ไม่สามารถเอาชนะความมึนเมาที่กัดกินคนตรงหน้าอยู่ได้

สัญชาตญาณดิบทำให้กานต์กล้าที่จะเปิดเผยความต้องการของตนอย่างชัดเจน...

ไม่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น มือก็เอื้อมไปดึงแขนเสื้อของผู้ปกครอง

“ได้โปรด...จูบผม...”

กานต์ย้ำหนักแน่น สายตาที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความต้องการและความคาดหวัง ออสตินสูดหายใจเข้าเต็มปอด เขาเองก็พยายามจะระงับอารมณ์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน

อารมณ์...ที่มันไม่สมควรจะเกิดขึ้นระหว่างเขากับเด็กหนุ่มตรงหน้า

พยายามระงับมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แต่กานต์กลับไม่รับรู้ถึงความอดทนของเขาบ้างเลย

“อยู่เฉยๆ เป็นเด็กดี ฉันจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ แล้วเดี๋ยวจะพาเข้านอน”

ชายหนุ่มกลั้นใจพูดออกไป ความรู้สึกบ้าๆ นี้ เขาต้องเอาชนะมันได้สิ!

หากทว่ากานต์กลับไม่ยอมแพ้ เขาต้องการ... เขาปรารถนา... เขาอยากให้ร่างกายของตนเองแปดเปื้อน ความรู้สึกนี้มันถูกกดให้ต้องระงับมานานแล้ว เมื่อมีสิ่งกระตุ้นเร้าให้มันตื่นขึ้น กานต์ก็ไม่อาจกักเก็บได้อีกต่อไป ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้หรือถูกตราหน้าว่าไร้ยางอาย สิ่งที่เขาทำในตอนนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร เขาก็ต้องการ

เขาต้องการออสติน สเวน...

“แด๊ดดี้...”

น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้ง ออสตินจ้องมองหน้าคนพูดนิ่ง ก่อนที่อีกประโยคหนึ่งจะตามมา

“จูบผมที…ผมขอร้อง...”

ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น กานต์ยังเลื่อนใบหน้าเข้าหา ประทับริมฝีปากลงบนหลังมือของคนตรงหน้าอย่างโหยหา ลากปลายลิ้นนุ่มไปบนผิวสีบ่มแดด...เชื่องช้า...อ้อยอิ่ง...จากนั้นก็ดึงไปคลอเคลียที่ข้างซีกหน้า

“ขอร้อง...ทำอะไรกับผมที...”

เหมือนความอดทนของออสตินจะหมดสิ้นกันในคราวนี้ เขามองคนตรงหน้าที่คว้ามือของตนไปแนบที่ข้างแก้ม สัมผัสนุ่มนวลของซีกหน้านั้นทำให้ความร้อนรุ่มบางอย่างแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ปลายนิ้วสากเคลื่อนไหวอย่างอดไม่ได้ ลูบลากไปแตะแผ่วเบาบนริมฝีปากนุ่ม กานต์ช้อนสายตามอง...ประสานกับแววตานุ่มลึกของอีกฝ่าย ก่อนที่จะค่อยๆ อ้าปากงับเอาปลายนิ้วนั้นเข้าไป

ปลายลิ้นแตะแผ่วเบา เลียไล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ราวกับว่าคนตรงหน้าจะดุเขาถ้าหากทำอะไรตามใจ ชั่วแวบหนึ่งก็พลันรู้สึกขึ้นมาได้ว่าเขาควรหยุด แต่ในเมื่อความปรารถนาผลักดันให้เขาแสดงความต้องการออกมาถึงขนาดนี้แล้ว กานต์ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งใดๆ ของตัวเองได้อีก

กลีบปากปิดเข้าหากัน ดูดเม้มขบกัดปลายนิ้วนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม ขณะที่ออสตินสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง ทว่าก็ไม่ได้ดึงมือออกมา กระทั่งเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากเอง หากแต่ทุกอย่างกลับไม่จบสิ้นแค่นั้นเมื่อเสียงของกานต์ดังขึ้นอีกครั้ง

“จูบผมเถอะแด๊ดดี้...”

ไม่มีคำตอบใดจากออสติน มือข้างนั้นเลื่อนไปประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงแผ่วที่ใบหูเล็ก

“เธอไม่ควรพูดแบบนี้ ไม่ควรเลย...”

จากนั้นก็จ้องมองเจ้าของนัยน์ตาสีนิลนิ่ง พลันความดึงดูดบางอย่างก็ฉุดกระชากให้เขาถลาเข้าหา ริมฝีปากสีสวยถูกครอบครอง ออสตินประทับริมฝีปากของตนลงมาแผ่วเบา ขบเม้มกลีบปากบางนั่นราวกับกำลังละเลียดกินวิปครีมบนหน้าเค้กก้อนโต ก่อนจะบดเบียดแนบชิด ดูดกลืนประหนึ่งว่าจะช่วงชิงลมหายใจของอีกฝ่ายไป

กานต์กำแขนเสื้อของคนตรงหน้าแน่น วูบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก พอออกแรงผลักให้ออสตินถอยห่าง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทวีความดุดัน สอดปลายลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัด ลงโทษเด็กหนุ่มที่บังอาจหาญกล้ามาเชื้อเชิญเขาให้ต้องก้าวข้ามเขตแดนอันตรายที่เขาขีดเส้นเอาไว้อย่างสาสม...

มันเป็นความผิดของกานต์...

เป็นความผิดของเขาคนเดียวที่ทำให้ความอดทนของออสตินสิ้นสุดลง...

แต่เป็นความผิดที่เขายินดีจะรับโทษทัณฑ์สาหัสเจียนตาย

การลงโทษนี้หอมหวานจนเกินจะต้านทานไหวเหลือเกิน...

เรียวปากบางถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระในอีกอึดใจต่อมา หากทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ยอมให้การลงทัณฑ์ยุติแต่เพียงเท่านั้น ครั้นหายใจได้สะดวก ดวงตาคู่สวยก็จ้องมองอย่างเว้าวอน แม้จะไม่เอ่ยคำใด ออสตินก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการการลงโทษมากกว่านี้

ไม่ต้องบอกเขาหรอก... เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้แน่ ปีศาจแห่งราคะเข้าครอบงำให้เขาต้องกระทำบาป ต่อให้ได้ชิมรสหอมหวานจากริมฝีปากสีสวยแล้ว เขาก็หมายจะชิมอีก พลันพรมจูบไปบนกกหู ละเลียดไล่ต่ำลงมาบนลำคอ ขบเม้มราวกับแวมไพร์ที่หมายจะดูดเลือดของเหนื่อ

กานต์กำมือแน่น สาบเสื้อเชิ้ตของเขาถูกแหวกออกจากกัน มือสากหนาลูบลากไปบนแผงอก บดเบียดส่วนอ่อนไหวเล็กๆ จนเด็กหนุ่มต้องหายใจสะท้าน

สัมผัสนั้น...วาบหวามเกินกว่าจะต้านทานไหว ยิ่งถูกโพรงปากอุ่นร้อนเข้าครอบครองดุนดันอย่างกระหาย เสียงคำรามอย่างพึงใจก็ดังมาให้ได้ยิน และดูเหมือนว่าจะดังวนเวียนไปไม่จบสิ้นเมื่อออสตินไม่สามารถระงับความต้องการของตนเองได้อีกต่อไปแล้ว กางเกงของคนตรงหน้าถูกดึงไปกองที่ข้อเท้า มือใหญ่สอดเข้าไปในขากางเกงชั้นใน รุกรานอย่างหยาบโลนจาบจ้วง

"ดะ...แด๊ดดี้..."

ความอุ่นร้อนของฝ่ามือทำให้กานต์ส่งเสียงกระเส่าออกมาอย่างสุดจะทน เสียงนั้นทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าของออสตินถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีก เขากระถดถอยลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น ปรนเปรอศูนย์รวมความรู้สึกของเด็กหนุ่มราวกับว่าจะกลืนกินให้สิ้น

เด็กหนุ่มกระตุกเฮือก...

เขากำลังจะขาดใจตาย...

แต่เป็นความตายที่แสนจะยินดีรับไว้

สะโพกที่แอ่นรับสัมผัสยกลอยเหนือโซฟาถูกมือใหญ่รั้งไว้มั่น ความอัดอั้นปะทุราวกับลาวาของภูเขาไฟใต้มหาสมุทรหลั่งไหล

ความต้องการของเด็กหนุ่มถูกเติมเต็มอย่างถึงที่สุด...

ออสตินรับเอาทุกหยาดหยดแห่งความสุขสมในปรารถนานั้นไว้ แผ่นอกของกานต์กระเพื่อมอย่างรุนแรงก่อนที่จะค่อยๆ ทุเลาเมื่อชายหนุ่มที่กลั่นแกล้งเขาอยู่ที่บริเวณหน้าขาถอนริมฝีปากออกมา ดวงตาหวานเชื่อมที่ปรือปิดไปเกือบครึ่งทอดมองไปยังคนตรงหน้า ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด ออสตินจับข้อมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม ออกแรงบีบจนกระทั่งผิวเนื้อสีน้ำผึ้งเจือสีแดงระเรื่อ

...ราวกับจะระบายความอัดอั้นภายในที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย

ออสตินควบคุมตนเองไม่ให้กระทำสิ่งใดมากเกินไปกว่านี้ด้วยการกำหนดการหายใจ กระทั่งกานต์ซึ่งปรือตามองเขาอยู่ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงและผล็อยหลับไป ลมหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้ออสตินตระหนักได้

สิ่งที่กานต์ทำ สิ่งที่กานต์พูด ล้วนแล้วเป็นไปเพราะความมึนเมาทั้งนั้น จะมีก็แต่ตัวเขานั่นแหละที่รู้ทั้งรู้แต่ก็ระงับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

มือใหญ่ค่อยๆ คลายจากข้อมือนั้น ออสตินดันตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา ดึงให้เด็กหนุ่มเอนกายมานอนซบบนตัก ก่อนจะสอดปลายนิ้วเข้าไปใต้เส้นผมสีดำสนิทอย่างแผ่วเบา

ลูกเลี้ยงของเขาคนนี้...กำลังทำผิดมหันต์

ผิดที่ทำตัวเกเรจนเมามายไม่ได้สติ จนเขาต้องลงโทษอย่างเผลอตัว

เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นแท้ๆ...

ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ข้างคลึงขมับตนเองอย่างระอาใจกับพฤติกรรมของกานต์

...และแน่นอนว่าของตัวเขาเองด้วย

เขาไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ

ไม่ควรลงโทษกานต์ด้วยโทษทัณฑ์นี้เลย...

ไม่ควร...

-----------------------------------

ตอนนี้ยาวหน่อยค่ะ แต่จุใจไปเลยเนอะ แด๊ดดี้แซ้บแซ่บ 555

ในที่สุดก็ตบะแตกจนได้ค่ะ อดทนมาได้ตั้งนาน (มั้ง?) สุดท้ายก็ดีแตก แถมทำซะนุ้งกานต์อ่อนปวกเปียกไปเลย

ฝากฟีดแบ็กด้วยนะคะ พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 9:Punishment[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-02-2018 01:42:26
เมากลับบ้าน ถึงบ้านอ่อยเดดดี้อีก ส่างเมาเมื่อไหร่ โดนลงโทษแน่ ๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 9:Punishment[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 26-02-2018 09:35:08
ว้ายยย ตายแล้ววว แด๊ดดี้ขาาา :hao6:
กลายเป็นว่าแด๊ดดี้ทนไม่ไหวสิแล้วนะคะ ก็แหมมเจอลูกอ้อน(ปนเมา)แบบนั้นไป หึหึ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 9:Punishment[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-02-2018 18:39:34

Chapter 10: Big mistake

ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมึนหัวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต...

เปลือกตาบางที่เปิดขึ้นมาเมื่อครู่จำต้องปิดลงอีกครั้งเมื่อกานต์เห็นเพดานห้องหมุนคว้าง ความปวดหนึบที่ศีรษะทำให้เขาต้องขมวดคิ้วจนย่นยู่ กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้ง

วันนี้เป็นวันเสาร์... ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีเรียน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเดือดร้อนแน่

เดือดร้อน...

ต่อให้ไม่ใช่วันเสาร์ เขาก็ต้องเดือดร้อนเช่นกันเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น

เขาไปที่บ้านของเจฟฟรี่ย์เพื่อทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์ แต่พอไปถึง กลับมีเพื่อนจากชั้นปีและชมรมอื่นตามมาสมทบ ก่อนที่การทำรายงานบ้านเพื่อนจะกลายเป็นงานปาร์ตีขนาดย่อม เจฟฟรี่ย์บอกกับเขาว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กอเมริกันที่มักชวนเพื่อนมาแอบจัดงานปาร์ตีที่บ้าน เรื่องนั้นกานต์พอเข้าใจได้ แต่เขารู้สึกไม่ดีสักเท่าไรที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ คิดไปถึงพ่อเลี้ยงของตนเองว่าถ้ารู้เรื่องขึ้นมา มีหวังถูกโกรธแน่ ทว่า...พอเขาดึงดันว่าจะกลับ เขาก็ถูกคนอื่นๆ คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าแลกกับการให้กลับบ้าน คนที่ไม่ค่อยได้แตะแอลกอฮอล์อย่างเขาถึงกับเสียศูนย์เมื่อถูกมอมเหล้าครั้งแล้วครั้งเหล้า ไหนจะบุหรี่และ...กัญชา ใช่ บางทีอาจจะเป็นกัญชา เพราะกานต์เห็นเพื่อนผิวสีบางคนม้วนพืชแห้งๆ บางชนิดมาจุดสูบกันอย่างสนุกสนาน

แต่ถึงจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ทำให้เขาเมามายจนไม่ได้สติ กานต์พยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าตนมาอยู่ที่ห้องนอนของตัวเองได้อย่างไร

เขาเมา... จากนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงของเจฟฟรี่ย์ร้องบอกให้คนขับรถพาเขามาส่งที่บ้าน จากนั้นก็เห็นออสติน แล้วก็...

คิดถึงตอนนี้ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระทึกขึ้นมา เพราะเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตัวเองไม่ได้ไม่มีสติไปเสียทีเดียว เขาพอจะจำได้ว่าเห็นออสตินอยู่ใกล้เพียงฝ่ามือ ออดอ้อนออเซาะอย่างไม่อาจควบคุม ตอนแรกที่ความทรงจำเลือนรางนี้ผุดพรายขึ้นมา เขาหลงคิดไปเหมือนกันว่าเป็นความฝัน แต่ถ้าเป็นความฝันจริงๆ เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ในตอนนี้จะต้องเป็นชุดเดิมที่เขาใส่ไปบ้านเจฟฟรี่ย์สิ ใส่ชุดนอนอยู่อย่างนี้แสดงว่า...

คิดแล้วใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาฉับพลัน จะเป็นใครที่เปลี่ยนให้เขากันล่ะนอกจากออสติน...

“บ้าเอ๊ย...”

กานต์สบถ คว้าหมอนมาปิดหน้าตัวเอง แทบอยากจะตะโกนอัดเสียงลงไป แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

ถ้าเขาเมาหยำเปถึงขนาดต้องให้ออสตินมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ขนาดนั้น ป่านนี้ออสตินคงโกรธเขามากไปแล้ว

คิดได้เท่านั้นก็กระเด้งตัวขึ้นนั่งทันที ก่อนจะรีบพยุงตัวเองลงไปชั้นล่าง ในใจภาวนาขอให้ออสตินออกไปทำงานหรืออะไรแบบนั้น เขาจะได้มีเวลาที่จะนึกคำแก้ตัวโทษฐานที่เมาหัวราน้ำ

ทว่าพระเจ้ากลับไม่เข้าข้างเขาเสียเลย ก็วันเสาร์นี่นะ อีกฝ่ายจะไปทำงานทำไมกันล่ะถ้าไม่ได้มีงานสำคัญ แค่โผล่หน้าเข้ามาในครัว กานต์ก็เห็นชายหนุ่มในชุดลำลองนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มือข้างหนึ่งจับช้อนคนกาแฟในถ้วย มืออีกข้างถือแท็บเล็ตดูความเคลื่อนไหวของระบบการเงินอย่างเช่นเคย หากแต่พอเด็กหนุ่มโผล่หน้าเข้าไปแล้วทำท่าเหมือนตกใจที่ได้เห็นเขา ออสตินก็เบือนสายตามามองทันที

“ตื่นแล้วเหรอ”

เป็นคนทักก่อนอีกด้วย กานต์อึกๆ อักๆ ไปครู่ก่อนจะพยักหน้า

“ยังมึนหัวอยู่ไหม”

ยังมึนอยู่ แต่กานต์ไม่ได้ตอบอะไร มีก็แต่ออสตินที่เปล่งเสียง

“นั่งลงสิ ฉันชงชาคาโมมายล์ให้”

พูดจบก็ลุกไปจัดการเงียบๆ ปล่อยให้เด็กหนุ่มก้าวมานั่งที่เก้าอี้ด้วยใจที่หวาดหวั่น ครู่หนึ่งออสตินก็เดินกลับมาพร้อมกับถ้วยชาในมือ กานต์เอ่ยขอบคุณเสียงเบาขณะที่สายตาก็เหลือบมองอากัปกิริยาของคนตรงหน้าไม่หยุด

แต่...ออสตินไม่พูดอะไรสักคำ ทำทุกอย่างตามปกติจนกานต์อึดอัดและต้องเป็นฝ่ายที่เปิดปากเอง

“แด๊ดดี้ครับ เรื่องเมื่อคืน...”

เอ่ยมาแค่นั้น ออสตินก็สวนขึ้นมาทันที

“เธอผิดสัญญา”

มีก้อนบางอย่างจุกในลำคอของเด็กหนุ่มทันควัน เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองกลับถึงบ้านกี่โมง แต่ค่อนข้างมั่นใจเลยทีเดียวว่าเกินสี่ทุ่มแน่ๆ

“ถึงบ้านตอนห้าทุ่มกว่าๆ เลยที่เราสัญญากันไว้เป็นชั่วโมง”

“ขอโทษครับ”

“ที่สำคัญ...เธอเมา”

ออสตินว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอีกครั้ง หากทว่ากลับทำให้คนฟังหน้าซีดเป็นกระดาษ

ความผิดลำดับที่สองของเขาถูกพูดถึงแล้ว!

“แล้วก็พูดอะไรไร้สาระ”

คราวนี้สีหน้าของกานต์ดูแย่มากขึ้นไปอีก

“อยากรู้ไหมว่าพูดว่าอะไรบ้าง”

กานต์กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่ เรื่องแบบนั้นเขาไม่อยากรู้หรอก แต่ก็ไม่ทันออสติน อีกฝ่ายโพล่งออกมาก่อนแล้ว

“เธอบอกให้ฉันกอด”

ถึงกับเสียวสันหลังวาบ ดวงตาเบิกโพลง มองอีกฝ่ายประหนึ่งเห็นผี จากนั้นออสตินก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องมีท่าทางเงอะๆ งะๆ จนไปต่อไม่ถูกอีก

“แล้วเธอก็บอกให้ฉันจูบ ตอแยไม่เลิก”

ความทรงจำบางอย่างพอจะผุดพรายขึ้นมาในหัว เขาพอจำขึ้นมาได้บ้างแล้วว่าเมื่อคืนนี้ตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง แต่คำพูดก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการกระทำ เขาอยากรู้ว่าในขณะที่ตัวเองไม่ได้สตินั้น เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับออสตินบ้างหรือเปล่า

“ละ...แล้วผมกับแด๊ดดี้...เอ่อ...ได้...”

ออสตินรู้ว่าคนตรงหน้าจะถามอะไรแต่ไม่พูด ได้แต่จับจ้องกานต์นิ่งกระทั่งเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายพูดออกมา

“ผมกับแด๊ดดี้ได้ทำอะไรกันหรือเปล่าครับ”

กานต์กลั้นใจพูดเร็วๆ จริงๆ ตั้งใจจะถามว่าเขาได้ทำอะไรพ่อเลี้ยงของตัวเองต่างหากเพราะเขาคิดว่าตอนที่ตัวเองประคองสติไม่อยู่จะต้องทำอะไรบ้าๆ ออกไปแน่ แต่เพราะถูกจ้องจนประหม่าถึงได้พูดเพี้ยนไปหมด

ดวงตาของออสตินวูบไหว คำพูดของกานต์เหมือนกับเข็มที่ทิ่มลงมากลางใจ ก่อนที่เขาจะลอบสูดลมหายใจเข้าปอด ตั้งสติแล้วพูดออกไป

“เปล่า ไม่ได้ทำ ระหว่างเราไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด”

อันที่จริงต้องบอกว่าโกหกหน้าตาเฉย...

กานต์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ค่อยยังชั่วที่เขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการพูดเพ้อเจ้อ

ทว่า...ออสตินกลับมองลูกเลี้ยงของตนพลางกลืนน้ำลาย ความทรงจำเมื่อคืนผุดพรายราวกับมองทะลุเสื้อผ้าที่กานต์สวมใส่เข้าไปได้

ลำตัวมีกล้ามหน้าท้องเล็กน้อย... ผิวเรียบเนียน... เสียงกระเส่าชวนฟัง... สายตาหวานเชื่อมที่ช้อนมอง...

คิดแล้วเขาก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อความรู้สึกอยากที่จะกอดรัด อยากจะขยำขยี้เรือนร่างของคนตรงหน้าให้หนำใจผุดพราย

เฮงซวยจริงๆ! ทำไมต้องคิดถึงร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กตรงหน้าด้วย!

กานต์!

กานต์!

กานต์!

เพราะกานต์แท้ๆ พ่อเลี้ยงของเขาถึงกำลังจะตบะแตกทั้งๆ ที่แค่มองเฉยๆ แล้วเห็นไหม!

ถึงกับต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแทน ความกรุ่นโกรธในการกระทำของตัวเองพร่างพรายไปทั่ว ขณะที่เด็กหนุ่มเห็นใบหน้าบึ้งตึงนั้นก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายโกรธตัวเอง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด

“ผมขอโทษครับ”

ออสตินเหลือบมามองอีกครั้งในตอนนี้ เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ยังคงขาวซีดเป็นกระดาษ เขาก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าเขาไม่ได้โกรธกานต์สักเท่าไรหรอก หลักๆ คือเป็นห่วงต่างหาก ที่โกรธน่ะคือตัวเขาเองที่ระงับความรู้สึกภายในไม่ได้

เขาสาบานกับพระเจ้าไว้แล้วว่าจะไม่แตะต้องเด็กคนนี้ แต่สุดท้ายก็...

“แด๊ดดี้ครับ...ผมขอโทษ”

สุดท้ายแล้วออสตินก็ต้องหยุดความคิดของตัวเอง ถอนหายใจออกมาเต็มแรงเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ให้ได้

“เอาเถอะ อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกก็แล้วกัน โดยเฉพาะเรื่องดื่มเหล้าสูบกัญชาอะไรนั่น”

“ผมสัญญาครับ เรื่องเซ็กส์ก็ด้วย รับรองว่าจะไม่ให้มี”

กานต์ดีใจที่อีกฝ่ายไม่โกรธ รีบออกตัวไปสุดแรง หากแต่คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ออสตินเบาใจได้เลย ทำให้เขาชะงักมากกว่า

ไม่ให้มีเรื่องเซ็กส์...

ไม่ทันแล้ว...

เมื่อคืนก็เกือบจะพลาดพลั้งไปแล้ว...

ออสตินยกมือขึ้นปิดปาก ลูบปลายคางกลบเกลื่อนเมื่อในหัวคิดอะไรไม่ดีกับคนตรงหน้าขึ้นมาอีก

ร่างกายนั้น...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะสัมผัสมันอีกสักครั้ง หรือว่าเขาจะต้องเป็นฝ่ายมอมเหล้าถึงจะได้มีโอกาสอีกที?

คิดแล้วก็ได้สติ อยากจะตบหน้าตัวเองนัก การที่เขาระงับความต้องการของตัวเองไม่ได้มันเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงของผู้ปกครองเลยทีเดียว

แต่กานต์... เด็กหนุ่มตรงหน้าของเขาคนนี้มีแรงดึงดูดบางอย่างให้เขาก้าวผ่านเส้นเขตแดนที่ตนขีดเอาไว้จริงๆ

“ไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมครับ”

เห็นออสตินยังนั่งเงียบอยู่ กานต์ก็ถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“อืม ไม่โกรธแล้ว”

เท่านั้นรอยยิ้มกว้างก็ประดับพรายบนใบหน้า “ขอบคุณครับ”

รอยยิ้มของเทวดาตัวน้อยเป็นอย่างไร รอยยิ้มของกานต์ก็เป็นอย่างนั้น ออสตินมองแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย แต่แล้วก็ต้องได้สติเมื่อสังเกตเห็นผิวเนียนของเด็กหนุ่มมีรอยแดงเป็นจ้ำ แวบแรกเห็นแล้วก็ใจหาย คิดว่าเป็นรอยที่ตัวเองทำ ทว่าพอมองดีๆ กลับไม่ใช่ มันเป็นรอยคล้ายกับว่าเป็นผื่นลมพิษมากกว่า

“ที่แขนนั่นเป็นอะไร”

กานต์ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาดู เห็นรอยเป็นปื้นแดงก็ส่ายหน้า

“ผมก็ไม่รู้ครับ”

“ไหนมาดูใกล้ๆ ซิ”

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหา ออสตินดึงเก้าอี้ให้นั่งข้างๆ ก่อนจะคว้าแขนข้างนั้นขึ้นมาดู รอยแดงนี้น่าจะเป็นอาการแพ้อะไรบางอย่าง ออสตินกำลังคิดว่าอาจจะแพ้แอลกอฮอล์หรือกัญชาอะไรก็ได้ ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างจับปลายคางของกานต์ให้หันหลบ สำรวจดูที่ซอกคอ... ตรงนี้ก็มีรอยแดงเหมือนกัน

“น่าจะแพ้อะไรสักอย่าง สงสัยต้องไปหาหมอ”

กานต์แทบไม่ได้ฟังเสียงนั้นเลย ตอนนี้เขาได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองเต้น ทุกการสัมผัสและไออุ่นที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือของออสตินทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ

ไม่...เขาจะไม่คิดอะไรกับออสตินให้เลยเถิด!

สะกดจิตตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลยสักนิด โดยหารู้ไม่ว่าขณะที่กำลังสำรวจรอยแดงๆ ที่ซอกคอนั้น ออสตินเองก็เริ่มคิดเตลิดเปิดเปิงไปเช่นกัน

ซอกคอขาว... กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเด็กหนุ่มที่เขาสัมผัสไปเมื่อวาน มันติดตรึงในใจจนแทบจะทำให้เขาอดใจกระทำผิดพลาดอีก

อดทนไว้ออสติน...อดทน...

แต่สายตากลับละออกมาจากผิวนุ่มตรงนั้นไม่ได้เลย ยิ่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายเรียก

“เอ่อ...แด๊ดดี้ครับ”

ออสตินก็เหมือนกับถูกความมืดดำบางอย่างเข้าครอบงำ เขาถลาเข้าหา บดเบียดช่วงชิงจูบมาจากริมฝีปากสีเชอร์รี่ ก่อนจะคว้าเอาอีกฝ่ายขึ้นอุ้มแล้วปัดของลงจากโต๊ะ พลันวางเด็กหนุ่มลงไปแทน เสื้อยืดสีขาวที่กานต์สวมอยู่ถูกถลกขึ้นสูง ปลายลิ้นของเขาลากไล้ไปทุกอณูผิว ดูดกลืนขบเม้มจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางกระเส่าหวานหู ก่อนที่กางเกงขายาวซึ่งอีกฝ่ายใส่นอนจะถูกดึงลงไปกองที่ข้อเท้า เผยบางสิ่งให้เขาได้ลูบไล้หยอกล้อเล่น

กานต์... เด็กผู้ชายคนนี้...

...เขาจะขยำขยี้ให้สาแก่ใจ

...จะกลืนกิน จะกระชากวิญญาณ จะช่วงชิงลมหายใจ

...จะทำทุกอย่างที่อยากทำจนกว่าอีกฝ่ายจะต้องวิงวอนขอร้องให้เขาหยุด

...จะทำให้ต้องเรียกชื่อเขาแต่เพียงผู้เดียว

“แด๊ดดี้...เอ่อ...แด๊ดดี้ครับ ได้ยินผมไหม”

ออสตินหลุดออกจากภวังค์ของตัวเองทันควัน ผละออกมามองหน้าของเด็กหนุ่มที่เขาเผลอเอาไปจินตนาการไปไกลอย่างกะทันหัน ท่าทางนั้นทำเอากานต์สะดุ้งระคนประหม่าเล็กน้อย

“ปะ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

แค่ประหม่าที่ถูกจับมือถือแขนและจ้องมองที่ซอกคอ มันก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาแทบจะหลุดออกมาเต้นด้านนอกอยู่แล้ว แต่ออสตินกลับนิ่งไม่พูดไม่จาสักที มิหนำซ้ำพอเรียกก็ดันมาทำท่าตกใจใส่เสียนี่ เป็นอะไรของเขานะ

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

ออสตินกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้าด้วยการตีสีหน้าเรียบเฉย กานต์ยกคิ้วสูง บ่งบอกชัดเจนว่าสงสัยในท่าทางพิลึกๆ ของคนตรงหน้า

ไม่...ให้สงสัยไปมากกว่านี้ไม่ได้

เท่านั้นออสตินก็ออกปาก “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ จะได้ไปหาหมอกัน ดูท่าทางเธอน่าจะแพ้แอลกอฮอล์”

กานต์ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด พยักหน้ารับแล้วยอมเดินออกไปนอกห้องครัวแต่โดยดี ปล่อยให้ออสตินมองตามกระทั่งแผ่นหลังของเด็กหนุ่มหายไป เท่านั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นขยุ้มผมตัวเองอย่างหัวเสีย

“เวรเอ๊ย”

พึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิดอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงจริงๆ เพราะมันทำให้เขาหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว

ผู้ปกครองที่ดี... พ่อเลี้ยงที่ดี... อะไรพวกนั้นเขาคงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

ทั้งๆ ที่สาบานเอาไว้แล้วแท้ๆ...

“แด๊ดดี้ครับ...”

จู่ๆ กานต์ก็โผล่หน้ากลับเข้ามา  ทำเอาออสตินที่ยังคงขยุ้มผมตัวเองไม่เลิกต้องรีบเหยียดตัวตรง มือเลื่อนลงมาลูบหน้าลูบคาง แสร้งทำตัวเป็นปกติทันควัน

“อืม มีอะไร”

“ผมแค่จะมาบอกว่าขอบคุณสำหรับชาคาโมมายล์นะครับ”

เรื่องนั้นไม่ต้องมาบอกเขาหรอก!

ออสตินเหล่มอง พลันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร จะมีก็แต่กานต์เท่านั้นที่เห็นสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้แล้วก็ได้แต่ทำหน้าสงสัย

“ทำไมผมของแด๊ดดี้ถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนั้น”

แล้วก็ชี้ไปที่หัวตัวเองเป็นการประกอบท่าทาง ออสตินเหลือบมอง ว่าเสียงเข้ม

“รีบไปจัดการธุระส่วนตัวซะ”

ดุมาอย่างนี้ แล้วกานต์จะอยู่เหรอ รีบพยักหน้าแล้ววิ่งปรู๊ดกลับขึ้นชั้นบนทันที ทิ้งให้ออสตินได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความระอาอีกครั้ง

เรื่องเมื่อวานเป็นความผิดพลาดของเขาจริงๆ ด้วย

...ผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเลยจริงๆ

 

-------------------------

แด๊ดดี้นี่ไปๆ มาๆ จะยิ่งกว่าน้องกานต์อีกมั้ย เพ้อขนาดนั้น แด๊ดคะ น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ ใจเย้นนนนน 555

ฝากฟีดแบ็กด้วยนะคะ ดึกๆ จะมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้จ้า

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 10:Big mistake[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: atitayalnw ที่ 27-02-2018 00:05:27
น้องกานต์หนีมาลูก แด๊ดดี้น่ากลัวเวอร์
แค่สบตาเห็นซอกคอขาวๆคิดเป็นฉากๆขนาดนี้
แหม่  ทำเก๊กนะคะ ดูซิจะเก๊กไปได้ซักกี่น้ำ แค่นี้อาการ
ก็หลุดจนแทบจะเอาไม่อยู่แล้ว นี่ไม่อยากจะคิดถ้ามีคนมาจีบ
น้องกานต์ แด๊ดดี้จะคลั่ง ได้ขนาดไหน อดใจรอตอนที่จะได้สมน้ำหน้า
แด๊ดดี้ไม่ไหวแล้ว หมั่นไส้เบาๆ เก๊กดีนัก ในหัวนี่แบบร้อนแรงเวอร์ กลัวแล้ว
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 10:Big mistake[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-02-2018 02:13:42
อย่างไงกันเนี่ย พออีลูกอ่อย อีพ่อเงียบ แต่พออีลูกสลด อีพ่อต่อมหื่นทำงาน  :katai3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 10:Big mistake[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 27-02-2018 15:42:12
ความกระหายของแด๊ดดี้ปิดไม่มิดแล้วนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 10:Big mistake[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-02-2018 23:27:45
Chapter 11: Jeffrey O’conell[1]

หากแอปเปิลเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า เด็กหนุ่มคนนั้นก็คงไม่ต่างอะไรจากผลแอปเปิลนั้น

สดสวย...ยั่วเย้า...ล่อหลอกให้เขาต้องเผลอไปเด็ดจากขั้วมากัดกินโดยหารู้ไม่ว่าแอปเปิลผลนั้นอาบยาพิษ...

ออสตินเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้ว่าลูกเลี้ยงของเขามีอำนาจอยู่เหนือจิตใจเขามากกว่าที่คิด ตอนแรกที่คิดว่าคงจะทนได้ หากแต่เมื่อได้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน อีกทั้งได้รับรู้ว่ากานต์คิดกับเขาอย่างไร ทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้ก็ดูเหมือนจะกลับตาลปัตรไปหมด

ตอนนี้เข้าใจ... เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงควรตั้งสติไว้ให้มากเวลาที่อยู่กับกานต์ เพราะหลังจากที่ทำผิดพลาดไปครั้งใหญ่หลวง เขาก็ไม่สามารถหวนกลับคืนเป็นอย่างเดิมได้อีกเลย ต่อให้การกระทำยังคงเหมือนเดิม แสดงออกให้กานต์เห็นเหมือนเดิม แต่ข้างในใจของเขาไม่ได้เป็นเหมือนเดิมสักนิด ทุกครั้งที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น...ก็พานจะคิดไปเรื่องไม่เหมาะสมทุกที

เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่จะมาคิดเพ้อฝันอะไรเรื่องเซ็กส์กับคนที่ชอบแล้วนะ เขาอายุสามสิบห้าแล้ว ห่างจากเด็กนั่นตั้งสิบแปดปี เขาควรจะตั้งสติได้ดีกว่านี้!

ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ หลังจากที่พากานต์ไปหาหมอและผลตรวจก็ปรากฏว่าผื่นแดงที่เห็นเป็นเพราะแพ้แอลกอฮอล์ เขาก็จัดการอบรมอีกฝ่ายไปอีกยกหนึ่งว่าเป็นผลที่เกิดจากการเกเรเมื่อคืน จนคนถูกดุสลดไปอีกระลอก กระทั่งข้ามมาอาทิตย์ใหม่ กานต์ก็ยังคงถูกดุอยู่ จนเด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะเมินใส่เจฟฟรี่ย์ด้วยคิดเอาว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ออสินหัวเสีย ต่อให้เจฟฟรี่ย์ตามขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า กานต์ก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าท่าทีของเขาที่มีต่อเจฟฟรี่ย์เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

บางทีการที่เขาเลิกคบกับเจฟฟรี่ย์อาจจะทำให้ออสตินกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้...

ทว่าสิ่งนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ต่อให้กานต์เลิกคบหากับเจฟฟรี่ย์ ออสตินก็ยังคงดุเขาอยู่ดี มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทางหงุดหงิดมาให้เห็นบ่อยๆ

ไม่สิ...ต้องบอกว่าเป็นสายตาที่ระคนความหงุดหงิดต่างหาก ท่าทางของเขายังปกติดีทุกอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้กานต์อึดอัด ออสตินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาชักจะทนไม่ไหวแล้ว ถูกดุมากกว่านี้อีกสักนิด คงจะได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ แน่

ทว่าโชคดีที่มาเรียที่แวะมาดูแลความเรียบร้อยจนเห็นความผิดปกตินี้ช่วยปราม ไม่อย่างนั้นล่ะก็ กานต์คงจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่เป็นสุขแน่

หากแต่...ทั้งหมดนั่นกลับเป็นแผนการของออสติน

เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะดุอย่างนั้น เพียงแต่กำลังจะย้ำเตือนให้เขาและกานต์ตระหนักได้ถึงสถานะของตัวเองต่างหาก แต่พอผลออกมาเป็นอย่างนั้น เขาก็ปล่อยเลยตามเลย ให้เด็กหนุ่มเข้าใจไปว่าเขาโกรธเพราะเผลอเถลไถลทำตัวไม่ดีอย่างนั้นแหละดีแล้ว

หลังเลิกงานในวันนี้ ออสตินไม่ได้กลับบ้านในทันที เขาไหว้วานให้มาเรียเป็นคนไปรับกานต์กลับบ้าน ขณะที่ตัวเองมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งของเขาที่อยู่ห่างกันไม่มากนัก

บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ หรูหรากว่าบ้านที่เขาอยู่กับกานต์มากโข อันที่จริงแล้วกานต์ต้องมาอยู่บ้านหลังนี้ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวบางอย่างของเขาจึงทำให้กานต์ได้ไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น เรื่องบ้านใกล้โรงเรียนอะไรนั่นเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงแล้วเขาต้องการมีเวลาส่วนตัวอยู่กับเด็กหนุ่มโดยไม่มีใครมารบกวนมากกว่า บ้านที่มีคนรับใช้มากมายถึงขนาดนี้ เขาไม่ต้องการหรอก เพื่อเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว เขายอมที่จะตื่นเช้ามาเข้าครัวเตรียมอาหารให้ทุกวัน ขอแค่ได้อยู่กันตามลำพังเท่านั้น

นั่นเป็นความเห็นแก่ตัวของเขา...

รถของออสตินมาจอดเทียบที่รั้วหน้าบ้าน ผู้ดูแลก็รีบเปิดประตูรั้วให้เข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ออสตินส่งกุญแจรถให้กับคนดูแลให้นำรถไปเก็บที่โรงจอด ส่วนตนก็เดินเข้าไปด้านในพลันทักกับหญิงวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่แม่บ้าน

“เขาตื่นอยู่ไหม”

‘เขา’ ที่ว่า ไม่ต้องเอ่ยชื่อ แม่บ้านก็รับรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงใคร

“ตื่นอยู่ค่ะ อยู่ชั้นบน แต่คงจะมาพบคุณทันทีเลยไม่ได้ ขอเวลาให้เขาอาบน้ำก่อนนะคะ พยาบาลกำลังดูแลอยู่”

ชายหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแทน

เรียวนิ้วเคาะบนที่วางแขนของโซฟาหนังตัวใหญ่สีดำขลับ มืออีกข้างยกแก้วกาแฟค้าง ไม่จิบสักทีกระทั่งความอุ่นของของเหลวในนั้นเริ่มเจือจาง

เขากำลังครุ่นคิด...

คิดถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่สลดลงเพราะถูกเขาดุ...

ดวงตาหม่นประกาย สีหน้าวิตก ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรง ทำเอาเขาสงสารขึ้นมาจับใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับว่าท่าทางไม่สู้คนนั้นกระตุ้นเร้าให้สัญชาตญาณนักล่าของเขาทำงาน จนเขาต้องเป็นฝ่ายขบกรามแน่นเพื่อระงับความคิดบ้าๆ นั้น

กานต์... ทำไมถึงได้...

“ลมอะไรหอบมาล่ะออสติน นายถึงได้มาหาฉันได้”

เสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นทางด้านหลังเรียกให้สติของออสตินกลับคืนมา เขาวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะกระจกเบื้องหน้าก่อนหันไปมอง

“จัสติน...”

“ว่าไงน้องชาย” อีกฝ่ายทัก ใบหน้าคร้ามคมที่คล้ายคลึงกับออสตินมีรอยยิ้มประดับพราย ก่อนเขาจะหันหน้าไปบอกกับพยาบาลสาวที่อยู่ทางด้านหลัง “ช่วยเข็นผมไปตรงนั้นที”

พยาบาลสาวรับคำสั่ง ออสตินมองพี่ชายที่นั่งรถวีลแชร์เข้ามาหานิ่ง กระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าถึงได้เอ่ยปากขึ้น

“นายสบายดีไหม”

เป็นคำถามโง่ๆ ที่ถามไปเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ขณะที่อีกฝ่ายใช้มือทั้งสองข้างผายออกมาข้างหน้า

“สบายดี แต่ไม่ครบสามสิบสองประการ”

ในน้ำเสียงนั้นเจือความขี้เล่น ออสตินไม่ตลกด้วย มองปราดไปยังขาทั้งสองข้างของคนเป็นพี่ที่ตอนนี้ใช้การไม่ได้

ใช่...จัสติน สเวน เป็นคนพิการ เขาอายุสี่สิบปีและเดินไม่ได้มากว่าสิบปีแล้ว ทั้งที่เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่น้องชายเขาควรจะชิน แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ออสตินจะทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติได้

มันช่วยไม่ได้... จัสตินไม่ได้เป็นคนพิการมาตั้งแต่กำเนิดนี่นา แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อตอนอายุสามสิบต่างหาก

“ว่าแต่นายมาหาฉันทำไม”

จัสตินเข้าเรื่อง เดาได้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมาหาเขาโดยไม่มีเรื่องอะไรมาคุยอย่างแน่นอน หากแต่ออสตินกลับไม่ตอบไปตามตรง เหลือบมองแล้วว่าด้วยท่าทางสบายๆ

“ไม่มีธุระแล้วผมมาหาพี่ไม่ได้หรือไง”

คนฟังถึงกับหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นฝนก็คงจะตกเป็นลูกกวาด คนอย่างออสติน สเวน น่ะเหรอที่จะมาหาฉันโดยไม่มีเรื่องอะไร”

จัสตินเป็นอีกคนที่ออสตินโกหกไม่ได้ ถึงจะโกหกไปก็ถูกรู้ทันทุกที อีกฝ่ายเลยต้องกลบเกลื่อนด้วยการจัดท่าทางสบายๆ พิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้

“มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย”

“เรื่องที่บริษัท?”

“อืม”

โกหกมันไปเสียเลย จริงๆ แล้วเรื่องที่เขาไม่สบายใจมันคือเรื่องของกานต่างหาก

“คิดมากไปทำไมน้องชาย เรื่องที่บริษัท มีอะไรที่คนอย่างนายจัดการไม่ได้บ้าง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพ่อมดอย่างนายจะเป็นกังวลเรื่องนี้”

นั่นก็จริง ไม่มีเรื่องอะไรที่ออสตินจัดการไม่ได้ ถ้าเขาแก้ปัญหาไม่ได้ เขาจะเป็นหนึ่งคนที่ทรงอิทธิพลในวงการตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างไร

แต่ออสตินก็ไม่คิดที่จะพูด พอสิ้นเสียงของจัสติน เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา จัสตินเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ยักไหล่เล็กน้อย

“แต่ถ้านายไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าแวะมาเยี่ยมฉันตามประสาครอบครัวเดียวกันก็แล้วกัน”

ครอบครัวเดียวกัน... ถูกต้อง ออสตินยังมีสมาชิกครอบครัวเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง แต่เขาไม่ค่อยได้พูดถึงให้ใครฟังสักเท่าไรนักด้วยเห็นว่าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครรับรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่จัสตินต้องกลายเป็นคนพิการ

พอสิ้นเสียงของจัสติน ทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรกันสักคำ มีแต่เหลือบมองหน้ากันเป็นระยะ

ไม่สิ...ต้องบอกว่ามีแค่จัสตินเท่านั้นที่เหลือบมองน้องชายเป็นระยะ เห็นรอยย่นระหว่างคิ้วและสีหน้าเคร่งเครียดที่เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างตลอดเวลา เขาก็ละสายตาจากหนังสือในมือ ออกปากถามอย่างอดไม่ได้

“หรือว่าที่นายมาหาฉันเป็นเพราะเรื่องลูกเลี้ยงของนาย?”

เดาเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น จัสตินรู้อยู่แก่ใจว่าน้องชายของเขาแต่งงานกับแม่หม้ายลูกติดชาวไทยคนหนึ่ง และเมื่อเกือบหนึ่งเดือนก่อนก็เพิ่งจะรับอุปการะลูกติดมาอยู่ในการดูแลตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับภรรยาที่ล่วงลับ

คำพูดนั้นแทงใจดำของออสตินเข้าอย่างจัง... เขาหันขมับมองหน้าของจัสตินทันที เท่านั้นอีกฝ่ายก็รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ตนเดาไปเมื่อครู่มันถูกต้อง

“ทำไม เข้ากันไม่ได้เหรอ”

พอถามออกมาอีก ออสตินก็ส่ายหน้า

“เปล่า”

“แล้วมีปัญหาอะไร นายถึงได้มานั่งกลุ้มใจอยู่อย่างนี้”

จะให้เขาพูดออกไปได้อย่างไรกันล่ะว่าเผลอพลาดพลั้งทำผิดใหญ่หลวงไป มิหนำซ้ำยังคิดแต่จะปลุกปล้ำเจ้าเด็กอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนั้นน่ะ ออสตินเลยได้แต่บ่ายเบี่ยง

“ทัศนคติไม่ตรงกันนิดหน่อย”

“เรื่องปกติ ก็เด็กนั่นเกิดและโตที่ไทย ไม่ได้เป็นอเมริกันนี่ อีกอย่างตอนนี้ก็กำลังเข้าช่วงวัยรุ่น”

“อืม”

“อย่าบอกฉันนะว่าที่นายเป็นกังวลอย่างนี้เพราะเด็กนั่นเกเร?”

ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เลย กานต์เป็นเด็กดีจะตาย ถึงคืนนั้นจะพลาดพลั้งไป แต่ออสตินก็มั่นใจว่ากานต์เป็นเด็กดี เขาจึงส่ายศีรษะเป็นคำตอบ

“ผมแค่รู้สึกว่ากานต์กับผมต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันอีกสักพักกว่าจะอยู่ในสถานะพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงได้ ผมหมายถึง...รู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เขาต้องการเวลาจริงๆ เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าตอนนี้ยังไม่สามารถคิดกับกานต์เสมือนลูกเลี้ยงหรือครอบครัวเดียวกันได้ ขณะที่กานต์เองก็แสดงอาการชัดเจนว่าต้องการเขาในอีกรูปแบบหนึ่ง นี่ไงเขาถึงได้คิดว่ามันกลับตาลปัตรจากแผนการที่เขาวางไว้

จัสตินร้องอ๋อ พยักหน้าอย่างเข้าใจ “นายเป็นผู้ปกครอง ต้องพยายามมากหน่อย ฉันรู้ว่ามันอาจจะยากแต่เด็กนั่นไม่เหลือใครแล้ว อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกว่าอยู่คนเดียว”

ดวงตาสีน้ำทะเลของออสตินเหลือบมองผู้เป็นพี่

เขาพยายาม...

เขาทำอยู่...

แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นโดยเฉพาะกับเขาที่ไม่ได้คิดจะรับการเป็นลูกเลี้ยงตั้งแต่คราวแรก...

“ขอร้องล่ะออสติน อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกว่าไม่เหลือใครเลย”

จัสตินว่าออกมาอีกครั้ง ทำให้คนที่นั่งเงียบอยู่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้ารับ

“ผมรู้ ผมพยายามอยู่”

คำว่า ‘พยายามอยู่’ ของออสตินมีความหมายว่า ‘ต่อให้ยากสักแค่ไหน เขาก็จะทำมันให้ได้’

จัสตินรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุและออสตินมารับช่วงต่อบริษัทไปดูแล ตอนนั้นชายหนุ่มก็พูดประโยคนี้เช่นกัน

ได้ยินดังนั้น จัสตินก็ไม่ตอแยอะไรอีก ตัดบทเอาดื้อๆ

“งั้นก็เชิญนายตามสบายเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว เดี๋ยวจะออกไปเดินเล่นที่สวนสักหน่อย” จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ไม่ใช่เดินสิ ต้องไปเข็นรถเล่น”

ทำเอาพยาบาลกับแม่บ้านที่อยู่ตรงนั้นด้วยหัวเราะขึ้นมาน้อยๆ ในอารมณ์ขันของเขา ออสตินก็ยังคงไม่รู้สึกว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดมันน่าขำตรงไหนเลย เขาจึงได้แต่เงียบกระทั่งจัสตินและพยาบาลออกไปข้างนอก เหลือเพียงเขาเท่านั้นที่ยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบพลางคิดครุ่นไม่ตก

เขาจะทนกับสถานการณ์นี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน?

 

การได้กลับบ้านโดยไร้ซึ่งผู้ปกครองเป็นวันแรกไม่ได้ทำให้กานต์รู้สึกดีเลย แม้ว่าจะเข้าใจว่าสักวันออสตินจะปล่อยให้เขาได้กลับบ้านเองและเขาควรที่จะดีใจที่ได้รับอิสระ ทว่าในความเป็นจริง เขากลับเป็นกังวลเสียอย่างนั้น

ออสตินโกรธอะไรอีกหรือเปล่าถึงได้ปล่อยให้เขากลับบ้านกับมาเรียอย่างกะทันหันแบบนี้?

ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตกจนมาเรียต้องปลอบว่าไม่มีอะไร ออสตินน่าจะยุ่งมากจนไม่สามารถมารับในเวลาเลิกเรียนได้ถึงไหว้วานหล่อนมาอย่างนั้น ทว่าก็ไม่ได้ทำให้กานต์คลายความกังวลลงได้เลย เพราะเมื่อมาเรียกลับไป ออสตินยังไม่กลับมาบ้าน

ตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว... หรือว่าคืนนี้จะไม่กลับ?

เด็กหนุ่มมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังในห้องนั่งเล่นครั้งแล้วครั้งเล่า มือถือโทรศัพท์แน่น ชั่งใจอยู่หลายครั้งว่าจะโทรหาพ่อเลี้ยงเพื่อถามดีหรือไม่ สุดท้ายก็ยังไม่ได้โทรสักที จนกระทั่งออสตินเป็นฝ่ายโทรมาเองและบอกว่าคืนนี้จะกลับดึกเนื่องจากมีนัดทานมื้อเย็นกะทันหัน ให้กานต์หาอะไรกินแล้วเข้านอนก่อนเลย ถึงกานต์จะเสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับออสตินเหมือนอย่างเคย ทว่าก็ดีใจไม่น้อยที่ชายหนุ่มไม่ได้ทิ้งเขาเสียทีเดียว

วันนี้จะเป็นเด็กดี จะทำตัวดีๆ ไม่ให้ออสตินต้องหงุดหงิดอีก...

เมื่อตั้งใจอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ปฏิบัติตามคำสั่งเป็นอย่างดี จัดการล็อกบ้านอย่างแน่นหนาตามที่ออสตินกำชับไว้ก่อนวางสาย พอถึงเวลาที่ต้องนอนก็เข้านอนโดยไม่รีรอ ให้ออสตินกลับมาเห็นว่าเขาเข้านอนไว ไม่อยู่เล่นอินเทอร์เน็ตดึกๆ ดื่นๆ น่าจะดีกว่า

หัวถึงหมอนได้ไม่นาน ประกอบกับฤทธิ์ยาแก้แพ้ที่กินไปก่อนนอนทำให้กานต์ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่หูได้ยินเสียงประหลาดดังแว่วมา

ตึก! ตึก! กึง!

มาสะดุ้งตกใจเอาก็ตอนเสียงสุดท้าย เขารีบผุดลุกขึ้นนั่ง มองหาที่มาของเสียงก่อนจะพบว่าเสียงนั้นดังมาจากทาง...ประตูระเบียงห้องที่เป็นกระจก

เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงนิ่งๆ ครู่หนึ่ง เพ่งสายตาผ่านความมืดเพื่อมองว่ามันเป็นเสียงของอะไร ก่อนจะเห็นว่ามีก้อนหินเล็กๆ และกิ่งไม้ถูกขว้างขึ้นมา

นั่นมันอะไรน่ะ...

มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา เห็นว่าตีสามแล้วก็ยิ่งย่นคิ้วยู่

ตีสามแล้ว หรือว่านั่นจะเป็นเสียงแมว?

หากแต่ความคิดของเขาก็ต้องมลายหายไปเมื่อตระหนักได้ว่าบางทีอาจจะเป็นเสียงของออสติน ดึกขนาดนี้ เขาน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว ทว่าก็ไม่ใช่เมื่อได้ยินเสียงเรียก

“คาร์ล...เฮ้”

เป็นเสียงเรียกที่ค่อยไปทางกระซิบ และมัน...ช่างคุ้นหู

กานต์เลยตัดสินใจที่จะลุกจากเตียงไปชะโงกมอง ก่อนที่จะต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นใครบางคนโผล่พรวดขึ้นมาจากบันไดหนีไฟที่อยู่ติดกำแพงบ้านด้านนอก

“เจฟ!”

กานต์ถึงกับอุทานเสียงดัง ขณะที่เจฟฟรี่ย์ซึ่งปีนขึ้นมานั่งบนขอบระเบียงทิ้งตัวลงมายืนบนพื้นได้ก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากพลางส่งเสียง

“ชู่ว์ เบาๆ สิ เดี๋ยวคุณสเวนก็ได้ยินหรอก”

เท่านั้นกานต์ก็รีบปิดปากทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะร้องสั่ง

“มาเปิดประตูเร็ว”

ความจริงแล้วเขาไม่ควรที่จะเปิด แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้เจฟฟรี่ย์ยืนตากลมอยู่ที่หน้าระเบียงห้องตัวเองกลางดึกได้เลยต้องพุ่งไปปลอดล็อก เปิดประตูบานเลื่อนให้เสียอย่างนั้น

เจฟฟรี่ย์ถลันเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ ไม่สนใจที่จะร้องขออนุญาตเลยสักนิด ก็แน่ล่ะ ถ้าเขาสนใจ เขาคงไม่ปีนขึ้นบ้านคนอื่นในตอนตีสามอย่างนี้หรอก

“ให้ตายเถอะเจฟ นายมาได้ยังไงเนี่ย”

“ปีนขึ้นมา” เจฟฟรี่ย์ว่าอย่างไม่ยี่หระ

เรื่องนั้นน่ะกานต์รู้แล้ว แต่นึกอย่างไรถึงมาหาตอนตีสาม นี่มากกว่าที่อยากจะรู้

“ไม่ตลกเลยนะเจฟ คิดจะทำบ้าอะไรของนายเนี่ย”

เห็นกานต์เริ่มส่งเสียงเข้ม เจฟฟรี่ย์ก็ไม่ล้อเล่นอีกต่อไป ยอมบอกออกมาตามตรง

“ฉันเห็นนายโกรธมากก็เลยจะมาขอโทษอีกครั้ง”

“ด้วยการบุกห้องฉันตอนตีสามเนี่ยนะ?”

“ให้ทำยังไงได้ล่ะ ตอนอยู่ที่โรงเรียน นายคุยกับฉันซะที่ไหน ขอโทษแล้วก็ไม่คุยด้วย จะให้ฉันทำยังไง”

เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง แค่หน้ายังไม่อยากจะมองเลย เจฟฟรี่ย์เห็นเขาเป็นตัวตลก หลอกเขาไปทำเรื่องที่ออสตินไม่ชอบอย่างนั้น เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้นแหละ

“กลับไปซะ ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย”

กานต์ออกปาก ความคุกรุ่นในใจยังคงพร่างพราย เจฟฟรี่ย์สัมผัสได้ดี แต่ในเมื่อเขามาแล้ว เขาไม่กลับไปง่ายๆ หรอก ไม่รู้หรือไงว่าเขาต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนถึงจะตัดสินใจมาบุกบ้านของออสตินกลางดึกแบบนี้ได้

“ฉันไม่กลับไปง่ายๆ แน่”

กานต์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นความดื้อดึงของคนตรงหน้า

“แล้วนายต้องการอะไร”

“ขอโทษนาย”

คนฟังขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้นไปอีก

“เท่านี้เนี่ยนะ นายก็ขอโทษไปแล้วหลายรอบไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่ แต่นายยังไม่หายโกรธนี่” เจฟฟรี่ย์ว่า กานต์ก็ไม่เถียง เขายังโกรธอยู่จริงๆ แต่แล้วก็เข้าใจได้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ตรงหน้านั้นคืออะไรเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมา “ฉันกลัวว่านายจะโกรธจนเลิกคบฉัน ถึงต้องมาขอโทษจากใจจริงถึงที่น่ะ”


หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 10:Big mistake[26-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-02-2018 23:29:05
Chapter 11: Jeffrey O'conell[2]


ที่แท้ก็เรื่องนี้...

ก็มีเค้ารางอยู่บ้าง ถึงกานต์จะไม่พูด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่แสดงออกด้วยการตีตัวออกห่าง เริ่มไม่ไปไหนมาไหนด้วย ไม่พูดไม่คุย จนกระทั่งเจฟฟรี่ย์รู้สึกได้ถึงความห่างเหิน และนั่นเป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้ แต่กานต์ไม่ได้คิดอย่างนั้น ว่าออกมาหน้าตาเฉย

“นายก็มีเพื่อนเยอะแยะ จะมาสนใจอะไร”

“ก็นายเป็นเพื่อนฉัน”

“เพื่อนกันไม่หลอกกันไปทำเรื่องไม่ดีโดยที่ฉันไม่เต็มใจแบบนั้นหรอกเจฟ”

ดวงตาสีนิลที่จับจ้องไปยังคนตรงหน้านิ่งนั้นทำให้เจฟฟรี่ย์ต้องยอมแพ้ เขาถอนหายใจออกมายาว

“เรื่องนั้นฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ใจก็แค่อยากจะให้นายได้สนุกด้วยก็เท่านั้น”

“แต่ฉันไม่สนุก”

“ใช่ ฉันรู้ ถูกคุณสเวนเล่นงานนี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย”

ยังจะมีหน้ามาพูดเป็นเล่นอีก กานต์ชักรำคาญแล้ว เดินตรงไปที่ประตูระเบียงแล้วเปิดออกอีกครั้ง

“กลับไปได้แล้วเจฟ ฉันรับคำขอโทษนาย แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องคุยอีกแล้ว”

เจฟฟรี่ย์กลับก็ได้ถ้าอีกฝ่ายอยากให้กลับ แต่เขาจะต้องมั่นใจเรื่องหนึ่งก่อน

“ฉันจะกลับก็ต่อเมื่อนายสัญญากับฉัน”

คนฟังขมวดคิ้ว “สัญญาอะไร”

“อย่าเลิกคบฉัน” เจฟฟรี่ย์ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง พอเห็นกานต์มองเขาอย่างไม่เข้าใจก็พูดขึ้นมาอีก “ฉันยังอยากเป็นเพื่อนกับนาย ถึงจะทำให้นายโกรธ ทำให้นายซวย แต่ฉันก็ยังอยากคบนาย ห้ามเลิกคบฉันเข้าใจไหม”

กานต์ไม่ชอบเลย มีสิทธิ์อะไรมาสั่งเขา คนที่จะสั่งเขาได้มีแค่ออสตินคนเดียวเท่านั้น เจฟฟรี่ย์เป็นใครกันถึงมาวางอำนาจอย่างนี้

“ฉันจะตัดสินใจคบกับนายต่อหรือไม่ มันก็เรื่องของฉัน เกี่ยวอะไรกับนาย”

เจฟฟรี่ย์จึ๊ปากอย่างขัดใจ คนตรงหน้าที่เห็นเซื่องๆ นั่น จริงๆ แล้วหัวดื้อกว่าที่คิด

สงสัยคงจะต้องพูดตรงๆ...

“กลับไปได้แล้ว”

กานต์พยักพเยิดให้เจฟฟรี่ย์กลับออกไป แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เจฟฟรี่ย์กลับถลาเข้ามาคว้าแขนเขาเอาไว้ ก่อนจะจัดการปิดประตูแล้วดึงกานต์มานั่งที่เตียง คนถูกดึงเบิกตาโพลง เกือบจะโวยวายอยู่แล้วว่าทำบ้าอะไร แต่ก็ถูกอีกฝ่ายจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้มั่นเสียก่อน

“รับปากกับฉันก่อนว่าจะไม่เลิกคบฉัน นายจะโกรธฉันนานแค่ไหนก็ได้ แต่ขอร้อง อย่าเลิกคบฉัน”

เห็นย้ำประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา กานต์ก็ชักจะไม่เข้าใจ ทำไมเจฟฟรี่ย์จะต้องกลัวว่าเขาจะเลิกคบถึงขนาดนั้นด้วย เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่อาทิตย์แท้ๆ เลิกคบกันเป็นเพื่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ไม่ได้ผูกพันหรือสลักสำคัญอะไรสักหน่อย แต่การที่กานต์ไม่พูด เอาแต่มองเขาอย่างสงสัยกลับทำให้เจฟฟรี่ย์หนักใจ ในที่สุดก็ยอมแพ้ ถอนหายใจออกมาแล้วรับสารภาพตามตรง

“โอเค ฉันพูดก็ได้ ที่ฉันไม่อยากให้นายเลิกคบฉันก็เพราะ...”

“เพราะ?” คนฟังเลิกคิ้ว

“เพราะฉันชอบนายโอเค้ อย่าเลิกคบฉันเป็นเพื่อนเลย ฉันยังไม่ได้จีบหรือเดตกับนายด้วยซ้ำ มาถูกเลิกคบแบบนี้มันก็เสียความรู้สึกน่ะ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้กานต์ต้องอ้าปากค้าง

เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาได้ยินเจฟฟรี่ย์บอกว่า...

“นายพูดว่าอะไรนะ”

เห็นสีหน้าเหลอหลาของคนตรงหน้าแล้ว เจฟฟรี่ย์ก็หัวเราะออกมา ดูท่าคำพูดของเขาคงจะยังไม่ชัดเจนพอ

“ฉันพูดว่าฉันชอบนาย ได้ยินชัดหรือยังล่ะคราวนี้”

ชัดเลย ชัดเต็มสองหู แต่ก็ไม่ได้ทำให้กานต์หยุดอ้าปากค้างได้เลย เจฟฟรี่ย์เลยยื่นมือไปเชยปลายคางนั้นขึ้น พูดย้ำออกมาอีกครั้ง

“ก็แค่ชอบน่ะ ตกใจอะไรนักหนา หรือว่าจะตกใจที่รู้ว่าฉันเป็นเกย์?”

เรื่องนั้นกานต์ก็ตกใจ แต่ตกใจกว่าด้วยไม่คิดว่าหวยจะมาออกที่เขา

“สะ...แสดงว่าที่ไม่อยากให้ฉันเลิกคบนายก็เพราะว่า...”

“มันหาช่องทางเข้าจีบยาก” เจฟฟรี่ย์ว่าสวนขึ้นมา “แล้วโอกาสได้เดตด้วยก็น้อยลงกว่าเดิม ฉันเลยอยากจะเข้าหาแบบเพื่อนก่อนมันจะได้ง่าย ต่อให้นายไม่ได้เป็นเกย์ก็เถอะ แต่ถ้าได้เป็นเพื่อนก็ยังดีกว่าไม่ได้เป็นใช่ไหม อย่างน้อยก็ได้ใกล้ชิดกัน”

เจฟฟรี่ย์พูดความในใจออกมาอย่างหมดเปลือก ปล่อยให้กานต์ได้สับสนมึนงงกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้

เจฟฟรี่ย์ชอบเขา... นี่มันเรื่องเหนือความคาดหมายมากไปหน่อยไหม!?

“ตะ...แต่ว่า...”

“ข้ออ้างของนายจะเป็นอะไร ฉันไม่สนหรอกนะ ไม่ชอบฉันก็ไม่เป็นไร แต่ขอร้องอย่างเดียว อย่าเลิกคบฉันเป็นเพื่อนเลยคาร์ล ขอร้อง”

กานต์จำต้องกลืนคำพูดของตัวเองลงไป ยิ่งสบสายตาเว้าวอนของเจฟฟรี่ย์แล้ว เขาก็ยิ่งพูดไม่ออก

ความจริงเจฟฟรี่ย์ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ถึงจะรักสนุกมากเกินเด็กวัยสิบเจ็ดไปสักหน่อย แต่ก็เป็นเพื่อนคนแรกที่เขารู้จักในนิวยอร์ก แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เขารู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วย จะให้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย

“ขอร้อง...”

พอเห็นกานต์ไม่ตอบ เจฟฟรี่ย์ก็กะพริบตาปริบๆ อย่างเว้าวอน กานต์เกือบจะพยักหน้าตอบไปแล้วถ้าจู่ๆ หูไม่ได้ยินเสียง...

“กานต์... ยังไม่นอนเหรอ”

เสียงของออสติน!

เด็กหนุ่มทั้งสองเบิกตาโพลงแทบจะพร้อมกัน ก่อนที่กานต์จะรีบดึงให้เจฟฟรี่ย์เดินตามหาที่หลบเป็นพัลวัน สุดท้ายคนตัวใหญ่ก็ต้องมุดไปซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าอย่างทุลักทุเล ขณะที่นอกห้องก็มีเสียงเคาะประตูไม่หยุด

“กานต์...”

“อยู่เงียบๆ อย่าส่งเสียงนะ”

กานต์บอกกับเจฟฟรี่ย์ ปิดประตูตู้แล้วสูดหายใจ ทำตัวเป็นปกติที่สุดก่อนจะเดินมาเปิดประตู พลันก็เห็นออสตินในชุดนอนยืนอยู่ที่หน้าห้อง

“มะ...มีอะไรเหรอครับ”

“ฉันได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากห้องเธอ เลยมาดูว่าเธอนอนหรือยัง”

ออสตินว่า สายตาเหลือบมองเข้ามาในห้องที่ยังคงปิดไฟอยู่อย่างสงสัย กานต์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก ก่อนรีบพูดเร็วๆ

“ผะ...ผมนอนดิ้นตกเตียงน่ะครับ ขอโทษที่ทำเสียงดังรบกวน”

ออสตินเลยละสายตามามองใบหน้าของเด็กหนุ่มแทน

“นอนดิ้นตกเตียง?”

กานต์พยักหน้ารับรัว

“แต่ตอนที่นอนกับฉัน ไม่เห็นเธอจะนอนดิ้นเลย”

ก็เขาเป็นคนนอนดิ้นเสียที่ไหนกันล่ะ!?

คนฟังหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา “บางทีผมก็ละเมอน่ะครับ”

ไม่รู้ว่าออสตินดูออกไหมว่าเขากำลังโกหกโง่ๆ แต่พอเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไร กานต์ก็พอจะเบาใจขึ้นมาได้ แต่แทนที่ออสตินจะจบบทสนทนาแล้วกลับห้องของตัวเองไป เขากลับยืนมองลูกเลี้ยงของตนเองนิ่ง ก่อนจะถามออกมา

“แล้วเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“อ๋อ ไม่...”

กานต์กำลังจะตอบว่าไม่เจ็บ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อมือใหญ่ของคนตรงหน้าถูกยื่นมาประคองใบหน้าเขา

“หัวไม่กระแทกอะไรนะ”

เท่านั้นก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระส่ำทันที สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าคร้ามที่เอียงเล็กน้อยเพื่อสำรวจร่องรอยกระแทกบนใบหน้าของตน ก่อนจะได้สติเมื่อออสตินเปล่งเสียง

“ยังปกติดีอยู่ ดีแล้วที่ฉันไม่ต้องพาเธอไปโรงพยาบาลตอนนี้”

ใช่ เขายังปกติดีอยู่ แต่ที่ไม่ปกติก็คือออสตินต่างหาก

ออสตินเป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงได้อ่อนโยน?

กานต์คิดไม่ตกเลย ยิ่งออสตินประคองใบหน้าเขาไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังออกปากถาม

“มีอะไร”

กานต์ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติ

“ไม่มีอะไรครับ”

แต่ตอบแบบนี้ไปดีกว่าต่อความยาวสาวความยืด เจฟฟรี่ย์ยังอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องเขา จะมัวสนใจแต่คนตรงหน้าไม่ได้

“ถ้าไม่มีอะไรก็เข้านอนได้แล้ว”

กานต์พยักหน้า ตอนนี้เองที่ออสตินยอมปล่อยมือ ทว่า...ไม่ใช่ปล่อยเปล่า เขากลับยื่นใบหน้าขึ้นมาแทน ก่อนที่หน้าผากของเด็กหนุ่มจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มของริมฝีปาก ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้ปกครองของตนกำลังผละจุมพิตออกจากหน้าผากตน

“Goodnight”

ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันดังออกจากปากกระจับนั่นสั้นๆ หากแต่ทำเอาคนฟังสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย

มะ...เมื่อกี้แด๊ดดี้...จะ...จูบ...

กานต์ยกมือชี้หน้าผากตัวเองด้วยใบหน้าเหลอหลา ได้สติกลับมาก็ตอนที่ออสตินว่าขึ้นอีกครั้ง

“อยากให้ฉันจูบราตรีสวัสดิ์อีกทีหรือไง”

กานต์พยักหน้าแบบไม่คิดเลยทีเดียว ทำให้ออสตินต้องยื่นข้อเสนอ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเอาหมอนแล้วไปที่ห้องฉัน นอนด้วยกัน เธอคงจะชอบกว่า”

แน่นอน! มันแน่อยู่แล้วว่ากานต์ต้องชอบ ดังนั้นเขาต้องรีบจัดการเจ้าคนตัวโตที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของเขาให้เร็วที่สุด!

“เดี๋ยวผมจะตามไปนะครับ”

ออสตินพยักหน้ารับ เดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ปล่อยให้กานต์รีบปิดประตูล็อก แล้วถลาไปลากเอาคนที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองออกมา

“นายรีบกลับไปก่อน เบาๆ ด้วยล่ะ มีอะไรค่อยไปคุยกันที่โรงเรียนพรุ่งนี้”

เจฟฟรี่ย์หัวเราะให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนนั่น

“นายนี่กลัวคุณสเวนจริงนะ”

สิ่งที่กานต์คุยกับออสตินนั้น เขาได้ยินไม่ชัดหรอก แต่ดูจากอากัปกิริยาของกานต์แล้ว คงจะเป็นเพราะกลัวว่าจะถูกดุอีกเลยรีบคะยั้นคะยอให้เขากลับไปอย่างนี้

แต่ในความเป็นจริง...มันไม่ใช่ กานต์จะรีบไปนอนกับออสตินต่างหาก!

“อะไรก็ช่างเถอะ กลับไปก่อน”

กานต์ไม่ฟังแล้ว รีบดุนหลังคนตัวโตให้ออกไปที่ระเบียง เจฟฟรี่ย์หัวเราะน้อยๆ ยอมทำตามแต่โดยดี ออกไปที่ระเบียงได้ มือข้างหนึ่งก็คว้าเอาบันไดหนีไว้มั่น

“ไว้พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”

เจฟฟรี่ย์บอกลา กานต์พยักหน้า ทว่าก็ต้องย่นคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าที่มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายถืออะไรบางอย่างอยู่

“นั่นมัน...”

รูปทรงคล้ายๆ กับกางเกง ถ้าไม่ผิด มันคือ...

“กางเกงบ็อกเซอร์ของนาย พอดีเห็นมันอยู่ในตู้ก็เลยหยิบติดมือมาด้วย”

เท่านั้นคนฟังก็เบิกตาโพลง

“ทำบ้าอะไรน่ะ เอาคืนมา”

กานต์แหวเสียงเบา เจฟฟรี่ย์เอี้ยวตัวหลบได้ทันควัน

“ถือว่าเป็นของรางวัลที่ฉันอุตส่าห์ยอมเสี่ยงตายมาหานายกลางดึกก็แล้วกัน”

ของรางวัลเป็นกางเกงในบ็อกเซอร์เนี่ยนะ! เพี้ยนไปหน่อยแล้ว!

แต่เด็กหนุ่มผมบลอนด์นั่นไม่สนใจหรอก เขาคิดแค่ว่าอยากได้อะไรสักอย่างไว้แทนตัวคนตรงหน้า ต่อให้มันเป็นกางเกงบ็อกเซอร์เอวย้วย เขาก็จะเอา

“ฝันดีคาร์ล เจอกันพรุ่งนี้” เจฟฟรี่ย์ทิ้งท้ายไว้ ปีนจากขอบระเบียงไปเกาะที่บันได้หนีไฟ จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ “คาร์ล มานี่หน่อย”

กานต์เดินหน้ามุ่ยเข้าไปหา เจฟฟรี่ย์กระดิกนิ้วให้เข้าไปใกล้...ใกล้...ใกล้อีก...

จากนั้นก็ถูกขโมยจูบไปฉับพลัน กานต์ผงะถอยออกมา สีหน้าดูตกใจไม่น้อย

“แต่ของรางวัลเป็นอันนี้จะดีกว่า” เจฟฟรี่ย์ว่าอย่างทะเล้น เลียริมฝีปากแผล่บ ก่อนที่จะทิ้งท้ายอีกครั้ง “เจอกันพรุ่งนี้”

แล้วก็ผลุบหายลงไปข้างล่าง ก่อนจะรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเลาะออกจากรั้วบ้านของออสตินไป ทิ้งให้กานต์มองตามแล้วนิ่วหน้า

เจ้าเจฟเฉยๆ นี่มัน...

พลันก็หัวเราะขึ้นมาน้อยๆ

เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตก็มีเรื่องให้เล่นสนุกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน...

 

ออสตินนั่งนิ่งอยู่ที่ปลายเตียงภายในห้องของตนเอง รอการมาถึงของกานต์อย่างสงบ ทว่าในมือกลับถือแท็บเล็ตแน่นเมื่อสายตาที่จับจ้องยังจอเห็นภาพของเด็กหนุ่มสองคนที่ระเบียงจากกล้องวงจรปิดซึ่งเขาได้เชื่อมต่อกับแท็บเล็ตเอาไว้

ภาพที่เห็นมันช่างไม่จรรโลงใจเอาเสียเลย...

เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ภายในอกร้อนรุ่มอย่างประหลาด ก่อนที่เขาจะวางกระแทกแท็บเล็ตลงบนเตียงข้างๆ ตัว พลันยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

เขาหงุดหงิดมาตั้งแต่เห็นเจฟฟรี่ย์บุกเข้ามาในบ้านแล้ว แต่แสร้งทำนิ่งเพราะคิดว่าคงจะไม่มีอะไร ทว่าพอเห็นว่านานแล้วยังไม่กลับออกไป ถึงได้ตัดสินใจไปเคาะประตูห้องของกานต์ หากแต่ไม่คิดเลยว่านอกจากจะมาโดยไม่ได้รับเชิญแล้ว ยังกลับออกไปโดยไร้มารยาทอีก

จูบกับลูกเลี้ยงของเขาต่อหน้าต่อตา...

ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเสียจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์

เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล...

ไอ้เด็กนรก...

---------------------------

แด๊ดดี้เริ่มออกอาการแล้วค่ะ ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวเจฟเฉยๆ คาบไปเด้อ 555

ตอนนี้ยาวมาก (อีกแล้ว) มีตัวละครใหม่โผล่มาด้วย

อย่าลืมฝากฟีดแบ็กให้เป็นกำลังใจกันนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-02-2018 02:37:13
แด๊ดดี้รู้ใจตัวเองแล้ว
ที่เหลือก็รอแต่ว่าจะกล้าจีบลูกเลี้ยงตัวเองหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-02-2018 03:16:48
ต้องเรียกมาอบรมพฤติกรรมใหม่แล้วนะกานต์ เด๋วรอเด๊ดดี้สอนให้นะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-02-2018 03:30:56
ดิ้นพล่านเลยแต่ละคน
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-02-2018 09:33:25
Daddyตลกอะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ous_p ที่ 28-02-2018 09:44:18
ติดกล้องไว้อี๊ก อาการนี้น่าจะหึงแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 28-02-2018 10:54:02
แด๊ดดี้ขี้หึงเกินนนน :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-02-2018 23:26:28
Chapter 12: Jealous[1]

กานต์ไม่ได้เลิกคบกับเจฟฟรี่ย์ตามที่อีกฝ่ายขอร้อง...

ก็จะให้เขาเลิกคบได้อย่างไร เช้าวันใหม่พอมาถึงโรงเรียนก็เจอกับเด็กหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นยืนดักรออยู่ที่โถงทางเดิน พอเห็นหน้าก็รีบปรี่เข้ามาหาพลางกระดิกหางระริกระรี้ใส่

ใช่...กระดิกหาง เหมือนกับสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ไม่มีผิด ถึงเจฟฟรี่ย์จะไม่ได้เป็นสุนัขก็เถอะ แต่ท่าทางของเขาทำให้กานต์มองเห็นหูตูบกับหางงอกออกมาจากตัวของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเลย

เป็นแบบนี้แล้วจะเลิกคบได้อย่างไร?

และเพราะกลับมาทำตัวตามปกติ เจฟฟรี่ย์จึงเข้าหาอย่างเปิดเผย แน่นอนว่าไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่เป็นในฐานะผู้ชายที่กำลังจีบกานต์ต่างหาก บอกตามตรงว่ามันก็ไม่คุ้นชินสักเท่าไรนักหรอกที่ถูกจู่โจมตลอดเวลาอย่างนั้น ทว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นเจฟฟรี่ย์ กานต์จึงไม่รู้สึกอึดอัด กลับสนุกทุกครั้งด้วยอยากรู้ว่าเจฟฟรี่ย์จะมีวิธีใดเข้าหาตน

ครั้งแรกปีนระเบียงมาหาถึงที่ห้อง...

ครั้งที่สองเอากางเกงบ็อกเซอร์ที่หยิบติดมือไปเป็นตัวประกัน...

ต่อไปจะเป็นอะไร กานต์อยากรู้จริงๆ

“ฉันดีใจนะที่นายไม่เลิกคบฉัน”

เจฟฟรี่ย์ว่าออกมาขณะกำลังเดินกลับบ้านหลังจากที่ตามตื๊อกานต์อยู่นานว่าจะเดินไปส่ง เพราะหลังจากที่เจฟฟรี่ย์ไปบุกบ้านของพ่อเลี้ยงเด็กหนุ่มข้างกายได้ครบอาทิตย์ ออสตินก็อนุญาตให้กานต์ได้เดินกลับบ้านเองตามที่เคยบอกไว้

“ฉันจะเลิกคบนายถ้านายเอากางเกงบ็อกเซอร์ฉันไปแอบใส่”

และนี่คือสาเหตุที่กานต์ยอมแพ้ ต้องให้เจฟฟรี่ย์ยอมเดินไปส่งที่บ้านตั้งแต่ได้กลับบ้านเองวันแรก เพราะอีกฝ่ายขู่เอาไว้ว่าถ้าไม่ให้ไปส่ง เขาจะเอากางเกงบ็อกเซอร์ที่หยิบติดมือไปใส่มาโรงเรียน ถึงอีกฝ่ายจะขี้เล่น แต่กานต์ก็รู้ว่ามันแฝงไปด้วยความจริงจัง แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะต้องให้คนอื่นมาใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวกับเขาล่ะ แค่ไปส่งบ้านแค่นี้ เขายอมก็ได้

เจฟฟรี่ย์หัวเราะพรืดออกมา ก่อนจะว่าหน้าระรื่น

“คิดว่าฉันจะทำจริงๆ หรือไง ไม่ได้โรคจิตขนาดนั้นสักหน่อย”

“ใครจะไปรู้ เรื่องไม่คาดฝัน นายยังทำมาแล้ว ฉันไว้ใจนายไม่ได้หรอก”

ถูกยอกย้อน อีกฝ่ายก็ยิ้มออกมา “แต่ถ้าเอาไปดมก็ว่าไปอย่าง”

คราวนี้แหละ กานต์ถึงกับมองตาเขียวเลย

“อย่าเชียวนะ”

“ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตาดุขนาดนั้นเลย ฉันก็แค่พูดเล่น” เจฟฟรี่ย์แก้ต่าง พอเห็นกานต์ดูผ่อนคลายลงแล้ว เขาก็ว่าลอยๆ “แต่ก็น่าลองอยู่เหมือนกันนะ กางเกงบ็อกเซอร์นายก็หอมดี ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้ออะไร”

“พูดมากจังเลยนะนายน่ะ ถ้าอยากเอาไปดมมากก็ตามสบายเลย ฉันก็แค่เลิกคบนายเท่านั้น”

ยกนี้กานต์ชนะ เจฟฟรี่ย์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างจำนน

“โอเคๆ ไม่ดมๆ สบายใจได้ ไม่ทำอะไรแผลงๆ กับบ็อกเซอร์นายแน่ เอาใส่กรอบตั้งไว้ในห้องนอน รักษาเป็นอย่างดี”

“ฉันว่านายควรเอามาคืนฉันมากกว่านะเจฟ”

ในที่สุดก็เอ่ยทวงออกมา ถ้านับเป็นครั้ง ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่ร้อยกว่าๆ แล้วก็ว่าได้ แต่เจฟฟรี่ย์ก็ทำเป็นไม่หือไม่อือ ยึดเป็นเจ้าของทั้งที่เจ้าของที่แท้จริงไม่ได้ยกให้

“นายนี่หวงจริงนะ แค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว”

“ถ้ามั่นใจได้ว่านายไม่เอาไปทำอะไรแปลกๆ ฉันก็ไม่หวงหรอก”

“งั้นก็มั่นใจสิ”

“ทำอย่างกับนายน่าเชื่อใจได้อย่างนั้นแหละ”

การสนทนานั้นเรียกเสียงหัวเราะของทั้งคู่ได้เป็นระยะ กานต์ไม่ได้ติดใจเรื่องถูกเอาของใช้ส่วนตัวไปหรอก แค่สนุกกับการได้โต้เถียงเล็กๆ น้อยๆ กับอีกฝ่ายเท่านั้น

เจฟฟรี่ย์หยุดเดิน หันมามองหน้าอีกฝ่าย

“ฉันคืนให้ก็ได้ถ้านายไม่สบายใจ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

กานต์หยุดเดินบ้าง “ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”

“คิดก่อนนะ” อีกฝ่ายทำท่าคิด “อืม...อะไรดี”

“บอกไว้ก่อนว่าถ้าเป็นอะไรแผลงๆ อย่างที่นายเคยหลอกให้ฉันทำ ฉันขอบาย”

รีบพูดดักไว้ก่อนเพราะกลัวว่าจะถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่กัญชาอะไรพวกนั้นอีก

“ฉันไม่ทำเรื่องพวกนั้นหรอกน่า ขืนทำอีก นายก็เลิกคบฉันพอดี”

เป็นอย่างนั้นแน่นอน กานต์บอกเอาไว้แล้วว่าถ้าจะเป็นเพื่อนกันต่อก็ต้องทำตัวให้ดี ต่อให้เป็นเรื่องยากสำหรับเจฟฟรี่ย์ แต่เขาก็จะพยายามทำมัน เพราะเขาถูกใจคนตรงหน้ามากกว่าจะยอมพลาดโอกาสใกล้ชิดไปง่ายๆ

“งั้นเอางี้ บอกความลับของนายมาสักอย่างนึงแล้วกัน แล้วฉันจะคืนกางเกงบ็อกเซอร์ให้”

ในที่สุดเจฟฟรี่ย์ก็ตัดสินใจได้ ขณะที่กานต์เลิกคิ้วสูง

“ความลับเหรอ?”

“อื้ม อะไรก็ได้ อย่างเช่น เวลานายช่วยตัวเอง นายคิดถึงใครอะไรแบบนั้น”

ทั้งที่เจฟฟรี่ย์พูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรแท้ๆ แต่กลับทำให้คนฟังเสียวสันหลังวาบไปทั้งร่าง

คิดถึงใครอย่างนั้นเหรอ...

ใบหน้าของออสตินโผล่ขึ้นมาในภวังค์ทันที ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรีบส่ายหน้าเพื่อเรียกสติ

“ความลับแบบนั้น ใครจะไปบอก”

“แต่ฉันบอกได้นะ” เจฟฟรี่ย์ยิ้ม

“ไม่ต้องบอก ฉันก็รู้ว่านายคิดถึงใคร” กานต์สวน ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก

มันแน่อยู่แล้วว่าต้องเป็นกานต์ บอกความในใจออกมาตรงๆ อย่างนั้น เวลาที่ปลดปล่อยตัวเองตามธรรมชาติของเด็กหนุ่มก็คงหนีไม่พ้นใช้คนที่ตัวเองชอบสร้างจินตนาการอันบรรเจิดอยู่แล้ว

“ฉลาดนี่ แล้วอยากให้ฉันพูดไหม”

“ไม่ต้องเลย” พอถูกเจฟฟรี่ย์หยอก กานต์ก็รีบร้องปราม และก่อนที่จะถูกแกล้งไปมากกว่านี้ เขาก็พูดออกมาก่อน “ฉันจะบอกความลับของฉันให้นายรู้ก็ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องช่วยตัวเองอะไรนั่น”

เจฟฟรี่ย์ยักไหล่ “ได้ ว่ามาสิ” พลันกอดอก ทำท่าตั้งใจฟังสุดชีวิต

กานต์เหลือบมองแล้วก็นึกขำ เจ้าเจฟเฉยๆ นี่ยียวนกวนประสาทได้ตลอดเวลาเลยจริงๆ แต่อะไรก็ไม่เท่ากับการบอกความลับของเขาไป

“ฉันเป็นเกย์”

“พระเจ้า!” เจฟฟรี่ย์ทำหน้าตกใจชนิดมากเกิน ก่อนที่มันจะกลายเป็นสีหน้าปกติฉับพลันราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้เป็นเรื่องธรรมดา “นี่น่ะนะความลับของนาย?”

“อืม”

“ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหนเลย”

ใช่ ไม่น่าตื่นเต้นหรอก แค่เป็นเกย์ เรื่องปกติจะตาย เพียงแต่กานต์คิดว่าเขายังไม่เคยบอกเพื่อนคนไหนในโรงเรียนให้รู้เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นความลับของเขา

“ฉันบอกความลับของฉันไปแล้ว พรุ่งนี้เอากางเกงบ็อกเซอร์ฉันมาคืนด้วย”

ได้ทีก็ทวงของของตัวเองอีกที เจฟฟรี่ย์เบ้หน้าทันใด

“หมดกัน เสียท่าจนได้”

กานต์ถึงกับยิ้มกว้างออกมา เขาชอบที่คุยกับเจฟฟรี่ย์ก็เพราะอีกฝ่ายชอบทำให้เขายิ้มออกมาง่ายๆ แบบนี้นี่แหละ

“ห้ามดมหรือทำอะไรก่อนเอามาคืนด้วย”

“ทำไมรู้ทัน” เจฟฟรี่ย์ยักคิ้วหลิ่วตา

กานต์ไม่เถียงแล้ว ต่อให้เจฟฟรี่ย์จะทำอะไรกับกางเกงบ็อกเซอร์ของเขาก่อนเอามาคืนหรือจะไม่คืน เขาก็ไม่สนหรอก อย่างที่บอก เขาแค่สนุกกับการหยอกล้อของคนตรงหน้าเท่านั้น

“นายส่งฉันแค่นี้แหละ เดี๋ยวฉันเดินไปเอง”

เด็กหนุ่มว่าเมื่อเห็นว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงหน้าบ้านตนอยู่แล้ว บ้านของเจฟฟรี่ย์ไปคนละทาง อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้ กว่าจะเดินกลับไปถึงที่โรงเรียนก็ใช้เวลาร่วมสิบห้าถึงยี่สิบนาที แค่เดินมาส่ง เขาก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว ไม่ได้เกรงใจเจฟฟรี่ย์หรอกนะ แต่เกรงใจคนขับรถของบ้านโอโคเนลที่อุตส่าห์มารับแต่คุณหนูของบ้านสั่งให้รออยู่ที่ลานจอดรถของโรงเรียนต่างหาก

แต่เจฟฟรี่ย์ไม่ยอมไปง่ายๆ เห็นกานต์บอกลา...

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

...เขาก็รีบก้าวยาวๆ มาดักหน้าไว้

“เดี๋ยวสิ”

กานต์เลิกคิ้วสูง ให้เจฟฟรี่ย์ได้พูดอีก

“ไหนๆ ฉันก็รู้ความลับของนายแล้ว ฉันอยากจะเสนออะไรนายสักหน่อย”

“เสนออะไร” กานต์เอียงคอเล็กน้อย

“เรื่องที่นายเป็นเกย์น่ะ”

ในใจคนฟังคิดว่าอีกฝ่ายคงจะหาเรื่องต่อรองอะไรอีกแน่ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นเมื่อคนตรงหน้าเริ่มพูดออกมา

“ถ้านายเป็นเกย์เหมือนกัน...” แล้วก็เว้นจังหวะไป มองใบหน้าของกานต์นิ่ง สายตาจับจ้องยังริมฝีปากสีสวยก่อนจะออกปากพูด “อยากจะลองจูบกันดูไหมล่ะ”

กานต์เบิกตาโต แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“พูดจริง?”

“ดูท่าทางฉันเหมือนพูดเล่นหรือไง”

“อืม นายเหมือนพูดเล่นตลอดนั่นแหละ”

กานต์พยักหน้า ก็เป็นอย่างนั้น เจฟฟรี่ย์พูดไปหัวเราะไป ใครจะไปเชื่อล่ะว่าเขาพูดจริง

“แย่จังนะ หรือฉันดูจริงจังไม่พอ?”

กานต์พยักหน้าไปอีก เจฟฟรี่ย์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมไอแล้วทำหน้าตาขึงขัง

“โอเค งั้นจริงจังแล้ว คาร์ล... อยากจะลองจูบกันดูไหม”

คราวนี้มั่นใจแล้วว่าไม่ได้ฟังผิดไปอย่างแน่นอน กานต์เม้มริมฝีปากไปครู่หนึ่งราวกับชั่งใจ

เจฟฟรี่ย์เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี เป็นหนุ่มฮ็อต นิสัยดี แล้วก็เป็นเกย์เหมือนกับเขา เป็นเพื่อนที่ดีด้วย ฐานะก็ดี ถ้าไม่ติดเรื่องนิสัยที่รักสนุกจนเกินไปจนบางครั้งก็ดูจะไม่จริงจังกับอะไรสักอย่าง ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่เพียบพร้อมเลยทีเดียว

แต่จูบกับเจฟฟรี่ย์...เห็นทีจะมากไปหน่อย

“ไม่ล่ะ ขอบใจ”

สุดท้ายก็ปฏิเสธ ประโยคนั้นทำเจฟฟรี่ย์ยู่ปากทันที

“โธ่คาร์ล ลองดูหน่อย”

แล้วก็วิงวอนออกมาด้วย กานต์รู้สึกราวกับว่าเห็นหูสุนัขที่ข้างขมับของเจฟฟรี่ย์อย่างไรอย่างนั้น

ท่าทางเหมือนเจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตๆ อย่างที่เคยคิดไว้ไม่มีผิด...

“แต่ฉันไม่จูบกับใครที่ไม่ได้ชอบหรอกนะ”

เจฟฟรี่ย์ทำหน้าตกใจทันควัน “นายไม่ชอบฉัน?”

“อืม”

“ฉันมันแย่มากเลยสินะ แม้แต่ชอบเป็นเพื่อนก็ไม่ชอบ”

แล้วกานต์ก็อึกอัก เขาไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ชอบแบบเพื่อนสักหน่อย

“ไม่ใช่อย่างนั้น” พลันแก้ตัวออกไป

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วแบบไหน”

“ก็...นายไม่ได้เป็นแฟนฉันนี่ เราไม่ได้คบกัน”

เจฟฟรี่ย์ครางอ๋อออกมา “แล้วไม่ได้เป็นแฟนกัน จูบกันไม่ได้เหรอ”

กานต์พยักหน้า ทว่าพอถูกเจฟฟรี่ย์ถามกลับ

“แล้วถ้าเดตกันล่ะ จูบได้ไหม”

สำหรับคำถามนี้ กานต์ขบคิดไปเล็กน้อย

“ก็น่าจะได้นะ”

เท่านั้นเจฟฟรี่ย์ก็โพล่งขึ้นมาทันที “งั้นมาเดตกัน!”

กานต์หัวเราะร่วนกับท่าทางนั้น นอกจากก่อนหน้าจะเห็นหูตูบของเจฟฟรี่ย์แล้ว ตอนนี้เห็นหางกระดิกระริกระรี้ขึ้นมาอีกแล้ว

“ตกลงเดตกับฉันนะ ฉันจะได้จูบนาย!”

ใจคิดว่าไม่เอาหรอก ถ้าจะจูบกับใครสักคน เขาขอจูบกับออสตินดีกว่า แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปฏิเสธ เจฟฟรี่ย์ก็ดึงเขาเข้าไปหาแล้ว ก่อนที่จะประกบริมฝีปากลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว กานต์เบิกตาโตด้วยความตกใจ พยายามจะผลักออก ทว่า...รสจูบของเจฟฟรี่ย์ร้อนแรงจนปฏิเสธไม่ได้

ร้อนแรงและดูดดื่ม...

กระตุ้นเร้าความปรารถนาที่อยู่ในกายของเด็กหนุ่มวัยรุ่นให้ตื่นขึ้น กานต์รู้สึกได้ทันทีว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่ามันจะไม่ได้เต้นแรงเหมือนกับตอนที่อยู่กับออสติน แต่มันเต้นแรง...เพราะความตื่นเต้น

เรื่องเพศเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าค้นหาสำหรับเด็กวัยรุ่นนัก ยิ่งกับเด็กผู้ชายก็ยิ่งน่าสนใจ กานต์จึงเผลอเผยอริมฝีปากตอบรับ ปล่อยให้เจฟฟรี่ย์ได้ดุนดันปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปาก ตักตวงความหอมหวานแนบแน่นราวกับพบเจอขุมทรัพย์ขนาดใหญ่และพยายามเอากลับไปครอบครองให้ได้มากที่สุด

เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่จะผละริมฝีปากออกมา กานต์หายใจหอบน้อยๆ มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เลียริมฝีปากพลางอมยิ้มด้วยพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“จูบได้ดีนี่”

กานต์ร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะหัวเราะในลำคอน้อยๆ เป็นการกลบเกลื่อน

“นายก็จูบได้ดี”

“ของมันแน่อยู่แล้ว” เจฟฟรี่ย์ดูจะภูมิใจในลีลาการจูบของตัวเองอยู่ไม่น้อย ก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้ กระซิบถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “อยากลองดูอีกทีไหม”

จริงๆ แล้วควรจะปฏิเสธ ทว่าพอสบดวงตาสีฟ้าสว่างที่พราวระยับแล้ว กานต์ก็เผลอตกปากรับคำไปด้วยความอยากรู้อยากลอง

“อืม”

เท่านั้นเจฟฟรี่ย์ก็เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากยกยิ้ม สองมือประคองดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มอีกคนเอาไว้

“คราวนี้ขอจัดเต็มเลยนะ”

กานต์ครางตอบรับในลำคอ ในใจเต้นระส่ำเหมือนกับความรู้สึกที่ได้ขึ้นรถไฟเหาะในสวนสนุกครั้งแรก หากแต่ก็แค่ยืนคิวรอขึ้นเท่านั้น เพราะพอเจฟฟรี่ย์เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ทุกอย่างก็ต้องชะงักทันควันเมื่อเสียงของใครบางคนดังมาให้ได้ยิน

“กานต์”

กานต์เบิกตาโพลง ค่อนข้างมั่นใจเชียวว่าเสียงนั้นเป็นของ...

“แด๊ดดี้”


หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 11: Jeffrey O'conell[27-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-02-2018 23:27:23
Chapter 12: Jealous[2]

หันไปมองก็เห็นออสตินจอดรถอยู่ไม่ไกล กระจกข้างคนขับถูกเลื่อนเปิด ขณะที่เจ้าของรถส่งสายตาดุดันมาให้

“มัวทำอะไร ทำไมไม่รีบเข้าบ้าน”

“อะ...เอ่อ...ผม...”

กานต์พูดไม่ออก ไม่รู้จะแก้ตัวว่าอะไร

ก็เขากำลังจะจูบกับเจฟฟรี่ย์นี่นา จะให้แก้ตัวว่าอะไรล่ะในเมื่อออสตินเห็นเต็มสองตาขนาดนี้!

ไม่ใช่แค่กำลังจะจูบ ออสตินเห็นแล้วด้วยว่าทั้งสองคนนั้นจูบกัน มิหนำซ้ำยังจูบกันกลางถนนเสียด้วย ความจริงแล้วเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องปกตินั่นแหละ แต่สำหรับออสติน เขากลับไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร จึงออกปากสั่งเสียงเรียบ

“ขึ้นรถ เข้าบ้านพร้อมฉันเลย จะได้ไม่ต้องเดิน”

กานต์จะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ พยักหน้ารับแล้วรีบว่าเร็วๆ

“เจอกันพรุ่งนี้นะ”

เจฟฟรี่ย์ยกยิ้ม โบกมือลาขณะที่กานต์เดินก้มหน้าก้มตาไปเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว ส่วนออสตินก็ได้แต่เหลือบมองเจ้าเด็กผมบลอนด์ที่ยังคงยืนยิ้มไม่เลิกเล็กน้อย ก่อนปิดกระจกรถแล้วขับออกไปโดยไม่สนใจเด็กหนุ่มคนนั้นอีก

 

พ่อเลี้ยงของเขาค่อนข้างหัวเสียมากทีเดียว...

ถึงออสตินจะไม่พูดอะไร กานต์ก็รับรู้ได้จากแววตา พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าออสตินคงจะไม่พอใจที่เห็นเขาคลุกคลีอยู่กับเจฟฟรี่ย์ อะไรไม่ว่า ดันไปยืนจูบกันให้เห็นอีก

ให้ตายเถอะ เขาจะทำอย่างไรดีเนี่ย!

ทว่า...มันก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ออสตินถึงได้โผล่มาได้จังหวะพอดี เมื่อเช้าเห็นอีกฝ่ายบอกว่ามีประชุม อาจจะกลับดึกไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึง...?

อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม กานต์ยืนเหลอหลาอยู่กลางบ้าน ไม่รู้ว่าควรจะขึ้นไปข้างบนห้องของตัวเองหรืออยู่แก้ตัวกับออสตินดี หากแต่พอเห็นว่าออสตินไม่พูดอะไร ได้แต่เดินอาดๆ ไปทรุดตัวนั่งที่โซฟา ถอดรองเท้า ถอดเสื้อสูท พับแขนเสื้อ โดยไม่สนใจหันมามองเขา กานต์ก็เลยตัดสินใจว่าจะขึ้นไปข้างบน

อย่างน้อยก็ไปตั้งหลักก่อน...

แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวถึงบันได เสียงของออสตินก็ดังขึ้น

“ไม่คิดจะอธิบายกับฉันหน่อยหรือไงเรื่องของเจฟฟรี่ย์น่ะ”

ใจจริงอยากจะเรียกเด็กหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นว่า ‘ไอ้เด็กนรก’ มากกว่า แต่ก็ยับยั้งชั่งใจได้

กานต์หันมามอง เห็นสายตาคมจับจ้องก็พลันอึกอัก

“คะ...คือผม...”

ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ ออสตินเห็นเต็มสองตาอย่างนั้น เขาจะแก้ตัวว่าไม่ได้จูบก็ไม่ได้ จะบอกว่าถูกเจฟฟรี่ย์บังคับก็ไม่ได้อีก เป็นเขาเองต่างหากที่เต็มใจให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้น

“เธอให้หมอนั่นจูบทำไม”

ในเมื่อไม่พูด ออสตินก็ถามออกมาตามตรง พลันก็นึกโกรธตัวเองขึ้นมาที่ไม่ยอมตัดสินใจกลับบ้านเร็วกว่านี้ ถึงเขาจะบอกกับกานต์ว่ามีประชุมในตอนเย็น อาจจะกลับดึก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นแผนของเขาที่จะจับตาดูเด็กหนุ่มต่างหากว่าเถลไถลที่ไหนหรือไม่ วันนี้ให้กลับบ้านเองตามลำพังวันแรก แน่นอนว่าเขาต้องเป็นห่วง พอเลิกงานก็รีบขับรถกลับมาดักรออยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านอยู่นาน พอเห็นเดินมากับเจฟฟรี่ย์ก็แทบจะพุ่งเข้าไปหาอยู่แล้ว แต่คิดในแง่ดีว่าคงจะไม่มีอะไร ทว่ากานต์ไม่โทรมาบอกว่าถึงบ้านแล้วตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขับรถตามไปดู สุดท้ายก็เห็นอีกฝ่ายยืนจูบกันอยู่กลางถนน

เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล เป็นเด็กนรกอย่างที่เขาคิดจริงๆ!

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่กานต์ยอมให้เด็กคนนั้นจูบ ยิ่งพอถูกถามตรงๆ อย่างนั้น กานต์ก็ประหม่าจนวางสีหน้าไม่ถูก

“ผม...”

“ผมทำไม” ออสตินเค้นถามด้วยรำคาญใจ รอยย่นระหว่างคิ้วผุดพรายขึ้นทันควัน

“ผมแค่อยากลองน่ะครับ”

ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ ออสตินถอนหายใจออกมาเต็มแรงอย่างไม่ปกปิด

อยากลอง... ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กวัยรุ่น ใช่ ออสตินรู้ และเขาก็เข้าใจธรรมชาติของเด็กผู้ชายในวัยนี้ดีเสียด้วย เรื่องความสนใจทางเพศเป็นเรื่องที่มนุษย์ซึ่งเป็นลูกหลานของอดัมหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่เด็กหนุ่มตรงหน้าจะจูบกับเจฟฟรี่ย์มันก็ไม่แปลก ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ในเมื่อกานต์เคยบอกเขาแล้วว่าเป็นเกย์ ก็เท่ากับว่าเขารับรู้แล้ว แต่...เขาไม่พอใจ

ไม่พอใจสุดๆ ไปเลย!

“ถ้าแค่อยากลอง เธอก็ไม่ควรจะไปจูบกับหมอนั่น”

กานต์เม้มริมฝีปาก เจฟฟรี่ย์เกเรในสายตาของออสติน...เขารู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนเลวร้าวสักหน่อย

“แต่ว่าผม...”

“เธอเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือไงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์”

เห็นกานต์ทำท่าจะเถียงเลยดักคอก่อน กานต์ระลึกได้ขึ้นมาทันควัน

จริงสิ...เขาเคยพูดเอาไว้ตอนที่ถูกออสตินโกรธเรื่องที่ไปเมาหัวราน้ำที่บ้านของเจฟฟรี่ย์

“แต่ผมไม่ได้มีเซ็กส์กับเจฟสักหน่อย ก็แค่จูบ”

สุดท้ายก็เถียงอยู่ดี เป็นการเถียงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา อันที่จริงต้องบอกว่าแก้ต่างด้วยความจริงให้ตัวเองต่างหาก ทว่ามันไม่ได้ทำให้ออสตินหายหงุดหงิดได้เลย

“อย่างน้อยก็ช่วยเลือกคนหน่อยเถอะ”

ออสตินว่า เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมเสียอีกเมื่อคิดวนไปวนมาว่าเจฟฟรี่ย์เป็นคนทำให้ริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่เขาหลงใหลต้องแปดเปื้อน

“เจฟก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่แด๊ดดี้คิดนะครับ”

ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีกเมื่อกานต์แก้ตัวให้ ดวงตาคมตวัดมองเด็กหนุ่มทันที ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม

“แล้วหมอนั่นมันมีดีตรงไหน ไหนลองบอกให้ฉันรู้ทีซิว่าอะไรที่ทำให้เธอติดใจ”

ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดร้ายกาจจะหลุดออกมาจากปากของออสติน กานต์เม้มริมฝีปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“เขาเป็นเพื่อนที่ดีครับ” สายตามองไปยังออสตินนิ่ง “แล้วเขาก็ชอบผม เราเป็นเกย์เหมือนกัน ผมก็เลย...”

“ก็เลยยอมจูบด้วย” ออสตินอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมาอีกแล้วมา ก่อนที่เขาจะเริ่มทวีความหัวเสียมากขึ้น “ฟังนะกานต์ การที่เธอรู้ว่าฉันรับได้เรื่องที่เธอเป็นเกย์ มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะไปทำอะไรกับคนอื่นได้ตามใจชอบ เธอเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ยังไม่บรรลุนิติภาวะและอยู่ในการดูแลของฉัน ดังนั้นจะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ หน่อย ไม่ใช่มาทำตัวเหลวไหล หาคู่นอนมั่วซั่วอย่างนี้”

รู้อยู่หรอกว่าออสตินพูดออกมาด้วยอารมณ์ แต่คำว่า ‘คู่นอน’ ก็ทำให้กานต์ต้องอ้าปากค้าง

พ่อเลี้ยงของเขา...ปากร้ายได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?

แต่อะไรก็ไม่น่าเสียใจเท่ากับการที่อีกฝ่ายพูดแรงๆ อย่างนี้ใส่เขา เขาไม่ได้จะให้เจฟฟรี่ย์เป็นคู่นอนเสียหน่อย มันก็แค่...

“ผมแค่จูบกับเจฟเองนะครับ เราไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้นสักหน่อย ทำไมจะต้องหัวเสียขนาดนี้ด้วย”

เด็กหนุ่มว่าออกมาบ้างแล้ว ยอมรับว่าเขาเองก็โกรธเหมือนกันที่ถูกพูดใส่อย่างนี้

“จูบเป็นการเริ่มต้นของเซ็กส์ ถ้าเธอไม่อยากให้เจฟเป็นคู่นอน แล้วไปจูบกันหมอนั่นทำไม”

เป็นครั้งแรกที่กานต์รู้สึกว่าออสตินพูดไม่รู้เรื่อง ขนาดให้เหตุผลไปแล้วก็ย้อนกลับมาถามเรื่องเดิม

“ผมก็บอกไปแล้วไงว่าแค่อยากลอง”

ถ้าอย่างนั้นการที่เด็กหนุ่มคิดเลยเถิดกับเขาก็เท่ากับว่าเป็นการอยากลองด้วยล่ะสินะ?

คิดแล้วอารมณ์ของออสตินก็คุกรุ่นขึ้นมา

“อย่าอยากลองอะไรที่มันไม่มีประโยชน์”

“มันก็แค่จูบนะครับแด๊ดดี้”

“นั่นแหละ”

“ต่อให้ผมไม่จูบเจฟ ผมก็ต้องจูบคนอื่นอยู่ดี แด๊ดดี้ก็เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าให้ผมเก็บความรู้สึกที่มีต่อแด๊ดดี้เอาไว้ ในอนาคตจะต้องได้เจอคนมากมายกว่านี้”

“มันก็ใช่ แต่เธอเพิ่งอายุสิบเจ็ด...”

“ก็แค่จูบเอง อายุแค่นี้ก็จูบได้ ไม่เห็นจะเป็น...”

“กานต์!”

ปัง!

ออสตินหมดความอดทน เผลอขึ้นเสียงพร้อมกับใช้มือตบลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง กานต์สะดุ้ง มองอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่นขณะที่สายตาของออสตินแสดงออกมาชัดเจนว่าโกรธอย่างไม่ปกปิด

“มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เข้าใจไหม เธอเพิ่งจะสิบเจ็ด ยังไม่เหมาะจะทำเรื่องอะไรแบบนั้นตอนนี้”

เขาปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของคนตรงหน้า กานต์ไม่พยักหน้ารับ ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดเข้ามาจนสับสนไปหมดจนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรกันแน่ ที่รู้ๆ คือเขาได้เห็นอีกด้านของออสติน

ที่แท้...พ่อเลี้ยงของเขาก็เป็นฝรั่งหัวโบราณ

“ฉันถามว่าเข้าใจไหม”

เห็นกานต์ไม่ตอบก็ออกปากถามไปอีก ดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้นยังคงเจือไปด้วยความขุ่นเคือง กานต์จึงต้องตอบรับ

“ครับ”

“งั้นก็ดี”

“ผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ”

กานต์พูดเร็วๆ คว้ากระเป๋าแล้วรีบก้าวขึ้นไปชั้นบนอย่างไม่คิดชีวิต ออสตินมองตามหลังแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเลย แต่ให้ตายเถอะ! เขากำลังหึงหวงเด็กผู้ชายคนนั้น!

สองมือใหญ่ยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง

ไม่ควร... ไม่ควรเลย...

ไม่ควรทำให้กานต์รู้สึกไม่ดีเพราะอารมณ์อ่อนไหวของตัวเองสักนิด เขาไม่ควรห้ามกานต์ให้ทำเรื่องอย่างนั้นด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ และเด็กวัยอย่างกานต์ก็ควรที่จะมีสิทธิ์ในการทำตามใจตัวเองตราบใดที่มันไม่เกินขอบเขตที่เขากำหนดไว้

ต้องไปขอโทษ...

พอคิดได้ดังนั้น ออสตินก็รีบขึ้นไปยังชั้นบน เคาะประตูห้องของอีกฝ่ายทันที ไม่นานนัก เด็กหนุ่มก็เปิดประตูออกมา สีหน้าของเขายังดูไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทั้งหวาดหวั่น ทั้งสับสน ทั้งเสียใจที่ถูกตะคอกอย่างนั้น จนทำให้คนอาวุโสกว่ารู้สึกผิดกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าเธออย่างนั้น”

ออสตินเอ่ยปาก หากแต่กานต์กลับแสร้งยิ้มแล้วว่าอย่างไม่รู้สึกรู้สา

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

เป็นรอยยิ้มที่เจื่อนมาก ทำไมออสตินจะมองไม่ออกว่ากำลังกลบเกลื่อนความเสียใจไว้ข้างใน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมา

“เรื่องที่ฉันกล่าวหาว่าเธอมองหาคู่นอน”

เท่านั้นรอยยิ้มเจื่อนๆ นั่นก็หายไป กลายเป็นสีหน้าเจื่อนๆ แทน

“แด๊ดดี้พูดแรงไปจริงๆ ครับ”

ออสตินพยักหน้ารับ เขารู้ว่าเขาปากร้าย แต่มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ เขาระงับความรู้สึกหึงหวงไม่ได้ถึงได้พลั้งปากไปอย่างนั้น

“ฉันขอโทษ”

เสียงทุ้มดังขึ้นมาอีก เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าก็จริง แต่ถ้าทำผิดแล้วต้องเป็นฝ่ายขอโทษมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหน้า ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนที่เขาอยากดูแลด้วยแล้ว เขาก็ต้องยิ่งให้ความสนใจเรื่องความรู้สึกมากขึ้นไปใหญ่

“ขอโทษนะ โอเคไหม” น้ำเสียงแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความอ่อนโยน

กานต์พยักหน้า ขอบตาร้อนผะผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ใช่เสียใจที่ถูกต่อว่ารุนแรง แต่กำลังดีใจต่างหากที่ออสตินใส่ใจเขาขนาดนี้ ต่อให้เมื่อครู่ต่อว่ารุนแรง แต่รีบขึ้นมาขอโทษทันที มันก็ทำให้เขา...อุ่นวาบในอกขึ้นมาอย่างประหลาด

เขาชอบที่ออสตินเป็นแบบนี้... ชอบที่สุด...

“เฮ้ๆ ไม่ร้อง”

เห็นกานต์พยักหน้าเร็วๆ พร้อมกับขอบตาแดงๆ ออสตินก็อดไม่ได้ที่จะเชยปลายคางมนขึ้นมามอง ตอนนี้เองที่น้ำตาเม็ดใสไหลเผาะ

เห็นเด็กหนุ่มร้องไห้อย่างนั้นแล้ว ออสตินก็นึกอยากจะทำอะไรกับตัวเองให้สาสมกับที่ทำร้ายจิตใจของคนตรงหน้าขึ้นมา เขารู้ทั้งรู้ว่ากานต์มองแค่เขา ถึงการจูบกับเจฟฟรี่ย์จะเป็นไปด้วยความเต็มใจ แต่มันก็แค่ความรู้สึกอยากลองเท่านั้น ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่อเขา... มันลึกซึ้งกว่านั้น ยิ่งในตอนนี้กานต์ไม่เหลือใคร มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกก็ย่อมต้องเปราะบางกว่าปกติเป็นธรรมดา

เป็นเขาเองแหละที่ผิด อายุก็ตั้งขนาดนี้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กวัยรุ่นใจร้อนไปได้...

“กานต์... ไม่ต้องร้อง”

ปลายนิ้วซับน้ำตาให้ กานต์พยักหน้าแต่ก็ไม่สามารถหยุดร้องได้เลย ทำให้ออสตินต้องดึงเข้ามากอด จูบลงบนกระหม่อมเบาๆ เป็นการปลอบประโลม

“ฉันขอโทษ ไม่ต้องร้องนะ ชู่ว์ ไม่ร้องเด็กดี...”

กานต์ทั้งตกใจทั้งดีใจในคราวเดียว เขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ ออสตินพูดอะไรมาก็ได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น ก่อนที่จะตวัดสองแขนโอบกอดร่างใหญ่ของคนตรงหน้า ซึมซับกลิ่นและความอบอุ่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน เขาถึงจะได้มีโอกาสกอดออสตินอีกครั้ง

ออสตินเหลือบมองคนในอ้อมแขนที่ซุกหน้าเข้ากับแผงอกของเขา พลันพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความระอาใจ

ไม่ได้ระอาใจกับกานต์สักนิด ระอาใจกับตัวเขาเอง

ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะหวงอีกฝ่ายได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่เฝ้าบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตนเป็นพ่อเลี้ยงและอีกฝ่ายเป็นลูกเลี้ยง ไม่ควรให้มีความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายมันก็เกิดจนได้

บ้าบอจริงๆ ให้ตายเถอะ...

กว่าเด็กหนุ่มจะโตมากพอ เขาคงต้องอกแตกตายก่อนแน่ๆ

--------------------------------

มาดึกอีกแล้ว ช่วงนี้อัปดึกทุกวันเลยค่ะ ดึกแต่มานะ ฮา

ขุ่นแด๊ดดี้อกจะแตกตาย เจฟเฉยๆ ล่องเรือฉิวมาขนาดนี้ สงสัยต้องขังน้องกานต์ไว้แต่ในบ้านแล้วล่ะค่ะ ไม่งั้นยุงริ้นไต่ตอม 555

ฝากกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 28-02-2018 23:38:52
เลิกล้ม อิอิ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-03-2018 01:18:18
ทำไงให้เจฟถอยออกไปได้เนี่ย แล้วทำไงให้เด๊ดดี้เข้าหาได้ ท่าทางคงจะยากน่าดู  :katai1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 01-03-2018 01:32:58
อดทนไว้ก่อนนะคะคุณสเวนดิฉันว่าหลังจากหนึ่งปีคุณคงไม่อยากให้น้องหนีไปไหนหรอกนะคะ
ตอนนี้คุณคงถอนตังจากน้องไม่ได้แล้ว  :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-03-2018 02:51:13
ความอยากรู้อยากลอง หึหึ
มาดูกันว่าจะพลาดมั้ย  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-03-2018 09:23:03
โถ แด๊ดดี้ จะทำไงดีเนี่ย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 01-03-2018 10:42:56
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แดดดี้เส้นเลือดในสมองแตกตายแน่ๆ 5555
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 01-03-2018 15:17:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 01-03-2018 20:30:15
Chapter 13: Safe sex

พอมาคิดดูดีๆ แล้ว การห้ามไม่ให้กานต์ไปจูบกับเจฟฟรี่ย์หรือใครหน้าไหนคงจะเป็นเรื่องยาก ต่อให้เขาห้ามแต่ถ้ากานต์อยากจะทำ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแอบไปทำจนได้อยู่ดี และนั่นเป็นสิ่งที่ออสตินไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด ถ้าอีกฝ่ายจะแอบทำโดยไม่ให้เขารู้แล้วล่ะก็ สู้บอกเขาแล้วเขาคอยแนะนำอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า

แน่นอนว่าหมายถึงเรื่องเซ็กซ์ด้วย...

ดังนั้นออสตินจึงตัดสินใจว่าจะสอนวิธีการมีเซ็กซ์อย่างปลอดภัยให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งใช่...เป็นเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายด้วยกัน

วันนี้เป็นวันหยุด เขามีเวลาว่างพอดี พลันเดินไปหาเด็กหนุ่มที่ห้องนั่งเล่น มองกานต์ที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่ครู่ก่อนจะเรียก

“กานต์ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

“ครับ?”

ออสตินไม่พูดในทันที เดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ กานต์เก็บโทรศัพท์ลง มองหน้าพ่อเลี้ยงอย่างสงสัย

“มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

ออสตินเม้มปาก ลำบากใจอยู่เหมือนกันที่จะต้องพูดเรื่องนี้ แต่เขายอมไม่ได้หรอกถ้ากานต์จะไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครโดยไม่ได้เตรียมตัวอะไร ดังนั้นจึงต้องพูด

“ฉันมีอะไรอยากจะถามเธอหน่อย”

“ครับ”

“แต่ยากที่จะพูดนิดนึง สำหรับคนไทยอย่างเธอน่ะนะ”

“ลองถามมาก่อนสิครับ ถ้าผมตอบได้ ผมจะตอบให้”

กานต์แกล้งยอกย้อนในประโยคที่ออสตินเคยพูด ก่อนเอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำมากระดกดื่ม

ก็ได้... ออสตินพูดก็ได้

“เธอคิดจะมีเซ็กซ์กับเจฟฟรี่ย์ไหม”

พรู่ด!

จู่ๆ ก็ถามคำถามที่ไม่คาดคิด ทำเอาเด็กหนุ่มพ่นน้ำที่กระดกเข้าปากไปออกมาเป็นสาย ไอโขลกอยู่อีกครู่ก่อนจะหันใบหน้าแดงๆ ไปมองคนถาม

“ดะ...แด๊ดดี้พูดเรื่องอะไรอยู่ครับเนี่ย”

“ฉันถามเธอว่าคิดจะมีเซ็กซ์กับเจฟฟรี่ย์หรือเปล่า”

ยิ่งถูกถาม ใบหน้าก็ยิ่งแดงเรื่อ ไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะประดักประเดิดมากกว่า

“ทะ...ทำไมถามงี้...”

“ก็วันนั้นฉันเห็นพวกเธอจูบกัน”

“แต่มันไม่ได้หมายความว่าผมจะไปนอนกับเจฟสักหน่อย”

“จูบเป็นการเริ่มต้นของเซ็กซ์” ออสตินว่า “แล้วเธอก็บอกเองว่าที่จูบกับหมอนั่นเป็นเพราะอยากลอง ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตเธออาจจะอยากลองทำอย่างอื่น”

ใบหน้าของกานต์ร้อนฉ่า ที่ออสตินพูดมามันก็ถูกต้องตามหลักการแหละนะ แต่เขาไม่เคยคิดจะทำอะไรกับเจฟฟรี่ย์ไปมากกว่าการจูบในวันนั้นสักหน่อย!

“ผมไม่ได้อยากลองทำอย่างอื่นกับเจฟ”

กานต์ว่าเสียงเบา ไม่กล้าสบตาของคนข้างกายแล้ว ขณะที่ออสตินเหลือบมองแล้วก็ได้แต่ระบายลมหายใจ

“ต่อให้ไม่ได้อยากลองทำกับหมอนั่น แต่ก็อาจจะอยากลองทำกับคนอื่น”

ถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มเหลือบมองใบหน้าคร้าม

ใช่ อยากลองทำกับแด๊ดดี้นั่นแหละ...

“ว่าไง คำตอบล่ะ”

ไม่ได้คำตอบสักที ออสตินก็ถามย้ำ กานต์มองอีกฝ่ายที่จ้องใบหน้าตนนิ่งอย่างคาดคั้นคำตอบ เขาก็จำใจต้องพูด

“ครับ เรื่องนั้นผมก็อยากลอง”

ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งเบา ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสักวันจะต้องมานั่งคุยเรื่องอะไรแบบนี้กับคนตรงหน้า ขณะที่ออสตินได้ยินแล้วก็บีบมือที่ประสานกันอยู่ของตัวเองแน่น

กานต์...

กัดฟันกรอดอีกด้วย หงุดหงิดที่เด็กหนุ่มตรงหน้าคิดเรื่องแบบนี้ แต่แล้วก็พยายามบอกกับตัวเองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของเด็กวัยรุ่น เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า ให้คำแนะนำที่เหมาะสมแล้วรอดูอยู่ห่างๆ จะดีกว่า ไว้ถึงเวลาของเขาเมื่อไรแล้วค่อยว่ากันอีกที

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกับฉัน”

“ไปไหนครับ”

กานต์หันมองขวับ ทว่าออสตินกลับไม่ตอบตรงๆ

“ไปแล้วก็จะรู้เอง”

 

งุนงงในคำพูดของออสตินไม่พอ ยังงุนงงในการกระทำของเขาอีก แต่สุดท้ายกานต์ก็ยอมขึ้นรถมากับผู้ปกครองจนได้ ออสตินพาขับรถไปโดยไม่บอกว่าจะไปไหน กานต์เองก็ไม่กล้าถาม... อันที่จริงต้องบอกว่าไม่กล้าพูดอะไรตั้งแต่ที่ออกจากบ้านมาแล้ว มีแต่ในหัวเท่านั้นที่ขบคิดไม่ตกว่าตัวเองจะถูกพาไปไหน กระทั่งรถมาจอดยังลานกว้างแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มถึงได้ตัดสินใจเอ่ยปาก

“แด๊ดดี้พาผมมาที่นี่ทำไมเหรอครับ”

กานต์ถามด้วยประหลาดใจ ขณะที่ออสตินดับเครื่องรถแล้วหันมามอง

“เธอคิดว่าฉันจะสอนเธอให้รู้จักมีเซ็กส์อย่างปลอดภัยได้ยังไงล่ะ”

ได้ยินอย่างนั้น ซีกแก้มของกานต์ก็แดงเรื่อขึ้นมา

ที่แท้ก็พาเขามาที่นี่เพราะจะสอนเรื่องนี้เองหรอกเหรอ?

ถะ...ถ้าอย่างนั้น...ระ...หรือว่า...

“ว่าไง ฉันถามว่าเธอคิดว่าไง”

ออสตินเอี้ยวตัวมาให้เห็นเต็มๆ กานต์มองไปยังผู้ชายตรงหน้า เผลอมองไปยังแผงอกที่โผล่วับแวมออกมานอกเสื้อเชิ้ตให้เห็นด้วย ก่อนที่สายตาจะมองเลยไปยังอาคารด้านหลังที่มีป้ายตั้งตระหง่านอยู่

โมเต็ล...

อ่านภาษาอังกฤษคำนั้นแล้วแปลความหมาย เท่านั้นเด็กหนุ่มก็ละล่ำละลักทันที

“ดะ...แด๊ดดี้...จะ...”

จะพาเขาเข้าโรงแรมจิ้งหรีดใช่ไหม!?

กานต์พูดต่อไม่ออก นิ้วมือชี้ไปทางโรงแรมนั้น ในใจเต้นระทึกด้วยความรู้สึก...ดีใจ

ดีใจอย่างถึงที่สุดจนเก็บอาการไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าที่ออสตินถามจะหมายถึงเรื่องนี้

เขาจะได้สัมผัสเรือนร่างเปลือยเปล่าของออสติน!

พระเจ้า! พระเจ้า! พระเจ้า!

ดีใจเสียจนแทบเก็บสีหน้าไว้ไม่ไหว ก่อนจะได้สติอีกครั้งเมื่อออสตินล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วยื่นบัตรเครดิตให้

“เอานี่ไปซะ”

อีกฝ่ายก็ยื่นมือรับไปอย่างงุนงง สีหน้าดีใจเมื่อครู่เลือนหายไปทันตา “ครับ?”

“เอาไว้จ่าย”

จะ...จ่าย?

จ่ายค่าห้อง!?

ดวงตากลมโตเบิกโพลง ก่อนจะถูกออสตินกระชากสติกลับมาอีกครั้งด้วยการส่งกระดาษใบเล็กๆ มาให้

“ส่วนนี่ก็รายการของที่เธอต้องซื้อ”

“อ้าว?”

ความตื่นเต้นเมื่อกี้หายไปทันทีเมื่อเห็นใบรายการของที่ต้องซื้อ

รายการของที่ต้องซื้อ...

อย่าบอกนะว่า...

พลันกานต์ก็หันไปมองทางด้านหลังของตน ก่อนจะเห็นว่ามีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ตรงนั้น

โธ่...ที่แท้ก็พาเขามาซื้อของหรอกเหรอ นึกว่าจะพามาเข้าโรงแรม ไอ้โรงแรมบ้านี่ก็ดันมาตั้งอยู่ใกล้ๆ เขาเข้าใจผิดไปหมดเลยเห็นไหม!

“อะไร”

ออสตินถามพลางย่นคิ้วเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มย่นปากยู่ราวกับขัดใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะอึกอักออกมาเมื่อถูกถาม

“ที่แด๊ดดี้พาผมมาที่นี่คือพามาซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ได้จะพาผมเข้า...เอ่อ...”

ถึงเด็กหนุ่มจะพูดไม่หมด แต่พอออสตินหันไปมองทางด้านหลังของตัวเองก็เข้าใจได้ทันที ก่อนจะหัวเราะออกมาให้อีกฝ่ายได้หน้าร้อนวูบไปอีก

“ใช่ ฉันพาเธอมาซื้อของ คิดว่าฉันจะพาเธอเข้าโรงแรมโทรมๆ นี่หรือไง”

กานต์ก้มหน้างุด ไม่กล้าพูดว่าใช่ ก่อนที่ออสตินจะระบายลมหายใจน้อยๆ กับความฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่ม

“ไปซื้อของมาก่อนเถอะ แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

“ครับ”

กานต์รับคำ เดินลงจากรถไป ก้าวเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตได้ก็ยกกระดาษในมือขึ้นมาดูรายการของที่พ่อเลี้ยงสั่งให้ซื้อ

“อุปกรณ์ดีท็อกซ์”

เด็กหนุ่มอ่านแล้วพึมพำออกมา ในกระดาษนั้นมีลายมือของออสตินเขียนตัวใหญ่ๆ กำกับไว้ชัดเจนว่าให้ไปซื้อที่แผนกขายยา ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไรหรอกถ้าจะซื้ออุปกรณ์พวกนี้ แต่พอเดินไปจนถึงแผนกขายยาแล้วก็พลันนึกขึ้นมาได้

เมื่อกี้นี้ออสตินบอกว่าจะสอนวิธีมีเซ็กส์อย่างปลอดภัยให้ แล้วให้มาซื้ออุปกรณ์ดีท็อกซ์ลำไส้

อย่าบอกนะว่าหมายถึงจะให้เขาสวน...

เท่านั้นกานต์ก็แทบจะพุ่งเอาหัวไปโขกกับชั้นวางของแถวนั้นด้วยความเขินอาย

เอาจริงดิ!? แด๊ดดี้เอาจริงใช่ไหม!?

ให้ตายเถอะพระเจ้า! เขาตื่นเต้นจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว!

พลันก็กลับมาเหยียดตัวตรงอย่างรวดเร็วเมื่อมีสายตาของคนรอบข้างจ้องมอง ก่อนเขาจะสูดลมหายใจเข้าปอด เดินตรงไปที่แผนกขายยาแล้วฉีกยิ้มกว้างให้กับพนักงาน

“เอาอุปกรณ์ดีท็อกซ์ลำไส้ครับ”

“รับชุดเล็กหรือชุดใหญ่ดีครับ”

กานต์ขมวดคิ้วทันที... มันมีชุดเล็กกับชุดใหญ่ด้วยเหรอ?

เหมือนพนักงานจะเข้าใจว่าเด็กหนุ่มกำลังงุนงง เลยหันไปคว้าอุปกรณ์สองชุดมาให้ดูตรงเคาน์เตอร์

“ต่างกันที่อุปกรณ์ ใช้บ่อยหรือเปล่าล่ะ ถ้าใช้บ่อย ชุดใหญ่ก็จะคุ้มกว่า มีกาแฟสำหรับดีท็อกซ์แถมให้ด้วย เผื่อไม่อยากจะใช้น้ำอุ่น”

กานต์นิ่งคิดไปครู่

มีครั้งแรก...ก็อาจจะต้องมีครั้งที่สองและครั้งที่สาม

ถ้าอย่างนั้น...

“เอาชุดใหญ่ครับ”

...จัดไปชุดใหญ่ไฟกะพริบ

บัตรเครดิตถูกยื่นให้กับพนักงาน กานต์ถือถุงกระดาษที่ใส่อุปกรณ์กลับมาที่รถ ขึ้นรถได้ก็ส่งบัตรเครดิตคืนให้กับพ่อเลี้ยง ขณะที่ออสตินเหลือบมองคนที่นั่งก้มหน้างุดด้วยความเขินอายนิ่ง

“มองอะไรครับ กลับกันได้แล้ว”

ออสตินไม่พูดอะไร แย่งเอาถุงกระดาษในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มมาเปิดดู

“ทำไมถึงซื้อชุดใหญ่มา”

ถูกถาม กานต์ก็เงอะๆ งะๆ “คะ...คือ...”

“คืออะไร”

“เผื่อได้ใช้อีกครับ”

แสนจะซื่อตรง บอกไปตรงๆ อย่างนั้น ออสตินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ กานต์อยากจะถามนักว่าหัวเราะอะไร ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ออสตินได้สตาร์ตรถแล้วขับพากลับบ้าน

 

พวกเขาถึงบ้านในอีกยี่สิบนาทีให้หลัง กานต์ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับการเดินเข้ามาในบ้านเท่าครั้งนี้มาก่อน เทียบกับครั้งแรกที่ได้มาเหยียบที่นี่แล้ว ครั้งนี้ตื่นเต้นกว่ากันหลายเท่าตัว

“มานั่งนี่สิ”

ออสตินที่เดินไปนั่งยังโซฟาก่อนพยักหน้าเรียก มือสาละวนกับการหยิบอุปกรณ์ข้างในถุงกระดาษออกมา พอเด็กหนุ่มนั่งลงแล้ว เขาก็ยื่นกระดาษซึ่งเป็นวิธีใช้งานให้

“อ่านเข้าใจไหม”

กานต์กวาดสายตาอ่านตัวหนังสือภาษาอังกฤษไปครู่แล้วก็พยักหน้า

“พอเข้าใจครับ”

“เพื่อความมั่นใจ ฉันจะสอนอย่างละเอียดด้วยแล้วกัน”

กานต์เบิกตาโต กำลังจะบอกว่าไม่ต้อง แต่ไม่ทันแล้ว

“อันนี้คือถุงสวนล้างลำไส้ เอาน้ำอุ่นหรือกาแฟสำหรับดีท็อกซ์ใส่ลงไป ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ชายคือ 1500 ซีซี” พูดจบก็คว้าเอาถุงพลาสติกที่มีสายยางขึ้นมา “ส่วนสายนี่ ก่อนที่เธอจะเอาใส่เข้าไปข้างในตัว เธอต้องทาเจลหล่อลื่นด้วย ไม่งั้นมันจะเจ็บ” แล้วก็หยิบหลอดเจลขึ้นให้ดู

ตอนนี้กานต์หน้าแดงไปหมด แต่ออสตินดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรเลย นอกจากจะตั้งหน้าตั้งตาสอนเท่านั้น

“เวลาจะทำความสะอาดลำไส้ เธอก็เอาถุงนี่ไปแขวนในห้องน้ำ ใส่สายยางเข้าไปในตัวไม่เกินสามนิ้ว ค่อยๆ เปิดวาล์วน้ำให้ไหล รอสักสิบถึงสิบห้านาทีแล้วค่อยไปถ่าย ถ้ากลั้นไม่ไหวก็จัดการก่อนได้ ส่วนเวลาของการดีท็อกซ์ที่เหมาะสม ปกติคือตอนเช้า แต่ถ้ามันฉุกละหุกก็เคสบายเคสได้ ถ้าฉุกละหุกมากจริงๆ ฉันแนะนำให้ทำแต่ภายนอก ใช้มือใช้ปากอะไรก็ว่าไป ถ้าจะสอดใส่ เธอต้องมั่นใจว่ามีเจลหล่อลื่นกับถุงยางอนามัยเตรียมพร้อม”

ยิ่งพูด กานต์ก็ยิ่งก้มหน้าลงต่ำเรื่อยๆ

ให้ตายเถอะ! ทำไมเขาต้องมานั่งให้ผู้ชายคนนี้สอนเรื่องการเตรียมตัวอะไรแบบนี้ด้วย!

“เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม เผื่อเธอจะลองทำ จะได้รู้ว่าทำยังไง”

เข้าใจสิ...เข้าใจ กานต์เข้าใจดีเลยล่ะ เขาก็พอจะเคยอ่านวิธีการทำความสะอาดส่วนนั้นมาอยู่บ้าง แต่มันก็มีหลายตำรา บางตำราก็ไม่ได้ถึงขั้นต้องล้างสวนกันขนาดนี้

“การมีเซ็กซ์ ไม่ว่าจะกับเพศไหน ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเธอคิดจะเล่นสนุก เธอต้องรู้จักเซฟตัวเองให้ปลอดภัย”

กานต์พยักหน้า ให้ตายเถอะ! เขาเข้าใจชัดเจนแล้ว สอนแต่ทฤษฎี แล้วไหนปฏิบัติล่ะ!

“เอาเป็นว่าเธอทดลองใช้ดู แต่อย่าทำดีท็อกซ์บ่อยนะ อาทิตย์ละครั้งก็พอ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นความเคยชิน มีปัญหากับสุขภาพแทน เวลาอื่นให้ล้างด้วยการใช้นิ้วล้วงเข้าไปทำความสะอาดก็พอ”

พอแล้ว!

“พะ...พอได้แล้วครับ ผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไง”

ในที่สุดกานต์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เงยหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาร้องบอก ออสตินมองแล้วก็อมยิ้ม

เวลาเขินแบบนี้ก็ดูน่ารักดี...

“เรื่องปกติน่า ไม่ต้องอายหรอก ฉันก็สอนตามหน้าที่เท่านั้น”

มือใหญ่เอื้อมไปวางบนกระหม่อมของเด็กหนุ่ม ออกแรงยีเบาๆ เป็นการปลอบโยน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่กานต์ต้องการ พอเห็นออสตินผละออกห่าง ทำท่าจะลุกไปที่อื่น เขาก็รีบโพล่งขึ้น

“เท่านี้เหรอครับ?”

“หืม?”

“ผมหมายถึงสอนเท่านี้เหรอ?”

“ใช่”

“แล้ว...ปะ...ปฏิบัติล่ะครับ”

ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนี้ ออสตินถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง

“ปฏิบัติ?”

ตอนนี้กานต์ถึงกับอยากจะตบหน้าตัวเองให้หัน

บ้าเอ๊ย! ไปทวงภาคปฏิบัติแบบนั้นได้ยังไงกัน!

กานต์เลยเอาความเงียบเข้าสู้ เฉไฉไม่ตอบแทน แต่ออสตินก็เข้าใจได้ในอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง เขารู้ว่ากานต์ต้องการอะไร พลันแกล้งพิงพนักโซฟา วางแขนพาดไปบนพนักพิงแล้วถามอย่างหยอกล้อ

“แล้วเธออยากให้ฉันสอนภาคปฏิบัติให้เธอยังไงดีล่ะ”

“ระ...เรื่องนั้น...”

เรื่องนั้นกานต์ไม่รู้หรอก อะไรที่ออสตินอยากทำ เขายินยอมให้ทำทั้งนั้นแหละ

ออสตินมองแล้วก็กระหยิ่มใจ ถึงเขาจะกังวลว่ากานต์จะไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหรือใครที่ไหนก่อนหน้านั้น แต่ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าในสายตาของเด็กหนุ่มมีเขาอยู่เหมือนกัน มีก็แต่เขาเองนั่นแหละที่ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้

กานต์เพิ่งจะอายุสิบเจ็ด...

ยังไม่บรรลุนิติภาวะ...

ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ แต่...ก็เคยทำลงไปแล้ว

กานต์นิ่งเงียบ ไม่กล้าตอบว่าเขาอยากให้ออสตินทำทุกอย่าง ทำจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ เขายินดีและเต็มใจให้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งนั้น ขณะที่ออสตินเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่พูด เขาจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“วันนี้เธอฉีดน้ำหอม”

เป็นการเบี่ยงประเด็นไปสนทนาหัวข้อใหม่เพื่อลดความน่าอึดอัดเมื่อครู่นี้ ความจริงเขาได้กลิ่นตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าไม่ได้ออกไปไหนจะฉีดน้ำหอมทำไม แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะคิดว่ามันไม่ได้สำคัญ

กานต์ชะงักกับคำถามนั้น หันไปพยักหน้าให้กับผู้ปกครองเป็นคำตอบ

“ปกติไม่เคยเห็นเธอฉีด”

“ผมอยากลองใช้ดูน่ะครับ”

“ขอฉันดมหน่อย”

กานต์ไม่ปฏิเสธ ยื่นข้อมือที่แตะน้ำหอมลงไปให้อีกฝ่ายได้ดม ออสตินจรดปลายจมูกลงมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาในนาสิก กลิ่นนั้น...ไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอมที่เขาเป็นคนมอบให้ แต่เป็นกลิ่นกายของเด็กหนุ่มที่ยั่วเย้าให้เขาต้องสูดดมมากขึ้นไปอีก

ปลายจมูกโด่งค่อยๆ ไล่ระเรื่อยจากข้อมือขึ้นมายังข้อพับแขน กานต์เห็นอย่างนั้นแล้วก็เกร็งตัวนั่งนิ่ง ไม่คิดว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะทำอย่างนี้ ทว่าก็ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ได้แต่เบิกตาโตมองออสตินที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

ราวกับว่ากำลังถูกถามว่าดมอีกได้ไหมโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ กานต์ไม่ตอบอะไร แต่นั่นคือคำตอบ ทำให้อีกฝ่ายไล้ปลายจมูกขึ้นมายังต้นแขนก่อนที่จะไปหยุดยังหัวไหล่ ยิ่งวันนี้กานต์สวมเพียงเสื้อกล้าม ทำให้สัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ของออสตินได้อย่างเต็มที่

ถึงตอนนี้...ไม่เพียงแค่ปลายจมูกที่จรด กลับมีริมฝีปากนุ่มแตะลงมาอย่างแผ่วเบา

หัวใจของกานต์เต้นระส่ำจนไม่เป็นจังหวะ ในช่องท้องวูบไหวราวกับมีผีเสื้อนับร้อยบินว่อน

ออสตินกำลังแตะต้องเขา... กำลังสัมผัสเขา... เขาต้องทำอย่างไรถึงจะถูกสัมผัสอีก!?

ดวงตาสีนิลจับจ้องยังใบหน้าคร้ามอย่างขอคำตอบทันที ออสตินเองไม่ได้ปริปากออกมาสักคำ นอกจากจะค่อยๆ ไล้ปลายจมูกไปที่ลำคอ จูบจรดแผ่วเบาบนผิวเนียนให้กานต์ได้กำมือแน่น ก่อนที่เสียงทุ้มจะดังแผ่วมาให้ได้ยิน

“ห้ามฉันสิ”

“...”

“ห้ามฉันก่อนที่มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้”

กานต์ไม่เข้าใจสักนิดว่าออสตินกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ถ้าจะให้เขาห้ามแล้วล่ะก็ เขาไม่ห้ามหรอก อย่างไรก็ไม่มีวัน

ไม่มีวันห้ามออสตินเด็ดขาด!

“ห้ามฉันกานต์...บอกให้ฉันหยุด”

ปากหนักราวกับมีภูเขาหินมาวางทับ ไม่พูดอย่างเดียวไม่พอ กานต์ยังส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ

สัมผัสเขาเถอะ...

สัมผัส...

ทำอะไรก็ได้ที่กานต์รู้สึกว่าตนเป็นที่ต้องการของออสติน...

และเพราะไม่ยอมเอ่ยอะไรออกไป ออสตินก็ระงับความปรารถนาของตนเองไม่ได้ กลิ่นน้ำหอมสังเคราะห์อะไรไม่มีทางที่จะทำให้เขาเคลิบเคลิ้มหรอก สิ่งที่ทำให้เขาต้องสูญเสียสติสัมปชัญญะคือกลิ่นจากเรือนร่างของคนตรงหน้าต่างหาก ตอนแรกที่ว่าจะเพียงเบี่ยงประเด็นไม่พูดถึงเรื่องการสอนภาคปฏิบัติ กลายเป็นว่าพอได้แตะต้องเด็กหนุ่มเพียงเล็กน้อย เขาก็สติเตลิดเปิดเปิงจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

ในเมื่อไม่ห้าม ออสตินก็เผยอริมฝีปากขึ้น งับเอาผิวเนื้อบางไปขบเม้มแผ่วเบา ก่อนละเลียดไล่ขึ้นไปยังใบหู

เสียงลมหายใจสะท้านดังลอดออกมาให้ได้ยิน แผ่นอกของเด็กหนุ่มกระเพื่อมรุนแรง เขากระถดถอยไปจนติดพนักโซฟา ขณะที่ออสตินยังคงรุกรานเข้าหาไม่หยุด

จากใบหู...ก็ไล่ต่ำลงมายังซีกหน้า ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะจับจ้องยังกลีบปากบางราวกับชั่งใจว่าควรทำอย่างไรกับมันต่อไป

เขาไม่ควรสัมผัสมัน...ไม่ควรเลย

แต่เมื่อถูกสายตาของกานต์จ้องมองอย่างเว้าวอน ออสตินก็อดใจไม่ไหวอีกต่อไป สถานะใดๆ ที่เขามีอยู่ตอนนี้ถูกลืมไปสิ้น เขาเข้าครอบครองริมฝีปากนั้นอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ แลบลิ้นเพื่อชิมรสประหนึ่งกำลังลิ้มรสผลแอปเปิลจากสวนสวรรค์

ยิ่งแนบแน่นมากเท่าไร...กานต์ก็ยิ่งเผยอริมฝีปากตอบรับกับจุมพิตนั้นมากขึ้นเท่านั้น

กระทั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป เด็กหนุ่มโอบแขนตวัดรอบลำคอของคนตรงหน้า ดึงรั้งให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากกว่านี้ ทำให้จุมพิตอ้อยอิ่งนั้นกลายเป็นการจูบอย่างดูดดื่มในชั่วเสี้ยววินาที

เสมือนกับความต้องการตลอดเวลาที่ผ่านมาได้รับการตอบสนอง เลือดในกายพลุ่งพล่านไม่ต่างอะไรจากน้ำเดือดที่กำลังจะล้นหม้อ กานต์ละมือออกจากการโอบกอด ดันให้คนตรงหน้าเอนไปพิงกับพนักโซฟาแทน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายรุกรานด้วยการแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของออสตินอย่างเร่งรีบ

มือสอดเข้าไปลูบไล้แผงอกแกร่ง สัมผัสนุ่มนวลของไรขนอ่อนๆ นั้นกระตุ้นให้เด็กหนุ่มหลงลืมไปหมดสิ้นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ในเวลานี้คิดเพียงแต่จะทำให้ความปรารถนาของตนเองถึงที่สุดเท่านั้น จะมีก็แต่ออสตินที่เริ่มได้สติเมื่อเห็นว่าลูกเลี้ยงของเขาปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตักและกลายเป็นฝ่ายจู่โจมเขาแทน

“กานต์...”

ริมฝีปากถอนจูบออกมาเปล่งเสียงร้องเรียก หากแต่ไม่ได้ทำให้กานต์หยุดได้เลย

“กานต์ หยุด...”

หยุดไม่ได้...

หยุดไม่ได้อีกแล้ว...

กานต์พยายามจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบอีก แต่แล้วก็ต้องถูกจับตรึงไว้แน่นเมื่อออสตินรู้สึกตัวว่าไม่ควรปล่อยให้เรื่องเลยเถิดไปมากกว่านี้

“พอได้แล้วกานต์”

กานต์ชะงัก สติพอจะกลับคืนมาในตอนนี้ หากแต่ก็ไม่วายส่งสายตาหวานเชื่อมเว้าวอนไปให้ ออสตินก็อยากจะสานต่ออยู่หรอก แต่เขาต้องอดทนไว้

“สอนภาคปฏิบัติคงต้องพอเท่านี้ ขึ้นห้องไปได้แล้ว”

ออกปากไล่เสียเลย ขืนเห็นเด็กหนุ่มอยู่ใกล้ๆ เขาคงทนไม่ไหว ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้แน่นอน

กานต์เม้มริมฝีปากแน่น เขารู้ตัวว่าพลาดพลั้งไปแล้วที่ทำแบบนั้น ในใจสับสนอลหม่านไปหมด ทั้งหวาดหวั่น ทั้งตื่นเต้น ทั้งมีความสุข ประดังประเดจนเขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกไหนมันมากกว่ากัน

ดี...ขึ้นห้องก็ดี อย่างน้อยเขาก็ได้สงบอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเอง

กานต์รีบทิ้งตัวลงมายืนบนพื้น ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไป เสียงประตูห้องที่ปิดดังโครมมาให้ได้ยินทำเอาออสตินที่นั่งอยู่ที่เดิมถอนหายใจ สายตามองไปยังอุปกรณ์ที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาเก็ต

สอนให้กานต์รู้สึกมีเซ็กซ์อย่างปลอดภัยงั้นเหรอ?

แต่บทเรียนนี้มันช่างไม่ปลอดภัยสำหรับเขาทั้งสองคนเอาเสียเลย...

-------------------------------------

มาเดือดเอาช่วงท้ายๆ แด๊ดดดดดด! 555

เริ่มเข้ากลางเรื่องแล้วค่ะ ตอนต่อๆ ไปจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วล่ะ

เข้มข้นขึ้นแบบไหนนั้น... รออ่านกันนะคะ //ยิ้มหื่น



หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 12: Jealous[28-2-18]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 01-03-2018 22:07:04
เจฟเฉยๆก็เลยเป็นตัวกระตุ้นแด๊ดดี้ชั้นดีเลย

ดีเลย เพราะเราหมั่นไส้แด๊ดดี้ เอาให้อกแตกตายไปเลย!! กร๊ากกกก
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 01-03-2018 22:36:01
ทำไมค้างงงงงงง  :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ous_p ที่ 01-03-2018 22:42:13
งุ้ยสอนเซ็กส์ปลอดภัยซะเกือบเคลิ้ม
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 01-03-2018 22:47:38
รอวันแด๊ดดี้ศีลขาดนะคะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-03-2018 02:06:33
กานต์ โดนล่อลวงแบบนี้จะตกหลุมที่ล่อตอนไหนเนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-03-2018 07:34:25
แด๊ดดดดดดดดดดดดด
จะรอดไหมคะแด๊ด 555
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-03-2018 09:49:29
แด๊ดค่ะ อีกนิดก็ไอคุกๆๆ แล้วนะคะ ต้องตั้งสติดีๆ นะคะแด๊ด
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 02-03-2018 10:28:23
ไม่รู้ว่าน้องกานต์หรือแด้ดดี้หื่นกว่ากันนะงานนี้
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 02-03-2018 12:32:24
แด๊ดดี้ร้ายกาจมากกก :hao6:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-03-2018 14:26:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-03-2018 14:36:37
เราสัญญาว่าเราจะไม่บอกตำรวจค่ะ แอร้ยยยยยย
น้องกานต์วันหลังฉีดอีกนะคะน้ำหอมได้ผลมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 02-03-2018 17:16:47
เข้มข้นแบบไหนนนนนน
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 07-03-2018 23:37:34
มาต่อเถอะนะ กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 08-03-2018 10:13:08
ทำไมเพิ่งมาอ่านนะะะะะะะะะะะ
บ้าบออออออออ
นิยายที่ศีลธรรมมันค้ำคอร์บับเน้
มันคือทางเราจริงๆ ค่ะ!!!!!!

ปกติอ่านแนวนี้ทีไรจะดราม่าเสียจนน้ำตาแตก
แต่นี่มันเป็นนิยายฟีลกื้ดแอนฮีลลิ่งมั้กๆ
เลิ้บบบบบบบ

รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 08-03-2018 20:10:37
รอๆๆๆๆ เมื่อไรจะมาค่ะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 13: Safe sex[1-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-03-2018 21:59:27
Chapter 14: Kiss me, please

 เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันรบกวนจิตใจของเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก เขาไม่สามารถจะแสร้งทำตัวเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างที่ออสตินทำ ต่อให้มันจะผ่านมาหลายวันและออสตินจะไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยก็ตามที แต่ในหัวของกานต์กลับมีภาพนั้นฉายซ้ำไม่จบสิ้น

อีกฝ่ายจูบเขา...

ออสตินจูบเขา...

ภาพความทรงจำในวันนั้นฉายซ้ำวนไปวนมา กานต์อึดอัดกับการเผชิญหน้าออสตินโดยที่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เหลือเกิน ยิ่งอีกฝ่ายทำทุกอย่างตามปกติ เขาก็ยิ่งอึดอัด

ให้ตายเถอะ! จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไร!

กานต์คว้าหมอนมาปิดใบหน้า ส่งเสียงร้องโวยวายอัดใส่เป็นการระบายอารมณ์ เมื่อครู่นี้ก็เพิ่งเจอหน้ากับออสตินที่ชั้นล่างมา วันนี้อีกฝ่ายก็ยังวางท่าทางปกติ ไม่พูดถึงเรื่องจูบในวันนั้นสักนิด

เขาจะทนไม่ไหวแล้วนะ!

ไม่ใช่ว่าจะทนไม่ไหว เขาทนไม่ไหวแล้วต่างหาก

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหมอน ตั้งใจมั่นว่าไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็ต้องคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง!

คิดได้ดังนั้นก็รีบก้าวออกจากห้อง ลงมายังชั้นล่างก็เห็นออสตินกำลังนั่งพับแขนเสื้ออยู่ที่โซฟา กานต์ยืนมองชายหนุ่มอยู่ที่บันไดนิ่ง ในใจหวั่นเล็กน้อยที่จะต้องพูดเรื่องนั้นออกไป จึงใช้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจในการพูดอยู่นานพอสมควร

นาน...จนทำให้ออสตินต้องเหลือบมามอง

“มีอะไรกานต์”

เป็นออสตินที่ออกปากเสียอย่างนั้น ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องมาทำให้กานต์ต้องกลืนน้ำลายเอื้อก แต่ก็ยังไม่พูดอยู่ดี

“ถ้าไม่พูด ฉันจะเข้าครัวละนะ”

ไม่พูดเปล่า ออสตินยังผุดลุกขึ้นจากโซฟา ทำให้กานต์ต้องรีบโพล่งออกมาทันใด

“พูดครับพูด” จากนั้นก็รีบก้าวเร็วๆ ลงมายืนข้างล่าง ตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าออสติน “คือ...ผม...”

“คืออะไร”

ท่าทางอึกๆ อักๆ นั่นทำให้ออสตินต้องเค้นถาม กานต์หลุบสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย ก่อนที่ปากจะเอ่ยออกมา

“ผมอยากคุยเรื่องวันนั้น”

วันนั้นคือวันไหน ออสตินรู้อยู่แก่ใจ เขารู้อยู่แล้วด้วยซ้ำว่าสักวัน เด็กหนุ่มตรงหน้าจะต้องมาพูดเรื่องนี้ ทว่าเขากลับ...

“เรื่องวันไหน”

...แสร้งทำเป็นไม่รู้

กานต์เบือนสายตามามองทันควัน “เรื่องวันนั้นไงครับ”

“ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร”

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก กะไว้อยู่แล้วเชียวว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาจะพูดตรงๆ แล้วกัน

“เรื่องที่เราจูบกันวันที่แด๊ดดี้สอนผมเรื่องเซฟเซ็กซ์ จำได้หรือยังครับ”

ออสตินดูนิ่งเฉย แต่แววตาของเขากระตุกวูบไปแวบหนึ่งด้วยไม่คิดว่าเด็กอย่างกานต์จะกล้าพูดออกมาตรงๆ ทว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะหายไปโดยที่คนตรงหน้าเขาไม่ทันได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย

“ฉันจำไม่ได้ เธอก็ควรจะลืมมันไปได้แล้ว คิดซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ฉันจะเข้าครัว จะได้กินมื้อเย็นกัน”

พูดจบก็ผุดลุกจากโซฟา เดินผ่านร่างเด็กหนุ่มไป ทำเอากานต์กำมือแน่น กรุ่นโกรธอยู่ในอกที่ถูกเมินเฉยใส่แบบนี้

อะไรไม่ว่า...ให้เขาลืมมันไป ให้คิดว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ?

ตัวเองเป็นคนเริ่มแท้ๆ อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องได้ไหม ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องรับผิดชอบที่ทำให้กานต์ว้าวุ่นใจอยู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาอย่างนี้!

“อย่าเดินหนีผมได้ไหม ยังไงเราก็ต้องคุยกันนะ แด๊ดดี้จะมาจูบผมแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อระหว่างเรามันมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น! เราจูบกัน!”

กานต์โวยวาย ไม่ยอมเชื่อฟังอย่างเคย เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เด็กหนุ่มเสียงดังใส่ผู้มีอุปการคุณ ทำเอาออสตินที่กำลังจะเดินเข้าครัวหันขวับกลับมามองสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายทันที

“งั้นก็ว่ามา อยากจะคุยอะไร”

แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอก ปรายตามองเด็กหนุ่มนิ่งจนคนที่ตั้งใจจะพูดต้องกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกด้วยความหวาดหวั่น ทุกครั้งที่ถูกออสตินมองด้วยสายตาแบบนี้ อะไรที่ตั้งใจจะพูดจะทำก็เป็นอันต้องมลายหายไปทุกที

แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไร กานต์ก็จะต้องพูด!

“เรื่องที่เราจูบกันวันนั้น แด๊ดดี้จะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เหรอครับ”

กานต์ผ่อนเสียงลงมาแล้ว และการถูกถามตรงๆ ก็ทำให้ออสตินสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“ใช่”

เขาก็ไม่ได้อยากทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่มันต้องเป็นอย่างนั้น ระหว่างเขากับเด็กหนุ่มตรงหน้ามันไม่สามารถเกินเลยอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว แค่การพลั้งเผลอไปเป็นครั้งที่สองก็ทำให้เขาคิดโน่นคิดนี่มากมายจนปวดหัวมาถึงวันนี้แล้วล่ะ

หากแต่คำตอบของออสตินกลับไม่เข้าหูกานต์เลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มชักสีหน้า โวยวายออกมาน้อยๆ

“ทั้งๆ ที่แด๊ดดี้เป็นคนจูบผมน่ะนะ เป็นคนเริ่มก่อนด้วย”

เรื่องนั้นก็จริง ออสตินรู้สึกราวกับถูกพูดแทงใจดำอยู่ไม่น้อย แต่ก็ตอบรับไปอีกครั้ง

“ใช่”

กานต์ไม่เคยหงุดหงิดกับท่าทางเฉยเมยของพ่อเลี้ยงตนมาก่อนเลย เขาหัวเสียมากกว่าเดิมแล้ว จนเผลอกัดริมฝีปาก กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

ทำไมออสตินจะต้องทำอย่างนี้กับเขาด้วย!

ความกรุ่นโกรธพร่างพรายไปทั่วร่าง ลมหายใจหอบหนักขึ้นมาน้อยๆ ราวกับกำลังจะระงับอารมณ์ หลังจากที่ถูกจูบในวันนั้น กานต์ก็เอาแต่คิดครุ่นเรื่องความสัมพันธ์และความรู้สึกระหว่างเขากับออสตินแทบจะตลอดเวลา จะมีก็แต่ออสตินเท่านั้นที่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งได้ยินสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ เขาก็ยิ่งโกรธ

ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรบ้างเลยว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะให้เขาทำตัวเป็นปกติได้ ออสตินเองก็รู้ว่ากานต์คิดอย่างไรกับตน มาจูบเขาแล้วจะให้ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ! นี่มันแกล้งกันชัดๆ!

ถ้าจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจะจูบเขาทำไมตั้งแต่แรก!

“แด๊ดดี้ไม่คิด แต่ผมคิด!”

เสียงของเด็กหนุ่มที่โพล่งออกมาในคราวนี้ดังกว่าปกติ เรียกรอยย่นที่ระหว่างคิ้วให้กับออสตินเป็นอย่างดี

“คิดอะไร”

“ยังจะต้องถามอีกเหรอครับ”

ออสตินไม่ตอบ เขารู้แต่ทำเพียงยืนมองกานต์สูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง ก่อนจะว่า

“ผมคิดอะไร แด๊ดดี้ก็น่าจะรู้ แล้วก็คงจะรู้ด้วยว่าผมมองแด๊ดดี้ยังไง ผมเป็นเกย์ ผมชอบผู้ชาย แล้วผู้ชายคนที่ผมชอบในตอนนี้ก็คือแด๊ดดี้ แด๊ดดี้รู้ใช่ไหม”

“ฉันไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร” ออสตินยังคงแกล้งเฉไฉ

“ให้ตาย! เข้าใจสถานการณ์หน่อยสิครับ”

แต่กานต์ไม่ยอมอีกแล้ว เขาทนอยู่กับสถานการณ์นี้ไม่ไหวอีกต่อไป ทุกวันต้องคิดถึงรสจูบนั้น ทุกคืนต้องโหยหาไออุ่นจากผู้ชายคนนี้ มันทำให้เขาทรมานเจียนจะขาดใจตายอยู่แล้ว

เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!

เด็กหนุ่มที่ไม่เคยดื้อรั้นเลยสักครั้ง ทว่าตอนนี้กลับกำลังขึ้นเสียงใส่เขาอยู่ ทำให้ออสตินเลิกที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อีกอย่าง ถึงคนตรงหน้าจะยังเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะหลอกอะไรง่ายๆ เขาจึงยอมที่จะตามเกมของอีกฝ่าย

“ถ้าฉันเข้าใจ แล้วเธออยากจะพูดอะไร”

ในที่สุดก็เข้าเรื่อง เท่านั้นกานต์ก็รีบว่าเร็วๆ ทันที

“ผมอยากจะรู้ว่าทำไมแด๊ดดี้ถึงจูบผม”

ทำไมน่ะเหรอ? นั่นสิ... ออสตินคิดครุ่นไปครู่ ก่อนจะได้คำตอบให้กับตัวเองว่านั่นก็เพราะ...เขารอคอยอีกฝ่ายมานานแล้ว

รอที่จะเจอ...

รอที่จะได้เห็นรอยยิ้ม...

รอที่จะได้ฟังเสียงหัวเราะ...

และตอนนี้ก็รอ...ที่จะได้สัมผัส

หากแต่ไม่พูดออกไป ทำให้กานต์ต้องถามออกมาอีก

“ว่าไงล่ะครับ จูบผมทำไม”

ถามไปก็ใจเต้นไป ขณะที่ออสตินไม่คิดที่จะเอ่ยปากบอกเรื่องที่อยู่ในใจตัวเอง

“รู้แล้วได้ประโยชน์อะไรไหม”

สุดท้ายก็ถามกลับ กานต์ชักสีหน้าทันที ก่อนจะพยักหน้ารับ

“ได้สิครับ ได้แน่”

“ประโยชน์อะไร”

“เพราะผมจะได้รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้จูบกับแด๊ดดี้อีกไหม”

พอพูดออกไปตรงๆ อย่างนี้ ออสตินก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีต่อเขาได้อย่างชัดเจน ที่เคยคิดว่าการที่กานต์รู้สึกกับเขาเกินเลยเป็นเรื่องของความอยากรู้อยากลอง ตอนนี้ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่ เพราะทั้งคำพูด สีหน้า และแววตาที่กานต์เผยออกมา มันชัดเจนมากทีเดียวว่าต้องการเขาแค่ไหน

“ขอร้องล่ะครับแด๊ดดี้ ตอบผมหน่อย”

เห็นออสตินไม่พูดสักที น้ำเสียงอ้อนวอนก็หลุดออกจากปาก ออสตินลำบากใจที่จะตอบไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ เขาอยากทำจะแย่ แต่ว่า...

"แต่ฉันเป็นพ่อของเธอ เราทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ เลิกคิดเรื่องนี้ซะ"

พอพูดไปอย่างนั้น ความเงียบก็เข้าครอบงำทั้งคู่ เด็กหนุ่มเหลือบมอง หัวเราะในลำคอขึ้นมาราวกับเดาได้ว่าออสตินจะต้องพูดอย่างนี้

"ก็แค่พ่อเลี้ยงหรือเปล่า ไม่ได้เลี้ยงผมมาด้วยซ้ำ เพิ่งจะรู้จักตอนที่แม่ตายแล้ว"

"อย่างน้อยฉันก็ถือว่าเป็นผู้ปกครอง"

"ผมอยากให้แด๊ดดี้จูบผมนี่ครับ"

“เธอกลายเป็นเด็กดื้ออย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ออสตินไม่ชอบเลยที่กานต์มาต่อล้อต่อเถียงแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นความผิดของเขาเองนั่นแหละที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ในวันนั้น พอเห็นว่ากานต์เงียบไปแล้วพร้อมกับสีหน้าสลด เขาก็ถอนหายใจออกมา

“โอเคกานต์ บอกฉันว่าเธอต้องการอะไร”

“ผมอยากให้แด๊ดดี้จูบผม” กานต์ว่าเสียงแผ่ว แต่เป็นความต้องการจากใจจริง

ออสตินขบกรามแน่น เห็นดวงตาเว้าวอนคู่นั้นแล้วก็ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ

อยากให้เขาจูบอย่างนั้นเหรอ?

แล้วคิดหรือไงว่าเขาไม่อยากครอบครองริมฝีปากสีเชอร์รี่นั่น?

แต่ที่ทำไม่ได้เป็นเพราะอะไร ทั้งเขาและกานต์ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ...

“ฉันเป็นพ่อเลี้ยงของเธอ เธอเป็นลูกเลี้ยง เป็นลูกของภรรยาที่ล่วงลับของฉัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังจำได้ใช่ไหม”

พอพูดย้ำออกมาอย่างนี้ กานต์ที่รอคอยคำตอบอยู่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้ที่มาคาดคั้นเอาคำตอบจากอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้ารับพลางตอบเสียงแผ่ว

“ครับ จำได้ แต่ว่า...”

“แต่อะไร”

“ผมไม่ได้รู้สึกว่าแด๊ดดี้เป็นครอบครัวเดียวกับผมนี่ครับ”

ออสตินพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงอย่างไม่ปกปิด

พระเจ้า! พระเจ้า! พระเจ้า!

เขาพยายามแทบตายที่จะมองเด็กคนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันกับเขา พยายามบอกตัวเองว่าอย่าได้ทำอะไรพลาดพลั้ง แต่พออีกฝ่ายพูดมาอย่างนี้ ทุกอย่างที่เขาตั้งใจไว้ก็พังทลายลงไม่เป็นท่า

ก็อย่างว่า...เขาเคยเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขาที่ไหนกันล่ะ!

“เธอรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”

กานต์พยักหน้า เขามั่นใจว่ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกครั้งที่พูดแต่ละประโยคออกไป

“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดอย่างนี้”

กานต์พยักหน้าอีก แต่ในใจกลับหวั่นขึ้นมาน้อยๆ กับสายตาของออสตินที่จับจ้องมาอย่างดุดัน

“รู้ใช่ไหมว่าสถานะทางสังคมเราเป็นยังไง รู้ใช่ไหมว่ามันผิด”

ยิ่งถูกถาม กานต์ก็ยิ่งใจเสีย จนเขาต้องเป็นฝ่ายปริปาก

“แด๊ดดี้จะไล่ผมกลับไทยหรือเปล่าครับ”

น้ำเสียงนั้นฟังแล้วช่างน่าสงสาร ในขณะเดียวกันก็ฟังดูน่าขบขันกับความโง่เขลาของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะมาสำนึกในการกระทำของตัวเองในตอนนี้ หากแต่ออสตินเก็บทุกความรู้สึกนั้นไว้ในใจ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้จนกานต์ต้องถอยหลังหนี จนกระทั่งแผ่นหลังถอยไปชนกับกำแพงซึ่งอยู่แถวนั้น

ตอนนี้ออสตินอยู่ห่างเพียงแค่ช่วงแขนเท่านั้น กานต์เพิ่งจะสำนึกในตอนนี้เองว่าร่างกายของออสตินสูงใหญ่กว่าเขาอยู่โข ถึงเขาจะสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร แต่พอเทียบกับออสตินแล้ว เขาสูงแค่ปลายคางของคนตรงหน้าเท่านั้น

ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะนึกถึง ตอนนี้กานต์รู้เพียงแต่ว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัว ตื่นเต้น หรืออะไรกันแน่ ที่รู้ๆ คือมันทำให้เขาปั่นป่วนในช่องท้องไปหมด

“ฉันไม่ไล่เธอกลับไทยหรอก” ออสตินตอบออกมาหลังจากเงียบไปครู่ “แต่ฉันจะถามอะไรเธอสักอย่าง ขอให้เธอตอบออกมาให้ชัดเจน เข้าใจไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก เขาไม่ตอบได้ด้วยเหรอ? พลันสูดหายใจเข้าเต็มปอด รอให้ออสตินถาม

“เมื่อกี้เธอพูดว่าอยากให้ฉันทำอะไร”

ถามออกมาแล้ว... กานต์ค่อยๆ เปิดปากว่าเสียงแผ่ว

“ผม...อยากให้แด๊ดดี้จูบครับ”

“อยากให้ฉันจูบ...แสดงว่าเธอไม่สนใจว่าฉันจะเป็นพ่อเลี้ยงของเธอใช่ไหม”

คราวนี้ไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด กานต์พยักหน้ารับแทน

“ในสายตาของเธอ เธอไม่ได้มองว่าฉันเป็นพ่อเลี้ยงเลยใช่ไหม”

สำหรับคำถามนี้ กานต์นิ่งไปครู่ เหลือบมองหน้าคนตรงหน้าแล้วก็พยักหน้ารับช้าๆ

ออสตินไม่พูดอะไร มีเพียงรอยย่นระหว่างคิ้วที่ปรากฏให้เห็น กานต์เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจ จึงรีบเอ่ยปาก

“ผมขอโทษครับ”

แล้วก็ก้มหน้างุด รู้สึกแย่กับตัวเองไม่น้อยที่เอาแต่ใจ ไม่คิดถึงความเหมาะสมหรือถูกผิด จนทำให้ออสตินต้องลำบากใจ

ออสตินเอื้อมมือไปเชยปลายคางของอีกฝ่ายขึ้นให้สบตา เขาพอจะรู้ว่ากานต์รู้สึกอย่างไร แต่ในเมื่อเป็นคนพูดออกมาเองอย่างนั้น เขาก็จะถือว่าไม่ใช่เขาที่เริ่ม

"เธอไม่เห็นฉันเป็นพ่อเลี้ยง”

“...”

“ไม่เคยเห็นฉันเป็นพ่อเลี้ยงเลย”

“ผม...”

“แล้วอย่ามาเสียใจทีหลัง”

ทั้งๆ ที่กานต์พยายามจะหาข้อแก้ตัวแท้ๆ แต่ออสตินก็ไม่เปิดโอกาสให้พูด โพล่งแทรกขึ้นมาอย่างเดียวไม่พอ ยังถลาเข้ามาหา ประกบริมฝีปากลงไปบนเรียวปากนุ่ม เข้าครอบครองอย่างกระหาย

กานต์ออกจะตกใจอยู่ไม่น้อย ดวงตาเบิกโพลงมองใบหน้าคร้ามคมที่อยู่ใกล้เพียงปลายจมูก มือทั้งสองยกขึ้นผลักไสตามสัญชาตญาณ หากแต่กลับถูกออสตินจับข้อมือทั้งสองข้างไว้มั่น ก่อนจะขึงพืดไปบนกำแพงขณะที่ริมฝีปากยังบดจูบไม่หยุด

เสี้ยววินาทีนี้เองที่กานต์เริ่มตั้งสติได้แล้ว เขาไม่ขัดขืนอีกต่อไป เผยอริมฝีปากตอบรับรสจูบนั้นอย่างโหยหา ปล่อยให้ออสตินได้แทรกปลายลิ้นเข้ามาด้านใน เกี่ยวกระหวัดราวกับจะผสานเป็นหนึ่งเดียว

ออสตินคลายข้อมือทั้งสองข้างของกานต์ออก เลื่อนมาคว้าเอวสอบของคนตรงหน้าแทน ก่อนที่จะดึงเข้าหาตัว กระบดเบียดแนบชิดจนกานต์สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของคนตรงหน้าผ่านเนื้อผ้า จากนั้นก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ร่างของตนเองก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น

ออสตินดึงเขาไปที่โต๊ะอาหาร อุ้มขึ้นไปนั่งแล้วจูบบดเบียดไม่หยุดหย่อน มือของเขากวาดเอาข้าวของที่เกะกะอยู่แถวนั้นลงพื้น เสียงขวดพริกไทยและเกลือแตกดังมาให้ได้ยิน หากแต่ไม่มีใครสนใจที่จะไปเก็บกวาด นอกจากจะจดจ่อกับการจูบหนักหน่วงนี้เท่านั้น

ออสตินถอนริมฝีปากออกมา สายตาดูจะพึงใจที่เห็นเรียวปากนุ่มของกานต์บวมแดงขึ้นมาน้อยๆ จากการรุกรานของเขา ก่อนที่จะประทับจูบลงไปบนซอกคอหอมกรุ่น กานต์เงยหน้าขึ้นตอบรับสัมผัสนั้น แต่เพียงครู่เดียว ริมฝีปากของกานต์ก็ถูกครอบครองอีกครั้ง

กานต์พอใจมาก... มือเอื้อมไปแกะกระดุมเสื้อของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างร้อนรน พลันสอดฝ่ามือเข้าไปลูบไล้แผ่นอกแกร่งด้วยความปรารถนา

ยิ่งจูบ...ยิ่งลึกซึ้ง...

ยิ่งจูบ...ยิ่งได้สัมผัส...

ยิ่งจูบ...ความปรารถนาในกายของเด็กหนุ่มก็ยิ่งพุ่งทะยานจนถึงขีดสุด...

เขาไม่ต้องการแค่จูบแล้ว เขาอยากได้มากกว่านี้

อยากให้ออสตินสัมผัส...

ทำอะไรก็ได้ ทำตามที่ใจปรารถนาได้เลย เขายอมหมดทุกอย่างแล้ว...

หากแต่ความหวังนั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อออสตินถอนริมฝีปากออกมาในที่สุด เขาจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูจะยั่วยวนให้เขาทำต่อครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะลงไปเบาๆ บนริมฝีปากที่ขึ้นสีแดงกว่าปกติ พลางว่าเสียงเบา

“วันนี้พอแค่นี้”

ดั่งเป็นคำเตือนให้เด็กหนุ่มหยุดคิดที่จะให้เขาทำอะไรเกินกว่านั้น กานต์เม้มริมฝีปาก หัวคิ้วย่นยู่อย่างขัดใจ

“พอกานต์ แค่จูบ เธอขอฉันแค่จูบ”

ออสตินว่าเหมือนกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร กานต์ถึงได้ยอมจำนน

“ครับ” แต่ก็ใช่ว่าจะยอมจำนนง่ายๆ ถามขึ้นมาอีก “ถ้าวันหลัง ผมไม่ได้ขอแด๊ดดี้แค่จูบ...”

ถามไม่จบ ไม่กล้าพูดต่อ แต่ออสตินเข้าใจชัดเจนว่าหมายถึงอะไร

“แค่จูบ”

เขาย้ำไป กานต์เลยถอนหายใจออกมา ท่าทางนั้นทำให้ออสตินเอ็นดูอยู่ไม่น้อยจนต้องวางมือลงบนกระหม่อมแล้วออกแรงยีเบาๆ

“แต่จะให้จูบทุกวัน โอเคไหม”

คนฟังถึงกับเบิกตาโต “ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมครับ?”

“ใช่” ออสตินหัวเราะในลำคอ แต่กานต์ก็ยังไม่เข้าใจสักเท่าไรนักว่าทำไมออสตินถึงยอมง่ายๆ

“แต่แด๊ดดี้บอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมเป็นลูกเลี้ยง ส่วนแด๊ดดี้เป็น...”

“ในเมื่อเธอไม่ได้มองว่าฉันเป็นพ่อเลี้ยง แล้วฉันจะบังคับเธอทำไม เพราะจริงๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่ได้มองว่าเธอเป็นลูกเลี้ยงเหมือนกัน”

ออสตินว่าสวน กานต์พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยอมจูบเขา แม้ว่าจะไม่เข้าใจลึกซึ้งสักเท่าไรก็ตามว่าจริงๆ แล้ว ออสตินคิดอะไรอยู่

“แต่เรื่องนี้จะต้องเก็บเป็นความลับ ยังไงเราก็ต้องรักษาสถานะทางสังคม ฉันไม่ได้เป็นพ่อเลี้ยงในสายตาเธอแล้วก็จริง แต่คนนอกยังเห็นเป็นอย่างนั้น ยังไงฉันก็เป็นผู้ปกครอง เธอเองก็ยังเป็นเยาวชน ถึงจะไม่อยากให้ฉันเป็นพ่อเลี้ยงแต่เธอก็ต้องทำ เพื่อตัวเธอเอง เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”

เข้าใจสิ กานต์เข้าใจดีเลย ถึงในตอนนี้เขากับออสตินจะไม่ได้มองกันในฐานะพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงแล้ว แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงสายตาของคนอื่นไม่ได้ ถ้าเขาแสดงออกว่าไม่ได้มองออสตินแค่พ่อเลี้ยง มีหวังออสตินได้เดือดร้อนแน่

เอาเถอะ แค่นี้ก็ถือว่าดีสำหรับกานต์มากแล้ว ไว้เขาบรรลุนิติภาวะเมื่อไร คงทำอะไรได้มากกว่าที่ต้องการตอนนี้

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงจะต้องเรียกว่าแด๊ดดี้เหมือนเดิม เรียกคุณสเวนหรือออสตินก็ไม่ได้?”

ออสตินยิ้มรับ “อืม”

“เรียกออสตินเฉยๆ ไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้”

“ถ้าผมอยากเรียกล่ะ”

“เอาไว้เธอบรรลุนิติภาวะก่อน”

“ทำไมล่ะครับ”

“กานต์...อย่าเซ้าซี้”

ถามเยอะๆ เข้าก็ถูกดุจนได้ กานต์เม้มริมฝีปากด้วยความเสียดาย เขาอยากเรียกแบบสนิทสนมว่าออสตินมากกว่า แต่...อันที่จริงเรียกแด๊ดดี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

“ฉันว่าฉันเก็บกวาดพื้นก่อนดีกว่า เกลือหกเต็มพื้นเลย”

เห็นว่ากานต์ไม่พูดอะไรอีก ออสตินก็ว่าขึ้น พลางเหลือบมองผลงานของตัวเองที่ระเนระนาดอยู่บนพื้น แต่พอเขากำลังจะผละออกไป กานต์ก็คว้าแขนเขาไว้ พอหันกลับมาก็เห็นสายตาเว้าวอนเข้าอย่างจัง

“ผม...ขอจูบอีกรอบได้ไหมครับ”

ครั้งเดียวไม่พอแน่ๆ สำหรับเด็กวัยรุ่นที่อยากรู้อยากเห็นในเรื่องเพศอย่างนี้ ออสตินคิดว่าตัวเองควรจะปฏิเสธ การจูบนี่อนุญาตให้ทำได้เพียงวันละครั้งก็พอ แต่วันนี้เป็นวันแรก ถ้าอย่างนั้น...

“ได้สิ”

...จะยอมอะลุ่มอล่วยให้

ดวงหน้าอ่อนเยาว์ถูกประคองไว้ในมือหนา ริมฝีปากของออสตินประทับลงมาบนเรียวปากของกานต์อีกครั้ง ละเลียดไล่ปลายลิ้นไปเกาะเกี่ยวปลายลิ้นของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล จุมพิตในครั้งนี้ช่างอ่อนหวาน ต่างจากจูบครั้งก่อนหน้า

เชื่องช้า...เนิบนาบ...

ราวกับหลอกล่อให้ทั้งคู่ได้หลงละเมอเคลิบเคลิ้มไปกับความหอมหวานของกันและกันจนกระทั่งดำดิ่งลึกสู่หุบเหวของบาปแห่งความราคะ

แต่...ต่อให้ถูกไฟอเวจีแผดเผาจนไม่เหลือซาก ทั้งสองก็คงจะไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากดื่มด่ำกับความปรารถนาในตัวของกันและกันอย่างนี้ ขณะที่ออสตินอดคิดไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้น ช่างเป็นความผิดพลาดที่ถอยหลังกลับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...

-------------------------------

กลับมาแล้วค่ะ ช่วงนี้จะอัปช้านิดนึงนะ ไม่ได้ป่วยไม่ได้อะไร แต่ติดปิดต้นฉบับเรื่องอื่นๆ ให้ทันงานหนังสือค่ะ ฮืออออ รอกันก่อนนะ หลังวันที่ 15 คงจะได้กลับมาอัปถี่ๆ เหมือนเดิมค่ะ

ฝากฟีดแบ็กล่วยจ้า

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 11-03-2018 22:44:21
ต๊ายตายยย น้องกานต์นี่โลภจังเลยนะคะ ขอแด๊ดจูบเอาๆ หวั่นใจว่าจะโดนแด๊ดเขมือบน้องตอนไหนก็ไม่รู้ :hao7:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 11-03-2018 22:53:21
แซ่บบยบยบบบบ
ได้จูบมาแล้ว :mew1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-03-2018 22:58:22
อ้าว.... ไงหนูกานต์ทำงั้นล่ะ รุกซะแด๊ดเกือบตามไม่ทัน  :o8:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 12-03-2018 00:51:48
แด๊ดดี้ แซ่บมากค่ะ พอได้จูบแล้ว ไม่หยุดเลย ฮืออ เขินแทนน้องง  :-[
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 12-03-2018 06:50:57
แด๊ดดี้เสร็จแน่ หุหุ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 12-03-2018 15:29:18
ดีต่อใจมากอ่ะบอกเลย  o13
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-03-2018 23:16:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 14: Kiss me, Please[11-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 13-03-2018 01:11:25
Chapter 15: More and more

เสียงหายใจกระหืดหอบน้อยๆ ดังลอดจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มมาให้ได้ยินหลังจากที่ริมฝีปากบางสีสวยนั่นถูกกลืนกินด้วยชายหนุ่มอีกคนมาครู่หนึ่ง

ออสตินถือว่าเสียงนั้นเป็นเสียงโปรดของเขารองมาจากเสียงดนตรีคลาสสิกบรรเลงที่ชอบเปิดฟังขณะขับรถ เขาผละริมฝีปากออกมาเล็กน้อย เปิดช่องทางให้กานต์หายใจได้สะดวก เมื่ออีกฝ่ายตักตวงอากาศเข้าปอด เขาก็เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง

“จะต่อไหม”

ไม่ต้องให้กานต์ตอบก็รู้คำตอบชัดเจนดี ดวงตาหวานฉ่ำของเด็กหนุ่มที่มองยังคนถามนั้นกะพริบปริบเล็กน้อย ก่อนน้ำเสียงแหบแห้งจะดังขึ้นแผ่วเบา

“ต่อครับ”

ออสตินยิ้มกริ่ม “แต่เราจูบกันมากว่าสิบนาทีแล้วนะ”

“ให้จูบเป็นชั่วโมงยังได้เลยครับ ถ้าคนที่ผมจูบด้วยคือแด๊ดดี้”

กานต์ตอบอย่างเอาใจ นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ออสตินโปรดปราน ตั้งแต่วันที่เขายอมละทิฐิตนเอง... ไม่สิ ไม่ใช่ ต้องบอกว่าตั้งแต่วันที่เขาตบะแตก ยอมอะลุ่มอล่วยให้กับความปรารถนาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ก็ไม่มีวันใดเลยที่ทั้งสองจะไม่ได้จูบกัน

ยิ่งจูบ...ยิ่งถลำลึก

จากวันละเพียงไม่กี่นาที ก็เริ่มเพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อยๆ

จากวันละครั้ง ก็เริ่มหลายครั้งต่อวัน จะเรียกว่าทุกครั้งที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันหรือมีเวลาว่างก็ได้

กลายเป็นกิจกรรมสุดโปรดของทั้งคู่ไปแล้ว...

แต่...มันก็ยังเป็นแค่จูบ

ถึงรสจูบนั้นมันจะหวานหอมหรือชวนให้ดิ่งลงสู่หุบเหวอเวจีแห่งความราคะมากแค่ไหน ทว่าออสตินก็ไม่ยอมทำอะไรไปมากกว่านั้นนอกจากจูบ การสัมผัสน่ะเหรอ...มีเพียงลูบไล้ใบหน้าและต้นคอของอีกฝ่ายเป็นครั้งคราวเท่านั้น ส่วนอื่นที่ต่ำกว่าคอลงไปไม่เคยแตะต้องเลยแม้แต่น้อย

ซึ่ง...มันขัดใจลูกเลี้ยงของเขาเป็นอย่างยิ่ง!

วันนี้ก็เช่นกันที่กานต์ขัดใจ เขาจูบกับออสตินมากว่าสิบนาทีแล้วอย่างที่อีกฝ่ายว่า จูบเสียจนเพลิงแห่งความกำหนัดของเขาพวยพุ่งไปทั่วสรรพางค์ ร่างกายตอบสนองต่อแรงเสน่หานั้นจนแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน ทว่าออสตินก็ยังทำเฉยจนเขาต้องเป็นฝ่ายชักชวน

“แต่ถ้าแด๊ดดี้ไม่อยากจะจูบแล้ว จะทำอย่างอื่นก็ได้นะครับ”

ถึงประโยคนี้ คนฟังเลิกคิ้วสูง

“ทำอย่างอื่น?”

“ก็แบบว่า...อย่างอื่นที่มากกว่าจูบ”

พูดไปก็หน้าร้อนไป ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่กานต์พูดไปแบบนั้น แต่ในทุกครั้งที่พูด เขาก็ยังเขินอายอยู่ดี เพราะหลังจากพูดแล้ว เขามักถูกดวงตาคู่สวยของออสตินจับจ้องเขม็ง

“ไม่ได้เหรอครับ?”

ไม่ทันที่ออสตินจะได้ตอบแท้ๆ เพียงความเงียบเข้ามาครอบครองครู่เดียว กานต์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามออกมา และคำตอบนั้น...

“อืม ไม่ได้”

...ก็ยังเหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง

เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมา คิดในแง่ดีว่าออสตินยอมอ่อนข้อให้เขามากแล้ว ก่อนหน้านี้แม้แต่จับมือยังแทบไม่ได้จับเลยเถอะถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายแอบไปจับ

เอาเถอะ วันนี้เขายอมแพ้ก็ได้ แต่วันอื่นไม่ยอมหรอก

“แล้วจะเอายังไงต่อ จะจูบต่อหรือจะไปหาอะไรกิน?”

ออสตินถามหลังจากเห็นเด็กหนุ่มนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟาข้างๆ

“จูบต่อสิครับ เรื่องกินไว้ทีหลัง”

เป็นเด็กที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองดี... ออสตินยกยิ้ม ก่อนขยับใบหน้าเข้าไปหาอีกครั้ง

“ถ้างั้นอย่าบ่นว่าหิวให้ฉันได้ยินเชียว”

มือประคองซีกหน้าอ่อนเยาว์ ประทับจูบลงไปบนกลีบปากสีแดงระเรื่ออีกครั้ง

จูบในครั้งนี้ยังคงนุ่มนวล... กานต์เผยอริมฝีปากตอบรับและเปิดทางให้ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายเข้ามารุกรานทางด้านใน ปลายลิ้นของเขาเป็นฝ่ายเกี่ยวกระหวัดดึงรัดให้ออสตินก้าวล่วงเข้ามาตักตวงความหวานจากเขาด้วยซ้ำ

ออสตินจะไม่มีวันปริปากออกมาแม้แต่คำเดียวว่ากานต์แก่แดด เพราะหนึ่ง...วัยรุ่นที่อเมริกาสมัยนี้ใครๆ ก็ทำกัน และสอง...เขาชอบ

...ชอบที่จะเป็นที่ปรารถนาของเด็กหนุ่มคนนี้

ยิ่งได้ลิ้มรสหวานมากเข้า จูบนั้นก็ยิ่งดูดดื่ม มือสากลูบไล้ไปตามแก้วนวลและลำคอ กระนั้นก็ยังไม่ลงต่ำไปกว่านี้ หากแต่เพียงเท่านั้นก็มากพอแล้วที่จะโหมไฟเสน่หาในตัวของเด็กหนุ่มให้ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแห่งความปรารถนา

ความร้อนรุ่มแล่นพล่านไปทั่วกาย กานต์รู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องการอะไร

เขาต้องการออสติน สเวน...

ต้องการผู้ชายตรงหน้า...

ต้องการจนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว...

จากที่นั่งจูบดีๆ สงบเสงี่ยมเรียบร้อยก็เป็นฝ่ายถลาเข้าหา ดุนดันจูบอย่างจาบจ้วง สองมือผลักให้ออสตินนั่งพิงไปกับพนักโซฟา ก่อนที่จะปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของชายหนุ่มไว้

ออสตินไม่ห้ามด้วยเห็นว่าไม่เป็นไร หากแต่เขาก็ต้องคิดผิดเมื่อจู่ๆ กานต์ก็สาละวนกับการปลดเข็มขัดกางเกงของตัวเอง ก่อนจะปลดกระดุมกางเกงยีนออกจนบ็อกซ์เซอร์บางๆ ปรากฏให้เห็นตรงหน้า

“กานต์”

ออสตินจับไหล่อีกฝ่ายแล้วดันออกห่างเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็เรียกชื่อเพื่อดึงสติ กานต์มองใบหน้าคร้ามด้วยสายตาเว้าวอนราวกับรู้ว่ากำลังจะถูกห้ามทำอะไร

“แด๊ดดี้...ผมไม่ไหว”

ไม่ไหวจริงอย่างที่ปากว่า แค่ออสตินหลุบสายตาลงต่ำก็เห็นชัดเจนว่ากึ่งกลางลำตัวของเด็กหนุ่มนั้นเป็นเนินนูนเพียงใด

“แต่เราสัญญากันแล้วว่าแค่จูบ”

ออสตินว่าเสียงเรียบ เมื่อครู่นี้เขาเผลอลอบกลืนน้ำลายก่อนจะพูดประโยคนี้ด้วยซ้ำ หากแต่กานต์กลับไม่ฟัง แสดงอาการดื้อดึงออกมา

“ขอร้องล่ะครับ ครั้งเดียวก็ได้ ขอมากกว่าจูบหน่อย”

ดวงตาสีนิลยามเต็มไปด้วยแรงแห่งความเสน่หาช่างยั่วยวนและฉ่ำหวานเป็นอย่างมาก ออสตินพยายามสบตาคู่นั้นของคนตรงหน้าด้วยความสงบ เขารู้ว่ากานต์ต้องการให้ตอบสนองอารมณ์นี้มากเพียงใด เขาเองก็ต้องการ แต่...ทำไม่ได้

“ฉันจะไม่ทำมากกว่าจูบ ที่เราสัญญากันน่ะจำได้ไหม จริงๆ แล้วเราจูบกันได้แค่วันละครั้งเท่านั้นด้วยซ้ำ ที่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้ ฉันยอมให้เธอเท่าไรแล้ว อย่าดื้อนะกานต์”

ดูท่าจะไม่ฟังก็เลยดุเสียงเข้มน้อยๆ กานต์เม้มริมฝีปากไปครู่ ดูเหมือนจะฟังแต่คำพูดของคนตรงหน้ากลับขัดใจเขา

“แด๊ดดี้ก็น่าจะรู้นี่ครับว่าถ้าผมได้จูบ ผมจะต้องอยากได้มากกว่านี้”

“ใช่ ฉันรู้”

“แล้วแด๊ดดี้จะยอมให้ผมจูบทำไม ในเมื่อรู้อยู่แล้ว ความผิดของแด๊ดดี้นั่นแหละ”

“เดี๋ยวนี้รู้จักเถียงเหรอ”

พอเห็นว่ากานต์เริ่มยอกย้อน ออสตินก็แสร้งว่าเสียงเข้มหากแต่ราบเรียบออกไป และได้ผลฉับพลัน กานต์เม้มริมฝีปากไปอีกระลอก ก่อนจะว่าออกมา

“ขอโทษครับ” แต่ก็ไม่วายเถียงอีก “แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของผมนี่ถ้าผมอยากจะได้มากกว่านี้น่ะ”

ถูกต้องอย่างที่กานต์ว่า... ไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย เป็นความผิดของออสตินคนเดียวที่ทนต่อความต้องการของตัวเองไม่ไหว ยิ่งมีตัวกระตุ้นอย่างกานต์มาออดอ้อนออเซาะให้เห็น ความตั้งใจของเขาที่ว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดีอะไรนั่นก็พังทลายลงมาไม่เป็นท่า

มันยาก...

ยากมากเหลือเกินที่จะควบคุมความต้องการของตัวเองและเก็บไว้ให้มิดชิด ทั้งๆ ที่จริงแล้วเขาอยากจะขยำขยี้ร่างเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มตรงหน้าให้สาแก่ใจ

อยากจะทำให้ครวญครางกระเส่าร้องเรียกแต่ชื่อเขา...

อยากทำให้บิดเร่าทุรนทุรายทุกครั้งที่ถูกเขาสัมผัสไปทุกอณูผิวหนัง...

ช่างเป็นความคิดที่ผิดบาปเหลือเกิน...

“เอาเป็นว่ามากกว่านี้ไม่ได้ เข้าใจนะ”

สุดท้ายแล้ว ออสตินก็ต้องตัดบทเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่คิดถึงการทำอะไรถลำลึก กานต์พยักหน้ารับ ทำท่าเหมือนยอมแพ้

“งั้นผมขอจูบอีกครั้งนะครับ”

ออสตินครางตอบรับ ก่อนที่กานต์จะโน้มใบหน้าเข้ามาจูบเขาอีกครั้ง ขณะที่ออสตินอดคิดไม่ได้เลยว่าการที่ลูกเลี้ยงของเขาเชื่อฟังอย่างนี้ก็ดีแล้ว เพราะถ้ายังดึงดันและดื้อดึงต่อไปล่ะก็ มีหวังเขาได้ถูกด้านมืดในจิตใจตัวเองเข้าครอบครองแน่

ทว่า...หารู้ไม่ว่ามันเป็นแผนการของเจ้าลูกเลี้ยงตัวแสบ เพราะทันทีที่ได้รับอนุญาต กานต์ก็ประกบปากจูบ ก่อนจะเลื่อนมือทั้งสองข้างลงต่ำไปแกะกระดุมกางเกงของออสตินอย่างซุกซน มือเกือบจะสัมผัสส่วนกลางลำตัวของอีกฝ่ายอยู่แล้วเชียว หากแต่ออสตินรู้สึกตัวก่อน รีบคว้ามือทั้งสองข้างนั้นออก ผละริมฝีปากแล้วมองหน้าเจ้าเด็กดื้ออย่างดุๆ

“กานต์ บอกว่าไม่ได้ไง”

กานต์ยู่ปาก เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน

“ครั้งเดียวเองครับ”

“ไม่ได้”

“นิดเดียวก็ได้ แค่ภายนอก” ยังจะมีหน้ามาต่อรองอีก

“นิดเดียวก็ไม่ได้”

ถูกขัดมาอย่างนี้ กานต์ก็นิ่งไปครู่ คิดหาหนทางทันใด

“ให้ผมใช้ปากให้ก็ได้นะครับ”

ถึงตอนนี้ ออสตินก็เบิกตาโต

เล่นอย่างนี้เลยเหรอ?

ในหัวเผลอคิดถึงตอนที่ส่วนกลางของลำตัวเขาถูกเด็กหนุ่มตรงหน้ากลืนกินอย่างกระหายไปแล้วด้วย ก่อนที่ออสตินจะกะพริบตาปริบๆ เพื่อไล่ความคิดบาปช้านั้นแล้วว่าเสียงเขียว

“อย่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องกานต์ ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”

“แด๊ดดี้...ครั้งเดียว”

“ไม่ได้กานต์...”

ออสตินปฏิเสธอีกครั้งจนได้ กานต์สุดจะทนแล้ว เขาอยากถูกสัมผัสจะแย่ ออสตินอยากจะทำอะไรก็จะยินยอมให้ทำโดยไม่มีข้อแม้เลย โดยไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าเขาสุดจะทนมากกว่าอีก

ก็จะให้ออสตินทนอย่างไรได้ไหว ในเมื่อเด็กหนุ่มมานั่งคร่อมตัวเขาแบบนี้ อีกทั้งยังปลดเปลื้องช่วงล่างออกมาให้เห็นเต็มสองตา ส่วนนั้นแข็งขืนบ่งบอกชัดเจนว่าปรารถนาในตัวเขาแค่ไหน มิหนำซ้ำยังมาบอกว่าจะใช้ปากทำรักให้อีก เขาควบคุมตัวเองได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว!

หากแต่เมื่อได้ดื้อครั้งหนึ่งแล้ว กานต์ก็อดที่จะดื้ออีกครั้งไม่ได้ ออกปากต่อรองมาอีก

“แต่ผม...”

“เธออยากให้ฉันติดคุกข้อหาพรากผู้เยาว์หรือไง เธอเพิ่งจะสิบเจ็ด”

คราวนี้กานต์ถึงกับหุบปากฉับ มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง แต่ก็ไม่วายจะพึมพำ

“ผมไม่บอกใครหรอก เชื่อผมสิ”

ถึงตอนนี้ ออสตินแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เผลอหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ความตึงเครียดน้อยๆ ก่อนหน้านั้นมลายหายไปเพราะคำพูดซื่อๆ ของอีกฝ่ายทันที การหัวเราะออกมาในเวลาไม่เหมาะสมนั้นทำเอาเด็กหนุ่มหน้าง้ำ

“ขำอะไรน่ะครับ ไม่มีเรื่องอะไรให้ขำสักหน่อย”

ออสตินไม่พูดอะไร แต่ก็หยุดหัวเราะไม่ได้

“ให้ตาย ทำอะไรสักอย่างเถอะ อย่ามัวแต่หัวเราะผมได้ไหม ไม่งั้นผมจะช่วยตัวเองตรงหน้าแด๊ดดี้แล้วนะ”

กานต์ว่าประชดเมื่อเห็นว่าออสตินไม่ยอมทำอะไรเขาสักที แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมา

“ก็เอาสิ”

“หา?”

“ที่บอกว่าจะช่วยตัวเองตรงหน้าฉันน่ะ ก็เอาสิ”

“อะ...เอาจริงเหรอครับ?”

“อืม ทำสิ”

ตอนนี้หน้าถึงกับร้อนเห่อเลยทีเดียว ยิ่งเห็นสายตาที่ออสตินจับจ้องมานิ่งๆ กานต์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่นแน่

“งะ...งั้นเดี๋ยวผมนั่งตรงนี้”

กานต์รู้ว่าเลี่ยงไม่ได้แน่ เลยค่อยๆ ถอยลงจากตัวของออสตินไปนั่งข้างๆ หากแต่ไม่ทันจะได้ลง เอวเขาก็ถูกออสตินจับไว้มั่น

“ไม่ต้อง”

“...”

“ถ้าจะทำก็ทำบนนี้นี่แหละ”

“แต่...”

“ทำบนตัวฉัน ฉันจะได้เห็นชัดๆ”

ใครมันจะไปทำได้กันเล่า!

“แต่ผม...”

“เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากทำมากกว่าจูบ ฉันก็ให้ทำแล้วนี่ไง”

พอจะเถียงก็ถูกดักคอ ตอนนี้เองที่กานต์รู้สึกตัวว่า...เขาไม่ควรต่อกรกับผู้ชายคนนี้!

“หรือเธอจะไม่อยากทำ?”

พอถูกถามออกมาอีก กานต์ก็อึกๆ อักๆ

“เอ่อ...”

“ถ้าไม่อยากทำก็ถือว่าเธอเสียสิทธิ์ในครั้งนี้ แล้วมันจะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง อย่าพูดเรื่องอื่นนอกจากจูบอีก โอเคไหม?”

เข้าใจชัดเจนเลยว่าออสตินเล่นแง่ไม่ให้เด็กหนุ่มกล้ายั่วยวนหรือต่อรองใดๆ อีก แต่...กานต์มาถึงขั้นนี้แล้วนะ เขาไม่หยุดหรอก

เด็กหนุ่มขบคิด... ถึงตอนนี้จะไม่ได้ถูกสัมผัส แต่ถ้าเขาตอบรับข้อเสนอ ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้ทำอะไรมากกว่านี้ ดังนั้นครั้งนี้เขาจะยอมอับอายเพื่อโอกาสดีๆ ในอนาคตก็ได้!

“ผมจะทำครับ!”

จู่ๆ ก็ตอบเสียงดัง ออสตินแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายตอบรับง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ถามเหตุผลหรอก ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขานั้นดื้อด้านแค่ไหน แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยก็เถอะ

“ก็เอาสิ ตามสบายเลย ฉันจะดู”

ออสตินว่า เอนหลังพิงด้วยท่าทางสบายๆ แขนข้างหนึ่งวางเรียบไปกับพนักโซฟา พลันยกขึ้นเท้าศีรษะ ทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่นั่งเงอะๆ งะๆ อยู่บนตักเขา

กานต์ทำอะไรไม่ถูกไปครู่ พอควบคุมสติได้ก็ถอยลงมายืนบนพื้น ถอดกางเกงออกจนเหลือแต่ช่วงล่างเปลือยเปล่า ส่วนงดงามของบุรุษเพศที่โผล่วับแวบมาให้เห็นใต้ชายเสื้อทำเอาออสตินเลิกคิ้วน้อยๆ มุมปากยกยิ้มอย่างพึงใจระคนขบขันกับการกระทำของเด็กหนุ่ม

กานต์หนีได้แท้ๆ บ่ายเบี่ยงไม่ทำก็ได้...แต่เขาไม่หนี เลือกที่จะเผชิญหน้า พอถอดกางเกงเสร็จก็ขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของออสตินอีกครั้งด้วยต่างหาก จากนั้นก็ดูกระอักกระอ่วนพร้อมกับใบหน้าที่แดงจัดขึ้นมา

“ผะ...ผม...”

“ทำไปเถอะ ฉันจะไม่วิจารณ์อะไรทั้งนั้น ตามสบาย”

กานต์ไม่ได้จะพูดเรื่องนี้สักหน่อย! เขาจะบอกว่าอย่าจ้องมากต่างหาก!

แต่เหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะตอนนี้ออสตินจ้องเขาเขม็งไปแล้ว จ้องทั้งใบหน้า จ้องทั้ง...ส่วนล่าง

ความเขินอายพลุ่งพล่านราวกับอณูเล็กๆ ที่กระจายไปทั่วร่างกาย อันที่จริงแล้วการถูกจ้องแบบนี้ อารมณ์ที่มีอยู่มันควรหดหาย ทว่า...สำหรับกานต์กลับไม่ใช่

ยิ่งถูกสายตาคู่นั้นจับจ้อง...ความร้อนก็แล่นพล่านไปทั่วร่างกายไปมากกว่าเดิม

กานต์สูดหายใจเข้าปอดลึก มือเอื้อมไปกอบกุมส่วนที่แข็งขืนพลันค่อยๆ รูดรั้งแผ่วเบา ขณะเดียวกันก็เหลือบไปสบตาของออสตินด้วย

สายตานั้น...ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกตะโบมลูบไล้ไปทั่วทุกสัดส่วนของร่างกาย

เป็นสัมผัสที่ช่างหยาบโลนและจาบจ้วง... ขณะเดียวกันก็ร้อนแรงเสียจนเขาไม่สามารถทนรับมันไว้ได้ไหว

เป็นเพียงการมองนิ่งๆ แท้ๆ หากแต่ทำให้กานต์สั่นสะท้านได้เสียจนเผลอส่งเสียงครางกระเส่าออกมา

สายตาของออสตินช่างอันตราย...

ไม่...ไม่ใช่ ผู้ชายคนนี้อันตรายเกินไป... อันตรายต่อหัวใจและความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมาก...

แวบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับพันตัวบินว่อนในช่องท้อง กานต์รับรู้ได้ทันทีว่าอีกไม่กี่อึดใจ เขาจะต้องถูกเทวทูตกระชากขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์แน่ ดังนั้นจึงรีบหยุดมือ มองหน้าออสตินพลางว่าอึกๆ อักๆ

“แด๊ดดี้ครับ คือ...ผม...”

“ไม่เป็นไร ทำให้จบ”

ได้รับอนุญาต กานต์ก็ทำท่าจะทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ

“งั้นเดี๋ยวผมนั่ง...

“ทำบนนี้แหละ”

ไม่ทันไรก็ถูกรั้งเอวเอาไว้ กานต์หน้าแดงเรื่อขึ้นมากว่าเดิม

“แต่เดี๋ยวมันจะเปื้อน...”

“ฉันบอกว่าไม่เป็นไร”

ประโยคเรียบง่ายแท้ๆ แต่กลับทำให้กานต์ใจเต้นระส่ำราวกับไปพบเจอเรื่องตื่นเต้น และยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อออสตินไม่อยู่เฉย โน้มหน้าเข้ามากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูเล็ก

“ทำให้จบสิกานต์...”

จากนั้นก็อ้าปากขบเม้มเบาๆ

เท่านั้นกานต์ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ความอัดแน่นที่คั่งค้างอยู่ภายในถูกปลดปล่อยออกมาเป็นสาย ร่างกายกระตุกรุนแรงอยู่ไม่กี่ครั้ง เด็กหนุ่มก็ทิ้งตัวลงซบหน้าเข้ากับซอกคอแกร่งของคนตรงหน้า หอบหายใจน้อยๆ ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา

“ให้ตายสิครับ เพราะแด๊ดดี้เลย เพราะแด๊ดคนเดียว”

ออสตินยกมือขึ้นลูบท้ายทอยของคนบนตัวเบาๆ พลางหัวเราะขบขัน

“ฉันทำไม”

“แด๊ดดี้เม้มปลายหูผม”

“แล้วมันทำไม”

“มะ...มันก็...”

“มันทำไมล่ะ”

“มัน...” กานต์เว้นจังหวะไปเล็กน้อย ก่อนจะซุกหน้าลงบนซอกคอนั้นมากกว่าเดิม ว่าเสียงอู้อี้ “มันก็ทำให้ผมเสร็จน่ะสิครับ โธ่เอ๊ย ผมไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ”

ออสตินถึงกับหัวเราะในลำคอ พอใจอยู่ไม่น้อยที่เด็กหนุ่มถึงฝั่งฝันด้วยเขา...

...เขาการขบเม้มเบาๆ ที่ใบหูเท่านั้น

“แต่ก็ดีไม่ใช่เหรอ”

ออสตินยังจะมีหน้าใช้มือข้างที่ว่างปาดเอาคราบของเหลวที่ซึมผ่านเนื้อผ้าบริเวณหน้าท้องของตนเองขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา จังหวะเดียวกับที่กานต์ผละใบหน้าออกมาเห็นพอดี เท่านั้นพวงแก้มนวลก็แดงเรื่อเสียยิ่งกว่ามะเขือเทศ

“แด๊ดดี้!”

รีบปัดมือของออสตินให้ออกห่างทันใด

ให้ตายเถอะพระเจ้า! นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย!

ออสตินไม่ถือสา กลับหัวเราะให้ท่าทางนั้น ก่อนที่จะพยุงไหล่เด็กหนุ่มทั้งสองข้างไว้ ถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางเอ็นดู

“อยากอาบน้ำไหม”

กานต์พยักหน้าหงึกหงึก... อยากสิ ตอนนี้เขาอยากจะไปให้พ้นหน้าออสตินจะแย่ อายจนไม่รู้จะสู้หน้าอย่างไรแล้ว!

ออสตินปล่อยมือออกจากไหล่ กานต์ก็รีบทิ้งตัวลงไปยืนบนพื้น คว้าเอากางเกงของตัวเองที่ถอดทิ้งไว้มาถือแล้วรีบก้าวเร็วๆ ขึ้นไปชั้นบน

ชายหนุ่มมองตาม หัวเราะในลำคอออกมาอีกเล็กน้อยก่อนจะนึกสนุกอะไรขึ้นมาบางอย่าง

อยากได้มากกว่าจูบอย่างนั้นเหรอ?

ถ้าอย่างนั้น... เขาจะสนองอีกสักหน่อยก็แล้วกัน

คิดได้ดังนั้นก็ก้าวขึ้นชั้นบนตามมา กานต์ที่กำลังจะพุ่งไปเข้าห้องน้ำเห็นอีกฝ่ายก็ชะงักขาทันควัน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

“มะ...มีอะไรครับ”

“อยากอาบน้ำด้วยกันไหม”

คนถูกถามเบิกตาโตทันใด

เมื่อกี้เขาได้ยินว่า Take a bath ไม่ใช่ Take a shower…

“แด๊ดดี้หมายถึง...?”

“อยากแช่น้ำด้วยกันไหม ฉันหมายถึงในอ่าง”

คราวนี้เข้าใจชัดเจนเลยว่าก่อนหน้านั้นได้ยินว่าอะไร พ่อเลี้ยงของเขาคงตั้งใจจะแกล้งให้เขาอับอายมากกว่าเดิมสินะ

“งั้นก็หมายความว่าแด๊ดดี้กับผมจะแก้ผ้าแช่น้ำด้วยกัน?”

ถามไปตรงๆ อย่างนั้น ออสตินก็ตอบตรงๆ

“ใช่”

“แบบว่าไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น?”

“อืม คงไม่มีใครใส่เสื้อผ้าอาบน้ำหรอกนะ”

นั่นไง ตั้งใจจะแกล้งเขาให้เขินอายกว่าเดิมจริงๆ ด้วย

แต่ว่า...

“เอาสิครับ”

...กานต์ไม่ปฏิเสธหรอก โอกาสดีงามอย่างนี้มาถึงแล้ว เรื่องอะไรจะปล่อยให้ผ่านไปกันล่ะ เขาอยากจะเห็นร่างกายของออสตินแบบไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นมานานแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปรองน้ำไว้ เดี๋ยวฉันตามไป”

กานต์ยิ้มกว้าง วิ่งพรวดเข้าไปจัดการเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ออสตินมองตามหลังพลางอมยิ้ม

ตั้งใจจะแกล้งให้เด็กหนุ่มเขินอายกว่าเดิมเหรอ?

ไม่หรอก... ไม่ใช่...

ขนาดกานต์ยังต้องการมากกว่าจูบเลย แล้วทำไมออสตินจะไม่ต้องการมากกว่าจูบบ้างเหมือนกันล่ะ

ที่เขาเห็นเด็กหนุ่มทำอะไรต่อมิอะไรตรงหน้าเขาเมื่อกี้นี้มันทำให้เขาอยากจะเห็นสีหน้าที่หลบซ่อนไว้ของกานต์มากกว่านี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีหน้ายามที่...

คิดแล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากเพื่อระงับความคิดตนเอง...

พระเจ้า! เขาเริ่มกลายเป็นตาลุงหื่นกามไปแล้วสินะ

ถ้าโดนจับข้อหาพรากผู้เยาว์หรือทำอนาจารเด็กในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาจะไม่แปลกใจตัวเองเลย

เด็กมันยั่วเป็นอย่างนี้นี่เอง...

-------------------------------------

รู้ว่ารอกัน มาต่อให้เลยก็ได้ค่ะ ฮา

แด๊ดนี่แค่มองเฉยๆ ก็ทำนุ้งกานต์ใจแตกได้ ร้ายมาก 555

ตอนใหม่เจอกันอีกทีวันไหนยังไม่รู้นะคะ รอก่อนเน้อ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 15: More and more[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-03-2018 01:25:58
ทำไม..... ทำไมอีแด๊ดเป็นคนแบบนี้ ทำอีหนูกานต์เสียเด็กหมดดดดดดดดด  :ling1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 15: More and more[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 13-03-2018 03:35:06
 :pighaun:  :pighaun: แด๊ดดี้ไม่อยากพรากผู้เยาว์ใช่ม้ยคะ นี่ขนาดยังไม่อยากนะคะ ล่อลวงหนูกานต์ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว น้อง 18 เมื่อไหร่นะ ศึกหนักแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 15: More and more[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 13-03-2018 05:37:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 15: More and more[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-03-2018 06:28:19
ดูท่าฝ่ายที่ตกหลุมพรางน่าจะเป็นแด๊ดดี้นะเนี่ย ฮี่ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 15: More and more[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 13-03-2018 09:42:40
ตบะแตกเร็วๆเน้อ
รอตลอดจ้า ไม่มีไม่รอ รัก :mew1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 15: More and more[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 13-03-2018 23:18:54
 

Chapter 16: Do you love me?

การได้แช่อ่างอาบน้ำด้วยกันเป็นความฝันที่กานต์ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

แต่...ก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่มันเป็นเพียงการแช่น้ำอย่างที่ออสตินพูด กระนั้นเด็กหนุ่มก็อดคิดไม่ได้เลยว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย

กล้ามเนื้อเป็นมัด ลอนคลื่นที่หน้าท้อง และ...ส่วนสำคัญของบุรุษเพศที่สมวัย

ทุกอย่างดูงดงามราวกับประติมากรรมปูนปั้นของอารยธรรมกรีก กานต์อิ่มเอมกับรสสัมผัสทางจักษุเป็นอย่างมาก และเพราะได้รับการตอบสนอง ระยะนี้เขาจึงเอาแต่ใจตัวเองมากเป็นพิเศษ ทั้งเรียกร้อง... ทั้งออดอ้อน... เรียกได้ว่าตัวแทบไม่ห่างจากออสตินเลยแม้แต่วินาทีเดียว

ขณะเดียวกัน ออสตินเองก็ไม่ปฏิเสธ ยิ่งเด็กหนุ่มเรียกร้องหาเขา เขาก็ยิ่งพึงใจจนบางครั้งก็แทบจะระงับความต้องการของตัวเองไว้ไม่ไหว

ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่อันตราย เจ้าเด็กตัวแสบนั่นก็อันตรายต่อหัวใจเขาไม่น้อยเหมือนกัน...

ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป ด้วยคิดว่าหากทำให้กานต์ต้องการเขาในตอนนี้มากเท่าไร เขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความรู้สึกของเด็กหนุ่มและเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่อง...พวกแมลงริ้นที่มาไต่ตอมลูกเลี้ยงของเขา

ตัวอย่างเช่น...เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล

เจ้าเหลือบไรตัวดีที่ดูท่าจะไม่ปล่อยมือจากลูกเลี้ยงของเขาง่ายๆ...

ดังนั้นการทำให้กานต์โหยหาเขาคือสิ่งที่ควรกระทำในตอนนี้ ส่วนเขา...ก็คงต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม จากนั้นถึงจะครอบครองอีกฝ่ายทั้งตัวและหัวใจได้อย่างเต็มที่

จะมีก็แต่เด็กหนุ่มเท่านั้นที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือแผนการของออสติน แรงขับทางเพศภายในกายตามประสาวัยรุ่นทำให้เขาหมกมุ่นคิดแต่เรื่องการสัมผัสเนื้อตัวของออสตินเท่านั้น เรียกได้ว่าหลงใหลเสียจนลืมสิ้นไปหมดแล้วว่ายังมีผู้ชายอีกคนที่หมายจะสัมผัสเนื้อตัวของเขาอย่างแนบชิดเหมือนกัน

ช่วงนี้เจฟฟรี่ย์ไม่ค่อยว่าง ทางโรงเรียนใกล้จะมีการแข่งขันกีฬาสัมพันธ์กับโรงเรียนอื่นในเครือ ดังนั้นเจฟฟรี่ย์จึงทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมฟุตบอล ระยะนี้จึงหายหน้าหายตาจากชั้นเรียนไปหลายวัน หากแต่เมื่อถึงจังหวะที่จะได้เจอ จู่ๆ อีกฝ่ายก็โผล่พรวดมาขณะที่กานต์กำลังเดินกลับบ้านตามลำพัง

“ให้ฉันไปส่งไหมสาวน้อย”

น้ำเสียงคุ้นเคยเรียกให้กานต์หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นเจฟฟรี่ย์ที่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับทำท่าเหมือนหูตั้งหางกระดิก กานต์ก็หัวเราะ

“ใครสาวน้อย”

“นายไง”

“อย่ามาทำตัวเป็นพวกขี้หลีน่าเจฟ”

เจฟฟรี่ย์ก้าวยาวๆ มายืนข้างๆ ก่อนจะถือวิสาสะตวัดวงแขนมาโอบบ่าอีกฝ่าย

“ขี้หลีกับนายคนเดียวเท่านั้นแหละ”

ก็รู้อยู่หรอกว่าเจฟฟรี่ย์คิดอย่างไรกับเขา กานต์เลยไม่ถือสา หัวเราะขบขันกับท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยนั่นด้วย

“ไม่เจอกันหลายวัน นายก็ยังดูร่าเริงเหมือนเดิมนะ ไหนว่ายุ่งไง”

ถึงตอนนี้ กานต์ดึงแขนของเจฟฟรี่ย์ที่พาดอยู่บนบ่าออก เจฟฟรี่ย์ยอมยกออกแต่โดยดี ก่อนจะยู่ปากว่า

“ก็ยุ่งนั่นแหละ แต่จะให้มาเจอหน้านายด้วยสีหน้าเหนื่อยจะเป็นจะตายได้ยังไง ไม่เจริญหูเจริญตากันพอดี”

“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ฉันไม่ถือหรอก”

“ฉันก็อยากจะดูดีในสายตาของคนที่ชอบนะ ไม่ต้องมาทำเป็นใจดีหรอก”

พูดมาถึงตอนนี้ กานต์ก็เลยไม่ได้ว่าอะไรต่อ นอกจากยิ้มรับเท่านั้น แล้วออกเดินอีกครั้ง เจฟฟรี่ย์ก้าวขนาบข้างไปด้วย ชวนคุยเรื่อยเปื่อยไปตามประสา กระทั่งใกล้จะถึงบ้าน กานต์ถึงได้ชะงักฝีเท้า หันไปบอกกับคนข้างๆ

“ส่งฉันตรงนี้พอแล้วล่ะ”

ถึงเจฟฟรี่ย์จะดูสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไร พอจะเข้าใจว่ากานต์คงจะกลัวพ่อเลี้ยงตัวเองมาเห็น ก็อย่างว่า เขายังมีชนักติดหลังอยู่นี่นะ ทั้งเรื่องพากานต์ปาร์ตีจนเกือบเสียคน ทั้งจูบกันกลางถนนจนออสตินมาเห็น แล้วไหนจะปีนเข้าบ้านของอีกฝ่ายกลางดึกอีก ยิ่งเรื่องหลังนี่ไม่มีทางเลยที่ออสตินจะไม่รู้

ติดกล้องวงจรปิดไว้เต็มบ้านขนาดนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรู้อยู่แล้ว ยิ่งโผล่มาเคาะห้องลูกเลี้ยงกลางดึกอย่างนั้น มันยิ่งผิดวิสัย ถ้าไม่รู้ว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญปีนบ้านเข้ามา มีเหรอที่จะมาเคาะเรียก...

แต่สำหรับกานต์ก็ไม่แน่ว่าอาจจะไม่รู้ หรือถ้ารู้ก็คงจะลำบากใจที่จะบอกเขา ดังนั้นเจฟฟรี่ย์จึงไม่ซักถาม ได้แต่พยักหน้ารับ

“ได้ ถ้าอย่างนั้น ก่อนไป... จูบกันหน่อยดีไหม”

ประเด็นสำคัญของการดอดตามมาส่งกานต์ที่บ้านคือเรื่องนี้ต่างหาก

คนถูกถามเลิกคิ้วสูงทันที “อย่าบอกนะว่าที่มาโผล่ให้เห็นเพราะรอจะทำเรื่องนี้?”

เจฟฟรี่ย์ยักไหล่ยอมรับ “ช่วยไม่ได้ นายก็รู้ว่าฉันคิดยังไงกับนาย แล้วนี่ก็ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายวัน บางทีฉันก็คิดถึงริมฝีปากสวยๆ ของนายน่ะ”

คำพูดตรงๆ นั่นทำให้กานต์อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากอย่างลืมตัว บอกตามตรงว่าต่อให้ไม่ได้ชอบเจฟฟรี่ย์หรือคิดอะไรไปในทำนองนั้น แต่อีกฝ่ายก็มีเสน่ห์ที่ชวนให้เขาเขินอายได้อยู่เหมือนกัน

“ตกลงโอเคนะ ถือว่าเป็นค่าแรงที่ฉันเดินมาส่ง”

เจฟฟรี่ย์มัดมือชกเอาง่ายๆ สองแขนตวัดรวบเอวของกานต์ให้เข้ามาใกล้ โน้มหน้าเข้ามาหา เตรียมจะช่วงชิงริมฝีปากอยู่แล้ว หากแต่กานต์กลับยกแขนขึ้นดันหน้าอกของคนตรงหน้าไว้

ก็จะยอมให้เจฟฟรี่ย์จูบได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อตอนนี้คนที่มีสิทธิ์นั้นคือออสตินคนเดียว!

“เดี๋ยวก่อนนะเจฟ” ว่าพลางดันอีกฝ่ายออกห่าง ขณะที่เจฟฟรี่ย์ยังไม่ยอมปล่อยมือ

“ทำไมล่ะ” ถามพลางขมวดคิ้วเสียจนย่นยู่

“ฉันว่าไม่เหมาะสักเท่าไร”

“อะไรคือไม่เหมาะ ไม่เหมาะยังไง”

อันที่จริงกานต์ก็อยากจะบอกอยู่เหมือนกันว่าไม่เหมาะเพราะตอนนี้เขามีคนที่จูบเขาได้คนเดียวแล้ว แต่จะให้พูดไปอย่างนั้นก็ไม่ได้ จึงได้แต่บ่ายเบี่ยง

“ก็นายกับฉันไม่ได้คบกัน”

“งั้นก็คบกันซะสิ” เจฟฟรี่ย์ว่า ท่าทางไม่ได้ยี่หระเลยแม้แต่น้อย

“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

“แต่ตอนนั้นเรายังจูบกันเลย ไม่ได้คบกันด้วย”

พอเห็นกานต์ยังคงบ่ายเบี่ยง เจฟฟรี่ย์ก็ยกเรื่องเก่าที่เคยเกิดขึ้นมาพูด

“ตอนนั้นฉันแค่อยากลอง”

“ตอนนี้อยากลองอีกสักครั้งจะเป็นไรไป”

บอกตามตรงว่ากานต์ลำบากใจไม่น้อย ใครว่าเขาเอาแต่ใจ เจอเจ้าหนุ่มผมบลอนด์คนนี้เข้าไป รู้เลยว่าเอาแต่ใจมากกว่าอีก อะไรไม่ว่า พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้หมายจะจูบเขาด้วย ทำเอากานต์ต้องยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน

“โธ่คาร์ล นิดเดียวน่า”

เจฟฟรี่ย์ผละออกมา ว่าด้วยน้ำเสียงขัดใจ กานต์หัวเราะแห้ง

จูบไม่ได้! ยังไงก็จูบไม่ได้ เคยสัญญากับออสตินไว้แล้วว่าจะไม่จูบกับเจฟฟรี่ย์อีก ถ้าเกิดพลาดพลั้งไปล่ะก็ มีหวังออสตินได้ยกเลิกการจูบระหว่างพวกเขาแน่

“นิดเดียวก็ไม่ได้ นายรู้ใช่ไหมว่าพ่อเลี้ยงฉันไม่ค่อยพอใจนายเท่าไรตั้งแต่เรื่องปาร์ตีนั่น ยิ่งมาเห็นตอนที่เราจูบกันครั้งก่อน เขาก็ยิ่งไม่พอใจใหญ่ ช่วงนี้ฉันอยากทำตัวดีๆ หน่อย”

อ้างเป็นเรื่องยาวเลย ยกออสตินมาเป็นข้ออ้างด้วย คราวนี้เจฟฟรี่ย์ถึงได้ยอมเข้าใจ แต่ก็ไม่วายบ่นกระปอดกระแปด

“ตาลุงนั่น...เฮอะ มาจากยุคดึกดำบรรพ์หรือไง”

ลุงอะไรกัน แด๊ดดี้เพิ่งจะสามสิบห้าเอง...

กานต์เถียงให้ในใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อจากนั้นนอกจากจะเอื้อมมือไปรั้งแขนของเจฟฟรี่ย์ที่ยังคงโอบอยู่รอบเอวเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายคลายออก

“เอาเป็นว่าเข้าใจฉันหน่อย ฉันเป็นเด็กในการดูแลของเขา ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจเท่าไร”

“ก็ได้ แต่...ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้บ้านก็ทำได้ใช่ไหม”

เจฟฟรี่ย์ไม่วายถามออกมา กานต์ตอบไม่ถูก จริงๆ คือไม่ได้ แต่ถ้าบอกไปอย่างนั้น มีหวังคงได้ถูกเค้นถามอีกว่าทำไมถึงไม่ได้ ตอนนี้คงต้องแก้ปัญหาไปก่อนเพราะอีกเดี๋ยวก็จะได้เวลาที่ออสตินกลับถึงบ้านแล้ว

“อืม เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากัน”

ได้ยินอย่างนั้น เจฟฟรี่ย์ก็ยอมแพ้แต่โดยดี

“ก็ได้ จะยอมให้ครั้งนี้แล้วกัน”

กานต์ถึงกับระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากแต่ในจังหวะที่เจฟฟรี่ย์กำลังจะคลายอ้อมกอด รถยนต์คันหรูของออสตินที่ขับเข้ามาในหมู่บ้านก็มาจอดเทียบทางด้านหลังเด็กหนุ่มทั้งสองเสียก่อน พลันคนในรถก็เปิดกระจกลง ร้องเรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่งทันใด

“กานต์...ขึ้นรถ”

ไม่เพียงเรียก แต่ออกคำสั่งด้วย กานต์หันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง

ทำไมชอบโผล่มาในจังหวะอย่างนี้ทุกทีเลยนะแด๊ดดี้!

อันที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นความตั้งใจของออสติน วันนี้เขาเลิกงานก่อนจะถึงเวลาเลิกเรียนของกานต์ ตอนแรกกะว่าจะกลับมารอที่บ้าน แต่จู่ๆ ก็มีลางสังหรณ์บางอย่างเลยตัดสินใจโทรไปบอกให้กานต์กลับบ้านมาไม่เกินเวลานี้ ทำเป็นนัดหมายว่าจะทำอาหารด้วยกัน ก่อนจะไปดักรอที่หัวมุมถนนเส้นหนึ่งในหมู่บ้านก่อนถึงบ้านเขาเพียงแยกเดียว แล้วสิ่งที่เขาสังหรณ์ใจก็เป็นจริงเสียด้วยเมื่อเห็นลูกเลี้ยงเดินมากับเด็กหนุ่มผมบลอนด์นั่น

เดินอย่างเดียวไม่ว่า ยังจะมาโอบกอด มิหนำซ้ำยังทำท่าเหมือนจะจูบ... มันทำให้ออสตินที่ซุ่มดูอยู่หัวเสียเป็นอย่างมาก จนในที่สุดก็ปรากฏตัวอย่างที่เห็น

“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสอง ขึ้นรถ”

เห็นเจฟฟรี่ย์ไม่ปล่อยมือออกจากกานต์เสียที ออสตินก็ออกคำสั่งมาอีก คราวนี้เป็นกานต์ที่กระวีกระวาดรีบดึงมือของเจฟฟรี่ย์ออก ก่อนพูดเร็วๆ เป็นการบอกลา

“ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ”

แล้วก็แทบจะพุ่งทะยานขึ้นรถมาเลย ส่วนออสตินก็เหยียบคันเร่งออกทันทีเมื่ออีกฝ่ายขึ้นรถได้ ไม่สนใจจะหันไปทักทายเด็กหนุ่มซึ่งเป็นลูกชายหุ้นส่วนบริษัทเขาสักนิด

ภายในรถเงียบงัน... มีเพียงแต่เสียงดนตรีคลาสสิกเท่านั้นที่ลอยมาให้ได้ยิน กานต์เหลือบไปมองคนข้างกายที่ขับรถไป ทำหน้าถมึงทึงไป...ไม่สิ จริงๆ ต้องบอกว่าสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่แววตาดูหงุดหงิดมากกว่า กานต์มองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

“แด๊ดดี้ครับ...”

“เมื่อกี้ทำอะไรกับเจฟฟรี่ย์”

พูดยังไม่ทันจบ ออสตินก็โพล่งออกมาแล้ว กานต์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะรีบส่ายหน้า

“ไม่ได้ทำครับ”

“แล้วกอดกันทำไม”

“เขาขอจูบผมเลยดึงเข้าไปกอด”

ออสตินถึงกับเบรกรถแล้วเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทางทันทีทั้งที่จะถึงบ้านอยู่แล้ว ทำเอาเด็กหนุ่มหัวแทบทิ่ม พอหันไปทำท่าจะโวยวายก็ต้องรีบสงบปากสงบคำเมื่อเห็นว่าออสตินหันมามองด้วยสายตาดุดัน

“แล้วได้จูบหรือเปล่า”

ไม่รู้ทำไมท่าทางของออสตินไม่ได้ทำให้กานต์หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ ก่อนที่จะว่าเย้า

“ทำไมครับ แด๊ดดี้อยากรู้เหรอ”

“ตอบคำถามมา”

ถูกเจ้าลูกเลี้ยงตัวแสบโยกโย้ ออสตินก็ว่าเสียงดุ กานต์จึงจำเป็นต้องยอม

“ไม่ได้จูบครับ”

ออสตินเงียบไปครู่ถึงได้เอ่ยปาก “แน่ใจนะ?”

“ครับ”

“...”

“แน่ใจครับ ตอนนี้คนที่จูบผมมีแต่แด๊ดดี้คนเดียว ไม่ต้องห่วง ถ้าเกิดผมไปจูบกับคนอื่น เดี๋ยวแด๊ดดี้ก็ไม่ยอมจูบผมพอดี”

เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่โกหก ออสตินรู้ ยิ่งพูดจาเอาใจเขาอย่างนั้นด้วย ชายหนุ่มก็ระบายลมหายใจ ก่อนจะออกรถอีกครั้ง

รถเคลื่อนเข้าไปในโรงจอดรถของตัวบ้าน ออสตินกดรีโมตให้ประตูโรงรถปิด ท่าทางยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม แต่ในใจยังคงหงุดหงิดไม่เลิก

เขาเชื่อใจกานต์... แต่ไม่เชื่อใจเจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่มากระดิกหางระริกระรี้ใส่ลูกเลี้ยงเขามากกว่า

เผลอเป็นเลียมือเลียหน้า เผลอเป็นกระโจนใส่ น่าจับไปส่งเทศบาลนัก!

และบางที...ความเงียบของเขาก็เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่าเขากำลังหงุดหงิด ทำเอากานต์ที่ลอบมองมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้อดไม่ได้ที่จะออกปากถาม

“แด๊ดดี้หึงผมเหรอ”

พอหันไปก็เห็นว่าคนถามยิ้มหน้าระรื่นเลยทีเดียว ออสตินเหลือบมอง สีหน้านิ่งเรียบไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย

“ฉันไม่ได้หึง”

“ทำไมล่ะครับ ก็ดูแด๊ดดี้หัวเสียออก”

“พ่อเลี้ยงไม่หึงลูกเลี้ยงหรอกนะ”

“แล้วเราเป็นพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงกันหรือไง ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้นกันสักหน่อย” กานต์พึมพำประหนึ่งบ่นคนเดียว แต่ทว่าเข้าหูคนข้างกายเต็มๆ “ถ้าอย่างนั้นแด๊ดดี้จะหัวเสียเรื่องเจฟทำไม”

ถูกถามมาตรงๆ ออสตินก็ตอบตามตรงก็ได้

“ฉันก็แค่เป็นห่วง”

ความจริงก็ไม่ได้ตรงมาก... เป็นห่วงมันก็ใช่ แต่หึงหวง...ใช่ มันมากกว่า

ขณะเดียวกัน คำพูดนั้นก็ทำให้คนฟังยิ้มเยาะ “อ้อ เป็นห่วง พอเห็นเจฟจะจูบผมก็เลยรีบลากกลับบ้านมาว่างั้น?”

ออสตินไม่ตอบ แต่นั่นเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว

“งั้นเอาเป็นว่าตอนอยู่ในสายตาแด๊ดดี้ ผมจะทำตัวดีแล้วกันครับ จะอยู่ในลู่ในทาง แต่ถ้าลับหลังเมื่อไร... ก็อีกเรื่องนึง”

คราวนี้สายตาของออสตินถึงกับจ้องมองเจ้าเด็กที่พูดเจื้อยแจ้วอย่างดุดันทันที

เป็นเด็กเจ้าเล่ห์อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

เจ้าเล่ห์ไม่พอ ยังจะมายั่วโมโหเขาในเวลาไม่เหมาะสมอีก ออสตินพอรู้อยู่หรอกว่าเด็กตรงหน้าเขากำลังประชดเพราะอยากให้เขาพูดสิ่งที่รู้สึกออกไปตามตรง

เด็กวัยรุ่น...ก็แบบนี้

รู้สึกแรง... ต้องการแรง... อยากได้รับการตอบสนองที่รุนแรง...

แต่กับผู้ใหญ่อย่างออสตินมันไม่ใช่ มีอะไรอีกหลายอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้

ทว่า...คำพูดของกานต์มันก็น่าหงุดหงิด

“สรุปว่าเธออยากจะนอนกับเจฟฟรี่ย์?”

ที่ถามไปอย่างนั้นเพราะต้องการให้เด็กหนุ่มสำนึกในคำพูดของตัวเองว่ามันไม่สมควร ปกติแล้วกานต์จะปฏิเสธ หากแต่คราวนี้กลับยอกย้อนถาม

“แล้วไม่ได้เหรอครับ?”

ใช่! ไม่ได้!

แต่...ใครมันจะไปพูดอย่างนั้นกันได้เล่า

“ก็แล้วแต่เธอ ดูแลเรื่องความสะอาดกับความปลอดภัยด้วยแล้วกัน”

ยอมรับเลยว่าเป็นประโยคที่ออสตินกัดฟันพูดมากที่สุดในชีวิต ก่อนเขาจะหนีลงจากรถเพื่อไประงับอารมณ์กรุ่นโกรธที่ค่อยๆ พร่างพรายขึ้นในใจทีละน้อย

โกรธทั้งเจฟฟรี่ย์ที่บังอาจมาทำรุ่มร่ามกับลูกเลี้ยงของเขา...

โกรธทั้งกานต์ที่มายอกย้อนไม่เชื่อฟังอยู่ได้ตั้งนานสองนาน...

ท่าทางนิ่งสงบของออสตินทำให้กานต์รีบตามลงจากรถไป ก่อนจะพุ่งมาดักหน้าไว้ทันทีที่ออสตินเอื้อมมือไปเปิดประตูบ้านที่เชื่อมต่อกับโรงรถ

“ถ้าแด๊ดดี้ไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเจฟ แด๊ดดี้ก็ทำให้ผมเป็นของแด๊ดสิครับ”

ก็รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกนี่ว่าออสตินไม่อยากให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเจฟฟรี่ย์อย่างนั้น มัวแต่พูดยอกย้อนไปมาอยู่ได้ แล้วที่พูดมาเมื่อกี้นี้...มันอะไรกัน

“พูดอะไรของเธอ”

“ก็แด๊ดดี้ไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเจฟไม่ใช่เหรอ”

“นั่นมันก็ใช่ แต่ที่ว่าให้ฉันทำให้เธอเป็นของฉันมันหมายความว่ายังไง”

“อย่าทำเป็นไม่เข้าใจหน่อยเลยครับ” กานต์ว่า “ทำอะไรก็รู้ๆ กันอยู่” ประโยคนี้ว่าเสียงเบาเชียว

ออสตินถึงกับต้องผละจากประตู หันมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มจังๆ

“อย่าพูดอะไรไร้สาระอีก” จากนั้นก็ส่งเสียงดุ

หากแต่กานต์กลับไม่กลัว จ้องเขม็งแล้วว่าอย่างหนักแน่น

“ผมไม่ได้พูดไร้สาระ ผมพูดจริงๆ”

“...”

“ถ้าไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับเจฟ ก็ทำให้ผมเป็นของแด๊ดดี้สิ”

กานต์จะรู้ตัวบ้างไหมว่าภายใต้ท่าทีนิ่งเงียบของออสตินนั้น ในใจของเขามีเพลิงตัณหาพวยพุ่งราวกับลาวาปะทุออกมาจากปล่องภูเขาไฟแล้ว

ใครสั่งใครสอนให้มาเชื้อเชิญซึ่งๆ หน้าอย่างนี้กัน!

“หรือถ้าแด๊ดดี้ไม่ทำ... ผมให้เจฟทำก็ได้”

เอาแต่ใจอีกต่างหาก เป็นเด็กที่พูดไม่รู้เรื่องแล้วสินะตอนนี้

ออสตินหมั่นไส้ในท่าทางลอยหน้าลอยตาของเด็กหนุ่มคนนี้ยามพูดประโยคบ้าๆ เหล่านั้นเหลือเกิน ยิ่งพอเห็นกานต์เดินสวนไปทำท่าจะเข้าบ้าน เขาก็อดไม่ได้ที่จะคว้าต้นแขนแล้วกระชากกลับมาให้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนเดิม

“เธอไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าพูดอะไรออกมา”

น้ำเสียงดุดันหลุดออกมาจากปาก ไม่เพียงแค่น้ำเสียง สีหน้าก็ดุ กานต์รู้ตัวในตอนนี้ว่าทำผิดพลาดไปแล้ว เมื่อครู่ได้ใจมากไปหน่อยเลย พูดอะไรบ้าๆ ออกไปแบบนั้น พอรู้ตัวก็รีบเอ่ยปากทันที

“ผมขอโทษ”

แต่ไม่ทันแล้ว ทำออสตินโกรธจริงๆ ไปเสียแล้ว อีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับว่าเสียงต่ำ

“พอเห็นฉันอะลุ่มอล่วยหน่อยก็เลยได้ใจงั้นสิ”

“...”

“เอาแต่ใจ ยอกย้อน ไม่เชื่อฟัง ควรให้ฉันอบรมเธอยังไง ไหนบอกมาซิ”

ยิ่งพูดก็ยิ่งก้าวเข้ามาใกล้ กานต์ถอยหลังไปเรื่อยๆ กระทั่งไปชนเข้ากับรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าออสตินตรึงเขาไว้ไม่ให้หนีด้วยการใช้แขนทั้งสองข้างเท้ากับฝากระโปรงรถโดยมีเขาอยู่ด้านในอ้อมแขนนั้น

“บอกฉันมาว่าต้องอบรบเธอยังไง เธอถึงจะเชื่อฟัง”

“แด๊ด...”

“ฉันไม่ได้ใจดีอย่างที่เธอคิดนะกานต์ อย่าได้ใจให้มันมาก”

“...”

ตอนนี้เองที่เด็กหนุ่มรู้สึกพรั่นพรึงในใจ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องมองเขาอย่างตำหนิระคนกรุ่นโกรธ ทำเอากานต์แทบอยากจะตบปากตัวเองที่พูดอะไรออกไปไม่คิดอย่างนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากพูดเสียงแผ่ว

“ผมขอโทษครับ”

แต่ออสตินไม่ฟังในตอนนี้ เขาหัวเสียเกินกว่าที่จะยอมฟังคำขอโทษของเด็กหนุ่มแล้ว

“ให้ฉันทำให้เธอเป็นของฉันอย่างนั้นเหรอ” จู่ๆ ก็ว่าขึ้นมา “ได้ แล้วอย่าเสียใจทีหลัง”

จากนั้นก็ประกบปากจูบลงบนริมฝีปากของคนตรงหน้าทันที กานต์เบิกตาโพลงที่ถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว มิหนำซ้ำการจูบในครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นไปด้วยความนุ่มนวลหรือร้อนแรงอย่างเช่นปกติ หากแต่เป็นไปด้วยความโกรธจนเขาชักจะหายใจไม่ออก สองมือจำต้องยกขึ้นผลักไสหน้าอกแกร่งที่กระบดเบียดเข้ามา แต่ก็ไร้ซึ่งผลเมื่อออสตินไม่ลดละความโกรธเกรี้ยวเลยแม้แต่น้อย

“ดะ...แด๊ด...”

ริมฝีปากเป็นอิสระได้เล็กน้อย กานต์ก็รีบเอ่ยปากท้วง หากแต่ก็ต้องตกใจเมื่อฉับพลันก็ถูกกดให้นอนราบไปบนฝากระโปรงรถ

สายตาของเด็กหนุ่มมองไปยังออสตินที่ตรึงเขาไว้ด้วยความหวั่นใจ ขณะที่ออสตินว่าเสียงเรียบออกมา

“ฉันจะทำให้เธอเป็นของฉัน เตรียมใจไว้ได้เลย”

ริมฝีปากถูกช่วงชิงไปอีกครั้ง จูบของออสตินในคราวนี้ทั้งดุดันและหนักหน่วง ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าคนใต้ร่างจะหายใจทันหรือไม่ เอาแต่รุกรานจนกานต์เป็นฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีเพื่อหาช่องทางสูดอากาศเข้าปอดเอง

ไม่เพียงแค่จูบ ร่างกายส่วนอื่นก็ถูกระราน...

เสื้อยืดถูกถลกขึ้นสูง แผ่นอกเปลือยเปล่าปรากฏให้เห็นตรงหน้า โดยปกติแล้วเวลาจูบกัน ออสตินจะไม่วุ่นวายกับส่วนอื่นของร่างกายเด็กหนุ่มทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่กับในครั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอากานต์พรึงเพริดไม่น้อย หากแต่ก็ตอบรับสัมผัสนั้นโดยดีเมื่อฝ่ามือสากลูบลากจากหน้าท้องขึ้นมายังแผ่นอก

ความวูบไหวแล่นพล่านไปทั่วช่องท้องจนเด็กหนุ่มเผลอส่งเสียงหวานออกมา ออสตินผละออกจากการจุมพิต ลากริมฝีปากไล่ลงมายังลำคอและค่อยๆ ต่ำลงไปยังช่วงอก กานต์รู้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้คืออะไร

แต่ว่านะ...

...จะทำในโรงรถจริงๆ เหรอ!? แถมยังบนฝากระโปรงรถด้วย อย่างน้อยครั้งแรกของเขาก็ไปทำที่เตียงเถอะ!

“แด๊ด...แด๊ดดี้ครับ...”

พอเห็นว่าออสตินทำท่าจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น กานต์ก็รีบท้วงขึ้นมา หมายจะบอกให้อีกฝ่ายเปลี่ยนสถานที่ ทว่าออสตินกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ประทับจูบลงบนผิวเนื้อเหนือยอดอก ดูดดุนอยู่ครู่จนพอใจแล้วเป็นฝ่ายผละออกมาเอง

“เสร็จแล้ว”

อะไรก็ไม่ฉงนเท่าคำพูดนี้ กานต์ขมวดคิ้ว มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรที่ว่าเสร็จแล้วครับ?”

“ทำให้เธอเป็นของฉัน”

“หา?”

งุนงงหนักเข้าไปอีก ถึงกับอุทานออกมาอย่างเสียจริต ขณะที่ออสตินพยักพเยิดปลายคางไปยังร่องรอยที่เขาทำไว้

“เผื่อว่าเจฟฟรี่ย์คิดจะทำอะไรเกินเลย ตอนมาเห็นรอยนี้ จะได้เข้าใจว่าเธอมีเจ้าของแล้ว”

กานต์เหลือบมองตาม ก่อนจะเห็นว่าร่องรอยที่ออสตินว่านั่นคือ...

“คิสมาร์ก?”

“อืม ใช่”

แค่นี้น่ะเหรอ!?

ไม่เคยเสียดายอะไรเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย ความฝันของกานต์ถล่มไปต่อหน้าต่อตา

ถ้าจะทำแค่คิสมาร์กก็ไม่เห็นจะต้องร้อนแรงรุนแรงอะไรขนาดนี้เลยนี่ครับ!

“ฉันไม่ทำที่คอเพราะมันดูไม่ดี ยังไงเธอก็ต้องไปโรงเรียน”

ออสตินยังมีหน้ามาพูด ขณะที่กานต์ผุดลุกขึ้นนั่ง ถลกเสื้อมองรอยแดงเป็นจ้ำแล้วทำหน้าง้ำ

โธ่เอ๊ย!

“แล้วเมื่อกี้เธอจะพูดว่าอะไร” พลันก็ย้อนไปถามเมื่อตระหนักได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่กานต์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

ความจริงผมจะบอกให้ไปทำที่เตียง ครั้งแรกของผมไม่อยากทำที่ฝากระโปรงรถ แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว...

เด็กหนุ่มคิดในใจ ไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่ช้อนสายตามองอย่างหงุดหงิดแทน ออสตินมองแล้วก็ลอบหัวเราะในใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าทำคนตรงหน้าฝันสลาย

“เข้าบ้านกันได้แล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เสื้อเธอเปื้อนฝุ่นหมดแล้ว”

สิ้นเสียงก็เป็นฝ่ายหมุนตัวจะเข้าบ้านเป็นคนแรก กานต์ผุดลุกตาม ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายไว้ในมือมั่น

“ถ้าแด๊ดดี้ไม่อยากตอบว่าหึงผมไหม งั้นตอบคำถามอื่นก็ได้ครับ”

“คำถามอะไร”

กานต์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก

“รักผมหรือเปล่า”

“...”

“ที่แสดงออกแบบนี้ ทำกับผมแบบนี้ แด๊ดดี้มีรักผมไหม”

ที่ถามออกไปอย่างนี้เพราะกานต์รู้ดีว่าระหว่างเขากับออสตินมันไม่ใช่เรื่องปกติ แน่นอนว่าเรื่องที่เขากับคนตรงหน้าไม่ได้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่การที่ออสตินยอมสัมผัสร่างกายเขาทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน คงจะปฏิเสธได้ยากว่าไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึกอยู่

ออสตินพอจะเดาได้อยู่บ้างว่าสักวันจะต้องถูกถามคำถามนี้ เขามองหน้ากานต์ที่รอคำตอบอยู่ตรงๆ

“เธอหมายถึงรักแบบไหนล่ะ ครอบครัวหรืออะไร”

“ผมว่าแด๊ดดี้รู้อยู่แล้วว่าผมหมายความว่ารักแบบไหน”

ตอนนี้กานต์เริ่มตามเกมของออสตินทันแล้ว แต่...ก็แค่ผิวเผินเท่านั้นเพราะออสตินลูกเล่นแพรวพราวในการหลบเลี่ยงที่จะตอบตรงๆ มากมายกว่าที่คาดคิดไว้

“ถ้ารักแบบครอบครัว แน่นอนว่าฉันรักเธอ แต่ถ้ารักในแบบอื่น...”

กานต์เม้มริมฝีปาก รอคำตอบด้วยใจที่ลุ้นระทึก

เห็นสีหน้ามีความหวังของเด็กหนุ่มแล้ว ออสตินก็ยกยิ้มบางๆ ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปาก ผละออกมาก็ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ นอกจากจะหัวเราะในลำคอแล้วเดินเข้าบ้าน ปล่อยให้กานต์มองตามหลังอย่างงุนงง ครู่หนึ่งถึงได้รู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายเฉไฉอีกแล้ว

“โธ่แด๊ดดี้ บอกผมหน่อย”

เด็กหนุ่มรีบเดินตามมางอแงทันที ออสตินหันไปมองอีกฝ่ายอีกครั้ง

“ก็ตอบไปแล้วไง”

“ไม่เห็นจะได้ยินสักคำ”

“อยู่ในจูบเมื่อกี้หมดแล้ว”

อยู่ในจูบเมื่อกี้... หรือจะหมายความว่า...?

กานต์อ้าปากค้าง ชี้นิ้วไปที่ริมฝีปากของตัวเองพลันใบหน้าก็ร้อนฉ่าขึ้นมา

ออสตินไม่พูด... ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ให้จูบนั่นเป็นคำตอบ ถึงมันจะไม่ชัดเจน แต่กานต์จะคิดไปเองได้ไหมว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกแบบเดียวกัน?

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาข้างล่าง จะได้ช่วยกันทำมื้อเย็น”

แล้วความอึ้งงันของเด็กหนุ่มก็ถูกลบเลือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือใหญ่ที่วางลงมาบนกระหม่อมทำให้กานต์ยิ้มกว้างออกมา พยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบทำตามคำสั่งแต่โดยดี

เสียงวิ่งขึ้นบันไดตึงตังทำให้ออสตินยกยิ้มไล่หลัง ก่อนที่เขาจะขบคิดกับตัวเอง

รักไหมน่ะเหรอ?

ต่อให้ไม่ถูกถาม เขาก็มีคำตอบนั้นอยู่ในใจอยู่แล้ว

ไม่อย่างนั้นจะรอเพื่อได้พบทำไมตั้งนานกันล่ะ

คำตอบมันชัดเจนจะตายไป เพียงแต่...เขาไม่เคยพูดออกไปก็เท่านั้น

--------------------------------

วัยรุ่นใจร้อน อัปให้เลยก็แล้วกันค่ะ เขียนไปเขียนมาจบตอนพอดี

อย่าเพิ่งเขวี้ยงขวด นุ้งกานต์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ใจเย็นเย้นนน 555

อย่าลืมฟีดแบ็กนะจ๊ะ

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 14-03-2018 00:40:17
จริงๆบอกไปตรงๆว่ารอสิบแปดก่อนก็จบแล้วค่ะแด้ดดี้
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-03-2018 00:46:02
เอาไงดี ๆ รักหรือไม่รัก แด๊ดดี้อย่าทำน้องกานต์งงซิ  :o8:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: alone and crazy ที่ 14-03-2018 06:26:22
 :ling1: เมื่อไรจะบรรลุนิติภาวะ  ขัดใจๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 14-03-2018 06:57:45
เอ๊ะ อะไร ยังไง
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 14-03-2018 21:32:51
ถถถถ แด๊ดชอบทำให้อยากแล้วก็จากไปอ่ะ :hao6:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-03-2018 01:45:34
น้องกานต์ยังเด็กจริงๆด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 15-03-2018 02:20:24
ตอบแทนแด๊ดดี้ได้มั้ยคะ ฮืออ รักอยู่แล้ว วางแผนขนาดนี้  :hao6: อดใจรอตอนนุ้งกานต์ 18 ไม่ไหวแล้วค่าาา
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 16: Do you love me?[13-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-03-2018 03:43:02
Chapter 17: Our sin

แค่จูบแผ่วเบาบนริมฝีปากแทนคำว่า ‘รัก’

เพียงเท่านั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถคิดกับออสตินเหมือนเดิมได้อีก...

ความชื่นชม เคารพ และนับถือในคราแรกที่ได้เห็นหน้ากัน ในตอนนี้มลายหายไปราวกับเป็นละอองฝุ่นธุลี ในสายตาของกานต์เห็นอีกฝ่ายเป็นเสมือนทุกอย่างของชีวิต

ทั้งต้นไม้ใหญ่ที่ให้เขาพักพิง

ทั้งสายน้ำที่ชโลมจิตใจอันบอบช้ำ

และ...พระผู้เป็นเจ้าที่โอบประคองชีวิตเขาไว้ในกำมือ

กานต์ไม่เคยรักใครได้ขนาดนี้มาก่อน หรือบางครั้งอาจจะพูดได้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเขาตอนนี้นั้น มันเกินกว่าคำว่ารัก

...มันคือความลุ่มหลง

เขาหลงออสตินหัวปักหัวปำ สามารถทำได้ทุกอย่างตราบเท่าที่ความสามารถของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีจะทำได้ การแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการอีกฝ่ายนั้น ทำให้ออสตินมั่นใจว่าในสายตาของลูกเลี้ยงตนคงจะมองใครที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

ในหัวใจของกานต์มีเขาอัดแน่นเต็มอยู่ในนั้น...

มันเป็นความบาปที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง ทว่า...กลับเป็นความบาปที่ลึกๆ ในใจของออสตินปรารถนาจะให้บังเกิดขึ้นเหลือเกิน

“แด๊ดดี้ครับ”

จู่ๆ เสียงของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น เรียกให้ออสตินที่นั่งเหม่อพินิจอีกฝ่ายอยู่นั้นรู้สึกตัว

“หืม?”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

กานต์ถามด้วยสีหน้าประหม่า หลังจากที่ทานมื้อเย็นกันเสร็จและมานั่งดูโทรทัศน์เรื่อยเปื่อยกันในช่วงหัวค่ำ ออสติสก็เอาแต่จับจ้องเขา ไม่พูดไม่จาอยู่นานสองนานแล้ว

ออสตินเองก็เพิ่งจะรู้ตัวในคราวนี้ว่าตนตกอยู่ในภวังค์ของความลุ่มหลงนานแค่ไหน

ใช่...เขาเองก็ลุ่มหลงเด็กหนุ่มตรงหน้าเช่นกัน

“ไม่มีอะไรหรอก”

พอตอบไป กานต์ก็ย่นคิ้ว “ถ้าไม่มีอะไร ทำไมถึงจ้องผมเขม็งอย่างนั้นล่ะครับ”

“ไม่มีอะไรแล้วจ้องไม่ได้หรือไง” ออสตินยอกย้อน

“ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกครับ แต่ผมประหม่าน่ะ” กานต์ว่าไปตามตรง พลันก็มีรอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้า “หรือว่า...อยากจะจูบผมครับ?” ท่าทางดูร่าเริงและกระตือรือร้นสุดๆ ไปเลย “ถ้าอยากจะจูบอีกรอบ ผมก็ยินดีนะครับ”

ออสตินหัวเราะ ก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งจะจูบกับคนตรงหน้าไปร่วมยี่สิบนาทีแล้ว

“เธอเป็นเด็กโลภมากอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

คนถูกว่ายู่ปาก “ตั้งแต่ที่แด๊ดดี้โปรยเสน่ห์ใส่ผมนั่นแหละ”

“โปรยเสน่ห์? ฉันน่ะเหรอ” เรียวคิ้วเข้มของออสตินขมวดน้อยๆ ขณะที่กานต์พยักหน้า

“ใช่ โปรยเสน่ห์ใส่ผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเลยล่ะ ตอนผมเห็นแด๊ดดี้ครั้งแรกนะ ถึงกับร้องโอ้โหในใจเลย แด๊ดดี้หล่อมาก เท่มากๆ ด้วย”

เสียงเจื้อยแจ้วอย่างซื่อตรงนั้นทำเอาชายหนุ่มหัวใจพองโตไม่น้อย เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะโปรยเสน่ห์ใส่กานต์หรอก เพียงแต่คิดว่าครั้งแรกที่เจอกัน เขาควรจะทำให้อีกฝ่ายประทับใจ

ครั้งแรกที่เจอกัน... ความจริงแล้วมันไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่สองต่างหาก ครั้งแรกนั่น...กานต์คงจะจำไม่ได้

“เธอก็เลยหลงฉันอย่างนี้ล่ะสินะ”

ออสตินว่าเย้า ปล่อยให้กานต์พยักหน้าหงึกหงัก

“เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากทำอะไรกับแด๊ดดี้มากกว่าจูบไงครับ” แล้วก็วนกลับมาเข้าเรื่องเดิมจนได้

ออสตินระบายลมหายใจออกมาอย่างไม่จริงจังสักเท่าไรนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มพูดอย่างนี้ ตั้งแต่ที่เขาบอกเป็นนัยว่าเขาก็รู้สึกกับกานต์อย่างเดียวกัน กานต์ก็ดูจะเปิดเผยความรู้สึกกับเขามากขึ้น อะไรไม่ว่า ยังจะแสดงความต้องการออกมาอย่างชัดเจน

ครั้งนี้ก็เช่นกัน... พอพูดจบ อีกฝ่ายก็ส่งสายตาเว้าวอนมาให้หลังจากที่วันนี้พูดเรื่องนี้ไปแล้วสอง...ไม่สิ สามหรือสี่ครั้งนี่ล่ะ ถ้ารวมครั้งนี้เข้าไปด้วยก็น่าจะเป็นห้า

“นะครับแด๊ดดี้ ทำอย่างอื่นมากกว่าจูบเถอะนะ”

ไม่พูดเปล่า ยังขยับขึ้นมานั่งบนตักของออสตินอย่างถือวิสาสะ ดูเหมือนว่าตักของเขาจะเป็นเก้าอี้ตัวโปรดของกานต์ไปแล้ว

“ไม่ได้”

ออสตินปฏิเสธแทบจะไม่คิด ทำเอาคนร้องขอหน้าง้ำ

“อีกแล้ว อย่างนี้ทุกที”

“รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างนี้ เธอก็เลิกตื๊อสิ”

“มันช่วยไม่ได้นี่ครับ” กานต์ตัดพ้อ ก่อนว่าเสียงแผ่ว “ผมรักแด๊ดดี้ไปแล้ว ก็อยากจะให้แด๊ดดี้รักผมบ้าง”

แล้วใครบอกว่าเขาไม่รักกัน... ออสตินมองใบหน้าเยาว์วัยแล้วก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ

เด็กนี่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเด็กจริงๆ

“ถ้าทนไม่ไหว จะช่วยตัวเองต่อหน้าฉันเหมือนเดิมก็ไม่ว่ากัน”

เป็นคำพูดที่ไม่สัมพันธ์กับประโยคที่กานต์พูดเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับเรียกเลือดให้สูบฉีดไปยังดวงหน้านวลได้

กานต์เม้มริมฝีปากแน่น เขาไม่ได้อยากจะได้ยินประโยคนี้สักหน่อย เขาอยากได้ยินออสตินบอกรักเขาบ้างต่างหาก!

“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ ผมทำคนเดียวดีกว่า”

สิ้นเสียงก็ปีนลงไปนั่งบนโซฟาตามเดิม ปล่อยให้ออสตินได้ยกยิ้มมุมปากอย่างขบขันที่ได้แกล้งอีกฝ่ายหน้าง้ำกว่าเดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปยีเส้นผมสีดำจนยุ่งเหยิงน้อยๆ

“ทำเสร็จแล้วก็เข้านอนซะ ฉันจะขึ้นนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์”

ออสตินทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ปล่อยให้กานต์มองตามแล้วพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง

ผู้ชายคนนี้... ทำไมถึงใจแข็งได้ขนาดนี้นะ!

 

ต่อให้ภายนอกแสดงท่าทางปฏิเสธอย่างไร ทว่าในใจของออสตินกลับไม่ได้ใจแข็งอย่างที่กานต์เห็น คำพูดของเด็กหนุ่มเมื่อตอนหัวค่ำนั้นทำเอาเขานอนไม่หลับจนถึงตอนนี้ เขาพลิกไปพลิกมาบนเตียงอยู่หลายครั้ง บางคราวก็หันไปมองแสงสว่างบนหน้าปัดนาฬิกาตอลบนหัวเตียง

ตีสองแล้ว... เขายังข่มตาให้หลับไม่ได้เลยสักนิด ในหัวเอาแต่คิดวุ่นวายอยู่เรื่องหนึ่ง

...เรื่องที่กานต์เรียกร้องให้เขาทำมากกว่าการจูบ

ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ เขาอยากทำมากทีเดียว ถ้าไม่อยากทำ เขาจะดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อให้กานต์มาอยู่กับเขาทำไม แต่กำลังต่อสู้กับความคิดย้อนแย้งของตัวเองอยู่

...เขาคงจะทำอะไรต่อมิอะไรเลยเถิดไปแล้วถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่ได้อายุแค่สิบเจ็ด และเขาไม่ได้มีสถานะเป็นพ่อเลี้ยงของเด็กคนนั้น

คิดแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือเลื่อนไปลูบคลึงบริเวณกลางลำตัวของตนที่ดูเหมือนจะตอบสนองกับคำพูดของกานต์มาตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ

ตอบสนอง...แล้วก็หายไป จากนั้นก็ตอบสนองขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาจินตนาการสีหน้าของเด็กหนุ่มว่ายามอยู่ใต้ร่างเขานั้นเป็นอย่างไร

เป็นจินตนาการที่บาปมหันต์เสียจริง...

แต่ถึงอย่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ จนในที่สุดก็ต้องปล่อยใจและกายของตัวเองให้เป็นไปตามพายุอารมณ์ เลื่อนมือเข้าไปในขอบกางเกง หมายจะปลดเปลื้องความปรารถนาที่โชติช่วงอยู่ ทว่า...ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อฉับพลันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นฝีมือของใคร ออสตินสูดหายใจเข้าปอด นั่งรอสักครู่ให้ร่างกายของตนกลับคืนสู่สภาพปกติ ก่อนจะทิ้งตัวลงจากเตียง เดินไปเปิดประตูก็เห็นว่าเป็นกานต์ที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่

“ยังไม่นอนอีก” เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของออสติน

“คือผม...” กานต์อึกอัก ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “นอนไม่หลับครับ”

“แล้ว?”

“อยากจะมาขอนอนกับแด๊ดดี้”

คนฟังยิ้ม เปิดประตูให้กว้างขึ้น “เข้ามาสิ”

เท่านั้นเด็กหนุ่มก็รีบก้าวเข้าไปข้างใน กระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง คว้าหมอนของออสตินมากอดไว้

“คืนนี้ผมขอหนุนหมอนใบเดียวกับแด๊ดดี้ได้ไหมครับ”

ออสตินที่เพิ่งปิดประตูห้องเมื่อครู่หันมามอง “ผ้าห่มก็มาแย่งของฉัน ยังจะแย่งหมอนอีกเหรอ”

“ถ้าแด๊ดดี้กลัวว่าผมจะแย่ง ก็ให้ผมนอนหนุนแขนก็ได้นะ”

อีกฝ่ายว่าหน้าระรื่นทีเดียว ออสตินหัวเราะน้อยๆ ให้กับคำพูดนั้น ก่อนจะเดินมานั่งที่เตียง

“ถ้าเธอไม่กลัวเมื่อย แล้วแต่เธอ”

“คนที่จะเมื่อยน่ะแด๊ดดี้ต่างหาก” กานต์ยอกย้อน

ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ เพราะถ้าออสตินยอมให้นอนหนุนแขน ดูท่าแล้วคงจะต้องถูกนอนทับไปทั้งคืน แต่...เขากลับยินดี

“นอนเถอะ ดึกมากแล้ว” ออสตินเพียงยิ้มรับและตัดบทเอาดื้อๆ

กานต์ทิ้งตัวลงนอน รอให้ออสตินเดินไปปิดไฟ ทว่าจู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้น

“แด๊ดดี้ครับ ไม่คิดจะทำอะไรผมมากกว่าการจูบจริงๆ เหรอ”

ทั้งๆ ที่มือกำลังเอื้อมไปปิดสวิตซ์ไฟอยู่แล้ว แต่พอถูกถามอย่างนี้ ออสตินก็ชะงักค้าง หันไปมองเด็กหนุ่มที่กลิ้งอยู่บนเตียงของตัวเองทันควัน

“อย่าบอกฉันนะว่าที่เธอมาเคาะเรียกกลางดึกแบบนี้เพราะเรื่องนั้น?”

ปิดออสตินไม่ได้หรอก กานต์ก็ไม่อยากจะปิดด้วยจึงพยักหน้ารับ ท่าทางนั้นทำเอาออสตินต้องขมวดคิ้ว เดินกลับมานั่งที่ปลายเตียงอีกครั้ง

“รู้ไหมว่าทำแบบนี้มันเสี่ยงมากเลยนะ”

คนฟังทำตาแป๋ว “เสี่ยงอะไรครับ”

“เสี่ยง...” เว้นจังหวะไปเล็กน้อย “ทำให้ฉันทนไม่ไหว”

ออสตินว่าตามตรง ขณะที่กานต์ได้ยินแล้วก็หัวเราะ

ที่ว่าทนไม่ไหวคงจะหมายถึงตบะแตก...

“ก็ไม่ต้องทนสิครับ” กานต์ยันตัวขึ้นนั่ง ขยับเข้าหาออสติน จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “เพราะผมเองก็ทนไม่ไหวมาตั้งนานแล้ว”

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้าจะยั่วยวนความต้องการของเขาได้ถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็พูดไปตามประสาคนที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น ออสตินมองแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย

เมื่อครู่เขาเพิ่งเกือบจะทำ... เพื่อช่วยให้ตัวเองคลายความร้อนรุ่มจากการจินตนาการภาพบ้าๆ ของกานต์แท้ๆ แต่จู่ๆ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้โผล่มาทำให้เขาฟุ้งซ่านกันอีกนะ

“นะครับ...” กานต์ออดอ้อนมาอีก

“ฉันบอกแล้วไงว่าถ้าอยากทำก็ทำสิ ทำต่อหน้าฉันก็ได้ ฉันจะไม่วิจารณ์”

“ทำคนเดียวมันไม่เหมือนทำกับแด๊ดดี้สักหน่อย” อีกฝ่ายว่า “แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะทำให้แด๊ดดี้ดูด้วย อยากทำด้วยกันมากกว่า” ประโยคนี้ว่าเสียงเบาเชียว

แล้วไม่คิดเหรอว่าออสตินเองก็อยากจะทำเรื่องอย่างนั้นด้วยกันน่ะ

ดูผิวเนียนๆ ของคนตรงหน้าสิ

ดูร่างกายที่กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์นั่นสิ

ดูใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตาที่เว้าวอน กลีบปากสีสวย ฟังน้ำเสียงออดอ้อนพวกนั้นดูสิ

คิดว่าเขาต้องใช้ความพยายามเท่าไรในการอดทนกัน?

ออสตินก็ตั้งใจจะปฏิเสธอีกครั้งนั่นแหละ แต่ทว่ากานต์ก็สวนขึ้นมาก่อน

“ภายนอกก็ได้ ถ้าภายนอกคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ แบบว่าใช้มือหรือปากอะไรแบบนั้น”

ชายหนุ่มชะงัก... ใช่ มันก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่...

“ฉันกลัวว่าถ้าได้ทำแล้ว ฉันจะไม่หยุดแค่นั้น มันจะเลยเถิดไปอย่างอื่น”

ไม่หยุดแค่ไหน กานต์เข้าใจได้

“ถ้าหยุดไม่ได้ก็ทำให้ถึงที่สุดสิครับ”

นี่แหละ เพราะรู้ว่ากานต์จะยอมให้เขาทำทุกอย่าง เขาถึงได้กลัวใจตัวเอง ถ้าเกิดเขาทำเกินกว่านั้น มีหวังได้ไปถ่ายรูปทำประวัติผู้ต้องหาคดีพรากผู้เยาว์แน่ๆ

แต่ว่า...ทำแค่ภายนอกเหรอ?

มันก็น่าลองเหมือนกัน...อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้แตะต้องคนตรงหน้า

“นะครับแด๊ดดี้...”

ยังไม่ทันจะตัดสินใจได้เด็ดขาด กานต์ก็วิงวอนมาอีกแล้ว คราวนี้ไม่ขอร้องเปล่าๆ ยังขยับเข้ามาประคองใบหน้าคร้ามไว้ด้วยสองมือ ก่อนที่จะกระซิบเสียงแผ่ว

“ผมทนไม่ไหวจริงๆ ครับ ขอร้องล่ะ”

ปลายนิ้วของฝ่ามือที่ประคองใบหน้าออสตินอยู่ไล่ระเรื่อย...ตั้งแต่เรียวคิ้วเข้ม จมูกโด่งคมสัน ลงต่ำมายังซีกหน้าคร้ามที่ให้สัมผัสสากน้อยๆ ก่อนจะมาจบยังริมฝีปากหนา

กานต์หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง เหลือบมองดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของออสตินโดยไร้ซึ่งคำพูด มีแต่ความลำพองใจว่าริมฝีปากของชายหนุ่มที่กำลังแตะอยู่นี้เป็นของเขา

จากนั้น...ก็ลากไล้แผ่วเบา

ออสตินเหมือนจะหมดสิ้นซึ่งความอดทนในตอนนี้ เผยอริมฝีปาก งับเรียวนิ้วนั้นเข้าไป แนวฟันคมๆ ทำให้กานต์สะดุ้งจนเผลอชักมือออก หากแต่อีกฝ่ายก็รีบคว้าเอาไว้ ก่อนจะใช้สายตาออกคำสั่งให้อยู่เฉยๆ

พอเห็นว่ากานต์นิ่งไปอีกครั้งแล้ว เขาถึงอ้าปาก แลบลิ้นออกมาค่อยๆ ละเลียดชิมไปตามเรียวนิ้วนั้น

ความนุ่มและแฉะชื้นไล้ลามตั้งแต่ส่วนโคนจรดปลาย จากนั้นก็ลากเรื่อยมายังง่ามนิ้ว สัมผัสวาบหวามประหลาดทำให้เด็กหนุ่มเกร็งตัวแข็ง วูบเดียวก็ต้องสะดุ้งเมื่อออสตินดูดดุนปลายนิ้วของเขาเข้าไป ขณะที่ดวงตาคู่สวยจับจ้องยังใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่ลดละราวกับเชิญชวน

ใบหน้าของเด็กหนุ่มเห่อร้อน...

เขาคิดว่ามันคงจะแดงลามเรื่อไปถึงใบหูและลำคอแล้ว และคิดอีกเช่นกันว่าในไม่กี่อึดใจข้างหน้า เขาคงจะอดใจไม่ไหวยิ่งกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็จริงเมื่อเห็นออสตินยั่วเย้าอย่างนั้น กานต์ขยับเข้าหน้า โน้มหน้าไปงับใบหูของอีกฝ่าย ตอนนั้นเองที่ออสตินถอนริมฝีปากออกมา

"กานต์..."

คนถูกเรียกชะงัก หากแต่ปากยังคงขบเม้มค้างอยู่ที่ปลายหูชายหนุ่ม

"ถ้าเธอไปต่อมากกว่านี้ ฉันจะทนไม่ไหวเอานะ"

"ก็ไม่ต้องทนสิครับ" กานต์กระซิบเสียงพร่า เขาก็รอเวลานี้อยู่

"แต่เธอเพิ่งจะสิบเจ็ด"

ประโยคนี้ราวกับออสตินย้ำเตือนตนเองมากกว่าที่จะบอกอีกฝ่าย ขณะที่กานต์ผละออกมามองหน้าคนพูด

"ไม่ต้องกลัวถูกจับหรอกครับ ผมจะไม่บอกใคร ผมสัญญา..."

คำพูดนั้นใสซื่อมาก หากแต่ดวงตาหวาดหยาดเยิ้มอย่างเชื้อชวน

ออสตินเกือบจะคล้อยตามอยู่แล้ว แต่ทว่าก็ต้องหลุดหัวเราะเมื่อกานต์ว่าซื่อๆ ออกมาอีก

"ถ้าแด๊ดดี้ถูกจับก็ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะไปยืนยันกับตำรวจเองว่าผมสมยอม"

คิดว่าพูดอย่างนี้แล้วจะให้เขาสบายใจขึ้นว่างั้น?

ออสตินเอื้อมมือไปประคองซีกหน้าอีกฝ่าย สายตาปราดมองไปยังเสื้อเชิ้ต ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตแล้วแบะมันออกจนแผ่นอกของคนตรงหน้าปรากฏให้เห็น ตุ่มไตเล็กๆ สีชมพูระเรื่อที่โผล่มาให้เห็นวับแวมแทบทำให้เขาอดใจไม่ไหว ก่อนจะว่าเย้า

"งั้นฉันคงต้องเตรียมทนาย" พลันลากมือไปสะกิดเบาๆ ที่ยอดอกข้างหนึ่งจนอีกฝ่ายสะท้าน ก่อนจะดึงร่างของอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งซ้อนบนตัก เงยหน้าขึ้นสบตาของกานต์พลางว่าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “คดีพรากผู้เยาว์คงจะทำฉันติดคุกหัวโตทีเดียว”

พูดมาอย่างนี้ ถ้ากานต์ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง มันก็เท่ากับว่า...ออสตินยอมที่จะทำอะไรมากกว่าการจูบแล้ว?

ไม่ต้องให้อีกฝ่ายต้องตอบเป็นถ้อยคำ เพราะทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของกานต์ก็ถูกดันให้ลงนอนราบไปกับเตียง ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกครอบครองอย่างกระหาย

ปลายลิ้นอุ่นร้อนไล้ชิมกลีบปาก ไม่นานก็ดุนดันเข้าไปด้านใน เกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นเล็ก ตักตวงเอาความหวานไปเป็นของตน ช่วงชิงลมหายใจของอีกฝ่ายไปราวกับจะฉุดลงสู่หุบเหวอเวจี

หากแต่แค่ปลายลิ้นร้ายนั้นยังไม่มากพอที่จะฉุดกระชากให้กานต์ลงสู่ห้วงเหวนั้นได้ ออสตินจึงใช้มือทั้งสองข้างเองช่วยในการดึงรั้ง

มือข้างหนึ่งบดเบียดจุดศูนย์รวมความรู้สึกด้านหนึ่งของหน้าอก ริมฝีปากถอดถอนออกมา พรมจูบระเรื่อยไล่ไปยังใบหู ก่อนจะลงต่ำมาที่ซอกคอ ไล้ไปตามแผ่นอกและเข้าครอบครองตุ่มไตเล็กๆ ที่ยังว่างอยู่อีกข้าง

เด็กหนุ่มแอ่นอกสะท้าน...

ความรู้สึกหวามไหวที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายทำเอาเขาแทบทนไม่ไหว เสียงลมหายใจกระหืดหอบน้อยๆ ดังแผ่วมาเข้าโสต ดวงหน้าแดงเรื่อ ร่างกายบิดเร่าราวกับไม่สามารถทนทานต่อการรุกรานได้

ทว่า...ถึงท่าทางนั้นจะทรมาน แต่ปีศาจอย่างออสตินกลับไม่ยอมรามือ

เขาอยากเห็นกานต์ทรมานเพราะเพลิงพิศวาสของเขามากขึ้นไปอีก...

ครั้นถอนริมฝีปากออกจากยอดอกข้างนั้น เขาก็พรมจูบลงต่ำไปยังท้องน้อย กระทั่งถึงขอบกางเกงก็เหลือบมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ปรือตาหวานเชื่อมมองเขาอยู่ จากนั้น...ก็กัดที่ขอบกางเกงเป็นการยั่วเย้าให้คนมองได้หน้าแดงเรื่อมากกว่าเดิม พลันซุกใบหน้าไปยังเนินนูนที่ดุนดันเนื้อผ้าขึ้นมา

ครั้งนี้กานต์ถึงกลับหลุดส่งเสียงประหลาด...

สัมผัสหวามไหวทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ถึงเขาจะเคยปลดปล่อยด้วยตนเองอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยให้ใครได้แตะต้องยังส่วนลับนั่น

ออสตินเป็นคนแรก... และก็กำลังจะทำให้เขาคลั่งตายตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับรู้ว่าความรู้สึกยามถูกปีศาจแห่งราคะตนนี้รังแกเป็นอย่างไรเสียด้วย

ออสตินดึงกางเกงของอีกฝ่ายลง ภาพตรงหน้าเป็นภาพงดงามที่สุดที่เขาเคยเห็น ไอร้อนผะผ่าวที่แผ่กำจายออกมาจากส่วนชูชันนั้นทำให้เขาอดใจที่จะประคองมันไว้ในฝ่ามือไม่ได้ ส่วนปลายหยาดเยิ้มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา ก่อนที่ปลายนิ้วหัวแม่มือจะลูบคลึงจนฉ่ำเยิ้มไปหมด

“แล้วเธอจะต้องเสียใจที่มาชวนฉันทำเรื่องอย่างนี้” ออสตินเตือนอีกฝ่ายที่กำลังปรายตามองเขาอยู่

กานต์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาไม่คิดหรอกว่าตนเองจะเสียใจ แต่คิดว่ากำลังจะตายเพราะการรุกรานของออสตินมากกว่า...

ริมฝีปากจรดจูบลงมาอย่างบรรจง พลันค่อยๆ เผยอออก กลืนกินเข้าไปทีละน้อยจนความอุ่นร้อนแผ่นซ่านในโพรงปาก

กานต์กำผ้าปูที่นอนแน่น...

เขากำลังจะตายจริงๆ ด้วย...

เสียงหายใจกระหืดหอบกับเสียงครางกระเส่าดังออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ กานต์ไม่เคยรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองได้เท่ากับครั้งนี้ สะโพกแอ่นขึ้น พยายามขยับหนีความเสียวซ่านที่ถูกมอบให้ ทว่าก็ไม่อาจหนีได้พ้น ฝ่ามือของปีศาจราคะฉุดรั้งเขาไว้ ยิ่งหนีก็ยิ่งถูกลงโทษ ปรนเปรอเสียจนเขาไม่อาจทนได้ไหวอีกต่อไป

พริบตาเดียว... ความอัดแน่นภายในก็ถูกปลดเปลื้องเสียหมดสิ้น ร่างที่กระตุกน้อยๆ สองถึงสามครั้งค่อยๆ ผ่อนคลาย ก่อนจะเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากลืนอะไรบางอย่างลงคอไป ก่อนจะขยับขึ้นมาประกบจูบเขาอย่างเร่าร้อน บางส่วนของร่างกายออสตินดุนดันที่หน้าขาเขา กานต์รับรู้ได้ทันทีว่ามันคือ...

“แด๊ดดี้จะไม่ทำเหรอครับ”

ในที่สุดก็ออกปาก เด็กหนุ่มรับรู้ได้ชัดเจนเลยทีเดียวว่าส่วนนั้นมันแข็งขืนเสียจนคับแน่นไปหมด

“ไม่ทำหรอก” ออสตินว่า ใบหน้ายังไม่เงยจากการซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นของคนใต้ร่าง

“แต่แด๊ดดี้จะอึดอัด...”

คราวนี้ออสตินผละใบหน้าออกมา “ถ้าฉันทำ มันจะต้องเลยเถิดแน่ๆ”

เขาบอกไปตามตรง พูดก็พูด แค่เมื่อครู่นี้ เขาก็เกือบจะระงับความต้องการของตัวเองไว้ไม่ไหว ดีที่ส่งเด็กหนุ่มถึงฝั่งฝันได้ก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องเสียสติ รุกรานอีกฝ่ายอย่างไม่เหมาะสมไปกว่านี้แน่

“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” กานต์ว่าเสียงเบา

คำพูดนั้นทำให้ออสตินยกยิ้ม จูบประทับลงมาบนหน้าผากมน

“ใช่ มันไม่เป็นไร แต่มันยังไม่ถึงเวลา”

“แด๊ดดี้รอให้ผมอายุครบสิบแปดเหรอครับ”

ออสตินไม่เถียง พยักหน้ารับ

“กว่าผมจะครบสิบแปดก็ตั้งปีหน้า แด๊ดดี้ลงแดงตายก่อนแน่”

คนฟังหัวเราะตามมาให้ได้ยิน “จนกว่าจะถึงตอนนั้น ฉันจะอดทน”

กานต์รู้ว่าออสตินทำได้ แต่ว่า...

“แต่ผมทนไม่ไหว”

“ฉันก็จะทำอย่างที่ทำให้เธอไง”

ไม่...กานต์ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ที่ออสตินยอมทำมากกว่าจูบมันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่า...

“ผมก็อยากให้แด๊ดดี้รู้สึกดีด้วยนี่ครับ” กานต์สบดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนิ่ง ว่าย้ำ “ผมก็อยากให้แด๊ดดี้รู้สึกดีเหมือนกับที่ผมรู้สึกด้วย”

ออสตินนิ่งไปเล็กน้อย “แค่ทำให้เธอ ฉันก็รู้สึกดีแล้ว”

สิ่งที่พูดคือเรื่องจริง ทว่าก็ไม่ได้ทำให้กานต์เชื่อฟังได้

“มันต้องไม่ใช่ทำให้ผมฝ่ายเดียวสิ” พูดแล้วก็ดันตัวขึ้นนั่งเล็กน้อย มือเอื้อมไปจับยังส่วนที่อุ่นร้อนกลางลำตัวของออสตินทันควัน “ผมก็อยากทำให้แด๊ดดี้เหมือนกัน”

แม้ว่าใบหน้าจะแดงด้วยความเขินอาย ทว่าคำพูดนั้นกลับซื่อตรงเสียจนออสตินอึ้งงันไปอยู่เหมือนกัน เขาคิดในใจว่าอุตส่าห์ดึงปีศาจราคะที่สิงสู่ร่างของเขาไปเมื่อครู่ให้กลับสู่อเวจีได้แล้วแท้ๆ แต่กานต์ก็ดันเรียกมันกลับมาให้สิงสู่เขาอีกครั้ง กระนั้นเขาก็ข่มไม่ให้ด้านมืดของคนเผยความปรารถนาออกมา ก่อนจะว่าเสียงเรียบ

“ไม่เป็นไร นอนเถอะ ดึกมากแล้ว”

กานต์ขัดใจ ยิ่งถูกออสตินดึงมือออกแล้วผละไปปิดไฟ จากนั้นก็กลับมานอนที่เตียง กานต์ก็ยิ่งขัดใจหนัก พลันถือวิสาสะพลิกตัวไปขึ้นคร่อมร่างของออสตินในความมืดทันที

“ไม่ได้ ไม่เป็นไรไม่ได้ครับ ผมจะทำให้แด๊ดดี้ด้วย”

ไม่รู้ว่ากานต์กลายเป็นเด็กดื้ออย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร มิหนำซ้ำยังจะเกเรด้วย กล้าดีถึงขนาดที่พอพูดจบแล้วก็ดึงขอบกางเกงของออสตินออก ปลดปล่อยให้ตัณหาของเขาพุ่งทะยานออกมายังภายนอก

ฝ่ามือลูบคลึงไปบนส่วนอ่อนไหวของออสตินอย่างเงอะงะ ออสตินก็อยากจะห้ามอยู่หรอก แต่...

...อยากจะห้ามเหรอ? ไม่... ไม่เลย เขาไม่ได้มีความคิดที่จะห้ามทั้งนั้น มีแต่ความยินดีที่พร่างพรายแน่นในอกที่เด็กหนุ่มพึงใจจะกระทำให้เขาอย่างนั้น

สายตาของเขาทอดมองไปยังเงาตะคุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ความอุ่นร้อนและเฉอะแฉะจะแล่นพล่าน เท่านั้นก็รู้ทันทีว่ากานต์กลืนกินความเป็นบุรุษเพศของเขาเข้าไปแล้ว

ยินดี... ยินดีเป็นอย่างยิ่ง...

ไม่เคยมีครั้งไหนที่ออสตินจะยินดีกับการกระทำของกานต์ได้ถึงครั้งนี้

เสียงครางฮืมในลำคอดังออกมาให้ได้ยิน มือข้างหนึ่งลูบที่ท้ายทอยของเด็กหนุ่ม ออกแรงนำให้ขยับตามจังหวะที่เขานำพาราวกับเป็นการสอนว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร ขณะที่กานต์ปล่อยตัวให้เอนอ่อนไปตามการชักนำนั้น

 ปีศาจราคะตนนั้น... ไม่ได้สิงสู่แค่ออสตินเสียแล้ว แต่กลับสิงสู่เด็กหนุ่มคนนี้ด้วย

แต่จะเป็นอะไรก็ช่าง ออสตินไม่สนอีกแล้วในตอนนี้ เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องการเด็กหนุ่มคนนี้เท่านั้น

กานต์...เป็นของเขา และจะเป็นตลอดไป...

ความบาปแห่งตัณหาที่พุ่งทะยานให้ทั้งสองปรารถนากันและกันพวยพุ่งอบอวลไปทั่ว ความรู้สึกของทั้งสองถูกโอบอุ้มด้วยราคะ พวกเขาหันหลังให้กับพระเจ้าอย่างไร้ซึ่งเงื่อนไข เคลื่อนย้ายเข้าสู่หุบเหวแห่งอเวจีและจมจ่อมไปกับเพลิงมธุรสหวานหอมที่จะเผาผลาญให้มอดไหม้ไปด้วยกัน...

------------------------------

แอบดอดมาอัปดึกๆ ค่ะ เริ่มว่างจากงานหนังสือละ ฮา

ตอนนี้จริงๆ ตั้งใจว่าจะเริ่มเผยความลับของออสตินด้วย แต่ดั๊นนน ยาวไป เลยยกยอดไปตอนหน้าแทนนะคะ ตอนนี้ก็บาปกันให้เต็มที่ไปแล้วกัน

รับ Sin รับ Porn แล้วหวีดกันได้ตามอัธยาศัยค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 18-03-2018 04:32:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 18-03-2018 12:22:45
กานต์ยั่วยวนแด๊ดได้เผ็ดมากค่ะ :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 18-03-2018 14:11:25
เหอะๆๆ แด๊ดดี้เริ่มยอมรับสักทีว่าทนไม่ไหวแล้วววว

พนมมือรับ porn ค่ะ ฮาาาา
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-03-2018 16:19:35
ยอมรับสักทีนะแด๊ด  :laugh:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 18-03-2018 17:15:10
มากรี๊ด daddy  :oo1:




ปล. นิดนึงนะคะ เราอ่านคำว่า 'ความบาป' แล้วรู้สึกแปร่งๆ น่าจะใช้ 'บาป' เดี่ยวๆก็พอนะคะ บาป เป็นคำนามในตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ 'ความ'เพิ่มค่ะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 18-03-2018 20:27:18
โอ้ ร้อน แรง  มาก ...
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 18-03-2018 23:33:06
เผ็ชชช
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 19-03-2018 00:11:58
กานต์เด็กดื้อ
แต่แด๊ดดี้ก็ยอมล่ะนะ
คนอ่านก็กำไรไปซิค๊าาาา
แอร๊ยยยยว
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 19-03-2018 09:44:45
มากรี๊ด daddy  :oo1:




ปล. นิดนึงนะคะ เราอ่านคำว่า 'ความบาป' แล้วรู้สึกแปร่งๆ น่าจะใช้ 'บาป' เดี่ยวๆก็พอนะคะ บาป เป็นคำนามในตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ 'ความ'เพิ่มค่ะ

ขอบคุณมากค่า เดี๋ยวไว้หนูแดงไปแก้อีกทีนะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 20-03-2018 01:40:04
ลุ้นนนนนนนน ทุกตอน :katai5:
อยากรู้ความลับของแด๊ดดี้เพิ่มอีกค่ะ :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Chapter 17: Our sin[18-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-03-2018 17:27:29
Chapter 18: Beware of the vicious dog

ได้ลิ้มรสเพียครั้งเดียว ออสตินก็อยากลิ้มรสหวานนี้ตลอดไป

ความอดทนที่เขาพยายามกักเก็บไว้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาพังทลายลงเมื่อเด็กหนุ่มใต้อาณัติแสดงความต้องการออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการเขาเพียงใด ยิ่งได้สัมผัส กานต์ก็ยิ่งอยากจะใกล้ชิดเขามากขึ้นอีก

นอกจากจะถูกปีศาจแห่งราคะเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์แล้ว เด็กหนุ่มยังถูกปีศาจแห่งความละโมบเข้าครอบงำอีกด้วย
หากแต่ออสตินก็ไม่พูดว่าสิ่งใด เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต่างกันจากคนข้างกายที่คอยเรียกร้องสัมผัสจากเขาเลยสักนิด ภายใต้ท่าทางนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาสิ่งใด ภายในใจนั้นกลับอัดแน่นไปด้วยความเสน่หาที่แทบจะปะทุทุกครั้งเมื่อได้จูบจรดไปทั่วเรือนร่างของลูกเลี้ยง

มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย แต่...ออสตินก็ยินยอมที่จะปล่อยตัวปล่อยใจในระดับหนึ่งแล้ว มีเพียงการกระทำถึงขั้นสุดท้ายเท่านั้นที่เขาย้ำเตือนตัวเองว่ายังไม่ควรทำจนกว่าอีกฝ่ายจะบรรลุนิติภาวะ ที่ต้องรอ...ไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวตัวเองจะเดือดร้อน แต่เขาต้องการให้กานต์มีวุฒิภาวะมากพอที่จะตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองได้ก่อนต่างหาก

ส่วนเขา...ทำได้เพียงอดทนและรอ...

กระนั้นชายหนุ่มก็เฝ้าถามตนเองตลอดว่าเขาจะอดทนและรอได้นานเท่าไรกัน เพราะในเมื่อทุกวันได้ยลเรือนร่างของอีกฝ่าย เขาก็แทบจะสูญเสียการควบคุมไปทุกครั้ง

ใครว่าเขาเป็นผู้ชายอันตรายกัน คนที่อันตรายที่สุดน่ะ คือเด็กหนุ่มที่เอาแต่จ้องมองเขาด้วยสายตาเว้าวอนและชักชวนให้เรื่องที่ไม่ควรบังเกิดมันเกิดขึ้นมากกว่า

ทว่า...ก็ไม่ใช่ความผิดของกานต์ มันเป็นความผิดของเขาต่างหากที่ไม่รู้จักระงับความต้องการไว้ให้ดี

แต่...ช่างมันเถอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาและกานต์เองก็ยอมรับความรู้สึกกันแล้วว่าต่างไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นครอบครัว ถ้าอย่างนั้นเขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน

และเพราะคิดอย่างนั้น ออสตินจึงไม่ปฏิเสธที่จะแนบชิดเมื่อถูกกานต์ชักชวนอีก ถึงจะเป็นเพียงภายนอก แต่นั่นก็เป็นการเติมเต็มความต้องการของเขาที่อุตส่าห์เฝ้ารอคอยมาตลอดสองปีแล้ว

สองปี... ตั้งแต่เมื่อตอนที่กานต์มีอายุได้เพียงสิบห้าปีเท่านั้น

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่เพิ่งออกมาจากของตัวเองและเดินผ่านหน้าห้องเขา เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งที่เขาไปพบกับมารดาของอีกฝ่ายเมื่อสองปีก่อนนั้น เติบใหญ่ขึ้นถึงขนาดนี้ ในตอนนั้น...กานต์ยังเป็นเพียงเด็กมัธยมต้นอยู่เลยด้วยซ้ำ เขาก็บ้าจริงเชียวที่เผลอใจให้กับอีกฝ่ายทั้งที่กานต์มีอายุห่างจากเขาตั้งสิบแปดปีตั้งแต่แรกพบ

มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ...

ทว่า...ทั้งที่รู้อย่างนั้น แต่ออสตินกลับไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งรู้ว่าอีกไม่นาน มารดาของกานต์จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา เขาก็เฝ้าตั้งตารอเลยทีเดียว ถึงขนาดไปเรียนภาษาไทยเพื่อเตรียมความพร้อมในการสื่อสารก่อนจะได้พบกับเด็กหนุ่มด้วยกลัวว่าเมื่อเจอกันแล้วจะคุยกันไม่รู้เรื่อง

คิดถึงช่วงเวลานั้นแล้ว ออสตินก็รู้ว่าในใจของเขามีแต่เด็กผู้ชายคนนั้นอัดแน่นอยู่มากเพียงใด ก่อนที่ความคิดของเขาจะถูกดึงไปเมื่ออีกฝ่ายจะร้องบอกผ่านเข้ามาข้างในห้อง

“เดี๋ยวผมไปโรงเรียนอนนะครับ”
เสียงนั้นทำเอาออสตินที่กำลังผูกเนกไทอยู่ชะงักไปครู่ พลันพยักหน้ารับ
“วันนี้...แด๊ดดี้จะกลับบ้านเร็วใช่ไหมครับ”
“ถามทำไม”
“ผมอยากรู้”
“อยากรู้เพราะอะไร”
“ทำไมแด๊ดดี้ต้องถามจุกจิกด้วย ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าเพราะผมอยากใช้เวลาอยู่กับแด๊ดดี้นานๆ”

ถูกแหวน้อยๆ กลับมาอย่างนั้น รอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าคร้าม

เขารู้อยู่แล้วน่ะจริง แต่เขาอยากได้ยินคนตรงหน้าพูดให้ฟังมากกว่าว่าอยากอยู่กับเขา

“ตกลงกลับบ้านเร็วใช่ไหมครับ”
“วันนี้ไม่มีประชุม”
“แล้วกลับเร็วใช่ไหมครับ” กานต์ถามย้ำมาอีกเมื่อออสตินตอบไม่ตรงประเด็น
“คิดว่าฉันควรกลับเร็วหรือเปล่าล่ะ”

ตอนนี้ใบหน้าอ่อนเยาว์มีรอยย่นยู่เล็กน้อยเมื่อถูกออสตินเล่นลิ้นไปมาไม่เลิก

“ควรสิครับ เพราะผมจะรีบกลับมารอ”
เท่านั้นออสตินก็หัวเราะในลำคอน้อยๆ “ถ้าเธอรีบกลับ ฉันก็คงจะต้องรีบกลับ”

ในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม
“ผมจะรีบกลับครับ ไว้เจอกันนะ”

สิ้นเสียง กานต์ก็ยกมือขึ้นโบกน้อยๆ เป็นการบอกลา ก่อนจะกระโจนลงจากบันไดบ้านไป ออสตินมองตามขณะที่ริมฝีปากยังคงหยักยิ้มอยู่

เด็กผู้ชายคนนั้น...เปรียบเสมือนกับแสงอาทิตย์วันใหม่ของเขาจริงๆ

แทนที่จะผูกเนกไทให้เสร็จแล้วรีบไปทำงานบ้าง หากแต่ออสตินกลับเลือกที่จะวางเนกไททิ้งไว้บนเตียง เดินไปหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดูกล้องวงจรปิด ตั้งใจว่าจะดูเด็กหนุ่มกระทั่งออกจากบ้านไป ทว่า...เพียงแค่สายตาปราดมองไปยังหน้าจอ พลันหัวคิ้วของเขาก็ย่นยู่

กล้องวงจรปิดที่อยู่นอกบ้านและสามารถมองเห็นหน้าประตูรั้วได้...ฉายภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

แน่นอนว่าไม่ใช่กานต์ แต่เป็นเด็กหนุ่มร่างสูง เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

เจฟฟรี่ย์ โอโคเนล...

ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน วันนี้ถึงขนาดมาดักรอหน้าบ้านเลยอย่างนั้นเหรอ?

คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะเจฟฟรี่ย์ชะเง้อชะแง้เข้ามาในบ้าน ทำท่าเหมือนมองหาใครบางคน เท่านั้นออสตินก็โยนแท็บเล็ตลงบนเตียง ก้าวยาวๆ ลงบันไดไปทันที ก่อนจะเปล่งเสียงร้องเรียก

“กานต์”
คนถูกเรียกซึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ สวมรองเท้าผ้าใบอยู่ที่หน้าชั้นวางรองเท้าหันมามอง พอเห็นว่าเป็นผู้ปกครองก็เลิกคิ้วสูง
“ครับ?”
“อย่าเพิ่งไป”
ได้ยินอย่างนั้น สีหน้าก็ดูงุนงงมากขึ้นไปอีก
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ออสตินไม่ตอบคำถาม ตรงเข้ามาหา ก่อนจะรวบร่างอีกฝ่ายไปไว้ในอ้อมแขน จรดจูบที่ริมฝีปาก ก่อนจะออกแรงอุ้มขึ้นไปนั่งบนชั้นวางรองเท้า ซุกไซ้ใบหน้าไล่ต่ำไปตามใบหูและซอกคอ

อากัปกิริยานั้นทำเอากานต์เบิกตาโตด้วยอารามตกใจ เพราะไม่เคยถูกออสตินจู่โจมโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยมาก่อน หากแต่ก็ไม่ได้ปัดป้อง ได้แต่หอบหายใจน้อยๆ พลางเอ่ยปากถาม

“แด๊ดดี้ครับ...เป็นอะไร...จู่ๆ ก็...”

จากนั้นเสียงก็ขาดห้วงไปเมื่อมือใหญ่สอดเข้ามาใต้ชายเสื้อยืด ลูบไล้แผ่วเบาที่จุดศูนย์รวมความรู้สึกเล็กๆ ยังแผ่นอก ขณะที่ออสตินซึ่งยังไม่ละใบหน้าออกจากซอกคอหอมกรุ่มพึมพำแผ่วเบา

“อยู่เฉยๆ”
“ทะ...ทำไมล่ะครับ”

ออสตินไม่ตอบ ถลกชายเสื้อขึ้น เข้าครอบครองยอดอกสีสวยจนอีกฝ่ายต้องแอ่นอกรับสัมผัสด้วยความหวามไหว พริบตาเดียว ส่วนกลางของลำตัวก็เกิดปฏิกิริยา ออสตินจัดการปลดเปลื้องท่อนล่างของคนตรงหน้าออก กอบกุมความร้อนเร่านั่นไว้แล้วรูดรั้งทีละน้อย

“ดะ...แด๊ด...”

กานต์ทั้งงุนงง ทั้งเสียวซ่าน ระคนปนเปกันไปหมด จะถามก็เอ่ยปากไม่ได้ มีเพียงเสียงครางกระเส่าเท่านั้นที่ดังขึ้น

กระทั่ง...ไม่นานนัก ความอัดอั้นภายในก็ปะทุออกมาเป็นหยาดหยด กระเซ็นเปรอะเปื้อนที่ชายเสื้อสูทของคนตรงหน้าเป็นวง กานต์เบิกตาโตอีกครั้ง

“สูทของแด๊ด...”
“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงทุ้มเจือความใจดีดังปลอบประโลม ก่อนจะจุมพิตลงมาที่ใบหู “เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนใหม่ได้”

คงต้องเป็นอย่างนั้น แต่กานต์ก็ยังไม่เข้าใจ

“แล้วทำไมแด๊ดดี้จู่ๆ ก็...” ถามทั้งที่ใบหน้าแดงเรื่อ ทว่าก็ถามไม่ทันจบ ริมฝีปากพลันถูกช่วงชิงไปอีกครา
“เพราะฉันอยากทำ” ออสตินตอบสั้นๆ หลังจากถอนริมฝีปากออกมา

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของกานต์เต้นระส่ำ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ออสตินเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอย่างนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

“เอาแต่ใจ ไม่เห็นถามผมก่อนสักคำ” เรียวปากบางพึมพำ ทำเอาออสตินยิ้มเผล่
“หรือเธอจะไม่อยากทำ?”
“ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อยครับ”
“ถ้างั้นก็อย่าบ่นนักเลย แต่งตัวให้เรียบร้อย จะได้ไปโรงเรียน เดี๋ยวสาย”

ออสตินรวบรัดเอาเองเสร็จสรรพ กานต์พยักหน้า จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม ขณะที่ออสตินดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เมื่อแต่งตัวเสร็จ

“จะทำอีกรอบเหรอครับ”
กานต์ถามหน้าตาตื่น หากทว่าออสตินกลับส่ายหน้า
“ฉันแค่ลืมอะไรไปบางอย่าง” สิ้นเสียงก็ดึงคอเสื้อของอีกฝ่ายลงต่ำเล็กน้อย ประทับริมฝีปากลงไปยังแนวไหปลาร้า ออกแรงดูดดุนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนออกมา ปรายตามองรอยแดงช้ำที่ปรากฏบนผิวเนื้อเนียนอย่างพอใจ
“ไปโรงเรียนได้แล้ว”

มือใหญ่วางบนศีรษะของเด็กหนุ่ม โคลงเบาๆ ให้โยกตาม กานต์ก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของคนตรงหน้าอยู่ดี ทว่าก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร ได้แต่ว่าอุบอิบ

“เมื่อกี้มันฉุกละหุกไปหน่อย ผมไม่ทันตั้งตัว กลับมาแล้วขอแก้ตัวใหม่นะครับ”
“ไปโรงเรียนได้แล้ว” ออสตินว่าสั้นๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มพราย

กานต์รู้ว่านั่นไม่ใช่การไล่หรือดุอะไร เป็นการบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เขาต้องการพูดต่างหาก

“ไว้เจอกันครับ” เด็กหนุ่มไม่เซ้าซี้ ก้มลงสวมรองเท้า จากนั้นก็หายออกจากบ้านไป

ออสตินมองตามประตูที่ถูกปิดลง ก่อนจะขึ้นไปเหลือบมองคราบคาวที่อีกฝ่ายฝากทิ้งไว้ให้เขาบนเสื้อสูท พลันหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็ถอดมันออก เอาไปใส่ไว้ในตะกร้าที่หน้าห้องน้ำ ขึ้นไปชั้นบนเพื่อหยิบสูทตัวใหม่มาสวม

กานต์ที่ยังตั้งตัวไม่ถูกลูบใบหน้าตนเองก่อนระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจเมื่อเห็นเจฟฟรี่ย์ยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน

“ไง” อีกฝ่ายร้องทักพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ท่าทางร่าเริงสุดขีดราวกับสุนัขได้เจอเจ้าของ
“ไงเจฟ” กานต์ทักกลับ จากนั้นก็ถามต่อ “ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”
“ไม่ได้เจอนายหลายวัน อยู่ในห้องเรียนก็ไม่ค่อยได้คุยกัน ตอนเย็นนายก็รีบกลับบ้าน ฉันเองก็ติดซ้อมฟุตบอลด้วย เลยคิดว่ามาหานายตอนเช้าน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็ได้เดินไปโรงเรียนพร้อมกัน”
“ทั้งที่ถ้ามาจากบ้านนาย โรงเรียนจะอยู่ถึงก่อนบ้านฉันน่ะนะ?”
เจฟฟรี่ย์พยักหน้า ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว
“ลงทุนชะมัด”
“ช่วยไม่ได้ ฉันอยากเจอนายนี่นา”

แววตาเว้าวอนของเจฟฟรี่ย์ทำเอากานต์หัวเราะออกมาน้อยๆ

“แล้วนี่จะไปกันได้หรือยัง เดี๋ยวจะสายเอา”
พอเจฟฟรี่ย์เอ่ยปากชวนอีกครั้ง กานต์ก็พยักหน้า
“อืม”

แค่ไปโรงเรียนพร้อมกัน พ่อเลี้ยงคงไม่ว่าอะไรล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นคงต้องออกจากบ้านมาทำหน้าดุแล้ว

กานต์คิดเอาเอง ก่อนจะเปิดประตูรั้วบ้านออกไป ระหว่างทางที่เดินก็คิดครุ่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับออสตินก่อนหน้า คิดได้ไม่เท่าไร หูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคย หันไปมองก็พบว่าเป็นรถยนต์ของออสตินที่เพิ่งออกจากบ้านมาเมื่อครู่ขับไล่ตามหลังมา

จังหวะที่รถคันนั้นขับผ่าน ชายหนุ่มซึ่งนั่งประจำตำแหน่งคนขับก็เหลือบมาสบตากับเขาพอดี ก่อนที่จะแล่นผ่านไป

มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่เป็นเสี้ยววินาทีที่ทำให้กานต์ใจเต้นระส่ำไม่หยุด พลันใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น หยุดเดินไปฉับพลันจนคนข้างกายที่จ้อไม่หยุดต้องหันมามองพลางถามอย่างสงสัย

“มีอะไรเหรอคาร์ล”

คนถูกถามส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ไปโรงเรียนกันเถอะ”

จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่าเขาเผลอคิดถึงสิ่งที่ออสตินทำกับเขาก่อนหน้านี้...

ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ เจฟฟรี่ย์เริ่มพูดเจื้อยแจ้วอีกครั้ง หากแต่กานต์กลับแทบไม่ได้ยินเสียงของคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย มือของเขายกขึ้นแตะลงไปเบาๆ ที่ผิวเนื้อบริเวณแนวไหปลาร้าใต้เสื้อยืด

ร่องรอยคิสมาร์กรอยใหม่ที่ออสตินทำไว้...

...มันทำให้เขาอยากให้ถึงเวลาเลิกเรียนเร็วๆ เสียเหลือเกิน



 
พอเลิกเรียน กานต์ก็แทบจะวิ่งกลับบ้าน มิหนำซ้ำยังปฏิเสธเจฟฟรี่ย์ที่อาสาจะมาส่งบ้านด้วย พอเห็นเจฟฟรี่ย์ตื๊อไม่หยุด เขาก็อ้างว่ามีนัดกับออสตินไว้ ฝ่ายนั้นเลยยอมละเลิกตื๊อไปแต่โดยดี แวบหนึ่งเห็นความผิดหวังในแววตาของเจฟฟรี่ย์ แต่กานต์ก็ทำเป็นมองไม่เห็นเพราะตอนนี้ใจของเขาเอาแต่จดจ่อที่จะได้พบหน้าของใครอีกคนที่บ้านมากกว่า

กลับมาถึงก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าออสตินอยู่ที่บ้านแล้ว กานต์ก้าวเข้ามาข้างใน เอ่ยทักอีกฝ่ายที่นั่งไขว่ห้างอยู่ยังโซฟาที่ประจำ
“วันนี้กลับเร็วจังนะครับ”

คนถูกทักเหลือบมองเด็กหนุ่ม ว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันนัดกับเธอไว้นี่”

คำพูดตรงๆ ทำให้กานต์ยิ้มกว้างออกมา ก่อนเขาจะทิ้งกระเป๋าเป้ที่สะพายบ่าอยู่ลงพื้น ตรงเข้ามานั่งข้างๆ ทันใด

“กลับเร็วแบบนี้ แสดงว่าอยากเจอผมใช่ไหมครับ”
ออสตินเลิกคิ้ว “คิดเอาเองหรือเปล่า”
“โธ่แด๊ดดี้ พูดว่าอยากเจอผมหน่อยก็คงไม่คันปากหรอกมั้งครับ” กานต์ตัดพ้อ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พลางยิ้มประจบ “พูดหน่อยนะครับว่าอยากเจอผม”

เห็นท่าทางออดอ้อนนั่นแล้ว ออสตินก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มบางๆ

“ฉันอยากเจอเธอ”

เท่านั้นหัวใจของเด็กหนุ่มก็ชุ่มฉ่ำไปหมด ก่อนเขาจะโผเข้ากอดเอวของคนตรงหน้าให้อีกฝ่ายไปลูบท้ายทอยอย่างเบามือ

“ไม่เห็นจะต้องกอด”
“ก็ผมดีใจนี่ครับ”
“กับเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ”

กานต์พยักหน้า เท่านั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาให้ได้ยิน

“ก็แด๊ดดี้เคยพูดแบบนี้กับผมที่ไหนกันล่ะ” เด็กหนุ่มอธิบาย ใบหน้าซุกลงไปบนหน้าท้องแกร่งภายใต้เสื้อเชิ้ต สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของคนตรงหน้า

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร” ออสตินว่า “แค่คิดว่าเหมือนลูกหมา”
เท่านั้นกานต์ก็เงยหน้าขึ้นมอง “แล้วแด๊ดดี้ไม่ชอบเหรอครับ”
“ชอบสิ แต่...”
“แต่?”
“ถ้าระริกระรี้มากเหมือนเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่มารอเธออยู่หน้าบ้านเมื่อเช้า ฉันก็รำคาญ”

กานต์คิดครุ่นทันควัน

เจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่มารอเขาอยู่หน้าบ้านเมื่อเช้า?... คิดๆ ดูแล้ว เขาค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าไม่เห็นหมาสักตัวมาป้วนเปี้ยนที่หน้าบ้านเมื่อเช้านี้นะ

“ฉันหมายถึงเจฟฟรี่ย์”

เห็นสีหน้างุนงงของกานต์ ออสตินก็ยอมพูดออกไปว่าเจ้าหมาที่เขาหมายถึงนั้นคือใคร เท่านั้นกานต์ก็ร้องอ๋อ ก่อนจะหัวเราะร่วน

“แด๊ดดี้ไม่ชอบเจฟมากถึงขนาดเปรียบเทียบหมอนั่นเป็นหมาเลยเหรอครับ”

ออสตินอยากจะบอกว่าใช่ มาเกาะแกะจอแจของรักของหวงเขาอย่างนี้ ไม่ชอบก็ไม่แปลก แต่เขาต้องรักษามาดความเป็นผู้ใหญ่เอาไว้หน่อย

“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วอย่างไหน”
“ฉันก็แค่คิดว่าท่าทางของหมอนั่นเวลาเจอเธอเหมือนหมาก็เท่านั้น”

แววตาของเด็กหนุ่มพราวระยับอย่างล้อเลียน ทำไมเขาจะไม่รู้กันล่ะว่าออสตินแสร้งเฉไฉ ผู้ชายคนนี้ก็ทำแบบนี้ประจำเวลาไม่อยากจะพูดหรือตอบอะไร ถึงส่วนมากจะอ่านยากว่าคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้

“ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้แด๊ดดี้จู่โจมผมแบบไม่ให้ตั้งตัวเมื่อเช้าหรือเปล่าครับ?”
ออสตินชำเลืองมองอีกฝ่ายเขม็งทันทีโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“แล้วก็ทำรอยนี้ไว้ด้วย เผื่อว่าเจฟมาเห็นจะได้รู้ว่าผมมีเจ้าของแล้ว”

กานต์พูดเจื้อยแจ้วไม่เลิก ออสตินเสียหน้าหน่อยๆ ที่ถูกจับได้ ทว่าสีหน้าของเขากลับนิ่งเรียบไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

ความเงียบงันของอีกฝ่ายทำให้กานต์รู้สึกดีมากกว่าเดิม เพราะนั่นไม่ใช่การปฏิเสธ หากแต่เป็นการยอมรับกลายๆ ว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่คือเรื่องจริง ก่อนที่เขาจะถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงขึ้นมาอีก

"ว่าแต่...ถ้าเจฟเป็นหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ แล้วแด๊ดดี้คิดว่าผมเป็นพันธุ์อะไรครับ"
ออสตินนิ่งคิด ปรายตามองอีกฝ่ายก่อนพูด "ชิวาวา"
"ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ"
"พูดเก่ง เหมือนชิวาวาเห่าเรื่อยเปื่อยไม่หยุด"

กานต์หัวเราะให้กับคำพูดนั้น เมื่อครู่นี้เขาก็พูดจ้อไม่หยุดจริงๆ

ให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็คนมันรู้สึกดีนี่นา

"แล้วแด๊ดดี้คิดว่าตัวเองเป็นพันธุ์อะไร"
คนถูกถามครุ่นคิดไปอีกครู่ "ไซบีเรียนฮัสกี้"

เท่านั้นกานต์ก็หัวเราะเสียงดัง
"ไซบีเรียนเหรอครับ ทำไมล่ะ"
"ดุเหมือนกันมั้ง"

พูดไปก็คิดถึงหน้าตาดุๆ เข้มๆ ของสุนัขพันธุ์นั้นไป ทว่ากานต์กลับไม่คิดอย่างนั้น หัวเราะเสียงดังกว่าเดิมเสียอีก
"มีอะไรให้ขำมากงั้นเหรอ"

กานต์ไม่ตอบคำถาม แต่พูดสิ่งที่คิดออกมา
 
"แด๊ดดี้ไม่รู้เหรอครับว่าเขาว่ากันว่าไซบีเรียนน่ะ...เป็นหมาปัญญาอ่อน"
"..."

จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มค้างเพราะออสตินขมวดคิ้วใส่

"แต่ผมไม่ได้ว่าแด๊ดดี้ปัญญาอ่อนนะครับ"

ทว่าไม่ทันแล้ว ออสตินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุๆ ไปแล้ว ก่อนที่จะขยับตัวไปหาเด็กหนุ่มจนอีกฝ่ายต้องถอยไปติดกับพนักโซฟา จากนั้นก็ขังเอาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงเบา

"แล้วเธอ...เคยถูกหมาปัญญาอ่อนขย้ำหรือเปล่า..."

กานต์ไม่เคยรู้สึกว่าแววตาของออสตินดูเจ้าเล่ห์เท่ากับครั้งนี้เลย เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ตอบตะกุกตะกักพร้อมกับหัวใจที่สั่นระรัว

“มะ...ไม่เคยครับ”
“แล้วอยากถูกขย้ำไหม”

มีหรือที่จะปฏิเสธ กานต์พยักหน้ารับรัว ทำเอาออสตินยิ้มเผล่ออกมา

“ถ้าอย่างนั้น...”

เด็กหนุ่มหยุดหายใจไปช่วงหนึ่ง รอลุ้นคำพูดของอีกฝ่าย

“...ก็จงไม่เคยต่อไป”

สิ้นเสียงก็ผละออกห่างทันที ปล่อยให้กานต์ทำหน้าเหลอหลาที่จู่ๆ ก็ถูกให้ความหวังแล้วก็ถูกผลักตกเหวของความผิดหวังเสียอย่างนั้น

“แด๊ดดี้!” ได้สติปุ๊บก็โวยวายปั๊บ
“มีอะไร” ออสตินที่ผละกลับมานั่งท่าเดิมตอบโดยไม่หันไปมอง
“ทำไมมาให้ความหวังผมแบบนี้ล่ะ ผมก็นึกว่าแด๊ดดี้จะ...”
“จะอะไร”

คราวนี้หันไปมองหน้า ทำเอากานต์อึกอักไปเล็กน้อย เบาเสียงลงแล้วว่าอุบอิบในลำคอ

“นึกว่าจะขย้ำผม”

ท่าทางดูเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่นั่นแหละ ออสตินต้องการให้เป็นแบบนั้น

กล้ามาว่าเขาว่าเป็นหมาปัญญาอ่อน ก็สมควรแล้วที่จะถูกสั่งสอน

อย่าได้คิดเอาเขาไปเปรียบเทียบกับเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์นั่นเชียว

เขากับเจ้าหมานั่นเป็นมันคนละดีกรีกัน!

ออสตินหัวเราะในลำคอกับคำพูดซื่อๆ ของคนข้างกาย กานต์เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดออกมา

“แด๊ดดี้ไม่ปัญญาอ่อนแล้ว แต่เป็นหมาดุ... เจ้าหมาร้ายกาจ”

ใช่...และเขาร้ายกาจได้มากกว่านี้อีกถ้าหากว่าเจ้าชิวาวาของเขาถูกหมาตัวอื่นมาวุ่นวาย

“งั้นเธอก็ต้องระวัง”
“ระวังอะไรครับ”
“ระวังหมาดุ”

ออสตินลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเบามือหลังเอ่ยประโยคนั้นจบ จังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์ของเขาส่งเสียงเรียกเข้าพอดี ออสตินหยิบขึ้นมาดูหน้าจอ พอรู้ว่าใครโทรมา เขาก็ผุดลุกขึ้น

“เดี๋ยวฉันคุยธุระก่อน”

กานต์พยักหน้า ปล่อยให้ออสตินเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่ห้องครัว

ปลายนิ้วกดรับสาย พอยกขึ้นแนบหูก็กรอกเสียงลงไป

“ว่าไงพี่”

สายที่โทรเข้ามานั้นเป็นของจัสติน คนปลายสายเองก็รีบกรอกเสียงลงมาเหมือนกัน
[พรุ่งนี้นายว่างไหม]

ออสตินนิ่งคิดไปครู่ “พอจะว่างอยู่”
[แวะมาหาฉันหน่อยสิ สักชั่วโมงก็ได้ มีธุระจะคุยกับนาย]
“ธุระ?”
[เรื่องของลูกเลี้ยงนาย]

เท่านั้นออสตินก็ขมวดคิ้วมุ่นทันควัน เขาพอจะเดาได้ว่าจัสตินจะพูดอะไรออกมาหลังจากนี้

[เอกสารเรื่องขอรับเป็นบุตรบุญธรรมมาถึงแล้ว ฉันอยากจะให้นายเข้ามาคุยรายละเอียดสักหน่อย พอจะสะดวกไหม]

คนฟังกำโทรศัพท์สมาร์ตโฟนในมือแน่น ครู่ใหญ่ทีเดียวที่เงียบไปจนปลายสายต้องเอ่ยเรียก

[ออสติน...ฟังอยู่ไหม]
“พรุ่งนี้เจอกันครับ ผมจะนัดเวลาอีกที”

คุยกับจัสตินต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นก็วางสาย ออสตินยืนนิ่งอยู่ในครัว หัวสมองว่างเปล่าขึ้นมาฉับพลัน

บุตรบุญธรรม...

จะให้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมของเขาน่ะเหรอ

บ้าบอชะมัด...
-----------------------------
ความลับเผยออกมานิดนึงแล้วค่ะว่าแด๊ดไปเจอกับกานต์ตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอนหน้าคงจะเฉลยเยอะขึ้นกว่านี้ รอติดตามกันนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.18: Beware of the vicious dog[21-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-03-2018 03:36:38
ไปแอบส่องกานต์มาก่อนแล้วนี่เอง ตกลงที่แต่งกับแม่กานต์ จริง ๆ คงไม่ได้รักแม่กานต์ แต่อยากได้กานต์ไว้ใกล้ ๆ ตัวเองมากกว่า แด๊ดเลี้ยงต้อยนิหว่า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.18: Beware of the vicious dog[21-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-03-2018 13:49:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.18: Beware of the vicious dog[21-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-03-2018 15:35:18
เดี๋ยวได้มีการฉีกเอกสาร 5555
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.18: Beware of the vicious dog[21-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 22-03-2018 20:14:52
สรุปว่ากานต์ร้ายกว่าแด๊ดดี้ใช่ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.18: Beware of the vicious dog[21-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 22-03-2018 21:12:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.18: Beware of the vicious dog[21-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-03-2018 23:37:49
Chapter 19: Impossible

เรื่องที่จัสตินโทรมาบอกรบกวนจิตใจของคนเป็นน้องตั้งแต่เมื่อวาน

ออสตินนอนหลับไม่สนิทสักเท่าไรนัก ถึงเขาจะรู้ดีว่าสักวันจะต้องมีเรื่องนี้เกิดขึ้น และในตอนแรกเขาก็มั่นใจว่าเขาคงจะไม่รู้สึกอะไร ไม่น่าจะมีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะเขาคิดแต่เพียงว่าต้องการให้เด็กหนุ่มมาอยู่ข้างกายเท่านั้น หากทว่าพอต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง มันกลับทำให้เขาสงบใจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

รถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้าไปในรั้วบ้านหลังใหญ่ ชายหนุ่มลงจากรถ ตรงเข้าไปยังห้องรับแขก บอกกับแม่บ้านให้ไปตามพี่ชายตนมาพบ ไม่นานนัก จัสตินก็ปรากฏตัวพร้อมกับพยาบาลผู้ดูแลเช่นเดิม ก่อนอีกฝ่ายจะทักทายกับคนมาใหม่ด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“ไหนว่ามีธุระที่บริษัท แล้วทำไมถึงมาก่อนเวลาได้ล่ะ”

ออสตินเหลือบตามองผู้ชายอีกคนที่บังคับให้รถวีลแชร์เคลื่อนที่เข้ามาใกล้เขา ในใจอยากจะบอกเหมือนกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่นใดทั้งปวง เขาต้องรีบมาก่อนเวลาอยู่แล้ว หากทว่าไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“หืม? ว่าไง คำตอบล่ะ”

“เราเข้าเรื่องกันเลยเถอะ”

ออสตินบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเหตุผลที่ตนมาก่อนเวลา

เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับกานต์มันสำคัญทั้งนั้นแหละ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะมาก่อนเวลานัดหมายอย่างนี้

จัสตินเห็นท่าทางของน้องชายก็ไม่อยากจะตอแย ถึงอีกฝ่ายจะนิ่ง แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าในใจของออสตินในตอนนี้ดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก คาดเดาไปว่าเพราะตนไปรบกวนเวลาทำงานของคนตรงหน้าจึงทำให้ออสตินอารมณ์ไม่ค่อยดีอย่างนี้ คงต้องรีบคุยและรีบจบเรื่องให้เร็วที่สุดก่อนที่อีกฝ่ายจะหัวเสียมากกว่าเดิม

“เอาเอกสารให้ผมหน่อย”

จัสตินหันไปบอกกับพยาบาล หล่อนพยักหน้า เดินไปหยิบเอกสารที่บรรจุอยู่ในซองสีน้ำตาลในห้องหนังสือของผู้เป็นนายมาวางลงบนโต๊ะกระจก ออสตินปรายตามอง ไม่คิดจะหยิบขึ้นมาเปิดดูสักนิด

“มันเป็นเอกสารสำหรับให้เขียนรายละเอียดน่ะ นายจะต้องกรอกเพื่อเอาไปยื่นทำเอกสารรับรองบุตรบุญธรรม แต่ก่อนที่จะทำเรื่องนั้น มันมีเรื่องที่ยุ่งยากกว่านั้นอีกสักหน่อย”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องของลูกเลี้ยงนาย” จัสตินเว้นจังหวะไปครู่ พอเห็นคนตรงหน้าสบตา เขาก็ว่าขึ้นอีก “แล้วก็เรื่องของอดีตสามีของภรรยานายด้วย”

ออสตินเข้าใจว่าหมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าของกานต์ และเขาก็พอจะเข้าใจด้วยเช่นกันว่าจัสตินตั้งใจจะพูดอะไร แต่ไม่ทันจะได้ออกปาก จัสตินก็อธิบายออกมาแล้ว

“การที่จะรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรมได้อย่างถูกต้อง นายจะต้องถามความสมัครใจของกานต์ก่อนว่าอยากจะเป็นบุตรบุญธรรมของนายหรือเปล่า”

เรื่องนั้น...ออสตินตอบได้เต็มปากเลยว่าไม่อย่างแน่นอน เขามั่นใจมากทีเดียวว่าถ้าหากกานต์รู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มจะต้องปฏิเสธเสียงแข็งแน่

“แล้วกานต์ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถึงเจ้าตัวจะยินยอม แต่ยังไงก็ต้องให้ครอบครัวเดิมยินยอมด้วย กานต์ยังเหลือพ่ออยู่ ถึงจะหย่ากับแม่ไปนานแล้ว แต่ก็ถือว่าเขายังมีสิทธิ์ในตัวบุตร เพราะกานต์ไม่ได้ถูกกระทำความรุนแรงจากพ่อมาจนเป็นคดีความ แต่นายไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีแผนแล้ว กะว่าจะยัดเงินสักก้อนให้ผู้ชายคนนั้นยอมเซ็นยินยอม เท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

จัสตินว่าอย่างสบายๆ สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นแผนการที่เขาวางไว้อย่างรอบคอบแล้ว ออสตินก็เห็นดีด้วยว่าแผนของเขานั้นน่าจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากทว่ากลับไม่เห็นด้วยที่จะรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรม

ทำไมน่ะเหรอ?

เรื่องนั้นไม่ต้องถามเขาหรอก ทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าทั้งเขาและกานต์ต่างไม่ได้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ทว่ารู้สึก...อยากเป็นของกันและกันมากกว่า

และเพราะคิดอย่างนั้น ออสตินจึงระบายลมหายใจออกมาด้วยหนักใจ แผนที่เขาเคยวางไว้กับจัสตินเมื่อครั้งที่แม่ของกานต์ยังมีชีวิตดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องในตอนนี้เสียแล้ว จนในที่สุด ออสตินก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา

“พี่ ผมขอพูดตามตรง”

“หืม? เรื่องอะไร”

“ผมไม่อยากได้กานต์เป็นลูกบุญธรรม”

ได้ยินอย่างนั้น จัสตินก็ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าดีๆ ในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง

“นายหมายความว่า...”

“ผมไม่อยากให้กานต์เป็นลูกบุญธรรมของผม ผมไม่ต้องการ”

ย้ำมาอีกครั้งก็ชัดเจนอย่างที่สุด จัสตินนิ่วหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนไปทันที

“พูดบ้าอะไรของนาย รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา”

ออสตินนิ่งไปครู่ “ผมรู้ตัว” ก่อนที่จะย้ำประโยคเดิมออกมาอีกครั้ง “ว่าผมไม่อยากได้กานต์เป็นลูกบุญธรรม”

จัสตินไม่เข้าใจสิ่งที่ออสตินแสดงออกสักเท่าไรนัก

ไม่อยากได้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมทั้งที่ตอนแรกก็เห็นดีเห็นงามด้วย หรือว่า...น้องชายของเขาจะมีปัญหากับเด็กคนนั้น?

“กานต์เกเรเหรอ?” จัสตินเดาเรื่องนี้เป็นอย่างแรก ทว่าออสตินกลับปฏิเสธ

“เปล่า”

“แล้วเพราะอะไร”

คนถูกถามนิ่งไปอีกครั้ง เขาพูดไม่ได้หรอกว่าเพราะไม่ได้คิดกับเด็กหนุ่มเป็นลูกเลี้ยงอีกต่อไป ทว่าคิด...เสมือนกับคนรัก

“ฉันถามว่าเพราะอะไร” จัสตินคาดคั้นเมื่อเห็นว่าน้องชายไม่พูด

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของทั้งคู่สบประสานกัน ออสตินลอบถอนหายใจ ถึงจะไม่อยากบอก แต่เรื่องนี้คงจะต้องให้จัสตินรับรู้ ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกยัดเยียดให้รับกานต์เป็นบุตรบุญธรรมไม่หยุดหย่อนแน่

“เพราะผมรักกานต์”

“...”

“ไม่ได้รักแบบลูก”

“อย่าบอกฉันนะว่านาย...”

ความเงียบของออสตินเป็นคำตอบ จัสตินชักสีหน้า แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้รับรู้

“พระเจ้า! ให้ตายเถอะออสติน! นายคิดบ้าอะไรอยู่ นั่นลูกเลี้ยงของนายนะ!”

เสียงตวาดลั่นหลุดลอดออกจากปากของจัสติน เป็นออสตินบ้างแล้วที่ขมวดคิ้วย่น เถียงกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“เขาไม่ใช่ลูกเลี้ยงของผม”

“...”

“แต่เป็นลูกเลี้ยงของพี่ต่างหาก”

“...”

จัสตินพูดไม่ออก กำมือแน่น ว่าเสียงต่ำ

“แต่นายแต่งงานกับแม่ของเด็กนั่น นายเป็นสามีเธอ เท่ากับว่าลูกของเธอคือลูกเลี้ยงของนาย”

ออสตินจ้องหน้าพี่ชายไม่ลดละ เขาไม่อยากจะพูดประโยคที่อยู่ในใจ แต่คงต้องพูดออกไปเพราะเหมือนจัสตินจะลืมไปแล้ว

“ความจริงเธอคือภรรยาของพี่ต่างหาก ลืมไปแล้วเหรอว่าผมแต่งกับเธอแค่ในนาม”

ลำคอของจัสตินตีบตันไม่ทันที เขาเถียงไม่ได้

เรื่องนั้น...เป็นเรื่องจริง

ทว่าจัสตินก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้สักคำ เขาโกรธในสิ่งที่ออสตินพูดและคิด

ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อรับปากกับเขาแล้วว่าจะดูแลกานต์เป็นอย่างดี จะวางตัวเป็นพ่อเลี้ยงที่ดี แล้วทำไม...!?

“ออสติน...นาย!”

จัสตินถลาเข้าหาอีกฝ่ายจนไหลลื่นลงจากรถวีลแชร์ล้มหน้าคะมำ ออสตินเห็นก็รีบผุดลุกจากโซฟาเข้ามาประคอง พลันถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรไหม”

“อย่ามาจับฉัน!”

คนถูกช่วยปัดมืออีกฝ่ายออกเต็มแรง พอออสตินผละถอยไป จัสตินก็พยายามจะผุดลุกขึ้นนั่ง กระนั้นก็ไม่สามารถทำได้ สุดท้ายก็เป็นออสตินที่ต้องเข้ามาพยุง แต่แล้วเขาก็ถูกกระชากคอเสื้อเต็มแรง ก่อนคนเป็นพี่จะตะคอกใส่หน้า

“ไอ้เวรเอ๊ย! นายรับปากแล้ว! นายรับปากฉันแล้วว่าจะดูแลกานต์! ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมตัวเอง!”

กระชากและเขย่าจนอีกฝ่ายศีรษะคลอน ออสตินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ว่าออกมาช้าๆ

“ผมพยายามแล้ว”

“พยายาม? พยายามตรงไหนของนาย! มารู้สึกบ้าๆ กับลูกเลี้ยงของตัวเองนี่ นายยังปกติดีอยู่หรือเปล่า!”

“กานต์ไม่ใช่ลูกเลี้ยงของผม”

ออสตินยังคงย้ำประโยคเดิม

กานต์ไม่ใช่ลูกเลี้ยงของเขาจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนั้น ที่ตัดสินใจแต่งงานกับแม่ของกานต์ก็เพราะเป็นความต้องการของผู้หญิงคนนั้นและของจัสตินซึ่งเป็นคู่รักกัน ถึงเขาจะเป็นฝ่ายยินยอมแต่งงานกับเธอตามคำขอร้องของพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นกานต์เป็นลูกเลี้ยงสักหน่อย

ไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อย...

ออสตินคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนกะทันหัน ตอนนั้นพี่ชายของเขาตกหลุมรักกับผู้หญิงไทยที่รู้จักกันผ่านทางแอพพลิเคชันหนึ่งถึงขั้นวางแผนแต่งงานกัน เขาซึ่งเป็นน้องชายและสมาชิกครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวอดเป็นห่วงไม่ได้ จนต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปพบกับผู้หญิงคนนั้นที่ไทย และนั่น...เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับกานต์

ออสตินค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กหนุ่มจำเขาไม่ได้ หากแต่เขาจำอีกฝ่ายได้ดี

จำได้ดี...และจำแม่นเสียด้วย

จำแม่นจนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจลบเลือนใบหน้าน่าเอ็นดูนั่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะอดใจรอให้พี่ชายของเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นไม่ไหว

ทว่า...ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดด้วยจัสตินกังวลเรื่องบ้าๆ เกี่ยวกับลูกเลี้ยงของตัวเองขึ้นมา เรื่องการแต่งงานนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องของความกังวลในความพิการทุพลภาพของตัวเองก็ทำให้ออสตินต้องหนักใจมาจนถึงวันนี้

หากไม่มีเรื่องนั้น...

เรื่องบุญคุณที่ทั้งชีวิตของเขาก็ใช้ไม่หมดนั่น...

เขาคงไม่ตอบรับคำขอร้องบ้าๆ นั้นหรอก!

แต่ในเวลานั้น ออสตินคิดแต่เพียงแค่อยากให้กานต์มาอยู่ข้างๆ ตน ทุกการกระทำของเขาล้วนแล้วเป็นไปเพราะความหวังดี แต่ไม่คิดเลยว่าแผนการทุกอย่างจะเปลี่ยนผันเมื่อจู่ๆ พี่สะใภ้ของเขาก็มาด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน และเขา...ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงของกานต์โดยสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมายโดยที่แก้อะไรไม่ได้ด้วยสายเกินเหตุไปแล้ว

มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการให้เป็นไปสักนิด เขาอยากได้เด็กคนนั้นเป็นคนรัก ไม่ใช่บุตรบุญธรรม!

สิ้นเสียงของน้องชาย จัสตินก็สบตาอีกฝ่ายนิ่ง เขารู้ว่าสิ่งที่ร้องขอจากคนตรงหน้ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในเมื่อออสตินรับปากแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด

“นายจะมาล้มเลิกทุกอย่างตอนนี้ไม่ได้ นายสัญญากับเธอแล้วว่าจะดูแลลูกของเธอเป็นอย่างดี”

“...”

“แล้วนายก็สัญญากับฉันแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายก็จะไม่มีวันทิ้งเด็กคนนั้น นายจะไม่มีวันทิ้งกานต์”

“ผมรู้” ออสตินว่า “ผมจะไม่มีวันทิ้งเขา”

“แค่นายคิดกับเด็กนั่นเกินกว่าลูกเลี้ยงก็เท่ากับว่านายทิ้งเขาแล้ว นายมันเป็นคนไม่รักษาสัจจะ”

จัสตินปรามาส ออสตินเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าต่อให้เขาไม่คิดกับกานต์แค่ลูกเลี้ยง แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะทิ้งกานต์แน่ จนทำให้จัสตินต้องพูดออกไปอีกครั้ง

“นายอยากจะเห็นเด็กนั่นลำบากอีกใช่ไหม สมบัติในส่วนของฉันที่พ่อทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ตอนนี้นายเป็นคนดูแลทรัพย์สินของครอบครัวสเวนทั้งหมด นายก็รู้ว่าฉันตั้งใจจะยกให้กานต์ตอนฉันตายไป ถ้าเด็กนั่นไม่ได้เป็นลูกบุญธรรมของนาย นายยกเงินจำนวนมหาศาลให้อย่างนั้น ใครๆ ก็ต้องคิดว่านายจงใจฟอกเงิน แล้วคนที่จะเดือดร้อนคือใคร ไหนลองบอกฉันมาซิว่าใครจะต้องเดือดร้อน!”

ออสตินไม่เถียง เขารู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าทรัพย์สินของพี่ชายเขามันมากมายเสียจนทำให้คนอื่นเข้าใจได้ว่าพวกเขาต้องการที่จะฟอกเงินถ้าหากยกเงินทองพวกนั้นให้กับเด็กหนุ่มโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันใดๆ กัน แต่ถ้าหากเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว อย่างน้อยก็สามารถระบุเหตุผลได้ว่าเป็นการยกให้เพราะเป็นสมาชิกในครอบครัว

แต่ว่า... เขาก็ยังไม่อยากให้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมของเขาอยู่ดี

“กลับไปคิดให้ดีออสติน คิดให้ดีว่านายควรทำยังไงกับเรื่องนี้ และถ้าเป็นไปได้... อย่าได้รู้สึกอย่างนั้นกับกานต์อีก เขาเป็นลูกเลี้ยงของนาย ระหว่างนายกับกานต์...มันเป็นไปไม่ได้”

จัสตินว่าออกมาอีกครั้ง พยายามดันตัวขึ้นรถวีลแชร์โดยไม่สนใจออสตินที่เข้ามาพยุง พอเห็นอีกฝ่ายเอื้อมมือมา ก็ปัดออกเต็มแรงจนพยาบาลส่วนตัวต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงแทนด้วยกลัวว่าจะล้มคว่ำไปอีก

“กลับไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านายตอนนี้ กลับไป!”

คนเป็นพี่ออกปากไล่ ออสตินก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อเช่นกัน เขาผุดลุกขึ้น ตรงออกไปนอกบ้าน ทว่าในจังหวะที่กำลังจะไปที่รถของตัวเอง แม่บ้านก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับเรียกเขาไว้

“คุณลืมของค่ะคุณออสติน”

ชายหนุ่มหันมามอง เห็นในมือของแม่บ้านถือซองกระดาษสีน้ำตาลอยู่ก็นิ่วหน้า

ซองนั่น...

“คุณจัสตินบอกให้คุณเอาไปอ่านแล้วทบทวนให้ดีค่ะ”

เจ้าหล่อนพูดขึ้นมาก่อนที่ออสตินจะถามเสียอีก เขาจำใจต้องรับมันมาไว้ในมือ ก่อนเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

บุตรบุญธรรมอย่างนั้นเหรอ?

ถ้าอยากจะได้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมนักก็เซ็นรับรองเองไปเลยสิ ให้ตายเถอะ!

 

ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ออสตินก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับจัสติน ถ้าหากคนที่ถูกศาลสั่งให้ไร้ความสามารถอย่างเขาสามารถทำได้ จัสตินคงไม่รอช้าที่จะรีบดำเนินการทุกอย่างให้เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะทำไม่ได้ ภาระหนักอึ้งจึงมาตกอยู่ที่ออสติน ตอนนี้เองถึงรู้ว่าการตัดสินใจแต่งงานกับแม่ของกานต์ตามข้อเสนอของจัสตินนั้นเป็นเรื่องที่ผิด

เขาอยากอยู่ใกล้ๆ กับกานต์ก็จริง แต่...อยากอยู่ในฐานะคนรัก ไม่ใช่พ่อเลี้ยงอะไรแบบนี้!

เขาต้องทำอย่างไร...

ต้องทำอย่างไรถึงจะสลัดสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ไปได้

ต้องทำอย่างไรกัน!

ชายหนุ่มนั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันไม่หยุดหย่อน ท่าทางนิ่งเฉยผิดปกตินั้นทำเอากานต์ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยตั้งแต่กลับจากโรงเรียนนึกสงสัยไม่น้อยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ทว่าก็ไม่กล้าถามเพราะสีหน้าของออสตินดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ไม่แน่ใจนักว่าถ้าถามไปแล้ว จะทำให้ออสตินหัวเสียมากกว่าเดิมไหม

ดังนั้นการสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีที่สุด...

“แด๊ดดี้ครับ ผมขึ้นนอนก่อนนะครับ”

เสียงของเด็กหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จดังขึ้นที่ตรงบันได ออสตินซึ่งนั่งเท้าคางคิดวกวนเรื่องที่ประสบมาไม่หยุดได้สติในตอนนี้ หันไปมองก่อนจะพยักหน้า

“อืม”

จากนั้นก็มองกานต์นิ่ง กานต์อึกอักไปชั่วครู่ สายตาของออสตินดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด ที่รู้ๆ คือมันทำให้กานต์อึดอัดมาก เขาจึงรีบบ่ายเบี่ยงที่จะเผชิญหน้าด้วยการตัดบท

“งั้น...ผมไปนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์”

สิ้นเสียง เด็กหนุ่มก็ก้าวไวๆ ขึ้นไปข้างบนทันที

เสียงปิดประตูดังมาให้ได้ยิน ออสตินระบายลมหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ อีกทั้งยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นกระทั่งเวลาผันผ่านไปเกือบชั่วโมง

ยิ่งนั่ง...ก็ยิ่งคิดวกวน

ยิ่งคิดวกวน...ก็ยิ่งมีความรู้สึกบางอย่างโผล่วาบขึ้นมา

ถ้าเขาทำให้กานต์เป็นของเขาล่ะ จัสตินจะล้มเลิกความคิดที่จะให้เขายื่นเรื่องขอกานต์เป็นบุตรบุญธรรมไหม

เป็นความคิดที่ไม่ควรจะบังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในเวลานี้ ออสตินกลับหูหนวกตาบอด เขาคิดแต่ว่าอยากให้กานต์เป็นของเขาเท่านั้น พลันก็ลุกจากโซฟา ก้าวขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะไปหยุดที่หน้าห้องของเด็กหนุ่ม มือยื่นออกไปจับยังลูกบิด พลันก็หมุนมันออกอย่างเบามือ

คืนนี้กานต์ไม่ได้ไปนอนที่ห้องของออสตินเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะอยากใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจเป็นการส่วนตัว ทว่าเสียงเปิดประตูห้องของเขาที่ดังขึ้นเมื่อครู่ก็ปลุกให้คนที่เคลิ้มจนเกือบจะเข้าสู่ห้วงฝันต้องลืมตาตื่น พลันริมฝีปากก็ร้องถาม

“แด๊ดดี้?”

เป็นออสตินจริงๆ เห็นเพียงแค่เงาตะคุ่มก็จำได้ แม้ว่าออสตินจะไม่ตอบสิ่งใดกลับมาก็ตามที

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ออสตินยังคงไม่ตอบ ก้าวเข้ามาหยุดที่ปลายเตียง ก่อนที่จะปีนขึ้นมาแล้วทาบทับลงบนร่างของเด็กหนุ่ม

การกระทำนั้นทำเอากานต์แปลกใจอยู่ไม่น้อย ปกติแล้ว ออสตินจะไม่แตะต้องตัวเขาก่อน แต่วันนี้...

“แด๊ดดี้?”

ไม่พูดพร่ำใดๆ ออสตินจรดจูบลงบนริมฝีปาก ฉุดกระชากเอาลมหายใจของอีกฝ่ายไป ก่อนจะผละออกมาซุกไซ้ไปยังซอกคอหอมกรุ่น มือดึงรั้งเสื้อยืดที่เด็กหนุ่มสวมใส่อยู่ออก ไม่นานนัก เสื้อตัวนั้นก็ถูกถอดออกไปทั้งที่เจ้าตัวยังคงงุนงงและตั้งตัวไม่ทัน

“แด๊ด...”

พอได้โอกาสก็ร้องเรียกคนตรงหน้า แต่แล้วเสียงของกานต์ถูกกลืนหายไปอีกครั้ง ในยามปกติแล้ว เขาจะยอมเอนอ่อนให้อีกฝ่ายกระทำใดๆ กับร่างกายก็ได้ตามใจ ทว่าในยามนี้ที่ออสตินดูเหมือนจะไม่ปกติ... แน่นอนว่าเขาหมายถึงอารมณ์ ในยามที่ออสตินดูอารมณ์ไม่ปกตินั้น กานต์บ่ายเบี่ยงพร้อมกับผลักไสเมื่อเห็นว่าออสตินพยายามดึงดันที่จะบีบบังคับเขาไว้ใต้ร่างเมื่อเขาขืนตัวหลบ

“แด๊ดดี้ครับ...”

เด็กหนุ่มพยายามร้องเรียกอีกครั้งเมื่อกลีบปากเป็นอิสระ หากแต่ออสตินกลับไม่สนใจที่จะฟัง ตะโบมลูบไล้ไปทั่วร่างกาย จรดจูบหนักหน่วง ไร้ซึ่งความอ่อนหวานใดๆ แม้ว่ากานต์จะเคยถูกกระทำอย่างดุดันมาแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าการกระทำในครั้งนี้มันต่างจากช่วงเวลาปกติ

ออสตินไม่ได้กระทำอย่างดุดันเช่นทุกที แต่เขากำลังกระทำเพราะโกรธอะไรบางอย่าง ซึ่งกานต์เองก็ไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่น้อย

“แด๊ดดี้ครับ ตั้งสติหน่อย ฟังผมก่อน เราคุยกันก่อนได้ไหม”

สองมือดันไหล่กว้างของคนที่กำลังจูบหนักๆ บนแผงอกของเขาให้ออกห่าง ทว่าออสตินกลับไม่ฟังอยู่ดี ดึงกระชากกางเกงขอบยางยืดที่กานต์สวมใส่อยู่ออก ดันขาทั้งสองข้างขึ้นตั้งชัน ก่อนที่จะรุกรานด้วยปลายนิ้ว...เข้ามายังจุดที่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำมาก่อน

กานต์พรึงเพริดสุดขีดในคราวนี้เมื่อสัมผัสแปลกใหม่แทรกลึกเข้ามาในร่างกาย ถึงเขาจะยินดีถ้าออสตินหมายจะครอบครองร่างกายเขา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะรุกรานเมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่เขายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอย่างนี้

“แด๊ดดี้!”

เด็กหนุ่มร้องลั่น สองขาดันร่างตนให้พ้นจากการบุกรุกโดยนิ้วร้าย ความรู้สึกหวามไหวไม่บังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความตกใจและหวาดกลัว แต่ออสตินก็ไม่ลดละ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบ หากแต่หัวคิ้วขมวดมุ่นราวกับคิดอะไรบางอย่าง หูทั้งสองข้างดับไปแล้ว... ไม่ได้ยินเสียงร้องโวยวายของคนใต้ร่างสักนิด

ไม่ได้ยินไม่ว่า ยังจะดึงนิ้วตนเองที่ล่วงเกินอีกฝ่ายกลับมา ปลดเปลื้องกางเกงออกจากช่วงล่างของตนแล้วแทรกลำตัวเข้าไประหว่างขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม หมายที่จะแทรกกายผนวกเป็นหนึ่งเดียว

สัมผัสร้อนรุ่มจากอวัยวะแห่งความเป็นบุรุษเพศซึ่งถูไถอยู่บริเวณช่องทางด้านนอกนั้นยิ่งทำให้กานต์พรึงเพริด เขาไม่เคยหวาดกลัวคนตรงหน้าถึงขนาดนี้ ก่อนที่จะร้องตะโกนลั่น ดิ้นรนผลักไสหนีอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเมื่อถูกออสตินสัมผัสร่างกาย

“แด๊ดดี้! หยุดเดี๋ยวนี้! ฟังผมหน่อยได้ไหม! หยุด!”

ทั้งดิ้น ทั้งถีบสุดแรง... สีหน้าซีดเผือดจนแทบจะไม่ต่างจากซากศพ

ออสตินได้สติกลับคืนมาในตอนนี้ เขาชะงักทุกการกระทำ มองคนใต้ร่างที่มีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด พลันความรู้สึกผิดก็ดาหน้าเข้ามาโจมตีเขาอย่างรุนแรง

“กานต์...”

“แด๊ด...ดะ...แด๊ดดี้เป็นอะไร”

กานต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หากแต่ไม่มีคำตอบจากออสติน เขาเพียงมองใบหน้าของคนใต้ร่างผ่านความมืด เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่ากำลังทำให้กานต์หวาดกลัว ก่อนที่จะรวบอีกฝ่ายมากอดในอ้อมแขนแน่น

“ขอโทษ... ฉันขอโทษ...”

การกระทำนั้นยิ่งทำให้กานต์สับสนมากขึ้นไปอีก

ออสตินเป็นอะไร…

แด๊ดดี้เป็นอะไร...

เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้แสดงท่าทางแปลกๆ แบบนี้สักครั้ง แต่วันนี้มันแปลกมาก... แปลกจริงๆ

เกิดอะไรขึ้นกับออสตินหรือเปล่า?

คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของกานต์ไม่จบสิ้น ขณะที่ออสตินเอาแต่พร่ำพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

“ฉันขอโทษ...กานต์... ขอโทษ...”

ยิ่งพูดก็ยิ่งกอดรัดแน่น กานต์ไม่รู้ว่าจะต้องตอบรับอย่างไรดี จึงได้แต่พึมพำเสียงแผ่ว

“ไม่เป็นไรครับ”

สองแขนโอบประคองร่างใหญ่ของอีกฝ่ายไว้แน่นเช่นกัน ในเวลาอย่างนี้...บางทีออสตินเองก็คงต้องการคนปลอบใจ โดยหารู้ไม่เลยว่าในใจของชายหนุ่มคิดอะไรอยู่

เรื่องระหว่างเขากับกานต์เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?

ไม่...ไม่มีทาง มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และมันจะเป็นไปตามความต้องการของเขา ไม่ใช่ของจัสติน

จนกว่าจะถึงวันนั้น... เขาจะถ่วงเวลาไว้

จนกว่ากานต์จะเป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ เขาจะไม่ยอมเซ็นเอกสารบ้าๆ นั่นเป็นอันขาด!

 
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.19: Impossible[22-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-03-2018 02:22:19
บอกความจริงกับกานต์ไปเลยแล้วกัน พาไปพบพ่อเลี้ยงตัวจริงได้ยิ่งดี พอมีมรดมาเกี่ยวนี่ ปวดหมองตึบ  :z3:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.19: Impossible[22-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 23-03-2018 07:53:37
โอ้ววววว ก็เคยคิดว่าแปลกๆ แต่ไม่เคยคิดถึง ประเด็นนี้เลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.19: Impossible[22-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 23-03-2018 10:48:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.19: Impossible[22-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 23-03-2018 21:45:11
Chapter 20: Tell me by your kiss

ถึงเขาจะรักและเคารพจัสตินเพียงใด แต่ออสตินก็ไม่อาจปล่อยมือจากกานต์ไปได้

ลูกเลี้ยงอย่างนั้นเหรอ? เขาทำใจยอมรับได้แค่สถานะอย่างไม่เป็นทางการเท่านั้นแหละ

เพื่อที่จะได้กานต์มาอยู่ข้างๆ ออสตินยอมทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้อยู่ในสายตา ไม่เว้นแม้แต่ความต้องการของจัสตินที่ออกจะไปในทางเห็นแก่ตัว เขายอมทิ้งตัวตน ยอมได้ชื่อว่าผ่านการแต่งงานมาแล้ว ทั้งหมดนั่นก็เพื่อเด็กผู้ชายคนนั้น

แต่...เขาจะไม่ยอมทำแน่ถ้าหากว่าสิ่งที่จัสตินร้องขอมันจะทำให้เขากับกานต์ต้องมีช่องว่างระหว่างกัน แค่มีสถานะเป็นพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง มันก็ยากมากพอที่จะแสดงให้ใครต่อใครเห็นว่าเขารักกานต์แบบคนรัก ไม่ใช่แบบครอบครัวที่สังคมเข้าใจ ขนาดในตอนนี้เขาก็คิดครุ่นไม่ตกแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อถ้าหากว่ากานต์มีอายุครบสิบแปดและเขาต้องการให้กานต์มาเป็นคนรัก แทนที่จะเป็นลูกเลี้ยงเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

แน่นอนว่าสิ่งที่ออสตินกังวลคือสายตาของคนอื่นที่มองเด็กหนุ่มคนนี้... ดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะยื่นเรื่องขอกานต์เป็นบุตรบุญธรรมแน่ เท่านี้มันก็ยุ่งยากอยู่แล้ว เขาไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองมากกว่าเดิมหรอก

และเพราะขบคิดเรื่องนั้นมาหลายวัน อีกทั้งจัสตินก็กระหน่ำโทรมาเร่งรัดเขา รวมถึงส่งคนมาคาดคั้นถามเขาเรื่องนี้ถึงบ้านและที่ทำงานไม่หยุดหย่อน ออสตินจึงตัดสินใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

เขาจะพากานต์หนี...

อย่างน้อยก็ในตอนนี้...

ดังนั้นแผนการไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศในฮาวายจึงถูกวางอย่างกะทันหัน กานต์ต้องลาหยุดเรียนโดยอ้างเหตุผลว่าต้องเดินทางไปที่อื่นชั่วคราวเพราะหน้าที่การงานของผู้ปกครอง ในตอนแรกที่ออสตินบอกเขาอย่างนั้น เขาก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าออสตินมีธุระอะไรสำคัญ ถึงได้ต้องลากเขาไปทำงานด้วย กระทั่งมาถึงยังที่หมายถึงได้รู้ว่าธุระที่ว่าของออสตินคือการนอนอยู่เฉยๆ บนเตียง ฟังเสียงคลื่นลมทะเล ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย และกกกอดเขาไว้ในอ้อมแขนก็เท่านั้น

วันนี้ก็เช่นกันที่ออสตินทำอย่างนั้น...

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องบ้าๆ ขึ้นในคืนนั้น กานต์ก็ไม่ปริปากถามเหตุผลใดๆ ถึงการกระทำแปลกประหลาด แต่ก็พอจะเดาได้ว่าการที่จู่ๆ ออสตินก็ละทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่าง ปิดการติดต่อสื่อสาร แล้วมาฝังตัวอยู่บนเตียงกับเขาอย่างนี้เป็นเพราะเรื่องที่ทำให้เขาสติแตกเมื่อวันนั้นนั่นแหละ

แต่...กานต์ก็ชอบ

เขาชอบที่จะนอนหายใจทิ้งในอ้อมแขนแกร่งของผู้ชายตรงหน้า...

เสียงคลื่นลมกระทบฝั่งระคนเสียงนกทะเลดังแผ่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ กานต์เปิดเปลือกตาขึ้นจากการเผลองีบไปเมื่อครู่ แต่แล้วก็ต้องเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องใบหน้าของตนอยู่

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ประโยคนี้ กานต์เอ่ยถามออสตินหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่มาที่นี่ ออสตินมักจะจ้องมองหน้าเขานิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรเสมอ

สิ่งนั้นมันทำให้กานต์...ประดักประเดิดอยู่ไม่น้อย

“ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า”

เห็นว่าถูกจ้องอยู่นาน อีกทั้งยังไม่ได้คำตอบ กานต์ก็เอ่ยปากถามอีก ออสตินหยักยิ้มขึ้นมาบางๆ ในตอนนี้ ยื่นมือไปลูบเส้นผมนุ่มของคนข้างกายให้พ้นจากพวงแก้มขาวนวล

“ไม่มีอะไร”

“แล้วทำไมถึงจ้องผมอย่างนั้น”

“แล้วจ้องไม่ได้เหรอ”

“ถ้าแด๊ดดี้จ้องผม มันไม่มีทางที่จะไม่มีอะไรอยู่แล้วล่ะครับ ต้องมีแน่ๆ ล่ะ”

อย่างน้อยก็เรื่องที่ทำให้ออสตินกลัดกลุ้มในวันนั้นและยังไม่เอ่ยปากบอกให้กานต์ฟังสักคำ...

“ฉันก็แค่อยากมองหน้าเธอ”

“หืม? ผมว่าไม่ใช่แค่นั้นล่ะมั้ง บอกผมมาเถอะว่าจ้องหน้าผมทำไม ผมอยากรู้”

คนถูกถามไม่ตอบในทันที มีเพียงเสียงหัวเราะเท่านั้นที่ดังลอดออกมาให้ได้ยินเบาๆ ท่าทางกรุ้มกริ่มของเขาทำให้กานต์อดสงสัยไม่ได้เลยว่าออสตินคิดอะไรอยู่กันแน่ ในที่สุดก็ต้องย่นคิ้วถามคาดคั้น

“บอกผมหน่อย มองผมแล้วเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะมันหมายความว่าอะไร”

หมายความว่าอะไรน่ะเหรอ? ออสตินมีคำตอบให้ตัวเองในใจ

เขามีความสุข...

มีความสุขที่ได้อยู่กับเด็กหนุ่มอย่างนี้โดยไม่มีใครมาขัดขวางหรือห้ามปรามความรู้สึกใดๆ ที่มีต่อกานต์...

มีความสุขที่ได้หายใจทิ้งๆ ขว้างๆ และโอบกอดคนที่เขารักโดยไม่มีเรื่องใดรบกวนจิตใจ...

นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหลือเกินที่ทิ้งทุกอย่างแล้วพากานต์หนีมาพักผ่อนอย่างนี้ มันทำให้ความเครียดที่สั่งสมค่อยๆ ทุเลาลงไปจนแทบมลายหายสิ้นราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น

“นะครับ บอกผมหน่อยนะ”

ยิ่งออสตินเงียบ ก็ยิ่งมีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มผุดพรายให้เห็น กานต์เองก็ยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิมจนต้องออดอ้อน

ออสตินยอมปริปากออกมา ทว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปกลับไม่ใช่คำตอบที่กานต์ต้องการ หากแต่เป็นคำถาม

“เธอรักฉันไหม”

จู่ๆ ก็ถูกถามกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มก็เบิกตาโตทันควัน อ้าปากค้างตามมาเล็กน้อย

“ดะ...แด๊ดดี้หมายถึง...”

“ฉันถามว่าเธอรักฉันหรือเปล่า”

ถูกย้ำมาอีกครั้ง กานต์ก็เข้าใจอย่างชัดแจ้ง รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วหลายๆ ครั้ง

“รักสิครับ ผมรักแด๊ดดี้”

ประโยคนี้ว่าเสียงเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน กระนั้นก็เป็นคำตอบที่สามารถตอบได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด

เรื่องแบบนี้ยังต้องคิดอีกเหรอ? เขาไม่เหลือใครแล้ว มีแต่ออสตินคนเดียวทั้งนั้น ออสตินเป็นทุกอย่างในชีวิต แล้วแบบนี้จะไม่รักได้อย่างไร

ใบหน้าของกานต์แดงเรื่อขึ้นมาทีละน้อยเมื่อสิ้นประโยคนั้น ถึงความรู้สึกเขาจะชัดเจนและพูดให้ออสตินฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเขินอายทุกครั้งที่พูดออกไป ท่าทางนั้นทำเอาออสตินแทบจะอดใจโน้มใบหน้าเข้าไปประทับจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากไม่ไหว ผละออกมาได้ก็กระซิบถามเสียงพร่า

“ถ้าอย่างนั้น...เธออยากแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?”

เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ทำให้คนฟังแทบตาถลน กานต์ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เลย มิหนำซ้ำ ออสตินก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะพูดเรื่องนี้

ไม่สิ... ต้องบอกว่าแม้กระทั่งคำบอกรักก็ไม่เคยพูด

แล้วทำไมจู่ๆ ถึง...

อันที่จริงเป็นการหาทางออกของออสติน เขาเข้าใจจุดประสงค์ของพี่ชายตัวเอง ในเมื่อจัสตินต้องการให้กานต์ได้รับมรดกส่วนของตนตามที่ได้สัญญากับแม่ของกานต์ไว้ ดังนั้นออสตินก็จะสานต่อปณิธานให้ เพียงแต่เขาจะไม่มอบให้ในฐานะบุตรบุญธรรม แต่เป็นในฐานะ ‘สามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย’ แทน

ขณะที่กานต์ไม่สนใจที่จะหาคำตอบแล้วว่าเหตุใดจู่ๆ ออสตินถึงถามคำถามนี้ ในใจลิงโลดเกินกว่าจะมาวิเคราะห์อะไรแล้ว

เพราะอะไรก็ช่างเถอะ กานต์ไม่สนใจแล้ว คนที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับออสติน มีหรือที่จะปฏิเสธ ย่อมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วไปอีกครั้ง

“อยากสิครับ ผมอยากแต่งงานกับแด๊ดดี้ อยากเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมหมายถึง...เป็นครอบครัวที่ไม่ใช่พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง”

ออสตินพยักหน้า เขาเข้าใจที่กานต์ต้องการสื่อ เขาเองก็ไม่ต้องการครอบครัวแบบนั้นเช่นกัน

“แต่...ผู้ชายแต่งงานกันได้เหรอ”

เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ออสตินคว้ามือของอีกฝ่ายมาจรดจูบที่หลังมือเบาๆ ก่อนพึมพำตอบ

“ที่อเมริกามีกฎหมายรองรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกันอยู่”

“ถ้างั้นก็แต่งเลย...”

“แต่ต้องรอให้เธออายุครบสิบแปดก่อนนะ”

พูดยังไม่ทันจบก็ถูกออสตินดับฝันเสียแล้ว กานต์มุ่ยหน้าไปเล็กน้อย ว่าค่อนขอด

“มัวแต่รออยู่นั่นแหละ นั่นก็รอ นี่ก็รอ แด๊ดดี้คิดว่าตัวเองอายุเท่าไรกัน เดี๋ยวก็แก่หง่อมก่อนพอดี”

คนถูกค่อนแคะกลั้วหัวเราะในลำคอน้อยๆ ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมาสบตาตรงๆ

“ฉันดูแก่เหรอ?”

“เปล่าครับ”

“งั้นก็รอได้”

“แต่ผมแค่ไม่อยากให้แด๊ดดี้มีผมหงอกก่อนแต่งงานกับผมนะ”

“แล้วตอนนี้มีหรือเปล่า?”

กานต์ชำเลืองมองเส้นผมของออสตินที่ยังคงสีน้ำตาลมะฮอกกานีเข้ม พลันส่ายหน้า

“ไม่มีครับ”

ออสตินยิ้ม “ถ้างั้นรออีกปีก็คงจะไหว ผมหงอกคงจะไม่ขึ้นมาง่ายๆ หรอก”

การรอช่างทำให้กานต์ขัดใจเสียเหลือเกิน เขาฮึดฮัดเล็กน้อย บ่นกระปอดกระแปด

“แต่ก็นั่นแหละครับ ให้ผมรอไปรอมา ระวังเถอะ เดี๋ยวผมเปลี่ยนใจจะหาว่าไม่เตือน”

“เธอไม่เปลี่ยนใจหรอก” ออสตินเปล่งเสียงราวกับมั่นใจเต็มประดา ก่อนที่จะสบตาของกานต์แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “เธอรักฉัน เธอไม่เปลี่ยนใจแน่...ใช่ไหม”

ช่วงเวลาที่สบตากันนิ่งนั้น กานต์ราวกับถูกดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นสะกดจิต

เขารักออสตินและเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ...

ใช่...มันจะไม่มีวันนั้น

“ครับ”

คำตอบนี้ทำให้ออสตินพอใจมาก ก่อนที่เขาจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกฝ่าย ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“งั้นก็จูบฉันสิ บอกฉันด้วยจูบของเธอว่ารักฉันมากแค่ไหน”

“ผม...”

“ฉันอยากรู้ว่าเธอรักฉันมากแค่ไหน”

รักมากแค่ไหน... กานต์บอกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก เพราะเขารักออสตินมาก... รักมากจริงๆ... แม้แต่การกระทำเองก็ไม่แน่ใจว่าจะแสดงออกมาได้ดีไหม

กระนั้นก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปสัมผัสริมฝีปากหยักหนาแผ่วเบา เผยอกลืนกินอีกฝ่ายทีละน้อย ดวงตาสบประสานก่อนที่จะค่อยๆ แนบริมฝีปากให้ชิดมากกว่าเดิม

ดูดกลืน...ขบเม้ม...แผ่วเบาและอ้อยอิ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ สอดปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของออสติน

ทุกสิ่งที่กานต์กระทำในตอนนี้ ล้วนแล้วเป็นบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาจากคนตรงหน้าทั้งสิ้น จะว่าช่ำชองก็ไม่ใช่ เชี่ยวชาญก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าคุ้นเคยเสียจนทำทุกอย่างโดยไม่ติดขัดอีกแล้ว

ฝ่ามือหนากดท้ายทอยของเด็กหนุ่มให้ริมฝีปากแนบชิดยิ่งขึ้น จากที่ให้กานต์เป็นฝ่ายแสดงความรักต่อเขา กลายเป็นว่าตอนนี้ออสตินเป็นฝ่ายแสดงความรักแทนเสียแล้ว

จุมพิตนี้ช่างร้อนแรง...และชัดเจนมากกว่าออสตินต้องการคนตรงหน้าเพียงใด

ผละออกจากกันได้ เด็กหนุ่มก็หอบหายใจน้อยๆ มองใบหน้าออสตินด้วยแววตาหวานเชื่อม

“แด๊ดดี้...รักผมไหม”

ในเมื่อกานต์บอกไปแล้ว เขาก็อยากได้ยินออสตินพูดประโยคนี้ให้ฟังบ้าง

ออสตินหยักยิ้มขึ้นมาบางๆ “ฉันบอกเธอไปหมดแล้ว”

“...”

“ด้วยจูบของฉัน”

“แต่...”

“ถ้ามันไม่ชัดเจน จะให้ฉันแสดงให้เธอเห็นมากกว่านี้ก็ได้”

กานต์อยากจะบอกนักว่าไม่เป็นไร แค่บอกให้เขาฟังก็พอแล้ว แต่ดูเหมือนออสตินจะไม่ได้ต้องการอย่างนั้น

เขาอยากจะแสดงให้กานต์รับรู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากเพียงใดด้วยการกระทำมากกว่า...

มือใหญ่ลูบไล้ไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะสอดเข้าไปใต้ขอบกางเกงขาสั้น เคล้นคลึงบั้นท้ายอย่างแผ่วเบาจนเจ้าของก้อนนุ่มหยุ่นคู่นั้นต้องซุกใบหน้าลงแผ่นอกกว้าง

ไร้ซึ่งเสียงทักท้วงหรือห้ามปรามใดๆ กานต์ปล่อยให้ออสตินได้ทำตามใจกับร่างกายของตน ก่อนที่จะต้องผวาเฮือกเมื่อฉับพลันปลายนิ้วอุ่นก็สอดแทรกเข้ามายังซอกเล็กๆ ที่อยู่ในส่วนเร้นลับของร่างกาย

“แด๊ด...”

เขาร้องเรียกอีกฝ่ายทันที แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกออสตินสัมผัสยังส่วนนี้ แต่เขาก็พรึงเพริดไม่น้อย เพราะครั้งแรกของเขาถูกออสตินรุกรานอย่างรุนแรง ขณะที่ออสตินส่งเสียงออกมาไม่ดังนัก

“ชู่ว์...ไม่เป็นไร”

“แต่ว่า...”

“ฉันกำลังจะเรียนรู้เกี่ยวกับเธอนะกานต์... เรากำลังเรียนรู้กันและกัน”

ช่างเป็นคำพูดที่ล่อหลอกและหว่านล้อมให้เด็กหนุ่มหลงกลเหลือเกิน กานต์เองก็คิดเช่นนั้น รู้ทั้งรู้ด้วยว่าตนกำลังถูกออสตินล่อลวง แต่ก็ยอมอยู่นิ่งๆ แต่โดยดี

“เด็กดี”

ออสตินว่าอย่างพึงใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ ผ่อนคลายแล้ว เขาเองก็ไม่ได้ดึงดันอะไร เพียงแต่ลูบไล้แผ่วเบาไปตามรอยจีบนั่นเท่านั้น

จากที่โอบกอดอยู่ก็ดันตัวขึ้นมาคร่อมร่างอีกฝ่ายเอาไว้ กลีบปากสีสวยถูกกลืนกินอีกครั้ง ความปรารถนาพุ่งทะยาน ปลดปล่อยปีศาจแห่งราคะให้ครอบครอง ก่อนจะเชยชมเรือนร่างเย้ายวนของเด็กหนุ่มประหนึ่งอดัมกัดกินผลแอปเปิลในสวนเอเดน

ครั้นถอนจากจูบอันดูดดื่ม ริมฝีปากก็ไล่เรื่อยไปยังใบหู ขบกัดยั่วเย้า ระเรื่อยลงมายังซอกคอหอมกรุ่น บรรจงจูบหนักสลับเบา ปลุกให้เพลิงเสน่หาลุกโชติช่วงจนเผาผลาญร่างของเด็กหนุ่มให้มอดไหม้เป็นจุณ

ยอดอกชูชันถูกกลืนกินหมดสิ้น ความหวามไหวทำให้กานต์ไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป เสียงครางกระเส่า ลมหายใจหอบหนัก ล้วนพร้อมใจกันส่งเสียงออกมาเข้าโสตประสาทของออสติน ความร้อนรุ่มแผดเผาร่างกายช่วงล่างของเขาจนอึดอัดทรมานไปหมด

ออสตินปลดเปลื้องให้ความเป็นบุรุษเพศออกมารับอากาศด้านนอก กอบกุมรูดรั้งจนหยาดเยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ กระถดถอยลงต่ำ เข้าครอบครองอย่างละโมบราวกับจะบอกกานต์ว่าสิ่งที่เขาครอบครองอยู่นั้นจะไม่มีวันแบ่งปันให้ใครได้เชยชม

เด็กหนุ่มกระตุกเฮือก เอวสอบบิดเร่า ยิ่งถูกปลายนิ้วร้ายที่วนเวียนอยู่ยังช่องทางที่ลึกที่สุดค่อยๆ ชำแรกเข้ามา เสียงที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากตัวเองก็ดังขึ้น มือข้างหนึ่งกำเส้นผมของออสตินที่อยู่ตรงหน้าขาของตนไว้มั่น มืออีกข้างก็บีบไหล่แกร่งของออสตินไว้แน่น

ความรู้สึกที่เขาได้รับอยู่นั้น...เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต

มันร้อนแรง...ดุนดัน...เต็มไปด้วยความถวิลหา...

ยิ่งปลายนิ้วที่รุกรานอยู่ในร่างกายเขาขยับมากขึ้น ความรู้สึกเสียวซ่านก็ทวีคูณ ร่างกายร้อนผะผ่าวจนผิวเนื้อแดงเรื่อเป็นหย่อมๆ

สิ่งที่เขารู้สึกอยู่นั้น...มันเป็นการรับรู้ถึงความรักของออสติน

ออสตินรักเขามากแค่ไหน... ความหฤหรรษ์ที่พร่างพรายไปทั่วร่างนั่นคือคำตอบ

ออสตินรักเขามาก...

ครั้นร่างกายบิดเร่าและสะโพกยกลอยขึ้นสูงจากฟูกนอน...

ก็ยิ่งรู้ว่าออสตินรักเขามากเหลือเกิน...

กานต์รู้สึกราวกับตัวเองจะขาดใจ ไม่คิดมาก่อนว่าความรักของออสตินจะทำให้เขาทรมานจนแทบจะขาดใจอย่างนี้ ดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำสีใสเอ่อคลอ ก่อนจะค่อยๆ ร่วงเผาะจากหางตา

ความรักของออสติน... มากมายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้จริงๆ

และมันกำลังจะทำให้เขากระอักความสุขตาย...

ทว่า...เด็กหนุ่มกลับยินดีที่จะรับความตายนั้นไว้ ปากขยับครวญครางไม่หยุดหย่อน

“อะ...ออสติน...ผมรักคุณ... ผมรักคุณ...”

เผลอไผลเรียกชื่อของชายหนุ่มออกมาเป็นครั้งแรก ออสตินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งเร้าราวกับเป็นการลงโทษที่บังอาจมาเรียกชื่อเขา

ไม่นานนัก หยาดหยดแห่งความสุขก็หลั่งไหล ชายหนุ่มรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยความยินดี ก่อนจะผละออกมา ตระกองกอดร่างเล็กที่อ่อนเปลี้ยจากเพลิงเสน่หาเมื่อครู่ไว้ในอ้อมแขน กระซิบเสียงพร่าขณะที่กานต์กำลังเคลิ้มจะหลับยังข้างๆ หู

“ฉันก็รักเธอ...”

ไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูด กานต์ก็รับรู้หมดแล้วว่าออสตินรักเขามากเพียงใด

เพราะออสติน...บอกรักเขาด้วยจูบที่พรมไปทั่วร่างกายอย่างหมดสิ้นแล้ว

รักมากจนเกินกว่าจะปล่อยมือไป

รักจนไม่สามารถใคร่ครวญถึงความผิดชอบชั่วดีได้อีกแล้ว

กานต์เป็นที่รักของผู้ชายคนนี้มากจริงๆ...

-------------------------------

แด๊ดดี้นี่กว่าจะยอมเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองไปตามตรงก็ปาไปครึ่งเรื่องละ ลีลาเหลือเกิน 555 ต่อจากนี้อาจมีดราม่านิดหน่อยนะคะ กระซิบบอกไว้ก่อนเพราะไม่งั้นมันเข้าปมเรื่องไม่ได้ แล้วมันจะจบไม่ลง

ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยจ้า พรุ่งนี้อาจได้เจอกันตอนใหม่นะ

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: poonbabor ที่ 24-03-2018 02:04:11
ออสตินเริ่มเปิดเผย ส่วนเจ้าหนูกานต์ก็นะ แต่งเลยๆ 555 น่าจับมาหยิกจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-03-2018 03:54:30
แล้วจะแก้ไขอย่างไงหว่า สังคมภายนอกก็รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันแล้วนะ จะเปลี่ยนเป็นคนรักกันอย่างไรล่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 24-03-2018 18:09:25
ดราม่าจะมาก็มาค่ะ พร้อม!!  :katai4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 24-03-2018 18:32:27
เอาอะไรหวานๆมาให้เจอก่อนน้ำตาหรือเปล่าคะ ฮืออออ อยากให้น้อง 18 แล้ววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 25-03-2018 07:04:46
กรี๊ดดด แด๊ดดี้บอกรักแล้ว ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 07-04-2018 18:13:10
คิดถึงแด๊ดดี้จังเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 07-04-2018 20:19:04
เงียบหายไปเลยอ่า คิดถึงๆ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.20: Tell me by your kiss[23-3-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 13-04-2018 02:32:46
Chapter 21: Only you and I

วันคืนผ่านไปโดยที่ออสตินแทบไม่รู้เลยว่ามันผ่านไปกี่วันแล้ว ตั้งแต่ที่ตัดสินใจพากานต์มาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศในฮาวายแบบฉุกละหุก เขาก็ใช้เวลาขลุกอยู่กับเด็กหนุ่มโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

ทั้งวัน ทั้งเวลา ทั้งคนอื่นๆ ที่อยู่ในชีวิตของเขา... เรียกได้ว่าเขาจงใจทำให้โลกนี้มีเพียงตนกับกานต์แค่สองคนจริงๆ

แค่เขากับกานต์...เพียงสองคน

“แด๊ดดี้ครับ ผมหิวแล้ว”

น้ำเสียงพร่าของคนข้างตัวซึ่งเพิ่งตื่นนอนดังมาให้ได้ยิน ออสตินเปิดเปลือกตาขึ้น มองใบหน้างัวเงียของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองยังนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียง

สองทุ่ม... ก็ควรจะต้องหิวอยู่หรอก เพราะตั้งแต่ที่เผลอไผลเปลื้องผ้าแล้วพากันเรียนรู้เรือนร่างของกันและกันตั้งแต่หลังมื้อเที่ยง ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

“อยากกินอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้ครับ” กานต์ว่า ก่อนจะเย้า “หรือจะกินแด๊ดดี้ดี?”

ออสตินหัวเราะในลำคอ เอื้อมมือไปบีบปลายจมูกโด่งรั้นบิดไปมาเบาๆ

“ทะเล้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ที่แด๊ดดี้ยอมให้ผมได้ทำอะไรๆ แบบนี้นั่นแหละ” กานต์สะบัดหน้าหนี ตอบด้วยน้ำเสียงระรื่น

“อ้อ เธอจะบอกว่าเป็นความผิดของฉันอย่างนั้น?”

“ไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักหน่อย”

“แล้วหมายความว่าอะไร”

“ผมหิวแล้วนะครับแด๊ด ค่อนคาดคั้นเอาคำตอบจากผมทีหลังได้ไหม”

พอดูเหมือนว่าตนจะพ่ายแพ้ต่อการไล่ต้อนของออสติน เด็กหนุ่มก็เบี่ยงประเด็นทันที ออสตินดูออก แต่ไม่เห็นว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจจึงยอมแต่โดยดี

“ตกลงอยากกินอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้ครับ แซนด์วิซก็ได้”

“มาฮาวายทั้งที จะกินแค่แซนด์วิซเหรอ”

“แด๊ดดี้มีอะไรพิเศษกว่าตัวเองเสนอไหมล่ะครับ”

ออสตินยิ้มกริ่ม พลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างของเด็กหนุ่มข้างกายไว้

“ไม่มีอะไรที่พิเศษไปกว่าตัวฉันอีกแล้ว”

สิ้นเสียงก็ประกบริมฝีปากลงมาบนเรียวปากนุ่ม จูบดูดดื่มอยู่ครู่ใหญ่จนการสำรวจพื้นที่ต่างๆ ของร่างกายกันและกันเกือบจะได้เริ่มต้นอีกรอบ ทว่าเขาก็ยับยั้งชั่งใจได้ก่อนด้วยตระหนักได้ว่าเรื่องของสุขภาพต้องมาก่อนเรื่องสนุกพวกนั้น ถ้าอยากสนุกอีก เขายังมีเวลาให้ได้ทำทั้งคืน

“ไปกินอาหารทะเลกันดีกว่า ฉันรู้จักร้านดีๆ แถวนี้อยู่ ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้พาเธอไปกินอะไรนอกบ้านเลยนี่”

ออสตินผละออกมาลุกขึ้นนั่ง โน้มตัวลงไปหยิบเอาเสื้อเชิ้ตบนพื้นมาสวม ซึ่งก็จริงอย่างที่ออสตินว่า ตั้งแต่มาที่ฮาวาย นอกจากการนอนกอดก่ายร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกัน พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยสักนิด

“อาหารทะเลเหรอ ไปสิครับ ตั้งแต่มาอเมริกา ผมยังไม่เคยกินอาหารทะเลเลย อยากรู้ว่าจะอร่อยเหมือนที่ประเทศไทยไหม”

ออสตินเห็นท่าทางกระตือรือร้นนั่นก็รับรู้ได้ทันทีว่าอาหารทะเลเป็นของโปรดของกานต์แน่ พลันขยับเข้ามาใกล้ วางมือลงบนเส้นผมนุ่มแล้วขยี้เบาๆ

“ถ้างั้นก็เอาให้เต็มที่เลย ฉันเลี้ยงเอง”

กานต์ยกยิ้มให้กับคำพูดประหนึ่งพ่อบุญทุ่มของออสติน แต่ก็อย่างว่า แค่อาหารทะเลในภัตตาคารหรูๆ สักมื้อไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของพ่อมดแห่งวงการตลาดหลักทรัพย์ร่วงหรอก

“ผมจะกินให้ท้องแตกไปเลย”

ออสตินยิ้มรับกับคำพูดนั้น ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ จูบจรดลงบนกลีบปากนุ่มราวกับว่าเป็นการอนุญาตให้ทำอย่างนั้นได้ ทว่าเมื่อผละออกไป กานต์ก็รั้งใบหน้าคร้ามให้อยู่นิ่งที่เดิม

“มีอะไรเหรอ”

“แต่ก่อนจะไปกินอาหารทะเล ผมอยากจะชิมแด๊ดดี้เป็นของว่างก่อนอาหารหนักสักหน่อย”

สิ้นเสียง รสจูบหนักหน่วงและดูดดื่มก็ค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้น ปลายลิ้นนุ่มของทั้งสองกระหวัดเกี่ยวกันดำดิ่งสู่ห้วงแห่งอเวจีที่พร่างพรายไปด้วยเพลิงมธุรส

เวลาหยุดนิ่ง... ปล่อยให้โลกนี้มีพวกเขาเป็นมนุษย์เพียงสองคนเท่านั้น หากแต่หาใช่อดัมกับเอวา ทว่าเป็นอดัมกับอดัม

ความปรารถนาในกันและกันนี้ ต่อให้พระผู้เป็นเจ้าก็มิอาจห้ามปรามได้

ไม่มีผู้ใดห้ามความรู้สึกของพวกเขาได้อีกแล้ว...

 

อันที่จริงแล้วอาหารทะเลของฮาวายก็ไม่ใช่ว่าจะรสชาติไม่ดี มันก็รสชาติดีแหละ แต่อย่างไรเสีย กานต์ก็ติดใจอาหารรสชาติไทยๆ มากกว่า ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องใส่ใจ แค่ได้อยู่กับออสติน ได้นั่งมองหน้า ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ชายที่แทบจะมีสีหน้าแบบเดียวตลอดเวลา เท่านั้นเขาก็มีความสุขเกินกว่าจะมีสิ่งอื่นใดมาเทียบอีกแล้ว

เสียงคลื่นซัดชายหาด ลมทะเลพัดเอาเส้นผมปลิวลู่ เผยให้ดวงหน้าคร้ามคมปรากฏสู่สายตาของกานต์อย่างชัดเจน นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นที่มองออกไปยังทะเลมืดมิดจากระเบียงของบ้านพักตากอากาศ ไม่ว่าอย่างไรก็ชวนให้เขาหลงใหล มิหนำซ้ำจะทำให้เขาหลงมากกว่าเดิมด้วยเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่มีร่วมกันตลอดหลายวันที่ผ่านมา

เหมือนฝัน...

เหมือนความฝันจริงๆ...

กานต์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าความฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่มอย่างเขาจะเป็นจริงขึ้นมาได้ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองไม่ได้ละเมอหรือฝันเฟื่องอยู่

ออสตินขอเขาแต่งงาน... เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ทว่าพอนึกถึงแล้วกลับทำให้กานต์ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ยิ้มอะไรเหรอ”

ออสตินที่รู้สึกตัวว่าถูกจ้องอยู่นานหันมาถาม กานต์หลุบสายตาหนีเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรได้ยังไง ก็เห็นอยู่ว่าเธอยิ้ม” ออสตินคาดคั้น แต่กานต์ก็ยังไม่ตอบ เหลือบมามองแล้วก็หลบสายตา ทำให้ออสตินต้องหันมามองจ้องตรงๆ พลางเค้นถาม “บอกมาน่าว่ายิ้มอะไร”

ไม่เพียงแต่คาดคั้น ยังขยับเข้ามาหา สองมือประคองใบหน้านวลให้หันมามองตรงๆ กานต์สูดลมหายใจเข้าปอดเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“ผม...มีความสุขครับ”

ในที่สุดก็ยอมบอกออกไป ออสตินหัวเราะในลำคอขึ้นมาน้อยๆ

“มีความสุขเหรอ เรื่องอะไรล่ะ”

“แด๊ดดี้ก็รู้ว่าเรื่องอะไร”

“ฉันไม่รู้”

“ไม่ต้องมาไล่ต้อนผมเลยครับ คนอย่างแด๊ดดี้ไม่มีทางไม่รู้หรอกว่าผมคิดอะไรอยู่”

นั่นก็จริง ออสตินดูกานต์ออกหมด ไม่ว่าจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ล้วนแล้วดูออกทั้งสิ้น ก็อย่างว่า เด็กหนุ่มคนนี้เวลารู้สึกอะไรก็แสดงออกมาให้เห็น ดูไม่ออกก็แย่แล้ว

“ใช่ ฉันรู้” ออสตินยอมรับ “แต่ฉันอยากได้ยินจากปากเธอมากกว่า”

“...”

พูดมาอย่างนี้ กานต์ก็พ่ายแพ้อย่างศิโรราบ ยิ่งถูกอีกฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วประทับจูบแผ่วเบาลงมาที่ริมฝีปาก เด็กหนุ่มก็ยกธงขาวแต่โดยดี

“บอกมาสิว่าเธอมีความสุขเรื่องอะไร”

น้ำเสียงทุ้มราวกับอาบไปด้วยมนตร์สะกด กานต์ตอบออกมาประหนึ่งควบคุมตนเองไม่ได้

“ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับแด๊ดดี้”

“เท่านี้เหรอ”

“แล้วผมก็มีความสุขที่เราใจตรงกัน”

“มีอะไรอีกไหม”

“ผมมีความสุขที่ได้รักแด๊ดดี้ครับ”

นี่แหละที่ออสตินอยากได้ยิน รอยยิ้มปรากฏขึ้นมามุมปากของชายหนุ่ม ก่อนเขาจะใช้แขนทั้งสองข้างอุ้มด็กหนุ่มขึ้นจากพื้น ขยับไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลโดยจับอีกฝ่ายนั่งตักตน

“พูดออกมาเท่านี้ก็สิ้นเรื่อง”

กานต์ถึงได้รู้ในตอนนี้ว่าเขาถูกคาดคั้นให้บอกรัก

“แด๊ดดี้ล่อลวงผมเหรอ” คำพูดที่เหมือนกึ่งเย้ากึ่งจริงจังหลุดออกจากปากเด็กหนุ่ม ออสตินยิ้มให้เป็นคำตอบ “ตาลุงเจ้าเล่ห์” มิหนำซ้ำยังค่อนขอดเขาอีก

“ไม่ได้เรียกว่าเจ้าเล่ห์ เรียกว่าใช้สมองเป็น” ออสตินแก้ต่างให้ตัวเอง ยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะตรงขมับตนเบาๆ ก่อนที่จะรั้งเอวของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ “แล้วฉันก็ไม่ใช่ตาลุงด้วย เธอน่าจะรู้ดี”

แน่ล่ะ ออสตินไม่ใช่ตาลุงหรอก เขายังหนุ่ม แต่ตอนที่ทำให้กานต์หน้ามุ่ยอย่างนี้ ออสตินคือตาลุงดีๆ นี่เอง

“หลอกให้ผมพูดให้ฟังได้แล้ว แด๊ดดี้ก็พูดบ้างสิครับ จะได้แฟร์ๆ”

“พูดอะไร”

“เนี่ย แกล้งทำเป็นไม่รู้อีกละ”

ออสตินหัวเราะ ได้... เขาไม่แกล้งแล้วก็ได้ พลันยอมพูดออกไปแต่โดยดี

“กานต์... ฉันรักเธอ”

“...”

ความเงียบเข้าแทรกซึม มีเพียงเสียงคลื่นและลมทะเลเท่านั้นที่ลอยปกคลุมพวกเขาทั้งสอง กานต์ยิ้มกว้างจนแทบเห็นฟันครบทุกซี่ สิ่งที่เขาได้ยิน มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ซาบซ่านไปหมดทุกอณู การได้เป็นที่รักของคนที่เรารักนั้นเป็นความสุขที่หาที่สุดไม่ได้แล้ว

“พูดอีกได้ไหมครับ”

เด็กหนุ่มออดอ้อน ดวงตาสีนิลจ้องมองอย่างวิงวอน ออสตินจึงพูดออกไปอีก

“ฉันรักเธอ”

กานต์ยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก ซีกแก้มขาวนวลค่อยๆ เจือสีแดงเรื่อขึ้นมาเพราะเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรง หัวใจพองโตจนเต่งไม่ต่างจากเด็กที่ได้รับของขวัญชิ้นใหม่ ก่อนมันจะกลายเป็นความโลภเมื่ออยากได้ยินคนตรงหน้าพูดอีกครั้ง

“พูดอีกสิครับ”

“ฉันรักเธอ”

“เอาอีก”

“ฉันรักเธอ”

“อีกครับ”

“ถ้าให้ฉันพูดอีก เธอต้องมีของมาแลกเปลี่ยนแล้วนะ”

เด็กขี้งกทำหน้ามุ่ย ว่าพลางยื่นปากเมื่อถูกอีกฝ่ายต่อรอง

“แด๊ดดี้อยากได้อะไรล่ะครับ ร่างกายผมเหรอ”

คนฟังหัวเราะพลันพยักหน้า “อืม”

“เอาสิครับ ผมยัดเยียดให้ตั้งหลายครั้งแล้ว แด๊ดดี้ไม่เอาเอง”

กล้าพูดจาฉะฉานอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ...

ออสตินอดคิดไม่ได้ แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะที่ผ่านมา กานต์แสดงออกชัดเจนว่าอยากให้เขาแตะต้องร่างกายเกินขอบเขตที่เขาขีดเส้นให้ตัวเองไว้ ทว่าเขาไม่ทำหรอก อย่างที่บอกว่าเขาทำไม่ได้ ถึงจะรู้ว่ากานต์ยินดีและเต็มใจ แต่เขาก็อยากจะครอบครองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ไม่มีอะไรติดค้างในใจมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องที่กานต์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

“ต้องรอให้เธออายุสิบแปดก่อน”

“ก็อย่างนี้ทุกที” กานต์กลอกตาเหนื่อยหน่าย “สรุปว่าไม่ทำสินะครับ”

“คงจะต้องอย่างนั้น”

“งั้นผมก็อดได้ยินแด๊ดดี้บอกรักผมด้วยสิ?”

“เธอก็ลองหาวิธีมาชดเชยดูสิ” ออสตินไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ ทว่ายื่นข้อเสนออื่นแทน

“วิธีอะไรดีครับ” กานต์ย่นคิ้วสงสัย

“ลองคิดดู”

พูดสั้นๆ แล้วก็ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้ครุ่นคิด ก่อนที่กานต์จะคิดอะไรขึ้นมาได้

“ถ้างั้น...” จากนั้นก็ขยับตัวลงจากตักของอีกฝ่าย ทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าขาของออสติน มือเอื้อมไปปลดหัวเข็มขัด ปล่อยให้อีกฝ่ายมองนิ่ง ขณะที่กานต์เหลือบสายตาขึ้นสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย “ผมขอเสนอวิธีนี้ รับรองเลยว่าแด๊ดดี้ต้องบอกรักผมไม่หยุดแน่ๆ”

ออสตินหัวเราะน้อยๆ ไม่คิดเลยว่าเด็กในอาณัติของเขาจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้

“คิดดีแล้วเหรอว่าจะทำอย่างนี้”

คำถามนั้นทำให้กานต์ชะงัก เหลือบมองหน้าของชายหนุ่มพลางยิ้ม

“ในเมื่อผมอยากได้ยินแด๊ดดี้บอกรักผม ผมก็ต้องแลกใช่ไหม หวังว่าบ้านหลังนี้จะเป็นส่วนตัวมากพอที่คนอื่นจะไม่มาเห็นนะครับ”

แน่นอน บ้านพักตากอากาศหลังนี้...ไม่สิ พื้นที่บริเวณนี้ครอบครองโดยออสตินแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครสามารถเข้ามารบกวนเวลาอันมีค่านี้ได้หรอกนอกจากพวกบุกรุก และย่อมแน่ว่าเขาไม่รอช้าที่จะเรียกตำรวจมาลากคอพวกคนที่บังอาจมาขัดขวางความสุขของเขาไปแน่

ไม่มีบทสนทนาใดอีกแล้ว ออสตินจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่ง่วนอยู่ตรงหน้าขาของตน ก่อนที่อีกไม่นานหลังจากนั้น เสียงหัวเราะในการกระทำงกเงิ่นของกานต์จะเหือดหายไป กลายเป็นเสียงครางฮืมในลำคอเมื่อโพรงปากอุ่นร้อนปรนเปรอยังจุดศูนย์รวมความรู้สึกของร่างกาย

ถึงการเคลื่อนไหวของกานต์จะไม่ประสาสักเท่าไร แต่ก็ปั่นหัวของออสตินได้ไม่น้อย เขาลูบเรือนผมนุ่มเบาๆ ก่อนเผลอกดท้ายทอยของเด็กหนุ่มเข้าหาลำตัว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดที่กระจ่างพร่างไปด้วยดวงตาสุกสกาว

ช่วงเวลานี้...ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาอยากจะหยุดมันเอาไว้เหลือเกิน

อยากจะหยุด...ให้โลกชะงักการหมุนไปตราบนานเท่านาน

อยากจะหยุด...ให้ทั้งโลกมีเพียงเขากับกานต์แค่สองคน

ช่วงเวลานี้ช่างเป็นวินาทีที่วิเศษเหลือเกิน...

“ฉันรักเธอ...กานต์... ฉันรักเธอ...”

คำบอกรักเล็ดลอดจากริมฝีปากหยักหนาไม่หยุดหย่อน ก่อนจะหนักแน่นขึ้นเมื่อความสุขสมที่อัดแน่นอยู่ภายในพลุ่งพล่านจนเอ่อทะลักออกมาเป็นสาย เด็กหนุ่มพยายามจะกลืนกินทุกหยาดหยดแห่งความรักนั้นลงไป ทว่าเพราะไม่ประสาจึงทำให้สำลักจนไอโขลกเสียยกใหญ่ ออสตินรีบโน้มหน้าไปมอง พลันถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรไหม”

“แค่ก...ผม...ผมโอเคครับ”

กานต์ยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากของตัวเอง ใบหน้าแดงก่ำเพราะไอไม่หยุดเมื่อครู่ ท่าทางนั้นน่าเอ็นดูจนออสตินอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปช่วยเช็ดคราบสวาทที่ยังหลงเหลืออยู่ยังมุมปากของอีกฝ่าย

“ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้”

“ทำแบบไหนครับ” กานต์แสร้งทำเป็นไม่รู้ ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเจอสายตาดุๆ เข้าไป

“เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”

ใช่ กานต์รู้ และก็ยอมแล้วก็ได้ เพราะรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็สู้ออสตินไม่ได้อยู่ดี

“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”

โดยที่...กานต์เองก็ไม่รู้เลยว่าท่าทางน่าเอ็นดูนี้ก็ทำให้ออสตินศิโรราบทุกที

“มานี่สิ”

ออสตินคว้าแขนของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ก่อนจะจับให้มานั่งตักเขาดังเดิม จูบประทับราวกับจะเช็ดทำความสะอาดให้ ทว่าไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นตักตวงทุกสิ่งจากเด็กหนุ่มเสียอย่างนั้น

จูบในครั้งนี้...ก็ยังคงดูดดื่มและล้ำลึกเหมือนเดิม เมื่อถอนริมฝีปาก เสียงหอบหายใจน้อยๆ ของกานต์ก็ดังมาให้ได้ยิน กานต์สบดวงตาที่จ้องมองเขานิ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจากนี้ดี ที่รู้ๆ คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่...ในตอนนี้...ล้วนแล้วดีสุดๆ ไปเลย

“ผมไม่อยากให้คืนนี้ผ่านไปเลย”

เสียงกระซิบของเด็กหนุ่มดังขึ้น ออสตินก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน เขาลากฝ่ามือหยาบกร้านเข้าไปใต้เสื้อของกานต์ ลูบไล้แผ่นหลังเนียนไปมาแผ่วเบา

“ฉันก็ไม่อยากให้มันผ่านไป”

“เราหยุดเวลาไว้ได้ไหมครับ”

“เธอก็รู้ว่าทำไม่ได้”

“นั่นสิเนอะ”

สีหน้าของกานต์ดูเจือความผิดหวังน้อยๆ กับความปรารถนาที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ของตัวเอง หากแต่ออสตินกลับยิ้มเมื่อเห็นท่าทางจ๋อยๆ นั่น

“มีอะไรเหรอครับ หัวเราะผมตลอดเลย”

“ฉันกำลังคิด”

“คิดว่า?”

“คิดว่าจะทำให้เธอสมปรารถนายังไงดี”

“แล้วแด๊ดดี้มีอะไรที่พอจะหยุดเวลานี้ไว้ได้บ้างล่ะครับ”

“ฉันมีเงิน”

ออสตินตอบออกมาแทบไม่หยุดคิด คำตอบนั้นทำเอากานต์มองหน้าอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่ยากจะอ่าน

เห็นท่าทางนั้นของกานต์แล้ว ออสตินก็หัวเราะ

“ทำไม คิดว่าฉันใช้เงินซื้อเวลาที่แสนวิเศษนี้ไม่ได้เหรอ”

“ก็ไม่ได้น่ะสิครับ แด๊ดดี้ก็พูดเหมือนเป็นเรื่องตลกไปได้”

เรื่องซื้อเวลาไม่ได้น่ะ เขารู้หรอก แต่สิ่งที่เขาจะซื้อมันไม่ใช่เวลาสักหน่อย เพราะสิ่งที่เขาจะซื้อน่ะ มันคือ...

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอซื้อเธอเอาไว้สร้างเวลาสุดวิเศษนี้กับฉันแล้วกัน”

กานต์เลิกคิ้วสูงทันควันพลางหัวเราะร่วนเมื่อเข้าใจว่าออสตินหมายถึงอะไร

“ค่าตัวผมแพงนะ ล้านดอลล่าร์ก็เอาไม่อยู่หรอก”

“แย่จังนะ” ออสตินทำท่าเสียดาย ก่อนจะซุกปลายจมูกลงบนซอกคอหอมกรุ่น กระซิบเสียงพร่าตามมา “แล้วถ้าฉันซื้อไว้ด้วยตัวของฉันเองล่ะ เธอจะยอมขายไหม”

เล่นแบบนี้ มีใครบ้างล่ะที่ไม่ยอม

“แด๊ดดี้น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะครับ”

เสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังมาอีก ก่อนที่จะกลายเป็นเสียงครางกระหืดหอบของกานต์แทนเมื่อออสตินเริ่มอยู่ไม่สุข

หากหยุดเวลาที่วิเศษนี้ไว้ไม่ได้ เขาก็จะสร้างมันขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ขอเพียงอย่างเดียว... ขอเพียงแค่มีกานต์อยู่ข้างๆ เขาเท่านั้น

ให้โลกนี้มีแต่เขากับกานต์เพียงสองคน เวลาที่วิเศษขนาดไหน เขาก็สร้างมันขึ้นมาได้ทั้งนั้น

“ฉันรักเธอ...กานต์”

เสียงคลื่นทะเลแม้จะดังเพียงใดก็ไม่สามารถกลบเสียงของออสตินที่ดังก้องในหูของกานต์ซ้ำไปซ้ำมาได้

รัก...

เสียงของความรักดังก้องอยู่ในใจ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ

อดัมกับอดัม...โลกใบนี้เป็นของพวกเขาเท่านั้น...ตลอดทั้งคืน

-------------------------------

กลับมาแล้วค่ะ เคลียร์ภารกิจงานหนังสือจบละ รากเลือดมาก

วันนี้หลายๆ คนคงเดินทางกันเนอะ เดินทางไปเที่ยวกันอย่างปลอดภัยนะคะ หนูแดงพักผ่อนอยู่กับบ้าน คงได้เขียนนิยายรัวๆ เลย ไว้พรุ่งนี้มืดๆ เจอตัวอย่างตอนหน้ากันค่ะ



หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.21: Only you and I[13-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-04-2018 04:23:30
บอกรักกันแล้วววววว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.21: Only you and I[13-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 13-04-2018 14:20:02
โหย...สวีทกันน่าดู
แต่ถ้ากลับไปแล้วจะเจออะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.21: Only you and I[13-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 13-04-2018 16:53:34
ฟินนนนนน :impress2:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.21: Only you and I[13-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-04-2018 04:00:46
Chapter 22: Truth[1]

ความฝันมักหลุดลอยไปทุกครั้งที่ลืมตาตื่นในเช้าวันใหม่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน ออสตินลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวั่นใจเล็กๆ เมื่อหันไปมองยังคนข้างกายที่ยังคงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาก็ยิ่งหวั่นใจมากกว่าเดิม

กี่วันกี่คืนแล้วที่เอาแต่หนีความจริงมาอยู่ยังบ้านพักตากอากาศในฮาวายแบบนี้ กลัว... กลัวว่าเด็กหนุ่มในอ้อมแขนของเขาจะหายไปทันทีที่กลับสู่นิวยอร์ก และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้ทุกอย่างมันลงเอยอย่างนั้นแน่ ถึงตอนชวนกานต์มาที่นี่จะเกิดขึ้นเพราะความบุ่มบ่ามของเขา แต่ตอนจะกลับ เขาจะต้องคิดให้รอบคอบเพื่อรับมือกับสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้น

แน่ล่ะว่าจะต้องรับมือกับจัสตินที่คงค้านหัวชนฝาเหมือนเดิมเรื่องที่เขาไม่อยากรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรม...

ออสตินรอจนกระทั่งกานต์ตื่นนอน ในใจคิดไว้แล้วว่าจะสารภาพความจริงทั้งหมดให้เด็กหนุ่มฟัง อันดับแรกเลยคือเรื่องเหตุผลที่เขาแต่งงานกับแม่ของกานต์ อันดับที่สองคือต้องบอกให้รู้ว่าใครคือพ่อเลี้ยงที่แท้จริงของเขา

ชายหนุ่มนอนรอนิ่งๆ รอให้อีกฝ่ายตื่นจากนิทรา ทว่าเหมือนกานต์จะรับรู้ได้ว่าออสตินรอเขาอยู่ พลันก็ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย ปรือตาขึ้นมองพลางอมยิ้ม

“ตื่นแล้วทำไมไม่ลุกไปล่ะครับ มัวนอนเฉยๆ อยู่ทำไม”

คนถูกถามคลี่ยิ้มบาง “ฉันกลัวทำให้เธอตื่น”

กานต์หัวเราะเพราะตระหนักได้ว่าเขายังคงนอนหนุนแขนของพ่อเลี้ยงตัวเองอยู่

“ขอโทษครับ แด๊ดดี้คงเมื่อยแย่แล้วมั้ง”

พูดจบก็ขยับศีรษะออกจากท่อนแขนแกร่งลงไปนอนหนุนหมอน หากแต่ออสตินกลับรั้งเขาไว้ในอ้อมแขนให้กานต์ได้เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”

ไม่ทันจะได้ถามเป็นคำพูด ออสตินก็ว่าออกมาแล้ว กานต์พยักหน้าน้อยๆ

“เอาไว้หลังอาหารได้ไหมครับ ผมว่าผมหิวแล้ว”

เหลือบมองนาฬิกาดูก็คงจะเป็นอย่างนั้น นอนตื่นสายจนเกือบเที่ยงขนาดนี้ กระเพาะก็ต้องเริ่มทำงานแล้วล่ะ โดยปกติออสตินจะยอมแต่โดยดี ทว่าครั้งนี้เขาใจร้อนเกินกว่าที่จะรอได้

“แต่ฉันอยากจะคุยตอนนี้”

“เรื่องสำคัญเหรอครับ”

ออสตินพยักหน้า “ใช่ เรื่องที่ฉันจะบอกมันเป็นเรื่องสำคัญ”

“เรื่องอะไร บอกผมได้ไหม”

“เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราสองคน”

ได้ยินอย่างนั้น กานต์ก็เงียบนิ่ง รอฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่ออสตินมองหน้าของคนรักแล้วสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“สัญญากับฉันก่อนว่าถ้ารู้เรื่องนี้แล้ว ความรู้สึกของเธอจะไม่เปลี่ยนไป”

“มันเรื่องอะไรล่ะครับ”

“สัญญากับฉันก่อนสิ”

กานต์ไม่เคยเห็นออสตินจริงจังอย่างนี้มาก่อนเลย รับรู้ได้จากน้ำเสียงและสีหน้าเลยว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่คาดคั้นเอาคำสัญญากับเขา ถึงจะไม่อยากรับปากเพราะรู้สึกระแวง แต่สุดท้ายก็จำใจตอบรับไป

“ผมสัญญา”

“ต่อให้มันเป็นเรื่องที่ผิดหรือเรื่องที่ทำให้เธอเสียความรู้สึก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เธอช็อก สัญญากับฉันว่าเธอจะยังรักฉันเหมือนเดิม”

“...”

ยิ่งระแวงหนักเข้าไปใหญ่ ออสตินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ เขาเองก็ดูหวั่นใจเหมือนกัน ยิ่งคาดคั้นเอาคำมั่นสัญญาขึ้นมาอีก กานต์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าควรจะต้องทำอย่างไร

“สัญญาสิ”

“ผมสัญญาครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็จะยังรักแด๊ดดี้เหมือนเดิม”

คำพูดนั้นปลอบประโลมให้ออสตินสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเริ่มเปิดปาก

“เรื่องที่ฉันอยากบอกก็คือ...”

“...”

“ฉันไม่ได้แต่งงานกับแม่ของเธอเพราะรัก ฉันหมายถึงรักแบบคนรัก”

ความงุนงงฉาบพรายบนใบหน้าของเด็กหนุ่มทันที เรื่องที่ได้ยินมันก็น่าตกใจอยู่หรอก แต่เขางงกับสิ่งที่ได้ยินมากกว่า

ในเมื่อไม่ได้รักแม่ของเขาแล้วจะแต่งงานกับเธอทำไม

แล้วคำตอบก็ได้ในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น

“แต่ฉันแต่งงานกับแม่ของเธอเพราะรักเธอ”

กานต์งงงันหนักขึ้นไปอีก เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ออสตินพูดเลยแม้แต่น้อย ท่าทางอิหลักอิเหลื่อนั่นทำให้ออสตินลอบระบายลมหายใจออกมา เขาก็กะไว้อยู่แล้วว่ากานต์จะต้องมีอาการตอบสนองอย่างนี้ พลันทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า คว้ามือทั้งสองของเด็กหนุ่มมาจับแน่น

“มันอาจจะฟังดูประหลาดสักหน่อย แต่ว่าจริงๆ แล้วฉันแต่งงานกับแม่ของเธอเพราะรักเธอ”

“ผม...ไม่เข้าใจ”

ในที่สุดก็คลำหาเสียงของตัวเองเจอ ออสตินยิ้มบางๆ กานต์ไม่เข้าใจก็ไม่แปลก แต่ตอนนี้ล่ะที่เขาจะทำให้เข้าใจ

“ฉันรักเธอ... รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น”

ครั้งแรกที่เห็น...มันก็ตอนที่เขาเจอกับออสตินที่สนามบินไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นแต่งงานกับแม่เขาไปแล้วนี่

ทว่าสิ่งที่คิดกลับผิดคาดเมื่อออสตินว่าเสริม

“รัก...ตั้งแต่เธออายุแค่สิบห้า”

กานต์นิ่งงัน คิดอะไรไม่ออกแล้วในตอนนี้ ถ้ารักเขาตั้งแต่เขาอายุสิบห้า มันก็เมื่อสองปีก่อน ก่อนที่แม่ของเขาจะมาทำงานที่ร้านอาหารไทยในอเมริกา แต่...ทำไมเขาไม่เห็นจะจำได้เลยล่ะว่าเคยเจอออสตินด้วย กับผู้ชายที่มีเสน่ห์ชวนฝันอย่างนี้ ต่อให้เจอแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่มีวันลืมหรอก

“ผม...”

เด็กหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรดี จะบอกว่าจำไม่ได้ก็ไม่แน่ใจนักว่าสมควรพูดไหม ออสตินหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะจ้องดวงหน้าอ่อนเยาว์นิ่ง

“เราเคยเจอกันมาแล้ว... ไม่สิ ฉันเคยเจอมาแล้ว ครั้งหนึ่ง...ที่เมืองไทย”

“เรื่องมันเป็นยังไงครับ”

ในเมื่อคิดไม่ออกก็ขอให้เล่าดีกว่า แต่ถึงกานต์จะไม่ร้องขอ ออสตินก็พร้อมจะเล่าอยู่แล้วเพราะนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการทุกอย่างในลำดับต่อไปของเขา พลันน้ำเสียงทุ้มก็ดังขึ้นหลังจากนั้น

“ทุกอย่างมันเริ่มตั้งแต่...”

 

ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน

ออสติน สเวน ดูหงุดหงิดกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินส่วนตัวของเขาดูจะต้องรับศึกหนักกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเขาตั้งแต่ที่เขามีคำสั่งออกมาว่าจะเดินทางไปเมืองไทยอย่างเร่งด่วน โดยไม่สนว่างานที่คั่งค้างอยู่จะมากมายแค่ไหนแต่อย่างใด ทุกอย่างล้วนแล้วต้องเป็นไปตามความต้องการของเขาโดยไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ ที่เหมาะสม

ปกติออสตินไม่ใช่คนที่จะทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่างไปง่ายๆ แบบนี้ ยิ่งถ้ามีคนใกล้ชิดทัดทานด้วยแล้ว เขายิ่งไม่ทำใหญ่ แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป เพราะ...เขาได้ยินบางสิ่งที่ไม่เข้าหูจากพี่ชายมา

 

‘พี่รักเธอ และพี่ต้องการที่จะแต่งงานกับเธอ’

‘พี่หมายถึง...กับผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ’

‘ใช่’

‘ทั้งที่พี่ไม่เคยเห็นหน้าเธอเนี่ยนะ’

‘ฉันเคยเห็นหน้าเธอ’

‘แต่มันก็แค่ในรูปถ่าย ตัวจริงไม่เคยเจอด้วยซ้ำ’

‘ไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่งงานกันเมื่อไรก็คงได้เจอ’

‘ให้ตายเถอะจัสติน! พี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไงถึงจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เจอกันในแอพฯ หาคู่โดยไม่เคยเจอตัวจริงกันเนี่ยนะ’

‘ใจเย็นๆ ก่อนออสติน’

‘จะให้ผมใจเย็นยังไงได้อีก ให้ตาย พี่กำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่รู้ไหม’

‘พี่ไม่ได้ทำผิดพลาด และขอเถอะ อย่าพูดอะไรอีกเลย เพราะต่อให้นายพูด พี่ก็จะแต่งงานกับเธออยู่ดี’

‘...’

‘พี่รักเธอ...ออสติน พี่รักผู้หญิงคนนั้น’

 

ไม่เข้าหูจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าพี่ชายของเขาจะหลงรักผู้หญิงที่รู้จักเพียงแค่รูป เคยเห็นแค่ในวิดีโอคอลล์ มิหนำซ้ำจะแต่งงานด้วยทั้งที่ไม่เคยเจอตัวจริง

ผู้หญิงคนนั้น...ต้องเป็นแม่มดแน่ๆ!

และเพราะเหตุนี้ เขาถึงได้วางงานทุกอย่างแล้วบินมายังประเทศบ้านเกิดของผู้หญิงคนนั้นเป็นการด่วน แน่นอนว่าทุกอย่างดำเนินการโดยที่จัสตินไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ ‘เธอ’ เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะมาหา...ในฐานะตัวแทนของพี่ชายที่พิการและไม่อาจเดินทางออกนอกประเทศได้ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เหมาะสม

ทันทีที่เห็นชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้ายืนอยู่ที่หน้าบ้านของเธอพร้อมกับล่ามแปลภาษาที่เขาจ้างมาพิเศษเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ‘กนกกานต์’ ก็รีบเร่งไปให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

ผู้หญิงชาวไทยวัยสามสิบกว่า รูปร่างสันทัด ดวงหน้าสวยงามสมวัยเปิดประตูออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ท่าทางของเธอในสายตาของเธอดูไม่มีพิษมีภัย แต่ออสตินก็ไม่ปักใจเชื่อ ภายใต้รูปร่างหน้าตาไร้เดียงสาอย่างนี้แหละที่มากไปด้วยพิษร้าย

“ฉันดีใจนะคะที่จัสตินส่งคุณมา ช่วยแปลให้เขาทีค่ะว่าฉันขอบคุณมากที่เขาอุตส่าห์สละเวลามาให้”

กนกกานต์บอกกับล่ามที่นั่งอยู่ข้างๆ กับชายหนุ่ม ถึงเธอจะพอรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ในระดับที่สามารถสื่อสารได้คล่องแคล่วโดยเฉพาะในการฟังพูด ล่ามสาวจึงต้องทำหน้าที่ของตนเองช่วยอีกแรง ขณะที่ออสตินปรายตามองเล็กน้อยก่อนว่าสั้นๆ

“ต่อให้เขาไม่บอกให้ผมมา ผมก็ต้องมาทำความรู้จัก ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ อยู่แล้ว”

กนกกานต์ยิ้มบางๆ เธอพอจะจับใจความได้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้รางๆ ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาพบเธอเพราะจัสตินขอให้มาหรอก น่าจะเป็นเหตุผลอื่นมากกว่า กระนั้นเธอก็ยังส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“แต่ก็ไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้เรียกคุณว่าพี่สะใภ้จริงๆ หรือเปล่า”

คำพูดอีกประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักนั่นทำให้กนกกานต์นิ่งไปครู่

นั่นไงล่ะ เธอถึงได้บอกว่าน่าจะเป็นเหตุผลอื่น และนั่นก็ทำให้เธอต้องยิ้มให้เขาอีกครั้ง

“ฉันไม่รู้ว่าคุณมาหาฉันเพื่ออะไรนะคะ แต่ถ้ามีอะไรในใจก็พูดมาตรงๆ เลยก็ได้ค่ะ ถึงฉันจะแปลออกบ้างไม่ออกบ้างก็คงไม่ใช่ปัญหา ไหนๆ คุณก็จ้างล่ามมาช่วยอยู่แล้ว”

ล่ามสาวรีบทำหน้าที่ของตัวเอง ออสตินได้ยินดังนั้นก็ยืดตัวตรง จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง

“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน”

กนกกานต์เองก็ยืดตัว รอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดบ้าง

“ผมต้องการให้คุณเลิกยุ่งกับพี่ชายผม”

หญิงสาวไม่แปลกใจเลยที่ออสตินจะว่าอย่างนี้ เพราะไม่ว่าใครที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับจัสตินก็ล้วนแล้วแต่ต้องการให้เธอเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาทั้งนั้น สำหรับฝั่งของเธอนั้นเป็นเพราะจัสตินพิการทุพลภาพ แต่สำหรับฝ่ายของจัสตินแล้ว...ก็คงจะกลัวว่าเธอไปหลอกนั่นแหละ มันเรื่องอะไรที่ผู้หญิงที่มีอวัยวะครบทั้งสามสิบสองประการอย่างเธอจะไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายแบบนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รวยล้นค้ำฟ้าล่ะจริงไหม

แต่สำหรับกนกกานต์แล้ว... เงินทองมากมายของจัสตินมันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนัก สำคัญที่สุดก็คือเธอรู้ว่าเขารักเธอจากใจจริง และนั่นก็คือสิ่งที่ผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอต้องการ

“ฉันคิดอยู่แล้วค่ะว่าคุณต้องพูดเรื่องนี้” กนกกานต์ว่าพลางเจือหัวเราะเฝื่อนๆ ให้ออสตินได้หรี่ตาจับผิด ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาอีก “แต่ฉันไม่เลิกยุ่งกับเขาหรอกนะคะ ขอโทษที่ทำให้การมาของคุณในครั้งนี้เสียเปล่า”

“คุณต้องการเท่าไร”

พูดยังไม่ทันจบดี ออสตินก็สวนขึ้นแล้ว ไม่ต้องให้ล่ามแปลให้ คำว่า ‘How much do you need?’ ก็ทำให้กนกกานต์เข้าใจความหมายดีว่าออสตินหมายถึงอะไร

“อยากได้เท่าไรก็บอกผมมา ผมสามารถจ่ายให้คุณได้มากเท่าที่คุณต้องการถ้ามันทำให้คุณเลิกยุ่งกับพี่ชายผมได้”

ไม่พูดเปล่า ยังทำท่าจะเขียนเช็คให้อีก ท่าทาง น้ำเสียง และคำพูดที่กึ่งดูแคลนของออสตินนั้นทำให้กนกกานต์หน้าชาอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นเธอก็ยังฝืนยิ้ม

“เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะค่ะ มันไม่มีความหมายอะไรหรอก เพราะตอนนี้จัสตินเขาขอฉันแต่งงานแล้ว”

เป็นออสตินบ้างที่ชะงัก “แต่งงาน?”

“ใช่ค่ะ และฉันก็ตอบรับไปแล้วด้วย”

ออสตินถึงกับสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงเพื่อระงับความหัวเสีย พลันพึมพำออกมา

“ไอ้พี่บ้าเอ๊ย”

กนกกานต์ยิ้มให้กับคำสบถนั้น เธอรับรู้ในความหวังดีต่อตัวพี่ชายของออสติน พอจะรู้มาจากปากของคนรักอยู่บ้างว่าน้องชายเขาเป็นประเภทที่ดื้อรั้นหัวชนฝา ถ้าไม่เห็นดีเรื่องอะไรก็จะค้านเรื่องนั้นแบบสุดๆ ซึ่งเขาก็เคยบอกเธอเช่นกันว่าให้เตรียมตัวเอาไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่ง น้องชายเขาจะบินมาหาเธอโดยไม่บอกกล่าว และนั่นก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย โชคดีที่เธอพอจะเตรียมพร้อมอยู่บ้างแล้ว

“แต่ฉันไม่ได้จะแต่งงานกับเขาเร็วๆ นี้หรอกนะคะ อีกปีสองปีถึงจะถึงขั้นนั้น เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าคุณไม่ไว้ใจฉันว่าจริงจังกับพี่ชายคุณแน่หรือเปล่า คุณก็ยังมีเวลาที่จะศึกษาฉันและรอดูต่อไปอีกเยอะค่ะ”

ประโยคนี้ทำให้ออสตินต้องขมวดคิ้วน้อยๆ

“ทำไมถึงต้องรอนานขนาดนั้น คุณกลัวว่าถ้ารีบแต่งไป ผมจะครหาคุณว่าอยากได้สมบัติของพี่ชายผมจนเนื้อตัวเต้นหรือไง”

ไม่เคยมีคำไหนที่ไม่แฝงความเหยียดหยามหลุดออกจากปากของออสตินเลย ล่ามสาวพยายามที่จะแปลให้ไม่ทำร้ายจิตใจคนฟังมากที่สุด แต่กนกกานต์ก็พอจะเข้าใจโดยไม่ต้องอาศัยใครแปลให้ว่าผู้ชายตรงหน้าดูแคลนเธอมากเพียงใด

กระนั้น...เธอก็ยังยิ้ม

“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าเขามีเงิน แต่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองของเขา แต่ที่ต้องชะลอการแต่งงานออกไป เป็นเพราะเรื่องอื่นต่างหาก”

“เรื่องอะไร”

“ลูกชายฉัน”

“ลูก?”

ออสตินทำหน้าประหลาดใจ เหมือนเขาจะเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีลูกติดด้วย

“ใช่ค่ะ เขาเพิ่งอายุสิบห้า กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉันกลัวว่าถ้าฉันแต่งงานใหม่ไปแล้วต้องไปอยู่ที่ต่างประเทศ เขาจะปรับตัวไม่ทันหรือรับไม่ได้อะไรแบบนั้น เลยอยากจะขอเวลาให้เขาได้โตกว่านี้อีกนิดก่อน จะได้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตได้ ฉันหมายถึง...มีครอบครัวใหม่”

คนฟังเข้าใจสิ่งที่หญิงสาวต้องการจะทำ แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เห็นดีด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้แน่

ให้ตาย! นอกจากจะเป็นผู้หญิงที่รู้จักกันผ่านแอพฯ หาคู่แล้ว เธอยังเป็นแม่ม่ายลูกติดอีกด้วย นี่พี่ชายเขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงถึงได้ไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีกันถึงได้หลงนัก

“ไม่ว่าเหตุผลของคุณจะเป็นยังไง ผมก็ต้องการให้คุณเลิกยุ่งกับพี่ชายผม เอาเงินก้อนนี้ไปแล้วอย่ามายุ่งกับเขาอีก”

ออสตินสรุปรวบรัดเอง ก้มหน้าเขียนเช็คโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่กนกกานต์จะพูดอีกแล้ว ปล่อยให้ล่ามต้องรับหน้าที่แปลและคอยปรามให้หญิงสาวสงบอารมณ์เพราะดูเหมือนว่าเธอเองก็ชักทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันกับความเผด็จการของผู้ชายตรงหน้าจนเผลอแสดงออกทางสีหน้าให้รับรู้ชัดเจนว่าเริ่มไม่พอใจแล้วเหมือนกัน

ทว่า...ระหว่างที่ความตึงเครียดน้อยๆ เกิดขึ้นนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน ก่อนที่เสียงของเจ้าตัวจะดังขึ้น

“แม่ครับ กานต์กลับ... อ้าว มีแขกเหรอครับ”

เด็กหนุ่มชะงักเมื่อเห็นว่ามีแขก กนกกานต์รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันไปยิ้มรับกับลูกชาย

“จ้ะ ขึ้นไปข้างบนก่อนนะกานต์ ไว้แม่เสร็จธุระแล้วค่อยลงมา”

เด็กหนุ่มออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นชายชาวตะวันตกมานั่งหัวโด่อยู่ในบ้าน แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ท่าทางแม่เขาคงไม่อยากอธิบายอะไรในตอนนี้สักเท่าไร เขาเลยพยักหน้าและทำตามที่มารดาสั่งแต่โดยดี

คล้อยหลังเด็กหนุ่มไป กนกกานต์ก็ยิ้มฝืนๆ ให้กับแขกของตน

“ลูกชายฉันน่ะค่ะ ชื่อกานต์”

ออสตินไม่พูดอะไร ได้แต่มองจ้องไปยังจุดเดิมที่เด็กหนุ่มยืนเมื่อครู่ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุด้วยภาพใบหน้าของเด็กคนเมื่อกี้ยังติดตา

ดวงหน้าอ่อนเยาว์ รูปร่างสันทัดสมวัยในชุดนักเรียน ท่าทางไม่ประสา... ทั้งหมดนั้นฉุดกระชากหัวใจเขาให้ลืมไปหมดสิ้นว่าตัวเองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ทันที

ออสติน...ไม่เคยชอบพอผู้หญิงคนไหนเลย เขาถูกข่าวซุบซิบในแวดวงไฮโซโจมตีเป็นเนืองนิตย์ว่าเป็นพวกตายด้าน แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยว่าสาเหตุที่เขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหนนั้นเป็นเพราะว่า...เขามีรสนิยมชอบผู้ชาย

นอกจากนั้น เขาเองก็ไม่ได้ว่างมากพอที่จะไปสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครด้วย ตั้งแต่ที่จัสตินมอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแลความรับผิดชอบต่างๆ ของบริษัท ชีวิตของเขาก็มีแต่คำว่างาน งาน และงาน ครั้งนี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาถูกใจใครสักคน

และเป็นการถูกใจที่...อาจจะเรียกได้ว่ารักแรกพบด้วยก็ได้

พอตั้งสติได้ก็ชะงักมือที่กำลังเขียนตัวเลขลงในใบเช็ค มองจ้องหน้ากนกกานต์นิ่ง

“ผมมีคำถามอยากจะถามคุณสักข้อ”

“ว่ายังไงคะ”

“ถ้าคุณแต่งงานกับพี่ชายผม คุณจะย้ายไปอยู่กับเขาใช่ไหม”

กนกกานต์ออกจะแปลกใจสักหน่อยที่ถูกถามแบบนี้ขึ้นมากะทันหัน แต่ก็ตอบไปตามตรง

“ค่ะ ฉันจะไป”

“แล้วลูกชายคุณก็จะไปด้วยใช่หรือเปล่า”

“ค่ะ”

เท่านั้นออสตินก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ เงียบนิ่งไปครู่ราวกับครุ่นคิด ก่อนที่จะตัดสินใจว่าออกมา

“ถ้าอย่างนั้นในระหว่างที่คุณรอให้ลูกชายคุณปรับตัวได้ ผมถือว่าจะให้โอกาสคุณได้พิสูจน์ตัวเองแล้วกัน”

การเปลี่ยนใจแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับทั้งกนกกานต์และล่ามสาวที่คอยแปลให้อยู่ไม่น้อย แต่ออสตินก็ไม่คิดที่จะอธิบายใดๆ นอกจากจะรำพึงชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้นในใจตัวเอง

กานต์...

หวังว่าเราจะได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ...กานต์

 


หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.21: Only you and I[13-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-04-2018 04:01:29
Chapter 22: Truth[2]


สองปีต่อมา

เป็นระยะเวลาที่นานมากพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าผู้หญิงไทยคนนั้นรักในตัวพี่ชายของเขาจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือหรือรับเงินจากพี่ชายเขาเลยสักครั้ง ทุกอย่างในชีวิตเธอ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ครอบครัวที่ต้องดูแล ล้วนแล้วเป็นน้ำพักน้ำแรงของเธอทั้งนั้น

ออสตินเชื่อแล้วว่าเธอรักพี่ชายเขาจริงๆ...

แต่อะไรก็ไม่สำคัญและน่ายินดีเท่ากับการที่เขาพูดภาษาไทยได้ ตั้งแต่วันที่ได้เจอกับ ‘ว่าที่หลานชาย’ ในวันนั้น เขาก็ไม่รอช้าที่จะไปสมัครเรียนภาษาของประเทศโลกที่สามทันที ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยเช่นกันว่าสักวันจะต้องมานั่งอ่านหนังสือ ท่องศัพท์เป็นบ้าเป็นหลังเพื่อเด็กที่เพิ่งเคยเจอหน้าแค่ครั้งเดียวอย่างนี้

รักแรกพบช่างน่ากลัวนัก และความรักก็ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน ไม่มีเหตุผล ไม่มีความถูกต้องอะไรเลย มีแต่ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองอย่างเดียว ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมจัสตินถึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่รู้จักกันในแอพฯ หาคู่ทั้งที่ยังไม่เคยเจอตัวจริงอย่างนั้น

ทว่า...ตอนนี้ได้เจอตัวจริงแล้ว กนกกานต์มาทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในนิวยอร์กของเพื่อนเธอเพื่อที่จะอยู่ใกล้ๆ กับจัสติน ขณะที่จัสตินพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้อยู่กับเขาตลอดไป ย่อมแน่ว่าน้องชายอย่างออสตินก็ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หากแต่ไม่ใช่เพราะต้องการเห็นพี่ชายมีความสุขกับคนรัก เขาอยากจะได้อยู่ใกล้ๆ กับลูกเลี้ยงของพี่ชายต่างหาก

ถ้าทั้งสองแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกกฎหมาย การที่กานต์จะมาอยู่ใกล้ๆ กับเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายแล้ว

แต่...ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างนั้นเมื่อวันหนึ่งจัสตินก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

“ออสติน พี่มีเรื่องจะคุยกับนาย”

“เรื่อง?”

“เรื่องซีเรียส”

ออสตินที่นั่งดูกราฟหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อยู่เงียบๆ ถึงกับต้องวางแท็บเล็ตลง ถ้าพี่ชายเขาพูดมาอย่างนี้แล้ว มันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน ซึ่งก็ใช่ เมื่อจัสตินเอ่ยขึ้น

“ฉันจะไม่แต่งงานกับกนกกานต์”

เรียวคิ้วเข้มของออสตินขมวดเข้าหากันทันที “หมายความว่ายังไง”

“เฮ้ ใจเย็นๆ น่า ฉันไม่แต่งงานกับเธอแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกกับเธอ ฉันแค่คิดอะไรได้บางอย่าง”

ออสตินโล่งใจอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าก็อดสงสัยไม่ได้

“คิดอะไรได้เหรอครับ”

“เรื่องลูกของเธอน่ะ” จัสตินว่าแล้วถอนหายใจออกมา “นายรู้ใช่ไหมว่ากานต์กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ”

คนฟังพยักหน้า เขาตามติดว่าที่หลายชาย ตามสืบทุกเรื่อง เรื่องที่ชอบ เรื่องที่ไม่ชอบ ประหนึ่งกับเป็นสตอล์กเกอร์อย่างนี้ ทำไมจะไม่รู้กัน

“ฉันกลัวว่าถ้าเขารู้ว่าพ่อเลี้ยงของเขาเป็นคนพิการอย่างฉัน เขาจะรับไม่ได้”

ออสตินขมวดคิ้วย่นยู่หนักกว่าเดิม “ไร้สาระน่าพี่ แค่เดินไม่ได้มันไม่ได้หมายความว่าพี่จะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดีไม่ได้สักหน่อย”

จัสตินยิ้มบางๆ “นั่นก็ใช่ แต่ฉันอยากให้เขารู้สึกดีที่มีครอบครัวใหม่ นายก็รู้ใช่ไหมว่ากนกกานต์กังวลเรื่องความรู้สึกของลูกชายเธอมากกว่าอะไร”

ทำไมจะไม่รู้ เขารู้สิ รู้ดีเลยล่ะ

“ฉันก็เลยเสนอว่าจะให้เธอแต่งงานกับนายแทน แบบว่า...ถ้านายตอบตกลงน่ะนะ”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร” ออสตินหัวเสียขึ้นฉับพลัน เขาอยากอยู่กับกานต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมแต่งงานกับแม่ของกานต์เสียหน่อย ก็คนที่เขารักไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นกานต์ต่างหาก

“ใจเย็นๆ ก่อน มันก็แค่ในนาม” จัสตินรีบปรามเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของน้องชาย ก่อนจะว่าเสริมทันทีที่อีกฝ่ายนิ่ง “ฉันก็แค่อยากมอบสิ่งดีๆ ให้เขา ฉันหมายถึง...ทุกสิ่งที่เพียบพร้อม นอกจากครอบครัวที่ดี ฉันก็อยากให้เขาได้พ่อเลี้ยงที่ดีด้วย แน่นอนว่าหมายถึงพ่อเลี้ยงที่เพอร์เฟ็กทุกด้าน ไม่ใช่ไอ้ง่อยที่ได้แต่นั่งรถเข็นไปวันๆ อย่างฉัน ฉันถึงได้ขอร้องนาย”

“จัสติน พี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลยนะ”

จัสตินรีบยกมือปรามไม่ได้พูดต่อเมื่อเห็นว่าออสตินกำลังจะบอกว่าเขาดีแค่ไหน เขารู้ว่าออสตินไม่ชอบใจนักที่เห็นเขาพูดถึงตัวเองในแง่ลบอย่างนี้ แต่เขาตัดสินใจและคิดถี่ถ้วนแล้ว

“ลองคิดดูนะออสติน ถ้ากานต์มาอยู่ที่นี่ ต้องเข้าเรียนที่นี่ ถ้าเด็กคนอื่นๆ รู้ว่าแม่เขาแต่งงานกับฉัน เขาจะโดนกลั่นแกล้งแค่ไหน อย่างน้อยแม่ของเขาก็ต้องถูกเรียกว่าเป็นพวกอีตัวอะไรแบบนั้น ผู้หญิงไทยถูกมองไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เผลอๆ จะถูกมองด้วยว่าที่แม่เขาแต่งงานกับฉันก็เพราะเงิน ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาถูกทำร้ายจิตใจ เข้าใจความหมายที่ฉันต้องการจะสื่อไหม”

เข้าใจสิ ออสตินเข้าใจว่าสังคมในโรงเรียนอเมริกันนั้นมันไม่ได้สวยหรูสักเท่าไรนัก สำหรับเด็กบางคน สังคมในโรงเรียนอาจจะเป็นฝันร้ายไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้

“ดังนั้นฉันก็เลยอยากให้นายเป็นตัวแทนของฉันที แค่จดทะเบียน แค่ทำให้คนอื่นๆ รู้ว่านายเป็นพ่อเลี้ยงของเขา แต่บทบาทในครอบครัว ฉันจะเป็นคนทำหน้าที่นั้นเอง”

ออสตินพยักหน้า เขาเข้าใจแล้ว แต่เขาก็ตะขิดตะขวงใจที่จะทำอย่างนั้นอยู่ดี

“ผมว่าพี่ควรจะเป็นคนทำหน้าที่นั้นมากกว่า หมายถึงเรื่องจดทะเบียนด้วย”

จัสตินคิดไว้อยู่แล้วว่าน้องชายจะต้องตอบกลับแบบนี้ ซึ่งเขาก็เตรียมพร้อมสำหรับการรับมือเรื่องนั้นมาอยู่แล้ว

“หวังว่านายคงจะไม่ลืมว่าครอบครัวฉันเคยช่วยเหลือนายยังไงนะออสติน”

เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำให้ออสตินชะงัก ครั้นเหลือบมองหน้าพี่ชายก็เห็นว่าจัสตินจ้องเขาเขม็ง

เคยช่วยเหลือเขาอย่างไรน่ะเหรอ?

ไม่ต้องอธิบายให้มากความนักหรอก ออสตินรู้ดี ที่เขามีทุกวันนี้ได้ แน่นอนล่ะว่าเป็นเพราะครอบครัวสเวน... ไม่สิ เป็นเพราะแม่เลี้ยงของเขา และใช่ เขาหมายถึงแม่แท้ๆ ของจัสตินที่อุตส่าห์เลี้ยงดูและให้การสนับสนุน ‘ลูกของโสเภณีข้างถนนที่เกิดมาโดยความไม่ได้ตั้งใจจากความเสเพลของพ่อ’ อย่างเขาเหมือนลูกแท้ๆ จนเขาหลุดออกจากสลัมอย่างที่เด็กไร้บ้าน ไร้อนาคตคนหนึ่งไม่เคยคาดฝันมาก่อน อันที่จริงต้องบอกว่าแม่ของจัสตินช่วยเหลือเขาตั้งแต่ที่เขายังไม่ลืมตาออกมาดูโลกด้วยซ้ำ แม่ของเขาคิดจะกำจัดมารหัวขนอย่างเขาออกหลังจากที่ไปร้องเรียกค่าเลี้ยงดูจากพ่อเขาแล้วไม่เป็นผล แต่เมื่อแม่เลี้ยงของเขารู้เรื่อง เธอก็ไปยื่นข้อเสนอ ขอรับเขาเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่แรกเกิด ส่วนแม่แท้ๆ ของเขา ตั้งแต่ที่เซ็นเอกสารยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ก็หอบเงินก้อนโตหนีหายไปแล้วไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลยก็ว่าได้

แม่ที่เขารู้จักมาตลอดชีวิตจึงมีแค่คุณนายสเวนคนเดียวเท่านั้น...

“ขอร้องล่ะออสติน ถ้านายอยากตอบแทนอะไรสักอย่าง ฉันก็ขอเป็นเรื่องนี้”

ออสตินเม้มริมฝีปากไปครู่ เขาไม่อยากจะตอบรับเลย แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มคนนั้น ระคนกับบุญคุณที่เขายังค้างคาไว้กับครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เขายังเหลืออยู่ เขาก็จำใจต้องตกปากรับคำไป

“ได้ แต่แค่ในนาม...”

จัสตินยิ้มกริ่มด้วยความยินดีเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะตอบรับ “แค่ในนาม... ขอบใจมากออสติน ฉันฝากดูแลเขาอีกแรงด้วย อย่าทอดทิ้งเขา อย่าทำให้กานต์รู้สึกว่าแปลกแยก เขากำลังจะเป็นสมาชิกของครอบครัวเรา”

คนฟังพยักหน้า ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปนั้นมันผิดหรือถูก เขารู้เพียงแต่ว่าเขาสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อให้กานต์มาอยู่ข้างๆ เขาก็เท่านั้น และทุกอย่างที่เป็นไปเพื่อกานต์ เขาก็ย่อมทำได้เช่นกัน

เขาทำเพื่อกานต์... เพื่อกานต์คนเดียว...

 

“เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้”

เล่าจบ ออสตินก็สรุป กานต์ดูตะลึงงันอยู่ไม่น้อย มองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาประหนึ่งจะถามว่าถ้าเขาไม่ใช่พ่อเลี้ยงแล้ว ตกลงเขาเป็นใครกันแน่

“ไม่เอาน่า อย่ามองฉันแบบนั้น ก็บอกแล้วไงว่าจริงๆ แล้วฉันมีศักดิ์เป็นอาของเธอ ไม่ใช่พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงที่แท้จริงของเธอคือพี่ชายฉัน บอกไปแล้วนี่”

ราวกับอ่านสายตาของเด็กหนุ่มออก ออสตินเลยว่าออกไปอย่างนั้น แน่นอนว่าเรื่องที่จัสตินไม่แต่งงานกับแม่ของกานต์นั่นก็เล่าไปแล้วด้วย กานต์เองก็รับฟังไปแล้วเช่นกัน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่คิดเลยว่ามันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย

“ผมว่าแด๊ดดี้ไม่เห็นจะต้องทำอย่างที่...พี่ชายของแด๊ด...”

“จัสติน” ออสตินทวนชื่อให้ เผื่อว่าเด็กหนุ่มจะลืม

“นั่นแหละครับ ไม่เห็นจะต้องทำอย่างที่คุณจัสตินต้องการเลย ผมไม่คิดมากกับเรื่องนั้นสักหน่อย ไร้สาระ”

“เธอไม่คิด แต่จัสตินคิด แม่เธอก็เหมือนกัน แน่นอนว่าฉันก็คิดด้วย เรื่องมันถึงออกมาแบบนี้ แต่ขอให้เธอเชื่อเถอะว่าพวกเราคิดกันมาถี่ถ้วนแล้ว”

กานต์ถอนหายใจ บางครั้งความรู้สึกนึกคิดของผู้ใหญ่ก็ซับซ้อนจนเด็กอย่างเขาเข้าไม่ถึงเลย ทำไมจะต้องทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากกัน

“ถ้ามาถามผมตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็คงไม่ออกมาอย่างนี้ หวังดีกับผม แต่ไม่ถามผมสักคำ แบบนี้เรียกว่าหวังดียังไง”

ออสตินยิ้มบางๆ ที่เด็กหนุ่มพูดก็ถูก แต่ว่า...

“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ที่ฉันทำไปก็เพราะรักเธอ บางทีความรักก็ไม่ต้องการเหตุผลมากหรอกนะ แค่เป็นเรื่องของคนที่เรารัก คนบางคนก็ยอมทำทุกอย่างให้ได้”

“เหมือนกับแด๊ดดี้ที่ตกปากรับคำยอมจดทะเบียนกับแม่ผมแทนคุณจัสตินน่ะเหรอครับ”

ออสตินพยักหน้า ให้เด็กหนุ่มได้พึมพำ

“ไม่เมคเซ้นส์เลย”

ชายหนุ่มไม่เถียงหรอก เพราะพอมาย้อนคิดดู สิ่งที่พวกเขากระทำก็ไม่เมคเซ้นส์อย่างที่กานต์ว่าจริงๆ

“แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องของความหวังดีต่อเธออย่างเดียว มันเป็นเรื่องตอบแทนบุญคุณที่ครอบครัวสเวนมีต่อฉันด้วย โดยเฉพาะแม่เลี้ยงของฉัน”

กานต์เข้าใจสิ่งที่ออสตินต้องการจะสื่อ ถ้าเขาเป็นออสติน เกิดจากแม่ที่เป็นโสเภณีโดยไม่ได้ตั้งใจ มิหนำซ้ำเคยเกือบถูกแม่ทำแท้งโดยที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อย่างนั้น เขาก็ต้องซาบซึ้งพระคุณของคนที่ทำให้เขาได้ลืมตามาดูโลกอยู่แล้ว

“แล้วผมจะต้องทำยังไงต่อจากนี้ ผมจะต้องเรียกคุณจัสตินว่าแด๊ดดี้แทน แล้วเปลี่ยนมาเรียกแด๊ดดี้ว่าคุณอาไหม หรือยังไงดีครับ”

กานต์ถามเข้าเรื่อง เรื่องนี้ล่ะที่ออสตินตั้งใจจะดำเนินการต่อ

“สิ่งที่เธอต้องทำมีแค่อย่างเดียวเท่านั้น” ว่าพลางดึงเด็กหนุ่มให้เข้าไปใกล้ แล้วก็ประทับจูบลงมายังริมฝีปากแผ่วเบา ผละออกได้ก็กระซิบ “รักฉัน... หน้าที่ของเธอมีแค่นี้ คงไม่ยากเกินไปใช่ไหม”

กานต์ยิ้มกว้าง พยักหน้ารับหงึกหงัก

“ไม่ยากครับ”

“ดี งั้นรักฉันให้มากเท่าที่เธอจะทำได้ก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรแล้ว ตอบรับไปตามประสา หัวใจดวงน้อยของเขามีไว้เพื่อรักออสตินเท่านั้นล่ะ ขณะที่ออสตินกกกอดคนในอ้อมแขน แววตาฉายความมุ่งมั่นบางอย่างขึ้นมาฉับพลัน

กลับไปนิวยอร์กเมื่อไร เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวแน่...จัสติน

-------------------------

มาอัปแล้วค่ะ ตอนนี้ปิดซีรีส์ยักษ์ไปแล้ว คงจะมาอัปเรื่องนี้อย่างเดียวก่อนละ

ตอนนี้เฉลยปมในอดีตของออสตินแล้ว แต่หนูแดงมีแก้ไขปมพล็อตนิดนึง อยากให้ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 19 ด้วย เพราะว่าตอนแรกหนูแดงเขียนให้ศาลสั่งให้จัสตินเป็นบุคคลไร้ความสามารถ แต่ผิดพลาดไปนิดตรงที่ไม่ได้ดูให้ดีว่ามันจะต้องไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ด้วย เลยต้องแก้กันยกใหญ่หน่อย ขอบคุณทุกคนที่ทักเรื่องนี้เข้ามาค่ะ

ส่วนใครขี้เกียจตามกลับไปอ่าน หนูแดงอธิบายคร่าวๆ ไว้ตรงนี้แล้วกัน คือจัสตินกลัวว่ากานต์มาอยู่ด้วยแล้ว ถ้าเพื่อนที่โรงเรียนรู้ว่าพ่อเลี้ยงตัวเองพิการ จะถูกกลั่นแกล้ง เพราะผู้หญิงไทยในความคิดของจัสตินก็ไม่ได้ฟังดูดี กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าแม่ของกานต์แต่งงานกับตัวเองเพราะเงิน เลยขอให้ออสตินที่เพอร์เฟ็กต์ในทุกด้านจดทะเบียนแทน ออสตินยอมเพราะมีหนี้บุญคุณติดค้างไว้อยู่ (จัสตินกับออสตินเป็นพี่น้องคนละแม่ค่ะ เพิ่งมาเฉลยตอนนี้ ออสตินเป็นลูกที่เกิดจากโสเภณีที่พ่อไปมีความสัมพันธ์ด้วย แล้วแม่ออสตินมาขู่เอาเงินกับจะทำแท้ง แม่ของจัสตินเลยขอรับเลี้ยงออสตินเป็นลูกบุญธรรมแทนตั้งแต่ยังไม่เกิดมาลืมตาดูโลก)

ประมาณนี้นะ ซับซ้อนนิดนึง ฮา ตอนหน้าน่าจะได้เจอกันมะรืนนะคะ เดี๋ยวมาอัปให้เน้อ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.22: Truth[17-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 17-04-2018 15:44:31
หายใจไม่สุด ลุ้นตอนหน้าจัด
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.22: Truth[17-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-04-2018 20:06:53
ความคิดท่านพี่จัสตินล้ำเลิศจริงๆ นับถือๆ  o14
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.22: Truth[17-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 17-04-2018 20:24:59
หนูแดงกลับมาแล้ววววว

ทั้งสองคนต่างก็รักกัน ตัองฝ่าฟันอุปสรรคไปได้แน่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.22: Truth[17-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-04-2018 07:48:24
Chapter 23: You are mine

เรื่องของเขากับกานต์ไม่ควรปล่อยไว้นานจนเป็นแผลเรื้อรัง ทันทีที่ตัดสินใจบินกลับมายังนิวยอร์ก ออสตินก็ติดต่อไปหาคนรอบข้างทันที แน่นอนว่าติดต่อไปยังบริษัทของเขาก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเกรงว่าลูกน้องจะขวัญเสียด้วยจู่ๆ เขาก็หายตัวไปมากกว่านี้ ก่อนจะติดต่อไปยังจัสตินที่รอคำอธิบายว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้หายหัวไป

ออสตินนัดวันเวลาที่จะเข้าไปหาอีกฝ่าย พอกานต์รู้ก็อยากจะไปด้วยเพราะอยากเห็นว่า ‘พ่อเลี้ยงที่แท้จริง’ ของตัวเอง แต่ออสตินไม่เห็นดีนัก

“เอาไว้ให้ฉันสะสางปัญหาระหว่างฉันกับจัสตินได้ก่อน ถึงตอนนั้นแล้วจะพาเธอไป”

พูดมาอย่างนี้แล้ว กานต์จะไปดื้อรั้นอะไรได้ ยิ่งออสตินถามว่า...

“เธอคิดว่าฉันเผด็จการไหม”

คนถูกถามพยักหน้า

“จัสตินเป็นมากกว่าฉันหลายร้อยเท่า”

เท่านั้นกานต์ก็ไม่ตอแยแล้ว ขืนจัสตินเห็นหน้าเขาแล้วดื้อแพ่ง ยืนยันไม่ยอมท่าเดียว เขากับออสตินจะลำบากเอา ดังนั้นให้ออสตินไปคนเดียวก่อนนั่นล่ะดีแล้ว

เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ออสตินก็ไม่รอช้าที่จะมุ่งหน้าไปหาพี่ชายตนเองทันที จัสตินนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกอยู่แล้ว พอเห็นร่างสูงคุ้นตาโผล่เข้ามา เสียงทุ้มก็ดังขึ้นทันควัน

“หายหัวไปไหนมา”

“ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะมาบอกพี่นี่แหละ”

ออสตินตอบรับเสียงเรียบ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ทอดสายตามองไปยังจัสตินบนรถเข็นที่กำลังจ้องเขาเขม็ง

“ฉันหวังว่าจะได้รับคำอธิบายดีๆ จากนาย”

น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบไม่แพ้กัน แต่อย่างไรก็แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ออสตินสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะว่าออกไปตามความจริง

“ผมพากานต์ไปฮาวาย”

“ฮาวาย?”

“พักร้อน”

จัสตินไม่เชื่อหรอกว่าพักร้อน มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

“อย่ามาเล่นลิ้น บอกมาตามตรงว่านายกำลังคิดจะทำอะไร”

พี่น้องย่อมรู้กันเสมอ แม้ว่าออสตินจะเป็นน้องชายต่างมารดา แต่ทั้งคู่ก็เติบโตมาด้วยกัน ทำไมจัสตินจะไม่รู้ล่ะว่าคนตรงหน้าเจ้าแผนการที่ไหน บางครั้งเขาเองก็ยังตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทันด้วยซ้ำ

“ถ้าพี่อยากให้ผมบอกไปตามตรง ผมก็จะตอบตามตรง”

“...”

“ผมพากานต์ไปที่นั่นเพื่อขอแต่งงาน”

คำพูดนั้นเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางลำตัวของจัสติน ทันทีที่ได้ยิน ใบหน้านิ่งเรียบก็มีความไม่พอใจพร่างพราย

“นายว่ายังไงนะ”

“ผมขอกานต์แต่งงาน เราจะแต่งงานกัน”

ออสตินย้ำ ท่าทางยังคงนิ่งงัน ไม่กระโตกกระตากสักนิด จะมีก็แต่จัสตินเท่านั้นที่แผดเสียงขึ้นด้วยหมดความอดทน

“นายมันบ้าไปแล้ว!”

“ผมไม่ได้บ้า” ออสตินว่า “และผมก็ไม่ได้บังคับกานต์ด้วย ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสมัครใจ”

ยิ่งฟัง จัสตินก็ยิ่งโมโห พลันก็กดเสียงต่ำ “แต่เด็กนั่นเป็นลูกเลี้ยงของนาย”

“เป็นของพี่ต่างหาก”

“ไม่ต้องมายอกย้อนฉัน ให้ตายเถอะออสติน! นายกำลังจะรับกานต์เป็นลูกบุญธรรมนะ ทำไมถึงได้ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้!”

วกกลับเข้ามาพูดเรื่องนี้จนได้ ซึ่งออสตินก็เตรียมใจรับมือมาก่อน ก่อนจะเอาซองเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยโยนลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า

“เรื่องนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น”

จัสตินมองใบหน้าของน้องชายสลับกับซองเอกสารนั้น

“อย่าพูด...”

“ผมจะไม่รับกานต์เป็นลูกบุญธรรม ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่เราสองคนจะแต่งงานกันแทน พอกานต์อายุครบสิบแปด ผมกับเขาจะแต่งงานกัน”

ออสตินไม่ฟังคำห้ามปรามเลยสักนิด แม้ว่าจัสตินจะไม่อยากฟัง เขาก็ต้องพูดออกไปให้ชัดเจน และประโยคนั้นก็ทำให้คนฟังกัดฟันกรอดด้วยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ ก็เกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาได้

“พระเจ้า นายมันบ้าไปแล้ว”

จัสตินดูหัวเสียอย่างถึงที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้ ยกมือขึ้นลูบใบหน้า ขณะที่ออสตินรอให้อีกฝ่ายสงบใจลงได้ครู่หนึ่งก่อน จากนั้นถึงได้เอ่ยขึ้นมาอีก

“ถึงพี่จะไม่เห็นด้วย แต่ผมขอบอกเลยว่าไม่ว่ายังไง ผมก็จะแต่งงานกับกานต์ เราไม่ได้เป็นพ่อลูกที่แท้จริงกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมแค่แต่งงานกับแม่เขา และตอนนี้เธอก็ตายไปแล้ว ผมจะแต่งงานกับลูกของเธอแทนมันก็ไม่ผิด”

“ใช่ ไม่ผิด แต่มันก็แค่ในทางกฎหมาย นายคิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้านายแต่งงานกับกานต์ แล้วสังคมจะมองยังไง ไม่พ้นเด็กนั่นถูกตีตราจากคนในสังคมเหรอ”

จัสตินเป็นกังวลขึ้นมาอีกแล้ว ออสตินเองก็เข้าใจความกังวลของพี่ชายได้ดีเพราะเขาเองก็คิดเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน

“ผมถึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากพี่ เพราะถ้าผมแต่งงานกับกานต์ มันจะต้องเป็นข่าวแน่” แน่ล่ะ ก็เขาเป็นพ่อมดแห่งวงการตลาดหลักทรัพย์ที่มีผู้หญิงมากมายจากสังคมคนมีชื่อเสียงหมายปองนี่ ไม่พ้นถูกนักข่าวเต้าข่าวเรื่องนี้อยู่แล้ว “ผมเลยอยากจะขอร้อง ถ้าผมแต่งงานกับกานต์เมื่อไร ผมจะแถลงข่าว และจะขอให้พี่ช่วยอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

“นายจะให้ฉันบอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นคนขอให้นายแต่งงานกับกนกกานต์...”

ออสตินพยักหน้ารับ ก่อนว่าเสียงเรียบ “เพื่อปกป้องกานต์”

ยิ่งฟัง จัสตินก็ยิ่งหัวเสีย เขาสบถคำหยาบคายออกมาสารพัด ออสตินรอให้อีกฝ่ายใจเย็นลงก่อน จากนั้นถึงได้ปริปากขึ้นอีกครั้ง

“ผมรู้ว่าพี่ไม่สบอารมณ์ที่เรื่องมันลงเอยแบบนี้ แต่ขอเถอะจัสติน พี่รักกนกกานต์ยังไง ผมก็รักกานต์อย่างนั้น ที่ผมตกปากรับคำแต่งงานกับเธอ นอกจากเรื่องคำขอของพี่กับเธอแล้ว พี่คิดว่าทำไมผมถึงยอมรับปาก”

ถึงตอนนี้จัสตินเงียบ รอให้น้องชายได้อธิบายเสริม

“เพราะผมรักกานต์ รักมาตั้งแต่ตอนนั้น พอพี่บอกว่าพี่กังวลว่ากานต์จะถูกรังแกเพราะมีพ่อเลี้ยงแบบ...” ว่าพลางผายมือไปยังจัสติน ไม่ต้องพูดก็รู้กันว่าหมายถึงสภาพร่างกายที่ไม่สมประกอบของพี่ชาย “ผมก็เลยยอมรับข้อเสนอ ถ้าไม่ใช่เพราะกานต์ ผมจะไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงหรือคนที่ไม่ได้รักอย่างแน่นอน”

เป็นความในใจของออสตินที่เก็บงำมาหลายปี จัสตินก็ออกจะตะลึงงันอยู่ไม่น้อยที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้เลยว่าคนมีสักเป็น ‘อา’ อย่างออสตินจะคิดแบบนี้มาก่อน มิหนำซ้ำ ตอนนั้นกานต์ยังอายุแค่...

“นายรักกานต์มาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุสิบห้า...”

ออสตินพยักหน้า ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด และนั่นทำให้จัสตินกังวลขึ้นมาน้อยๆ

“ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกัน แต่กานต์ยังอายุแค่สิบเจ็ด นายบอกกับฉันว่าเด็กนั่นตกปากรับคำขอแต่งงานของนาย อย่าลอกฉันนะว่า...”

“ผมยังไม่ได้ทำอะไร”

ราวกับรู้ว่าพี่ชายจะถามอะไร ซึ่งใช่...เขายังไม่ได้ทำอะไร แต่หมายถึงแค่เรื่องการมีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งอย่างที่คนรักกระทำกันเท่านั้น เรื่องที่กระทำแต่ภายนอกนั้น เขาไม่ได้พูดถึง และจัสตินก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไรหรอก แต่ด้วยความที่พื้นฐานนิสัยของออสตินไม่ใช่คนขี้โกหกและเป็นจริงจัง แค่สบตาก็ทำให้ยอมรับคำพูดนั้นแล้ว

“ดี ฉันเองก็ไม่อยากเห็นนายถูกจับในข้อหาพรากผู้เยาว์เหมือนกัน”

เหมือนจะเป็นมุกตลก แต่มันไม่ขำเลยสักนิด ขณะที่ออสตินเพิ่มความมั่นใจให้

“ผมจะไม่ทำอะไรเขาจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ”

จัสตินพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าปอด เหยียดตัวตรง

“แล้วนายอยากจะบอกอะไรฉัน”

ในที่สุดก็เข้าเรื่องอีกครั้ง อันที่จริงออสตินก็บอกไปหมดแล้ว แต่เขาจะยืนยันความชัดเจนในความต้องการของตัวเองและกานต์อีกครั้งก็ได้

“ผมจะแต่งงานกับกานต์ และผมสัญญาว่าจะดูแลกานต์เป็นอย่างดีตามอย่างที่พี่กับกนกกานต์ตั้งใจไว้ ดังนั้นขอเถอะ อย่าบังคับให้ผมต้องทำโน่นทำนี่ตามใจพี่อีกเลย ตลอดมาผมทำตามคำขอร้องของพี่ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ผมจะขอทำตามความต้องการของตัวเอง จัสติน...” เว้นจังหวะไปครู่ ดวงตาจ้องมองใบหน้าของพี่ชายนิ่ง “...ผมรักกานต์”

เท่านั้นจัสตินก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยยอมแพ้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะยอมง่ายๆ แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ตลอดมาออสตินก็ไม่เคยร้องขออะไรเพื่อตัวเองเลยสักครั้ง ทุกอย่างที่ออสตินกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามารับหน้าที่ดูแลบริษัทแทนเขาในระหว่างที่รักษาตัวจากอุบัติเหตุจนบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งแต่งงานกับกนกกานต์ และรับปากว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดีให้กับกานต์ ล้วนแล้วเป็นไปเพราะความต้องการของจัสตินทั้งสิ้น

บางที...อาจจะได้เวลาที่ให้ออสตินได้มีชีวิตเป็นของตัวเองได้แล้ว

“บอกตามตรงนะออสติน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันทำใจได้ยากที่สุดในชีวิตเรื่องนึงเลย ขอเวลาฉันหน่อยแล้วกัน จนกว่าฉันจะเลิกมองว่านายเป็นพ่อเลี้ยงของกานต์ได้ ส่วนไอ้เรื่องที่ต้องไปแถลงข่าวอะไรกับนายนั่น ขอฉันคิดดูหน่อย”

ถึงจะไม่เห็นด้วยตามตรง แต่นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าไม่คัดค้านเรื่องที่ออสตินปฏิเสธการรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรม

คนฟังยกยิ้มมุมปากขึ้นมาน้อยๆ แค่นี้ในอกดีใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาอยากจะบอกเรื่องนี้กับกานต์ในวินาทีนั้นเลย ทว่าก็ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ บอกกับพี่ชายด้วยความรู้สึกที่ตื้นตัน

“ขอบคุณมากจัสติน...ขอบคุณ...”

และเขาก็หวังว่าทุกอย่างหลังจากนี้จะราบรื่นตลอดไป

กานต์...จะได้เป็นของเขาในฐานะ ‘คู่ชีวิต’ ไม่ใช่ ‘ลูกเลี้ยง’ อย่างที่เคยเป็น

 

เรื่องน่ายินดีที่สุดในชีวิตของกานต์ช่วงนี้ก็คือการได้ยินคำบอกเล่าจากปากคนรัก ฟังสิ่งที่ออสตินเล่าไปก็ทำตาโตไป ยิ้มกว้างเป็นระยะ ขณะที่ออสตินก็มีความสุขจนไม่สามารถพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้

พวกเขากำลังจะเป็นของกันและกัน... ไม่ใช่พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงอีกต่อไป

พวกเขารักกัน...

และความจริงนี้ก็ทำให้คนที่มีความอดทนสูงอย่างออสตินอดทนรอไม่ไหวสักเท่าไรนัก ถึงจะรู้ว่าต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แต่เพราะคิดไปก่อนหน้าแล้วว่าเขาจะทำอะไรกับกานต์บ้างเมื่อถึงวันเกิดอายุครบสิบแปดปี เขาก็อดไม่ได้ที่จะกอดรัดปรนเปรอร่างกายของเด็กหนุ่มทุกวี่วัน โดยปกติแล้วจะเป็นกานต์ที่เข้าหา แต่หลังกลับมาจากบ้านของออสตินในวันนั้น ก็ดูเหมือนว่าออสตินจะเป็นฝ่ายเข้าหาแต่ผู้เดียว

ไม่ใช่ว่ากานต์ไม่ชอบ แต่...บางครั้งถ้ามันเยอะมากเกินไป เขาก็รับไม่ไหวเหมือนกัน

ออสตินทั้งกอด ทั้งจูบ ลูบไล้ตะโบมไปทั่วสัดส่วนของร่างกาย ใช้ปลายนิ้วเข้าสำรวจช่องทางเร้นรับ ปรนเปรอความสุขให้ทุกครั้งที่มีโอกาส...ไม่สิ อาจจะเรียกว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนเลยก็ว่าได้ สิ่งนั้นทำให้กานต์กระอักความสุขจนสำลักครั้งแล้วครั้งเล่า

วันนี้ก็เช่นกัน แม้จะรู้ว่ามันเป็นวันแรกที่กานต์จะไปโรงเรียนหลังจากหยุดมาหลายวัน ออสตินก็ไม่วายอดใจไม่ไหว พอเห็นเด็กหนุ่มก้าวออกจากบ้าน เขาก็รีบจ้ำพรวดๆ ไปคว้าข้อมือของกานต์เอาไว้ พออีกฝ่ายหันมามอง ตั้งใจจะถามว่ามีอะไร แต่ก็ไม่ทันจะได้พูด ถูกออสตินลากกลับเข้ามาในบ้านเสียแล้ว

ทันทีที่ประตูบ้านปิดลง ริมฝีปากหนาก็บดจูบลงมาบนกลีบปาก มือสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของเด็กหนุ่ม หยอกเย้าตุ่มไตจนชูชัน กานต์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวผลักอกแกร่งให้ออกห่างเล็กน้อยเพราะหายใจไม่ออก แต่กลับกลายเป็นว่าถูกออสตินอุ้มขึ้นไปนั่งบนตู้ใส่รองเท้า แทรกตัวเข้ามาระหว่างขาแล้วจูบพรมไปทั่วใบหน้า ใบหู และลำคอ

สงสัยวันนี้คงจะไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วล่ะมั้ง?

“ดะ...แด๊ดดี้ครับ” เด็กหนุ่มครางเรียกเสียงแผ่วเมื่อตระหนักขึ้นได้ว่าเขาจะปล่อยให้ออสตินทำตามใจไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น เขามีปัญหาเรื่องเรียนแน่

“หืม?” คนถูกเรียกตอบรับทั้งที่ใบหน้ายังไม่ละออกมาจากซอกคอหอมกรุ่น ระเรื่อยริมฝีปากไปตามผิวบางๆ อย่างกระหาย

“ผะ...ผมต้องไปโรงเรียน...” กานต์ข่มความเสียวซ่านที่รุกรานตนอยู่แค่นเสียงออกไปอีกครั้ง

“ก็ไปสิ”

“แด๊ดดี้กอดผมแน่นอย่างนี้ ผมจะไปได้ยังไงล่ะครับ”

ตอนนี้เองที่ออสตินชะงัก ยอมผละออกมาจนได้ พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่ากานต์จับจ้องเขาด้วยสายตาฉ่ำหวานเพราะก็เกิดอารมณ์สวาทเหมือนกัน ใบหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ ด้วยเขินอายและเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงที่จู่ๆ ก็ถูกออสตินดึงกลับเข้ามาในบ้าน ก่อนจะปลุกปล้ำเสียจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ยอย่างนี้

“ขอโทษทีนะ มันเผลอไปหน่อย”

ทั้งที่พูดออกไปอย่างนั้น แต่สีหน้ากลับไม่ได้ดูสำนึกผิดเลยสักนิด มีรอยยิ้มระบาย ดวงตาพราวระยับคล้ายกับเสือตัวโตที่กำลังหยอกล้อกับเหยื่อที่จับได้

“งั้นก็ปล่อยผมได้แล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องไปโรงเรียนมันกันละ ไม่มีแรงแล้ว”

ออสตินหัวเราะออกมา เขาพอจะเข้าใจความหมายที่เด็กหนุ่มสื่ออยู่ ไม่แปลกหรอกถ้ากานต์จะพูดอย่างนี้ ก็เมื่อคืนเขาเองก็ปรนเปรอให้จนกานต์โอดครวญว่าไม่ไหวแล้วนี่นา เช้าขึ้นมาก็ตั้งท่าจะทำอีก ถึงจะมีแรงมากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะทำเรื่องอย่างว่าได้ตลอดสักหน่อย...ถึงเรื่องอย่างว่ามันจะเป็นการที่ออสตินทำให้กานต์สุขสมแค่ฝ่ายเดียวก็เถอะ

“ก็ได้ ฉันเองก็ไม่อยากให้เธอเสียการเรียน”

ได้ยินแล้ว กานต์ก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อออสตินหรี่ตามองเขา

“แต่ก่อนไป ฉันขอทำหลักฐานไว้หน่อยว่าเธอเป็นของฉัน”

พูดจบก็ประทับจูบลงมาบนต้นคอ ทำเอากานต์ต้องร้องปรามเป็นพัลวัน

“ที่คอไม่ได้นะครับ”

ออสตินรู้หรอก แค่แกล้งให้กานต์โวยวายไปอย่างนั้นแหละ เขาออกจะชอบเวลาเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเด็กคนนี้ ก่อนจะไล่พรมจูบลงต่ำไปยังแนวไหปลาร้าที่เผยมาให้เห็นหลังจากถูกเขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต พลันดูดดุนจนเกิดรอยแดงเรื่อขึ้นมา

แค่รอยเดียวคงจะไม่พอ ออสตินจัดการทำหลักฐานไม่ต่ำว่าสามรอย พอผละออกมาแล้ว กานต์ก็มุ่ยหน้า

“กลัวผมไม่รู้เหรอว่าผมเป็นของแด๊ด”

ออสตินยกยิ้ม “ใช่ กลัวไม่รู้” ก่อนจะกระซิบลงมาที่ใบหูแผ่วเบา “ฉันเลยต้องย้ำให้มันชัดๆ หน่อยว่าเธอเป็นของฉัน”

เสียงหัวเราะเบาๆ ของเด็กหนุ่มดังขึ้น สองมือประคองใบหน้าคร้ามที่อยู่ใกล้เพียงคืบ

“ไม่ต้องย้ำ ผมก็เป็นของแด๊ดดี้อยู่แล้ว”

สิ้นเสียง กลีบปากบางก็ถูกกลืนกินอีกครั้ง คราวนี้กานต์ตอบรับจุมพิตนั้นอย่างรู้งาน ทำให้ออสตินต้องเป็นฝ่ายเตือนตัวเองไม่หยุด เพราะไม่อย่างนั้น...

“ถ้าเธอยังจูบตอบฉันแบบนี้ ฉันรับประกันได้ว่าวันนี้เธอไม่ได้ไปโรงเรียนแน่”

กานต์เลยจำต้องหยุด เม้มริมฝีปากราวกับกลั้นยิ้ม ก่อนจะว่าออกมาเมื่อเห็นว่าออสตินดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไรที่ต้องหยุดกลางคัน

“ผมจะมาชดเชยให้หลังเลิกเรียนนะครับ”

ออสตินพยักหน้า สั่งกำชับ “เลิกเรียนแล้วกลับบ้านทันที เข้าใจไหม”

“รับทราบ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นตะเบ๊ะด้วยสีหน้าร่าเริง เรียกรอยยิ้มให้กับคนมองได้เป็นอย่างดี

“ไว้เจอกันเย็นนี้”

ออสตินประทับจูบลงบนหน้าผากมน ช่วยกานต์แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วปล่อยให้ไปโรงเรียนได้ กานต์โบกมือเป็นการบอกลา ก่อนจะเดินหายจากหน้าบ้านไป ทิ้งให้ออสตินมองตามแล้วระบายลมหายใจน้อยๆ กับความต้องการของตนเองที่พลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับสัญชาตญาณสัตว์ป่า

สงสัยคงจะต้องรออีกสักพักหนึ่งถึงจะออกไปทำงานได้

เด็กคนนั้นมีอิทธิพลกับเขาไปเสียทุกอย่างจริงๆ...

 

การมาโรงเรียนในวันแรกหลังจากที่หายหน้าหายตาไปหลายวันทำให้กานต์รู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อย และยิ่งประหลาดกว่าเมื่อกลับมาเรียนในความรู้สึกว่าอยากให้ตัวเองเรียนจบเร็วๆ

เพราะนั่น...หมายความว่าเขาจะอายุถึงสิบแปดและแต่งงานกับออสตินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

คิดแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างเปี่ยมสุข โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าระหว่างที่เดินเข้าห้องเรียนไปนั้น เจ้าแก๊งนักฟุลบอลได้วางกับดักล่อผู้โชคร้ายไว้อยู่ พอเขาก้าวเข้าไป ขาก็เกี่ยวเอากับเชือกที่ผูกติดถังน้ำและวางไว้อยู่เหนือประตูเข้าให้อย่างจัง ถังน้ำนั้นล้มตะแคง ปล่อยให้ของเหลวในนั้นเทราดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนเปียกปอน

เสียงเฮโลด้วยความคะนองดังขึ้น ก่อนที่จะเงียบงันเมื่อเห็นว่า...

“คาร์ล?”

“พระเจ้า! เป็นอะไรไหม!”

...แกล้งผิดคน

กานต์ที่ยังงุนงงอยู่ได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีเสียงใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง

“โวยวายอะไรกัน เฮ้ย! คาร์ล นายโอเคไหม”

เป็นเสียงของเจฟฟรี่ย์ กานต์หันไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะตอบเสียงเบา

“ไม่เป็นไร แต่เปียก ฮ่ะๆ”

ยังจะมีหน้ามาหัวเราะกลบเกลื่อนอีก ขณะที่เจฟฟรี่ย์เห็นสภาพของคนที่ตัวเองคิดถึงมาตลอดหลายวันนี้ดูไม่ได้ก็หันไปมองพวกตัวการด้วยสายตาดุดัน

“ทำบ้าอะไรของพวกนาย”

“พวกฉันคิดว่าเป็นนายนี่หว่า เห็นบอกว่ากำลังจะเข้าห้องเรียนก็เลยทำกับดักไว้รอ”

“เออ ไม่คิดว่าจะมีเหยื่ออื่นมาติดกับดักแทน”

เจ้าพวกตัวร้ายพากันเออออเป็นปี่เป็นขลุ่ย เจฟฟรี่ย์หัวเสียอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เจ้าพวกนี้รวมหันกันวางแผนแกล้งเขา แต่เป็นเพราะเหยื่อที่มาติดกับแทนเขาคือกานต์ต่างหาก

“เดี๋ยวฉันมาจัดการพวกนายทีหลัง” เจฟฟรี่ย์ว่าเสียงเขียว ก่อนหันไปหากานต์ “ไปที่ชมรมกันเถอะ”

“ฉันไม่เป็นไร”

กานต์รีบว่า แต่แล้วก็ต้องปิดปากสนิทเมื่อเจฟฟรี่ย์มองมาด้วยสีหน้าตึงเครียด

“ไม่เป็นไรน่ะใช่ แต่นายต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปกับฉัน จะเอาชุดวอร์มให้ยืม”

ไม่พูดเปล่า เป็นฝ่ายดึงแขนกานต์ให้เดินตามด้วย เข้าอีหรอบนี่แล้วจะปฏิเสธอย่างไรได้อีก จำต้องเดินตามไปอย่างไม่มีปากเสียง

 

เมื่อมาถึงยังห้องชมรมฟุตบอล เจฟฟรี่ย์ก็ไม่รอช้าที่จะหาเสื้อผ้ามาให้กานต์เปลี่ยน ชุดวอร์มของทีมฟุตบอลประจำโรงเรียนไซส์เล็กที่สุดถูกส่งให้กานต์ถือ ขณะที่เจฟฟรี่ย์มองสภาพเปียกปอนของคนตรงหน้าอย่างหัวเสีย

“เจ้าพวกนั้น ให้ตาย หงุดหงิดชะมัด”

กานต์พอจะเข้าใจว่าทำไม เขารู้ตัวดีว่าเจฟฟรี่ย์ชอบเขา คนที่ชอบถูกแกล้งแทนตัวเอง ไม่แปลกที่เจฟฟรี่ย์จะอารมณ์ไม่ดี

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เรียบร้อยแล้ว”

กานต์พยายามทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย เพราะนอกจากเจฟฟรี่ย์จะอารมณ์เสียที่เห็นคนที่ตัวเองชอบเปียกโชกแล้ว เขายังรู้สึกหึงหวงขึ้นมาน้อยๆ เพราะสภาพของกานต์ในตอนนี้น่ะ...เซ็กซี่เป็นบ้า!

เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกๆ นั้นลู่แนบเนื้อจนเห็นข้างใน เขาเหลือบมองกานต์ที่เขย่าคอเสื้อตัวเองไปมาเพราะรู้สึกเขินอายแล้วก็พ่นลมหายใจ ก่อนจะพูดเร็วๆ

“รีบๆ เปลี่ยนแล้วกัน เห็นนายอยู่ในสภาพนี้แล้วฉันอารมณ์ไม่ดีเท่าไร”

กานต์หัวเราะ ท่าทางของเจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ยามหงุดหงิดก็น่ารักดี

“งั้นขอผ้าเช็ดตัวหน่อยสิ จะได้เอามาซับน้ำ”

เจฟฟรี่ย์พยักหน้ารับ เดินไปหยิบให้ ปล่อยให้กานต์ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด พอเดินกลับมาก็ส่งเสียง

“อะ ผ้าเช็ดตัว”

แต่แล้วก็ต้องชะงักงันไปเมื่อเห็นว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตเปียกๆ นั้น มีบางอย่างที่มากกว่าความเซ็กซี่อยู่

บางอย่างที่...ดูแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นเองได้

กานต์ที่กำลังจะถอดเสื้อออกชะงัก รีบตะครุบสาบเสื้อเข้าหากันก่อนที่รอยคิสมาร์กซึ่งออสตินแสดงความเป็นเจ้าของจะถูกเปิดเผย เพราะเขาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกันว่ารอยนี้ไม่สมควรเผยให้ใครเห็น

แต่...ไม่ทันแล้ว เจฟฟรี่ย์เห็นเต็มสองตา พลันก็เกิดรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่าง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายบีบรัด

ใคร!

ใครเป็นคนทำ!

แต่ก็ยังเก็บความรู้สึกไว้ การโพล่งถามกานต์ออกไปตามตรงเลยไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดแน่ เพราะเขาไม่ได้เป็นอะไรกับกานต์ มีเพียงสถานะ ‘เพื่อน’ เท่านั้น ดังนั้นถ้ากานต์จะไปทำอะไรกับใคร เขาก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย

เจฟฟรี่ย์ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็นึกออกว่าสมควรถามอะไร ก่อนออกปากเรียกคนที่กำลังหันหลังถอดเสื้อให้เขา

“คาร์ล”

“หืม?”

“ขอถามอะไรหน่อย”

“ว่ามาสิ”

“นายหยุดเรียนไปไหนมา”

คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อย เหลียวใบหน้ามามอง

“ถามทำไมเหรอ”

“ฉันก็แค่อยากรู้”

เจฟฟรี่ย์พยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่ากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างรุนแรง ขณะที่กานต์เองก็ครุ่นคิดไปครู่ว่าควรบอกดีหรือไม่

แต่...ถึงจะไม่บอกเจฟฟรี่ย์ ทว่าตอนที่เขาหยุดเรียน เขาก็แจ้งกับครูที่ปรึกษาไว้แล้วว่าไปทำธุระกับพ่อเลี้ยง ดังนั้นถ้าจะบอกเจฟฟรี่ย์ไปตามตรงก็คงไม่เป็นอะไร

“ฉันไปฮาวายน่ะ”

“กับใคร”

“ถามแปลกๆ ก็กับแด๊ดดี้สิ”

ได้ยิน ในใจของเจฟฟรี่ย์ก็เต้นระส่ำ

ไปกับออสติน...กับพ่อเลี้ยง ความจริงก็ดูไม่น่ามีอะไรแปลกประหลาด แต่เท่าที่เขาจำได้ ฮาวายนั่นเหมือนจะมีบ้านพักตากอากาศของออสตินอยู่ กานต์ไปกับเขาแล้วกลับมาพร้อมกับรอยคิสมาร์กพวกนั้น

หรือว่า...

“มีอะไรหรือเปล่า”

เสียงของกานต์เรียกให้เจฟฟรี่ย์หลุดออกจากภวังค์ความคิด เขามองใบหน้านวลของอีกฝ่ายก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“เปล่า”

กานต์เองก็ไม่เอะใจ แค่รู้สึกว่าเจฟฟรี่ย์ดูนิ่งผิดปกติก็เท่านั้น ก่อนคิดไปเองว่าคงเป็นเพราะยังหงุดหงิดที่เพื่อนๆ ของเขาแกล้งผิดคนไม่เลิก จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

“งั้นเดี๋ยวฉันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จะได้รีบไปเข้าเรียนกัน ใกล้เวลาเริ่มคาบแรกแล้ว”

จากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ กันอีก มีแต่สายตาของเจฟฟรี่ย์เท่านั้นที่จับจ้องไปยังเพื่อนของตนด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม

หึงหวง...เขากำลังหึงหวงเป็นอย่างมาก

เพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าตนชอบกานต์มากแค่ไหน เขาจะไม่ยอมให้กานต์ไปเป็นของคนอื่นแน่

นายเป็นของฉัน...คาร์ล

เป็น – ของ – ฉัน!

---------------------------

เขียนไปเขียนมาก็แอบยาวเหมือนกันนะเรื่องนี้ ท่าทางจะต้องเป็นเล่มหนาแน่ๆ ค่ะ ฮา

ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยเน้อ เจอกันอีกทีพรุ่งนี้ค่ะ

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.23: You are mine[21-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-04-2018 10:48:07
จะมีปรากฏการณ์แย่งชิงกันแล้วซินะ   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.23: You are mine[21-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 21-04-2018 11:46:52
โทษทีนะเจฟฟรี่ กานต์เป็นของแด๊ดจ้ะ เสียใจด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.23: You are mine[21-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 21-04-2018 17:20:59
เจฟฟรี่.....จะสงสัยในตัวแด๊ดดี้ป่าว
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.23: You are mine[21-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-04-2018 23:33:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.23: You are mine[21-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-04-2018 00:35:51
Chapter 24: The top secret[1]

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การเลิกเรียนแล้วรีบกลับมาบ้านนั้นมันจะทำให้กานต์มีความสุขมากขนาดนี้ ยิ่งถ้ากลับมาแล้วเจอออสตินอยู่ที่บ้านโดยที่ไม่ต้องรออีกฝ่ายเลิกงาน กานต์ก็ดูเหมือนจะยิ้มบ่อยเป็นพิเศษ

แค่เรื่องเล็กน้อย แต่ถ้ามันเกี่ยวกับออสตินแล้ว ไม่ว่าอะไรก็พิเศษทั้งนั้น

ไม่เว้นแม้แต่ออสตินที่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นคนติดบ้านได้ขนาดนี้ ปกติแล้วเวลาเลิกงาน เขามักจะไปนั่งดื่มที่บาร์ หรือไม่ก็ไปขับรถเล่นยามวิกาลเพื่อคลายเครียดจากงานที่รุมเร้า แต่ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กหนุ่มคนนี้ก้าวเข้ามาในชีวิต

หมายถึงก้าวเข้ามาทั้งตัวและหัวใจ...

ทุกอย่างทั้งพิเศษ ทั้งวิเศษ มันดีไปหมด ดีจนบางครั้งออสตินก็นึกว่ามันคือความฝัน หลายครั้งที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความหวาดผวาเพราะกลัวว่าความสุขนี้จะหายไป แต่เมื่อเห็นกานต์นอนหลับอยู่ข้างกาย เขาถึงประจักษ์ว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้น...คือของจริง

“วันนี้เราจะทำอะไรกินกันดีครับ ผมจะได้เตรียมของไว้”

กานต์ร้องถามเมื่อเห็นออสตินกลับมาถึงบ้าน เขานั่งรอออสตินอยู่พักหนึ่งแล้ว พอเห็นหน้าก็รีบร้องถาม เตรียมตัวจะไปเตรียมวัตถุดิบเพื่อมาทำอาหารเย็นด้วยกัน ทว่าคนถูกถามไม่ตอบ ก้าวเข้ามาใกล้แล้วรวบเอวเด็กหนุ่มไปแนบกับลำตัวตนเอง

“วันนี้เราจะไม่กินมื้อเย็นที่บ้าน”

“เห? จะพาผมไปกินอาหารนอกบ้านเหรอครับ”

เป็นอย่างนั้นแหละ ออสตินยิ้มให้เป็นคำตอบ ก่อนจรดริมฝีปากลงมาบนกลีบปากนุ่มทีหนึ่ง

“ฉันจะพาเธอไปดินเนอร์แบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”

“หมายถึงพาไปที่หรูๆ แพงๆ อย่างนั้นน่ะเหรอครับ”

ออสตินหัวเราะพลางพยักหน้า “ใช่ แบบนั้นแหละ ใต้แสงเทียนอะไรอย่างนั้น”

“แด๊ดดี้ก็เคยพาผมไปแล้วนี่นา”

กานต์จำได้ว่าครั้งหนึ่ง ออสตินเคยพาไปกินอาหารอิตาเลียน ความหรูหราที่ได้สัมผัสในครั้งนั้น เขาจำได้ดีเลยว่าทำให้เขาเกร็งไปทั้งตัวแค่ไหน

ทว่าออสตินกลับหัวเราะในลำคอน้อยๆ

“ฉันหมายถึงดินเนอร์กันแบบคู่รัก ไม่ใช่อย่างที่เราเคยเป็น”

ชายหนุ่มเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงสถานะนั้น...ใช่ พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง เขาไม่อยากพูดถึงมันอีกเพราะตอนนี้ความรู้สึกของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

กานต์เองก็เช่นกัน ได้ยินออสตินว่าอย่างนั้นแล้วก็ยิ้มกว้าง แสร้งร้องอ๋อยาวให้คนชวนได้ถามอีกครั้ง

“อยากไปหรือเปล่า”

“ผมเคยปฏิเสธแด๊ดดี้ด้วยเหรอครับ” คำตอบชัดเจนแล้วว่าไป ก่อนจะเอะใจขึ้นมา “แล้วผมต้องใส่สูทไหม”

ที่ถามอย่างนี้เป็นเพราะครั้งก่อนเขาใส่ไป ออสตินพยักหน้ารับ ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว

“ฉันจะช่วยเธอแต่งตัวนะ”

น้ำเสียงอย่างนี้ การพูดแบบนี้ ถ้าขืนให้ช่วยแต่งตัวล่ะก็ มีหวังไม่ต้องได้ไปดินเนอร์กันพอดี

“ผมแต่งเองก็ได้ครับ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันเวลาจองหรอก”

ที่บอกอย่างนี้เป็นเพราะพอจะเดาได้ว่าการที่ออสตินมาถาม เขาจะต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งก็จริงเมื่อเขาตอบกลับมา

“ยังเหลือเวลาอยู่อีกสองชั่วโมง น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

แล้วกานต์จะปฏิเสธอะไรได้อีก ได้แต่ยิ้มรับขณะที่เสื้อยืดบนตัวเขากำลังถูกอีกฝ่ายดึงชายเสื้อขึ้นเพื่อถอดออก

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเผื่อเวลาช่วยผมแต่งตัว ‘จริงๆ’ ไว้มากหน่อยนะครับ อย่าเพลินจนลืมเวลาล่ะ”

ออสตินรู้แล้ว เขาจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ รับรองว่าไม่เกินเวลาแน่...แต่ต่อให้ไปสายนิดๆ หน่อยๆ เขาก็ไม่สนใจหรอก

ดินเนอร์ที่ภัตตาคารหรูที่จองไว้ไม่ได้ แล้วมันสำคัญอะไร เขาพากานต์ไปดินเนอร์ที่อื่นที่วิเศษกว่าก็ได้...บนเตียงในห้องนอนนี่ไงล่ะ

 

ภัตตาคารหรูของโรงแรมแห่งหนึ่งถูกเลือกเป็นสถานที่สร้างความทรงจำอันน่าประทับใจ กานต์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการ ‘เดต’ กันของผู้ใหญ่มันเป็นอย่างไร หรือคู่อื่นๆ เป็นแบบนี้หรือเปล่า ที่เขารู้ก็คือออสตินทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาเป็นคนพิเศษที่สุดในชีวิตของออสตินในค่ำคืนนี้

เด็กหนุ่มได้ทดลองดื่มไวน์เป็นครั้งแรก ต่อให้อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้ แต่เพราะอยากลอง และออสตินก็เห็นว่าไม่เป็นไรถ้าจะดื่มเนื่องจากมีเขาคอยดูแลใกล้ชิดอยู่ ดังนั้นกานต์จึงได้ลิ้มรสน้ำองุ่นหมักรสเฝื่อนและฝาด พร้อมกับบ่นพึมพำว่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมว่าออสตินถึงได้ชอบเครื่องดื่มชนิดนี้นัก ไม่อร่อยเลยสักนิด

ทว่าความคิดนั้นก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ทดลองคล้องแขนกับออสตินแล้วดื่มมันเข้าไปอีกครั้ง

ใครว่าไม่อร่อยกัน อร่อยมาก หวานล้ำสุดๆ อีกด้วย แต่...ก็ไม่แน่ใจนักว่าอะไรที่หวาน ระหว่างไวน์องุ่นแก้วนี้หรือว่าออสตินกันแน่

เสียงหัวเราะ เรื่องขำขัน อารมณ์ต่างๆ ที่ได้แบ่งปันก่อเกิดเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งคู่มีให้กัน ทำให้โลกทั้งใบฉาบไปด้วยน้ำตาลเชื่อม กานต์รู้สึกว่าตัวเองคงจะเมาน้อยๆ เมื่อเริ่มเล่นซุกซน จับนั่นจับนี่ กระโดดกอดออสตินบ้างตอนที่คนอื่นเผลอ ยิ่งขากลับที่ต้องลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถ เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายรุกรานจุมพิต ออสตินไม่ห้ามปราม มีแต่ตามใจ ยอมรับการเรียกร้องจูบนั้น ก่อนที่จะรีบผละออกจากกันเมื่อมีแขกของโรงแรมคนอื่นๆ อาศัยลิฟต์จากชั้นอื่นลงมาด้วย ทั้งคู่เหลือบมองกัน ส่งสายตาที่ราวกับว่ารู้กันสองคน ก่อนจะหัวเราะขบขันเมื่ออยู่กันตามลำพังอีกครั้ง

เป็นความสนุกที่ออสตินเองก็ไม่ได้สัมผัสมานานแล้วเหมือนกัน เขาเพิ่งจะรับรู้ได้ว่าการมีคนรักที่อายุน้อยกว่าอย่างนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปช่วงวัยรุ่นอีกครั้ง

ทั้งสองเดินกลับไปยังรถที่จอดอยู่ยังลานจอดรถกลางแจ้ง ออสตินเปิดประตูให้กานต์ได้ขึ้นไปนั่ง กานต์แหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ว่าหยอกเย้า

“ต้องเรียกผมว่าสุภาพสตรีด้วยไหมครับ เปิดประตูรถให้ผมขึ้นแบบนี้เนี่ย”

“ทำไมล่ะ มันไม่ดีหรือไง”

“ไม่ใช่ว่าไม่ดีครับ แค่ผมเคยเห็นแต่ผู้ชายเปิดให้ผู้หญิงขึ้นรถเท่านั้น ไม่เคยเห็นผู้ชายเปิดให้ผู้ชายด้วยกัน”

“ดูจากหนังมาอีกล่ะสิ”

กานต์พยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งจะบอกออสตินไปว่าการมาดินเนอร์ใต้แสงเทียนหรือออกเดตหรูหราแบบนี้ เขาเคยเห็นแต่ในภาพยนตร์ที่เคยดูเท่านั้น และนั่นทำให้ออสตินเอ็นดูในความไม่ประสาของเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อย

“ฉันไม่สนหรอกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่ฉันรัก ฉันก็อยากจะดูแลเป็นอย่างดี”

กานต์ยิ้มกว้างออกมา เรื่องนั้นเขารู้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะได้รับการปฏิบัติประหนึ่งดั่งเจ้าหญิงอย่างนี้เหรอ

เจ้าหญิง...บางทีอาจจะเหมาะมากกว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิงจริงๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เขาก็ไม่สนใจแล้ว เพราะในเวลานี้ สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดก็คือการกระทำของออสตินที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ารักเขามากเพียงใด

“ขอบคุณครับ”

กานต์ยิ้มรับกว้าง สบตากับคนตรงหน้า ดวงตาของออสติน ไม่ว่าจะมองครั้งไหนก็เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ทุกครั้ง ยิ่งในเวลาอย่างนี้...ที่ความรู้สึกของพวกเขาตรงกัน มันทำให้เด็กหนุ่มอดใจไม่ไหวที่จะดึงเสื้อสูทของอีกฝ่ายเข้าหา ขยับกายมาประชิดแล้วเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยเพื่อลิ้มรสริมฝีปากหยักนั้น

ผละออกไปได้ คนถูกขโมยจูบก็หัวเราะเบาๆ “เด็กขี้ขโมย” บริภาษมาอย่างไม่จริงจังนักตบท้าย

กานต์หยักยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าอย่างนั้น แด๊ดดี้ก็เอาคืนสิครับ”

“ฉันเอาคืนแน่นอน” จากนั้นก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ ทำให้กานต์ต้องถอยหลังไปจนชิดกับขอบประตูรถ ก่อนคนไล่ต้อนจะว่าเสียงแผ่ว “แต่ไม่ใช่ที่นี่ ตอนนี้ฉันขอแค่มัดจำไว้ก่อน กลับถึงบ้านเมื่อไร เอาคืนเธอทบต้นทบดอกแน่”

สิ้นเสียงก็บดริมฝีปากจูบลงไป กลืนกินราวกับจะฉุดกระชากให้วิญญาณอีกฝ่ายออกจากร่าง กานต์เผยอรับจูบนั้นด้วยความยินดี ปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งออสตินพอใจถึงได้ผละออกห่าง

“กลับบ้านกันเถอะ ฉันคิดว่าฉันไม่น่าจะทนไหวแล้ว”

แค่นี้ก็เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเชื้อเพลิงของออสตินโชติช่วงเตรียมตัวจะเผาไหม้ให้เด็กหนุ่มวอดวายในเพลิงแห่งรักมากแค่ไหน

“งั้นกลับกันเถอะครับ เหยียบให้มิดเลย”

เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นก่อนพากันหายเข้าไปในรถ ไม่นานนัก รถคันเก่งของพ่อมดแห่งตลาดหลักทรัพย์และลูกเลี้ยงก็เคลื่อนที่ออกจากลานจอดรถของโรงแรม เปลี่ยนสถานที่ดินเนอร์ใหม่อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอาหารสำหรับการดินเนอร์ในมื้อนี้...คงจะเป็นกันและกันแล้วล่ะ

 

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.23: You are mine[21-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-04-2018 00:36:26
Chapter 24: The top secret[2]

เพราะตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับออสตินอย่างแน่นอน กานต์จึงต้องปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของสังคมที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว แวดวงสังคมของออสตินนั้นเป็นสังคมของพวกคนรวย อันที่จริงออสตินก็ไม่อยากจะให้กานต์เข้าใจอย่างนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าคงจะแสร้งทำเป็นบุคคลธรรมดาที่โลกไม่สนใจได้อีกไม่นาน เพราะถ้าหากเขาประกาศแต่งงานกับกานต์ขึ้นมาเมื่อไร รับรองเลยว่าบรรดานักข่าวที่สนใจเรื่องราวซุบซิบในวงไฮโซได้เอาไปเขียนข่าวกันสนุกสนานแน่ ดังนั้นเขาเตรียมพร้อมให้กานต์รับมือและสร้างความคุ้นชินกับนักข่าวพวกนี้ก่อนจะดีกว่า

เริ่มจาก...การพาเด็กหนุ่มไปงานกลาล่าการกุศลเป็นครั้งแรก

พวกคนรวยในแวดวงนี้มักจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์แบบนี้บ่อยๆ ออสตินไม่ได้ชอบนักหรอกที่จะต้องไปร่วมงาน อย่างมากพอรู้ว่ามีงานพวกนี้ เขาก็ให้เลขาฯ ทำหน้าที่แทนหรือไม่ก็ให้บริจาคเงินไปให้จบๆ ก็เท่านั้น น้อยครั้งนักที่เขาจะมาออกงานด้วยตัวเอง

แต่...ครั้งนี้กลับแปลกไป

การมาร่วมงานของออสตินนั้น ใครต่อใครก็คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดแล้ว แต่มันประหลาดหนักเมื่อเห็นว่าข้างกายเขามีเด็กหนุ่มชาวเอเชียคนหนึ่งมาด้วยแทนที่จะเป็นสาวสวยๆ อย่างที่เหล่ามหาเศรษฐีนิยมควงออกงานกัน

ที่สำคัญ...เด็กหนุ่มคนนั้นคือลูกเลี้ยงของเขา

การมีตัวตนของกานต์นั้นเป็นความลับ ต่อให้นักข่าวอยากรู้กันมากแค่ไหนว่าหน้าตาลูกเลี้ยงของออสตินเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะไปคอยติดตามหรือลอบถ่ายรูป เพราะถ้าหากมีรูปหลุดออกไปล่ะก็ ออสตินไม่ปล่อยไว้ตามที่ได้เคยขู่ว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิทธิ์ลูกเลี้ยงของเขา และย่อมแน่ว่าการละเมิดสิทธิ์ของเด็กที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดแน่ นอกจากนักข่าวพวกนั้นจะตกงานแล้ว ดีไม่ดีสำนักข่าวจะโดนหางเลขไปด้วย

ทว่าครั้งนี้กลับได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ เท่านั้นแสงแฟลชจากกล้องมากมายก็ถูกสาดมายังเด็กหนุ่มทันที กานต์แสดงท่าทางประหม่าออกมาชนิดไม่ปกปิด ถึงเขาจะรู้มาก่อนหน้านั้นจากปากของออสตินแล้วว่าคืนนี้ทุกคนจะให้ความสนใจมาที่เขา แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเยอะขนาดนี้

“ดะ...แด๊ด...”

พอประหม่ามากก็ทำอะไรไม่ถูก หันไปมองคนข้างกายที่ยืนนิ่งให้นักข่าวถ่ายรูป ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะแตะลงมาบนแผ่นหลังของเขาเบาๆ เป็นการปลอบใจ

“ไม่เป็นไร ทำอย่างที่เตรียมตัวมา เชิดหน้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปข้างใน เดินช้าๆ...แต่มั่นคง อย่าวอกแวก”

กานต์พยักหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วก้าวเข้าไปด้านในงาน แล้วก็หายใจโล่งได้อีกครั้งเมื่อย้ายเข้ามาสู่ห้องบอลรูมซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน เพราะนักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในนี้ได้

“นี่มันเกินความคาดหมายไปหน่อย ไม่อยากจะเชื่อเลย อย่างกับเดินพรมแดงแน่ะ”

ออสตินหัวเราะให้กับคำเปรียบเทียบนั้น พลางว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“อย่าว่าแต่เธอไม่ชินเลย ฉันก็ไม่ชิน”

กานต์ทำหน้าสงสัย “เอ๋? แต่แด๊ดดี้เคยมางานเลี้ยงแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ”

ออสตินพยักหน้า “ใช่ แต่ก็ไม่ได้บ่อย”

“แต่แด๊ดดี้ไม่ได้ดูประหม่าเลยนะครับ”

“กระดูกฉันกับเธอมันคนละเบอร์” ออสตินว่าเพียงเท่านั้น พลันก็หันไปทักทายกับชายวัยกลางคนที่เข้ามาทักทายอย่างกะทันหัน “สวัสดีครับคุณโอโคเนล”

โอโคเนล... นามสกุลนั้นคุ้นหูเหลือเกิน กานต์ได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วน้อยๆ เพื่อคิดว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน แต่ไม่ทันที่จะค้นหาคำตอบได้โดยตัวเอง เจ้าของนามสกุลนั้นอีกคนก็ดังขึ้นข้างๆ หูเขาแล้ว

“เฮ้”

เสียงกระซิบที่ลอยมาเรียกให้กานต์หันขวับไปมอง พลันก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือ...

“เจฟ?”

“ฉันเอง” เจฟฟรี่ย์ยิ้มกว้าง ปรายตามองกานต์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ไม่คิดเลยว่าจะเจอนายที่นี่ แล้ว...ดูนายสิ ใส่สูท แปลกตาดีนะ”

กานต์ก็อยากจะบอกว่าการที่เจฟฟรี่ย์ใส่สูทผูกไทมันก็ดูแปลกตาเหมือนกัน ปกติแล้วเคยเห็นแต่ใส่ชุดลำลองหรือไม่ก็ชุดวอร์มของชมรมฟุตบอลเท่านั้น แต่คุณโอโคเนล บิดาของเจฟฟรี่ย์ที่เข้ามาทักทายกับออสตินก็เอ่ยปากเสียก่อน

“นี่คงจะเป็นคาร์ล เพื่อนลูกชายที่น่ารักของผมล่ะมั้ง”

คนถูกทักยิ้มรับ รอจังหวะให้ออสตินพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาตให้ทักทายกลับได้ พอออสตินพยักหน้า กานต์ก็เดินเข้าไปจับมือกับคนอาวุโสกว่าตามมารยาท

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณโอโคเนล”

“สวัสดี ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเราจะได้เจอกันเร็วกว่าที่ฉันคาดการณ์ไว้ ใช่ไหมคุณสเวน”

เป็นประโยคที่ไม่ได้ตั้งใจจะถามกานต์ตั้งแต่แรกหรอก แค่เป็นการเกริ่นเพื่อย้อนกลับไปพูดคุยกับออสตินอีกครั้งก็เท่านั้น

“ครับ ผมอยากให้เขาได้ทำความคุ้นชิน เพราะอีกไม่นานคงจะได้เข้าสังคมบ่อยขึ้น” ออสตินตอบด้วยท่าทางสบายๆ ให้คนฟังได้หัวเราะ

“แสดงว่าคุณจะออกงานบ่อยกว่าเดิมอย่างนั้นเหรอ”

“อะไรประมาณนั้น”

คำตอบของออสตินดูจะเข้าหูคุณโอโคเนลเป็นอย่างมาก ก็ออสตินน่ะ ถ้าไม่นัดอย่างเป็นทางการเพื่อพูดคุยเรื่องงาน อย่าหวังเลยว่าจะได้เจอตัว ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก ทั้งที่เขาเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัทแท้ๆ แต่ก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไรจากผู้ชายคนนี้เลยสักนิด

“ถ้าอย่างนั้นก่อนที่เราจะได้เจอกันในครั้งหน้า ผมคงต้องรีบเล่าเรื่องที่อยากให้คุณรู้ให้หมดก่อน ไม่งั้นเจอกันครั้งถัดไป คุณคงได้ฟังผมพูดจนเบื่อแน่ๆ”

เป็นสัญญาณว่าหลังจากนี้ ผู้ใหญ่จะเริ่มต้นคุยกันตามประสานักธุรกิจแล้ว แต่ออสตินไม่พูดอะไร เขาไม่สนใจถ้าหากว่ากานต์จะอยู่ตรงนี้เพื่อฟังด้วย แต่ทว่าคุณโอโคเนลดูท่าทางจะไม่อยากสักเท่าไรนัก พลันก็ออกปาก

“พาคาร์ลไปเที่ยวดูให้รอบๆ สิเจฟ เพิ่งออกงานสังคมครั้งแรกคงจะต้องพึ่งลูกคอยแนะนำอะไรต่อมิอะไรอยู่เยอะ”

เจฟฟรี่ย์พยักหน้า ก่อนหันไปเรียกกานต์

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะบอกนายเองว่าเหล้าแบบไหนอร่อย เหล้าแบบไหนไม่อร่อย”

“ห้ามดื่มเหล้า” ออสตินสวนขึ้นทันควันเพราะจำได้ดีว่าที่กานต์เมามายกลับมาในครั้งนั้น เขาแพ้แอลกอฮอล์แค่ไหน

“ค็อกเทลก็ได้”

เจฟฟรี่ย์ต่อรอง ออสตินเกือบจะสวนออกไปแล้วว่าค็อกเทลก็ไม่ได้ อนุญาตแค่น้ำผลไม้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ลูกเลี้ยงของเขาถูกเจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์คาบคอลากไปอีกทางเป็นที่เรียบร้อย เขาได้แต่ถอนหายใจ ปรับสีหน้าและวางตัวให้เป็นปกติ ก่อนที่จะหันไปคุยกับคุณโอโคเนลตามสถานการณ์แทน ในใจก็ได้แต่หวังว่ากานต์คงจะไม่ถูกเจ้าหมาตัวนั้นชวนเล่นอะไรซุกซนจนเขาปวดหัว

 

เจฟฟรี่ย์ก็ไม่ได้สร้างเรื่องน่าปวดหัวหรอก เขาแค่พากานต์ที่ยังใหม่กับงานสังคมเดินดูไปทั่วงาน แนะนำคนโน้นคนนี้ให้รู้จักบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกลูกหลานนักธุรกิจหรือไม่ก็ดารานักแสดงวัยไล่เลี่ยกันที่มาร่วมงานนี้ด้วย กานต์ดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นคนดังที่ตัวเองรู้จักมายืนอยู่ตรงหน้า ถึงเขาจะไม่ใช่พวกแฟนคลับหรือติดตามข่าวบันเทิงสักเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักอย่างสิ้นเชิงเสียหน่อย

เดินกันจนเหนื่อย กานต์ก็กระซิบบอกกับเจฟฟรี่ย์ว่าอยากนั่งพัก บางครั้งการอยู่ในที่ที่มีคนเยอะนานๆ มันก็ทำให้เขามึนหัวอยู่เหมือนกัน

เจฟฟรี่ย์พากานต์ออกมานั่งเล่นรับลมที่ระเบียงชั้นสองของห้องบอลรูม ยื่นแก้วน้ำผลไม้ให้ดื่มเพราะจำได้ดีว่าถูกออสตินสั่งห้ามเอาไว้ เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อฟังออสตินนักหรอก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้กานต์โดนดุเลยยอมทำตามแต่โดยดี

“ขอบใจนะ วันนี้สนุกมาก”

หลังจากดื่มน้ำเป็นที่เรียบร้อย กานต์ก็เอ่ยขึ้น เจฟฟรี่ย์ที่นั่งมองอยู่ยกยิ้มน้อยๆ

“ไม่เป็นไร ฉันยินดี”

จากนั้นก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำเล็กน้อย จนกานต์เป็นฝ่ายต้องเปิดปาก

“แปลกดีเหมือนกันนะที่เรามาเจอกันอย่างนี้นอกจากในโรงเรียน”

“แปลกยังไง”

“ก็...เวลาอยู่ที่โรงเรียน ฉันรู้สึกเหมือนกับนายเป็นเพื่อนฉัน ฉันหมายถึงเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แต่พอมาเจอกันที่นี่ มันรู้สึก...เหมือนนายพิเศษกว่าคนอื่น”

ได้ยินแล้ว เจฟฟรี่ย์ก็เบิกตาโต หูผึ่งทันควัน “พิเศษ?”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น อย่าเข้าใจผิด” กานต์รู้ทันว่าเจฟฟรี่ย์เข้าใจว่าอะไร พลันขยายความ “ฉันหมายถึงว่านายพิเศษกว่าคนอื่นเพราะเป็นลูกหลานมหาเศรษฐีไง ไม่น่าเชื่อนะว่าคนรวยอย่างนายจะมาเรียนโรงเรียนเอกชนเล็กๆ แบบนั้น”

เจฟฟรี่ย์ถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วล่ะว่ากานต์หมายถึงอย่างนี้ เขาไม่ได้เข้าใจผิดหรอก แค่วูบหนึ่งหลงคิดไปว่ากานต์จะมองเขาเป็น ‘คนพิเศษ’ ขึ้นมาบ้าง

“พ่อของฉันบอกว่าอยากให้ฉันเป็นคนติดดินน่ะ ก็เลยไปเรียนโรงเรียนเอกชนแบบนั้น”

“พูดจริง?”

“พูดเล่น จริงๆ แล้วมันแค่ใกล้บ้าน พ่อแม่ฉันรู้ว่าฉันขี้เกียจ ขยันก่อเรื่องด้วย โรงเรียนอยู่ใกล้ๆ บ้านน่ะดี เพราะเวลาถูกเชิญผู้ปกครอง มันไปมาสะดวก”

สุดท้ายแล้ว เจฟฟรี่ย์ก็ล้อเล่นอยู่ดี รู้ได้จากสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่ยี่หระกับอะไร ยิ่งพอเห็นกานต์มีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดเขา เจฟฟรี่ย์ก็หัวเราะร่วน คราวนี้เลยได้รู้ชัดเจนเลยว่าเขาล้อเล่นจริงๆ

“นายนี่ก็ขยันแกล้งฉันจัง” กานต์ตัดพ้อให้เจฟฟรี่ย์ได้กลั้วหัวเราะ

“ใครจะไปรู้ล่ะว่านายจะเชื่อคนง่าย”

“ฉันไม่ได้เชื่อคนง่าย นายมันร้ายมากเกินไปต่างหาก”

พอถูกเถียงพร้อมกับใบหน้ามุ่ยๆ เจฟฟรี่ย์ก็นึกอยากจะแกล้งขึ้นมา พลันโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ว่าด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกเย้า

“ถ้าอย่างนั้น...ลองแกล้งฉันดูบ้างไหมล่ะ”

“แกล้งยังไง”

“ลองโกหกอะไรออกมาสักเรื่อง แล้วทำให้ฉันเชื่อ ถ้านายทำให้ฉันเชื่อได้ นายก็ได้เอาคืนไง”

มันก็น่าสนใจดีอยู่หรอก ยิ่งเห็นเจฟฟรี่ย์ยักคิ้วหลิ่วตา กานต์ก็ยิ่งอยากเอาคืน แต่เขาเก่งเรื่องนี้เสียที่ไหนกันล่ะ

“ฉันโกหกไม่เก่งหรอกนะ”

เรื่องนี้แหละที่ไม่เก่ง ไม่อย่างนั้นออสตินจะจับได้ทุกครั้งที่เขาโกหกอย่างนั้นเหรอ

“นายจะบอกว่าฉันโกหกเก่งอย่างนั้นสิ?”

กานต์หัวเราะ “ไม่ใช่อย่างนั้น”

เจฟฟรี่ย์แสร้งทำปากยู่ “ถ้าไม่ใช่ก็โกหกมาสิ ทำให้ฉันเชื่อ จะได้เอาคืน”

“ถ้ามันทำได้ง่ายขนาดนั้น ฉันคงทำไปแล้ว” กานต์ยิ้มออกมาอย่างยอมแพ้

เจฟฟรี่ย์คิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

“ให้ฉันช่วยคิดไหมล่ะ”

“หืม?””

“คิดเรื่องโกหกไง ให้ฉันช่วยไหม”

“แล้วนายจะเชื่อเรื่องโกหกที่นายคิดขึ้นมาเองหรือไง”

“ไม่ลองก็ไม่รู้” เจฟฟรี่ย์ยักไหล่ ก่อนจะจ้องหน้าให้กานต์ได้ถามออกมา

“แล้วนายจะโกหกเรื่องอะไร”

“เอาเป็น” คนถูกถามทำท่าคิดไปนิด “ลองโกหกว่านายกับพ่อเลี้ยงนายมีอะไรกันดีไหมล่ะ”

ได้ยินแล้ว กานต์ก็เสียวสันหลังวาบ รอยยิ้มและความสนุกก่อนหน้านั้นมลายหายไปทันที พลันมองหน้าเจฟฟรี่ย์ที่ยังคงดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างอึ้งงัน

“นาย...ให้ตายเถอะเจฟ ไม่ตลกเลย”

ใช่ ไม่ตลกเลย เจฟฟรี่ย์เองก็ไม่ตลก แต่ก็ยังเสแสร้งทำเป็นว่าราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“ไม่เอาน่า จะจริงจังไปทำไม ฉันก็แค่ไม่อยากแพ้”

จริงๆ แล้วไม่ใช่ เจฟฟรี่ย์อยากจะรู้ว่ากานต์มีอะไรกับออสตินจริงหรือเปล่า เพราะสิ่งที่เขาได้รับรู้มาเมื่อไม่นานมานี้...มันทำให้เขาอดคิดอย่างนั้นไม่ได้ ตั้งแต่วันที่เห็นร่องรอยคิสมาร์กบนแนวไหปลาร้าของกานต์ เขาก็ตะขิดตะขวงใจอยู่ตลอด จนกระทั่งตัดสินใจไปจ้างนักสืบเอกชนให้ไปสืบให้ ก่อนที่...จะได้อะไรบางอย่างเด็ดๆ มาเป็นหลักฐานว่าความสัมพันธ์ระหว่างกานต์และออสตินไม่ใช่แค่พ่อเลี้ยงและลูกเลี้ยงอย่างที่คนอื่นๆ คิด

แต่จะเป็นอะไร กานต์ก็ไม่สนใจแล้ว เขารู้แค่ว่าไม่พอใจมากๆ ที่เจฟฟรี่ย์พูดอย่างนี้ออกมา อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาฉับพลัน หุนหันลุกขึ้นหมายจะเดินออกไปจากตรงนี้

“เฮ้คาร์ล ฉันก็แค่ล้อเล่น”

เจฟฟรี่ย์รีบผุดลุก คว้าข้อมือของกานต์เอาไว้ พออีกฝ่ายหันไปมองด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง เจฟฟรี่ย์ก็ว่าเสียงแผ่ว

“ฉันขอโทษ ปากพล่อยไปหน่อย พูดไปไม่ทันคิด อย่าโกรธเลย”

ไม่ทันแล้ว กานต์หัวเสียเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ใครมาพูดถึงออสตินไม่ดี และต่อให้เขาไม่ได้โกรธเจฟฟรี่ย์ ทว่าก็ไม่ได้อยากจะเห็นหน้าเด็กหนุ่มผมบลอนด์ในเวลานี้เช่นกัน

“ไว้ค่อยคุยกันเจฟ ฉันยังไม่พร้อมจะคุยกับนาย”

ว่าพลางบิดข้อมือให้พ้นจากการเกาะกุม เจฟฟรี่ย์เผลอปล่อยมือหลุด แต่แล้วก็ถลาเข้ามาคว้าต้นแขนไว้อีกเมื่อเห็นว่ากานต์เดินหนีไปอีกครั้ง

“ก็บอกแล้วไงว่าล้อเล่น ฉันขอโทษ อย่าโกรธจริงจังนักเลย”

ไม่ให้เขาโกรธจริงจังอย่างนั้นเหรอ! พูดถึงคนที่เขารักในทางไม่ดีอย่างนี้ มันจะไม่ให้โกรธได้อย่างไรกันล่ะ!

มีคำพูดมากมายที่กานต์อยากจะสวน แต่ก็ทำได้เพียงปิดปากสนิทด้วยมีเสียงของใครบางคนดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ปล่อยเขาถ้าเธอไม่อยากทำให้พ่อเธอต้องเสียหน้า”

เสียงของออสติน...

เด็กหนุ่มทั้งคู่หันไปมองก็เห็นว่าออสตินเดินออกมาจากห้องบอลรูม แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอก สีหน้านิ่งเรียบแต่ทว่าดวงตากลับแฝงไปด้วยความไม่พอใจและบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าถ้าหากเจฟฟรี่ย์ยังไม่ยอมปล่อยลูกเลี้ยงของเขาล่ะก็ เขาเอาจริงแน่

เจฟฟรี่ย์ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่จึงยอมปล่อยมือออก กานต์รีบก้าวเร็วๆ ไปหาออสติน ขณะที่ชายหนุ่มกระซิบบอก

“ออกไปรอข้างนอกก่อน ฉันขอคุยกับเจฟฟรี่ย์แป๊บเดียว เดี๋ยวตามไป”

กานต์พยักหน้า เดินหายออกไปจากบริเวณนั้นอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้เจฟฟรี่ย์มองตามพร้อมกับความไม่พอใจที่ฉาบพรายไปทั่วหัวใจ แต่ออสตินไม่สนอะไรทั้งสิ้น เขามองเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่มีท่าทางฮึดฮัดอยู่ครู่ ก่อนจะว่าเสียงเรียบ

“อย่ายุ่งกับกานต์”

ไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อของคนที่เขาชอบด้วยภาษาบ้านเกิดมาก่อน เจฟฟรี่ย์รู้สึกแปลกหูอยู่ไม่น้อย ทว่านั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับการถูกสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับคนที่เป็นเจ้าของหัวใจ

“คุณคิดว่าห้ามผมได้เหรอ”

เจฟฟรี่ย์ว่าท้าทาย นั่นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับออสตินเลยทีเดียว เขาไม่ชอบคนท้าทาย แต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมลูบคม

เขาสูดหายใจเข้าปอด ก้าวเข้ามาหาช้าๆ ก่อนหยุดยืนนิ่งๆ ไปอีกครู่ แล้วว่าออกมาอีกครั้ง

“ฉันขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย”

“...”

“อยู่ให้ห่างกานต์เอาไว้ เจฟฟรี่ย์”

น้ำเสียงของออสตินไม่ได้กรรโชก ไม่ได้ดุ แต่ก็ไม่ได้ล้อเล่น น้ำเสียงนิ่งเรียบนี่ล่ะฟังดูจริงจังเป็นที่สุด อีกทั้งสายตาที่จับจ้องไปยังใบหน้าของเจฟฟรี่ย์นิ่งๆ นั้นก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น หากยังดื้อดึงไม่เชื่อฟังเขา รับรองว่าเขาไม่อยู่เฉยแน่ ยิ่งมาแตะเนื้อต้องตัวของกานต์ด้วยแล้ว คงไม่ต้องถามเลยว่าจุดจบของเจ้าคนปีนเกลียวจะเป็นอย่างไร

แต่แทนที่จะเชื่อฟัง สิ้นเสียง เจฟฟรี่ย์ก็เชิดหน้าขึ้น ยกยิ้มมุมปาก

“คำพูดนี้ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องพูดน่ะ”

“เธออยากจะพูดอะไร”

“ถ้าคุณอนุญาตให้ผมพูด ผมก็อยากจะถามคุณเรื่องนึง”

ออสตินนิ่ง เขาเดาไม่ออกหรอกว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหน แต่สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าต้องไม่ใช่เรื่องที่ดี ทว่าก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนรอฟังคำถามจากปากของอีกฝ่าย

“คุณไปทำอะไรที่โรงแรมนั่นเหรอ คุณสเวน”

ออสตินก็ขมวดคิ้วมุ่น ถึงแม้ว่าเจฟฟรี่ย์จะไม่เอ่ยชื่อโรงแรม แต่เขาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงที่ไหน

โรงแรมที่เขาเพิ่งไปมาเร็วๆ นี้...กับกานต์ ตอนไปดินเนอร์...

“ว่ายังไงครับ ไปทำอะไรที่โรงแรมเหรอ” เจฟฟรี่ย์ถามอีกเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายตอบ

“ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องรู้”

ออสตินสวน นั่นทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าได้ใจเป็นการใหญ่ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ส่งเสียงต่ำราวกระซิบ

“ถึงคุณจะไม่บอก แต่ผมคิดว่าผมรู้”

พูดจบก็คว้าโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะโชว์รูปภาพหนึ่งให้ออสตินดู ออสตินมองแล้วก็เกิดอาการตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน เพราะรูปที่อยู่บนหน้าจอนั้น...คือรูปของเขากับกานต์

ถ้าเป็นรูปธรรมดา เขาก็คงจะไม่เดือดร้อนอะไรหรอก แต่ดันเป็นรูปในขณะที่เขากำลังจูบกับกานต์ในลานจอดรถ

“เธอ...”

ออสตินกดเสียงต่ำ ทั้งตกใจ ทั้งเป็นกังวล หากรูปนี้หลุดออกไปล่ะก็ มีหวังเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไอ้เรื่องเขาจะถูกสังคมประณามอย่างไรนั้น เขาไม่สนหรอก ที่กังวลเป็นเพราะกลัวว่ากานต์จะเดือดร้อนต่างหาก และจังหวะนั้นเองที่เจฟฟรี่ย์ดึงโทรศัพท์กลับไปเก็บในกระเป๋าเสื้อสูท ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ

“เป็นลูกคนรวยมันก็ดีแบบนี้นี่เอง สู้ราคานักสืบเอกชนได้ รูปดีๆ เลยได้มาตามต้องการ”

ออสตินขบกรามแน่น รู้แล้วว่าเจฟฟรี่ย์ได้รูปนี้มาได้อย่างไร แต่เหตุผลจูงใจที่ทำให้เจฟฟรี่ย์ไปจ้างนักสืบนั้น เขายังไม่รู้หรอกและไม่คิดที่จะไปขุดคุ้ยด้วย มันต้องมีอะไรที่ทำให้เจฟฟรี่ย์รู้สึกถึงความไม่ปกตินั่นแหละ ถึงได้ไปจ้างนักสืบเอกชนอย่างนั้น แต่ให้ตายเถอะ! เขาประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้าต่ำไปจริงๆ ตอนแรกที่คิดว่าเป็นแค่เจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ธรรมดา ตอนนี้เปลี่ยนความคิดแล้ว

เจ้านี่มันหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ชัดๆ!

“เธอต้องการอะไร”

ออสตินไม่เสียเวลาให้อีกฝ่ายได้เล่นลิ้นอีกต่อไปแล้ว ถามไปตามตรงขณะที่เจฟฟรี่ย์เลิกคิ้วขึ้นสูง

“ไม่ลองเสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไรผมก่อนเหรอครับ ไม่สมกับที่เป็นพ่อมดแห่งโลกตลาดหลักทรัพย์เลยนะ ไหนใครๆ ก็ว่าคุณลูกล่อลูกชนทางธุรกิจเยอะ”

“ฉันถามว่าเธอต้องการอะไร” ออสตินถามเสียงดังขึ้นเล็กน้อย เขาไม่มีอารมณ์จะมาเล่นกับเด็กหนุ่มคนนี้หรอก

เจฟฟรี่ย์ยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม ก่อนจะว่าเร็วๆ “ก็ได้ๆ ในเมื่อถามตรงๆ ผมก็จะบอกตรงๆ ก็ได้”

ออสตินมองคนตรงหน้า ยืนนิ่งราวกับปูนปั้นขณะที่เจฟฟรี่ย์เอ่ยออกมา

“ผมต้องการคาร์ล”

“...”

“แล้วก็ขอให้คุณเลิกยุ่งกับเขาด้วย ผมหมายถึง...อะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่ในฐานะพ่อเลี้ยง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ รูปที่ผมได้มาคงร่อนไปทั่วแน่”

แต่...ออสตินก็ยังมีทีท่านิ่งเฉย มิหนำซ้ำยังดูไม่เกรงกลัว

“เธอไม่กล้าทำหรอก”

“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมไม่กล้า”

“ถ้าเธอชอบกานต์จริง เธอคงไม่ทำร้ายคนที่เธอรักหรอกจริงไหม”

ที่ออสตินพูดมาก็ถูก เจฟฟรี่ย์ไม่กล้าทำหรอก เขาก็ใช่ว่าอยากจะเห็นกานต์มีชีวิตที่เต็มไปด้วยตราบาปซึ่งมาจากน้ำมือของเขา รูปนี่เขาก็แค่ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองให้กานต์มาเป็นของเขาแค่นั้นเอง

“ผมทำแน่ถ้ามันจำเป็น”

จำเป็นในที่นี้ ออสตินเข้าใจแล้วว่าหมายถึงกรณีที่เขาไม่ยอมทำตามคำสั่ง แต่คิดเหรอว่าจะมาสั่งเขาได้ง่ายๆ ทำอย่างกับเขาจะกลัวเจ้าเด็กอายุสิบเจ็ดที่พยายามจะแบล็กเมล์เขากับกานต์มากมายอย่างนั้นแหละ

เจฟฟรี่ย์เองก็คิดอย่างนั้น ถึงได้พูดย้ำ

“ผมไม่ได้พูดเล่นแน่คุณสเวน ผมจะทำถ้าคุณไม่ยอมหยุด”

แต่ออสตินก็ยังแข็งข้อ

“แล้วเธอคิดว่าเงินของฉันมันไม่มีอำนาจในการซื้อข่าวงั้นเหรอ”

หมายถึงว่าถ้าเจฟฟรี่ย์คิดจะปล่อยรูปพวกนี้ให้กับนักข่าวล่ะก็ ออสตินก็พร้อมที่จะทุ่มเงินจำนวนไม่อั้นเพื่อระงับข่าวนั้น แต่ทว่า...

“เงินของคุณคงจะซื้อเรื่องซุบซิบในโรงเรียนไม่ได้”

...แผนของเจฟฟรี่ย์เหนือชั้นกว่า

ออสตินก็ลืมคิดเรื่องนี้ไป ต่อให้เขาระงับข่าวบ้าๆ พวกนี้ได้ แต่ในสังคมโรงเรียนคงต้องมีการลือกันอยู่ และไอ้พวกข่าวลือนี้นั่นแหละที่จะทำให้กานต์ใช้ชีวิตอยู่ยาก ถึงจะย้ายโรงเรียนไปเจอสังคมใหม่ แล้วสภาพจิตใจของกานต์ที่ถูกเพื่อนๆ ในโรงเรียนกลั่นแกล้งหรือรังเกียจ มองเขาแปลกแยกอะไรอย่างนี้ล่ะ

ไม่...มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

“เล่นกับเด็กก็คิดให้มันเล็กๆ หน่อยครับคุณสเวน”

เห็นออสตินเงียบไป เจฟฟรี่ย์ก็เข้าใจได้แล้วว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะในยกนี้ ออสตินถูกลูบคมเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ พานให้เกลียดขี้หน้าเจ้าเด็กที่เห็นมาตั้งแต่ยังเดินเตาะแตะอยู่ขึ้นมาไม่ได้ แต่ในเมื่อมันลงเอยอย่างนี้ เขาก็ต้องยอมไปก่อน การแข็งข้อหรือขัดขืนอะไรไม่ใช่วิธีการที่ฉลาดสำหรับเดินหมากบนกระดานที่ตัวเองเป็นรอง

“ถ้าเธอรักกานต์...ก็เก็บทุกอย่างให้เป็นความลับ”

คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้เจฟฟรี่ย์ยิ้มร่าออกมาอย่างผู้มีชัย

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะเก็บทุกอย่างให้เป็นความลับ...สุดยอด”

สิ้นเสียง เจฟฟรี่ย์ก็มองออสตินที่หันหลังเดินกลับเข้าไปในงานพร้อมกับยิ้มเยาะไล่หลัง

พ่อมดแห่งตลาดหลักทรัพย์ที่ใครต่อใครพูดว่าลูกเล่นแพรวพราวอย่างนั้นเหรอ...

ก็ไม่เห็นจะแน่สักเท่าไรเลยนี่!

--------------------------------

มาแล้วจ้า แต่งจบเมื่อกี้เลย ง่วงและเบลอมาก ถ้าอ่านเจอประโยคไหนเพี้ยนๆ ก็มองข้ามๆ ไปก่อนนะคะ ไว้หนูแดงตามเช็กทีหลัง

ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยน้า XD

หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 24-04-2018 01:05:01
เจฟฟรี่ ไอ้เด็กน้อยเอ๋ย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 24-04-2018 02:34:42
โหย.....เด็กนรก ระวังจะโดนตลบหลังเหอะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-04-2018 02:43:57
เจฟฟรี่ ตัวหายนะ  :z6:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 07-06-2018 14:55:46
ฮืออออ อุปสรรคความรักเยอะจังงง ผ่านเรื่องจัสตินมาแล้ว นึกว่าหมดแล้ววว เค้าจะได้รักกันแล้ว แงงง ออสตินขา อย่ายอมแพ้นะ  :m31:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 07-06-2018 19:59:51
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 09-06-2018 15:58:13
ไม่ชอบเจฟฟี่ตั้งแต่ตอนแรกๆแล้วก็เพิ่มเลเวลขึ้นเรื่อยๆอยากให้โดนตลบหลังแรงๆให้สำนึก
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 02-07-2018 17:34:49
เจฟฟรี่ย์นี่เด็กน้อยจริงๆ  :katai1:
ชอบตอนออสตินกะกานต์นัวเนียกันมากค่ะ พนมมือรับซินและพอร์น 55555
อ่านตอนแรกๆแล้วแบบ อะโห น้องกานต์ แซ่บสะเด่ามาก  :hao6:
รอตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 05-09-2018 19:22:10
จะรออ่านจนจบนะจ้ะ..น่ารัก  :mew1:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 16-10-2018 17:34:51
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 06-11-2018 07:10:23
ยังรออยุ่นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-11-2018 12:05:04
รอลุ้นกันไปอีก แด๊ดจะทำไง เจฟนี่ก็ร้ายนะเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 10-11-2018 17:57:04
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 24-04-2019 14:32:11
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 26-04-2019 14:30:27
แบบนี้เขาไม่เรียกว่าแพ้หรอกนะเจฟเอ้ย
เขาเรียกว่า คนฉลาดรู้ว่าเวลาไหนควรเดินต่อและเวลาไหนควรถอย

แด๊ดดี้สู้ๆ ฮู้เร่ๆๆ
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chakaimook ที่ 19-05-2019 13:25:14
เป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่  o13
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 20-05-2019 00:26:27
ยังรออยู่น้า แวะเข้ามาดูทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: ღLike Daddy,Like Babyღ ⇝#แด๊ดดี้ครับ - Ch.24: The top secret[24-4-18]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 18-09-2019 00:44:05
 :sad4:  แงรออยู่นะคะ