พิมพ์หน้านี้ - Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: M2M_Jill ที่ 30-09-2012 00:46:18

หัวข้อ: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-09-2012 00:46:18
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เีดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



การเริ่มต้นครั้งใหม่ของเด็กหนุ่มนักเรียนไทยในเมืองอันห่างไกล ที่ต้องเผชิญหน้ากับโลกดีไซน์ที่สุดหฤโหด โดยมีเพียงชายหนุ่มปริศนาที่ปรากฎกายขึ้นในเวลาอันแปลกประหลาด....ความรักสุดประทับใจเริ่มต้นอีกครั้ง

(https://i.imgur.com/TuN7sYn.png)

"ไม่รู้สิ ความจริงก็คือฉันไม่เคยมานั่งจำหรือว่านั่งคิดเรื่องของนาย..........
เพราะทุกๆเรื่องของนาย ฉันไม่เคยใช้สมองคิดเลยซักครั้ง
ฉันใช้......ความรู้สึกจากข้างในนี้...ให้กับนายมากกว่า" / ไกด์


"เรื่องบางเรื่อง มันก็คงสวยงามได้แค่...
ในความทรงจำเท่านั้นแหละมั้ง" / วิน


"เขาไม่เคยจากเธอไปไหนซักหน่อย
เขาจะจากเธอไปจริงๆ ก็เมื่อเวลาที่เธอยอมแพ้ต่างหาก" / สเตลล่า


"แกจะหนีไปไหนได้อีก ในเมื่อเขาก็ยังติดอยู่ในความทรงจำของแก
ต่อให้แกหนีไปอีกค่อนโลก เค้าก็ตามแกไปทุกที่อยู่ดี" / จีโอ


"ถ้าคิดจะรัก ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เรากล้าทำเรื่องบ้าบิ่นกันมาตั้งเยอะ
แค่จะกล้าทำตามหัวใจตัวเอง.....มันจะมีอะไรยากวะ" / เอิร์ธ

ได้ยินแค่นี้

ผมก็หนาวไปทั้งตัวแล้วล่ะ



หาก Loveless Society สร้างความประทับใจให้คุณ Coldness Town จะทำให้คุณอบอุ่น เหมือนแก้วกาแฟร้อนๆ เลยล่ะ

การเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว ที่นี่

------------------------------------------

ภาค 3
Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71352.0

ภาค 1
Loveless Society เพราะรัก... ออกแบบไม่ได้
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28027.0
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society ภาค 2]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-09-2012 00:50:23
ตอนที่ 1 Snowflake

   ถนนสายยาวที่ทอดลงจากภูเขาขนาดย่อม รายล้อมไปด้วยป่าสนที่หนาทึบสองข้างทาง ท่ามกลางลมหนาวที่พัดเอื่อยๆของฤดูหนาวต้นปี หิมะที่กำลังหลอมละลายทำให้ท้องถนนเมืองวิลแลตชื้นแฉะและเยือกเย็นไปด้วยลมหนาวที่พัดเอื่อยๆมาเป็นระยะ สภาพอากาศที่ขัดกับวิวทิวทัศน์แบบนี้ทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินเท้าริมถนนที่รถวิ่งเร็วขนาดนี้
   ชายหนุ่มใบหน้าขาวใส ดวงตากลมโต ภายใต้คิ้วที่ดกดำและทรงผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ กำลังเม้มริมฝีปากที่สั่นหงั่กเดินไปตามถนนเส้นนั้น ชายหนุ่มซุกมือลงกับเสว็ทเตอร์สีฟ้าใส ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทสีน้ำตาลไหม้ยาวถึงเข่า แต่ด้วยกางเกงที่ไม่ได้หนานักทำให้ส่วนล่างของร่างกายเริ่มหนาวสะท้าน เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของชีวิตชายหนุ่มคนนี้ทีเดียว......วิน
   ชายหนุ่มวัย 24 ปีลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของกิจการเงินทุนรายใหญ่ของเมืองไทย ที่เพิ่งจะจบมหาลัยเอกชนมาหมาดๆในคณะที่แค่เพียงทำให้ดูว่ามีอะไรๆอย่าง แฟชั่นดีไซน์ เด็กหนุ่มลูกคุณหนูที่คุณแม่ตามใจมากตั้งแต่เยาว์วัย ไม่เรียนรู้สิ่งอื่นใดนอกจากการขับรถตะลอนๆไปทั่วกรุงเทพ ฉลองกับเพื่อนฝูง และการสังสรรค์ สิ่งเดียวที่ทำให้วินดูมีอะไรๆอยู่บ้างคือปริญญาบัตรที่กว่าจะได้มาก็แทบลากเลือด และเมื่อหนุ่มน้อยรายนี้ ไม่ยอมเด็ดขาดที่จะสานต่องานธุรกิจของพ่อ และไม่ยอมเด็ดขาดที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ คุณพ่อผู้มีกฎระเบียบเข้มข้นของบ้าน จึงได้วิธีที่จะดัดนิสัยหนุ่มน้อยคนนี้อย่างเดียว ส่งไปเผชิญชีวิตด้วยตัวคนเดียวที่เมืองนอก มายังฝรั่งเศส เมืองแห่งดีไซน์ ในโรงเรียนดีไซน์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Esmod
   ซึ่งทั้งที่จริงแล้ว วิน แทบไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากงอแงเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อพ่อสามารถจัดหาที่เรียน และหลักสูตรให้เขาได้เสร็จสรรพ และขอเพียงให้วินก้าวขึ้นเครื่องบินมายังปารีสเพื่อเผชิญหับปัญหาที่เหลือเองด้วยเงินติดกระเป๋าเพียง 5,000 ยูโร และถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนที่ดูเยอะ แต่สำหรับหนุ่มน้อยลูกคุณหนูที่ไม่รู้จักกับปัญหา มันคือการเริ่มต้นที่โหดร้ายมากๆ แต่ด้วยหัวใจรักสนุก การไปยังถนนรู เซนต์ ลาแซร์ ในย่านเซนต์จอร์จ ในช่วงที่ยังไม่ถึงการเปิดเทอมนั้น เป็นเรื่องที่สุดแสนจะงี่เง่ามากในความคิดของวิน ดังนั้นการออกแบ๊คแพ๊คกับเพื่อนที่วางแผนให้มาเจอกันที่ปารีส จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งกว่า
   สามวันให้หลัง วินหันหลังให้กับการท่องเที่ยวแบบนี้ เขาไม่อาจจะทนกับการท่องเที่ยวแบบค่ำไหนนอนนั่นได้อีกแล้ว มันเป็นการดูถูกตัวเองแสนสาหัสมากเมื่อเพื่อนๆในแก๊งค์ของเขาต่างใช้การท่องเที่ยวนี้เป็นการปลดปล่อยอิสระครั้งสุดท้าย ก่อนเข้าสู่โลกการทำงาน เพื่อนๆทุกคนในกลุ่ม ต่างมีสตูดิโอจับจองเข้าทำงานกันหมดแล้ว ดังนั้นการอยู่ในวงล้อมที่ตัวเองดูด้อยกว่า จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกต่อไป สามชั่วโมงให้หลัง วินเดินเท้าออกจากชาโตว์ วิลแลต มาอยู่บนถนนเส้นนี้
   ชายหนุ่มเตะกองเกล็ดหิมะที่ก่อตัวอยู่ริมถนนอย่างหัวเสีย พลางนึกถึงเรื่องของตัวเอง กระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังทำให้การเดินทางนี้ค่อนข้างลำบาก แต่สำหรับวินมันคือหายนะชัดๆ
   “ทนไม่ไหวแล้วโว้ย" ชายหนุ่มตะโกนก้อง พลางวางของลงจากหลัง พลางทรุดตัวลงนั่งที่สามแยกแห่งหนึ่งที่สุดปลายถนน ชายหนุ่มถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะปาดเหงื่อที่เย็นเฉียบบนใบหน้า ร่างกายของเขาเกิดการเผาพลาญพลังงานมามากพอแล้วกับการเดินจากวิลแลตกลับไปปารีส มันเป็นโคตรความคิดที่บ้าเอามากๆ แต่เขารู้ตัวว่าตัวเองก็มีลูกบ้าบางอย่างมากพอ เมื่อถึงเวลาจำเป็น วินหยิบแฟ้มเอกสารการเียนของเขามาดูคร่าเวลา เขาหยิบมันมาดูตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เวลาสิบโมงเช้าของวันมะรืน เขาต้องเข้าไปพบดีไซน์เนอร์ที่จะเป็นวิทยากรให้เขาไปจนจบคอร์สนี้ที่ Esmod นั่นยิ่งทำห้เขารู้สึกหัวเสียมากขึ้นไปอีก เขาเที่ยวกับเพื่อนๆไปจนลืมวันเวลา เขามีเวลาหาหลักแหล่งให้กับตัวเองแค่วันเดียวเท่านั้น แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาหยิบเอากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดู และเมื่อเปิดกระเป๋าออกดู ก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก ยังพอใช้ชีวิตไปได้อีกสี่วัน.....สี่วัน!!!
   วินคิดว่านี่ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ แต่ที่สำคัญก็คือเขาจากมาด้วยการทะเลาะกับพ่อ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมโทรไปขอตังค์เพิ่มเด็ดขาด เขาจะต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้
   วินส่ายหัวอย่างหัวเสียขณะที่รถคันหนึ่งค่อยๆชลอลงและจอดลงตรงหน้าของเขา วินคิดว่านี่จะต้องเป็นเรื่องที่ประสาทเอามากๆอีกเรื่องหนึ่งของวันแน่ๆ เมื่อรถตรงหน้าเป็นรถที่ดูเก่ามากๆ เก่ามากเสียจนเขาไม่คิดว่าจะมาโลดแล่นอยู่บนถนนสุดหรูหราเหมาะสำหรับรถที่แล่นเร็วๆอย่างนี้ได้อย่างไร ตัวรถสีแดงสดที่รอยถลอกอยู่บ้างประปราย เจ้าของรถหมุนกระจกลงมาพลางชะโงกหน้ามาหาวิน
   “ใช่คนไทยหรือเปล่า" เสียงอันนุ่มลึกทักออกมาจากรถรุ่นเก่าสีแดง วินเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองเข้าไปรถ ที่ตกตแต่งอย่างแปลกตา วินมองหน้าคนขับที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหนาเตอะ ใบหน้าที่คล้ำเล็กน้อยกับผมที่ยาวจนสามารถรวบผูกไปด้านหลังได้อย่างพินิจ
   “แบบนี้น่าจะใช่" เสียงผู้ชายคนนั้นว่าอีก "ขึ้นรถมาดีกว่า เดี๋ยวอากาศจะเย็นลงกว่านี้ สภาพแบบนั้นน่ะ เดินไม่ถึงปารีสหรอก"
   วินยังคงยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
   “เอ้า ขึ้นมาสิครับ เดี๋ยวผมไปส่ง เร็วๆเข้า จอดแบบนี้ตำรวจไม่ปลื้มนะ" เขาพูดด้วยเสียงโฮกฮากอยู่พักนึง ก่อนที่วินจะรีบขนข้าวของของตัวเองขึ้นรถคันนั้น และเปิดประตูขึ้นนั่งที่ด้านหลัง
   “รถอาจจะเล็กหน่อยนะ ผมเอามากจาเมืองไทยน่ะ ให้เขาปรับพวงมาลัยมาเป็นฝั่งซ้ายเอา" ชายหนุ่มคนนั้นพูด ก่อนจะเริ่มออกรถไป
   “ขอบคุณ" วินกล่าวขึ้น ชายหนุ่มคนนั้นมองวินมาจากกระจกมองหลังพลางอมยิ้ม ก่อนจะขับรถต่อไป เด็กหนุ่ม ขมวดคิ้วพลางหลบสายตาและมองออกไปข้างทาง
   “จะลงไหนล่ะนาย" ชายหนุ่มคนนั้นถามอีก
   “ปารีส" วินตอบห้วนๆ "แถวไหนก็ได้ย่านเซนต์ จอร์จ"
   ชายหนุ่มยังคงมองวินอย่างพินิจพิเคราะห์
   วินพยายามหลบสายตาอีกครั้ง เขาเกลียดสายตาแบบนี้ สายตาที่กำลังทำเหมือนเขาถูกตรวจสอบ
   “มองอะไรพี่" วินถามเสียงเข้ม
   “เปล่า" ชายหนุ่มตอบ "เห็นหนาวๆ ก็เลยจะถามว่าจะกินอะไรหรือเปล่า หลังรถพี่มีไมโล"
   วินมองตาแข็งใส่ชายหนุ่มคนนั้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะก้มลงหยิบกระบอกน้ำอุ่นขึ้นมาและเปิดออกดื่มอย่างหิวกระหาย
   “ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าสินะ" ชายหนุ่มคนนั้นตอบ
   “รู้ได้ไงอ่ะ" วินถาม
   “ก็เดินมาตามถนนเส้นนี้ ก็แสดงว่าออกมาจากวิลแลต เพื่อที่จะเข้าไปปารีส เวลาป่านนี้ กับระยะทางเท่านี้ ก็ต้องเดินมาตั้งแต่เช้า" ชายหนุ่มคนนั้นตอบอีก วินก้มหน้าลง "แล้วท่าทางแบบนี้ ไม่ได้มาเที่ยวใช่ไหม"
   “ก็ประมาณนั้นอ่ะ" วินตอบอย่างหัวเสีย "พี่รีบขับๆไปเหอะ เดี๋ยวพอถึงที่ผมจ่ายให้"
   ชายหนุ่มคนนั้นส่ายหน้าให้วินครั้งหนึ่งก่อนะจะขับรถต่อไปอย่างเงียบสนิท และนั่นทำให้ความอึดอัดของวินค่อยๆหายไปบ้าง เขาไม่ชอบสายตาการถูกตรวจสอบ มันทำให้เขาพ่ายแพ้เอาเสียได้ โดยเฉพาะชายหนุ่มคนนี้ ที่ทำทีเหมือนว่ามีประสบการณ์มากกว่า เขาไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง
   รถเล็กๆสีแดงคันน้อยๆขับเคลื่อนตัวเองเข้าสู่ปารีสในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมาวินนั่งมองสองข้างทางอย่างมีความสุข ร้านรวงเปิดไฟแล้วทั้งที่เพิ่งจะบ่ายแก่ๆ ไม่มีแสงแดดสาดลงมาที่ปารีสหลายวันแล้ว เป็นปกติสำหรับเมืองหนาวแบบนี้ หอไอเฟลตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง เบื้องหน้า รถสีแดงขับผ่านซุ้มประตูชัยอาร์ค เดอ ทริออมพ์ ไปในไม่กี่อึดใจ เมื่อข้ามฝั่งไปยังพระราชวังแวร์ซาย รถสีแดงคันเล็กก็หักเลี้ยวเข้าสู่ย่านเซนต์จอร์จในไม่กี่นาทีถัดมา วินมองเห็นป้ายตรงหน้าถนนเขียนคำว่าเซนต์จอร์จ นั่นก็ทำให้เขาเริ่มเกิดอาการล่อกแล่กหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ เพื่อหาบ้านเช่าหรือโฮมสเตย์.....โฮมสเตย์!!!........ในปารีส
   “ที่นี่ไม่มีที่พักอย่างที่นายต้องการหรอก" ชายหนุ่มกล่าวพลางค่อยๆชลอรถลงที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง วินหันมามองชายหนุ่มคนนั้นทันที ที่ขณะนี้หันมามองหน้าวินอย่างเต็มตัว
   “รู้แล้วล่ะน่า" วินว่าพลางเริ่มหยิบข้าวของของตัวเอง
   “ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่อร่อยแล้วก็ถูกด้วย ลงไปหาอะไรกินซะ" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวพลางพยักเพยิดไปทางร้านแห่งนั้น วินมองตามไป หน้าร้านปักป้ายชื่อ flocon De Niege
   “ฟลอคอน เดอ เนง" ชายหนุ่มว่า "สโนว์เฟลค หรือเกล็ดหิมะ เจ้าของร้านเป็นคนไทย ถ้าเรากำลังอยากได้ความช่วยเหลืออะไร ก็ลองถามเค้าดู เผื่อเค้าช่วยได้"
   "ขอบคุณ" วินว่าพลางกำลังจะเขยิบตัวออกจากรถ
   "มันไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ ขอความช่วยเหลือจากใครเนี่ย คนไทยด้วยกันในเมืองแบบนี้น่ะ ต้องพึ่งกันไว้มากๆนะ" ชายหนุ่มคนนั้นพูดพลางยื่นนามบัตรของตัวเองให้กับวิน ชายหนุ่มรับมันมา
   

   อัครพล จุรีรักษ์
   Art Director
   Sume' International


   เมื่อพลิกไปด้านหลังก็พบกับเบอร์โรศัพท์มือถือ
   "กดเบอร์เป็นใช่ไหม โทรศัพท์ที่นี่น่ะ" ชายหนุ่มถามขึ้น
   วินพยักหน้า
   "พี่ชื่อมิกนะ ถ้ามีปัญหาอะไรเร่งด่วน โทรมาหาพี่ได้ เผื่อจะได้ช่วย" ชายหนุ่มกล่าว
   "ขอบคุณ ผมชื่อวิน" วินตอบ
   "อ่าหะ" ชายหนุ่มว่า "นึกว่าจะไม่รู้ชื่อแล้ว"
   วินลงจากรถไปอย่างไว้ท่า ก่อนที่รถคันสีแดงคันนั้นจะขับจากไป
   “พิลึกคน ไม่ได้ขอให้ช่วยซะหน่อย" วินบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองที่ร้านเกล็ดหิมะ แต่ยังไงซะผู้ชายที่ขับรถมาส่งเขาก็บอกอะไรที่จำเป็นต่อเขาหลายอย่าง วินก้าวเข้าไปในร้านอย่างไว้ท่า
   “Excuses” ชายหนุ่มกล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศส เมื่อเข้าไปร้าน มีฝรั่งอยู่สามสี่โต๊ะ ที่ไม่ได้ใส่ใจมองมาทางเขาเท่าไหร่ แต่กำลังนั่งจิบกาแฟยามบ่ายอยู่กับเพื่อนของตัวเองเท่านั้น เมื่อคำทักทายของวินไม่เป็นผล เขาจึงได้ยืนมองไปมองมาอยู่หน้าร้าน
   “มากี่ที่ครับ" เสียงทักทายดังขึ้น วินหันไปเจอชายหนุ่มอีกคนที่แต่งตัวเป็นบาริสต้า เดินออกมาจากเคาท์เตอร์ร้าน เพื่ออกมาต้อนรับเขา ใบหน้าขาวสะอาดและร่างกายที่สูงกว่าวินพอประมาณ ไหล่ที่กว้าง และดูสุภาพ เดินเข้ามาหาวินอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมองหน้าวินด้วยดวงตาดำขลับและคิ้วที่ดำสนิท
   “รู้ได้ไงว่าเป็นคนไทย" วินโพล่ปากออกไปตามอารมณ์
   บาริสต้าคนนั้นเหลือกตาขึ้นอย่างสุภาพ
   “นายก็พูดออกมาอยู่นี่ไง" ชายหนุ่มตอบ "มากี่ที่ครับ"
   วินชะงักไปทีหนึ่ง
   “ก่อนหน้าที่จะพูดดิ นายรู้ได้ไง" วินถามต่อ
   “แล้วตกลงมากี่ทีครับ" นายบารีสต้าถามต่ออีก
   “ตอบคำถามมาก่อนดิ" วินว่าต่อ
   “ก่อนจะให้คนอื่นตอบคำถามนาย นายควรจะตอบคำถามคนอื่นก่อนไม่ใช่หรือไง" นายคนนั้นตอบกลับ วินถึงกับหัวเสียขึ้นมาทันที มันเหมือนกับเขาถูกท้าทาย
   “แล้วทำไม เห็นเป้นคนไทยแล้วกลัวไม่มีตังค์จ่ายหรือไง ไม่ต้องกลัวหรอกน่า มีตังค์แน่" วินเริ่มโวยวาย
   “มากี่ที่ครับ" ชายหนุ่มคนนั้นถามต่ออีก ไม่สนใจกับท่าทางของวินแต่อย่างใด
   “นี่นาย....”
   “ถ้ายังไม่ตอบอีก ผมต้องขอให้ออกไปนะครับ" บารีสต้าพูดเสียงเข้ม
   วินถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะกัดฟันทันที
   “...ม...มาคนเดียว" วินตอบเสียงเข้ม
   “ก็แค่นั้น" บารีสต้าว่าเสียงเย็นเฉียบ "นั่งตรงนั้นก่อน เดี๋ยวไปตามเจ้าของร้านมาให้"
   “รู้ได้ไงว่าอยากเจอเจ้าของร้านวะ" วินถามต่ออีก บารีสต้าคนนั้นหันหลังกลับมา
   “ไม่มีคนปารีสที่ไหน ใส่กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบกับเสว็ทเตอร์หรอก" บารีสต้าคนนั้นบอก "แล้วกระเป๋าแบบนั้น ถ้าไม่ใช่แบ็คแพ็คกำลังหาที่พัก ก็ต้องเพิ่งมาปารีส ที่สำคัญ นายมาร้านนี้ ถ้าไม่ใช่คนไทยแนะนำมา นายจะรู้จักได้ไง"
   บารีสต้าคนนั้นทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะหายไปหลังร้านทันที
   วินรู้สึกหัวเสียอีกแล้ว ทำไมมันนนี้มีแต่เรื่องหายนะสำหรับเขา
   คนไทยในเมืองนี้มันแปลกประหลาดชัดๆ ทำไมถึงรู้ความต้องการของเขาไปซะทุกอย่างเลยนะ มันเสียศักดิ์ศรีอย่างยิ่งที่เขาจะต้องถูกมองเป็นคนที่ต้องขอความช่วยเหลือใคร เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยซ้ำ เขาจะอยู่ที่นี่ได้ด้วยตัวเอง
   แค่นึกถึงคนบนรถสีแดงคนนั้นที่ช่วยเขามาถึงตรงนี้
   และบารีสต้าคนนั้นที่ทำทีเป็นรู้ดีไปซะทุกอย่าง
   มันทำให้วินโดนอ่านเกมส์ออกขนาดนี้
   แค่นี้เขาก็เย็นไปทั้งตัวแล้ว....
   และนั่นคือสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด...
…...........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society ภาค 2]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-09-2012 00:50:51
ตอนที่ 2 Housemate

   วินนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างของร้าน ส่งสายตาที่ไม่เกรงกลัวไปให้กับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ดูมีอายุพอสมควร และกำลังนั่งเคาะปากกาลงบนกระดาษใบหนึ่งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่ตัวเองกำลังตักข้าวผัดหมูกินอย่างโหยหา
   “เดี๋ยวก่อนนะ เธอว่า เธอเปิดเรีนวันไหนนะ" เธอถามขึ้น
   “เปิดเรียนวันศุกร์" วินตอบ "แต่ต้องเข้าไปพบวิทยากรพรุ่งนี้ สิบโมง"
   “แล้วยังไม่มีที่พัก" เธอถามต่ออีก
   “ใช่"
   “แต่มาปารีสตั้งแต่ปีใหม่"
   “ใช่"
   “ตอนนี้เหลือเงินอยู่ 3,000 ยูโร"
   “ใช่"
   “เวรกรรม" เธอสบถพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง "ลูกคุณหนูใช่ไหมเนี่ย"
   “ทำไม คิดว่าผมจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ" วินถามเสียงแข็ง
   “ไม่ใช่อยู่ไม่ได้" เธอตอบ "แต่เธอไม่มีสิทธิอยู่ด้วยซ้ำ เธอมาเรียนคอร์สพิเศษ 6 เดือนที่ Esmod เชียวนะ ถ้าเธอไม่มีเงิน 10,000 ยูโรต่อเดือนล่ะก็ เธอไม่มีทางจบ แพ๊คกระเป๋ากลับบ้านไปเถอะ"
   “รู้ได้ไงเนี่ย" วินถามเสียงเข้ม
   “ฉันอยู่ปารีสมา 6 ปีแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่" เธอกล่าว
   “แล้วสรุปจะช่วยผมหรือเปล่า" วินถาม "ถ้าไม่ช่วยผมจะได้ไป"
   “นายออกไปจากร้านนี่ก็เท่ากับไปตายเปล่า" เธอกล่าว "คืนนี้เธอจะโดนตำรวจตวจคนเข้าเมืองเล่นงานเอาแน่ ถ้าเที่ยวไปนอนถามถนน"
   “แล้วจะเอายังไงก็ว่ามาเลย" วินถามต่อ
   “เห้อ.......ก้อง เจ้าก้อง มานี่หน่อย" เธอส่งเสียงเรียก ชายหนุ่มในชุดบารีสต้าคนเดิมเดินมาหาที่โต๊ะทันที
   “มีอะไรเหรอครับเจ๊ใหญ่" ชายหนุ่มที่ชื่อก้องพูดขึ้น
   “นายคนนี้ต้องการที่พัก อย่างน้อยๆก็อาทิตย์นึง แต่ค่าเช่าน่ะอาจจะยังไ่ม่พร้อม เราจะช่วยหน่อยได้หรือเปล่า" เจ๊ใหญ่ถามต่อ
   ก้องมองหน้าวินอย่างเฉยชาอยู่พักนึง วินมองกลับด้วยสายตาท้าทาย ก้องเลิกคิ้วใส่
   “นิสัยแบบนี้ จะอยู่กับใครที่นี่ได้เหรอครับ" ก้องพูดขึ้นมา วินถึงกลับจ้องกลับมาตาถลน
   “เจ๊ก้กำลังคิดอยู่เหมือนกัน ลุงทอมเป็นไง แกไม่ค่อยอยู่บ้านนี่" เจ๊ใหญ่พูด
   “ไม่ได้หรอกครับ ลุงแกอารมณ์ร้อนมาก ถ้าเจอแบบนี้แกโยนออกจากห้องแกเอาง่ายๆ" ก้องบอก
   “ซีดานล่ะ คนนี้ก็ไม่ค่อยเรื่องมาก" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ซีดานเจ้าชู้น่ะครับ พาผู้หญิงมาห้องไม่ซ้ำ จัดปาร์ตี้ทุกคืน กลัวว่าเดี๋ยวจะไม่ได้เรียนเอา" ก้องตอบอีก วินเริ่มกัดฟันทันที
   “แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้" เจ๊ใหญ่ว่าพลางกอดอก
   “อยู่กับผมนี่แหละ" ก้องว่า
   “เอ้อ...จริงสิ ลืมนึกไป" เจ๊ใหญ่ว่า "เราอยู่ที่ถนนทอควิลนี่ ไม่ไกลจากตรงนี้ นั่งรถเมล์สายเดียวก็ถึง ก็น่าจะโอเคนะ"
   “ผมไม่โอเค" วินพูดขึ้นเสียงดัง ทำเอาคนทั้งร้านหันมามองทันที วินมองไปรอบๆอย่างตกใจแป้บนึงก่อนที่จะหันกลับไปประจันหน้ากับเจ๊ใหญ่และก้องอีก "ให้อยู่กับเด็กในร้านนี่เนี่ยนะ ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณไม่ต้องช่วยผมหรอก เดี๋ยวผมออกไปหาที่อยู่เองดีกว่า ไร้สาระ"
   วินว่าพลางลุกขึ้นทันที
   “นั่นนายจะไปไหนน่ะ" เจ๊ใหญ่ถามขึ้น
   “ไม่ต้องยุ่งหรอกน่า" วินพูดเสียงดังพลางหยิบกระเป๋าออกไปนอกร้านทันที
   “เดี๋ยวก่อนสิ จะออกไปไม่ได้นะ นี่มันเย็นแล้วด้วย ตายแล้ว......เอาไงดีล่ะก้อง ถ้าไปเป็นอะไรล่ะก็แย่เลย" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ" ก้องพูดเรียบๆ พลางมองตามออกไปด้วยสีหน้านิ่งสนิท "เดี๋ยวเขาก็กลับมาเอง ไม่เกินหกโมงเย็นหรอก"
   “คิดงั้นเหรอ จะดีเหรอ" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ใช่ครับ เรื่องค่าเช่าอะไรหรืออะไรๆของเด็กคนนั้น เดี๋ยวผมจัดการเอง" ก้องว่า "เป็นอันว่าเด็กคนนี้จะอยู่กับผมเดือนนี้ทั้งเดือนเลย"
   “เอางั้นเหรอ" เจ๊ใหญ่ถาม
   “ใช่ครับ" ก้องตอบ
   “เอาจริงๆนะ เราไม่เห็นจะต้องลำบากตั้งหนึ่งเดือนเลยก้อง ดูดูแล้วคนนี้ไม่เบาเลยนะ" เจ๊ใหญ่ว่า
   “เราตั้งร้านนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะช่วยเหลือคนไทยในปารีสด้วยไม่ใช่เหรอครับ" ก้องถาม "เด็กคนนี้ถ้ายังทำตัวแบบนี้อีก อยู่ที่ไม่ได้หรอกครับ"
   “แต่ท่าทางเขาจะรวยนะ เดี๋ยวพ่อแม่ก็ส่งเงินมาให้เองแหละมั้ง" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ไม่จริงหรอกครับ" ก้องว่า "สภาพแบบนี้ ไม่ได้กลับเมืองไทยง่ายๆหรอก"
   “งั้นก็ตามใจเราก็แล้วกัน" เจ๊ใหญ่ว่า "แต่วันนี้สี่โมงก็ปิดร้านได้เลยนะก้อง เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเปิดเต็มวันเหมือนเดิม แต่ว่าแบบนี้ถ้าเด็กคนนั้นกลับมาอีกแล้วจะเจอกันไหมเนี่ย"
   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมอยู่เอง" ก้องว่า "ไม่ต้องห่วงเจ๊ เดี๋ยวผมดูแลร้านให้"
   “ตามนั้นแล้วกัน"
   เจ๊ใหญ่พูดทิ้ท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าไปหลังร้านในขณะที่ก้องเดินกลับเข้าไปในเคาท์เตอร์ของตัวเอง และเริ่มเช็ดแก้วต่อไปอย่างใจเย็น
   โดยไม่รู้เลยว่า อากาศข้างนอกเริ่มเลวร้ายลงทุกที
   ..........
   วินไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินห่างออกมาจากร้านเกล็ดหิมะไกลเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือ สภาพอากาศที่แย่ลง หิมะเริ่มโปรยปรายลงมากอีกครั้ง และเริ่มทำให้การเดินทางเริ่มลำบากมากกว่าเดิม และเหมือน่าผู้คนแถบนี้จะเข้าใจสภาพอากาศที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าเขาเสียแล้ว ในครึ่งชั่วโมงผู้คนก็ต่างหายไปจากท้องถนนจนหมด วินรู้สึกตกประหม่าเล็กน้อย แต่เขาจะต้องอยู้ด้วยตัวเองให้ได้ นั่งรงที่ป้ายรถเมล์ริมถนน ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาไปมากแล้ว ซุกตัวเองอยู่ในเสื้อหนาวที่เริ่มไม่ทำงานมากขึ้นทุกที เขายกขาขึ้นซุกเข้าไปในเสื้อด้วยเพื่อความอบอุ่น คิดว่าพายุหิมะคงเข้าปารีสมาได้ไม่นาน เขาหยิบเอากระเป๋าตังค์ขึ้นมาเริ่มคำณวน ความเป็นไปได้ของการใช้ชีวิต และสิ่งหนึ่งที่เขายอมรับเอาไว้แน่ๆว่า มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆคือ....วิกฤตแล้ว
   มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้อะไร หรือทำอะไรไม่เป็นเลยหรอก การทำงานด้านดีไซน์ต้องใช้เงินสูงมาก และที่สำคัญนี่มันคอร์สพิเศษที่เลยจากปริญญาตรีแล้ว คนที่เรียนส่วนใหญ่ มีงานทำมีรายได้มากพอที่จะมาลงคอร์สนี้เพิ่มเติมักษะตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเงินในกระเป๋าเขามีอยู่เพียงเท่านี้ เขายอมรับว่ามันเป็นปัญหา
   แต่ถ้าหากคนที่นี่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน แล้วต้องถูกส่งมาทำดัดนิสัยที่นี่แบบนี้ นั่นมันเป็นสิ่งที่เขายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด มันเสียศักดิ์ศรีมากเกินไป เขายอมไม่ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ร้านเล็กๆอย่างสโนว์เฟลคนั่น เจ้าบารีสต้าที่ทำท่าเฉยชาใส่เขาคนนั้น เป็นแค่คนไทยมารับจ้างทำอาหาร เขาไม่มีทางยอมรับความช่วยเหลือจากคนแบบนั้นเด็ดขาด
   อากาศไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเลย วินมองดูนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกเวลาจะห้าโมงเย็นแล้ว เขาเริ่มกังวลเล็กน้อย เขาจะเอายังไงกับคืนนี้กันนะ ทันใดนั้น ท่ามกลางหิมะขาวโพลน มองเห็นตำรวจในชุดหนาเตอะอยู่ที่ริมฝั่งถนน กำลังเดินมาจากตรอกข้างหน้า และกำลังข้ามถนนมาหาเขา แม้ว่าภาพที่มองผ่านหิมะจะเลือนราง แต่ความรู้สึกถึงปัญหาใหญ่ๆ กำลังชัดเจนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก วินเริ่มขนกระเป๋าของตัวเองและลุกขึ้นจากป้ายรถเมล์ช้าๆอย่างไม่ให้มีพิรุธ และค่อยๆกัดฟันฝ่าความหนาวเย็นออกไปจากตรงนั้นอย่างรีบร้อน
   อย่างที่เขาคิดเอาไว้ วันนี้มันหายนะชัดๆสำหรับเขา ปัญหาในชีิวตเขาตอนนี้เริ่มเยอะแยะเกินไปแล้ว คิ้วที่ดำขลับเริ่มขมวดเป็นเลขแปด เขาไม่ถนัดการแก้ปัญหาจริงๆซะด้วย ไม่รู้ว่าร่างกายพาเขาเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อเลี้ยวที่หัวมุมถนน ก็เจอเข้ากับตำรวจอีกนายที่กำลังจูงสุนัขมาทางเขาอีก วินกัดฟันก่อนจะหันหลังกลับอีกครั้ง ตำรวจคนที่ไล่เขามาจากป้ายรถเมล์ก็เดินตามเขามาติด วินส่ายหน้ากับตัวเอง เขาคิดว่านี่ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ เขาหันว้ายหันขวาอยู่พักนึง ก่อนจะมองไปรอบๆตัว ร้านสโนว์เฟลคอยู่ถัดไปอีกหน่อย วินถอนหายใจกับตัวเองก่อนสะบัดหัวไปมาอย่างอามรมณ์เสีย
   ให้มันได้อย่างนี้สิน่า.....
   เสียงกร๊องแกร็งของประตูร้านเปิดขึ้นอีกครั้ง เสียงลมหิมะพัดลู่เข้ามาในร้านอย่างไม่นิ่งสงบ วินมองไปมองมาในร้านอย่างร้อนรน
   ทีเวลาแบบนี้ล่ะไม่รีบเสนอหน้ามาล่ะ ให้ตาย....
   ทันใดนั้นร่างๆหนึ่งก็ดันหลังวินจากด้านนอกร้านให้เข้าไปในร้านทันทีพร้อมกับปิดประตูใส่ วินอารามตกใจจึงรีบหันกลับมาดูว่าเป็นใคร ชายหนุ่มบารีสต้าในชุดหนาเตอะอยู่ด้านนอกร้าน พร้อมกับกำลังคุยบางอย่างอยู่กับตำรวจที่เดินตามหลังเขามาติดๆ วินมองเหตุการณ์อันเลือนรางจากในร้านอย่างร้อนรน แต่ถ้าเขาออกไปตอนนี้ เขารู้ดีว่ามันจะต้องเป็นปัญหาแน่ จึงได้แต่ยืนถอนหายใจอย่างอารมณืเสียอยู่ในร้าน เมื่อเวลาผ่านไปพักนึง เจ้าบารีสต้าคนนั้นก็เปิดประตูกลับเข้ามาในร้าน
   มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง วินจึงหลบตาไปทางอื่น พลางแสดงอาการหงุดหงิดเพราะเสียท่ากลับการกลับมาที่นี่อีกครั้ง ก้องเลิกคิ้วใส่วินครั้งหนึ่งก่อนจะถอดเสว็ทเตอร์ออก
   “ไปเปิดฮีตเตอร์ที อยู่หลังเคาท์เตอร์" ก้องบอก "เร็วดิ เดี๋ยวก็หนาวตายกันหมด"
   วินขมวดคิ้วพลางทำหน้าท้าทายใส่
   “แล้วเรื่องอะไรฉันต้องทำตามคำสั่งนายด้วยวะ" วินว่า
   ก้องก้มหน้าลงอย่างเหนื่อยหน่าย และทำเหมือนกับว่าที่วินกำลังบ่นอยู่เป็นแค่ลมหนาวที่พัดผ่านไป เขาเดินอ้อมไปยังหลังเคาท์เตอร์และเปิดฮีตเตอร์เสียเอง ก่อนจะคว้าผ้ากันเปื้อนมาผูกเข้าที่เอว และเปิดเครื่องชงกาแฟขึ้น ก่อนจะหยิบแก้วมาใบหนึ่งแล้วเริ่มชงทันที โดยไม่ปริปากพูดอะไรซักคำ ขณะที่วินมองการกระทำของก้องอยู่อย่างนั้น
   “ของฉันใส่น้ำตาลสองก้อนนะ ไม่ใส่นม" วินว่า
   เมื่อเครื่องชงกาแฟชงเสร็จ ก้องก็คว้ามันมานั่งดื่มทันที วินจ้องก้องตาถลน
   “ฉันไม่ได้มาขอกินฟรีนะ ฉันมีปัญญาจ่าย" วินร้องเสียดัง ก้องวางแก้วลงอย่างสุภาพ พลางเงยหน้าขึ้นมามองวิน
   “เก็บเงินของนายเอาไว้เหอะ ก่อนจะวิกฤตไปกว่านี้" ก้องพูดเบาๆ ไม่สนใจอารมณ์เป็นฟืนไฟของวิน พลางยกกาแฟขึ้นจิบเป็นบางครั้ง และมองวินด้วยสายตาเฉยชา
   “กวนตีน" วินพูดใส่
   ก้องยิ้มที่มุมปากให้กับวินทันที
   “ไม่ขอบคุณแล้วยังปากเสียอีกนะ" ก้องพูดกลับใส่ เด็กหนุ่มโยนกระเป๋าลงที่เคาท์เตอร์ทันที "น่าจะปล่อยให้หนาวตายอยู่ข้างนอกก็ดี"
   “อย่านึกว่านี่เป็นบุญคุณไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้ขอนายซะหน่อย" วินว่า
   “งั้นก็ออกไปดิ" ก้องว่า วินก้มหน้าลงพลางกัดฟันยืนนิ่ง ก้องขำเบาๆ
   “ขำอะไร เดี๋ยวพอพายุหมด ฉันไปแน่" วินว่า ก้องส่ายหน้า
   “ไม่ต้องไปไหนหรอก เดี๋ยวกลับด้วยกันเนี่ยแหละ" ก้องพูดเสียงนิ่มลง พลางลดอาการแข็งกร้าวใส่วินลงบ้าง เพื่อไม่ให้เปิดอารมณ์โมโหรุนแรงครุกรุ่นไปมากกว่านี้ "อย่าอวดดีไปหน่อยเลยนาย อยู่ที่นี่ด้วยนิสัยแบบนี้มันจะลำบาก"
   “นายไม่ต้องมาสอน" วินว่า
   “ฉันไม่ได้สอน" ก้องหันมาว่า "ฉันพูดกับตัวเอง"
   วินอ้าปากค้างพลางมองหน้าก้องที่ส่งสายตาเฉยชามาหาเขาทันที
   “คนบ้าชัดๆ" วินว่า
   “นี่นาย" ก้องยื่นหน้าเขามาใกล้วินทันที พลางมองวินด้วยสายตาที่เหมือนคนบนรถที่ขับมาส่งเขาที่นี่มอง มองด้วยสายตาตรจสอบ "ที่นี่น่ะ เสิร์ฟกาแฟให้คนไทยฟรีให้คนละแก้วต่อวัน แค่เดินเขามาสวัสดีทักทายกัน ก็รับไปเลย.....ทักทายแบบดีดีน่ะ"
   ก้องหยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง พลางมองหน้าวินที่ตาแดงก่ำไปด้วยความหนาวและโกรธ วินเมินหน้าหนีทันที
   “ตามใจ" ก้องว่าพลางหันหลังเข้ามาเคาท์เตอร์ โดยที่วินไม่ใส่ใจจะมองตามไป เขาโกรธมาก และถ้าเขายังมองหน้าหมอนี่อีกต่อไปแค่นาทีเดียว เขาจะต่อยหมอนี่แน่ๆ
   เสียงดังแกร็กดังขึ้นตรงหน้า วินหันกลับมามองก็พบกับแก้วบรรจุกาแฟวางอยู่ตรงหน้า
   “น้ำตาลสองก้อน ไม่ใส่นม" ก้องพูดขึ้น พลางหยิบแก้วของตัวเองไปล้าง
   วินถอนหายใจพลางหยิบขึ้นมาดื่มอย่างเสียไม่ได้ อากาศมันเย็นเกินไป จนเขาไม่อาจจะปฏิเสธได้
   “บ้านเราสองคนอยู่ที่ถนนทอร์ควิล ห่างจากที่นี่ไปไกลอยู่เหมือนกัน" ก้องพูดขึ้นขณะล้างแก้วอยู่หลังเคาท์เตอร์ " Esmod อยู่ถัดจากร้านนี้ไปอีกสี่บล็อค ถ้านายตื่นเช้ามาทำงานที่นี่พร้อมฉันตอนเจ็ดโมง เราก็จะมารถเมล์รอบเดียวกัน แล้วพอเก้าโมงครึ่ง นายก็เดินจากร้านนี้ไปเรียนได้พอดี"
   วินมองตามก้องไปอย่างไม่อยากเชื่อหู
   “นี่ฉันยังไม่ได้ตก.....”
   “เจ็ดโมงถึงเก้าโมงครึ่งนายก็ได้ทำงานตั้งสามชั่วโมงครึ่ง และถ้านายเรียนเสร็จแล้วกลับมาทำงานต่อได้เร็ว ก่อนร้านปิดตอน สองทุ่ม นายก็บวกเพิ่มไปอีก" ก้องพูดพลางเดินกลับมาที่เคาท์เตอร์ "ที่นี่ให้ชั่วโมงละ 50 ยูโร ร้านหยุดวันอาทิตย์ อย่างฉันทำทุกวัน ฉันจะได้เดือนนึงตก 15,000 ยูโร แต่หักค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้ชีวิต ก็เหลือแค่เดือนละเจ็ดพัน ดังนั้นนายมีเวลาทำงานน้อยกว่าฉัน นายอาจจะได้แค่เดือนละ 10,000 ยูโร และเหลือเงินเก็บต่อเดือนแค่ 5,000 เท่านั้น แต่นายมีเรียนด้วย ดังนั้นเงินเก็บของนาย อาจจะต้องหักไปเป็นค่าอุปกรณ์อื่นๆในคอร์สอีก"
   “นายไปรู้เรื่องเรียนของฉันได้ยังไง....”
   “สำหรับข้อเสนอแรกในการมาอยู่กับฉัน" ก้องยังคงพูดต่อ ไม่ใส่ใจตำพูดของวิน "นายต้องจ่ายค่าที่อยู่ให้ฉัน 1,000 ยูโรก่อน เป็นค่ามัดจำก่อนเข้า แต่ค่าเช่าเดือนแรกนายไม่ต้องจ่ายฉัน ค่าน้ำค่าไฟด้วย ฉันจะออกให้ก่อน พอหนึ่งเดือนนี้ผ่านไป เราสองคนมาคุยกันใหม่ ว่านายจะยังอยู่กับฉันต่อหรือเปล่า ถ้าต่อ ข้อเสนอข้อที่สองจะตามมา"
   “อ...อะไรนะ" วินร้อง
   “แต่มันมีข้อแม้อยู่" ก้องพูดต่ออีก วินทำหน้าเบ้ "ที่นี่จ่ายค่าแรงสูงกับฉัน เพราะฉันจบเอกทำอาหารมา แต่กับนายที่ไม่มีอะไรยืนยัน ฉันจะต้องทำให้เจ๊ใหญ่มั่นใจก่อนว่า นายจะไม่มาเป็นแค่เด็กล้างจาน ฉันจะทำให้นายเป็นผู้ช่วยของฉัน เพื่อที่นายจะได้เงินเดือนพอๆกับฉัน เพื่อการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปของตัวนายเอง อาทิตย์นี้ เมื่อนายเรียนเสร็จ นายจะต้องมาหาฉันที่ร้านนี้หลังหนึ่งทุ่ม ฉันจะสอนนายชงกาแฟ"
   “อะไรนะ" วินร้องเสียงดัง "เรื่องอะไรฉันต้องมาเรียนเรื่องงี่เง่าพวกนี้อีก"
   “ฉันจะถือว่าที่นายพูดออกมาเมื่อกี้เป็นความบังเอิญ" ก้องว่า "ข้อแรกฉันจะบอกนายเอาไว้ก่อนว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดจาดูถูกงานอาหารของฉัน ข้อสองที่นายต้องทำ เพราะเงินของนายที่กำลังจะเหลือแค่สองพัน จะหมดไปกับค่าโต๊ะดราฟไฟ และอุปกรณ์ตัดเย็บ ยังไม่รวมเครื่องมือศิลปะในวิชาเลือกด้วย แต่เรื่องนี้นายต้องบริหารค่าใช้จ่ายเอาเอง ถ้ามีปัญหาเร่งด่วน กลับมาบอกฉัน ฉันอาจจะช่วยไม่ได้ทันที แต่ฉันอาจพอหาทางให้ได้"
   “นี่เจ้าบารีสต้า" วินว่า
   “ฉันชื่อก้อง" ก้องว่า
   “เออ....จะชื่ออะไรก็ช่าง" วินว่า "ฉันยังไม่ตอบตกลงเลยนะ ว่าจะไปอยู่กับนาย แล้วนายมีสิทธิอะไรเข้ามาจัดการชีวิตฉันแบบนี้น่ะเหอะ"
   “นายไม่มีทางเลือกแล้ว" ก้องว่า "ข้อเสนอของฉันเอื้อประโยชน์ให้นายสุดๆแล้วนะ นายน่าจะดีใจที่ฉันเป็นคนไทย ที่อายุก็ไม่ต่างอะไรจากนาย ถ้านายคิดว่าจะออกไปหาคนอื่น พร้อมกับข้อเสนอดีกว่านี้ได้ภายในคืนเดียวก็เชิญ เงินแค่ 3,000 ยูโร ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่านายจะไปรอดได้ซักกี่น้ำ"
   วินมองหน้าก้องนิ่ง
   “ฉันไม่สนว่านายเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน แต่มาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องฟังกัน ช่วยเหลือกัน" ก้องว่า "ไม่อยากอดตาย แล้วถ้าไม่พึ่งคนไทยด้วยกัน จะไปพึ่งใครอีกล่ะ"
   วินกัดหันพลางถอนหายใจ
   “เชื่อฉันเถอะน่าพ่อคุณชาย" ก้องพูดเสียงเฉยชา พลางมองเข้าไปในตาของวิน "อยู่กับฉันน่ะ สนุกแน่"
   วินกำลังจะอ้าปากแต่ทว่าก้องก็หยิบแก้วกาแฟเดินไปล้าง
   “นายไม่ได้กล่าวทักทายกับฉันด้วยดี ดังนั้นค่ากาแฟแก้วนี้ นายต้องจ่าย 1,000 ยูโร เป็นค่ามัดจำบ้าน" ก้องพูด
   “นี่นายหลอกกันเหรอ" วินโวยวายขึ้นทันที "เล่นกันอย่างนี้มีเรื่องแน่"
   “จะทำอะไรล่ะ แจ้งความเหรอ กับตำรวจใช่ไหม" ก้องว่า "กับเจ้าทุกข์ที่ดื่มกาแฟแล้วไม่จ่ายเงิน แถมไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเนี่ยนะ เอาจริงดิ"
   ก้องมองหน้าวินอย่างเฉยชา พลางล้างแก้วอยู่อย่างนั้น
   วินส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดพลางหลับตาด้วยความโกรธขึ้ง เขาไม่ยอมหรอก เรื่องงี่เง่าแบบนี้ เขาจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด หมอนี่ไม่รู้ซะแล้วว่าเขาเป็นใคร เขาตัดสินใจแล้ว...
   “ก็ได้" วินร้องขึ้น พลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบเงินออกมาหนึ่งพันยูโร แล้ววางลงบนเคา์เตอร์ ก้องเดินมารับเงินเอาไว้ทันที
   “แค่นั้นแหละครับ" ก้องว่าพลางยิ้มที่มุมปากทีนึง
   “ใช่" วินรับคำ "นายอยู่กับฉันน่ะ สนุกแน่"
   วินพูดเสียงเจ้าเหล่ใส่ก้องทันที ก้องหันมามองหน้าวินด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินกลับไปหลังร้าน
   มันเป็นการเริ่มต้นที่แย่เอามากๆสำหรับวิน
   เขาคิดถูกแล้ว นี่มันหายนะชัดๆ
…........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society ภาค 2][ตอนที่ 2 : Housemate]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-09-2012 11:33:32
ตอนที่ 3 At First Sight

   อีกไม่กี่อึดใจ หิมะที่โปรยปรายก็หยุดลง เมื่อก้องและวินนั่งอยู่บนรถเมล์ที่กำลังแล่นไปตามถนนรู เซนต์ ลาแซร์ และออกสู่ย่านทอร์ควิล บ้านในแถบนี้ยังเป็นทาวน์เฮ้าส์สามชั้นติดกัน และดูเหมือนว่าจะเหมือนกันไปทุกหลังจนแทบไม่เห็นความแตกต่างใดใด ทั้งคู่ลงที่รถเมล์ป้ายหนึ่ง ก้องเดินนำไปตามางเรื่อย ขณะที่วินเดินตามโดยไม่อยากมีคำพูดสนทนาใดใดระหว่างกัน เพราะว่าอันที่จริงแล้ว วินไม่ได้เต็มใจเลยซักนิด
   บ้านที่เป็นจุดหมายเป็นบ้านสามชั้นที่หัวมุมถนน ไม่ดูใหม่และไม่ดูเก่า ก้องกดรหัสสี่หลักลงบนระบบรักษาความปลอดภัยที่ประตูก่อนจะเปิดออก
   “4422” ก้องพูดขึ้นก่อนจะเดินนำเข้าไป
   โถงทางเดินขนาดเล็กนำทั้งคู่เดินไปตามทาง ก้องเดินขึ้นบันไดที่หักเลี้ยวที่ปลายทางเดินขึ้นไปด้านบน ห้องของเขาอยู่ชั้นสาม และติดกับหน้าต่างด้วย เมื่อเปิดประตูเข้าไป วินก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
   ห้องขนาดใหญ่พอสมควร ที่มีโต๊ะรับแขกอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายเป็นห้องครัวอันสะอาดเอี่ยมและตู้ที่ติดผนังเรียงร้าย ถัดไปด้านซ้ายคือมุมดนตรีที่มีแอมป์และกีตาร์ตั้งอยู่ และด้านขวามีพาสิชั่นกันไปสู่ห้องนอน ที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย เตียงนอนที่ยังคงรกอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว ห้องนี้นับว่าเนี๊ยบมากสำหรับวิน
   ชายหนุ่มยืนมองไปรอบๆอยู่ซักพัก ก่อนเสียงกองผ้าจะดังขึ้นทำให้เขารู้สึกตัว
   “นี่เครื่องนอน" ก้องพูด "นายนอนโซฟานี่ก็แล้วกัน"
   วินทำหน้าเหยเก พลางมองหน้าก้อง แต่เขาเบื่อแล้วที่จะต่อปากต่อคำกับเจ้าน้ำแข็งนี่ ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี
   “ห้องน้ำอยู่ทางโน้น แต่ก็คงไม่ต้องอาบกันบ่อยหรอก อากาศแบบนี้ ตู้เสื้อผ้านี่นายใช้ได้ตู้นึง" ก้องว่า "น้ำไฟ ก็ใช้ตามมารยาทที่นายควรมรก็แล้วกัน ส่วนอินเตอร์เน็ทรหัสคือจีแล้วตามด้วยเลขห้อง ถ้านายได้โต๊ะดราฟมาทำงาน ฉันให้เอาไปไว้มุมกีตาร์ตรงโน้น สงสัยอะไรอีกหรือเปล่า"
   วินถอนหายใจพลางก้มลงหยิบกองฟ้าห่มขึ้นมา แล้วเอากลับเข้าไปเก็บในตู้เสื้อผ้า พร้อมกับวางกระเป๋าตัวเองลงแล้วเริ่มจัดของ ขณะที่ก้องเดินเข้าห้องน้ำไปเอาน้ำลูบหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดที่ผ้ากันเปื้อนผูกอยู่ ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปยังมุมของห้องครัวแล้วเริ่มเปิดตู้เย็นหยิบตะกร้าผักออกมาทันที ก่อนจะเริ่มหันแครอทและผักกาดขาวด้วยมีดที่วางอยู่อย่างมีฝีมือ วินที่กำลังเก็บข้าวของตัวเองอยู่ถึงกับต้องหันมามองการกระทำของก้องที่อยู่ตรงหน้า
   เหมือนกับว่าโลกที่ถูกตีกรอบเอาไว้ด้วยบาเรียที่หนาเตอะ กั้นวินออกจากบริเวณนั้น เจ้าบาริสต้าหนุ่ม ก้มลงทำอาหารอย่างใจเย็น พลางหยิบเครื่องปรุงมากมายค่อยบรรจงเทลงไปในหม้อต้อมซุปที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยออกมาก กลิ่นแบบนี้ ถึงวินจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารแต่กลิ่นแบบนี้มันต้มยำกุ้ง อาหารไทยขึ้นชื่อที่เขามั่นใจ วินแอบมองก้องอยู่อย่างนั้นราวกับถูกมนต์สะกด ชายหนุ่มคนนี้มีเวทย์มนต์ประหลาด ขณะที่กลิ่นต้มยำเริ่มส่งกลิ่น มันก็เหมือนกับนี่เป็นยาเสน่ห์ชั้นเลิศ ลีลาการทำอาหารของก้อง มันทำให้วินรู้สึกหิวขึ้นมามากมาย ก้องยิ้มที่มุมปากขณะอยู่เหนือหม้อต้มซุป
   “ถ้าจะกิน ก็รีบเก็บของซะสิ จะได้มาช่วยกันเตรียมอาหารเย็น" ก้องพูดขึ้น
   วินรีบหันหน้าหนีทันที ไม่อยากให้ก้องรับรู้ว่าตัวเองกำลังดูเขาอยู่
   “ค..ใครบอกว่าฉันจะกอนกันเล่า" วินพูดขึ้น แต่ดูเหมือนกับว่าเสียงของเขากำลังขัดแย้งกับอีกเสียงหนึ่งที่ดังมาจาท้องของเขา เพราะความจริงก็คือ เขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ออกมาจากชาโตว์วิลแลต เขากัดฟันอย่างหัวเสียเมื่อก้องหัวเราะเบาๆ เขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่รีบเก็บข้าวของเข้าตู้เสื้อผ้า และเริ่มจัดระเบียบพื้นที่ใช้สอยของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย
   หลังจากล้างไม้ล้างมือเสร็จเรียบร้อย ก้องก็เริ่มเจียวไข่ดาวที่ฟูฟ่องลงในกระทะ วินเดินมายังที่ทำครัวตรงนั้นก่อนจะเปิดหม้อต้มยำกุ้งที่หอมกรุ่นดูภายใน เครื่องแกงต่างๆ ผักและกุ้มงลงหม้ออย่างไม่อั้น วินถึงกับขมวดคิ้วทันที
   “นี่มันต้องแพงมากเลยไม่ใช่รึไง" วินพูดเสียงเข้ม "นายไปซื้อของสดพวกนี้มาได้ยังไง"
   “นายไม่ต้องรู้หรอก" ก้องว่า "ถือซะว่าฉันเลี้ยงต้อนรับก็แล้วกัน ไปหยิบจานกับชามใหญ่ๆมาดิ อยู่ที่ตู้ตรงนั้นน่ะ"
   วินขมวดคิ้วใส่ก้องทีนึงก่อนจะเดินไปหยิบของอย่างว่างง่าย และวางลตรงหน้าของก้อง ที่ค่อยเทต้มยำกุ้งลงชามอย่างระมัดระวัง วินเดินไปอีกทางหนึ่งเพื่อตักข้าวลงบนจานเปล่าสองใบ และเดินกลับมาวางตรงกลาง ก้องใส่ไข่เจียวลงจานอีกสองใบและวางกระทะกลับเข้าที่เดิม
   “ทำอะไรๆให้คนอื่นเป็นเหมือนกันนี่" ก้องพูดขึ้น วินทำหน้าเง่อะเงิ่นก่อนจะมองจานข้าวสองใบที่อยู่ในมือของตัวเอง
   “ก...ก็จานมันมีอยู่สองใบ ถ้าไม่ใช่ของฉันกับนาย จะเป็นของหมาที่ไหนเล่า" วินพูดสวนกลับ ก้องส่ายหัวน้อยๆ พลางอมยิ้ม
   “งั้นคุณหนูครับ กรุณาหยิบกับข้าวทั้งหมดไปวางที่โต๊ะกินข้าวตรงโน้นด้วยครับ" ก้องว่าพลางทำหน้าเฉยชาใส่วิน ที่หัวเสียมาก พลางหยิบกับข้าวทุกอย่างไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
   วินมองไปบนโต๊ะที่มีการทำความสะอาดเอาไว้อย่างเลี่ยมเชี่ยม
   “นายอยู่คนเดียว ทำไมโต๊ะกินข้าวเหมือนมีคนมาใช้ตลอดเวลาเลยล่ะ" วินว่าพลางเริ่มนั่งลง
   ก้องเดินตามมาสมทบหลังจากทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
   “มีคนมากินข้าวที่นี่กับฉัน" ก้องว่า "แค่นั้นแหละ"
   วินเหลือบตาขึ้นมองก้องที่เริ่มตักอาหารกินทันทีโดยทำราวกับคำถามที่วินถามเมื่อกี้เป็นแค่ลมที่ผัดผ่านไป
   “นี่เจ้าบาริสต้า" วินว่า
   “ฉันชื่อก้อง" ก้องรีบสวนทันควัน
   “นายไม่คิดว่ามันจะแปลกไปหน่อยรึไง" วินว่า
   “อะไรแปลก" ก้องถามต่ออีก
   “ก็ฉันไม่รู้จักนาย นายก็ไม่รู้ฉัน แล้วอยู่ดีดีก็มาอยู่ด้วยกันแบบนี้" วินว่า "นายไม่คิดว่า.....”
   “คิดว่านายจะเป็นโจรน่ะเหรอ หรือนายจะคิดว่าฉันจะเป็นโจร" ก้องว่าพลางมองหน้าวิน "ก็บอกแล้วไง ว่าร้านเกล็ดหิมะ มีเอาไว้ช่วยเหลือคนไทยในปารีส นายกำลังลำบากฉันก็ต้องช่วย ไม่ต้องมีเหตุผลไว้ใจอะไรมากมาย คนไทยเหมือนกัน ก็ต้องช่วยกันดิ แค่นั้นแหละ"
   วินยังคงมองหน้าก้องอยู่อย่างนั้น ก้องเงยหน้าจากจานอาหารมามองชายหนุ่ม
   “กินซะสิ มันจะเย็นหมด" ก้องว่า "เสร็จแล้วก็เข้าไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไม่ใช่รึไง"
   “รู้แล้วล่ะน่า" วินว่าพลางตักน้ำต้มยำเข้าปาก
   และเขาก็รับรู้ทันทีว่า เขาไม่เคยทานต้อมยำที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ในประเทศไทย ความลงตัวของรสชาติเปรี้ยว เค้ม เผ็ด ผสมผสานจนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว เมื่อบวกกับไข่เจียวที่มีกลิ่นของเนยแข็งเล็กน้อย ทำให้ดูเข้ากันอย่างประหลาด เมื่ออาหารสองคำแรกไม่สามารถหยุดความอยากอาหารที่แสนจะถูกปากของเขาได้ขนาดนี้ วินจึงเข้าสู่โหมดเงียบและเริ่มจ้วงกินอาหารเย็นอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่ปริปาก แม้ว่าการฉกฉวยน้ำแกงและไข่เจียวของสองมือที่ว่องไวเป็นระวิงของวินจะทำเอาก้องตกใจถึงกับมองการกระทำของวินอยู่อย่างนั้น
   “อร่อยใช่ไหม" ก้องถามเสียงเย็น
   วินชะงักตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะมองหน้าก้อง
   “ก...ก...ก็พอกินได้" วินพยายามเมินหน้าไปทางอื่น
   “งั้นจานเดียวก็พอมั้ง" ก้องว่า
   “ไม่" วินพูดขึ้นทันที "ฉ...ฉันยังไม่อื่มอ่ะ อีกสองจานได้ป่าว"
   ก้องเท้าคางอย่างสุภาพพลางมองหน้าวินอย่างพินิจ
   “อร่อยใช่ไหม" ก้องถามเสียงเย็นอีกครั้ง
   วินหายใจเข้าลึกๆพลางขมวดคิ้ว หมอนี่มัน....
   "อืม"  เขาตอบเบาๆ พลางก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
   “ก็แค่นั้น" ก้องว่าก่อนจะลุกเอาชามไปตักต้มยำมาเพิ่ม
   “ไม่ต้องตัวลอยไปล่ะนาย" วินพูดต่อทันที "ฉันเคยกินอร่อยแบบนี้มาก่อนต่างหาก"
   เขายอมรับว่าโกหก
   “ฉันเป็นพ่อครัว" ก้องตอบขณะตักต้มยำเพิ่มอีกถ้วย "ฉันต้องการคอมเมนต์"
   “อ..อ้อ" วินว่า "ก...ก็อร่อยดี"
   ก้องพูดขณะเอาชามกลับมาให้วินอีก วินมองก้องด้วยความเสียท่าครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มทางอาหารต่อไป
   ไม่กี่นาทีต่อมาทั้งคู่ช่วยกันล้างจานหลังจากต้อมยำกุ้งหมดหม้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนพลบค่ำ วินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินตรงรี่มาที่โซฟาของตัวเองเริ่มจัดที่นอน ขณะที่ก้องก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วออกมาตรวจตราความเรียบร้อยในห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะมุ่งหน้าตรงเข้าห้องนอนของตัวเอง
   “พรุ่งนี้ตีห้าครึ่งนายต้องพร้อมแล้วนะ ห้ามสายล่ะ เราต้องไปให้ทันก่อนร้านเปิดเข้าใจไหม" ก้องว่า "แต่ถ้านายหลับเพลินยังไง เดี๋ยวแันจะออกมาปลุก ห้ามอิดออดเด็ดขาด"
   “รู้แล้วน่า" วินร้อง
   “บางทีฮีตเตอร์มันอาจจะส่งเสียงอยู่บ้าง ก็อย่าไปใส่ใจมัน" ก้องว่า "งั้นก็....ราตรสวัสดิ์....คุณหนู"
   “เออ" วินตอบห้วนๆ ขณะที่ก้องเปิดประตูห้องนอน "ขอบใจ สำหรับมื้อเย็นด้วยละกัน"
   ก้องได้ยินก่อนจะหันกลับมาหาเจ้าของคำพูดที่สุภาพที่สุดที่เพิงได้ยินเป็นครั้งแรก ก็พบเพียงร่างน้อยๆที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไปแล้วอย่างนิ่งสนิท
   ก้องหัวเราะในลำคอครั้งหนึ่งก่อนจะปิดประตูห้องนอนไป
…..........

   ฝีเท้าก้าวไปตามถนนมุ่งหน้าสู่สถาบัน Esmod อย่างเร่งรีบ วินเอามือซุกไปในกระเป่ากางเกง ขณะเดินแบกเป้ไปตามท้องถนนที่ชื้นแฉะไปด้วยหิมะ เขาออกจากร้ายเกล็ดหิมะมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว หลังจากต้องทนกับการเสิร์ฟโน่นนี่นั่นให้กับลุกค้าในร้านเกือบสามชั่วโมง แต่โชคดีที่ร้านยังมีคนมาช่วยอีกเยอะแยะเขาจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก  เขาหาเรื่องพยายามออกมาจากร้านให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ปลีกออกมาจากโลกแบบนั้นซะที โลกรอบๆตัวเจ้าบาริสต้าคนนั้น โลกที่ทำให้เขารุ้สึกเป็นตัวประหลาดและดูน่าสงสาร เพราะว่าที่ที่เขาควรจะมาคือที่นี่ต่างหาก
   สองเท้าหยุดอยู่ที่หน้า Esmod สถาบันแฟชั่นดีไซน์จุดมุ่งหมายที่เขามาถึงปารีสนี่........

   วินก้าวออกจาลิฟท์เมื่อมันหยุดอยู่ที่ชั่นสี่ เขาเดินตรงเข้าไปที่ห้องห้องหนึ่ง ที่เจ้าหน้าที่ด้านล่างให้เขามารออยู่ที่นี่ เพื่อรพบกับพี่เลี้ยงวิทยากรที่จะทำหน้าที่เป็นคนดูแลเขาไปจนจบคอร์สนี้ เขามาก่อนเวลาเล็กน้อย และนั่นทำให้เขาต้องนั่งรออย่างเบื่อหน่ายอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงประตูก็เปิดออก วินหมุนเก้าอี้หันหลังไปดู
   หญิงสาวในชุดดำสมบูทส้นสูงและเสื้อคลุมยาวสีส้ม ใบหน้าสวยคมภายใต้เส้นผมดำขลับที่เติมเมคอัพอย่างงามสง่า ดวงตาที่กรีดเอาไว้อย่างคมคายจ้องมองมาหาเขา
   “วิริยะ โสภณนภา" เธอพูดเสียงไทยชัดเจน วินถึงกับชะงักงันเล็กน้อยก่อนตะลุกขึ้นทันที
   “ครับ" วินรับคำ ขณะที่เธอทำไหล่ตกพลางยิ้มแหยๆ
   “ส่วนคัดเลือกนักเรียนไปค้นประวัติฉันมาก่อนรึเปล่านะ" เธอบ่นกับตัวเองครั้งหนึ่ง "ตามฉันมา"
   เธอเดินนำหน้าออกไปจากห้อง วินเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะเดินตามไป
   “เธอคือนักเรียนคนที่สองในโปรเจ็คร่วมของฉัน ทาง Esmod ติดต่อฉันไป และฉันก็ตอบตกลงมาทำโปรเจ็คร่วมกันกับที่นี่" เธอกล่าวอย่างฉับไว เมื่อรู้ว่าวินเป็นคนไทย เธอจึงเริ่มบ่น"เธอและนักเรียนอีกคนนึงต้องมาพบฉันวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายสองโมงที่เดอ ลา คาเฟ่ ตรงข้ามสวนสาธารณะตรงหอไอเฟล"
   “คุณเป็นคนไทยเหรอ" วินถามต่อ
   “เห็นพูดภาษาอะไรอยู่ล่ะยะ"เธอหันมาว่ากลับ "โปรเจ็คในคอร์สนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องแฟชั่นเท่านั้น แต่จะเป็นการจัดแฟชั่นโชว์ที่จะผสมผสานศิลปะที่ลงตัวระหว่างงานนาฎกรรมแบบคอนเทม และเซ็ทแฟชั่นที่ลงตัว Esmod เปิดโอกาสให้นักศึกษาป.โทเป็นผู้รับผิดชอบโปรเจ็ค และให้ฉันมาทำงานเป็นวิทยากรร่วมกับเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้"
   “งั้นก็หมายความว่าคุณกำลังทำคอร์สวิชานี้เป็นโปรเจ็คงานจริงไปด้วย" วินถาม
   “ไม่ใช่ฉัน...นายต่างหากที่ต้องทำ" เธอหันกลับมาว่า
   “โอเค ผมทำได้แน่ๆอยู่แล้ว" วินว่าพลางยิ้มเยาะ
   “หึหึ" เธอพาวินมายังห้องที่เป็นสตูดิโอสีขาว มีโต๊ะดราฟสองตัววางอยู่ โดยมีโต๊ะธรรมดาตั้งอยู่ตรงกลาง โดยรอบๆรายล้อมไปด้วยรูปถ่ายเซ้ทแฟชั่นที่แปะอยู่ที่ข้างฝา ยังไม่รวมถึงกองนิตยสารแฟชั่นที่ตั้งอยู่บนชั้นหนังสือนับสิบตู้ริมห้อง
   “คุณวิริยะ นี่ไม่ใช่งานโปรเจ้คจบปริยญาตรีนะ" เธอว่าเสียงเฉียบขาด "ดังนั้นความสนใจในเรื่องแฟชั่นร่วมสมัยเป็นเรื่องสำคัญ"
   “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมไม่เข้าใจเนื้อหาของแฟชั่นร่วมสมัยล่ะครับ" วินว่าเธอกลับ เธอส่งยิ้มเป้นประกายพลางมองวินหัวจรดเท้า เขาสะดุ้งเล็กน้อยพลางมองสภาพตัวเอง
   “ทรานสคริปต์ของเธอ เกรดวิชาศิลปะร่วมสมัยเธอได้แค่บีลบ ขณะที่โปรเจ็คของเธอ รวมเล่มรายงานวิชามีแค่หก ไม่ใช่เจ็ดบท แถมเธอยังไม่เคยลองฝึกงานกับสตูดิโอไหนๆเลยด้วยซ้ำ เธอจบออกมาเป็นเพราะเธอเรียนเอกชนและพ่อของเธอก็ช่วยเอาไว้ ฉันพลาดตรงไหนหรือเปล่า" เธอกล่าวพลางยืนเท้าเอว
   “คุณรู้ได้ยังไง" วินร้อง
   “ที่นี่คือสตูดิโอของคุณ และเพื่อนของคุณอีกคน" เธอถอนหายใจอีกครั้งเมื่อพูดถึงนักเรียนอีกคนของเธอ "เราจะมาเจอกันที่นี่ตอนบ่ายสองโมงวันพรุ่งนี้ ฉันหมายความตามคำที่พูด"
   “นี่....”
   “คุณวิริยะคะ ถ้าคุณยังสงสัยอะไรล่ะก็ ขอให้เก็บคำถามเอาไว้พรุ่งนี้จะดีกว่า วันนี้ฉันมีธุระต่อ" เธอว่า
   “ผมแค่อยากรู้ว่าคุณรู้เรื่องของผมได้ยังไง" วินว่า
   “อ๋อ..เรื่องนั้น...ก็รู้สึกว่าคุณพ่อของคุณจะแนบจดหมายมากับพอร์ทของคุณด้วยน่ะ ดิฉันก็เลยทราบว่าคุณเองเป็นลูกของนักธุรกิจชื่อดังของวงการเหมือนกัน" เธอกล่าว
   “อะไรนะ" วินว่า "พ่อผมน่ะเหรอ"
   “พ่อของคุณไม่ใช่หรือไง บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ ที่เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญให้กับวงการดีไซน์ของประเทศ" เธอว่า "คอสโม คอนเทอลิโอนี่ สาขาประเทศไทย"
   “ใช่น่ะใช่ แต่....”
   “อ๋อ เข้าใจล่ะ นี่คุณคงจะไม่รู้อะไรเลยสินะ" เธอว่าเสียงยิ้มเยาะ "ที่คุณพ่อของคุณ ส่งคุณมาที่นี่น่ะ ก็เพื่อจะให้คุณมีส่วนในการออกความเห็นกับงานที่จะเกิดขึ้นนี่ด้วย คุณถึงถูกจับโยนมาทำงานกับฉันในโปรเจ็คนี้ไง"
   “อ้ะ....”
   เหมือนอะไรบางอย่างถูกยิงเข้ามาที่สมอง
   ไม่น่าล่ะ พ่อของเขาถึงได้จัดการอะไรปุ๊บปับนัก นี่มันแผนลวงให้เขาเข้าทำงานให้พ่อนั่นเอง ที่แท้พ่อก็แค่อยากกาวิธีหลอกล่อเขาอีกแล้ว วินกัดฟันเบาๆ
   “คอสโม่ คอนเทอลิโอนี่ ตกลงที่จะร่วมทุนกับซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอล เพื่อที่จะแปลงผลงานของสุเมธ ตระกูลศิลป์ ดีไซน์เนอร์ไทยชื่อดัง ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกไงล่ะ" เธอกล่าว "ฉันจะแกล้งทำเป็นงงว่าคุณไม่รุ้เรื่องพวกนี้ก็ได้นะ ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น"
   “เปล่านะ ผมแค่"
   “เอาเถอะ งานที่ฉันอยากให้คุณทำวันนี้ก็คือ ช่วยคัดคอลเลกชั่นที่ดูน่าสนใจทั้งหมดจากนิตยสารที่กองอยู่ตรงนั้น เอาเฉพาะผลงานของซูเม่เท่านั้นก็พอ" เธอกล่าว "ก็ดีเหมือนกัน ที่คุณรู้เรื่องแฟชั่นบ้าง คุณกับฉันจะได้คุยกันรู้เรื่อง อย่างน้อยๆ เราเบิกงบอะไรไป คุณจะได้ช่วยคุยกับพ่อคุณได้บ้าง"
   “ง...งั้นเหรอครับ"
   “ค่ะ" เธอกล่าวพลางเดินตัดตรงออกไปจากสตูดิโอ "เดี๋ยวอีกซักพัก เพื่อนของคุณอีกคนก็คงมาแล้ว บอกเขาเรื่องงานที่ฉันสั่งด้วยละกัน....”
   “เดี๋ยวก่อนสิ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นนักเรียนอีกคน แล้ว..." วินหันไปหันมา "แล้ว....ให้ตายสิ คุณชื่ออะไรเนี่ย"
   “ฉันเหรอ" เธอหันกลับมาหาวินอีกครั้ง "ฉันชื่อเจนจิรา ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณวิริยะ"
   วินมองเธอจากไป พลางคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ประหลาดมาก เธอทำให้เขาไม่สามารถเอาชนะอะไรเธอได้เลย มันเหมือนกับว่า...
   ...เธอมีเวทย์มนต์อย่างนั้นล่ะ
…........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 3 : At First Sight]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-09-2012 17:22:45
ตอนที่ 4 Timeless

   “นึกว่าจะโง่ซะอีก" ก้องพูดเสียงเย็นเฉียบหลังร้านเกล็ดหิมะ ขณะที่วินตักอาหารเข้าปากทันที
   “หมายความว่ายังไงนายบารีสต้า" วินว่า
   “ก็ฉันนึกว่านายจะไปเสียตังค์ซื้ออาหารแถว Esmod กินแทนที่จะกลับมากินกับฉันที่นี่ไง" ก้องว่า
   วินสะบัดหน้าหนี
   “ฉันก็แค่ไม่อยากเสียประโยชน์เท่านั้นแหละ" วินร้อง "นายไม่ต้องมาคิดเป็นบุญคุญอะไรหรอกนะ"
   “รู้แล้วครับคุณหนู" ก้องว่าพลางลุกขึ้นจากตรงนั้น "จะกลับมากี่อีกทีกี่โมง"
   “แล้วเรื่องอะไรฉันต้องรายงานนายทุกเรื่องด้วยวะ" วินว่า
   “ขอโทษนะ ตามสัญญาเมื่อวาน นายบอกว่าจะกลับมาให้ฉันสอนชงกาแฟยังไงล่ะ" ก้องว่า "ลืมแล้วรึไง นายไม่พอใช้หรอกนะ ติปเด็กเสิร์ฟน่ะ ไม่พอหรอก"
   วินถอนหายใจอีก ให้ตายสิ แค่นี้เขาก็ปัญหาท่วมหัวพออยู่แล้ว
   “อ....เออน่า....เดี๋ยวกลับมาก็เห็นเองแหละ" วินว่าพลางรีบกินข้าวยกใหญ่ "กลับเข้าไปทำงานเหอะ เดี๋ยวก็โดนหักตังค์หรอก"
   “ไม่เป็นไรหรอก มีนายอยู่ด้วยก็เหมือนโดนหักตังค์อยู่แล้ว" ก้องพูดก่อนจะหายตัวไปในร้านก่อนที่วินจะทันได้เถียงกลับ
   “ไอ้บาริสต้า" วินพึมพำ "ถ้าฉันดีขึ้นกว่านี้ล่ะก็ นายโดนหนักแน่"
   วินบ่นอิดออดก่อนจะรีบกินข้าวกลางวันให้เสร็จ พลางรีบรุดออกจากร้านเกล็ดหิมะไปยัง Esmod ทันที
   เรื่องเมื่อเช้าทำเอาเขาครุ่นคิดอยู่นานเหมือนกัน มันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำงาน แค่เขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ มีชีวิตที่เอาแต่ทำงานหนักแบบนั้น ทอดทิ้งแม่ ทอดทิ้งครอบครัว แล้วก้มาเข้มงวดเอากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไร้สาระสิ้นดี
   คอสโม คอนเทอลิโอนี่ เป็นบริษัทเงินทุนที่สนับสนุนเงินให้กับงานสายดีไซน์มาเป็นเวลานานหลายสิบปี มันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาเลือกเรียนแฟชั่นดีไซน์ตั้งแต่แรกด้วย เพราะอย่างน้อยๆ พ่อของเขาก็จะได้ไม่ต้องมามีปัญหากับเรื่องนี้ไปอีก แต่เขาก็แอบคิดเล็กๆว่า ถ้าเรีนจบแล้ว เขาน่าจะพอหนีออกจากสังคมมของพ่อได้บ้าง เขาเบื่อกับความรู้สึกแบบเมื่อเช้า ความรู้สึกเหมือนถูกตรวจสอบ เหมือบกับว่าไม่ว่าเขาจะไปทางไหน ก็จะมีเงาของพ่อคอยตามตัวเขาอยู่ตลอดเวลา เขาอยากเป็นอิสระจากวังวนเหล่านี้มากที่สุด
   วินเปิดประตูสตูดิโอที่ชั้นสี่ที่ Esmod ก็พบกับร่างๆหนึ่งที่กำลังนั่งตัดรูปจากนิตยสารที่เขาวางกองทิ้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง ชายหนุ่มขาวตี๋ หุ่นสมส่วน หน้าตาหล่อเหลา ภายใต้หมวกไหมพรมส่งสายตามามองเขา ขณะที่วินยืนมองอยู่ครู่หนึ่งอย่างพินิจ
   “ไอ้เอิร์ธ" วินร้องเสียงหลง
   “ไอ้วิน" เอิร์ธร้องกลับ
   “มาทำอะไรที่นี่วะ" ทั้งคู่ออกเสียงพร้อมกัน ก่อนจะถลาเข้ามากอดกันทันที
   “ไอ้เหี้ยเอิร์ธ อะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าแกเป็นเด็กอีกคนในโปรเจ็คอ่ะ" วินว่า
   เอิร์ธมองหน้าวินอยู่พักนึง
   “หึหึ" เอิร์ธว่า "มิน่าล่ะ ยัยนั่นถึงได้พูดแบบนั้น"
   “ใครวะ" วินถาม
   “ช่างมันเถอะ" เอิร์ธว่า "ว่าแต่เห้ย ไม่ได้เจอกันนานมากอ่ะ นี่เรียนจบกับเค้าด้วยเหรอวะ"
   “อ้าวไอ้นี่ ก็จบดิวะ" วินว่า "กูไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ไง มึงเรียนดอมเดสที่จุฬานี่ ไหงมาต่อสาขานี่วะ"
   “เรื่องมันยาวอ่ะ" เอิร์ธว่า
   “กี่ตอน" วินถามกลับ
   “50 ตอนมั้งไอ้บ้า" เอิร์ธตอบติดตลก "คือกูมาก็มาทำโปรเจ็คนี้โดยเฉพาะนั่นแหละ มันได้ใบจบหลักสูตรด้วยไง มันน่าสนใจดี"
   “แล้วนี่พักอยู่ที่ไหนยังไงเนี่ย" วินว่า ความหวังเล็กๆแอบผุดขึ้นในใจ เขาอาจจะย้ายไปอยู่กับเอิร์ธได้ไหมนะ "เผื่อกูจะย้ายไปอยู่ด้วย"
   “คงไม่สะดวกว่ะ กุอยู่กับแฟน" เอิร์ธว่า "อยู่ชาโตว์วิลแลต"
   “อ้อ.....โห มีแฟนแล้วเหรอวะ" วินร้อง แสงแห่งความหวังดับวูบลงเขาคงไม่กลับไปวิลแลตอีกแล้ว "เออ ดีใจด้วย"
   “อืมๆ แล้วแกอ่ะพักอยู่ไหน" เอิร์ธถาม
   “อยู่ ทอร์ควิล" วินตอบสั้นๆ
   “อยุ่คนเดียวเหรอ" เอิร์ธถาม "ก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่แล้วสินะมึง พ่อมึงรวยนี่"
   “เออๆ ไม่เจอสี่ปี เล่นพ่อเล่นแม่อีกแล้วนะ" วินว่า "แต่แม่งโคตรคิดถึงเลยอ่ะ ตั้งแต่จบม.หกก็ไม่เจอเลยอ่ะ"
   “อือ กูมีปัญหากับที่บ้านเรื่องเลือกที่เรียนว่ะ" เอิร์ธว่า "ก็เลยต้องหายไปซักพักเลยอ่ะ แต่ตอนนี้โอเคแล้วล่ะ ตายห่ามัวแต่คุย เออ มาช่วยกันเลือกรูปดิ จะได้เสร็จๆ"
   “แล้วแกรู้แล้วเหรอเอิร์ธ ว่าต้องทำอะไรอ่ะ" วินว่า
   “อ๋อรุ้แล้วๆ" เอิร์ธว่า "คัดคอลเลกชั่นที่คิดว่าดีที่สุดของแบรนด์ซูแม่จากนิตยสารพวกนี้ไง"
   “รู้ได้ไงอ่ะ" วินถาม
   “อ๋อ ก็พอดีฉันเจอกับพี่เลี้ยงพวกเราแล้ว" เอิร์ธว่า "แม่ง ไม่รู้ว่าจะเจอคนนี้ ที่นี่เขาสืบประวัติกูมาก่อนป่าววะ"
   “เห้ย ทำไมมึงพูดเหมือนเขาเลยวะ" วินว่า
   “อะไรนะ" เอิร์ธร้อง
   “ก็ประโยคเมื่อกี้ที่มึงพูดอ่ะ คุณเจนเขาก็พูดเหมือนกัน" วินว่า
   “หึหึ" เอิร์ธว่า "แหงอยู่แล้ว"
   “รู้จักเขาเหรอวะ" วินว่าพลางหยิบเล่มต่อไปมาเปิดออกทันที
   “เรื่องมันยาวว่ะ" เอิร์ธตอบ
   “หลายเรื่องนะมึงเนี่ย" วินว่า
   “จริงๆแล้วมันก็เรื่องเดียวกันนี่แหละ" เอิร์ธว่า "เอางี้ดิ เลิกแล้ว ไปหาไรกินกันป่าว จะได้คุยกันไง"
   “เอาดิไปๆ" วินว่า
   ก่อนจะรู้ตัว ทั้งคู่ก็ใช้เวลาทั้งบ่ายระลึกความหลัง และช่วยกันทำงานจนเสร็จลุล่วง ท่ามกลางอดีตที่ย้อนเวลากลับมาอีกครั้งหนึ่ง
….......
   มีคนเคยบอกว่าปารีสเป็นเมืองที่เชย การวางผังเมืองที่ถือเป็นผังเมืองที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกทำให้เมืองนี้ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ปารีสจะไม่มีเวลาเดินต่อไปอีกนานเท่านาน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนหลงใหลปารีส เพราะมันสามารถทำให้เราลืมเวลาได้ และมันก็เป็นจริงอย่างนั้น
   วินและเอิร์ธเดินเตร็ดเตร่ไปบนถนนฮักโซ โดยมีเพียงกาแฟอุ่นๆกันคนละแก้วเท่านั้น
   “แล้วหลังจากนั้นกูก็มาเรียนต่อที่นี่ไง" เอิร์ธว่า
   “โห ชื่นชมแกว่ะ เอาชนะที่บ้านได้เฉียบขาดมาก" วินว่า "แล้วแฟนแกอ่ะ เขารู้หรือเปล่า เรื่องนี้"
   “รู้" เอิร์ธว่า "แต่ฉันไม่ให้เขามาช่วยอะไรเลยเว่ย ทุกๆอย่างเกิดจากการตัดสินใจของฉันเอง ว่าแต่แกเหอะ โดนส่งตัวมาแบบนี้ แกจะอยู่ไหวแน่เหรอวะ"
   “ต้องไหวดิ" วินว่า "ขนาดแกยังทำได้เลย ฉันก็ต้องทำได้เหมือนกัน"
   “อืม" เอิร์ธว่า "ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกก็แล้วกัน"
   “ขอบใจว่ะ" วินว่า
   “งั้นแยกกันตรงนี้ก็แล้วกันนะ เดี๋ยวแฟนกูมารับตรงหัวมุมถนนตรงโน้นอ่ะ" เอิร์ธว่า "พรุ่งนี้เจอกันบ่ายสอง ไปเป็นใช่ป่าวร้านที่คุณเจนเขานัด"
   “เป็นๆ แล้วเจอกัน" วินแยกกับเอิร์ธตรงแยกมุมถนน ก่อนจะหันหลังกลับเดินย้อนจากถนนฮักโซกลับขึ้นไปยังซา เดอ ลู แปง เขาเตร็คเตร่อย่างใจเย็นและรู้สึกสบายใจมากขึ้น เหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เขารู้สึกสบายใจขนาดนี้ตั้งแต่มาอยู่ที่ปารีสนี่
   เอิร์ธ เป็นเพื่อนรักของเขาสมัยมัธยมปลาย เรื่องเกรียนๆต่างๆที่วัยรุ่นชายล้วนจะสามรถตั้งก๊วนทำได้ ทั้งคูเป็นตัวตั้งตัวตีทำมาหมดแล้ว ตั้งแต่ทำวงดนตรี ทีมบาส เล่นการ์ด อาละวาดกับโรงเรียนอื่น เขากับเอิร์ธไม่เคยพลาดซักงาน มันเริ่มถึงจุดหักเหก็เมื่อตอนที่เอิร์ธ อยู่ดีดีก็เงียบขรึมขึ้นมาเฉยๆตอนขึ้นม.หก แล้วเริ่มฝึกปรือฝีมือวาดรูปและงานกราฟิคอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาไม่รู้หรอกว่าสาเหตุของมันคืออะไร เขาก็แค่ลองทำตามเอิร์ธไปเท่านั้น และเมื่อเอิร์ธตัดสินใจเรียนต่อออกแบบนิเทศศิลป์ที่มหาลัยอันดับหนึ่งของไทยด้วยคะแนนดีขนาดนั้นได้ เขาเองก็มีแค่สกิลด้านวาดรูปคนและเสื้อผ้าสวยๆที่เหลืออยู่ การกระโจนเข้าสาขาแฟชั่นดีไซน์มหาลัยเอกชนที่พ่อของเขาไม่ขัดข้องจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ นับเป็นการกลับมาเจอกันที่แปลกประหลาดสำหรับวินมากที่เดียวที่ได้เจอเอิร์ธอีกครั้งที่นี่ จากการพูดคุยกันมาตลอดบ่ายเขารับรู้ได้ว่าเอิร์ธโตขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่เหลือคราบของไอ้เอิร์ธสุดแสบอีกต่อไปแล้ว
   วินเดินไปเรื่อยๆเพื่อทบทวนตัวเอง เขาแค่อยากหนีจากชีวิตแบบนี้ก็เท่านั้น เขาเดินทางมาไกลค่อนโลกแล้ว ทำไมเขาถึงไม่สามารถหลีกหนีความเป็นจริงนี้ไปได้ซะที เลี้ยวที่หัวมุมถนนอีกครั้ง พร้อมกับร่างของายคนหนึ่งเดินข้ามฝั่งมาประกบเขา
   “ทำไมไม่ไปที่ร้าน" เสียงอันเย็นเฉียบชาดังขึ้นอีกครั้ง วินหยุดชะงักทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองข้างๆตัว ก็พบกับเจ้าบารีสต้าอีกครั้ง
   “เห้ย นาย" วินว่า พลางมองไปรอบๆตัว "นายมาได้ไงเนี่ย"
   “ตอบคำถามฉันก่อนดิ มารยาทอ่ะ" ก้องพูดเสียงเบาๆพลางเหล่มองวินด้วยหางตา
   วินกัดฟันพลางส่ายหน้า
   “ก....พอดีเจอเพื่อน ก็เลยไปหาอะไรกินกัน" วินตอบ
   “นายพามาที่ร้านก็ได้นี่" ก้องพูด
   “ตอบคำถามกลับมาดิ มารยาทอ่ะ" วินว่ากลับ เขาจะไม่ยอมเป็นลูกไล่ เจ้าน้ำแข็งนี่อีกแล้ว
   ก้องเงียบไปพักนึงพลางหันมามองหน้าวินเต็มตัว รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่โดนว่ากลับบ้าง เขาก้มหน้าลง
   “พอดีผ่านมาแถวนี้ เห็นนายก็เลยเดินตาม" ก้องว่า วินเหล่มองอย่างพินิจ "เพื่อนนายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ แล้วทำไมไม่ไปอยู่กับเพื่อนนายล่ะ"
   “นี่นายไล่ฉันเหรอ" วินร้องทันทีพลางหันไปมองหน้าก้องด้วยตาแดงก่ำ
   “เปล่า ก็แค่ถามดู" ก้องรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาที่ส่งความรู้ประหลาดออกมาจากวิน
   วินก้มหน้าลงพลางเดินออกไปตามถนนมุ่งหน้าสู่ทอร์ควิล
   ทำไมเจ้าบาริสต้านี่ต้องมาพูดแทงใจดำเขาด้วยนะ สาเหตุที่ทำให้เขาคิดทบทวนอยู่นี่ ก็เพราะว่าเป็นเอิร์ธทั้งหมด ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเอิร์ธประสบความสำเร็จแล้วอย่างนั้นล่ะ มีแฟน มีบ้าน มีที่เรียนต่อ มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ในขณะที่เขากำลังร่อนเร่ไปเรื่อยๆ พ่อไล่ออกมาให้ใช้ชีวิตเอง บ้านก็ไม่มี เงินก็ร่อยหรอ ต้องระเห็จมาอยู่กับคนแปลกหน้าที่แทบไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เอิร์ธเป็นคนที่เขารู้จักดี แต่ทว่าสี่ปีจนกระทั้งวันนี้ เขาดันไม่สามารถที่จะไปอยู่กับเอิร์ธ ได้อีกแล้ว
   เขากัดฟันกับตัวเอง เขาอยากจะหนีไปให้ไกล ไปจากปัญหาเหล่านี้ เขาไม่อยากเผชิยหน้ากับอะไรทั้งนั้น
   “ถ้าฉันมีเงินมากกว่านี้ ฉันจะไม่อยู่รบกวนนายต่อไปหรอก" วินพูดขึ้นเสียงเข้ม ขณะที่ก้มหน้าลงมองทางเท้า "ฉันไปแน่"
   “ฉันไม่ได้พูดขึ้นมาเพราะจะไล่นายหรอก" ก้องพูดขึ้น "ฉันก็แค่ถามดู ฉันรู้ว่านายไม่อยากอยู่กับฉัน เพราะถ้านายมีทางเลือกมากกว่านี้ นายก็คงไป นายพูดเอง"
   วินเงียบละเดินฟังต่อไป
   “ก็แค่เห็นว่ามีเพื่อนอยู่ที่นี่" ก้องว่า "ก็คิดว่านายอาจจะได้ไปอยู่ที่อื่นที่อยากไป"
   ยังคงไร้เสียงใดใจากวินอีก ก้องเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
   “นายไม่อยากทำงานแบบที่ฉันทำใช่ไหม" ก้องพูดขึ้น วินถึงกับหยุดเดินทันที และหันกลับมามองหน้าบารีสต้าหนุ่มด้วยสีหน้าท้าทาย "ไม่อยากอยู่ หรือมาคบค้าสมาคมกับพวกทำงานหาเช้ากินค่ำแบบนี้ใช่หรือเปล่า"
   “ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วนายจะทำยังไง" วินถาม "นายจะปล่อยฉันไปรึไง"
   “คุณหนูวินครับ" ก้องพูดเสียงเย็นเฉียบ "ผมไม่ได้ขอร้องให้คุณมาอยู่กับผมนะครับ"
   “นี่นาย นายอย่านึกว่าฉันจะไม่กล้านะ" วินพูดพลางกัดฟัน "นายอย่า....อย่าคิดนะว่า"
   “นายจะไปก็ได้ ฉันรู้ว่านายกล้า ฉันจะคืนเงินที่ให้ฉันมาเมื่อวานให้ก็ได้" ก้องว่า "แต่ฉันอยากให้นายคิดทบทวนดูดีดี ว่านายน่ะ บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองนี้เพราะอะไร"
   “อะไรของนายวะ" วินร้อง
   “นายมาปารีสเพราะอะไร" ก้องว่า
   “ก็มาเรียนต่อน่ะสิ" วินตอบ
   “เป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ" ก้องว่า "มาเรียนต่อ แต่หาบ้านก่อนเปิดเรียนวันแรกสิบสี่ชั่วโมงน่ะเหรอ"
   วินก้มหน้าลง เขาจะบอกหมอนี่ไปได้ยังไง ว่าเขาถูกพ่อส่งมาดัดนิสัย
   “ฉันจะไม่ขอให้นายทำในสิ่งที่นายไม่อยากทำ" ก้องพูด "ฉันขอให้นายทำค่สิ่งที่นายต้องทำเท่านั้นเอง และมันก็ไม่ได้ยากเลยซักนิด"
   วินหลับตาลงทันที เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับคำว่าหมดทางเลือกแบบนี้เยซักนิด
   “เมื่อเช้า นายก็อิดออดกว่าจะตื่น ประชดใส่ฉันสารพัดที่ฉันบังคับให้นายตื่นมาทำงานที่ร้าน" ก้องว่า "แต่พอนายทำเข้าจริงๆ มันก็ไม่เห็นยากเลยไม่ใช่หรือไง"
   “ใช่ แต่ฉันไม่อยากทำไงเล่า" วินว่า
   “แต่นายก็ได้เงินนะ" ก้องว่า
   “ฉันมีเงินเยอะแยะ" วินร้อง
   “เป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ" ก้องถามต่ออีก "เงินเยอะแยะเลยงั้นสินะ"
   “นี่เจ้าบารีสต้า นายหยุด....”
   “วิน" ก้องพูดชัดเจน "ฉันรู้ว่านายอึดอัด แต่นายต้องทำนะ เพื่อตัวของนายเอง"
   วินกำหมัดแน่น
   “นายทำไปก่อนเถอะ" ก้องว่า "อดทนไปก่อน แล้วนายจะรู้ว่าเวลารอบๆตัวนายจะหยุดหมุนไปโดยที่ตัวนายเองไม่รู้ตัว แล้วพอนายกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นายก็จะรู้ว่าตัวเองมีอะไรๆพร้อมมากกว่าตอนนี้มาก แล้วพอถึงตอนนั้นนายจะไปออกไปจากบ้านฉันเมื่อไหร่ก็ย่อมได้"
   วินเงยหน้าขึ้นมามองห้องอีกครั้ง
   “ฉันไม่ได้ขอให้นายอยู่กับฉัน" ก้องว่า "ฉันยืนยัน"
   วินเมินหน้าหนีอย่างครุ่นคิด พลางมองไปยังท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนในเสื้อคลุม เดินไปมาขวักไขว่ ถ้าเขาออกจากบ้านหมอนี่ตอนนี้ เขาคงต้องเจอกับอะไรอีกมากมาย และปัญหาใหม่ๆที่คาดไม่ถึงจะเกิดขึ้นกับตัวเขาหรือเปล่านะ วินหันหลับมามองหน้าก้องที่ส่งสายตาเฉยชาให้กับเขา ถ้าเขาลองแก้ปัญหาไปกับหมอนี่ ประโยชน์ก็จะได้กับตัวของเขาเองมากกว่าหรือเปล่า
   “ว่าไง จะอยู่ หรือจะไป" ก้องถามอีก
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “มันจะได้ผลใช่หรือเปล่า" วินถามขึ้นเบาๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกดูแย่เกินไปนัก "ฉันดีกว่านี้หรือเปล่า"
   “ไม่รู้" ก้องตอบ "แต่ฉันไม่ใช่คนดูถูกคน ฉันเชื่อมั่นในตัวคนอยู่แล้ว ไม่ว่าคนคนนั้นจะดูแย่แค่ไหน คนพวกนั้นต้องการแค่โอกาสแก้ตัว และสำหรับนาย ก็บังเอิญว่าฉันมีโอกาสแบบนั้นพอดี"
   วินหายใจเข้าลึกๆพลางหลับตา
   “งั้น.....โอเค" วินว่า "ฉันจะอยู่กับนาย"
   “งั้นเดี๋ยวกลับไปที่ร้าน ฉันจะเริ่มสอนนายชงกาแฟ" ก้องว่า วินทำหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาทันที "ไม่ยากหรอก ถ้านายไม่ต่อต้านน่ะนะ"
   “งั้นก็นำไปดิ" วินว่า ก้องอมยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกหน้าไปทันที
   วินขอให้คำพูดของเจ้าบาริสต้าคนนั้นเป็นจริงก็แล้วกัน หากว่าเขาอดทนเพียงเล็กน้อย เวลารอบตัวจะหยุดหมุนไปเอง เขาก็อยกให้มันเป็นอย่างนั้น
   ทั้งๆที่จริงแล้ว ปารีสเป็นเมืองที่มีมนต์ขลังของเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ลมหนาวที่พัดโชยมาตลอดปี สามารถทำให้เรื่องราวของโชคชะตาเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ เช่นเดียวกันกับวิน....
….........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 4 : Timeless]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 02-10-2012 22:41:21
ตอนที่ 5 Remove Me

   มันเป็นอย่างที่ก้องว่าจริงๆ มันไม่ได้มีอะไรยากไปซักหน่อยกับการทำงานอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะ วินก็แค่กลั้นหายใจ เดินไปเดินมา วันนึงเขาก็ได้แล้วอย่างน้อยราวๆเกือบ 1000 ยูโร และนั่นก็ทำให้เขาเริ่มมีตังค์เก็บมากขึ้นในอีกสองอาทิตย์ต่อมา ซึ่งสิ่งที่กำลังทำให้เขาประสาทเสียกลับไม่ใช่งานบริการต๊อกต๋อย กับเจ้าบาริสต้าสุดเฉยชา แต่เป็นการเรียนการสอนที่สตูดิโอใน Esmod Academy มากกว่า หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกก็คือบรรยากาศการเรียนและทำโปรเจ็คในห้องทุกๆครั้ง มักจะมีรังสีประหลาดแผ่ออกมาจากคุณเจนจิราและเอิร์ธ มันมันเหมือนกับว่าสองคนนี้รู้จักกันมานาน และมักจะมีบทสนทนาที่ทำให้วินรู้สึกแปลกใจทุกครั้ง
   “มีเหตุผลหรือเปล่าว่าทำไมเพื่อนของนายยังไม่มาน่ะ เขาไปตายหรือยังไง" เจนพูดขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาในสตูดิโอในเช้ากลางสัปดาห์ของอาทิตย์ต่อมา เอิร์ธถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ พลางมองเจนที่เดินฉับๆไปยังโต๊ะเพื่อวางของของตัวเองลง
   “ไม่รู้คับ" เอิร์ธตอบห้วนๆ
   เจนพลิกนาฬิกาข้อมือมาดูเวลา
   “ฉันจะลงไปคุยกับอาจารย์ใหญ่ที่ชั้นสามก่อน" เจนพูดขึ้น เมื่อวางแฟ้มงานของเธอลง "ฉันต้องการสตาร์บัคส์ตอนกลับขึ้นมาในอีกครึ่งชั่วโมง แล้วถ้าเพื่อนนายยังไม่มาในตอนนั้น....วันนี้ก็ไม่ต้องเรียนมันแล้ว"
   เจนจิราสะบัดตัวออกไปจากสตูดิโอ เอิร์ธเม้มปากเบาๆ
   “ทำไมหวยมาออกที่ผมวะพี่กาย พี่นัท" เอิร์ธตบโต๊ะครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น และก้าวเท้าออกจากสตูดิโอทันที
   เอิร์ธสาวเท้าวิ่งออกจาก Esmod ไปยังสตาร์บัคส์ที่อยู่ตรงหัวถนน ขณะที่เขากำลังรออยู่นั้น ก็พบกับวินที่กำลังเดินอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม เมื่อได้รับกาแฟเขาก็รีบรุดเดินตามวินไปทันที
   “ไอ้วิน หายไปไหนมาวะ" เอิร์ธร้องเมื่อสามารถเดินตามวินมาทันได้จนถึงหน้าสถาบัน
   “อ้าวโทษที พอดีวันนี้กูทำงานล่วงเวลาอ่ะ" วินว่า
   “ขึ้นไปบนสตูเดี๋ยวนี้เลย" เอิร์ธพูดเสียงแข็งพลางจ้ำอ้าวนำขึ้นไป วินตามขึ้นไปอย่างงงงัน
   เจนจิรากลับขึ้นมาในอีกครึ่งชั่วโมง พอดีกับที่เอิร์ธและวินประจำที่เรียบร้อยแล้ว เธอหยิบกาแฟขึ้นมาจิบหนึ่งครั้งก่อนจะเริ่มพูด
   “ฉันได้ดูคอเลคชั่นที่เธอสองคนคัดเลือกมาแล้ว" เจนจิรากล่าว "ถือว่าเธอสองคนก็ตาถึงในระดับนึง ดังนั้นวันนี้ ฉันก็จะเริ่มโปรเจ็คอย่างเป็นทางการซะที"
   วินและเอิร์ธหมุนเก้าอี้มาประจันหน้ากับเธอ ขณะที่เจนเริ่มปิดไฟและฉายสไลด์ของเธอ
   “แฟชั่นวีค เดือนกันยายนเหรอ" วินว่า เจนหันมามองเขาอย่างประเมิณค่า
   “ใช่ค่ะคุณวิน" เธอตอบ "ปีนี้แบรนด์ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล ต้องการทำโปรเจ็คในการจัดงานแสดงศิลปะและแฟชั่นโชว์ ที่เป็นคอนเซปต์ดั้งเดิมของแบรนด์อยู่แล้ว และเปิดตัวอย่างเป็นทางการตอนแฟชั่นวีคที่จะถึงนี้ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำงานนี้"
   “หัวข้ออะไรพี่เจน" เอิร์ธถาม
   “Coldness in Paris” เจนจิราตอบ "นี่เป็นเวิร์ดเริ่มต้น ที่ได้มา"
   วินและเอิร์ธจดลงในสมุดทันที
   “เอาล่ะ อันดับแรกที่ฉันอยากให้เธอสองคนทำคือ ลองประเมิณงานต่างๆที่ซูเม่มีอยู่ และหางานที่พอจะเป็นกรณีศึกษาได้อย่างดีที่สุดมาให้ได้ ภายในเดือนมีนาคม เราสามคนต้องย้ายสตูดิโอไปที่เซนต์เรจิส เพื่อทำงานกับทีมงานของแบรนด์ซูเม่ แต่ก่อนหน้านั้น เธอสองคนต้องจัดเซ็ทแฟชั่นมาให้ฉันดู เป็นงาน Experiment อะไรก็ได้ ที่แตกประเด็นจาก Coldness in Paris มาให้ฉันก่อน" เจนเริ่มอธิบาย
   “เซ็ทแฟชั่นจะต้องประกอบด้วยแฟชั่นโชว์หนึ่งชุด ในชุดนั้นจะต้องแตกออกเป็นสี่คอลเลคชั่นด้วยกัน" เจนว่าต่อ "เธอสามารถติดต่อฟรานเชียสก้าที่ชั้นสองเรื่องอุปกรณ์ตัดเย็บและนางแบบได้ทุกเวลา ส่วนเอิร์ธ เธอต้องทำคอนเซ็ปต์อาร์ท Visual และ Sound รวมถึง ธีม ทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกันกับแฟชั่นโชว์ของคุณวินด้วย"
   “เดี๋ยวนะ วินเขาติดต่อเรื่องอุปกรณ์ได้ แล้วผมล่ะ" เอิร์ธร้องทันที
   “ฉันเดาว่าเธอมีรายชื่อช่างภาพ ดีไซน์เนอร์ อาร์ทไดเรกเตอร์ที่ดีอยู่ในมือเธอเอิร์ธ" เจนว่า "จากประวัติผลงานระหว่างฝึกงานอันน่าทึ่งของเธอมันก็ไม่น่าจะทำให้ปัญหานี่ เพราะทีมงานเก่าของเธอน่ะ ก็ทำได้ทุกอย่าง จริงไหม"
   เจนลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที ขณะที่เอิร์ธเม้มปากอย่างหัวเสีย
   “เสก็ตทุกอย่างจะต้องเข้ารูปเล่มส่งให้ฉันในวันอังคารหน้า" เจนว่า "การคอนซัลต์จะเริ่มทุกวันเวลาหกโมงเย็นที่เดอ ลา คาเฟ่ ที่เดิม เธอสองคนจะต้องทำงานด้วยกันมากพอก่อนจะเอาอะไรๆมาส่งฉัน ฉันแจ้งทาง Esmod เรื่องสตูดิโอห้องนี้เอาไว้แล้ว เธอสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการ"
   เจนเริ่มหยิบข้าวของของตัวเองจากโต๊ะและออกเดิน
   “อีเมล์และเบอร์ติดต่อของฉันอยู่ที่โต๊ะนี่แล้ว โทรหาฉันได้หลังบ่ายสามโมงเท่านั้น" เจนว่า พลางเดินตัดตรงไปยังประตูสตูดิโอ "แล้วเจอกันวันพุธหน้าค่ะ"
   เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับการจากไปของเจนจิรา หญิงสาวที่ทำให้วินรู้สึกว่าเขาพึ่งวิ่งระยะทางไกลมาเป็นร้อยๆเมตรเมื่อกี้
   “สุดยอด" วินว่า "เธอคนนี้สุดยอดจริงๆ มาไวไปไว จัดการทุกอย่างเอาไว้เสร็จสรรพแล้วด้วย ฉันขยับตัวไม่ได้เลยอ่ะ"
   “คิดงั้นเหรอ" เอิร์ธว่า "นายแน่ใจนะว่าขยับไม่ได้อ่ะ ถามจริง"
   “เอาน่า มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอก" วินว่า
   “อย่ามามึนไอ้วิน วันนี้แกก็มาสาย" เอิร์ธว่า
   “อะไรวะเอิร์ธ นิดเดียวเอง แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วป่ะวะ" วินว่า "เรียนแบบนี้ถ้าไม่เสร็จหรือมีเหตุอะไร มันก็ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นซะหน่อย"
   “ไอ้ใช่น่ะมันใช่ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ" เอิร์ธว่า "ข้อแรกเลยนะเว่ย ฉันมีสาเหตุที่ต้องมาเรียนและทำโปรเจ็คนี้ ฉันไม่ได้แค่มาเรียนเฉยๆ ข้อสองฉันรู้จักคุณเจนจิราดี เขาไม่ใช่อาจารย์แบบที่นายคิดว่าจะเจอแบบที่มหาลัยที่ไทยแน่ๆ ผู้หญิงคนนี้น่ะ ฉันจะใช้คำว่าอะไรดีนะ.....เข้าใจยาก.....กว่าที่แกจะคิดถึงอีกเยอะไอ้วิน"
   “ขนาดนั้นเลยเหรอวะ" วินว่า
   “ถ้าแกเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉันก็คงจะบอกให้แกไปทำเรื่องเปลี่ยนคลาสซะด้วยซ้ำ แกรับมือเขาไม่ไหวแน่ๆ" เอิร์ธว่า
   “ดูถูกกันไปหรือเปล่า" วินร้อง
   “หึหึ" เอิร์ธ หัวเราะ "แต่คราวนี้ ฉันไม่ยอมให้แกไปไหนเด็ดขาด งานนี้เป็นงานที่ยากมากๆ และฉันต้องทำให้สำเร็จเท่านั้นเว่ย ถ้าแกทำพัง ฉันเด็ดหัวแกแน่"
   “เอ่อะ ไหงหวยมาออกที่ฉันวะ" วินว่า
   “ไม่รู้แหละ" เอิร์ธว่า "แกต้องทำงานนี้กับฉันให้เสร็จเท่านั้น เข้าใจหรือเปล่า"
   “พูดเหมือนมีทางเลือกอื่นแล้ว" วินพูดแหยๆ
   “รู้แล้วก็ดี งั้นไปแยกกันไปรีเสิร์ชเดี๋ยวนี้ แล้วเอาทุกอย่างมากองลงตรงกลางในอีกครึ่งชั่วโมง" เอิร์ธว่า "ทำเดี๋ยวนี้เลย"
   วินถอนหายใจพลางหันกลับไปที่มุมทำงานของตัวเอง เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดกับงานนี้เพิ่มขึ้นทีละน้อยแล้วล่ะสิ
…....
   “ประเด็นคือฉันไม่เข้าใจเรื่องที่แกบอกว่า มันเป็นมหัศจรรย์ตอนหน้าหนาวว่ะ" เอิร์ธถามขึ้นในหลังจากงานทุกอย่างเอามากองเรียงกันเรียบร้อยแล้ว "มันไม่เห็นจะมหัศจรรย์ตรงไหน"
   “กูคิดถึงพวกกำไลแล้วก็ลูกไม้" วินพยายามอธิบาย "ที่สีพื้นๆ แสดงถึงความเย็นชาแล้วก็แห้งแล้ง"
   “แต่กำไล ซูเม่เพิ่งจะใช้ไปเมื่อตอนปลายปีที่แล้วเอง" เอิร์ธว่า "งานป่าในเมืองไง"
   “งั้นก็เปลี่ยนไปใช้พวกดอกไม้แล้วก็เครื่องประดับแวววาวไหมล่ะ" วินแย้งขึ้นมา
   “ดอกไม้เหรอวิน หน้าหนาวเนี่ยนะ" เอิร์ธว่า "บรรลือโลก"
   “ก็กำลังคิดเหมือนกันว่าจะให้ไปถ่ายในแถบอุตสาหกรรมตรงนอกเมือง เพื่อให้มันเกิดความรู้สึกตรงกันข้ามกันกับความเป็นจริง" วินว่า "จะได้เห็นดอกไม้ท่ามกลางความดิบเถื่อน"
   “พอ พอ พอ" เอิร์ธยกมือขึ้นรั้งคำพูดของวินเอาไว้ "เห้ย ไอ้วิน เป็นไรของแกวะ"
   วินถอนหายใจเสียงดัง
   “แก้รอบที่สามแล้วนะ นี่แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอวะ" เอิร์ธว่า "นี่ขนาดกูเองก็ไม่แฟชั่น ยังเห็นช่องโหว่ขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าคุณเจนมาเห็นงานนี้ล่ะก็ นายเละเป็นโจ๊กแน่"
   “ก็......” วินมองลงไปในงานของตัวเอง "ฉันไม่เคยต้องทำงานแบบนี้นี่หว่า"
   “ไม่รู้แหละ" เอิร์ธส่ายหน้าพลางมองนาฬิกาของตัวเอง "เอางี้ วันนี้พอแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันใหม่ ถึงอยู่ไปนานกว่านี้ก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นหรอกกูว่า"
   เอิร์ธว่าดังนั้น ก็เริ่มต้นเก็บข้าวของของตัวเองทันที วินนั่งมองเพื่อนของเขาอยู่ได้ซักพักก็ลุกขึ้นเก็บของบ้าง
   “กูไม่รู้นะว่าอะไรหอบมึงให้มาเรียนที่นี่" เอิร์ธพูดขึ้น "แต่มึงจงรู้เอาไว้ด้วยว่ากู ไม่ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มโครงงานตอนมัธยมแล้ว กูคงไม่ยอมให้มึงทำงานชุ่ยๆแน่ และกูก็ไม่สนด้วยว่ามึงจะได้ใบปริญญามาได้ยังไง"
   “พูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะเอิร์ธ" วินหันกลับมาพูดเสียงแข็ง
   “ไอ้วิน ถึงมึงกะกูจะไม่ได้เจอกันมาห้าปี แต่กูก็ยังจำสันดานมึงได้นะ" เอิร์ธว่า "มึงเคยตัดสินใจอะไรในเรื่องจริงๆจัง เองซะที่ไหน ทุกอย่างถ้ามึงไม่ตามเพื่อน มึงก็ตามพ่อมึง แล้วไอ้ที่มึงเรียนจบมาได้เนี่ย กูถามจริง พ่อมึงเล่นเส้นป่ะวะ"
   “เห้ย พูดแบบนี้มันจะไม่ดูถูกกันไปหน่อยเหรอวะ" วินร้อง "กูก็ทำอะไรๆเป็นนะเว่ย ไม่ใช่เด็กๆแล้ว เกรดที่กูจบมาก็ออกจะดี มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า"
   “กูมองตามึงก็รู้และ" เอิร์ธว่า "มึงไม่ได้ให้ความสำคัญในงานดีไซน์เลยด้วยซ้ำ ถามจริงเหอะไอ้วิน มึงมาปารีสทำไมวะ"
   “กูก็มาเรียนแฟชั่นต่อไง" วินตอบ
   “เป็นอย่างงั้นเหรอ" เอิร์ธถาม "แล้วทำงานได้แค่นี้เนี้ยนะ"

   วินรู้สึกสะดุ้งในใจอย่างประหลาด เขาโดนคำถามแบบนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว

   “ก...ก็"
   “ช่างมันเหอะ" เอิร์ธตอบ "ไปเหอะ แกกลับไปได้แล้ว"
   วินส่ายหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเดินออกจากสตูดิโอไปทันที

   บนท้องถนนที่เย็นยะเยือก ทำให้เวลารอบตัวของวินหายไปอีกแล้ว เขาอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียที เขาไม่อยากทำอะไรแล้วทั้งนั้น ทำไมคนที่อยู่รอบๆตัวเขาถึงต้องพยายามตรวจสอบเขาขนาดนี้ด้วยนะ วินก้มหน้าลงอย่างสับสน หรือคำถามนี้มันจำเป็นกับเขามากขนาดนั้นเลยหรือ เขามาที่นี่ทำไม......เขามาไกลถึงเมืองอันห่างไกลนี่ทำไม
   ร่างๆหนึ่งกระชากตัวของวินกลับขึ้นมาบนฟุตบาทอย่างรวดเร็ว ทำเอาวินแทบหยุดหายใจ ร่างๆนั้นประคองตัวของวินเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาล้ม และเขาก็พบว่าร่างๆนั้นก็คือเจ้าบาริสต้าหนุ่มนั่นเอง
   “นายทำอะไรอ่ะ" วินร้องใส่ ขณะที่ก้องพยักเพยิดไปทางซ้ายมือ รถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็วตัดผ่านหน้าไป วินใจหล่นวูบขณะที่หันกลับมามองหน้าก้องด้วยสีหน้าตกใจ
   “คนไทย ข้ามถนนจะมองขวา" ก้องว่า "ไม่รู้หรอกว่าเป็นนาย แต่ถึงเป็นใครก็ปล่อยเดินออกไปไม่ได้หรอก"
   วินสะบัดแขนก้องออกทันที
   “ทำไมถึงต้องมีนายอยู่ในทุกๆที่เลยวะ" วินร้อง "นายตามฉันป่ะเนี่ย"
   “ป..ปล่าวซะหน่อย" ก้องว่า "ร้านเราอยู่ถัดไปอีกสี่บล็อค เจอฉันเดินไปมาแถวนี้นายยังไม่เลิกแปลกใจอีกรึไง"
   “ไม่ใช่ร้านฉันด้วยซะหน่อย" วินพูดเหวี่ยงๆก่อนจะเดินนำหน้าไปยังเส้นทางเดิมๆ ไปสู่ร้านเกล็ดหิมะ ขณะที่ก้องเดินตามไปเงียบๆ วินยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาหงุดหงิดเจ้าบารีสต้านี้ สิ่งที่เขากังวลตอนนี้คือคำพูดทุกคำของเอิร์ธมันก้องอยู่ในหัว เขากำลังคิดทบทวนถึงเรื่องนี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
   เลี้ยวที่หัวมุมถนนครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น ก้องก็ดึงแขนของเขาและเริ่มออกวิ่งทันที วินที่ไม่ได้ตั้งตัว ก็เผลอโดนดึงตามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
   “นายจะพาฉันไปไหนวะเจ้าบารีสต้า ร้านมันอยู่ทางนั้นไม่ใช่รึไง" วินร้องขึ้น
   “พานายหายไปจากที่นี้พักนึง" ก้องว่า "นายอยากได้แบบนั้นไม่ใช่หรือไง"
   วินถึงกับชะงักในใจทันที หมอนี่รู้ได้ยังไงกัน วินได้แต่มองเสื้อเสว็ทเตอร์สีส้มที่ปลิวสะบัดอยู่ตรงหน้าขณะที่ตัวเขากำลังวิ่งตามก้องไป ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในใจ เหมือนกับว่าหมอนี่กำลังพาเขาไปสู่อิสระอย่างนั้นแหละ
   เขาจำไม่ได้แล้วว่าวิ่งกันมาไกลเท่าไหร่ ในที่สุด เขาก้องพามาถึงถนนริมคลองที่ตัดผ่านกลางกรุงปารีส เป็นถนนเส้นเล็กที่ตัดออกมาจากแซง ซู ปิส เลียบคลองที่ตัดออกมาจากแม่น้ำกลางกรุงปารีสอีกที นกพิราบฝูงหนึ่งกำลังบินลุกหือขึ้นจากสะพานขณะที่ก้องพาเขาเดินมาหยุดอยู่ที่สะพานข้ามคลองที่ร้างผู้คน ที่สุดปลายสะพาน เขามองเห็นวิหารแซง ซู ปิส อยู่ไกลๆ ก้องหันมายิ้มเบาๆให้วินก่อนจะกางแขนตัวเองออกพลางหันหน้าออกไปยังคลองตรงหน้า
   “ประสาท" วินว่า "อะไรของนายวะ"
   ก้องหันมาเลิกคิ้วใส่วิน
   “นายนั่นแหละ อะไร" ก้องว่า "อุตส่าห์พามาที่ดีดี ยังจะหงุดหงิดอยู่อีก ปล่อยวางได้แล้ว"
   “เพื่อ" วินว่าเสียงเข็ง แม้ว่าสายตากำลังมองไปรอบๆภาพที่สวยงามราวกับภาพวาดแบบนี้ "ฉันจะเครียดเรื่องอะไรมันก็เรื่องของฉันได้มะ"
   ถึงแม้ปากวินจะโพล่งออกไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็เท้าแขนเข้ากับสะพาน พลางมองออกไปไกล พร้อมกับลมหนาวที่พัดมาต้องหน้าเบาๆ เขาหลับตาลงซึมซับมันไปประเดี๋ยวเดียวก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง
   “มีคนบอกว่า ใครถ้าเวลาเครียดแล้วก้มหน้าลง นั่นหมายความว่าคนคนนั้น ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่กล้าตัดสินใจล่ะ" ก้องพูดขึ้น
   “เปลี่ยนจากคนชงกาแฟเป็นนักจิตวิทยาแล้วรึไงนาย" วินถามกลับ ก้องขำเบาๆ
   “มีอะไรอยากจะปรึกษาหรือเปล่า" ก้องว่า
   “ไม่สบายป่ะเนี่ย" วินถามกลับ
   “ก็ฉันเคยบอกนายแล้ว ว่าถ้านายมีอะไร ก็ปรึกษาฉันได้" ก้องว่า
   “บอกนายแล้วนายจะช่วยอะไรได้วะ" วินว่า "นายไม่รู้เรื่องของฉันซะหน่อย"
   “ก็เพราะว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรไง" ก้องว่า "มันอาจจะให้นายเห็นอะไรๆแบบที่นายไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้นะ มุมมองน่ะ"
   วินมองหน้าก้องแว้บนึงก่อนจะถอนหายใจ เขาไม่เหลือใครในเมืองนี้แล้วจริงๆ แม้แต่เอิร์ธก็ยังไ่ม่เข้าใจเขา บางทีหมอนี่ถึงจะกวนประสาท แต่ถ้ามันช่วยรับฟังอะไรได้บ้าง มันก็น่าจะดีขึ้นเหมือนกัน
   “ก้อง" วินเรียกชื่อก้องเป็นครั้งแรก "ฉันไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่ทำไม"
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบทันที วินรู้สึกอายตัวเองเหลือเกินที่ต้องพูดอะไรแบบนี้กับหมอนี่
   “ฉัน ฉันไม่รู้ฉันมาที่นี่เพื่ออะไร กำลังทำอะไรอยู่ และทำไปเพื่ออะไรว่ะ" วินพูดออกมาจากใจจริง "ฉันก็เลยหงุดหงิดน่ะ"
   “งั้นเหรอ" ก้องทวนคำ
   “ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเริ่มจากตรงไหน ฉันมองไปทางไหน มันก็มีแต่เรื่องไม่ถูกใจทั้งนั้น" วินว่า "ทั้งเรื่องที่เรียน เรื่องการเงินตอนนี้ เรื่องเพื่อน เรื่องนายก็ด้วย"
   “ฉันด้วยเรอะ" ก้องพูดเสียงเข้ม
   “ก็ใช่สิวะ" วินว่า "ทำไมตอนนี้ฉันไม่มั่นคงเลยซักอย่าง ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังต้องมาอยู่กับนาย มาขอความช่วยเหลือนายแบบนี้ นี่ฉันทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ นี่ฉันมันตกต่ำขนาดนี้เลยเหรอวะก้อง ถามจริงๆ"
   “นายคิดว่านี่คือจุดตกต่ำถึงขีดสุดในชีวิตนายแล้วเหรอ" ก้องว่า วินหันมาหาเขาทันที
   “ก็เห็นๆกันอยู่อ่ะ" วินว่า
   “งั้นเหรอ นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ" ก้องถาม "ฉันจะบอกให้นะ นายไม่ใช่คนที่ตกต่ำที่สุดที่นี่หรอก”
   “อะไรนะ” วินถาม
   “ฉันเดาว่านายคงเคยใช้ชีวิตแบบเหนือคนอื่นมาก่อนงั้นสินะ” ก้องว่า “งั้นฉันจะบอกอะไรนายให้ ที่นี่ ยังมีคนไทยอีกเยอะมาก ที่มีชีวิตลำบากกว่านาย ฉันอยู่ที่นี่มานาน ฉันเห็นคนไทยหลายคนเดินเข้าออกร้านเกล็ดหิมะคนแล้วคนเล่า คนพวกนั้น บางคนไม่มีเงินติดตัวเลยซักเหรียญ ไม่มีบ้าน ไม่มีงาน บางคนไม่แม้แต่หนังสืออนุญาติเข้าเมืองมาด้วยซ้ำ”
   วินหันมามองก้องทันที
   “นายยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่านายได้โอกาสที่คนที่นี่อีกหลายชีวิตเขาไม่มี” ก้องว่า “นายไม่พอใจที่มาอยู่กับฉัน แต่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าแล้วถ้านายไม่ได้มาอยู่กับฉันล่ะวิน นายจะไปอยู่ที่ไหน....นี่ฉันไม่ได้จะมาตำหนินายเพิ่มนะ ฉันกำลังคุยด้วยเหตุด้วยผลนะ โอเคนะ”
   วินมองหน้าก้องอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
   “นายได้ทำงานที่ร้าน ทั้งๆที่นายไม่ต้องมีใบอนุญาติ ฉันบอกว่าจะสอนนายชงกาแฟ นายจะได้มีรายได้เพิ่ม นายคิดดูสิ มีใครที่ไหนจะได้โอกาศแบบนี้ดีดีภายในคืนเดียวบ้างล่ะ” ก้องว่า "ที่นายยังทำอะไรไม่ได้เป็นจริงเป็นจัง มันมาจากตัวนายเองมากกว่า"
   วินก้มหน้าลงอีกครั้ง
   “บางครั้งคนเรามันก็หนีปัญหาไปได้ไม่ไกลนักหรอก" ก้องว่า "เพราะสุดท้ายแล้ว นายก็ต้องกลับมานั่งแก้มันอยู่ดีไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว"
   “แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าฉันทำไปเพื่ออะไร" วินว่า "ฉัน ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมฉันถึงปล่อยให้ตัวเองมาอยู่ถึงที่นี่ได้"
   “แต่ฉันว่านายหนีปัญหามา" ก้องพูดยิงเข้าอกของวินเข้าอย่างจัง เพียงเพราะเขาไม่เผชิญหน้ากับพ่อในวันนั้น นั่นทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ "และนั่นทำให้นายมาเคว้งอยู่ที่นี่ อยู่อย่างคนที่ไม่มีทางเลือกแบบนี้ไงล่ะ"
   วินหันไปมองก้องอย่างไม่เชื่อหู หมอนี่พูดตรงใจเขาทุกประเด็น
   “นายรู้ดีเกินไปและ" วินว่า
   “แล้วมันจริงไหมล่ะ" ก้องว่าต่อ
   “จริง" วินตอบอย่างคนพ่ายแพ้ "ฉันไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นี่มันคือสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆหรือเปล่าด้วยซ้ำน่ะ"
   “ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการก้าวไปข้างหน้า" ก้องว่า "เพราะถึงยังไงนายก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ทำต่อไปอย่างเต็มใจดีกว่านะวิน บางทีมันอาจจะมีอะไรดีขึ้นบ้างก็ได้"
   “แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา" วินว่า "ถ้านี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ"
   “นายก็จะรู้ไง ว่านี่มันไม่ใช่" ก้องว่า "ถ้าตอนนี้นายอดทนทำเรื่องที่นายรู้สึกว่าไม่ใช่ จนผ่านมันไปได้ อย่างอื่น มันก็ไม่มีอะไรที่นายจะทำไม่ได้อีกแล้วป่ะวะ"
   วินหันหน้าไปมองก้องอย่างเต็มตา
   “คิดงั้นเหรอ" วินว่า
   “อื้อ" ก้องพยายามทำสีหน้าให้กำลังใจกับวินอย่างสุดๆ แต่วินกลับรู้สึกว่านั่นเป็นการกวนประสาทมากกว่า วินยิ้มให้ก้องทันที
   “นายนี่ก็มีความคิดดีดีเหมือนกันนี่หว่าเจ้าบารีสต้า" วินว่า
   “ก็บอกว่าชื่อก้องไงเล่า" ก้องว่า
   “เออๆ นั่นแหละ" วินว่า "เห้อ...”
   วินถอนหายใจดีจัง พลางมองออกไปยังคลองแห่งนั้น
   “ขอบใจนายมาก" วินว่า "เป็นอันว่าฉันจะลองดูก็แล้วกัน"
   “ดีแล้ว" ก้องพูดเสียงห้วนๆ "เย็นมากแล้ว กลับกันเหอะ วันนี้ฉันจะสอนนานชงกาแฟ"
   วินห่อไหล่ทันทีอย่างเบื่อหน่าย
   “ไหนบอกจะลองดูไง" ก้องว่า
   “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย นำไปดิ" วินว่า
   ก้องส่ายหน้าพลางอมยิ้มใส่วินครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามไป
   ก้องพูดถุกทุกอย่างเลย และความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขามาหลายวันแล้วก็เกิดขึ้น ความรู้สึกสบายใจ เพราะว่าที่จริงแล้ว ถึงก้องจะทำให้วินรู้สึกหมั่นไส้และหัวเสีย แต่ตั้งแต่เขาเริ่มชีวิตจริงจังที่นี่ หมอนี่เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ ยังไงซะ หมอนี่ก็คงไม่รู้ถึงความโหดร้ายของงานดีไซน์ที่เขาได้รับมา แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วว่า
   ความอบอุ่นเล็กที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นความอบอุ่นเดียวที่เขามีซะแล้ว....
…...........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 5 : Remove]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-10-2012 00:58:24
 o13

ชอบ !!
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 5 : Remove]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 03-10-2012 18:13:20
ตอนที่ 6 Fighting

   การพรีเซนต์งานรอบที่สามของกลางเดือนมกราคมคลืบคลานผ่านมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าวินจะหมดค่าใช้จ่ายไปกับการทำพรีเซนต์ การปรินท์งาน และค่าตัวอย่างเสื้อผ้า เขาก็สามารถบริหารมันได้อย่างฉิวเฉียดเต็มที และที่ต้องเต็มใจขอบคุณอย่างจริงจัง ก็คือเพื่อยร่วมชายคาของเขา เจ้าบาริสต้าก้อง ที่ช่วยเขาบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างจวนตัวพอดีเป๊ะ วินยอมรับว่าชีวิตรัดเข็มขัดแบบนี้ค่อนข้างอึดอัด แต่ด้วยภาระงานอันหนักอึ้งแบบนี้ มันทำให้เขาไม่มีช่องว่างที่จะให้เงินที่มี ไหลไปสู่อย่างอื่นได้เลย
   วันนี้เจนจิรานัดการดูคอเลกชั่นครั้งที่สามที่ห้องตัดเย็บชั้นสามของ Esmod เขาและเอิร์ธ ต้องจัดแฟชั่นโชว์อย่างง่ายๆหนึ่งชุดพร้อมกับพรีเซนต์ต่อหน้าเจนจิราและวิทยากรรับเชิญที่จะมาร่วมกันตัดสินชะตาในโปรเจ็คแรกของการเรียน เขายอมรับว่ากังวลมาก และนั่งเตรียมพรีเซนต์ทั้งคืน แลรุดหน้ามาที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้า เขาขอทางร้านเกล็ดหิมะหยุดงานช่วงเช้าหนึ่งวัน ซึ่งก้องเองก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าทำข้ามกล่องมาให้เขาทานอีกด้วย
   “ฉันอยากให้นายเต็มที่กับวันสำคัญแบบนี้" ก้องว่า "สู้ๆก็แล้วกัน"
   แม้ว่าเอิร์ธจะไม่ได้บอกว่าตัวเองตื่นเต้น แต่ทว่าวันนี้วินเห็นเอิร์ธเดินวนไปวนมาในห้องตัดเย็บอย่างเป็นกังวลมาก ทำเอานักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังเย็บปัก ต้องจัดหาเก้าอี้มาให้เอิร์ธนั่ง เพื่อไม่ให้เขารบกวนสมาธินักเรียนคนอื่นๆ และเมื่อเจนจิรามาถึง เขาและเอิร์ธก็ถึงกับตกตะลึง เพราะเธอขนเอากองทัพดีไซน์เนอร์หลายๆคนตามมาด้วย เขาและเอิร์ธมองหน้ากันแหยๆครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น
   “สวัสดีครับพี่เจน" เอิร์ธเริ่มทักทายก่อน พลางเดินเข้าไปหาเธอ
   “ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม" เจนถามกลับพลางมองไปรอบๆ
   “เรียบร้อยครับแล้ว...” เอิร์ธมองไปยังกลุ่มคนที่เดินตามเจนจิราที่กำลังจับจองที่นั่งเพื่อรอพรีเซนต์เหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง
   “เขาไม่มา" เจนพูดกับเอิร์ธ "เขาไม่ว่าง ไปเตรียมพรีเซนต์เถอะ"
   “ครับ" เอิร์ธก้มหน้าลง ก่อนจะเดินกลับไปยังแผงควบคุมที่วินยืนอยู่ตรงนั้น
   “เป็นไรป่ะวะ" วินถาม "ยุกยิกพิกล"
   “ไม่มีอะไรอ่ะ" เอิร์ธว่าเสียงเข้ม "เดี๋ยวฉันจะพรีเซนต์วิชั่ว ก่อน แล้วหลังจากนั้นแกก็ปล่อยตัวนางแบบออกมาเลยนะ แล้วเวลาพรีเซนต์อ่ะขอเป็นภาษาอังกฤษเลย"
   “โอเค" วินรับคำ ก่อนที่เอิร์ธจะปิดไฟมืดลง
   เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่การแสดงผลงานของเอิร์ธและวินดำเนินไป ท่ามกลางการดูงานของเหล่าบรรดาดีไซน์เนอร์ที่ต่างก็จับตาพินิจงานของทั้งคู่อย่างเอาเป็นเอาตาย และเมื่อการแสดงจบลง เอิร์ธและวินก็ต่างออกมายืนตรงหน้าเหล่าดีไซน์เนอร์ของเจนจิรา
   เธอหันไปคุยกับคนข้างๆสองสามคำ ขณะที่ทุกๆคนดูท่าทางจะมีความเห็นกับโชว์ที่เพิ่งผ่านมาอย่างเผ็ดร้อนพร้อมกับค่อยๆทยอยออกจากห้องตัดเย็บไป เหลือเพียงเจนจิราและเพื่อนของเธอสองคนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหน้า ขณะที่วินและเอิร์ธมองหน้ากันหน่ายๆก่อนที่เจนจิราจะกระแอมขึ้น
   เอิร์ธและวินกลับมายตัวตรงทันที
   “ฉันไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันถึงเป็นการซักซ้อมที่ดีไม่ได้" เจนจิราเริ่มพูดเป็นภาษาไทย "พวกเธอมีเวลาเตรียมตัวตั้งครึ่งชั่วโมง สับสนสิ้นดี แล้วแบบของคอเลกชั่นใบไม้ผลิที่ฉันสั่งล่ะไปไหน"
   เจนจิราหันหน้ามามองวิน เขาสะดุ้งสุดตัว
   “อยู่...อยู่..เอ่อ" วินพูดอึกอัก
   เจนจิราหลับตาลงด้วยความเหนื่ยหน่าย ก่อนจะเบนสายตามาหาเอิร์ธ
   “ส่วนของเธอ ต้องปรับสีดำลงนะ ไม่อย่างนั้นจะมืดกันทั้งโชว์แน่ๆ" เจนจิราเริ่มพูด "แต่คอนเซปต์โดยรวมถือว่าลงตัวแล้ว แต่ฉันไม่ชอบงาน Experiment ของเธอเลย สีเทากับเขียวแบบนี้"
   “Loveless....”
   “Loveless Society คอลเลคชั่นของกายสิทธิ์ เดือนธันวาคม เดือนที่แล้ว" เจนจิราพูดตัดบทของเอิร์ธ พลางลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพ "นึกว่าเธอจะใช้อะไรที่สดใหม่ได้มากกว่านี้ซะอีกนะ"
   เจนจิราแค่นเสียงดูถูกก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่เอิร์ธและวินวางเพจพรีเซนต์เอาไว้ พร้อมกับเพื่อนๆของเธอ
   “แล้วชุดทั้งหมดของโชว์ล่ะไปไหน" เจนจิราว่า วินรีบรุดไปด้านหลังห้องตัดเย็บทันที "ทำไมไม่มีใครพร้อมเลยซักคน"
   เอิร์ธเข้ามาประกบเธอทันที
   “นี่มันอะไรเนี่ย" เธอหยิบเอาเพจหน้าหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปจากคอลเลกชั่นของ Loveless Society นั่นเอง "การหากินของเก่า ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของดีไซน์เนอร์หรอกนะ"
   “การติดอยู่กับเรื่องเก่าๆก็ไม่ใช่ความเป็นมืออาชีพเหมือนกันแหละครับ" เอิร์ธพูดกลับ เจนจิราถึงหับหันมามองหน้าเด็กหนุ่ม พอดีกับที่วินเข็มเอาราวเสื้อผ้าที่ใช้โชว์มาทั้งหมด
   “ก็มาดูกัน ว่าใครจะติดกับอดีตมากกว่ากัน" เจนจิรายิ้มเยาะ พลางเดินผ่านเอิร์ธไปยังราวชุดของวิน ที่เขยิบตัวมาหาเอิร์ธทันที
   “มีอะไรกันเหรอ" วินถามเบาๆ
   “ไม่มีอ่ะ หยิบปากกาแล้วก็จดตามแล้วกัน" เอิร์ธว่าเสียงเข้ม
   “ฉันไม่ให้ผ่านหรอกนะ สำหรับโชว์วันนี้ ดีไซน์เนอร์ที่มาวันนี้ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไร ฉันต้องการโชว์ใหม่วันเดียวกันนี้ในสัปดาห์หน้า" เอิร์ธและวินรู้สึกเหมือนแก้วเจียนะไนราคาแพง ตกลงแตกตรงหน้า เขาทั้งคู่หมดเงินไปมากโขกับงานนี้ เจนจิราพูดพลางหันไปพูดคุยกับเพื่อนของเธอ "ตัวนี้ดูแย่นะฝน"
   เธอหยิบเอาเสื้อที่เขาเก็บตังค์ทั้งอาทิตย์เพื่อซื้อผ้ามาตัดออกมา วินเจ็บจี๊ดในหัวใจ ขณะที่กำปากกาแน่น
   “ก็ไม่หรอกนะ ถ้ามีแจ๊กเก็ทสีแปร๋นๆสวมทับล่ะก็ได้" เพื่อนของเจนจิราหยิบมาทาบกับตัวเอง
   “แต่มันจะดูเหมือนของ...” เจนหยิบมันกลับมา
   “ของดอลเช่ ในโวร์คฉบับเดือนกรกฎาปี 2004 เหรอ ไม่หรอก ถ้ามีเครื่องประดับที่เข้ากัน" ฝนว่า
   “แล้วเข็มขัดล่ะอยู่ไหน" เจนจิราว่า วินรีบวิ่งไปด้านหลังห้องอีกครั้ง เจนจิราเหลือกตาขึ้น "เพื่อนเธอหกล้มหัวฟาดพื้นมารึยังไง ทำไมถึงไม่พร้อมอะไรเลย"
   เอิร์ธยิ้มตอบแหยๆ ขณะที่วินวิ่งกลับมา พร้อมกับเข็มขัดสีชมพูแปร๋นสองเส้น
   “เลือกยากมากครับ" วินว่า "มันต่างกันมาก"
   เอิร์ธพ่นลมออกมาอย่างตกใจ ทั้งหมดถึงกับหันไปมองเอิร์ธทันที
   “เธอถอนหายใจอะไร" เจนจิราถาม
   “เอ่อ...” เอิร์ธมองไปยังเจนจิราและเพื่อนๆของเธอ "คือ ผมแค่ตกใจ เพราะเอ่อ...เข็มขัดสองเส้นนั้นดูเหมือนกันมากสำหรับผม"
   เจนจิราเอียงคอ
   “ผมเอ่อ....ผมอาจจะยังไม่ค่อยชินงานดีไซน์พวกนี้" เอิร์ธว่า
   “พวกนี้งั้นเหรอ" เจนจิรา พลางแค่นเสียงหัวเราะ ไปพร้อมๆกับเพื่อนๆของเธอ วินส่ายหน้าน้อยๆไปให้เอิร์ธ "เธอคิดอย่างนั้นเหรอจริงๆเหรอเอิร์ธ งั้นฉันจะบอกอะไรให้ก็แล้วกัน"
   เจนจิราพูดพลางหยิบเข็มขัดจากมือวินมาลองคาดที่ชุดนั้น
   “เธอ ดีไซน์เนอร์น้องใหม่ไฟแรง ที่อยากจะท้าทายตัวเอง ไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิม เพื่อตามอะไรบางอย่างให้ทัน จับพลัดจับผลูเข้ามาเรียนในคลาสของฉัน คลาสแฟชั่นที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเธอเลย เพื่อประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่า เธอเริ่มเอาจริงเอาจังและมองเรื่องดีไซน์แตกฉาน ซะจนไม่สนว่าเนื้อหาของคลาสนี้จะเป็นยังไง" เจนจิราว่าพลางหยิบหมวกใบเก๋มาประกบเข้ากับชุดอีกใบ "ที่นี่ไม่ใช่แค่งานดีไซน์ที่หาคอนเซปต์ หาไอเดีย ทดลองทำ แล้วจบเหมือนงานที่เธอเคยทำมา แต่มันคืองานที่จำเป็นจะต้องคิดให้เร็ว คิดถี่ถ้วน คิดให้ไว และที่สำคัญ ต้องสวยงาม......ฉันต้องใช้แจ๊กเก็ทอีกตัว"
   “ได้คับ" วินรับคำก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้ามุมห้อง
   “ที่เธอไม่รู้ก็คือ งานแฟชั่น มันก็คือการประมวลผลลัพธ์ของงานแบบที่เธอเคยทำมาแล้วในเวลาอันแสนสั้นของชีวิตดีไซน์เนอร์หน้าใหม่อย่างเธอ ให้กลายเป็นเงินมูลค่ามหาศาล และงานฝีมืออีกนับไม่ถ้วน น่าเศร้าที่เธอได้พยายามทำตัวเองให้ดูเหมือนว่าจะแตกฉานกับเรื่องดีไซน์แบบนี้ ทั้งที่แท้จริงแล้ว เธอก็ไม่ได้รู้ดีไปกว่าเพื่อนของเธอคนนี้" เจนจิรามองหน้าเอิร์ธพลางยิ้มกว้าง "หรือมากไปกว่าทีมฝีมือดีที่เธอเคยทำงานด้วยมาด้วยซ้ำ ทั้งๆที่มันก้เป็นแค่....เรื่องพวกนี้ อย่างที่เธอว่าน่ะนะ"
   เอิร์ธกัดฟันกรอดขณะมองเจนจิราเดินกลับไปยังราวชุดเสื้อผ้าของเธอ
….................
   “ไม่ๆ แต่ประเด็นมันคือฉันแค่ไม่เข้าใจ แล้วก็มองไม่เห็นความต่างของเข็มขัดสองเส้นที่นายถืออยู่เว่ยวิน" เอิร์ธโวยวายเสียงดังกลางร้านเกล้ดหิมะในเวลาเย็นของวันนั้น ขณะที่วินนั่งฟังพลางถอนหายใจ พร้อมกับก้องที่เดินมานั่งลงที่โต๊ะด้วยอีกคนพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มของตัวเอง "ไม่เข้าใจว่ายัยนั่นต้องการอะไรกันแน่"
   “มันต่างกันที่ที่การตัดเย็บแล้วก็เดินตะเข็บ" วินว่าเสียงเหนื่อยหน่าย "นายก็ไม่น่าจะโพล่งออกไปเลย ไหนว่ารู้จักเขาดีไง"
   “รู้น่ะรู้ แต่ไม่รู้ว่าจะร้ายขึ้นขนาดนี้" เอิร์ธว่า พลางจิบเครื่องดื่มของตัวเอง
   “เอ้อ ลืมแนะนำ นี่คือก้อง เป็นเอ่อ เฮาส์เมทของฉันเอง" วินแนะนำ เอิร์ธรีบจับมือทันทายทันที "เขาเป็นบาริสต้าของที่นี่ นายนี่น่ะทำอาหารเก่งน่าดูเลยล่ะ"
   “หวัดดี วินพูดถึงนายบ่อยๆ" ก้องว่า "ได้เจอตัวจริงซะที"
   “หวัดดี หวัดดี" เอิร์ธว่า "โทษทีนะที่มารบกวนอ่ะ"
   “ไม่เป็นไร ตามสบายเลย ร้านจะปิดแล้ว" ก้องว่า
   “เออ แม่ง เซ็งว่ะ นี่ฉันหมดไปเป็นพันเลยนะเว่ย" เอิร์ธว่า "ต้องทำใหม่ทั้งคอเลคชั่นเลยอ่ะ"
   “กล้าพูดมากไอ้เอิร์ธ" วินว่า "ของฉันหมดไปเกือบหมื่น เงินเก็บฉันทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยอ่ะ"
   “นี่อย่าบอกนะว่าที่นายทำงานมาทั้งอาทิตย์น่ะ มันสูญไปกับ" ก้องหันมาหาวิน ที่ยักไหล่ไปหาเอิร์ธ
   “สูญสิ้นไม่เหลือซักเหรียญอ่ะฮะ" เอิร์ธว่า
   “คุณเจนเค้าอะไรจากแกหรือเปล่าวะ" วินว่า "ถ้าแกล้งกันแบบนี้ ฉันซวยไปด้วยนะเว่ย ไม่เอาด้วยอ่ะ"
   เอิร์ธส่ายหน้าพลางครุ่นคิด
   “ถ้ามีอะไรกับเค้าอ่ะ ว่ากันตรงๆไม่ดีกว่าเหรอวะ" วินว่า "ปล่อยไว้แบบนี้ ฉันว่าไม่เวิร์คว่ะ"
   “แกไม่เข้าใจหรอกไอ้วิน" เอิร์ธว่า
   “งั้นลองเล่ามาดิ เผื่อจะช่วยแก้ปัญหาอะไรกันได้" ก้องว่า พลางมองหน้าเอิร์ธ ที่มองวินและก้องอย่างครุ่นคิด "นายสองคนเป็นพาร์ทเนอร์กันไม่ใช่หรือไง น่าจะช่วยกันให้จบคอร์สนี้ไปให้ได้นะฉันว่า ถ้าอาจารย์คนนี้เค้ามีปัญหา นายสองคนก็ต้องสู้ล่ะ"
   วินมองหน้าก้องอย่างไม่เชื่อหู  หมอนี่ทำตัวน่าคบขึ้นมากขนาดนี้เลยหรือนี่ หลังจากผ่านไปอาทิตย์นึง ซึ่งวินก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลกน่าดู
   “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ" ก้องว่า
   “ป..เปล่า" วินว่าพลางก้มหน้าลง เพื่อไม่ให้ก้องรู้ว่าเขากำลังมองอยู่ "เออ ไหนลองว่ามาดิ๊"
   เอิร์ธเหล่มองหน้าวินครั้งหนึ่ง
   “เรื่องมันยาวนะ" เอิร์ธว่า
   “กี่ตอน" วินต่อคำ
   “50 ตอนมั้ง ไอ้บ้า......” เอิร์ธว่า "ฉันว่าอย่าดีกว่า ไม่เป็นไรหรอก”
   “เอ๊า ทำไมอ่ะ" วินถาม
   “ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่งี่เง่ามากอ่ะดิ" เอิร์ธว่า "เอาไว้วันหลังฉันจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน วันนี้ฉันกลับก่อน"
   “ซะงั้นอ่ะ" วินร้อง "แล้วคราวนี้ฉันต้องทำยังไงล่ะวะ"
   “เอาเป็นว่าแกกับฉันต้องทำให้ยัยนั่นยอมรับงานเราให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม" เอิร์ธว่า "เราต้องทำงานให้หนักขึ้นและหนักขึ้นมากกว่านี้ และแกก็ห้ามสะเพร่าแล้วด้วย ฉันจะไม่ยอมให้ยัยนั่นมาทำให้เป้าหมายฉันเสียไปหรอก"
   “อ...โอเค" วินว่า "งั้นแล้วเจอกัน"
   “ขอบใจมากนะ ก...ก้องป่ะ" เอิร์ธว่า "ขอบใจมากสำหรับกาแฟ ยินดีที่ได้รู้จัก ไปก่อนล่ะ"
…..........
   หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา วินได้ลองใช้ชีวิตแบบที่ก้องได้แนะนำเขา ตื่นนอนตอนเช้า เพื่อเข้าไปทำงานที่ร้านเกล็ดหิมะ ตอนบ่ายไปเรียน ตกเย็นมาทำงานที่ร้านเกล็ดหิมะต่อ พร้อมกับเรียนชงกาแฟอีกครึ่งชั่วโมง เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เดินทางมาไกลพอสมควรเหมือนกันจากจุดที่ไม่เป็นอะไรเลย เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เขาสามารถเก็บเงินได้แปดพันยูโร ซึ่งแม้ว่ามันจะหมดไปกับการตัดเย็บเสื้อผ้าหมดแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาเองก็ไม่ต้องคิดทบทนอะไรมากมาย ในเมื่อที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร และผลตอบแทนที่ได้มันก็คุ้มเกินกว่าคุ้ม
   เหตุผลหลักๆที่ทำให้มันคุ้มเอามากๆก็คือเพื่อนร่วมห้องสุดเฉยชาอย่างก้อง หมอนี่ไม่เพียงแต่จะช่วยเขาในทุกๆเรื่องแล้ว แต่ก้องยังทำให้ทุกๆอย่างของชีวิตเขาสบายขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่เรื่องเงิน แต่ความเป็นอยู่ในบ้านของหมอนี่ ทำให้วินสบายเอามากๆ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน วินมีอาหารไทยรับประทานทุกวัน แต่เป็นอาหารไทยที่ได้รับการปรุงแต่งแบบใหม่ เป็นอาหารไทยที่ประยุกต์ใส่ส่วนผสมของตะวันตกที่ทำให้เขาได้ลิงชิมรสชาติใหม่ๆของมันทุกๆวัน
   เหตุผลที่สำคัญรองลงมาก็คือ ความคิดความอ่านของก้องหลายๆอย่างทำให้เขาเรียนรู้และมีสติมากขึ้น แม้ว่าความกังวลในอนาคตของตัวเองจะยังไม่จางหายไป แต่วินก็รู้ว่าตอนนี้เขาก็ต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้น เขาจะยืนนิ่งอยู่กับที่ และที่สำคัญ มันจะทำให้ก้องดูถูกเขา เพราะถ้าตัดเรื่องดีดีและอาหารอร่อยๆที่เขาได้มาจากก้อง หมอนี่เป็นคนที่มีบุคลิกที่ประหลาดมาก ก้องมักจะมองวินด้วยสายตาแปลก ทำเย็นชาใส่ และที่สำคัญ ตรวจสอบเขาตลอดเวลา และนั่นเป็นสาเหตุที่วินไม่ค่อยแฮปปี้นักกับการอยู่ที่บ้านถนนทอร์ควิลนี่
   หลังอาหารมื้อเย็นหมดลง วินนั่งทำงานอยู่กับพื้นห้องอย่างเคร่งเครียด แบบเสื้อผ้าและเวิร์คชีทมากมายกองอยู่หน้าโซฟาที่เขานอน ชายหนุ่มสวมแว่นพลางนั่งเสก็ตแบบงานต่างๆอย่างเอาเป็นเอาตาย ทันใดนั้น แก้วใบนึงก็ยื่นให้ตรงหน้า
   “อะไรอ่ะ" วินร้องถาม
   “ช็อคโกแลต" ก้องตอบห้วนๆ "กินซะ มันจะช่วยให้นายอยู่ดึกได้ทนขึ้น"
   “ขอบใจ" วินรับคำพลางยิ้มให้ก้องแว้บนึงก่อนจะรับมาดื่ม
   “ยิ้มเป็นด้วยเหรอนาย" ก้องว่าพลางเลิกคิ้ว วินถึงกับสำลักเบาๆ พลางมองหน้าก้อง
   “นี่ก้อง นายจะเลิกตรวจสอบฉันซักวันเนี่ยมันจะตายหรือไงหะ" วินว่าพลางส่ายหน้า "ฉันก็คนดิวะ ยิ้มเป็นเว่ย"
   “นายน่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอกับเจ๊ใหญ่ กับฉันที่ร้านเกล็ดหิมะนะ" ก้องว่า "นายจะดูเป็นมิตรมากขึ้น และอาจจะได้รับความช่วยเหลือเร็วกว่านี้ก็ได้"
   “แล้วฉันจะเป็นมิตรกับคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า" วินร้อง
   “แต่ฉันยังเป็นมิตรกับนายตั้งแต่วันแรกที่เจอนายเลยนะ" ก้องว่า
   “แน่ใจ ว่านั่นเรียนเป็นมิตร" วินว่า
   “ก็นายไม่เป็นมิตรกับฉันก่อนนี่" ก้องว่า
   “กวนและ" วินว่าพลางก้มลงไปทำงานตัวเองต่อ
   “วิน" ก้องพูดขึ้น
   “หืม" วินพูดขึ้น ทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้ามาจากงาน
   “ที่นายยิ้มให้ฉันแบบนี้ หมายความว่า น....นายไม่เห็นฉันเป็นคนอื่นแล้ว ใช่ป่ะ" ก้องพูดขึ้น วินเงยหน้าขึ้นมามองก้องพลางขมวดคิ้ว
   “มาไม้ไหนอีกเนี่ย" วินว่า
   “นี่ถามจริงๆ" ก้องว่า "ก็เห็นที่ผ่านมาครึ่งเดือนนี่ นายทำอย่างกะว่า ฉันเป็นศักตรูคู่อาฆาตกับนายอย่างนั้นล่ะ ฉันก็เลย กังวลว่านายอาจจะอึดอัดที่อยู่กับฉันหรือเปล่า"
   “โห" วินว่า "นี่ผ่านมาตั้งครึ่งเดือน เพิ่งจะมากังวลว่าฉันจะอึดอัดที่อยู่กับนายหรือเปล่า มันจะไม่ช้าไปหน่อยหรือครับคุณบาริสต้า"
   ก้องยิ้มเบาๆที่มุมปาก
   “ตอนนี้นายดูมีเรื่องอะไรต้องตัดสินใจ ต้องทำเยอะเกินอ่ะ" ก้องว่า "ฉันไม่อยากให้ตัวเองเป็นสาเหตุให้นายต้องมากังวลจนอะไรๆต้องล้มไปตอนนี้ ไม่งั้นตัวนายจะแย่"
   วินยักไหล่
   “ความจริงก็คือ อยู่กะนายฉันโคตรอึดอัดเลยว่ะ" วินว่า ก้องทำหน้านิ่งๆไปพักนึง "ตอนแรก ฉันก็คิดว่าจะเอาชนะนายให้ได้ ฉันจะลองสู้กับนายดูซักตั้ง เพื่อจะได้ไปจากนายให้พ้นๆให้ได้อ่ะ"
   ก้องก้มหน้าลง
   “แต่ตอนนี้ฉันว่า นายก็เข้าท่าดีนะ" วินว่า พลางยิ้มกว้าง "นายดูแลทุกอย่างให้ฉันดีเว่อร์ ถ้าไม่นับเรื่องที่นายทำตัวเหมือนพ่อฉันมากกว่าเพื่อนร่วมห้องน่ะนะ"
   “งั้นเหรอ" ก้องว่า
   “เออดิวะ" วินว่า "แต่ถ้านายไม่เข้มงวดใส่ฉันตั้งแต่วันนั้น ฉันคงไม่มีพรีเซนต์ไปส่งเขาวันนี้แน่ๆเลยว่ะ ถึงแม่งจะโดนโละก็เหอะ อย่างน้อยๆ ก็ไม่อายยัยอาจารย์คนนั้นแน่ ว่าฉันเกาะพ่อเรียน"
   “เกาะพ่อเรียนเหรอ" ก้องว่า วินถึงกับหุบปากลงทันที เขาจึงก้มหน้าลงทำงานต่อทันที
   “ม..ไม่มีอะไรหรอก" วินว่า "ไม่ต้องถามอะไรด้วย ฉันจะทำงานแล้ว"
   ก้องยิ้มน้อยๆให้วินที่กำลังกลับไปทำงานอย่างขมักเขม้น
   “ถ้า....มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยนายได้อีก ก็บอกละกัน" ก้องพูดเบาๆ "เห็นเพื่อนนายมาบ่นวันนี้แล้ว รู้สึกว่านายเองก็ใช่ว่าจะเอาเงินที่กาได้แทบตาย ไปใช้สบายๆในที่เรียนซะด้วย"
   วินหยุดฟังก้องแว้บนึง หมอนี่สงสัยประสาทกลับแน่ๆ
   “ฉันเอ่อ....ก็แค่ อยากช่วยนายน่ะ" ก้องว่า วินเงยหน้าขึ้นมามองก้องอีกครั้ง
   “ฉันว่านายป่วย" วินว่า
   “ฉันไม่ได้ป่วย" ก้องว่า "ฉันแค่.....เป็นห่วงนายก็เท่านั้น"
   วินตกใจเล็กน้อยกับคำพูดนั้น ก้องลุกขึ้นทันทีที่พูดจบคำ พลางหันหลังเดินกลับไปยังห้องตัวเอง
   “ยังมีช็อคโกแลตร้อนๆอยู่ในกาอีกหน่อย นายเอ่อ...อาจจะดื่มได้อีกสองสามแก้ว" ก้องว่า "ถ้ากินเสร็จแล้ว เอาน้ำแช่กาไว้ก็พอ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันตื่นมาล้างเอง...แล้วก็เอ่อ........อย่าลืมเปิดฮีตเตอร์ก่อนนอน เดี๋ยวจะหนาวตายเอา.......ฉัน...ไปนอนก่อน...ราตรีสวัสดิ์"
   วินแอบยิ้มให้กับตัวเองครั้งหนึ่ง หมอนี่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ความรู้สึกที่ทำให้อากาศรอบตัวดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
   ความอบอุ่นเกิดขึ้นในใจอย่างไม่ทันตั้งตัว....
….
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 6 Fighting]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 03-10-2012 22:26:40
ตอนที่ 7 Impress

   “เอาจริงๆแล้วมันก็ไม่ค่อยดีซะทีเดียวหรอกครับ" เอิร์ธพูดขึ้นท่ามกลางร้านเลอ ดา คาเฟ่ ริมสวนสาธารณะ วันนี้เจนนัดเขาออกมาพบข้างนอก ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องตื่นเช้า ซึ่งนั่นเป็นฟังค์ชั่นที่เอิร์ธไม่ค่อยจะปลื้มมากนัก
   “แต่วินเค้าก็เอางานมาให้ผมดูเรียบร้อยแล้ว" เอิร์ธพูดต่อ "นี่คือทั้งหมดที่ผมพอจะเอามาสานต่องานได้"
   เจนมองงานของวินอยู่แว้บนึงก่อนจะปิดแฟ้มงานลง และจ้องหน้าเอิร์ธอย่างเพ่งพินิจ
   “ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะพูดกับเธอ" เจนมองหน้าเอิร์ธที่เลิกคิ้วกว้าง "เรื่องเพื่อนของเธอคนนี้น่ะ"
   “วินน่ะเหรอครับ" เอิร์ธว่า
   “ใช่" เจนตอบ "ฉันจะถามได้ไหมว่า เธอกับวินรู้จักกันมานานแล้วหรือเปล่า"
   “ผมกับวิน เราเป็นเพื่อนกันสมัยมัธยมปลายครับ เพิ่งจะมาแยกกันก็ตอนที่เข้ามหาลัย" เอิร์ธเล่า "ผมไม่ได้เจอเค้าอีกเลยจนกระทั่งที่นี่"
   “แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ" เจนจิราถาม
   “ถ้าพี่เจนหมายถึงที่ Lovable Studio ก็ไม่ครับ" เอิร์ธว่าต่อ "วินเค้าไม่ได้ทำงานเลย ตั้งแต่เรียนจบ คือเขา....”
   “พ่อรวย" เจนพูดตรงประเด็น เอิร์ธจึงรีบยกตัวขึ้นทันที เขาไม่อยากอยู่ในสถานะที่กำลังนั่งขายเพื่อนตัวเอง
   “แต่วินเป็นเพื่อนที่ดีครับ" เอิร์ธว่า "เขาไม่ใช่อย่างที่คนอื่นๆเห็นหรอกครับ จริงๆแล้วเขาก็....”
   “เขาจะเป็นเพื่อนที่ดีของเธอหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ฉันอยากให้เธอมีพาร์ทเนอร์ที่ดีพอ" เจนจิราว่า "พวกเธอเหลือเวลาอีกแค่สามอาทิตย์ในการจัดการกับเซ็ทงานทั้งหมด ก่อนเราจะย้ายไปที่สตูดิโอแถวเซนต์เซอร์ปิส เธอคิดว่าเพื่อนของเธอคนนี้จะตามเธอไปไหวหรือเปล่า"
   “ทำไมพี่เจนถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ" เอิร์ธถามทันที
   “งานนี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงเอามากๆ เธอเองก็มีประสบการณ์การทำงานแฟชั่นมาน้อย คนที่พอจะพึ่งพาเรื่องแฟชั่นได้ ก็ดัน.....พึ่งไม่ได้แบบนี้ ฉันเริ่มกังวลกับการจบหลักสูตรของพวกเธอ"
   “แล้วงานของเค้าโอเคไหมครับ" เอิร์ธวกเข้าเรื่องงาน เขาไม่อยากพูดลับหลังในด้านไม่ดีเกี่ยวกับวินไปมากกว่านี้
   “สิ่งที่ฉันอยากจะเตือนเธอในแบบรุ่นพี่เตือนรุ่นน้องในวงการเลยนะเอิร์ธ ถ้าเธอริที่จะเดินตามคนที่สำคัญของเธอขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับเค้า ระดับเดียวกับชั้น ด้วยวิธีแบบนี้ คู่หูของเธอคนนี้เป็นกุญแจสำคัญ" เจนพูด "เธอไม่มีความสามารถด้านนี้มากพอที่จะไต่เต้ามาได้ ชั้นพยายามเต็มที่เพื่อจะช่วยเธอ ซึ่งตัวเลือกเดียวที่ชั้นเห็นตอนนี้ ก็วิน เพื่อนของเธอเค้ายังพอมีอะไรๆอยู่บ้าง ที่จะช่วยเธอได้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น เธอต้องดันเพื่อนของเธอให้มากกว่านี้"
   “ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาเป็นเครื่องมือในการไต่เต้าของผม" เอิร์ธว่า "โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนของผมเอง"
   “นั่นไม่ใช่ที่ฉันพูด" เจนจิราพูด
   “แต่นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการให้ผมทำคุณเจน" เอิร์ธว่า "ไม่ว่าพี่จะรู้อะไรเกี่ยวกับผมมากน้อยแค่ไหน ผมขอเลยว่าอย่าเข้ามายุ่ง หรือวางแผนอะไรๆให้กับผมทั้งนั้น"
   เจนจิราอึ้งไปเล็กน้อย
   “ผมเห็นอะไรๆมามากพอเกี่ยวกับคุณ ผมจะไม่ยอมให้เรื่องของพี่นัทกับพี่กายมาเกิดขึ้นกับผมที่นี่เป็นอันขาด" เอิร์ธว่า "ผมอยากให้ตัวเองเป็นแค่คนอื่นในสายตาของคุณ ผมไม่ต้องการการช่วยเหลือ หรืออะไรทั้งนั้นต่อให้คุณหวังดีก็ตาม ซึ่งผมก็คิดว่ามันไม่ใช่"
   “เธอไม่ไว้ใจฉันงั้นเหรอ" เจนจิราว่า "จากเรื่องทั้งหมดที่เคยผ่านมาเนี่ยนะ"
   “ผมไม่เห็นความน่าไว้ใจจากคุณ" เอิร์ธพูดตรงๆ "ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ผมขอข้อสรุปจากงานที่ผมต้องตื่นเช้ามาส่งนี่ด้วย"
   “น่าประทับใจ" เจนจิราว่าพลางกอดอกอย่างไว้ท่า "แต่ฉันไม่ให้ผ่านหรอก"
   เอิร์ธอมยิ้มที่มุมปาก
   “เธอยิ้มอะไร ไม่ผ่านนะ" เจนจิรากล่าว
   เอิร์ธหยิบเอากระดาษบรีฟงานที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทันที
   “บางทีคนที่ตัดสินงานผม อาจจะไม่ใช่คุณบ้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ" เอิร์ธว่า
   “เอิร์ธ" เจนจิราพดเสียงดัง "เธอจะทำอะไร"
   “ของานคืนด้วยครับ" เอิร์ธว่าพลางหยิบแฟ้มของตัวเองกลับทันที
   “ถ้าเธอคิดว่าจะทำอะไรโดยไม่ปรึกษาฉันก่อนละก็ ฉันขอบอกก่อนเลยนะว่า...." เจนลุกขึ้นยืนทันที
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็พี่บอกเองนี่ ว่าผมมีทีมเก่าที่ไว้วางใจได้ไม่ใช่เหรอครับ" เอิร์ธว่าพลางเดินออกจากร้านกาแฟ
   เจนจิรากัดฟันทันที
   นี่เป็นความรู้สึกแรกที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ มันมากกว่าพลังพิเศษที่เธอเคยสัมผัสได้จากดีไซน์เนอร์ไทยไฟแรงที่เธอคยพบเมื่อตอนต้นปีเสียอีก มันมากกว่านั้น...
   มันเหมือนคู่ต่อสู้ที่เสมอกัน เสมอกันในทุกๆทาง...
….....
   เสียงน้ำตกไหลเบาๆอยู่ใต้บ้านทรงโมเดนร์นที่สร้างจากไม้โอ็คสีน้ำตาล ปลูกคร่อมทางน้ำตกเล็กๆที่ไหลเอื่อยๆจากภูเขาชานเมืองวิลแลต เอิร์ธเปิดประตูบ้านเข้าไปเบาๆ พลางนั่งลงที่โซฟาในห้องโถง ห้องโถงที่เปิดกระจกให้มองเห็นภายนอกได้ หิมะที่กำลังละลาย ร่วงจากต้นไม้ ที่ค่อยๆเปิดให้เห็นสีเขียวได้บ้าง กำลังสร้างคามหมายบางอย่างให้กับเขา
   เอิร์ธนั่งกำหมัดแน่นอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแดงกำ่ด้วยความกังวล ชายหนุ่มลุกขึ้นออกเดินพลางมองไปรอบๆตัวบ้าน มีภาพศิลป์แปะอยู่บนผนังเรียงราย เข้าไปในห้องๆหนึ่ง โต๊ะดราฟไฟตัวหนึ่งตั้งอยู่ กองงานภาพถ่ายกองอยู่รอบๆโต๊ะอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบมากนัก โต๊ะริมห้องมีไอแมคตั้งอยู่หนึ่งเครื่อง ข้างคีย์บอร์ดมีทัมพ์ไดร์ฟรูปหีบและกุญแจวางอยู่ เอิร์ธเดินเข้าไปหยิบดูหนึ่งครั้ง ก่อนจะถอนหายใจ
   “หาอะไรอยู่เหรอครับสุดหล่อ" เสียงอันอบอุ่นที่สุดในโลกของเอิร์ธดังขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองร่างร่างหนึ่งที่ยืนพิงประตูอย่างไว้ท่าในเสื้อเสว็ทเตอร์สีส้มและโค้ทยาว รอยยิ้มภายใต้ใบหน้าที่คมคายส่งมาหาเอิร์ธ
   “ป...เปล่าพี่" เอิร์ธตอบ "ค...แค่จะมา...หาน่ะ"
   “เลิกคอนซัลแล้วทำไมไม่โทรหาล่ะ" เจ้าของเสียงนั้นเดินเข้ามาหาเอิร์ธ ในห้อง
   “ผมไปหาวินมาน่ะ" เอิร์ธว่า "พอดีเรามีอะไรต้องคุยกันหน่อยน่ะ"
   “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า" เสียงนั้นถามอีก
   “ไม่มีหรอก" เอิร์ธตอบ
   “จริงสินะ" ร่างนั้นขำเบาๆ “ลืมไปว่าไอ้ตัวแสบของพี่น่ะเก็บอาการเก๊งเก่ง”
   ร่างๆนั้นชี้สองนิ้วเข้าไปที่ตาของเอิร์ธ ชายหนุ่มยิ้มเบาๆก่อนจะก้มหน้าลง
   “อากาศมันหนาวไป ไฟมอดรึไงค้าบไอ้ตัวแสบ” ร่างนั้นขยี้หัวเอิร์ธเบาๆ เด็กหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองร่างนั้นด้วยสายตาที่มีความหมาย
   “พี่มิก” เอิร์ธพูด “ทำไมพี่ถึงอยากได้ชีวิตแบบนี้”
   “อะไรนะ” มิกถามกลับ
   “ผมถามว่า “ทำไมพี่ถึงอยากได้ชีวิตแบบนี้"
   “ชีวิตแบบไหนอะไรของแกวะ" มิกถามอีก
   “คือ..ผมหมายถึง ทำไม พี่ถึงเลือกชีวิตแบบนี้น่ะ แบบว่า ทำไมถึงมาที่นี่ อยู่แบบนี้" เอิร์ธถาม
   “อยู่ดีดีทำไมมาถามเรื่องนี้วะ" มิกว่า
   “ตอบกันก่อนดิ" เอิร์ธว่า
   “อืมมม ไม่รู้สิ ถ้าถามว่าทำไมพี่ถึงเลือกชีวิตแบบนี้ พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่า....ไอ้ชีวิตที่พี่อยู่เนี่ยมันเป็นแบบไหน แต่นี่มันก็ชีวิตพี่ แล้วพี่ก็มีความสุขกับที่มันเป็นแบบนี้นะ ส่วนคำถามที่ถามว่าทำไมพี่ถึงมาที่นี่ ก็เพราะอาชีพการงานมันพาพี่มาถึงตรงนี้ไง" มิกตอบ "ตาแกละ อยู่ดีดีทำไมมาถามเรื่องนี้ล่ะ"
   “ผม....เอ่อ...” เอิร์ธเม้มปากพลางครุ่นคิด "พี่มิก ถ้าเกิดว่ามีคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเลือกชีวิตแบบไหน ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมีชีวิตแบบที่เป็นอยู่ล่ะ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร"
   “ทำไมอ่ะ มันสำคัญกับเราเหรอ" มิกเลิกคิ้ว "เราไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรไม่ใช่เหรอ"
   “ผมรู้พี่" เอิร์ธมองหน้ามิกอย่างมีความหมาย "ผมรู้ดีเลยแหละ....แต่ว่าถ้าคนคนนั้นเข้ามามีความสำคัญต่อเป้าหมายเรามากๆ มันกำลังทำให้ผมเริ่มลังเลว่ะพี่"
   มิกแตะไหล่ของเอิร์ธและบีบแน่น
   “มีคนเคยบอกว่าอากาศหนาวๆมันทำให้คนเราขี้เกียจมากขึ้น" มิกว่า เอิร์ธขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "แต่พี่ว่าไม่ใช่ ถ้าคนมันขี้เกียจ มันก็อ้างไปทุกฤดูแหละ ร้อนก็ว่าเหนื่อย ฝนตกก็ว่าเฉอะแฉะ"
   เอิร์ธยิ้มเบาๆ
   “มันสำคัญที่ตัวเรา ถ้าเรามั่นคง แข็งแรงมากพอ ต่อให้อากาศมันหนาวแค่ไหน เราก็สร้างความอบอุ่นให้กับตัวเองได้" มิกว่า "ถ้าคนคนนั้นของเรา จำเป็นที่จะต้องไปกับเราจริงๆ ต่อให้เขาสร้างผลกระทบให้เรามากแค่ไหน เราก็ต้องเข้มแข็งไว้ ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างมันก็คงพังไปหมด"
   “แล้วเราจะไม่มีสิทธิเหนื่อยหรือท้อแท้บ้างเลยเหรอพี่" เอิร์ธถาม
   “ไม่มีก็บ้าแล้ว เราก็คนนะเว่ย" มิกพูด "แต่....มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบน่ะ คือ...เราก็ต้องรู้ด้วยว่าเวลาไหนควรอ่อนแอ เวลาไหนควรเข้มแข็ง ใครที่เราสามารถแสดงความรู้สึกได้เต็มที่ ใครที่เราต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้....เราไม่สามารถทำให้ทุกคนมาเข้าใจเราได้ เราต้องหาวิธีอยู่เพื่อให้เข้าใจกันและกัน นี่คือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกัน"
   “มิน่า พี่นัทกับพี่สา ถึงอยู่กับพี่มาได้ตั้งนาน" เอิร์ธว่า "พี่รู้ไหมผม...ไม่เคยมีเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานานแบบพี่เลยอ่ะ"
   “แล้วเจ้าวินล่ะ" มิกถาม
   “นั่นก็ใช่อ่ะพี่แต่ ผมกับมันก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้วอ่ะ ก็เพิ่งจะต้องมาทำอะไรๆร่วมกันก็ตอนนี้เอง" เอิร์ธอธิบาย
   “มันก็คงไม่ต่างกันหรอกพี่ว่า" มิกพูด "แล้วไอ้คนที่เราว่ากำลังมีผลกับเราเนี่ย คือเจ้าวินงั้นเหรอ"
   “ก็....ประมาณนั้นอ่ะพี่" เอิร์ธว่า "ผมกับมัน มีอะไรที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันเยอะมากเกินไปมั้งช่วงนี้"
   “ยังไงก้ดูแลตัวเองด้วยก็แล้วกันนะเอิร์ธ ช่วงนี้พี่ก็อาจจะยุ่งๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ" มิกพูดเสียงอ่อนโยน
   “ผมขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะ" เอิร์ธว่า พลางเดินออาจากมิกไป
   เขายังต้องเผชิญอะไรอีกมากที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำสำเร็จไหม
   มันจะต้องเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดของพี่มิกอยู่แล้ว เอิร์ธคิดในใจ และเขาก็จะไม่อยมให้ใครมาขัดขวางเรื่องนี้เด็ดขาด
…...............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 7 Impress]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-10-2012 00:15:44
 o13


ชอบ!!
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 7 Impress]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 04-10-2012 11:10:09
ดีใจที่ได้เจอเรื่องนี้ จะเรียกว่าภาคต่อของ "เพราะรัก......ออกแบบไม่ได้"  ได้ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 7 Impress]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 04-10-2012 11:10:47
ดีใจที่ได้เจอเรื่องนี้ จะเรียกว่าภาคต่อของ "เพราะรัก......ออกแบบไม่ได้"  ได้ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 7 Impress]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-10-2012 12:25:29
ที่ไม่ใช้ชื่อว่า "เพราะรัก....ออกแบไม่ได้ 2"

อาจจะเป็นเพราะว่า เรื่องนี้บอกเล่าประเด็นคนละอย่างกันกับ Loveless Society ค่ะ

Loveless Society พูดถึงเมืองคนไร้รัก ที่พยายามออกแบบวาดฝันความรกให้เป็นอย่างใจตัวเองต้องการ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นนั้นค่ะ

Coldness Town บอกเล่าเรื่องราวใหม่ ประเด็นใหม่ ตัวละครใหม่ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของ Loveless Society หลงมาเป็นไอจางๆ อยู่ค่ะ ตัวละครจากภาคที่แล้ว ก็ไม่ได้กลับมากันทุกตัวค่า

ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 7 Impress]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 04-10-2012 15:44:32
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงกลิ่นไอปารีสเมืองแฟชั่นมาก
ทุกๆการดำเนินเรื่องมีความน่าติดจนขนาดทิ้งหนังสือเรียนเพื่อมาอ่านเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 7 Impress]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-10-2012 16:32:00
ตอนที่ 8 Agreement

   วันเวลาแห่งการทำงานไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบง่ายนัก แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ยากลำบากขนาดนั้นสำหรับมิก ผ่านไปหลายอาทิตย์แล้วกับการปรับแก้งานทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานสุดหินกับคุณเจนจิรา หรือแม้แต่การเอาใจใส่ในรานละเอียดทุกเม็ดขึ้นมาของเอิร์ธ วินก็ยังสามารถเอาชนะปราการเหล่านั้นมาได้ไม่ยากนัก ดังนั้น เมื่อการรันทรูแฟชั่นโชว์ที่ Esmod ของเดือนเมษายนจบลงมันจึงเป็นที่พอใจของทั้งคู่มากๆ ซึ่งที่เหลือมันขึ้นอยู่กับ.....
   “ฉันจะถามเธอสองคนเป็นคำถามสุดท้าย" เจนจิรานั่งไขว่ห้างพูดกับสองหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เอิร์ธหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่วินมองหน้าเธอกลับ "พวกเธอมั่นใจนะว่านี่คืองานที่ดีที่สุด"
   วินถอนหายใจเบาๆ มันคงยังไม่ผ่านอีกครั้งแน่ๆ
   “ผมมั่นใจว่านี่คืองานที่ดีสุดของพวกเรา" เอิร์ธตอบกลับ วินหันไปมองเพื่อนรักทันที
   “โทษที เมื่อกี้เธอบอกว่า....” เจนจิราพยายามพูดต่อ
   “ผมบอกว่าผมมั่นใจว่านี่คืองานที่ดีที่สุดของพวกเรา" เอิร์ธว่า พลางมองหน้าเจนจิราอย่างท้าทาย
   “ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น" เจนจิราถามต่อ
   “เพราะตลอดเวลาหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านมาผมกับวิน เราสองคนตั้งใจทำงานนี้กันหามรุ่งหามค่ำ วินเอง งานนี้เขาก็เป็นต้นแบบของไอเดียทั้งหมดในงานนี้ ซึ่งสำหรับผมแล้ว นี่คืองานที่ดีที่สุดเท่าที่เราสองคนมีครับ" เอิร์ธพูดตอบ
   เจนจิราหันไปมองหน้าวินที่เลิกคิ้วพลางแอบเหล่มองเพื่อนรักที่ยังคงจ้องไปที่เจนอย่างมุ่งมั่น
   “งั้นก็โอเค" เจนจิรากล่าว พลางลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป
   วินมองเธอเดินจากไปอย่างงวย ก่อนจะหันกลับมา
   “แล้วไงวะ" วินร้องพลางส่ายหัวก่อนจะหันกลับมาหาเอิร์ธ "ยัยนี่เดาใจยากว่ะเอิร์ธ กูว่ากูคง....”
   “ถ้าทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทน" เอิร์ธว่าพลางเก็บแฟ้มงานของพวกเขาทั้งหมดอย่างรีบร้อน
   “อะไรของแกวะ ตอนทำงานตลอดเดือนนึงนี่ แกบอกให้ฉันทนเอาทนเอา พองานเสร็จแกบอกไม่ต้องทนแล้ว" วินร้อง
   “ช่างเหอะ ฉันไปละ" เอิร์ธว่า
   “แกจะไปไหนวะ" วินถาม "แล้ว....เอางานฉันไปด้วยทำไม"
   “เออ ขอยืมหน่อย....” เอิร์ธตอบสั้นๆพลางเดินตัดหน้าวินออกไป
   “แกจะเอางานฉันไปทำอะไรวะเอิร์ธ" วินถามขึ้น เอิร์ธหยุดชะงัก พลางหันมามองหน้าวิน
   “แกถามขึ้นมาก็ดีละ วิน กู.....ของานนี้มึงไปขายนะ ถ้ามีคนรับซื้อ กูจะคืนค่าไอเดียมึง" เอิร์ธพูดทันที
   “ด...เดี๋ยวก่อน อะไรนะ เอางานพวกนี้ไปขายเหรอ ขายใคร ขายที่ไหน ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย" วินถาม
   “มึงจะให้กูทำสัญญาด้วยหรือเปล่า" เอิร์ธถาม
   “เดี๋ยวไอ้เอิร์ธ กูตามไม่ทัน" วินร้อง "มึงจะเอางานนี้ไปขายเหรอวะ มันทำได้ด้วยเหรอวะ"
   “ทำไมเราถึงต้องให้คนคนเดียวเป็นคนตัดสินงานเราละวะ" เอิร์ธว่า
   “แต่ถ้าทำแบบนี้ คุณเจนรู้เข้าล่ะ มันจะไม่เกิดเรื่องเหรอวะ" วินว่า
   “แกสนด้วยเหรอวะ แค่แกมีเงินอยู่ที่นี่ต่อไปได้โดยไม่ต้องขอพ่อแก มันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ" เอิร์ธว่า วินรู้สึกเหมือนกับโดนต่อยเข้าที่หน้าอย่างจังกับประโยคดูถูกขนาดนี้
   “เห้ย ไอ้เอิร์ธ มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย" วินถามเสียงแข็ง "กูแค่ถามว่ามึงจะทำอะไรกับงานกู มึงจะมาเกทับกูเพื่อ?”
   “มึงก็ตอบกูมาแค่นั้น ว่าได้หรือไม่ได้" เอิร์ธตอบกลับ "อย่ามากความเลยไอ้วินกูขอ"
   “ไม่อ่ะ" วินเดินเข้ามาดึงแฟ้มของตัวเองกลับมาจากมือของเอิร์ธ "กูก็เรียนดีไซน์มาเหมือนมึงนะ เรื่องเงินมันไม่สำคัญสำหรับกูหรอก กูทำงานอยู่ร้าน Snowflake ถึงกูไม่ได้เรียน กูก็อยู่ได้ แค่เงินค่าแบบที่มึงจะเอาไปขาย มันไม่ได้ช่วยให้สถานะทางการเงินกูดีขึ้นหรอก แต่ประเด็นที่กูต้องการจากมึง ก็คือจุดประสงค์ มันไม่ใช่กูดูไม่ออกไอ้เอิร์ธ มึงกับคุณเจนมีปัญหากัน แล้วกูก็คิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่มึงต้องเล่าให้กูฟัง"
   เอิร์ธมองหน้าวินอย่างวิตกกังวล ภาพของอดีตอันวุ่นวายสมัยเรียนมหาลัยเข้ามาในหัวเต็มไปหมด จนตัวเอิร์ธเอง ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
   “ถ้ากูเล่าให้มึงฟัง สาบานมา ว่าจะไม่หัวเราะ ไม่วิจารณ์ ไม่ถามอะไรทั้งนั้น" เอิร์ธว่า
   “อ้าวไอ้นี่ แล้วถ้ากูสงสัย ก็ถามไม่ได้เลยไง" วินว่า
   “กูให้มึงถามสามข้อพอ" เอิร์ธตอบ
   “งั้นมึงนั่ง" วินว่า "เล่าที่นี่แหละ ไม่มีใครละ"
   เอิร์ธหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะกลับไปนั่งลงอีกครั้ง
   “เรื่องของกูกับคุณเจน มันไม่มีอะไรกันโดยตรงเว่ย มันเป็นเรื่องที่ผ่านคนอื่นมา" เอิร์ธว่า "มันเป็นเรื่องสมัยกูไปฝึกงานที่ Lovable Studio ตรงสุขุมวิทอ่ะ มึงน่าจะรู้จัก พ่อมึงก็เป็นหุ้นส่วนอยู่"
   “อ่าหะ" วินว่า "แล้วไงต่อ"
   “ก็มันมีโปรเจ็คที่กูเคยทำร่วมกับคุณเจนเค้า คือ...มันก็ไม่ใช่โปรเจ็คกูโดยตรงหรอก มันเป็นของพี่เลี้ยงฝึกงานกูไง แล้วกูก็ดันไปทำงานโดนใจเค้าเข้า ก็เลยมีชื่อในโปรเจ็คนี้เต็มตัว แล้วพี่ๆที่อยู่ในโปรเจ็คนั้นน่ะ ก็ดันไม่ลงรอยกับคุณเจนในเรื่องส่วนตัวเข้า มันเป็นเอ่อ เรื่องรักๆใคร่ๆกันในกองถ่ายงานอ่ะ แล้วมันก็เหมือนจบไม่ค่อยสวยกันมั้ง คือนอกจากพี่เลี้ยงฝึกงานกูมันก็ยังมีพี่อีกสองสามคนด้วยไง แล้วเค้าก็รักสามเศร้ากัน เรื่องงานเรื่องส่วนตัวปนเปกันยุ่งเหยิงไปหมด"
   “โทษทีไอ้เอิร์ธ กูยังมองไม่เห็นปัญหาอะไรเลย" วินถามพลางขมวดคิ้ว "มันเป็นเรื่องของพี่เลี้ยงฝึกงานมึง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงวะ หรือมึงไปคลุกวงในกะเค้าด้วย"
   เอิร์ธมาถึงจุดที่ตะขิดตะขวงใจจะเล่าที่สุด เค้าหลับตาลงหนึ่งครั้งพลางกัดริมฝีปากอย่างตกประหม่า
   “มึงสาบานแล้วนะ ว่าจะไม่หัวเราะ" เอิร์ธว่า
   “เออ เร็วๆดิวะ เล่ามา" วินว่า
   “พี่เลี้ยงฝึกงานกู เค้า....เป็นแฟนกู" เอิร์ธว่า
   “อ้อ" วินว่า "คลุกวงในจริง"
   “นั่นแหละ มันก็เลยกระทบกระทั่ง เกี่ยวเนื่องกันมาถึงกูไง" เอิร์ธว่า "คือถึงยังไงก็เหอะ งานนั้นมันจบสวยงาม พวกพี่ๆกูก็เลยได้โปรโมทกันหมด แล้วก็โยกย้ายตำแหน่งกัน แล้วพี่เลี้ยงฝึกงานกูก็เลยโดนย้ายงานมาอยู่ที่นี่"
   “มึงก็เลยตามเค้ามาเรียนต่อที่นี่ แล้วบังเอิญว่าคุณเจนก็ยังตามมาเป็นพี่โปรเจ็คมึงอีกสินะ" วินว่าต่อจนจบ
   “อืม ก็ประมาณนั้น" เอิร์ธตอบ
   “ประเด็นคือมึงอึดอัดว่างั้น ที่เค้าทำเรื่องมากใส่มึง" วินถาม "แต่ถ้าเป็นรักสามเศร้าจริงอย่างว่า เค้าจะมางี่เง่าใส่มึงทำไมวะ"
   “ก็บอกแล้ว ว่าเรื่องมันยาว" เอิร์ธว่า
   “เอางี้ดีกว่าเอิร์ธ กูว่านี่มันยังไม่ใช่ทั้งหมดที่กูจะเข้าใจอยู่ดี กูว่ามึงกะกูมาทำข้อตกลงกัน ว่าจะเอายังไง เพื่อจะได้ผ่านไปดีกว่า" วินว่า
   “ก็ได้ แล้วมึงจะเอายังไง" เอิร์ธถามกลับ
   “อันดับแรกกูอยากรู้ความต้องการของมึงก่อน ว่าทั้งหมดแล้ว มึงต้องการอะไร" วินว่า "แล้วมึงกะกูมาช่วยกัน ว่าจะทำยังไง ให้ความต้องการของมึงกะกูเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ที่นี่"
   “แล้วกูจะเชื่อใจมึงได้ไงไอ้วิน ถ้ามึงทำสิ่งที่กูต้องการพังล่ะ" เอิร์ธว่า "กูไม่ใช่ไม่รู้นิสัยมึงไอ้วิน ตอนม.ปลายมึงเป็นยังไง มึงก็น่าจะรู้"
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง เขากระหายความช่วยเหลือมากเหลือเกินในช่วงเวลาแบบนี้ เขาหมดเงินไปโข กับการสังเวยสงครามกันระหว่างเอิร์ธและเจนจิรา ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มันส่งผลต่อเขามากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่เขาจะทำยังไงให้เอิร์ธไว้ใจเขาได้
   คำพูดของก้องแว้บเข้ามาในหัว
   “มึงเหลือใครในเมืองนี้อีกให้ไว้ใจล่ะวะ" วินแย้งขึ้นมา "กูจะไม่ขอให้มึงทำอะไรในเรื่องที่มึงทำไม่ได้ แต่ตอนนี้มึงไม่มีใครที่จะพึ่งพิงได้แล้วนะ กูอยากพึ่งมึง กูบอกตามตรง ดังนั้น กูก็จะไม่ยอมทำให้มึงที่เป็นความหวังเดียวกับกูต้องพังไปด้วยกันเด็ดขาด"
   “มึงไปหัดพูดสวยหรูแบบนี้มาจากไหนวะ" เอิร์ธว่า
   “ช่างมันเหอะ" วินว่า "คิดซะว่าเป็นตอนที่ยกกันไปต่อยไอ้เบิร์ดห้อง 5 ร่วมกันนั่นแหละ มึงจะปล่อยให้มันมาหยามห้องเราเล่น ซ้อมไอ้นุ๊กเหมือนหมูเหมือนหมาได้ไงวะ"
   “มันไม่เห็นเหมือนกันตรงไหนเลยไอ้วิน" เอิร์ธตอบ "แล้วตอนนั้นก็โดนสุรชัยตีเรียบกันทุกคน"
   “กูไม่ได้หมายถึงผลลัพธ์ตอนนั้น กูแค่อยากให้มึงกับกูเชื่อใจกันเหมือนตอนนั้นอีกครั้งต่างหาก" วินว่า "กูให้เวลามึงคิดคืนนึง แล้วพรุ่งนี้มาเจอกันที่นี่ กูรู้ว่ามึงอยากได้งานกูไปขาย แต่กูจะไม่ให้ จนกว่ากูจะมั่นใจว่ามึงจะไม่พากูไปพังเหมือนที่มึงเอาเวลาและเงินตลอดสามเดือนของกูที่นี่ มาผลาญไปกับคุณเจน มึงตกลงหรือเปล่า"
   เอิร์ธหรี่ตามองวิน
   “มึงมีทางออกให้กูเหรอ" เอิร์ธถามอีกครั้ง
   “ก็มีพอๆกับที่มึงจะมีให้กูกลับนั่นแหละ" วินว่า "กูอาจเหลวเป๋วไม่เป็นท่าในสายตามึงไอ้วิน แต่กูดิ้นรนได้เว่ย กูจะดิ้นเท่าที่กูมีเว่ย"
   “งั้นก็ได้.....” เอิร์ธว่า "เจอกันพรุ่งนี้ 9 โมง เอางานมึงมาด้วย แบบร่างเซ็ทที่สาม มึงลงสีที กูอยากได้งานทั้งเซ้ทนั้นสมบูรณ์จริงๆ เอาแบบพร้อมขาย"
   “โอเค" วินว่า "แล้วพรุ่งนี้เจอกัน"
….....................
   “นายไปตกลงกับเค้าแบบนั้น แล้วนายจะเอาอะไรไปสู้เค้า" ก้องพูดอยากเงียบสงบ ขณะที่มองดูวินรองกาแฟออกจากเครื่องชงอย่างประณีตในตอนค่ำของวันนั้น "นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพดานของเค้าอยู่สูงแค่ไหน แล้วถ้าความต้องการนายไม่ได้เท่ากับเค้า นายจะเสียเยอะโดยใช่เหตุนะ"
   “ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็เสียเยอะอยู่เหมือนกันแหละน่า มันต่างกันตรงไหน" วินว่า "นายเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอ ว่ามาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องลุยอ่ะ......”
   “ไม่ๆ ใส่ครีมก่อนแล้วค่อยวาด........มันก็ถูก แต่ฉันอยากให้นายระวังตัวเองด้วย ถ้าแรงผลักดันเค้ามีสูง แล้วนายมีไม่ถึงเท่าเค้า จะเป็นนายเองที่จะเคว้งคว้างเมื่อไปแตะจุดนั้นได้แล้ว" ก้องพูด "นายเองก็ยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่น่ะ แล้วตอนนี้ก็ไปตกลงกับเค้าซะแล้ว"
   วินนิ่งอยู่พักนึง แม้ว่ามือจะกำลังโรยผงโกโก้ลงไปเป็นลายผิวกาแฟ มันเป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน เขาเกลียดแบบนี้ที่สุด เกลียดเวลาก้องมองเขาทะลุเข้าไปถึงข้างใน ข้างในที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรซักอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ความว่างเปล่าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ชีวิตนี้ต้องการอะไร หรือจะมีชีวิตต่อไปในรูปแบบไหน
   วินวางช้อนลง พลางเท้าแขนลงกับโต๊ะ เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่มมาแตะจมูก ความอบอุ่นเดียวที่ทำให้หัวใจพองโตคือแก้วกาแฟเล็กๆอันนี้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นก้องลุกขึ้นมามองเค้าอย่างใกล้ชิด ด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
   “เป็นอะไรหรือเปล่าวิน" ก้องถามเสียงเย็นชา
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “ฉันขอลองได้ไหมวะก้อง" วินถามกลับ "อย่างน้อยฉันจะได้พิสูจน์ตัวเองในบางเรื่อง ฉัน ฉันไม่อยากเป็นคนไม่มีอะไรในตัวเองว่ะ"
   ก้องมองหน้าวินอย่างตั้งใจ
   “มันมีแว้บนึง ที่ฉันนึกถึงนาย ที่นายบอกว่า ถ้าเรายอมก้าวผ่านสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้ไปได้ หลังจากนั้นมันก็จะไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้อีกแล้ว ฉันอยากจะลองทำมันดูเท่านั้นอ่ะ" วินว่า "มันเพิ่งเริ่มต้นเอง นายก็อย่าเพิ่งห้ามสิ มันจะยิ่งทำให้ฉันสับสน"
   “ฉันไม่ได้ห้าม ฉันบังคับนายได้ที่ไหนล่ะ" ก้องว่า
   “พูดใหม่ซิ" วินเหลือเชื่อจริงๆกับประโยคเมื่อกี้
   ก้องหัวเราะในลำคอแห้งๆ
   “ฉันแค่.....” ก้องเอามือเกาจมูกเบาๆ "เป็นห่วงนาย"
   วินเลิกคิ้วมองก้อง
   “ไม่ใช่่ว่านายก็เริ่มพอใจที่ฉันมีรายได้แล้วก็ช่วยค่าห้องนายได้หรอกเหรอ" วินว่า
   “ในหัวนายนี่มีแต่เรื่องเงินรึไงวิน" ก้องถาม
   “เหอๆ ก็นายบอกฉันเองว่ามันเป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่ที่นี่อ่ะ" วินว่า "ความจำเสื่อมเรอะ"
   ชายหนุ่มยกแก้ววางบนบาร์ทันที
   “เสร็จแล้ว" วินว่า ก้องก้มหน้าลงตรวจงานของวิน
   “สวยดี" ก้องพูดเบาๆ
   “อะไรนะ" วินว่า
   “ฉันบอกว่า นายวาดลายสวยดี" ก้องตอบ
   “อ้อ" วินรับคำ "ใช้ได้หรือยังอ่ะ ถ้าได้แล้วก็ดื่มซะ จะได้กลับบ้านกันซะที"
   “เอ่อ...ฉันว่านายดื่มเถอะ"  ก้องว่าพลางลุกขึ้น "ฉันจะไปปิดหลังร้านแล้ว"
   “โห … ทำเป็นหยิ่งนะ ทำให้แล้วไม่กินเจ้าบาริสต้า" วินร้องขณะที่ก้องเดินผ่านเขาไป
   “แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่อร่อย" ก้องตะโกนไล่กลังมา
   “จะถูกฝีมือกันไปแล้ว เจ้าบาริสต้า อาทิตย์นี้มีลูกค้าติดใจฝีมือกาแฟนฉันด้วยนะเฟ่ย" วินร้อง "ไม่กินฉันกินเองก็ได้ โธ่"
   วินยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเอง แต่ทันทีที่กาแฟแตะลิ้น เข้าก็พ่นออกมาแทบไม่ทัน เพราะมันขมเสียจนไม่รื่นคอ
   “นายไม่ได้ใส่น้ำตาลเลย มันจะอร่อยไหมล่ะ" ก้องว่าขณะเดินกลับมาอีกครั้ง
   วินมองก้องอย่างเสียท่าเล็กน้อย ก่อนจะเทกาแฟทิ้งแล้วเริ่มล้างแก้ว ขณะที่ก้องหยิบเสื้อโค้ทของตัวเองและของวินอยู่ที่หน้าร้าน วินเดินคอตกมาหาก้องที่หน้าร้าน
   “วันนี้นายทำไม่ผ่านนะ" ก้องว่าพลางยื่นเสื้อคลุมให้วิน
   “ก็แค่ลืมใส่น้ำตาลหรอกน่า ก็นายชวนคุยอ่ะ" วินร้อง ก้องยิ้มแปลกๆให้วินครั้งนึง
   “ก็หัดหาความหวานให้ชีวิตบ้างสินาย" ก้องพูด ก่อนจะปิดประตูร้านแล้ว เดินไปตามถนนกับวินท่ามกลางลมหนาวที่พัดโชยมา
….....................
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 7 Impress]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 04-10-2012 16:45:20
ชอบค่ะ อุ่นมากๆ
วินดูมีความรับผิดชอบมากขึ้น ดูมีสิ่งที่พัฒนาเรื่อยๆ

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 8 Agreement]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 04-10-2012 16:51:01
หาความหวาน เค้าจะใส่น้ำตาลแล้วใช่ปะๆ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 8 Agreement]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-10-2012 18:38:53
ตอนที่ 9 No More No Less
   
   วันรุ่งขึ้น วินมาถึงสตูดิโอก่อนเวลานัดหนึ่งชั่วโมง เขาขอลางานตอนเช้าจากร้านเกล็ดหิมะออกมาด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องเข้ามาจัดการเรื่องเรียน ถึงแม้ว่าก้องจะดูออกว่าวินไม่ได้มาด้วยเหตุผลนั้น แต่ในตอนเช้า ก้องกลับช่วยพูดกับเจ๊ใหญ่ให้วินออกมาก่อนเวลาได้ซะอย่างนั้น วินเองก็ส่งสายตาขอบใจให้เป็นนัยๆ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือได้รับเพียงความเฉยชากลับคืนมา
   ที่สตูดิโอของ Esmod ว่างเปล่า เสียงเครื่องปรินท์ดังออดๆอยู่ข้าง วินกำลังนั่งแบบร่างลงสีที่นั่งทำในคอมพิวเตอร์เมื่อคืนสั่งพิมพ์ออกมาอย่างใจเลื่อนลอย พลางคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองจะต้องคุยกับเอิร์ธวันนี้   เอิร์ธกำลังล้ำเล้นบางอย่างกับเจนจิรา ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม วินกลายเป็นเครื่องมือชิ้นเอกของสงครามนี้ไปเสียแล้ว เขานั่งคิดมาตลอดคืนว่า เขาควรจะให้งานของตัวเองไปกับเอิร์ธหรือไม่
   เสียงเครื่องปรินท์เงียบลง ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ วินเดินไปหยิบกระดาษออกมาจากเครื่องปรินท์ ขณะที่ประตูสตูดิโอเปิดออกพอดี ใบหน้าของเอิร์ธโผล่เข้ามา ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
   “ขอบโทษที่กูมาสาย" เอิร์ธว่า
   “ไม่เป็นไรอ่ะ กูออกมาเช้าเอง" วินว่า พลางวางกระดาษที่ปรินท์ลงบนโต๊ะกลางห้อง เอิร์ธก็นั่งลงตาม พลางมองงานของวินที่กองอยู่ตรงหน้า ขณะที่วินมองเอิร์ธอย่างสงบนิ่ง
   “สวยดีนะ งานมึงเนี่ย" เอิร์ธพูด
   “สวยตลอดแหละ เวลามันจะมีประโยชน์อ่ะ" วินพูดแทงใจดำ เอิร์ธเหลือกตาจึ้นมามองวินแว้บหนึ่ง "ตกลงว่าไง เรียกมาวันนี้น่ะ"
   “กูมีช่องทางบางอย่าง" เอิร์ธว่า "แบบว่า....กูมีเส้นสายดีไซน์เนอร์อยู่บ้าง แล้วเอ่อ กูก็เลยคิดมาซักพักแล้วว่า ถ้าโปรเจ็คที่เดินหน้าไปกับเจนจิราไม่เวิร์คขึ้นมา กูจะเอางานออกไปให้คนอื่นลองตัดสินบ้าง แล้วงานมึงเองก็โอเคขึ้นมาก กูก็เลย..."
   “แล้วทำไมมึงถึงคิดว่า โปรเจ็คที่ทำกับคุณเจนเค้ามันจะไม่เวิร์ค" วินถามต่อ
   “ก็.......ช่างมันเหอะ” เอิร์ธขมวดคิ้ว พลางส่ายหัว "มึงไม่เข้าใจหรอก"
   วินทำตาเบิกโพลงพลางมองไปยังงานบนโต๊ะ
   “กูไม่เข้าใจอยู่แล้ว....มึงส่ายหัวแล้วบอกช่างมันเหอะ อะไรวะ" วินถามต่อ
   “ไม่คือ.....เรื่องอื่นมันอธิบายยากไง มึงกับกูเพื่อนกัน น่าจะพูดง่ายกว่าป่ะวะ" เอิร์ธว่า
   “มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพูดง่ายพูดยากเลยเว่ยไอ้เอิร์ธ ถ้ามึงรู้จักกูจริงๆ มึงก็น่าจะรู้ว่ากูไม่ใช่คนพูดง่าย" วินตอบ
   “แล้วมึงจะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมวะ มึงก็แค่เอางานมึงมาให้กู กูเอาไปขาย ถ้ากูได้เงินมา ก็แบ่งเปอร์เซนต์กัน แค่นั้นเอง" เอิร์ธว่า "มึงเองก็ไม่อยากอึดอัดกับเรื่องกูกับคุณเจนเค้าไม่เหรอวะ แถมมึงก็ได้ตังค์"
   “กูไม่อยากมีส่วนร่วมในปัญหาน่ะใช่ แต่ถ้ามึงทำแล้วปัญหามันตามมามึงจะทำยังไง" วินว่า "ทุกวันนี้ปัญหากูท่วมหัวพออยู่แล้ว กูไม่ต้องการมันเพิ่ม"
   “คือสมมตินะเว่ย ถ้ายังเดินโปรเจ็คกันต่อไป โดยที่กูก็อยากทำบางอย่างเพื่อบางคน แล้วก็มีอีกคนมาขัดขวางกู แล้วยังมีมึงเข้ามาอีก แถมที่ผ่านมาคนบางคนก็ไม่ได้ช่วยทำอะไรให้กูดีขึ้น แล้วมึงกับกูทำงานไปด้วยกันต่อไปมันจะ อึดอัด" เอิร์ธว่า
   “ห๊ะ" วินรู้สึกงงงวยกับประโยคสุดบรรลือลั่นของเอิร์ธเอามากๆ "เดี๋ยวนะ ใครทำอะไรให้ใคร แล้วใครไม่ช่วยอะไรบางคนให้ดีขึ้น แล้วใครอึดอัด........กูจะบอกให้นะ ตอนนี้ กูเนี่ยอึดอัด"
   “เอางี้ งั้นถ้ามึงไม่สะดวกใจขนาดนี้ กูจะลาออกจาก Esmod แล้วไปทำเองก็ได้ป่ะ" เอิร์ธว่า
   “ห๊ะ" วินร้องอีกรอบ "อะไรวะ เรื่องแค่นี้มึงจะลาออกเลยเหรอ เงินที่มึงเสียไปล่ะ กูว่ามันจะไปกันใหญ่แล้วหรือเปล่าเนี่ย ไอ้เอิร์ธ มึงไหวป่ะวะ"
   “ไม่คือ ถ้าจุดประสงค์ของมึงคือแค่อยากเรียนจบคอร์สนี้อ่ะ กูก็จะไม่ขัดไง มึงก็เรียนต่อไป โดยที่กูจะได้ไม่ต้องมาเป็นตัวปัญหาให้มึง" เอิร์ธตอบ
   “กูไม่แน่ใจว่ะเอิร์ธ" วินว่า "คือมึงกับกูเป็นพาร์ทเนอร์กันนะเว่ย กูไม่แน่ใจว่ากูมีสิทธิคิดแทนเรื่องของมึงกับกูได้หรือเปล่า แต่กูไม่คิดว่ากูจะหนีปัญหาว่ะ"
   “อะไรนะ" เอิร์ธร้อง
   วินกัดฟันเล็กน้อย หน้าของก้องแว้บขึ้นมาในสมอง
   “คือ....กูหนีปัญหามาค่อนโลกแล้วนะเว่ย แล้วมึงจะให้กูหนีไปไหนอีกวะ" วินร้อง เอิร์ธถึงกับมองหน้าวินทันที "ถ้ามึงต้องการไอ้สเก็ตแบบเสื้อ 20 รูปเนี่ย มึงเอาไปได้ตรงนี้เลยเว่ย กูไม่มีปัญหาหรอกไอ้เอิร์ธ แต่ประเด็นคือกูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไรว่ะ"
   วินถอนหายใจพลางส่ายหน้า เอิร์ธนั่งแน่นิ่ง
   “กูบอกมึงให้ก็ได้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีดีกูถึงมาโผล่ที่ปารีส" วินว่า "กูอยากเอาชนะพ่อกูเว่ย กูไม่อยากทำงานให้กับคอสโม กูก็เลยรับคำท้าของเค้า ว่าถ้ากูไม่อยากทำงานให้เค้า ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเค้าอีก เค้าก็เลยให้เงินกูก้อนสุดท้าย ให้กูมาที่นี่ มาทั้งๆที่กูไม่เป็นอะไรเลยซักอย่าง ไม่รู้อะไรเลยซักเรื่อง แต่กูก็กล้าพอ ไอ้เรื่องกล้าๆเนี่ย ก็น่ารู้นิสัยกันดีอยู่แล้ว กูไม่เคยกลัว ต่อให้กูอดตายที่นี่ กูจะไม่ขอเงินเขาอีก
   มึงเองก็น่าจะพอรู้อยู่แล้วนี่ ว่าตอนนี้กูอยู่ในสภาพยังไง มึงถึงกล้าเอาเรื่องเงินมาเป็นข้อต่อรองกับกู ไอ้เรื่องกูดูแย่อ่ะ มันก็เยอะพอยู่และที่มึงเกทับมา กูทนได้ไม่เป็นปัญหาหรอก ที่ปารีสมันไม่มีใครมานั่งนินทาว่าลูกคุณเกียรติศักดิ์มานั่งทำงานร้านอาหารอยู่แล้ว ถึงต่อให้มีกูก็ไม่แคร์ไอ้เอิร์ธ แต่อย่างน้อย ชีวิตที่ร้านเกล็ดหิมะ กับที่สตูดิโอ Esmod นี่มันก็เป็นที่ที่กูเดิมพันเอาไว้ด้วยชีวิตที่เหลือของกูทั้งชีวิตเลยนะเว่ย ยิ่งกูเจอมึง ก็โคตรกล้าลงทุนอ่ะ แต่พอมึงมาไม้นี้ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ.......กูก็ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงว่ะไอ้เอิร์ธ"
   เอิร์ธนั่งฟังวินอย่างสงบนิ่ง พลางถอนหายใจ
   “ตอนนี้กูชักสงสัยแล้วว่ะ ว่ามึงหรือกูกันแน่วะ ที่ไม่รู้ตัวเองต้องการอะไร" วินพูดออกมาทันที มันเป็นคำถามที่เขาเริ่มรู้สึกขึ้นมาตลอดทั้งเช้านี้ เอิร์ธมองหน้าวินอย่างมีความหมาย
   “ไม่หรอก กูรู้ว่ากูต้องการอะไร แต่ประเด็นคือมึง มีตัวคนเดียวมากกว่า" เอิร์ธตอบ
   “ห๊ะ" วินร้องเป็นครั้งที่สาม
   “มึงอยู่ที่นี่มาจะสามเดือนแล้ว มึงก็เพิ่งจะเปลี่ยนความคิดตัวเองได้ก็เท่านั้น ปลายทางของมึงก็คือจบคอร์สนี้ แล้วก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพ่อมึงใช่ไหม แล้วหลังจากนั้นอ่ะ มึงคิดไว้หรือยัง" เอิร์ธถามกลับ
   “เอ่อ....เรื่องนั้น...”
   “เพดานของมึงไม่เท่ากูว่ะขอโทษเหอะไอ้วิน" เอิร์ธตอบกลับ วินชะงักทันที ก้องพูดประโยคเดียวกันนี้กับเค้าเมื่อวานเอง
   “แล้ว....มันต่างกันยังไงวะ" วินถาม
   “ก็ตรงที่กูคิดไง.....”เอิร์ธตอบ "มันอาจจะดูงี่เง่า ถ้ากูบอกว่ากูทำทุกอย่างเพื่อที่จะมาอยู่ที่นี่กับแฟนกูในฐานะที่เท่าเทียมกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ไม่ใช่เหรอวะ ถ้าเกิดเราจะทำอะไรให้ใครซักคน....คนที่เรารักมากๆน่ะ"
   “มึงไม่ต้องมาหาคำพูดสวยหรู ไอ้เอิร์ธ วิธีที่มึงใช้ มันก็ไม่ถูกอยู่ดี มึงจะเอาชนะเรื่องนี้ด้วยการจบโปรเจ็คนี้ มึงก็ควรใช้วิธีแก้ปัญหาบนเส้นทางนี้" วินว่า "พอมึงเจอปัญหามึงก็หลบแล้วไปใช้ทางอื่น มันจะไม่โกงตัวเองไปหน่อยเหรอวะ"
   “กูไม่ทำงานหนัก แต่กูทำงานให้ฉลาด" เอิร์ธว่า "ข้อแรก กูรู้จักคุณเจนมามากพอ มากกว่ามึงแน่ๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เต็มใจที่จะช่วยกู ทั้งๆที่เค้ารู้จักกูมาก่อน มึงก็เห็นสิ่งที่เขาต่อต้านเราทั้งคู่ มึงกะกูจะโดนอะไรไปจนกว่าจะจบอีกเยอะ แล้วตอนจบ มันก็จะไม่ได้อะไรเลย ข้อสอง มึงไม่เคยต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นอยู่แล้ว เพราะแค่ทำให้ตัวมึงเอง กว่าจะได้มาถึงเดือนนี้ ก็แทบไม่รอด"
   “แต่มันก็....”
   “ปลายทางของกูชัดเจนพอไอ้วิน" เอิร์ธพูด "กูไม่สนวิธีที่จะทำให้กูไปถึงตรงนั้น โอเค....ถ้ามันเป็นทางที่เลวมากๆ กูก็ไม่ทำหรอก กูก็มีสติพอไอ้วิน คำถามคือมึงเชื่อใจกูแค่ไหน"
   “ไม่รู้ว่ะ" วินว่า "แล้วปลายทางของมึงคืออะไร"
   “กูอยากอยู่ในวงการนี้ แบบมีชื่อ" เอิร์ธว่า "กูไม่ได้ทะเยอทะยาน แต่กูเองก็ไม่ต่างจากมึงเรื่องที่บ้าน ถ้ากูออกมาแล้ว กูก็ต้องได้ดีเท่านั้น และทั้งหมดที่กูเอามาเสนอมึง ก็เพียงเพราะว่ากูเห็นโอกาส ที่มันน่าจะเป็นไปได้เท่านั้นเอง"
   “แต่กู....”
   “ถ้ามึงอยากได้กูเป็นที่พึ่ง มึงกล้าพอจะตามกูไปไหมล่ะ" เอิร์ธถามต่อ วินหายใจเข้าลึก   ๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
   “กูมั่นใจ ว่าตัวเองมีเป้าหมายยังไง....
   แสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาช้าๆ ขณะที่วินมองมันอย่างมีความหมาย
   “ถ้ามึงมีเป้าหมายในการอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้วจริงๆ คิดต่อไปอีกหน่อยมันก็คงไม่ยากไม่ใช่เหรอวะ ในเมื่อมึงไม่อยากทำงานให้พ่อมึง ก็ทำงานกับกูไง" เอิร์ธพูดต่อ "ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป หรือทำงานข้างนอก ปลายทางของกูก็เหมือนกัน …. คำถามคือ ปลายทางของมึงล่ะไอ้วิน...คืออะไร"
   ภาพในอดีตที่เขามีปากเสียงกับพ่อลอยขึ้นมาแจ่มชัดอีกครั้ง วินหลับตาลง พลางมองกลับมาหาเอิร์ธ
   “มึงเอาไปได้แล้วไป" วินว่า "งานกูอ่ะ"
   “อะไรนะ" เอิร์ธรู้สึกตกใจกับการกระทำของเพื่อน วินลุกขึ้นทันที
   “กูเอาด้วย" วินตอบ "กูหมดคำถามแล้ว มึงจะเอายังไง ก็เอาตามนั้น"
   “อ...อ่าหะ" เอิร์ธตอบ
   “แต่กูไม่ลาออกจากที่นี่นะ" วินว่า "มึงจะออกหรือเปล่าก็เรื่องของมึง ส่วนเรื่องงานก่อนที่มึงจะเอาไปเสนอขายใคร มึงต้องบอกกูก่อน กูจะได้เตรียมงานดีดีไว้ให้มึงก่อนเพิ่มเติม"
   “อ่าหะ" เอิร์ธรับคำ
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูก็จะกลับละนะ เมื่อเช้ากูก็ทิ้งงานที่ร้านมาเหมือนกัน" วินว่า
   “เดี๋ยวก่อนวิน" เอิร์ธว่า "เมื่อวานมึงบอกกูว่า มึงก็มีทางออกให้กูเหมือนกัน ทางออกคืออะไรวะ วันนี้กูยังไม่เห็นมึงเสนอไอเดียอะไรมาให้กูเลย"
   “กูเสนอไปแล้ว" วินว่า "กูบอกมึงไงว่ากูจะไม่ลาออก เพราะถ้าเผื่อมึงพลาด กูจะยังยืนอยู่ที่นี่ ดีกว่าล้มไปทั้งคู่"
   “แล้วมันจะช่วยอะไรวะ" เอิร์ธถามต่อ
   “เพราะที่กูต้องเรียนคอร์สนี้ ก็เพราะที่จริงแล้ว......กูก็ยังต้องทำงานให้พ่อกูอยู่" วินว่า เอิร์ธถึงกับตาเบิกโพลง
   “อะไรกันวะ ไหนมึงบอกว่ารับคำท้าเค้ามาแล้วไง" เอิร์ธว่า
   วินถอนหายใจพลางมองมาหาเอิร์ธ
   “กูเชื่อใจมึงไอ้เอิร์ธ" วินพูดทันที "กูยังบอกะไรมึงมากไม่ได้ตอนนี้ว่ะ กูมีอีกหลายอย่างต้องทำ ก็อย่างที่กูบอก ปัญหากูท่วมหัวแล้วตอนนี้ เอาเป็นว่ากูเอาด้วยก็แล้วกัน แต่กูอ่ะ อยากจะเตือนมึง บางทีแค่คุณเจน อาจจะไม่ใช่ปัญหาเดียวที่มึงจะต้องเจอก็ได้นะกับการมีชื่อเสียงของมึงในวงการนี้อ่ะ มึงก็เตรียมตัวไว้ดีดีแล้วกัน กับปัญหาที่จะเกิดขึ้น มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก"
   วินเดินตัดออกจากเอิร์ธเพื่อจะออกจาห้องสตูดิโอ
   “เหตุผลที่มึงไม่ยอมบอกกู ก็คงเป็นสาเหตุที่มึงทะเลาะกับพ่อแล้วมาโผล่ที่นี่ใช่ไหมวะ" เอิร์ธถาม
   “ก็.....ช่างมันเหอะ" วินว่า "มึงไม่เข้าใจหรอก"
   วินปิดประตูสตูดิโอไป
   เพราะจริงๆแล้วมันเป็นจริงอย่างนั้น
   เรื่องที่เค้าทะเลาะกับพ่อ มันเป็นต้นเหตุ
   ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่พาเค้ามาอยู่ที่นี่
   ก็เพราะพ่อนั่นแหละ
…...........
   “ผมไม่ทำ......ทำแบบนี้ มันไม่ถูก มีดีไซน์เนอร์อีกหลายคนที่ต้องการโอกาส ทำไมต้องเป็นผม"
   “ก็เพราะว่าถ้าเป็นแกมันจะง่ายกว่ามาก แกมีทุกอย่างที่วงการนี้ต้องการ แกเรียนจบแล้ว แล้วแกก็เป็นลูกชั้น แค่นี้มันก็พอแล้ว ที่แกจะเข้ามาทำงานกับชั้น.....แกอย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากได้ไหม"
   “แล้วคนอื่นๆล่ะ เค้าจะรู้สึกยังไงตอนที่ผมเดินเข้าไปที่คอสโม ผมไม่ได้มีฝีมือมากขนาดนั้น ถ้าผมเข้าไปมันก็เป็นได้แค่ตัวตลกเท่านั้น"
   “จะไปแคร์อะไรกับไอ้แค่ขี้ปากคน แกเป็นลูกชั้น มีโอกาสอยู่ในมือแล้ว ทำไมไม่คว้า นี่แกโง่หรือบ้าวะไอ้วิน ชั้นให้แกมาทุกอย่าง แกต้องตอบแทนชั้นบ้างได้แล้ว"
   “ให้ทุกอย่างเหรอพ่อ พ่อไม่ได้ให้อะไรผมเลย สิ่งที่พ่อให้มามันมีแต่เรื่องสกปรก พ่อจะกว้านซื้อดีไซน์เนอร์มาอีกกี่คนเพื่ออะไร ในเมื่อพ่อก็ไม่ได้เลือกพวกเค้า คนพวกนี้ทำงานด้วยแรงบันดาลใจและสร้างสรรค์ พ่อเอาขายความหวังว่าพวกเขาจะได้โอกาส แล้วให้พวกเขารอต่อไปเพื่ออะไรอ่ะ"
   “คนพวกนั้นจะสร้างงานให้แก แกจะเป็นหัวหน้าคนพวกนั้น แล้วสร้างเม็ดเงินมูลค่ามากมายให้กับชั้น วงการของเราก็จะเติบโตไปอีก พวกนั้นน่าจะดีใจด้วยซ้ำ"
   “ไม่ พ่อไม่เข้าใจ......พวกเขาไม่มีทางยอมให้ตัวเองโดนล่ามไว้หรอก เมื่อวันนึงพวกเขารู้ตัวว่าไม่มีทางจะไปไกลได้กว่านี้ เขาก็จะออกจากพ่อ ไปทำงานให้ตัวเอง ไม่มีใครยอมให้คนอื่นมาสร้างความหวังลมๆแล้งๆให้ตัวเองหรอกพ่อ แม้แต่เงินก็ซื้อพวกเขาไว้ไม่ได้"
   “แล้วยังไง ก็ช่างหัวพวกมันสิ ถึงพวกมันจะออกไป แกก็มีงานมากมายอยู่ในมือแกที่แกจะสามารถเอาออกไปขายต่อไปอย่างสบายทั้งนั้น"
   “แต่มันความคิดสร้างสรรค์จากพวกเค้า พ่อจะหากินบนความคิดสร้างสรรค์ของคนอื่นแบบนี้งันเหรอ ผมไม่ทำ.......และเงินก็ซื้อผมไม่ได้เหมือนกัน"
   “เงินซื้อแกไม่ได้งั้นเหรอ....แกเชื่ออย่างนั้นเหรอ ได้...แกอย่าคิดว่าจะออกไปจากวงโคจรของชั้นได้เจ้าวิน ยังไงแกก็เป็นลูกของชั้นวันยังค่ำ"
   “พ่อว่าอะไรนะ"
   “แกไม่มีฝีมือเท่าคนอื่นๆงั้นใช่มั้ย ได้.....ฉันให้แกไปเรียนต่อดีไซน์ที่เมืองนอก และแกต้องไป เพราะฉันจะไม่ให้เงินแกใช้อีกแล้ว และแกก็อย่าหวัง ว่าจะหางานทำได้ที่สตูดิโอในกรุงเทพ ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกนั้นรับแกเข้าทำงาน นอกจากแกจะทำให้กับคอสโมเท่านั้น.......สิ้นปีเมื่อไหร่ แกขึ้นเครื่องไปปารีสซะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง"
   “อะไรกันอ่ะพ่อ พ่อไม่มีสิทธิมาบังคับผมแบบนี้นะ"
   “ก็ลองดูกันมั้ยล่ะเจ้าวิน"
   “พ่อ!! “
   “ฉันจะให้แกไปเจอชีวิตลำบากๆ อันน่าเห็นใจ แบบที่แกสงสารพวกดีไซน์เนอร์พวกนั้นนัก ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าแกก็ไม่มีเงินติดตัวเหมือนดีไซน์เนอร์คนอื่นๆ เงินมันยังจะซื้อแกได้อยู่ไหม แกยังจะคิดแทนพวกเค้าอยู่ไหม"
   “ได้....งั้นเราจะได้เห็นกันพ่อ งั้นผมจะไปเรียนให้พ่อ ผมจะไป ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย"
   “วิน.....ไอ้วิน.....วิน!!!”
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 9 No More No Less]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-10-2012 18:39:52
ตอนที่ 10 Warm

   "วิน......วิน" เสียงอันรุนแรงและแข็งกร้าวดังอยู่ในหัวของเขา มันเป็นเสียงของอสูรกายที่เปลี่ยนชีวิตเค้าไปตลอดกาล
   "วินคับ!!!" เสียงของมันเปลี่ยนเป็นโทนอบอุ่น พร้อมกับมือที่แตะลงที่บ่าของเขาและบีบแน่น วินสะดุ้งสุดตัว พลางมองไปยังเจ้าของเสียง ที่ตอนนี้จับไหล่ของเขา พลางมองหน้าเขาอย่างเป็นกังวล
   “ว่าไง นาย" วินหันไปตอบ แม้ว่าในดวงตายังคงแข็งกร้าว "มีอะไรเหรอ"
   “เป็นอะไร" ก้องถาม นับว่าเป็นครั้งแรก ที่วินเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ "คิดอะไรอยู่เหรอ"
   “ไม่มีอะไรอ่ะ" วินหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องล่างอีกครั้ง
   “เข้าไปข้างในดีกว่ามั้ย เปิดประตูระเบียงไว้แบบนี้ เดี๋ยวหิมะมันเข้า" ก้องว่า
   “นายก็ปิดประตูไปดิ" วินว่า "ฉันอยากอยู่ตรงนี้อีกซักพัก"
   ก้องส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะโอบเอววินจากด้านหลัง แล้วยกตัวของวินเข้ามาข้างในตัวห้องทันที
   “เห้ย เจ้าก้อง นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย ปล่อยฉันเซ่!!!” วินร้องอยู่พักนึงก่อนที่ก้องจะวางตัววินลง แล้วปิดกระจกระเบียงลง "ทำบ้าอะไรของนายวะ จะอุ้มฉันเพื่อ!!? แล้วไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนวะ"
   “ก็พูดแล้วไม่ฟังกันนี่" ก้องพูดเรียบๆ ก่อนจะหันมาหาวินอีกครั้ง "แล้วเมื่อกี้คิดอะไรอยู่"
   “นี่คุณก้องคับ ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณทุกเรื่องหรอกนะคับ" วินว่า "ฉันจะคิดอะไรอยู่มันก็เรื่องของฉันได้ไหมเล่า"
   “มีเรื่องจะคุยด้วยอ่ะ" ก้องพูดเสียงแข็ง ซึ่งจริงๆแล้ววินเดาว่าก้องพยายามที่สุดแล้ว ที่จะไม่เสียงแข็ง น้ำเสียงมันเลยออกจะดูตลกเสียมากกว่า
   “เรื่องอะไร" วินถามกลับห้วนๆด้วยอารมณ์หงุดหงิด
   “เรื่องข้อตกลงระหว่างเราสองคน" ก้องพูด
   “ห๊ะ" วินว่า "ข้อตกลงอะไรวะ"
   “นี่ผ่านมาสามเดือนแล้ว ก็ฉันเคยบอกนายว่า ถ้าเดือนแรกนายอยู่ที่นี่ได้ด้วยดี ข้อเสนอที่สองจะตามมาไง จำไม่ได้เหรอ" ก้องว่า วินถึงกับหน้าถอดสีอีกครั้ง.......อีกปัญหากำลังมาอีกแล้วสินะ
   “อ่อ.....ยังไงอ่ะ จะไล่ฉันไปแล้วล่ะสิ" วินว่า "งั้นก็ขอเวลาชั้นซักสองสามวันนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะย้ายไป"
   “อย่าพูด ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้" ก้องว่าวินเข้าอย่างจัง ชายหนุ่มมองหน้าเขากลับ "ฉันไม่ได้จะไล่นาย แต่ฉัน....ฉันอยากให้นายอยู่ต่อ.....”
   “ฉันก็ยังอยู่ไม่ใช่รึไงวะ นายประสาทหรือเปล่า" วินว่า
   “ฉันหมายถึง อยู่กับฉัน ไปเรื่อยๆ" ก้องว่า "ฉัน......อยากให้นายอยู่กับฉันไปก่อนได้หรือเปล่า"
   “เอ่อ....อะไรนะ" วินร้อง "อะไรของนายวะ ไม่เข้าใจว่ะ"
   “ก็แค่ตอบมาว่าได้หรือไม่ได้ แค่นั้นแหละ นายจะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่อง่ายทำไมกันนะ"
   “นี่นายก้อง นายต้องการอะไรก็บอกมาตรงๆเหอะ" วินว่า "ฉันไม่หัวเราะนายหรอกน่า ลำบากเรื่องเงินขึ้นมาหรือไง"
   “ก็ประมาณนั้นอ่ะ" ก้องว่า "พอดีฉันมีปัญหา แล้ว ก็เลยคิดว่าถ้านายอยู่กับฉันต่อไปอีกหน่อย ก็น่าจะดี ฉันหมายถึง อยู่ต่อถึงนายจะเรียนจบแล้วอ่ะ"
   “โห" วินว่า "หลังเรียนจบด้วยเหรอ"
   “อ..อืม" ก้องว่า "นายสะดวกหรือเปล่า"
   วินมองหน้าก้องอยู่พักนึง
   “เกิดอะไรขึ้นเจ้าบาริสต้า" วินว่า "พูดมาตรงๆเหอะ"
   “ก็บอกแล้วไง ว่ามีปัญหาเรื่องเงิน" ก้องตอบ
   “มันจะมีได้ยังไง นายไม่ได้เอาเงินไปทำอะไรนี่ ที่ทำอยู่ตอนนี้ มันก็อยู่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ" วินว่า
   “ฉันจะเปิดร้านอาหาร" ก้องว่า "ฉันก็เลยจะเริ่มเก็บเงิน"
   “อ๋อ เขาใจละ" วินว่า "นายก็เลยจะเพิ่มส่วนแบ่งค่าเช่า เพื่อเติมส่วนที่นายขาดใช่ไหมล่ะ"
   “ก็....ประมาณนั้นอ่ะ" ก้องว่า
   “เอาดิ" วินว่า "โอเค ฉันจะอยู่"
   “เหรอ ทำไมหนนี้นายพูดง่ายจัง"ก้ องว่า
   “แล้วมันไม่ดีรึไงหะ" วินว่า
   “ก็ดี" ก้องยิ้มกว้างให้วิน ซึ่งเขาก็ยิ้มตอบ พลางหันหลังเดินไปที่กองงานของตัวเอง
   แต่....
   “เดี๋ยวนะ" วินหันหลังกลับมา "เมื่อกี้นายยิ้มเหรอเจ้าบาริสต้า นายยิ้มให้ฉันนี่"
   ก้องทำหน้าเหวอ พลางตีหน้ากลับมาเป็นปกติ
   “ก....ก็....อืม" ก้องว่า
   “ชะละล่า เจ้าบารีสต้า ผู้แสนเย็นชาเป็นหิมะปารีส ยิ้มเป็นกะเค้าด้วย" วินเดินเข้ามาแซวเป็นการใหญ่
   “อ...อะไรของนายเล่า" ก้องว่า พลางเอามือเกาจมูกอย่างไว้ท่า วินเอามือชี้หน้าทันที
   “อั่นแน่ะ มีเขินด้วยว่ะ" วินว่า "เห้ยเอาจริง....ฉันก็คิดว่าตัวเองอยู่กับรูปปั้นมาหลายเดือนแล้วเหอะ เอาจริงถ้านายไม่ได้หนักหนาอะไรเนี่ยนะ ทำตัวเป็นคนปกติบ้างก็ได้เหอะ คนที่ร้านเกล็ดหิมะ มีแต่คนเค้าบอกว่านายเป็นคนยิ้มยากกันทั้งนั้น"
   “ก็มันไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีได้ซักเท่าไหร่นี่" ก้องพูดเสียงเย็นชา
   “แล้วยิ้มให้ฉันเมื่อกี้นี้เนี่ย แสดงว่าฉันทำให้นายอารมณ์ดีรึไงวะ" วินถามพลางขมวดคิ้ว "ใช่สินะ ได้คนแชร์ค่าเช่าต่อ สบายไปครึ่งนึงเต็มๆ"
   “ในหัวฉันไม่ได้มีแต่เรื่องเงินอย่างเดียวหรอกวิน" ก้องว่า "ฉันก็แค่ดีใจที่โอกาสทำร้านอาหารของฉันจะเป็นจริงขึ้นมาก็เท่านั้น"
   “อ่ะนะ" วินว่า "ก็เต็มที่ละกัน"
   “ว่าแต่นายเหอะ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วนี่ ไหงไม่คิดย้ายออกไปล่ะ ไหนว่าไม่อยากอยู่ด้วยกันนักไง" ก้องว่า วินมองค้อนแว้บนึง "นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไล่ ก็เพิ่งชวนอยู่ต่อไปเมื่อกี้เอง จำไม่ได้รึไง"
   “รู้แล้วน่า...”วินว่า "ก็ช่วงนี้ชั้นเอ่อ....มีเรื่องต้องคิดเยอะพอดี ฉันไม่อยากคิดคนเดียวน่ะ มีนายก็ยังดีกว่าไม่มีใครว่ะ"
   “ดีกว่าหมาหน่อยนึงว่างั้น" ก้องว่า
   “อ้าว พูดเองนะ" วินว่าพลางหัวเราะ ก้องส่ายหัวน้อยๆ "เห้ย ไม่ใช่หรอก ฉันก็อยากขอบใจนายด้วยเหมือนกันที่ช่วยฉันมาตั้งสามเดือน ถ้าไม่ได้นาย ป่านนี้ฉันก็ยังคง....”
   “ไม่ได้เรื่อง..." ก้องว่าต่อ
   “เห้ยได้ยินว่ะคับ" วินว่า ก้องเลิกคิ้วพลางเดินไปที่ครัวของตัวเอง
   “แต่ฉันขอให้นายอยู่ต่อจนหลังเรียนจบด้วยนะ นายสะดวกเหรอ" ก้องถามต่อ "เรียนจบแล้ว ไม่กลับไทย ไปหาครอบครัวรึไง"
   “ไม่อ่ะ" วินตอบทันที พลางมองไปยังหน้าต่างเมื่อครู่ ความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว "ฉันยังไม่กลับหรอก"
   แล้วก็เงียบกันไปพักนึง เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายสำหรับวิน ก้องมองวินอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกของเขาเอง ก็มีบางอย่างที่ให้วินขึ้นมาเสียด้วย
   “ฉันไม่มีอะไรให้กลับไปหาหรอกที่จริงแล้ว" วินว่า พลางหันกลับมหาก้อง ที่สะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามองวินนานเกินไปเลยรีบหัวไปหยิบกานมมารินแก้เก้อ  วินเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อรู้ว่าถูกมองอยู่ ชายหนุ่มทำเป็นนั่งจัดงานตัวเองบนโต๊ะ "แล้วนายอ่ะ ไม่มีใครให้กลับไปหาเหรอที่เมืองไทย"
   ก้องหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางยกแก้วนมอุ่นๆมาสองแก้ว เดินมาหาวิน ก่อนจะวางแก้งหนึ่งลงตรงหน้าชายหนุ่ม
   “ไม่มี" ก้องพูดเบาตรงหน้าวิน วินมองหน้าก้อง ก่อนจะพยักหน้าเบา ดวงตาของก้องมีความรู้สึกบางอย่างที่วินไม่เข้าใจ วินหลบตาลงมองกองงานอขงตัวเอง แม้ว่าตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาข้างในเสียแล้ว
   “งั้นก็....เต็มที่ละกัน เรื่องร้านอ่ะ"วินว่า "ขอบใจที่ยังให้ฉันอยู่ต่อ แล้วก็ทุกๆเรื่องที่นายให้คำปรึกาาแล้วก็...สอนชั้นอ่ะ......ถ้ามีอะไรเรื่องร้านให้ช่วยก็บอก ถ้าเกิดว่าชั้นช่วยได้อ่ะนะ"
   “หึหึ" ก้องหัวเราะขึ้นมาในลำคอ พลางเอามือขยี้หัววินเบาๆ "แค่นายยังอยู่ต่อ ก็พอแล้วล่ะ"
   บาริสต้าหนุ่มเดินเข้าห้องตัวเองไป วินที่ทำเป็นขัดขืนที่โดนลูบหัว มองก้องเดินหายไป ด้วยความสงสัย
   ผู้ชายคนนี้ลึกลับและเย็นยะเยือกยิ่งกว่าอากาศที่นี่เสียอีก
   แต่วินก็ชักจะชินเสียแล้ว เพราะในความเย็นยะเยือกของก้อง มันก็มีความรู้สึกดีดีอยู่ด้วย
   ความรู้สึกแบบเดียวกับควันหอมฉุยที่ลอยมาจากแก้วนมอุ่นๆตรงหน้านี่....
   นึกอะไรออกบางอย่าง ยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเดินตามก้องเข้าไปในห้องนอน แล้วเคาะที่ผนังสามครั้ง
   “ว่า?" เสียงก้องตอบมาจากในห้อง
   “ฉันมีเรื่องจะขอให้ช่วย" วินว่า
   “เรื่องอะไรล่ะคับ" ก้องตอบ
   “อาทิตย์หน้าฉันไม่มีคลาส แล้วเอ่อ....ฉันก็ได้ข่าวมาว่าเจ๊ใหญ่จะปิดร้านเกล็ดหิมะอาทิตย์หน้าด้วยเหมือนกัน เพราะจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์"
   “ก็ใช่ แล้วทำไม" ก้องถามกลับ
   “เที่ยวป่าว?” วินรวบรวมความกล้ามาไม่พร้อมดี จึงพูดวลีออกไปด้วยเสียงอันสั่นเครือ ได้รับเพียงความเงียบกลับมา วินทำหน้าเหยเก รู้สึกเขินตัวเองพิกล คิดว่าเจ้าบารีสต้า คงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแน่ๆ วินจึงผละตัวเองออกจากประตูห้องนอนของก้อง พลางก่นด่าตัวเองในทุกๆด้าน ที่ชวนก้องทำเรื่องไร้สาระ หมอนี่ไม่มีวันยอมอยู่แล้ว
   ไม่กี่อึดใจต่อมา มืออุ่นๆดึงแขนของวินกลับไป ก้องโผล่หน้าออกมาจากห้องนอน มีรอยยิ้มบางๆอยู่ที่มุมปาก มองหน้าวินด้วยสีหน้าที่ยากจะเดาอารมณ์
   “แล้วมีตังค์เหรอ" ก้องถามด้วยเสียงกวนๆ
   “ก..ก็.......” วินมองก้องด้วยตาเบิกกว้าง "พ...พอมี.....แต่ไม่มาก"
   “งั้นไม่ต้อง" ก้องพูด วินยักไหล่แก้เก้อ
   “อ...อื้อ...ไม่เป็นไร ไม่ไปก็ไป" วินว่า
   “คือ ฉันหมายความว่า.....นายก็ไม่ต้องออก" ก้องพูด "เดี๋ยวฉันพาไปเอง"
   “อ...อะไรนะ" วินว่า
   “ไปทำงานให้เสร็จไป" ก้องว่า "เอาเที่ยวแบบไม่มีงานไปกวนก็จะดี แล้วฉันจะเลี้ยงเอง"
   ก้องยิ้มเบาๆให้กับวินครั้งหนึ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
   วินรู้สึกเหมือนตัวเองวิ่งระยะทางไกลมากก็ไม่ปาน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมเจ้าบารีสต้านี่ต้องทำตัวให้เขาคาดเดายากด้วยนะ
   ความจริงคือตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกอุ่นอย่างเดียว
   มันร้อนจนหน้าเค้าแดงได้ที่เอามากๆ
….......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) Warm ]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 04-10-2012 19:00:27
อืม ลงเร็วมาก ก้นยังไม่ทันแตะเก้าอี้เลย (ลงเร็วก็บ่นเนอะ 555)

เหมือนว่าปัญหาของวินจะเริ่มคลายปมออกมา แล้ววินก็พุ่งเข้าหาแล้วไม่ได้วิ่งหนี
จะติดตามต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) Warm ]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 04-10-2012 19:48:14
เห็นพัฒนาการของวิน ก็รู้สึกยินดีล่ะ
แล้ว แล้ว ตอนนี้หัวใจของวินกับก้อง :m1:
ก็กำลังมีเมล็ดพันธุ์บางอย่างกำลังจะงอกขึ้นใช่ปะ
และที่อยากรู้อีกคือ เป็นหัวใจใครนะที่ไม่เคยลืม และไม่ลีมใคร ไม่ลืมอะไร
สิ่งที่ทำให้ไม่เคยลืมนี้ มันผ่านมาแล้วก่อนถึง ณ เวลานี้ หรือ
ในอนาคตที่จะถึงในกาลต่อไป
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) Warm ]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-10-2012 21:18:26
เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นและเกิดขึ้นไปแล้วค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) Warm ]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 05-10-2012 08:49:23
ครึ่งหลังอยู่หนายยย
 
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 10 (ครึ่งแรก) Warm ]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-10-2012 15:33:38
“สตราส์เบิร์กงั้นเหรอ" วินพูด ขณะนั่งดูโบรชัวร์ที่สถานีรถไฟ ขณะที่ก้องนั่งรอมองวินอ่านอย่างนิ่งสงบที่แกล เดอ อีส หรือสถานีรถไฟช่วงตะวันตกของปารีส แน่นอนว่ามันห่างจากถนนทอร์ควิลมากโข ดังนั้นเหตุการณ์ในเช้าวันอาทิตย์จึงเกิดปากเสียงกันเล็กน้อยระหว่างก้องกับวิน เพราะวินคิดว่าก้องจะเริ่มออกเดินทางวันจันทร์ จึงไม่ได้จัดเตรียมของอะไรไว้เลย จนกระทั่งตี 5 ที่ก้องดึงวินขึ้นมาจากโซฟาและบอกว่าจะออกเดินทางในครึ่งชั่วโมง วินก็พ่นไฟใส่ก้องไม่ยั้ง สองชั่วโมงต่อมาทั้งคู่มาถึงสถานีอีสได้ก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง
   “มันสามารถไปถึงเบอร์ลินเลยใช่หรือเปล่าก้อง TGV อ่ะ" วินถาม
   “อ่าหะ" ก้องว่า พลางมองไปยังขบวนรถไฟที่จอดรออยู่เบื้องหน้า "แต่ที่ที่เราจะไปก่อนจะหยุดแค่ สตราส์เบิร์กเท่านั้นล่ะ"
   “ทำไมถึงเลือกที่นั่นอ่ะ" วินเยหน้าขึ้นมาถามก้อง
   “ถูก" ก้องตอบทันที
   “ถูกแป๊ะอะไร ตั๋วเฟิร์สคลาส TGV ตั้งคนละ 200 ยูโร แถมนายยังจะไปนอนโรงแรมอีก" วินว่า "นี่เอาเงินเก็บมาเลี้ยงกันป่ะเนี่ย แบบนี้จะดีเหรอนาย"
   “เอาน่า.....คิดมากทำไมล่ะวิน ก็บอกแล้วว่าจะเลี้ยงนายเอง" ก้องว่า "ลูกคุณหนูอย่างนาย นั่งเฟิร์สคลาสแหละดีแล้ว"
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดก็เพราะค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มเดินทางนี่แหละ ตั๋วนี่แพงไม่ใช่เล่นเลย ทำไมก้องต้องจ่ายให้เขาขนาดนี้ด้วย
   “แต่มันเก็บนายไม่ใช่รึไง" วินพูดเสียงเข้มขณะมองก้องที่มองออกไปเบื้องหน้าอย่างนิ่งเงียบ
   ชายหนุ่มผู้เย็นชาหันหน้ากลับมาหาวินพลางโอบไหล่เขาทันที
   “ฉันบอกว่า....ไม่ต้องคิดมากไง" ก้องพูด
   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “งั้นฉันไม่เกรงใจนะ" วินว่า "อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน"
   ก้องหัวเราะในลำคอครั้งหนึ่ง
   “ขอบใจ" ก้องว่าพลางลุกขึ้น เดินไปยังรถไฟ
   “ขอบใจทำไมวะ" วินว่า "นายนี่ประสาท"
   ก้องหันกลับมาหาวิน
   “ก็ห่วงกันไม่ใช่รึไง" ก้องว่า "นายน่ะ"
   วินหน้าแดงเล็กๆ
   “ก็เดี๋ยวจะมาบ่นใส่ฉันอีกทีหลัง อย่าให้ได้ยินเชียวเจ้าบาริสต้า" วินร้อง
   “ขึ้นรถไฟได้แล้ว" ก้องพูดก่อนจะเดินนำขึ้นไปพร้อมกับข้าวของขึ้นสะพายหลัง วินลุกตามไปด้วยข้าวของที่พะรุงพะรังเต็ทหลังเช่นกัน
   รถไฟ TGV ของปารีส จะพาทั้งคู่ไปเมืองสตราส์เบิร์ก ประเทศเยอรมัน โดยใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งสำหรับวินแล้ว มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก เขาไม่เคยเดินทางเองข้ามประเทศ แบบชนิดที่ต้องตีตั๋วต่อรถ เพราะเมื่อตอนต้นปีที่เขาใช้ชีวิตเป็นแบ๊กแพ็คเกอร์ อยู่สองสามอาทิตย์ เขาก็วนเวียนอยู่วิลแลตกับปารีสเท่านั้น
   รถไฟแล่นออกจากปารีสด้วยความเร็วและนิ่งสงบ ก้องสละที่นั่งริมหน้าต่างให้วินนั่งชมวิวตลอดสองข้างทางอย่าง เสียงกดชัเตอร์ดังอย่างต่อเนื่อง วินถ่ายรูปสองข้างทางเอาไว้ด้วยกล้องส่วนตัว พลางยิ้มให้ตัวเองย่างมีความสุข ชานเมืองปารีสเตมไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ภูเขาลูกน้อยๆกับบ้านที่อยู่ตรงหุบเขาแถวชานเมือง สร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจเป็นอย่างมากให้วิน
   “ชอบเหรอ" เสียงเย็นชาถามมาจากข้างตัววิน เขาหันกลับไปมองก้องที่กำลังมองเขาผ่านแว่นตากันแดดสีดำ โดยที่ตัวเองนั่งเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายใจ
   “อื้อ" วินตอบเบาๆ พร้อมรอยยิ้มขณะดูรูปในกล้อง และมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ "สวยมากเลย"
   ก้องกอดอกเบาๆ พลางมองตามวินออกไปนอกหน้าต่าง
   “ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว เข้าใบไม้ผลิ" ก้องว่า "ที่สตราส์เบิร์ก นายจะได้เห็นต้นไม้ทั้งเมืองเป็นสีเขียวสด ตัดกับตึกสีอิฐเทา จากโรงแรมของเรานะ เดินไปตามถนนพร้อมช็อกโกแลตร้อนๆซักแก้ว มองดูคนขี่จักรยาน.....”
   วินนั่งฟังก้องเล่าสิ่งเหล่านั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้แว่นกันแดดหนาทึบ แต่ใบหน้าที่ฉายรังสีความสุขออกมาจากตัวก้อง ทำให้วินสัมผัสมันได้ วินอมยิ้มน้อยๆขณะที่ก้องเล่าเรื่องที่เมืองสตราส์เบิร์กไปเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่แสนสบายเอามากๆ ก้องนั่งพิงเบาะกอดอกเล่า พลางออกท่าทางบ้างเล็กน้อย ชี้ไปยังทิวเขานอกหน้าต่าง เพื่อให้วินได้เห็นภาพ
   ทั้งๆที่จริงแล้ว แค่วินมองหน้าก้อง เขาก็เห็นภาพที่สวยงามมากๆแล้วล่ะ
   “......ฉันชอบที่นั่นมาก ถ้านายได้ไป นายก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน" ก้องยังคงเล่าต่อไป "มีร้านขายรูปถ่ายสวยๆที่นายอาจจชอบ ถ้าอยากได้ก็บอกฉัน เดี๋ยวะซื้อให้แล้วก็.....”
   แชะ!!!
   “นายทำอะไรอ่ะ" ก้องพูดขึ้น เมื่อเสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น
   “ก็ถ่ายรูปนายไง" วินว่า "นายยิ้มด้วยอ่ะเมื่อกี้"
   “งั้นเหรอ" ก้องทำเสียงสูง "ทำไมเหรอ ฉันยิ้มนี่มันเป็นเรื่องประหลาดใจของนายใช่มั้ยเนี่ย"
   “แหงดิ" วินว่า "ก็ตั้งแต่อยู่ด้วยกัน นายไม่เคยยิ้มเลยซักแอะ รูปเนี่ย ฉันจะเอาไปให้เจ๊ใหญ่ดูว่านายก็ยิ้มเป็น"
   “อ่ะนะ" ก้องว่าพลางเกาจมูกครั้งหนึ่ง
   “นายไปที่นั่นบ่อยเหรอ" วินถาม
   “อื้อ" ก้องตอบ "เมื่อก่อนไปบ่อย สามเดือนครั้งอ่ะ"
   “เหรอ ก็แสดงว่าเมื่อต้นปีก็เพิ่งไปมาใช่ป่ะ" วินถามต่อ
   “ไม่อ่ะ" ก้องว่า "ไปครั้งสุดท้าย ปลายปีก่อนโน้น"
   “ปีนึงเลยเหรอ" วินว่า "ทำไมอ่ะ"
   “ก็....” ก้องเงียบไปพักนึง "ไม่รู้จะไปกับใครอีกอ่ะ"
   “อ้อ.....” วินทวนคำ พลางคิดทบทวนประโยคเมื่อกี้อีกครั้ง
   ไม่รู้จะไปกับใครอีก....งั้นเหรอ
   วินพยักหน้าเบาๆ
   “แล้วทำไมถึงพาฉันไปอ่ะ" วินถามต่ออีก
   ก้องหันหน้ามามองวิน จริงๆแล้ววินไม่รู้หรอกว่าก้องมองเขาหรือเปล่า แต่ทิศทางการหันหน้ามามันเป็นอย่างนั้น
   “นั่นสิ" ก้องว่าพลางหัวเราะในลำคอ "ทำไมต้องเป็นนาย....ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ"
   “อ่าว...”วินว่า "สรุปคืออยากมา เพราะไม่ได้มานานแล้ว ก็แค่นั่นช่ะ.....อินดี้ใส่เพื่อ!!?”
   “อ่ะนะ" ก้องว่า ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าต่างเหมือนเดิม ขณะที่วินก้หันหลับไปมองหน้าต่างแล้วยิ้มกว้างให้ตัวเอง และเริ่มถ่ายรูปอีกครั้ง
   รถไฟเคลื่อนตัวต่อไป ท่ามกลางความอบอุ่นที่แปลกประหลาด วินกดรูปถ่ายไปรูปแล้วรูปเล่าอย่างมีความสุข วันนี้เขารู้สึกได้เลยว่า หัวใจของเขาพองโตอย่างบอกไม่ถูก มันอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเอามากๆ มากเสียจนทำให้เขายิ้มไม่หยุดเลยทีเดียว
   “มันเป็นวันหยุดของนายครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันกับชั้น"
   อยู่ดีดีก้องก็พูดขึ้นมา หลังจากที่เงียบกันไปหลายนาที วินหันกลับมามองด้วยอารามตกใจเล็กๆ ก้องยังคงมองออกไปนอหน้าต่าง กอดอกนั่งพิงอย่างสบายใจภายใต้แว่นดำหนาเตอะ
   “ที่นั่นเป็นที่ที่พิเศษกับชั้น" ก้องว่า "ชั้นอยากให้นายได้เห็นมันน่ะ.....”
   วินยิ้มให้ก้องโดยไม่รู้ตัว
…........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 10 Warm (จบตอน)]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 05-10-2012 15:51:56
มาแล้วๆ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 10 Warm (จบตอน)]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-10-2012 16:29:59
 :impress2:


คนอ่านยังอบอุ่นตามเลย ปถมค้อนเพราะมีไฟ อิจฉา เบาๆ ปะปนมาด้วย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 10 Warm][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-10-2012 02:10:11
ตอนที่ 11 Wind

   รถไฟจอดนิ่งสนิทที่สถานีสตราส์เบิร์กประเทศเยอรมนี ก้องและวินเดินออกจากอาคารรูปโดมของสถานีรถไฟ อย่างไม่เร่งรีบ ก้องทำทีเป็นเดินช้าลง เพื่อให้วินได้ถ่ายรูปอาคารให้หนำใจ วินปลื้มกับอาคารรูปโดมที่รับกับรถไฟเป็นอย่างมาก ในฐานะดีไซน์เนอร์คนหนึ่ง นี่ก็เป็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามมากสำหรับวินทีเดียว ก้องยืนมองวินอยู่ห่างๆ มีความสุขพิลึกที่ได้เห็นรอยยิ้มของลูกคุณหนูเจ้าปัญหาคนนี้
   สายลมสินะ......
   ภาพที่ชัดเจนตรงหน้าของก้องทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน บาริสต้าหนุ่มหลับตาลงครั้งหนึ่ง ขณะที่วินยังคงถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ไม่กี่นาทีต่อมา แก้วกระดาษใบหนึ่งชูอยู่ตรงหน้าเขา วินลดกล้องลงก่อนจะมองแก้วไปนั้น แล้วยิ้มกริ่ม
   “ไรอ่ะ" วินถามเสียงใส
   “ไปกันได้แล้วล่ะ" ก้องพูดเรียบๆ "รับไปสิ"
   วินยิ้มให้ก้องครั้งหนึ่งก่อนจะรับมันมาถือในมือ
   ทั้งคู่แบกกระเป๋าออกมาด้านนอกสถานีรถไฟ
   “สถานีรถไฟสวยมากเลยอ่ะนาย ฉันได้ไอเดียอะไรตั้งเยอะ นายคิดดูสิ โครงสร้างแบบนี้หาที่ไทยไม่ได้แน่ๆ และแถม.....” วินพูดพลางยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเพดานของสถานีรถไฟ โดยไม่สังเกตว่าก้องกำลังยืนหยุดที่หน้าสถานี วินหันกลับมามองก้องทันที "….แล้วหยุดเดินทำไมเนี่ย"
   ก้องยิ้มให้วินที่มุมปาก ก่อนจะหันหน้าไปเบื้องหน้า วินจึงมองตามไป
   วินค่อยๆลดกล้องลงช้าๆ ก่อนจะปล่อยมันลงห้อยคอ พลางจับแก้วช็อคโกแลตเอาไว้แน่นทั้งสองมือ ชายหนุ่มเดินออกไปข้างหน้าช้าๆพลางกวาดสายตาไปรอบๆ
   ภาพตรงหน้าคือเมืองที่อาคารเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ ถนนตรงหน้าพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่ขี่จักรยานสวนกันไปมา ต้นไม้ริมถนนผลิใบสีเขียวอ่อนลู่ลมหนาวที่พัดมาอย่างเบาบาง วินโอบแก้วในมือเอาไว้อย่างเบามือ กลิ่นช็อคโกแลตอุ่นๆลอยมาแตะจมูก พอทีกับเห็นลุงวัยกลางคนกำลังจูงสุนัขเดินข้ามถนน เด็กสาวชาวเยอรมันสองคนวิ่งไล่กันอ้อมตัววินอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะวิ่งกลับไปหาแม่ของพวกเธอ วินมองตามไปเห็นชายอีกคนแบกกีตาร์ขี่จักรยานไปยังถนนอีกฝั่ง ที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดสีเขียว วินส่ายหน้าให้ตัวเองช้าๆ ภาพตรงหน้ามันเป็นยิ่งกว่าความฝัน เมืองที่งดงามไปด้วยความสมดุล และการออกแบบที่งดงาม ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางพ่นลมออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาหาก้องที่ยืนกอดอกมองเขาพลางยิ้มที่มุมปาก
   วินอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีสิ่งใดลอดออกมา ก้องยิ้มกว้างเต็มที่ให้วิน ยิ้มแบบที่วินเองไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มเดินตามมาพลางวางแขนเอื้อมโอบไหล่วินเอาไว้
   “ขอต้อนรับสู่สตราส์เบอร์กวิน" ก้องพูดพลางหายใจเข้าและออกครั้งหนึ่ง วินมองหน้าก้องที่อยู่ใกล้ๆพร้อมกับยิ้มให้
   “เหมือนที่นายบอกฉันทุกอย่างเลย" วินว่าพลางหันกลับไปยังตัวเมือง "เหมือนทุกอย่างเลยก้อง"
   “ไปกันต่อเถอะ" ก้องว่าพลางหันมาหาวิน "แล้วก็อย่าลืม จิบช็อคโกแลตร้อนๆไปด้วยล่ะ"
   ก้องออกเดินไปพร้อมกับวิน ที่ค่อยจิบช็อคโกแลตอย่างไม่รีบร้อน พลางดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆตัว
   “ที่ที่เราจะไปพักชื่อเมอร์เคียว" ก้องว่า "อยู่ตรงนั้นเอง"
   “โห....มันจะไม่แพงเหรอก้อง" วินว่า
   “ไม่หรอก" ก้องว่า "ฉันรู้จักกับเจ้าของโรงแรมน่ะ"
   “อั้ยย่ะ" วินร้อง "เป็นคนใหญ่โต"
   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ พี่คนนี้เค้าบินมาทำงานที่ยุโรปรอบเดียวกับฉัน สนิทกันเหมือนญาติอ่ะ" ก้องว่า "เวลาร้านเจ๊ใหญ่ปิดปรับปรุง ฉันจะมารับจ๊อบเป็นบาริสต้ากะกลางคืนที่นี่ซักสามสี่วัน แลกกับที่พักแล้วก็ไปเที่ยวรอบๆเมือง"
   “อ๋อ....อย่างนี้นี่เอง" วินพยักหน้ารับ
   เนื่องจากโรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก ทั้งคู่ใช้เวลาแค่ไม่นานก็มาถึงโรงแรมทันที ก้องเดินเข้าไปคุยกับพนักงานโรงแรมเป็นภาษาฝรั่งเศสอยู่สองสามคำ จากที่วินสังเกต พนักงานคนนั้น แสดงท่าทีดีอกดีใจที่ได้เจอก้องเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้น การพูดคุยกันของพนักงานคนนั้นกับก้องมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ การหัวเราะ สิ่งที่วินไม่เคยเห็นมาก่อนจากบาริสต้าผู้เย็นชาอย่างก้อง
   “ไป ขึ้นไปข้างบนกัน" ก้องหันมาหาวิน พร้อมกับแนะนำวินให้กับพนักงานคนนั้นรู้จัก ก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบน ห้องนอน 408
   ห้องนอนของทั้งคู่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก มีเตียงที่เหมาะกับการนอนสองคนได้สบายๆ กับตู้เสื้อผ้าสองตู้ ห้องน้ำที่หรูหรากระทัดรัด อยู่ด้านซ้ายของประตูขณะที่มีระเบียงเล็กๆอยู่ด้านนอกห้องนอน ที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้พอสวยงาม
   “เก็บของไปก่อนนะวิน เดี๋ยวชั้นมา" ก้องพูดก่อนจะเปิดประตูห้องหายไป วินเริ่มต้นแยกเสื้อผ้าต่างๆที่อัดแน่นมาอย่างลวกๆด้วยความเร่งรีบเมื่อเช้า เข้าตู้เสื้อผ้าไป มันใช้เวลาไม่มากนักก็เสร็จเรียบร้อย วินมองเห็นกระเป๋าของก้องที่วางอยู่มุมห้อง
   “อืม.....ถือว่าเป็นการตอบแทนก็แล้วกันนะเจ้าบาริสต้า" วินพึมพำกับตัวเองก่อนจะถลาไปหยิบกระเป๋าของก้องมาวางบนเตียงแล้วเริ่มจัดข้าวของให้ เสื้อผ้าของก้องก็ไม่ต่างจากที่วินเห็นมาตลอดหลายเดือนนี่เท่าไหร่นัก เสื้อผ้าสบายๆแต่ต้องมีความเนี๊ยบอยู่เสมอ วินแอบเก้อเขินเล็กน้อยที่ค้นมาถึงเหล่ากางเกงในสีขาวของก้องที่เขาต้องจัดมันเข้าตู้เช่นกัน เมื่อมาถึงก้นกระเป๋ามีผ้ากันเปื้อนตัวโปรดพับมาอย่างเรียบร้อยอยู่ด้วย ผ้ากันเปื้อนที่ก้องชอบใช้มันทำอาหารให้เขากินอยู่ทุกวันนั่นเอง วินหยิบมันขึ้นมาคลี่ออกและปัดให้พอหายยับ จนมือไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งที่ซุกอยู่ในกระเป๋าหน้าท้อง
   ล้วงหยิบออกมาเป็นรูปถ่ายเก่าๆหนึ่งใบ เป็นรูปของก้องยืนข้างกับผู้หญิงลูกครึ่งคนหนึ่ง หน้าตาของเธอนับว่าสวยมากทีเดียว ซึ่งทั้งก้องและผู้หญิงคนนั้น ถูกโอบกอดคอด้วยเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านหลัง เด้กหนุ่มหน้าตาขาวสะอาด ใบหน้าฉายรอยยิ้มอย่างมีความสุข วินมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเพ่งพินิจอยู่พักหนึ่ง เขาเห็นบางอย่างอยู่บนหน้าของเด็กคนนั้น มัน....
   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก้องรีบเก็บรูปถ่ายนั้นไปที่เดิม ก่อนจะพับผ้ากันเปื้อนอย่างลวกๆวางไว้บนที่นอน และลุกขึ้นไปเปิดประตู
   “What's matter?” วินร้องถามเมื่อพบว่าเป็นพนักงานที่คุยกับก้องข้างล่างเมื่อกี้นั่นเอง
   “Sorry Kun Wind.Could you please go down to lobby? He wants to see you.” พนักงานคนนั้นบอก
   “Who?” วินถาม
   “Kevin” พนักงานคนนั้นตอบ
   “ห๊ะ" วินทำเสียงหลง "Who's Kevin?. I never heard that name before.”
   “Oh sorry I mean Koon Kong. Is that correct?” พนักงานคนนั้นตอบ
   “Oh yeah. ก้อง some kind like that” วินนึกขำเล็กน้อย เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าก้องมีชื่ออีกชื่อว่าเคลวิน "I'll be there in a moment.Told him I'm not finish yet.”
   “Got it” พนักงานคนนั้นเดินจากไป วินปิดประตุห้องพลางหันกลับมามองกองกระเป๋าของก้องบนเตียง
   “ให้ตายสิ เจ้าบาริสต้า" วินร้อง "นายนี่ลึกลับเป็นบ้าเลย"
   วินเก็บของของก้องอีกสองสามอย่างสุดท้ายเข้าที่ก่อนจะรีบลงไปข้างล่างอย่างที่ก้องฝากบอกมา
….........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 11 Wind ครึ่งแรก][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-10-2012 14:03:51
ที่นี่คงเป็นที่ที่ก้องมีความทรงจำที่ดีกับใครซักคน ที่หัวใจของก้องไม่เคยลืมกระมัง
แล้วก็เดาเอาว่า คงจะเป็นที่ที่หัวใจของวิน/ก้องไม่เคยลืมอีกเช่านกัน ในกาลต่อไป
แต่จะอย่างไรก็ตาม อยากบอกคนเขียนว่า เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากจ้ะ
คนเขียนใช้ภาษาสื่อความรู้สึกได้ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 11 Wind ครึ่งแรก][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-10-2012 14:22:24
ที่ด้านล่างของ Lobby วินลงมาพบก้องกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุดูไม่ห่างไปจากก้องมากนัก แต่การแต่งตัวดูภูมิฐานและดูมีเงินเอาเสียด้วย
   “อ้าว ใช่คนนั้นหรือเปล่า" เสียงเขาทักขึ้นเมื่อเหลือบตามาเห็นวิน
   “อื้อ" ก้องรับคำในลำคอเบาๆ พลางมองมาหาวิน และพยักหน้าเบาๆเพื่อเรียกให้เขาไปหา วินเดินไปในวงสนทนาด้วยความตกประหม่าเล็กๆ "คนนี้แหละ"
   วินพยักหน้าทักทายชายคนนั้นน้อยๆ
   “หวัดดีหวัดดี" ชายคนนั้นกล่าว "วินใช่ไหมล่ะ เพื่อนเคลวินอ่ะ"
   วินหัวเราะเบาพลางเหล่มองก้อง
   “จริงๆแล้วก็แค่เช่าบ้านอยู่ด้วยกันอ่ะคับ" วินตอบ "กับเคลวินอ่ะ"
   “โห นายนี่ตอบแบบตัดสัมพันธ์กันเลยนะ อุตส่าห์พามาเที่ยวที่ดีดี" ก้องหันไปบ่น
   “ไหนว่าจะไม่บ่นทีหลังไง" วินย้อน
   “อ่าๆ...ไม่ทะเลาะกะนายดีกว่า นี่จีโอ เพื่อนชั้นเอง" ก้องว่า
   “หวัดดีค้าบ" จีโอยิ้มกว้างทักทาย
   “เป็นหุ้นส่วนของโรงแรมที่นี่แล้วก็ร้านขนมหวานอีกร้านแถวๆนี้" ก้องอธิบาย "เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ แล้วก็เจ้านายชั้นด้วยน่ะที่จริง"
   “ไม่ขนาดนั้นหรอกคับ" จีโอตอบ "เราสองเคยช่วยเหลือกันมาเท่านั้นเอง"
   “ยินดีที่ได้รู้จักคับ" วินตอบ
   “เช่นกันคับ สนุกที่เมืองนี้ให้เต็มที่ไปเลยนะวิน" จีโอพูด "ส่วนนายก็ค่อยกลับมาที่นี่ตอนหกโมงเย็นก็ยังทันนะ กว่าเลาจ์จะเปิดน่ะ"
   “อ่าๆ ได้" ก้องตอบ
   “วิน เห็ว่านนายเทคคอร์สที่ Esmod ด้วยเหรอ" จีโอถาม
   “ใช่คับ" วินตอบ "แฟชั่นดีไซน์"
   “เจ๋งโคตร" จีโอร้อง ทำเอาวินตกใจเล็กๆ "เอางี้ ถ้าอยากมีร้านเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ ก็บอกกันก็ได้นะ จะลงทุนให้"
   “โห...คงไม่ขนาดนั้นมั้งคับ" วินตอบ
   “หมอนี่มันยังไม่รู้อ่ะ ว่าจะไปไกลได้แค่ไหนน่ะ" ก้องตอบหักดิบ วินมองค้อนแว้บหนึ่ง
   “เห้ย ของแบบนี้มันเร่งรีบกันไม่ได้หรอก ไอ้ก้อง ชีวิตมันต้องคิดเยอะอยู่แล้ว" จีโอตอบ "ตอนนี้ไปเที่ยวเหอะ เดี๋ยวบ่ายสองก็มีตลาดงานศิลป์ด้วยแหนะ เดี๋ยวจะพลาดกัน ออกไปเหอะ"
   “อ่าได้ แล้วเจอกันเพื่อน" ก้องตบไหล่จีโอครู่หนึ่ง
   “แต่ฉันก็ว่าเหมือนจริงๆว่ะ" จีโอพูดกับก้อง ที่หันไปยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนจะพาวินออกจาก Lobby มาด้านนอกของโรงแรม
   “ฉันเช่าจักรยานไว้สองคัน นั่นไง มีคนเอามาให้เราแล้ว" ก้องชี้ไปยังที่จอดจักรยานที่อยู่ถัดไป "เดี๋ยวเราขี่ไปเที่ยวรอบๆเมืองกัน"
   “เมื่อกี้จีโอเค้าบอกว่าเหมือนจริงๆ....อะไรเหมือนอะไรเหรอ" วินถาม
   “ไม่มีอ่ะ" ก้องตอบทันที โดยไม่มองหน้าวิน
   หมอนี่ทำตัวลึกลับใส่เขาอีกแล้ว ตั้งแต่มาที่เมืองนี้ ก้องก็แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วยซ้ำ
   “ชื่อเคลวินเหรอนาย" วินถาม "ตลกว่ะ ทำไมชื่อไทยมันไม่เก๋รึไง"
   “เปล่า" ก้องตอบ "เคลวินเป็นชื่อฉันจริงๆ"
   “อะไรนะ" วินร้อง
   “ก็ชื่อจริงๆไง" ก้องหันมาหาวิน "นายไม่เข้าใจเหรอ"
   “เข้าใจก็ได้....แล้วจะดุทำไมเนี่ย" วินร้อง
   “ก็นายไม่ฟัง" ก้องว่า "ขี่เป็นใช่ป่ะ ไปกันได้แล้ว"
   ทั้งคู่พาจักรยานไปตามท้องถนนของสตราส์เบิร์ก อย่างไม่เร่งรีบ
   “เราจะไปไหนกันอ่ะนาย" วินร้องถาม
   “ย่านกลางเมืองที่โบสถ์ ถ้านายชอบสถาปัตยกรรม ที่นั่นก็สวยมาก แล้วก็มีของขายเยอะแยะ" ก้องตอบ
   วินพยักหน้ารับพลางขับตามไป
   ไม่กี่อึดใจต่อมาทั้งคู่ก็มาถึงย่านกลางเมือง ที่รายเล้อมไปด้วยบ้านไม้สไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่เรียงราย ผู้คนเดินไปมาพลุกพล่าน นักท่องเที่ยวก็เช่นกัน เดินตัดตรงไปยังโบสถ์ Notre Dame ที่อยู่กลางเมือง วินและก้องไม่สามารถขับจักรยานเข้าไปได้อีก จึงฝากไว้ที่ร้านขายของชำร่วยร้านหนึ่ง แล้วใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปต่อ ร้านเกาแฟและร้านขายของมากมายที่แต่งขึ้นบริเวณชั้นล่างของบ้านไม้ ทำให้ดูน่ารักมากๆ วินถ่ายรูปทุกร้านเอาไว้อย่างสนใจ ขณะที่ก้องเดินเอามือซุกเสื้อหนาวมองไปรอบๆอย่างเย็นสบาย
   “ก้องดูนี่สิ มีรูปจากเมืองไทยด้วย" วินชี้ให้ดูร้านถ่ายรูปร้านหนึ่ง "ซื้อมะ.....เผื่อนายจะคิดถึงบ้าน"
   “นายอยากได้ป่ะล่ะ ฉันจะซื้อให้ แต่ถามฉัน ฉันไม่อยากได้อ่ะ" ก้องว่า "ไม่ตลกเหรอ ซื้อรูปประเทศตัวเองจากประเทศอื่น"
   “ก็เพราะมันตลกดีอ่ะสิ" วินว่า "นายไม่ตลกเหรอ"
   ก้องส่ายหน้าพลางเดินนำหน้าออกไปทันที วินยักไหล่หน่ายๆพลางเดินตาม ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงโบสถ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
   “โบสถ์นอร์ทเทอร์ ดามน่ะ" ก้องว่า "ที่ปารีสก็มี แต่ที่นี่ก็มีเหมือนกัน เป็นสไตล์โรมานิกเหมือนกัน”
   “โรมานิก ใช่ที่ไหนเล่า ทำเป็นรู้ดี มันออกจะ...” วินว่า
   “โกธิค...” ก้องต่อคำ “ที่นี่เคยโดนไฟไหม้ เค้าก็เลยบูรณะใหม่น่ะ”
   “อ่อ” วินว่าพลางเริ่มลงมือถ่ายรูปแก้อาย
   “มีหอระฆังอยู่ด้านบนอ่ะ จะขึ้นไปไหม” ก้องถาม
   “ไม่อ่ะ” วินตอบแม้ว่าเมือยังกดชัตเตอร์อยู่ “คนเยอะจะตาย ขึ้นไปก็อึดอัด.....ไปกันต่อเหอะ”
   “ถ้านายไม่ซื้ออะไร ก็เดี๋ยวฉันจะพาไปกินข้าว ที่ร้านตรงมุมโน้นนะ แล้วเดี๋ยวเราก็กลับกันได้แล้วล่ะ” ก้องว่า
   “เห้ย จะรีบกลับไปไหน” วินว่า “ฉันยังไม่ได้ไปดูตลาดศิลปะที่จีโอเพื่อนนายบอกไว้เลย”
   “ฉันกะว่าจะพานายไปพรุ่งนี้แทนอ่ะ” ก้องว่า “ตลาดนั่นมันอยู่อีกฝากนึงของเมือง”
   “อ้าวเหรอ” วินร้อง “จริงสิ นายต้องไปเป็นบาริสต้าด้วยนี่คืนนี้”
   “ใช่ แต่พอเลาจ์ปิด เราค่อยมาที่นี่กันอีกรอบ” ก้องตอบ
   “มาทำไมอีกอ่ะ” วินถาม
   “เอาเหอะน่า ไปหาไรกินกันเถอะ” ก้องพูดพลางเดินนำไป
   “โอเคค้าบ คุณไกด์” วินร้อง
   วินาทีนั้น ก้องหันหน้ากลับมาหาวินทันที พลางจ้องมองวินตาเขม็ง
   “อ้าวเห้ย เป็นไรไปวะ" วินร้อง "ทำตาหน้ากลัวจัง"
   “นายเรียกชั้นว่าอะไรนะเมื่อกี้" ก้องถาม
   “เรียกว่าอะไร" วินถาม "อ๋อก็ไกด์ไง ไกด์อ่ะ....คนนำเที่ยวอ่ะ แปลกตรงไหนวะ"
   “ไม่มีอะไรอ่ะ" ก้องว่า "ตามมาได้แล้ว"
   วินเอียงคอเล็กน้อย รู้สึกรำคาญในบุคลิกของเจ้าบาริสต้าคนนี้จริงๆ ถ้าจะแปลกได้ถึงขนาดนี้ล่ะก็ โชคดีที่เขาคุ้นชินมามากพอแล้วกับสามเดือนที่ผ่านมา
   ยอมรับว่าเสต็กมื้อกลางวันอร่อยไม่ใช่เล่นเลยสำหรับวิน ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะก้องต้องรู้เรื่องอาหารดีเลิศ และมันก็ไม่เคยผิดหวัง วินทานมื้อกลางวันอย่างหิวโซ เพราะตั้งแต่ออกเดินทางก็มีเพียงช็อคโกแลตร้อนๆจิบแก้หนาวเท่านั้น นี่นับเป็นมื้อแรกของการเดินทางมาสตราส์เบิร์กนี้
   “นับถือนายเรื่องอาหารจริงว่ะก้อง" วินพูดขณะเช็ดปากและดื่มน้ำ "ขาดลอยจริง"
   “ขอบใจ" ก้องว่าขณะตักซุปที่เหลือก้นถ้วยทาน "ที่นี่ฉันว่ารสชาติโอเค แล้วราคาก็ไม่แพง"
   “ไม่แพง จานละ 800 ยูโรเนี่ยนะ" วินร้อง
   “ก็ไม่แพง ด้วยรสชาติเท่านี้" ก้องร้อง "ของเค้าดี บริการก็ดี อาหารรสชาติเยี่ยม เค้าก็ควรได้ราคาที่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ 800 นี่ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ กับระดับรสชาติเท่านี้"
   “อืมมม ก็จริงอ่ะ" วินว่า "ว่าแต่ นายจะเลี้ยงฉันแบบนี้ไปทุกมื้อจริงๆอ่ะเหรอ นายไหวเหรอวะก้องถามจริง"
   “ไหวดิ" ก้องว่า "ไม่เชื่อใจกันเหรอ ฉันเคยดูแลนายมามากกว่านี้ หนึ่งเดือนเต็มๆเลยนะ"
   “แต่ไม่ใช่ราคาเท่านี้ป่ะวะ" วินร้อง
   “ต้มยำกุ้งหม้อแรกที่ฉันทำให้นาย ก็ไม่ได้ถูกนะ" ก้องตอบพลางอมยิ้ม "เชื่อใจฉันเถอะน่า บอกว่าเลี้ยงได้ ก็คือเลี้ยงได้ดิ"
   “แต่ฉันไม่สบายใจ" วินว่าพลางมองออกไปนอกร้าน หอระฆังสูงตะหง่านอยู่ตรงหน้า "ฉันเองก็ไม่ใช่คนไม่มีเงิน ต้องให้นายมาเลี้ยงมาดูแลกันแบบนี้"
   “ยังไม่เลิกคิดมากเรื่องนี้อีกเหรอนาย" ก้องว่า "คำตอบง่ายๆก็คือ ตอนนี้ เวลานี้ นายไม่ได้มีเหมือนที่เมืองไทย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันก็รับหน้าที่ดูแลนายมาอย่างน้อยก็สามเดือนแล้ว นายทิ้งคราบคุณหนูของนายแบบเมื่อก่อนไปเหอะ ที่ผ่านมานี่นายก็ดีขึ้นเยอะ....ชั้นชอบนายที่นายเป็นแบบนี้มากกว่าด้วยซ้ำน่ะ"
   วินหันมามองก้องทันที พลางยิ้มน้อยๆ
   “งั้นเหรอ" วินว่า
   “อ่าหะ" ก้องหลบตาลงมองจานที่ว่างเปล่าของตัวเอง วินมองก้องอยู่อย่างนั้น
   “คืนนี้ให้ฉันเป็นลูกมือนายที่เลาจ์ได้ไหมล่ะ" วินถามขึ้น
   ก้องเงยหน้าขึ้น
   “อะไรนะ" ก้องถามกลับอย่างไม่เชื่อหู
   “ก็.....ถือเป็นการตอบแทนที่นายดูแลชั้นไง อย่างน้อยก็ตลอดวันนี้" วินว่า
   “แล้วถ้านายลืมใส่น้ำตาลขึ้นมาล่ะ" ก้องถามตอบ
   “เชื่อมือเหอะน่า" วินตอบ "ให้โอกาสวินคนใหม่ ได้ทำอะไรดีดีให้คนอื่นบ้างไม่ได้หรือไงเล่า.....นายเป็นคนบอกฉันเอง ว่าให้หัดเติมความหวานให้ชีวิตบ้าง ฉันก็คิดว่าเท่าที่ผ่านมาช่วงนี้ นายก็ทำให้ฉันหวานขึ้นจนจะเลี่ยนอยู่แล้วเจ้าบาริสต้า"
   “อ่านะ" ก้องยักไหล่เบาๆ "งั้นก็โอเค"
   “จริงๆนะ" วินว่า
   “จริง" ก้องว่า "อย่าไปป้ำๆเป๋อก็แล้วกัน"
   “นี่นาย.....”
   เสียงทะเลาะอันอบอุ่นดังก้องไปทั่วย่านกลางเมืองสตราส์เบิร์ก แม้ว่าสายลมที่หนาวเย็นจะพัดผ่านไปแล้ว ใบไม้ที่กำลังผลิออก ก็ยังหนาวอยู่ดี
   หรืออาจเป็นเพราะว่าวิน รู้สึกรักความอบอุ่นแบบนี้เข้าซะแล้ว
   จึงรู้สึกว่าอากาศรอบตัวก็ยังหนาวอยู่เหมือนเดิม
…........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 11 Wind จบตอน][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-10-2012 20:39:07
ตอนที่ 12 Beside

   ก้องทำหน้าที่บาริสต้าที่เลาทจ์ของเมอร์เคียวในช่วงหกโมงครึ่งถึงสองทุ่มครึ่ง วินเองก็ตามสัยญาที่ให้ไว้ ในการเป็นลูกมือให้กับก้องอยู่ด้านหลังของบาร์ วินอยู่ในชุดบาริสต้าอีกคน เป็นชุดบาริสต่าแบบเต็มตัว ไม่เหมือนแบบที่ร้านเกล็ดหิมะ ที่วินจะใส่ชุดธรรมดาและมีผ้ากันเปื้อนทับ แต่ที่นี่วินสวมเสื้อสีขาวกางเกงแสล็คสีดำ คาดผ้าสีดำเต็มยศเช่นเกียวกับก้อง ทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันทำงานอย่างมีความสุข และวินก็ได้แสดงฝีมือการเรียนชงกาแฟกับก้องมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมาได้อย่างน่าประทับใจ
   ก้องเฝ้ามองทุกการกระทำของวินอย่างตั้งใจที่ด้านหลังของบาร์ เป็นความรู้สึกที่ประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับจีโอ ที่แวะมาดูทั้งคู่ทำงานตอนช่วงสองทุ่มด้วย เจ้าตัวแสดงความสงสัยใหญ่ ว่าทำไมวินถึงสามารถเป็นบาริสต้าได้อีกคน
   ล่วงเลยเวลาไปเกือบถึงสามทุ่มกว่าลูกค้ากลุ่มสุดท้ายจะออกจากเลาทจ์ หลังจากนั้นเป็นคิวของบาร์เทนเดอร์และคลับเล็กๆ บาริสต้าสองคนจึงสละตำแหน่งให้กับพนักงานโรงแรมตัวจริง วินทิ้งตัวลงที่เก้าอี้หลังจากหมดหน้าที่แล้ว
   “โอยยยย เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย" วินว่า "นักท่องเที่ยวเยอะใช่เล่นเลยก้อง ฉันงี้สับเปลี่ยนภาษาแทบไม่ทัน"
   “อ่านะ" ก้องตอบ "นายก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกันนี่วิน ส่วนผสมถูกต้องทุกแก้วเหมือนกัน"
   “โห นี่นายนั่งดูฉันด้วยเหรอ" วินถาม
   “อื้อ" ก้องรับคำในคอเบา "ลูกค้าหลายคนเห็นเค้าชอบลายที่นายวาดให้ไปอ่ะ"
   “อ้อ" วินว่า "ก็โชคดีไปที่ฉันวาดรูปเก่งไง นายก็เหมือนกันแหละเจอคนรู้จักหลายคนด้วยไม่ใช่เหรอ"
   “อืม ก็นะ" ก้องตอบ ขณะที่วินยื่นกหน้ามาใกล้
   “เห้ยถามจริง ชื่อเคลวินจริงอ่ะ" วินถาม
   “อืม" ก้องตอบเขินพลางเกาจมูก และอมยิ้ม
   “อั้ยย่ะ" วินว่า "นายนี่มีอะไรๆแปลกๆอยู่เบื้องหลังเหรอเนี่ย อยู่กันมาตั้งนาน ไม่บอกกันซักคำ ตั้งแต่มาที่นี่นะ ชั้นเจอเรื่องเหวอๆเกี่ยวกับนายตั้งเยอะ"
   “ก็ไม่รู้จะบอกไปทำไมอ่ะ" ก้องว่า "ฉันเองก็ไม่นึกว่านายจะอยู่กับฉันมาได้ด้วยดี แล้วก้ได้พาที่นี่ด้วยกัน"
   วินพยักหน้ารับ พลางมองไปรอบๆ
   “แล้ว....ที่นี่มันเป็นที่พิเศษของนายยังไงอ่ะ" วินถาม "นายเคยอยู่ที่นั่นงั้นเหรอ"
   “ก็....ไม่เชิงอ่ะ" ก้องว่า "ไม่รู้จะเล่ายังไง"
   “เออ เออ ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า" วินว่า "ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าละ"
   “อืม เสร็จแล้วก็ลงมาหาฉันที่ Lobby นะ" ก้องว่า "เอากล้องของนายลงมาด้วย"
   “ได้คร้าบบบบ" วินรับคำล้อเลียน
   “แล้วก็....ขอบใจที่จัดเสื้อผ้าชั้นให้น่ะ" ก้องพูด วินยักคิ้วให้เป็นคำตอบ ก่อนจะจ้ำอ้าวออกไปยัง Lobby ซึ่งวินก็พบกับจีโอที่อยู่บริเวณเคาท์เตอร์พอดี
   “อ้าววิน" จีโอร้องทัก
   “อ้าวจีโอ หวัดดีคับ" วินร้องทัก
   “โห วันนี้ขอบคุณมากที่มาช่วย" จีโอร้องบอก
   “อ๋อไม่เป็นไรหรอกครับ" วินว่า "ขอบใจจีโอมากเหมือนกันที่เอื้อเฟื้อที่พักให้พวกเราในการเดินทางนี้น่ะครับ"
   “เห้ย เรื่องนั้นสบายมากอยู่แล้ว" จีโอบอก "ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณวินมากกว่า"
   “เรื่องอะไรเหรอครับ" วินถามกลับ
   “ก็ที่คุณพาเคลวินกลับมาสตราส์เบิร์กได้น่ะ" จีโอตอบ "พวกเราที่นี่หลายคนดีใจมากที่เจอเค้า"
   “อ๋อ เค้าก็บอกผมเหมือนกันว่าไม่ได้กลับมาที่นี่ก็ปีนึงแล้ว" วินตอบ
   “ปีครึ่งด้วยซ้ำวิน" จีโอตอบ "ตั้งแต่....”
   “คุยอะไรกันอยู่เหรอ" ก้องเดินตามออกมาจากเลาทจ์ ตัดบทสนทนาระหว่างวินกับจีโออย่างจงใจ
   “นี่นาย หัดมีมารยาทบ้างสิวะคับ คุณจีโอเค้ากำลังคุยกับฉันอยู่เนี่ย" วินว่า จีโอหัวเราะเบาๆ
   “นายต่างหากที่หัดมีมารยาท ฉันรอนายเปลี่ยนเสื้ออยู่นะ จะมายืนคุยเรื่องไร้สาระไปเพื่อ" ก่ช้องว่าเสียงแข็ง
   “อะไรของนาย ไม่เข้าใจว่ะ" วินส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังชั้นบนของโรงแรม เมื่อพ้นสายตาของก้องและจีโอแล้ว วินตัดสินใจแอบฟังต่อ
   บางทีเขาก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเรื่องลึกลับของหมอนี่มันจะมีอะไรกันนักหนา
   “.....อย่าเล่าให้เค้าฟังจีโอ" เสียงของก้องพูดขึ้น
   “นี่นายไม่ได้บอกเค้าหรอกเหรอเนี่ย" จีโอว่า
   “ไม่ได้จะไม่บอก แต่หาโอกาสบอกไม่ได้" ก้องพูดต่อ "อย่าให้เค้าได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น มันจะทำให้ฉันดูแย่ในสายตาเค้า"
   “นายเป็นห่วงความรู้สึกเด็กคนนี้นี่เองแคลวิน" จีโอถามอีก
   “เขาเป็นคนที่ฉันดูแลมาอย่างน้อยก็ตลอดเวลาที่เขามาฝรั่งเศส" ก้องว่า "มันเป็นความรับผิดชอบของฉันที่ต้องดูแลเค้า"
   วินยิ้มน้อยๆกับประโยคนั้นของก้อง....
   “แต่ฉันว่านายเห็นวินเป็นตัวแทนของเคลลี่มากกว่า" จีโอพูด
   “ช่างมันเหอะ นายไม่เข้าใจหรอก" ก้องพูดทิ้งท้าย ก่อจะเงียบเสียงไป
   วินรีบกดลิฟท์ทันที
   เคลลี่....
   ภาพของเด็กผู้ชายในรูปถ่ายของก้องแว้บเข้ามาในสมอง
   ต้องใช่แน่ๆ.....
   วินคิดได้แล้วว่าที่จริงแล้ว ก้องเองก็มีเรื่องโน่นนี่นั่น ที่เค้าควรจะรู้มากกว่านี้อยู่เหมือนกัน ถ้าก้องอยากจะดูแลเค้า และเห็นเค้าเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง เขาก็ควรจะได้รู้จักก้องมากกว่านี้ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา
   เปิดประตูห้องและเริ่มต้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ประตูห้องก็เปิดออกตาม เป็นก้องนั่นเอง
   “ทำไมเพิ่งเปล่ี่ยนเสื้อผ้าอ่ะ ขึ้นมาตั้งนาน" ก้องถาม
   “ก็....” วินร้องแก้เก้อ ขณะที่ตัวเองยังอยู่ในสภาพสวมเสื้อเพียงอย่างเดียว โดยที่ส่วนล่างมีแค่กางเกงในเท่านั้น
   “อ้อ....เข้าใจและ" ก้องว่า พลางปิดประตูห้องกลับไปตามเดิม
   “เห้ย เจ้าบาริสต้า ไม่ใช่อย่างนั้นนะโว้ย" วินร้องทันที
   “เร็วๆเข้าเหอะน่า" ก้องตะโกนจากนอกห้องมา
   วินส่ายหน้ากับตัวเองเล็กน้อย พลางคิดเรื่องสนุกๆให้กับตัวเอง
   คอยดูเหอะเจ้าบาริสต้า ความลับของนาย ฉันจะต้องรู้ให้หมดทุกเรื่องให้ได้เลย....
…...

   
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 12 Beside ครึ่งแรก][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 06-10-2012 22:45:23
อืม บางทีก็ไม่รู้จะเม้ยว่าอะไร
มาเป็นกำลังใจให้แล้วกันน้าา
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 12 Beside ครึ่งแรก][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 06-10-2012 23:55:09
ลึกลับจริงๆก้องเนี้ย
แต่ทุกอย่างกำลังไปได้ดีไม่อยากให้ความสัมพันธ์ทั้งคู่ต้องล่มเลย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 12 Beside ครึ่งแรก][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 06-10-2012 23:58:49
อ๊ากกก ติดเรื่องนี้งอมแงมโงหัวไม่ขึ้นแล้ว  :m3:
+1ไปสักที อิอิ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 12 Beside ครึ่งแรก][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-10-2012 01:07:49
อ่านแล้วมีความสุขจัง


 :impress2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 12 Beside ครึ่งแรก][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 07-10-2012 02:18:09
หลังจากมีปากเสียงกันพอเป็นพิธี ก้องพาวินออกมาจากโรงแรม และขี่จักรยานไปตามเส้นทางที่เพิ่งไปกันเมื่อตอนบ่าย แม้ว่าวินจะบ่นออดแอด ไม่เข้าใจว่าจะกลับมาที่เดิมทำไมอีกครั้งก็ตาม แต่เมื่อเขาเลี้ยวที่หัวมุมถนน ตรงไปยังย่านกลางเมืองอีกครั้ง วินก็เข้าใจ
   ย่านกลางเมืองที่ตอนนี้เกือบจะเรียกได้ว่าเงียบสงัด ร้างผู้คน ไฟสีเหลืองสดยิงขึ้นจากเสาไฟไปยังหมู่บ้านไม้ทรงยุโรปเมื่อตอนเช้าเป็นสีเดียวกันทั่วทั้งเมือง ถนนที่เงียบสงัดและกว้างขวางขึ้นกว่าเมืองกลางวัน ทำให้วินรู้สึกว่าตอนนี้ย่านกลางเมือง...
   “เหมือนมีแค่เราสองคน" ก้องพูดขึ้น "คิดอย่างนั้นอยู่ใช่ป่ะล่ะ"
   “รู้มากนะนายเนี่ย" วินกัดก้องกลับเบาๆ แม้ว่าไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลย "นายนี่รู้จักเมืองนี้ได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ รู้ว่าตอนไหนจะมีอะไร นายเป็นคนไทยไม่ใช่เรอะ"
   “หึ" ก้องหัวเราะเบาๆ "ฉันรู้จักเมืองนี้ดีพอพอกับมือตัวเองเลยล่ะ"
   วินคิดว่าก้องต้องมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองที่ปกปิดอยู่แน่ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงๆวินไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น แต่มันติดตรงที่ว่าสามเดือนที่ผ่านมา ก้องรู้เรื่องของเขามากเกินไป และเมื่อมาถึงที่นี่ ก็กลับกลายเป็นว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับก้องเลยซักอย่าง เดี๋ยวก็มีเรื่องนี้ เรื่องนั้นโผล่มาให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่ขาด และถ้าหากพูดถึงความไม่ยุติธรรมแล้ว วินยิ่งยอมไม่ได้
   ระหว่างเดินถ่ายรูปเมืองยามราตรีอันสวยงาม วินก็คิดในใจถึงวิธีที่จะแซะเอาความจริงออกมาให้กระจ่าง แต่ก้องไม่ใช่คนที่เขาจะ่อกรด้วยง่ายๆเสียด้วย เขารู้ตัวเองว่าตัวเขาแสบแค่ไหน และเอาใจยากแค่ไหน แต่ก้องก็หาสารพัดลูกไม้ มางัดกับเขาจนเขากลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้ง ดังนั้นการจะย้อนเกล็ดก้องกลับ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
   แต่ถ้าทำได้ มันก็คงสนุกพิลึกเหมือนกัน......
   ทั้งคู่มาหยุดอยู่ตรงหน้าโบสถ์นอร์ทเทิร์น ดามบริเวณหอระฆังอีกครั้ง แสงสีเหลือส้มที่สะท้อนไปบนสถาปัตยกรรมยามค่ำคืนนับว่าสวยมากสำหรับวิน เขาไม่สามารถละสายตาไปจากหอคอยที่ต้องแสงไฟนี้ได้จริงๆ
   “อยากขึ้นไปไหม" ก้องถาม "ตอนนี้คนคงไม่เยอะแล้วล่ะ"
   “ขึ้นได้เหรอ" วินถาม "เขาปิดแล้วมั้ง"
   ก้องไม่รอช้า จับมือของวินวิ่งเข้าไปตรงทางขึ้นหอระฆังทันที บนไดเวียนของหอระฆังยาวไม่ใช่เล่น วินพ่นไฟใส่ก้องอย่างรุนแรง เพราะไม่เพียงแต่มันยาวมากแล้ว โบสถ์เค้ายังปิดแล้วอีกด้วย พอใกล้ถึงช่วงบนของหอระฆัง วินก็เลิกบ่นแล้ว เพราะความเหนื่อย แถมบันไดที่ขึ้นก็แคบลง และอันตรายมากขึ้นอีกด้วย และในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นมาทั้งยอดหอระฆังได้สำเร็จ
   “เห้ย เป็นไร" ก้องหันมาถามวิน ที่ก้มลงหอบแห่ก พลางมองก้องด้วยสายตาอาฆาต
   “ไอ้..บ...บ้าเอ๊ย" วินหอบหายใจ "นายไม่รู้ใช่ป่ะเนี่ย ว่าโบสถ์เค้าปิดแล้ว"
   “รู้ … แต่อยากพานายขึ้นมาอ่ะ" ก้องตอบ
   “แล้วถ้าใครมาเห็นจะทำยังไง" วินว่า
   “ก็อย่าให้ใครเห็นสิ ไม่เห็นยาก" ก้องว่า "รีบเข้าประตูมาก็ไม่มีใครเห็นแล้ว แล้วถ้าไม่ใครไม่โวยวายก็ไม่ใครรู้หรอก"
   วินส่ายหน้าเบาๆ พลางเดินไปยังช่องหน้าต่างบนหอระฆัง และนั่นทำให้เขาเห็นเมืองทั้งเมืองที่มีออร่าสีเหลืองเหมือนกันหมดทั้งเมือง
   “นายนี่เป็นคนที่ประหลาดมากเลยรู้ตัวป่ะ" วินถามขึ้น
   “งั้นเหรอ" ก้องว่า พลางเดินมายืนข้างๆกันกับวิน "ทำไมคิดงั้นอ่ะ"
   “นายเหมือนมีบางอย่างอยู่เบื้องหลังอ่ะ" วินว่าพลางหันไปทำหน้าจริงจังใส่ก้อง ที่ตีสีหน้าเคร่งขรึม พลางมองไปยังตัวเมืองเบื้องล่าง "ลึกลับ"
   “งั้นเหรอ" ก้องถาม "ฉันทำตัวลึกลับขนาดนั้นเลยเหรอ"
   “ไม่รู้ว่ะ" วินร้องพลางถอนหายใจ "ไม่ใช่ทำตัวลึกลับ แต่.....เหมือนนายมีบางอย่างที่ลึกลับ"
   ก้องหันมามองหน้าวินอีกครั้ง พอดีกับที่วินหันมามองก้องอีกครั้ง ทั้งคู่มองตากันอยู่นานหลายนาที
   “นายมีอะไรปิดบังกันอยู่หรือเปล่า" วินถามขึ้น
   ก้องมองหน้าวิน ภาพบางอย่างหวนกลับเข้ามาในความทรงจำจนมันชัดเจนเกินไป ชายหนุ่มหลบตาก่อนจะปลีกตัวออกมาจากวิน
   “ไหนบอกว่า เมืองนี้คนที่จะเชื่อใจได้ก็มีแต่นาย" วินว่า "แล้วแบบนี้ ฉันจะเชื่อใจนายได้จริงๆเหรอวะ"
   ก้องหันหลังกลับมา
   “นี่เอาคำพูดมาย้อนกันเลยเหรอนาย" ก้องว่า
   “นี่ฉันซีเรียสนะเจ้าบาริสต้า" วินว่า "ฉันว่าเรื่องที่เกี่ยวกับนายที่ฉันเจอที่นี่มันจะเยอะไปและฉันว่า"
   “แล้วนายจะมาสนใจเรื่องของฉันทำไม" ก้องถามต่อ
   “คือ....” วินถอนหายใจพลางหันกลับยังหน้าต่างหอระฆังอีกครั้ง "ฉันเดิมพันกับนายหมดตัวเลยนะเว่ย ฉัน.....ฉันพึ่งนายไปแล้วด้วยอ่ะดิ"
   “อันนี้รู้" ก้องว่า "เห็นกันอยู่"
   “เห้ย นี่ฉันไม่ได้จะมาชวนทะเลาะนะเว่ย" วินว่า "แต่ฉัน...ฉัน...ฉันกลัวว่ะ"
   “กลัวว่า?" ก้องถาม
   “ก็กลัวว่า....” วินพูดเสียงดังพลางหันกลับมาหาก้องอีกครั้ง "กลัวว่าถ้านายคนที่ฉันรู้จัก มันไม่ใช่นาย แล้วฉัน....ฉันจะเชื่อใจใครได้วะ"
   ก้องเงียบสนิทเมื่อวินตั้งคำถามี้ใส่เขา ชายหนุ่มมองนิ่งไปยังเมืองที่อยู่เบื้องหน้า วินไม่เก่งเรื่องอ่านสีหน้าคน แต่เขาก็รู้ว่าก้องกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง คิ้วเข้มทั้งสองขมวดเข้าหากันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะสายตาอันคมคายคู่นั้นจะหันกลับมาหาวินอีกครั้ง
   “แล้วคำถามคือ" ก้องถามกลับ
   “นายเป็นใครกันแน่วะก้อง" วินถาม
   “ฉันก็คือฉัน" ก้องตอบสั้นๆ "แล้วนายเห็นเป็นใครอยู่อ่ะตอนนี้"
   “นั่นเป็นคำถาม หรือพูดประชดวะ" วินร้อง
   “แล้วถ้าเป็นคำถามอ่ะ" ก้องว่า
   “คำตอบก็คือ คนลึกลับ" วินตอบทันที "ที่อยู่ๆก็กลายเป็นอีกคนไปซะเฉยๆ....คือคนที่ถามอะไรไป ก็ไม่เคยได้คำตอบกลับซักอย่าง เหมือนกับว่า อยู่ด้วยกันมาสามเดือน ไม่เคยรู้จักกันเลยงั้นแหละ"
   “ฉันก็ไม่เคยรู้จักนายนะที่จริง" ก้องว่า "นายอย่าสับสน ระหว่างคนที่รู้จัก กับคนที่ไว้ใจ บางทีมันอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นคนคนเดียวกันก็ได้"
   “แต่นายบอกให้ฉันไว้ใจนาย" วินเถียง
   “ซึ่งนายก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักฉันก็ได้นี่" ก้องว่าต่อ
   “แต่ฉันอยากรู้จักว่ะ" วินว่า "มันไม่แฟร์กับฉัน เพราะนายรู้จักฉันหมดแล้ว"
   “ยังไง" ก้องถามต่ออีก
   “นายไม่ใช่คนโง่บัดซบ หรือไม่มีหูไม่มีตาเลยนะก้อง" วินร้อง "นายดูไม่ออกเหรอถามจริง ว่าฉันเป็นไอ้คนไม่ได้เรื่องที่ถูกพ่อส่งมาดัดนิสัยอ่ะ.......ไม่รู้เลยช้ะ ถามจริง"
   ก้องเงียบไปพักนึง
   “ก็พอจะเดาได้อ่ะ" ก้องว่า "ก็เพิ่งจะคิดออกได้ไม่นานนี้เหมือนกัน"
   “เห็นมะ" วินว่า "นายรู้จักฉันมาทุกอย่าง เรื่องที่เรียน เรื่องที่ฉันมีปัญหายังไง ทุกเรื่องอ่ะ ฉันก็ต้องมีสิทธิที่จะรู้จักนายบ้างดิวะ"
   “ฉันว่าเรากลับเหอะ" ก้องพูด "ดึกมากแล้ว อากาศเริ่มเย็นแล้ว"
   “เห็นป่ะ ให้ตายยังไงก็ไม่พูด" วินร้อง "นายจะเย็นชาไปถึงไหนวะ ไหนบอกว่าฉันก็พิเศษกับนายพอถึงได้พามาที่นี่ได้ไม่ใช่รึไง"
   “ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น" ก้องว่า "ฉันบอกว่านายน่ะ....”
   “งั้นเอางี้" วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง "ผู้หญิงที่ชื่อแคลลี่ คือคนที่อยู่ในรูปของนายในกระเป๋าหน้าของชุดบาริสต้าของนายใช่ป่ะ และที่นี่ก็เป็นที่ที่นายกับเค้าเคยมีความสุขด้วยกัน นายเกิดคิดถึงที่นี่ขึ้นมา ก็เลยพาฉันมาร่วมระลึกความหลัง ใช่ป่ะ"ล่ะ”
   ก้องทำตาเบิกกว้างใส่วิน พลางส่งรังสีที่น่ากลัวออกมาจนวินสัมผัสได้ วินกัดฟันเล็กๆ ที่พูดการคาดเดาของตัวเองออกไปอย่างไม่ตั้งตัว เขารู้สึกว่าก้องโกรธเอามากๆเสียด้วย ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาวินช้าๆ จากบันไดทางลง วินถอยหลังจนติดกับหน้าต่างหอระฆังพลางหยีตาลง ก้องเดินมาอย่างน่ากลัวมากๆ
และ.....
   “ก....ก้อง...ด...เดี๋ยว...คือ...ฉัน”
   ก้องคว้าตัววินมากอดอย่างรวดเร็ว วินถูกร่างกายที่กำยำกว่าเล็กน้อยดึงเข้าหา เสียงลมหายใจที่หอบถี่ของก้องดังอยู่ข้างหู ความอบอุ่นจากเสื้อหนาวของก้อง และความกลัวของวินที่ดิ่งลงและหวนขึ้นเป็นความตกใจ ทำเอาหัวใจเขาเต้นรัว กลิ่นไอตัวของก้องทำให้จมูกของเขาอุ่นขึ้น ดึงสติที่หล่นวูบให้กลับมา ตอนนี้ร่างกายของเขาอบอุ่นเหลือเกิน มันเหมือนกับมีความรู้สึกบางอย่างส่งผ่านมาหาเขา มือที่โอบหลังเขา บีบแน่นเบาๆ อยู่อย่างนั้น
   กอดกันอยู่นานหลายนาที
   “อย่าพูดชื่อนั้น ถ้านายไม่ได้รู้อะไรมากพอ" ก้องพูดเสียงสั่นเครือ "….แค่นี้ ที่มีนายอยู่ นายก็เหมือนเขามากจนเกินพอแล้ว"
   วินฟังสิ่งที่ก้องพูดอย่างงงงันปนความตื่นตระหนก นี่คือสิ่งท่ประหลาดที่สุดของก้องทำกับเขาเท่าที่เขาเคยสัมผัสมา
   ก้องผละออกจากวินทันที พลางเดินไปยังบันไดวน
   “กลับโรงแรมกันได้แล้ว" ก้องพูดเสียงสั่น พลางเดินลงบันไดหายไป
   วินยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้สติและเดินตามก้องไป
   สำหรับเขาเหตุการณ์เมื่อกี้ มันไม่ได้ทิ้งร่องรอยความอบอุ่นไว้อย่างเดียว มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก กอดของก้องเมื่อกี้มันบอกอะไรบางอย่างที่วินไม่เข้าใจ
   มันเหมือนกับว่า มันเป็นอ้อมกอดของการดูแลคนที่พิเศษ การดูแลที่ออกมาจากความบริสุทธิ์ใจของใครซักคน
   วินชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เขายังอยากรู้เรื่องลึกลับเบื้องหลังก้องอยู่อีกไหม
….........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 12 Beside จบตอน][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 07-10-2012 21:28:41
มันเข้มข้นขึ้นนะ พัฒนาการก็ไปไกล
เค้ากอดกันแล้วๆ
แต่ทำไมเรารู้สึกว่ามันก็ยังคงความเรื่อยๆเอาไว้อย่างเหนียวแน่?
หรือเรารู้สึกไปเอง

อืมชอบนะความเรื่อยๆ มันหยุ่นๆดี
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 12 Beside จบตอน][อัพเดท Quote นำเรื่อง]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 08-10-2012 13:00:41
ตอนที่ 13 Sepia

   “ไม่อ่ะ ฉันว่าไม่ใช่ทางนั้น" วินร้องใส่ก้องในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น "เราขับผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอ"
   “อย่าทำเป็นรู้จักถนนที่นี่ดีกว่าฉันไปหน่อยเลย" ก้องตอบ "ขับตามมาเหอะน่า"
   วันรุ่งขึ้นทั้งเขาและก้องตื่นสายกันพอสมควร กว่าจะกลับมาถึงโรงแรมเมื่อคืนก็ร่วมตีสอง วึ่งวันนี้ตามคำพูดของก้อง ทั้งคู่จะขี่จักรยานไปยังอีกฝากหนึ่งของเมืองในช่วงเขต La Pitite France ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่าของฝรั่งเศส เป็นเมืองเก่าที่มีคลองตัดผ่าน โดยมีโบสถ์เซนต์พอลตั้งอยู่กลางเมือง เป้าหมายของการเที่ยววันนี้ก็คือ การมายังตลาดศิลป์แผงลอยของนักศึกษาศิลปะที่นี่ นับเป็นที่ที่วินหมายตามามากที่สุด
   เมื่อทั้งคู่ขี่ผ่านศูนย์วัฒนธรรมมาได้ ก็พบกับสะพานข้ามคลองที่มีผู้คนพลุกพล่าน ที่นี่คือตลาดขายงานศิลปะที่ขึ้นชื่อของเมือง ก้องและวินจอดจักรยานไว้ที่เชิงสะพาน ก่อนจะเดินขึ้นไป
   “อยากได้อันไหนก็บอก เดี๋ยวซื้อให้" ก้องพูด
   “จริงอ่ะ แล้วถ้าแพงอ่ะ" วินว่า
   “เชื่อดิ ว่านายจะไม่หยิบอันแพงมาให้ฉันออกตังค์ให้หรอก" ก้องว่า "แล้วอีกอย่างถึงจะแพง มันก็งานศิลป์ ถ้านายชอบ ก็ซื้อไปเหอะ"
   “งั้นก็ไม่เกรงใจแล้วนะ" วินว่า
   วินได้เห็นงานศิลปะมากมาย ทั้งภาพถ่ายแล้วก็ภาพวาด บางร้านเอาของสะสมสมัยเก่าๆมาขายในธีมโอล์ดี้ ซึ่งเก๋ไก๋ไม่เบาทีเดียว ขณะที่ก้องกลายเป็นคนถ่ายรูปให้วินแทน เพราะเจ้าตัวมัวแต่ม่วนกับการเลือกซื้องานศิลปะ
   วินใช้เวลานานมากทีเดียวบนสะพานนั้น และถนนที่อยู่ถัดไป วินซื้อภาพวาดสองรูปมาจากร้านของนักศึกษาคนหนึ่ง เป็นภาพวาดวิวจากหอระฆังโบสถ์นอร์เทอร์ ดามตอนกลางคืน มุมเดียวกับที่ก้องและวินไปมาเมื่อคืน และอีกรูปเป็นรูปทิวเขานอกเมืองที่อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า และบ้านไม้หลังหนึ่งที่จัดวางภาพได้งดงาม แม้ว่าก้องยืนยันว่าจะไม่ช่วยแบกกลับปารีสแน่ๆก็ตาม แต่วินก็เกลี้ยกล่อมให้ก้องช่วยถือได้สำเร็จ
   ล่วงเลยเวลาไปหลายชั่วโมง ทั้งคู่ขี่จักรยานชมเมืองเก่าไปรอบๆ วินได้รูปถ่ายสวยๆเยอะมากในชุกช่วงตึก บรรยากาสวันนี้ที่ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป ทำให้การขี่จักรยานทางไกลเป็นไปด้วยความสนุก และก้องเองก็เลิกทำตัวลึกลับอีกต่างหาก ทั้งคู่จับจองที่นั่งริมคลอง ที่สามารถมองเห็นหอคอยแฝดทรงจตุรัสตรงปากทางเข้าเมืองได้พอดี เพื่อนั่งดื่มโกโก้ร้อนๆจากร้านข้างทาง วินนั่งกดดูรูปที่ถ่ายมาได้อย่างมีความสุข ขณะที่ก้องนั่งพิงเก้าอี้มองไปเบื้องหน้าอย่างสบายใจ
   “ก้อง รูปนี้สวยเปล่า" วินยื่นกล้องให้ดู เป็นภาพห้องแถ;ริมคลองที่แสงสวยมากๆ
   “อืม สวย" ก้องว่า
   “ยังไม่ทันดูจริงๆเลยนาย พูดไปเรื่อย" วินร้อง
   “ดูแล้วค้าบ" ก้องพูดย้ำ
   “เออๆ ดูแล้วก็ดูแล้ว" วินส่ายหน้าพลางกลับไปกดรูปในกล้องต่อ
   จริงๆแล้วการเที่ยวของทั้งคู่วันนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อวานเลยซักนิด บรรยากาศมันสุดที่จะอึมครึมจนออกจะอึดอัดไปด้วยซ้ำ เพราะบทสนทนาของวินและก้องที่สุดแสนจะปกติ กลับไม่ได้มองหน้ากันเลย ทุกครั้งที่ทั้งคู่เผลอมองหน้ากัน ก็จะรีบหลบตากันทันที ราวกับมีประแสไฟฟ้าโวลต์สูงวิ่งผ่านไป
   วินยอมรับว่าเหตุการณ์เมื่อคืนสร้างความตะขิดตะขวงใจให้กับเขาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเช้าขึ้น ก้องพูดกับเขาด้วยนำเสียงสุดปกติว่า "ขอโทษ" และไม่ได้แสดงท่าทีจะรำลึกเรื่องเมื่อคืนแต่อย่างใด เขาก็ไม่อยากจะใส่ใจ
   แต่มันก็เหมือนคนมีคนเอาความลับมาหยอด ถึงแม้ว่าวินรู้ว่าถ้ายิ่งถลำลึกไปมันจะไม่ดี แต่ตอนนี้ วินก็ยังอยากรู้ความลับของก้องอยู่ดี
   วินนั่งเคลียร์รูปในกล้องเสร็จได้ที่แล้ว ก็นั่งพักสบายๆบ้าง โดยการนั่งพิงไปกับเก้าอี้  ขณะที่ก้องยังคงมองไปเบื้องหน้าอย่างนิ่งสงบ เหมืองสายน้ำที่อยู่ตรงหน้า
   “ทะเลาะกับพ่อมาจริงๆเหรอนาย" ก้องถามขึ้นทันที วินรู้สึกอุณหภูมิรอบตัวลดลงอย่างหวบห้าบ ความรู้สึกอึดอัดที่เขาและก้องเก็บซ่อนมาทั้งวันเริ่มเข้ามาแทนที่
   “แล้วยุ่งอะไรด้วยล่ะ" วินถามเสียงห้วน นับเป็นคำถามที่ถลำลึกมากจริงๆ
   “อยากรู้ไม่ใช่เหรอ" กายว่า "เรื่องของฉันน่ะ"
   วินหันควับมาทันที
   “เห้ยนายนี่เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนอารมณ์ไวจังวะคับ" วินร้อง "บอกตรงๆทริปนี้ฉันโคตรปวดหัวเลยว่ะ เดี๋ยวนายก็เป็นอย่างโน้น เดี๋ยวพูดอย่างนี้ เป็นก้อง เป็นเคลวิน ตามไม่ทันว่ะ"
   “ก็ถ้านายเล่าเรื่องของนาย ฉันก็จะให้นายรู้เรื่องของฉัน" ก้องว่า วินมองก้องอยู่พักหนึ่ง
   “ไม่เอาอ่ะ" วินว่า "ไม่อยากรู้แล่ว"
   วินทิ้งหางเสียงลง เพื่อให้รู้ว่าการกอดของก้องที่หอระฆังเมื่อคืน มันยังทิ้งรอยความรู้สึกบางอย่างบนตัววินอยู่
   “งั้นถ้าฉันไม่ใช่ฉันขึ้นมา อย่าหาว่าไม่เปิดโอกาสให้รู้ละกัน" ก้องพูด
   วินส่ายหน้าครั้งหนึ่ง
   “นี่นายสามารถบังคับฉันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ" วินว่า "ไหงฉันต้องจนมุมนายทุกเรื่องเลยให้ตายสิ"
   “หึหึ" ก้องว่า "ว่าไงล่ะ ไหนลองเล่ามาสิ ทำไมถึงมาโผล่ที่ปารีส"
   วินนั่งมองดูหอคอยแฝดที่อยู่ริวฝั่งน้ำตรงหน้า เหมือนมันกำลังส่งความหมายอะไรบางอย่าง
   “ก็ทะเลาะกันนั่นแหละ" วินพูดเบาๆ "ฉันมันก็ไม่ได้เรื่องจริงๆอ่ะ"
   “ไม่มีเหตุผลมากกว่านั้นเลยเหรอ" ก้องถามอีก
   “ก็มีอ่ะ แต่ไม่รู้บอกนายไป นายจะเข้าใจหรือเปล่า" วินว่า "ก็ประมาณว่า ฉันไม่อยากทำงานกะเค้า ยิ่งฉันไม่ได้เรื่องแบบนี้ด้วย เค้าก็เลยส่งมานี่ ให้มาเรียน"
   “แล้วทำไมเค้าไม่ส่งเงินให้อีกอ่ะ" ก้องถามตรงเข้ามาอีก เหมือนีดบางอย่างแทงจี๊ดเข้าใจของวิน
   ชายหนุ่มก้มหน้าลงช้าๆ
   “จริงๆฉันขอเขาอีกก็ได้" วินว่า "แต่......ฉันไม่อยากขออีกแล้ว"
   “หยิ่งหรือไง" ก้องว่า
   “เออ หยิ่ง" วินร้องประชด "มีความสุขจะตาย นายเลี้ยงแบบนี้อ่ะ"
   “งั้นเหรอ" ก้องว่า "รู้ป่ะค่าใช้จ่ายที่ฉันเลี้ยงนายมาตลอดทริปนี้อ่ะเท่าไหร่"
   “โห ไอ้งก" วินว่า "ไหนว่าเลี้ยงไงวะ มีจดค่าใช้จ่ายไว้ด้วย ไอ้..."
   “ล้อเล่น" ก้องว่าพลางยิ้มน้อยๆ "จำไม่ได้หรอก บ้าป่าว"
   วินมองค้อนก้องแว้บหนึ่ง และเงียบกันไปพักหนึ่ง
   “เรื่องของฉันก็ประมาณนี้แหละ" วินว่า "ไม่ต้องละเอียดมากหรอก มันเป็นเรื่องงานของพ่ออ่ะ บอกไป นายก็ไม่เข้าใจหรอก"
   “แล้วก็ไม่คิดจะกลับไปอีกเลยเหรอ" ก้องถาม
   “ไม่" วินตอบทันที "นายอยากให้ฉันอยู่ด้วยต่อไม่ใช่หรือไง"
   “ใช่" ก้องตอบ "แต่ถ้าฉันไม่ได้ชวนอ่ะ ถ้าเกิดฉันให้นายอยู่ได้แค่นี้พรุ่งนี้อะไรอย่างนี้"
   วินถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางมองออกไป หัวใจของเขารู้สึกโหวงข้างในอย่างประหลาด
   “ไม่รู้เหมือนกัน" วินว่า
   ก้องมองหน้าวินอยู่อย่างนั้น คำพูดธรรมดาของวินคำนั้น มันเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าเกินไป
   “อื้ม" ก้องว่า "ก็นี่ไง อยู่ด้วยกันนี่แหละ"
   วินหันกลับมายิ้มให้ก้องเบาๆ
   “ฉันเองก็....ไม่ได้อยู่กับใครมานานแล้ว" ก้องตอบ "มีนายอยู่ด้วยมันก็.....สนุกดีเหมือนกัน"
   “อ่านะ" วินว่า "ขอบใจ"
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง วินไม่กล้าถามก้องกลับเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตามที่ก้องปิดบังเขาอยู่ เดี๋ยวจับพลัดจับพลูก้องโผกอดเค้าตรงนี้มันจะไม่ดีเป็นแน่ ได้แต่ปล่อยให้ความรู้สึกที่มีความเหงาเจือปนเบาบาง ไหลลอยไปกับบรรยากาศของเมืองตรงนี้
   “กลับกันเถอะ" ก้องว่า วินเหลือกตาขึ้นน้อยๆ กะแล้วว่าก้องก็ไม่ยอมพูดให้เขาฟังแน่ๆ ทำทีเป็นหันหน้าไปยิ้มให้
   “อื้อ ที่นี่สวยมากเลย" วินว่า "แต่คืนนี้ก็ไม่ต้องพาย้อนมาแล้วนะ"
   วินแกล้งพูดเป็นนัยๆ
   “ไม่หรอก" ก้องว่า "คืนนี้ ฉันจะให้นายรู้เรื่องของชั้นไง"
   ก้องลุกขึ้นออกเดินไปยังจักรยานทันที
   วินนั่งอึ้งอยู่อย่างนั้น
…..............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 13 Sepia ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 08-10-2012 14:35:39
เวลาก็เหมือนจงใจเดินเร็วขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  บาริสต้าก้องและวิน ทำงานเข้าขากันอย่างดีในตอนค่ำของวันนั้น เป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่เหมือนกัน ที่ก้องเหมือนกลายเป็นเคลวินอย่างสมบูรณ์แบบ วินได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่อบอวลอยู่หลังบาร์นั้นทำให้หัวใจของวินพองโตเอามากๆ
   สามทุ่มตรง หลังจากที่วินออกเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก้องบอกเขาว่าให้ลงมารอที่บาร์ ซึ่งเมื่อเขาลงมาก็ไม่พบกับใครเลย วินหงุดหงิดเล็กน้อยที่ต้องนั่งรอก้องอยู่นานสองนาน
   “หายไปไหนของเค้าวะ" วินบ่นออดแอดเบาๆ "หลอกให้รอป่ะเนี่ย"
   ผ่านเวลาไปเกือบสี่ทุ่ม วินตากแข็งเป็นหินเมื่อซัดกาแฟไปแก้วที่สามแล้ว ความโกรธทวีความรุนแรงขึ้นเป็นสามเท่าตามแก้วกาแฟ แถมตอนนี้คนในบาร์ก็ค่อยๆหมดแล้วด้วย
   “ไม่ไหวแล้วโว้ย" วินลุกขึ้นอย่างโกรธขึ้ง ก่อนจะเดินออกจากบาร์ไปยัง Lobby ทันที เพื่อขึ้นไปนอน หมอนี่ทำให้เขารออย่างไม่มีเหตุผลเพื่ออะไร วินคิดว่าถ้าก้องกัลบมาที่ห้องเมื่อไหร่ คงจะได้พ่นไฟใส่ให้สาสมกับเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ให้เขารอด้วยความตื่นเต้นอยากรู้
   “คงคิดว่าฉันอยากรู้เรื่องของนายมากสินะ" วินว่าขณะเดินผ่าน Lobby  ”ถ้าไม่อยากเล่าให้ฟังก็ไม่ต้องมาทำให้อยากรู้กันเซ่"
   “คุณวิน" เสียงอันคุ้นหูร้องทักขึ้นทันก่อนที่วินจะกดลิฟท์
   “อ้าวจีโอ" วินทัก "หวัดดีคับ ยังอยู่โรงแรมอีกเหรอครับ"
   “ใช่ใช่ ผมรอคุณอยู่อ่ะ" จีโอว่า
   “รอผม" วินทำหน้าสงสัย "มีอะไรหรือเปล่าคับ"
   “เรื่องเคลวิน" จีโอตอบ "คุณเห็นเค้าหรือเปล่า"
   “ผมรอเค้ามาชั่วโมงนึงแล้วจีโอ เคลวินของคุณอ่ะ" วินว่ากลับด้วยความโมโห "เค้านัดผมไว้สามทุ่มที่บาร์ ผมนั่งดื่มกาแฟรอเค้าจนตาผมแข็งเป็นหินแล้ว"
   “โอ้ จริงเหรอ" จีโอร้อง "เค้าหายไปไหนของเค้านะ ผมมีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับเค้าด้วยอ่ะสิ แต่ผมก็อยากกลับบ้านแล้วเหมือนกัน"
   “จะฝากผมไว้เหรอครับ ที่รอพบผมอ่ะ" วินถาม
   “อ่อ ใช่ๆครับ" จีโอว่า "ฝากบอกเค้าทีว่า เรื่องสาขาของเมอร์เคียว ที่จะเปิดที่สตรัมเบิร์กเดือนหน้า ผมทำแผนธุรกิจให้เค้าแล้ว เหลือให้เค้ามาเซ็นรับทราบก็พอครับ ส่วนเรื่องอัตราส่วนการถือหุ้น ก็ให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ได้เลย"
   วินฟังคำพูดของจีโออย่างไม่เชื่อหู ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ
   “เดี๋ยวนะ" วินว่า "ผมตามไม่ทัน เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ"
   “ให้ผมจดให้มั้ย" จีโอว่า "ยาวไปล่ะสิคุณวิน"
   “ไม่ใช่คับ" วินว่า "เรื่องพวกนั้นอ่ะ หุ้นส่วนโรงแรมอ่ะ ก้อ...เอ้ย เคลวินเค้าเป็นหุ้นส่วนโรงแรมอะไรกับเค้าด้วยเหรอคับ"
   “อ้าว นี่เค้าไม่ได้บอกคุณเหรอคับว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่อ่ะ" จีโอว่า "ผมนึกว่าคุณรู้แล้วซะอีก ที่มาพักที่นี่กะเค้าอ่ะ"
   วินเหลือบตาไปมองบาร์ครั้งหนึ่ง
   คืนนี้ฉันจะให้นายรู้เรื่องของชั้นไง....
   วินหันกลับมาหาจีโอ
   “คุณจีโอ" วินพูดเสียงแข็ง "ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ"
   “ห๊ะ...” จีโอพูดเสียงตลก พลางตกใจที่วินมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที "ผ...ผมต้องรีบกลับนะ เดี๋ยวโดนอีแหม่มที่บ้านว่าเอาแน่เลย"
   “รบกวนไม่นานหรอกคับ" วินว่า "เชิญในบาร์หน่อยคับ"
   วินเดินนำหน้าเข้าไปอย่างไม่รีรอ พลางนั่งรงที่โซฟาที่ติดกับประตูที่สุด อย่างเร่งรีบ จีโอเดินเข้ามานั่งตาม พลางขยับตัวไม่เป็นสุข เมื่อสายตาของวินจับจ้องอย่างแข็งกร้าว
   “ม...มีอะไรคับ" จีโอถามเสียงสั่น
   “ผมอยากรู้เรื่อของเคลวิน......ทุกเรื่อง" วินว่า "ผมไม่สน ว่าเคลวินจะขอให้คุณพูดหรือไม่พูด แต่ผมต้องการรู้เดี๋ยวนี้"
   “เอ่อ...คือ" จีโอพูด "ถ...ถ้าเคลวินรู้ผมก็ตายสิครับ"
   “ถ้าคุณตายเพราะเค้า.....เดี๋ยวเค้าก็จะตายเพราะผมเอง" วินว่า "เมื่อวาน ผมก็ได้ยินที่เคลวินพูดกับคุณด้วย"
   “โอ้...แรง" จีโอทำหน้าตลก ก่อนจะยิ้มแหยๆ "ผมล้อเล่นคุณอ่ะ...เรื่องหุ้นส่วนเมื่อกี้น่ะ"
   “ผมไม่ตลกนะคับ" วินว่า "และผมก็ไม่เชื่อด้วย ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง"
   จีโอถอนหายใจ พลางมองหน้าวิน สีหน้าแววตาแบบนี้ มันก็จริงอย่างที่เพื่อนเขาว่า จีโอผ่อนตัวลงก่อนจะนั่งประสานมือกันอย่างสุภาพ และมองหน้าวินกลับ
   “เค้าบอกคุณเหรอ" จีโอว่า "เรื่องของเค้าอ่ะ ผมจะไม่เล่าอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวผมซวยเอาจะยุ่ง"
   “เค้าบอกจะให้ผมรู้วันนี้" วินว่า "ผมก็นั่งรอเค้ามาชั่วโมงนึงเลยจีโอ ถ้าเค้ามาหายตัวไปแบบนี้ ผมก็ไม่รอแล้ว...แล้วเมื่อกี้คุณก็พูดเรื่องที่ผมไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวก้อง...ก้อง เคลวินอีก ผม....”
   “คุณเรียกเค้าว่าอะไรนะ" จีโอถาม "ชื่อเมื่อกี้อ่ะ"
   “ชื่อไหนครับ" วินถามอีก
   “ชื่ออีกชื่อที่คุณเรียกเคลวิน" จีโอถาม
   “ก้องครับ" วินว่า "ก็เค้าชื่อก้องไม่ใช่เหรอ"
   จีโอทำหน้าตกใจและเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เค้าถอนหายใจอย่างรุนแรง พลางมองมาทางวินอย่างตระหนกกังวล วินรับรู้ถึงเรื่องบางอย่างที่น่ากลัว จีโอเป็นผู้ชายอามรณ์ดี อะไรก็ตามที่ทำให้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปได้หวบห้าบขนาดนี้ได้ มันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ
   “เขาไม่เคยลืมจริงๆสินะ" จีโอพูดขึ้น "มันเป็นอย่างนั้นจริงๆสินะ เค้าถึงกลับมาที่นี่.....”
   วินนั่งฟังสิ่งที่จีโอพูดอย่างสงบนิ่ง เค้าไม่หวั่นกับความจริงใดใดองก้องอีกแล้ว
   เพราะเดี๋ยวหมอนั่นต้องชดใช้เขาอย่างสาสมแน่ๆ
   “เพราะคุณเองก็เหมือนเค้ามากจริง" จีโอว่าพลางถอนหายใจ "ถ้าผมเล่าให้คุณฟัง คุณจะบอกเค้ามั้ยเนี่ย ว่าผมเป็นคนเล่า"
   “เล่ามาเถอะครับ" วินว่า "เพราะผมก็กะอยู่เหมือนกันว่าถ้าเค้าไม่เล่าเอง ผมจะหาทางรู้เองให้ได้อยู่ดี"

   จักรยานคู่ใจของวิน ปั่นไปตามถนนของสตราส์เบิร์กในยามค่ำคืน แสงไฟสีเหลืองอันสวยงาม กลับยิ่งทำให้ถนนดูมืดหม่นลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ วินสามารถจำทางไปยังโบสถ์เซนต์พอลได้อย่างแม่นยำ ด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ตอนนี้

   “เรื่องแรกเลยที่เค้าปิดบังคุณแน่ๆ ลองเป็นแบบนี้แล้ว ก็คือ...เคลวินเค้าไม่ได้ชื่อก้อง" จีโอพูด "เคลวินเป็นชื่อจริงของเค้า คนที่นี่เรียกเค้าว่าเคลวินกันทุกคน ก็อย่างที่คุณเห็น แต่ถ้าเป็นชื่อเล่นแบบคนไทย เค้าชื่อไกด์"
   วินรู้สึกจำอะไรได้ขึ้นมาบางอย่างที่ย่านกลางเมืองของสตราส์เบิร์ก
   “แล้วเค้าก็ไม่ได้เป็นพ่อครัวด้วยใช่ไหมครับ" วินถามต่ออีก
   “อืมมมม เค้าก็เป็นนะ" จีโอว่า "เค้าทำอาหารเก่งขึ้นมาเลยตั้งแต่ย้ายไปปารีส"
   “งั้นก็แสดงว่าเค้าเป็นคนที่นี่สินะคับ" วินถามอีก
   “ก็ใช่.....เค้าเคยอยู่ที่นี่กับเคลลี่" จีโอพูด
   “แฟนของเค้า" วินพูดต่อ "ผมเคยเห็นรูปถ่ายของผู้หญิงคนนี้ ในกระเป๋าของเค้า"

   วินกัดฟันเพราะลมหนาวตีใส่หน้าขณะปั่นจักรยานขึ้นสะพาน มันเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเจ้าบาริสต้า ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ อะไรๆคงเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เขาไม่เคยมีความรู้สึกโกรธรุนแรงกับใครมากเท่านี้มาก่อน เขาต้องไปพอหมอนั่นเดี๋ยวนี้

   “หือ.....” จีโอว่า "รูปเหรอ ผู้หญิงเหรอ ไม่ใช่แล้วๆ เคลลี่นะคุณไม่ใช่แคลลี่ เคลลี่เป็นผู้ชายนะคุณ"
   วินทำสีหน้างงงัน
   “อะไรนะครับ" วินว่า
   “เคลลี่เป็นน้องชายของเคลวิน" จีโอว่า "ทั้งคู่ย้ายจากเมืองไทยมาอยู่ที่นี่...น้องชายของเขานั่นแหละ ที่ชื่อก้อง"
   “อย่างงี้เองน่ะเหรอครับ" วินว่าพางกำหมัดแน่น "แล้วเค้าย้ายไปปารีสทำไม น้องชายเค้าไปไหนล่ะครับ"
   “น้องชายเค้าเสียแล้ว เมื่อสองปีที่แล้ว" จีโอพูด "และนั่นแหละที่ทำให้เคลวินเค้าเป็นแบบนี้น่ะ"

   วินจอดจักรยานอย่างลวกๆที่หน้าโบสถ์เซนต์พอล ก่อนจะเดินตัดตรงไปยังสุสานที่อยู่ด้านตะวันตกของโบสถ์ ทั้งหมดที่เขาต้องการตอนนี้ ก็คืออยากเห็นหน้าเจ้าบาริสต้าที่รู้จักดี หรืออย่างน้อยก็เคยรู้จักให้ชัดๆ เพื่อที่จะได้ตอบคำถามเขาให้ชัดเจน

   “เกิดอะไรขึ้นครับจีโอ" วินถาม "เรื่องที่เค้าไม่อยากให้ผมรู้ ที่บอกว่าผมเหมือนมาก เหมือนน้องชายเค้าใช่หรือเปล่า"
   จีโอพยักหน้าทันที
   “แต่นายเหมือนจริงๆนา" จีโอว่า
   “เกิดอะไรขึ้นกับน้องชายเค้า" วินถามต่อ "ก...ก้องน่ะ"
   “นายต้องเข้าใจก่อนนะว่า เคลวินกับเคลลี่ เค้าไม่เหลือครอบครัวที่ไหนอีกที่เมืองไทย" จีโอว่า "เท่าที่รู้ก็คือ ทั้งคู่ย้ายมาใช้ชีวิตที่นี่ คนพี่เป็นนักธุรกิจ สานต่ธุรกิจของครอบครัว คนน้องไม่สนใจอะไร อยากเป็นพ่อครัว อยากเปิดร้านอาหาร"
   วินรู้สึกเหมือนมีคนเปิดสวิตซ์ไฟในสมองช้าๆ ทีละดวงๆ
   “เมื่อก่อนเคลวินเป็นคนที่เข้มงวดกับน้องชายมาก เจ้าเคลลี่เองก็ตามใจพี่ชายจนบางครั้งชั้นก็คิดเหมือนกันว่านี่ตชีวิตเค้าเอง หรือชีวิตพี่ชายกันแน่" จีโอว่า "พี่น้องคู่นี้ชอบทะเลาะกันอยู่เรื่อย เรื่องบางเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ยังทะเลาะกัน บางทีแค่เรื่องเลี้ยงข้าวกันมื้อนึงก็ยังทะเลาะกันเป็นตุเป็นตะ"
   วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง
   “เค้าเสียยังไง" วินว่า "คุณเล่าได้ไหม"
   จีโอถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “โอเวอร์โดส" จีโอพูดเสียงสั่น "เคลลี่ติดโคเคนอยู่สองปี ตอนที่เค้าไปทำงานที่ปารีส"
   “เป็นไปได้เหรอคับ" วินถาม "ไหนว่าไกด์เค้าดูแลดีไง"
   “ใช่ เพราะดูแลดีไง ดูแลในแบบของเค้า" จีโอพูด "ถึงจะดูแลดียังไง จุดยืนของเคลวินไม่เคยเปลี่ยน เค้าไม่อยากให้น้องไปทำงานที่ปารีส แต่ผมก็เข้าใจเคลลี่นะ การได้เปิดร้านอาหารที่ปารีส คงเป็นอะไรที่สุดยอดในชีวิตเด็กคนหนึ่งนั่นแหละ เคลลี่ไปเรียนเอง อยู่เองที่ปารีสคนเดียว....อยู่แบบไม่มีที่พึ่งที่ไหน ไม่รู้จักใคร แล้วก็....ไม่ขอเงินจากเคลวินเลยซักเหรียญ"
   ถึงตรงนี้ วินทรุดตัวลงเบาๆ

   วินมองไปรอบๆสุสาน ที่มีแสงไฟสีเหลืองสลัวๆ ส่องไปจางๆ ที่มุมหนึ่งของสุสาน ร่างๆหนึ่งนั่งกอดเข้าอยู่ตรงั้น วินกำหมัดแน่น พลางเดินเข้าไปหาร่างนั้น

   “แล้วเค้าก็ไม่กลับมาที่นี่อีกเลย" วินพูดต่อ "จนกระทั่งผมมาอยู่กับเค้า"
   “เค้าบอกนายเหรอ ว่าเค้าชื่อก้องน่ะ" จีโอพูด "เค้าทำแบบนั้นจริงๆเหรอ"
   “เค้าไม่ใช่แค่บอกว่าเค้าชื่อก้องหรอกจีโอ" วินว่า "ที่ปารีส เค้าเป็นน้องชายของเค้า เค้าใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไปเป็นบารีสต้าอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ เช่าห้องเล็กๆ จะกระทั่งผมเข้ามาในชีวิตเค้านั่นแหละ"
   “กะแล้ว" จีโอว่า "เค้าหายไปจากที่นี่ มันต้องมีอะไรแน่ๆ ผมเองก็รับทำงานต่อจากเค้า ไม่มีเวลาตามหาเค้าเลย"
   “ผมพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วล่ะครับจีโอ" วินว่า "ขอบคุณมากที่เล่าความจริงให้ผมฟัง ผมสาบานว่าจะไม่บอกเค้า ว่าคุณเป็นคนเล่า"
   “แหม ถึงยังไงเค้าก็รู้ว่าเป็นผมอยู่ดีแหละ" จีโอว่า "ผมเองก็ฝากบอกเคลวินเรื่องธุรกิจสาขาด้วยและกัน คุณจำทั้งหมดได้ใช่ไหม ไม่งงนะ"
   “ได้ครับ" วินว่า "ไม่งงหรอก จริงๆแล้ว ผมก็เป็นนักธุรกิจคนนึงเหมือนกัน....เคลวินของคุณเค้าก็ไม่รู้เรื่องนี้หรอก"
   “คุณสองคนนี่อยู่ด้วยกันมาได้ยังไงโดยไม่รู้จักกันจริงๆ" จีโอว่า "คุณไว้ใจเขาได้ยังไงกันนะ"
   “ผมก็ไว้ใจไปแล้ว" วินว่า
   “คุณคงเสียใจมากใช่ไหมเนี่ย" จีโอว่า "ผมทำลายความเชื่อใจเค้าของคุณหรือเปล่า"
   “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นอ่ะครับ" วินว่า "คงเป็นอย่างที่คุณว่า ผมคงเหมือนน้องชายเค้ามาก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เค้าคงดูแลผม เหมือนที่เค้าเคยดูแลก้อง"
   จีโอมองหน้าวินครั้งหนึ่ง
   “ถึงคุณจะเหมือนเค้า แต่คุณก็คือคุณนะ" จีโอว่า
   “ครับ...ผมเข้าใจ"

   มืออุ่นๆวางลงที่ไหล่ของไกด์เบาๆ เขาหันไปมองภาพสะท้อนของก้องที่แจ่มชัดอยู่ข้างๆ
   “กลับกันเหอะ" วินพูดเบา "อากาศเย็นลงแล้วล่ะ"
   “ขอโทษ" ไกด์พูด "ที่ให้นั่งรออยู่ตั้งนาน ไม่ได้ลืมนะ แต่ว่าลุกไปไม่ไหว"
   วินยิ้มให้ครั้งหนึ่ง
   “อื้อ" วินว่า "ก็ไม่ได้นั่งรอจริงจังอยู่แล้ว ใครจะไปอยากรู้เรื่องของนายวะก้อง บ้าแล้ว"
   ไกด์ยิ้มให้วินเบาๆ
   “ลุกได้แล้วค้าบ พรุ่งนี้ต้องกลับปารีสนะ" วินว่า
   “โอเค" ไกด์ตอบ ก่อนจะลุกขึ้นทันที
   วินเหลือบตามองป้ายหลุมศพนั้น

R.I.P
Kenly  W.
1988 – 2008

   “ฉันไม่ได้อยากมาแทนนายซักนิด" วินคิดในใจ "แต่พี่ชายนายคนนี้ ฉันจะดูแลต่อเองนะก้อง"
   ความรู้สึกที่รุนแรงในหัวใจวินตอนนี้ มีแต่ความรู้สึกนี้เต็มไปหมด
….......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 13 Sepia]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 08-10-2012 22:18:04
หว๊าน หวาน รู้สึกไปเองรึเปล่านะ

แล้วก็อยากอ่านมากกว่านี้อะ วินเริ่มดูมีความลับแล้วอะ
รอๆ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 13 Sepia]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-10-2012 22:47:20
อ่านเรื่องนี้แล้ว หัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะเลย


ปลื้มมากๆๆ

 :impress2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 13 Sepia]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 09-10-2012 09:00:36
มารอ ตอนสายๆ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 13 Sepia]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 09-10-2012 14:37:02
เก็ทแล้วจ้ะ"เพราะหัวใจไม่เคยลืม" ตอนแรกๆยังคิดว่าก้อง(เคลวิน) ที่ว่าไม่ลืมน่ะนึกว่าไม่ลืมคนรักกระมัง
ที่แท้เป็นน้องชายนี่เอง อ่านแล้วสงสารเขามากเลย เขาต้องรักต้องห่วงน้องชายเป็นที่สุด
ดังนั้นเมื่อน้องชายเสียชีวิต และด้วยสาเหตุของการเสียชีวิต เขาจึงเสียใจมาก และเขาคงรู้สึกผิด
และคงคิดโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุในเรื่องทั้งปวง เขาจึงมีอาการมากขนาดนั้น เหมือนคนป่วยทางจิตเลย
(ขอโทษคนเขียนด้วยนะจ๊ะ ถ้าเราจะวิเคราะห์อาการของเคลวินแบบแรงไปนิด)
แล้วพอเจอวินคงรู้สึกดีและอยากดูแลอยากช่วยเหลือ คงเผื่อจะทดแทนหรือไถ่โทษให้ตัวเองได้แหละเนอะ
วินคงเข้าใจเคลวินแล้วนะ หวังว่านายจะดูแลเคลวินอย่างดี ดังที่พูดกับป้ายหลุมศพของเคลลี
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 13 Sepia]
เริ่มหัวข้อโดย: kasune ที่ 09-10-2012 15:12:51
ชอบเื่องนี้มากค่ะ...
ตอนล่าสุดรู้สึกเศร้าและหดหู่ไปเมื่อรูความจริง
สงสารเคลวิน(ไกด์)จัง.. ในตอนนี้คนที่จะมาแทนได้มีแค่วินจริงๆนั่นแหละ
ก็คงต้องให้วินดูแลเคลวินไป
ปล.ชอบประโยคที่วินพูดกับเคลลี่(ก้อง)ที่หลุมศพมากค่ะ..
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 13 Sepia]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 10-10-2012 14:44:02
ตอนที่ 14 Same Changes

   “เห้ยไอ้วิน ไอ้วิน" เสียงของเอิร์ธปลุกวินให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ในสตูดิโอ วินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองหน้าเพื่อน "มึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย คิดไรอยู่วะ"
   “ฟ...ฟัง ฟังดิวะ" วินโกหก "ก็นี่ไง ที่มึงบอกจะให้ปรับสีลงอ่ะ เป็นโทนพาสเทลใช่ป่ะ"
   “เออดิ...นี่สมาธิมึงเยี่ยมยอดมากเลยสัดวันนี้อ่ะ" เอิร์ธประชด "ทำไมวะ นอนน้อยรึไง"
   “ปล่าวๆ แล้วตกลงจะเอายังไง คอลเลคชั่นนี้ จะซื้อไม่ซื้อ" วินถามต่อ
   “ยังตอบไม่ได้ว่ะ ต้องรอคุณเจนเค้ามาเคาะ" เอิร์ธว่า
   “ถ้าจำไม่ผิดถ้าผ่านโปรเจ็คนี้แล้วเราต้องย้ายสตูดิโอไปที่ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลใช่ป่ะ" วินว่า "ที่คุณเจนเค้าบอกไว้เมื่อตอนเริ่มโปรเจ็ค"
   “อืม" เอิร์ธตอบ "นั่นแหละคือสาเหตุที่กูไม่ลาออก"
   “ทำไมวะ" วินว่า "ไม่ใช่มึงติดต่อดีไซน์เนอร์ที่ไม่มีเส้นสายของเจนจิราไม่ได้หรอกเหรอ"
   “เอ้ยยย ไอ้นั่นมันคนละประเด็น" เอิร์ธแก้ตัวเสียงสูง
   “หราาาา" วินทำเสียงล้อเลียน
   “ไม่คือ ถึงกูเลือกไม่ลาออกจุดยืนกูก็ไม่เปลี่ยนนะเว่ย" เอิร์ธว่า "ยังไงกูก็ไม่ยอมให้คุณเจนเป็นคนเดียวที่ตัดสินงานกูหรอก"
   “เอาเหอะ" วินว่า "จะทำอะไรก็ทำ"
   วินรู้อยู่แล้วว่าเอิร์ธไม่มีทางหาดีไซน์เนอร์ในเมืองนี้ที่ไม่มีเส้นสายของเจนจิราได้แน่ๆ เอิร์ธ็้เหมือนกับเขา ที่โหยหาอิสระ โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว การหาทางเลือกอื่นในวงการนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สุดท้ายแล้ว อะไรบางอย่างก็จะตามไปต้อนเราให้จนมุมอยู่ดี มันก็เหมือนเรื่องของเขากับพ่อ การที่พบเจนจิราที่นี่มันก็เป็นเครื่องยืนยันแล้ว
   “เราเหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเอง โปรเจ็คนี้ก็จะจบแล้ว" เอิร์ธว่า "ฮึดๆหน่อยเว้ย"
   เอิร์ธเองก็ใช้คำพูดปลุกใจกับวินบ่อยครั้งเหลือเกิน ซึ่งการปิดโปรเจ็คต้อนเทอมนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างวุ่นวาย การเอาใจเจนจิรายิ่งยากเข้าไปอีก การไม่พูดอะไรของเธอ ก็ยิ่งทำให้อะไรเลวร้ายไปใหญ่ โดยเฉพาะเอิร์ธที่ดูเป็นกังวล แม้ว่าคำพูดปลุกใจของเพื่อนรัก จะไม่สามารถซ่อนความวิตกกังวลไปได้แม้แต่น้อย ใบหน้าของการถูกผูกมัด
   มื้อกลางวันที่ร้านเกล็ดหิมะของเอิร์ธและวินผ่านไปอย่างเฉยชา เอิร์ธอ้างกับวินว่าเราทำงานมาตั้งแต่เช้าก็น่าจะได้พักบ้าง ดังนั้นทั้งคู่ก็ยังอ้อยอิ่งอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะอยู่จนถึงช่วงบ่าย
   “วันนี้เจ้าก้องเพื่อนนายไม่มาทำงานเหรอ" เอิร์ธร้องทักขึ้น
   “อือ" วินรับคำ "เค้าไม่สบายอ่ะ นอนพักอยู่ที่ห้อง"
   “โห แล้วจะอยู่ได้เหรอวะ" เอิร์ธว่า "คือ....งานแบบนี้ถ้าขาดไปซักวันรายได้มันจะหล๋อไปเลยไม่ใช่เหรอ"
   “ไม่หรอก" วินตอบ "ก้องเค้า....บริหารเงินเก่ง"
   “ว่าจะถามตั้งนานแล้ว แกกับก้องไปรู้จักกันได้ยังไงวะ" เอิร์ธถาม
   “มันซับซ้อนว่ะ" วินตอบ "อย่าไปรู้เลย เล่าไม่ถูก"
   เอิร์ธพยักหน้ารับคำเบาๆ
   “เอิร์ธ กูมีเรื่องจะถาม" วินถามขึ้น "เรื่องมึงกับแฟน"
   เอิร์ธสำลักน้ำเบาๆ ก่อนจะมองหน้าวิน
   “เรื่องไรวะ" เอิร์ธถามต่อ
   “สมมติว่ามึงได้สิ่งที่มึงต้องการแล้ว" วินว่า "แล้วมันจะต่างจากเดิมยังไงวะ"
   “ก็อาจจะไม่ต่าง" เอิร์ธตอบ "เคยได้ยินการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนเดิมมั้ย"
   “ไม่เคยอ่ะ" วินร้อง
   “มันก็เคยมีคนเคยบอกฉันว่า ถ้าฉันเข้ามาในโลก Loveless.....เอ้ย....คือ ถ้าคนเรามีความรัก เราจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน" เอิร์ธว่า "เหมือนกับว่าความรักจะทำให้เรานั่งทำอะไรบางอย่าง ทำให้เราเปลี่ยนไป เหมือนที่ฉันพยายามวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด"
   “แต่อันนี้กูว่าจริงนะ" วินว่า "มึงเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนเอิร์ธคนที่กูรู้จักเลย มึงไม่คิดบ้างเหรอวะว่ามึงอาจจะเสียความเป็นตัวเองไป เปลี่ยนไปเพราะความรัก"
   “ใช่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นเหมือนเดิม" เอิร์ธว่า "ความรักมันก็เหมือนกรอบบางอย่าง ที่ทำห้กูติดอยู่ในอะไรซักอย่าง ต้องทำอะไรบางอย่าง สูญเสียอิสระไป ไม่เป็นตัวของตัวเอง....แต่ก่อนหน้านั้น ที่กูเป็นคนโหยหาอิสระ กูก็ไม่เคยได้มันมานะเว่ย เขาคนนี้เป็นคนทำให้กูรู้สึกอยากโหยหาอิสระมากกว่าเดิม ทำให้กูเดินมาได้ถึงตรงนี้ มาอยู่กับเค้า และสุดท้ายก็มาติดอยู่ในกรอบกับเค้า ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเค้า....ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างที่มึงว่านั่นแหละ"
   “แล้วมันจะคุ้มเหรอวะ" วินว่า
   “มึงไม่เคยมีความรักมึงไม่เข้าใจหรอก" เอิร์ธว่า "ความรักทำให้กูเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป แล้วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้อิสระเหมือนเดิมก็จริง แต่กูถามหน่อย มึงจะเลือกติดอยู่ในกรอบแบบไหน ติดอยู่กับตัวเอง หรือติดอยู่กับคนที่มึงรักวะ....”
   วินเงียบไปทันที
   “ก็อย่างที่กูบอก มึงไม่เข้าใจหรอก" เอิร์ธว่า "เอาไว้มึงมีแฟน มึงมีใครซักคนที่รู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อเค้า มึงก็จะเข้าใจกู"
   “ใครซักคน....ที่อยากทำอะไรเพื่อเค้างั้นเหรอ" วินพูด "แล้ว...ถ้าเป็นทำบางอย่างเพื่อตอบแทนล่ะวะ มันจะเหมือนกันไหมวะ"
   “ตอบแทนเหรอ" เอิร์ธถามกลับ "เหมือนดิ มันก็เหมือนมึงตอบแทนบุญคุญพ่อแม่มึงอ่ะ ที่เรารู้สึกรักท่าน มันก็เกิดมาจากความผูกพัน ความรักเหมือนกัน มันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ที่กูทำทุกอย่างอยู่นี่ ก็เพราะว่า แฟนกู ทำให้กูเป็นกูทุกวันนี้ กูก็กำลังตอบแทนเค้าเหมือนกัน"
   “ตอบแทนที่ทำให้เราเป็นเรา" วินว่า "….กูเข้าใจมึงและ"
   “หรา" เอิร์ธทำเสียงสูง "แล้วอยู่ดีดีมาถามกูทำไมวะ"
   “เมื่อสองอทิตย์ก่อน ที่มึงบอกกูไง" วินว่า "มึงบอกกูว่าเพดานกูไม่เท่ามึง เป้าหมายกูมีไม่เท่ามึง กูอยากจะบอกมึง ว่าตอนนี้.....กูมีเป้าหมายแล้ว"
   “จริงอ่ะ" เอิร์ธว่า "ไปเยอรมันมาสามวัน กลับมามีเป้าเลย ว่างั้น"
   “เออ" วินประชดกลับ "กูจะช่วยมึง กูสัญญา กูก็มีสิ่งที่กูอยากจะทำเพื่อตอบแทนเหมือนกัน"
   เอิร์ธพยักหน้าพลางยิ้มกว้างให้วิน
   “ย...ยิ้มให้กูทำไมวะ" วินถาม "คิดอะไรกะกูป่ะเนี่ย"
   “กูดีใจ" เอิร์ธว่า "ที่ไอ้วินตัวแสบ ลูกคุณหนู ก็รู้จักทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างเป็นเหมือนกัน"
   “อ่านะ" วินว่า "กูแค่ไม่อยากเป็นภาระใครก็เท่านั้น"
   “คนที่มึงจะตอบแทนเนี่ย พ่อมึงใช่ป่ะ" เอิร์ธถามต่อ
   “ไม่ใช่" วินตอบทันที "ไม่ใช่พ่อกูหรอก"
   “เกิดอะไรขึ้นระหว่างมึงกับเค้าวะ" เอิร์ธถาม
   “มึงอย่ารู้เลย" วินตอบ ก่อนจะนั่งมองออกไปนอกร้านเกล็ดหิมะอีกครั้ง
….......
   ตกเย็นวันนั้น วินรีบออกจากสตูดิโอเพื่อกลับบ้านอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เจ้าหน้าที่จาก Esmod ใจดีให้ยาพารากับเค้ามาหนึ่งกระปุก เป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อยาจากร้านขายยาที่นี่โดยไม่มีใบสั่งแพทย์ และวินก็มั่นใจว่าไกด์ไม่มีทางให้เขาพาไปหาหมอ
   ประตูห้องเปิดออก วินวางเป้ของตัวเองลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเดินไปยังเคาท์เตอร์ครัว ชายหนุ่มเปิดน้ำใส่กาจนเต็ม ก่อนจะเริ่มเปิดเตาเพื่อต้มน้ำร้อนทันที ถ้าหากย้อนกลับไปเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ สิ่งที่วินทำอยู่มันก็คงจะเงอะเงิ่นไม่เป็นชิ้นดี วินยอมรับว่าเขาไม่เคยต้องทำอะไรอย่างนี้เพื่อใครเลยซักคน แต่มาวันนี้ วินตั้งใจทำทุกอย่าง วางระเบียบชีวิตให้กับตัวเอง ดูแลบ้านขณะที่ไกด์นอนไม่สบายอยู่ในห้อง ทำงานดีไซน์ของตัวเองจนตกดึก หรือแม้แต่ทำงานที่ร้านเกล็ดหิมะแทน....ก้อง
   ระหว่างรอกาน้ำเดือด เอางานออกจากกระเป๋าเป้ของตัวเอง ออกมากางเพื่อตรวจเช็คสเก็ตอีกสองสามแบบอีกครั้ง จดโน๊ตลงบนงานคร่าวๆว่าจะลงสีอะไร พลางตวจเช็ค CI ที่เอิร์ธส่งมา เสียงนกหวีดของกาส่งเสียงเบาๆ เป็นอันว่าได้ที่ น้ำคงอุ่นพอสมควรแล้ว วางงานลงพลางเดินไปยกกาลงแล้วเทลงกะละมังพลาสติกที่มีน้ำเย็นรองอยู่บ้าง เดินไปนำผ้าขนหนูมาแช่ ก่อนจะเริ่มจัดอาหารที่หิวมาจากร้านเกล็ดหิมะ ลงจานแล้ววางลงบนถาดใหญ่ พร้อมกับยาพาราสองเม็ด น้ำสะอาด เมื่อทุกอย่างพร้อม วินยกถาดนั้นเดินเข้าไปในห้องนอนของไกด์ทันที
   ห้องนอนของไกด์ยังคงสภาพเรียบร้อยอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าสภาพบนเตียงจะเละเทะอยู่บ้าง เพราะไม่ได้เก็บมาหลายวัน วันวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะพับที่ถูกยกเข้ามาในนี้เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว เพื่อเอาไว้วางข้าวและน้ำเพื่อให้คุณชายบาริสต้าได้หอบร่างขึ้นมาทาน ผ้าห่มนวมหนานุ่มที่คุมร่างของไกด์เอาไว้ทั้งหมด ทำเอาวินเพ่งพินิจอยู่นาน เหลือบไปหยิบนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมา นาฬิกาที่บ่งบอกเวลาสองทุ่มครึ่งถูกยัดเข้าไปในกองคลุมโปงนั้นทันที วินรออยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่ผ้านวมจะเปิดออก ชายหนุ่มใบหน้าซีดเซียว ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงหยีตามองหน้าวิน ใบหน้าที่ยังสู้แสงไม่ไหวดูตลกสิ้นดี
   “กลับมาแล้วเหรอ" ไกด์ส่งเสียงยานคาง วินยิ้มให้เบาๆ
   “ยังอ่ะ นี่เป็นโฮโลแกรม ฉันตั้งโปรแกรมปลุกนายเอาไว้" วินพูดติดตลก
   “ไม่ยักรู้ว่าภาพโฮโลแกรมหยิบนาฬิกาปลุกได้" ไกด์พูด
   “ก็เห็นอยู่แล้วจะถามเพื่อ" วินว่า "กลับมาพูดได้แบบนี้ นอนพักคืนนี้ก็น่าจะหายแล้วล่ะนาย"
   วินเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของไกด์ดู ขณะที่ไกด์มองหน้าวินอย่างมีความหมาย
   “มองไร" วินพูดเสียงสั่นด้วยความเขิน "ก็วัดไข้ไง"
   “รู้แล้วคับ" ไกด์ตอบ "ก็ไม่ได้มองอะไร"
   ไกด์ขยับตัวขึ้นมานอนฟังหัวเตียง พลางหายใจหอบ
   “กลับมาดึกเหมือนกันนะวิน" ไกด์พูด
   “เก็บร้านต่ออีกหน่อย" วินว่า "นายไม่อยู่ ก็เลยต้องเฝ้าร้านต่ออีกซักพัก แล้วก็สเก็ตงานเพลินไปด้วย"
   “ขอโทษนะที่ต้องให้นายมาลำบากช่วงนี้น่ะ ฉัน....” ไกด์พยายามพูด
   “รู้แล้วว่าป่วย" วินว่า "ยังไงก็ต้องทำแทนอยู่แล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอกน่าตอบแทนที่นายพาไปเที่ยวไง"
   ไกด์ยิ้มให้วิน
   “ขอบคุณนะคับ" ไกด์พูดเสียงอบอุ่น วินเดาเอาว่าอาจจะเป็นเพราะอุณหภูมิร่างกายของเขาเอง วินเริ่มลงมือปลดกระดุมเสื้อนอนของไกด์ และชุบผ้ามาเริ่มเช็ดตัว ยอมรับว่าความเก้อเขินมันก็ยังมีอยู่บ้าง แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว ไออุ่นจนเกือบร้อนของตัวไกด์ทำเอาเขาสติแทบแตก เขาไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลยจริงๆ
   “นายเคยไม่สบายแบบนี้คนเดียวหรือเปล่าเนี่ย" วินถาม
   “ไม่เคยอ่ะ" ไกด์ตอบ "นี่เป็นครั้งแรก"
   “ครั้งแรกของชั้นเหมือนกัน" วินว่า ไกด์หันมามองหน้าวิน "ที่ฉันได้ดูแลคนอื่นน่ะ"
   “ถึงได้ขอบคุณไง" ไกด์ว่า
   “กินข้าวเหอะ จะได้กินยาแล้วก็นอน" วินว่า "เช็ดแค่ข้างบนพอนะวันนี้ นายน่าจะลุกไปอาบน้ำบ้าง จะได้สบายทั้งตัว"
   “อื้อ" ไกด์รับคำ "เออนี่วิน....ถ้าเกิดว่าชั้นหายแล้วอ่ะ นาย.....เข้ามานอนกับชั้นไหมล่ะ"
   “ห๊ะ" วินร้อง "อะไรนะ"
   “ก็....เค้ามานอนด้วยกันไง" ไกด์ตอบ "นายจะได้ไม่ต้องนอนที่โซฟานั่นแล้ว ก็ออกกันคนละครึ่งแล้วนี่ ค่าเช่าอ่ะ"
   วินหัวเราะเบาๆ
   “คนละครึ่งจริงๆเหรอ ไม่ใช่ว่า.....นายออกให้มากกว่าชั้นอยู่ดีหรอกเหรอ" วินหันไปพูดลองเชิง
   “หมายความว่ายังไง" ไกด์ถามกลับ
   “ปล๊าว" วินว่า "กินข้าวได้แล้วก้อง เรื่องย้ายเข้ามา รอให้นายหายก่อน แล้วค่อยว่ากัน"
   วินเดินออกจากห้องนอนของไกด์มา เขาไม่ได้บอกไกด์ว่าเค้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้วว่าไกด์โกหกเค้าเรื่องชื่อ วินยึดคำพูดของเจ้าตัวที่บอกกับจีโอคืนนั้นว่า ไกด์อยากจะให้วินรู้เรื่องทั้งหมดจากปากของเค้าเอง วินจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็ยอมรับว่าความจริงที่ได้รับรู้มา สร้างความรู้สึกสงสารอย่างจังเข้ามาในหัวใจของวิน ไกด์คงจะรู้สึกผิดกับก้องเอามากๆ และสิ่งที่หมอนี่ทำที่นี่ มันคือการชดใช้ ชดใช้สิ่งที่เค้าไม่เคยได้รับรู้ชีวิตของน้องชายเลย
   วินกลับมานั่งทำงานต่อ แม้ว่าในหัวจะยังมีเรื่องของสองพี่น้องตระกูล Wallnet วนเวียนอยู่ในหัว แต่อย่างน้อยเค้าก็ได้รู้แล้วว่าเค้าควรจะทำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของตัวเองเพื่อใคร
   การทำอะไรให้ใครซักคน มันรู้สึกอย่างนี่เองสินะเอิร์ธ
   วินคิดในใจ....
   การเปลี่ยนแปลงตัวเองงั้นเหรอ ก็ไม่ได้น่ากลัวซักน่อยนี่นา....
….......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 14 Same Changes]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 10-10-2012 17:33:43
ตอนที่ 15 It's in your eyes

   “ฉันได้ติดต่อกับทางซูเม่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว อาทิตย์หน้า พวกคุณเคลียร์สตูดิโอที่นี่ให้เรียบร้อย แล้วก็เริ่มขนย้ายของได้เลย ได้ยินมาว่าทางสถาบัน เตรียมรถขนย้ายไว้ให้พวกคุรเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น วันศุกร์หน้า คุณก็เช็คของให้เรียบร้อยให้ก็แจ้งทางสถาบันเอาไว้ก็แล้วกัน" เจนจิราพูดขึ้นในวันสุดท้ายก็การเรียนในอาทิตย์นี้ "มีคำถามอีกไหม"
   “แฟชั่นโชว์ที่จะจัดขึ้น จะทันกับที่ซูเม่เปิดตัวคอลเลคชั่นของคุณหรือเปล่า" วินถามขึ้น "ผมกลัวว่างานจะซ้อนทับ"
   “ไม่หรอกคุณวิน คอเลคชั่นของชั้นจะยังไม่เปิดตัวจนกว่าของคุณจะเปิดก่อนน่ะ" เจนจิราว่า
   “มันฆ่ากันเห็นๆเลยนะพี่เจน" เอิร์ธร้อง
   “เธอกังวลงั้นเหรอ" เจนว่า
   “ไม่ครับ" เอิร์ธว่า "ไม่เลยซักนิด"
   วินเตะขาเอิร์ธเบาๆ เพราะน้ำเสียงที่แข็งกร้าวจนเกินไปของเอิร์ธอาจจะก่อสงครามเอาได้
   “ดี" เจนจิราว่า "แบบร่างทั้งหมดที่พวกเธอส่งมาชั้นได้ดูหมดแล้ว แล้วก็ต้องขอชมเชยเลยว่าฝีมือของเธอสองคนพัฒนาขึ้นมา โดยเฉพาะคุณ คุณวิน"
   “ขอบคุณครับ" วินตอบ
   “จะเป็นไรมั้ยถ้าชั้นจะถามว่า...คุณได้แรงบันดาลใจมากจากไหน" เจนจิราถาม "กับคอนเซปต์ Coldness Town นี่น่ะ"
   วินหันไปสบตาเอิร์ธครั้งหนึ่ง เอิร์ธเหลือกตาแสดงความเบื่อหน่ายเล็กน้อย วินหันกลับมาหาเจนจิราอีกครั้ง
   “ช่วงที่คุณไม่อยู่ ผมไปสตราส์เบิร์กมา" วินว่า "ส่วนใหญ่ได้มาจากที่นั่นน่ะ"
   “สตราส์เบิร์กเหรอ" เจนจิราก้มลงไปดูงานวินอีกครั้ง "ฤดูหนาวของเมืองเล็กแบบนั้นก็ไม่น่าจะเลวร้ายขนาดนั้นนะ ทำไมโทนมันถึงดูหดหู่จริง"
   “ผมถึงตัดมันด้วยสีส้มไงคุณ" วินว่า "ก็ยืนเด่นในสีฟ้าเอามากๆเลยด้วยซ้ำ"
   “อืม...” เจนจิราเงยหน้ากลับขึ้นมา "ใช้ได้ค่ะ เป็นความหนาวที่แปลกดี ฉันโอเค"
   “ขอบคุณครับ" วินรับคำ
   “ส่วนคุณเอิร์ธ" เจนจิราว่าต่อ "ฉันรบกวนคุณทำ CI ของเซ็ทที่แล้วมาด้วยนะ"
   “มันไม่ผ่านไม่ใช่เหรอครับอันที่แล้ว" เอิร์ธย้อน "แล้วจะทำซ้ำทำไมอ่ะครับ"
   “มันเป็นต้นแบบของชิ้นนี้ ฉันอยากได้โปรเสดงานทั้งหมดก็เท่านั้น" เจนจิราว่าต่อพลางหันหลังกลับ "ชั้นขอที่ออฟฟิศซูเม่พรุ่งนี้ตอนบ่ายสามโมงนะคะ"
   “พรุ่งนี้วันหยุด ผมไม่สะดวก" เอิร์ธว่า
   “งั้นเป็นเช้าวันอาทิตย์ก็ได้ค่ะ" เจนจิราว่าต่อ
   “วันอาทิตย์ผมก็ไม่สะดวก" เอิร์ธว่า "ผมมีเวลาให้คุณแค่จันทร์ถึงศุกร์ ถ้าคุณอยากได้มัน คุณก็รอจนวันจันทร์ก็แล้วกันคับ"
   เจนจิราหันหลังกลับมาหาเอิร์ธที่มองหน้าเธออย่างท้าทาย
   “ฉันไม่เข้าใจ ว่ามันเป็นเรื่องยากอะไรนักหนาของนาย ที่จะทำตามที่ฉันบอก ทั้งๆที่เราทั้งคู่ก็รู้จักกันดีนะเอิร์ธ" เจนพูดเสียงหนักแน่น
   “อาจจะเพราะเรารู้จักกันดีมั้งพี่" เอิร์ธว่าพลางเอียงคอเล็กๆ
   “เรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่ควรยุ่งหรอกนะ" เจนจิราว่า "เพราะมันไม่ใช่เรื่องมันจบไปแล้ว แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยด้วยซ้ำ"
   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คับ" เอิร์ธแย้ง "ดูพี่จะกังวลเรื่องนี้แทนผมนะ"
   “ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น เธอก็คงไม่มาโผล่เอาที่นี่" เจนจิราพูดเสียงแข็ง "ไม่ว่ายังไงก็ตามเธอยังอยู่ในการดูแลของชั้น และจุดมุ่งหมายของเธอ จะสำเร็จหรือเปล่า มันก็ขึ้นอยู่กับชั้น"
   “แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น" เอิร์ธยังว่าต่อ "พี่มิกคงไม่ยอมให้พี่เข้ามายุ่งกับผมมากไปกว่าอาจารย์ดูแลโปรเจ็คหรอกครับ"
   “งั้นก็แฟร์ๆสิ" เจนจิราว่า "เพราะในฐานะอาจารย์ ฉันขอให้เธอเอา CI มาส่งชั้นวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายสามโมงเย็นที่ซูเม่อินเตอร์แนชั่นนอล เลขที่ 14ถนนฮักโซ"
   เจนจิราเดินเข้ามาหาเอิร์ธที่โต๊ะกลางสตูดิโอ
   “และความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเธอกับชั้น ก็ไม่น่าจะใช่ข้ออ้าง" เจนจิรายิ้มให้เอิร์ธก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที "บอกเพื่อนของคุณว่าให้ระวังไว้บ้างนะคะคุณวิน อิสระในวงการนี้มันไม่ได้ไปง่ายขนาดนั้น คุณเองก็น่าจะรู้ดี"
   เสียงปิดประตูสตูดิโอเงียบไปพร้อมกับเจนจิรา
   “เชี่ย" เอิร์ธเหวี่ยงตัวเองเบาๆก่อนจะทรุดตัวลงกับเก้าอี้
   “อะไรกันนักหาวะ" วินร้องต่อ
   “ใช่ แม่งจะอะไรกับกูนักหนาวะ" เอิร์ธหันไปเห็นด้วยกับวิน
   “ไม่ใช่เค้า มึงอ่ะ" วินหันมาตวาดเอิร์ธ "ไอ้เอิร์ธ ทุกอย่างมันกำลังไปได้สวย มึงอย่าเพิ่งสร้างเรื่องได้ไหม ถ้ามึงจะเอางานทั้งหมดออกไปเร่นอกรอบ กูก็เอาด้วย แต่กูไม่ได้สนับสนุน ให้มึงมาเปิดสงครามในคลาส"
   “ไปได้สวยกับผีอ่ะสิ งานมึงก็ยังต้องแก้อยู่ดี" เอิร์ธว่า "เหลือเวลาอีกอาทิตย์ก็ย้ายสตูแล้ว ถึงไปซูเม่แล้วพรีเซนต์ก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี เพราะงานคุณเจนรอจ่อคิวฆ่างานมึงเห็นๆ"
   “นั่นก็คือสาเหตุที่กูนั่งทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่นี่ไงเล่า" วินว่า "กูบอกมึงแล้วไง ว่าถึงมึงไม่สู้ตรงนี้ กูก็ต้องสู้ ฉะนั้นกูจะทำงานยังไง ออกมาเป็นยังไง หรือคุณเจนเค้าจะจ่อคิวฆ่ากูยังไง มันคืองานส่วนของกู แต่กูขออย่างเดียว มึงอย่าสร้างเรื่องให้มันเลวร้ายลงอีก ทำในส่วนของมึงก็พอ"
   “กูไม่ทำ" เอิร์ธว่า "CI ฉบับเก่า กูโยนทิ้งไปไหนละ ก็เสือกไม่เอาเองนี่หว่า แล้วจะเอาอะไรป่านนี้วะ"
   “แล้วมึงไม่บอกเค้าไปล่ะ ว่าทิ้งไปแล้ว" วินว่า
   “บอกแล้วไงอ่ะ" เอิร์ธว่า "อยู่กะเค้ามาหลายเดินแล้ว เดาคำตอบไม่ออกเลยช้ะ"
   “เออ เออ เดี๋ยวกูทำเอง" วินว่า "เอาทั้งหมดที่มึงมีมา เดี๋ยวกูทำแล้วส่งให้มึงเสร็จเลย พรุ่งนี้มึงไปพักเหอะ"
   “ไม่ต้องหรอก" เอิร์ธว่า "ไม่มีก็ไม่ต้องเอา"
   “ไม่เว่ย" วินว่า พลางรวมกองงานของเอิร์ธเข้าหาตัว "กูจะทำ"
   “อะไรของมึงวะ" เอิร์ธว่า "พักนี้มึงจริงจังไปป่ะเนี้ย กูบอกแล้วไง ว่ากูรู้จักนิสัยเค้า มึงไม่ต้องทำหรอก มึงเหนื่อยเปล่า ไปตายเอาดาบหน้ากะกูเหอะ เป็นมึงมึงเอาเหรอ พรีเซนต์งานไปทั้งๆที่รู้ว่ามีของดีกว่ารอฆ่ามึงอยู่แล้ว คอนเซปต์ก็คอนเซปต์เดียวกัน แบรนด์เดียวกัน แล้วจะเปิดโอกาสให้เราเพื่อ....คุณสุเมธไม่มีทางเลือกงานมึงกะกูหรอก ยังไงก็ต้องเป็นเจนจิราสไตลิสเลื่องชื่อคนนี้อยู่แล้ว”
   “ไม่หรอก" วินว่า พลางก้มหน้าลง "ถ้าคุณเจนเค้าเป็นคนอย่างที่มึงว่าจริงๆ กูก็เริ่มจะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ซูแม่อินเตอร์แนชั่นนอล"
   “มึงก็จะแพ้ไงไอ้วิน" เอิร์ธว่า "ไม่มีประโยชน์หรอกเชื่อกูเหอะ....มึงก็รู้อ่ะ ว่ากูไม่สู้ในเกมส์ที่ไม่ชนะ"
   “จริงเหรอวะ" วินว่า "แม้แต่เรื่องแพรอ่ะนะ"
   เอิร์ธนิ่งไปพักนึง ถ้าไม่ติดว่าวินทำให้เขาขนาดนี้ ประโยคเมื่อกี้เค้าต้องต่อยหน้าวินแน่ๆ
   “มึงรู้เรื่องนั้นได้ไงวะ" เอิร์ธว่า
   “เรื่องที่มึงไปหาแพรที่ CDC เพื่อนแพรมันพูดกันทั้งนั้นแหละตอนนั้นอ่ะ" วินว่า "กูไม่ได้จะขุด แต่มึงก็เคยลงแข่งเกมส์ที่แพ้เห็นๆมาแล้วไม่ใช่หรือไง"
   “ไม่รู้อะไรจริงอย่า" เอิร์ธว่า "วันนั้นแฟนกูก็ไปด้วย แล้วกูเลิกกับแพรจริงๆก็วันนั้น"
   “แต่มึงเลิกกับมันก่อนหน้านั้นมานานแล้วไม่ใช่" วินว่า
   “แล้วมึงจะขุดเพื่ออะไรวะ" เอิร์ธร้อง
   “กูก็จะบอกมึงไง ว่าไม่ใช่มึงรู้นิสัยกูอย่างเดียว กูก็รู้นิสัยมึงดีเหมือนกันไอ้เอิร์ธ อย่ามาตลก" วินร้อง "ถ้าอะไรที่มันมีค่าพอสำหรับมึง คนอย่างมึงไม่เคยยอมแพ้ แล้วไหงมึงมายอมแพ้กับเรื่องคุณเจน ทั้งๆที่มึงก็บอกเอง ว่าเค้าไม่เกี่ยวอะไรกับมึงโดยตรง แล้วถ้ากูฟังไม่ผิด เมื่อกี้เค้าก็พูดเงี้ย"
   “มึงไม่เข้าใจหรอก" เอิร์ธว่า
   “กูเข้าใจว่ะ" วินว่า "มึงกลัวเค้าไอ้เอิร์ธ"
   เอิร์ธเงียบสนิท
   “ก็เพราะมึงรู้จักเค้าดีไง" วินว่าต่อ "เค้าเป็นสไตลิสมือหนึ่งสุดอีโก้ ที่ทำให้มึง แฟนมึง หรือใครๆรอบตัวของมึงเคยหัวปั่นมาแล้ว มึงก็เลยกลัวเค้า ว่าเค้าจะมาเป็นอุปสรรคตัวเอ้ในการทำอะไรๆให้กับแฟนมึง เพราะมึงกำลังทำเรื่องนี้อยู่ตัวคนเดียวไงล่ะ มึงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเค้าไอ้เอิร์ธ"
   เอิร์ธหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะก้มหน้าลง
   “มึงไม่มีทางชนะเค้าหรอกไอ้วิน" เอิร์ธว่า "กูอาจจะกลัวเค้าอย่างที่มึงว่าก็ได้ แต่เชื่อกูเหอะ อย่าไปงัดข้อกับเค้า กูพยายามจะบอกมึง ให้มึงรู้สึกว่าการต่อโปรเจ็คนี่ต่อไปมันอาจไม่มีประโยชน์....เชี่ยเมื่อไหร่เราจะเลิกทะเลาะกันเรื่องนี้ซักทีวะ"
   “ก็เพราะกูรู้ว่าเป้าหมายมึงมันไม่ได้ไปถึงง่ายๆอ่ะดิ มึงอย่าคิดว่ายอมเสียส่วนคุณเจนแล้วไปจะมีดาบหน้าให้มึงไปตาย" วินว่า
   “หมายความว่ายังไงวะ" เอิร์ธว่า "มันต้องมีดิวะ มึงไม่เชื่อใจกูเหรอ"
   “กูเชื่อใจมึง" วินว่า "แต่มึงอ่ะเชื่อใจกูป่ะล่ะ กูเชื่อว่ายังไงตอนนี้มันก็เท่ากับมึงงานกูออกไปเร่ตัวเปล่า ไม่มีใครรับฟังมึงขายงานพวกนี้หรอก ทางเลือกในวงการเนี้ย มันไม่ได้มีอิสระอย่างที่มึงคิดหรอกนะ"
   “มึงแน่ใจได้ยังไง" เอิร์ธว่า
   “กูบอกมึงไปตอนนี้มึงก็ยังไม่เชื่อกูอยู่ดี" วินว่า "กูขอ กูขอให้มึงอดทน จนกว่าจะถึงวันพรีเซนต์งานที่ซูเม่ กูขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าตรงไหนมึงขัดใจ มึงไม่ไหว ไม่อยากทำ บอกกู เดี๋ยวกูทำเอง แต่กูอยากให้มึงอยู่ อยู่กับกูจนกว่าโปรเจ็คนี้จะจบ กูขอแค่โปรเจ็คนี้จบ แล้วมึงจะเก็ททุกอย่างไอ้เอิร์ธ"
   เอิร์ธมองหน้าวิน แววตาแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างน้อยก็ตลอดหลายเดือนที่ปารีสนี่ วินเปลี่ยนไปมาก มากจนเขาตามไม่ทัน
   “แล้วถ้ากูไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยล่ะ" เอิร์ธว่า
   “ถ้ามึงอดทน ทำสิ่งที่มึงคิดทำไม่ได้แน่ๆจนผ่านมันไปได้ ต่อจากนี้ ไม่ว่ามึงจะไปเจอเรื่องอะไร ก็ไม่มีที่มึงจะทำไม่ได้อีกแล้วป่ะวะ" วินตอบ มันคือสิ่งที่ก้องในความทรงจำ สอนเขาเอาไว้ เอิร์ธมองหน้าวินทันทีพลางหรี่ตาลง และมองเข้าไปในดวงตาของวิน
   “กูตกลง" เอิร์ธว่า "กูเข้าใจมึงแล้ว กูจะอยู่ให้มึงจนจบโปรเจ็คนี่"
   “ก็แค่นั้นแหละ" วินว่าพลางครุ่นคิดบางอย่าง
   เอิร์ธแค่ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพ่อ การที่เขามาอยู่ที่นี่มันมีสาเหตุ การที่เขาพบกับเจนจิรามันก็มีสาเหตุเหมือนกัน ดังนั้นเหตุผลขอมันจะต้องกระจ่างชัด และเขาก็ต้องจัดการเรื่องนั้นให้เรียบร้อย เขาไม่ต้องการเงาใดใด มาป้วนเปี้ยนวนตัวเขาอีกแล้ว หากว่าเอิร์ธต้องการอยู่ในวงการนี้ต่อ เขาก็จะทำให้ ความต้องการของเอิร์ธ ที่กำลังเป็นเหมือนแรงดันมหาศาล วินจะใช้มันดันเอาความจริงบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆตัวเขาอย่างเบาบางให้ออกมา และเขาก็จะสะสางมันอย่างจริงจัง
   เพราะบางทีเขาก็รู้สึก ว่าเขาเองก็เหมือนกับก้องมากๆอย่างที่จีโอว่า บางทีเขาก็สงสัยว่านี่คือชีวิตของเขาหรือว่าชีวิตของใครกันแน่
   “ก้องเป็นสอนให้มึงคิดแบบนี้ใช่ป่ะ" เอิร์ธปลุกวินให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ วินหันไปมองเพื่อนทันที
   “ว่าอะไรนะ" วินร้อง "พูดไรวะ ไม่เข้าใจ"
   “แววตามึงอ่ะ มันฟ้อง" เอิร์ธบอก "ที่มึงเงียบๆไปเมื่อกี้ กูรู้สึกเหมือนมึงเป็นเพื่อนร่วมห้องมึงอ่ะ"
   “ทำไมวะ" วินว่า
   “มึงไม่เคยมีความคิดแบบนี้" เอิร์ธว่า "ไอ้ลูกคุณหนุตัวแสบอย่างมึง เคยทำอะไรด้วยตัวเองบ้างล่ะ ที่มึงเป็นอย่างนี้ก็เพราะก้องอ่ะดิ"
   วินไม่ตอบอะไร
   แต่เขาไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่เอิร์ธพูดมัน
   ถูกต้อง...
…......
   “ต้องใช่แน่ๆเลย บอกเจ๊มาดีกว่าหนูวิน" เจ๊ใหญ่ทำเสียงตื่นเต้นใหญ่ขณะที่พูดกับวิน ในตอนค่ำของวันนั้น ขณะที่วินช่วยเค้าเก็บร้าน "มันเป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าก้องน่ะ เค้าไม่เคยเป็นแบบนี้ เจ๊ว่าต้องใช่แน่ๆ"
   “แล้วเจ๊เห็นเค้าเป็นแบบนี้บ่อยแค่ไหนอ่ะ" วินถามกลับ
   “ก็ตั้งแต่เค้าหายไข้แล้วกลับมาทำงานนั่นแหละ" เจ๊ใหญ่พูดพลางนั่งนับเงินไปด้วย "ก็เราอ่ะไม่ทำงานช่วงเช้าแล้วนี่วิน ก็เลยไม่เห็นอย่างที่เจ๊เห็น ยิ่งเวลาเค้าชงกาแฟแล้วส่งให้ลูกค้าโห ถ้าเป็นเจ๊รับแก้วนะใจละลายอ่ะ"
   “เค้ายิ้มกวานขนาดนั้นเลยเหรอเจ๊" วินว่า "เวอร์ไปมั้ง"
   “ต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นเธอหนูวิน ปกติก้องเค้าไม่ได้เป็นแบบนี้" เจ๊ใหญ่ว่า "เค้าไม่ใช่คนอารมณ์ดียิ้มง่ายแบบนี้ เจ๊ทำงานกับเค้ามาหลายปีเจ๊รู้"
   “แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นผมเล่า เค้าอาจจะมีแฟนก็ได้" วินว่า "เจ๊เองก็ทำเป็นรู้จักเค้า บางทีเค้าอาจจะไม่ใช่เค้าก็ได้นา"
   “ต๊ายยยย นี่สิทกันมากถึงรู้เรื่องว่ามีฟงมีแฟนแล้วเหรอ" เจ๊ใหญ่ร้อง
   “ผมไม่ได้พูดอย่างน้าน" วินว่า "เจ๊นี่ก็เอ้อ......”
   “แต่ก็ดีเหมือนกันนะวิน ก้องเองเค้าก็อยู่คนเดียวมานาน ไม่เคยมีใครอยู่กับเค้าได้นานเท่านี้ แล้วก็ทำให้เค้าอารมณืดีขึ้นได้แบบนี้" เจ๊ใหญ่ว่า "เจ๊เองก็ไม่กล้ายุ่งอะไรกับเค้ามาก บางทีเห็นเครียดๆก็นึกว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ไม่กล้าทัก มีเราอยู่ด้วย ทำให้เค้าเป็นแบบนี้ได้ เจ๊ก็เบาใจ"
   “ครับ" วินว่าพลางมานั่งลงตรงข้ามเจ๊ที่โต๊ะตัวหนึ่ง "ผมก็ไม่ทำอะไรพิเศษหรอกครับ ก็แค่อยู่ด้วยกัน ดูแลกันธรรมดาๆน่ะ"
   “อุ้ย....ตายแล้ว........แบบนี้และใช่ๆๆๆๆๆ มันต้องเป็นเธอหนูวิน" เจ๊ใหญ่ร้องใหญ่เมื่อมองหน้าวิน
   “อะไรเจ๊" วินว่า
   “แววตาแบบนี้เลย ใช่เลย" เจ๊ใหญ่เพ้ออีก "วันนี้เจ๊ลองแซะๆถามว่าเป็นเธอหรือเปล่า เค้าก็ยิ้มแล้วก็ทำตาเป็นประกายแบบนี้แหละตอนพูดถึงหนู วิน"
   “งั้นเหรอคับ" วินว่า พลางยิ้มในใจ "ไม่ใช่หรอกมั้งเจ๊ แล้ว.....แล้วเค้าพูดว่าไงอ่ะ"
   “เค้าก็พูดเหมือนหนูเมื่อกี้ ไม่มีอะไรพิเศษ แค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ" เจ๊ใหญ่ว่า "แต่คำพูดของเขาเจ๊รู้สึกเลยว่าเค้าดูมีความสุขขึ้น ดีแล้วล่ะ อยู่กับเค้าไปนานๆนะ อยู่ด้วยกันๆเป็นครอบครัวเกล็ดหิมะนะวินนะ"
   “คับ" วินคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ "ได้คับ ผมจะอยู่"
   เจ๊ใหญ่ให้ค่าจ้างวินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขอให้วินเก็บร้านให้เรียบร้อย วินเองหลังจากเก็บอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็อาศัยฮีตเตอร์ที่ยังร้อนๆอยู่นั่งสเก็ตงานต่ออีกซักพัก เมื่อเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่ม เจ้าตัวก็เก็บของแล้วล็อคร้านเกล้ดหิมะทันที
   ยืนอยู่หน้าร้านซักพัก ครอบครัวเกล็ดหิมะ วินคิดในใจ บางครั้งถึงเค้าจะรู้สึกอึดอัดว่าตัวเองต้องมาทำงานที่นี่ แต่การที่เขาอยู่ที่นี่ มันคือครอบครัวจริงๆอย่างที่เจ๊ใหญ่ว่า เขาได้เห็นความช่วยเหลือคนไทยมากมายถูกแจกจ่ายที่นี่แทบเป็นประจำ อย่างที่ไกด์เคยบอกเค้าเมื่อตอนแรกๆ มีคนอีกหลายคนที่ชีวิตลำบากกว่าเขาตอนนั้นมาก แล้วเดินมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ ถึงหลายๆเรื่องวินจะช่วยอะไรคนเหล่านั้นไม่ได้ ทำได้แค่บ่นกระออดกระแอดเอากาแฟมาให้คนคนนั้นทาน ไม่คิดเลยว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังตอบแทนเขาอย่างอบอุ่นในหัวใจ ครอบครัวเกล็ดหิมะที่นี่ บางทีมันก็อาจจะอบอุ่นกว่าที่ที่เขาจากมาก็เป็นได้ วินยิ้มอีกครั้งเมื่อนึกถึงเจ๊ใหญ่พูดถึงก้องวันนี้ เขาไม่ได้บอกใครในร้านว่าก้องที่พวกเขารู้จักไม่ใช่ก้อง แต่ถ้าก้องที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทำให้ที่นี่อบอุ่นขึ้น เขาก็ไม่อยากให้ความจริงมาทำลายบรรยากาศที่น่ายินดีนี้ไปหรอก
   “ขอบใจนะไกด์ ที่เป็นฉัน"
   หันหลังให้กับร้านเกล็ดหิมะ ก่อนจะออกเดิน
   “Excuse me” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นร้องให้วินหยุดชะงัก เขาหันกลับมาหาเจ้าของเสียงนั้นแล้วก็เหมือนอากาศรอบตัวลดลองอย่างหวบห้าบ
   หญิงสาวลูกครึ่งในตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลเป็นประกายสยายเป็นลอนในเสื้อหนาวสีเทา และรองเท้าบู๊ทหนังที่เป็นขนสัตว์ หน้าตาของเธอเหมือนกับว่าวินเคยเห็นมาก่อนหน้านี้
   “I've heard Kevin is working here.Did you know him?” เธอถามวินทันที "Closed right?.Ok.I'll be back tomorrow”
   “Who are you?” วินถามกลับ "Why did you think you can find Kevin here?”
   “Sure. My friend GE-O told me he know where I can find him.” เธอกล่าวต่อ "I'm his girlfriend.”
   วินรู้สึกเหมือนแก้วกาแฟแห่งความหวังเล็กๆในใจที่เขาถืออยู่ร่วงลงแตกตรงหน้า สาเหตุที่ไกด์ทำตัวแปลกๆไป ที่นี่ทั้งวัน เพราะผู้หญิงคนนี้จะมาหาเค้านั่นเอง
   “You're on right way.I'm his housemate.My name's Wind” วินยื่นมือไปหาเธอ
   “Oh Thanks goodness.Glad to see you Wind.My name's Stella” เธอกล่าว
   “I'm going home” วินกล่าวเสียงเย็นชา "Come with me.He's there”
….......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 15 It's in your eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 10-10-2012 18:01:54
เรื่องยุ่งยากเพราะชะนีอีกแล้วววว
อ๊ากกกกก มันกำลังไปด้วยดีแท้ๆ
น้องวินเป็นผุ้เป็นคนจากลูกคุณหนูกลายเป็นผู้ใหญ่
เราชอบพัฒนาการน้อง  เนื้อแท้จริงๆน้องไม่ใช่คนหัวดื้อออกจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้เร็ว
ขอยกความดีให้คนเขียนที่ เขียนออกมาได้เข้มข้นมาก
มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 15 It's in your eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 10-10-2012 19:11:48
หูยยย...อ่านตอนนี้ในใจเรากำลังรู้สึกเหมือนมีอะไรนุ่มๆสบายๆมาให้ได้สัมผัส แล้วเรากำลังจะเคลิ้มๆอยู่แล้วเชียว
อีคำนี้เลย โดนอีคำนี้..."I'm his girlfriend."...มากระแทกใจซะเต็มๆ ทำเอาสิ่งนั้นในใจเราหายแว้บเลย
ยัยนี่โผล่มาจากไหนล่ะนี่ แล้ววินยังจะชวนหล่อนไปบ้านด้วย นี่มันสองทุ่มสามทุ่มแล้วนะวิน 
แล้วจะมิต้องให้หล่อนค้างคืนที่นั่นด้วยเหรอ หวังว่าการโผล่มาของยัยนี่จะไม่ได้นำพาอะไรๆ
ที่เป็นเรื่องหน่วงใจหรือเรื่องร้ายๆมาให้วินนะ(เอ๊ะ ! วินหน่วงใจไปแล้วมั้ง)
 
ป.ล. ดีใจกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีของวินนะ
       วินเพิ่งจะได้รู้ใช่ปะล่ะว่า การเป็นผู้ให้มันสุขใจอย่างไร
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้กับคนที่เรารักเราพึงพอใจ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 15 It's in your eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 11-10-2012 15:52:50
ชอบเวลาวินคุยกับเอิร์ธจัง (โรคจิตเบาๆ)
อ่านแล้วให้ความรู้สึกแบบ อ่า...สองคนนี้เขาคุยอะไรกันนะ ดูเป็นผู้ใหญ่จัง :really2:

หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][ตอนที่ 15 It's in your eyes]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 11-10-2012 16:20:38
สาสน์จากผู้เขียน

ช่วงนี้มีสอบเยอะแยะ นู่นนี่นั่นเต็มไปหมด อาจจะทำให้อัพช้าไปบ้าง อะไรไบ้าง ขอโทษแฟนๆด้วยนะเจ้าคะ

แต่ว่าเป็นห่วงแฟนๆที่อาจจะงงกับเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับเอิร์ธ เจนจิรา และแฟนของเค้า

เรื่องราวเหล่านั้นอยู่ในภาคแรกซึ่งก็คือเรื่อง Loveless Society ระหว่างรอตอนต่อไป เพื่อความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านจะเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง ก็อยากเชิญชวนๆแฟนๆคนใหม่ที่ติดตาม Coldness Town เป็นภาคแรก ย้อนไปอ่าน Loveless Society เพราะรัก....ออกแบบไม่ได้กันนะคะที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28027.0

แต่ถ้าแบบว่า ไม่แคร์ ของแค่มีไกด์ วินก็ฟินสุดแล้ว ก็แล้วแต่นะคะ ^^

ยังไงก็ฝากผลงานเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับการวิเคราะห์ และติดตามกันมาอย่างเหนียวแน่นของแฟนๆทุกคนทั้งแฟนๆจาก Loveless Society และแฟนใหม่ใน Coldness Town ค่า!!!
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][สาสน์จากผู้เขียน]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 11-10-2012 16:44:49
รับทราบจ้ะ
ไม่เป็นไรจ้ะ จะอัพช้า อัพเร็ว ก็ยังจะติดตามและรอได้เสมอ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][สาสน์จากผู้เขียน]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 11-10-2012 20:34:57
รอได้ค่ะ เราก็สอบเหมือนกัน 55

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [Loveless Society 2][สาสน์จากผู้เขียน]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 12-10-2012 15:42:04
ตอนที่ 16 Down Into Frozen Solid

   วินนำทางหญิงสาวคนนั้นเดินไปตามถนนทอร์ควิลอย่างไม่เร่งรีบ เพื่อพาไปยังห้องพักของเขาและไกด์ เธอเดินตามหลังเขาห่างไปหลายช่วงตัว เพราะใช้เวลามองไปรอบๆตัวด้วยความแปลกตา เมื่อมาถึงหน้าตึกแถวตรงหน้า วินกดรหัสเปิดประตู พลางเชิญให้เธอเดินเข้าไปก่อน
   พูดตรงๆว่าผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นตาเขา เหมือนกับว่าวินเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน แต่สิ่งที่เขาไม่ปฏิเสธเลยก็คือ เธอน่ารักเอามากๆ เขาไม่เคยมองผู้หญิงตะวันตกน่ารักมาก่อน เพราะวินฝักไฝ่สายเอเชียเสียมากกว่า แต่เธอคนนี้น่ารักมาจริงๆ ดวงตาสีฟ้าของเธอรับกับผมลอนน้ำตาลประกายของเธออย่าพอดี การแต่งตัว การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ มันไม่น่าจะแปลกเลยถ้าเธอยืนยันว่าเธอคือแฟนของเคลวิน เพราะถ้าหากหมอนั่นจะมีแฟน วินก็คิดว่าเธอคนนี้ก็เหมาะสมเอาการอยู่
   วินยิ้มให้เธอครั้งหนึ่งเมื่อมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของไกด์ ก่อนจะเคาะประตู เธอแสดงอาdารตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย วินได้ยินเสียงเครื่องครัววางอยู่สองสามนาที ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ๆประตู
   แกร๊ก!!!
   “กลับมาซะทีนะวิน ฉันเตรี.......” ไกด์โผล่หน้าออกมาพร้อมคำพูด ก่อนที่จะหยุดชะงักเมื่อเห็นคนอีกคนที่ไม่ได้ตั้งใจ "ส....สเตลล่า"
   “เซอร์ไพร์ส" เธอว่า พลางกระโดเข้ากอดไกด์ทันที ในอ้อมกอดของสเตลล่า ไกด์จึงมองเห็นวินที่ยืนอยู่ตรงมุมมืดๆหน้าห้อง หน้าของชายหนุ่มตื่นตระหนกน้อยๆก่อนจะสวมกอดเธอกลับ วินมองไกด์ก่อนจะยิ้มเม้มปากๆเบา และเลิกคิ้วให้ไกด์ ก่อนจะพยายามแทรกตัวเข้าห้องตามไป
   สภาพในห้องโต๊ะตรงกลาง อาหารเย็นถูกจัดวางเอาไว้สามสี่อย่าง แต่ที่มันมากกว่านั้นคือเชิงเทียนและแก้วไวน์สองใบ วินตกใจเล็กๆกับบรรยากาศการตกแต่งที่ดูโรแมนติกไปจากเดิมมาก ชายหนุ่มหันมาหาไกด์ทันที
   “ยู....มาได้ยังไง" ไกด์พูดเสียงสั่น "ไอนึกว่า....”
   “เพื่อนยูคนนี้บอกทางมา" เสตลล่าตอบ วินตกใจเล็กน้อยที่เธอพูดภาษาไทยได้ แม้ว่าสำเนียงจะแปลกเล็กน้อย "ไอจำทางมาท่นี่ไม่ได้ ก็เลยไปสโนว์เฟลค แล้วก็.....ว้าว......วอทแฮปพึน ยูรู้ว่าไอจะมาเหรอ จีโอต้องเป็นคนบอกยูแน่เลย อิทส พริทตี้ออซั่ม ยูเตรียมดินเนอร์ไว้ด้วย"
   ไกด์หันหลังมาหาวิน ปากของบาริสต้าหนุ่มอ้าเบาๆ แต่ไม่มีคำพูดใดใดออกมา วินพยายามทำหน้าตัวเองให้เป็นปกติที่สุด
   “เอ่อ...คือไอ.....” ไกด์พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
   “เจอกันแล้วนะนาย" วินพูดขึ้น "เอ้อ....จะบอกพอดีว่า คืนนี้ฉันคงเอ่อ.....ไม่ได้นอนนี่นะคือมีธุระ ที่กลับมาดึกก็เพราะว่ามีเรื่องนิดหน่อยต้องจัดการ แล้วพอดีเจอแฟนนายเข้า เค้าขอให้พามาหานาย"
   “อ้าว....นี่คุณเป็นคนไทยหรอกเหรอคะ" สเตลล่าถามวิน พลางยิ้มกว้างให้ "ว่าแล้วเชียว"
   “ครับ" วินตอบสั้นๆ "โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อนน่ะ"
   ไกด์ขมวดคิ้วพลางเดินมาหาวิน ใบหน้าที่เฉยชา มีเพียงคิ้วคมเข้มที่บ่งบอกอารมณ์ครุ่นคิดอยู่ วินเลิกคิ้วมองหน้าไกด์พลางตกใจที่หมอนี่เดินตัดแฟนมาหาเขาซะเฉยๆ
   “จะไปไหนวิน" ไกด์พูดเสียงเข้มใส่
   “ทำงาน" วินว่า "ช่วงนี้งานยุ่ง ว่าจะไปนอนบ้านเอิร์ธ"
   “ขอความจริง" ไกด์ตีหน้าเข้มใส่วินอีก วินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปมองเสตลล่าที่กำลังทำหน้าตาตกใจ
   “ไอ้บาริสต้า....นี่นายบ้าป่ะเนี่ย" วินกัดฟันพูดเบาๆ พยายามไม่ให้เธอเห็น "ก็แฟนนายมาหาถึงนี่ นายจัดดินเนอร์ไว้ให้เค้าแล้วนี่ แล้วจะให้ฉันอยู่เพื่อ.....”
   “มีอะไรกันหรือเปล่าคะ" สเตลล่าพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นไกด์กับวินกระซิบกระซาบกันเบาๆ "ให้ฉันออกไปรอข้างนอกก่อนไหมคะ"
   ไกด์หันหาเธอ
   “ขอโทษด้วยนะสเต....”
   “ไม่ต้องหรอกครับ" วินพูดแทรกขึ้นมา ไกด์หันมาทำหน้าดุใส่วินอีก "คือเดี๋ยวผมก็จะออกไปทำงานต่อแล้วน่ะ ยังไงก็ตามสบายกันก็แล้วกัน ขอผมเก็บเสื้อผ้าแป้บนึง"
   วินยิ้มกว้างให้เธอก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าของตัวเอง ไกด์มองวินเดินไปอย่างครุ่นคิด เสตลล่าเดินเข้ามาหาไกด์ช้า
   “เพื่อนยูน่ารักจัง" เธอกล่าว "โกหกกันนี่นา ไหนว่าจะไม่อยู่กับใครจนกว่าไอจะกลับมาไง"
   ไกด์หันหน้ากลับมาหาเธอ
   “ก็.....ไอนึกว่ายูจะไม่กลับมา....” ไกด์กล่าว "นึกว่าจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว"
   “คิดอะไรแปลกๆ" สเตลล่ากล่าว "ไอต้องกลับมาอยู่กับยูอยู่แล้ว......ยูซื้อที่นี่เอาไว้ก็เพื่อเป็นบ้านของเราทั้งคู่ไม่ใช่เหรอไงคะ"
   วินชะงักขึ้นมาทันที
   ซื้องั้นเหรอ......
   วินหันกลับมาหาไกด์ทันที ถ้าหมอนี่ซื้อที่นี่ไว้ แล้วค่าเช่าของเค้าทุกๆเดือนที่จ่ายไปล่ะ
   “ก็....” ไกด์เริ่มพูดเสียงตะกุกตะกัก "ไอ....ไอ.....”
   “แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" สเตลล่ากล่าว "ไอก็ยังไม่พร้อมมาอยู่กับยูอยู่ดี ยูมีเพื่อนอยู่ด้วยแบบนี้ก็ดีแล้ว ยูจะได้ไม่เหงาไงล่ะคะ มาเถอะค่ะ ดินเนอร์กันดีกว่า เดี๋ยวอาหารที่ยูซื้อมาจะเย็นซะหมด"
   “ไอไม่ได้ซื้อ" ไกด์ว่า "ไอทำให้...”
   “ยูทำเองเหรอ ทั้งหมดนี่น่ะเหรอ" สเตลล่าร้องเสียงดัง พลางมองไปทั้งโต๊ะ "โอ้ก้อด...ยูคิวท์ ยูทำอาหารพวกนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย.....แตงค์กิ้วมากๆนะเคลวิน ยูนี่น่ารักเหมือนเดิมเลย...คุณวิน คุณน่าจะอยู่ทานด้วยกันก่อนนะคะ เคลวินทำไว้เยอะแยะเลย มาเถอะค่ะ เดี๋ยวเสตลล่าจัดให้อีกชุดนึงนะคะ"
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ" วินยิ้มกว้าง พลางหอบประเป๋าเสื้อผ้าที่ดูเยอะเกินไปแล้วสำหรับไกด์ที่มองอยู่ขึ้น "ผม...ทานมาแล้ว......เออนี่นาย พอดีฉันนึกได้ว่าโปรเจ็คมันน่าจะยาวมาก อาจจะใช้เวลามากซักหน่อย ฉันอาจจะไม่อยู่ซักสองสามอาทิตย์นะ"
   วินพูดเรียบๆก่อนจะสะบัดเป้ขึ้นหลังพลางออกเดินจากห้องไป
   “สามอาทิตย์เลยเหรอวิน" ไกด์ร้อง "วินเดี๋ยวดิ.....วิน....วินคุยกันก่อน......”
   วินปิดประตูห้องใส่ก้อง เขาเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้เก่งเขามั่นใจ ดังนั้นไกด์ไม่มีทางรู้ว่าเขากำลังโกรธแค่ไหน
   ไม่สิมันมากกว่าอามรณ์โกรธด้วยซ้ำ มันมีหลายอารมณ์ที่ตีกันปนเปวิ่งพล่านอยู่ในหัวตอนนี้ มันเป็นความรู้สึกของการถูกหักหลังบางอย่าง เหมือนกับว่าความผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่กำลังโถมเข้าหาจิตใจของวินเข้าอย่างรุนแรง
   ชายหนุ่มสะบัดหัวเบาๆ ไล่ความรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจอย่างบอกไม่ถูกออกไป ก่อนจะเดินออกลงบันไดเพื่ออกจากตึกทันที
   ประตูห้องแถวส่งเสียงตี๊ดหนึ่งครั้งก่อนจะเปิดออก วินคิดในใจว่าเขากำลังเดินออกจากปราสาทของบอสในเกมส์มาริโอ้ เขาเข้าไปถึงใจกลางของปราสาท จัดการเจ้าบราวเซอร์ได้แล้ว แต่เจ้าหญิงพีชกลับไม่ได้อยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ ความรู้สึกตอนนี้มันยิ่งกว่าการถูกหักหน้า แต่มันเหมือนกับว่าไกด์ต่อยหน้าเขาเป็นครั้งที่สองด้วยความไว่ใจ และสงสารทั้งหมด ตีกลับมาหาเขา
   หมอนี่.....ไม่ได้แค่โกหกเรื่องที่มาของตัวเอง
   หมอนี่.....โกหกทุกๆเรื่องกับเขา
   วินกัดฟันเบาๆ ขณะก้าวเดินอย่างมั่นคงไปตามถนนทอร์ควิลยามค่ำคืน ในตาแข็งกร้าวและแดงก่ำ เขาไม่รู้สึกเสียดายเงินค่าเช่าเลยซักนิดที่ถูกหลอกไป ไม่เสียดายเลย มันคุ้มมากพอแล้วกับความจริงที่ได้รับมา
   เขาไม่เอาด้วยแล้ว....
   เขาจะไม่เชื่อใจคนคนนี้อีกแล้ว.......
   ทันใดนั้น วินก็ถูกดึงแขนเอาไว้ ร่างกายที่ออกตัวอย่างว่องไวไปครึ่งทางแล้ว จึงหันกลับไปตามแรงดึงโดยง่ายด้วยเป้ที่หนักอึ้งด้านหลัง เป็นดั่งคาด ไกด์นั่นเอง แต่คราวนี้เป็นวินที่ต้องหยุดนิ่ง
   ไกด์หายใจหอบถี่ สีหน้าหวาดกลัวส่งออกมาอย่างเด่นชัด ดวงตาที่เคยไร้ความรู้สึกเต็มไปด้วยความหวดกลัวบางอย่างที่วินสัมผัสได้ ใบหน้าที่คมคายซีดเผือดด้วยความกลัว วินรับรู้ถึงความรู้สึกกลัวที่มันออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
   “น...นายจะไปไหน" ไกด์พูดกับวินด้วยน้ำเสียงที่วินก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน "….นาย....นายโกรธอ่ะ...น....นายจะไปไหน"
   น้ำเสียงที่ตะกุกตะกักแทบไม่เป็นคำ วินมองสภาพของไกด์ตรงหน้า ไกด์วิ่งออกมาเท้าเปล่า โดยที่อยู่ในชุดอยู่บ้านธรรมดาสุดบาง ซึ่งไม่มีทางเอื้อกับอากาศรอบๆตัวแน่ๆ
   วินกัดฟันมองหน้าไกด์ เขาหมดคำพูดใดใดกับไกด์แล้ว
   “....จะออกมาทำไมอ่ะ" ไกด์ว่า "คุยกันก่อนดิ ฉันยังไม่ได้อธิบายเลย"
   วินก็ยังคงมองหน้าไกด์นิ่งอยู่อย่างนั้นไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ไกด์ที่ตอนนี้เริ่มกระสับกระส่าย หันตัวไปมาอย่างร้อนรน พลางมองหน้าวินอย่างตื่นตระหนก
   “เห้ย...จะไปไหนวิน....กลับบ้านเหอะนะ" ไกด์พูดเสียงหนักแน่น "อย่าไปเลย"
   “พอเหอะไกด์ หยุดบ้าได้แล้ว" วินพูดทันที ไกด์ถึงกับนิ่งสนิทลงทันที "นายจะอธิบายอะไร ไม่ต้อง ไม่อยากฟังเข้าใจป่ะ"
   วินตอบพลางดึงแขนของตัวเองกลับมา
   “วิน......ผม....ผ....ผม...นี่นายรู้...." ไกด์พยายามพูด "คือมัน....ไม่ใช่....”
   “ไม่ใช่อะไร" วินลากเสียงยาว "อะไร....นายจะพูดอะไร ฉันรู้หมดแล้ว"
   ไกด์ส่งสีหน้าและแววตาที่ดูเลวร้ายลงมาก นัยต์ตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
   “อ่ะ....ยังไง จะพูดไรวะ ไอ้คนโกหก" วินว่า ไกด์เงยหน้าขึ้นมองวินทันที "มีอะไรจะโกหกต่ออีกป่ะ มีอีกป่ะ ถ้าไม่มีฉันจะได้ไป....เอาไง....”
   ไกด์กัดฟัน
   “เห้ยเสียเวลาไกด์" วินว่า "กลับบ้านไปเหอะนาย.....ออกมาข้างนอกอ่ะดูตัวเองบ้างดิ.....เลิกบ้าเหอะ....พอได้แล้ว"
   “ไม่คือ.....” ไกด์พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง "นาย...นายไม่เข้าใจ"
   “ฉันไม่เข้าใจอยูแล้ว นายวิ่งออกมาเท้าเปล่า ตัวเปล่า แล้วบอกมันไม่ใช่...อะไร" วินว่า
   “แต่นายโกรธ....” ไกด์ว่า "นายกำลัง......”
   “ฉันจะกำลังคิดอะไร รู้สึกอะไร มันไม่ได้เกี่ยวกับนายไกด์.....” วินว่า "เลิกยุ่งกันได้แล้ว.....พอแล้ว....ฉันเข้าใจแล้ว.....คุณไกด์"
   วินเน้นชื่อจริงของไกด์อย่างหนักแน่น หวังว่าหมอนี่จะเข้าใจเสียที ว่าเขาไม่ได้เป็นเด็กโง่ท่เขาต้องนั่งดูแลอีกแล้ว
   “นายกลับไปเหอะ เอาไว้นายแต่งเรื่องได้ดีดีก่อน แล้วฉันจะกลับมาฟังก็แล้วกัน" วินว่า "นายกลับไปหาแฟนนายเหอะ"
   ไกด์เริ่มมองหน้าวินด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป แววตาที่เปลี่ยนไป
   “เข้าใจแล้วช้ะ" วินว่าพลางหันหลังออกเดินทันที
   ทันใดนั้นไกด์ก็ดึงตัววินกลับมากอดแน่นทันที  เสียงหัวใจที่เต้นรัวเป็นกลองและร่างกายที่เย็นเฉียบ ความรู้สึกกลัวการสูญเสียวิ่งผ่านไออุ่นจากไกด์มาอย่างเอ่อล้น
   “อย่าไป" ไกด์กระซิบ "ฉันขอ...อย่าหันหลังไปแบบนี้วิน"
   อารมณ์โมโหที่พลุ่งพล่านพุ่งทะยานทันที ความอบอุ่นแบบนี้มันใช้กับเขาไม่ได้อีกแล้ว วินผลักตัวไกด์ออกทันที
   พลั่ก!!!
   วินเหวี่ยงหมัดใส่ไกด์สุดกำลัง ไกด์เซถลาไปหนึ่งช่วงตัว ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งเส้นผมดำขลับลงมาปกปิดใบหน้าที่ถูกปิดบังไว้ด้วยมือข้างขวา
   วินหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง
   “ก้อง......ตายไปแล้ว" วินพูดทีละคำอย่างชัดเจน "เค้าตายไปแล้ว"
   ร่างของไกด์สั่นน้อยๆ ก่อนจะค่อยเงยหน้าขึ้นมองวิน ริมฝีปากเปื้อนเลือดอยู่ วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง
   “ชั้นขอบใจที่นายดูแลชั้นมาอย่างดีไกด์ ถึงแม้ว่าวิธีของนายจะคือการโกหกก็เหอะ" วินว่า "แต่ฉันคือฉันว่ะ.....ฉันไม่ใช่น้องชายขี้ยาของนาย และชั้นก็ไม่ต้องการให้นายมาดูแลชั้นเพียงเพราะนายชดใช้ความเหี้ยของตัวเอง....เพราะมันจะไม่น่าสมเพชไปหน่อยเหรอเคลวิน"
   ไกด์หายใจหอบถี่
   “ไม่ต้องตามชั้นแล้ว" วินว่าพลางหันหลังกลับ และออกเดิน "พอแล้ว....กับนาย...ก้อง!!!”
   วินออกเดินไปทิ้งให้ไกด์ยืนอยู่ตรงนั้น....
   ไกด์รู้สึกว่าตัวเองกำลังร่วงลงไปในธารน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ น้ำตาของความเฉยชาไหลออกมาเบาๆขณะที่ชายหนุ่มกัดฟันและกำหมัดแน่น......วินไม่ได้รู้สึกอย่างที่เขารู้สึกเลยซักนิด ทำไมกัน....
   วินออกเดินมาด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเป็นครั้งที่สอง เมื่อเลี้ยวที่หัวมุมของถนน ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งทันที ดวงตามองจ้องไปเบื้องหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
   เจ้าบาริสต้า นายมีเวทย์มนต์หรือไงนะ...วินคิดในใจ
   ทำไมความเจ็บปวดของนายถึงมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่คิดว่าเข้าใจทั้งหมดแล้วแท้ๆ นายยังมีอย่างอื่นซ่อนเอาไว้อยู่อีกเหรอ ทำไมหน้าของนายตอนนั้น ถึงได้เจ็บปวดขนาดนั้น
   แล้วทำไมถึงกลายเป็นเรา.....ที่ต้องเจ็บปวดไปด้วยวะ.....
   นายเป็นใครกันแน่ เจ้าบาริสต้า....
   ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมถนนทอร์ควิล ไกด์พยุงตัวเองขึ้น มองไปยังท้องถนนที่ว่างเปล่า วินไม่กลับมาอีกแล้ว ชายหนุ่มเสยผมขึ้นช้าๆ หลับตาเก็บเอาความเจ็บปวดทั้งหมดกลับเข้าไปข้างในตัวเองอีกครั้ง ตัวตนของเคลวินข้างในนั่นแหละที่จะต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้.....
   ชายหนุ่มหันหลังกลับ พบกับหญิงสาวที่ยืนห่างไปอยู่ไม่กี่เมตร ไกด์หลบตาของเธอ
   “ฉันขอโทษ" เธอกลาวเสียงเย็นชา "เป็นอย่างที่ยูบอกจริงๆ ฉันไม่ควรกลับมา"
   “ช่างเหอะ" ไกด์ว่า "เธอเอาเขากลับมาไม่ได้อยู่ดี"
…..................
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 16 Down Into Frozen Solid]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 12-10-2012 16:21:00
( ; _ ; )/~~~
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 16 Down Into Frozen Solid]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 12-10-2012 21:11:59
 :a5: :dont2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 16 Down Into Frozen Solid]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 12-10-2012 22:35:46
โอ้ย  ตอนนี้เป็นตอนที่กระแทกใจมาก
เรารู้ว่าน้องโกธรเรื่องอื่นมากกว่าโกธรที่ไกด์ไม่บอกความจริง
วินรักไกด์ไปแล้วและสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออารมณ์ที่เรียกว่าหึง

คนเขียนถ้าไม่รีบมาต่อเค้างอนจริงๆนะตัว ฮ่าๆ :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 16 Down Into Frozen Solid]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-10-2012 01:08:14
โอ้ยยยยยย น้ำตาไหลได้ไงอะ


วูบ ไปเลย หน้าชา นะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 16 Down Into Frozen Solid]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 13-10-2012 15:28:02
ตอนที่ 17 It's Complicated

สเตลล่าเดินมานั่งลงข้างๆไกด์พร้อมกับวางแก้วกาแฟของไกด์และตัวเองลงบนโต๊ะกลางห้อง ขณะที่ไกด์นั่งนิ่งสนิทมองไปยังโซฟานอนของวินอย่างนิ่งเงียบ หญิงสาวมองตามไป พลางมองกลับมาหาไกด์อีกครั้ง เธอเข้าใจความรู้สึกของไกด์ดี มันค่อนข้างที่จะยากที่จะให้ความสนิทใจระหว่างเธอกับไกด์กลับมาเหมือนเดิม หลังจากเกิดเรื่องร้าย การกลับมาที่นี่อีกครั้งของเธอ นอกจากจะมาทำความฝันให้เป็นจริงแล้ว เธอเองก็อยากกลับมาหาเขา มาสะสางความรู้สึกผิดที่ยังติดค้างอยู่ในใจของเธอทั้งคู่ให้เรียบร้อย
   หญิงสาวค่อยๆเอื้อมมือไปแตะตัวไกด์ แต่ทว่าไกด์ก็จับมือเธอไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะจับถึงตัวเค้า หญิงสาวตกใจเล็กน้อยขณะที่ไกด์หันมามองหน้าของเธอ
   “ยูกลับมาทำไม" ไกด์ถามเสียงเข้ม
   สเตลล่ากระพริบตาเบาๆก่อนจะก้มหน้าลง
   “....It's complicated” เธอว่า "ไอคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสะสางเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อยแล้วก็....”
   “มันไม่มีทางสะสางได้อยู่แล้ว" ไกด์ตอบ "เราสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจ"
   เสียงหายใจของสเตลล่าดังขึ้นหนักหน่วง
   “ยูบอกเค้าเหรอ ว่าเราเป็นแฟนกัน" ไกด์ถามอีก
   “ก็.....ถ้าจะมาหายู ในที่ของเคลลี่" สเตลล่าว่า
   “เราสองคน....” ไกด์หันมาหาเธอ "….ไม่ได้เป็นอะไรกัน"
   สเตลล่าถอนหายใจก็จะเมินหน้าหนี
   “ไม่ต้องย้ำ" เสตลล่าว่า "ไอไม่ได้มาที่นี่ เพื่อมาทำให้ยูดูแย่ไปกว่าเดิม"
   ไกด์ลุกขึ้นทันที พลางเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า
   “ยูจะไปตามหาเค้าสินะ" สเตลล่ากล่าว "เค้าเป็นใคร ทำไมยูถึงจะต้องเป็นห่วงเค้าขนาดนี้ด้วย"
   ไกด์หันมาหาเธอขณะเปลี่ยนกางเกง
   “...It's complicated” ไกด์ย้อนก่อนจะถอดกางเกงตัวเองออก แล้วค้นตู้ สเตลล่าเบือนหน้าหลบไปทางอื่น
   “เค้ารู้เรื่องเคลลี่" สเตลล่าว่า "เค้าเป็นเพื่อนเคลลี่เหรอ"
   สเตลล่าไม่ได้รับคำตอบใดใดกลับมา เมื่อไกด์ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เธอหันกลับไปมองเขา
   “ยูโกหกอะไรเค้า" สเตลล่าถามต่ออีก "ยูสร้างเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า"
   เสียงปิดตู้เสื้อผ้าดังสนั่น สเตลล่าห่อไหล่เล็กน้อยด้วยความตกใจ ไกด์หันมามองเธอด้วยสีหน้าเฉยชา
   “ยูพักอยู่ที่ไหน ไอจะไปส่ง" ไกด์พูดขึ้น
   “ไอเพิ่มลงเครื่องมาเมื่อเย็น" สเตลล่ากล่าว "ไอ....”
   “งั้นยูก็พักที่นี่" ไกด์ว่า "เสื้อผ้าของไอบางตัว ยูอาจจะใส่ได้ ก็ลองค้นๆดู ไอจะไปนอนที่อื่น"
   ไกด์ว่าพลางเดินไปยังประตู
   “อย่าทำเป็นเหมือนกับว่าไปเป็นคนอื่นหน่อยเลยเคลวิน" สเตลล่าว่า "ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษตอนนี้ มันไม่ได้ช่วยแก้อะไรให้ดีขึ้นมา นิสัยคนเรา มันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ โดยเฉพาะนิสัยคนอย่าง...."
   “ถ้าอยากจะลองนิสัยเก่าของไอนัก มันก็ไม่ได้ยากหรอกนะสเตลล์" ไกด์เดินอย่างน่ากลัวมาหาสเตลล่า เธอถอยกรูไปเล็กน้อย "เพราะถ้ามันเป็นอย่างที่ยูว่า ยูเองก็คงเหมือนกัน"
   ไกด์ลูบไล้มือของตัวเองไปตามเรือนร่างของสเตลล่าอย่างเบามือ ชายหนุ่มมองไปตามมือนั้นด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะมองขึ้นมาที่ใบหน้ของเธอ
   “หรือว่าที่จริงแล้ว ที่ยูกลับมา ก็เพราะคิดถึงเรื่องคืนนั้น........”
   สเตลล่าผลักตัวไกด์ออกไปจากตัวทันที ก่อนจะเบินหน้าหนี ไกด์เหล่มองใบหน้าของเธอ แววตาที่รู้สึกสำนึกคู่นั้น ไกด์เข้าใจดี
   “มันไม่ใช่ยูคนเดียวหรอกนะ ที่รู้สึกผิดเป็น....” ไกด์ว่า พลางออกเดิน "วันพรุ่งนี้ถ้ายูจะทำอะไร หรือไปที่ไหน ก็ไปหาไอที่สโนวเฟลค ไอไม่มีโทรศัพท์"
   เสียงปิดประตูทิ้งให้สเตลล่าจมอยู่กับตัวเอง หรือว่าบางทีเธออาจจะไม่ควรกลับมาที่นี่เลย
   ไกด์ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้อง พลางคิดทบทวนเรื่องหลายๆอย่าง......

   “ไม่หรอกพี่ ผมอ่ะ รู้อยู่เหอะ ว่าทำอะไรได้แค่ไหน" ก้องพูดเสียงใส กับไกด์ที่ล็อบบี้ของโรงแรม "คอยดูนะ คนนี้อ่ะ เดี๋ยวผมจะจีบให้อยู่เลยพี่ไกด์"
   “คนไหนวะ ยังไม่เห็นเลย" ไกด์ร้องถาม ก้องพยักเพยิดไปยังหญิงสาวที่กำลังยืนคุยอยู่กับจีโออยู่ที่เคาท์เตอร์
   “คนนั้นไงพี่ไกด์ ผมน้ำตาลน่ารักๆอ่ะ เห็นยัง" ก้องร้อง "รู้ชื่อมาแล้วด้วย"
   “เห้ยไอ้นี่ ไวไปป่ะ" ไกด์ว่าพลางมองตามไป …. น่ารักจริงๆเสียด้วย "ล...แล้วเค้าชื่ออะไรอ่ะ"
   “สเตลล่า ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน น่ารักเวอร์อ่ะ" ไกด์ว่า "ผมเจอที่สถาบัน เขาเรียนเบเกอรี่"
   “นี่สรุปแกเอาเวลาไปเรียนหรือว่าไปทำอะไรวะ" ไกด์ดุน้อง
   “โห พี่ไกด์ จะไม่เกทับเรื่องนี้ซักวันจะตายป่ะเนี่ย" ก้องร้อง "นี่ผมพาเพื่อนๆมาเที่ยวกันนะ อย่าดุผมต่อหน้าคนอื่นๆดิคับ"
   “อ้าว ก็แกอยู่ในโรงแรมชั้น" ไกด์ว่า "แถมพาผู้หญิงมานอนห้องเดียวกันด้วย อยู่ฟรีอีกด้วย เจริญและธุรกิจชั้น"
   “เอาน่า....เดี๋ยวตอนเย็นผมลงมาช่วยงานที่บาร์" ก้องร้อง "นะนะนะ"
   ไกด์เหล่มองน้องพลางส่ายหัว ทันใดนั้นกลุ่มเพื่อนๆของก้องก็ค่อยๆทยอยขนของขึ้นไปชั้นบนของโรงแรม ขณะที่เด็กสาวน่ารักคนนั้นเดินมาหาก้องและไกด์
   “Kelly...I think we couldn't rest in one room.” เธอกล่าว "Can you prefer...?”
   ก้องทำหน้าเหยเกพลางเหล่มองหน้าพี่ชาย ก้องยิ้มกว้างพลางพนมมือใส่ก้อง
   “แหะแหะ ขอห้องเพิ่มนะเฮีย" ก้องพูดเสียงอ่อย ไกด์ถอนหายใจครั้งหนึ่ง "นะนะนะ"
   ไกด์มองไปยังเด็กสาวคนนั้น เธอยิ้มหวานให้เขา ไกด์หรี่ตามองเธอพลางยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย
   “Ok....” ไกด์ตอบ "อีกห้องก็ได้"
   “เย่......” ก้องร้อง ก่อนจะนำทางเด็กสาวเดินขึ้นไปด้านบน ไกด์มองตามน้องชายและเด็กสาวขึ้นไป
   น่ารักจริงๆ.....ไกด์คิดในใจ


   ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความทรงจำที่ผิดพลาดออกไป ก่อนจะเดินออกจากตึกไปลำพัง
….....
   “จะทานอะไรก่อนหรือเปล่า อาจจะใช้เวลาอีกนานนะน้อง" มิกถามผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังไอ้เต่าทอง วินตื่นขึ้นจากภวังค์ก่อนจะหันไปตอบ
   “ไม่เป็นไรครับ พี่ขับไปเถอะครับ" วินตอบ
   “งั้นก็ยาวนะ" มิกว่า พลางออกตัวไปถามท้องถนนทันที
   วินหมดหนทางและนั่งนิ่งอยู่หน้าร้านเกล็ดหิมะอยู่พักใหญ่ พลางนึกหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการร์ขับคับที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบพาไป เขานั่งคิดอยู่นานว่าจะเอายังไงกับการใช้ชีวิตโดยไม่มีไกด์ ฉุกคิดทบทวนถึงคราวหนีปัญหาครั้งก่อน มีผู้ชายคนหนึ่งให้นามบัตรเขาไว้ ชายหนุ่มแปลกประหลาดที่รับเขามาจากถนนจากวิลแลตด้วยรถเต่าสีแดงสดสุดเก่า

อัครพล จุรีรักษ์
Sume International
Art Director

   และก็นับเป็นโชคดีของวิน ที่แม้ว่าจะดึกมากแล้ว ชายคนนี้ก็รับโทรศัพท์เขา แถมยังวนเวียนอยู่ที่ปารีสอีกด้วย วินจึงขอความช่วยเหลือจากชายคนนี้ทันที
   “พี่จำเราได้แล้ว" มิกร้องขึ้น "น้อง.....ที่พี่เคยพามาส่งที่ปารีสจากวิลแลตป่ะ"
   “ใช่ครับ" วินตอบ "โห พี่ ผมนั่งมาตั้งนาน พี่เพิ่งนึกออกเหรอเนี่ย.......แล้วตอนผมโทรหาพี่พี่ตอบตกลงทำไมอ่ะ"
   “อ๋อ พี่ให้นามบัตรคนไว้เยอะ ยังไงมีคนโทรมาพี่ก็รับตลอดแหละ" มิกตอบ "พี่เลยจำคนไม่ค่อยได้น่ะ ว่าแต่เราเหอะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถึงได้ขอไปอยู่บ้านพี่ตั้งสองอาทิตย์"
   “ไม่มีหรอกคับ พอดีห้องที่อยู่ เขามีปรับปรุงถนน เสียงมันดังมาก ผม....ไม่มีสมาธิทำงาน" วินโกหก "ผมรบกวนพี่ไม่นานหรอกครับ บางทีอาจจะไม่ถึงขนาดนั้นก็ได้"
   มิกพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าจะจำได้ไม่เด่นชัดว่ายังไง แต่เท่าที่จำได้ เด็กคนนี้กับคนที่รับมาตอนต้นปี แทบจะเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว
   “แล้วนี่ไปทำอะไรมาหลายเดือน ไอ้เด็กตัวแสบต้นปีหายไปไหนซะแล้วล่ะน้อง" มิกถามต่อ
   วินส่ายหน้าเบาๆ
   “ผมทำงานอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะ" วินตอบ "ที่ที่พี่ปล่อยผมลงวันนั้นนั่นแหละ"
   “อ่อ" มิกรับคำ "แล้วเราชื่ออะไรนะ"
   “วินคับ ชื่อวิน" วินตอบ "ผมว่าผมบอกพี่ไปแล้วนะ"
   “โทษทีๆ พี่ลืมน่ะ" มิกว่า วิน...ชื่อเหมือนเพื่อนของเอิร์ธเสียด้วย
    วินก้มลงมองนามบัตรของผู้ชายคนนี้
   “พี่มิก....ใช่ป่ะ" วินถาม
   “ใช่คับ" มิกตอบ "พี่ทำงานที่ซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอลเหรอ"
   “ใช่ พี่เป็นอาร์ทได" มิกตอบ "น้องรู้จักแบรนด์ซูเม่ด้วยเหรอ"
   “ก็.....รู้จักคับ" วินตอบ "แล้วบ้านพี่อยู่วิลแลตเนี่ยนะ"
   “ใช่" มิกตอบ
   “แล้วพี่ก็ขับรถมาทำงานทุกวันเนี่ยนะ" วินถามต่อ
   “ใช่" มิกตอบ
   “ไม่เหนื่อยเหรอพี่" วินถาม
   “ไม่นะ" มิกตอบ "ขับรถไปเรื่อยๆ ได้ไอเดียอะไรๆเยอะดีออก"
   วินพยักหน้ารับ
   “นอนพักไปก่อนก็ได้นะ คงอีกซักพักกว่าจะถึงบ้านพี่" มิกกล่าว วินจึงขยับตัวและพิงตัวเองไปกับเบาะหลังทันที พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำ
   ที่จริงแล้ มันออกจะน่าหงุดหงิดไปด้วยซ้ำที่วินปฏิเสธตัวเองไม่ได้ ที่ทุกฝีเก้าที่เดินออกจากถนนทอร์ควิล ในหัวของเขามีแต่เรื่องไกด์เต็มหัวไปหมด ความกลัวจากอ้อมกอดของไกด์ที่ได้รับมามันส่งผลเปลี่ยนแปลงให้กับวินอย่างมหาศาลจนอธิบายไม่ถูก วินคิดได้เอาทีหลังว่า สาเหตุที่เขาโกรธไกด์หลักๆก็คือเรื่องการโกหก โดยเฉพาะเรื่องเงิน ที่สำหรับวินเป็นเรื่องใหญ่ มันค่อนข้างขัดกับความจริงที่ไกด์เป็นนักธุรกิจ แล้วหมอนั่นจะเอาหลอกเอาเงินเขาไปทำไมกันในเมื่อไกด์มีสถานะการเงินที่พูดได้เต็มปากว่าดี หรือว่าหมอนี่จะมีนิสัยคนรวยเหมือนพ่อของเขาไปด้วยอีกคน เอาโอกาส เอาความหวังมาขายให้กับคนที่ไม่มี และนำมันมาสร้างความสุขให้กับตัวเอง ซึ่งวินเดาว่าในกรณีของไกด์ วินถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลบล้างความผิดที่ไกด์ทำไว้ต่อน้องชาย ความผิดที่ไม่ได้ดูแลน้องชายดีเท่าที่ควร แต่ประเด็นก็คือ เขาก็คือเขา อาจจะดูเหมือนวินมายังปารีสด้วยตัวเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เป็นเบื้องหลัง แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าหมอนั่นจะมาทำอะไรกับเขาได้ตามใจชอบเพียงเพราะว่าเขา......ไม่มี
   สะบัดหัวไล่ความคิดงี่เง่าออกไป....ยอมรับกับตัวเองอีกครั้งว่า....เขานึกถึงเรื่องหมอนั่นอีกครั้งแล้ว
   เป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่รถสีแดงสดสุดเก่า พาวินมายังวิลแลต ย่านชานเมืองที่อยู่ห่างจากปารีสมา พอสมควร ซึ่งสำหรับวินแล้ว มันไกลสุดโต่งทีเดียว วินนั่งหลังตรงทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่ทางเข้าป่าสนหนาทึบ รู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะเสี่ยงตั้งแต่กล้ายกหูโทรหาผู้ชายคนนี้แล้ว รถยนตร์จอดนิ่งสนิทที่ลานจอดที่ปูด้วยหินกรวดสีส้ม วินก้าวลงจากรถก็ได้ยินเสียงน้ำตกเบาๆ เขามองอะไรไม่ค่อยถนัดนักเพราะมันดึกมากแล้ว
   “ขนของแล้วก็ตามพี่มาเลยน้อง" มิกว่า "บ้านพี่ต้องเดินข้ามสะพานไม้ไป นิดเดียวเอง"
   วินทำตาโต ชายคนนี้มีบ้านอยู่ในป่าหรือไงกันนะ รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ได้แต่หยิบเป้และเดินตามมิกไปอย่างเสียไม่ได้ สะพานไม้ส่งเสียงอยู่ได้ไม่กี่อึดใจ วินก็มาหยูดอยู่ตรงบ้านทรงโมเดิร์นที่ออกแบบมาอย่างหรูหรา ไม่ใช่บ้านที่ใหญ่โตนัก แต่ด้วยการดีไซน์ ที่เข้ากับผืนป่าที่อยู่ด้านหลัง บ้านหลังนี้สวยจนแทบไม่มีที่ติ เขาชะโงกหน้าไปดูด้านหน้าของบ้าน น้ำตกไหลผ่านลอดใต้ตัวบ้านลงไปเป็นลำธาร ผ่านสะพานไม้ไปตามผืนป่าที่หายไปสุดลูกหูลูกตา
   “ว้าว" วินพ่นลมออกมาเบา มิกยิ้มกว้าง
   “ขอต้นรับสู่ชาโตว์วิลแลต" มิกว่า "บ้านพี่อาจจะไม่มีอะไรมากนะ แต่ก็...ทำตัวตามสบายก็แล้วกัน"
   บ้านของมิกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นผสมนีโอคลาสสิค ผนังสีขาวเรียงรายไปด้วยภาพวาดศิลปะตั้งอยู่ เดินไปมองรอบๆอย่างล่องลอย แม้ว่าจะดึกดื่นแล้ว แต่เมื่อมิกเปิดไฟขึ้นทั้งบ้าน วินก็ตื่นเต็มตา
   ห้องน้ำอยู่ด้านปีกซ้ายนะ มีโซฟายาวอยู่ชั้นสอง มันพับเป็นเตียงนอนได้ ครัวก็อยู่ด้านหลัง จัดการตัวเองเอาเองนะน้อง พี่ขอตัวก่อน" มิกว่าพลางเดินขึ้นบันไดไป ขณะที่วินเดินเข้าไปดูภาพวาดภาพหนึ่งที่ตั้งเด่นอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง เป็นภาพบนแคนวาสขนาดใหญ่โตที่แขวนอยู่เพียงรูปเดียว เป็นภาพที่คอลลาจมาจากรูปถ่าย วินคิดในใจ มีสีสันที่วุ่นวายตัดไปมาอยู่ในภาพสีเทา มองเห็นเป็นผู้คนวิ่งเดินกันไปมา โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในภาพเลย
   “พี่ครับ" วินร้องขึ้นทันก่อนที่มิกจะเดินขึ้นบันไดไป "ภาพนี้....หมายความว่ายังไงเหรอครับ"
   “ภาพไหน....อ๋อ" มิกร้อง "Loveless Society น่ะเหรอ"
   “ชื่อภาพเหรอครับ" วินถาม
   “ใช่" มิกตอบ "พี่ไม่ได้วาดเอง เป็นภาพของดีไซน์เนอร์เพื่อนพี่ หมายความถึงสังคมที่ไร้ซึ่งความรักต่อกันอะไรประมาณนี้น่ะ"
   “สวยดีนะพี่" วินว่า "ผมถ่ายรูปเก็บไว้นะ"
   “เอาสิ" มิกว่า ก่อนจะหายขึ้นไปชั้นบน
   วินยอมรับว่างานศิลปะที่ห้องนี้ ทำให้เขารู้สึกลืมความเจ็บปวดเอาไวเบื้องปลังได้อย่างเป็นปลิดทิ้ง แต่กับ Loveless Society ภาพนี้ อยู่ดีดีเขาก็รู้สึกถึงความต้องการใครซักคนขึ้นมาซะอย่างนั้น ภาพวาดนี้ดูมีพลังประหลาด ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขากำลังอยู่ตัวคนเดียว
   หรือว่าบางที...เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่กำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง และทิ้งอะไรบางอย่างมาอย่างไม่มีเยื่อใยเลยก็ได้
   วินเดินไปยังกระจกใสชองบ้านที่มองเห็นด้านนอกได้ชัดเจน ผืนป่าสวยงามรายล้อมอยู่ตรหน้า คำถามเดียวที่เกิดขึ้นในใจแว้บขึ้นมา
   อะไรถึงทำให้นายเจ็บปวดได้ขนาดนั้นะไกด์.....
   โดยที่วินไม่รู้ตัวเลยว่า เขาคิดถึงไกด์อีกแล้ว
…...........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 17 It's Complicated]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 13-10-2012 17:26:04
วินมาอยู่กับมิก

แล้วไกด์จะหาเจอรึเปล่า
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 17 It's Complicated]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 25-10-2012 15:51:23
รออยู่นะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 17 It's Complicated]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 25-10-2012 20:25:35
รอเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 17 It's Complicated]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 25-10-2012 22:19:28
รอด้วยคน
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 17 It's Complicated]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-10-2012 23:50:24
 :m16:

วุ่นวาย เละเทะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 17 It's Complicated]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 27-10-2012 12:06:12
ตอนที่ 18 Cry

   “ทั้งหมดก็มีแค่นี้แหละ ฉันว่าทั้งหมดกว่าจะสั่งตัดเสร็จก็คงประมาณวันพุธ" วินอธิบาย "คุณเจนเค้าก็บอกว่าให้จัดการเรื่องการขนขอย้ายสตูดิโอให้เรียบร้อยด้วย ระวังช่วงวันนั้นจะวุ่นวายเอามากๆ"
   “เดี๋ยวนะ แล้วเครื่องไฟอ่ะ" เอิร์ธถาม "จะให้ฉันตอบตกลงเจ้านี้เลยหรือเปล่า"
   “ตกลงเลยๆ อย่ารอๆ" วินตอบ "ไม่งั้นเราจะเสียเวลากันหมดเว่ย"
   “ขอบใจมากนะเว่ยที่เขียนตารางงานให้อ่ะ" เอิร์ธว่า "แล้วคุณเจนเค้าว่ายังไงบ้างอ่ะ ที่มึงไปส่งงานเค้าเมื่อวันเสาร์"
   “เค้าก็ถามหามึง" มิกตอบ "เค้าไม่พอใจนะ ที่ไม่เห็นตัวแกอ่ะ"
   “ช่างแม่ง" เอิร์ธว่า "แล้วเราต้องทำอะไรกันต่อ"
   “หานางแบบ" วินตอบทันที "ประกาศหานางแบบเพิ่ม เท่าที่กูลงไปดูของที่นี่นะ มันก็ใช้ได้หมดอ่ะ ยกเว้นของชุดฟินาเล่"
   “ชุดผ้าเลื่อมนั่นอ่ะเหรอ" เอิร์ธถาม
   “อืม" วินตอบ
   “ต้องใช้คนที่ดูดีเอามากๆเลยกูว่า" เอิร์ธว่า "ต้องผู้หญิงที่ผิวขาว แล้วก็สูงหน่อย ใส่บูทแล้วไม่ขัดตา ไม่อย่างนั้นผ้าจะกองอยู่ข้างหลังมากไป"
   “ใช่ และที่นี่ก็ไม่มีน่ะ" วินว่า
   “แล้วแกจะไปหาที่ไหน" เอิร์ธถามต่อ
   “ยังไม่รู้อ่ะ" วินว่า "เดี๋ยวเรื่องนี้กูจัดการเอง มึงไปตามเรื่องไฟเหอะ บ่ายนี้มึงไปที่ซูเม่ตรงถนนฮักโซเลย แล้วได้เรื่องยังไงก็บอกกูด้วย"
   “เจอที่ร้านเกล็ดหิมะใช่มะ ได้ๆ" เอิร์ธถาม
   “ไม่อ่ะ" วินตอบทันที "เจอที่เอ่อ สถานีรถไฟฝั่งเหนือ"
   “ฝั่งเหนือ มึงจะไปไหนวะ" เอิร์ธถาม
   “ไปวิลแลต" วินตอบ "พักนี้กูไปเอ่อ....หา Inspiration แถวนั้น"
   “งั้นเหรอ" เอิร์ธว่า "อืมๆ ก่อรอบกี่โมงอ่ะ"
   “สองทุ่ม กูไม่รอนะเว่ย" วินว่า
   “เออๆ" เอิร์ธรับคำ
   นับเป็นการเตรียมงานที่ค่อนข้างวุ่นวายเอาการสำหรับทั้งคู่ แม้ว่าวินจะยืนพื้นเต็มที่กับเอิร์ธว่ายังไงการทำแฟชั่นโชว์ที่ซูเม่ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวล และแน่นอนว่าการำทงานของทั้งคู่ก็ไม่มีอะไรต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอีก ถึงแม้ว่าเอิร์ธจะยังไม่วางใจร้อยเปอร์เซนต์
   ซึ่งแท้จริงแล้วมันกลับกลายเป็นวินเองต่างหากที่แบกรับปัญหาเอาไว้หลายต่อหลายอย่าง เพื่อไม่ให้การเผชิญหน้าระหว่างเอิร์ธกับเจนจิราหนักข้อขึ้น เรื่องบางอย่างวินจะเป็นคนรับมาทำเอาเสียเอง งานที่เพิ่มเป็นสองเท่า ยังไม่หนักหนาเท่าการผิดใจกับไกด์ ตอนนี้เขาจากห้องพักบนถนนทอร์ควิลมาสี่วันแล้ว และไม่มีการติดต่อจากบาริสต้าของร้านเกล็ดหิมะแต่อย่างใด ทั้งๆที่อยู่ห่างจาก Esmod ไปแค่หกบล็อค
   ความจริงข้อนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆอยู่ในอกตลอดเวลา
   หลายต่อหลายครั้งที่เขาอยากจะเดินไปที่ร้าน เพื่อดูสถานการณ์และความเป็นไปของไกด์ แต่ด้วยปริมาณเรื่องที่เขาต้องจัดการในการย้ายข้าวของไปที่ Esmod มันไม่มีเวลานั้นให้เขาเลย ยกเว้นการรอรายงานจากเอิร์ธก่อนสองทุ่มคืนนี้ ในเวลาที่เขาต้องจัดการหานางแบบที่ดูดีเป็นพิเศษสำหรับชุดฟินาเล่
   วินเดินลงมาจาก Esmod จนถึงชั้นล่าง มองไปยังถนนที่ร้านเกล็ดหิมะอยู่ตรงหัวมุมนั้น หายใจเข้าครั้งหนึ่ง
   เสียงเปิดประตูร้านเกล็ดหิมะดังขึ้นเบาๆ วินมองเข้าไปในร้านอย่างระมัดระวังตัว
   “วิน" เสียงเจ๊ใหญ่ดังทักขึ้นมาทันที "ตายแล้ว หายไปไหนมาตั้งอาทิตย์นึงจ้ะ"
   “หวัดดีเจ๊" วินยิ้มตอบหลางมองไปรอบร้าน "ไปเอ่อ......ต่างจังหวัดน่ะครับ มีงานที่ต้องทำ ผมบอกเจ๊ไปแล้วนี่ว่าผมจะขาดงานที่ร้าน"
   “เออใช่....เจ๊ก็ลืมไปเสียสนิทเลย" เจ๊ใหญ่ว่า "แล้วมีเงินใช้หรือเปล่าเนี่ย หายไปหลายวันแบบนี้"
   “ก็พอมีครับ ผมมีเงินเก็บอยู่พอสมควรละ ช่งที่ทำงานแทนก้องเค้าน่ะครับ" วินว่า
   “แล้วรู้เรื่องแล้วหรือยังจ้ะ" เจ๊ใหญ่ถามขึ้น
   “เรื่องอะไรเหรอครับ" วินถาม
   “ตายจริง นี่เราไม่ได้อยู่บ้านก้องเค้าด้วยเหรอที่หายไปเนี่ย" เจ๊ใหญ่ถาม
   “ครับ" วินว่า "ผมไปค้างที่อื่นมาเกือบอาทิตย์แล้วครับ"
   “ก้องเค้าลาออกแล้วนะวิน" เจ๊ใหญ่พูด
   “อะไรนะคับ" วินร้อง
   “ใช่ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าวิน" เจ๊ใหญ่ถามทันที "มันแปลกมาก แปลกเอามากๆ คือ....อยู่ดีดีก้องเค้าก็มาลาออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ๊ตกใจมาก วันเดียวเองหลังจากวันที่เราโทรมาลางานเจ๊น่ะ วันรุ่งขึ้นนะ เจ๊ก็ตามไปดูที่บ้านเลย ปรากฎว่าเป็นผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่แทน แต่ข้าวของก็ยังเหมือนเดิมนะ"
   “สเตลล่า" วินพูดเบาๆ "เค้ามาลาออกไปเฉยๆเลยงั้นเหรอครับ"
   “ใช่ แล้วเค้าก็ฝากนี่ไว้ให้เราด้วย" เจ๊ใหญ่ว่า "ก็ถึงได้ถามไง ว่ามีเงินใช้หรือเปล่า เราน่ะ เพราะก้องเค้าฝากเงินก้อนเอาไว้ให้"
   เจ๊ใหญ่หยิบซองน้ำตาลออกมาจากกระเป๋ายื่นให้กับวิน เขารับมันออกมาเปิดออกดู ก็พบกับเงินหลายหมื่นอยู่ในมือ
   เงินค่าห้องของเค้าเองที่จ่ายก้องไปทุกๆเดือน
   ก้องเงยหน้าขึ้นมองเจ๊ใหญ่อย่างรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกอัดอั้นที่ตีอยู่ข้างในเอามากๆ
   “เสียดายจังเลย" เจ๊ใหญ่พูดขึ้นมา "เจ๊จะไปหาบาริสต้าดีดีอย่างเจ้าก้องได้ที่ไหนอีกนะ เห้อ...เสียดายจริง"
   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ" วินพูด พลามองไปที่บาร์ของร้าน "ผมทำเอง"
   เจ๊ใหญ่มองมาที่วินทันที
   “ผมทำเองเจ๊" วินว่า พลางมองไปที่บาร์ที่ไม่มีคน
   วินเดินออกจากร้านมาพร้อมกับความรู้สึกเย็นชา แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวตอนนี้จะอบอุ่นอยู่มากแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าถนนทอร์ควิลเส้นเดิมกลับไม่เหมือนเดิมอย่างที่คาดคิด ความเปลี่ยนแปลงมาเยือนวินเร็วเอามากๆ ออกจะเร็วเกินไปด้วยซ้ำ เขากลับกลายเป็นคนที่กลืนคำพูดตัวเอง มองเงินที่ถืออยู่ในมือเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี เงินก้อนนี้มันทำให้ความทรงจำก่อนวันที่ไกด์จะพาเขาไปสตราส์เบิร์กได้ดี

   “อย่าพูด ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้" ไกด์ว่าวินเข้าอย่างจัง ชายหนุ่มมองหน้าเขากลับ "ฉันไม่ได้จะไล่นาย แต่ฉัน....ฉันอยากให้นายอยู่ต่อ.....”
   “ฉันก็ยังอยู่ไม่ใช่รึไงวะ นายประสาทหรือเปล่า" วินว่า
   “ฉันหมายถึง อยู่กับฉัน ไปเรื่อยๆ" ไกด์ว่า "ฉัน......อยากให้นายอยู่กับฉันไปก่อนได้หรือเปล่า"


   ที่เลวร้ายที่สุดของพาร์ทนั้นก็คือ วินตอบตกลง
   “ให้ตายสิไกด์" วินร้องเสียงดังที่หัวมุมถนนทอร์ควิล "นายเป็นคนแรกที่ทำให้ชั้นรู้สึกผิดได้เหอะ"
   วินสาวเท้าอย่างไวไปที่บ้าน โดยไม่รีรอ ไม่กี่อึดใจต่อมา เขายืนอยู่หน้าห้องเก่าก่อนจะเริ่มเคาะประตู เสียงกุกกักดังอยู่ไม่นาน ประตูก็เปิดออก ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้วินตกใจมากนักเมื่อพบกับใบหน้าของสเตลล่า
   "วิน" เธอเอ่ยเบาๆ
   “ชั้นมีเรื่องจะคุยกับเธอ" วินพูดทันทีโดยไม่รีรอ
   “กับชั้นเหรอ" สเตลล่าถาม "เอ่อ...เข้ามาก่อนสิ"
   เธอหลีกตัวให้วินเดินเข้ามาในห้อง วินมองไปรอบๆพักนึง ข้างของทุกอย่างยังวางอยู่ที่เดิม เขามองไปยังห้องของไกด์แว้บนึง ก่อนจะรีบหันหลังกลับ
   “เคลวิน ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วนะ" สเตลล่าพูด "เค้าไป...”
   “ชั้นรู้แล้ว" วินว่า
   “ยูจะกลับมาอยู่ที่หรือเปล่า" เธอถาม "ชั้นได้ย้ายของออกมาจากห้องของเค้า"
   “ไม่อ่ะ" วินตอบ "คงยังไม่ใช่วันนี้"
   “แล้วมีเรื่องอะไรกับชั้นเหรอ" สเตลล่าถามวิน ชายหนุ่มมองหน้าเธออยู่อย่างนั้น เขารู้สึกตัวเอาตอนนี้เองว่าไม่รู้ว่าจะคุยกับเธอเรื่องอะไร เขาแค่รู้สึกบางอย่างถึงไกด์ขึ้นมา เงินที่อยู่ในมือของเขาทำให้เขารู้สึกผิดต่อสัญญาที่จะอยู่กับไกด์ต่อ มันกลายเป็นว่าเขารู้สึกแย่เรื่องนี้เอามากๆ ชีวิตของเขาที่นี่ มันสร้างประโยชน์อะไรให้กับใครได้ไม่ค่อยเยอะ มันเลยค่อนข้างที่จะสำคัญ ที่เค้าผิดสัญญา
   “ชั้นเอ่อ....ชั้น" วินพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง มันดูงี่เง่ามากต่อหน้าสเตลล่า เขาพยามที่จะควบคุมอารมร์ตัเอง "ชั้นเอ่อ....เธอ....”
   “You miss him” เธอพูดขึ้น ขณะมองหน้าวิน เขานิ่งสนิททันที "I saw it in your eyes”
   “ม...ไม่อ่ะ เธอผิดแล้ว" วินว่าพลางหลบตา "ชั้นแค่มา....ชั้นแค่....”
   มันเริ่มแย่ลงทุกที เขาทำให้ตัวเองดูงี่เง่าเป็นบ้าเลย
   “ชั้นกลับแล้ว" วินว่าพลางเดินไปที่ประตูทันที
   “ให้ตายเถอะวิน I'm sorry” สเตลล่าร้องเสียงดัง วินหันกลับมามองเธอด้วยความตกใจ หญิงสาวบหน้างดงามถูกหมองลงไปด้วยความเศร้า "ชั้น ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะกลับมา ชั้นแค่....”
   วินมองเธออย่างงวย ท่าทางของเธอ กลับไม่ต่างอะไรจากเขาเลย
   “ฉันไม่ได้จะกลับมาเพื่อทำลายเรื่องยูสองคนนะ" สเตลล่าร้อง "ขอร้อง อย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิด"
   วินยืนนิ่งมองหน้าเธอ
   “ฉัน ฉันแค่....” สเตลล่าก้มหน้าลง "ขอร้องเถอะวิน เป็นยูได้ไหมที่จะฟังชั้นบ้าง"
   “ผมว่าผฟังมามากพอแล้วล่ะ" วินว่า "พวกคุณต่างหาก ไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกยังไงน่ะ"
   สเตลล่ามองหน้าวิน
   “แต่ชั้นว่าชั้นรู้" สเตลล่าพูด "เคลวินเป็นแบบนี้เสมอ มันถูกแล้วที่เป็นยู"
   “เธอพูดอะไรของเธอ" วินร้อง "เธอจะมารู้ความรู้สึกของชั้นได้ยังไง"
   “แล้วยูกลับมาทำไม" สเตลล่าว่า "ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเค้าไม่อยู่"
   “ก็....” วินว่าพลางมองไปห้องของไกด์ กลับกลายเป็นว่าห้องนั้นมีพลังงานบางอย่าง บางอย่างที่มันมีพลังมากกว่าเรื่องร้ายใดใดที่เค้าได้ยินมาทั้งหมดเกี่ยวกับเคลวิน เกี่ยวกับไกด์
   วินมองประตูบานนั้นด้วยร่างที่สั่นไหว พลางมองไปรอบๆห้อง
   เขาเห็นตัวเองอยู่ตามมุมต่างๆ.....
   วินส่ายหน้าและพยายามหลับตา
   เขาเห็นตัวเองโวยวายใส่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่พยายามปลุกเขาตื่นจากโซฟาตัวนั้น...
   นัยน์ตาของวินสั่นไหว
   เขาเห็นโต๊ะอาหารที่ผู้ชายคนหนึ่งส่งรอยยิ้มให้ พร้อมกับอาหารที่ส่งกลิ่นหอม....
   วินหลับตาลง
   เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งโอบไหล่เขาที่ระเบียงและบอกให้เขาสู้ต่อ.....
   วินเงยหน้าขึ้นเสยผม ก่อนจะก้มหน้าลง
   เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ขอร้องให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ....

   “....และเป็นชั้นเอง ที่ผิดสัญญา....” วินพูดออกมาเบาๆ ชายหนุ่มเอามือกุมขมับ "ให้ตายสิไอ้วินเอ้ย....มาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย"
   วินนั่งลงกับพื้นตรงนั้นทันที ร่างกายเค้าสั่นสะท้านไปหมด
   “มึงก็รู้อยู่ ว่าแม่งไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว" วินว่า "แล้วมึงจะกลับมาทำไมวะ....เพื่อ"
   สเตลล่ามองหน้าวินอยู่อย่างนั้น เธอเริ่มเข้าใจอะไรางอย่างแล้ว
   “ให้ตายเหอะไกด์ ชั้น.....” วินว่า "นายมีเรื่องเหี้ยอะไรนักหนาวะ ไหนว่านายเป็นแค่คนธรรมดาๆของเมืองนี้ไงวะ”
   สเตลล่าหลบหน้าไปทางอื่น
   “ชั้นเชื่อใจนายไปแล้วนะเว่ย....” วินร้องเสียงดัง "นายเห็นความเชื่อใจชั้นเป็นของเล่นเหรอวะห๊ะ....ชั้นมีเรื่องต้องทำเยอะจะตายห่าอยู่แล้วนะเว่ย นาย....นายเป็นคนเดียวที่ชั้นเหลืออยู่อ่ะ......ถ้าไม่มีนายแล้วชั้น...ชั้นจะเหลือใครอ่ะ"
   วินกัดฟันขณะที่น้ำตาไหลลงมาเบาๆ
   “ไอ้เย็นชาเอ้ย....” วินว่า "ชั้น......ชั้นหยุดคิดถึงนายไม่เลยซักวันอ่ะโอเค้.....ชั้นรู้สึกผิดอ่ะ ยิ่งนายมาทำอะไรๆให้ชั้นแบบนี้ มันยิ่งทำให้รู้สึกแย่อ่ะ"
   วินโยนซองเงินไปยังเท้าของสเตลล่า เธอมองมันอย่างตกใจ
   “นี่ใช่ไหม เหตุผลที่นายบอกว่าชั้นจะแก้ปัญหาเรื่องเงินได้ด้วยตัวเองอ่ะ" วินว่า "นายรู้ใช่ป่ะ ว่าถ้าคืนเงินให้ชั้นแล้ว จะทำให้ชั้นรู้สึกแบบนี้อ่ะ....รู้สึกผิด รู้สึกว่านายยังมีบุญคุณที่ชั้นต้องตอบแทนใช่ป่ะวะ"
   สเตลล่าเก็บเงินของวินขึ้นมา
   “แล้วมึงก็เสือกสัญญากับแม่งไว้ด้วยไอ้วิน" วินร้อง "….เหี้ยเอ้ย"
   วินทุบหัวตัเองครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งนิ่ง
   สเตลล่าวางมือลงบนบ่าของวินเบาๆ วินเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาแดงก่ำ เธอยิ้มให้วินน้อยๆ
   “เคลวินเค้ารู้หรือเปล่าอ่ะ" เสตลล่าถามขึ้น วินหัวเราะเบาๆใส่ตัวเอง
   “ช่างเหอะ...ชั้นแค่...”
   “......ว่ายูรักเค้ามากขนาดนี้" สเตลล่าพูดต่อ วินหันหน้ามามองเธอ
   “ไม่ไม่..ชั้นเปล่านะ" วินร้อง "ชั้นไม่ได้....”
   “....ยูเองก็ไม่ยอมรับตัวเองซะด้วยสินะ" สเตลล่าว่า วินมองตาของเธอ
   “เธอไม่รู้จักชั้นซะหน่อย" วินว่าพลางเบินหน้าหนี "อย่ามาตัดสินกัน เพียงแค่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจดิ"
   “แล้วทำไมยูถึงตัดสินฉัน ตัดสินเคลวิน ทั้งๆที่ยูก็ยังไม่เข้าใจอะไรล่ะ" สเตลล่าว่า
   วินหันกลับมามองหน้าเธอ
   “ชั้นเข้าใจยูนะ" สเตลล่าว่า "ความรู้สึกทั้งหมดนั่น ยูคงเป็นคนพิเศษสำหรับเคลวินมาก กับสิ่งพิเศษที่เค้าทำให้คุณทั้งหมด ที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนี้ได้"
   “หึ" วินหัวเราะเบาๆ "นี่ยังไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่ชั้นรู้สึกด้วยซ้ำ หมอนั่นทำอะไรไว้อีกเยอะ ที่เธอไม่รู้"
   “ชั้นอาจจะไม่รู้ทั้งหมด แต่ก็พอจะเดาได้" สเตลล่าว่า "แต่...ทำไมความรู้สึกทั้งหมดนี้ ยูถึงไม่บอกเค้าไปล่ะ"
   “ชั้นจะไปบอกหมอนั่นได้ยังไง" วินว่า "ก็......”
   วินเงียบไปพักนึง
   “ก็ยูไม่ได้ฟังเค้าเลย" สเตลล่าว่า "สินะ"
   วินก้มหน้าลงทันที สเตลล่าลุกขึ้นยืน
   “ชั้นว่า ยูเป็นผู้ชายที่น่ารักออก" เธอกล่าว "เคลวินโชคดีที่มียูอยู่ด้วย"
   “อยู่ด้วยที่ไหนล่ะ" วินว่า "ชั้นเพิ่งจะฉีกสัญญาทิ้งไปวันที่เธอมาไง"
   “แต่ชั้นว่า ยูก็คงไม่ได้ฉีกไปซะหมดหรอก ไม่อย่างนั้นยูคงไม่กลับมาที่นี่" เธอกล่าว
   “ชั้นแค่อยากจะ....ขอโท...”
   “อย่าพูดนะ" สเตลล่าร้องทัก "เก็บคำนั้นไปเลย"
   วินมองหน้าเธอ
   “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคำนั้นกับชั้น หรือกับห้องนี้" เธอกล่าว "คำพูดโวยวายของยูเมื่อกี้ทั้งหมดด้วย"
   “ชั้นไม่พูดหรอก" วินลุกขึ้น "หมอนั่นยังไม่เห็นขอโทษชั้นซักคำ กับเรื่องทั้งหมดนั่น"
   “เค้าทำอะไรผิดกับยูเหรอ" สเตลล่าถาม
   “ก็...เคลวินของนาย โกหกเรื่องตัวเอง" วินว่า "รู้ไหม ตลอดเวลาที่ชั้นอยู่กับเค้า ชั้นรู้จักเค้าในชื่อก้อง บาริสต้าตัวเล็กๆที่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของร้านอาหาร ผู้ชายสู้ชีวิตที่สอนให้ชั้นรู้จักใช้ชีวิต รู้จักบริหารเงิน.... แต่ชั้นเองที่รู้เอง ว่าเค้าไม่ใช่ก้อง เค้าคือนักธุรกิจคนไทยมือหนึ่งในแถบนี้เลยก็ว่าได้ หมอนั่นเอาเงินชั้นไปเก็บทุกเดือนโดยไม่บอกชั้น ไม่บอกเรื่องน้องของเค้า จนกระทั่งถึงวันที่เธอมา เอาความจริงมากมายกลับมานั่นแหละ....ผิดมากพอไหมล่ะหะ"
   สเตลล่าก้มหน้าลง ก่อนจะหลับตาลง
   “ยูควรจะขอบคุณเค้าด้วยซ้ำ" สเตลล่าว่า
   “อะไรนะ" วินร้อง
   “ยูโชคดีมากรู้ไหม" สเตลล่าพูดเสียงสั่น "ที่ยูได้รู้จักเคลวินในแบบนั้น ในแบบของก้อง"
   วินมองหน้าเธอ
   “ไม่อย่างนั้น ยูก็อาจจะโชคร้ายเหมือนชั้น ที่ได้รู้จักกับเคลวินตัวจริง"
   วินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
   “ยูคือคนพิเศษสำหรับเค้าจริงๆสินะวิน" สเตลล่าว่า "ชั้นเข้าใจละ"
….........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 18 Cry]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 27-10-2012 14:47:45
อ่านรวดเดียวถึงตอนนี้แล้วมันปวดหนึบ ๆ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 18 Cry]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 28-10-2012 18:05:24
... :a5:... :a5:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 18 Cry]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 04-11-2012 16:12:26
หายไปนานแล้วน้าาา
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 18 Cry]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-11-2012 22:04:14
ตอนที่ 19 Thanks

   ข้าวของที่สตูดิโอบน Esmod ถูกเก็บกวาดเรียบในวันพฤหัสต่อมา วินยอมรับว่าทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา เรื่องวุ่นวายพวกนี้ที่เขาต้องตัดการเอง กำลังฆ่าเขาทีละนิด เอิร์ธที่ว่าเก่งกาจตอนนี้ได้แต่ปาดเหงื่อกับปริมาณงานที่ต้องรับผิดชอบ คือถ้าเขาทั้งคู่แค่ย้ายสตูดิโออย่างเดียว ก็คงจะไม่เหนื่อยเท่ากับการ ย้ายสตูดิโอไปเพื่อทำแฟชั่นโชว์ต่อหน้าผู้บริหารซูเม่ อินเตอร์เนชั่นอล เพราะนั่นทำให้พลังงานถูกหารออกเป็นสองเท่า และยิ่งวินดิ้นรนเอาตัวเองไปอยู่วิลแลตด้วย ก็เท่ากับว่าเขาต้องเดินทางหนักกว่าเดิมถึงสามเท่า
   วินนั่งเช็ครายชื่อของทั้งหมดบนสตูที่ว่างเปล่าอีกครั้ง ตอนนี้เหงื่อเต็มใบหน้าชายหนุ่มผู้หล่อเหลา ดวงตาไล่ไปตามเอกสารที่อยู่ในมือ ก่อนจะมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ประตูสตูดิโอเปิดออก พร้อมกับเอิร์ธที่ยื่นหน้าเข้ามา
   “หมดแล้วช้ะ" เอิร์ธร้องถาม วินหันกลับไปพยักหน้า "แล้วมึงจะเอาไง จะไปพร้อมรถเค้ารอบนี้เลยหรือเปล่า"
   “ยังอ่ะ มึงไปก่อนเลย" วินตอบ "กูต้องไปเข้ากะที่ร้าน ซักประมาณ สี่โมงเย็นอ่ะ กูถึงจะถึงซูเม่ มึงก็จัดการที่นั่นให้เรียบร้อยแล้วกัน"
   “เออ เออรีบมาละกัน มีรันทรูตอนหกโมงเย็นนะ อย่าลืม" เอิร์ธว่า
   “อื้อๆ นางแบบทั้ง 7 คน กูบอกให้เค้าไปเจอที่ซูเม่แล้วตอนห้าโมงเย็น" วินว่า "เดี๋ยวกูก็คงไปถึงที่นั่นได้พอดี"
   วินหันไปมองสตูดิโอเป็นครั้งสุดท้าย อยู่ดีดีเค้าก็รู้สึกใจหายขึ้นมาซะอย่างนั้น ก้มลงมองกระดาษที่อยู่ในมือ จากวันแรกที่เค้ามาที่นี่ เค้าผ่านอะไรที่สตูดิโอนี้มามากเอาการ
   “วิน" เสียงของเอิร์ธดังขึ้นข้างหลัง วินหันไปมอง
   “ยังไม่ไปอีก" วินขมวดคิ้ว
   “พรุ่งนี้แล้วนะเว่ย" เอิร์ธว่า "ทุกอย่างโอเคนะ"
   วินหัวเราะเบาๆ
   “โอเคดิ" วินว่า "มันจะโอเคจนมึงนึกไม่ถึงเลยล่ะ"
   เอิร์ธหายไปจากประตูสตูดิโอ ขณะที่วินลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง เขาถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “ลาก่อน Esmod Studio”
   เขากระชากผ้าม่านลงมาปิดทันที
…........
   วินไม่ได้บอกเอิร์ธว่าทำไมเขาถึงมั่นใจกับการทำแฟชั่นโชว์ครั้งนี้นักกับเอิร์ธ เพราะสำหรับวิน ครั้งนี้เป็นการเอาชนะเอิร์ธทั้งหมดที่เขาจะทำได้ เอิร์ธจะต้องได้ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากตัวเขาเท่านั้น และมันก็ประจวบเหมาะพอดี กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมา

   “พี่มิกครับ" วินทักขึ้น ขณะที่กำลังนั่งรถออกจากวิลแลต "ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้ที่พักผมตลอดอาทิตย์กว่าๆนี่"
   “ไม่เป็นไร" มิกตอบ "ว่างๆก็มาพักที่บ้านพี่อีกก็ได้ หรือถ้าเกิดมีอะไรเร่งด่วนเมื่อไหร่ ก็โทรมาอีกได้นะ"
   “ครับ" วินตอบ "แต่พี่มิกครับ ผมอาจจะมีเรื่องรบกวนพี่อีกอย่างนึงครับ"
   “อะไรเหรอ" มิกถาม
   “วันศุกร์ที่จะถึงนี้ ผมอยากพบพี่น่ะครับ" วินว่า
   “วันศุกร์เหรอ" มิกว่า "พี่ไม่สะดวกนะวิน พี่มีแฟชั่นโชว์จัดที่ออฟฟิสพี่พอดีเลย"
   วินมองมิกอีกครั้ง
   “เหรอครับ" วินว่า "จัดที่ซูเม่เหรอครับ"
   “ใช่ เป็นงานสำคัญมาก พีไม่ไปไม่ได้" มิกว่า
   “ครับ มันสำคัญมาก" วินพูด "ผมจะไปพบพี่ที่นั่นเอง"
   “เรื่องสำคัญเหรอวิน" มิกถามอีก
   “ผมไม่เข้ารบกวนในงานหรอกครับ" วินว่า "แต่ใช่ครับ มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ยังไงผมรบกวนพี่ด้วยนะครับ"
   “อืม ก็ดูเดี๋ยวก่อนละกันนะ"

   วินรู้ซึ้งดี ว่าโอกาสที่มิกจะได้เห็นงานของเขาต้องมีอยู่เต็มเปี่ยม หากมิกจะเป็นคนช่วยการันตีงานนี้ให้เขาต่อหน้าเจนจิราได้ด้วย มันก็คงจะดีไม่น้อย แต่ก็นั่นแหละ เอิร์ธจะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมด มันจะไม่ได้เสียประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้ตายสุดท้ายที่เขาเพิ่งจะตัดสินใจทำลงไป เมื่อวานนี้ ไม้ตายที่เขางัดขึ้นมาเพื่อเอาชนะทุกอย่าง
   เขาเปิดประตูห้องชั้นสามแห่งถนนทอร์ควิลเข้าไป ความเงียบตรงหน้าไม่ได้สร้างสิ่งเซอร์ไพรส์ใดใดกับเขามากนัก  ชายหนุ่มปิดประตู ก่อนจะมุ่งหน้าไปเปิดผ้าม่านที่กำลังทำให้ห้องทั้งห้องดูอุดอู้เกินไป เครื่องครัวของไกด์ ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ มันไม่ได้ถูกใช้งานมาพักหนึ่งแล้วสินะ วินคิดในใจ ก็คงมีเพียงกานมเท่านั้นที่ยังวางอยู่บนเตา วินวางกระเป๋าของตัวเองลงบนโซฟา ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ห้องนอน ล้วงหยิบเอากุญแจออกมาจากกระเป๋าทันที และไขมันเข้าไป กลิ่นอับชื้นลอยมาแตะจมูกอยู่อย่างเบาบาง  วินมุ่งหน้าไปเปิดผ้าม่านของห้องนอนไกด์อย่างรวดเร็ว พลางโกยเอาผ้านวมออกมาจากห้องและเปิดประตูระเบียงเอามันออกไปพาดแดด
   และแล้ว งานทำความสะอาดห้องทั้งห้อง ก็กลายเป็นของเขาในอีกหลายชั่วโมงถัดมา ใช่แล้ว เขาโกหกกับเอิร์ธ เขาไม่ได้มีกะที่ร้านเกล็ดหิมะ ยังไม่ใช่ตอนนี้  กว่าเขาจะกลับไปชงกาแฟแทนไกด์ได้ ก็ต้องหลังจากวันศุกร์นี้ หลังจากที่งานใหญ่ที่เตรียมทุกอย่างไว้จะผ่านไปด้วยดี หลับตาลงครั้งหนึ่ง เพราะวินกำลังรับรู้ถึงพายุหิมะลกใหญ่ที่กำลังจะถาโถมเข้ามา
   นั่งลงบนโซฟาเมื่อบ่ายแก่ๆมาเยือน ห้องดูสะอาดตาเพิ่มขึ้นเป็นกอง แต่มันก็ดูอ้างว้างอย่างปะหลาด เขาไม่คิดว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่ได้รวดเร็วเท่านี้ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร เขารู้สึกรักที่นี่ขึ้นมาอย่างประหลาด ห้องพื้นที่ยี่สิบตารางเมตรนี้ เป็นสถานที่พักพิงเดียวที่เขาจะมีในเมืองนี้ แม้ว่ามันจะเป็นการยาก ที่เขาจะไม่อดคิดถึงเจ้าของห้องนี้ คำตอบที่เขาให้สเตลล่าไปก็คือ เขาจะขอดูแลห้องนี้ต่อไป พร้อมๆกับข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง ซึ่งสำหรับวินแล้ว ข้อแลกเปลี่ยนที่เขาให้เธอกลับ ก็ทำให้เธอตื่นเต้นเอามากๆ
   วินเดินเอาผ้านวมที่ตากแดดมาพักหนึ่งเข้าไปในห้องนอนของไกด์อีกครั้ง หลังจากที่กวาดและถูกมันอย่างสะอาดเอี่ยม เขามองไปที่เตียงที่ผ้าปูที่นอนถูกจัดวางเอาไว้อย่างดีแล้ววางผ้าห่มลงบนเตียงอย่างเรียบง่าย ก่อนจะคลี่มันเข้าสู่ที่เดิม กลิ่นของไอแดดอันเบาบางของผ้านวม บวกกับกลิ่นอายของไกด์ที่ยังอบอวลอยู่ในนี้ อยู่ดีดีก็ทำให้ร่างกายของวินสั่นไหวขึ้นมาช้าๆซะอย่างนั้น วินมองดูเตียงของไกด์อย่างเหนื่อยอ่อน หลายวันแห่งความรู้สึกผิด มันเริ่มกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เขาจะต้องเก็บทุกคำพูดเอาไว้ในใจ รอวันให้ไกด์กลับมาที่นี่อีกครั้ง
   เนิ่นนานเสียจนไม่รู้ตัวที่วินเผลอหลับไปบนเตียงของไกด์ ก่อนที่เสียงใสใสจะปลุกเขา
   “วิน วิน" สเตลล่าเขย่าตัวเขาเบาๆ "วิน เวคอัพ เห้"
   วินลืมตาขึ้นช้า ใบหน้าอันงดงามของสเตลล่าอยู่ตรงหน้า ผมที่ดัดเป็นลอนของเธอดูเตรียมพร้อมแล้ว
   “มาแล้วเหรอ" วินพูดเสียงสั่น พลางหยีตาไปดูนาฬิกา เขาหลับไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว
   “โอเคมั้ย" เธอพูด
   “โอเคแล้ว ทรงนี้แหละ แต่งหน้าประมาณนี้ก็โอเคแล้วล่ะ" วินว่า
   “ไม่ใช่เรื่องนั้น ชั้นหมายความว่ายูน่ะโอเคไหม" สเตลล่าถาม
   “โอเคสิ ชั้นโอเคอยู่แล้วล่ะ" วินว่าพลางปาดตาเบาๆ "ทำผมเสร็จไวจัง"
   “ร้านรู้จักกันน่ะ เค้าเข้าใจสิ่งที่ยูบรีฟไป ก็เลยง่าย" สเตลล่ากล่าว
   “ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่อ่ะ ชั้นจะได้จ่ายคืนให้" วินว่า
   “ไม่ต้องหรอก" สเตลล่าว่า "ชั้นขอร่วมโปรเจ็คนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องจ่ายหรอก"
   “งั้นก็ตามใจ" วินว่าพลางลุกขึ้นออกจากห้องของไกด์ไปด้านนอกทันที สเตลล่าเดินตามออกมา "เดี๋ยวออกเดินทางกันได้แล้วล่ะ ขึ้นแท็กซี่ไปก็น่าจะทัน"
   วินพูดพลางดูนาฬิกา พร้อมกับเทกานมใส่แก้วแล้วดื่ม
   “ไอ.....ไอหาเค้าไม่เจอ" สเตลล่าบอกกับวิน "พยายามจะตามหาทุกที่ในปารีสแล้ว แต่...ไม่เจอจริงๆ"
   “งั้นเหรอ" วินรับคำเบาๆ "ไม่เป็นไรหรอก ชั้นอยู่คนเดียวได้ เธอไม่ต้องเป็นห่วงชั้นหรอกสเตลล์"
   “แต่ชั้นอยากจะให้ยูได้เจอเค้า" เสตลล่าว่า "ชั้นอยากให้เธอสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันอีก"
   วินหันมาหาเธอ พลางยกนมขึ้นดื่ม
   “เพื่ออะไร" วินถาม
   “เขาดีขึ้นเมื่อได้เจอยู" สเตลล่าบอก "จริงๆนะ ชั้นรู้ว่ายูต้องมีอะไรพิเศษเค้าถึงได้จริงจังขนาดนี้ มันต่างกันมาก กับเคลวินที่ชั้นเคยรู้จัก"
   “หึ" วินหัวเราะในคอเบาๆ" วินว่า "เขาเองต่างหากที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปน่ะ คุณไม่เคยเห็นผมตอนก่อนหน้าที่จะเจอเค้า"
   “เพราะอย่างนี้เองน่ะเหรอ ยูถึงกลับมา" สเตลล่าถาม
   วินมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง
   “คือ...ถึงมันจะต้องทะเลาะจนจะต้องจากกันไปจริงๆหรืออยู่ด้วยกันไม่ได้" วินว่า "ชั้นก็ไม่อยากให้ชั้นกับเค้ามีภาพการจากลาแบบวันนั้น....ชั้นเองก็โกรธมากจนไม่ได้ฟังเค้าเลย"
   “ดีแล้วล่ะ" สเตลล่าว่า "เค้าต้องกลับมา ชั้นมั่นใจ"
   “ทำไมเธอถึงเป็นแฟนกับเค้าล่ะ" วินถามบ้าง "ทำไมวันนั้น เธอพูดแบบนั้น"
   สเตลล่าหลบสายตาเล้กน้อย
   “เราเคยเป็นแฟนกัน" สเตลล่าว่า "ชั้น.....ชั้นเคยรักเค้า"
   “รักเหรอ" วินถาม "ทั้งๆที่เธอก็บอกว่าเคลวินเป็นคนที่....ร้ายกาจ....นักหนาน่ะนะ"
   “บางครั้งผู้หญิงก็ชอบคนเลวมั้ง" เสตลล่าว่า "แต่มันผิดมาก มันคือเหตุการณ์ที่ชั้นไม่มีวันลืมเลย"
   “ผมอยากรู้" วินว่า "คุณเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า"
   “ยูได้รู้แน่" สเตลล่าว่า "ถ้าเคลวินกลับมาแล้วคุณได้พูดคุยกัน ชั้นเชื่อว่าหลังจากนั้น ยูอาจจะไม่อยากคุยกับชั้นอีกเลยก็ได้"
   “เค้าจะกลับมาจริงๆเหรอ" วินถาม
   “มาแน่" สเตลล่าว่า "แต่ตอนนี้ เราไปกันก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน"
   สเตลล่าเดินนำไปยังประตูห้อง วินเดินไปหยิบข้าวของก่อนจะหันมาหาเธออีกครั้ง
   “ขอบคุณมากนะสเตลล์" วินว่า "ที่ยอมตกลงเป็นนางแบบฟินาเล่ให้"
   “ชั้นขอบคุณยูเหมือนกัน" เสตลล่าว่า "ที่กลับมาอยู่ที่นี่แทนชั้นซะที....”
   วินไม่เคยเห็นใบหน้าที่สวยและเศร้าหมองแบบสเตลล่าท่ไหนมาก่อนเลย หรือว่าเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหลังทั้งเคลวินและสเตลล่า จะเลวร้ายเกินกว่าเค้าจะคาดคิดนะ
…......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 04-11-2012 22:09:27
เพิ่งอ่าน Loveless จบกำลังจะต่อเรื่องนี้พดีเลย เย่ๆๆๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-11-2012 22:28:02
เพิ่งอ่าน Loveless จบกำลังจะต่อเรื่องนี้พดีเลย เย่ๆๆๆ
 :pig4:

สวัสดีแฟนจาก Loveless Society อีกคนค่ะ

ยินดีต้อนรับสู่นิยายของมิรันดานะคะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-11-2012 01:07:43
เหนื่อย เพลีย หมดแรง

ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครกลับมา แต่ว่า ฉันรอ*


 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 05-11-2012 03:14:58
โอ๊ยง่วงแปะไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 05-11-2012 11:03:28
ค้างงงงง!!!
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 05-11-2012 17:05:51
เหนี่อยทั้งใจทั้งกายแทนวินจริงเลย
เอาน่ะ หลังความมืดครึ้มผ่านไป ความสดใสต้องกลับมาน่ะวิน
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 05-11-2012 17:26:58
เหนื่อยใจแทนวินล่ะ TT
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 19 Thanks]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-11-2012 04:55:33
ตอนที่ 20 Surprised

   บรรยากาศตึงเครียดถึงขั้นวิกฤต ทำเอาเอิร์ธแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ ขณะที่วินเอง ก็ได้แต่ชะเง้อมองไปด้านนอกโชว์รูมอย่างตื่นตระหนก ทั้งคู่อยู่ในชุดที่ดูดีที่สุดเท่าที่อยู่ในปารีสจะเคยแต่งมา วินตื่นตั้งแต่เช้ามาที่โชว์รูมของซูเม่ เพื่อตรวจตราทุกอย่างให้เรียบร้อย แม้ว่าเขาจะยืนยันอย่างเต็มที่ว่าการรันทรูเมื่อวาน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขากับเอิร์ธเคยทำร่วมกันมาก็ตาม แต่เขาก็อดเป็นกังวลไม่ได้ เขามาเพื่อตรวจซ่อมชุดที่อาจจะเสียหายเอา
   แฟชั่นโชว์ที่กำลังจะจัดขึ้นในวันนี้ จะเป็นแฟชั่นในคอลเลคชั่นที่ได้รับแรงบันดลใจมากจากผลงานแฟชั่นธีม Winter ของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยมีเจรจิรา สไตลิสชื่อดัง เป็นโปรดิวเซอร์ ในขณะที่วินและเอิร์ธจะเป็นสองดีไซน์เนอร์และอาร์ทไดเรคเตอร์ที่ดูแลงานนี้ งานที่โปสเตอร์ในซูเม่ติดประกาศมาร่วมอาทิตย์ว่า เป็นผลงานที่ใช้เวลาทำงานมายาวนานร่วมสี่เดือน และแน่นอนว่าเหล่าผู้บริหารและผู้คนในแวดวงแฟชั่นที่เจนจิรา คงใช้เส้นสายเชิญมาอย่างล้นหลามแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่วินได้ทิ้งทวนเอาไว้ มันจะกลับมาแสดงผลในวันนี้ในทุกๆทาง
   ในช่วงสายๆ มีบรรดาผู้บริหารจากซูเม้เดินทางมาถึงบริษัท เขาและเอิร์ธจึงเริ่มต้นการออกจากหลังเวทีไปพบปะผู้คนในวงการทันที ผู้บริหารซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลก็คือคุณสุเมธ ดีไซน์เนอร์ไทยชื่อดัง ที่สามรถผลักดันผลงานของตัวเองให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้เมื่อปีที่แล้ว ธุรกิจที่ก้าวกระโดดของคุณสุเมธคนนี้ ส่งผลให้การโยกย้ายดีไซน์เนอร์ฝีมือร้ายกาจหลายคนจากเมืองไทย กระจายออกไปสู่ตลาดโลกอย่างรวดเร็วและมหาศาล
   คุณสุเมธปรากฎตัวในชุดสูทสีม่วงมีสไตล์ โดยมีเจนจิราเดินควงแขนเข้าในโว์รูมอย่างสง่างาม เขาและเอิร์ธจึงเดินออกไปต้อนรับทันที
   “สวัสดีครับคุณสุเมธ" เอิร์ธและวินกล่าวทักทาย
   “โหน้อง ไม่ต้องคุณเคินอะไรหรอก เรียกพี่ดีกว่า" พี่สุเมธกล่าว "นี่ใช่ไหมน้องใหม่สองคนที่เจนเล่าให้ฟัง"
   “ใช่ค่ะ สองคนนี้แหละค่ะ ที่เป็นเจ้าของคอลเลคชั่นที่เจนส่งให้ดู" เธอกล่าวเสียงใส
   “ตาถึงมากๆเลยนะนายสองคน" พี่สุเมธกล่าว "งานที่เค้าเลือกมาทุกงานน่ะ เป็นชิ้นโบว์แดงไม้ตายที่ผมปล่อยเป็น Limited Collection ทั้งนั้นเลยนะเจน"
   “เจนทราบค่ะพี่เมธ" เจนจิรากล่าว
   “แล้วทุกอย่างโอเคมั้ย มีอะไรขาดเหลือหรือเปล่า" พี่สุเมธว่า
   “ไม่มีครับ" วินตอบ "อีกไม่นานโชว์ก็จะเริ่มแล้วครับ"
   พี่สุเมธมองไปรอบๆงาน
   “เป็นแฟชั่นโชว์เล็กๆ แต่คอนเซปท์แข็งแรงมาก" สุเมธว่า "เธอสองคนนี่ชักจะประมาทไม่ได้แล้วนะ ฮ่าฮ่า"
   “ไปนั่งด้านโน้นดีกว่าพี่เมธ" เจนจิรากล่าวพลางหันมาหาทั้งคู่
   “เมื่อไหร่จะเริ่มล่ะ" เจนกล่าว วินและเอิร์ธมองหน้ากันครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
   “ก็งั้นเดี๋ยวเริ่มได้....”
   “ยังครับ" วินพูดแทรกเอิร์ธขึ้นมา "ผมมีแขกคนหนึ่งเชิญมาด้วย"
   “แขกเหรอ" เจนร้องเสียงสูง "ชั้นไม่นึกว่าพวกเธอสองคนจะมีเวลาเชิญแขกซะอีก"
   “ผมมีครับ" วินว่า พลางชะเง้อมองไปทางประตู และแล้วสิ่งที่เขารอคอยก็มาถึง
   เสียงผู้คนเอะอะโวยวายดังขึ้นทางเข้าโชว์รูมของซูเม่ เมื่อชายวัยกลางคนเดินเข้ามาภายในโชว์รูมพร้อมกับผู้ติดตามสองสามคน ชายวัยกลางคนสวมชุดสูทดูภูมิฐาน รับกับรูปร่างที่สูงใหญ่และดูดีอยู่เสมอ ชายวัยกลางคนผู้มีอำนาจมากพอในการกำหนดความเป็นไปได้ในซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลทั้งหมด ก็เพราะว่าชายคนนี้ คือคนที่ตกลงที่จะร่วมลงทุนกับซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล และชายคนนี้เองที่ทำให้แบรนด์นี้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก และก็เป็นชายคนนี้อีกเช่นกัน ที่ทำให้ชีวิตของวินเปลี่ยนไปไม่มีวันเหมือนเดิม
   คุณวรพัฒน์ โสภณนภา ผู้บริหารระดับสูงของคอสโม่ คอนเทอลิโอนี่สาขาประเทศไทย หรืออีกตำแหน่งก็คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล
   หรือ.....พ่อของเขาเอง
   “ให้ตายสิ" เจนกล่าวเบาๆ พลางมองมาวินและเอิร์ธ ขณะที่พี่สุเมธรุดออกจากเก้าอี้ไปไปกล่าวทักทายแทบไม่ทัน
   “เธอน่าจะบอกชั้นซักนิด" เจนว่าพลางยิ้มให้วินเผื่อนๆ "จะเซอร์ไพรส์กันงั้นเหรอ"
   “ก็น่าจะพอๆกับที่คุณจะมีแฟชั่นโชว์ต่อจากผมวันพรุ่งนี้มั้งครับ" วินตอบกลับ "เซอร์ไพร์สน่ะ"
   เจนจิรามองหน้าวินอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะเดินไปร่วมวงทักทายทันที วินยืนมองพ่อของเขากล่าวทักทายกับพี่สุดเมธและเจนจิราอยู่ตรงนั้น ก่อนจะที่เอิร์ธจะเดินมายืนข้างๆเขา
   “นั่นพ่อมึง" เอิร์ธพูดเสียงสั่น
   “กูรู้ว่าใครเป็นพ่อกู ขอบใจ" วินว่าพลางมองพ่อของเขาด้วยดวงตาแข็งกร้าว
   “เนี่ยอ่ะเหรอ ที่มึงบอกว่ากูจะไม่มีทางแพ้น่ะ" เอิร์ธว่า "ไหนว่ามึงจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเค้าอีกแล้วไงล่ะ"
   “กูไม่ได้ขอ" วินว่า "มึงต่างหากที่ต้องใช้"
   วินหันมาหาเอิร์ธทันที
   “กูสัญญากับมึงแล้วไง ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กูจะไม่ยอมให้มึงพังไปกับกูน่ะ" วินว่า "กูรู้ ว่ามันไม่มีทางพัง ต่อให้เจนจิรามีแฟชั่นโชว์ต่อจากเราวันนี้ มันก็ไม่มีทางพังหรอก"
   วินลากตัวเอิร์ธไปจากตรงนั้น เพื่อไปยังด้านหลังทันที เขายังไม่อยากพบพ่อของเค้าตอนนี้ มันยังไม่ถึงจุดพีคมากพอ
   “มึงกล้ามากนะ" เอิร์ธว่า "เล่นเส้นอีกตามเคยนะมึง"
   วินหันกลับมาประจันหน้ากับเอิร์ธทันที
   “อย่ามาทำตัวเป็นฮีโร่ตอนนี้ไอ้เอิร์ธ วงการนี้ไม่ได้ใสสะอาดอย่างที่มึงคิด" วินว่า "นั่นแหละสาเหตุ ว่าทำไมกูถึงทะเลาะกับเค้าแล้วมาโผล่ที่นี่"
   “มึงว่าอะไรนะ" เอิร์ธร้อง
   “มึงอยากรู้ไม่ใช่รึไง ว่ากูมีเรื่องอะไรกับเค้า ถึงมาโผล่ที่นี่" วินว่า "เพราะเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่คอสโม่คอนเทลีโอนี่ ตกลงที่จะร่วมทุนกับซูเม่อินเตอร์เนชั่นอล กูเป็นหนึ่งใน 20 ดีไซน์เนอร์ที่จะส่งออกไปประจำสาขาทั่วยุโรปและอเมริกา"
   “อะไรกัน มึงเนี่ยนะ" เอิร์ธว่า "จะเป็นมึงได้ยังไง ในเมื่อมึงเพิ่งจะเรียนจบมาได้ไม่ถึง...."
   “ใช่....มันเป็นไปไม่ได้ กูยังเรียนจบไม่ถึงปีด้วยซ้ำ" วินว่า "ก็เส้นไง แบบที่มึงเกลียดนักหนานั่นแหละ"
   “แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องวันนี้ยังไงเนี่ย" เอิร์ธว่า
   “กูถึงบอกมึงไง มึงไม่ได้รู้จักกูดีพอ" วินว่า "กูก็ไม่ได้มีความสุข ที่อยากจะมีชีวิตอยู่เหนือคนอื่นนะไอ้เอิร์ธ กูก็อยากมีชีวิตของกู ชีวิตที่ไม่ต้องอยู่ในการบงการของเค้า กูไม่ได้ต้องการเป็นที่ส่วนหนึ่งของเค้า หรือเป็นส่วนหนึ่งของวงการนี้"
   “กูไม่เข้าใจว่ะ" เอิร์ธว่า "มึงไม่ต้องการ แล้ว...ยังไง...”
   “แต่มึงต้องการไง" วินว่า "กูถึงส่งอีเมล์หาเค้า ให้เค้ามาวันนี้ มึงไม่ได้ต้องการแค่เรียนจบคอร์สนี้ มึงต้องการมากกว่านั้น และกูก็สามารถทำให้เค้าสนับสนุนเราได้ มึงก็จะได้ขึ้นไป อย่างที่มึงต้องการ....ทุกอย่างอยู่ที่วันนี้เท่านั้น"
   “ขอโทษนะนายสองคน” เสียงของสเตลล่าดังขึ้น วอนและเอิร์ธหันไปมองเธอ ที่ตอนนี้อยู่ในชุดฟินาเล่อันงดงาม รายล้อมด้วยนางแบบอีกสิบคน "ชั้นว่าได้เวลาแล้วนะ"
   “โอเค ขอบใจมากสเตลล์" วินว่า "เตรียมตัวเลย เดี๋ยวนี้ละ"
   วินหันมามองหน้าเอิร์ธ
   “มึงจะต้องไม่พัง" วินว่า "เริ่มกันเลย"
…..........
   การแสดงที่ราบรื่นและสามารถสะกดสายตาของเหล่าดีไซน์เนอร์และช่างภาพร่วมสิบคนในโชว์รูมได้ เหล่านางแบบเดินอวดผลงานในธีม Coldness Town บรรยากาศอันหนาวเย็นชวนเหงา ผ่านสีผ้าพลิ้วไหวสีขาวเทาตัดสลับกับสีส้ม ชุดทั้ง 10 ผสานความงดงามและฟังค์ชั่นของชุดฤดูหนาว ที่สามารถต่อยอดไปถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิได้อย่างลงตัว เสียงดนตรีและซาวด์เอฟเฟคบวกกับวิช่วลที่เอิร์ธเป็นผู้คัดสรร ชูเด่นให้การแสดงชุดเป็นไปอย่างสง่างาม
   และเมื่อถึงชุดสุดท้ายเสตลล่า เดินอวดผ้าที่พลิ้วไหวสุดตระการตา วันนี้เธอดูสวยมาก รูปร่างของเธอราวกับถูกจับมาให้เข้ากับชุดที่วินตัดไว้อย่างประหลาด ชุดฟินาเล่ เขาใช้แรงบันดาลใจมาจากเมืองสตาร์เบิร์กทั้งหมด มันเลยยิ่งทำให้เขารู้สึกตกตะลึง เมื่อสเตลล่าเข้ากับมันเอามากๆ
   การแสดงมาถึงช่วงสุดท้าย นางแบบทั้ง 10 เดินวนออกมาอวดชุดอีกครั้ง ก่อนที่วินและเอิร์ธจะเดินควงแขนสเตลล่าออกมาพร้อมช่อดอกไม้ เสียงปรบมือดังขึ้นทันทีเมื่อทั้งคู่เดินมาหยุดยังหน้าเวที วินสบตากับพ่อของเขา ที่มองขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แฝงด้วยความคิดอยู่ภายใต้ดวงตาที่คุ้นเคย ขณะที่เจนจิรายิ้มให้กับวินและเอิร์ธอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นรอยยิ้มที่เขาคิดว่า น่ากลัวเอามากๆ
   เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันทีเมื่อดนตรีจบลง นางแบบทั้ง10 ทยอยเข้าไปข้างใน ขณะที่พี่สุเมธลุกขึ้นยืนทันที
   “เป็นยังไงครับพี่พัฒน์ งานทดลองของผม" พี่เมธกล่าว "โปรเจ็คนี่เด็กๆใช้เวลาทำงานร่วมกันหลายเดือนมากครับพี่"
   “สุดยอดไปเลยเมธ" พัฒน์กล่าว แม้ว่าสายตาจะยังจับจ้องมายังเอิร์ธ "แล้วยังไงกันเนี่ย ได้ข่าวว่าเจนเป็นที่ปรึกษาด้วยเหรอ"
   “ใช่ค่ะ" เจนยิ้มเฝื่อนๆ "ทั้งสองคน อยู่ในความดูแลโปรเจคของเจนเองค่ะพี่พัฒน์"
   “อ้อ"
   วินคิดในใจทันทีว่ามันเป็นเรื่องโกหก เจนเคยบอกเขาแล้วว่าพ่อของเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด    “แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ ชื่ออะไร" พัฒน์กล่าวเสียงเย็นๆ "ชั้นว่า ชั้นคุ้นหน้าเรานะ"
   “เอ่อ...ผมเอิร์ธครับ" เอิร์ธว่า "นฤเดชน่ะครับ พ่อเคยเห็นผมครับ ผมเป็นเพื่อนวินไงครับ เมื่อตอนมัธยม"
   “อ้อ.....ให้ตายสิ" พัฒน์ร้องเสียงสูง "ดูสิเมธ คนกันเองทั้งนั้น พี่บอกแล้ว ว่าพี่มีมือดีอยู่ใกล้ตัว ฮ่าฮ่าฮ่า"
   “งั้นยังไงผมเชิญพี่พัฒน์เดินดูงานรอบๆดีกว่าครับ จะได้คุยกันไปด้วย" พี่สุเมธกล่าว "เชิญทางนี้เลยพี่"
   “อ่าๆ ได้ๆ งั้นก็ไปด้วยกันเลยสิเจ้าวิน เจ้าเอิร์ธ รออะไรอยู่ล่ะ" พัฒน์พูด
   วินรู้สึกเกลียดน้ำเสียงแบบนี้จับใจ
   “เดี๋ยวผมต้องอยู่จัดการอะไรตรงนี้ให้เรียบร้อยน่ะครับ" วินพูดขึ้น "ให้เอิร์ธไปกับพ่อคนเดียวดีกว่า"
    พัฒน์หรี่ตามองลูกชายทันที
   “มันเป็น...เรื่องที่ต้องจัดการน่ะครับ" วินตอบ "มีอะไรก็บอกกับเอิร์ธไว้ได้เหมือนกันครับ"
   พัฒน์ทำสีหน้าเฝื่อนๆก่อนจะฉีกยิ้ม
   “เอ้อ....ลืมไปว่าไอ้ลูกชายพี่มันชอบทำอะไรให้เป็นเรื่องยากน่ะเมธ ฮ่าฮ่าฮ่า" พัฒน์หัวเราะ วินกำหมัดเบาๆ "แกมากับชั้นนั่นแหละ.....จะได้ไม่เสียเวลาเจ้าวิน”
   วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามพ่อ พี่เมธและเจนจิราไปอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเขาลงจากแคทวอร์ค พี่เมธก็เดินเข้ามาลากตัวเอิร์ธไปพูดคุยทันที พร้อมกับที่พ่อของเขาพยายามเดินให้ช้าลงเพื่อรอเขา
   “อย่าทำใหชั้นขายหน้านักได้มั้ย" พัฒน์กล่าวเสียงกัดฟันลูกชาย "แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะไอ้ตัวดี"
   “ดีพ่อ" วินว่าพลางหันมามองหน้าพ่อ "อยู่ที่นี่ผมสบายดี สบายเอามากๆเลย"
   วินจงใจพูดเสียงดัง ทำเอาทั้งหมดหันมามองเขากับพ่อทันที
   พัฒน์มองไปรอบๆก่อนจะแก้เก้อ
   “เอ้อ...ดีแล้วล่ะไอ้ลูกชายตัวดี" พัฒน์โอบไหล่ลูกชายทันที พลางออกเดิน "งานแกนี่มันก็ใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า เมธว่ายังไงล่ะหึ"
   “ครับ มันแค่งานทดลองในโปรเจ็คใหญ่ของผมน่ะพี่พัฒน์ วันพรุ่งนี้ ก็จะมีอีกชุดนึงของเจนจิราด้วยครับ" พี่เมธกล่าว
   “อ่องั้นเหรอ" พัฒน์หันมาหาเจนจิรา "แล้วของคุณเจนนี่ มันต่างจากงานของลูกผมยังไงเหรอครับ"
   เจนจิราหายใจเข้าหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันมามองวิน
   “ก็...เอ่อ....ไม่ต่างกันมากหรอกค่ะ" เจนจิราว่า "คือมันเป็นแฟชั่นงานทดลองประจำปีที่เจนต้องทำให้พี่เมธอยู่แล้วน่ะค่ะ"
   “อ้อ...” พัฒน์ว่า "แต่ว่ายังไงเมธก็อย่าลืมพิจารณางานเจ้าวินลูกพี่ไว้ด้วยละกันล่ะ เผื่อคอลเลคชั่นหน้าของมัน จะได้มีอะไรโชว์กะเค้าบ้างน่ะ ฮ่าฮ่า"
   “โห ฝีมือดีขนาดนี้ ผมมีงานให้ทั้งลูกพี่ แล้วก็เอิร์ธอยู่แล้วล่ะครับ" พี่เมธว่า "เอาไว้เดี๋ยวผมสรุปโปรเจคได้เมื่อไหร่ ผมจะส่งให้พี่ดูทันทีเลยละกัน"
   ทั้งวินและเอิร์ธตกอยู่ในสภาพเครื่องจักรฝืนยิ้มและพยักหน้าอยู่ตลอดหนึ่งชั่วโมงต่อมาในโชว์รูม เอิร์ธทำท่าตกประหม่าทันที เมื่อตัวเขาถูกเอ่ยถึงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นครั้งแรก ตลอดหลายวันที่เขามาที่ซูเม่ ขณะที่วินเองกลับเบื่อเหตุการณ์แบบนี้ มันไม่ได้ต่างไปจากที่เมืองไทยมากนัก เขาเหมือนหุ่นอะไรซักอย่าง ที่พ่อพยายามเร่ขาย มันดูทุเรศมากสำหรับเขา โชคดีที่มีเอิร์ธเป็นคนกันท่าไว้อีกคน และงานที่เกิดขึ้นวันนี้ มันก็ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์แบบ พี่เมธดูท่าทางจะพอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำพูดเรื่อยเปื่อยของพ่อเขา จึงไม่ได้ทำให้อะไรดูเวอร์เกินไปมากนัก
   “งั้นเดี๋ยวผมรบกวนพี่พัฒน์ขึ้นไปคุยธุระกันต่อบนห้องทำงานผมดีกว่า" พี่เมธกล่าวขึ้น "เดี๋ยวทางนี้พี่ฝากเจนบรีฟงานต่อเด็กๆไว้ด้วยละกันนะ"
   “ได้ค่ะพี่" เจนจิราว่า
   “เอางั้นเหรอ ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆพี่ก็มาแล้ว จะได้คุยเรื่องที่ค้างไว้ด้วยนะเมธนะ" พัฒน์ว่าพลางหันมาหาลูกชาย "เดี๋ยวแกรอชั้นด้วยล่ะ เย็นนี้อยู่ทานข้าวกับชั้นก่อนนะวิน"
   “ครับ" วินรับคำสั้นๆ ก่อนจะมองพ่อของตัวเองเดินจากไป มันก็เหมือนกับความอึดอัดถูกยกออกไปจากอกทันที
   “นี่ใช่มะ ที่ทำให้เธอดูมั่นใจกับโปรเจ็คนี้เอามากๆ" เจนจิราว่า พลางมองไปมาระหว่างวินกับเอิร์ธ "เธอต้องการอะไรจากวันนี้เหรอคุณวิน"
   “ผมมีเรื่องที่ต้องทำ" วินว่า "คุณเองก็รู้ว่า เขาเป็นยังไง ผมไม่ได้ทำเพื่อต้องการให้ได้อะไร แต่มันก็ควรจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"
   “แต่คุณไม่คิดเหรอ ว่าอะไรที่ได้มาเร็วไป มันก็ไปเร็วได้" เจนจิราว่า "งานของคุณ ยังไม่ควรต้องถึงสายตาของผู้บริหารนะ"
   “อาจจะใช่ก็ได้" วินว่า "แต่ท่านเป็นแค่คุณพ่อของผมเท่านั้น ท่านแค่มาเยี่ยมผม แล้วก็ดูงานที่ท่านส่งผมมา ให้ทำร่วมกับคุณไง คุณก็บอกผมเองนี่"
   “คุณมีอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่" เจนจิราว่า
   “ผมเองแหละ" เอิร์ธพูดแทรกขึ้นมา เจนหันไปมองเอิร์ธทันที วินเลิกคิ้วเล้กน้อย "ผมขอให้วินพาพ่อเค้ามา ผมไม่ต้องการให้พี่เป็นคนเดียวที่ตัดสินงานของผม"
   “อะไรนะ" เจนจิราร้อง
   “พี่รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าผมต้องการอะไรน่ะ" เอิร์ธว่า "พี่ก็รู้ดีอ่ะ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่ผมได้จากพี่มันมีแต่อุปสรรคพี่เจน และผมก็ไม่อยากทนแล้ว วินมันมีทางเลือกที่ดีกว่าให้ และผมก็เต็มใจยอมรับมัน"
   “ทางเลือกแบบนี้น่ะเหรอ" เจนพูดเสียงขยะแขยง แสดงให้เห็นความจริงที่ว่า เธอไม่ปลื้มใจกับการมาของวรพัฒน์
   “ใช่....มันก็แฟร์ดีอยู่แล้วนี่" เอิร์ธว่า "ถ้าผมกับวินไม่ใช้วิธีนี้ พี่เมธก็ไม่มีทางเลือกงานของเรา พรุ่งนี้พี่ก็จะมีแฟชั่นโชว์ของพี่ แล้วของพวกผมวันนี้ก็จะกลายเป็นงานโชว์ห่วยที่หายไป ผมอยากพิสูจน์ให้พี่เห็น ว่าพวกผมไม่อยากเป็นแค่ของทดลอง ผมจะต้องไปไกลกว่านี้"
   “แล้วเธอรู้หรือเปล่า ว่าวิธีนี้จะต้องจ่ายแพงแค่ไหน กับทางลัดที่เธอคิดว่าง่ายกันน่ะ" เจนจิราว่า
   “ผมรู้" วินสวน "ผมยินดีจ่าย"
   “คุณจะจ่ายได้ยังไง คุณเป็นลูกชายขอเค้าไม่ใช่หรือไง" เจนร้องทันที คำพูดคำนี้ทำให้เอิร์ธหันมามองหน้าวินทันที
   “อะไรนะ" เอิร์ธร้อง
   “เค้าไม่เลือกผมหรอก" วินแก้เสียงดัง "ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง"
   เจนหันมามองหน้าเอิร์ธอีกครั้ง
   “ชั้นไม่คิดเลยอ่ะ ว่าเธอจะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้" เจนจิราว่า "เธอเอาความรักมาเป็นเครื่องมือในการผลักดันตัวเองงั้นเหรอเอิร์ธ ที่เธอทำมาทั้งหมด เธอต้องการแค่นี้เองอย่างนั้นเหรอ"
   “พี่ไม่เข้าใจหรอก" เอิร์ธว่า "พี่จะไปรู้ความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้ยังไง พี่ไม่เคยถูกทิ้งนี้"
   เจนจิราเงียบเสียงลง
   “พี่เป็นคนก้าวมาเป็นคนแรกนี่ ทุกๆคนวิ่งตามพี่หมด" เอิร์ธร้อง "พี่กายก็วิ่งตามพี่มาติดๆ มีพี่กาย ก็ต้องมีพี่นัท ถ้ามีพี่นัท พี่สากับพี่มิกก็ต้องตามมา แล้วผมล่ะ......ผมรู้ว่าพวกพี่เป็นยังไงกัน ผมเป็นคนหนึ่งในโลกที่วุ่นวายของพวกพี่ไม่ใช่หรือไง Loveless Society น่ะ"
   “เอิร์ธ" เจนจิราเอ่ยชื่อเอิร์ธเบาๆ
   “ผมเคยสัญญากับเค้า ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะรับได้ทุกอย่าง" เอิร์ธว่า "แต่รับได้ทุกอย่างน่ะ มันไม่ได้รวมการให้นั่งรอใครนะพี่ ผมไม่ใช่คนรอใคร ผมก็รักอิสระพอๆกับพวกพี่ทุกคนนั่นแหละ และผมก็เลือกวิธีของผมแล้ว ผมมีเส้นทางของผม"
   “แล้วถ้ามันต้องจ่ายด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอล่ะ" เจนจิราว่า "เธอพร้อมจะแลกเหรอ มันมีเหตุผลที่พี่เดินมาก่อนนะเอิร์ธ มันมีเหตุผลที่ตอนนี้ มันไม่มีใครอยู่กับพี่นะ เมื่อถึงวันนึง เมื่อเธอไม่สิทธิแม้แต่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ชีวิตที่เธอต้องผูกอยู่กับงาน เธอจะยอมจ่ายเหรอเอิร์ธ"
   “ผมยอ....”
   “อย่าพูด ถ้าแกยังไม่รู้จักมันดี" เสียงอันนุ่นลึกดังแทรกขึ้นทันที เจนจิราหันไปมองเจ้าของเสียง วินและเอิร์ธมองตามไป เสียงที่ทำให้ทุกอย่างนิ่งสงบลง
   “พี่มิก" เอิร์ธและวินเอ่ยชื่อขึ้นพร้อมกัน
   “สิ่งที่พี่พูดวันนั้น ถ้ามันต้องทำให้แกทำให้พี่ขนาดนี้ พี่ว่า....” มิกพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนที่ชายหนุ่มจะหลับตาลงครั้งหนึ่ง "แกกลับบ้านเถอะเอิร์ธ"
   “พี่....” เอิร์ธร้อง
   วินรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่วุ่นวายเกินไประหว่างสามคนนี้ หรือว่าถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้องรับรู้ความจริงของเอิร์ธและเจนจิรา
….......
   
   
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 20 Surprised]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 06-11-2012 07:36:04
ไม่ค่อยเข้าใจเอิร์ธเท่าไหร่ หางานอื่นทำที่เคียงคู่พี่มิคไม่ได้รึไง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 20 Surprised]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-11-2012 08:08:36
 o2 :try2: อึน มึน หนักหน่วงไปกับเหตุการณ์ในเรื่อง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 20 Surprised]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 06-11-2012 08:19:10
เนื้อเรื่องยังชวนติดตามเหมือนเดิมคิดถึงคนเขียนนะฮ้าบ
ในความเป็นจริงกับนิยายไม่ต่างกัน เรื่องนี้สะท้อนอะไรออกมาหลายๆอย่าง
ไม่ใช่แค่วงการแฟชั่นแต่ทุกสายงานการที่ต้องทำอะไรให้เหนือคนอื่นเพราะถ้าไม่ทำก็ต้องถูกคนอื่นกดจมไปอยู่ดี
มันเป็นการกระทำที่อาจดูเหมือนจะโหดร้ายแต่ในความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้
ทุกคนมีความทะเยอทะยานทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 20 Surprised]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-11-2012 16:59:42
ตอนที่ 21 Leave Me Alone : Part I

   เจนจิราก้มหน้าลง พลางเดินไปหามิก ที่เข้ามาในโชว์รูมอย่างเงียบเชียบ วินและเอิร์ธมองไปที่มิกเป็นสายตาเดียวกัน สำหรับวินที่วันนี้ทำแต่เรื่องเซอร์ไพรส์คนอื่น กลายเป็นเขาเอง ที่โดนเซอร์ไพรส์เข้าเสียแล้ว
   “นี่น่ะเหรอ สิ่งที่พวกนายบอกเค้าน่ะ" เจนจิราพูดกับมิก "ถ้าเค้าทำแบบนี้ แล้วนายจะฝากให้ชั้นดูแลเค้าทำไม"
   เอิร์ธขมวดคิ้วทันที เจนจิราหันมาทั้งคู่อีกครั้ง
   “ถ้าแบบนี้ชั้นก็ ไม่รู้ทำอะไรต่อกับนายสองคนแล้ว" เจนจิราว่า "ทำแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเอาตัวเองขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับชั้นสำเร็จแล้วสินะ เป็นเอ่อ...คู่แข่งกับชั้นสมใจแล้ว"
   เอิร์ธก้มหน้าลง ขณะที่วินยังคงมองหน้าเธออย่างไม่หวั่นเกรง
   “ทุกสัปดาห์ พี่สุเมธจะมีบรีฟจ่ายลงมาที่บอร์ดกลางของออฟฟิศชั้นบน สตูดิโอของพวกเธอ จะอยู่ชั้นสอง ชั้นเตรียมที่ไว้ให้แล้ว แต่หน้าที่ของชั้นจะหมดลงแค่นั้น" เจนจิราว่าพลางหันกลับมาหามิก "หลังจากนั้น ก็ดูแลกันเองเถอะนะ ชั้นไม่เอาด้วยแล้ว เพราะตั้งแต่พวกคุณเข้ามาในชีวิตชั้น มันมีแต่เรื่องวุ่นวายทุกครั้ง"
   “ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกเจน" มิกพูดเสียงเรียบ ก่อนจะปล่อยให้เธอเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบของโชว์รูมแห่งนี้ ความเงียบที่ทำใหวินรู้สึกหยาวเย็นอย่างประหลาด มิกมองทั้งคู่อย่างเหนื่อยอ่อน
   “นายสองคน เล่นอะไรกันเนี่ยหึ" มิกพูดขึ้น "พี่เองก็น่าจะฉุกคิดซักนิด ว่านายจะมาที่นี่ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่คนของที่นี่ ใช่ไหมวิน"
   วินก้มหน้าลง เขาต้องการให้พี่มิกมาเสียบ หากแผนแรกของเขาล้ม ก็คือหากพ่อของเขาไม่ได้มานั่นเอง มิกคงหน้าจะมีเครดิตอะไรให้เขาได้บ้างเช่นกัน แต่นี่มันพลิกผันจนเขาคาดเดาไม่ถูก วินมองไปทางเอิร์ธที่ไม่แม้แต่จะมองหน้ามิก ชายหนุ่มก้มหน้าลง วินไม่เคยเห็นเพื่อนของเขาเป็นแบบนี้มาก่อน วินหันไปมองสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายจากมิก
   เดี๋ยวก่อนนะ.....วินคิด....อย่าบอกนะว่า
   มิกเดินเข้ามาหาเอิร์ธช้าๆ
   “แกน่าจะบอกพี่ซักนิด ว่าจะทำอะไรเอิร์ธ" มิกพูดขึ้นเบาๆ
   “ผมไม่ใช่เด็กฝึกงานแล้วพี่" เอิร์ธพูด "และถึงผมบอกพี่ไป ผมรู้ว่าพี่ไม่มีทางยอ....”
   “พี่ไม่ยอมอยู่แล้ว" มิกพูดเสียงดังขึ้นมาทันที เอิร์ธตกใจเล็กน้อย วินมองทั้งคู่อย่างตื่นตระหนก "พี่ไม่มีทางยอมปล่อยให้เราต้องมาเจอแบบนี้อยู่แล้ว"
   “ก็เพราะแบบนี้ไงพี่ ผมถึงไม่ได้ไปไหนซักทีอ่ะ" เอิร์ธว่า "เพราะแบบนี้ไง เราสองคนถึงต้องเป็นแบบนี้อ่ะ"
   “เอิร์ธ" มิกว่า
   “พี่มิก ผมถามจริงๆเหอะ วันที่พี่จะขึ้นเครื่องมาที่นี่ พี่รู้หรือเปล่า ว่าผมรู้สึกยังไง" เอิร์ธว่า "ผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์เลย ที่ผมนั่งจัดเวลาตัวเองแทบตาย เพื่อให้มาถึง Lovable Studio ผมเห็นอนาคตของพี่ ที่ฝากตัวเองอยู่ที่นี่ ผมเห็นบ้านของพี่ที่วิลแลตชัดเจนก่อนพี่จะซื้อมันด้วยซ้ำ"
   มิกมองหน้าเอิร์ธอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
   “พี่มิก พี่ขอให้ผมรอไม่ได้หรอก" เอิร์ธพูด "ผมเข้าใจพี่ ว่าพี่จะไม่มีทางหยุดเดิน ผมก็เหมือนกันพี่ ผมไม่กลับไปไหนหรอก ผมจะอยู่ อยู่ต่อไปที่นี่ พี่ก็อยู่ ทุกอย่างมันก็น่าจะโอเคแล้วไม่ใช่เหรอฮะ"
   “เดี๋ยวก่อนนะ" วินพูดขัดขึ้นมา "ขอโทษเหอะ นี่มึงอย่าบอกนะ ว่าพี่มิก เค้าคือ.....”
   “เออ ใช่" เอิร์ธพูดเสียงดัง "ให้ตายเหอะวิน มึงจะมีอะไรเซอร์ไพรส์กูอีกไหมวะ"
   วินหันไปหาพี่มิกทันที
   “ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าเป็นพี่" วินพูด
   “พี่ก็เหมือนกัน" มิกว่า "เนี่ยอะเหรอ เรื่องสำคัญที่เราบอกพี่ก่อนจากกัน"
   “ก็ไม่เชิงฮะ" วินว่า
   “น้องไม่ได้บอกพี่ด้วยซ้ำ ว่าน้องเป็นลูกชายเจ้าของคอสโม่" มิกว่า "แล้วเกือบครึ่งปีมานี่ น้องหลอกพี่งั้นเหรอ ที่ว่ามาเรียนต่อคนเดียวต้องทำงานคนเดียวที่ร้านเกล็ดหิมะน่ะ"
   วินส่ายหน้าทันที
   “ไม่ได้หลอกหรอกฮะ" วินว่า "ผมทำงานที่ร้านนั้น และก็ยังทำอยู่ผม....ช่างเหอะพี่ไม่เข้าใจหรอก เอาเรื่องพี่ก่อนเหอะ จะเคลียร์กันยังไงเต็มที่นะพี่ หมดหน้าที่ผมละ”
   “เดี๋ยวไอ้วิน" เอิร์ธคว่าตัววินไว้ทันก่อนที่เขาจะออกเดิน "กูขอคุยด้วยหน่อย"
   มิกหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินมาหาเอิร์ธแล้วคว้าตัวเอิรืธสวมกอดทันที วินผงะเล็กน้อยก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น
   “ยิ่งแกขึ้นไปสูงเท่าไหร่ แกก็จะยิ่งเปลี่ยนไป" มิกพูดเบาข้างหูของเอิร์ธ "พี่เห็นใครบางคนในตัวแก พี่ไม่อยากให้แกหายไปนะเอิร์ธ"
   เอิร์ธหลับตาลงครั้งนึง
   “ผมเลือกแล้วพี่" เอิร์ธว่า "ผมมีวิธีของผม ปล่อยผมไปเหอะ"
   มิกผละตัวเองออก
   “แล้วถ้าแกไม่กลับมาล่ะ" มิกว่า "แกก็ขอให้พี่รอไม่ได้เหมือนกัน พี่เคยรอแกมาแล้วครั้งนึงนะ พี่ไม่...”
   “ผมกลับมาแน่พี่" เอิร์ธว่า "ผมจะเป็นคนแรก ที่จะทำแบบนั้นได้....."
   เอิร์ธว่าพลาง ดึงตัววินออกจากโชว์รูมทันที ทิ้งให้มิกจมอยู่กับความกังวลที่เพิ่มขึ้นทุกที มิกมองเห็นเอิร์ธคนเดิมเดินจากไป คนเดิมเอามากๆ มากกว่าที่เขาจะรู้จัก
   เอิร์ธกระแทกวินใส่ผนังทันที
   “รู้จักกันได้ยังไง" เอิร์ธพูดเสียงสั่น
   “เอ่อ...เรื่องมันยาว" วินว่า
   “กูจะฟัง" เอิร์ธว่า "เล่ามาเดี๋ยวนี้"
   “เค้าเป็นคนแรกที่เจอกูที่นี่" วินว่า "เมื่อตอนต้นปี เค้ารับกูมาจากวิลแลต หลังจากเพิ่งไปแบคแพ็คกับพวกไอ้โอ๊ตมา ก็เพราะแฟนมึงอ่ะแหละ กูถึงได้รู้จักร้านเกล็ดหิมะอ่ะ"
   “มึงไปอยู่กับเค้ามาใช่หรือเปล่า ช่วงที่มึงทำงาน" เอิร์ธถาม "ทำไมมึงไม่บอกกูวะ"
   “ก็กูไม่รู้ว่าแฟนมึงจะเป็นผู้ช....คือ...กูหมายถึง...จะเป็นคนนี้" วินว่า "ใช่กูไปนอนบ้านเค้ามาไม่กี่วันหรอก กูมีปัญหากับไกด์"
   “ไกด์ไหนอีกวะ" เอิร์ธร้อง
   “เออ...ช่างมันเหอะ มึงไม่เข้าใจหรอก" วินว่า
   “เห้ยไอ้วิน" เอิร์ธว่า "ถึงมึงตั้งใจจะเซอร์ไพรส์กูอ่ะ แต่ไม่ต้องทุกเรื่องก็ได้นะเว่ย กูไม่ต่างอะไรกับควายโง่ๆตัวนึงเลยอ่ะวันเนี้ย"
   “ก็นี่ไม่ใช่หรือไง ที่มึงต้องการนักหนาอ่ะ ภาพผันหวานของมึงเนี่ย" วินว่า
   “แล้วมึงเห็นมันหวานไหมล่ะวะ" เอิร์ธว่า
   “หวาน....จนกูจะอ้วกอยู่และ" วินว่า "ทำไมวะ เค้าก็รักมึงดีด้วยซ้ำ เอาจริงๆกูก็ไม่เห็นว่าไอ้ที่พยายามกันมา จะทำให้มึงกับเค้ามีอะไรเปลี่ยน มึงกับเค้าก็รักกันดี"
   “มึงไม่เข้าใจหรอก" เอิร์ธว่า
   “นายสองคนจะเข้าใจกันได้ยังไง ก็มัวแต่พูดกับแบบนี้" เสียงแหลมใสของสเตลล่าดังแทรกขึ้นมาทันที เธอยืนอยู่ตรงนี้มาพักหนึ่งแล้ว และเนิ่นนานมากพอที่จะเห็นเรื่องราวทั้งหมด
   “สเตลล์" วินร้องขึ้น
   “เธอยังอยู่อีกเหรอ" เอิร์ธว่า "นางแบบกลับได้แล้วไม่ใช่หรือไง"
   “เค้าจะกลับพร้อมชั้นน่ะ" วินว่า เอิร์ธมองไปมาระหว่างวินและสเตลล่าอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะร้องเสียงดัง
   “อ้อ.....อย่างนี้เองหรอกเหรอ" เอิร์ธว่า "มิน่า มึงถึงไม่ได้กังวลเรื่องนางแบบให้กูเลย"
   “มันไม่ใช่....”
   “เออ ใช่...” วินร้องปัด "เค้าเป็นเพื่อนไก....ก้องน่ะ"
   “เดี๋ยวก่อนนะ วิน คุณเอิร์ธ ชั้นว่าคุณสองคนเจออะไรมามากพอแล้วล่ะสำหรับวันนี้" สเตลล่าว่า "ยิ่งคุยกันไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เอาไว้เย็นลง ตั้งสติได้ก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ดีไหม"
   เอิร์ธและวินมองหน้ากันพักนึง
   “ไม่" เอิร์ธร้องเสียงดัง
   “โอเค" สเตลล่าพูดเสียงตลก ก่อนจะหันหลังกลับไปพิงผนังเหมือนเดิม "งั้นเอาเลย เต็มที่"
   “ไหนๆ ก็มาถึงวันนี้และ มึงจะทำอะไรต่อไปอีกว่ามาเลยไอ้วิน" เอิร์ธว่า "แต่กูขอให้มึงบอกกูให้หมดนะ ไม่เอาครึ่งกลางๆแบบที่ผ่านมาแล้วนะ"
   “กู...”
   “เค้าบอกคุณไม่ได้หรอก" สเตลล่าพูดขึ้น "เค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตัวเองต้องการอะไรน่ะ"
   “อะไรนะ" เอิร์ธหันไปหาสเตลล่า ขณะที่วินก้มหน้าลง "งั้นเหรอ ที่มึงทำวันนี้ มันดูเหมือนมึงลังเลมากเลยสินะ"
   “เออกูผิดเองแหละ" วินะโกนออกมาทันที เอิร์ธและสเตลล่าถึงกับตกใจเล็กน้อย "ใช่ สเตลล์ชั้นไม่รู้ว่าชั้นต้องการอะไร ก็เค้าเป็นคนบอกชั้นเอง ว่าลองทำไปก่อนอ่ะ ชั้นก็แค่ดุ่ยๆทำมาตามสิ่งที่ชั้นคิดก็เท่านั้นเองอ่ะ กู.....เห็นมึงอยากมีชื่อเสียงในวงการนี้ อยู่ที่นี่ กูก็เลยทำให้ เพราะกูเอง ก็ไม่รู้หรอก ว่าถ้าไม่ใช่ทำให้มึง แล้วกูจะทำเพื่ออะไร มึงเข้าใจป่ะ"
   เอิร์ธมองหน้าเพื่อนช้าๆ ขระที่สเตลล่าหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ
   “กูไม่มีจุดหมายแล้วอ่ะโอเค้" วินร้อง "เมืองนี้แม่งก็มีเรื่องประหลาดๆ คนประหลาดๆ คนที่กูไว้ใจได้ มันก็มีไม่กี่คนอ่ะ กูก็แค่อยากช่วย อยากช่วยมึง ช่วยให้มึงสำเร็จอย่างที่มึงคาดหวัง ช่วยเธอสเตลล์ เธอกลับมาที่นี่ เพราะอยากจะทำงานเป็นนางแบบไม่ใช่รึไง...ชั้นก็แค่" วินส่ายหน้า "ชั้นก็แค่.....อยากช่วยคนที่เคยให้กูพึ่งมา ก็แค่นั้น”
   เอิร์ธนิ่งเงียบนั่งฟังวินระบายออกมาจนหมด ชายหนุ่มถึงกับส่ายหน้าทันที
   “โหไอ้วินเอ้ย มึงอายุ 24 แล้วนะ คิดเป็นเด็กๆไปได้" เอิร์ธว่า "โตโตกันแล้วอ่ะ มึงต้องรู้ได้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร ดูอย่างกูดิ กูยัง..."
   “ใช่ ก็เพราะมึงไง" วินว่า "มึงมีอิสระชัดเจน กูต่างหากที่ไม่มี ทางที่มึงต้องการจะไปมันชัดเจน ก็เพราะแบบนี้ไงกูเลยอยากทำให้มึง.....”
   “อย่ามาหล่อไอ้วิน" เอิร์ธว่า "มึงกับกูก็ได้ด้วยกันงานนี้น่ะ"
   “ไม่หรอก" วินว่า "เพราะกูจะไม่เอา"
   “อะไรนะ" เอิร์ธว่า
   ถึงตรงนี้สเตล่าหันมามองวินทันที
   “เพราะถ้าเผื่อว่า ตอนนี้กูมีเป้าหมายอื่นที่กูอยากทำ" วินว่า "ถ้าเผื่อว่าตอนนี้กูแค่....กูแค่รู้สึกว่า กูไม่อยากได้สิ่งที่เราได้วันนี้แล้ว กูจะไปตามหา....”
   “มึงไม่อยากอยู่ใต้อาณัติของพ่อมึงแล้ว" เอิร์ธว่า "ทั้งหมดที่มึงทำก็เพราะเหตุผลนี้ใช่ป่ะ มึงก็เลยดึงกูเข้ามาเสียบแทนในเกมส์นี้ เพราะมึงคิดว่ากำลังจะถอนตัวไปอย่างงั้นสิ"
   วินมองหน้าเพื่อนทันที
   “เอิร์ธ กูขอโทษ" วินพูดเสียงสั่น ขณะที่เอิร์ธมองไปทางอื่น เขาเดินไปเดินมาอยู่สองสามครั้ง ที่หน้าประตูโชว์รูม หันไปหันมาอย่างเป็นกังวล
   “มึงรู้จักพ่อมึงดีกว่าใคร" เอิร์ธถลาเข้ามาหาวิน "มึงก็รู้ว่าเค้าไม่มีวันยอม"
   วินเงียบสนิท
   “มึงจะหนีเค้าไปได้ไกลซักแค่ไหนวะ" เอิร์ธว่า
   “แล้วมึงอ่ะ" วินว่า "มึงจะกล้าเดินไปไกลกว่าคนที่มึงรักได้ซักกี่ก้าว"
   “เราก็เลยต้องมาติดแหง่กอยู่ตรงนี้ทั้งคู่ไง" เอิร์ธว่า "ให้ตายเหอะ ถ้าเรื่องของมึงกับกูมันจะเยอะขนาดนี้ล่ะก็นะ"
   สเตลล่าจ้องหน้าวินอย่างไม่กระพริบตา ขณะที่เอิร์ธหลับตาลงครั้งหนึ่ง
   “เอาล่ะ กูซื้อคำพูดของสเตลล่า" เอิร์ธว่า "กูว่าเราสองคนไปพักดีกว่าว่ะ มึงกับกูแม่ง เหนื่อยเกินไปละ โดยเฉพาะมึงอ่ะ กูว่ามึงป่วย"
   “เออ กูยอมป่วย" วินว่าตาม
   “มึงกลับไปกับแฟนมึงเหอะ" เอิร์ธว่า "เดี๋ยวเรื่องพ่อมึง กูจัดการเอง"
   “อะไรนะ" วินทวนคำอย่างไม่เชื่อหู
   “เออน่า....” เอิร์ธว่า พลางหันมาหาวินอีกครั้ง "มึงยังไม่แน่ใจไม่ใช่เหรอ ว่าจะถอนตัวดีไหมน่ะ ก็ลองดูดิวะ"
   “ไอ้เอิร์ธ" วินร้อง
   “อย่างที่ก้องมันบอกมึงน่ะ ถูกแล้วล่ะ คนเราถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร มันก็ต้องลองดูหลายๆอย่าง กูไม่ตำหนิมึงหรอก" เอิร์ธว่า "หลายเดือนที่ผ่านมา มึงทำให้กูมาเยอะละ กึงมันกำลังจะมีปัญหา บางอย่าง กูก็ควรจะแก้ด้วยตัวเอง มึงเองก็เหมือนกัน"
   “ขอบใจว่ะ" วินว่า
   “มึงไม่เห็นจะต้องมาขอบจงขอบใจอะไรกูเลยไอ้วิน" เอิร์ธว่า "กูต่างหาก ต้องขอบใจมึง กับเรื่องเซอร์ไพรส์ทั้งหมดนี่อ่ะ กูพูดตรงๆ ก็ติดสตั๊นมาก"
   “หึ" วินพูดเบาๆ "แล้วมันจะดีเหรอวะ"
   “เรื่องไหนอ่ะ" เอิร์ธว่า
   “ก็ทุกเรื่อง" วินว่า "ที่มึงกับกูตั้งใจจะลองกันเนี่ย"
   “ดีไม่ดีมันขึ้นอยู่กับมุมมอง" เอิร์ธว่า "ถ้าเรื่องพ่อมึงเนี่ย กูว่า......”
   เอิร์ธทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยสู้ดีนัก วินก้มหน้าลง
   “...มันก็ไม่ต่างเท่าไหร่กับตอนที่มึงกับกูช่วยกันโกหกเค้า แล้วพากันออกไปร่อนตอนนั้นหรอกมั้ง" เอิร์ธพูดต่อ
   วินถึงหัวเราะเบาๆ
   “ไปได้แล้วไป" เอิร์ธพยักเพยิดให้ พลางหันไปหาสเตลล่า "ฝากดูมันด้วยครับ สเตลล์"
   “ค่ะ" หญิงสาวรับคำ ก่อนจะดึงตัววินออกไปจากโชว์รูมทันที
   เอิร์ธเดินออกมาจากประตูโชว์รูม มิกยังคงยืนอยู่ในห้อง ดูผลงานของเอิร์ธที่ยังอยู่ในห้อง เมื่อเอิร์ธเดินมายืนข้างๆ มิกก็หันมาหาเขา
   “ผมขอโทษฮะ" เอิร์ธพูดเบาๆ "พี่มิก ถึงผมจะทำอะไรเสี่ยงๆไม่ปรึกษาพี่แต่....ที่ผมทำไปทุกอย่าง ก็เพื่อที่จะมาอยู่ด้วยกัน กับพี่อ่ะ ผมแค่...”
   “ช่างเหอะ" มิกว่า "พี่ไม่โกรธหรอก"
   “จริงๆนะ" เอิร์ธว่า
   “อื้อ" มิกว่า "แต่พี่ก็มีจุดยืนของพี่นะ"
   “ว่า"
   “ถ้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม" มิกว่า "พี่จะไม่ช่วยเราแล้วนะ"
   เอิร์ธมองหน้ามิกอีกครั้ง
   “อะไรนะพี่" เอิร์ธทวนคำ
   “พี่ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถ้าเกิดว่าเราเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่" มิกว่า "ทุกๆคนที่นี่ทำงานกันแบบมิตรและศัตรู มันไม่มีที่ว่างสหรับคนรักกันที่นี่หรอก"
   “พี่หมายความว่าไง" เอิร์ธถามต่อ
   “ถ้าเจอพี่ที่นี่อีก เราต่างคนต่างทำงาน" มิกว่า "จะมีแค่เจนเท่านั้นที่รู้เรื่องเราสองคน คนอื่นๆที่ซูเม่จะรู้ไม่ได้เด็ดขาด"
   “ทำไมอะ" เอิร์ธว่า
   “เพราะมันจะพัง พังด้วยกันทั้งคู่" มิกว่า "พี่ขอละกัน"
   มิกหันซ้ายหันขวาก่อนจะดึงเอิร์ธเข้ามาจูบหน้าผาก
   “ไม่เป็นไรหรอก ถึงแกจะทำเรื่องแสบกว่านี้ พี่ก็ไม่รักเราน้อยลงหรอกเอิร์ธ" มิกพูดเสียงกระซิบ แต่คำพูดนั้น กำลังสร้างความหนักใจเพิ่มให้เอิร์ธทีละน้อย "อย่าลืมนะ พี่ไปก่อนละ"
   มิกยิ้มให้เอิร์ธเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกจาโชว์รูมไป คราวนี้กลับเป็นเอิร์ธที่ถูกทิ้งให้อยู่ตรงนี้ พร้อมแบกเอาความรู้สึกผิดทั้งหมดมาไว้กับตัว
   เขาเริ่มเข้าใจวินในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ว่ามันเป็นความรู้สึกยังไง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 21 Leave Me Alone : Part I]
เริ่มหัวข้อโดย: pmnet ที่ 06-11-2012 20:24:13
ชอบมากๆ จบงานแล้วไปหาไกด์กันนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 21 Leave Me Alone : Part I]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-11-2012 20:31:10
..... :เฮ้อ: เหนื่อยแทนเอิร์ธกับวินจัง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 21 Leave Me Alone : Part I]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 06-11-2012 22:13:38
เหนื่อยอยู่นะที่อ่านเรื่องนี้เหนื่อยใจนิดๆ
ตอนนี้อยากรู้เรื่องก้องมากในที่นี้ขอเป็นก้อง
คิดว่านะเนื้อแท้ของไกด์คือก้องนี้แหละมันอยู่ภายในลึกๆ
ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 21 Leave Me Alone : Part I]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-11-2012 01:19:39
กดดันและเครียดกว่านี้ มีอีกไหม

 :เฮ้อ: เศร้าสลด
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 21 Leave Me Alone : Part I]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 08-11-2012 03:14:30
ตอนที่ 22 Leave Me Alone : Part II

   วินเช็ดแก้วและจานเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่รับหน้าที่บาริสต้าแทนไกด์ที่ร้านเกล็ดหิมะ มาทั้งสิ้นเกือบ 10 ชั่วโมงตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึงช่วงหัวค่ำ โดยไม่พัก ถึงเจ๊ใหญ่จะยืนยันว่าเธอสามารถหาบาริสต้ามาแทนก้องของเธอได้แล้ว แต่วินก็เต็มใจที่จะทำงานที่นี่ต่อ ยอมรับจริงๆว่าการชงกาแฟและได้ดูแลร้านเกล็ดหิมะที่นี่นั้นทำให้เขาอึดอัดได้อย่างมากก็หนึ่งเดือนแรกกับลูกค้าที่งี่เง่าจริงๆเท่านั้น แต่หลายเดือนมานี่ทุกครั้งที่เค้าชงกาแฟ มันกลายเป็นความรู้สึกใหม่ ความรู้สึกของการปลีกตัวออกจากเรื่องราวทั้งหมดที่เขาไม่อยากจะรับรู้ และกลิ่นอันหอมนุ่มนวลของกาแฟชั้นดีของเจ๊ใหญ่ มันนำพาเขาล่องลอยไปหาความอบอุ่นที่เขาสัมผัสได้ จากผู้ชายคนหนึ่งที่เขายังติดค้างอะไรๆอยู่หลายๆอย่าง
   อากาศที่เย็นเยียบลงบ่งบอกเวลามืดค่ำ เจ๊ใหญ่ฝากเขาปิดร้านอีกตามเคย ก่อนจะหายไปตั้งแต่หนึ่งมุ่มตอนฟ้ายังไม่มืดดี การที่เจ๊ฝากเขาปิดร้านนั่นก็หมายความว่าเธอไว้ใจเขามากพอๆกับไกด์ เพราะว่าอันที่จริงแล้ว ไกด์และวิน เป็นเพียงสองคนที่ยังอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะเหลือเพียงวินอย่างเดียว เขายืนยันกับเจ๊ใหญ่ไปแล้ว ว่าจะไม่ทิ้งร้านนี้ไปไหน และก็ยินดีที่จะทำงานต่อไปโดย แม้ว่าก้องของเจ๊ใหญ่จะไม่กลับมาที่นี่อีก
   เสียงเปิดประตูร้านดังขึ้นขณะที่วินกำลังวางแก้วลงบนชั้นอย่างพิถีพิถัน
   “Excuses,Nous avons éteint.” วินกล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายความว่าร้านได้ปิดแล้ว
   “ที่นี่น่ะเหรอ ที่ที่แกใช้ทำงานหาเงินน่ะ" เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นจากหน้าร้าน วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาพ่อของเค้า วรพัฒน์เดินไปรอบๆร้าน อย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก "น่าจะซื้อได้ในราคาซัก ล้านสี่เศษๆ"
   “ไม่มีใครขายให้พ่อหรอก" วินว่า "ถ้าที่นี่ถูกซื้อไป จะมีคนไทยอีกมากที่จะเดือดร้อน"
   “แกก็เลยทำตัวเป็นคนเดือดร้อนมาพึ่งที่นี่เหมือนกันล่ะสิ" พัฒน์กล่าว
   “ก็ไม่เชิงหรอกฮะ" วินว่า "ผมเองก็คิดว่าที่นี่อบอุ่นดี อบอุ่นเสียยิ่งกว่าบ้านด้วยซ้ำ"
   วรพัฒน์หันมามองลูกชาย
   “ชั้นให้แกรอชั้นที่ซูเม่" พัฒนืว่า "แกหายไปไหน"
   “ผมมีเรื่องต้องจัดการ" วินว่า "ผมไม่ค่อยว่างนักหรอกครับพ่อ พ่อมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า"
   “การที่แกอยู่ได้เองแล้วที่นี่ มันไม่ได้หมายความว่าแกจะมาปีกกล้าขาแข็งกับชั้นได้นะไอ้วิน" วรพัฒน์พูด "อย่าลืมว่าชั้นส่งแกมาที่นี่ทำไม"
   “ผมก็ทำให้พ่อแล้วไง" วินว่า "พ่อจะเอาอะไรอีกล่ะ"
   “ชั้นต้องการให้แก เข้าไปช่วยงานที่ซูเม่ให้เยอะกว่านี้ ไม่ใช่มานั่งชงกาแฟไร้สาระอยู่ที่นี่" วรพัฒน์ว่า "ชั้นจะจ่ายเงินให้แกเพิ่ม จ่ายแทนค่าจ้างที่แกได้จากร้านนี้ เจ้าเอิร์ธมันเล่าให้ชั้นฟังหมดแล้ว ว่าแกต้องทำงานอะไรยังไงบ้าง"
   “พูดมาตรงๆดีกว่าพ่อ พ่อต้องการให้ผมเข้าไปทำอะไรที่ซูเม่กันแน่" วินว่า
   “ซูแม่อินเตอร์เนชั่นนอลควรจะเติบโตโดยมีแกเป็นส่วนร่วมที่สำคัญ" วรพัฒน์กล่าว "ตลาดของสุเมธกำลังไปได้อีกไกล อย่างน้อย ชั้นก็อยากจะแน่ใจ ว่าแกจะได้เป็นคนควบคุมผลงานให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม"
   “เป็นเงาของพ่อ แทรกอยู่ในซูเม่น่ะเหรอ" วินว่า "ใครเค้าจะยอม"
   “แกเองก็มีความสามารถอยู่แล้ว" วรพัฒน์ว่า "ถึงตอนนี้ แกก็มาไกลกว่าที่ชั้นคิดไว้เยอะ"
   “ผมจะลองคิดดูก็แล้วกัน" วินว่า "ต้องคุยกับเอิร์ธก่อน"
   “เพื่ออะไร" วรพัฒน์ว่า
   “เค้ากับผมเป็นพาร์ทเนอร์กัน" วินว่า "เราสองคนมาถึงตรงนี้ได้ ก็เพราะทำงานร่วมกันและสู้มาด้วยกันเยอะ ผมไม่ใช่คนประเภทได้ดีแล้วทิ้งเพื่อนฝูง เพียงเพราะเห็นเงินดีกว่าหรอก"
   “เรื่องเงินคงต่อรองแกไม่ได้แล้วสินะ" วรพัฒน์ว่า
   “ผมจะไม่เลิกชงกาแฟ" วินว่า "ดีไซน์เนอร์ทุกๆคน เค้าก็มีชีวิตอีกด้านนึงกันทั้งนั้น ผมก็มีของผม พ่อไม่ต้องมาสนใจหรอก ถ้าผมกับเอิร์ธไตร่ตรองดีแล้วว่าข้อเสนอที่พ่อให้มันดี ผมจะติดต่อไปหาพ่ออีกที"
   “นี่แกกล้าประเมิณข้อต่อรองของชั้นงั้นเรอะวิน" พัฒน์พูดเสียงดัง
   “เผื่อพ่อจะนึกไม่ออก ผมเชิญพ่อมาวันนี้ ก็เพื่อให้เกิดการถกเถียงกันที่ซูเม่ เรื่องการมาถึงแบบไม่ใสสะอาดของพ่อ" วินว่าเสียงแข็ง "มันส่งผลดีกับผมและเอิร์ธก็จริงในแง่ของความก้าวหน้า แต่ที่ซูเม่ก็ไม่มีใครปลื้มกับเรื่องนี้กันนักหรอก"
   “แกว่าอะไรนะ" พัฒน์ว่า
   “คอสโม่คอนเทลีโอนี่คงกุมบังเหียนของซูเม่ได้แค่ที่กรุงเทพนะผมว่า ไม่น่าจะใช่ปารีส พ่อมาที่นี่ได้ ก็มีแค่ตำแหน่งเดิมค้ำคอมาก็เท่านั้น" วินว่า
   “แกอย่าลืมนะ ว่าที่แกจะผ่านไปได้ด้วยดีหลังจากนี้ก็ต้องพึ่งชั้น" วรพัฒน์เดินมาทุบลงที่บาร์
   “พ่อก็อย่าลืมสิ ว่าพ่อจะสามารถคุมสาขาปารีสได้หลังจากนี้ ก็ต้องพึ่งผมผมและเอิร์ธเหมือนกัน" วินว่า "พ่อจะรับข้อเสนอของผมบ้างไหมล่ะ"
   “ข้อเสนอของแกงั้นเหรอ" วรพัฒน์ว่า
   “ใช่ ผมก็มีข้อเสนอของผม" วินว่า
   “งั้นแกก็ว่ามา" วรพัฒน์พูด
   วินมองไปยังแก้วกาแฟที่วางอยู่บนชั้นวางของ หน้าของไกด์แว้บเข้ามาในหัว ถ้าเขาได้มีโอกาสเลือกชีวิตเป็นของตัวเองก็ดีสินะ
   “ความอยากได้ อยากมีของแกมันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก" วรพัฒน์ว่า "ชั้นจ่ายให้แกมาเยอะกว่าที่แกจะขอชั้นได้ซะอีก"
   “งั้นเหรอ" วินว่า "งั้นข้อเสนอของผมก็คือ.....ผมขอเปลี่ยนเงินที่พ่อจะจ่ายให้ผมที่ซูเม่ เป็นเงินก้อน"
   “เท่าไหร่ แล้วแกจะเอาไปทำอะไร" วรพัฒน์กล่าว
   “ผมไม่จะทำ ถ้าพ่ออยากได้อำนาจในซูเม่ปารีสไว้ พ่อก็ทำให้ผมก่อนพ่อจะบินกลับไทย" วินว่า "ผมต้องการห้องขนาดไม่ต่ำกว่า 40 ตารางเมตร จ่ายสด และทำสัญญาในชื่อผม จะเป็นห้องแถวทั้งหลัง หรือแค่ชั้นล่างก็ได้ ผมไม่เกี่ยงและขอแค่ให้อยู่ในปารีส"
   “แกมีที่พักอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" วรพัฒน์ว่า
   “ผมไม่ได้ต้องการที่พัก" วินว่า "ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม"
   “เรียกมาสูง ก็ต้องจ่ายสูงนะเจ้าวิน" วรพัฒน์ว่า
   “ผมไม่เสียโอกาสตัวเองหรอก" วินว่าพลางจ้องหน้าพ่อของเขาอย่างท้าทาย
   วรพัฒน์ยิ้มย่องใส่วิน ในความคิดของเขา อย่างน้อยวินก็เดินตามเขามาติดๆ
   “ได้.....แล้วแกล่ะ จะรายงานผลของซูเม่ให้ชั้นได้เมื่อไหร่" วรพัฒน์ถามกลับ
   “รายงานเหรอครับ" วินว่า "ผมไม่ได้บอกพ่อไปแล้วเหรอ ว่าผมกับเอิร์ธจะต้องพิจารณากันดูก่อนน่ะ"
   “นี่แกอย่ามาเล่นลูกไม้กับชั้นนะเจ้าวิน" วรพัฒน์กล่าวเสียงเยียบเย็น
   “ผมบอกพ่อว่า ผมไม่ยอมเสียโอกาสของผม" วินว่า "พ่อล่ะ จะยอมเสียโอกาสของตัวเองหรือเปล่า"
   “หมายความว่ายังไง" วรพัฒน์ร้อง
   “ผมกับเอิร์ธอยู่ในซูเม่ตามที่พ่อต้องการมาแล้วครึ่งตัว พ่อต่างหากที่ยังไม่จ่ายอะไรเลย" วินว่า "ถ้าพ่ออยากได้ผลลัพธ์อย่างที่หวัง ก็เอาห้องที่ผมขอมาลงเสี่ยงโอกาสดูสิ"
   “เจ้าวิน"
   “พ่อเก่งไม่ใช่เหรอ เรื่องบริหารโอกาสให้คนที่อยากได้น่ะ" วินว่าพลางยิ้มที่มุมปาก
   “นี่แกกล้ามากนะ ที่เล่นข้อต่อรองแบบนี้กับชั้น" วรพัฒน์ว่าเสียงเข้ม
   “ก็อย่างที่พ่อบอก ผมมาไกลกว่าที่พ่อคิดไว้เยอะ" วินตอบ
   “ได้ ชั้นจะหาให้แก ก่อนชั้นกลับ" วรพัฒน์ว่า "แต่ทันทีที่ชั้นเอาสัญญามาให้แกเซ็น นั่นหมายความว่าแกก็จะไม่ได้เงินใดใจากชั้นอีก รวมทั้งเงินทุนทุกอย่างที่ซูเม่จะทำ ในชื่อของแก"
   วินหรี่ตาลงทันที
   “แกเองก็ต้องทำงานให้กับซูเม่ หลังจากที่สุเมธซื้องานของแกวันนี้" วรพัฒน์ว่า "แต่ชั้นจะถือว่าค่าห้องที่แกขอให้ชั้นซื้อ จะเป็นเงินก้อนสุดท้าย ที่ชั้นจะโยนให้แก และซูเม่ ก็คงจะไม่จ่ายให้ดีไซน์เนอร์ที่ไม่มีแรงสนับสนุนจากชั้นอีกแน่ เพราะชั้นจะจ่ายให้แกอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อชั้นมีเส้นสายอยู่ในซีเนียร์ดีไซน์เนอร์ของซูเม่อินเตอร์เนชั่นอลเท่านั้น"
   วินหายใจเข้าทันที
   “พ่อจะถอนเงินลงทุนงานทุกอย่างที่มีชื่อผมร่วมอยู่ในโปรเจ็คงั้นเหรอ" วินว่า
   “โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน และเพื่อกันแกตุกติกกับชั้น แม้แต่ชื่อของเจ้าเอิร์ธ ชั้นก็จะไม่ให้เหมือนกัน" วรพัฒน์ว่า "ชั้นว่ามันน่าก็แฟร์ดีกับข้อตกลงของแก"
   “หึ" วินหัวเราะในคอเบาๆ "ได้ครับ
   วรพัฒน์ตกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นสีหน้าเป็นกังวลของลูกชาย
   “งั้นชั้นก็จะกลับละ" วรพัฒน์ว่า "สวัสดีไอ้ลูกรัก"
   “เดี๋ยวก่อนพ่อ" วินร้องเรียกเอาไว้ พลางเอากาแฟวางลงตรงหน้าพ่อของเขาหนึ่งแก้ว วรพัฒน์ทำหน้านิ่งพลางมองแก้วกาแฟตรงหน้า
   “อะไรเนี่ย" วรพัฒน์กล่าว
   “กาแฟฟรีครับ" วินว่า "ที่นี่จะแจกกาแฟฟรีหนึ่งแก้วให้กับคนไทยที่เดินเข้ามาทักทายกันด้วยคำว่าสวัสดีแบบเป็นมิตรและจริงใจน่ะครับ"
   วรพัฒน์มองหน้าลูกชายครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา
   “แกไม่มีทางหนีไปจากโลกของชั้นไอ้วิน" วรพัฒน์ว่า "แกจะอยู่กับชั้นเหมือนลูกชาย หรือลูกจ้าง ก็เลือกเอา"
   "แล้วพ่อจะกลับไทยเมื่อไหร่ล่ะครับ" วินถามขึ้น วรพัฒน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ผมจะได้เตรียมตัวเซ็นสัญญา"
   วรพัฒน์คว่ำแก้วกาแฟลงตรงหน้าวินทันที ก่อนจะเดินออกจากร้านไป วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะเก็บแก้วกาแฟขึ้นมา
   เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเอิร์ธก็คงกันท่าพ่อเขาไว้ไม่ได้ตลอดเย็น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรกับการที่พ่อของเขามาถึงแล้วยื่นข้อเสนอแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรซักนิด แต่ที่มึนเหนือขึ้นกว่าเดิม คือเขาจะไม่ใช่คนที่ยอมทำตามพ่อของเขาโดยไร้เงื่อนไขอีกแล้วเท่านั้นเอง
…........
   ฝีเท้าของวินเดินไปตามถนนทอร์ควิลอย่างเชื่องช้า วันนี้เป็นศุกร์ที่เหนื่อยที่สุดเท่าที่เขาจะเคยสัมผัสมา มันเป็นความเหนื่อยที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์แล้ว เขาเจอเรื่องไม่หยุดหย่อนเลย ตั้งแต่กลับมาจากทอร์ควิล รอบตัวเค้ามีแต่ข้อตกลงเต็มไปหมดที่ต้องจัดการไม่เว้นแม้แต่เรื่องของสเตลล่า เขาคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะต้องใช้เงินที่เหลืออยู่อย่างระมัดระวัง จัดตารางชีวิตให้เหมาะสมที่สุด ทำงานให้คุ้มค่าที่สุด และเก็บหอมรอมริบทุกอย่างให้มันพอสำหรับการสปอนเซอร์ตัวเองหลังจากนี้
   วินส่ายหัวไล่ความคิดออกไปเมื่อมาถึงห้องแถวบนถนนทอร์ควิลที่คุ้นเคย เขามองไปยังทางขึ้นบันได้ตรงหน้า ประตูของตึกปิดลงพร้อมเสียงติ๊ด ดูเหมือนว่าจะมีคนเดินเข้าตึกไปก่อนเขา วินส่ายหัวเบาๆ คนที่นี่จะมีน้ำใจซักนิดก็ไม่มี จะรอเขาซักนิดก็ไม่ได้สินะ วินมองขึ้นไปบนห้องหนึ่งครั้ง หวังว่าจะใช้มันเป็นที่พักผ่อนยาวตลอดคืนสุดสัปดาห์นี้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปบนห้องของตัวเองที่อยู่บนชั้นสี่ หรี่ตาอย่างเพ่งพินิจเมื่อเห็นว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังผ้าม่านนั้น จนกระทั่ง
   ครืด!!!
   ผ้าม่านถูกเปิดออก วินถลาไปยังประตูอพาร์ทเมนท์ ก่อนจะกดรหัสเดิมเข้าไปอีกและ
   ติ๊ด!!!
   เสียงสัญญาณดังเปิดประตูออก วินสาวเท้าวิ่งขึ้นตึกไปอย่างรวดเร็ว ระบบรักษาความปลอดภัยของตึกนี้เป็นที่หนึ่ง ไม่มีทางที่ใครจะเข้าไปได้ ถ้าไม่รู้รหัส สเตลล่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอทนนอนที่นี่ไม่ได้ ดังนั้นคนที่จะสามารถเข้าห้องของเขาได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น
   หัวใจของวินพองโตขึ้นและเต้นรัวตามจังหวะเท้าที่ก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น คำพูดร้อยพันตีกันวุ่นวายมากในหัว เขาไม่รู้แล้วว่าอยากจะพูดอะไรกับหมอนั่นกันแน่ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุด เขาขอแค่ได้เจอหน้าหมอนั่นอีกซักครั้ง.........
   ไม่กี่อึดใจวินวิ่งมาถึงห้องของเขา ประตูถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อย วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะวิ่งไปทันทีอย่างไม่รีรอ
   “Shit!!!”
   เสียงร้องดังก้องขึ้น วินเบรคตัวเองไว้แทบไม่ทัน เมื่อชายสูงอายุปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้วเขาก็เกือบจะชนล้มไปอยู่แล้ว เมื่อวินสามารถตั้งสติและนึกเอาได้ว่าเขาคือใคร ชายคนนั้นก็ก่นด่าเสียงดัง
   “Why you show up like this man!!!” ชายแก่ก่นด่า "You scared me”
   “Im sorry Mr.Bayard” วินร้อง คุณเบย์ออดเจ้าของตึกนั่นเอง ช่วงที่เขาวุ่นๆกับงาน เขาฝากให้เบย์ออดเข้ามานำขยะออกไปทิ้งแทนเขา เขาลืมไปเสียสนิท
   “You back right?” เขาร้องด้วยเสียงเหนื่อยหอบ วินรีบประคองทันที ปนตกใจเล็กน้อย คุณเบย์ออดอายุมากแล้ว การเกือบชนเมื่อครู่อาจจะทำให้เขาหัวใจวายเอาได้
   “Yeah but I'm so sorry.” วินว่า "Is everything all right?”
   “Yeah I'm fine.Could you please let me.....” เบย์ออดว่า
   “Yeah...Thank you” วินหลีกตัวเองหลบให้เบย์ออดนำขยะออกไปจากห้องแทนเขานั่นเอง วินมองเบย์ออดออกจากห้องไป
   "Errrr....sorry sir.Did you pull my curta....?” วินตั้งใจจะถามพลางมองไปยังผ้าม่าน แต่ทว่ามันกลับยังปิดสนิทอยู่ที่เดิม
   “Anything?” เบย์ออดตะโกนกลับมา
   “Errr....No.....Nothing.Thank you Mr.Bayard” วินว่าพลางส่ายหน้าให้กับความหวังอันงี่เง่าของตัวเอง ก่อนจะปิดประตูลงไล่หลังเบย์ออดไป วินถอนหายใจเล็กน้อย พลางหันหลังกลับมาที่ห้อง มันยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม เขาหลงคิดไปเองว่าจะมีใครกลับมาที่นี่ วินก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะวางเป้ลงบนโซฟา  เขาทอดตัวลงบนโซฟาพลางมองออกไปยังห้องที่ว่างเปล่า เขาไม่รู้จริงๆว่าจะไปตามหาได้ที่ไหน มันเป็นความรู้สึกที่แย่อยู่ไม่น้อย ที่เขาต้องกลับมานอนบ้านของคนอื่น ทั้งๆที่เขาเป็นคนปฎิญาณว่าจะไม่กลับมา หรือว่าที่สเตลล่าไม่ยอมนอนที่นี่ ก็คงเป็นเหตุผลประมาณนี้กระมัง วินก้มหน้าลงกับตัวเองอีกครั้ง
   ถ้าเพียงแต่เขาอารมณ์เย็นลงกว่านี้...
   ไม่ใช่เพราะเขารู้จักเย็นลงกว่าเดิมแบบที่หมอนั่นบอกเขาเหรอ ถึงทำให้สิ่งที่ดีดีมากมายเกิดขึ้นในชีวิตตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่เขาต้องการตอนนี้ ก็แค่โอกาสให้ตัวเองได้ตอบแทนบางอย่างเท่านั้นเอง วินกำหมัดแน่น เขาไม่อยากโกหกตัวเองอีกต่อไปแล้ว
   “ให้ตายสิ นายอยู่ไหนวะไกด์" วินร้อง พลางเงยหน้าขึ้นมองครัวที่อยู่ด้านขวา เขามองมันด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวและมือที่สั่นไหว "ฉ....ฉันคิดถึงนายนะ"
   สายลมหนาวพัดลู่มาต้องหลังของเขาเบาๆ วินห่อตัวเล็กๆพลางหันหลังไปมองดู ผ้าม่านปลิวลู่ลมเบาๆ ที่พักมาจากข้างนอก
   วินหรี่ตามองเห็นเงาลางๆยืนอยู่ที่ระเบียง ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นเดินไปยังระเบียงช้าๆ ภาพเงาที่เลือนรางเด่นชัดขึ้นในดวงตา โครงร่างที่ทำให้ลมหนาวที่พัดลู่เข้ามาทำตัวของเขาสั่นสะท้าน วินค่อยๆเดินไปถึงผ้าม่านและระเบียง
   ผ้าม่านเปิดออกนสุดพอดีกับที่ร่างๆนั้นหันหลัง ตั้งใจจะกลับเข้ามาข้างใน วินจ้องร่างนั้นอย่างไม่กระพริบตา ขณะที่ไกด์มองวินด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับเวลารอบๆตัวหยุดหมุนไป วินหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ ขณะที่ไกด์ค่อยๆผ่อนคลายตัวเองลง
   “ก...กลับมาแล้วเหรอ" ไกด์ถามด้วยเสียงเย็นชา วินพ่นลมออกมาครั้งหนึ่ง ขณะที่เผยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า ไกด์มองใบหน้านั้นที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย "ก...กินอะไรมาหรื.....”
   วินถลาตัวเองเข้ามากอดไกด์เอาไว้ทันที ร่างของวินสั่นไหวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของไกด์ที่ระเบียง ไกด์หลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆสวมกอดวินกลับ
   “ขอโทษ" วินพูดเสียงเข้ม "ชั้นขอโทษ"
   ไกด์ยิ้มเบาๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่พร้อมกับอะไรทั้งนั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า
   แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็กอดกันอยู่เนิ่นนานแม้ว่าอากาศมันจะเลวร้ายลงแค่ไหนก็ตาม
….....
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 22 Leave Me Alone : Part II]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 09-11-2012 23:30:26
ตอนที่ 23 Past

   “เข้าไปข้างในเหอะ" ไกด์พูดเบาๆ "เดี๋ยวจะหนาวตายกันทั้งคู่"
 ไกด์ดึงตัววินออกจาอ้อมกอด พลางดึงตัววินเข้าข้างในห้อง ก่อนจะปิดกระจกระเบียงลง
   วินประจันหน้ากับไกด์ที่ระเบียง ไกด์มองหน้าวินอยู่ได้ครู่เดียวก็ต้องหลบสายตาลง ก่อนจะก้มหน้าเดินหลบไป วินอึกอักอยู่เล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นยังไง
   “กินอะไรมาหรือยังคับ" ไกด์ถามเสียงอบอุ่น วินก้มลงด้วยความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นอยู่เต็มอก หมอนี่ทำอะไรให้เค้ามามากเกินพอแล้ว ถ้าไม่ใช่เงินก้อนที่ไกด์เก็บเงินของเขาเอาไว้ เขาไม่มีทางมีเงินทำทุกๆเรื่องที่ผ่านมาได้ขนาดนี้
   “ไกด์ชั้น...." วินพูดขึ้น
   “ว่าไงล่ะ" ไกด์พูดขัดขึ้น "เอ้าตอบสิคับ จะได้ทำให้กิน"
   “ช,,,,ชั้น" วินขมวดคิ้ว "ชั้น ไม่ค่อยหิวอ่ะ.....ชั้น.....นายทำอะไรก็ได้ง่ายๆ ได้มะ"
   ไกด์เลิกคิ้ว ก่อนจะก้มตัวลงไปค้นคลุกๆในตู้ด้านล่าง ก่อนจะหยิบบางอย่างขึ้นมาทำอยู่ตรงนั้นคลุกคลักๆ วินก้มหน้าลง ในหัวคิดเตรียมคำพูดเอาไว้บางอย่าง
   “นี่ไกด์ฟังนะ....วันนั้นน่ะชั้นเอ่อ....” วินเดินเข้ามาใกล้ไกด์มากขึ้น "ชั้นไม่รู้จะพูดยังไงแต่...ชั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแบบนั้นกับนาย...แล้วเอ่อ.....เรื่องทั้งหมดนั่น....ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปรับรู้เรื่องของนายนะแต่ว่า...ชั้น.......ชั้นแค่......”
   “ช่างมันเหอะ" ไกด์ว่า "ชั้น.....ไม่ได้คิดเรื่องวันนั้นแล้ว"
   “แต่ชั้น.....” วินว่า "ชั้นอยากจะขอโทษ"
   เสียงเครื่องครัววางลงเสียงดัง วินตกใจเล็กน้อย และแล้วเงียบกันไปพักนึง
   “ชั้นต่างหากที่ต้องขอโทษนาย" ไกด์พูดขึ้นก่อนจะก้มลงทำอาหารต่อ "หึ...นี่นายคงไม่ได้เป็นวินลูกคุณหนูเอาแต่ใจอีกแล้วสินะ"
   “ก็คงเหมือนนายที่คงไม่ใช่ก้อง บาริสต้าสุดเย็นชาแห่งร้านเกล็ดหิมะอีกแล้ว" วินว่าต่อ วินไม่อยากหลบหลีก หรือพูดจาอ้อมค้อมกับไกด์อีกแล้ว ยังไงซะ ไกด์ก็มาอยู่ตรงนี้อย่างที่เค้าต้องการ การสบายใจกันทั้งสองฝ่าย มันเป็นเรื่องจำเป็นต่อการอยู่ด้วยกันที่นี่ต่อไป
   “ไกด์" วินว่า "ชั้นยังเก็บสัญญาไว้ได้อยู่หรือเปล่า ถ้าชั้นจะขออยู่ที่นี่ต่อ"
   “เอาดิ" ไกด์ตอบสั้นๆ
   “ต...แต่ว่า.....” วินพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม "ชั้นว่าเรา ก็ไม่ควรจะมีเอ่อ....เรื่องที่ต้องปิดบังกันอีกหรือเปล่า"
   ไกด์หันหน้ากลับมามองวินเล็กๆ
   “คือชั้นหมายความว่า" วินว่า "ถ้านายมีเรื่องอะไรที่คิดว่าควรบอกชั้นก่อน นายก็น่าจะ......”
   ไกด์หันหน้ากลับมา ก่อนจะวางชามมาม่าลงตรงหน้า วินตกใจเบาๆ เป็นอาหารง่ายๆอย่างที่วินว่าจริงๆเสียด้วย แต่หน้าตาของมาม่ารสหมูสับชามนี้ มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเลย
   วินมองมาม่าอยู่พักนึง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไกด์ที่ก้มลงมองชามนั้นอย่างเพ่งพินิจ วินเอื้อมมือไปจับไกด์ทันที
   “นายก็เคยบอกชั้นเอง ว่าถ้าลองเล่าให้คนที่ไม่รู้จักฟัง มันอาจจะทำให้นายได้มุมมองอะไรอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยก็ได้ไม่ใช่หรือไง" วินว่า
   ไกด์เงยหน้าขึ้นมองวินช้าๆ
   “ไกด์ ชั้นว่าชั้นพร้อมรับฟังเรื่องของนาย" วินว่า "เล่ามาเถอะ"
   ไกด์ขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลง ชายหนุ่มหายใจเข้าช้าๆ ก่อนมือที่วางอยู่ในเคาท์เตอร์จะกำแน่น
   “ชั้นน่าจะรักเค้าให้มากกว่านี้" ไกด์ว่า "มันเป็นความผิดของชั้นเองทั้งหมด เพราะชั้นมันไม่เคยดี"
   วินมองใบหน้าไกด์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ใบหน้าที่เคยเย็นชาแดงระเรื่อ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองวินอีกครั้ง
   “เรื่องมันเกิดขึ้นที่นี่เองแหละ" ไกด์ว่า พลางพยักเพยิดไปที่มุมเปียโนและกีตาร์ที่ตั้งอยู่ แต่ไม่เคยได้เปิดออก "มันเป็นน้องที่ไม่เคยทำอะไรได้ดั่งใจชั้นซักอย่าง มันชอบทำอะไรไม่บอกชั้น ทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองถูกตลอดอ่ะ แต่ตัวชั้นเอง กลับแย่กว่านั้นมาก ถ้าไม่นับเรื่องเรียนที่ชั้นเป็นคนดูแล นอกนั้น ชั้นก็ไม่เคยดูแลอะไรมันอีกเลย

   ชั้นกับก้องย้ายมาปารีสได้สองเดือน เราสองคนพี่น้องอยู่ที่นี่ ชั้นทำงานของชั้น เค้าก็เรียนของเค้า เราสองคนแทบไม่ได้คุยกันเลยจนกระทั่ง ก้องพาสเตลล่าเข้ามา

   ไกด์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ก็พบกับน้องชายสุดแสบของตัวเอง กำลังนัวเนียอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งบนโซฟา ชายหนุ่มเดินไปกระชากตัวน้องลงมาทันที
   “เห้ย เกรงใจพี่มึงหน่อยมั้ย" ไกด์ร้องเสียงดัง
   “เอ่อ....เอ้อ...เฮีย" ก้องกุลีกุจอลุกขึ้นทันทีขณะที่หญิงสาวค่อยๆจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ไกด์เหล่มอหญิงสาวด้วยความพินิจอยู่ครู่หนึ่ง
   “อะไรของมึงเนี่ยก้อง" ไกด์ว่าเสียงดัง
   “ก็...นี่เสตลล่าไงเฮีย" ก้องว่า "เฮียเคยเจอแล้วนี่....ที่สตาร์เบิร์กอ่ะ"
   “มันอธิบายเรื่องที่มึงตอกกันตรงนี้ยังไงวะ" ไกด์ถามน้องเสียงดุ พลางถอดเสื้อคลุมออกพาด พลางเดินไปยังตูเย็นเพื่อหาน้ำดื่ม
   “ก็...วันหยุดเค้า ผมก็เลยว่าจะให้เค้ามาอยู่ที่นี่ซักสองสามวัน" ก้องว่า
   “ห้องนอนมันมีห้องเดียวไอ้น้อง" ไกด์ว่า "อ่อ....จะให้ชั้นนอนในห้อง แล้วแกสองคนก็นัวกันที่โซฟาเนี่ยนะ"
   “ปล่าว ก็....อธิบายให้ฟังไง ว่าอะไรยังไง เฮียก็...อย่าทำเป็นไปหน่อยเลยน่า ทีเฮียพาผู้หญิงมาห้องผมยังไม่ว่าซักคำ" ก้องย้อน
   “ชั้นไม่เคยมานั่งนัวกันตรงห้องนี้ได้ป่ะวะ" ไกด์ว่า
   “งั้นผมขอห้องเฮียนะ" ก้องพูดเสียงกวน
   “ไอ้ก้อง" ไกด์ตวาด "แล้วกูนอนไหน โซฟาไง?”
   “อ้าว ก็เฮียไม่ค่อยอยู่แล้วนี่" ก้องว่า "จีโอเค้าก็มีเรื่องจะปรึกษาเฮียอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"
   “หึ" ไกด์หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะมองไปที่สเตลล่าที่กำลังมองมาที่ไกด์อย่างจงใจ ชายหนุ่มมองหน้าเธอกลับ หญิงสาวที่เคยสบตากันอยู่บ้างที่สตาร์สเบิร์ก ไกด์จำได้ดี
   “แล้วยังไง" ไกด์ว่า
   “โธ่เฮีย...เฮียก็รู้อ่ะ" ก้องยักคิ้วให้เป็นนัยๆ
   ไกด์ไม่ตอบอะไร ได้แต่ดื่มเบียร์ที่อยู่ในตู้อยู่อย่างนั้น

   เราสามคนใช้เวลาในหลายๆสุดสัปดาห์ มันงี่เง่าเอามากๆที่ชั้นไม่ได้ทันระวังตัว สำหรับชั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก กับการที่น้องจะควงผู้หญิงซักคนอยู่แล้ว

   “หมายความว่ายังไงคะ ที่ยูบอกว่าคยูมาที่นี่บ่อยน่ะ" สเตลล่าตะโกนเสียงดังขึ้นในบาร์ ฤิทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เธอล่องลอยไปกับความสนุก
   “ผมก็....”
   “เสตลล์ พี่ผมอ่ะนะ แม่งเชี่ยวจะตาย เรื่องผู้หญิงอ่ะ จริงมั้ยเฮีย" ก้องร้องเสียงดัง เด็กหนุ่มก็เป็นอีกคนที่ล่องลอยไปกับฤทธิ์เหล้า ก่อนจะคว้าขวดเบียร์คล้องคอพี่ชายและแฟนสาวไว้ด้วยกัน "มากับผมสองคนทีไรนะ....ได้กลับไปทุกคืนอ่ะ"
   “จริงเหรอ เห็นยูเป็นคนเงียบๆนะ ร้ายลึกเหรอคะ" สเตลล่าส่งสายตามายังไกด์ ชายหนุ่มยิ้มกริ่มให้เธอขณะที่ยกขวดเข้าปาก
   “ก็แล้วแต่จะคิดน่ะ" ไกด์ตอบ "แล้ว สเตลล่าคิดว่ายังไงล่ะคับ"
   “ก็....ไม่รู้สิคะ" สเตลล่าพูดเสียงล่อยลอย "ก็แล้วแต่จะคิดน่ะค่ะ"
    ก้องยังคงสนุกสนานไปกับเสียงดนตรีที่ดังกึกก้องต่อไป

   หลายวันต่อมา ก้องต้องไปประกวดทำอาหารพื้นบ้านแถวๆทางเหนือ ก้องฝากเสตลล่าไว้ให้ชั้นดูแลสองสามวัน เสตลล่ากับชั้นก็เลยได้มีเวลาอยู่ร่วมกันสองคน ชั้นไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าความสนุกของตัวเอง จนกระทั่ง.....

   ชายหนุ่มผู้ไม่เคยตกต่ำในเรื่องบนเตียงกับหญิงสาวผู้โหยหาอิสระกำลังปล่อยความรู้สึกผิดชอบให้ล่องลอยไป ชายหนุ่มยกสะโพกขึ้นให้สามารถมอบความสุขได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ขณะที่หญิงสาวอ้าตอบรับอย่างสุขสม เสียงคร่ำครวญดังก้องไป ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายด้านนอก แต่กลับไม่ได้ทำให้ความเร่าร้อนในห้องนี้ลดลงไปแม้แต่น้อย
   เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าร่างของทั้งคู่จะยังไม่แยกออกจากกันเลยซักนิด
   “พี่ไกด์!!!" ก้องร้องเสียงดัง เมื่อเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพรักอันร้อนแรงตรงหน้า ระหว่างหญิงสาวที่เขรักหมดหัวใจ กับพี่ชายที่เขาเคารพมากที่สุดในชีวิต
   เกมส์รักอันร้อนแรงหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น

   การทะเลาะที่ผ่านมาในชีวิตทั้งหมด ไม่เคยมีครั้งไหนที่รุนแรงมากไปกว่าคืนนั้น มันเป็นความผิดพลาดครั้งที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่ชั้นจะทำให้เค้า
   ก้องเลิกกับเสตลล่า และไม่ยอมพบหน้าเธออีก แต่กับชั้นมันเลวร้ายกว่านั้นมาก เค้าออกจากบ้านไปสถาบันทุกวันโดยที่ไปไม่ถึง ขณะที่ชั้นก็ยังไม่สำนึก ไม่ได้ใส่ใจดูแลเค้าอีกตามเคย ตอนนั้น คิดไว้แต่ว่า มันก็แค่เรื่องสนุก มันเป็นแค่....ความสนุกชั่วข้ามคืนเท่านั้น
   แล้ววันนั้นมันก็มาถึง
   ชั้นกลับบ้านมาในวันปีใหม่ คิดเอาไว้เหมือนกัน ว่าอยากจะคุยกับเค้าให้เข้าใจกันทั้งคู่ วันนั้นสภาพห้องแย่กว่าวันที่ชั้นไม่สบายซะอีก ข้างของวางกระจัดกระจาย ชั้นเดินเข้าไปในห้องของตัวเองรู้ไหม
   ชั้นได้เห็นหน้าเค้า นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น....
   กับเข็มฉีดยา แล้วก็เฮโรอีนอีกสองห่ออยู่บนหัวเตียง....


   ไกด์เงียบเสียงลงไปพักนึง วินหายใจหอบถี่ ราวกับไกด์พาเขาวิ่งมาเป็นระยะทางหลายกิโล การวิ่งผ่านอดีตที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เค้าจะเคยได้ยินมา
   “รู้ไหมวิน" ไกด์พูดขึ้น "ชั้นทนเห็นหน้าเสตลล์ไม่ได้อีกเลย"
   “ก....ไกด์" วินร้องออกมาเบาๆ
   “คำพูดก่อนที่เค้าจะไปประกวดคืออะไรรู้ไหม" ไกด์พูด

   “เฮียรู้ป่ะ ตอนนี้ชีวิตผมนะ โคตรแฮปปี้อ่ะ" ก้องร้องเสียงใสที่สถานีรถไฟ "ถ้าผมชนะประกวดครั้งนี้นะเฮีย ผมก็จะให้จีโอเปิดร้านให้ที่ปารีส แล้วผมจะขอสเตลล่าแต่งงาน แล้วเฮียก็จะได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายเรื่องผมอีกแล้วด้วย"
   “นี่แก....รักผู้หญิงคนนี้จริงๆเหรอวะเนี่ย" ไกด์ถามเสียงสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาน้องชาย
   “โหย รักจริงดิเฮีย แล้วเฮียก็ไม่ต้องมาขัดผมเรื่องนี้เลยนะ" ก้องว่า "ถึงผมอ่ะ จะไม่ใช่น้องที่ดีอย่างที่เฮียหวังนะ แต่ครั้งเนี้ย ผมจะพิสูจน์ให้เฮียเห็นซักที เฮียจะได้ไม่ต้องมากงการอะไรผมอีก....เห้ยเฮีย ฟังอยู่ป่ะเนี่ย น้องนุ่งจะได้ดีอ่ะเห้ย"
   “ฟังดิ...แกรีบไปไปเหอะ" ไกด์ว่า "ถ้ามันชนะจริงๆอ่ะนะ เดี๋ยวชั้นเปิดร้านให้เอง"
   “จริงดิเฮีย นี่ไม่ได้พูดเล่นกันนา" ก้องว่ากอนจะหัวเราะอยู่ตรงนั้น


   “ความจริงก็คือ...ชั้นอ่ะพูดเล่น" ไกด์ว่า "แต่ก้องอ่ะ.....เค้าชนะจริงๆล่ะรู้ไหมวิน"
   วินหายใจเข้าอีกครั้ง เค้าไม่เคยได้ยินเรื่องไหน ทำให้เขาเจ็บปวดได้ถึงขนาดนี้เลย ชายหนุ่มกดมือลงบนหมัดที่กำแน่นของไกด์ มันค่อยๆคลายลง
   “ชั้นไม่เคยอยากกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกเลยอ่ะ" ไกด์ว่า "แค่ชั้นนั่งคิดถึงตัวเองในวันเก่า แค่จะก้าวกลับไปเป็นตัวเองอีกครั้งมันก็ทำให้ชั้นกลัวไปหมดแล้วอ่ะวิน ชั้น.....ชั้นไม่เคยได้พูดแม้แต่คำขอโทษ...ชั้นยังจำได้วันที่เค้าหันหลังไปวันนั้น....มัน.....ชั้นฆ่าน้องชายของชั้นเองอ่ะ....ชั้นไม่ได้ดีอย่างที่นายคิดไว้หรอกนะ......ชั้นมันไอ้ตัวร้าย...แม้แต่สเตลล์เองก็รู้ว่า....”
   “แต่สำหรับชั้น ชั้นไม่สนว่ะไกด์" วินพูดแทรกขึ้นมาทันที "สิ่งที่ชั้นรู้ก็คือ นายทำให้ชั้นเป็นชั้นทุกวันนี้ ไม่ว่านายจะใช้ชั้นเป็นตัวแทนของก้องเค้าหรือเปล่าแต่....ชั้นเป็นชั้นทุกวันนี้ อยู่ในเมืองเหี้ยๆนี้ได้ก็เพราะนายนะไกด์"
   ไกด์มองหน้าวินอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
   “นายเคยเป็นคนที่เชื่อมั่นในด้านดีของคนอื่นมากกว่านี้ แล้วทำไมถึงกลายเป็นนายที่มองไม่เห็นมันในตัวของตัวเองล่ะไกด์" วินพูดต่อ "เรื่องบางเรื่องที่มันก็เลวร้ายที่สุด สุดท้าย มันก็กลายเป็นแค่อดีต นายแก้อะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว"
   “ชั้นไม่ได้จะมาแทนที่เค้าที่นี่แต่....” ไกด์ว่า "ชั้นแค่ไม่อยากให้ความฝันของก้องพังทลายไปหมด ชั้นอยากให้มันเหลือบางอย่างอยู่ที่นี่ บางอย่างที่ก้องจะยังอยู่ที่นี่ ชั้นไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ ชั้นแค่รู้สึกว่า ชั้นควรจะทำ ชั้นควรจะได้เห็นโลกที่ไม่มีความขัดแย้งจากฉัน ไม่มีความกดดันจากใคร ไม่มีเงิน ไม่มีความรับผิดชอบมากมาย แบบที่เค้าเคยเห็น แล้วก็ได้มีความรู้สึกดีดีให้กับใครจริงๆดูบ้าง...."
   ไกด์มองหน้าวินอย่างจงใจ
   "เหตุผลนี้สินะ ที่ชั้นก็ดันมาเหมือนกับก้อง น้องของนาย....เหตุผลที่นายบอกว่าชั้นไม่ควรรู้อ่ะ" วินว่า
   “ไม่ใช่หรอก" ไกด์ว่า "ชั้นใช้เวลาหลายวันที่หายไป คิดทบทวนดูแล้ว เหตุผลที่ชั้นไม่อยากให้นายรู้ไม่ใช่เพราะนายเหมือนเค้าหรอก"
   “แต่นายเคยบอก" วินว่า
   “ใช่ ชั้นเคยบอก ว่านายเหมือนเค้ามาก ชั้นเลยทำทุกๆอย่างกับนาย เหมือนที่ควรทำให้เขา" ไกด์ว่า "แต่ชั้นคิดว่ามันไม่ใช่
   “แล้วนายทำทุกอย่างให้ชั้นเพื่ออะไรอ่ะไกด์" วินว่า
   “ชั้นคิดว่านาย มีบางอย่างที่พิเศษกว่าน้องชองชั้น" ไกด์พูด "นายมีพลังที่จะทำบางอย่างได้ด้วยตัวเอง นายกล้าที่จะพิสูจน์ ว่าสุดท้าย ไม่ว่าตัวเองจะเจอเรื่องผิดพลาดอะไร กดดันแค่ไหน นายจะผ่านมันไปได้.....นายทำในสิ่งที่ชั้น....ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ"
   วินก้มหน้าลงยิ้มเบาๆ
   “และที่สำคัญ นายกลับมา" ไกด์ว่า "นายยังอยู่"
   “ชั้นไม่มีทางเลือกต่างหากเล่า" วินร้อง "แล้วที่สำคัญ ชั้นจะไปหามาม่าหรูๆแบบนี้กินที่ไหนล่ะ"
   วินว่าพลางยกชามไปวางที่โต๊ะกินข้าวทันที ก่อนจะนั่งลงกินมันอย่างเอร็ดอร่อย ไกด์เดินมานั่งลงตรงข้ามวิน ก่อนจะมองหน้าวินอยู่อย่างนั้น วินชะงักเล็กน้อย
   “มองคนกำลังกินเพื่อ" วินว่า
   “ทำไมนายถึงไม่เกลียดชั้นอ่ะ" ไกด์ว่า "กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทุกๆเรื่อง"
   วินวางช้อนกับตะเกียบลงทันที
   “รู้อะไรป่ะคับเจ้าบาริสต้า" วินว่า "ชั้นก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนามาก่อนหรอกนะ ยิ่งถ้าสมัยอยู่กับไอ้เอิร์ธด้วยล่ะก็ นายนึกไม่ออกแน่ๆ"
   “ชั้นว่าพอจะนึกออก" ไกด์ว่า วินมองค้อนเบาๆ
   “คือนึกออกป่ะ แค่เนี้ยนายยังผิดไม่พออีกเหรอวะ" วินว่า ไกด์ก้มหน้าลง "นายไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเองเพิ่มให้ทุกอย่างมันดูแย่ไปกว่าเดิมหรอกไกด์ เชื่อเหอะ สิ่งที่นายตั้งใจทำให้น้องของนาย มันถูกต้องแล้วล่ะ มันอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรให้ดีขึ้น แต่ชั้นชอบนะ คนที่ไม่ได้ดีแต่พูดว่าสำนึกผิด แต่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวเอง ได้สำนึกผิดแล้ว มันก็เหมือนสุดท้ายชั้นยอมบินมาโผล่ที่นี่นั่นแหละ"
   ไกด์มองหน้าวินอย่างไม่เชื่อสายตา
   “เกิดอะไรขึ้นกับนายกันนะ" ไกด์ว่าพลางอมยิ้ม รอยยิ้มบางๆอยู่ใบหน้าที่เศร้าหมอง "เกิดอะไรขึ้นช่วงที่ชั้นหายไป เกิดอะไรขึ้นกับนาย"
   “เอาเหอะ" วินว่า "ชั้น...ได้ทำอะไรลงไปเยอะ ที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะทำได้เหมือนกัน.......ว่าแต่นายเหอะ หายไปไหนมา"
   “ไปเบอร์ลิน" ไกด์ตอบ วินขมวดคิ้ว "ที่นั่นเค้าจัดงานโปรดักส์แฟร์ ชั้นไปหาซื้อตู้เสื้อผ้ามาเพิ่ม ชั้นย้ายของของนายเข้าไปข้างในแล้วล่ะ"
   วินถึงกับสำลัก
   “ห๊ะ" วินว่า "แล้ว..นายรู้ได้ไง ว่าชั้นจะกลับมาอยู่ด้วยอ่ะ ชั้นอาจจะโกรธนายจนไม่กลับมาก็ได้นะเห้ย"
   “ไม่รู้ดิ" ไกด์ว่าพลางก้หน้าลง พลางมองไปที่หระตูห้องนอน "ความรู้สึกชั้นบอกว่า นายไม่ได้ออกไปวันนั้นเพราะโกรธที่ชั้นโกหกเรื่องของตัวเอง"
   วินหลบสายตาลงทันที
   “เหมือนว่า นายโกรธชั้นเรื่องสเตลล่า" ไกด์ว่า "ใช่หรือเปล่า"
   “ก็.....ทุกเรื่องอ่ะแหละ" วินว่า "ช่างเหอะ.....ยังไงก็ขอบใจเรื่องเงินที่คืนให้ด้วยก็แล้วกัน"
   “นึกว่าชั้นจะชุบมือเปิบไปแล้วอ่ะดิ" ไกด์ว่า
   “ไม่รู้ดิ" วินย้อน "ความรู้สึกชั้นก็บอกว่า นายไม่ได้โกงชั้นเหมือนกัน"
   ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างมีความหมาย
   “แต่ แค่ไปซื้อตู้เนี่ยนะ หายไปเป็นอาทิตย์" วินว่า
   “ก็ พยายามให้จีโอช่วยเรื่องหาร้านด้วยอ่ะ" ไกด์ว่า "ชั้นจะเปิดร้านอาหารไง ที่เคยบอก"
   “จะเปิดให้ก้องอ่ะดิ" วินว่า "ใช่ไหมล่ะ"
   “อือ...แต่ที่สตาร์สเบิร์กเค้ากำลังมีการเวนคืนผังเมือง ชั้นก็เคยต้องชะงักเรื่องนั้นไปแล้วก็กลับมานี่ก่อน" ไกด์ว่า "ดีใจนะ ที่สุดท้ายก็เจอนายอีก"
   “อือ" วินร้องในลำคอเบาๆ "ล..แล้ว...ทำไมไม่เปิดที่ปารีสอ่ะ"
   “ไม่รู้ดิ" ไกด์ว่า "สู้ราคาไม่ไหวมั้ง จีโออ้วกแน่ ชั้นเองก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนอ่ะ"
   “งั้นเหรอ" วินว่าพลางตักซุปคำสุดท้ายเข้าปาก "อาหารนายนี่ยังอร่อยเหมือนเดิมนะเจ้าบาริสต้า"
   วินลุกขึ้นพลางเอาจานไปล้าง
   “ชั้นไม่พลาดโอกาสกินข้าวเย็นอร่อยๆทุกวันหรอกน่า" วินว่าติดตลก "แล้วก็โอกาสที่จะมาเค้นเอาคามจริงอันเลวร้ายทั้งหลายของนายนั่นด้วย"
   วินวางจานลงหลังจากล้างเสร็จ ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าห้องนอน เขาอยากจะอาบน้ำอุ่นซักหน่อย เค้าเหนื่อยมาหลายวันเหลือเกินแล้ว ไกด์กลับมาก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างเบาขึ้น
   เบาขึ้นจริงๆ
   "สเตลล์ย้ำนักหนา ว่ายังไงนายก็ต้องกลับมาเล่าให้ชั้นฟังแน่ๆ ชั้นก็เลยขออยู่ที่นี่ต่อ เธอเองก็บอกว่านอนที่นี่ไม่ลง" วินว่า "คิดดูสิ ที่นอนฟรีบ้านฟรี อาหารก็อร่อย เหตุผลแค่นี้ใครจะไม่กลับมาล่ะ"
   “ไม่ใช่เพราะว่านายคิดถึงชั้นด้วยหรอกรึไง" ไกด์ว่า
   วินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับมาหาไกด์
   “บ้า....พูดอะไรของนายอ่ะ" วินร้อง
   “ไม่รู้ดิ" ไกด์ว่า พลางเดินตัดวินเข้าห้องไปก่อนทันที "ชั้นได้ยินคนที่เกือบจะชนคุณเบย์ออดเพ้ออยู่คนเดียวเมื่อกี้อ่ะนะ"
   วินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนที่ประตูห้องของไกด์จะปิดลง
   ความรู้สึกที่สับสนตีวนอยู่ในหัว เขาไม่รู้จะบอกว่าคืนนี้มันหนาวหรืออุ่นดี
   แต่ที่แน่ๆ มีหลายเรื่องถูกยกออกไปจากใจของเขา แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ใจของเขาว่างขึ้น มันกลับวุ่นวายขึ้นเท่าทวี
…........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 23 Past]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-11-2012 01:47:19
 :-[

เพื่อน กรุรักเมิงว่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 23 Past]
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 10-11-2012 16:34:00
เจอกันแล้วว  :-[
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 23 Past]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 14-11-2012 00:49:34
กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว :-[
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 23 Past]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 14-11-2012 12:33:31
ดีใจจังที่สองคนต่างก็กลับมาหากัน
และผ่านไปเปลาะนึงแล้วเนาะ ฝีกลัดหนองในใจของไกด์(เรื่องก้อง) ฝีแตกแล้ว คงหายสนิทในไม่ช้า
ยังเหลือแค่ความแน่ใจในความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองที่มีต่อกันและกัน ระหว่างวินกับไกด์
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 23 Past]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-11-2012 00:28:25
ตอนที่ 24 Unexpected

   เอิร์ธเดินไปตามท้องถนนที่ว่างเปล่า ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเค้าเมื่อช่วงซัมเมอร์ปีก่อนที่เมืองไทย ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการที่ตัวเองอยากจะลอง ลองทำอะไรที่ท้าทายตัวเอง กล้าก้าวออกจากกรอบ เพื่อกางแขนออกวิ่งไปสู่อิสระที่รออยู่ตรงหน้า เอิร์ธก้มหน้าลงพลางห่อตัวออกเดิน ถึงแม้ว่าฤดูหนาวของปารีสจะหมดไปแล้ว แต่สำหรับเอิร์ธ อากาศที่นี่มันก็ยังคงแปลกประหลาดสำหรับเขาอยู่ดี เขาไม่เคยคุ้นเคยกับที่นี่เลยซักนิด เขาไม่เคยเข้าใจอะไรๆที่นี่เลย
   สองเท้าหาออกเลี้ยวห่างจากห้องพักของตัวเองข้างวิหารโรสแมรี่ ห้องเล็กๆที่เอื้อเฟื้อให้เขาโดยคุณลุงทิม ญาติห่างๆของแม่ที่เป็นเจ้าของตึกแบ่งปันห้องเล็กๆให้เอิร์ธได้ใช้สำหรับเรียนต่อ มันเป็นความต้องการของเขาเอง ที่จะอยู่เองเพียงลำพัง เขาไม่ต้องการบกวนใครทั้งนั้น มันเป็นสิ่งเล็กๆสิ่งแรกที่การพิสูจน์ตัวเองควรจะต้องทำ แต่วันนี้เขาไม่อยากอยู่คนเดียว มีความรับผิดชอบมากมายที่เขาต้องไปทำ มีคำถามมากมายที่รอคำตอบอยู่ คำถามที่โถมเข้าใส่เขามาตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา
   ครึ่งชั่วโมงของการเดินทางมายังซูเม่อินเตอร์เนชั่ลนอลกลมกลืนกลายเป็นสัญชาตญาณไปในที่สุด การทำงานของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อมันมีหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบมากขึ้นตั้งหลายอย่าง หน้าที่ทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ
   “Good Morning....En” เสียงของแอนนาทักอย่างเป็นมิตรเป็นประจำ เอิร์ธเปลี่ยนชื่อของตัวเองเป็นเอ็น คนไทยชอบตั้งชื่อเล่นให้ลูกเป็นภาษาอังกฤษแต่มันไม่ใช่คำที่ควรเป็นชื่อ เขาอยากให้ตัวเองมีชื่อใหม่ที่คนฝรั่งจะเรียกได้ง่ายๆ เอ็นมันคือตัวอีซึ่งมาจากเอิร์ธและเอ็นที่มาจากชื่อจริงของเขา นฤเดช
   ลิฟท์ที่ขึ้นมาจากลานจอดรถจอดตรงหน้า เปิดประตูออกช้าๆพร้อมกับลมหายใจของเอิร์ธที่ขาดช่วงไปพักหนึ่ง มิกสบตาเอิร์ธอยู่ครั้งหนึ่งจากในลิฟท์ แม้ว่าเจ้าตัวจะหลบตา เอิร์ธยักตัวน้อยๆอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะปล่อยให้ลิฟท์ปิดประตูลงไปอย่างนั้น
   กึง!!!
   “ตลกมากป่ะวะเอิร์ธ" วินตะโกนลั่นมาจากด้านหลัง ขณะที่ตัวเองยื่นกระเป๋าไปคั่นลิฟท์ไว้ทัน ก่อนจะตกหัวเพื่อนไปหนึ่งที "ลิฟท์มาแล้วไม่ขึ้น คือ!!?”
   เอิร์ธหันไปทำหน้าดุใส่วินครั้งหนึ่ง ก่อนจะพยายามหลบตาคนที่อยู่ในลิฟท์ต่อไป วินทำหน้างงงันก่อนจะมองเห็นคนที่อยู่ในลิฟท์อยู่ก่อน
   “อ...อ่าว....พี่มิก" วินร้อง "อรุณสวัสดิ์ฮะ"
   เอิร์ธถอนหายใจครั้งหนึ่ง วินรู้สึกถึงพลังมาดุประหลาดก่อตัวขึ้น ส่ายหน้าเบาๆครั้งหนึ่ง ก่อนจะลากตัววินเค้ามาในลิฟท์ และยิ้มทักทายมิกอย่างเป็นมิตร เอิร์ธปล่อยให้วินยืนพูดคุยกับมิกกั้นเขาเอาไว้ ไม่กี่อึดใจต่อมาลิฟท์ที่ชั้นสามก็หยุดนิ่ง วินลาพี่มิกก่อนจะเดินออกจากลิฟท์ เอิร์ธเดินตามออกไป แต่ในทันที มิกก็คว้าข้อมือมิกเอาไว้ เอิร์ธหันไปมองทันที
   มิกก้มหน้าลงมองเอิร์ธอย่างจริงจัง ชายหนุ่มขมวดคิ้วเบาๆและส่ายหน้า เอิร์ธก้มหน้าลงก่อนจะยิ้มให้มิก
   “ผมไปทำงานก่อนนะครับ พี่มิก" เอิร์ธยิ้มให้มิกอย่างกวนที่สุดเท่าที่จะเคยทำมา ก่อนจะปล่อยมือตัวเองออกให้ประตูลิฟท์ปิดลง เอิร์ธส่ายหน้าก่อนจะหันกลับมาหาวิน
   “เป็นเชี่ยไรของมึงเนี่ย" วินถาม "ยังไม่เลิกเขินกูอีกหรือไง จะหวานก็ได้ กูไม่แซวมึงหรอก"
   “หวานอะไรขอแกไอ้วิน" เอิร์ธว่า "กูกับเค้าก็แบบนี้แหละ เป็นแบบนี้มาตั้งนานและ"
   “หรา" วินพูดเสียงแซว พลางส่ายหัวอีกครั้งก่อนจะมองไปที่ลิฟท์
   “จะมองให้ประตูมันเปิดรึไงวะ" เอิร์ธว่า "เขาไปทำงานของเค้า และเราก็ไปทำงานของเราได้แล้ว"
   เอิร์ธว่าพลางออกเดิน
   “อ่อ"
   ผัวะ!!!
   เอิร์ธตบหัววินคืนทีหนึ่งก่อนจะออกเดินไป ทิ้งให้วินก่นด่าเอิร์ธตามมาติดๆ
   เป็นเวลาสามสัปดาห์แล้ว ที่ทั้งวินและเอิร์ธย้ายตัวเองมาทำงานที่ซูเม่ในฐานะสองจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ งานที่ไม่มีที่สิ้นสุดเสียยิ่งกว่าที่ Esmod Academy พี่สุเมธเป็นมนุษย์ที่คลุกอยู่กับงานศิลปะมาค่อนชีวิต ไอเดียทุกๆอย่างที่ลงมาถึงสตูดิโอนี้ ล้วนเป็นงานที่แปลกใหม่และท้าทาย และเป็นหน้าที่ของดีไซน์เนอร์หน้าใหม่อย่างเอิร์ธและวินที่จะต้องนั่งถอดรหัสศิลปะเหล่านั้น ออกมาเป็นแฟชั่นด้วยเครื่องมือที่เรียกว่าดีไซน์ ผ่านมาสามอาทิตย์ที่หฤโหด ความสามารถในการทำงานของทั้งคู่พัฒนาขึ้นเป็นทวีคูณ ห้องเล็กๆที่ทั้งคู่ใช้ทำงาน แทบจะเป็นบ้านอีกหลังไปแล้ว
   เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเป็นระยะ วินและเอิร์ธเงยหน้าขึ้นจากกองงานในบ่ายของวันนั้น มันใกล้เข้ามาทุกทีและ
   “...มันเห็นกันชัดๆอยู่แล้วกาย แล้วเจนก็พยายามบอกเอาไว้แล้วด้วยว่าอย่า แล้วทีนี้จะทำยังไงกันล่ะคะ" เจนจิราเดินเข้ามาในห้องทำงานของวินและเอิร์ธ พร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง วินและเอิร์ธตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
   “ถ้าเจนโวย มันก็จะกลายเป็นปัญหาระหองระแหงใจกันเปล่าๆ ให้ตายสิกาย เจนไม่ชอบกับเรื่องแบบนี้กายก็รู้" เจนยังคงบ่นต่อไป ชายหนุ่มคนนั้นหลับตาลงเบาๆก่อนจะหันหน้ามาหาวินและเอิร์ธ
   “หวัดดีเอิร์ธ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ" ชายหนุ่มคนนั้นทักเอิร์ธทันที
   “พ...พี่กาย" เอิร์ธร้องเบาๆ "หวัดดีฮะ พี่มาทำอะไรที่นี่น่ะ"
   “และนั่นก็น้องวินใช่ไหมครับ" กายกล่าวทักอย่างสุภาพ "ลูกชายของคุณวรพัฒน์ เจ้าของคอสโม่คอนเทอลิโอนี่ สาขาประเทศไทย"
   “ช..ใช่ครับ ผมเอง" วินก้มหน้าลงเบาๆ
   “จะกล่าวทักทายกันอีกนานไหมเนี่ย" เจนร้องขึ้น "ทำอย่างกะไม่ได้เจอกันซักสิบปี"
   “เจน" กายพูดเสียงเข้ม "คุณใจเย็นลงก่อนดีกว่าไหม"
   “กายคะ เราสองคนทำงานในวงการนี้มานานพอๆกัน คุณก็น่าจะรู้ ว่าเจนไม่ชอบวิธีแบบนี้ที่สุด" เจนจิราร้อง "การที่เค้าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจนจะต้องทำอะไรๆตามสิ่งที่พวกเค้าต้องการหรอกนะคะ"
      “ขอโทษนะคับ มีเรื่องอะไรกัน มาโวยวายกันถึงสตูดิโอเราสองคนเนี่ย" เอิร์ธร้องขึ้น เจนจิราหันมาหาเขาทันที
   “ถามเค้าสิ เพื่อนเธอน่ะ” เจนจิราว่าเสียงแข็ง
   เอิร์ธหันไปหาวินทันที ชายหนุ่มเลิกคิ้วพลางยักไหล่
   “ตลกแล้วไอ้เอิร์ธ ชั้นตรัสรู้เองไม่ได้หรอกนะ" วินร้อง
   “งั้นเหรอคะ" เจนจิราว่า "งั้นคุณก็คงไม่บังเอิญส่งดราฟท์ดีไซน์ธีม Coldness Town ให้พี่สุเมธไปเมื่อวานหรอกใช่หรือเปล่า หรือบังเอิญได้เข้าประชุมสรุปผลโปรเจ็ค และการปันงบประจำไตรมาสที่ 2ตอนค่ำๆอีกด้วย และไม่น่าเชื่ออีกว่าคุณก็คงบังเอิญมีชื่อรับผิดชอบอยู่ในงานแฟชั่นวีคปีนี้ควบไปกับคู่หูสุดฝีมือของคุณคนนี้น่ะ"
   “ใช่ ผมรู้" วินว่า "นั่นไม่ใช่เรื่อบังเอิญ แล้วไงอ่ะครับ"
   “แล้วไง....ห๊ะ" เจนจิราพ่นลมออกจากปาก "แล้วไง.....ชั้นเคยบอกคุณแล้วที่ Esmod ว่าชั้นจะเป็นคนทำโปรเจ็คแฟชั่นวีคของซูเม่ปีนี้เองไงคุณวิน นี่เป็นงานของชั้น"
   “ผมไม่ได้เป็นคนขอนะคับ" วินว่า "พี่สุเมธเป็นคนเลือก คุณเองก็น่าจะรู้ ว่าพี่เค้าเป็นยังไงเวลาสั่งงาน"
   เจนจิราหันมาหากายทันที
   “เป็นไงคะ คุณเห็นพี่เมธของคุณทำกับเจนหรือยัง ทำเหมือนกับว่าเจนเป็นดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ จะจับโยนโยกย้ายไปไหนก็ได้อ่ะ" เจนจิราร้อง "ไม่ยุติธรรมเลยอ่ะ แล้วเค้าจะเอาเรามาจากกรุงเทพทำไม ถ้าไม่ให้เราสองคนทำงานนี้อ่ะกาย"
   “ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันนะเจน" กายว่า "เราสองคนเอง ก็จับงานใหญ่มาเยอะแล้ว สองคนนี้จะต้องมีฝีมือมากจริงๆ ไม่งั้นพี่สุเมธไม่เลือกพวกเค้าหรอก"
   “ฝีมือมากหรือเงินมากกันแน่คะ" เจนจิราว่ากลับ
   “พี่เจน พูดอะไรระวังหน่อยนะฮะ" เอิร์ธว่าขึ้น "คำพูดเมื่อกี้ มันก็อาจจะกระทบไปถึงพี่สุเมธได้ มันไม่ใช่เรื่องดีแน่"
   “มันไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้วล่ะเอิร์ธ" เจนจิราว่า "คุณวิน คุณพ่อคุณไม่ได้มีความรู้และความเข้าใจในความเสี่ยงของการประชันงานดีไซน์กันในแฟชั่นวีคเลยซักนิด คุณรู้หรือเปล่าว่าแฟชั่นวีคมันคืองาน...”
   “ที่จะกำหนดความเป็นไปของกระแสแฟชั่นของทุกแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก การแลกเปลี่ยนไอเดีย ซื้อขาย งานทุกอย่าง ดีไซน์เนอร์ ช่างภาพ นางแบบ จะถูกคัดเลือกและประชันกันทุกแบรนด์ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ผมทราบดีครับ" วินว่า
   “คุณกล้ามากนะ ที่มาเทคงานชั้นไป" เจนจิราว่า " เจนไม่น่ากลับไทยไปหาคุณเลยให้ตายสิกาย เจนเว้นปีที่แล้วแค่ปีเดียว เจนก็เสียเก้าอี้งานนี้แล้ว"
   กายส่ายหัวให้เจนเบาๆก่อนจะมองเอิร์ธ
   “ถ้าน้องวินเป็นสไตลิส เราก็ต้องเป็นอาร์ทไดสินะเอิร์ธ" กายพูดกับเอิร์ธ "ไม่เจอหกเดือน นายเทียบชั้นพี่ซะแล้วเหรอเนี่ย"
   “ไม่มีใครเทียบพี่ได้หรอกพี่กาย ยังไงพี่ก็เป็นที่สุด เป็นพ่อมดแห่งวงการนี้ของซูเม่อยู่ดีอ่ะ ผมไม่ได้มาเทียบชั้นพี่หรอก" เอิร์ธว่า "พี่สุเมธเขาคงแค่อยากให้แบรนด์เราไม่ดู แก่  ไปล่ะมั้งฮะ"
   เจนจิราหันมาจ้องหน้าเอิร์ธทันที เด็กหนุ่มทำเป็นไม่ใส่ใจอย่างกวนๆ
   “สรุปคือที่คุณมาโวยวาย เพราะโดนปาดหน้าเค้กเท่านั้นเองเหรอครับ คุณเจน" วินว่า "มันจะไม่ดูตลกไปหน่อยเหรอ"
   “เดี๋ยวนายก็รู้ว่าใครจะดูเป็นตัวตลก" เจนจิราว่า "ถ้าชั้นไม่ทำงานนี้ นายทุนอีกหลายๆคนที่เคยสนับสนุนแบรนด์ในชื่อชั้น มีสิทธิถอนการลงทุนออกจากโปรเจ็ค และมันไม่ได้เกิดจากการกระทำของชั้น และจะเป็นนายสองคนที่ต้องลำบาก"
   “อ...อะไรนะ" เอิร์ธว่า "หมายความว่ายังไง......ผมไม่เข้าใจ อะไรอ่ะพี่กาย"
   “ประเด็นมันคือ นายสองคนใหม่เกินไปในวงการ ดังนั้นการสนับสนุนจากหุ้นส่วนทั้งหลายมันจะลดลงอย่างหวบห้าบ และพี่สุเมธอาจจะไม่ได้คิดเรื่องนี้" กายพูด "พี่เป็นหนึ่งในผู้บริหารพี่รู้ หุ้นส่วนหลายๆคน ทุ่มเงินหลายพันล้านลงให้กับแบรนด์นี้ก็เพราะว่ามีดีไซน์เนอร์ที่มีชื่ออยู่ในแบรนด์นี้ต่างหากล่ะเอิร์ธ"
   “ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลเป็นแบรนด์ใหม่นะ" เจนจิราพูดเสริม "เงินมันตามชื่อเสียงของพี่มา ของพี่สุเมธ ของพ่อมดอย่างกาย หุ้นส่วนเค้าไม่ได้ศรัทธากับแบรนด์เอิร์ธ แต่เค้าเลือกให้เงินพวกพี่ไงล่ะ...คิดสิเอิร์ธ"
   เอิร์ธหันไปมองหน้าวิน
   “นี่นายไม่ได้บังเอิญลืมบอกชั้นหรอกใช่ไหม" เอิร์ธถามวิน แม้ว่าวินยังคงจ้องไปที่เจนจิราและกายเขม็ง
   “คำถามก็คือ นายกล้าเอาแบรนด์นี้ไปเสี่ยงแค่ไหนวิน" เจนจิราพูด "ชั้นไม่ใช่นางอิจฉาที่จะมานั่งโวยวายเพียงเพราะเธอสองคนแย่งงานชั้นนะ แต่นี่มันกำลังหมายถึงอนาคตมูลค่าหลายพันล้าน พี่สุเมธเค้าเป็นอาร์ทิส เค้าไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเค้ากำลังทำอะไร เค้าสนุกที่ได้เล่นกับเด็กใหม่ แต่อนาคตของแบรนด์ มันคือสิ่งที่ชั้นให้ความสำคัญ"
   เอิร์ธส่ายหน้าขณะมองหน้าวิน เป็นความเงียบอันร้อนแรงเอามากๆในสตูดิโอนี้
   “....ถึงคุณไม่ได้งานในแฟชั่นวีค แต่คุณก็มีงานขยายแบรนด์ที่อังกฤษไม่ใช่เหรอครับ" วินว่า
   “คุณรู้ได้ยังไง" เจนจิราว่า "ให้ตายเถอะกาย นี่สรุปวินเค้าป็นจูเนียร์ดีไซน์เนอร์หรือหุ้นส่วนกันแน่คะ เราสองคนควรจะลาออกแล้วมาสมัครงานที่นี่ใหม่ไหม แล้วคุณก็บอกเป็นหลานอาพัฒน์ของคุณอ่ะ"
   “ไม่ต้องหรอกครับ" วินว่า "พ่อผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และก็เป็นคุณเองไม่ใช่เหรอ ที่เคยบอกผมไว้ที่ Esmod ว่ามันก็คงดี ที่มีผมช่วยเป็นคนคัดง้างกับคุณพ่อ เรื่องงบที่จะลงทุนกับซูเม่น่ะ"
   เจนจิราเงียบเสียงลง
   “ผมไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อมานั่งทนฟังคำดูถูกเรื่องเส้นนะครับ" วินว่า "ผมเห็นว่าคุณยุ่งมาก และไม่อยากจะใส่ใจเราอีก ผมเลยทำงานกันหนักมาก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อช่วยคุณ ช่วยดีไซน์เนอร์ที่นี่ ช่วยแบรนด์ที่นี่"
   “นายน่ะเหรอช่วย" เจนจิราว่า
   วินเดินไปที่โต๊ะพลางหยิบแฟ้มสีดำแล้วยื่นให้เจนจิราทันที เธอรับมันมาไว้ในมือ ก่อนจะเปิดมันออกดู เจนจิราหันไปทำหน้าตกใจกับกายก่อนจะยื่นให้ดู กายถึงกับมองมาที่วินทันที
   “หมายความว่ายังไง" กายถาม
   “ผมกับพ่อ มองว่าการขยายสาขาก็เป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดของซูเม่เหมือนกัน สำคัญพอๆกับการประชันผลงานในแฟชั่นวีคที่นี่" วินว่า "มันจะไม่ดีว่าเหรอครับ ถ้าเราจะทำมันไปพร้อมกัน"
   “มันไม่เหลือเงินก้อนนะวิน น้องอาจจะเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้แต่ว่า ช่วงปลายปีน่ะ หุ้นส่วนแต่ละคนจะให้ความสำคัญกับสิ่งเพียงสิ่งเดียวคือแฟชั่นวีค และทุกแบรนด์จะเป็นอย่างนั้น" กายอธิบาย "ไม่มีใครยอมเทกระจาดสองใบหรอก"
   “ก็เพราะว่าทุกแบรนด์ที่เหลือเทใบเดียวไงครับ" วินว่า "และจะเป็นซูเม่ ที่จะเทสองใบ"
   เจนจิราหรี่ตามองวินอีกครั้ง
   “งานขยายสาขาที่อังกฤษมันสำคัญมาก พี่สุเมธถึงเลือกคุณสองคน" วินว่า "ผมกับเอิร์ธทำไม่ได้หรอก มันเป็นงานใหญ่เกินไป ถ้าเราจะขยายซูเม่ ดีไซน์เนอร์ที่นี่อาจจะต้องแยกกันไปทำงานให้เกิดผลทั้งสองทาง และพี่สุเมธเชื่อใจผมสองคนให้ทำงานนี้ พี่สองคนล่ะ เชื่อใจผมหรือเปล่า"
   “สมเป็นลูกชายคุณวรพัฒน์จริงๆ" เจนจิราพูด "ไม่มีดีไซน์เนอร์คนไหน กล้าทำอะไรเสี่ยงแบบนี้"
   “ผมไม่ใช่ดีไซน์เนอร์แบบที่พี่เคยเจอหรอก" วินว่า "ผมอาจจะเหยียบอยู่สองฝั่งก็ได้"
   เจนจิราปิดแฟ้มลงทันที
   "นักธุรกิจก็นักธุรกิจ ดีไซน์เนอร์ก็คือดีไซน์เนอร์" เจนจิราว่า "เงินเป็นมูลค่าที่ตอบแทนงานดีไซน์น่ะใช่ แต่ชั้นจะไม่ยอมให้มันมามีอำนาจมากไปกว่าการสร้างสรรค์ผลงานของแบรนด์หรอกนะ เมื่อพวกเราทำงานกันไปมากกว่านี้อย่างที่เธอว่าบางทีเธอก็อาจจะต้องเลือกฝั่งนะวิน"
   “บางทีผมอาจจะไม่เลือกฝั่งไหนเลยก็ได้" วินว่า "แต่ดีแล้วล่ะครับ ในโต๊ะผู้บริหารควรจะมีดีไซน์เนอร์อย่างพี่อย่างคุณกายเอาไว้น่ะดีแล้ว คนบางคนจะได้รู้ ว่าเงินมันซื้อไม่ได้ทุกอย่าง"
   วินก้มหน้าลง
   “แต่มันก็อาจจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่างได้เหมือนกันนะวิน" กายพูดต่อ เจนพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ
   เอิร์ธมองทั้งสามคนคุยกันอย่างงวงย นับตั้งแต่วันที่เขาโดนน๊อคตอนทำแฟชั่นโชว์ วันนี้เป็นอีกวันที่เขาโดนน๊อคจนมึนงงอีกครั้ง วินพาเขาเดินมาไกลจนน่าตกใจ เขาตามอะไรแทบไม่ทัน
   “งั้นชั้นก็จะขอให้พวกเธอโชคดีกับโปรเจ็คนี้ก็แล้วกัน" เจนจิราว่าพลางมองมาหาเอิร์ธ "เธอมาอยู่ระดับเดียวกับชั้นได้จริงๆสินะเจ้าตัวแสบ"
   เจนจิราเดินหันหลังออกจากห้องไปทันที
   “พี่ขอโทษแทนพี่เจนด้วยนะ จริงๆแล้วพี่เค้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น" กายพูด
   “ผมรู้พี่....” เอิร์ธว่า "พี่ก็รู้อ่ะ ว่าผมก็รู้"
   “อืม...โชคดีนะเอิร์ธ" กายว่า พลางหันหลัง
   “เอ่อ...พี่กายครับ" เอิร์ธว่า กายหันหลังกลับมา "ผมเอ่อ....ผมดีใจที่ได้เจอพี่ที่นี่นะ.....รู้สึกเหมือนทีม BAD กลับมาเจอกันน่ะครับ แล้วเอ่อ...พี่ได้เจอพี่นัทกับพี่สาบ้างหรือเปล่า"
   “ไม่อ่ะ" กายพูด "พี่แค่แวะมาน่ะเอิร์ธ ไม่ได้ตั้งใจมาหาใคร...เราก็รู้ ว่าพี่เป็นไงนี่"
   “ครับ ไว้เจอกันพี่" เอิร์ธว่าพลางมองกายเดินหายไป เอิร์ธหันมาหาวิน "มันอะไรกันวะ กะแล้ว ว่าไอ้ทำกันมาสองสามอาทิตย์กว่าๆมันแปลกๆ พี่สุเมธดูเค้าจะแคร์มึงเหลือเกินอ่ะ นี่ขนาดเรียกเข้าไปประชุมเลยเหรอวะ กูไม่เห็นรู้รเื่องเลย แล้วดีไซน์เนอร์คนอื่นเค้าจะมองยังไง"
   “ไหนว่าไม่กังวลไง" วินว่า "ทำๆไปเหอะ หนักกว่านี้ไม่มีแล่ว"
   วินว่าพลางหันหลังกลับไปทำงาน
   “มึงตกลงอะไรกับพ่อมึงหรือไง" เอิร์ธถามขึ้น
   “ทำไมถึงคิดงั้น" วินว่า
   “มึงทำเหมือนมึงรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไอ้วิน" เอิร์ธว่า "มึงรู้เรื่องพวกนี้ดีเกินไป เกินกว่าคนที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่สามอาทิตย์"
   “กูก็บอกมึงไปแล้ว ว่าพ่อกูเค้าวางไว้แล้วว่ากูต้องเข้ามาอยู่ในนี้ มึงเองก็อยากอยู่ในนี้ กูทำให้สำเร็จแล้วนี่ไง" วินว่า
   “แต่มึงไม่ได้บอกกู ว่าเราต้องทำงานกันต่อโดยงบจะไม่เท่าเดิม" เอิร์ธว่า "เงินเป็นล้านนะเว่นวิน"
   “กูรู้" วินว่า
   “ใช่มึงรู้ เมื่อต้นปี เรื่องเงินไม่ถึงหมื่นที่มึงต้องเอาไว้ใช้ มึงกังวลจะตายห่า นี่เงินเป็นล้าน มึงไม่กังวลเลยซักนิด กูว่ามันไม่ใช่ละ" เอิร์ธว่า
   “เอาน่า....มึงทำพาร์ทดีไซน์ไปเหอะ เดี๋ยวที่เหลือกูจัดการเอง" วินว่า
   “มึงจะเอาชนะพ่อมึงให้ได้ใช่ไหมเนี่ย" เอิร์ธถาม
   “ก็พอๆกับที่มึงจะเอาชนะพี่มิกให้ได้นั่นแหละ" วินว่า
   เอิร์ธเงียบไปเล็กน้อย
   “ไม่เกี่ยวกันซักหน่อย" เอิร์ธว่าพลางนั่งลบนเก้าอี้ "นั่นมันเรื่องที่กูไม่อยกให้เค้ามองว่ากูพึ่งเค้า เป็นอย่างนี้น่ะดีแล้ว ที่พึ่งไม่ได้ ทำเหมือนรู้จักกันก็ไม่ได้น่ะ"
   “ก็เหมือนกันนั่นแหละ" วินว่า "กูไม่อยากให้มึงต้องใช้เงินพ่อกูทำงานเหมือนกัน งานเรา ก็ต้องเป็นงานเราจริงๆดิวะ"
   “เออ...” เอิร์ธว่า "เป็นไงก็เป็นกันวะ บังเอิญมาอยู่ตรงนี้แล้ว มันก็ช่วยไม่ได้"
   เอิร์ธจมตัวเองหายไปกับหน้าจอ หน้าของมิกวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่อยากยอมรับความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่มันอยู่ในอก มันทำให้เขาดูงี่เง่าเกินไป พี่มิกให้เขาออกห่างไว้น่ะถูกแล้ว แค่นี้เขากับวินก็ต้องแบกรับอะไรๆหนักหนามากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เขาไม่มีทางถอยหลังกลับแล้ว ไม่มีทางแน่ๆ
   วินหยิบกระเป๋าขึ้นมา เปิดเอาสมุดสเก็ชของตัวเองออกมาวาง
   แฟ้มๆหนึ่งซุกอยู่ในกระเป๋า
   แฟ้มที่บรรจุซองเอกสารสัญญาเช่าซื้อตึกแถวเลขที่ 488/489 ถนนรู เดอ แปง ขนาดสามชั้น
   สัญญา...ที่มีลายเซ็นวินเป็นเจ้าของเรียบร้อยแล้ว
….........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 24 Unexpected]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-11-2012 01:53:58
 o13
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 24 Unexpected]
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 24-11-2012 07:15:33
 o13    :L2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 24 Unexpected]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 24-11-2012 17:27:46
ในตอนนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการให้กำลังใจวินกับเอิร์ธ
ลุ้นเด็กสองคนที่มีความตั้งใจและมุ่งมั่นอันแน่วแน่
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 24 Unexpected]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 29-11-2012 03:27:54
ตอนที่ 25 Stay

   วินนั่งมองหนังสือสัญญาที่อยู่ในมืออย่างเป็นกังวล กระดาษหนึ่งใบในมือนี้มีมูลค่าเกือบยี่สิบล้านบาท พูดได้เต็มปากว่านี่เป็นกระดาษที่แพงที่สุดที่เขาเคยถือมา และก็อาจจะพูดได้ว่านี่จะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อจะให้เขา ไม่ว่าจะเป็นเงินสำหรับการใช้ชีวิต และการทำงานที่คอสโม่ เขาเพ่งมองมันอยู่หลายนาทีอยู่ที่โซฟาในห้อง
   เสียงกร๊อกแกร็กดังขึ้นที่ประตูหนึ่งครั้ง วินรีบเก็บมันกลับลงไปในกระเป๋า ก่อนที่ไกด์จะเปิดประตูเข้ามา
   “เห้" ไกด์ยิ้มให้วินทันที วินยิ้มตอบเบา "วันนี้กลับไวนี่นาย ชั้นแวะไปที่ซุปเปอร์มา เจอมะม่วงลูกใหญ่เขาขายโลละตั้งยี่สิบปอนด์แหนะ แต่พอนึกได้ว่านายคงไม่ได้กินผลไม้ไทยมานานมากๆแล้วแน่ๆ ก็เลยซื้อมาด้วยนี่ไง"
   วินยิ้มให้ไกด์น้อยๆ พลางมองถุงกระดาษสีน้ำตาลหลายใบในมือ
   “แต่ว่าลูกคุณหนูอย่างนายเคยกินข้าวเหนียวมะม่วงหรือเปล่า" ไกด์เดินไปพลางวองของลงที่เคาท์เตอร์ครัว พลางจัดข้าวของ "ต้องเคยบ้างสินะ วันนี้เดี๋ยวทำให้กินเอาหรือเปล่า"
   วินยังมองไกด์อยู่อย่างนั้น มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลยที่เขาเลือกเดินทางมาฝั่งนี้ มาอยู่กับคนที่เขาแทบไม่รู้จัก แต่สิ่งที่เขารับรู้ได้มาจนถึงตอนนี้ ผู้ชายคนนี้ เติมเต็มบางอย่างให้กับชีวิต ไกด์ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าสำหรับเขาอีกต่อไป สำหรับวินแล้ว นายเย็นชาคนนี้คือเพื่อน คือพี่ คือทุกๆอย่างที่เขาพึ่งได้ที่นี่
   และถ้าเขาจะตอบแทนอะไรซักอย่างให้กับใครซักคนที่ทำให้เขาเป็นคนอย่างทุกวันนี้ได้ ก็คงเป็น.....
   วินตื่นจากระบบความคิด เมื่อมือของเขาถูกสัมผัสด้วยมือของไกด์ ชายหนุ่มมานั่งลงตรงหน้า พลางมองเข้ามาที่ดวงตาของเขา
   “เป็นอะไรไป คิดอะไรอยู่" ไกด์ถามเสียงแข็ง
   “อ่อ...คือ...” วินกระพริบตาเบาๆ พยายายมตั้งสติ ไกด์ตั้งใจมองเข้ามาในดวงตาของเขา วินเห็นประกายที่เด่นชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าที่พยายามจะยิ้มให้เขามันดูช่างน่าขำ เหลือบมองไปที่มือที่สัมผัสเขาอยู่ ความอุ่นค่อยๆเกิดขึ้นทีละน้อย กลิ่นลมหายใจที่ลอยมาปะทะใบหน้า บรรยากาศที่มีเพียงเขาและวินตอนนี้ คำรู้สึกมากมายตีวนไปมาอยู่ในหัว
   วินรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าใจของเขากำลังสั่นสะท้าน เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเลย
   “หืม...ว่าไงคับ" ไกด์เบิกตากว้างมองวิน "มีอะไรหรือเปล่า"
   วินยิ้มให้ไกด์อย่างไม่เคยยิ้มให้มาก่อน
   “มันจะเป็นยังไง ถ้าวันนึง ฉันกลายเป็นคนอื่นบ้าง เป็นคนที่นายไม่สามารถรู้จักได้อีก" วินถาม ไกด์เลิกคิ้วมองวินทันที
   “ทำไมอยู่ดีดีมาถามเรื่องนี้อ่ะ" ไกด์ถาม
   “เอาน่า ตอบหน่อย" วินว่าอีก
   “จะเป็นยังไงอ่ะเหรอ" ไกด์เงยหน้าขึ้นพลางนึก "ไม่รู้สิ จะตอบยังไงดีล่ะ ก็อย่างชั้นตอนนี้ก็กลายเป็นคนอื่นที่นายไม่รู้จักแล้วไม่ใช่ นายก็ยังอยู่ด้วยกันกับชั้นอยู่นี่ไง"
   “งั้นเหรอ ชั้นไม่รู้จักนายเลยงั้นเหรอ" วินว่าพลางมองไกด์อีกครั้ง
   “เห้ย ทำไมต้องทำหน้าเศร้าอย่างนั้นด้วยอ่ะ ไม่เอาดิ" ไกด์เอื้อมมือไปลูบหัววินครั้งหนึ่ง "ก็นายก็บอกชั้นว่า นายไม่สนไม่ใช่เหรอ ว่าชั้นจะเป็นใคร แต่ก็นายก็เลือกที่จะอยู่ด้วยกัน กับชั้นที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"
   “ไม่ นั่นมันคนละเรื่อง มันไม่เหมือนกัน" วินว่า "ชั้นหมายความว่าถ้าชั้นต้องทำบางอย่างที่....”
   “มันเหมือนกันนั่นแหละวิน" ไกด์ว่า "สำหรับชั้น นายก็ยังเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจคนเดิม"
   วินทำหน้ามุ่ยใส่
   “พูดแบบนี้ หมายความว่าไง" วินว่า
   “ถึงนายจะดูมีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เริ่มมีการงานที่มั่นคงทำแล้ว แต่นายก็ยังทำอะไรเอาแต่ใจ ไม่ปรึกษาใครอยู่ดีนั่นแหละ" ไกด์ว่า วินหลบตาลงน้อยๆ "เถียงสิ"
   วินก้มหน้าลงพลางอมยิ้ม
   “ชั้นมาคนเดียว อยู่คนเดียว มันไม่มีอะไรที่จะรอได้อ่ะ อะไรมันเข้ามาแล้ว มันก็ต้องรีบคว้า ชั้นปล่อยมันไปไม่ได้อ่ะ" วินว่า "พักนี้ มีเรื่องแบบนั้นเข้ามาแล้วชั้นก็ปล่อยมันผ่านเลยไปไม่ได้"
   “ก็คงเหมือนกับที่นายตัดสินใจวางเงินก้อนแรกให้กับบาริสต้าที่ไม่รู้จัก เพื่อให้ได้ที่นอนซักคืนก่อนเปิดเทอม" ไกด์ว่า    
   “นี่นายเป็นอะไรบ้างเนี่ยหะ คนชงกาแฟ พ่อครัว นักธุรกิจ แล้วกนักจิตวิทยาด้วยช้ะ" วินว่าพลางยิ้มให้พลางมองไกด์ด้วยสายตาที่อ่อนไหว ใจของเขาไหวรัวด้วยความรู้สึกประหลาด "ให้ตายเหอะ จะมีครั้งไหนไหมนะ ที่นายไม่สามารถให้คำแนะนำชั้นได้อ่ะ"
   ไกด์ยิ้มเบาๆให้วิน
   “หิวหรือยัง" ไกด์ถาม
   วินพยักหน้าเบาๆ
   “งั้นรอแป้บ เดี๋ยวทำอะไรให้กิน" ไกด์ตอบ
   “ทำไมถึงยังดูแลกันอ่ะ" วินถามต่ออีก "เพราะว่าชั้นก็ยังเหมือนก้องอยู่งั้นเหรอ"
   ไกด์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้น
   “ไม่ใช่หรอก" ไกด์ว่าก่อนจะเดินหันหลังกลับไปยังเคาท์เตอร์ครัวเพื่อเตรียมตัวทำอาหาร "บอกไปแล้วไง ว่าไม่เหมือนแล้ว"
   วินยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ
   “นายจะยังอยู่กับชั้นหรือเปล่าล่ะ" ไกด์หันมาถาม ขณะเริ่มหั่นผัก
   วินมองหน้าไกด์
   “อยู่ดิ....” วินว่า "ก็ต้องอยู่อยู่แล้ว"
   “เพราะนั่นแหละสาเหตุ" ไกด์ว่า วินมองไกด์ทันที "เพราะว่า นอกจากนายแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ ว่าชั้นจะดูแลใครได้อีก จะใช้คำว่า ไม่เหลือใครอีก ก็คงได้แหละมั้ง"
   “ก...ไกด์" วินพูดเบาๆ แต่ไกด์ก็ก้มหน้าลงทำอาหารต่อไป
   “ชั้นเอง ก็ไม่คิดว่าจะกลับเมืองไทยอีกแล้ว...คงอยู่ที่นี่ ต่อไป" ไกด์ว่า "เพราะว่าที่ผ่านมามันก็ไม่มีอะไรให้ทำหรือให้คิดนักหรอก"
   วินลุกขึ้นช้าๆพลางเดินไปหาไกด์
   “ชั้นก็..อยู่คนเดียว ไมได้ดูแลใคร" ไกด์ยังคงพูดต่อ "ขนาดมีคนให้ควรดูแล ก็ไม่ค่อยทำอ่ะนะ มันก็เลย....เป็นแบบที่ผ่านมาแหละ ถูกแล้ว"
   วินเข้าใจอะไรบางอย่าง ความหนาวเย็นชาที่ออกมาจากผู้ชายคนนี้ มันคือความเดียวดาย
   เป็นอย่างนี้นี่เอง
   “ชั้นก็ไม่รู้หรอกว่าจะดูแลนายไปทำไม..แต่ว่ามันก็...”
   วินจับมือของไกด์ที่หั่นผักอยู่ให้หยุดลง ไกด์มองมือที่จับเค้าอยู่ ความเงียบเข้ามาแทนที่ เป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกเศร้าที่เบาบาง
   ก้อง คนที่เต็มไปด้วยเป้าหมายการใช้ชีวิต มั่นคง และมีแต่การก้าวไปยังจุดหมาย มันไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ จะมีก็แต่ไกด์ อดีตเพลย์บอยเสเพล ไม่ใส่ใจครอบครัว จนต้องสูญเสียทุกอย่างไป และนั่งใช้เวลาที่เหลือจมอยู่กับอดีตที่เลวร้ายเพียงลำพัง คำพูดของสเตลล่าแว้บเข้ามาในหัว มันเป็นอย่างที่เธอว่า เมื่อเขาสามารถเจอไกด์ตัวจริงได้แล้ว เขาอาจไม่อยากจะรู้จักคนคนนี้อีกเลยก็เป็นได้
   “ไม่เป็นไรหรอกไกด์" วินว่า "ชั้นจะอยู่.....ชั้นสัญญา"
   ไกด์เงยหน้าขึ้นมามองวิน ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ
   “ไม่ต้องถึงขั้นสัญญาก็ได้" ไกด์ว่า "เดี๋ยวนายไปเจอเรื่องอะไรมาให้ตัดสินใจแล้วต้องย้ายออกไปจริงๆ ชั้นก็ไม่ว่าอะไรหรอก"
   “ไม่อ่ะ...นายไม่เข้าใจ ชั้นไม่ไปหรอก" วินว่า "ชั้นหมายความอย่างนั้นจริงๆ"
   ไกด์มองหน้าวิน ที่บีบมือของเขาอยู่อย่างนั้น
   “เห้ยวินจริงจังไป....”
   “โอ๊ย"
   วินปล่อยมือออกจากไกด์ทันที วินโดนมีดที่ไกด์ถืออยู่บาดยาวเข้าที่กลางมืออย่างจัง ชายหนุ่มกระตุกมือกลับทันทีพลางร้องเสียงหลง
   “วิน โธ่เอ้ย....อยู่นิ่งๆ กดแผลเอาไว้ ไม่ต้องแรงนะ" ไกด์ร้อง พลางรุดไปที่ตู้มุมห้อง และหยิบเอาเครื่องมือทำแผลออกมา วินเดินไปนั่งลงที่โซฟา ไกด์รีบตามไปทำแผลให้ทันที
   “โอ๊ย....ไกด์ เจ็บแสบมากอ่ะ" วินเริ่มโอดครวญ "ทำไมมันเจ็บแสบจังอ่ะ"
   “ก็มีดชั้นมันอาบน้ำเกลือ" ไกด์ว่า "แล้วชั้นก็ลับมันทุกวัน มันคมมาก"
   “อาบน้ำเกลือ" วินร้อง "เพื่อ"
   “ของที่โดนหั่นจะได้ไม่ช้ำไงล่ะ" ไกด์ว่า พลางค่อยๆทำชุบยาและป้ายลงบนแผล
   “เหยดดดดดด" วินร้องเสียงดัง "ไกด์ ให้สัญญาณก่อนเซ่"
   “โทษๆ" ไกด์ว่าพลางลงเบตาดีนเป็นอย่างสุดท้าย และเริ่มเอาผ้ามาพันมือของวินอย่างเบามือ
   “เชี่ย เจ็บไปทั้งมืออ่ะ" วินร้องโวยวาย ขณะที่ไกด์หัวเราะเบาๆ "นายขำอะไรวะ"
   “ตลกนายอ่ะสิ" ไกด์ว่า "มีดบาดแค่นี้ ร้องโวยวายไปได้"
   “ก็มันเจ็บอ่ะ มีดเชี่ยไรของนาย คมเป็นบ้า" วินว่า "โดนนิดเดียวเองอ่ะ"
   “เอาน่า...อย่าให้โดนน้ำนะ" ไกด์ว่า "เสร็จละ"
   “ซ๊ดดดด" วินยังคงร้องพลางมองมือ และมองมาที่ไกด์ที่กำลังหัวเราะเขาอย่างจงใจ "ไม่ต้องเลยนาย ตลกมากป่ะ"
   “นายน่ารักดีอ่ะ" ไกด์ว่า "ลูกคุณหนูขนานแท้นะเนี่ย ฮ่าฮ่า"
   “อะไรวะ" วินร้อง
   แม้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่เคยเห็นไกด์มีอารมณ์แบบนี้มาก่อนเลย การหัวเราะไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นได้ง่ายๆ
   “หัวเราะจริงจังมากอ่ะนาย" วินว่า "ไปทำกับข้าวก่อเลย เอาให้ไว้เลยคุณชาย"
   “คร้าบบบ คุณหนู" ไกด์ลุกขึ้นทำเป็นโค้งคำนับก่อนจะเดินจากไป วินยิ้มให้กับมือตัวเองครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะกัดฟันไปด้วยเพราะความเจ็บแผล
   เย็นวันนั้นวินได้ทานข้าวเหนี่ยวมะม่วงเป็นของหวานอย่างที่ไกด์ลั่นวาจาไว้ แม้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาทำงานลำบากมากขึ้นไปโดยสิ้นเชิง เพราะมือขวาที่โดนมีดบาดนั้นทำให้ทำอะไรไม่ค่อยสะดวกนัก หลังจากพยายามนั่งทำงานอยู่สองสามนาที วินก็ทนไม่ไหว ลุกออกจากโต๊ะดราฟท์ไปเข้าไปในห้องนอนเพื่อค้นตู้เสื้อผ้าเตรียมตัวจะไปอาบน้ำประตูห้องน้ำเปิดออกทันที ไกด์นุ่งผ้าเช็ดตัวตัวเดียวยืนอยู่ในห้องน้ำ ก่อนจะเดินออกมาพลางเช็ดหัวของตัวเองไปด้วย
   “อ้าวยังไม่อาบน้ำอีกเหรอวิน" ไกด์ถาม
   “อื้อ นั่งงมอยู่กับงานอ่ะ ทำไม่ถนัดน่ะ ก็เลยว่าจะพักก่อน" วินว่า "เสร็จแล้วใช่ไหม จะได้อาบบ้าง"
   ไกด์ขมวดคิ้วใส่วินอยู่อย่างนั้น พลางมองมือของวิน
   “เอ้า หลีกดิคับ ยืนขวางเพื่อ" วินร้อง
   “มือเป็นแบบนี้แล้วจะอาบยังไง" ไกด์ว่า "ข้างถนัดด้วยไม่ใช่"
   “อาบได้น่า" วินว่า พลางแทรกตัวตัดไกด์เข้าไปในห้องน้ำทันที วินปิดประตูกระจกห้องชาวเวอร์ลง ก่อนจะตั้งอุณภูมิน้ำอุ่นให้ได้ที่ ไกด์กับเค้าชอบความอุ่นต่างกันมาก สำหรับวิน ไกด์แทบจะอาบน้ำร้อนอยู่แล้ว แต่ของเขา จะต้องอุ่นกำลังดีเท่านั้น วินถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด ความผิดพลาดเล็กน้อยขณะถอดปราการชิ้นสุดท้ายออก สร้างความเจ็บแปลบขึ้นอีกครั้ง วินซู้ดปากเบาๆพลางมองที่มือ ก่อนจะเอากางเกงในไปพาดไว้ที่ราวอย่างระมัดระวัง
   ทันใดนั้นมือที่บาดเจ็บของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้
   “เห้ย" วินร้องด้วยความตกใจ ไกด์จับมือข้างที่บาดเจ็บของวินเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างถือฝักบัว "นี่นาย....”
   “อยู่นิ่งๆ" ไกด์พูดเบาๆ "เดี๋ยวชั้นอาบให้เอง"
   “ม...ไม่ต้องก็ได้ไกด์ชั้น....” วินพยายามจะขัดขืน แต่พื้นห้องน้ำมันก็ลื่นเกินกว่าจะมาออกแรงอะไรในสภาพแบบนี้ สภาพที่เขาเปลือยเปล่าต่อหน้าไกด์ "ให้ตายเหอะ นายทำอะไรของนายเนี่ย ชั้นอาบได้น่า"
   “ไม่ไว้ใจอ่ะเอาจริง" ไกด์ว่า "ถ้ามันอักเสบขึ้นมาเพราะนายซุ่มซ่ามล่ะก็ มันจะลำบากเอานะเวลาไปหาหมอ และชั้นก็ไม่อยากทำแผลให้นายบ่อยๆ"
   “ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง" วินว่า พลางพยายามขัดขืน
   “ถ้าไม่อยากให้เห็นก็หันหลังไปดิ จะได้อาบให้จากข้างหลัง" ไกด์ว่า "หันไปสิค้าบคุณหนู"
   วินที่ไม่รู้จะอายหรือโกรธดี ได้แต่หันหลังไปอย่างช่วยไม่ได้ มือที่ถูกพันผ้าไว้หนาเตอะ และความเจ็บปวดๆตึงๆ มันทำให้ทุกอย่างดูไม่สะดวกตัวอย่างรุนแรง ได้แต่หันหลังไปอย่างช่วยไม่ได้
   “เอามือไปแปะไว้สูงๆสิค้าบ น้ำมันจะได้ไม่โดน" ไกด์ว่า วินทำตามอย่างเสียไม่ได้ ถ้าเขาขัดขืนต่อสู้แล้วล้มลงในนี้ล่ะก็ สัญชาตญาณของเขาจะต้องเอามือข้างถนัดรับตัวที่ล้มแน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องดี
   ไกด์รดน้ำไปทั่วตัวของวินด้วยน้ำอุ่น ฝ้าก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งสองอย่างอบอวล ละอองน้ำที่อุ่นละมุลไหลไปตามร่างที่เปลืยเปล่าของทั้งคู่ ไกด์ลูบไปตามลำตัวของวินอย่างพิถีพิถัน ความรู้สึกอุ่นวูบวาบปนเย็นและเขินอาย กำลังก่อตัวเข้ามาใส่วิน แทนทีความแสบแผลขจากมือเข้าเสียแล้ว
   “ตอนเด็กๆชั้นเคยทำแผลให้กับก้องอยู่ครั้งนึง" ไกด์ว่าขระถูกสบู่ไปทั่วตัวของวิน "ไปต่อยกับเพื่อนข้างโรงเรียนมา เนื้อตัวเละเทะยังกะอะไร มันกลับมาถึงบ้าน ไม่อยากให้พ่อรู้เรื่อง ชั้นก็เลยจับมันนั่งลงอาบน้ำให้เลยอ่ะ ทั้งชุดนักเรียนนั่นแหละ ตักน้ำราดไม่ยั้งเลย"
   วินยังคงเงียบไม่มีคำพูดใดใด
   “แต่ปรากฎว่า แผลที่หลังก้องทำท่าจะอักเสบขึ้นมาหลังจากนั้นสองสามวัน" ไกด์เล่าต่อ "สรุปว่าปิดพ่อกับแทบตาย สุดท้ายก็มารู้อยู่ดี โดนทั้งคู่อ่ะ"
   ไกด์เปิดน้ำล้างสบู่ออกจากตัวของวิน
   “นายต้องระวังให้มากๆนะ ชั้นอยู่ที่นี่แล้วก็ถือสัญชาติที่นี่ การเขารับการรักษาพยาบาลมันเลยไม่ยุ่งยาก แต่กับนาย ถ้านายเปนอะไรขึ้นมามันจะแย่เอาน่ะ" ไกด์ว่า "นายจะต้องดูแลตัวเองดีดี ยิ่งตอนนี้มีอะไรต้องทำเยอะขึ้น ก็ต้องคิดให้มากขึ้นนะวิน"
   วินหันหลังกลับมามองไกด์เล็กน้อย
   “เผื่อว่าวันนึงเกิดอะไรขึ้น แล้วนายต้องออกไปอยู่เอง นายต้องคิดให้ดีนะ" ไกด์ว่าต่อ "อยู่ด้วยกันตอนนี้ ให้ฉันดูแลนายเอง"
   วินหันหลังกลับมาทันที ชายหนุ่มมองหน้าไกด์ที่อยู่ชิดกัน มองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยคู่นั้น
   “ห...หันกลับมาทำไม" ไกด์ถามเสียงเย็น
   วินหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกบางอย่างก่อขึ้นในใจอีกแล้ว เขาไม่รุ้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังบ้าไปแน่ๆ ที่รู้สึกอะไรแบบนี้ แต่ในตอนนี้ ไกด์ทำเพื่อเค้ามากเกินไปแล้ว และถ้ามันมากไปกว่านี้ล่ะก็...
   “นายไม่เชื่องั้นเหรอ" วินถาม
   “ไม่เชื่อเรื่อง?" ไกด์ถามต่อ "เรื่องนายอาบเองได้อ่ะนะ เชื่อ แต่วันนี้นายเพิ่งได้แผลสด มันก็ต้องระวังเป็นพิเศษไง"
   “ไม่ใช่ นายไม่เชื่อ ที่ฉันบอกว่าฉันจะไม่ไปไหนน่ะ" วินว่า "ไม่เข้าใจเหรอ"
   ไกด์ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ใบหน้าอันคมคายฉายความเย็นชาออกมาครู่หนึ่ง ก่อนชายหนุ่มจะพยายามตัดมันด้วยรอยยิ้ม
   “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ยังไงซะ ลูกคุณหนูอย่างนาย ก็ไม่อยู่ที่นี่ตลอดไปหรอก พนันดิ" ไกด์ว่า วินเริมหัวเสียมากขึ้น
   “นายไม่เข้าใจอ่ะ" วินว่า เสียงของวินเริ่มสั่นเครือ "นายไม่เข้าใจจริงๆอ่ะเหรอไกด์"
   ไกด์หลบตาวินลง มันมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่อย่างบางเบาเหมือนไอน้ำที่กำลังค่อยเบาบางลงตรงนี้
   “มันมีเหตุผลทุกอย่างนั่นแหละ ว่าทำไมชั้นถึงกลับมา นายก็รู้อ่ะ" วินพูดเสียงสั่น "ไกด์....ถามจริง นายยังเห็นชั้นเป็นน้องชายนายอยู่หรือเปล่า ที่นายทำให้ชั้นทุกๆอย่าง แค่เพียงเพราะนายอยากจะให้ชั้นเป็นตัวแทนไถ่โทษงั้นหรือเปล่า"
   ไกด์ยังคงนิ่งเงียบ
   “ไหนนายเคยบอกกันว่า ชั้นเป็นที่อะไรมากกว่านั้น” วินว่า "ชั้นไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ว่า...สำหรับชั้นนายก็เหมือนกันนั่นแหละ"
   ไกด์หลับตาทันที
   “ถ้าเกิดว่า....ที่ชั้นกลับมา ก็เพราะว่าชั้นเห็นบางอย่างที่พิเศษที่นี่อ่ะ ถ้ามันเป็นมากกว่าคนไม่รู้จักกันสองคนมาใช้ชีวิตด้วยกันล่ะ" วินว่า "ชั้นอาจจะไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรื่อง แต่ชั้น...ชั้นไม่เคยมั่นใจอะไรบางอย่างขนาดนี้เลยอ่ะ...ชั้น....ชั้นคิดว่าชั้น.....”
   ไกด์มองหน้าวินอีกครั้ง วินสบตาไกด์ ไออุ่นจากทั้งคู่ลอยคลุ้ง เงียบกันไปพักนึง จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
   “ไหนเคยขอร้องให้อยู่ด้วยกัน" วินพูดเบาๆ "ไหงนายกลายเป็นคนที่พูดว่ายังไงฉันก็ไปอ่ะ แค่เพราะนายกลายเป็นไกด์ไปแล้วงั้นเหรอ รู้งี้ ชั้นหลอกตัวเองต่อว่านายคือก้องต่อไปดีกว่า"
   “ไม่ได้หรอก" ไกด์ว่า "เพราะว่าถ้าชั้นยังเป็นก้อง ชื่อนั้นจะเป็นข้ออ้างที่ทำให้ชั้นต้องดูแลนาย....”
   วินเงยหน้าขึ้นมองไกด์
   “หมายความว่ายังไง" วินถาม
   “ใช่แล้วล่ะ นายไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจคนเดิม เหมือนกับที่ชั้นก็ไม่ใช่ก้อง" ไกด์ว่าพลางเขยิบตัวเข้าหาวินมากขึ้น จนเห็นผิวกายที่ละเอียดอ่อนของวินอย่ตรงหน้าระเรื่อด้วยหยดน้ำที่วาววับ ไกด์หายใจหอบรัวพลางแตะมือลงบนไหล่ของวินและลูบไปช้าๆ วินสั่นสะท้านไปทั้งตัว
   “เพราะงั้นแหละ นายพูดมาอ่ะถูกแล้ว" ไกด์ว่า "ยิ่งเราอยู่ด้วยกัน เราก็ยิ่งหันตัวจริงเข้าหากันมากขึ้น และชั้นคิดว่า นั่นแหละคือสาเหตุที่อาจจะทำให้เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ได้"
   “นายไม่รู้หรอกว่าชั้นคิดอะไร และทำอะไรอยู่" วินว่า "นายไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าฉันทำอะไรอยู่ตอนนี้"
   “รู้สิ" ไกด์ว่า "ชั้นคิดว่าชั้นรู้"
   “รู้อะไร....” วินพูดเสียงแผ่วเบา
   “ก็รู้สึก.....แบบเดียวกับชั้น...." ไกด์ค่อยๆจ่อหน้าเข้าใกล้ใบหน้าของวินทันทีอย่างช้าๆ จมูกส่งผ่านลมหายใจให้กัน ห่างกันแค่ไม่ถึงนิ้ว ริมฝีปากที่ระเรื่อหยดน้ำของวินอยู่ตรงหน้าของไกด์ เขามองมันด้วยสายตาที่สั่นสะท้าน
   วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง เขาไม่อาจจะต้านทานความอ่อนไหวข้างในหัวใจได้อีกต่อไป ชายหนุ่มหลับตา ก่อนจะค่อยๆแตะริมฝีปากไปหาไกด์เบาๆครั้งหนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนเห็นความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาที่อ่อนไหว
   “.....ใช่ไหมวิน" ไกด์กระซิบเบาๆด้วยเสียงที่สั่นเครือ
   “รู้ตัวหรือเปล่า ว่าทำอะไรอยู่อ่ะ" วินพูดเบาๆ "รู้ตัวบ้างหรือเปล่าคับ.....ไกด์"
   ไกด์ยิ้มเบาๆ
   “ก็ไม่รู้....” ไกด์ว่า "มันก็คงคล้ายๆกันมั้ง......”
   และทั้งคู่ก็จูบกันทันทีอย่างนุ่นมนวลและอ่อนไหวที่สุดอยู่อย่างนั้น....
   วินไม่แปลกใจเลยซักนิดกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เขาเข้าใจตัวเองดีที่สุดแล้ววันนี้ ว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้คืออะไร
   เขาไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ทำไม
   แต่เขารู้แล้ว ว่าตัวเองจะอยู่ในเมืองนี้ต่อไปทำไม
   เขารู้แล้วว่ามีสิ่งที่พิเศษบางอย่างอยู่ทีี่นี่
   ที่เขาจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อขอให้เวลาอยู่ที่นี่หยุดต่อไปเมือนกับปาริส
   ผู้ชายคนนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างที่ตัวเขาเคยรู้จัก เคยรู้สึก
   ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อนทั้งชีวิต
   ความรัก....

   ปล่อยตัวออกจากกันในที่สุด วินมองหน้าไกด์อยู่พักนึง ก่อนจะก้มหน้าลงพลางครุ่นคิด ไกด์ก็เช่นกัน
   “ชั้นเอ่อ....” ไกด์พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง "ชั้นขอโทษนะ"
   “ช่างเหอะ" วินตอบ "ชั้น...จะออกไปละ"
   “อืม" ไกด์ตอบสั้นๆ ก่อนจะเปิดประตูกระจก และก้าวออกมาด้านนอกดึงผ้าเช็ดตัวมานัุ่ง พลางส่งให้กับวิน วินรับมันมาและค่อยๆนุ่ง ไกด์รุดมาช่วยมือข้างที่ไม่ถนัดทันที วินหยุดชะงักครั้งหนึ่ง เมื่อไกด์กลับมาใกล้ชิดเขาอีก
   “ม...มันจะไม่ดีแล้วมั้ง" วินพูดเบาๆ
   “อื้อ...ไม่ดีแน่ๆอ่ะ" ไกด์ว่า "แต่ให้ทำไงได้.....ก็ดันรู้สึกไปแล้ว"
   วินมองไกด์อยู่อย่างนั้น เมื่อได้สติ
   นี่เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆกับทั้งเขาและไกด์
…..............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 29-11-2012 09:09:13
ขอเอ็นซีเลยได้ม่ะอ่ะ ไหนๆเขาก็ใจตรงกันแล้ว
จัดหนักเลยคนเขียนที่รัก หุๆๆ  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 29-11-2012 13:51:52
วะ...วา...ว้าวววว... :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 29-11-2012 16:27:16
 :o8: กรี๊ด...อาบน้ำให้วิน...ไมคิดถึงน้องล่ะค๊า
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-11-2012 17:58:38
คุณพระ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 29-11-2012 20:13:32
ได้อ่านจนถึงบทที่ 11

เป็นอะไรที่เยี่ยมมากครับ

ชอบครับ

 :laugh5: :laugh5: :haun1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 29-11-2012 22:25:23
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมาก
ชอบวินมากอ่ะ มาดคุณหนูเอาแต่ใจหายหมดเลย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 02-12-2012 15:44:23
คิดถึงแล้วครับ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 11-12-2012 23:51:21
คราวนี้หายไปนานจัง...กลับมาต่อไวๆน๊า เก๊าคิดถึง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 25 Stay]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-12-2012 19:39:40
ตอนที่ 26 Conquer

   “สาม" วินพูดเสียงหนักแน่น ตรงข้ามกับเอิร์ธที่ไม่ยอมอ่อนข้อเด็ดขาดอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะทำงานกลางสตูดิโอเล็กๆในบ่ายวันถัดมา
   “หก" เอิร์ธพูดกลับพลางหรี่ตาลงเพื่อให้เพื่อนสนิทอย่าทึกทักเอาว่าจะชนะเขาได้ง่ายๆ
   “งั้น....เจ็ด" วินว่าต่อ เอิร์ธเหล่มองไปที่แบบงานที่กองอยู่ตรงหน้าพลางกัดฟันเบา
   “สี่เหอะ" เอิร์ธพูดต่ออีก
   “ก็สามนั่นแหละ" วินว่าพลางขึ้นสียงดังเล้กน้อย "จะเพิ่มไปอีกตัวเดียวเพื่อ"
   “โอ้ย มึงพูดเหมือนเฟลอร์ที่นี่เหลือเยอะมาก" เอิร์ธว่า "แค่จัดเวทีก็หมดแล้ว กล้ามากบอกเอาเจ็ด"
   “มันก็ไม่ต่างจากหกเหมือนกันแหละน่า" วินว่าพลางทิ้งตัวลงพิงพนัก เมื่อการประมเิณตัวเลขชุดที่จะตัดเย็บเป็นตัวอย่างไม่ลงตัวกันซักที
   “มันไม่ไหวจริงๆว่ะวิน เราต้องหเงินเพิ่มนะ" เอิร์ธว่า "หุ้นส่วนอีกแค่รายเดียวก็โอเคแล้วอ่ะ"
   “วงเงินเท่าไหร่อ่ะ" วินถามต่อ
   “เมื่อวานกูไปคุยกับพี่มิกมา คร่าวๆก็เป็นแสนอยู่อ่ะ ไม่น้อยเลย" เอิร์ธว่า
   “อ้าว คุยกันได้แล้วเหรอ" วินแซว
   “ก็ป่าว" เอิร์ธว่า "คุยเรื่องงานไง แล้วพี่มิกเค้าก็เชี่ยวเรื่องการบริหารอยู่บ้าง"
   “หรา" วินแซวติดตลก แม้ว่าไม่อาจซ่อนแววตาแห่งความกังวลไม่ให้เอิร์ธเห็นได้ เอิร์ธเขยิบตัวเข้ามาหาโต๊ะใกล้ขึ้น
   “สรุปโปรเจ็ควันศุกร์แล้วนะวิน" เอิร์ธว่าจริงจัง "มันเหลือแค่งบประมาณที่ต้องเคลียร์ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบ ต่อให้มึงดีไซน์มาสวยหรูแค่ไหน พี่สุเมธจะชอบมึงแค่ไหน ถ้าคณะกรรมการคนอื่นๆไม่ซื้อ ก็คือจบ"
   วินมองตาวินอย่างมีความหมาย
   “นี่ยังไม่รวมเรื่องที่มึงไปตอกหน้าพี่เจนเอาไว้ด้วยนะ" เอิร์ธว่า "เค้าหัวเราะเราทีหลังเสียงดังแน่อ่ะงานนี้"
   “มันก็ไม่ยากหรอกน่า" วินว่า พลางครุ่นคิด
   “วงเงินเป็นแสนนะเว่ย มึงจะไปหาใครได้วะ" เอิร์ธว่า "เท่าที่กูไปกว้านมาได้ มันก็ได้แค่นี้เท่านั้น"
   เอิร์ธจิ้มไปที่เอกสารข้างๆสมุดแบบ เอกสารที่วินไม่คิดอยากจะหยิบมาดูซักนิดตั้งแต่เค้าทั้งคู่นั่งประชุมกันวันนี้
   “นี่มึงคงไม่ได้ทำเป็นลืมไปแล้วรอให้ปัญหามันแก้ด้วยตัวของมันเองหรอกนะ" เอิร์ธว่า
   “เปล่า" วินว่า "กูมีวิธีของกูแล้วกัน"
   “เอาให้มันได้เรื่องเหอะ” เอิร์ธว่า "ตื่นเต้นมากๆแบบคราวที่แล้วกูไม่เอาด้วยนะ"
   เสียงประตูดังขึ้นสองสามครั้ง เอิร์ธตอบรับก่อนที่ประตูจะเปิดออกให้เห็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดสง่างามคนหนึ่ง ที่วินไม่ได้เจอมาอย่างน้อยก็ร่วมสามอาทิตย์
   “เสตลล่า" วินร้อง
   “เออดี งานยังไม่เคลียร์ นี่มึงนัดแฟนมาหาแล้วเรอะ" เอิร์ธว่า
   “ยูสองคนไม่ว่างงั้นเหรอ" เสตลล์ถาม "งั้นชั้นกลับก่อน..."
   “ไม่ต้องๆ" วินว่า "รออยู่นี่แหละ เรากำลังจะสรุปแล้ว"
   “สรุปบ้าอะไร" เอิร์ธว่า "ไอ้วิน พอแฟนมาก็ลืมงานเลยนะมึง"
   เสตลล่ายิ้มให้กับทั้งคู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามา
   “นั่งก่อนนะ" วินว่าพลางยิ้มให้เธอ ที่นั่งลงที่หัวโต๊ะ เอิร์ธเหลือกตาขึ้นเบาๆ
   “ตลกมากป่ะวิน" เอิร์ธเริ่มหัวเสีย
   “เห้ยใจเย็นๆก่อนน่า" วินว่า "ที่ชั้นตามเสตลล์มาวันนี้ ก็เพราะเธอมีคำตอบให้เรื่องนี้ต่างหาก"
   “เสตลล์เนี่ยนะ" เอิร์ธร้อง "ทำไมแกถึงคิดว่าแฟนแกจะหาวงเงินหนึ่งแสนยูโรมาลงงานนี้ได้วะ"
   “ลำพังชั้นคนเดียวอาจจะทำไม่ได้" เสตลล่าว่า "แต่ว่าจีโอทำได้แน่"
   วินยิ้มกว้างทันที
   “เธอไปบอกเค้าแล้วใช่ไหม" วินว่า
   “ใช่ค่ะ" เธอว่า "จีโอจะมาถึงปารีสค่ำวันนี้ ชั้นจะไปรับเค้าที่สถานีรถไฟตอนหกโมงครึ่ง วินจะไปด้วยกันไหม"
   “เดี๋ยวๆๆ ใครคือจีโอ" เอิร์ธหันมาหาวิน "เซอร์ไพรส์อะไรอีกวะเนี่ย"
   “หึหึ ไอ้เอิร์ธ กูไม่มีทางยอมประมือกับเจนเค้าง่ายๆ โดยตัวเองไม่มีอะไรเลยหรอกน่า" วินยิ้มกริ่มในใจ "จีโอ เค้าเป็นนักลงทุนตัวยงคนนึงที่เยอรมันน่ะ เป็นลูกครึ่งเยอรมันไทย มีกิจการโรงแรมอยู่หลายที่ เงินหนาน่าดูเลยล่ะ"
   “เค้าไม่ได้ตอบรับทันทีหรอก" สเตลล่าว่า "เค้าอยากคุยกับพวกยูเป็นทางการด้วยมากกว่าน่ะ"
   “แล้วไปรู้จักกับเค้าได้ยังไง" เอิร์ธว่า
   “เอ่อ...ก็เค้าเป็นเพื่อนไก....”
   “เค้าเป็นเพื่อนชั้นเอง" เสตลล่ากล่าวตัดบท "เรารู้จักกันมาซักพักแล้วล่ะค่ะ"
   “งั้นก็สรุปว่าจบได้สินะ" วินว่าพลางเหล่ไปหาเอิร์ธ
   “เออ จบก็จบ"
   วินยิ้มให้สเตลล่าครั้งหนึ่ง แต่เอิร์ธก็ยังคงมองวินอย่างไม่ไว้ใจอยู่ดี มันมีกลิ่นอายแปลกๆ และส่อแววไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว วันพรุ่งนี้ เราจะมาเจอกันตอนสิบโมง เตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม และขึ้นไปเสนอชื่อจีโอพร้อมกันเลยนะ" วินว่า
   “มึงนัดช้าไปละ" เอิร์ธว่า "เจนจิรานัดกูตอนสองทุ่มคืนนี้ เค้าขอความกระจ่าง"
   “อะไรนะ" วินร้อง
   “ไม่ต้องมาโวยใส่กันเลยไอ้วิน" เอิร์ธว่า "มึงไปสรุปเรื่องกะจีโอให้เรียบร้อยก่อนสองทุ่ม แล้วเอาผลมาให้กู พี่เจนเค้าไม่ยอมให้การตุกติกหลังเค้าแน่นอน ก่อนอะไรๆไปถึงพี่สุเมธ เค้าต้องสกรีนก่อน"
   “ได้ไง" วินว่า
   “ก็เราไปหักหน้าเค้าไว้คราวที่แล้วไงล่ะ" เอิร์ธว่า "แล้วแกเอง ก็อยากให้ชั้นชนแทนไม่ใช่รึไง ก็ทำให้แล้วเนี่ย"
   วินหันไปมองหน้าสเตลล่าครั้งหนึ่ง
   “โอเค ชั้นกลับมาให้ทันสองทุ่ม" วินว่า
   “ไม่ต้องกลับมาที่นี่" เอิร์ธว่า "ไปเจอกันที่ืเดอลา คาเฟ่ ริมถนนฮักโซ"
   “โอเค" วินว่าพลางลุกขึ้น พลางพยักหน้ารับกับสเตลล่า
   “ห้ามสายเด็ดขาดวิน วันนี้กูขอ อย่าเพิ่งไปเที่ยวกับแฟนมึงเลย กูว่ามันใช่เวลาว่ะ" เอิร์ธว่าด้วยสายตาอ้อนวอน
   วินหันมายักคิ้วให้เพื่อนรักหนึ่งที ก่อนจะจูงมือสเตลล่าออกจากสตูดิโอทันที
   เขาไม่เคยรู้สึกเหนือกว่าพ่อของเขามากเท่าตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นหัวหน้าจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่นี่มาก่อนเลย ทุกๆอย่างเป็นใจและเข้าล็อคให้เขาหมดทุกอย่าง เรื่องดีดีที่ก้าวเข้ามาตอนนี้มันรวดเร็วเอามากๆ แม้แต่เอิร์ธเองหัวเสียขึ้น....อาการหัวเสียของเอิร์ธเป็นเครื่องยืนยันได้ดี ถ้าเมื่อไหร่ทีเอิร์ธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แสดงว่าตัวเองมีเรื่องต้องจัดการมากขึ้น และนั่นหมายความว่าเปผนของวินสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง
   ระหว่างรอจีโอที่สถานีรถไฟ วินและเสตลล่านั่งเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ร้านเครื่องดื่ม เพื่อรอเวลารถไฟมา
   “มันจะดีเหรอ ที่ให้เอิร์ธเค้าเข้าใจว่าเราเป็นแฟนกัน" เสตลล่ากล่าว
   “มันคิดไปเองนะ" วินว่า "ชั้นเองก็ไม่เคยบอกมันจริงๆซะหน่อย"
   “แต่เหมือนไปโกหกเค้ายังก็ไม่รู้" เสตลล่ากว่าว "ว่าแต่....ตอนนี้เห็นว่ายูทำงานหนักมาก"
   “ก็ นิดหน่อยน่ะ" วินว่าพลางยกนมขึ้นมาดื่ม "มันก็.....ต้องหนักแบบนี้แหละ ให้ทำไงได้"
   “ทุกอย่างโอเคขึ้นแล้วใช่ไหม" เสตลล่าถามขึ้น "เรื่องยูกับเคลวิน"
   วินเงียบขึ้นมาครู่หนึ่ง เขายอมรับว่าอยู่ดีดี ตัวเองก็หน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ
   “อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง" เสตลล่าพูดพลางหัวเราะ
   “อะไรเหรอ" วินพยายามพูดให้เสียงเรียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
   “ก็ที่ยูเอาไอไปเป็นแฟน เพื่อที่จะปิดเอิร์ธเรื่องนี้ใช่ไหมคะ" เสตลล่าว่า ซึ่งสำหรับวินแล้ว เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้จะรู้อะไรๆดีเกินไปซะจริงๆ
   “ปล่าวซะหน่อย" วินว่าพลาทำเป็นมองไปยังชานชาลาที่อยู่ห่างออกไป
   “งั้นเหรอ" เสตลล่าเหล่มองวินมากขึ้นไปอีก
   “ไม่มีอะไรหรอกน่าเสตลล์" วินว่าพลางหันกลับมาหาเธอ "ว่าแต่เธอเถอะ ไปคัดตัวมาเป็นยังไงบ้าง"
   “ก็เรื่อยๆนะ เดือนนี้มีขึ้นปกอยู่สองเล่ม" เสตลล่าว่า "ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี"
   “ที่รบกวนเรื่องจีโอนี่ไปเบียดเวลางานเธอหรือเปล่า" วินว่า
   “ไม่หรอก" เสตลล่าว่า "ชั้นอยากจะช่วยจริงๆนะ"
   ทั้งคู่นั่งรออยูซักพัก เวลาที่รถไฟของจีโอก็มาถึง โบกี้จากฝั่งตะวันออกของสถานีค่อยๆรดความเร็วเข้ามาให้สถานีช้าๆ ขณะที่วินและเสตลล่า ลุกขึ้นจากคาเฟ่เล็กๆไปยังชาชาลาฝั่งตะวันออก ผู้คนทยอยลงจากรถไฟอย่างพรั่งพรู วินและเสตลล่าพยายามหรี่ตาเพื่อหาชายหนุ่มตัวสูงที่แต่งตัวดูภูมิฐานที่สุด และก็พบกับจีโอ ที่อยู่ในเสื้อโค้ทสีน้ำตาลส้ม และผ้าพันคอสีฟ้าโบกมือโบกไม้ให้กับทั้งคู่
   “เห้.....เสตลล่า วิน" จีโอกล่าวทักทายเมื่อได้พบกับทั้งคู่ ก่อนเขาจะโผกอดเสตล่าและวินอย่างเป็นมิตร
   “ยินดีต้อนรับสู่ปารีสครับ" วินทักทาย
   “ยังดูดีเหมือนเดิมนะคะจีโอ" เสตลล่าว่า
   “นี่ก็แต่งเต็มที่เลย พอได้ไหมเนี่ยวิน" จีโอกางแขนออกให้วินพิจารณาการแต่งตัวของเค้า
   “หล่อแล้วครับ" วินว่าพลางยิ้มกว้าง
   “แล้วจะยังไงเนี่ย จะไปคุยกันที่ไหนครับ" จีโอถามขึ้นทันที วินและเสตลล่ามอหน้ากัน
   “ตารางบางอย่างปรับเปลี่ยนน่ะจีโอ" เสตลล่าว่า "พวกเราต้องไปพบกับตัวแทนจากซูเม่ตอนสองทุ่มที่ถนนฮักโซ"
   “เดี๋ยวนะ ไม่ได้สิ ผมยังไม่ได้ตกลงเป็นทางการเลยคุณวิน" จีโอร้องท้วง "ผมต้องได้ยินรายละเอียดมากกว่านี้ก่อน"
   “ผมทราบครับ" วินว่า "ผมอยากคุยกับคุณก่อน ก่อนที่จะไปพบกับตัวแทนของซูเม่ด้วยกัน เรามีข้อตกลงบางอย่างที่ต้องคุยกันก่อน....เชิญทางนี้ครับ"
   “โอเค" จีโอรับคำ
   “เสตลล์ ชั้นมีเรื่องรบกวนเธอ" วินหันไปหาเธอ
   “ได้สิ" เสตลล่ารับคำ
   “ชั้นรบกวนเธอไปที่ร้านเกล็ดหิมะ" วินว่า "ฝากบอกเจ๊ใหญ่ว่า ชั้นอยากได้ห้องพักอยู่ไม่นานแค่เดือนเดียวเท่านั้น สำหรับจีโอ"
   “ได้ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้" เสตลล่าว่า "งั้นยังไงชั้นลาเลยละกัน พรุ่งนี้ชั้นมีงาน"
   “อ้าว ไม่อยู่คุยกันก่อนเหรอเสตลล่า" จีโอกล่าว
   “ไม่ล่ะ ขอให้การเจรจาธุกิจจบลงด้วยดีนะคะ" เสตลล่ากล่าวกับทั้งคู่ "บายล่ะจีโอ เอาไว้ค่อยเจอกัน โชคดีวิน"
   เธอกล่าวลากับทั้งคู่ ก่อนจะเดินหายไปกับฝูงชนของสถานีรถไฟ วินหันมาหาจีโออีกครั้ง
   “เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยครับจีโอ" วินว่า
   วินใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะสองทุ่ม พาจีโอเดินทางไปถนนฮักโซ ซึ่งระหว่างทางเขาได้เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขา หลังจากเขากลับมาจากสตาร์สเบิร์ก เรื่องที่เขาสามารถดันตัวเองและเพื่อนอีกคน เข้าไปเป็นจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ของซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอลได้ และที่สำคัญโปรเจ็คงานปารีสแฟชั่นวีคที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า โดยที่ใช้กำลังสนับสนุนจากจีโอ
   “มันค่อนข้างเป็นไปได้ยากนะวิน" จีโอกล่าว "มันต่างจากการลงทุนที่ผมเคยทำมา ผมมองไม่เห็นสิ่งที่จะต้องต่อยอด"
   “ผมเข้าใจ งานแบบนี้ มันต้องใ้เวลาทำความเข้าใจ นี่เป็นเอกสารที่ผมอยากจะให้คุณดู ในนี้เป็นงานที่ผมกับเพื่อนผมออกแบบ" วินยื่นแฟ้มกับจีโอบนรถแท็กซี่ "งานพวกนี้ถ้าถูกคอนเฟิร์มจากแฟชั่นวีคปีนี้ มันจะถูกขาย กลายเป็นงานฝีมือที่มูลค่าหลายล้านมาก คุณจะได้ทุนคืนไม่ยากเลย"
   "เสี่ยงน่าดูเลยนะ" จีโอว่า "มีหลักประกันมั้ย"
   วินหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาหนังสือสัญญาเช่าออกมาอันหนึ่ง แล้วยื่นให้กับจีโอ
   “นี่คืออะไร" จีโอร้องถาม
   “หนังสือกรมสิทธิ์" วินว่า "ตึกแถว 200 ตารางวา อยู่ใจกลางปารีส ตรงข้ามพิพิทธภัณฑ์ลูว์ฟ"
   “โห นายไปได้มายังไงเนี่ย" จีโอร้อง พลางแกะเอกสารออกดู "พระเจ้า ราคาไม่ใช่ถูกเลย สิบกว่าล้านได้มั้ง ทำเลนี้"
   “อีกสองเดือน พอผมได้สัญชาติฝรั่งเศส ที่นั่นจะกลายเป็นธุรกิจผม" วินว่า
   “นี่มันเสี่ยงเกินไปแล้ววิน" จีโอว่า "งานคุณยังไม่ไปถึงไหนเลย นี่คุณเอาเงินลงซื้อร้านค้าที่จะขายของที่ไม่รู้ว่าจะขายได้หรือเปล่าเนี่ยนะ ผมไม่เอาด้วยหรอก"
   “ไม่ใช่คับจีโอ นี่ไม่ได้จะเป็นร้านแฟชั่นของผม" วินว่า จีโอเบิกตากว้าง "นี่จะเป็นร้านของคุณ กับเคลวิน"
   “อ...อะไรนะ" จีโอร้อง
   “เคลลี่ มีความฝันอย่างนึง" วินว่า "เขาอยากมีร้านอาหารที่ปารีส เป็นร้านที่พี่ชายของเค้า และคุณจะเปิดให้ ผมจะยกให้คุณทันที ที่คุณเอาเงินมาลงทุนกับงานนี้ของผม"
   “ให้ตายสิ" จีโอพูด "วิน นายทำตัวเหมือนนักธุรกิจน่าดูเลยนะ"
   “ผมรู้" วินว่า "มันอาจจะเปนเงินจำนวณมากโขอยู่ที่คุณจะต้องมาลงทุนกับผมในปารีสแฟชั่นวีค ของซูเม่ อินเตอร์เนชั่นอล ถึงมันจะไม่งอกเลยทันที แต่ผมอยากให้คุณเชื่อใจ....และนี่คือหลักประกันที่ผมมีให้ ที่ดินราคาสูงกว่าลิบลิ่ว"
   “ถ้านายมีตึกนี้ ทำไมไม่ขาย แล้วเอามันมาลงทุนให้ตัวเองล่ะวิน" จีโอถาม
   “ดีไซน์เนอร์ ออกเงินให้งานตัวเอง มันไม่ค่อยเป็นธรรมกับคนอื่นๆเท่าไหร่ ในสายงานของผม มันไม่ใช่เรื่องที่เค้าทำกัน" วินว่า
   “ประมาณว่า ถ้าทำแบบนั้นก็เหมือนกับ ถ้าใครมีเงิน ก็แสดงงานตัวเองได้ ใครไม่มีก็หมดสิทธิ์ใช่ไหม" จีโอว่าต่อ
   “ใช่ครับ" วินว่า "และที่สำคัญ ผมอยากดึงคุณเข้ามาในเกมส์"
   “ทำไมคุณถึงไว้ใจผม" จีโอว่า
   “คุณเป็นเพื่อนเคลวิน" วินว่า "ผมไว้ใจเค้า"
   “อืมมมม" จีโอมองเอกสารทั้งหมดที่กองอยู่บนตักพลางครุ่นคิด
….............
   “เค้ามาช้านะ" เจนจิรากล่าวเสียงเข้มข้นขณะมองดูนาฬิกาตัวเอง เอิร์ธที่พยายามทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกโจมตี ทำเป็นนั่งตรวจงานตัวเองบทแล็ปท้อป ไม่สนใจอาการของเจนจิราที่คุกคามอยู่เงียบๆ
   “ชั้นไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นหรอกนะ" เจนว่า
   “พี่มีอย่างอื่นต้องทำเหรอครับ" เอิร์ธว่า "นอกจากงานพี่เมธแล้ว มีอะไรต้องทำอีกเหรอคับ"
   เจนจิราเหล่มองเอิร์ธ
   “ถ้าวันนี้ชั้นไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจล่ะก็ การประชุมวันพรุ่งนี้ อาจจะมีผลต่อเธอสองคนได้ไม่ยากนะ" เจนจิราว่า
   “แต่มันก็อาจจะไม่ง่ายก็ได้ครับ" เสียงของวินแทรกขึ้น พลางเดินมาที่โต๊ะของเจนจิรา
   “มาได้ซะทีนะ" เจนจิราว่า
   “โทษทีครับ พอดี ผมต้องไปรับนักลงทุนท่านนึง พอดีเค้าอยากจะมาพบคุณ" วินว่า
   “นักลงทุนงั้นเหรอ" เจนจิราว่า "เธอเนี่ยนะ"
   “ครับ ผมสองคน มีนักลงทุนอยู่ท่านนึง ที่จะแนะนำให้รู้จัก" วินว่า พลางหันไปอมยิ้มให้เอิร์ธ ชายหนุ่มพยักหน้าให้เพื่อนเบาๆ เอิร์ธถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งเล็กๆ วินผายมือให้เจนจิราพบกับจีโอ ที่เดินตามเข้ามา
   จีโอ เดินเข้ามาในชุดสูทสีดำอย่างดี ทำให้มาดคนอารมณ์ขำขัน หายกลืนไปกับความหล่อเหลาของความลงตัวในชุดสูทที่วิคัดเลือกมาให้ จีโอยิ้มกว้างให้กับทั้งสามคน อย่างเป็นมิตร
   “สวัสดีครับ" เขากล่าวทักทาย
   เจนจิราลุกขึ้นอย่างงงวยพลางยิ้มให้กับจีโอ เธอยื่นมือไปหาเค้า
   จีโอมองหน้าเธอพลางยิ้มให้
   “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ชั้น เจนจิรา...” เธอกล่าวขึ้น
   “ครับ....ผมจีโอ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน" จีโอว่า
   ทั้งหมดนั่งลงหลังจากทำความรู้จักกันพอสมควรแล้ว วินเริ่มสาธายายให้เจนจิราฟัง และเริ่มแนะนำที่มาที่ไปของการพูดคุยกันวันนี้ เจนจิรานั่งฟังสิ่งที่วินพูดอย่างตั้งใจ แม้ว่าเธอจะไม่วางสายตาลงจากจีโอได้เลย เธอมองเขาราวกับจะเจาะทะลุไปให้ได้ถึงข้างใน ในขณะที่จีโอ รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ มีรัสมีบางอย่าง ที่เขาอยากจะทำทุกอย่างเพื่อพุ่งเข้าใส่ เขารับรู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่เขาตกลงกับวินไปบนรถแทกซี่และร้านเช่าชุดนั้น น่าสนุกขึ้นเป็นเท่าทวี
   เวลาผ่านไปเกือบบสิบนาที ที่วินกล่าวว่าจีโอสนใจงานของเขาและเอิร์ธ และมีความสนใจที่จะร่วมสนับสนุนงานแฟชั่นวีกของซูเม่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
   “....ผมเห็นว่าสองคนนี้ มีความสร้างสรรค์ แล้วก็กล้าที่จะแสดงผลงาน" จีโอว่า "ผมเชื่อเหลือเกินว่า งานแฟชั่นวีคที่จะถึงนี้ จะเป็นโอกาสดี ที่สองคนนี้จะได้แสดงฝีมือในนามของซูเม่ และเช่นเดียวกัน โดยการสนับสนุนร่วมกัน ระหว่างซูเม่ และผม"
   เจนจิราเคาะนิ้วเบาๆสองครั้ง
   “ค่ะ...ชั้นเข้าใจ" เจนจิราว่า "ชั้นแค่สงสัยว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่อยู่ดีดี นักธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์อย่างคุณ จะมาสนใจงานดีไซน์ อย่างน้อยก็สามเดือนก่อนงานแฟชั่นวีค"
   “ไม่รู้สิครับ ผมเป็นพวกชอบลองของใหม่" จีโอว่า พลางยิ่นหน้าเข้าไปหาเจนจิรา "โดยเฉพาะของใหม่ที่มีสเน่ห์ ชวนค้นหา และดูลึกลับ....”
   เจนจิรามองหน้าจีโอ
   “.....อย่างงานดีไซน์น่ะครับ" จีโอยิ้มกว้างอย่างกวนประสทให้เจนจิราครั้งหนึ่ง เธอเหลบตาลงเล็กน้อย
   “ชั้น...เอ่อ....ชั้นคิดว่า เราอาจจะต้องมีการคุยกันอย่างเป็นทางการมากกว่านี้และเอ่อ.......ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพักอยู่ไหนคะ" เจนจิราถามขึ้น
   “ทำไมเหรอครับ...คุณอยากจะนัดเจอผมนอกรอบงั้นเหรอ" จีโอหยอดเจนไปอีก
   “คุณจีโอ....ชั้นหมายความว่า.....”
   “ถ้าคุณสนใจข้อเสนอของผม ผมแนะนำให้คุณ นำเรื่องที่เราคุยกันนอกรอบวันนี้ เข้าไปเสนอทางผู้บริหารของซูเม่พรุ่งนี้ครับ" จีโอพูดต่อ "ผมพร้อมจะเซ็นสัญญาทันที เมื่อทางซูเม่พร้อม"
   เจรจิราเงียบไปพักนึง ขณะมองมาที่วิน ที่มองเธอกลับดวงดวงตาที่เบิกกว้าง
   “ถึงมันจะดูแปลก เหมือนกับว่าอยู่ดีดี คุณก็โผล่มาในเวลาที่เหมาะเจาะซะเหลือเกิน" เจนจิราว่า แม้ว่าจะยังไม่ละสายตาไปจากวิน "แต่ฉันก็ตกลงค่ะ...ฉันจะพูดเรื่องนี้ในการประชุม ถึงมันจะแปลกสำหรับชั้นมาก็ตาม"
   “มันอาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้ครับ" จีโอพูดพลางอมยิ้มให้เธอ "ที่ทำให้เราสองคนมาเจอกัน ในดินเนอร์ดีดีแบบนี้"
   “งั้นเหรอคะ" เจนจิราว่าเสียงเข้ม "งั้นพระเจ้าคงจะเล่นตลกน่าดู"
   “ดีเลยครับ" จีโอว่า "เพราะผมเป็นคนชอบเรื่องตลก ดีจังที่คุณก็ชอบ"
   “ค่ะ...ชั้นชอบเรื่องตลก" เจนจิราว่า "เพราะว่าเรื่องตลกส่วนใหญ่ที่ชั้นได้ยิน มักจะมาจากคนที่เอ่อ.....คนที่ไม่ค่อยมีสาระน่ะค่ะ....”
   เจนจิรายิ้มตอบอย่างไม่จริงใจที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แม้ว่าจีโอจะยังคงจ้องหน้าเธอต่อไปพลางยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มที่สุดกวนประสาท วินเหล่มองการปะทะสายตาและคารมของจีโอและเจนจิราอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกถึงบรรยากาศมาคุที่ชวนขนลุก วินหันไปมองเอิร์ธที่กลั้นยิ้มซะจนหน้าเกร็งอยู่อย่างนั้น
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ชั้นขอตัวก่อน" เจนจิรากล่าวโดยรวม เพื่อให้ทั้งวินและเอิร์ธรู้ไปด้วย
   “ด้วยความยินดีครับ หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีก เร็วๆนี้นะครับ" จีโอยิ้มกว้างให้เธอ พลางยื่นนามบัตรให้
   “โอ้.....ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" เจนจิราว่า ก่อนจะเดินตัดจีโอออกไปจากโต๊ะทันที
   จีโอมองเธอเดินจากไป แม้ว่าในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยแผนเด็ดๆมากมายไหลไปมาเต็มไปหมด ชายหนุ่มหันหลับมาหาวินและเอิร์ธที่มองเขาอยู่เป็นสายตาเดียว
   “ผมเดาว่า คุณอยากร่วมลงทุนกับเรามากขึ้นกว่าเดิม" วินว่า
   “นายอ่านใจได้ด้วยนี่" จีโอว่า "แล้ว....หล่อน....เป็นใครกันเนี่ย"
   “คนที่คุณไม่ควรไปยุ่งด้วย หรือทำอะไรแบบที่คุณทำไปเมื่อกี้ด้วยเลยแหละ" เอิร์ธว่าต่อ พลางมองหน้าวิน
   “โอ้....งั้นเหรอ" จีโอว่า พลางหันกลับไปมองประตูอันว่างเปล่าที่เจนจิราเพิ่งเดินออกไป "ไม่เห็นมีใครบอกเลยนี่ว่า...ยุ่งด้วยไม่ได้น่ะ"
   “งั้นผมก็ขอต้อนรับคุณเข้าสู่ซูเม่ล่วงหน้าเลยแล้วกันนะครับ" วินว่าพลางลุกขึ้น "หุ้นส่วน"
   วินยืนมือไปจับกับจีโออีกครั้ง
   “ด้วยความยินดีวิน" จีโอจับมือกลับตาม เช่นเดียวกับเอิร์ธ
   วินและเอิร์ธคิดว่านี่เป็นโชคที่ซ้อนกันหลายชั้นมากทีเดียว ที่การเจรจาในวันนี้จบลงด้วยดี แม้ว่าจะเปิดเหตุการณ์มาคุขึ้นนาดู
   ในขณะที่จีโอกลับคิดว่า มีอะไรมากกว่าเงิน ที่เขาอยากจะลงทุนด้วยซะแล้ว.....
…......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 26 Conquer]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 15-12-2012 19:56:03
เจ้เจนจะสิ้นลายบ้างอะไรบ้างก็น่าดูนะหลังจากเจ้ผงาดมาตลอด
รอรื่องนี้นานมากกกกกกกกกก มาต่อแล้วดีใจ
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 26 Conquer]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 15-12-2012 21:26:35
ชื่นใจ  ได้อ่านอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 26 Conquer]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 16-12-2012 06:03:47
ตอนที่ 27 Midnight Breakfast   

วินส่งจีโอที่หน้าร้านเกล็ดหิมะ หลังจากที่แยกกับเอิร์ธแล้ว ผลจะออกหัวออกก้อยยังไงก็คงต้องรอสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการประชุมโต๊ะผู้บริหารของซูเม่วันพรุ่งนี้ เจนจิราเป็นก่วงแบรนด์ของเธอ การที่เขาสามารถหาตัวนักลงทุนมาเสียบแทนท่านอื่นๆที่กำลังจะเทกระจาดไปหาเธอและคุณกายสิทธิ์ในงานขยายตลาดที่อังกฤษได้ นั่นเป็นสิ่งที่เธอควรจะเบาใจ
   เจ๊ใหญ่เป็นธุระในการจัดหาที่พักให้กับจีโอได้สำเร็จ เป็นห้องเล็กๆที่อยู่ถัดไปอีกหกบล็อค ดังนั้นหลังจากพูดจากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ๊ใหญ่จึงให้เด็กที่ร้านไปส่งจีโอที่นั่น จีโอคงต้องอยู่ปารีสไปอีกอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน พออยู่รอสรุปผลทั้งหมด ในขณะที่วินยังคงนั่งอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะ แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกมากแล้ว
   “จริงๆนะวิน ช่วงนี้เราเองก็มีการมีงานทำมั่นคงแล้ว ถ้ามันลำบากนัก ก็ไม่ต้องกลับมาทำงานให้พี่ก็ได้ พี่หาคนอื่นเป็นบาริสต้าแทนเราไม่ยากหรอก" เจ๊ใหญ่ว่า "เกรงใจเราจริงๆเลย"
   “ไม่หรอกครับ" วินว่าขณะเช็ดจานที่กองอยู่บนโต๊ะ "แหมเจ๊ จะไล่กันซะแล้วเหรอ"
   “ปล่าว เจ๊กลัวงานชงกาแฟมันเบียดเวลาเราน่ะ" เจ๊ใหญ่ว่า
   “ผมทำได้อยู่" วินว่า "อย่างน้อย ผมก็มีรายได้เสริม เผื่องานผมขายไม่ได้ขึ้นมา จะได้ไม่อดตายไงครับ"
   “ไม่น่าเชื่อเลยให้ตายสิ" เจ๊ใหญ่ว่า "เจ๊ยังจำลูกคุณหนูคนที่มาเหวี่ยงในร้านนี้เมื่อต้นปีได้อยู่เลย"
   “ก็เพราะที่นี่ ทำให้ผมเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะไงเจ๊" วินว่า "ผมอยากทำอะไรให้ที่นี่บ้าง"
   “เห้อ....เจ๊เอง ก็ไม่รู้นะ ว่าเกล็ดหิมะ จะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน" เจ๊ใหญพูดขึ้น พลางทำเสียงเศร้า
   “ทำไมล่ะฮะ" วินถามต่อ
   “โอ๊ย...หลายปัจจัยน่ะวิน" เจ๊ใหญ่ว่า "ที่นี่หมดสัญญากันครั้งละ 2 ปี เจ๊ก็พยายามสู้ราคามาทุกปีนั่นแหละ แต่ก็ไม่รู้ว่าปีไหนจะดวงตกขึ้นมา"
   “ถ้าเกิดที่นี่ปิดไปจริงๆ เจ๊จะทำไงอ่ะ" วินถามต่อ
   “เจ๊น่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะสามีเจ๊ เค้าทำงานอยู่สถานทูตไทย เจ๊น่ะยังอยู่ได้ แต่คนไทยที่เหลือน่ะสิ" เจ๊ใหญ่ว่า "มันก็มีบางคนที่ทั้งชีวิต พึ่งไว้แต่เกล็ดหิมะคนพวกนั้น ลำบากแน่"
   วินนั่งฟังเจ๊ใหญ่พูดอย่างจริงใจ
   “ผมรักที่นี่นะเจ๊" วินว่า "ถ้าเป็นไปได้ ผมจะช่วย ถ้าวันสัญญามาถึง"
   “ขอบใจมากนะน้องวิน" เจ๊ใหญ่ว่า "แต่ถ้ามันลำบาก ก็อย่าพยายาม คนเรา ก่อนจะช่วยเหลือคนอื่น ต้องช่วยตัวเองให้รอดซะก่อนน่ะรู้ไหม เจ๊น่ะบอกทุกคนที่นี่เสมอ ว่าอย่าเอาเกล็ดหิมะเป็นที่พึ่ง ถ้าเกิดวันนึงที่นี่ปิดตัวลงขึ้นมาพวกเขาจะต้องแก้ปัญหากันเอง"
   “ครับ ผมเข้าใจ" วินว่า "ผมแค่ ไม่อยากให้ความหวังขอคนที่ไม่มี มันหายไปน่ะ"
   “เธอพูดเหมือนน้องก้องเลยนะเนี่ย" เจ๊ใหญ่ว่า "ถ้าเค้ายังอยู่ที่นี่ เค้าก็บอกแบบนี้แหละ"
   “งั้นเหรอครับ" วินว่าพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข
   ก่อนจะจากลากันไปในคืนนั้น เจ๊ใหญ่ฝากความคิดถึงผ่านวินไปให้ก้อง วินไม่ได้บอกความจริงกับเจ๊ใหญ่ว่า คนที่ชื่อก้องของเธอ ไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว แต่ขา ไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำให้เจ๊ใหญ่ต้องมารู้สึกไม่ดีกับไกด์ อย่างน้อยๆ ไกด์ก็เป็นคนที่อยากจะช่วยร้านเกล็ดหิมะเอาไว้ ถ้ามันจะเป็นไปได้ ไกด์เองก็เปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ใช้ชีวิตตัวเองในชื่อของน้องชาย นักธุรกิจหนุ่มเพลย์บอยเสเพล ได้เรียนรู้จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงตัวเอง จนกลายเป็นไกด์คนใหม่ ที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่น มันเป็นหนึ่งในไม่กี่เหตุผลที่ทำให้วินไม่รู้สึกแย่เลยซักนิด ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนี้
   ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง วินกลับมาถึงบ้านที่ถนนทอร์ควิลในรถเมล์รอบสุดท้าย แน่นอนว่าท้องถนนยามค่ำคืนเริ่มเงียบสงัดและร้างผู้คนวินก้าวเท้ามาถึงหน้าห้อง ก่อนจะไขประตูเข้าไป
   ร่างๆหนึ่งนบอยู่บนโซฟา ซุกตัวอยู่ในผ้านวมหนาเตอะที่คงลากเอาออกมาจากห้องนอน ใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาด สะท้อนแสงไฟสีส้มนวลที่ลอดมาจากหน้าต่างที่ไม่ได้ดึงผ้าม่าน วินอมยิ้มน้อยๆก่อนจะปิดประตูห้อง และถอดเสื้อโค้ทออกแขวนนี่เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว เขาไม่ได้บอกไกด์ไว้ ว่าวันนี้จะกลับดึก เขามีเรื่องต้องจัดการมากมายเหลือเกิน วินเดินมานั่งลงข้างๆโซฟา พลางมองหน้าไกด์ อยู่ดีดีความรู้สึกมากมายก็ตีรวนเข้ามาในหัว เขายิ้มกว้างให้กับร่างที่หลับสนิท ตลอดชีวิตของเขา นอกจากแม่ ไม่มีใครคอยเขากลับบ้านบ่อยนัก ใบหน้าของไกด์ตอนนอนทำให้วินขำเบาๆ เจ้าบาริสต้าผู้เย็นชาหลับเป็นตายดูเหมือนเด็กน้อยเอามากๆ
   “ขอบคุณนะคับ" วินพูดเบาๆข้างๆใบหน้าของไกด์ "ถ้าไม่ได้นาย ชั้นคงไม่ได้มาถึงตรงนี้แน่ๆ"
   วินมองใบหน้าที่หล่อเหลานั้นอย่างมีความสุข กลิ่นอายจากบาริสต้าอบอวลไปทั่วตัวของวิน ความอบอุ่นก่อขึ้นในใจอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง เหมือนเมื่อหลายวันก่อนที่เขาโดนมีดบาด แผลของเขาหายดีแล้ว แต่บางอย่างมันยังอบอวลอย่ในใจราวกับแผลเป็น ความรู้สึกบางอย่างที่วินไม่กล้าแม้แต่จะค้นลงไปลึกๆ เพราะเขากลัวว่าถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต เป็นความรู้สึกใหม่ ที่เขาไม่เคยเข้าใจ ความรู้สึกรัก
   เขาไม่แน่ใจกับมันมากนัก ว่าเขาจะตกหลุมรักผู้ชายได้ เหมือนกับเอิร์ธหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจว่า ที่เขารู้สึกกับไกด์มันคือความรักจริงๆหรือไม่ แต่ยอมรับว่าความรู้สึกสงบ และอบอุ่น เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีหมอนี่อยู่ด้วยมันเกิดขึ้นชัดเจนขึ้นมาก หลังจากเหตุการณืวันนั้น วันที่เขาเผลอจูบหมอนี่เข้าให้ ความรู้สึกในวันนั้นมันเกิดขึ้นอีกครั้งตรงนี้แล้ว เวลาที่วินได้อยู่ใกล้กับไกด์มากๆ ไกล้จนมองเห็นทุกอย่างบนใบหน้านี้ มองเห็นความสงบที่นอนนิ่งอย่างมีความสุขและสงบเงียบ
   วินค่อยๆก้มหน้าลงไปหาไกด์ใกล้มากขึ้นอีกครั้ง เขาปล่อยให้ความรู้สึกอบอุ่นนั้นเข้าครอบงำหัวใจตัวเองอีกครั้ง เขาแตะริมฝีปากของตัวเองลงไปหาไกด์เบาๆ ราวกับเวลารอบตัวของวินหยุดหมุนลงไปอย่างนั้น วินลืมตาขึ้น เมื่อร่างไกด์ขยับตัว ดวงตาของไกด์มองมาที่เขาอย่างสลึมสลือ วินดึงตัวขึ้นนั่งหลังตรงด้วยความตกใจพลางหันหลังให้กับโซฟาทันที
   ไกด์ขยับตัวขึ้นนั่ง พลางกระแอมคอหนึ่งครั้งแก้เขิน แม้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มจะทำอะไรไม่ถูกนอกจากเกาจมูกตัวเองไว้ท่า เพื่อดึงสติตัวเองกลับมา
   “เอ่อ..... ก....กลับ....ม...มาแล้วเหรอนาย" ไกด์พูดเสียงแหบพร่า สมกับที่เพิ่งตื่นนอน และยังสั่นเคือด้วยความตกใจ
   “อื้อ" วินพูด แม้ว่าจะยังไม่หันหน้ามาไกด์ เขานั่งกอดเข่าหันหลังอยู่ด้านล่างของโซฟาอยู่อย่างนั้น
   ไกด์ขำเบาๆกับท่านั้นของวินเอามากๆ เขาส่ายหน้าให้วินช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งโกยผ้านวมขึ้นมาห่มตัว ชายหนุ่มนั่งห้อยขาลงจากโซฟาคร่อมตัววินเอาไว้ พลางดึงตัววินให้พิงมาหาเขาตรงโซฟาบริเวณหว่างขาตะวเองพอดี
   “ทำอะไรของนายเนี่ยหะ" วินร้องพอเป็นพิธี แม้ว่าตัวเองจะพิงไปหาไกด์อย่างว่าง่าย ตอนนี้ความอบอุ่นจากไกด์ปกคลุมเขาไปทั่วทั้งตัวซะแล้ว ไกด์ก้มตัวลงมาโอบเขาจากบนโซฟา
   “นายต่างหาก ทำอะไร" วินว่าพลางมองหน้าวินที่เมินหน้าไปอีกทาง ไม่ยอมเด็ดขาดที่ให้ไกด์เห็นว่าเค้ากำลังหน้าแดง
   “ทำอะไร" วินว่าเสียงสูง "ก็ เห็นหลับอยู่"
   “ก็เลยขโมยจูบกันเนี่ยนะ" ไกด์ว่า ไม่ได้รับเสียงใดใดกลับมา วินกัดปากตัวเองเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองได้ทำบางอย่างผิดพลาดไปครั้งใหญ่ ไกด์อ้อมตัวไปอีกทางหนึ่ง วินก็หันหน้าหนีไปอีกทาง "เห้ย นาย จะหลบหน้าทำไมเนี่ย"
   “ปล่าวซะหน่อย" วินว่า ไกด์หัวเราะเบาๆ
   “วันนี้เป็นเอามากนะวิน เป็นอะไรไปน่ะ" ไกด์ถามขึ้น
   “ไม่ได้เป็นอะไร" วินตอบ
   “เหรอ...งั้น ชั้นไปนอนละ" ไกด์พูดพลางทำทีจะขยับตัว
   “ด...เดี๋ยวๆ" วินดึงแขนของไกด์เอาไว้ ไกด์จึงก้มลงมาประจันหน้ากับวินอีกครั้ง
   “ว่า" ไกด์ถามเสียงเยียบเย็นอีกครั้ง
   วินมองเข้าไปในดวงตาของไกด์ ที่ส่งกลับมาด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างประหลาด วินมองตาไกด์อยู่เนิ่นนาน วินเบิกตากว้างมองไปยังดวงตาคู่นั้น เขาไม่แน่ใจนักกับความรู้สึกแบบนี้
   “มีอะไรก็ว่ามา" ไกด์ถามต่ออีก ดวงตาที่เป็นประกายของไกด์ มันช่างต่างจากบุคคลิกที่นิ่งเฉยของไกด์เอามากๆ
   “นี่นายกำลัง.....ไล่ต้อนกันหรือเปล่าเนี่ย" วินว่า ไกด์กลอกตาเบาๆ
   “ไล่ต้อน....ยังไงเหรอ" ไกด์ถามเสียงหล่อ
   “คือ...หมายถึง มุกแบบนี้หรือเปล่า ที่นายใช้จีบสเตลล่ามาก่อน" วินถามต่อ ใบหน้าของไกด์กระตุกเบาๆ ก่อนจะมองไปยังมุมห้อง
   “นี่นายคิดว่าชั้นจีบนายเหรอ" ไกด์ถามเสียงแข็ง
   “ก็...ปล่าว" วินพูดเบาๆ พลางหลบตาลง
   “ไปอาบน้ำเถอะวิน จะได้นอน" ไกด์ว่าพลางดันตัววินให้ลุกขึ้น ขณะที่ตัวเองก็ลุกออกจากโซฟาและเก็บผ้านวม อารมณ์ที่เปลี่ยนไปในทันทีของไกด์ทำวินไปไม่เป็นอยู่พักนึง ก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ ไกด์ก็เป็นแบบนี้ ตั้งแต่วันนั้น ไกด์ก็ทำตัวเหมือนหมองจางๆ ไม่ชัดเจน บางทีมันก็ทำให้วินแอบอึดอัดอยู่บ้าง บาริสต้าหนุ่มเดินผ่านตัววินเพื่อที่จะเข้าไปห้องนอน ไกด์หันมามองวินครู่หนึ่ง วินพยายามเต็มที่ที่จะใช้สายตามองไกด์กลับให้ดูปกติที่สุด
   “นายคิดว่าชั้นจีบนายเหรอ" ไกด์พูดขึ้น วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “แหนะ...ไม่จบ" วินว่า "ก็บอกแล้วว่าไม่ได้คิด"
   “แล้วถามทำไม" ไกด์ถามอีก
   “ถามอะไร" วินว่า
   “ก็ถามว่าชั้นไล่ต้อนนายหรือเปล่า" ไกด์ว่า
   “ก็.....ชั้นสงสัยเฉยๆ" วินว่า "ก็แค่อยากรู้"
   “ฉันไม่ได้ไล่ต้อน" ไกด์ว่า
   “อื้อ" วินว่า พลางหลบตา และหันหลังเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า
   “แต่ชั้นจีบนายน่ะใช่" ไกด์ว่า ก่อนจะเดินหายไปในห้องนอน ทิ้งให้วินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอยู่นานหลายนาที
…....
   แสงแดดอ่อนๆ ส่องเข้ามาต้องร่างของวินที่ค่อยๆลืมตาขึ้น ความอุ่นของฮีตเตอร์ที่ลดลงบ่งบอกว่าได้เวลาตื่นนอนแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงหลังด้วยความง่วงงัวเงีย เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยกลับ ความตื่นเต้นมันทำให้ใจรัวเป็นกลองตอลดคืน โดยเฉพาะเมื่อต้องนอนอยู่ข้างๆไกด์ แต่วันนี้เขามีอะไรข้างนอกที่ต้องออกไปจัดการอีกเยอะ ดีดตัวออกจากเตียง และเก็บที่นอนอย่างเร่งรีบ ก่อนจะออกจากห้องนอนในทันที เพื่อเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแต่งตัว
   เมื่อประตูห้องนอนเปิดออก กลิ่นข้าวต้มก็โชยมาเตะจมูกวินเข้าอย่างจัง เขามองไปยังไกด์ที่ที่กำลังง่วนอย่กับการเคี่ยวข้ามต้มตรงุมครัวตรงนั้น ภาพนั้นนอกจากจะทำให้วินยิ้มกว้างแล้ว ตอนนี้ท้องของเค้าร้องขึ้นมาทันทีเสียด้วย ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาไกด์
   “ตื่นเช้าจัง" วินกล่าวทักทาย ไกด์หันมามองหน้าเขา พลางยักคิ้วให้ "เดี๋ยวนี้เพิ่มอาหารเช้าให้ด้วยเหรอ บ้านนี้เนี่ย"
   “ทำไมอ่ะ ไม่อยากกินข้าวเช้าที่บ้านเหรอ" ไกด์ถาม
   “ปล่าว ก็ปกตินายไม่ตื่นมาทำข้าวเช้าให้ชั้นนี่" วินว่า "ปกติทำแต่ข้าวเย็น"
   “ก็เดี๋ยวนี้ตอนเย็นนายกลับดึก ไม่ค่อยได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันแล้ว" ไกด์ว่า "ก็เลยกะว่าจะเปลี่ยนมาทำข้าวเช้าให้แทน"
   “งั้นเหรอ" วินว่าพลางอมยิ้ม "ข้าวต้มปลาแซลมอนใช่มะ"
   “รู้ได้ไง" ไกด์ถาม
   “นั่นไง" วินชี้ไปที่ซิงค์ครัว ปลาแซลมอนอีกครึ่งตัวยังคงวางเอาไว้
   “ตาดีนี่" ไกด์ว่า "ไปล้างหน้าก่อนไป แล้วมากินข้าวกัน"
   วินทำตามอย่างว่าง่าย เขาใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีทำธุระของตัวเองให้เสร็จ ก่อนจะเดินออกมาที่ห้องครัวด้วยสีหน้าแช่มชื่น วินนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะลงมือทานข้าวต้มปลาแซลมอนที่ไกด์ทำให้อย่างเอร็ดอร่อย
   “วันนี้ไปทำงานหรือเปล่า" ไกด์ถามขึ้น
   “ไปดิ" วินว่า
   “เห็นว่าพักนี้วิ่งหาเงินลงทุนเหรอ" ไกด์ถาม วินเงยหน้าขึ้น
   “ใช่ ก็ จะทำแฟชั่นโชว์ในงานแฟชั่นวีคน่ะ" วินว่า
   “จีโอตอบตกลงหรือเปล่า" ไกด์ว่า
   “นายรู้ได้ไงเนี่ย" วินถามต่อ
   “เมื่อวานเสตลล่าแวะมาน่ะ" ไกด์ว่า
   “อ้อ" วินรับคำเบาๆ "ก็...จีโอน่ะตอบตกลง แต่ว่าก็คงต้องรอดูผลจากที่ทำงานวันนี้"
   “เดี๋ยวนี้นี่ทำตัวเป็นนักธุรกิจไปแล้วเหรอนาย" ไกด์ว่า "วิ่งหาเงินเก่งนี่"
   “ก็ใครสอนให้รู้จักดิ้นรนล่ะ" วินว่าพลางมองหน้าไกด์ "ว่าแต่นายเหอะ ออกจากร้านเกล็ดหิมะมาแล้ว พักนี้ไม่เห็นนายทำงานเลย"
   “อืม ก็ ดูดูอยู่" ไกด์ว่า
   “กลับไปช่วยเจ๊ใหญ่ เค้าไม่ได้เหรอ" วินถามต่อ ไกด์เงียบไปพักนึง วินรู้ดีว่าเมื่อไกด์เปิดเผยตัวจริงกับเขาแล้ว มันก็เป็นการยากที่ไกด์จะย้อนกลับไปเป็นก้องอีกครั้ง ชีวิตที่ร้านเกล็ดหิมะ เป็นชีวิตที่เขาสร้างขึ้นมาทดแทนภาพอดีตของก้องนั่นเอง
   “เจ๊เค้า ถามถึงนายน่ะ" วินว่า "คือชั้นหมายถึง ถามถึงก้อง"
   “อ่าหะ" ไกด์ว่า "ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ ยังไม่ได้คิด"
   “ไกด์ ชั้นว่านายออกไปทำอะไรบ้างก็ดีนะ" วินว่า "อย่าอุดอู้อยู่แต่ในนี้เลยชั้นว่า"
   “ชั้นไม่เป็นไรหรอกน่า อยู่ได้สบายมาก" ไกด์พยายามยิ้มให้วิน แม้ว่ามันจะตลกมากก็ตาม"
   “เออนี่ เดี๋ยวอีกประมาณสองสามอาทิตย์ ชั้นจะว่างล่ะ" วินว่าพลางยิ้มให้ไกด์
   “ทำไม จะไปเที่ยวเหรอ" ไกด์ว่า
   “อื้อ" วินว่า "เรา ไม่ได้ไปไหน ด้วยกัน......มานานแล้วนะ"
   ไกด์ทำเป็นนึกอีกครั้ง
   “นายคงไม่อยากไปสตาร์เบิร์กอีกรอบนึงแน่ๆ" ไกด์ว่า "ถ้าอย่างนั้นไปดีสนีย์แลนด์ไหมล่ะ"
   “จริงเหรอ" วินว่า "ยังไม่เคยไปเลยอ่ะ"
   “อื้ม ฉันไปกับก้องหนสุดท้ายก็สองปีที่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่า มีเครื่องเล่นอะไรใหม่ๆบ้าง" ไกด์กล่าวเสียงเศร้า วินถอนหายใจอีกครั้ง
   และบทสนทนาก็จบลงเพียงแค่นั้น ทุกครั้งที่ไกด์พูดถึงก้อง รัสมีเย็นเยือกประหลาดจะแผ่ออกมาจากตัวไกด์ทันที วินเข้าใจดี หมอนี่ไม่เคยลืมความผิดที่ทำลงไปได้เลยซักครั้ง วินเองก็กำลังคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขาไม่ค่อยมีความสุขนัก กับความรู้สึกของไกด์ที่แบกรับอยู่ มันพลอยทำให้เขาอึดอัดใจไปด้วย
   มื้อเช้าจบลงด้วยความเงียบเชียบ ไกด์ล้างจานชามอย่างไม่เร่งร้อน ขณะที่วินเริ่มแต่งตัว เพื่อเตรียมตัวไปซูเม่ ก่อนออกจากห้อง วินมองไปยังไกด์ที่ค่อยๆเช็ดครัวอย่างพิถีพิถัน
   “ชั้นไปก่อนนะไกด์" วินร้องเรียก ไกด์หันมาหาเขา
   “เย็นนี้จะกลับมาทานข้าวเย็นหรือเปล่า" ไกด์ร้องถาม
   วินถอนหายใจ
   “ยังไม่รู้เลย" วินร้อง "ขอโทษนะ"
   “อืม ไม่เป็นไร" ไกด์ว่า
   วินเดินออกจากห้องมาด้วยความรู้สึกใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกกังวล
   เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไกด์สามารถทำให้เขามีความรู้สึกสารพัดอย่างได้ภายในคืนเดียว ทั้งสุข ทั้งอบอุ่น ทั้งเหงา และเป็นกังวล ตีรวบอบอวลอยู่ภายในห้อง 20 ตารางวานั้น วินกำลังรู้สึกว่า ไกด์อาจจะกำลังฝังตัวเองอยู่กับคนเดิม ไกด์ที่จมอยู่กับความเศร้า ไม่ใช่ไกด์คนใหม่อย่างที่ควรเป็น และถ้ามันยังเป็นอย่างนั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่ใช่วินที่ไกด์เห็น แต่เป็นเพียงภาพฉายทดแทนน้องชายที่จากไป
   ถ้าความรู้สึกที่ไกด์และเขามีให้กันมันเป็นเรื่องจริง วินก็อยากจะให้ไกด์เปลี่ยนเป็นคนใหม่มากกว่านี้ และเขาจะทำให้สำเร็จให้ได้
   ชายหนุ่มเดินออกจากถนทอร์ควิลในเช้าวันนั้น ด้วยหัวใจที่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
….....
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 27 Midnight Breakfast]
เริ่มหัวข้อโดย: jusmine ที่ 16-12-2012 07:11:02
อ๊าย.......มาแล้ว แถมได้อ่าน 2 ตอนด้วย
     
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 27 Midnight Breakfast]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 16-12-2012 08:16:35
ความฝันใกล้จะเห็นอยู่รำไร
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 27 Midnight Breakfast]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 18-12-2012 01:01:26
ไม่ได้เข้ามาหลายวัน...ดีใจจังมาสองตอนติดๆ

น้องวินน่ารักอ่ะ วางแผนอนาคตโดยมีไกด์อยู่ในนั้นขนาดนี้ ยังไม่แน่ใจอะไรอีกค๊า...
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 27 Midnight Breakfast]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-12-2012 03:05:31
 :z1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 27 Midnight Breakfast]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 29-12-2012 11:15:53
เขินที่ไกด์พูดว่าจีบน้องวิน อร๊ายยยยยย
เจ้เขินแทนลูกแต่ไหงตอนท้ายๆอึ้มครึ่มอย่างนี้ล่ะเนี้ย
สวัสดีปีใหม่นะคะคนเขียนนน
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 27 Midnight Breakfast]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 31-12-2012 16:22:36
Live Long and Prosper
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 27 Midnight Breakfast]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-01-2013 01:57:59
ขอต้อนรับสู่ปี 2013 จ้า.....

อันดับแรกต้องขอโทษแฟนๆเรื่อง Coldness Town ก่อนเลย รู้นะว่ารอกันมากมายกับตอนต่อไปของเรื่องนี้ ขอโทษจริงๆนะ ให้ตายเถอะ ไม่ได้มีเจตนาให้รอกันเลยจริงๆจ้า แต่ด้วยความที่ตอนนี้กำลังยุ่งมาก มีปัญหาต่างๆนานาเข้ามานัวช่วงสิ้นปีน่ะ ก็เลยไม่มีเวลาแต่งตอนต่อไปให้แฟนๆอ่านต่อเลย

แต่ว่า...มันก็มีเหตุผลนะ

คือว่า.....มิรันดาไปไตร่ตรองมาอย่างถ้วนถี่แล้วล่ะ ว่าช่วงที่ผ่านมา Coldness Town นั้นมีโครงเรื่องที่กำลังงเบียดกับ Loveless Society มาก จนเรื่องนี้อาจจะขาดความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองไปเสีย และมันก็กำลังทำให้เรื่องเสียความสนุกไปเยอะมาก

(แม้ว่าแฟนๆหลายๆคนอาจจะไม่เห็นว่าจะสนุกลดลง แถมยังมาติดตามกันอยู่บ่อยๆเสียด้วย ซึ่งมิรันดาขอบคุณมากๆจ้ะ)

แต่มิรันดาไม่อยากให้ Coldness Town กลายเป็นภาคต่อของ Loveless Society มากขนาดนั้น อย่างที่เคยตั้งปณิธานไว้แต่แรก ก็เลยใช้เวลาร่างโครงเรื่องช่วงกลาง Season ใหม่ในช่วงที่หายตัวไปด้วยค่ะ ซึ่งเมื่อมิรันดาคำนวณความเป็นไปได้ของตัวละครใน Coldness Town ว่าจะสามารถเพิ่มเติมความ "มันส์" ไปได้ไกลแค่ไหน ก็ปรากฎว่าพบผลลัพธ์ที่น่าตกใจทีเดียว

ดังนั้นในตลอดปีใหม่นี้ ทันทีที่ตอนใหม่อัพ แฟนๆจะได้พบกับโครงเรื่องใหม่ที่เข้มข้นขึ้นกว่าเดิมแน่นอน และอาจจะทำให้แฟนๆนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยก็ว่าได้ แค่มิรันดาลงมือเขียนต่อถัดไปตอนนี้ ก็มันส์แล้วล่ะ แต่โครงเรื่องใหม่ ไม่มีผลกระทบต่อตอนจบของเรื่องนะคะ ตอนจบของ Coldness Town จะยังเหมือนเดิมแน่นอน แต่อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของวินและไกด์ถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆได้เลยล่ะค่ะ

ยังไงมิรันดาขอขอบคุณแฟนๆทุกๆคนมากๆ ที่ยังคงติดตามเรื่องนี้กันมาตลอด แม้ว่ามิรันดาจะหายหัวไปนานเอามากๆ ขอโทษจริงๆจ้ะ ดังนั้นเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ มิรันดาจะขอยกบริบทอธิบายความสัมพันธ์ของไกด์ที่มีให้วิน และของวินที่มีให้ไกด์มาเป็นของขวัญให้แฟนๆนะคะ

บริบทย่อย
วิน ต่อ ไกด์

"ผมไม่รู้หรอกว่ามันเริ่มต้นยังไง ที่อยู่ดีดี ผมก็เอาแต่นึกถึงเค้าขึ้นมาบ่อยๆน่ะ ผมรู้ก็แต่ว่า ผมไม่อยากเป็นคนเดิม ผมงี่เง่ามาเยอะ และก็แสบมาเยอะ เค้า...เค้าทำให้ผมรู้วิธีที่จะก้าวไปข้างหน้า ผมทำอะไรได้เยอะขึ้น มากกว่าที่วินคนก่อนจะทำได้ เพราะเค้านั่นแหละ เค้าทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ได้

ตอนนี้ผมแค่กลัว กลัวใจตัวเอง กลัวความรู้สึกตัวเอง ผม ยอมรับความสัมพันธ์ที่แปลกแบบนั้นไม่ค่อยได้ มันซับซ้อนเกินไป ผมเข้าใจมันไม่ไหว แค่ผมมองเห็นเอิร์ธกับแฟนของเค้า มันก็...วุ่นวายมากพอแล้ว ผมไม่อยากให้เรื่องของผมกับเค้ามัน เป็นแบบนั้น บางที สิ่งที่ผมรู้สึก ผมอาจจะคิดไปเอง และที่สำคัญตัวเค้าเอง ก็คงไม่อยากรู้สึกอะไรอย่างที่เค้าเคยพลาดมา....มันจะไม่เกิดขึ้นหรอก ผมจะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้น

แต่ผมรู้......ผมห้ามตัวเองไม่ค่อยได้ เวลาเห็นหน้าเค้า ..... เวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคน"



บริบทย่อย
ไกด์ ต่อ วิน

"นายเป็นใคร นายไว้ใจได้ไหม นายใช่เค้าหรือเปล่า หรือนายแค่เหมือนเค้า หรือนายไม่ใช่เค้าเลย นายเคยแสบแค่ไหน นายจะเอาชนะฉันให้ได้ใช่ไหม นายจะทำอะไรต่อไป ทุกวันนี้นายทำอะไรอยู่

นายจะอยู่กับชั้นต่อไปทำไม นายกำลังทำอะไร นายมีเหตุผลหรือเปล่า หรือนายไม่มีเหตุผลเลย นายรู้สึกอะไร นายมองตาชั้นแล้วเห็นใคร นายเชื่อใจได้ไหม นายเชื่อใจฉันไหม นายคิดว่าฉันเป็นใคร นายคิดว่าฉันเป็นคนยังไง นายให้อภัยฉันไหม นายโกรธชั้นหรือเปล่า หรือนายไม่ได้รู้สึกอะไร

จริงๆแล้วฉันเป็นใคร ฉันจะเป็นตัวเองได้ไหม ฉันกำลังทำอะไร ฉันกลับไปเป็นคนเดิมไม่ได้ใช่ไหม ฉันน่ากลัวใช่ไหม ฉันลึกลับขนาดนั้นเลยหรือเปล่า ฉันทำทุกอย่างชัดเจนแล้วใช่ไหม หรือฉันยังคลุมเครืออยู่

ฉันรู้สึกอะไรลงไป ฉันกำลังคิดอะไรกับนาย ฉันเข้าหานายเพราะอะไร ฉันไม่อยากให้นายไปเพราะอะไร ฉันเป็นห่วงนายเพราะอะไร ฉันเป็นห่วงนายจริงๆใช่ไหม ฉันกำลังมีความรักใช่ไหม ฉันกำลังรักใคร ฉันคิดว่านายเป็นใคร ฉันจะมีความรักได้ไหม ฉันจะมีโอกาสอีกไหม

ฉัน.....รักนายใช่ไหม...วิน"
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [สวัสดีปีใหม่และของขวัญถึงแฟนๆ]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 01-01-2013 16:56:44
ชอบเรื่องนี้มากกกกอ่านรวดเดียวเลยค่ะ
เหมือนอยู่กลางกรุงปารีสเลย ได้รู้อะไรเกี่ยวกับแฟชั่นเยอะเลยค่ะแถมยังได้กรี๊ดกร๊าดไกด์บ่อยๆ55555555
ยังรอตอนหวานๆของไกด์กับวินเสมอนะคะ ~~~
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [สวัสดีปีใหม่และของขวัญถึงแฟนๆ]
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-01-2013 21:43:01
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ  อ่านถึงตอนของวันที่1แล้ว  เดี๋ยวตามอ่านต่อ เพิ่งเห็นว่ามีอัพเพิ่ม อิอิ  :laugh:

เนื้อเรื่องเรื่อยๆ บรรยากาศเหงาๆ   อ่านแล้วชอบมากกกกกกกกกกกค่ะ  o13

เดี๋ยวขอตามเรื่องนี้จนจบก่อน แล้วจะไปตามเก็บ Loveless Society เป็นเรื่องต่อไปนะคะ   
คนเขียนสู้ๆจ้า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [สวัสดีปีใหม่และของขวัญถึงแฟนๆ]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-01-2013 05:40:02
ตอนที่ 28 Foe

   สำหรับเอิร์ธแล้ว ช่วงเวลาทำงานที่น่าหนักอกหนักใจตอนนี้ มันทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะความห่างเหินที่เขาและมิกมีให้กัน มันเป็นมวลที่ดูแปลกประหลาดและอึดอัดมากขึ้นโดยเฉพาะเวลาที่ได้เจอหน้ากันที่ซูเม่ โดยสายงานที่เอิร์ธทำอยู่ ต้องวกไปข้องเกี่ยวกับพี่มิกอยู่บ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเมื่อวินไอเดียตันในบางครั้ง เอิร์ธปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าจะต้องเป็นเขาที่ต้องนำงานไปปรึกษาพี่มิกอยู่ดี
   แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหมดเวลางานแล้ว มิกและเอิร์ธก็จะกลับมาปฏิบัติต่อกันเป็นคู่รักเหมือนเดิม ซึ่งสำหรับเอิร์ธแล้ว มันก็เป็นได้แค่เชิงปฏิบัติเท่านั้น
   เอิร์ธและมิกนั่งนิ่งเงียบช่วงหัวค่ำที่สวนเลอดาปูโร มิกจอดรถอยู่ริมถนนก่อนถึงทางเข้าสวน ทั้งคู่เดินเล่นในสวนที่ใหญ่ที่สุดกลางกรุงปารีสมาตลอดเย็น เป็นเดทเล็กๆที่ไม่มีอะไรหวือหวาอีกแล้ว เพราะมันเต็มไปด้วยความเงียบและอึดอัดที่สุดเท่าที่ทั้งคู่เคยได้รู้สึก เอิร์ธนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนี้ พลางเหม่อมองไปยังต้นไม้และทางเดินตรงหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย มิกนั่งลงข้างๆ ไม่เว้นระยะห่างมากไปจนดูเป็นคนอื่น และไม่ใกล้จนเกินไปจนทำให้เอิร์ธรู้สึกอึดอัด เขารู้ดีว่าเอิร์ธเป็นเด็กยังไง อารมณ์แบบนี้ที่ส่งผ่านมาทางสีหน้า ไม่ใช่สิ่งที่มิกต้องท้าทายมันนัก
   “เป็นอะไรเหรอเอิร์ธ" มิกเป็นฝ่ายที่หมดความอดทนก่อน เปิดบทสนทนาขึ้นมาเป็นคนแรก มันเป็นแบบนี้เสมอ คนที่อดทนได้มากกว่าย่อมเป็นเอิร์ธ ตั้งแต่ความัสมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้น เอิร์ธเป็นฝ่ายที่พูดน้อยกว่ามิกเสมอ
   เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองมิกทันที
   “ไม่ได้เป....”
   “ไม่ได้เป็นอะไร" มิกตอบแทนทันที "นึกแล้ว.....ว่าแกต้องพูดแบบนี้ เพราะถ้าเป็นพี่นะ พี่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน"
   “อีกนานมั้ยพี่" เอิร์ธพูดขึ้น
   “เรื่องอะไรเหรอ" มิกถามต่อ
   “ก็ที่ผมต้องมาทนเรื่องงี่เง่าพวกนี้ไง" เอิร์ธว่า มิกก้มหน้าลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองตามเอิร์ธออกไปเบื้องหน้า
   “พี่ไม่ได้หมายความว่า พี่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้นะเว่ย" มิกว่า "มันก็จริง ที่หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป"
   “แล้วที่ดราม่าเมื่อกลางปีก่อน ว่ายังไงขอแค่มีผมก็พอ มันคืออะไรวะพี่" เอิร์ธว่ากลับ
   มิกมองหน้าเอิร์ธนิ่ง สำหรับเขาเอง มันมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สิงที่เกิดขึ้นกับเขา เพื่อนของเขา และการงานของเขา จนกระทั่งพบกับการเปลี่ยนแปลงของเอิร์ธในแฟชั่นโชว์ที่ซูเม่วันนั้น ทำให้เขาต้องคิดหนัก เขาไม่คิดว่าเอิร์ธจะมาไกลได้ถึงขนาดนี้ และด้วยวิธีแบบนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรก ที่เอิร์ธเริ่มเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา หรือจะพูดให้ถูกนี่เป็นครั้งแรก ที่เขาเพิ่งได้อยู่กันสองต่อสอง ในบรรยากาศที่เงียบสงบขนาดนี้
   “มันไม่ได้หมายความว่า พี่ไม่เหมือนเดิมนะ" มิกว่า "แต่มันก็จริง ที่เรื่องงี่เง่าของเรา มันเกิดจากพี่"
   “ผมเป็นคนอื่นไปแล้วเหรอ" เอิร์ธว่าพลางหันมาหามิก "พี่เห็นผมเป็นคนอื่นไปแล้วเหรอ"
   “ปล่าว" มิกว่า "พี่จะเห็นเราเป็นคนอื่นไปได้ยังไงอ่ะ"
   “แล้วอะไรมันเปลี่ยนไปเหรอ" เอิร์ธถาม "มันเปลี่ยนไป ถึงขนาดที่ ผมกับพี่ต้องทำตัวเหมือนไม่รู้จักกัน เป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้นเองเหรอพี่ ทำไมเหรอ ใครเป็นคนเอาอะไรใส่หัวพี่อีกอ่ะ พี่เจนอีกอ่ะดิ"
   “มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ....”
   “ผมไม่เข้าใจว่ะ ทำไมพี่ถึงปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาบงการทุกๆอย่างของพวกพี่ได้เสมอเลยอ่ะ" เอิร์ธเริ่มระบายความอึดอัดออกมา "เรื่องพี่นัทพี่กาย ยังไม่เข็ดกันใช่ป่ะ ผมอาจจะอยู่ใน Loveless Society ของพวกพี่ก็จริง แต่ผมขอนะ อย่าให้พี่เจนมาบงการอะไรเรื่องของผมพี่มิก ผมจัดการเองได้"
   “แล้วไหนบอกว่าไม่ได้เป็นคนอื่น" มิกถามกลับ
   “มันไม่เกี่ยวกันเลยพี่" เอิร์ธร้อง "ผมแค่....ไม่อยากให้ใครมายุ่งเรื่องของเรา ผมไม่อยาก....มีเรื่องแบบพี่นัทกับพี่กาย"
   “นัทกับกาย อาจจะมีปัญหามากมาย เพราะผู้หญิงคนนี้" มิกว่า "แต่เค้าลงเอยกันได้ เข้าใจกันได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้หญิงคนนี้เหมือนกันนะเอิร์ธ"
   “ทำไม....พี่กำลังตะล่อมให้ผมชอบเค้าขึ้นมางั้นเหรอ" เอิร์ธร้อง "พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าผมกับวิน เจออะไรกันมา"
   มิกหายใจเข้าเบาๆ
   “....เค้า...สำคัญกับเอิร์ธมากขนาดนั้นเลยเหรอ...วินน่ะ" มิกถาม
   “พี่หึงผมเหรอ......” เอิร์ธถาม "ผมกับวินเนี่ยนะ...”
   “ไม่ พี่ไม่ได้หึง...พี่แค่.....ไม่อยากเชื่อว่า เราจะมีความคิดที่ไม่ชอบพี่เจนเค้ามาจากวินต่างหาก" มิกร้อง
   “วินไม่ได้สอนให้ผมไม่ชอบพี่เจนหรอก ผมเองต่างหากที่บอกให้วินรู้สึกแบบนั้น" เอิร์ธว่าพลางถอนหายใจ เขาไม่อยากพูดเรื่องของเจนจิรา ตั้งแต่เขามาปารีสและพบเจอกับผู้หญิงคนนี้ ชีวิตเขามีแต่เรื่องอึดอัด และเขาไม่ชอบเรื่องอึดอัดทุุกเรื่อง
   “พี่มิก" เอิร์ธหันไปหามิกทันที ด้วยสีหน้าจริงจัง "ผมไม่อยากอึดอัดแบบนี้แล้ว ผมพูดตรงๆนะ ผมทำทุกอย่าง เพื่อที่จะได้มาอยู่กับพี่ที่นี่แล้วอ่ะ พี่ยังต้องการอะไรอีกเหรอ มันผิดตรงไหนเหรอ ผมก็แค่....”
   “แต่นี่มันมากเกินไปเอิร์ธ" มิกพูดเสียงแข็ง "มันมีอะไรอยู่อีกเยอะ ที่พี่ไม่อยากให้เราได้เจอ แกไม่เข้าใจหรอก"
   “ก็บอกผมมาดิพี่" เอิร์ธว่า "พี่มิก ผมสู้มาเยอะมากนะ กว่าจะมาถึงตรงนี้อ่ะ ผมไม่ยอมหรอก"
   “สู้ด้วยวิธีลัดขั้นบันไดมาแบบเจ้าวินเนี่ยนะ" มิกถาม
   “ก็ผมไม่ไว้ใจพี่เจน" เอิร์ธร้อง
   “งั้นพี่ก็ไม่ไว้ใจวิน" มิกพูดสวนทันที เอิร์ธถึงกับหยุดชะงักทันที ชายหนุ่มขมวดคิ้วครั้งหนึ่งอย่างไม่เชื่อหู
   “อะไรนะ พี่ไม่ไว้ใจวิน" เอิร์ธทวนคำ มิกหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น เอิร์ธมองตามไป "เดี๋ยวก่อน ผมงงพี่ พี่ไม่ไว้ใจมัน....ทำไมเหรอ ก็พี่ไม่ได้หึงมันแล้ว....ยังไง....มันยังเคยไปนอนบ้านพี่ด้วยซ้ำ พี่เอง ก็เคยช่วยมันมาตั้งแต่ต้นปีไม่ใช่เหรอ"
   “พี่ เอ่อ.....”
   “ผมขอความจริงพี่" เอิร์ธว่า "พูดมาเหอะ ผมไม่ใช่คนอื่น"
   มิกหันมามองหน้าเอิร์ธ ก่อนจะถอนหายใจ
   “ใช่.....พี่เคยช่วยเค้ามาก่อน แต่นั่นมันก็ก่อนหน้าที่พี่จะรู้ว่าเค้าเป็นลูกชายของคุณวรพัฒน์" มิกว่า
   “แล้วไงอ่ะ" เอิร์ธว่า "วินมาเรียนที่นี่เพราะพ่อเค้าสั่งมาพี่ คุณพ่อเค้าอยากให้มันเป็นดีไซน์เนอร์ในแบรนด์ที่เค้าดูแลอยู่ เพื่อเป็น....”
   “เป็นหูเป็นตา....ให้กับคุณวรพัฒน์ ใช่มะ" มิกหรี่ตามองเอิร์ธ
   “ค....” เอิร์ธรีบหุบปากลงได้ทัน นี่เป็นสัญญาระหว่างกันของวินและเค้า เค้ากำลังทำหน้าที่นั้นแทนวินอยู่มาหลายวันแล้ว วินแลกตำแหน่งดีไซน์เนอร์ในซูเม่ให้กับเอิร์ธ เพื่อหาช่องทางหลบหนีไปจากกรอบของพ่อตัวเองอย่างอิสระ และทั้งเขาและวิน ก็กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการหาช่องทางนั้น ดันตัวเขาเองไปสู่การเป็นหนึ่งในโต๊ะผู้บริหารเช่นเดียวกับพี่กายพี่เจนในนามของวิน ขณะที่วินจะหลบหนีหายไปจากที่นี่โดยสมบูรณ์
   “แกมีข้อตกลงกับเจ้าวินแล้ว พี่รู้" มิกว่า "พี่ถึงบอกให้เราห่างๆพี่ไว้วันนั้นไง"
   เอิร์ธเงยหน้าขึ้นเล้กน้อย บางอย่างถูกไขให้กระจ่างในหัวเขาแล้ว เอิร์ธมองหน้าพี่มิกทันที
   “โต๊ะบริหารของซูเม่ แบ่งสองฝั่งใช่ไหมครับ" เอิร์ธว่า "ฝั่งของพวกพี่ พี่กาย พี่นัท พี่เจนและพี่ กับอีกฝั่งนึง ฝั่งของคุณสุเมธ กับคุณวรพัฒน์"
   มิกเม้มปากเบาๆ
   “มันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นแต่.....” มิกพยายามพูดกลบเกลื่อน
   “พี่ไม่ไว้ใจวิน เพราะพี่รู้ว่าวินกับผมกำลังพยายามทำทุกอย่างให้เข้าไปอยู่ในซูเม่อย่างเต็มตัว" เอิร์ธว่า "พี่คิดว่าผมกับวินเข้ามาได้ เพราะจะเป็นเครื่องมือให้คุณวรพัฒน์แทรกแซงซูเม่"
   “พี่ไม่ได้คิดขนาดนั้นนะเอิร์ธพี่แค่.....”
   “แต่พี่เจนคิด พี่กายก็คิด" เอิร์ธว่า "วันนั้นเค้าสองคนถึงมาห้องผม และพูดกับวินแบบนั้น พวกเค้าคิดว่าการที่วินได้งานแฟชั่นวีค เป็นการเริ่มเทคโอเวอร์บางอย่าง พวกพี่คิดว่าผมกับวิน อยู่คนละฝั่งกับพวกพี่ พวกพี่คิดว่าผมเป็นคนอื่น"
   “พี่ไม่เคยคิดว่าแกเป็นคนอื่นเอิร์ธ สิ่งที่พี่ต้องการก็คือ กันแกออกไปจากเรื่องนี้ให้ไกลที่สุด" มิกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและสั่นเครือ ชายหนุ่มองหน้าคนรักด้วยความห่วงใยที่แสนบริสุทธิ์ เอิร์ธเชื่ออย่างนั้นจริงๆ พี่มิกเป็นคนแบบนี้ ไม่อยากให้ตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองรักต้องไปพัวพันกับแผนการของคนอื่น จากเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อปีก่อน สอนทั้งคู่มากพอแล้ว ที่จะไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนั้น
   "พี่ไม่อยากได้ยินเรื่องพวกนี้ออกมาจากปากของเรา พี่ไม่ได้ต้องการแบบนี้ ตอนที่บอกว่าอยากให้เรามาอยู่ด้วย พี่ไม่ได้นึกว่ามันจะเป็นแบบนี้" มิกพูด "พี่ไม่เคยต้องการให้เราเข้ามาอยู่ในโลกของ....”
   “Loveless Society” เอิร์ธพูดต่อคำทันที พลางมองพี่มิกด้วยความอ่อนโยน ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับมือของพี่มิกเบาๆ ก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเจ็บปวดทั้งคู่ที่มองกลับมาหาเอิร์ธอยู่อย่างนั้น
   “พี่มิก....รู้ป่ะ ทำไมผมถึงกลับไป Lovable Studio” เอิร์ธว่า "ผมก้าวพ้นกรอบของที่บ้าน ได้ ทำโปรเจ็คจบได้คะแนนดีได้ ผมทำได้ถึงขนาดนั้นแล้ว ผมสามารถไปที่ไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่สตูดิโอสาม Lovable Studio แต่ผมกลับไปพี่......เพราะอะไรรู้ป่ะ.....เพราะคนรักผมอยู่ที่นั่น ความรักผมอยู่ที่นั่น.....ผมกล้าวิ่งกลับไปหามันพี่และผมจะวิ่งเข้าใส่มัน ผมไม่กลัวความเจ็บปวดอีกแล้ว เพราะผมรู้ว่า ยังไงถ้าเป็นพี่ ผมยอมทำได้ทุกอย่าง"
   มิกมองหน้าเอิร์ธอยู่อย่างนั้น
   “แต่ทำไมถึงเป็นพี่วะ พี่ผลักผมออกจากเรื่องพวกนี้อ่ะ” เอิร์ธว่า “พี่กลัวผมเจ็บเหรอ เจ็บเพราะเรื่องของพวกพี่งั้นเหรอ กลัวว่าถ้าผมเข้ามาเจอเรื่องพวกนี้ แล้วผมจะหดหัวหนีหายไปเหรอ.....ขอโทษเหอะพี่ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมไม่ใช่คนที่จะไม่สู้โดยเฉพาะในเกมส์ที่ผมมีโอกาสชนะ....ขาดบางเกมส์ผมแพ้แล้ว ผมยังสู้ต่อเลย"
   มิกก้มหน้าลงทันที
   “พี่ไล่ผมออกไปจากเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ผมอยู่ใน Loveless Society พี่" เอิร์ธว่า "แต่ Loveless Society มันจบไปแล้ว และมันจะไม่เกิดขึ้นอีก และผมสาบานแน่ๆ ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเราสองคน พี่เจน พี่กาย จะไม่มีวันได้กำหนดเรื่องของเราสองคน และที่สำคัญเรื่องของผม เรื่องของเรา เราต้องจัดการกันเองได้สิพี่"
   มิกนึกถึงคำพูดของสาขึ้นมาในความคิด
   …..งั้นแกก็เห็นแก่ตัวมาก ที่คิดจะมีความรักโดยไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บ.....
   …..ในเมื่อน้องมันวิ่งใส่แกขนาดนี้แล้ว ก็แสดงว่ามันไม่กลัวอะไรแล้วเว่ย.....
   …..ทำไมเรื่องของคนสองคน ถึงต้องคนอื่นมาจัดการ มาบงการให้ล่ะ ทำไมเราสองคนถึงจัดการกันเองไม่ได้....
   “แต่ว่าเรื่องในซูเม่ที่เกิดขึ้นอ่ะ มันจะทวีความรุนแรงขึ้นกว่านี้นะ" มิกว่า "ยิ่งเรากับวินเข้าใกล้แฟชั่นวีค การกระทบกระทั่งกันจะยิ่งมากกว่านี้ และคุณวรพัฒน์จะเข้ามาคลุกวงในด้วยอย่างแน่นอน พี่ไม่แน่ใจว่า เราจะรับมือกับมันได้ไหม แล้วถ้าถึงเวลานึงที่เราต้องเลือกฝั่งกัน เรากับพี่ อาจจะต้อง....”
   “ไม่พี่ มันจะไม่เกิดขึ้น" เอิร์ธว่า “เราสองคนจะต้องอยู่ฝั่งเดียวกัน"
   “เอิร์ธ อย่าคิดอะไรเป็นเด็ก ในโต๊ะผู้บริหารซูเม่ กำลังมีใครบางคนคิดถึงผลประโยชน์ มากกว่างานสร้างสรรค์นะ" มิกว่า "เรากับวินรู้ดีอยู่แกใจ"
   เอิร์ธมองไปยังสวนเบื้องหน้าพลางคิดอะไรบางอย่าง วินได้ตระหนักเรื่องนี้ไว้มากแค่ไหนนะ
   “วินต้องการอะไรในซูเม่ พี่ก็ยังไม่รู้" มิกพูดต่อ "พวกพี่คุยกันแล้ว ว่าลูกชายของคุณวรพัฒน์มีแผนบางอย่าง พี่ไม่แน่ใจว่า....."
   “พี่เชื่อใจผมกับวินเหอะ" มิกว่า "ไม่สิ....ผมเปลี่ยนใจพี่ไม่ได้หรอก งั้น พี่เชื่อใจผมได้ป่ะล่ะ ผมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมจะไม่พูดให้พี่เปลี่ยนใจไปเชื่อใจวิน แต่.....ผมรู้ เชื่อดิ"
   “เอิร์ธ...วินเป็นลูกชายคนเดียวของคุณวรพัฒน์นะ" มิกย้ำ "เค้าจะทรยศพ่อเค้าเองได้ยังไง.....”
   เอิร์ธสะดุดกับคำพูดนั้นของมิกเข้าอย่างจัง วินมีกำลังแค่ไหน ที่จะหนีออกจากเงื้อมือของพ่อตัวเอง เอิร์ธรู้ดีถึงกิตติศัพท์ความเหี้ยมของคุณวรพัฒน์ นักธุรกิจคนนี้มีความเข้มงวดและโหดเหี้ยมพอที่จะเสียเงินยี่สิบล้านไปเปล่าๆ เพื่อให้ลูกชายลงเรียนในคณะที่เขาต้องการ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะลงทุนกับอะไรที่ต้องเห็นผลในอนาคต
   “เรากลับกันเหอะพี่ จะมืดแล้ว" เอิร์ธว่า มิกถึงกับตามไม่ทันนัก กับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปไวของเอิร์ธ "ผมอยากทานสเต็ก พี่มิกเลี้ยงหน่อยสิ"
   “อ...เอางั้นเหรอ" มิกว่า "เรายังคุยกัน.....”
   “เราคุยกันจบแล้วพี่ ผมขอให้พี่ื่เชื่อใจผมไง" เอิร์ธว่า "และพี่ก็ต้องทำป่ะ แฟนกันก็ต้องเชื่อใจป่ะ"
   “แต่ว่า....”
   “เห้ย.....เอาจริงดิ" เอิร์ธร้อง "ไม่เชื่อกันจริงดิ"
   มิกถอนหายใจครั้งหนึ่งอย่างเสียไม่ได้
   “โอเค้....ไอ้ตัวแสบ....ตกลง.....” มิกว่า "เชื่อ"
   “ก็แค่นั้น" เอิร์ธว่า "ไปกันเหอะพี่"
   เอิร์ธและมิกเดินออกจากสวนไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะรีรอ เอิร์ธเร่งฝีเท้าไปอย่างรวดเร็วพอๆกับความคิดที่กำลังแล่นโลดในหัว หวังในใจว่าวินจะมีเครื่องมือที่จะใช้แก้เกมส์นี้เอาไว้แล้ว เพราะนั่นจะทำให้เขาหายกังวลได้ดีมากเลยทีเดียว
….........
   วินรีบรุดไปตามถนนตัดริมโบสถ์โรสแมรี่ ไปยังบ้านพักแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกัน ผมการประชุมออกมาแล้ว และที่เขาถืออยู่ในมือก็คือข้อสัญญาการตกลงร่วมธุรกิจคร่าวๆและตารางนัดหมาย เขาคิดเอาไว้แล้วว่าเจนจิราและทุกๆคนในโต๊ะบริหารฝ่ายดีไซน์จะไม่ยอมเสียโอกาสนี้ แล้วเครื่องมือที่เขามี มันจะถูกใช้อย่างสัมฤิทธิ์ผล
   ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปจนกระทั่งถึงห้องพักของคนที่จะมาพบ เคาะประตูลงไปอย่างเร่งรีบ ก่อนที่มันจะเปิดออกทันที
   “อ้าว คุณวิน" เสียงของจีโอดังทักทาย "มาซะค่ำเชียว เข้ามาก่อนๆ"
   วินเข้าไปในห้องทันที
   “มามา ดื่มอะไรกันหน่อย อากาศแบบนี้มันน่า......”
   “ไม่ดีกว่าจีโอ ผมเพิ่งเลิกงานน่ะ อยากจะกลับบ้านมากกว่า เคลวินเค้ารออยู่ด้วย" วินว่าพลางมองไปรอบๆดูห้องของจีโอพอเป็นพิธีว่าเขาอยู่เป็นอย่างไรบ้างในปารีส "นี่ครับ ตัวอย่างเงื่อนไขคร่าวๆ สัยญาดราฟท์แรก แล้วก็ตารางนัดหมาย ทางซูเม่ สนใจข้อเสนอของคุณ"
   “ว้าว" จีโอร้องเสียงดัง พลางรับแฟ้มในมือของวินมาถือเอาไว้แล้วเปิดออกดู "นี่เลดี้คนนั้น เค้าเอาข้อเสนอผมเข้าที่ประชุมทันทีอย่างที่พูดด้วยเหรอเนี่ย"
   วินอมยิ้มน้อยๆ
   “คุณมีนัดกับเธอวันเสาร์นะครับ" วินพูดขึ้น "เธอไม่สะดวกในช่วงหลายวันที่เหลือนี้"
   “งั้นเหรอ" จีโอร้องเสียงหลง "ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สวยมาก เป็นไปตามที่เราต้องการสินะวิน"
   “ไม่ครับ ผมไม่มีส่วนในเรื่องนี้ ผมจะยกทุกอย่าง ให้อยู่ในชื่อคุณ ที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ เรื่องหลักประกันต่างๆ ไม่เคยเกิดขึ้นครับ" วินว่า "ผมขอให้เป็นตามนั้นนะครับ"
   “งั้นตามนั้น ผมจะทำในชื่อของผม ให้เต็มที่" จีโอยื่นมือมาหาวินทันที "หวังว่าเราจะไปได้สวย จนกว่าจะถึงแฟชั่นวีคนะคุณวิน"
   “เช่นกันครับ" วินตอบพลางยิ้มให้ ก่อนจะไปที่ประตูเพื่อกลับ
   “เอ่อ....วินคุณบอกเคลวินหรือเปล่า เรื่องร้านที่จะเปิดให้เค้า" จีโอถามขึ้น วินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาจีโอ
   “ก็.....กำลังจะบอกครับ" วินพูด ไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมด
   “อ่อ....โอเค แล้วเลดี้คนนั้น เค้าเอ่อ......” จีโอพูดพลางทำท่าทางตลกๆมองมาทางวิน "คุณก็รู้อ่ะ....”
   “อ๋อ....ไม่รู้สิครับ" วินว่า "เธอไม่ค่อยควงใครให้เห็นเท่าไหร่ แต่ผมเดาว่า เธอเป็นพวกบ้างานจนอาจจะไม่เคยมี....คุณก็รู้อ่ะ"
   วินยิ้มให้จีโอที่กำลังยืนยิ้มกับตัวเองอยู่อย่างนั้น ก่อนจะขอตัวออกจากบ้านพักของจีโอมาทันที
   อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้พลาดอะไรไปอย่างที่คิด และแน่นอนว่าเอิร์ธจะต้องเลิกกังวลเสียทีว่ามันจะขัดข้อง การที่จีโออยากจะสนิทสมกับเจนจิรามากขึ้นไปแบบนี้สำหรับวินแล้วถือเป็นกำไร นั่นไม่ได้ส่งผลเสียหรือดีอะไรต่อเขามากนัก เจนจิราไม่ได้มีผลกับเขา สำหรับวิน เจนจิราคือผู้หญิงที่มีไฟแห่งความสร้างสรรค์อยู่เต็มเปี่ยม และยึดมั่นในอุดมการณ์ของครีเอทีฟเอามากๆ ในขณะที่เขาอยากจะสนับสนุนคนแบบนี้แบบจริงๆจังๆ ไม่ได้เห็นทุกอย่างเป็นเม็ดเงินไปเสียหมดเหมือนอย่างพ่อของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะปฏิเสธไม่ลงว่า ก็แอบไม่ชอบเจนจิราอยู่บ้าง ด้วยบุคลิกหยิ่งทนง และเต็มไปด้วยอีโก้ของเธอ
   วินใช้เวลาที่เหลืออีกสามชั่วโมงกลับไปช่วยงานที่ร้านเกล็ดหิมะ แม้ว่าร่างกายของเขาแทบจะแตกออกเป็นสองเสี่ยงอยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากผิดสัญญากับเจ๊ใหญ่ คนปารีสในฟดูใบไม้ผลิแบบนี้ สามารถนั่งแช่ในร้านกาแฟได้จนดึกดื่น บาริสต้าจึงสามารถอยู่ชงกาแฟได้จนถึงสี่ห้าทุ่ม และนั่นทำให้วินได้เงินค่าทำงานล่วงเวลาเพิ่มไปอีก เขาเก็บมันเอาไว้อย่างดี สถานะการเงินของเขาดีขึ้นเป็นลำดับ นอกจากค่าตอบแทนจากซูเม่ที่กลายเป็นงานประจำแล้วก็ยังมีเงินจากเกล็ดหิมะแห่งนี้อีก เงินที่เขาเก็บได้ตรงนี้ ก็จะเป็นอีกก้อน ที่เขาเผื่อเอาไว้สำหรับแผนสอง ถ้าเกิดมันผิดพลาด ยิ้มกริ่มในใจด้วยความสะใจ พ่อก็สอนให้เขารู้จักเส้นทางบริหารธุรกิจมาเยอะ และเขาก็เป็นเจ้าวินจอมวางแผนสุดแสบอยู่แล้ว และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด
   ล่วงเลยเวลาไปเกือบเที่ยงคืน กว่าวินจะเก็บกวาดทุกอย่างในร้านเกล็ดหิมะจนเสร็จสรรพเรียบร้อย และเดินทางกลับไปยังบ้านที่ถนนทอร์ควิลอีกครั้ง ท้องถนนที่เงียบสนิทยามค่ำคืนแบบนี้เขาชินเสียแล้ว และเดินไปตามทางโดยสัญชาตญาณตัวเองมากกว่าใช้สมองไปแล้วด้วย ชายหนุ่มเดินตัดที่หัวมุมถนนไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตึกของตัวเอง ทันใดนั้นความรู้สึกประหลาดก็เข้ามาแทนที่ วินเหลียวหลังไปดูก็พบเพียงท้องถนนที่ว่างเปล่า แปลกที่วันนี้เขารู้สึกถึงอะไรแปลกๆ มันเหมือนมีคนอื่นที่เดินตามเขามาอย่างนั้น
   วินขมวดคิ้วด้วยความตื่นกลัวครั้งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มออกเดินต่อ เพ่งสมาธิไปที่เสียงฝีเท้า เสียงฝีเท้ากระทบพื้นที่วินได้ยินตอนนี้ กลับไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียว เขามั่นใจ วินรู้สึกถึงบางอย่างที่เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นไล่ตามหลังเขามาเร็วขึ้น วินไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังไปมอง ท้องถนนที่ว่างเปล่าตอนนี้ไม่ได้มีแต่เขาซะแล้ว
   วินเร่งฝีเท้าไปยังประตูที่อยู่ตรงหน้า ตั้งสติเต็มที่เพื่อที่จะกดรหัสอย่างรวดเร็วและเข้าไปในตึกให้เร็วที่สุด เขาไม่อยากยืนอยู่ตรงประตูนานๆ คนคนนั้นอาจจะบุกเข้ามาทำร้ายเขาได้จากตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปที่ประตูและ
   “วิน"
   “เห้ยยย ปล่อยยยยยนะ" วินร้องตะโกนโวยวายเมื่อร่างร่างนึง แตะตัวของเขาจากด้านหลัง วินใช้กำลังทั้งหมดที่มีสะบัดตัวออกจากมือที่พยายามจับตัวเค้าไว้และ...
   “วิน วินคับ นี่ชั้นเอง" ไกด์จับตัววินล็อคได้สำเร็จและดันตัววินเข้าไปติดประตู โดยใช้ตัวดันตัววินที่เล็กกว่าไปติดประตู วินหยีตาด้วยความกลัวก่อนจะค่อยๆเผยอตามองคนที่กระทำกับเขา
   “โธ่....ไกด์ ตกใจหมด" วินร้อง พลางลดความเกร็งตัวลง ไกด์จึงปล่อยตัววินออกและเขยิบช่วงตัวออกมาจากการเบียด
   “ตกใจอะไร" ไกด์ว่า "ชั้นเอง มีอะไรเหรอ"
   วินมองหน้าไกด์ แม้ว่าสีหน้าจะยังคงตื่นกลัวอยู่
   “ม...ไม่มีอะไรอ่ะ....” วินว่า "นายอ่ะแหละ ออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆ"
   “ก็นายไม่กลับอ่ะ" ไกด์ว่า "เป็นห่วง ก็เลยว่าจะไปตาม"
   “แล้วรู้เหรอ ว่าเจอชั้นได้ที่ไหนอ่ะนาย" วินว่า
   “เกล็ดหิมะ" ไกด์ว่า "คิดว่า นายต้องชงกาแฟอยู่ที่นั่นแน่"
   “อืม....” วินว่าพลางหันหลังไปกดรหัสประตู มันส่งเสียงดังติ๊ด ก่อนที่ทั้งคู่จะเปิดประตูเข้าไปในตัวตึก "แต่ไหนว่ายังไม่อยากกลับไปเกล็ดหิมะไง"
   “ก็....ไม่ได้กะจะเข้าไปในร้านอ่ะ ก็แค่อยากไปดูให้แน่ใจว่า นายอยู่ที่ร้าน แค่นั้น" ไกด์ว่า ขณะเดินตามวินขึ้นบันไดไปยังห้องของทั้งคู่
   “แอบดูอยู่นอกร้านเนี่ยนะ ทำตัวเป็นพวกโรคจิตแอบส่องสาวไปได้" วินว่าพลางไขกุญแจห้อง และเข้าไปข้างใน
   “อืมม....ก็คงอย่างนั้นมั้ง" ไกด์ว่า ขณะเดินตามเข้ามา
   “หือ...” วินเหล่มองไกด์ทีนึง ก่อนจะส่ายหน้า พลางถอดเสื้อโค้ทออก "โอยยยยยยย ไกด์ นายออกไปแล้วทำไมยังเปิดฮีตเตอร์ไว้ล่ะ ไม่ปิดล่ะค้าบ"
   “ปิดแล้วค้าบคุณหนู" ไกด์ว่ากลับ "มันยังอุ่นอยู่เพราะชั้นเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง ยังไม่ทันจะเลี้ยวออกจากหัวมุมตึกเลย ก็เจอนายวิ่งหน้าตั้งมาแล้วน่ะ"
   วินหันมาไกด์ทันที
   “ห๊ะ นายเจอชั้นข่างล่างนี่เองเหรอ" วินว่า
   “อื้อ" ไกด์่ว่า "มีอะไรเหรอ"
   วินมองไกด์หน้าตาตื่นอยู่พักนึง ก่อนจะรุดไปเปิดแง้มผ้าม่านระเบียงของห้องและมองลงไปที่ถนนทอร์ควิลเบื้องล่าง ไกด์เดินตามมาวินมาทันที
   “มีอะไรเหรอวิน" ไกด์ถามเสียงเบาๆ พลางมองลงไปยังท้องถนนที่ว่างเปล่า เช่นเดียวกับวิน
   “ไม่มีอ่ะ" วินว่าพลางทำเสียงเงียบขรึม ก่อนจะหันกลับมาหาไกด์ "ไม่มีหรอก นาย...ไปนอนเหอะ เดี๋ยวฉันตามไป"
   วินปิดผ้าม่านลงตามเดิม ไกด์มองหน้าวินเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง วินอ่านสายตาแบบนั้นได้ เขาอมยิ้มน้อยๆ พลางจับไปที่ไหล่ของไกด์
   “ไม่ต้องเป็นห่วงคับ ไม่มีอะไร" วินว่าพลางยิ้มให้ ไกด์มองหน้าวินอย่างเพ่งพินิจอยู่พักนึง ก่อนจะปรากฎรอยยิ้มจางๆบนใบหน้านั้น
   “จ...จริงนะ" ไกด์ว่า
   “อื้อ นายไปนอนเหอะ" วินว่า พลางจับตัวไกด์หมุนหันหลัง และผลักให้ไกด์เดินไปยังประตูห้องนอน "ผมจะได้อาบน้ำแล้วตามคุณเข้าไปนอนนะครับคุณไกด์"
   ไกด์ยอมให้วินผลักตัวเขาเดินไปข้างหน้าอย่างว่าง่าย แม้ว่าวินจะไม่ได้รู้สึกโล่งใจอะไรอย่างนั้น เขาจำความรู้สึกการถูกเฝ้ามองแบบนี้ได้ มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเอามากๆ
   เขากำลังถูกบางอย่างตาม คนที่เดินตามเขามาตั้งแต่หัวมุมถนนทอร์ควิล ความรู้สึกแบบนั้น เขาจำได้แล้ว มันเหมือนกับตอนที่เขาออกไปตะลอนๆทั่วกรุงเทพแล้วมีคนตาม เหมือนกับตอนที่เขาลงไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่ภูเก็ตแล้วมีคนคอยเฝ้ามอง
   การติดตามแบบที่เขาเคยเจอมาก่อน จากสิ่งเดิมๆ
   จากคนของพ่อเขาเอง......
…......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 28 Foe]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-01-2013 06:17:19
เข้มข้น จริงๆ !!


 o13 อ่านมาหลายตอนและตอนนี้อยากบินไปฝรั่งเศส จริงๆ ล่ะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 28 Foe]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 04-01-2013 07:43:31
พ่อของวินจะยอมปล่อยหรือ...ไม่ใช่แน่

วินจะสลัดอาชีพแฟชั่นได้หรือเปล่า

ปะนีปะนอม สองฝ่าย ทำอย่างไร
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 29 Tracking]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-01-2013 03:15:01
ตอนที่ 29 Tracking

“วิน วิน" เสียงของไกด์ร้องเรียกดังขึ้นแม้ว่าวินจะยังนอนนิ่งและดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย ไกด์พยายามล็อคตัววินให้อยู่นิ่งๆให้ได้มากที่สุด แม้ว่าตอนนี้ วินจะแสดงสีหน้าออกมาว่ากำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก ใบหน้าที่กำลังหลับสนิท แต่แสดงออกมาถึงซึ่งสิ่งที่ไม่ปลอดภัย ไกด์พลิกตัวขึ้นมาคร่อมตัวของวินที่เริ่มเอามือไม้ปัดป่ายตรงหน้าไปทั่ว ไกด์จับมือเหล่านั้นล็อคลงกับเตียงทันที ก่อนจะเพ่งมองไปยังวินที่ส่ายหน้าไปมา
   “วิน.....วิน" ไกด์เรียกเสียงดังอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งวินเริ่มสงบลงร่างกายที่เหนื่อยหอบของวินชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไกด์ปล่อยมือออกจากข้อมือที่ล็อควินไว้กับเตียง พลางเอื้อมมือไปทิชชูที่วางอยู่หัวเตียงแล้วค่อยๆเช็ดเหงื่อออกจากซอกคอของวินอย่างเบามือ
   ในเวลานั้นเองที่วินค่อยๆลืมตาขึ้น ด้วยความรู้สึกหนักที่ตัว พบกับไกด์ที่คร่อมตัวของเขาอยู่และเช็ดใบหน้าของเขา วินมองไกด์อยู่อย่างนั้น ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความตื่นกลัวแม้ว่าจะลดลงไปมากแล้วจากเมื่อครู่
   “ไกด์" วินร้องเรียกเบาๆ มองไปยังใบหน้าที่ไม่ค่อยเด่นชัดนักในความมืด "ฉัน...”
   “ฝันร้ายฉันรู้" ไกด์ว่า พลางเปลี่ยนท่าไปเป็นนอนลงข้างๆแทน พลางเปิดโคมไฟที่หัวเตียงและโยนทิชชู่ที่ชุ่มเหงื่อลงถังขยะ เมื่อวินเห้นไกด์ตื่นเต็มที่เอากลางดึก ก็เลยขยับตัวลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงไปที่หัวเตียง เช่นเดียวกับไกด์
   “ฉ...ฉันทำนายตื่นเหรอ" วินว่า
   “อืม" ไกด์ว่า "ก็นายดิ้นซะ....ฉันตกใจ ก็เลยลุกขึ้นมาดู"
   “โทษที ฉันฝันไม่ดีน่ะ" วินว่า
   “นายแค่ทำงานเยอะเกินไป แล้วก็ใช้หัวเยอะเกินไป" ไกด์ว่า "คิดเยอะ ก็เลยเก็บไปฝัน"
   “จะไม่ถามกันหน่อยเหรอ ว่าฝันว่าอะไร" วินถามเบาๆ
   “ใครเค้าให้เล่าฝันร้ายกันล่ะนาย บ้าป่าว" ไกด์ว่า "เค้ามีแต่ให้ลืม....เรื่องร้ายๆที่อยู่ในความฝันก็ต้องมีตัวตนอยู่แค่เฉพาะตอนหลับสิ พอเราตื่นขึ้นวันใหม่ก็ต้องเริ่มต้นขึ้นละ"
   วินถอนหายใจทันทีพลางมองออกไปที่หน้าต่าง ฟ้าด้านนนอกยังคงมืดสนิท หรือมันอาจจะเป็นอย่างที่ไกด์ว่า พักนี้เขาคงทำงานหนักมากเกินไป
   “ฉันคงทำงานหนักมากไป" วินพูดกับตัวเอง พลามองหน้าไกด์ที่มองเขาอยู่
   “อ่าหะ" ไกด์ว่า พลางเลิกคิ้วมองวิน ลูกคุรหนูตัวแสบ เวลาหมดแรง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง "แล้วยังไง จะนอนต่อมั้ย"
   “ยังก่อน" วินว่า "ขอนั่งหายใจแป้บ"
   ไกด์วางมือของตัวเอง ไปบนมือของวิน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของมือนั้น เป็นอีกครั้งที่ความอบอุ่นได้ค่อยๆเคลื่อนขึ้นมาจากมือนั้น ไหลไปทั่วตัวของวิน เขาไม่เข้าใจเลย ทำไมเจ้าบาริสต้าคนนี้ถึงสามารถทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้ หมอนี่ทำให้เขารู้สึกเชื่อมั่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหน
   “ชั้นเคยขอบใจนายหรือยัง" วินพูดเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบ
   “เรื่อง?" ไกด์ถามเสียงห้วน
   “ก็ทุกเรื่องอ่ะ" วินว่า "ที่นายดูแลกัน"
   ไกด์ยิ้มเบาๆในความมืด
   “เคยแล้ว" ไกด์ว่า
   “เหรอ" วินว่า "ฉันเคยขอบคุณไปแล้วงั้นสิ...แต่ฉันก็ยังไม่เคยทำอะไรตอบแทนนายเลยซักที"
   “คิดเยอะอีก เดี๋ยวก็ฝันร้ายอีกหรอก" ไกด์ว่า "ไม่ต้องคิดแล้ว"
   “นายเคยหยุดคิดได้รึไงเล่า" วินว่า
   “ได้ดิ" ไกด์ว่า
   “จะบ้าเหรอ ใครมันจะไปหยุดคิดได้เล่า" วินร้อง
   “ก็เวลาที่เราต้องเพ่งสมาธิไปที่อะไรอย่างเดียวไง" ไกด์ว่า "เวลาฉันคิดอะไรจนเครียดมาเกินไป ฉันก็จะหาอย่างอื่นทำ อย่าง ทำอาหารหรือชงกาแฟ"
   “นายทำเรื่องพวกนั้น เพราะนายไม่อยากคิดถึงก้องไม่ใช่เหรอ" วินถาม
   “ตอนแรกมันก็ใช่" ไกด์ว่า "แต่พอทำไปจริงจังเข้า มันก็รู้สึกสงบดีนะ"
   “สงบเหรอ" วินว่า "อืม จริงๆแล้ว เวลาฉันคุยกับนายเนี่ย ฉันก็รู้สึกสงบเหมือนกันนะ"
   “ขนาดนั้นเลยเหรอ" ไกด์ว่า
   “อ่าหะ" วินว่า "ก็ฉันก็ต้องเพ่งสมาธิฟังนายไง ว่านายโกหกหรือเปล่า"
   “ทำไมอ่ะ" ไกด์ว่า "ฉันมัน....ไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ"
   “ฉันหมายถึงตอนแรกๆที่เราเจอกัน" วินพูดแย้ง
   “งั้นก็หมายความว่า ตอนนี้ไว้ใจแล้ว ใช่ป่ะ" ไกด์เขยิบตัวเข้ามาใกล้วินมากขึ้นอีก วินมองหน้าไกด์ด้วยแววตาที่ใสแป๋วสะท้อนกับแสงไฟ ไกด์มองลึกเข้าไปดวงตาที่เป็นประกายเพราะความกึ่งลับกึ่งตื่นคู่นั้น
   “ก...ก...ก็" วินพูดไม่เป็นคำนัก เวลาไกด์ทำแบบนี้ทีไร เขารู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเองขึ้นมาทันที ใบหน้าที่หล่อเหลาสะท้อนกับแสงไฟเรื่อๆแบบนี้ มันดูต่างจากไกด์ในเวลาปกติ และมันกำลังทำให้เขาไปไม่ถูกอีกแล้ว
   “ว่าไงอ่ะ" ไกด์ไล่ต้อนเค้าอีกแล้ว
   “ก็...อื้อ" วินลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ เมื่อไกด์ขยับหน้ามาใกล้เขามากขึ้นทุกที
   “จริงนะ" ไกด์ถามต่ออีก
   “ทำไมอ่ะ..จ....จะอยากรู้ว่าฉันคิดอะไรยังไงขนาดนั้นไปเพื่อ" วินว่า พยายามทำทุกอย่างให้ปกติที่สุด
   “ก็ฉันเคยบอกนายแล้วนี่ ว่าฉันกำลังจีบนายอยู่" ไกด์ว่า พลางอมยิ้ม วินยอมรับเลยว่าโชคดีที่มันมืด ไม่อย่างนั้น ไกด์จะรู้แน่ๆว่าเขากำลังหน้าแดง
   “พูดบ้าไรของนายเนี่ย" วินร้องพลางเบนหน้าหนีการรุกคืบของไกด์ แต่ทว่าไกด์ก็ใช้มือจับคางของวินให้หันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
   “บอกแล้วไงว่าอย่าคิดเยอะ" ไกด์ว่า "นายต้องหาอะไรเพ่งสมาธิไปแล้วล่ะ"
   “อ...อะไรอ่ะ" วินว่า
   “ก็ชั้นไง"
   ไกด์แตะริมฝีปากของตัวเองกับวินเบาๆ ความเย็นเยียบของริวฝีปากของสัมผัสเขาอยู่พักนึง ไกด์  จงใจแช่รอยจูบนั้นไว้ซักพักเพื่อชั่งใจ
   วินหลับตาลงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาไม่อาจต้านทานความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ ความไว้ใจ และสงบนิ่งที่จู่โจมเข้ามาในหัวใจ เขาต้านมันไม่อยู่อีกแล้ว
   วินจูบไกด์ตอบกลับไปอย่างไม่มีการต่อต้าน ความรู้สึกหวิวอย่างประหลาดก่อตัวขึ้นกับทั้งคู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไกด์เอื้อมมือไปยังหลังคอของวิน ก่อนจะโถมตัวเองเข้าหาชายหนุ่มอย่างเต็มตัว เขาประคองหัวของวินลงกับที่นอน อย่างนุ่มนวลและวางศรีษะของวินลงกับหมอน วินได้แต่มองหน้าไกด์ที่หายใจหอบถี่รดใบหน้าของเขาอยู่อย่างนั้น แม้ว่าเขาเองก็ใจเต้นรัวเป็นกลองไปแล้ว เมื่อรู้ว่าตอนนี้ ร่างของไกด์ได้เบียดแนบมาหาเขาจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายที่มากระทบตัวภายใต้ผ้านวมที่หนานุ่ม เสียงลมหายใจของไกด์และวินที่รดกันภายใต้ใบหน้าที่แนบชิดกันนั้น แทนคำพูดอีกหลายคำที่ไม่มีใครเอ่ยออกมา ทั้งๆที่ในใจขอทั้งคู่ ยังมีอะไรอีกมายมาย ที่ซ่อนอยู่
   ไกด์หลับตาลงแตะจมูกตัวเองลงกับจมูกของวิน เหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ไกด์หายใจหอบถี่ขึ้น พลางขมวดคิ้ว ร่างกายที่โอบตัววินไว้เกิดอาการเกร็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด วินพอจะเข้าใจอาการแบบนี้ เขาไม่ได้เห็นมันเป็นครั้งแรก ไกด์กำลังชั่งใจตัวเองเรื่องของเขา วินรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและสับสนนั้น ยิ่งอาการนั้นมันเกิดขึ้นใกล้ตัวเขามากขนาดนี้ ความเจ็บปวดและสับสนของไกด์กำลังทำให้วินพลอยเสียใจไปด้วย
   วินค่อยๆโอบแขนตัวเองขึ้นไปไว้รอบคอของไกด์เอาไว้ ชายหนุ่มเมื่อเห็นวินทำอย่างนั้นแล้วก็ลืมตาขึ้นมองวินที่นอนอยู่เบื้องหน้าตัวเอง
   “....ฉ....ฉันจะกลับไปเป็นคนเดิมอีกไม่ได้" ไกด์พูดเป็นเสียงกระซิบ "ชั้นทำร้ายนายไม่ได้วิน"
   วินไม่อยากให้เขาและไกด์หยุดอยู่กับความอึดอัดตรงนี้ มันทรมาณเกินไป ในเมื่อทุกๆอย่างที่เขาทำมา ยอมแลกหมด เพื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
   ดังนั้นตอนนี้ วินาทีนี้
   เขาตัดสินใจแล้ว
   “นายไม่ได้จะกลับไปเป็นคนเดิม" วินกระซิบบอก "แต่นาย.....คือคนใหม่ต่างหาก"
   “คิดงั้นเหรอ" ไกด์ถามกลับ "ไว้ใจฉัน ใช่ไหม"
   “นายคิดไม่ถึงเลยล่ะ" วินว่า
   และครั้งนี้ วินก็ปล่อยความรู้สึกทั้งหมดให้ไหลตามไกด์ไป ตอนนี้ เขาไม่รับรู้แล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับไกด์ จะเป็นเหมือนเอิร์ธกับแฟนของเขาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ นี่คือสิ่งที่เขาวางใจ เขายอมทุกๆอย่างแล้วกับผู้ชายคนนี้ เขาไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
   “ว...วิน...ชั้น....ชั้นเอ่อ...” ไกด์ผละออกจากการจูบ มากระซิบเบาๆที่ข้างหูของวิน "ชั้นขอนะ"
   วินหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อถามใจตัวเองว่าพร้อมแค่ไหน กับการเดินทางครั้งใหม่นี้
   “..อ...อ่าหะ" คำตอบถูกปล่อยออกไปพร้อมการปล่อยลมหายใจ
   ไกด์ยิมให้วินครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มบรรเลงบทเพลงรักที่หอมหวานและอบอุ่นที่สุด อย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยทำกับใครมาก่อน เคลวินชายหนุ่มที่รักสนุกอย่างไร้ชีดจำกัดคนก่อนนั้น ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ร่างที่กำลังปลดกระดุมเสื้อของวินอย่างช้าๆและนุ่มนวลนั้น เป็นสิ่งที่อบอุ่นและสุภาพกว่านั้นมาก ไกด์รู้ตัวเองแล้ว ว่านี่ไม่ใช่การทดแทนสิ่งที่เขาขาดหายไป แต่มันคือการเติมบางอย่างเพิ่มขึ้น เขาสามารถปราบพยศของคุณหนูเจ้าปัญหาลงได้แล้วในที่สุด จุดนั้น คือจุดเปลี่ยนสำคัญของตัวเขาเองมาตั้งแต่แรก มันไม่ได้เกี่ยวกับก้องอีกแล้ว วินพูดถูกตั้งแต่ต่อยเขาเข้าที่หน้าในวันนั้น ก้องจากเขาไปแล้ว แต่สำหรับวิน คนคนนี้คือจุดเปลี่ยนต่างหาก.....เปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนใหม่
   เสื้อนอนของวินถูกถอดออกไปจนหมด ไกด์มองร่างอันนวลขาวของวินพลางหัวเราะเบาๆ ขณะที่มือลูบไปเบาๆตามลำตัวที่เนียนขาว วินหลับตาลง ปล่อยอารมณ์ตัวเองไปอย่างไม่มีการปิดกั้นอีกต่อไป แม้ว่าจะมีความตะขิดตะขวงเล็กๆอยู่บ้าง ซึ่งความรู้สึกนั้น ทำให้เขาเกร็งตัวเบาๆ ไกด์ขำจริงๆกับท่าทางแบบนั้น
   “นี่เป็นครั้งแรกของนายเหรอวิน" ไกด์กระซิบถาม "ต้องไม่ใช่กับลูกคุณหนูเอาแต่ใจอย่างนายดิ"
   วินกัดฟันพลางส่ายหน้าเบาๆ หมอนี่คิดไม่ออกหรือไงกันนะ
   นี่ไม่ใช่เซกซ์ครั้งแรกของเขา.....แต่เป็นครั้งแรกของเขา กับผู้ชายด้วยกันต่างหาก
   วินยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติที่สุดตอบไกด์ไปแทนคำพูด ไกด์ยิ้มเบาๆ ก่อนจะถอดเสื้อของตัวเองออกเผยให้เห็นกล้ามตามลำตัวและท่อนแขนที่สมส่วนและไกด์ไม่รีรอที่จะถอดเอาปราการชิ้นสุดท้ายของตัวเองออกตามไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มทาบตัวเองที่เปลือยเปล่าเข้าหาวิน ร่างเล็กๆหลับตาปี๋ ไกด์รู้ทันที ว่านี่เป็นครั้งแรกของวิน และเขาจะไม่ยอมให้ค่ำคืนที่อ่อนหวานนี้ต้องทำร้ายความรู้สึกของวินมากจนเกินไป ชายหนุ่มวางมือเบาๆไปตรงจุดอ่อนไหวของวินที่ยังอยู่ภายใต้กางเกงนอน
   “รู้นะ ว่านายก็ไม่ได้ทำอะไรกับตัวเอง เพราะว่าเกรงใจฉันอ่ะ" ไกด์พูดประโยคที่กระอักกระอ่วนออกมา เพื่อเริ่มปลุกอารมณ์ของวิน ชายหนุ่มหันมามองหน้าไกด์ด้วยใบหน้าที่แดงจัด "ไม่ต้องกลัวนะวิน ฉันจะไม่ทำอะไรที่นายให้ไม่ได้ ฉันสัญญา"
   วินมองหน้าไกด์ ทำไมคำพูดแบบนี้ของไกด์ ถึงเอาชนะเขาได้ทุกครั้ง
   ไกด์ปลดปราการด่านสุดท้ายของวินออกอย่างง่ายดายในทันที พร้อมกับจูบลงไปทั่วร่างกายที่นวลขาวสะท้อนกับแสงไฟอ่อนๆจากหัวเตียง ร่างที่ไร้สิ่งปิดกั้นของทั้งคู่แนบแน่นเข้าหากันอย่างอิสระ ก่อนที่ร่างของทั้งสอง จะดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความฝัน และเรียบลื่น บทเพลงรักที่ไกด์เป็นคนร่ายนั้นยังคงความอ่อนหวานและพลิ้วไหว เหมือนจะหยอกล้อกับร่างกายที่ห่างเหินความสุขกับตัวเองมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังคงความอบอุ่นเอาไว้ตลอดเกมส์
   คืนนี้อากาศไม่ได้หนาวเย็นอย่างเมื่อก่อนแล้ว โดยเฉพาะเมื่อวินได้รับความอบอุ่นจากอีกร่างที่อยู่กับเขาตรงนี้ มันสวยงามและสงบมากกว่าที่อื่นใดใดบนโลกนี้ เขาเปิดประตูของตัวเองออกจนหมดแล้ว เพื่อรับการเดินทางครั้งใหม่
   เขายอมรับมันเข้าไปหมดทั้งหัวใจแล้ว
   เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อความรู้สึกแบบนี้
   อบอุ่นใจ......
….........
   “จริงเหรอ มันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ" เอิร์ธร้องเสียงหลง เมื่อวินแจ้งให้ทราบว่า จีโอรับข้อเสนอที่เกิดขึ้นหลังจากการประชุมจบลงเป็นที่เรียบร้อย แถมยังปิ๊งปั๊งกับเจนจิราเข้าอีกด้วยเป็นกำไร "อั้ยย่ะ....”
   “อะไรจะดีใจขนาดนั้น ก็กูบอกแล้ว ว่ากูมีแผน" วินว่าพลางก้มลงสเก็ตงานต่อ
   เอิร์ธสะดุดกับคำว่ามีแผนของวินเอามากๆ จริงๆแล้วคำพูดของมิกกับเค้าเหมือนวาน ทำเอิร์ธคิดหนักอยู่ไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นวินก็พิสูจน์อะไรหลายอย่างมาเยอะ เกินกว่าที่ความไว้ใจของเขาที่มีให้ จะมาสั่นคลอนเอาตอนนี้ ไม่ช่ตอนที่พี่สุเมธอยากเห็น 200 สเก็ตสำหรับคอนเซปต์แรกสำหรับแฟชั่นวีคเดือนกันยา
   “ว่าแต่จริงเหรอวะ ที่จีโอเค้าเกิดปิ๊งปั๊งพี่เจนขึ้นมา" เอิร์ธว่า "เค้าดูเป็นคนตลกโปกฮาออกขนาดนั้น ไหงมาปิ๊งปั๊งกับผู้หญิงบ้างานอย่างพี่เจนเราได้วะ"
   “ตอนแรกกูตกใจกว่านั้นอีก" วินว่า "ตอนเจอกับจีโอครั้งแรก กูคิดว่าเค้ามีครอบครัวแล้วด้วยซ้ำ"
   “ห๊ะ" เอิร์ธร้อง "แล้วสรุปว่ามีหรือไม่มีเนี่ย ตายห่า นี่ถ้าพี่เจนรู้ว่าหมอนั่นจีบเค้าทั้งๆที่มีเมียอยู่แล้วล่ะก็..."
   “ก็เพิ่งมารู้จากสเตลล่าทีหลัง ว่าก็ไม่เชิงมี" วินตอบ "จีโอเป็นคนลั่นล้า คบคนนั้น ควงคนนี้ไปเรื่อย เดี๋ยวก็อยู่กินกับคนนั้นสามเดือน เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นอีกคนอีกสามอาทิตย์ไรเงี้ย"
   “โฮ่" เอิร์ธว่า "เพลย์บอยหรอกเรอะ.....พี่เจนหนีเสือมาเจอเสือชัดๆ"
   “พูดอะไรของแกวะ" วินถามขึ้น
   “จำพี่ผู้ชายหล่อๆที่มากับพี่เจนวันนั้นได้ป่ะล่ะ ที่เค้ามาพ่นไฟใส่มึงที่นี่อ่ะ" เอิร์ธถามขึ้น วินเหลือกตานึกอยู่พักนึง
   “อ่าๆ คุณกายสิทธิ์ ฉายาพ่อมดของวงการครีเอทีฟ" วินตอบ "พ่อกูพูดถึงออกบ่อยๆ"
   “คนนั้นอ่ะแฟนเก่าพี่เจน" เอิร์ธลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ
   “จริงอ่ะ" วินว่า "ท่าทางเค้าเหมาะกันออก กูยังนึกว่าเค้าเป็นแฟนกันซะอีก"
   “เห้ยไม่รู้อะไร พี่กายอ่ะ เจ้าชู้ตัวพ่อเลยเหอะ" เอิร์ธว่า "นี่ก็ลดลงมาเยอะ ตั้งแต่ได้แฟนคนใหม่ แต่ก่อนหน้านั้นก็เห็นว่าพี่เจนทนความเจ้าชู้ไม่ไหวก็เลยเลิก"
   “อ่านะ" วินว่า "ว่าแต่มึงเหอะ พักนี้อารมณ์ดี เคลียร์กับพ่อเทพบุตรส่วนตัวมาแล้วอ่ะดิ"
   “เชี่ย" เอิร์ธด่าวินแก้เก้อ "เค้าไม่ใช่เทพบุตรของกูซะหน่อย กูต่างหาก เป็นเทพบุตรของเค้า"
   “โอ้โห เพื่อนกู" วินว่า "ตื่นยังมึง"
   “เออๆ นั่นแหละ.....แต่มึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีละ" เอิร์ธเริ่มเปิดประเด็น "วิน กูอยาให้มึงระวังตัวว่ะ"
   วินขมวดคิ้วทันที
   “ระวังตัว เรื่องไรวะ" วินถามกลับ
   “เรื่องพ่อมึง" เอิร์ธตอบทันที วินถึงกับชักสีหน้าเครียดลงทันตา
   “ทำไม มีใครมาพูดอะไรกับมึงเหรอ" วินถาม
   “ก็ไม่เชิงว่ะ แต่....แฟนกู เค้าขอให้กูอย่าทำตามเกมส์มึง" เอิร์ธพูดออกมาตรงๆ "เค้าไม่อยากให้กูมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในซูเม่นี่"
   “มึงเอาตัวเองเข้ามาเองนะ" วินว่า "กูแค่นำทางให้เฉยๆ"
   “อันนั้นกูรู้แต่ มึงก็รู้ เราสองคนมาไกลจากวันนั้นมาก" เอิร์ธว่า "มึงจำข้อตกลงระหว่างเราสองคนได้ป่ะ ที่มึงจะผลักให้กูทำหน้าที่แทนมึงอ่ะ เป็นหูเป็นตาให้พ่อมึงอ่ะ...กูกำลังคิดว่า"
   “มึงไม่อยากทำแล้ว เพราะมึงกลัวที่จะต้องขัดแย้งกะแฟนมึงช้ะ" วินตอบแทน เขาอ่านใจเอิร์ธออก ปฏิกิริยาของพี่มิกที่มองมายังเขาและเอิร์ธตลอดหลายเดือนที่นี่ทำให้เขาเข้าใจดี
   “ไม่ถึงขนาดนั้น แต่กูไม่อยากให้เกิดการขัดแย้ง" เอิร์ธว่า "มึงรู้ดีนะ ว่าพ่อมึงไม่ยอมรับกูแบบคนเดียว ยังไงมันต้องเป็นมึงที่เป็นหัวหลัก ที่มีกูเป็นแพ็คคู่ต่างหาก มึงเรื่องนี้คิดไว้หรือยัง ว่าจะทำยังไง"
   วินก้มหน้าลงพลางสเก็ตงานโดยที่ลงน้ำหนักมือเกินไปโดยไม่รู้ตัว
   “เอาจริงๆนะเว่ย....กูก็ไม่อยากเป็นเครื่องมือของมึงว่ะ" เอิร์ธพูด "กูไม่ได้จะมาลืมบุญคุญที่มึงดันกูมาถึงนี่นะแต่ว่า...กูหมายความว่า"
   “มึงไม่ต้องคิดมากหรอกเอิร์ธ" วินตอบ "ปัญหาทุกอย่างแม่งต้องแก้ไขได้ดิวะ มึงมีเป้าหมายของมึงและตอนนี้เป้าหมายของมึงถึงที่หมายหรือยังวะ ยังไม่ใช่เหรอ มึงก็เดินต่อไป เท่าที่มึงคิดว่าจะหยุดเมื่อถึงเป้าหมายตัวเองก็พอ"
   “แล้วมึงอ่ะ" เอิร์ธถามกลับ "สมมติว่า ถ้ากูถึงเป้าหมายแล้วแค่นี้ มึงจะทำไงวะ ถ้าเกิด กูจะถอนตัว"
   “ก็หลังจากที่กูตบกะโหลกมึงแล้วอ่ะนะ กูก็มีวิธีของกูว่ะ" วินว่า "กูยังตอบอะไรมึงไม่ได้ เพราะตอนนี้กูเองก็มีอะไรหลายอย่างที่ยังไม่แน่ชัดอยู่รอบๆตัว....กูอยากให้อะไรบางอย่างโผล่ตัวออกมาให้กูเห็นก่อน กูถึงจะเดินหน้าต่อได้"
   “มึงพูดอะไรของมึงวะ" เอิร์ธถาม
   “เอางี้" วินว่า "การปรากฎตัวของจีโอ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเอิร์ธ เขาไม่ใช่แค่ก้อนเงินของกู แต่เขาคือตัวพลิกเกมส์นี้"
   “ยังไง" เอิร์ธถามต่อ
   “เมื่อสเก็ตชุดนี้เสร็จ มันก็จะพอดีกับที่จีโอเซ็นสัญญาถือหุ้นส่วนกับที่นี่เรียบร้อยแล้ว การจ่ายเงินให้กับดีไซน์เนอร์จะลงมาหาคอลลคชั่นของเราทันทีหลังจากนี้" วินว่า "กูมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างกับพ่อกู เค้าไม่รู้ว่ากูมีทางเลือกอื่น เค้าจะกลับมาวันที่ประชุมปันงบ พร้อมความมั่นใจเต็มที่ ว่ากูจะเอ่ยปากขอเงินเค้า"
   “นี่....มึงใช้จีโอมาตบหน้าพ่อมึงเหรอเนี่ย" เอิร์ธว่า "ถ้าพ่อมึงโกรธขึ้นมาล่ะก็...มันไม่ใช่เรื่องดีนะ"
   “พ่อกูอาจจะโดนตบ แต่เค้าไม่ยอมเอาตัวเองออกจากเกมส์หรอก เงินของเค้าจะส่งไปให้การขยายสาขาที่อังกฤษของคุณเจนจิรา" วินว่าต่อ "และนั่นจะทำให้เขาเบนสายตาจากฝรั่งเศสไปอย่างน้อย ก็หลายเดือน"
   “แล้วมึงก็จะหายไปตอนนั้น" เอิร์ธว่าตอบ
   “ก็ไม่รู้..... กูยังไม่ได้คิดถึงตอนนั้น" วินว่า "ก็ไม่แน่ว่า ที่กูคิด อาจจะไม่สำเร็จเลยก็ได้ กูก็แค่กะไว้คร่าวๆ หรือไม่ สุดท้าย กูอาจจะจมแหง็กอยู่นี่ต่อไปคนเดีย ถึงมึงจะถอนตัวไปแล้วก็เหอะ"
   เอิร์ธยอมรับว่าสิ่งที่วินบอกเขามาเมื่อครู่ ทำให้เขาต้องคิดหนัก ตัวเลือกที่สามอย่างจีโอ จะสามารถทำให้เขาไม่กลายเป็นศัตรูของฝั่งพี่เจน พี่กาย หรือพี่มิกได้ไหมนะ เขาจะต้องทำยังไงดีเจนจิราถึงจะไม่มองว่าเขาอยู่คนละฝั่งกับเธอ ถ้าเขาเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับจีโอ และ.......
   “เชี่ย....กูมีความคิดดีดีละ" เอิร์ธหันมายิ้มให้วิน
   “อะไรของเมิง" วินร้อง "ร้องซะดัง คิดไรออก งานใช่มะ"
   “ไม่ใช่อ่ะ" เอิร์ธทำหน้าแหยๆ วินถึงกับด่าแบบไม่มีเสียงใส่เอิร์ธทันที "แต่กูคิดแผนที่จะทำให้ตัวเองไม่โดนหางเลขไปกับมึงมีเวลาสงครามออกน่ะสิ"
   “หรา" วินว่า "จะตัดช่องพอตัวเลยว่างั้น"
   “นี่มันซับซ้อนเกินกว่าที่กูจะไว้ใจนี่หว่า กูก็ต้องมีแผนสำรองสิ" เอิร์ธว่า
   “ไหนๆ แผนสำรองของมึง" วินว่า
   “กูจะทำตัวเป็นกามเทพ" เอิร์ธยิ้มกริ่ม
   “ห๊ะ" วินร้อง "จะนุ่งผ้าผืนเดียว ติดปีกถือธนูไปงานไหนครับ"
   “ไม่ใช่โว้ย" เอิร์ธว่า "งานนี้ ต้องมีคู่ใหม่ว่ะ"
   “เออ เออ จะทำอะไรก็ขอให้สำเร็จละกัน" วินว่า "มึงนี่ทำได้ทุกอย่างจริงๆเพื่อให้ได้ไปอยู่ที่เดียวกับพี่เค้าจริงๆเลยนะ"
   “แหงล่ะ" เอิร์ธตอบ "มึงไม่เข้าใจหรอก เป้าหมายที่มีความรักเป็นที่ตั้งอ่ะ แม่งมีพลังกับกูเสมอแหละ คนเราอ่ะ จะมีสิ่งสำคัญที่ต้องวิ่งเข้าหาและยอมแลกทุกอย่างเพื่อเข้าใส่อยู่ไม่กี่อย่างหรอก"
   วินมองหน้าเอิร์ธ เขาเข้าใจคำพูดเหล่านั้นดี
   “ต่อให้มีอุปสรรคแค่ไหนนะ สิ่งๆนี้ก็จะเป็นแรงผลักดันเรา ให้เราหาแผน หาช่องทางหลบหลีกออกไปได้เสมอแหละ ก็เหมือนกับกูที่.......”
   เอิร์ธหยุดพูดขึ้นมาเฉยๆ พลางเหล่มองมาที่วิน ที่จ้องเขาอย่างเข้าถึงและอินจัด
   วินรู้ตัวหลังจากนั้นช้าไปหนึ่งวิ ก่อนจะทำทีกลับไปนั่งสเก็ตงานต่อ เหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่เอิร์ธพูด
   เอิร์ธตบโต๊ะแล้วยื่นหน้ามาหาวินทันที วินมองหน้าเอิร์ธพลางทำตาเบิกกว้าง
   “อ...อะไรวะ" วินว่า "ม...มีอะไร"
   “ทำไมวันนี้หัวมึงคิดแผนได้ไวจังวะ ปกติไม่เป็นแบบนี้นี่" เอิร์ธว่า "ปกติอุบเงียบ แล้วรอเซอร์ไพรส์กูอย่างเดียวเลย ไหงวันนี้มึงมั่นใจเหลือเกินอ่ะ"
   “เหรอ ปกติกู....เป็นงั้นเหรอ" วินว่า
   “เออ" เอิร์ธตอบทันที "นี่มึงกับสเตลล่า ตกลงอะไรกันเนี่ย"
   วินหัวเราะพลางหลบตาเบาๆ
   “ฮั่นแหน่ะ" เอิร์ธว่า "กูว่ากูเข้าใจละ"
   “เข้าใจไรของมึง" วินร้องกลับ
   “มึงได้กับเค้าแล้วอ่ะดิ สายตาแบบนี้กูรู้" เอิร์ธว่าใส่ วินถึงกับใจหล่นวูบ
   “บ้า...” วินพูดเสียงสูง พลางก้มหน้าก้มตาทันที "พูดไรอย่างนั้น"
   “นี่มึงกับเค้าต้องไปไกลมากๆแล้วด้วย" เอิร์ธว่าต่อ "นี่วางแผนจะออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเองเหรอวะ"
   “เห้ยยยย......พูดไป๊ ไม่ใช่" วินยังคงร้องเสียงสูง
   “โอ่ยยยย" เอิร์ธอุทานเสียงดัง "ไม่ต้องเสียงสูงขนาดนั้นไอ้วิน ไม่ต้องปิดกู มึงจะอายกูทำไมเนี่ย กะไอ้แค่ได้หญิง"
   วินมองเอิร์ธพลางเม้มปาก เขาเข้าใจความรู้สึกน้ำท่วมปากเข้าก็วันนี้เอง
   “ก็....มัน" วินว่าต่อ
   “เห้ย ถ้ามึงไม่อยากอยู่ใต้อาณัติของพ่อมึง แล้วอยากออกไปอยู่กับสเตลล่าสองคนอ่ะ ไม่เห็นต้องทำอะไรให้มันยากถึงขนาดออกไปจากวงการก็ได้นี่หว่า เค้าเองก็เป็นนางแบบ" เอิร์ธว่า "ออกไปอยู่กันเอง แล้วมึงไม่มีงาน ให้เค้าเลี้ยงมันจะดีเหรอวะ"
   วินได้แต่ยิ้มแหยๆ และก้มหน้าก้มตาสเก็ตงานต่อไป
   เอิร์ธเข้าใจความจริงไม่หมด แต่ก็นับว่าเพื่อนรักของเขาคนนี้ ยิงได้เข้าเป้ามากทีเดียว คำพูดของสเตลล่าที่เตือนเข้าว่าไม่น่าจะโกหกเอิร์ธว่าเขาและเธอเป็นแฟนกันนั้น เริ่มชัดเจนขึ้นมาในหัว
   “แต่กูชอบนะ" เอิร์ธพูดขึ้น หลังจากเห็นวินนิ่งเงียบไม่พูดอะไร "อย่างน้อยไอ้วินตัวแสบ ก็รู้จักมีความรักกับเค้าซะที"
   วินเงยหน้าขึ้น เห็นมือของเอิร์ธยื่นมาตรงหน้า
   “พันธะสัญญาครั้งที่สอง กูจะช่วยมึงเองคราวนี้" เอิร์ธพูดกับวินที่ยิ้มตอบ "แล้ว....กูยินดีด้วยกับเรื่องของมึง กับแฟนมึง"
   วินวางปากกาและยื่นมืออกไปจับตอบ
   “ขอบใจเอิร์ธ" วินว่า "ขอบใจจริงๆ"
…............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 29 Tracking]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-01-2013 10:45:33
 :impress2:

กว่าจะได้กัน ลุ้นอยุ่นาน เลย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 29 Tracking]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 06-01-2013 11:24:40
เข้มข้นมากตอนนี้ เรื่องมันช่างสลับซับซ้อน
พลิกแพลง  เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 29 Tracking]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 06-01-2013 15:16:41
ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ผูกมากๆ จะแก้ไม่ไหว
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 30 Watching You]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 13-01-2013 02:58:57
ตอนที่ 30 Watching You

   ก่อนจากกันในวันนั้น เอิร์ธเซ้าซี้ขอตารางนัดหมายที่เกี่ยวข้องของจีโอและเจนจิราไปจนได้ ถึงแม้ว่าวินจะยืนยันว่าถ้าหากเจนจิรารู้ว่าเขาแอบก๊อปปี้แล้วเอาให้เอิร์ธ รับรองได้ว่าเธอคงจะถลกหนังเขาไปตัดเสื้อแน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ เอิร์ธก็สามารถเอามันไปได้ในที่สุด โดยที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าเจนจิราไม่มีทางรู้แน่ๆ ในความเห็นของเอิร์ธตอนนี้ เขาจะจัดฉากหวานซึ้งให้เกิดขึ้นกับเจนจิราและจีโอ ให้อย่างเต็มสตรีม มันจะเป็นยิ่งกว่าสิ่งเกินความคาดหมายทั้งหมด แถมมันยังคุ้มเกินคุ้มที่เขาจะใช้ครั้งนี้แก้เผ็ดเจนจิราไปเลยในคราวเดียวสำหรับเรื่องวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นกับเขาและพี่ๆที่เขารัก ในสตูดิโอสาม Lovable Studio
   ย้อนกลับไปซักประมาณหนึ่งปีก่อน เอิร์ธเดินหน้าเข้าฝึกงานที่สตูดิโอมีชื่อแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ Lovable Studio ที่นั่นเขาได้พบกับพี่ๆที่น่ารักสามคน และมีโอกาศได้เข้าร่วมงานประกวดใหญ่พร้อมๆกับพี่ๆในโปรเจ็คเดียวกัน โปรเจ็คนั้นทำให้เขารู้จักกับเจนจิรา ที่ปรึกษาคอร์สแฟชั่นที่เขาเทคไปสามเดือนที่ Esmod เธอเป็นสไตลิสมีชื่อ นอกจากนั้นแล้ว เธอยังเป็นแม่มดตัวแสบ ที่ร่ายเวทย์ทำให้พี่ๆทั้งสามของเขาต้องหัวปั่นมาแล้ว เจนจิราคนนี้ ทำให้เขาเรียนรู้ว่า สายอาชีพนักออกแบบยังมีคนที่ใช้ความเห็นส่วนตัวเป็นบรรทัดฐาน และแน่นอนว่าเธอคือผู้หญิงที่ทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้เป้าหมายของเธอบรรลุผล นั่นรวมถึงการใช้คนอื่นๆเป็นเครื่องมือ ซึ่งตัวเขาเอง ก็เคยเกือบเป็นส่วนหนึ่งของเกมส์บ้าบอนั้นของเธอตลอดปีนั้น โชคดี เธอไม่ได้ลงมาลึกพอที่จะรู้จักเขา แต่เรื่องที่เธอสร้างขึ้น ก็ส่งผลกระทบกับเขาโดยตรง
   หลังจากแยกกับเอิร์ธแล้ว วินนำแบบงานทั้งหมด ขึ้นไปเสนอกับพี่สุเมธ เขาทำได้เพียงทิ้งมันเอาไว้ พี่สุเมธไม้เข้าออฟฟิศตลอดทั้งอาทิตย์ กว่าจะกลับมาอีกที ก็คงหลังจากที่จีโอตกลงรับข้อเสนอจากทางซูเม่และเซ็นสัญญา วินยอมรับว่าเขาร้อนรนอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆเสียที
   ชายหนุ่มเดินออกจากซูเม่เพื่อไปทำงานที่ร้านเกล็ดหิมะตามปกติ วันนี้ลมเย็นๆแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดมาให้รู้สึก สายลมที่เปลี่ยนทิศ เหมือนกำลังจะบอกอะไรอย่างนึงที่วินไม่รู้ตัว มันเป็นสายลมที่แอบมีความร้อนพัดผนมาด้วย บางทีเมืองนี้ในตอนนี้มันไม่ได้หนาวเย็นอีกต่อไปแล้ว อากาศกำลังเปลี่ยน วินรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่แอบแฝงตัวเองอยู่รอบๆตัว มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ หลายต่อหลายครั้งที่เขารู้สึกว่าอะไรๆที่เขาคิดมันอาจจะง่ายดายเกินไปก็ได้
   เลี้วขวาเดินเข้าสู่ร้านเกล็ดหิมะ เปิดประตูเข้าไปตามความเคยชิน กล่าวทักทายเด็กเสิร์ฟคนอื่นๆตามปกติ พลางมองไปยังบาร์ดริงค์ที่อยู่ตรงหน้า ชายคนหนึ่งในชุดบาริสต้าทำงานอยู่ตรงบาร์ เจ๊ใหญ่คงสามารถหาคนมาทำงานกะกลางวันได้ซักที ไม่เช่นนั้นปีเตอร์คงต้องวิ่งวุ่นเสิร์ฟและชงกาแฟไปด้วยตอนช่วงที่เขาไม่อยู่ หมอนั่นบ่นออดแอดมาหลายเดือนนับตั้งแต่....
   “มาแล้วเหรอครับ"
   วินถึงกับหยุดชะงักและมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ชายหนุ่มในชุดบาริสต้าคนนั้นราวกับดึงเวลาที่เขาเคยรับรู้และสัมผัวได้ย้อนหลังกลับไปทั้งหมด ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย และดวงตาที่เฉยเมยคู่นั้น อยู่ภายใต้ชุดบาริสต้าชุดเดิมสีดำสนิท ไม่ได้ต่างจากวันแรกที่เขาเข้ามาที่นี่ ต่างกันก็แต่รอยยิ้มที่ปรากฎขึ้นและส่งมาให้เขาตอนนี้
   “ก...ไก...ด์" วินพูดตะกุกตะกักเบาๆ พลางหันซ้ายหันขวาและรุดมานั่งลงที่บาร์ตรงหน้าไกด์ ไกด์เลิกคิ้วมองวินและยิ้มกว้าง "เห้ยไกด์....เอ่อ..คือ...ต้องเป็นก้องสิ..นี่นาย"
   “เรียกไกด์ก็ได้" ไกด์ว่า พลางเริ่มต้นชงกาแฟ "เจ๊ใหญ่รู้เรื่องหมดแล้ว"
   “ห๊ะ อะไรนะ" วินว่าพลางยิ้มให้วินอย่างไม่เชื่อสายตา "นายกลับมาทำงานที่นี่แล้วก็เล่า...”
   “ใช่" ไกด์ว่า "มัวแต่ทำหน้าตกใจอยู่ได้น่า รีบไปเปลี่ยนชุดไป เดี๋ยวค่ำๆคนเยอะนะ"
   วินทำหน้าไม่เชื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปหลังร้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดบาริสต้า ไกด์มองตามวินไปพลางยิ้มให้กับตัวเอง พอดีกับที่มีคนอีกคนเดินตามเข้ามาในร้าน และนั่งลงที่เก้าอี้ตัวสุดท้ายของบาร์ดริงค์ ไกด์เดินไปหาผู้ชายคนนั้นทันที
   วินออกมาหน้าร้านด้วยชุดบาริสต้าเช่นเดียวกับไกด์ แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะแวะทักทายเจ๊ใหญ่และพูดคุยกันเรื่องการกลับมาของไกด์ เจ๊ถามวินอย่างซักไซร้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับก้อง เธอคิดว่าไกด์จะต้องไปเจออะไรมาจนเสียสติแน่ๆ ที่อยู่ดีดีก้องก็เดินเข้ามาในร้านแล้วบอกกับเธอว่าที่จริงแล้วเขาชื่อไกด์และขอทำงานกับเจ๊ใหญ่ต่อไป วินถามไถ่จนรู้ว่าไกด์เองก็ไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดให้เจ๊ใหญ่ฟัง เขาบอกเจ๊ว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจอิสระ อยากจะใช้เวลาดีดีที่เมืองนี้และอยากช่วยเหลือร้าน และลองแกล้งปลอมตัวมาเป็นคนไทยตัวเล็กๆ เพื่อดูว่าร้านนี้จะปฏิบัติกับเขายังไง แน่นอนว่าเจ๊ใหญ่เชื่อเรื่องนี้ของไกด์อย่างเต็มรัก เจ๊ใหญ่รักร้านนี้และยึดมั่นกับจุดประสงค์การช่วยเหลือคนไทยที่นี่เป็นอย่างมาก เธออ้าแขนรับความจริงของไกด์ข้อนี้อย่างเต็มอก วินจึงไม่ขอเอาความจริงที่จริงยิ่งกว่ามารบกวนความสบายของทั้งคู่ จึงได้แต่ช่วยยืนยันกับเจ๊ใหญ่ พลางบอกว่าไกด์ก็เพิ่งบอกความจริงเรื่องเดียวกันนี้กับเขามาไม่นานเหมือนกัน และที่เขายังไม่บอกเธอ ก็เพราะว่าอยากให้ไกด์เป็นคนบอกเจ๊ใหญ่ด้วยปากของตัวเองมากกว่า
   วินออกจากหลังร้านมาประจำที่ที่บาร์ดริงค์เคียงข้างไกด์ ชายหนุ่มรู้สึกดีเอามากๆ เมื่อเห็นไกด์และตัวเองอยู่ในชุดบาริสต้าเหมือนกัน ไกด์ยิ้มให้วินเบาๆ เมื่อเข้าใจว่าวินกำลังคิดอะไร แม้ว่าทั้งคู่จะมองตากันอยู่นานเสียจนลูกค้าชาวฝรั่งเศสรายหนึ่งถึงกับเคาะบาร์เบาๆเพื่อสั่งอาหาร ไกด์ทำท่าเงอะเงิ่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปรับออร์เดอร์ วินขำเบาๆกับเหตุการณ์นั้น ก่อนจะเริ่มลงมือทำงานโดยการเทเม็ดกาแฟสดจากถุงลงเครื่องบด พลางมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมสุดของบาร์ วินรู้สึกถึงออร่าบางอย่างส่งสัญญาณออกมาจากร่างของผู้ชายคนนั้น เขาสังหรณ์ใจบางอย่างชอบกล แต่ด้วยจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น วินจึงต้องเริ่มเร่งมือทำงานมากขึ้น
   ล่วงเลยเวลาไปเกือบชั่วโมงกว่าๆ ที่วินและไกด์ได้ใช้เวลาร่วมกันหลังบาร์เพื่อทำหน้าที่บาริสต้า กลิ่นหอมอบอวลของกาแฟสดที่บดเอาความหอมกรุ่นอันอบอุ่นเสิร์ฟให้กับหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสที่ผ่านไปผ่านมา ทำให้เวลารอบตัวของทั้งคู่หมุนไปช้าๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าที่วินตื่นขึ้นมาด้วยร่างที่เปลือยเปล่า เขารู้สึกเขินอายเกินกว่าจะปลุกไกด์ขึ้นมาเพื่อพูดคุยหรือบอกอรุณสวัสดิ์ วินอาบน้ำแต่งตัวอย่างเงียบเชียบ และออกไปซูเม่อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเขากลับมาเจอไกด์อีกครั้งในตอนเย็นนี้ ไกด์เองก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรที่ดุเหมือนจะระลึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ต่อวิน เขาทั้งคู่ทำงานกันไปเรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด พร้อมกับมอบรอยยิ้มให้กันทุกครั้งที่ต้องเดินมาเจอกัน ส่งแก้วกาแฟให้กัน หรือแม้แต่ตอนยกถังน้ำร้อน วินคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัสมา มันเหมือนกับเขาได้ย้อนเวลาไปตอนที่เขาและไกด์อยู่ที่สตาร์เบิร์ก มันเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นเหลือเกิน
   เสียงนาฬิกาของร้านบ่งบอกเวลาสี่ทุ่ม ลูกค้ารายสุดท้ายออกจากร้านไปพร้อมให้ทิปราคาสูงกับวิน เขาปิดงานด้วยการรวบรวมเอาขยะหลังบาร์ทั้งหมดรวมกัน หอบรวมกันทันที พลางเดินออกไปหลังร้าน
   “ไหวนะวิน" ไกด์ถามมาด้วยเสียงเป็นห่วง
   “อื้อ" วินตอบ พลางเดินออกไปหลังร้านเพียงลำพัง วินวางถังขยะลงกับพื้นถนนที่เปียกแฉะ แสงเรื่อๆจากแสงไฟที่ริมหัวมุมถนนที่ส่องเข้ามาจากปากทางทำให้พอเห็นถังขยะใบใหญ่เหนือหัวได้ วินหยุบถุงขยะจากถังออกมาทีละถุงและโยนขว้างไปให้ลงถังขยะใบใหญ่ไปเรื่อยๆ
   เงาสะท้อนจากแสงไฟเรื่อๆนั้นดูแปลกประหลาด ราวกับมีบางเฝ้ามองเขาอยู่ ความรู้สึกไม่สบายใจและไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นทันที วินหยุดยืนนิ่งๆพลางมองไปที่ตรอกแคบๆรอบๆตัว ที่ตรงนี้มันควรจะมีเพียงเขาเท่านั้น ที่อยู่ตรงนี้ แต่อะไรบางอย่างบอกเขาว่า ตรอกนี้ไม่ได้มีเพียงเขา สองเท้าเดินออกไปช้าๆจากถังขยะ ออกไปยังปากตรอกแคบที่ตอนนี้มีคนเพียงไม่กี่คนเดินผ่านไปมาเท่านั้น วินออกไปยังปรากตรอกทันทีพลางมองไปยังซ้ายมือ ชายคนหนึ่งเดินอย่างรวดเร็วไปตามถนน วินรู้สึกคุ้นๆตาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มคนนั้นหันหลังมามองวินหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะออกเดินต่อไป วินขมวดคิ้วครั้งหนึ่ง
   หรือว่า นี่จะเป็น....
   วินก้าวเท้าออกจากปรากตรอกทันที อย่างน้อยถ้านี่เป็นอีกอย่างที่เกิดขึ้นล่ะก็ เขาจะต้องรีบแก้ไขมันให้.....
   อะไรบางอย่างดึงตัวเขากลับมาที่เดิมตรงปากตรอกอย่างรวดเร็วทันที วินตกใจแทบสิ้นสติ เขาหายใจเข้าหอบถี่ด้วยความตกใจ ก่อนจะตั้งสติได้อีกครั้ง
   “ผู้ชายที่ใส่เสื้อโค้ทสีน้ำเงินใช่ไหม" ไกด์ถามเขาทันที เมื่อวินตั้งสติได้แล้ว เป็นเขาเองที่ดึงตัววินกลับมา
   วินมองหน้าไกด์ด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะมองไปยังท้องถนนที่ว่างเปล่านั้นอีกครั้ง
   “ร...รู้...ได้ไง" วินถามเสียงสั่น ไกด์หันหลังมองตามวินไป ทั้งคู่มองไม่เห็นชายคนนั้นอีกแล้ว คงจะปะปนไปกับฝูงชนตรงแยกข้างหน้า วินก้มหน้าลงพลางครุ่นคิด ไกด์หันมาหาชายหนุ่มพลางวางมือบนไหล่
   “ฉันเห็นเขามาซักพักแล้ว" ไกด์ว่า "เขาปรากฎตัวอยู่แทบทุกที่ ที่นายไป"
   วินเงยหน้ามองไกด์ เขาเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้งแล้ว สิ่งที่เขากลัวที่สุด กำลังก่อตัวขึ้น พลังบางอย่างที่จะต่อต้านทุกอย่างที่เขาพยายามสร้างมา เงาที่น่ารังเกียจนั่น
   “'อย่างนั้นเหรอ" วินพยายามพรับเสียงให้สั่นน้อยที่สุด
   ไกด์พยายามมองวิน เขาอยากเข้าใจให้ได้ ว่าวินกำลังเป็นอะไร อาการแบบนี้ไม่ได้ปรากฎกับวินมานานมากแล้ว การที่วินต้องครุ่นคิดหนักแบบนี้มันมีอยู่ไม่กี่เรื่อง
   “รู้ตัวอยู่แล้วว่าถูกตาม แล้วทำไมไม่บอกกันอ่ะ" ไกด์ถามขึ้น
   “ก็....ยังไม่แน่ใจ" วินว่า "คิดว่า...อาจจะคิดไปเองน่ะ นายนั่นแหละ รู้ได้ไง ว่าชั้นถูกตาม"
   “ก็เมื่อหลายวันก่อนไง ที่นายชนชั้นที่ตึกหน้าบ้าน นายวิ่งหนีบางอย่างมา" ไกด์ว่า "ชั้นก็เลยลองตามนายดู ก็เลยรู้"
   วินครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มวิ่งกลับเข้าไปในตรอกทันทีและเปิดประตูเข้าไปในร้านอย่างเร่งด่วน ไกด์วิ่งตามเข้ามาอย่างร้อนรน ในขณะที่วินส่งเสียงดังไปทั่วร้านเพื่อตามหาเจ๊ใหญ่
   “เจ๊ใหญ่ครับ เจ๊" วินร้องเรียก "เจ๊ เจ๊!!!”
   “จ๋าจ้ะ วิน ว่าไง" เจีใหญ่โผล่หน้าออกมาจากห้องเก็บของพร้อมผ้ากันเปื้อน "มีอะไรเหอะวิน เรียกเจ๊ซะดังเชียว"
   วินถลาเข้ามาจับตัวเจ๊ใหญ่ทันที
   “เจ๊ ช่วงหลายวันมานี่มีผู้ชายมาหาเจ๊บ้างหรือเปล่า" วินถามทันที
   “โอย ถามแบบนี้" เจ๊ใหญ่ทำตาถลนใส่ "ใครจะไปจำได้ล่ะวิน วันนึงเจ๊เจอลูกค้าผู้ชายเป็นร้อยนะ"
   วินมองไปมาพักนึง พลางคิดคำถาม
   “มีอะไรกันเหรอ" เจ๊ใหญ่ถาม พลางมองไปที่ไกด์ เขายักไหล่และส่ายหน้าเป็นคำตอบให้เจ๊
   “แล้ว......ถ้าเกิดเป็นคนที่มาถามเจ๊เรื่องว่าจะขายที่นี่มั้ยล่ะครับ" วินถามเจ๊ใหญ่ทันที "มีใครมาถามเจ๊มั่งไหมครับ"
   เจ๊ใหญ่ทำตาถลนใส่วินอย่างทันทีก่อนจะเอามือทาบอก และมองไปหาไกด์ครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองวิน
   “รู้ได้ยังไงอ่ะวิน" เจ๊ใหญ่ว่าพลางหัวเราะเบาๆ "น..นี่ล้อเล่นอะไรกันหรือเปล่า"
   “มีคนมาถามเจ๊เรื่องที่นี่ใช่ไหมครับ" วินว่า "ถามเรื่องความเป็นอยู่ที่นี่ แล้วเรื่องราคา"
   “ช...ใช่" เจ๊ใหญ่ว่า "มีสิ.......ถ้านับวันนี้ด้วย ก็วันที่สามแล้ว ที่เค้ามา"
   วินหันไปมองไกด์ทันที ชายหนุ่มมองกลับมาหาวินด้วยสีหน้าเป็นกังวลเอามากๆ วินหันหลับไปหาเจ๊ใหญ่
   “เล่าให้ผมฟังได้ไหมเจ๊" วินว่า "เล่าให้ผมฟังทั้งหมดเลย"
…...........
   วินนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาในบ้าน สายตาจับจ้องไปยังพื้นห้อง พลางนึกถึงสิ่งที่เจ๊ใหญ่พูด มันเป็นเหมือนสิ่งที่เขาปฏิเสธว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น และมองข้ามมันมาเสมอ แต่แล้ว สิ่งที่เค้ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น สิ่งที่จำทำลายแผนการทั้งหมดของเขาที่สร้างมา

   “เขาเป็นผู้ชาย เป็นคนไทยนะ เขาก็ว่าเขาสนใจที่นี่ เห็นว่าคนของหน่วยงานจากบ้านเรานั่นแหละ เรื่องแรงงานไทยในฝรั่งเศส เจ๊ก็ไม่ได้อะไรนะ ก็ให้เค้าแนะนำตัวไป เค้าก็ถามว่าที่นี่เปิดมานานหรือยัง เขาบอกว่าร้านนี้อาหารอร่อยมีชื่อ วันแรก เขาก็แค่ทำความรู้จักเจ๊เฉยๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่วันที่สองเค้าก็มาอีก คราวนี้มาขอดูร้าน แล้วก็ให้เจ๊แนะนำคนที่ทำงานที่นี่เค้ารู้จัก" เจ๊ใหญ่เล่า
   “แล้วเจ๊บอกหรือเปล่า ว่าผมก็ทำด้วย" วินถามอีก
   “บอกสิ" เจ๊ใหญ่ว่า "เจ๊ก็แนะนำทุกคนนั่นแหละ แต่วันนั้นวินยังไม่ได้มากะดึกน่ะ เขาก็เลยไม่เห็นตัวเธอ ทีนี้เค้าก็ถามว่าแต่ละคนทำงานยังไง ได้เงินเท่าไหร่ แล้วก็พักอยู่ที่ไหนกัน"
   “แล้วเจ๊ก็บอก....ใช่ไหมครับ" วินว่า
   “เหยยยย ใครจะไปบอกล่ะ" เจ๊ใหญ่ว่า "บอกตรงๆเลยนะ ว่าเจ๊ก็เริ่มไม่ไว้ใจเค้าตั้งแต่เริ่มเซาะแซะแล้วล่ะ แต่ก็ยกตัวอย่างเอาว่า ก็อยู่แถวๆนี้ ส่วนใหญ่จะทำงานกันเป็นกะ ใครกลับดึกได้ ส่วนใหญ่ก็จะพักอยู่ไม่ไกลจากที่นี่"
   “เขาถามเฉพาะเจาะจงใครเป็นพิเศษหรือเปล่าเจ๊ หรือแบบสนใจใครในร้านมั้ย" วินถามต่ออีก เจ๊ทำเป็นนึกๆ
   “ใครเหรอ...อืม....ถามหรือเปล่านะ....ไม่แน่ใจนะ แต่จำได้ว่าเขาบอกว่าชอบบาริสต้าของเรา ชงกาแฟเก่งดี" เจ๊ใหญ่ว่า วินถึงกับชะงัก
   “เขาขอซื้อที่นี่เหรอครับ" วินถามต่อ
   “อื้อ เขาขอให้เจ๊ตีราคาเลยล่ะ ว่าถ้าเซ้ง จะเอาเท่าไหร่" เจ๊ใหญ่ว่า "เขาเสนอราคาไม่อั้นเลยนะเอาจริง"
   “งั้นเหรอครับ แล้วเจ๊ว่าไงอ่ะ" วินว่า
   “ไม่ขาย เจ๊บอกแล้วไง ว่าถ้าเราไม่จนเพราะเรื่องสัญญาเวนคืน หรืออุบัติเหตุอื่นๆที่มันเกินกว่าที่เจ๊จะรับได้จริงๆ เจ๊ก็จะไม่ขาย" เจ๊ใหญ่ว่า "ไม่ต้องห่วงหรอกน่าวิน นี่อย่าบอกนะว่า ที่กังวลมากๆก็เพราะเรื่องนี้น่ะ ไม่ต้องเลยนะ เจ๊ยังทำที่นี่ต่อจ้ะ ก็เป็นแบบนี้แหละ ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ใช่คนแรกที่เข้ามาถามอะไรอย่างนี้หรอกนะ"

   วินถอนหายใจครั้งหนึ่ง พลางหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เขาไม่เคยมั่นใจมากเท่านีมาก่อน ว่านี่จะต้องเป็นการคุกคามจากพ่อเขาแน่นอน มันเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน เขาจำได้ มันเป็นลักษณะแบบนี้ ค่อยๆเข้ามาผ่านสิ่งที่ไม่คาดคิด เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้เป็นแบบที่พ่อของเขาต้องการ วินกัดฟันเบาๆ ก่อนที่จะมีแก้วนมอุ่นๆมายื่นให้ตรงหน้า ชายหนุ่มมองแก้วใบนั้นทันที
   “ดื่มซักหน่อยเหอะนะ" ไกด์ว่า
   วินเงยหน้าขึ้นมองไกด์ทันที เขามองไกด์อยู่อย่างนั้น หมอนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาสงบได้ เขามองไกด์อย่างไม่ละสายตา ดวงตาดำขลับของวินสั่นเรื่อด้วยความเจ็บปวด เขาไม่อยากให้เงาของพ่อมาตามหลอกหลอนเขาอยู่อย่างนี้ เขาไม่อยากเสียสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ตอนนี้เลย ไม่อยากแม้แต่ให้ใครก็ตาม เข้ามาแตะต้องชีวิตของเขาและไกด์ตรงนี้แบบนี้ เขาอยากเก็บช่วงชีวิตด้านนี้ของเขาไว้เป็นความลับ
   เขาไม่ใช่คนมีอิสระมากนัก แต่ว่านี่คืออิสระสุดท้ายที่เขามี เขาไม่อยากเสียมันไปและ...
   วินหลับตาและรับนมแก้วนั้นมาไว้ในมือ และจิบมันเบาๆ ความอบอุ่นเกิดขึ้นในตัวอย่างเงียบเชียบ ความวิตกกังวลค่อยๆเบาบางลงทันที ไกด์นั่งลงตรงหน้าของวินพลางมองหน้าของเขา
   “คิดว่าเป็นพ่อของนายงั้นเหรอ" ไกด์ถามขึ้น"คิดว่าเป็นเค้าจริงๆเหรอ"
   วินถอนหายใจเบาๆ
   “พยายามไม่คิดงั้นอ่ะ" วินว่า "ถึงออกจะน่าเชื่อว่าใช่"
   “นายทำอะไรเหรอวิน" ไกด์ถามต่อ "ทำไมเค้าถึงต้องทำแบบนี้กับนายด้วยอ่ะ"
   วินมองเข้าไปในดวงตาของไกด์ ทำไมเขาถึงรู้สึกสั่นไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แค่เขาคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ มันก็ทำให้เขากลัวจนตัวสั่นแล้ว สิ่งที่เขาทำ มันเป็นคำตอบง่ายๆที่สุด

   ฉันกำลังทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้อยู่กับนายไง

   วินกระพริบตาเบาๆ อยู่ดีดีเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องไห้ขึ้นมาเฉยๆ เขากลัวจนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป พยายามหาคำพูดที่เหมาะสมทันที
   “ไม่รู้" วินตอบ "ฉัน....ฉันไม่รู้"
   ไกด์มองวินอยู่อย่างนั้น พยายามอ่านอะไรบางอย่างให้ออก
   “เพราะฉันใช่ไหม" ไกด์ถามทันที "อะไรก็ตามที่นายทำอยู่....มีฉันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ใช่หรือเปล่า"
   วินหันมามองไกด์ทันที นี่มันเกินไปแล้ว ไกด์รู้จักตัวตนของเขามากเกินไปแล้ว ดวงตาของวินเริ่มแดงก่ำ ขณะที่มองใบหน้าของไกด์ ความรู้สึกกลัวการพลาดพลั้ง การผิดแผนกำลังจู่โจมเขา
   ความรู้สึกกลัวการสูญเสียความรู้สึกที่เขามีให้ไกด์
   “ฉ...ฉัน" วินพยายามพูดอะไรบางอย่าง มือที่ถือแก้วนมอุ่นๆสั่นรัว "ฉ...ฉัน...ฉันไม่....”
   ไกด์เอื้อมมือไปจับมือของวิน ก่อนจะเอาแก้วออกจากมือและวางลงกับพื้น และหันกลับมามองดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง
   สำหรับวินแล้ว ยิ่งไกด์ทำแบบนี้กับเค้า มันยิ่งผูกมัดเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันที่เต็มไปด้วยความรัก สำหรับวินมันเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกที เขาเองก็ทนมันแทบไม่ไหวแล้ว
   “นายกำลังอะไรอยู่วิน" ไกด์ว่า "บอกชั้นได้ไหม"
   น้ำตาของวินไหลลงเบาๆแม้ว่าดวงตาของวินจะจ้องนิ่งไปหาไกด์ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ไกด์ไม่มีวันเข้าใจ ไม่มีวันเข้าใจเลย ว่าสิ่งที่เขาทำ มันเสี่ยงแค่ไหน และกำลังจะต้องแลกด้วยอะไร
   ไกด์เอื้อมมือมาปาดน้ำตาบนหน้าของวิน พลางส่ายหน้าเบาๆ ชายหนุ่มก้มหน้าลงและเริ่มครุ่นคิด และนั่นยิ่งทำให้วินเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เขาทนไม่ได้ ที่จะเห็นไกด์เจ็บปวด ไกด์เจอเรื่องเจ็บปวดมาเยอะพอแล้ว เขาไม่อยากให้ไกด์กลับไปรู้สึกแบบเดิม
   “ไม่....มีอะไรหรอก" วินพูดเสียงสั่นเครือ "ฉัน...แค่...กังวลมากไป"
   ไกด์เงยหน้าขึ้นมองวินทันที สายตาของไกด์เต็มไปด้วยความห่วงใย
   “แต่นายร้องไห้ ฉัน....” ไกด์พูดเสียงแผ่วเบา "…..นายร้องไห้ทำไมอ่ะคับวิน"
   วินยิ้มอย่างนุ่มนวลให้กับไกด์ แม้ว่ามันจะขัดกับดวงตาที่แดงกำ่คู่นั้นก็ตาม
   “นายกลัวเหรอ" ไกด์ถาม "ฉันช่วยอะไร ได้ไหม”
   “ไกด์" วินร้อง "ฉันหยุดคิดไม่ได้อ่ะ ฉ...ฉันหยุดคิดไม่ได้เลย"
   วินร้องออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ ไกด์ตั้งใจฟังอย่างเป็นกังวล
   “มันมีแต่คำว่าถ้าเต็มไปหมด ฉัน....” วินร้อง "ฉันกลัวอ่ะไกด์.....ฉันกลัวอ่ะ......”
   วินร้องไห้เบาๆ ก่อนจะก้มหน้า
   “ฉ...ฉันกลัวอ่ะไกด์"
   วินก้มหน้าหลั่งน้ำตาเบาๆ ไกด์ดึงตัวร่างที่สั่นรัวแล้วอ้างว้างเข้าหาตัวทันที วินปล่อยทุกอย่างเข้าไปในอ้อมกอดของไกด์
   “ฉัน....ฉันอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้แล้วอ่ะ ฉัน....ฉันอยู่โดยไม่มีนายไม่ได้" วินว่า "นายเข้าใจไหมอ่ะไกด์....ฉันอยู่ต่อไปคนเดียวในเมืองนี้ไม่ได้.....ฉันอยู่โดยไม่มีนายไม่ได้อ่ะ....ฉัน"
   ไกด์โอบตัววินที่สั่นสะท้านเอาไว้ ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง บางทีวินอาจจะไม่ใช่แค่ลูกคุณหนูที่ถูกส่งตัวมาดัดนิสัยเสียแล้ว มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังเรื่องนี้ ไกด์หลับตาก่อนจะกอดวินเอาไว้แนบตัว
   “ผมอยู่นี่วิน" ไกด์พูดเบาๆ "ชั้นอยู่กับนายแล้วนี่ไง.....อย่าร้องนะ"
   “ฉันอยู่ไม่ได้อ่ะ.....ไม่ได้อีกแล้วไกด์.......อยู่คนเดียว.......ไม่เอาอีกแล้ว"
   เสียงสะอื้นของวินดังก้องสะท้อนไปยังห้องที่ว่างเปล่า ลมร้อนของฤดูใบไม้ผลิพัดมาให้น้ำแข็งที่เกาะกินหัวใจเอาไว้จนหนาเตอะเพราะต้องแนกรับทุกอย่างเอาไว้ ละลายออกมาเป็นสายน้ำ ความอบอุ่นเดียวที่มีคือกลื่นกายอันสงบนิ่งของไกด์ที่กำลังประคองไม่ให้น้ำแข็งนั้นกระเทาะจนหมดไปและทำลายหัวใจที่อ่อนแรงของวิน
   “ก็อยู่ด้วยกันนี่ไง" ไกด์พูดเบาๆ "ชั้นไม่ไปไหนหรอก สัญญาเลย"
….............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 30 Watching You]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 13-01-2013 06:05:31
2 คนช่วยกันคิด น่าจะมีทางออกดีๆ หลายๆทาง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 30 Watching You]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 18-01-2013 01:15:01
อีตาพ่อเค้าเคยทำไรวินไว้มั่งเนี่ย...ท่าทางจะฝังใจอย่างแรง...

 :กอด1: กอดเบาๆ....มิรันดาสู้ๆ มาต่อไวๆน๊าเค้ารออยู่
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 30 Watching You]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-01-2013 16:25:30
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 30 Watching You]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 30-01-2013 13:04:25
คิดถึวแล้วครับ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 31 Conspire]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 17-02-2013 05:38:19
ตอนที่ 31 Conspire

   การขอลาหยุดอย่างกระทันหันของวิน ทำเอาเอิร์ธหัวปั่น กองงานมหึมากำลังถาโถมเข้าใส่เขา แต่นับว่าโชคดีที่อย่างน้อยเขาและวินก็ได้วางแผนเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ซึ่งสำหรับเอิร์ธ ถ้าไม่นับเรื่องมู้ดบอร์ดและการสรุปเรื่องเนื้อผ้าทั้งหมดที่ต้องใช้ในแฟชั่นวีคที่กำลังทำให้เขาหัวไหม้ การที่วันนี้จีโอจะเข้ามาศึกษาดูงาน นั้นเป็นอะไรที่เข้าทางเอิร์ธเอามากๆเลยทีเดียว
   เสียงเปิดประตูสตูดิโอดังขึ้นในช่วงสาย ขณะที่จูเนียร์ดีไซน์เนอร์ปรากฎตัวขึ้น
   "He comes" เขากล่าวกับเอิร์ธ
   "Thanks Lionelle" เอิร์ธกล่าวขอบคุณไลโอเนล ก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย พลางรุดออกจากห้องทำงานออกไป
   ลิฟท์พาเขาลงมาที่ Lobby ของซูเม่ ชายหนุ่มเดินตรงรี่ไปยังจีโอที่ยืนรออยู่หน้าเคาท์เตอร์อยู่แล้ว ชายหนุ่มนักหมุ่นเงินในวันนี้ อยู่ในชุดโค้ทสีน้ำตาลส้ม และผ้าพันคอสีน้ำเงินเข้ม สีแบบนี้ทำให้เขานึกถึงใครคนนึงขึ้นมาอย่างประหลาดใจ มีผู้หญิงที่ร้ายกาจคนนึงชอบสีนี้เอามากๆ เอิร์ธยิ้มกริ่มในใจ แน่นอนว่ามันเข้าทางเขามากๆเลย
   "อรุษสวัสดิ์เอิร์ธ" จีโอกล่าวทักทาย ขณะที่เอิร์ธกล่าวตอบพลางจับมือละสวมกอดพอเป็นพิธี
   "คุณมาก่อนเวลาตั้งยี่สิบนาที" เอิร์ธว่า "ผมยังไม่ทันเตรียมตัวเลยที่จริงแล้ว"
   "นี่ผมมารบกวนคุณหรือเปล่าเนี่ย" จีโอว่า
   "ไม่หรอกครับ" เอิร์ธว่า "เพราะวันนี้ผมไม่ได้เป็นคนนำคุณชมซูเม่"
   "อ้าว" จีโอร้อง "แล้วใครล่ะ"
   "นั่นครับ"
   เอิร์ธชี้ไปยังโถงทางเข้าแกลอรี่ที่เจนจิรากำลังเดินออกมาพร้อมกับเลขาส่วนตัวของเธอ ก่อนที่เธอจะมาพบกับจีโอและเอิร์ธที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว
   "อรุณสวัสดิ์ครับ มามัวแซลล์" จีโอเปิดฉากยิงใส่เจนก่อน เธอประเมิณค่าเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้พอเป็นพิธี
   "อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณจีโอ" เจนจิราว่าพลางมองไปยังเอิร์ธ "อย่าบอกนะว่านี่คือสิ่งที่เธอรบกวนชั้นไว้เมื่อวาน"
   "ครับ" เอิร์ธรับคำพลางยิ้มกว้าง
   เจนเลิกตากว้างพลางหันหลับมามองจีโออีกครั้ง
   "งั้นก็ดีเลย" เจนจิรา "ฉันก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่า ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจ ให้คุณสนใจทำธุรกิจกับเรา"
   "กับผมและวินครับ" เอิร์ธว่า "พี่น่าจะใช้คำพูด...ให้ถูกประเด็นนิดนึง"
   เจนมองเอิร์ธด้วยหางตาแว้บนึง ก่อนจะผายมือเชิญจีโอไปยังทางเข้าลิฟท์ จีโอหันมายิบตาให้กับเอิร์ธครั้งหนึ่งก่อนจะหายไปพร้อมกับเจนจิรา
   เอิร์ธคิดว่าวันนี้จะต้องเป็นสิ่งที่พิเศษสุดแล้ว อย่างน้อยมันก็ต้องได้อะไรขึ้นมาบ้างจากการเริ่มต้นที่ศูนย์ และขาก็พร้อมยกการต่อยอดตัวเลขที่เหลือ ให้กับจีโอทันที
   เจนจิรรานำจีโอไปยังชั้นที่สอง ที่เป็นส่วนของสตูดิโอต่างๆ ของดีไซน์เนอร์และสไตลิส ที่ง่วนอยู่กับการออกแบบและปรึกษาวึ่งกันและกัน จีโอมองสิ่งที่อยู่รอบๆตัวอย่างใคร่รู้ ขณะที่เจนจิรานำเขาเดินไปสู่ห้องของเธอที่อยู่ที่สุดปลายทางเดิน เธอเปิดประตูให้เขาเข้าไปข้างใน
   "ทีนี่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของชั้นค่ะ" เจนจิรากล่าว "ชั้นเป็นหัวหน้าสไตลิสที่นี่ แล้วก็เป็นหุ้นส่วนของซูเม่ด้วย"
   "ห้องคุณน่ารักดีนะ" จีโอกล่าว
   เจนจิรายิ้มให้อย่างไม่จริงใจ เธอไม่คิอว่าการมาของจีโอนั้นโปร่งใสอยู่แล้ว ปราการที่ตั้งเอาไว้ตอนนั้จึงสูงลิ่วยิ่งกว่าหอไอเฟลเสียอีก เธอเชิญจีโอนั่งลงหลังจากนั้น
   "คุณได้อ่านสัญญาและข้อตกลงแล้วใช่ไหมคะ" เจนจิรากล่าว
   "ครับอ่านแล้ว" จีโอว่า
   "แล้ว?" เจนจิราเลิกคิ้ว
   "แล้ว?...อะไรครับ" จีโอถามต่อ
   "แล้วไงคะ" เจนจิราว่า
   "ก็ไม่ไงครับ" จีโอว่า
   "คุณจีโอคะ ชั้นไม่มีเวลามานั่งขำกับมุกกวนๆของคุณหรอกนะ" เจนจิราว่ากลับ
   "กวน? กวนอะไรครับ....คุณไม่ได้ถามอะไรผมเพิ่มนี่ คุณถามผมแค่ว่าผมอ่านหรือยัง ผมก็ตอบตามนั้น" จีโอว่า "ถ้าคุณอยากรู้อะไรเพิ่ม คุณก็ถามผมเพิ่มสิครับ....ถามแบบเป็นคำถามที่รู้เรื่องน่ะ"
   เจนจิราเลิกคิ้วหนึ่งครั้ง นี่ผู้ชายคนนี้ซื่อหรือว่าจงใจกวนประสาทเธอกันแน่ เจนจิราแค่นหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้
   "แล้วคุณมีความเห็นอะไรไหมคะ กับตัวสัญญา" เจนจิราถาม
   "มีครับ" จีโอว่า
   "มีว่ายังไงคะ" เจนจิราถามต่อ
   "ผมสงสัยว่า ระบบบริหารของซูเม่ ผมจะสามารถเข้าประชุมและฟังผลของานที่ผมลงทุนด้วยได้หรือเปล่า" จีโอว่า "ผมหมายถึงมาที่นี่ได้บ้างเป็นครั้งคราวน่ะครับ"
   "แน่นอนค่ะ" เจนจิราว่า "ถ้าคุณเป็นหุ้นส่วน และลงทุนให้กับงานแฟชั่นวีค คุณมีสิทธิ์เข้ามาตรวจเช็คผลงานตัวเองอยู่แล้ว แต่ฉันไม่รับปากนะคะ ว่าดีไซน์เนอร์จะยอมรับฟังความเห็นของคุรเกี่ยวกับงาน เพราะว่าดีไซน์เนอร์เค้าจะมี...."
   "ครับ ผมเข้าใจ" จีโอว่า "ผมไม่ได้อยากจะมาเพราะมายุ่งกับส่วนงานดีไซน์อยู่แล้วครับ"
   จีโอยิ้มกว้างให้เธอ
   "ค่ะ...ก็ถ้าคุณจะมา ก็แจ้งเอาไว้ล่วงหน้าก่อนก็แล้วกันค่ะ จะได้มีคนคอยต้อนรับ" เจนจิราว่า
   "เรื่องนั้นไม่ต้องลำบอกหรอกครับ" จีโอว่า พลางหยิบเอกสารที่วินให้เขาเมื่อหลายวันก่อนออกมาแล้วยื่นให้กับเธอ "ผมตกลง"
   เจนจิรารับมันกลับมาทันที
   "คุณตกลง....และ...เอ่อ....เซ็นแล้วเหรอคะ" เจนจิราว่า
   "ใช่ครับ" จีโอว่า "ผมตกลงที่จะลงทุนให้กับซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล เป็นจำนวนเงิน 4 ล้านยูโร และทันทีที่คุณสุเมธเซ็นคู่กำกับ สัญญานี้ก็จะสมบูรณ์ทันที"
   เจนจิราตกใจเล็กน้อย พลางมองซองเอกสารในมืออย่างพินิจ เงิน 4 ล้านไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลยสำหรับเธอ และเป็นจำนวนเงินที่มากโขสำหรับเธอ เพราะนั่นท่ากับว่าในกองทุนรวมทั้งหมด จีโอถือหุ้นร่วมในซูเม่อินเตอร์เนชั้นนอล เกินไปกว่า 35% แล้ว มากกว่ายอดถือที่เธอและกายมีร่วมกันเสียอีก และถ้าพี่สุเมธเซ็นยอมรับ จีโอก็จะขึ้นแท่นตำแหน่งผู้บริหารทันที เธอเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าด้วยสายตาที่เฉียบคม
   "ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นการดีมากถ้าคุณสุเมธจะเซ็นให้ถายในวันนี้เลย" จีโอว่า "ผมไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร ก็คงไม่ต้องจัดงานแถลงข่าวอะไรให้วุ่นวาย เพราะผมเอง ก็อยากเข้าร่วมประชุมการปันงบไตรมาสที่สามให้ทันด้วย จะได้ช่วยตัดสินใจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับงานแฟชั่นวีคครับ"
   เจนจิราหมุนปากกาไปมาอย่างเป็นกังวล ความคิดร้อยแปดตีขึ้นในหัว ผู้ชายคนนี้ถูกเสียบเข้ามาในจังหวะที่แปลกประหลาดมากสำหรับเธอ มันต้องมีบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ และเธอจะไม่ยอมให้วิน เข้ามาแทรกแซงสิ่งที่เธอ กายและพี่สุเมธร่วมสร้างกันมาเด็ดขาด แต่ด้วยจำนวนเงินขนาดนี้ เธอไม่สามารถสู้อะไรได้เลย
   "ค...ค่ะ งั้นเราขึ้นไปหาพี่สุเมธกัน" เจนจิราว่า "แต่ก่อนอื่น ฉันอยากจะบอกคุณบางอย่างค่ะคุณจีโอ"
   "หลายอย่างก็ได้ครับ ผมยินดี" จีโอยิ้มรับ
   "ข้อแรก ฉันไม่เชื่อในการมาของคุณว่ามันโปร่งใส ดังนั้นฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อดึงซูเม่ไปในทิศทางที่มันควรจะเป็นเท่านั้น และฉันไม่สนด้วย ว่ามันจะเป็นวิธีไหน
 และถ้าหากคุณใช้วิธีตุกติกกับที่นี่ คุณจะต้องตอบคำถามกับฉันโดยตรงแน่ๆ" เจนจิราพูดอย่างตรงไปตรงมา
   "ครับ" จีโอรับคำสั้นๆ
   "ข้อสอง วินและเอิร์ธ สองคนนั้นยังใหม่สำหรับที่นี่มาก ฉันขอไม่แนะนำให้คุณต้องทำตามในสิ่งที่เขาพูด ถ้าคุณอยากจะลงทุนในธุรกิจนี้ เพราะอยากจะมีส่วนร่วมในงานออกแบบเพราะชื่นชอบจริงๆอย่างที่คุณว่า ฉันแนะนำให้คุณเรียนรู้ที่นี่จากทางอื่นจะดีกว่า" เจนจิราว่า
   "ครับ" จีโอรับคำอีก
   "และข้อสุดท้าย ในฐานะที่ยังไงฉันก็เชื่อว่าพี่สุเมธจะต้องเซ็นอยู่แล้ว และนั่นก็จะทำให้คุณกลายเป็นผู้บริหารที่นี่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ซึ่งก็เท่ากับว่า เราสองคนมีตำแหน่งเดียวกัน ดังนั้น ฉันอยากให้คุณรู้เอาไว้ด้วย ว่าฉันเป็นคนตรง และก็จะไม่บิดพลิ้วกับอะไรที่ไม่ชอบมาพากลใดใดทั้งนั้น ฉันจะพูดกับคุณตรงๆเท่านั้นและสิ่งที่ฉันอยากจะพูดกับคุณตอนนี้อย่างแรกก็คือ....ฉันไม่ไว้ใจคุณเลย"
   "ครับ" จีโอรับคำอีก
   เจนจิรารู้สึกอึ้งเล็กน้อย ในใบหน้าที่ไม่แสดงความตุกติกน่าสงสัยใดใดออกมา มีเพียงรอยยิ้มจริงๆเท่านั้น
   "และ....และฉันก็เชื่อว่า คุณก็จะตรงไปตรงมา กลับมาให้ดิฉันด้วยเหมือนกันค่ะ นะคะคุณจีโอ" เจนจิราหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง พลางยิ้มกลับให้เขา "มีคำถามไหมคะ"
   "มีครับ" จีโอว่า
   "งั้นก็ว่ามาเลยค่ะ" เจนจิราตอบ
   "คุณมีแฟนหรือยัง" จีโอยิงคำถามใส่ และห้องทั้งห้องก็เงียบสนิท  เจนจิรามองจีโอกลับด้วยสายตาที่แข็งกร้าว เมื่อได้สติแล้วเธอทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นทันที
   "คุณต้องการอะไรกันแน่" เจนจิราว่าเสียงดัง "ฉันบอกแล้วไงว่าฉันต้องการคนที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น"
   จีโอขมวดคิ้วแล้วยื่นหน้าไปหาเธอ
   "ผมว่าผมตรงแล้วนะ" จีโอว่าเสียงใส "ก็คุณบอกเอง ว่าต้องการให้ผมตรงไปตรงมากับคุณกลับ ผมก็ทำอยู่นี่ไง"
   เจนจิราอ้าปากค้าง เธอนึกคำด่าหมอนี่ไม่ออกเอาจริงๆ
   "คุณจีโอ ฉันไม่ตลกนะ" เจนจิราว่า
   "ใช่ แต่ผมว่าคุณนั่นแหละ กำลังเล่นตลกกับผมละ" จีโอตอบกลับ
   "อะไรนะ ฉันเนี่ยนะ" เจนจิราร้อง
   "ใช่ ผมชักจะไม่เชื่อซะแล้ว ว่าคุณจะเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ" จีโอว่า
   "ทำไมเหรอคะ" เจนจิราพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง "ฉันไม่ตรงไปตรงมาอย่างไรมิทราบ"
   "ก็คุณไม่ตอบคำถามผม" จีโอว่า "ถ้าคุณเป็นคนจริงใจอย่างที่คุณว่า คุณก็คงตอบคำถามผมไปแล้ว"
   "มันไม่เกี่ยวกันเลยนะคะ" เจนว่า "ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูด เพราะคุณจะเอาข้อมูลชั้นไปทำไมกันล่ะ"
   "ก็ผมอยากรู้อ่ะ ก็แค่อยากรู้ ไม่ได้เหรอครับ" จีโอว่า "เอางี้ ถ้าคุณตอบนะ คุณถามอะไรผม ผมจะเล่าให้คุณฟังหมดเลย"
   เจนจิรามองจีโออย่างไม่เชื่อสายตา
   "คุณอยากรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าผมเข้ามาลงทุนทำไม ไว้ใจได้หรือเปล่า" จีโอว่า "ผมจะตอบคุณแบบหมดเปลือกเลยอ่ะ เอาดิ"
   "ดีค่ะ" เจนจิราพยักหน้าพลางเม้มปาก เธอมองไปทางอื่นพักนึง ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้จีโออย่างไม่เป็นธรรมชาติที่สุด
   "ฉัน...ยังไม่มีแฟนค่ะ" เจนจิราตอบ จีโอยิ้มกว้างทันที
   "เยี่ยมเลย" จีโอว่า "ต้องอย่างนี้ซี่"
   เจนจิราเหลือกตาทันที
   "คุณได้คำตอบฉันไปแล้ว กรุณารักษาสัญญาด้วยค่ะ" เจนจิราว่า
   "ได้ๆๆ" จีโอตอบ "ผมมาที่นี่ด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ เด็กสองคนนั้น อยากผมมาช่วยเรื่องเงินลงทุนแฟชั่นวีค วินติดต่อผมมาจากคนรู้จักอีกที ผมเห็นว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ผมมีเงิน และมันก็แปลกใหม่ดี ก็แค่นั้น"
   เจนจิรามองหน้าจีโออย่างพินิจอีก
   "นี่คุณ ผมรู้ว่าคุณรักที่นี่ ผมอ่ะ เข้าใจอีโก้พวกดีไซน์เนอร์ดี เพราะผมได้ศึกษารายละเอียดมาจากวินบ้างแล้ว" จีโอกล่าว "ผมไม่ได้มาในแง่ร้าย อย่างที่คุณคิดหรอกน่า"
   เจนจิราหรี่ตาลงอีกครั้ง
   "แล้วนี่คุณจะเอาไปให้คุณสุเมธเซ็นได้หรือยังล่ะ" จีโอว่า "วันนี้ธุระผมจะได้จบ คุณก็จะได้ไม่ต้องมาหรี่มองทะลุผมอยู่อย่างนี้ไง"
   เจนจิราคว้าเอกสารในมือมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินตัดหน้าออกจากห้องทันที
   "งั้นก็เชิญค่ะ" เจนจิราว่า พลางเผยทางนำหน้าให้
   "ด้วยความยินดีคร้าบ" จีโอว่า
   และแล้ว ความต้องการของวินและเอิร์ธก็สัมฤทธิ์ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
...............
   "เยี่ยมเลย คุณทำได้ดีมากเลยจีโอ" วินร้องเสียงดังที่ร้านเกล็ดหิมะ ในเย็นวันนั้นเมื่อจีโอเล่าเรื่องทุกอย่างจบลง โดยที่เอิร์ธถึงกับถือถ้วยนมค้างเอาไว้ในมือ ในขณะที่สเตลล่าเหล่มองจีโออ่างไม่ไว้ใจ
   "นี่ยูชอบเขาจริงๆเหรอจีโอ" สเตลล่าถาม "แล้วแอนเดรียล่ะ"
   "เอ้ย นั่นไม่เกี่ยวแล้วสเตลล์ เลิกแล้วๆ" จีโอว่า "ผมเป็นผู้บริหารซูเม่แล้วนะ จะมีเรื่องชู้สาวไม่ได้ๆ"
   "เหรอคะ" สเตลล่าแซวเสียงสูง
   "นี่จีโอ ผมเตือนไว้เลยนะ พี่เจนน่ะ เค้าร้ายกว่าที่คุณคิดเอาไว้เยอะ" เอิร์ธว่า "ถ้าเขาจับได้ว่าคุณตุกติก ทุกอย่างพังแน่นอน"
   "ตุกติกเหรอ" จีโอว่า "เราไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกันอยู่ซะหน่อย แล้วเราจะกลัวอะไรอ่ะ"
   เอิร์ธกับวินมองหน้ากันทันที
   "เห้ๆๆๆ นี่ยูสองคนมีแผนอะไรป่ะเนี่ย" จีโอว่า "บอกไว้ก่อนเลยนะ ผมไม่ได้จะมาเพื่อให้คุณล็อบบี้ผมได้ง่ายๆ นะบอกไว้ก่อน สัญญาต้องเป็นสัญญานะวิน คุณชวนผมมาลงทุนและผมก็ต้องได้กำไรกลับไปตามสัญญานะ"
   "คุณได้แน่ แต่ผมขอแค่ให้คุณทำตามที่ผมบอก" วินว่า "คุณจะได้กำไร แต่ผมขอให้คุณเชื่อใจ ผมไม่ได้มีอคติอะไรกับคุณเจนจิรา เธอทำหน้าที่ของเธอ คุณทำหน้าที่ของคุณ สิ่งที่ผมกับเอิร์ธกำลังทำ ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเธอ จริงๆแล้วเธอควรจะดีใจด้วยซ้ำ ถ้าเราทำสำเร็จ"
   "แน่ใจนะ ถึงผมจะไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมาก แต่ผมก็รู้ว่าเราไม่ควรจะเทคโอเวอร์งาน ผมเพิ่งเข้าไปเป็นหุ้นส่วนด้วยนะ" จีโอร้อง
   "ผมทราบครับ เอาเป็นว่าสบายใจลงเหอะ คุณจะอยู่ในที่ปลอดภัยแน่นอนจีโอ" วินว่า "ในวันที่ประชุมแบ่งงบครั้งแรก คุณจะเห็นสิ่งเกิดขึ้นเอง ผมกับเอิร์ธ เราจะมีชื่อรับผิดชอบโปรเจ็คแฟชั่นวีค คุณต้องทำทุกอย่างให้คุณเป็นคนสนับสนุนเราสองคนในโปรเจ็คนี้ให้ได้ คุณเข้าใจหรือเปล่า"
   "เห้ ก็นายลากฉันมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ" จีโอว่า
   "ใช่ครับ" วินว่า "มันไม่ได้อยู่เหนือข้อตกลงของเราตอนแรกเลย"
   "แล้วไงอ่ะ" จีโอว่า
   "ไม่ว่าจะยังไง ผมอยากให้คุณทำให้ตัวเองคุมโปรเจ็คนี้ให้ได้ เท่านั้นพอ" วินว่า "เพราะจะมีคนแย่งมันไปจากคุณ แล้วเขาจะทำทุกวิธีด้วยครับ"
   "เรื่องอะไรจะยอมล่ะ" จีโอว่า "ก็ผมมาเพื่อช่วยคุณ ไม่ได้จะไปช่วยงานอื่นซะหน่อย"
   "ดีแล้วครับ ดีแล้ว" วินยิ้มให้เอิร์ธพลางยักคิ้ว
   "แต่เดี๋ยวก่อน คนที่จะแย่งผมนี่ หวังว่าจะไม่ใช่คุณเจนนะ" จีโอขัดขึ้น
   "เธออยากทำงานนี้ครับ" เอิร์ธว่า "แต่เราแย่งเธอมานานแล้ว ตอนนี้เธอกังวลว่าเราจะเอามันมาทำพังเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เธอมีงานใหม่ต้องรับผิดชอบแล้วล่ะ"
   "อืม ผมไม่อยากมีปัญหากับเธอน่ะ" จีโอว่า
   "กลัวจะต้องเผชิญหน้ากับเธองั้นสินะ" สเตลล่าแซวอีก "เวลาผู้หญิงเอาเรื่องทีไร ยูล่ะก็หงอประจำจีโอ"
   "ไม่ใช่นะสเตลล์ ไม่ใช่เลย" จีโอว่าพลางครุ่นคิด "ผมว่าเจนจิรา เค้าดูที่น่าสงสารมากกว่า"
   เอิร์ธถึงกับสำลักนมออกมาทันที ขณะที่วินเลิกคิ้วอ้าปากค้าง
   "โหจีโอ นี่คุณตกหลุมรักพี่เจนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย" เอิร์ธว่า
   "ไม่ใช่เอิร์ธ" จีโอว่า "นายไม่สังเกตเหรอ ดูแว้บเดียวก็รู้แล้ว เจนจิราเค้าต้องเคยเจออะไรมาเยอะมากๆ ที่ทำร้ายจิตใจ จนต้องสร้างเกาะบางอย่างขึ้นมาปกป้องตัวเธอเอง เธออยู่ในเกราะนั้นมานานเสียจนไม่ยอมเปิดรับอะไรที่ตัวเองไม่เข้าใจทั้งนั้น ผมว่าเธอเป็นคนที่น่าสงสารมากจริงๆนะ หลังจากที่ได้คุยกันวันนี้"
   เอิร์ธมองหน้าจีโอครั้งนึง ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ไร้สาระอย่างที่เขาคิดจริงๆเสียด้วย เขาอ่านเจนจิราออกทั้งๆที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง แถมยังสงสารเธออีก ในขณะที่เขาก็พอรู้เรื่องของเจนมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกสงสารเธอลงเลย
   "เรื่องคุณกับคุณเจน พวกเราไม่ยุ่งละกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่คุณจัดการเองนะ" วินว่า
   "ได้เลยๆ" จีโอว่า "ของแบบนี้มันยุ่งกันไม่ได้อยู่แล้ว.....เห้เคลวิน"
   จีโอร้องทักเพื่อนรักที่เปิดประตูร้านเข้ามาทันที เป็นไกด์นนั่นเอง บาริสต้าหนุ่มเมื่อเห็นจีโอ ก็ยิ้มกว้างและถลาเข้าหากันทันที
   "เห้จีโอ" ไกด์ร้องพลางดึงตัวเพื่อนขึ้นมา กอดจีโออย่างเป็นมิตร "ไม่ได้เจอนานมากเพื่อน คิดถึงว่ะ อ้าวสเตลล์มาด้วยเหรอเนี่ย"
   สเตลล่าทำหน้างงๆเล็กน้อย พลางมองตาจีโออย่างรู้กัน จีโอก็เช่นกันที่เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
   "...o.....of course" สเตลล่าพูดตะกุกตะกัก " วินเค้าชวนมาทานข้าวน่ะ ไอก็เลย...."
   "เห้ย เยี่ยมเลยๆ อ้าวหวัดดีคับเอิร์ธ" ไกด์ทักทาย เอิร์ธพยักหน้ารับเบาๆ พลางสงสัยในสีหน้าของจีโอและสเตลล่า ที่มองไกด์ด้วยความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด "ว่าแต่มีอะไรกันเหรอ นายนัดทุกคนมาเหรอวิน"
   "ช...ใช่" วินตอบตะกุกตะกัก "ค..คือวันนี้จีโอเค้าเซ็นสัญญาที่ที่ทำงานฉันน่ะ ก็เลยพามาเลี้ยง"
   "เห้ยจริงดิ ไหงบอกปีนี้ไม่จะลงทุนไงเพื่อน" ไกด์ถาม
   "บ้า..." จีโอหันมาตอบเสียงสูงพลางมองไปที่วิน สับไปมากับไกด์ "ก็.....เพิ่งจะรู้...ว่าเอ่อ....มันดี...น่าลงอ่ะ"
   "อ่านะ เปลี่ยนใจไวตลอดอ่ะ" ไกด์ว่า
   "นายแหละ ไหนว่าวันนี้ไปทำธุระไง แล้ว....มานี่ทำไมอ่ะ" วินร้องถาม
   "ฉันกำลังจะไป แต่อยากแวะมาเจอนายก่อน" ไกด์ตอบ
   แล้วทั้งโต๊ะก็เกิดความเงียบสนิทขึ้นทันที
   สเตลล่าและจีโอเหล่มองไปที่ไกด์ เอิร์ธขมวดคิ้วทันที พลางพยายามตีความในคำตอบของไกด์ ในขณะที่วินเหล่ขวับไปทางเอิร์ธทันที สเตลล่าสติไวกว่า เธอจึงควงแขนเข้าหาวินอย่างรวดเร็ว ไกด์มองมือของสเตลล่าที่ควงวินเอาไว้ ขณะที่เอิร์ธขมวดคิ้วเข้มพลางพยายามตีความคำตอบของไกด์เมื่อครู่
   ความคิดร้อยแปดผุดขึ้นในหัวทันทีของทุกคนที่อยู่ในโต๊ะนั้น ทุกคนพยายามตีความสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบนี้
   "เอ้อ....ไอมีข่าวดีมาบอก" สเตลล่าเอ่ยขึ้นกลบความเงียบ "ไอจะได้ขึ้นปกโวร์คเดือนหน้า"
   "จริงเหรอ" วินร้องตอบทันที "ดีเลยๆ เดี๋ยวผมพาไปเลี้ยงฉลองนะ"
   ไกด์ขมวดคิ้วทันที พลางมองหน้าวิน
   "ดีค่ะ ขอบคุณนะคะวิน" สเตลล่ากล่าวพลางยิ้มกว้างให้วิน ที่ยิ้มตอบเธอ
   ไกด์มองสิ่งที่เกิดขึ้น พลางยืดตัวขึ้นและกระแอมเสียงดัง จีโอและเอิร์ธเหล่มองตาม วินกัดฟันเบาๆ สิ่งที่เขาและเสตลล่าปกปิดไว้มันซับซ้อนหลายชั้น เกินกว่าที่คนในโต๊ะนี้จะเข้าใจเรื่องเดียวกัน เขาเสียวสัหลังวาบๆ การปรากฎตัวของไกด์ มันไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เขากำหนดไว้
   "นี่ฉันมาผิดจังหวะหรือเปล่า" ไกด์ว่า
   "ไม่หรอกนาย" วินเผลอตอบเสียงนิ่ม เอิร์ธหันควับมาหาเพื่อนรัก เสียงแบบนี้ ไม่ใช่เสียงปกติ วินกระแอมหนึ่งครั้ง พลางพยายามปรับเสียงตัวเอง "ว่าแต่ นายแวะมามีอะไรเหรอ"
   "ก็...เรื่องที่ฉันเคยบอกนายไว้ไง ว่าฉันจะพาไปเที่ยวน่ะ" ไกด์ว่า ถึงประโยคนี้ วินมองไปยังสายตาของเอิร์ธทันที ที่จ้องขเม็งมาที่เขา เช่นเดียวกับจีโอที่เหล่มองไกด์ รอบนี้เป็นสเตลล่าที่หลับตาปี๋แม้ว่ามือจะบีบแขนวินไว้แน่น
   "อ๋อ....เอ้อ พอดีเลย ไหนๆก็วันนี้ก็ทุกๆคนมาเจอกันแล้ว นายไม่ชวนทุกๆคนไปด้วยกันซะเลยล่ะ" วินว่า "ไปด้วยกันหลายๆคนจะได้สนุกๆไง"
   ไกด์มองหน้าวินทันที พลางขมวดคิ้ว
   "นายอยากไปเป็นกลุ่มหรอกเหรอ" ไกด์ถาม
   "ใช่" วินร้อง "จะได้เป็นการฉลองไง
   "ต..แต่ว่า ถ้าคนอื่นไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ" สเตลล่าร้องขึ้นแก้เกมส์อีก ทั้งวินและไกด์เหล่ควับมามองเธอ "จ...จะได้ไม่ต้องรบกวนไง ค..คือว่าไอหมายถึงว่า....ตอนแรกก็ว่าจะไปกัน สามคนน่ะค่ะ....ช....ใช่มั้ย"
   "ไปดิ" เอิร์ธว่าพลางจ้องหน้าวิน "แบบนี้มันต้องไปอยู่แล้ว"
   "ช่ายยยย" จีโอร้องเสียงสูง พลางหันไปมองไกด์ "ต้องไปกันเยอะๆ จะได้รู้......สึกสนุก"
   ไกด์มองไปที่ทุกๆคนทันที รอบนี้เป็นวินและสเตลล่ามองหน้ากันอย่างเสียวสันหลัง
   "ผมกะจะพาวินไปดีสนีย์แลนด์น่ะ ถ้าทุกคนอยากไปกัน ก็ต้องจ่ายค่าตั๋วมานะ ผมกำลังจะไปจอง" ไกด์ว่า "ไปกันหมดนี่เลยใช่หรือเปล่า"
   "ผมขอเพิ่มอีกที่นึงครับ" เอิร์ธว่า "ผมจะชวนพี่ไปด้วย"
   เอิร์ธหยิบเงินในกระเป๋าพลางส่งให้ไกด์ แม้ว่าสายตาจะเหล่มองไปหาวินอย่างไม่ลดละ
   "ฉันก็เพิ่มอีกที่นึงเหมือนกันเคลวิน" จีโอว่า รอบนี้เป็นวินและเอิร์ธหันไปมองจีโอ "ชั้นว่า ฉันเจอโอกาสดีดีในเดทแรกละ"
   "ห๊ะ" วินและเอิร์ธร้องขึ้นพร้อมกัน
   รอบนี้ เป็นไกด์ ที่มองวินด้วยสายตาแข็งกร้าว
   วินชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าเรื่องที่เขาวางแผนเอาไว้กับทุกๆคนในโต๊ะนี้ ผลมันจะออกมาเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ เขาอยากจะมุดตัวหายออกไปจากร้านเกล็ดหิมะเสียตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งสเตลล่าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 31 Conspire]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 18-02-2013 00:03:16
วินทำหน้าไม่ถูก

ความแตกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 32 Bad Mood]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 18-02-2013 04:44:59
ตอนที่ 32 Bad Mood

   ใช้เวลาไปนานทีเดียว กว่าความอึดอัดในร้านเกล็ดหิมะจะเบาบางลงไปได้ ไกด์ออกจากร้านเกล็ดหิมะไปพร้อมกับส่งสายตาบางอย่างมาให้กับวิน เป็นสายตาที่วินไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็รับรู้ได้ว่า หมอนั่นอารมณ์ไม่ดีแน่ๆ เช่นเดียวกับเอิร์ธ ที่เมื่อทานสปาเกตตี้หมดจาน ก็ขอตัวกลับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าวินจะพยายามชวนคุย แต่ก็ไม่เป็นผล เอิร์ธบอกกับเขาแต่เพียงว่า
   "เดี๋ยวมึงก็ได้คุยกับกูอีก คุยยาวอ่ะ"
   ทิ้งไว้เพียงระเบิดลูกใหญ่ ก่อนเพื่อนรักจะหายตัวไปจากร้าน ผิดกับจีโอที่ยังคงทำตัวร่าเริง และยิ่งร่าเริงมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตลอดหนึ่งชั่วโมงในโต๊ะอาหารนี้ สเตลล่าพยายามส่งสายตาปรามไปให้จีโอซึ่งไม่ได้ผลใดใด หลังจากเสร็จสิ้นของหวาน ไปพร้อมๆกับที่วินเริ่มเก็บข้าวของในร้านรอบเย็น วันนี้เขาทำงานมาทั้งวัน เพื่อแทนไกด์ ดังนั้นหัวค่ำเขาจึงว่างและอาสาไปส่งจีโอที่บ้านและส่งสเตลล่าที่สถานีรถไฟ
   แม้ว่าตลอดการเดินเท้าออกจากร้านเกล็ดหิมะ จีโอจะมีอารมณ์ที่ร่าเริงและกอดคอของเขาไปด้วย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้วินรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น มันน่าแปลกตรงที่วันนี้ทุกอย่างจบลด้วยดีแล้วแท้ๆ แต่ใจเขาเต็มไปด้วยความกังวล บ้านพักของจีโออยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ช่วงบล็อค วินและสเตลล่าส่งจีโอที่หน้าบ้านพัก
   "ขอบคุณมากนะวิน" จีโอพูดขึ้น
   "ไม่เป็นไรหรอก" วินตอบ "เดินมาส่งแค่นี้ ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรครับ"
   "ไม่ใช่เรื่องนั้น" จีโอว่า "เรื่องเคลวิน"
   วินหายใจเข้าลึก คิดไว้อยู่แล้วว่าจีโอต้องวกเข้าเรื่องนี้
   "จีโอ" สเตลล่าร้องเสียงแข็ง "ไอว่ามัน..."
   "ไม่ต้องหรอกสเตลล์" วินพูดห้าม "ว่ามาเลยครับ สิ่งที่คุณคิด"
   "ไม่คือ ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณกับเคลวินมีความสัมพันธ์กันยังไง" จีโอว่า "แต่ที่แน่ๆ คุณทำในสิ่งที่ผมกับสเตลล่าก็ทำไม่สำเร็จ ในรอบหลายปีมานี่"
   สเตลล่าก้มหน้าลง วินยังคงมองหน้าจีโอต่อ
   "เขากลับไปเป็นเคลวินได้แล้วในที่สุด" จีโอพูดต่อ วินยิ้มอย่างเบาบาง พลางส่ายหัวเบาๆ "เราสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจสเตลล์ เราพยายามกันมาแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยยอมลืมอดีตที่ผ่านมา"
   "งั้นเราก็ควีที่จะปล่อยให้เรื่องที่เหลือ เป็นการตัดสินใจของเขาสองเองหรือเปล่า" สเตลล่าว่าพลางมองจีโอ "อย่าได้สะกิดอะไรเพิ่มเลยจีโอ หยุดทำตัวฉลาดกว่าความจริงแล้วปล่อยให้ความจริงทำงานด้วยตัวมันเองซะ"
   "ฉันเนี่ยนะสะกิด ใครกันแน่สะกิดแผลเก่าเคลวิน เสตลล์ เธอนึกดูดีดี" จีโอชี้หน้าหญิงสาว "เธอต่างหาก เธอกลับมาหามัน"
   "ไอกลับมา ก็เพราะว่าอยากจะทำให้เค้าหายเศร้าเท่านั้น ไออยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่ไอทำ และไอก็ทำในสิ่งที่ยูก็ทำไม่ได้" สเตลล่าว่า "ยูเป็นเพื่อนเค้าด้วยซ้ำ"
   "ไม่เลย.....ผมน่ะ..."
   "โอเค หยุดเหอะครับ ทั้งคู่เลย" วินยกมือขึ้นห้าม "มันไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนี่ ในเมื่อคุณสองคนก็เห็นว่าเขาเป็นปกติดีแล้ว"
   "ใช่....ฉันก็แค่อยากจะแสดงความยินดีด้วยเท่านั้น" จีโอว่า "ฉันไม่ถือหรอกเรื่องแบบนี้ ที่สตาร์เบิร์กมีตั้งหลายคู่ที่เป็น"
   "โทษครับจีโอ ผมกับไกด์ เราสองคนไม่ได้....." วินว่า
   "ไม่ใช่อย่างนั้นเลยจีโอ" สตลล่าว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยนะ"
   สิ้นคำของสเตลล่า วินหันไปมองเธอทันที
   "ยูรู้นิสัยเพื่อนยูดีกว่าใครๆ" สเตลล่าว่า "เคลวินคนเดิมนิสัยเป็นยังไง แล้วเขาเคยทำอะไรไว้ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยลูกลบล้างเลยนะ"
   จีโอเงียบสนิท
   "ยูอาจจะดีใจที่ได้เพื่อนสนิทกลับมาก็จริง มาขอบคุณวินก็จริง แต่นี่มันไม่ต่างอะไรกับการโยนภาระทั้งหมดให้กับเค้า" สเตลล่าพูดชัดเจน "ยูไม่ได้ทำอะไรเลยซักอย่าง เพื่อจะเปลี่ยนเพื่อนของยูให้ดีขึ้น พอเพื่อนคุณดีขึ้นได้หน่อย คุณร้องเฮ ดีอกดีใจ ลอยไปจีบแม่สไตลิสแสนสวยคนใหม่ของยู แล้วถ้าเกิดว่าวินจะต้องเจอกับอะไรแบบที่ฉันเคยเจอ แบบที่ก้องเคยเจอล่ะ ยูจะยังกล้าพูดแบบนี้อีกไหม"
   วินมองสเตลล่าอย่างไม่เชื่อสายตา ในขณะที่จีโอก้มหน้าก้มตาทันที
   "เห้ย เธอคิดมากไปแล้วสเตลล์ ฉันเอ่อ...ไม่คิดว่ามันจะทำอย่างนั้นกับวินได้หรอกน่า" จีโอว่า
   "ยูก็พูดกับเคลลี่แบบนี้ เรื่องฉันเหมือนกัน" สเตลล่าว่า
   "สเตลล์" วินจับเข้าที่ตัวเธอ "ไม่เป็นไร....มันไม่มีอะไรหรอก"
   สเตลล่าหันมามองหน้าวิน ดวงตาของเธอมีประกายใสใส ด้วยอารมณ์ที่โกรธพล่าน
   "ไอไม่อยากเห็นทุกอย่างมันจบลงแบบนั้นอีก" สเตลล่าว่าเสียงสั่น วินยิ้มปลอบใจเธอ ก่อนจะหนักลับมาหาจีโอ
   "ไม่เป็นไรหรอกจีโอ คุณขึ้นไปพักผ่อนเถอะ" วินว่า "มีอะไร เดี๋ยวผมบอกคุณเองผมหมายถึงเอ่อ...เรื่องงานนะ"
   จีโอมองมาที่วินอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตบไหล่อย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้ม พร้อมกับมองสเตลล่าที่ส่งสายตาแข็งกร้าวกลับไปให้เขา จีโอก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบ้านพักจนลับตาไป
   สเตลล่าหันหลังกลับทันที พลางจ้ำอ้าวเดินออกจากหัวมุมถนน วินออกเดินตามเธอไปก่อนจะคว้าแขนเธอไว้ได้ทัน
   "เป็นอะไรไปสเตลล์ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" วินถามเธอทันที สเตลล่าหันกลับมามองหน้าวินอย่างเป็นกังวล วินตกใจเล็กน้อย เธอถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินต่อ วินก็คว้าตัวเธอให้หันกลับมาอีก
   "เดี่ยวดิ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน" วินท้วงต่อ
   สเตลล่าถอนหายใจพลางมองหน้าวิน
   "คุยอะไร" สเตลล่าถาม "ไอพูดกับจีโอไหมดแล้ว ที่เหลือ ยูต้องคิดเอง"
   "ไม่ใช่ดิ ก็ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมกับเค้าอยู่ด้วยกัน ตอนที่ทุกอย่างกำลังดีขึ้น เธอไม่เห็นท้วงอะไรซักคำ" วินว่า
   "ก็เพราะว่าไอไม่เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น" สเตลล่าตอบ "ไอดีใจ ที่เขารู้จักเปิดใจรับคนอื่นมากขึ้น แต่ไอไม่เชื่อ ว่านี่จะเป็นสิ่งที่ดี"
   "หมายความว่ายังไง" วินถาม
   "วิน ยูไม่เคยรู้จักเค้า" สเตลล่าตอบ "ยูเพิ่งมาอยู่ที่นี่แค่ 6 เดือน ยูไม่รู้หรอก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเคลวินคนก่อน ยูไม่เคยเห็นหรอกว่าเค้าเป็นยังไง"
   วินนิ่งเงียบพลางหลบสายตาเธอ สเตลล่าเบือนหน้าหนีไปทางอื่นครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ตัววินมากขึ้น
   "บอกไอสิ ว่าสิ่งที่นายทำอยู่ แผนการทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเค้า" สเตลล่าถามวิน วินมองหน้าเธอโดยไร้ซึ่งคำตอบ "บอกสิว่าไม่ใช่"
   "นี่ฟังนะ สเตลล์ มันไม่ได้มีอะไรต้องกังวลเลยนะ" วินพยายามแย้ง "ทุกอย่างมันกำลังไปได้สวย และ...."
   "ตอนเรื่องของไอกับเคลลี่ก็เป็นแบบนี้ เริ่มต้นแบบนี้นั่นแหละ" สเตลล่าว่า "และก็เป็นเค้า ที่ทำลายทุกอย่างลง"
   "สเตลล์" วินเรียกชื่อเธอเบาๆ
   "ไอเคยหวัง ว่าการที่เคลลี่จากไป จะทำให้เค้ารสำนึกได้บ้าง ใช่ เค้าทำ แต่ไม่ใช่การมาเดทกับนายต่อ" สเตลล่าว่า "แค่ไปเห็นเค้าวันนี้ ก็เห็นทุกอย่างแล้วว่ามันจะเป็นยังไง เค้าจะเป็นคนเดิม"
   "ไม่ เค้าจะไม่เป็นคนเดิม เค้าจะเป็นคนใหม่สเตลล่า"
   "แล้วเป็นใครอ่ะ" สเตลล่าร้อง
   วินเงียบสนิท
   "ให้เค้าเป็นใครดีวิน เป็นไกด์ เป็นเคลวิน หรือเป็นก้อง" สเตลล่าพูด "ยูอยากให้เค้าเป็นใคร เค้าก็เป็นได้ทั้งนั้นแหละ"
   "เธอกำลังพูดเหมือนกับว่า เคลวินเป็นคนเลวเอามากๆนะสเตลล์" วินว่า "ผมไม่เชื่อว่า...."
   "เค้าไม่ได้เลว แต่เค้าเป็นใครสำหรับยูล่ะนี่ต่างหากคือประเด็น" สเตลล่าว่า "ฟังนะวิน ไม่ว่ายูจะเชื่อไอหรือเปล่า แต่อย่ารู้สึกอะไรกับเคลวินไปไกลกว่านี้ เพราะที่จะต้องเจ็บปวดที่สุดในตอนสุดท้าย จะเป็นนายเอง"
   วินมองหน้าเธอพลางกัดฟัน สเตลล่าส่ายหน้าครั้งนึง
   "ยูไม่เชื่อชั้น" สเตลล่าถอนหายใจ พลางเดินทิ้งห่างไปทันที "ไม่ต้องไปส่งนะ ไอกลับเองได้ เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกัน"
   "ผมไม่สนหรอก" วินตะโกนใส่หลังของสเตลล่าไป แม้ว่าเธอจะไม่หยุดยืนฟัง "ผมไม่สนว่าคุณจะไม่ให้อภัยเขา แล้วไม่ยอมให้เกิดการเริ่มต้นใหม่ให้เค้า ได้ยินไหมสเตลล่า
   วินออกเดินตามเธอที่หายไปจากหัวมุมถนน และตะโกนไล่หลังเธอไป
   ผมไม่สน ว่าคุณจะโดนเขาทำอะไรมา แต่ผมเชื่อใจเขา ที่คุณพูดมันใช้ไม่ได้กับผมสเตลล์ ผมรั......."
   วินถูกกระชากให้หันหลังกลับทันทีโดยที่ยังพูดไม่จบประโยค ความตกใจของวินถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายที่คุ้นเคย วินพลักตัวเองออกจากแรงดึงดูดมหาศาลตรงหน้าที่ดึงร่างของเขาไว้ และผลักร่างนั้นออกจนพ้นตัว และมองดูเจ้าของผลงานที่เกิดขึ้น ไม่ต้องทายว่าเป็นใครอยู่แล้ว
   "น...นาย...." วินหอบแฮ่กๆ พลางปาดริมฝีปากด้วยหลังมือพลางมองหน้าไกด์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ใบหน้าที่หล่อเหลาตอนนี้แดงจัดไปด้วยความโกรธ วินรู้สึกถึงคลื่นพังมหาศาลที่ปล่อยออกมาผ่ายการกระชาก ชายหนุ่มหายใจหอบมองไกด์อยู่อย่างนั้น
   "ทำบ้าอะไรวะ" วินว่า แต่ไกด์ยังคงนิ่งเงียบสนิท
   "กลับบ้าน" ไกด์พูดสั้นๆ พลางดึงแขนวินให้เดินตามทันที
   "เห้ย ไอ้ไกด์ นายทำบ้าอะไรของนายอ่ะ" วินร้องทันที ที่ไกด์เริ่มกระชากตัวเขาออกเดิน "ปล่อยนะไกด์"
   วินสะบัดแขสไกด์ออกทันที
   "ถ้าไม่อธิบายมา ฉันก็จะไม่ไปไหนกับนายทั้งนั้น" วินร้อง ไกด์หันหลังกลับมา มองวินด้วยสายตาเย็นชา "และคราวนี้ฉันพูดจริงนะไกด์ แน่จริงก็เอาดิ"
   ไกด์ยืนมองวินอย่างนิ่งสนิท
   "กลับบ้านวิน" ไกด์พูดเสียงเย็นเฉียบ
   วินมองเข้าไปในดวงตาของไกด์ ชายหนุ่มกัดฟันด้วยความโกรธ
   "เห้ย นี่มันอะไรกันวะ" วินร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง เขาหมดความอดทนแล้ว "ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นอ่ะไกด์ ฉันไม่ไปแล้ว"
   "เราคุยกันตรงนี้ไม่รู้เรื่องหรอก" ไกด์พูดเสียงเรียบ "กลับบ้านเหอะ"
   "นายไม่เข้าใจเหรอวะ" วินร้อง "เห้ย.....นายรู้หรือเปล่าไกด์ ว่าวันนี้เป็นวันดีแค่ไหนอ่ะ"
   ไกด์ยังคงเงียบสนิท
   "ทุกๆอย่างแม่งโคตรเข้าล็อคหมดเลยนะ" วินร้อง "ทุกๆเรื่องแม่งออกมาดีหมด เท่าที่นายจะคิดออกเลยอ่ะ แต่ทำไมวะ ทำไมทุกๆคนถึงกลายเป็นว่า ไม่มีใครเห็นว่าวันนี้แม่งดีแค่ไหนอ่ะ"
   วินก้มหน้าลง ชายหนุ่มขยี้หัวตัวเองอย่างหัวเสีย
   "โธ่เว้ยยยยยยยยย" วินตะโกนก้อง "มันเกิดเหี้ยไรขึ้นวะเนี่ย ให้ตายเหอะ"
   ไกด์ยังคงมองวินอย่างสงบนิ่ง ชายหนุ่มมองวินอย่างเย็นชา ก่อนจะก้มหน้าลง
   "กลับบ้านกับผมนะวิน" ไกด์พูดเสียงที่อ่อนโยนเอามากๆ วินมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้า คำพูดของสเตลล่าตีไปมาอยู่ในหัว คำพูดของเอิร์ธ คำพูดของพ่อ คำพูดของจีโอ คำพูดของทุกๆคน กำลังทำให้วินปวดหัว เขาไม่เข้าใจทุกๆคนเลยจริงๆ ทำไมทุกคนถึงพยายามทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง เขาทำทุกอย่างขึ้นมาได้สวยอยู่แล้วเชียว
   "นายไม่เข้าใจอ่ะไกด์" วินว่า "นายไม่เข้าใจอ่ะ ว่าทั้งหมดนี่มันคืออะไร ฉันเครียดจะตายอยู่แล้ว นายรู้หรือเปล่า ฉัน..."
   มือของไกด์จับแขนของวินและดึงตัวชายหนุ่มเข้าไปกอดทันที วินหยุดคำพูดไว้แค่นั้นทันทีที่ไกด์อดเขา น้ำตาของวินก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาต้องการเพียงแค่อ้อมกอดแบบนี้เท่านั้นที่อบอุ่นใจที่สุดในเมืองนี้
   "ฉันงงไปหมดแล้ว" วินว่า "ฉันทำอะไรไม่ถูกเลยไกด์ ทำไม ไม่มีใครรับฟังชั้นเลยอ่ะ ทำไมอ่ะไกด์"
   "กลับบ้านนะวิน" ไกด์ว่า
   วินกอดไกด์อยู่เนิ่นนาน จนท้องถนนนั้นไม่เหลือผู้คนอีกเลย
........................
   เสียงลำธารไหลเอื่อยๆที่เชิงสะพานใกล้ๆโบสถ์โรสแมรี่ วินไม่มีความพยายามที่จะกลับบ้าน เขาส่งสัญญาณทุกวิถีทางเพื่อให้บาริสต้าสุดเย็นชา หยุดบังคับเขากลับบ้าน อย่างน้อยก็ในชั่วกลางดึกตอนนี้
   ไกด์เท้าแขนมองเหม่อออกไปยังแม่น้ำที่ไหลออกไปยังใจกลางกรุงปารีส ในขณะที่วินยืนหันหลังพิงขอบสะพาน มองถนนที่ไม่มีผู้คน เหลือเพียงแสงไฟที่ส่องให้ทั้งคู่มองเห็นกันและกันอยู่ ไกด์และวินเงียบใส่กันมาเกือบชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่เดินออกจากถนนทอร์ควิลมาถึงที่นี่ สองเท้าทั้งคู่พาทั้งคู่มาเองโดยสัญชาตญาณ โดยมีเพียงมือที่จับกันและกันเดินมาถึงตรงนี้ ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำพูด เวลาหยุดเดินอยู่กลางกรุงปารีส วึ่งสำหรับวินแล้ว ตอนนี้ เขาไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมีปัญหา เขาแค่รู้สึกว่าทำไมรอบๆตัวเขาถึงมีแต่ปัญหา ทั้งที่เขาก็จัดการทุกอย่างเอาไว้เต็มที่แล้ว
   "มีอะไรจะบอกกันหรือเปล่า" ไกด์ถามทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน หลังจากที่เงียบกันไปนาน วินถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที พลางกัดฟันแล้วก้มหน้าลงกับตัวเอง "หรืออะไรก็ได้ ที่นายจะพูด หรืออยากจะถาม"
   วินกลับเป็นฝ่ายเงียบขึ้นมาแทน
   "บอกตรงๆนะ ฉันไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ฉันทำให้นาย มันยังจะเป็นเรื่องที่ดีอยู่หรือเปล่า" ไกด์พูดต่อ "ฉันอาจจะไม่ควรทำแบบนี้เลย อย่างที่สเตลล์พูด ฉันอาจจะไม่ควรดูแลนาย"
   วินตั้งใจฟังไกด์ต่อพลางกำหมัดแน่น
   อะไรนะ....ไม่ควรดูแลกันงั้นเหรอ
   "บางที ถ้าเกิดว่านายกับสเตลล์จะเป็นแฟนกันจริงๆ มันก็อาจจะ...."
   "ไม่" วินพูดออกมาทันที "ไม่ใช่อย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องที่นายกำลังเข้าใจผิด"
   "แล้วอะไร ถึงเรียกว่าเข้าใจถูก" ไกด์ถามกลับ วินนิ่งเงียบ "แบบไหนเหรอ ที่เรียกว่าเราเข้าใจตรงกันแล้ว"
   วินหลับตาลง
   "ฉันขอเหอะไกด์ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย อย่าเป็นนายอีกคนได้ไหม ที่จะขัดฉันเรื่องนี้" วินว่า
   "เรื่องไหนอ่ะ" ไกด์ถามกลับ
   "ก็ทุกเรื่องที่ฉันทำอยู่นี่ไงเล่า นายอย่าเพิ่งขัดอะไรที่...."
   "ทุกเรื่องนี่คือรวมเรื่องที่ทั้งหมดที่นายทำ นายกำลังทำเพื่อฉันด้วยหรือเปล่า" ไกด์พูดต่อคำวินจนจบ วินเงียบสนิท และเงยหน้าองไกด์ทันที
   "น...นาย"
   "นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ" ไกด์ถามขึ้น "ฉันรู้มาซักพักแล้ว ว่านายกำลังทำอะไรอยู่"
   น้ำตาวินเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง
   "มันไม่ใช่เรื่องที่ดูยากอะไรเลยใช่หรือเปล่าล่ะ" ไกด์ส่ายหน้าพลางยิ้มให้ตัวเองขำๆ พลางมองออกไปข้างหน้า "วิน ลูกคุณหนูเอาแต่ใจ เคยวิ่งหายไปจากชีวิตฉันแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ดีดีก็กลับมา แล้วทุกๆอย่างก็ดีขึ้น ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ลูกคุณหนูคนนั้น สลัดคราบความเอาแต่ใจทิ้งไป ทำงานควบสองที่หลายเวลา หาเงินตัวเป็นเกลียว แต่กลับทำทุกอย่างเพื่อต่อต้าน ความก้าวหน้าในสายงานของตัวเอง"
   วินมองหน้าไกด์ขณะที่ชายหนุ่มพูด
   "นายเริ่มดูแลคนที่นายไม่รู้จัก เริ่มเห็นค่าของสถานที่ที่ช่วยเหลือคนอย่างเกล็ดหิมะ แสดงความเห็นใจกับคนที่นายเองก็เคยโวยวายใส่หน้าเค้า นายรู้สึกดี ที่ได้ทำสิ่งดีดีให้คนอื่น และนายก็เชื่อว่า มันก็คงจะดีไม่น้อย ถ้าจะทำอะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยู่ในที่ที่ตัวเองรู้สึกไม่เหมือนเดิม" ไกด์ก้มหน้าลง
   วินกระพริบตาถี่ ไกด์รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร และถ้าไกด์รู้ไปมากกว่านี้ นั่นก็เท่ากับว่าไกด์กำลังรู้ ว่าเขา....
   "ล..แล้ว....แล้วมัน...." วินพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่สั่นเครือ "แล้วมันไม่ดีหรือไง"
   "แต่ฉันคิดว่า นายไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ เพราะเหตุผลแค่นั้นหรอก" ไกด์ว่า
   "แค่นั้นแหละ ฉันทำไป ก็เพราะอยากอยู่ที่นี่ต่อ ก็ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปมากกว่านั้น ความจริงแล้วที่ฉัน ทำไปก็เพราะแค่อยากจะได้อยู่กับ........" วินอ้าปากค้าง เค้าถูกไล่ต้นมาจนมุมตัวเอง ไกด์จะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ไม่มีแม้แต่ลมหายใจออกมา ไกด์หันมามองวินเบาๆ "ทำไปก็เพราะแค่อยากจะได้อยู่กับ....กับ...."
   "....กับชั้น" ไกด์ต่อคำจนจบ
   และแล้วเวลาก็หยุดลงอย่างสมบูรณ์ วินหลับตาลงทันที ในที่สุค ไกด์ก็รู้มันเข้าจนได้ วินเม้มปากเบาๆ
   "ไกด์ชั้น....คือชั้นหมายความว่า" วินพยายามพูดอะไรบางอย่าง
   "อย่าทำนั้นเลยวิน" ไกด์พูดต่อ "อย่าทำอะไรไปมากกว่านี้ เพราะชั้น"
   "อ...อะ...อะไร....นายว่าอะไรนะ" วินร้องเสียงสั่น "....ชั้น...ทำไม...เพราะอะไรอ่ะ เพราะอะไรฉันจะทำให้นายบ้างไม่ได้"
   "ก็เพราะทั้งหมดที่ผ่านมา มันอาจจะไม่ใช่ฉันก็ได้" ไกด์ว่า "นายไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าฉันเป็นใคร"
   วินลุกขึ้นยืนทันที คำพูดของไกด์ กำลังหลายเป็นมีดที่แทงลึกเข้าไปในตัวของเขา คำพูดเดียวกับที่สเตลล่าพูดกับเขาเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา
   "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกไกด์ นายแค่ได้ยินสิ่งที่สเตลล่าพูดเมื่อกี้" วินพยายามอธิบาย "และนั่นมันไม่ได้ทำให้ฉันลังเลเลยเว่ย ฉันตั้งใจไว้แล้ว และฉันจะไม่..."
   "นายไม่เข้าใจวิน" ไกด์หันหน้ามาหาวินทันที "นายไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร นายจะรู้ได้ยังไง ในเมื่อฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ฉันไม่รู้จักตัวเองเลยวิน หลังจากเรื่องทั้งหมดนั่น ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเป็นใครต่อไปได้อีก ฉันเป็นก้อง เป็นไกด์ เป็นเคลวิน ฉันเป็นทั่วไปหมด ฉันปรากฎตัวไปทุกที่ แต่มันไม่มีที่ไหนที่เป็นฉันเลยวิน และนั่นแหละเหตุผล เข้าใจไหมวิน"
   วินมองหน้าไกด์พลางกัดฟัน
   "เพราะว่าฉันไม่ใช่คนที่นายพึ่งพาได้ ฉันช่วยนายได้ แต่ไม่ใช่คนที่นายจะมาคาดหวังหรือเชื่อมั่นได้หรอก ฉันเป็นฆาตรกรวิน และก็ยังเป็นอยู่" ไกด์ว่า "น้องชายฉันตายเพราะฉัน เพราะความเป็นฉัน และฉันก็ไม่เคยได้ไถ่โทษ ฉันเคยเอานายมาเป็นตัวไถ่โทษ แล้วก็ได้เรียนรู้ว่าสุดท้าย มันไม่มีการแทนกันได้ นายก็คือนาย และฉันก็คือฉัน เราทั้งคู่ก็แค่คนสองคนที่มาเจอกันในเมืองบ้าๆนี่ แล้วสุดท้าย เราสองคนก็จะต้องจากกันไปวิน มันจะจบลงแค่นั้น"
   วินกำหมัดแน่นขึ้น
   "ฉันเคยบอกนายแล้ว ว่าฉันมองไม่เห็นนายอยู่กับฉันมาพักนึงแล้ว แต่นายก็ไม่รับฟัง" ไกด์ว่า "นายกลับยิ่งพยายามทำทุกอย่างหนักขึ้น จนตัวนายเองเริ่มต้องแบกรับ ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ และนายอาจจะต้องเจอกับเรื่องที่ร้ายไปมากกว่านี้เพราะฉันนะวิน มันจะเกิดขึ้นกับนาย และฉันก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะฉันเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันเป็นคนที่นายไม่รู้จักด้วยซ้ำ ฉะนั้น ไม่มีทางที่นายจะมาอยู่กับฉันได้หรอกถ้า......"
   พลั่ก!!!
   วินต่อยหน้าไกด์ไปเต็มแรง ชายหนุ่มเซถลาไปตามแรงมือ ของวินทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองวินอีกครั้ง ใบหน้าของวินอาบไปด้วยน้ำตา ชายหนุ่มกำหมัดแน่น กัดฟันกรอด พลางมองมาหาไกด์ด้วยความโกรธ
   "ว...วิน" ไกด์เอ่ยขึ้น พลางจับเข้าที่ใบหน้าของตัวเอง
   "พอเหอะ ฉันไม่อยางนายพล่ามแล้วว่ะ" วินว่า "เทปม้วนนี้จะถูกเล่าอีกกี่ครั้งวะไกด์ ห๊ะ มันจะถูกเล่าอีกกี่ครั้ง เรื่องไอ้ก้อง นายจะพูดเรื่องนี้อีกกี่ครั้ง นายถึงจะพอใจอ่ะห๊ะ"
   วินร้องเสียงดัง พลางส่ายหัว
   "นายไม่รู้ใช่ป่ะ ว่าตัวเองเป็นใคร นายไม่รู้ใช่ป่ะ" วินชี้หน้าใส่ไกด์
   "ที่ผ่านมา ที่เราทำเรื่องต่างๆด้วยกัน มันยังไม่ชัดเจนพอใช่ป่ะ มันยังไม่ชัดใช่ป่ะวะ" วินว่า "แล้วพอแม่งมาถึงครึ่งทาง นายก็จะบอกให้หันหลังกลับงั้นเหรอ มันจะไม่มักง่ายไปหน่อยเหรอวะ"
   วินหายใจเข้าลึกๆ
   "นายเป็นใคร ฉันอาจจะไม่รู้" วินว่า "แต่ตอนนี้ไอ้ก้อง ไอ้ไกด์ ไอ้เคลวิน....มันคือคนที่ไอ้วิน....รักเว่ย...ชัดยัง"
   ไกด์เงยหน้าขึ้นมามองวินทันที
   "แล้วไอ้วินคนนี้ ก็ไม่ถอยหลังกลับแล้ว" วินว่า "มันมาไกลเกินกว่าที่มันจะยกเลิกแล้ว มันรักไปแล้วเว่ย มันรักไปแล้ว นายเข้าใจป่ะวะ"
   วินกัดฟันกรอด พลางทุบหัวตัวเอง และทรุดตัวนั่งลงทันที
   "เชี่ยยยเอ้ย" วินว่า "กูเป็นบ้าอะไรของกูวะ นี่กูทำเหี้ยอะไรอยู่เนี่ย นี่สรุปที่ผ่านมานี่กูคิดไปเองใช่ป่ะ ที่อยู่ด้วยกัน มีเวลาดีดีด้วยกัน นี่สรุปกูคิดไปเองใช่ป่ะวะ"
   ไกด์ยืนนิ่งสนิท วินมองไปหาชายหนุ่ม
   "ชั้นไม่สนว่านายเป็นใคร เราไม่คุยเรื่องนี้กันแล้วได้ป่ะวะ" วินว่า เขาต้องลดความแพ้ตัวเองลงเดี๋ยวนี้ เขาเสียท่ามากเกินไปแล้ว "ทำไมอ่ะ เรื่องที่นายเป็นใครมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ ชั้นทำอะไรต่อไปไม่ได้แล้วเลยงั้นเหรอ ไกด์ตอบดิ"
   วินสงบสติอารมณ์ตัวเองลง ความเงียบเข้าครอบคลุมสะพานแห่งนั้น ไม่มีคำพูดใดใดเล็ดลอดออกมาอีก มีเพียงสายลมที่พัดผ่านไปให่รู้สึกเย็นเบาๆ วินก้มหน้าลงกับตัวเอง พลางครุ่นคิดสิ่งที่จะเป็นไป
   "พูดมาแบบนี้ ทำเหมือนที่ผ่านมาแม่งเป็นเรื่องเล่นๆ" วินว่าพลางส่ายหัว "ทำอย่างกับว่าไม่เคยรู้สึกอะไรเลยงั้....."
   วินถูกเชยคางขึ้น ไกด์ประกบริมฝีปากจูบวินทันทีอย่างไม่รีรอ กลิ่นอายที่คุ้นเคยแทรกผ่านเข้ามา วินหลับตาพลางรับรู้ในคำตอบที่ไกด์พยายามบอกเขา ผ่านริมฝีปากที่นุ่นนวลที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา วินยอมรับว่ามันทำให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเขาเย็นลงมาก เย็นลงมากมายเลยทีเดียว
   ผละออกจากกัน ดวงตาของไกด์ที่สั่นไหว จ้องมองดวงตาของวินที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แม้ว่าจะโกรธอยู่มากก็ตาม
   "ไม่ใช่ฉันไม่รู้สึก" ไกด์พูด "ฉันรู้สึก รู้สึกมากกว่านายด้วยซ้ำ แต่ฉันต้องรับผิดชอบความรู้สึกที่นายมีให้ด้วยต่างหากล่ะ"
   วินมองไกด์ที่ใบหน้าชิดกันอยู่ตรงนั้น
   "เพราะงั้น ฉันเลยบอกอยู่นี่ไง ว่าบางทีนายอาจจะไม่ควรทำอย่างที่ทำอยู่" ไกด์ว่า "เพราะฉันไม่รู้ ว่าฉันจะทนรับมันได้ไหม"
   "ทนอะไร" วินว่า
   "ทนเห็นนายเจ็บเพื่อฉัน" ไกด์ตอบ
   วินนิ่งไปซักพัก
   "มีบาริสต้าคนนึงเคยบอกเอาไว้ว่า ถ้าเราสามารถอดทน ทำสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้แน่ๆจนผ่านมันไปได้" วินตอบ "หลังจากนั้น ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร เราก็จะสามารถทนได้ทุกอย่างเอง"
   ไกด์หลับตาลงทันที
   "ฉันทำให้นายเลือกฉันจนได้" ไกด์ว่า "ฉันเคยบอกตัวเองไว้แล้ว ว่าอย่า"
   "นายบังคับคุณหนูวินไม่ได้หรอก" วินว่า
   "รู้แล้วล่ะ" ไกด์ตอบ
   "แล้วยังจะห้ามกันอยู่อีกไหม" วินถาม
   "ขอโทษนะวิน" ไกด์ว่า "ฉัน...ฉันยังไม่พร้อมเป็นที่พึ่งให้นาย ฉันยังทำไม่ได้"
   วินก้มหน้าลง
   "แต่ฉันจะพยายาม"
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 32 Bad Mood]
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-02-2013 05:15:50
ปวดหัวแทนวินอ่ะ
คนโน้นก็พูด คนนี้ก็พูด คนนั้นก็พูด  แต่ไม่มีใครยอมฟังวินพูดบ้างเลย  :เฮ้อ:
ยัดแต่คำพูดใส่หัววิน  จนเวียนหัวแทนเลย  o2
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 32 Bad Mood]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-02-2013 13:15:45
 :m15:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 32 Bad Mood]
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 18-02-2013 18:10:31
สเตลล่าเป็นหวง หรือแค่เจ็บใจที่ตัวเองทำให้เค้าดีขึ้นไม่ได้ พอวินทำได้ และมันกำลังจะสวยงาม เธอก็เลย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 32 Bad Mood]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 18-02-2013 23:38:50
ที่สำคัญกว่าเคยเป็นยังไงคือจากนี้ไปจะเป็นยังไงต่างหาก....วินสู้ๆเน้อ---

ชอบอ่ะ ปมในเรื่องเยอะมากๆๆ น่าติดตามว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นไปตามที่วินหวังหรือโลกจะโหดร้าย(หรือคนแต่งจะโหดร้าย...555)
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 33 Over You]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 19-02-2013 05:28:23
ตอนที่ 33 Over You

   ประตูสตูดิโอเปิดผางออกในบ่ายวันต่อมา เอิร์ธเงยหน้าจากกองงานขึ้นมาพบกับวินที่ยืนอยู่หน้าประตู สภายของเพื่อนรักที่ดวงตาแดงก่ำ และใบหน้าซีดเผือด เอิร์ธเหลือบตามองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง ก่อนจะนั่งสเก็ตงานต่อ
   "บ่ายครึ่งไอ้สัด" เอิร์ธว่า "มึงไปขายวิญญาณให้พระเจ้ามาหรือไงวะ สภาพถึงเป็นเงี้ย"
   "โทษทีเอิร์ธ" วินตอบ พลางวางของตัวเองลงที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะหยิบเอาแบบร่างงานตัวเองออกมาแผ่กลางโต๊ะทันทีอย่างไม่รีรอ "กูสเก็ตงานเสร็จหมดแล้วนะ เดี๋ยวมึงเตรียมพรีเซนต์ได้เลย มู้ดและโทนอยู่ในคอม เดี๋ยวกูปรินท์ออกมาเอง"
   "ไม่ต้องแล้ว กูทำเสร็จหมดแล้ว" เอิร์ธร้องขัด
   "งั้นก็เอาทุกอย่างมารวมเลย จะได้ขึ้นไปพรีเซนต์ทันบ่ายสอง" วินพูดต่อ
   "ไม่ต้องแล้ว กูพรีเซนต์เสร็จไปแล้ว" เอิร์ธว่า "ตั้งแต่เก้าโมงแล้ว"
   "อ...อ้าว" วินมองหน้าเอิร์ธ "ไหงงั้นอ่ะ"
   "พอดีพี่กูมาอ่ะ พี่ที่รู้จัก" เอิร์ธว่า "เค้าอยากดูงานพอดี กูก็เลยต้องเร่งให้เสร็จไปคนเดียว"
   "โทษทีว่ะ" วินว่า "กู...ตื่นสาย"
   เอิร์ธไม่ได้พูดว่าอะไรต่อ ได้แต่ก้มหน้าสเก็ตต่อไปอย่างนิ่งเงียบ วินถอนหายใจพลางมองเพื่อนที่นิ่งเฉยอย่างมีอะไรอยู่ในใจ
   "เอิร์ธ....กูมีเรื่องจะบอก" วินเริ่มต้นพูดก่อน
   "เรื่อง?" เอิร์ธถามกลับ แม้ว่าจะยังไม่เงยหน้าจากงาน
   "เรื่องเมื่อวาน" วินพูดต่อ "กู..อยากอธิบาย"
   "งั้นเหรอ" เอิร์ธว่าต่อ "อธิบายว่าอะไร"
   "ว่ามันไม่มีอะไรเลยเว่ย กูแค่......."
   ถึงประโยคนี้ เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมามองวินทันที พลางส่งสายตาเซ็งตายด้านไปหาวินอย่างจงใจ วินจ้องดวงตาคู่นั่นขเม็ง
   "มึงเห็นกูมีเขาป่ะ" เอิร์ธว่า
   วินส่ายหน้าพลางกัดริมฝีปากและก้มหน้าลงทันที ก็เป็นอันว่าไม่ต้องพูดอะไรให้มากมายอีก เอิร์ธยังคงครองตำแหน่งเพื่อนสนิทของเขาเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และทำหน้าที่ประจำตำแหน่งนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนเดิม การรู้ทันเขาจนได้
   "สภาพอย่างกะตกหอไอเฟลมาไอ้วิน" เอิร์ธว่า "ยังเสือกจะมาโกหกกูต่ออีก......กล้าเนอะมึง"
   วินไร้คำโต้เถียงใดใดอีก ได้แต่นั่งมองสมุดสเก็ตตรงหน้านิ่งเงียบ
   "กูโทรหาสเตลล่าตั้งแต่เมื่อคืนแล่ว" เอิร์ธว่า "เพราะถ้ากูไม่กระจ่างเรื่องเมื่อวาน กูก็นอนไม่หลับหรอก"
   วินเงยหน้าขึ้นมองเอิร์ธทันที เขายอมสู้นห้าเอิร์ธแล้วจุดนี้
   "กูมีคำถามข้อเดียว" เอิร์ธว่า "มึงตอบกูมาแค่ใช่หรือไม่ใช่พอ"
   วินพยักหน้ารับทราบ
   "สรุปที่มึงดิ้นรนเชี่ยๆ อยู่ทุกเรื่องที่นี่ ก็เพราะเขาใช่ป่ะ" เอิร์ธถาม
   วินพยักหน้า เอิร์ธถอนหายใจออกเบาๆ
   "โธ่ ไอ้วินเอ้ย" เอิร์ธร้อง "แล้วที่ผ่านมา มึงจะโกหกกูเพื่อ?"
   "กูไม่ได้ตั้งใจจะโกหกมึง กูแค่...." วินมองไปทางอื่น "...กูแค่ยังไม่แน่ใจตัวเองว่ะ"
   "ไม่แน่ใจเชี่ยไร.....แผนที่มึงวางไว้ทั้งหมด ที่มึงทำมาทั้งหมดเนี่ยนะไม่แน่ใจ" เอิร์ธร้อง
   วินหันมาหาเอิร์ธ
   "กูไม่ได้เป็นแบบมึงนะเว่ย ถึงจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆอ่ะ" วินว่าเอิร์ธกลับ
   "มึงไม่ต้องมาเกทับกูไอ้วิน" เอิร์ธว่ากลับ "กูจะเลือกใครก็เรื่องของกู และมึงจะเลือกใครก็เรื่องของมึง ประเด็นสำคัญคือมึงอย่ามาซึน ว่าตัวเองไม่แน่ใจไอ้วิน มึงทำทุกอย่างเพื่อมันยิ่งกว่ากูทำเพื่อพี่มิกอีก มึงตัดเรื่องยอมรับตัวเองได้หรือไม่ได้ออกไปเลย นี่มันไม่เกี่ยวกับที่มึงเป็นอะไร มันเกี่ยวกับบว่ามึงกำลังรู้สึกอะไรกับใครมากกว่า"
   วินมองเอิร์ธอย่างตกใจ
   "อะไร นี่มึงคิดว่ากูจะล้อมึง แซวมึง หรือดูถูกมึงเพราะว่ามึงมีความรักเหรอวะ ปล่าวเลย" เอิร์ธร้อง "กูเป็นใคร กูเพื่อนมึงนะเว่ยวิน สิ่งที่มึงควรทำมากกว่าการกลัวกูจะรู้ คือปรึกษาเรื่องนี้กับกู ไม่ใช่วิ่งไปหาคนอื่นป่ะวะ"
   "แล้วเวลาที่กูมีปัญหา มึงไปอยู่ไหนมาวะ" วินว่ากลับ "มึงมีแต่ความฝัน ความต้องการของมึงอ่ะ กูดิ ต้องคิดทุกอย่าง ทำทุกอย่างคนเดียว"
   "ไอ้วิน ตลอดเวลาที่ผ่านมา มึงไม่บอกอะไรกูเลย" เอิร์ธโวย "มึงบอกกูซักคำมั้ย ว่ามึงไม่มีเงิน มึงบอกกูซักคำหรือเปล่า ว่ามึงใช้เวลาทั้งหมดตอนเราอยู่ที่ Esmod ฝากชีวิตไว้กับคนที่มึงไม่รู้จัก มึงบอกกูซักคำมั้ย ว่าไอ้คนที่พามึงไปตะลอนๆที่สตาร์เบิร์กมา เคยโกหกที่มาของตัวเอง โกหกชื่อของตัวเองกับมึงมาก่อน"
   วินเงียบสนิท เขาไม่อยากเถียงอะไรกับเอิร์ธ วันนี้เขาเรี่ยวแรงไม่พอ
   "คนที่มึงไว้ใจ กับไม่ใช่กูว่ะ" เอิร์ธว่า "ที่กูจะโกรธ กูโกรธมึงประเด็นนี้เว่ย ไอ้เชี่ยตัวไหนบอกกูวะ ว่าคนที่ไว้ใจได้กันตอนนี้ ก็มีแต่กูกับมึงเท่านั้น"
   "มันคนละประเด็นกันไอ้เอิร์ธ กูไว้ใจมึง ในเรื่องงาน แต่กับเขา กูไว้ใจเรื่อง...."
   "ไม่เกี่ยว มึงควรจะไว้ใจกูในทุกๆเรื่อง" เอิร์ธว่า "อย่ามาทำเป็นแยกเรื่องไอ้วิน มึงเอากูมาเป็นเครื่องมือกันชนพ่อมึง เพื่อจะหลบออกไปอยู่กับคนที่มึงเลือก มึงเอากูไปเป็นเครื่องมือสัด.....เอาเรื่องงานไปเป็นตัวช่วยเรื่องส่วนตัวของมึงไง อย่ามาทำเป็นแยกเรื่องวิน"
   วินหน้าซีดเผือดอีกครั้ง เอิร์ธรู้หมดทุกอย่างแล้วจริงๆด้วย
   "กูเป็นเพื่อนมึงมาปีนี้จะขึ้นปีที่เจ็ดแล้ว แต่มึงไม่บอกกู" เอิร์ธว่า "ขนาดที่กูคบพี่มิกเป็นแฟน ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด กูบอกมึงคนแรก กูบอกมึงก่อนเลย ว่ากูต้องการอะไรในเกมส์นี้ แต่มึง มึงทำเชี่ยไรวิน"
   "กูก็จะทำแบบมึงอยู่นี่ไง" วินว่า "มึงก็รู้แล้วนี่"
   "จะออกไปอยู่กับใครก็ไม่รู้อ่ะนะ" เอิร์ธร้อง
   เอาอีกแล้ว วินคิดในใจ เอิร์ธเป็นอีกคนแล้วที่ตั้งประเด็นนี้ใส่เขา ไม่มีใครไว้ใจไกด์เลยซักคน และทุกๆคนก็กำลังชักจูงให้เขาล้มเลิกแผนการทั้งหมดนี้ซะ แผนการที่เขายอมแลกทั้งหัวใจเพื่อจะเดิมพันมัน แผนการที่มีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง
   "เชี่ยเอิร์ธ" วินร้องเสียงดัง เอิร์ธผงะไปเล็กน้อย "กูขอนะ มึงจะโกรธกู แล้วจะยอมฟังไม่ฟังกูไม่รู้ แต่สิ่งที่สเตลล์เล่าให้มึงฟัง เขาไม่มีทางรู้ดีไปกว่ากูที่อยู่กับไกด์ทุกวัน กูเห็นในสิ่งที่ไม่มีไอ้เชี่ยคนไหนในปารีสเห็นเว่ย กูเผชิญหน้ากับคนถึงสามบุคคลิกในคนเดียวมาแล้ว แต่ไอ้คนที่กูไม่รู้ว่าเป็นใครนี่แหละ ที่ทำให้กูมีวิธีพามึงมานั่งด่ากูในสตูดิโอซูเม่นี่ เพราะไอ้คนที่กูก็ไม่รู้ว่าแม่งเป็นใครนี่แหละ ที่แม่งดูแลกูในเวลาที่กูไม่มีใครเว่ยเอิร์ธ"
   เอิร์ธมองวินด้วยสายตาที่เบิกกว้าง
   "มึงบอกว่ากูควรจะไว้ใจมึง" วินว่า "กูไว้ใจมึงเว่ย ไม่ใช่กูไม่ แต่กูรู้ ถ้าพูโพล่งเรื่องนี้ออกไป ว่ากูจะออกจากวงการนี้ แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ในแบบที่กูต้องการบ้าง มันไม่มีใครยอมหรอก มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นไกด์เขาหรือเปล่า แต่กูก็ไม่มีใครแล้วเว่ย ที่จะมีทางออกที่ดีกว่าชีวิตใต้อำนาจพ่อกูที่นี่ ขนาดกูหนีมาค่อนโลกแล้วอ่ะ กูยังไปไม่พ้นเลยไอ้เอิร์ธ
   วินหายใจเข้าลึก สิ่งที่อัดอั้น คำพูดทุกอย่างที่เขาอยากจะบอกเอิร์ธได้พังทลายออกมาแล้วในที่สุด
   "ถ้ามึงเป็นเพื่อนกูจริงล่ะก็ มึงอย่าเป็นอีกคนที่ไม่เชื่อในการตัดสินใจของกูได้ป่ะวะเอิร์ธ" วินพูดเสียงจริงจัง "มึงอยากได้ที่อยู่ดีดีที่นี่ข้างๆพี่มิกของมึง กูเคยขัดมึงซักคำมั้ย"
   เอิร์ธก้มหน้าลง ก่อนจะอมยิ้มทันที และเงยหน้ามองวินอีกครั้งด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
   "ก็แค่เนี้ยไอ้ห่า" เอิร์ธยิ้มกริ่ม วินตีหน้างงทันที ก่อนจะอ้าปากค้าง "บอกมาซะก็สิ้งเรื่อง สรุปว่าเป็นไอ้ไกด์ใช่ป่ะ"
   "นี่มึง......." วินว่า "สเตลล์ไม่ได้เล่าให้มึงฟังทุกอย่างหรอกใช่ไหม"
   เอิร์ธยิ้มเยาะพลางส่ายหน้า และทำหน้ากวนตีนใส่เพื่อน
   "ไอ้เชี่ยเอิร์ธ มึงหลอกกู" วินร้องทันทีพลางหยิบสมุดสเก็ตเขวี้ยงใส่เพื่อนทันที เอิร์ธก้มตัวหลบพลางหัวเราะร่า
   "เห้ยๆ พอๆ ไอ้วิน กูเจ็บเห้ย" เอิร์ธว่า พลางหัวเราะไปด้วย ขณะที่วินกัดฟันพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้เหตุผล
 เขาแอบนึกไปแล้วว่าเอิร์ธจะต้องเชื่อสเตลล่าแน่ๆ แต่ว่า....
   "มึงอธิบายมาเลย" วินว่าพลางนั่งลงหายใจเสียงดัง
   "กูอ่ะ แค่สงสัยเฉยๆ ก็ไม่นึกว่าแม่งจะเป็นจริง" เอิร์ธว่า "กูอ่ะ โทรไปหาสเตลล์มา ได้ยินเสียงกูก็รู้แล้ว ว่ามึงกับเค้าต้องทะเลาะกันแน่ๆ แต่กูอ่ะตะหงิดๆใจ ที่ไกด์กับมึงทำใส่กันเมื่อวานที่เกล็ดหิมะ กูเลยขอให้สเตลล์ล่าเล่าเรื่องมึงกับไกด์ให้ฟังทั้งหมด กูกะละ ว่ามึงกับมันแน่ๆ"
   "มึงถามเรื่องกูกับไกด์เหรอ" วินว่า
   "ก็เออดิวะ แม่ง...โคตรงงเลย มันไม่ได้ชื่อก้อง มันใช้ชื่อน้องมันมาทำงานที่เกล็ดหิมะ แล้วก็ชวนมึงไปอยู่ด้วยเมื่อตอนต้นปี ใช่ป่ะล่ะ" เอิร์ธเล่า "มึงมารู้ทีหลัง ว่าแม่งโกหก แล้วก็เลยออกจากบ้านมันมาแล้วด้วย ตอนรู้ว่าแม่งเคยทำเรื่องกับน้องชายมัน แต่สุดท้ายมึงก็เสือกกลับไปอยู่กับมันอีก...ถึงตรงนี้กูรู้และ กูลำดับไทม์ไลน์ที่มึงเริ่มเปลี่ยนจากไอ้เชี่ยคุณหนูวิน เป็นคุณวินได้พอดี กูก็เลยคิดว่าต้องเป็นเพราะไอ้ไกด์แน่ๆที่มึงกำลังจะออกไปอยู่ด้วย ไม่ใช่สเตลล่า บวกกับท่าทางมึงสองตัวเมื่อวานก็ยิ่งชัด"
   วินมองหน้าเพื่อนรักอย่างไม่เชื่อหู
   "ไง แบบนี้กูยังเป็นเพื่อนมึงได้อยู่ป่ะวะคับ" เอิร์ธว่าใส่ วินหยีปากใส่เอิร์ธทันที พลางส่ายหัว
   "แล้วเมื่อกี้มึงตั้งคำถามใส่กูทำไมวะ ว่ากูจะออกไปอยู่กับคนที่กูไม่รู้จักได้ยังไง" วินว่า
   "กูไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย กูแค่หยอดมึงว่า มึงจะออกไปอยู่กับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ" เอิร์ธว่า "กูถามอย่างนี้ต่างหาก ก็กูไม่รู้นี่ว่าคนที่จะออกไปอยู่ด้วยจะเป็นใคร กูก็หยอดๆไป เอียงไปทางไกด์ที่กูค่อนข้างมั่นใจอยู่แล้ว เดี๋ยวมึงก็โพล่งออกมาหมดเอง"
   "สัด" วินสบถออกมาทันที
   "อ้าว ไอ้นี่ ด่ากูเพื่อ" เอิร์ธเอื้อมมือไปเคาะหัววินทีนึง ก่อนจะหลับมานั่งที่เดิม "แล้วนี่คือไงเนี่ย มึงทะเลาะกับสเตลล่าเรื่องไกด์มาใช่ป่ะล่ะ สภาพถึงเป็นเงี้ย"
   วินพยักหน้ารับเบาๆ
   "ทำไมวะ" เอิร์ธถามกลับ "เกิดไรขึ้น สเตลล่าเกิดชอบมึงขึ้นมาจริงๆหรือไง หรือว่าโกรธที่มึงไม่ได้เลือกเค้า"
   "ไม่ใช่ กูกับสเตลล่าไม่ได้เป็นอะไรกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาก็เหมาะที่จะบังเรื่องของกูได้พอดี" วินว่า "แต่เขาไม่ไว้ใจไกด์ว่ะ"
   "เพราะเรื่องที่แม่งเคยทำไว้ใช่ป่ะ" เอิร์ธพูดต่อ ตามประสาคนที่อ่านเกมส์ทัน วินพยักหน้า "แต่ประเด็นเนี้ย กูก็ไม่ไว้ใจมันนะเว่ย"
   วินขมวดคิ้วใส่เอิร์ธทันที
   "มึงอย่าเพิ่งโวยใส่กูไอ้วิน ฟังก่อน" เอิร์ธว่า "กูอาจจะไม่รู้เรื่องไอ้ไกด์ดีเท่ากับตัวมึง หรือสเตลล์ แต่อจากที่กูฟังๆมา และประติดต่อเอาได้ตอนนี้นะเว่ย กูไม่รู้ว่าแม่งเป็นใครเหมือนกันว่ะ ถ้ามันเคยเป็นคนที่เลวมาก่อน มึงก็ยิ่งน่าห่วงเข้าไปใหญ่"
   "แต่กูไว้ใจเขา" วินว่า "ไอ้เอิร์ธ กูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะเว่ยมึงก็รู้ มันเป็นคนแรกที่..."
   "พอๆๆๆ กูเข้าใจ" เอิร์ธว่า "ไม่ได้ต่างอะไรกับเรื่องกูของพี่มิก ไม่ต้องมาอธิบายด้วยความโรแมนติกอะไรของมึงกับมันให้กูฟัง กูจะรู้สึกโรแมนติกกับเรื่องอะไรแบบนี้เฉพาะที่เกิดขึ้นกับกูและพี่มิกเท่านั้นเว่ย"
   วินหัวเราะเบาๆ
   "ประเด็นคือ อย่างกูกับพี่มิกนะ พี่มิกอ่ะ เค้าไม่ใช่คนที่ชอบความเปลี่ยนแปลงมากนัก เขายึดติดกับอดีตเอามากๆ ในขณะที่กูเอง รักอิสระมากๆ กว่าที่พี่เค้าจะยอมมาที่นี่ได้ เขาต้องแน่ใจว่าอะไรๆจะต้องมั่นคง วึ่งกู ชอบที่เขาเป็นแบบนี้" เอิร์ธอธิบาย
   "อ่าหะ แล้วมึงบอกกูทำไมวะ" วินถามกลับ
    "กูจะบอกว่าที่กูยอมทำตามแผนมึง เพราะจุดหมายกูชัดเจน ว่ากูจะเข้ามาอยู่กับเค้าที่นี่ เพราะพี่มิก เค้ามีจุดยืนชัดเจน ว่าเค้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วไง" เอิร์ธว่า "กูจะไม่เสียหายอะไร ที่มึงจะหายไปแล้วมาแทนที่กู แต่ฝั่งมึงอ่ะ มึงหายไปแล้ว ไปไหน ไปยังไง กูจะต้องชนกับอะไรบ้าง พ่อมึงอีกล่ะ มึงจะให้กูชนพ่อมึงให้ มึงก็ต้องชัดเจนก่อน ว่ามึงจะไปโผล่ที่ไหนป่ะวะ"
   วินเงียบเสียงลง เอิร์ธพูดถูก เขาไม่มีหลักประกันที่เชื่อถือได้เลย ว่าถ้าหากเขาออกไปกับไกด์ได้จริงๆ ชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ เอิร์ธมองเกมส์ขาดจริงๆอย่างที่เป็นมาเสมอ เขามีแค่ความรู้สึกที่ชัดเจนอยู่ข้างในเท่านั้นที่เป็นหลักประกัน ความรู้สึกที่เชื่อถือไม่ได้เลย
   "กูตอบไม่ได้หรอก" วินว่า "กู....กูตอบได้แค่ว่า กูเชื่อใจเขาว่ะ...มันอาจจะดูงี่เง่าแต่...มึงเคยเชื่อใจใครมากๆป่ะวะ ที่มึงจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะอยู่กับเขาให้ได้ ตอบแทนสิ่งที่เขาเปลี่ยนมึงมาได้ ทำให้มึงเป็นมึงทุกวันนี้ได้ เป็นมึง มึงไม่คิดจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อเขาตอบแทนบ้างเหรอวะ"
   "กูก็ทำอยู่นี่ไง" เอิร์ธยิ้มกว้าง "และกูก็กำลังจะช่วยให้มึงทำสำเร็จด้วย..."
   "ห๊ะ" วินร้องอย่างไม่เชื่อสายตา
   "กูเพิ่งจะบอกมึงไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ว่าตาเนี้ย กูจะเป็นฝ่ายช่วยมึงเอง มึงจำไม่ได้เหรอ" เอิร์ธว่า วินถึงกับอมยิ้มน้อยๆ พลางมองวินอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
   "จ...จริงดิ ต...แต...แต่ว่า....ยังไงล่ะวะ" วินถามตะกุกตะกัก
   "มึงอ่ะรักมันใช่ป่ะล่ะ ยอมรับกับกูก่อน" เอิร์ธถามตรงประเด็น วินผงะไปเล็กน้อย เขาเมินหน้าไปทางอื่น
   "คือ...กูก็...ไม่ได้ขนาดนั้น...คือก็แค่..."
   "โอยยยยย จุดนี้ไม่ต้องเขินกูแล้ว" เอิร์ธว่า "กูพูดก่อนก็ได้อ่ะ ที่กูทำอยุ่ทุกวันนี้ กูรักพี่มิกเค้าว่ะ กูก็ไม่ได้เป็นเกย์เว่ย แต่ผู้ชายคนนี้ คือคนที่กูรัก กูรักเค้า และกูก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเค้า"
   วินมองหน้าเพื่อนรักอย่างไม่เชื่อสายตา
   "อ่ะ คราวนี้มึงบอกกูมาได้ละ" เอิร์ธว่า "ยังไง...สรุปมึงรักมันป่ะเนี่ย"
   วินยิ้มให้กับตัวเอง เขาแทบไม่ต้องคิดทบทวนเรื่องนี้แล้วด้วยซ้ำ
   "ใช่ไม่ใช่ไม่รู้.....แต่กูก็รักไปแล้วว่ะ" วินว่า พลางยิ้มเขินๆขณะมองไปหาเอิร์ธ
   “ก็แค่นั้น ส่วนของมึงจบ...ประเด็นคือส่วนของมัน” เอิร์ธว่า “มันบอกมึงหรือยัง ว่ามันรู้สึกยังไงกับมึง”
   วินคิดทบทวน
   “จริงๆก็ยังอ่ะ” วินว่า เอิร์ธส่ายหน้าทันที “คือ....กูไม่ได้รักมันข้างเดียวเว่ย มันก็ต้องมีให้กูรู้สึกมาก่อนดิวะ ไม่งั้นกูจะรู้สึกไปคนเดียวได้ไง”
   “จริงเหรอวะ เชื่อได้?” เอิร์ธถามอีก
   “ไกด์เค้าไม่ใช่คนพูดเก่ง เค้าไม่เก่งเรื่องแสดงความรู้สึก ตั้งแต่เรื่องน้องชายเค้า เค้าก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมาให้รู้กันได้ง่ายๆเลย” วินอธิบาย “เค้าเก่งเรื่องการใช้ร่างกายกับการกระทำแสดงความรู้สึกมากกว่า”
   “อ้อ.....” เอิร์ธอ้าปากค้างพลางมองหน้าวิน ที่ตอนนี้หุบปากลงอย่างรวดเร็วและเริ่มหน้าแดง “อ๋อ....วันนั้นที่กูแซวมึง หมายความว่า....”
   “เออเออ...ก็อย่างที่กูว่านั่นแหละ เข้าใจใช่ป่ะ” วินรีบพูดตัดบททันที
   “อืมม” เอิร์ธกลับมาครุ่นคิด “กูว่า....อ้ะ .... กูได้วิธีและ......เสาร์นี้เราจะไปดีสนีย์แลนด์กันใช่ป่ะ”
   “เออ ก็ตารางเดิมเป็นงั้นนี่” วินว่า
   “ดี ต่อจากวันนี้เป็นต้นไป ถ้ากูทำอะไรแปลกๆใส่มึง มึงก็อย่าสงสัยไปล่ะ” เอิร์ธว่า
   “มึงจะทำอะไรเนี่ย” วินว่า
   “เอาน่า เชื่อมือกูเหอะ กูจะช่วยมึงเองไง บอกแล้ว” เอิร์ธว่า พลางยิ้มย่องให้กับตัวเองทันที ผิดกับวินที่กลับมาทำหน้าเศร้าอีกครั้ง และก้มหน้าลง
   “เป็นไรไปอีกล่ะ” เอิร์ธถาม
   “...มันจะเป็นไปได้หรือเปล่าวะ” วินว่า “นี่กูอาจจะคิดไปเอง รู้สึกไปเอง ทั้งๆที่มันไม่มีทางเป็นจริงได้ก็ได้นะเว่ย กูยังไม่หลุดออกจากวงโคจรพ่อกูเลยด้วยซ้ำ เรื่องไกด์ กูก็ไม่รู้จักอะไรมันเพิ่มขึ้นเลย เรื่องมึง กูก็พามึงไม่ไปถึงไหน”
   วินถอนหายใจครั้งใหญ่
   “เอิร์ธ กูว่ามันอาจจะล้มเหลวครั้งใหญ่เลยก็ได้นะเว่ย” วินร้อง
   เอิร์ธโยนกองงานบนโต๊ะมาหาวินทันที
   “สเก็ตพวกนี้ ที่มึงกะกูนั่งงมมาตลอดสองเดือน พี่เจนบอกว่าอะไรรู้ไหมเมื่อเช้า" เอิร์ธถาม วินส่ายหน้า "เขาบอกว่า นี่อาจจะเป็นสิ่งใหม่ที่ซูเม่ไม่เคยมีมาก่อน และเขาหวังว่าเงินที่เราหามา มันจะงอกเงยได้ด้วยสเก็ตพวกนี้ ทันทีที่มันเริ่มตัดเย็บ"
   วินทำตาโตทันที
   "เห้ย..งี้ก็หมายความว่า" วินร้อง
   "เออ สเก็ตพวกนี้ผ่านหมดแล้ว กูเลยนั่งร่างแบบละเอียดเพื่อจะส่งตัดไง" เอิร์ธตอบ วินถึงกับก้มลงดูงานของตัวเองอย่างบ้างคลั่งทันที "งานที่กูกับมึงทำมา มันไม่เคยสูญเปล่า มันกำลังไปได้สวย มึงเองก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอดไม่ใช่เหรอวะ"
   วินยิ้มให้เอิร์ธ
   "ถ้าไม่มีใครเชื่อว่ามันดีขึ้น กูคนนึงแหละเชื่อ" เอิร์ธตอบ "มันจะต้องดีขึ้นกว่านี้ เรื่องมึงกับไอ้ไกด์ด็เหมือนกัน ถ้าคิดจะรัก ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เรากล้าทำเรื่องบ้าบิ่นกันมาตั้งเยอะ แค่จะกล้าทำตามหัวใจตัวเอง.....
มันจะมีอะไรยากวะ"
..................
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 34 Invitation]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 21-02-2013 05:24:11
ตอนที่ 34 Invitation

   บรรยากาศในวันศุกร์สุดสัปดาห์ของสตูดิโอเป็นไปอย่างเคร่งเครียด การร่างแบบละเอียดเพื่อปิดดงานสำหรับดราฟท์ละเอียด เอิร์ธและวินทิ้งแผนทุกอย่างไว้เบื้องหลังและพยายามจบงานให้ไวที่สุด เพื่อที่จะให้วันรุ่งขึ้นเป็นวันสำหรับการไปดิสนีย์แลนด์ที่สบายที่สุด ก่อนจะกลับมาเตรียมตัวเข้าประชุมการปันงบในอาทิตย์หน้า
   ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมากนักสำหรับวินและเอิร์ธ ทั้งคู่มีงานต้องทำมากเกินกว่าจะมานั่งถกเถียงกันในเรื่องต่างๆ ก่อนจะแก้แบบสุดท้ายเสร็จตอนบ่ายสอง ก็เล่นเอาทั้งคู่เหนื่อยหอบเอามากๆ
   ประตูสตูดิโอเปิดออก ซึ่งนั่นทำให้ทั้งคู่กลับมานั่งตัวตรงทันที เพราะคนตรงหน้าก็คือคนที่พร้อมจะโละทุกแบบของทั้งคู่ลงได้ทุกเมื่อ
   “พี่เจน” เอิร์ธร้องก่อนพยายามทำเสียงให้สุภาพที่สุด “อะไรหอบพี่มาถึงนี่คับ”
   เจนมองหน้าเอิร์ธอย่างครุ่นคิดครั้งหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองมายังวินที่เหล่มองเจนอย่างหลบๆตา เจนจิราขมวดคิ้วพลางทำหน้าแปลกใจพักนึง ก่อนจะมองหลับไปหาเอิร์ธอีกครั้ง เจนดูเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง เอิร์ธไม่เคยเห็นอาการแบบนี้มาก่อนจากเจน
   “มีอะไรหรือเปล่าพี่” เอิร์ธถามอีก “แก้งานหรือเปล่า”
   วินขมวดคิ้วใส่เอิร์ธที่พูดชี้โพรงให้กับเธอ เพราะถ้าเธอบอกว่าใช่ทั้งคู่ไม่ได้กลับบ้านเร็วแน่ๆในวันนี้
   “ไม่ใช่” เจนจิราตอบ พลางชูซองอะไรบางอย่างขึ้นมา เป็นซองจดหมายสีส้ม ทั้งเอิร์ธและวินหันไปมองเธอด้วยความสงสัย
   “มีใครเล่นตลกกับพี่หรือเปล่า” เจนพูดทันที
   “อะไรเหรอพี่” เอิร์ธออกรับหน้าแทนก่อน พลางหรี่ตามองไปที่ซองสีส้มในมือเจน
   “ก็นี่ไง” เจนเลิกคิ้วพลางมองเอิร์ธกลับ ก่อนเธอจะเปิดซองออกมา ที่เอิร์ธและวินเห็นในมือของเธอ ก็คือบัตรคิวคอนเฟิร์มรับตั๋วเข้าดิสนีย์แลนด์ล่วงหน้าสามวันนั่นเอง วินและเอิร์ธถึงบางอ้อ เพราะเมื่อเช้าก่อนที่วินจะออกจากบ้าน ไกด์ได้นำบัตรคิวแจกจ่ายให้กับทุกๆคนที่จองตั๋วไว้กับเขาแล้ว วินแอบแวะให้กับจีโอที่บ้านพักก่อนจะมาทำงานและมอบมันให้เอิร์ธเมื่อเข้านี้สองใบ ส่วนไกด์ก็เก็บของเขาเอาไว้
   ทั้งคู่มองหน้ากัน ถ้าสิ่งนี้อยู่ในมือเจนจิรา ก็แสดงว่าการคาดเดาของเขาเมื่อสองวันก่อนไม่ได้ผิดพลาด จีโอชวนเธอ สิ่งๆนั้นทำให้เอิร์ธถึงกับอมยิ้มขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่ นั่นทำให้เจนจิรามองเขาตาถลน
   “เธอมาไกลจากการเป็นเด็กฝึกงานตัวเล็กๆแห่ง Lovable Studio แล้วนะเอิร์ธ” เจนว่า “ชั้นหวังว่าเธอคงจะเลิกทำตัวไร้สาระ เล่นสนุกไปวันๆแบบนี้ซักที”
   เอิร์ธขมวดคิ้วใส่เจนทันที
   “ไร้สาระ เล่นสนุกเหรอพี่เจน” เอิร์ธว่า “มันก็ไม่เห็นจะเสียหายเลยนี่ครับ ถึงเราจะโตแล้ว แต่เราก็ยังเล่นสนุกได้นี่ ไม่เห็นแปลก”
   เจนจิราทำหน้าดูถูก ก่อนจะวางบัตรลงบนโต๊ะด้วยเสียงอันดังทันที
   “แต่ฉันไม่คิดว่านี่จะมีสาระ” เจนพูดเสียงดัง ก่อนจะหันหลังให้ทั้งคู่
   “คุณเอาอะไรมาก็เอากลับไปด้วยสิครับ” วินรีบพูดแทรกขึ้นก่อนเธอจะเดินออกไปจากห้อง หญิงสาวหันหลังกลับมาหาวินทันที
   “ฉันขอพูดให้ชัดนะคะคุณวิน ฉันคงไม่เอาเวลาที่ควรจะทำงานขยายสาขาที่อังกฤษไปทิ้งเล่นกับพาเหรดมิกกี้เมาส์ เช่นเดียวกับที่คุณและเอิร์ธก็คงไม่เอาเวลาทำงานแฟชั่นวีค ไปทิ้งกับหุ่นโจรสลัดแห่งทะเลคาริบเบี้ยนเช่นเดียวกัน” เจนจิราว่าเสียงเย็น พลางฉีกยิ้มกว้างให้วิน
   “พูดว่าเอาเวลาที่ควรจะทำงานไปทิ้งมันไม่ก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะพี่เจน เพราะงานแฟชั่นวีคเราสองคนก็เคาะดราฟท์แรกแล้ว รอพรีเซนต์ให้ผู้บริหารฟังในวันพุธหน้า ซึ่งผมกับวินก็ว่าง ตั้งแต่เย็นนี้แล้วด้วยซ้ำ” เอิร์ธว่ากลับ “ผมกับวิน เราจะไปเที่ยวกันฉลองปิดดราฟท์ก็ไม่เห็นแปลกเลยครับ”
   “งั้นก็เชิญไปกันสองคนเถอะ ไม่ต้องชวนชั้นหรอก” เจนจิราว่า “ชอบใจนะที่อุตส่าห์นึกถึงชั้น”
   “เราไม่ได้เป็นคนชวนคุณครับ” วินว่า
   “อะไรนะ” เจนจิราว่าต่อ “ตลกอะไรกันมากหรือมากหรือเปล่าเนี่ย ก็ไหนบอกว่าพรุ่งนี้เธอจะไปดีสนีย์แลนด์กัน นี่....ชั้นไม่มีเวลามาเล่นอะไรไร้สาระหรอกนะโดยเฉพาะกับคุณ....คุณวิน”
   เจนจิราหันมามองหน้าวินด้วยสายตาเรียบเฉียบคม
   “ไม่ว่าคุณต้องการจะทำอะไรในเกมส์นี้ แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมอะไรไปง่ายๆ” เจนจิราว่า “ไม่ว่าคุณจะมาไม้ไหน มันจะต้องอยู่ในสายตาของชั้นทุกฝีก้าว หวังว่านายคงจะเข้าใจ....นายด้วยเอิร์ธ”
   “คร้าบบบบคุณแม่” เอิร์ธว่าติดตลก “แต่ตั๋วที่พี่ได้อ่ะ มันไม่ได้มาจากเราสองคนซะหน่อย”
   “แล้วมันจะมาจากใคร ถ้าไม่ใช่คนที่ทำงานดีไซน์กับชั้น มันมีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าฉันน่ะ จะรับของเฉพาะที่ให้ส่งมาให้ฉันด้วยซองสีส้.....”
   “ส้ม.....เท่านั้น” เสียงอันยียวนดังมาจากข้างหลังของประตูสตูดิโอ เจนจิราหยุดคำพูดของเธอพลางหันไปมองต้นกำเนิดเสียงทันที เป็นดังคาด จีโอนั่นเอง
   “ค...คุณ” เจนจิรามองใบหน้าของหนุ่มหล่อที่วันนี้มาในชุดสบายๆ ยืนยิ้มกว้างให้กับเธอ เอิร์ธและวินมองหน้ากันอย่างขำขัน พลางตื่นเต้นไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า
   “ใช่ครับ....เพราะงั้นผมเลยส่งมันมาให้คุณไง” จีโอว่า “คุณก็น่าจะรับคำชวนผมนะ เพราะคุณจะรับเฉพาะของที่อยู่ในซองสีส้มเท่านั้นไม่ใช่เหรอ”
   เจนจิราส่ายหน้าก่อนจะหันกลับไปมองวินและเอิร์ธ
   “นายสองคนบอก....”
   “เปล่าครับ ผมทราบเอง” จีโอตอบแทนทั้งคู่ เอิร์ธและวินถึงกับมองจีโอด้วยความตกตะลึง
   นี่จีโอเอาจริงๆเข้าซะแล้ว
   เจนจิราหลับตาลงครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้กับจีโอทันที
   “คุณจีโอคะ ฉันคิดว่า นี่คงเป็นการเข้าใจผิดครั้งใหญ่แน่ๆ” เจนจิราพูดเสียงหวาน “บางทีคุณอาจจะไม่ทราบว่า ฉันไม่เที่ยวอะไรแบบนี้ เอ่อ....บ่อยนัก”
   “ก็นี่ไง พอดีเลยคุณ....ผมก็ชวนคุณอยู่นี่ไง” จีโอยิ้มตอบเธอ พลางกอดอกและยืนพิงประตู ไม่สะทกสะท้าน กิริยาปฏิเสธของเธอแม้แต่น้อย
   “นี่คุณไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหรอ” เจนจ้องหน้าจีโออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอออกตัวปฏิเสธชัดขนาดนี้ แต่ชายคนนี้กลับไม่อ่อนกำลังลงเลย ยังคงออกตัวแรงมากขึ้น
   “เข้าใจสิครับ คุณพูดว่าไม่เที่ยวอะไรแบบนี้บ่อย ผมก็จะทำให้มันบ่อยขึ้นไง” จีโอยิ้มตอบ
   “เพื่ออะไรมิทราบคะ” เจนจิราหลับตาและพยายามยิ้มตอบ แม้ว่าสีหน้าของเธอจะไม่เข้ากันกับรอยยิ้มนั้นก็ตาม
   “ก็.....เป็นการ...ทำความรู้จัก สร้างความไว้ใจร่วมกัน ในหมู่ผู้บริหารเหมือนกัน อะไรทำนองนี้ก็ได้นี่ครับ” จีโอตอบ
   “แต่ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็น” เจนจิราค้าน
   “แต่ผมคุณควรจะคิดว่าจำเป็นนะ” จีโอแย้ง
   “เพราะ?” เจนจิราโต้
   “เพราะคุณบอกผมในวันเซ็นสัญญา ว่าคุณไม่ใจผม และคุณจะจับตาดูผม ว่าผมมาไม้ไหน” จีโอตอบ “ในเมื่อผมก็บอกคุณไปแล้ว ว่าผมบริสุทธิ์ใจ ผมก็เลยอยากให้เราสองคน ไม่มีอคติต่อกัน สร้างความไว้ใจให้กันและกัน รู้จักกันมากขึ้น แล้วก็เป็น....เพื่อน....ที่ดีต่อกัน.....น่าจะได้นะครับ”
   “แล้วคุณแน่ใจได้ยังไง ว่าฉันอยากจะรู้จักคุณ” เจนจิราเดินเข้าไปหาจีโอใกล้ขึ้นอีก
   “ผมค่อนข้างแน่ใจครับ” จีโอยื่นดวงตาที่เปล่งประกายยียวนของเขาเข้าหาเจนจิราอย่างจงใจ “คุณอยากรู้จักผมแน่ อย่างน้อย ผมเชื่อว่าคุณอยากจะรู้ว่าผมเป็นใคร มาที่นี่เพราะอะไร ยังไงคุณก็ต้องหาวิธีรู้เรื่องของผมให้ได้อยู่ดี แต่ผม ไม่ค่อยอยากให้ใครมาอะไรลับหลังผม....ผมเป็นคนเปิดเผย และค่อนข้างตรง ดังนั้น....”
   จีโอเว้นวรรคและส่งยิ้มหล่อเป็นประกายไปให้เธอ
   “ไปเที่ยวกับผมนะเจน เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น” จีโอพูดเสียงนิ่ม เจนมองเข้าไปในดวงตาของจีโอ ก่อนจะลดความแข็งกร้าวลงและถอยกลับมาช่วงตัวหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้วินและเอิร์ธมั่นใจว่าได้ยินเสียงลมหายใจถี่รัวมาจากเธอ
   “ฉ.....ฉัน....ฉัน” เจนจิราเริ่มพูดกระตุกกระตัก
   วินและเอิร์ธมองสับไปสับมาระหว่างสองคนนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา ในความคิดของวิน จีโอเป็นคนแรกที่สามารถทำให้เจนติดสตั๊นได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์หากจีโอจะสามารถสอยดาวลงมาให้อ่อนลงได้บ้าง ในขณะที่วินเห็นเอิร์ธนั่งอ้าปากค้าง ดูไม่อยากเชื่อสายตาที่ตัวเองเห็นตอนนี้
   เจนจิราหันมามองเขาทั้งคู่ วินและเอิร์ธถูกสายตาที่เฉียบคมหันมามองจึงต้องรีบปรับหน้าตา ทำเป็นไม่รู้ไม่ขี้ ไม่รับรู้เรื่องที่เธอโดนจีบ ทั้งๆที่เจนจิราเองรู้ดีว่าไม่ใช่แค่ที่สตูดิโอนี้ที่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่
   ก๊อก ก๊อก ก๊อก
   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งหมดก้เห็นอีกร่างนึงที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ที่ประตู
   “พี่กาย” เอิร์ธร้องทัก
   กายยืนส่งยิ้มกรุ่มกริ่มมาให้เจนทันที
   “หวัดดีๆ...เอ่อ...ในนี้ต้องการความช่วยเหลือมั้ย” กายส่งเสียงหล่อมาให้เจน ที่เหมือนจะได้สติกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น
   “ใช่......เอ่อ....เรา...ม...มีงานสองสามอย่าง...เอ่อ....ที่ต้องจบวันนี้น่ะที่รัก” เจนกล่าวกับกาย ก่อนจะมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตาจีโอ ที่ยังคงมองตาเธอและยิ้มกว้าง
   “รับทราบครับ” กายตอบรับเสียงของเธอ เจนจิราเบี่ยงตัวออกไปจากสตูดิโอ
   “ถ้าคุณจะเปิดซองสีส้มนั้นใช้ เจอกันวันพรุ่งนี้ที่มาร์เล่ ลา วัลลี ตอนสิบโมงนะครับ” จีโอว่า “ผมจะรอ”
   เจนจิราหันมามองจีโอครั้งหนึ่ง ก่อนจะหายตัวออกไปทันที
   “ยี่สิบยูโรคุณเจนไม่มา” วินว่าพลางหันไปหาเอิร์ธ ที่ยิ้มเยาะและส่ายหน้า
   “หมื่นยูโร” เอิร์ธว่า พลางลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ “ได้กัน”
   ทั้งคู่หัวเราะกันเบาๆ
   “หมอนั่นใคร” จีโอหันมาถามเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าเจนจิราเดินหายไปแล้ว “ขัดจังหวะเป็นบ้าเลย”
   “เค้าชื่อกาย” เอิร์ธว่า “ดีไซน์เนอร์ชื่อดังของเมืองไทยอ่ะจีโอ เค้าเป็นแฟนเก่าของพี่เจน แล้วก็เอ่อ...เป็นหนึ่งในโต๊ะผู้บริหารด้วย สงสัยจะแวะมาดูงานน่ะฮะ”
   “แล้วเอ่อ...ชั้นต้อง...ระวังมั้ย” จีโอร้องถาม
   “ไม่ครับ” เอิร์ธตอบ “พี่กายมีแฟนใหม่แล้ว เค้าเป็นพี่ชายผม ไม่มีอะไรหรอกครับ.....ว่าแต่ไหงมาไม้นี้อ่ะ”
   “นั่นสิ.....ออกตัวแรงนะจีโอ” วินแซวเพิ่ม “ไปรู้ได้ไงว่าเค้าชอบสีส้ม เราสองคนใช้เวลาตั้งเดือนกว่าจะรู้
   “ใช่ รู้เอาตอนที่เค้าโละสีดำจากงานเราทั้งเซ็ทเลยที่ Esmod” เอิร์ธพูดเสริม
   “ข้อแรกที่นายสองคนต้องรู้เอาไว้เลย เวลาชั้นทำธุรกิจ” จีโอว่า “คนเราทุกคนมีนัยยะในตัว ถ้าเราอ่านออก เราจะประเมิณการตัดสินใจจากเค้าได้”
   เอิร์ธและวินนั่งฟังอย่างตั้งใจ
   “สำหรับเจน.....ฉันเห็นห้องของเค้าเมื่อวันก่อน ของทุกอย่างถูกวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ แฟ้มบนโต๊ะมีแต่สีส้ม” จีโอว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นสีธีมของที่นี่ซึ่งฉันเดาว่าไม่น่าใช่ ก็แสดงว่าเธอชอบสีนี้ และต้องการให้ของที่เธอใช้เป็นสีส้ม มีสีนี้ในที่ทำงานก็แสดงว่าเธอต้องมีสิทธิมีเสียง และเป๊ะในที่ทำงานเอามากๆ”
   ทั้งคู่พยักหน้ารับทันที
   “เป๊ะในที่ทำงาน นายสองคนไม่อยากให้ฉันยุ่งกับเธอ เพราะเธอเป๊ะ และแข็งแกร่งเกินกว่าจะกระเทาะใช่ไหมล่ะ” จีโอพูดต่อ “ดูจากสิ่งที่พูด เธอไม่ไว้ใจใคร และนั่นทำให้เธอไม่สามารถเปิดเผยตัวเองออกมา ดังนั้นเกราะที่นายสองคนกลัวกันนักหนา มันจะต้องเป็นแค่ภาพลักษณ์ที่ป้องกัน อะไรบางอย่างที่แท้จริงข้างในตัวเธอ....”
   จีโอพูดต่อ พลางยิ้มกริ่มและหันหลับไปมอประตูสตูดิโอที่ปิดสนิท
   “...และฉันคิดว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้เกราะนั่น มันต้องส่องสว่าง พอๆกับสีส้มที่เขาชอบนั่นล่ะ”
.............
   เป็นจริงอย่างที่จีโอคาดเดา เจนจิราลากกายเข้ามาถึงห้องส่วนตัวก่อนจะล็อคประตู หญิงสาวหอบหายใจ พลางก้มหน้าลงกับตัวเองอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต ผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์มากมายมาด้วยกันเข้าใจดี เขายิ้มให้กับเธอจากโต๊ะทำงานของเธอเอง
   “เขาเก่งนี่” กายเริ่มพูดก่อน “ใช้แค่ไม่กี่ประโยคเอง เธอก็จนมุมแล้ว”
   “หยุดเลยนะกาย” เจนจิราจ้องกายตาถลนพลาง เดินตัดเขาอ้อมไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเอง “หมอนั่นก็แค่พยายามปั่นหัวเรา เขาเข้ามาอยู่ในบอร์ดแบบไม่ใสซื่อ เขาก็แค่ จะสร้างภาพให้ศัตรูเห็นว่าตัวเองดูดีเท่านั้นแหละ”
   “งั้นเหรอ...สร้างภาพด้วยการชวนศัตรูไปเที่ยวดีสนีย์แลนด์เนี่ยนะ” กายพูดติดตลก เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดมาตั้งแต่มาถึงชั้นสามแล้ว
   “ขอเถอะกาย อย่าได้......”
   “ผมอ่านเอกสารเขาแล้ว” กายพูดกลับ “คุณรู้ดีพอๆกับผมเจน ว่าเขามาซื่อ....รายได้เขาไม่ได้ตุกติกอะไรเลย เขาทำโรงแรมมาสามปี แถมเคยขาดทุน ตอนช่วงวิกฤตเงินยูโรตอนปีกลายด้วย ธุรกิจเขาก็ไหลไปพร้อมกับธุรกิจอื่นๆในแถบนี้ เขาอยู่กับธุรกิจแถวนี้มานาน ไม่แปลกเลยที่เขาอยากจะลองธุรกิจสายใหม่กับเราอย่างแฟชั่น พี่สุเมธก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้นะ”
   “แต่เขามากับวิน” เจนจิราบอก
   “เรื่องวิน มันก็เป็นอีกประเด็น” กายว่า “ยังไงเราก็ต้องจับตาดูเด็กคนนี้ แต่การที่เขาจีบคุณ มันก็อีกประเด็นนึงไม่ใช่เหรอ”
   “จีบ...ใครจีบ” เจนจิราว่าเสียงสูง “เค้าก็แค่มากวนประสาทเจนเท่านั้นเอง เขาก็แค่นักธุรกิจธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีหัวด้านแฟชั่นด้วยซ้ำ เมื่อวันเซ็นสัญญา เจนต้องพาหมอนั่นไปแนะนำทั่วซูเม่ ว่าเราทำอะไรบ้าง แล้วเขามีสิทธิทำอะไรบ้าง หมอนี่ทึ่มเรื่องดีไซน์อย่างสุดโต่ง แบบว่า.....”
   “รู้ดีขนาดนั้นเลย” กายพยักหน้าพลางยิ้มกว้าง “รู้จักเขาดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
   “ขอเถอะกาย หยุด อย่านะ เจนไม่....”
   “ถามจริงเหอะเจน ที่คุณปิดกั้นเค้า เพราะกลัวเรื่องงาน หรือกลัวเรื่องอะไร” กายยิงเข้าตรงประเด็นทันที เจนมองหน้ากาย “อย่ามาโกหกผม ผมพ่อมดนะ”
   “หมายความว่ายังไงคะ” เจนเอียงคอ
   “ก็หมายความว่า เราสองคนไม่ใช่คนอื่นคนไกล” กายยิ้มกริ่ม “ผมเป็นคนจีบคุณคนแรก ผมดูออกนะ ว่าอาการเมื่อกี้ ก่อนที่ผมจะช่วยคุณออกมาได้ มันเรียกว่าอะไร”
   เจนเมินหน้าไปทางอื่น
   “คุณก็สนใจเขาเหมือนกันเจน” กายว่า “ยอมรับมาซะดีดี”
   “ฉันสนใจก็เพราะว่าเขาอยู่ดีดีก็โผล่มาต่างหาก” เจนแย้ง
   “แต่คุณก็สนใจ” กายย้ำอีก
   “หยุดเลยกาย เจนไม่....”
   “อ่ะอ่ะอ่ะ โอเค ไม่ก็ไม่ ผมไม่เถียงคุณก็ได้” กายยกมือขึ้นห้ามพลางยักไหล่ “แต่เค้าก็พูดถูก ในเมื่อคุณอยากจะล้วงลับเขา ก็ไปกับเขาซะ จะได้รู้ว่าเขามาดีหรือมาร้าย ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลย”
   “ออกไปกับพันธมิตรธุรกิจที่เราไม่ไว้ใจเนี่ยนะไม่เสียหาย” เจนแย้ง
   “ก็เค้าดันชวนคุณไปดีสนีย์แลนด์” กายว่า “ถ้าเขาชวนคุณไปดินเนอร์หรือไปตีกอล์ฟก็ว่าไปอย่าง นี่ไปดีสนีย์แลนด์นะ ผมก็เพิ่งเคยเห็นการผูกมิตรทางธุรกิจที่ดีสนีย์แลนด์เหมือนกันนั่นแหละ”
   “ไม่ตลกเลยนะกาย” เจนว่า
   “ก็ไม่เห็นเสียหายนี่เจน ถ้าผมฟังไม่ผิดก็ได้ยินว่าเจ้าเอิร์ธก็ไป ไหนว่าคุณก็ไม่ได้อะไรกับเอิร์ธ” กายแย้งอีก
   “ฉันก็ไม่ได้อยากไปซะหน่อย” เจนว่าเสียงอ่อย
   “ไม่อยากไปแล้วทำไมไม่คืนตั๋วเค้าไปล่ะเมื่อกี้” กายยิ้มกริ่ม พลางมองสิ่งที่เจนถือตามมาด้วยในมือ
   “ก็.....”
   “อยากจะชั่งใจก่อน ใช่ไหมล่ะ” กายพูดต่อคำเจนทันที
   “เจนเกลียดคุณอ่ะกาย” เจนพูดเสียงสูง ก่อนจะตีแขนกายแรงๆหนึ่งที
   “ไม่มีใครในโลกจะรู้จักคุณดีไปกว่าผมแล้ว” กายยิ้มกริ่มพลางหัวเราะเบาๆ “ไปเถอะ....ถ้าให้แนะนำทั้งในฐานะเพื่อน และหุ้นส่วนธุรกิจ ผมอยากให้คุณไปเจน”
   เจนมองหน้ากาย พลางมองตั๋วในมืออย่างลังเล
   “แล้วถ้าแนะนำในฐานะแฟนเก่าล่ะคะ” เจนถามต่อ
   “อืม.....” กายคิดอยู่ครู่นึง “ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป....”
   เจนมองหน้าชายหนุ่มทันที
   “แต่ผมว่าถึงเวลาได้แล้วที่คุณจะยกโทษให้ผมกับเรื่องเก่าๆนั่น แล้วเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆให้กับตัวเองได้แล้วเจน” กายยิ้มให้กับเจน ที่มองตั๋วในมืออยู่อย่างนั้น
....................
   “ขอบใจมากนะที่มาส่ง แต่ไม่ต้องขึ้นไปก็ได้มั้ง” วินบอกเอิร์ธที่เดินตามมาถึงบ้านพักในหัวค่ำของวันนั้น ทั้งคู่ปิดงานได้อย่างสง่างาม ก่อนจะพากันไปกินข้าวที่ร้านสเต็กเจ้าอร่อยที่หัวมุมถนน วันนี้ไกด์ต้องชดเชยแลกกับวินเมื่อกะวันพูธทำให้วินและเอิร์ธ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้ตลอดทั้งหัวค่ำ ก่อนที่เอิร์ธจะยืนยันว่าจะมาส่งวินที่บ้านให้ได้
   “เอ๊า นี่มึงรู้อะไรป่ะ ตั้งแต่กูกับมึงเจอกันนะ กูยังไม่เห็นที่นอนมึงเลย” เอิร์ธว่า
   “กูก็ยังไม่เห็นที่นอนมึงเอิร์ธ” วินร้องกลับ
   “ก็....ก็บ้านพี่มิกไง มึงไปนอนบ้านเค้ามาแล้ว” เอิร์ธว่า
   “เชี่ย....กูหมายถึงหอมึง” วินว่า
   “เหมือนกันแหละ เดี๋ยวอีกหน่อยกูก็ย้ายไปอยู่กับเค้าละ” เอิร์ธว่า “มึงอ่ะรีบกดๆเหอะ กูอยากเห็นห้องมึง”
   “เออๆๆ ก็มึงเสือกไม่รีบกลับ” วินว่า “พากูท่องปารีสอยู่ได้ นี่ก็จะสามทุ่มแล้วเนี่ย พรุ่งนี้ก็ไปกันแต่เช้าอีก”
   “เอาน่าเร็วเข้าๆ”
   วินกดรหัสที่หน้าประตู ก่อนจะพาเอิร์ธเดินขึ้นบันไดไปจนถึงห้องของตัวเอง วินไขกุญเจบ้าน ขณะที่เอิร์ธยิ้มกริ่มมองไปที่ประตู ทันทีที่ประตุเปิดผางออก วินและเอิร์ธก้าวเข้าไปในห้องก็พร้อมกับเสียงต้อนรับ
   “กลับดึกนะ....หายไปไหนมาล่ะ กินอะไรมาหรือ.....อ้าว เอิร์ธ” เสียงของไกด์ทักขึ้นทันที เอิร์ธมองไปหาไกด์พลางยิ้มให้
   “หวัดดีๆ พอดีวันนี้เราไปกินข้าวกันมาน่ะ” เอิร์ธเริ่มพูดทันที “ก็เลยกลัววินมันจะกลับคนเดียว ก็เลยมาส่ง”
   “อ่อ...” ไกด์รับคำ “เข้ามาก่อนมั้ย”
   “เห้ยไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับแล้วๆ” เอิร์ธว่า พลางเหล่มองไกด์และวิน ซึ่งตอนนี้เพื่อนตัวดีของเขา พยายามทำตัวให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
   “งั้นเจอกันพรุ่งนี้ จะไปเจอกันที่โน่นเลยหรือเปล่าล่ะ” วินรีบตัดบทเอิร์ธทันที
   “ใช่ๆ กูกับพี่กูไปเจอมึงที่นู่นเลย” เอิร์ธว่า “โชคดีนะวิน หลับฝันดีนะ”
   วินทำหน้ากระตุกเล้กน้อย เมื่อเอิร์ธพูดจบ
   “มึงว่าอะ....”
   “แล้วเจอกันพรุ่งนี้...” เอิร์ธลากตัววินมากอดแน่นๆหนึ่งที ก่อนจะผละออก วินทำตาถลนใส่ ขณะที่เอิร์ธยิ้มหวานให้เขา
“กูกลับละ....ผมกลับก่อนนะไกด์....แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่ดีสนีย์ครับ”
   เอิร์ธปิดประตูห้องจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบ วินยืนนิ่งสนิท ไม่กล้าหันไปมองด้านหลังของตัวเอง ร่างกายของเขาแข็งทื่อ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างมายึดเท้าเขาไว้กับพรมหน้าห้อง
   เมื่อได้สติก็ค่อยๆหันกลับไปมองหน้าไกด์ ที่ยังคงมองเขาอย่างนิ่งสนิท
   “เอ่อ..คือ....”
   “หาอะไรกินเอาเองนะ.....ฉันนอนละ” ไกด์พูดเสียงเย็นๆ ก่อนจะปิดประตูเข้าห้องนอนไป วินกลืนน้ำลายหนึ่งครั้ง ก่อนจะส่ายหัวให้ตัวเอง
   ตอนนี้สิ่งแรกที่เขานึกออกเมื่อเจอหน้าเอิร์ธพรุ่งนี้ที่ดีสนีย์แลนด์ก็คือ
   เด็ดหัวเอิร์ธมาจิ้มอาริกาโน่
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 34 Invitation]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 21-02-2013 08:49:51
ยั่วให้หึง จะติดกับไหม
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 34 Invitation]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 21-02-2013 17:44:03
แผนเอิร์ธจะทำวินบ้านแตกป่าวเนี่ย...ทริปวัดใจของทุกคู่ท่าทางจะมันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 35 Witch’s Faces]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 22-02-2013 04:15:13
ตอนที่ 35 Witch’s Faces

   เสียงเด็กหัวเราะ ส่งเสียงดังกึกก้องระงมไปทั่วลานทางเข้าสู่ปราสาทที่ตั้งตระหง่านโอ่โถงอยู่ที่มาร์ลี ลา วัลลี นอกกรุงปารีส สถานที่ที่เด็กทั่วโลกฝันอยากจะมาถึง
   ดีสนีย์แลนด์ ปารีส ในยามเช้าของวันเสาร์กลางเดือนมิถุนายน แม้ว่าจะเป็นวันเสาร์แต่ว่าเนื่องจากเป็นเดือนมิถุนายน ดังนั้นเด็กๆในปารีสจึงไม่มากมายเท่าเด็กๆที่เป็นนักท่องเที่ยว ประตูสวนสนุกที่กำลังจะเปิดออกในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เข้าคิวรอแลกบัตรคิวเพื่อรับตั๋วเข้าไปท่องเที่ยวข้างใน ท่ามกลางความวุ่นวายของวัน วินนั่งนิ่งรอไกด์อยู่ตรงด้านหน้าที่จุดนัดหมาย เนื่องด้วยต้องตื่นเช้าเพื่อให้ทันรถรอบพี่เศษที่ออกจากปารีสมาถึงดีสนีย์แลนด์ วินจึงได้แต่จิบกาแฟอุ่นๆที่ซุ้มขนมด้านนอก พื้นที่ขนาดกว้างที่รองรับนักท่องเที่ยวเกือบหมื่นชีวิตตรงนี้ วินกำลังรอให้ไกด์ไปต่อคิวรับตั๋ว ในขณะที่ตัวเขาเองกำลังรอคนอื่นๆที่นัดมาให้มาเจอกันตรงนี้ ตามที่ได้ส่งข้อความไปบอกเมื่อคืน
   ไม่กี่นาทีต่อมา วินรู้สึกได้จากสัมผัสที่หัวไหล่ของตัวเอง ก่อนจะหันไปมอง
   “Good Morming” สเตลล่านั่นเอง วินวางแก้วกาแฟลง ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อทักทายเธอ
   “หวัดดีสเตลล์” วินจับมือกับเธอ “เอ่อ....พอดี.....ไกด์ไปเอาตั๋วน่ะ เดี๋ยวของเธอก็คงได้พร้อมกัน”
   “อืม” สเตลล่าว่า พลางซุกมือลงกับเสื้อโค้ทสีเข้มของเธอ
   “แล้วเอ่อ.......” วินพยายามพูดอะไรบางอย่าง
   “ช่างมันเถอะ” สเตลล่าพูดตัดบท “วันนี้เรามาเที่ยวกัน อย่าทำให้เสียบรรยากาศดีกว่า”
   วินไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่แน่ใจว่าอารมณ์ของสเตลล่าจะนิ่งลงหรือยัง เขาเองก็ไม่อยากที่จะคุ้ยเรื่องเมื่อหลายวันก่อนเพื่อที่จะหาคำตอบเรื่องนี้
   “แล้วคนอื่นๆล่ะ” สเตลล่าถามขึ้น “มากันหรือยัง เอิร์ธ จีโอ แล้วก็คนที่ได้รับเชิญอีกสอง”
   “จีโอมาแล้ว แต่ขอแยกไปเอาตั๋วอีกแถว” วินตอบ ส่วนเอิร์ธยังไม่เห็น”
   “แล้วใครจะมาเพิ่มอีกสองคนล่ะ” สเตลล่าถาม
   “ผมก็ไม่รู้เหม.......” วินมองผ่านไปยังด้านหลังของสเตลล่า ก็พบกับเอิร์ธที่กำลังเดินตรงรี่มาพร้อมกับผู้หญิงคนนึง วินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่าคนที่เอิร์ธจะมาพามาด้วยคือพี่มิกซะอีกซึ่งนั่นมัน...
   “ไอ้เอิร์ธ” วินร้องทักทันทีที่เพื่อนเขาเข้ามาใกล้
   “เห้ยโทษที ตื่นสายว่ะ” เอิร์ธร้องทัก “พี่สาครับทางนี้คับพี่”
   “อ้อๆ ได้จ้ะเอิร์ธ” หญิงสาวที่เอิร์ธพามาด้วย กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปลานด้านหน้าอย่างมีความสุข ก่อนที่เธอจะเดินมาหาเอิร์ธตามเสียงเรียก
   “เอ่อ สวัสดีครับ” วินทักทาย เช่นเดียวกับสเตลล่าที่จับมือกับเธอเพื่อทำความรู้จัก
   “สวัสดีค่ะ น้องวิริยะ โสภณนภา” สากล่าวอย่างยินดี “ลูกชายคนเดียว ของคุณวรพัฒน์แห่งคอสโม่คอนเทอลิโอนี่ประเทศไทย......ได้เจอตัวจริงซักทีนะคะ”
   “เอ่อ...” วินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเคยชินกับเรื่องแบบนี้ เขาและพ่อทำให้มีชื่ออยู่บ้าง แต่กับที่นี่ ปารีส เขาไม่คิดว่าจะใช่ “ผมไม่แน่ใจว่าเราเอ่อ.....”
   วินหันหน้าไปหาเอิร์ธที่เหล่มองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมา
   “อ๋อ...เอ้อ...นี่พี่สา เป็นพี่ที่สตูดิโอเก่าของกูเอง เค้าเป็นเพื่อนสนิทพี่มิกน่ะ” เอิร์ธให้คำตอบ “เค้าเป็นช่างภาพแล้วก็อาร์ทไดเรกเตอร์ ทำงานอยู่สาขาเบอร์ลิน พอดีเค้ามาดูงานที่นี่น่ะ ก็เลยชวนมา”
   “ครับ ยินดีที่ได้รูจักครับ” วินยิ้มรับ “ผมคิดว่าเอิร์ธจะพา....”
   สาแอบเหล่มองเอิร์ธเล็กน้อย ชายหนุ่มรีบตั้งตัวตรง
   “อ๋อคือ.....พี่มิกเค้าไม่มาหรอก อะไรอย่างนี้อ่ะ” เอิร์ธรีบพูดตัดบท “เค้าไม่ชอบไปที่คนเยอะๆ เนอะพี่สา”
   “ใช่.....มันเป็นอย่างนั้นแหละ แล้วพี่ก็อยากมาเที่ยวที่นี่ด้วย ไม่มีโอกาสซักที” สายิ้มกริ่ม “รบกวนด้วยนะคะ แล้วนี่เอ่อ....ฉันว่าฉันคุ้นหน้าคุ้นนะคะ คุณ....เอ่อ”
   “สเตลล่า โรมานอฟค่ะ” สเตลล่ายิ้มให้สาหนึ่งที “ฉันเป็นนางแบบให้กับคอสโมโพลิแทน”
   “อ๋อ....ใช่ จริงๆด้วย คุณลงปกเมื่อเดือนที่แล้วใช่ไหมคะ ของเยอรมัน” สากล่าวพลางยิ้มกว้าง “ให้ตายสิเอิร์ธ นายนี่ไม่เจอกันแป้บเดียว เส้นสายเป็นกองเลยนะยะ”
   “นิดหน่อยฮะพี่” เอิร์ธยืดตัวเบาๆ
   “ยินดีที่ได้พบค่ะสเตลล่า คุณดูดีมากในชุดสูทเซ็ทนั้น ช่างภาพคือ สตีเว่น ร็อคฟอร์ดใช่หรือเปล่าคะ” สาพูดต่อ
   “ใช่ค่ะ” สเตลล์ตอบเธอ
   “เขาเป็นต้นแบบของฉันเลยค่ะ ถ้ายังไงไม่รังเกียจ คราวหลังรบกวนมาเป็นแบบให้ชั้นบ้างได้ไหมคะ” สาว่า
   “ด้วยความยินดีค่ะ” สเตลล์ตอบ
   “อ่ะแฮ่มๆ” เอิร์ธขัดจังหวะสาขึ้นมา “พี่สา..ผม..เอ่อ...เรามาเที่ยวกันนะพี่..อย่าลืมที่ผมบอกสิ”
   วินหันแว้บไปหาเพื่อน พลางพยายามตีความรูปประโยคอันแปลกประหลาดนั้น
   “อ๋อ...ใช่ๆ เรื่องงานเอาไว้ทีหลังเนอะ” สาว่าพลางยิ้มให้วินทันที วินยิ้มตอบเธอกลับอย่างสงสัย พลางมองไปทางเอิร์ธที่ยิ้มกริ่มมองไปรอบๆเหมือนจะหาอะไรบางอย่าง
   “ว่าแต่..แล้วคนอื่นๆละคะ วันนี้มีใครจะท่องโลกนิทานไปกับเราบ้างล่ะ” สาพูดเสียงใส
   “อยู่นั่นไง” เอิร์ธร้องขึ้นทันพลางชี้ไปทางชายหนุ่มสองคนในชุดโค้มสีดำขลับ เดินมาจากแถวที่เรียงยาว ไกด์กับจีโอ คงจะได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว
“หวัดดีไกด์ หวัดดีจีโอ” เอิร์ธร้องเสียงดัง ก่อนจะเอื้อมมือโอบไหล่วินเอาไว้ทันที
“อ้าวมากันแล้วเหรอ” จีโอร้องเสียงดัง “แล้วนี่เอ่อ...”
“เอ่อนี่พี่สาครับ เป็นพี่สาวผมเอง คือผมหมายถึงพี่ที่เคารพน่ะ” เอิร์ธว่า “ส่วนนี่จีโอกับไกด์นะพี่สา ที่ผมเอ่อ....เล่าให้ฟัง”
“อ๋อ” สายิ้มกริ่ม พลางมองไปที่ชายหนุ่มสองคน “สวัสดีค่ะ คุณจีโอ ได้ยินว่าคุณเป็นนักธุรกิจคารมดี แล้วก็คุณไกด์ พ่อครัวมือฉมังประจำร้านอาหารไทยในปารีส....ใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” จีโอตอบรับพลางจับมือกับเธอ เช่นเดียวไกด์ที่ยิ้มรับคำของเธอ พลางมองมาที่วินและเอิร์ธหนึ่งครั้ง
ท่ามกลางบทสนทนาแนะนำตัวระหว่างจีโอและสา ไกด์เดินตรงมาหาวินที่โดนเอิร์ธโอบไหล่และทำเป็นมองไปรอบๆ วินรู้สึกถึงคลื่นพลังมหาศาลที่โจมตีใส่เขาอย่างรุนแรงแบบเดียวกับตลอดหนึ่งคืนที่ผ่านมา มันกำลังทวีความรุนแรงขึ้นและ....
ไกด์ยื่นถุงนึงใส่มือวินทันที เอิร์ธมองการกระทำที่เกิดขึ้นตรงหน้า อย่างพิจจารณา
“แซนวิช” ไกด์พูดห้วนๆใส่วิน “นายยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ออกมา ทานซะจะได้ไม่หิว”
วินมองถุงแซนวิชตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองไกด์
“ขอบใจมากนะไกด์” เอิร์ธยิ้มกริ่ม พลางหยิบมันออกมาจากมือวินแล้วเริ่มแกะทันที “นี่มึงยังไม่ได้กินอะไรมาเหรอวะ มาๆ แบ่งกะกูคนละครึ่ง”
วินมองเพื่อนรักด้วยความงงงวยก่อนจะรับครึ่งนึงของแซนวิชมากินอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะยังไม่ละสายตาไปจากการสบตากับไกด์ที่ทำเป็นยืนฟังบทสนทนาของอีกสามคนที่เหลือ แต่สายตาไม่ได้ละไปจากวินเลยแม้แต่น้อย
“เห้ยไอ้วิน กินยังไงเนี่ย เลอะหมดแล้ว” เอิร์ธว่า ก่อนจะหยิบทิชชู่จากในถุงและเช็ดปากให้กับวิน ที่ติดสตั๊นทันที เมื่อโดนเอิร์ธเช็ดปากให้อย่างไม่ทันตั้งตัว
และแล้วความเงียบก็เกิดขึ้นทันที วินรู้ตัวเลยว่าไกด์จ้องเขม็งมาที่เขา แต่ด้วยความตกใจ วินก็ได้แต่เพียงทำเป็นขัดขืนเพื่อน แต่นั่นยิ่งทำให้ภาพการเช็ดปากดูเป็นอะไรที่ชวนเข้าใจผิดมากเข้าไปอีกและ...
“...ว่าไงคะ คุณไกด์” เสียงของสาดังแทรกขึ้นมา “คุณไกด์คะ....”
“...ค...ครับ” ไกด์หันกลับไปยังวงสนทนาตามเดิม ”ครับ เอ่อ...เมื่อกี้คุณสาว่าอะไรนะครับ”
“อ้าว...แหม ไม่ได้ฟังเลยเหรอคะ” สาถามเสียงใส “ฉันถามว่าคุณน่ะ มาอยู่ปารีสนานแล้วเหรอคะ เพื่อนคุณเล่าให้ฉันฟังเมื่อกี้”
“อ๋อ..ครับใช่” ไกด์กล่าว “ผมมาอยู่ที่นี่ปีนี้ปีที่ห้าแล้ว ผมย้ายมาจากเมืองไทยเพราะได้ทุนเรียนต่อปริญญาตรีต่ออีกสองปี แล้วก็ทำงานต่อเลยน่ะครับ”
“ว้าว...แล้วคุณได้ทุนจากไหนคะเนี่ย” สาถามต่อ
“จุฬาครับ ผมเคยเป็นศิษย์เก่าจุฬา” ไกด์พูดต่อ “ผมย้ายมากับน้องชายสองคน แต่น้องผมเสียไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนี้ผมอยู่คนเดียว”
“ตายจริง...ฉันขอโทษด้วยนะคะที่” สาพยายามพูด
“ไม่เป็นไรครับ” ไกด์พูดทันที สเตลล์และวินมองสิ่งที่ไกด์พูดพร้อมกัน ไกด์มองกลับมาหาวินอีกครั้ง “เพราะผมกำลังคิดว่า ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว”
“ดีแล้วล่ะค่ะ” สาว่า
“เอ่อ...แล้วยังไงเนี่ย เราจะเข้าไปกันได้หรือยัง” สเตลล่าตัดบทสนทนาขึ้นทันที “ได้ตั๋วกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่” ไกด์พูดรับคำสเตลล่าทันที “ตั๋วของทุกคนอยู่กับผม”
“งั้นเราก็ไปกัน.....” สาพยายามพูด
“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนนะ” จีโอพูดพลางมองไปรอบๆบริเวณ
เอิร์ธได้โอกาสจึงทำเป็นยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของวิน โดยที่มือก็ยังโอบคอเพื่อนรักอยู่
“เค้ากำลังรอพี่เจนน่ะ” เอิร์ธกระซิบใส่หูวิน
“เออ กูเข้าใจ” วินว่า “แต่ว่ามึงอ่ะ.....กำลังทำเชี่ยไรกูเนี่ยสัด”
“เออน่า มึงอยู่เฉยๆเหอะ” เอิร์ธย้ำอีกครั้ง “กูว่า....พี่เจนแม่งไม่มาหรอก”
“แหงอยู่แล้ว กูพนันไว้ตั้งยี่สิบยูโร” วินพูดตอบ “เดี๋ยวนะ...เห้ย นั่นมัน”
หญิงสาวคนนึงหญิงสาวคนนั้นสวมเสื้อสีขาว และกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม พันผ้าพนคอสีส้มสด ผมที่ดัดเป็นลอนเข้ากับใบหน้าที่สมแว่นกันแดดอย่างมีสไตล์ หญิงสาวใส่สนีกเกอร์สีดำ ดูสปอร์ตมากขึ้นกว่าที่วินเคยเห็นในชุดปกติของเธอ
   วินสะกิดเอิร์ธให้มองไปยังผู้หญิงคนนั้นทันที ก่อนที่จีโอจะเดินตัดกลุ่มของทุกคนเข้าไปหาเธอ
   “คุณเจน” จีโอร้องทัก เธอหันมาหาเขา ก่อนจะเลิกแว่นกันแดดขึ้นไปบนศรีษะ ใบหน้าที่สดใสไม่มีเครื่องสำอางค์ทำเอาวินและเอิร์ธอึ้งไปพักนึงทีเดียว เจนจิรายังคงสวยแบบที่เธอควรจะเป็น แม้ไม่มีเครื่องสำอางค์ แต่ใบหน้าของเธอวันนี้กับเปล่งประกายยิ่งกว่าเก่า ลุคที่ดูสดใสของเธอในชุดสีขาว เข้ากับผ้าพันคอสีส้มของเธออย่างไม่น่าเชื่อ วินเผลอมองใบหน้าของเธอไปหลายนาทีเช่นเดียวกับเอิร์ธ
   “ผม...เอ่อ....ไม่นึกว่าคุณจะ......” จีโอว่า
   “ขอโทษที ฉันหาคุณไม่เจอแล้วเอ่อ...ฉันต้องไปต่อคิวรับตั๋วเองแล้ว......”
   “เจนจิรา” สาร้องขึ้นทันที พลางมองไปที่เจนด้วยตาที่แทบถลนออกจากเบ้า
   “คุณสา” เจนร้องกลับทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้า
   “ชิบหายแล้ว” เอิร์ธร้องกับตัวเองเสียงดังพลางตบหน้าผากตัวเองเข้าอย่างจัง
   “อะไรกันวะ” วินกระซิบถามเอิร์ธ
   “มึงลองจินตนาการเอาแล้วกันนะ” เอิร์ธพูด “ว่าถ้าเกิดเมลีฟิเซนต์จากเจ้าหญิงนิทรา ต้องมาสู้กับราชินีเรเวนจากสโนไวท์จะเป็นยังไง”
   “อะไรนะ เค้าสองคนไม่ถูกกันเหรอ” วินพูดพลางมองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง เป็นการกระทำที่ตลกมาก เจนและสาทำหน้าตึงใส่กันอยู่เสี้ยววิ ทำให้ทั้งวงเกิดความฉงนขึ้นทันที
   “เอ่อ...ค...คุณสองคนรู้จักกันเหรอครับ” จีโอถามขึ้น แม้ว่าเจนจิราจะหันมาหาเขา เพื่อขอคำตอบ “คือ...ผมเพิ่งรู้จักคุณสาวันนี้เอง แล้วเอ่อ.....มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”
   เจนจิราส่ายหน้าครั้งนึง ก่อนจะหันหลังกลับทันที
   “เดี๋ยวสิคุณ” จีโอพยายามวิ่งตามและดึงตัวเธอเอาไว้ “เจนผมไม่รู้เรื่องนะ มีอะไรเหรอ”
   “นั่นสิ เธอหนีงั้นอะไรเหรอเจน” สาเดินตามมายังจีโอและเจนจิราทันที วินและเอิร์ธเห็นใบหน้าที่เจนไม่เคยมีปรากฎขึ้นมาก่อน ใบหน้าของคนเสียรู้และถูกคุกคาม
   “ป..เปล่าซะหน่อยคุณสา ชั้นแค่......” เจนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง “ฉันก็....ตั้งใจมาพบคุณจีโอไง.....”
   เจนจิราตัดบททันที ไม่ยอมให้ตัวเองเสียฟอร์มไปมากกว่านี้ จีโอยิ้มกริ่ม
   “งั้นเหรอ.....ฉันไม่นึกว่าเธอจะ...” สายิ้มที่มุมปากเบาๆ พลางมองจีโอและเจนจิรา
   “ครับ...คือผมเป็นคนชวนเธอมาเอง” จีโอออกตัวรับ “ผมเพิ่งตกลงร่วมลงทุนกับคุณเจนในซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล เราสองคนก็เลย...”
   “อยากจะออกมาพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันน่ะ” เจนจิรายิ้มให้สาทันที พร้อมกับพูดตัดบทจีโอ ที่ตอนนี้หันไปมองเธอด้วยรอยยิ้ม
   “อ้อ.....งั้นเหรอ" สาว่า "ดีสนีย์แลนด์ เนี่ยนะ"
   "ใช่" เจนจิราว่า "ดีสนีย์แลนด์"
   เจนจิรารู้ตัวดีว่านี่เป็นเรื่องที่งี่เง่าที่สุด เท่าท่ตัวเธอจะคิดทำได้ สามองเธอหัวจรดเท้า
   "วันนี้เป็นครั้งแรก ที่ฉันไม่เห็นเธอแต่งหน้า" สาว่า พลางยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเจนกับจีโอทันที เจนถึงกับกัดฟันกรอดเบาๆ "เธอก็ ดูดีในชุดเดทนะ"
   สาพูด ก่อนจะเดินหันหลังกลับไป ทิ้งให้เจนติดสตั๊นอยู่กับจีโอที่ยังคงยิ้มกว้างให้กับเธอ
   "ตั้งใจมาหาผมเลยเหรอคุณ" จีโอหยอดใส่เธอไปอีก เจนจิราหน้าแดงจัด เธอทั้งโกรธ ทั้งเขิน ทั้งอาย มันปนเปยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว
   "ช่างมันเถอะ" เจนจิราตัดตัวเองออก ก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับกลุ่มอย่างเสียไม่ได้ ในขณะที่สาเดินกลับมาที่กลุ่มพร้อมกับทำหน้าอาฆาตใส่เอิร์ธทันที พลางทำท่าขอคำอธิบายการปรากฎตัวของเจนจิราที่นี่ เอิร์ธห่อไหล่ก่อจะเอามือออกจากไหล่ของวินทันทีและยกมือไหว้สาประหลกๆ
   ด้วยเวลาอันรวดเร็ว เมื่อไหล่ของวินพ้นจากอ้อมโอบของเอิร์ธ ตัวของขาถูกไกด์ ดึงเขามาหาตัวทันที กลายเป็นแขนของไกด์ ที่โอบไหล่เขาไว้แทน วินจ้องหน้าไกด์ที่ทำเป็นมองเหตุการณ์ตรงหน้า เหมือนว่าที่เขาดึงตัววินมา ไม่ใช่เรื่องจงใจ
   วินจึงทำทีเป็นจะแกะแขนไกด์ออกแต่ทว่า
   “ถ้านายยอมให้เจ้านั่นโอบนายอีกล่ะก็.....” ไกด์พูดเรียบๆ “ฉันจะพานายกลับไปกับฉันสองคนเดี๋ยวนี้เลย”
   ไม่รู้ว่าทำไม วินถึงรู้สึกว่านี่เป็นคำตอบของอะไรบางอย่างที่เขากำลังตามหาอยู่ เอิร์ธควรจะได้ยินสิ่งที่ไกด์พูดเมื่อกี้
   ไม่อย่างนั้นการเข้าไปในดีสนีย์แลนด์วันนี้ อาจจะไม่ใช้การเที่ยวสวนที่สนุกนัก
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 35 Witch’s Faces]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-02-2013 05:14:35
 :impress2:


หึงแล้วๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 35 Witch’s Faces]
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 22-02-2013 13:04:13
วี๊ดวิ๊ว   หึงแว้วววว  :m12:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 35 Witch’s Faces]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 23-02-2013 09:48:07
ต้องกระตุ้นถึงจะเห็นภาพ

ไม่ใช่หมูในอวยนะ จะบอกให้
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 36 Phantom Inside]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 26-02-2013 02:34:46
   วินคิดว่านี่เป็นการเที่ยวที่แปลกประหลาดมาก ทันที่เข้ามาอย่างลานโล่งด้านหน้าที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางของดีสนีย์แลนด์ ปราสาทสีชมพูดตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ลานตรงนี้เรียงรายไปด้วยร้านค้ามากมาย เป็นจุดที่จะเชื่อไปยังห้าส่วนของสวนสนุก ซึ่งก็จะเป็นแลนด์ต่างๆ ได้แก่ Adventure Land , Fantasy Land , Frontier Land และ Discovery Land ซึ่งวินเดาจากรูปการณืที่เกิดขึ้นนั้น นี่เป็นขบวนที่น่าอึดอัดเอาอย่างมาก
   วินและเอิร์ธเป็นคนเดินนำหน้า ทั้งๆที่เขาทั้งค่สูงกว่าคนที่เดินตามหลังมาอย่างเสตลล่า ในขณะที่เจนจิราและสาวิตรี ที่ดูเหมือนว่าทั้งคู่พยายามหันหน้าไปคนละฝั่งทุกครั้งที่มีการบังเอิญมาสบตากัน เดินแยกไปอีกทางนึง โดยที่เจนจิรามีจีโอคอยเดินประกบอยู่ใกล้ และสาก็ดูเหมือนจะเริ่มสนุกไปกับการถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งสถานการณ์อันน่าอึดอัดกลับมาตกอยู่ที่วิน เอิร์ธพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะได้จับมือเขา โดบไหล่และตัวเขา วินเองก็ทำทุกอย่างที่จะสะบัดตัวออกมาให้สำเร็จ เขาไม่ได้กังวลว่าไกด์จะมาทำท่าทีแปลกๆใส่เขาอีก แต่พูดตรงๆว่าการที่เอิร์ธมาทำแบบนี้ใส่เขามันทำเอาเขาขนลุก เจ้าเพื่อนตัวแสบคนนี้พูดจามีสัตว์ยั้วเยี้ยออกมาจากปากกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อยู่ดีดีมาทำตัวสุภาพใส่กัน สำหรับวินแล้วมันน่าตบกระโหลกส้นดี
   “บ่ายโมงจะมีขบวนพาเหรดที่เซ็นทรัลพาร์ค” เอิร์ธร้องขึ้นเมืื่อเห็นตารางในโบรชัวร์ในมือ “ผมว่าพวกเราแยกกันไปเล่นเครื่องเล่นกันก่อนแล้วค่อยกลับมาเจอกันที่นั่นตอนนั้นดีไหมครับ”
   “ก็ดีนะ” สาร้องว่า “พี่อยากถ่ายรูป จะได้ไม่กวนคนอื่นๆเค้าเนอะ”
   “ใช่” เจนจิราพูดตอบทันที “แยกกันก็ดี เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก”
   “แล้วคุณจะไปโซนไหนล่ะเจน” จีโอพูดถามขึ้น “ผมจะได้พาไป”
   เจนจิราหลับตาลงอย่างเสียไม่ได้ เธอแค่ไม่อยากอยู่ให้สาค่อนแขะใส่เธอ แต่มันกลายเป็นว่าสิ่งนี้มันไปเข้าทางจีโอเอามากๆ
   “เอ่อ….ฉันเอ่อ” เจนจิราส่ายหน้าครั้งหนึ่ง ่กอนจะรีบพลิกดูแผนที่ในมืออย่างลกลั่ก “เอ่อ…..น…นี่ก็ได้ สมอล์เวิร์ล มั้ยคะ”
   เธอหันไปหาจีโอ ที่ไม่ได้ดูแผนที่ตามมือเธอเลย เขามองหน้าเธอที่กำลังเหวออย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเจนรู้ว่าตัวเองกำลังโดนมอง ก็หลบหน้าจีโอทันที
   “ว่าไงคะคุณจีโอ” เจนจิราถาม
   “ด้วยความยินดี” จีโอรับคำตอบ “งั้นไปกันครับ”
   จีโอและเจนจิราเดินแยกออกจากไป สายิ้มกริ่มพลางหันมาหาเอิร์ธ
   “พี่จะขยายเรื่องนี้คอยดู” สาว่า
   “จัดไปอย่าให้เสียพี่” เอิร์ธยักคิ้วตอบ “แล้วเอ่อ ไกด์ล่ะ นายจะไปกับสเตลล่าหรือเปล่า”
   เอิร์ธยิงคำถามที่ทำเอาวินหันมามองเอิร์ธอย่างรวดเร็วด้วยตาโต ไอ้เพื่อนตัวแสบชักจะล้ำเส้นคนรู้จักไกด์ไปไกลเสียแล้ว
   “ไม่ล่ะ” ไกด์ตอยเสียงเย็น “ฉันจะอยู่กับวิน”
   เกิดความเงียบกริบทันที สเตลล่าหลับตาลงครั้งนึงก่อนจะเม้มริมฝีปาก
   “คุณสา เอางี้มั้ยล่ะค่ะ ก็เดี๋ยวเราก็ไปทางเดียวกับที่วิน เอิร์ธและเคลวินไป” สเตลล่าว่า “คุณจะลองเทสกล้องกับฉันไหมล่ะ”
   สาทำตาเบิกกว้าง
   “ว้าววว ได้ค่ะ ยินดีเลย แต่ว่า มันจะเป็นการรบกวนพวกนายหรือเปล่า” สาถามอีก
   “ไม่เลยครับ” วินรับพูดตัดบททันที “ผมเรื่อยๆครับ ไม่ได้จะลุยเล่นไปทุกเครื่องหรอก ก็เดินเที่ยวกันไปเรื่อยๆก็ได้ ไม่ต้องแยกกันก็ดีเหมือนกัน”
   วินหันมามองหน้าไกด์ที่มองเขา
   “ผมไม่ได้จะแยกไปกับใครเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว” วินว่า เหมือนพยายามอธิบายให้ไกด์เข้าใจ
   “งั้นก็ดีเลยเพื่อน” เอิร์ธว่า “งั้นเอิร์ธสุดหล่อขอเสนอ…..บ้านผีสิงแฟนธ่อมแมนเนอร์ ณ ฟรอนเทียร์เแลนด์”
   “โคตรมึงเลยนะสัด” วินว่า
   “เอ๊า….ไปวัดใจไง หรือมึงป๊อดไอ้วิน” เอิร์ธว่า
   “บ้า….ใครป๊อด” วินร้อง “จัดมาเลยดีกว่า……”
   “ดี งั้นเชิญเลยทุกคน ซ้ายมือครับ”
   เอิร์ธเดินนำทุกคนเลี้ยวซ้ายไปยังฟรอนเทียร์แลนด์ทันที
.............
   เจนจิราเดินตรงรี่ไปโดยไม่สนใจจีโอที่วิ่งกระหืดหระหอบตามเธออยู่ หญิงสาวยิ้มกริ่มพลางคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะสลัดจีโอให้หลุดออกจากตัวเองไปได้ซักพัก แผนการร้อยแปดตีขึ้นในหัว บางทีเธออาจจะทำทีเป็นหาจีโอไม่เจอ แล้วไปหลบอยู่ในเครื่องเล่นอะไรบางอย่างสบายๆซักพัก แล้วค่อยกลับไปเจอกับทุกคนอีกทีตอนขบวนพาเหรดจะเริ่มตอนบ่ายโมง
   คิดได้ยังไม่ทันไร อยู่ดีดีเด็กชายชาวฝรั่งเศสคนนึงกำลังวิ่งไปมาเลิ่กลั่ก และด้วยความที่เธอเองก็รีบเดินมากเกินไป เด็กน้อยคนนั้น มาชะงักตรงหน้าเธอ ก่อนจะสะดุดล้มลงทันที เด็กคนนั้นนั่งร้องไห้อยู่หน้าสวนหย่อมหน้าปราสาทดิสนีย์สีชมพูอยู่อย่างนั้น
   เจนจิราส่ายหน้าพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเด็กชายคนนั้น
   “Hey handsome” เจนจิรากล่าวพลางยิ้มกว้าง พลางเอามือลูบหัวเด็กชายคนนั้น “Did you get hurt or something?”
   เด็กชายคนนั้นมองหน้าเจนจิราพลางส่ายหน้า
   “Great, you’re fine I’m sorry for scared you but ah……where’re your parents?” เจนจิราถามต่อ
   “round here” เด็กชายตอบห้วนๆ “I lost them from there”
   เด็กชายชี้ไปตรงลานที่เธอเพิ่งเดินจากมา เด็กคนนี้คงจะพลัดกับพ่อแม่ตรงทางแยกหน้าปราสาท คนเยอะมหาศาลแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่แปลกนัก
   “So…did you know what land they’re going to go?” เจนจิราถามอีก
   “fantasy” เด็กชายตอบอีก เจนจิราหัวเราะครั้งนึง ก่อนจะยิ้มให้เด็กชายคนนั้น
   “Ok…. But first you have to stop crying my tiny cute boy.I guess you didn’t want to be in bad mood at Disneyland,don’t you?” เจนจิราขยี้หัวเด็กน้อยทีนึง “I’ll help you find them.May be we should go to fantasyland together and then contact to the information point and ask them to helping you. So what you think?”
   เด็กชายพยักหน้าหงึกๆ เจนจิราหัวเราะครั้งนึง
   “Great.So get up handsome.Come with me.” เจนจิราเอื้อมมือไปดึงตัวเด็กชายลุกขึ้นและยิ้มให้ “Let’s go”
   ทันใดนั้นเด็กชายคนนั้นก็ถูกจีโออุ้นขึ้นขี่คอทันที
   “Let’s fly boy find your mom” จีโอว่า เจนจิราตาถลนทันที
   “คุณทำอะไรน่ะ” เจนจิราร้องเสียงดัง ขณะที่เด็กน้อยบนไหล่ของจีโอ ตกใจทันทีที่ถูกอุ้ม “เดี๋ยวเด็กก็ร้องโวยวายว่าเราลักพาตัวเค้าหรอก”
   “โอยนี่คุณ...มองโลกในแง่ร้ายจัง” จีโอว่า “โจรลักพาตัวที่ไหนเค้าเอาเด็กขึ้นนั่งไหล่บ้างล่ะ...แล้วอีกอย่าง ถ้าคุณไม่โวยวายก็ไม่มีปัญหาหรอก Calm down boy.She’s my girlfriend.”
   “นี่คุณจีโอ....” เจนจิราร้องทันทีที่จีโอบอกเด็กไปอย่างนั้น
   “เอาน่าคุณ...ไม่เห็นเป็นไรเลย เค้าก็แค่เด็กคนนึง” จีโอหยิบตาให้เจนจิราครั้งนึง “แล้วผมก็เดาเอาว่า คุณก็คงไม่อยากอยู่ใน Bad Mood ตอนอยู่ที่ดีสนีย์แลนด์หรอกใช่ไหมเจน”
   เจนมองหน้าจีโอครั้งนึง
   “คุณดูอยู่เหรอ” เจนจิราถามขึ้น
   จีโอไม่ตอบได้แต่ยิ้มให้เจน
   เจนได้แต่เดินตามจีโอไปยังทางไปสู่แฟนตาซีแลนด์ อย่างเสียไม่ได้ ระหว่างทาง เธอเห็นท่าทีของจีโอที่กำลังเล่นหยอกล้ออยู่กับเด็กคนนั้น เพื่อที่จะช่วยหาพ่อแม่ของเขา

   “ผมว่ามันถึงเวลาแล้วนะ ที่คณจะยกโทษให้ผมกับเรื่องเก่าๆนั่น แล้วเริ่มต้นเปิดใจกับอะไรใหม่ๆซักทีนะเจน”

   คำพูดของกายแว้บเข้ามาให้หัวของเธอ หรือบางทีสิ่งนั้นอาจจะจริงขึ้นมาก็ได้
...........
   “เป็นไงล่ะมึง หน้าซีดเลย” เอิร์ธแซววิน ที่เดินออกมาจากแมนเนอร์ด้วยหน้าขาวซีด วินที่กำลังอยู่ในอารมณ์ตกใจมองหน้าเอิร์ธพร้อมด่าใส่แบบไม่มีเสียงใส่ วินไม่ได้กลัวผีหรือกลัวความมืด แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบเอามากๆเลยคือเรื่องการแหย่ให้ตกใจ แล้วในแมนเนอร์ ก็ทำให้เขาใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มได้สำเร็จ เมื่อเขากำลังเดินเข้าไปพิจารณาหุ่นชุดเกราะเหล็กที่ตั้งอยู่เรียงรายโถงชั้นสอง แล้วอยู่ดีดีหุ่นเกราะเหล็กก็พร้อมใจกันกระตุกเอาหอกทิ่มขึ้นเพดานพร้อมกัน ซึ่งสิ่งนั้นทำให้วินก้มลงหลบทันทีพร้อมร้องเสียงดัง
   แล้วทางเดินที่เหลือหลังจากนั้น วินก็ไม่ไว้ใจเพดานของเมนเนอร์อีกเลย ชายหนุ่มเดินท่ามกลางความมืดพยายามหดตัวให้เล็กที่สุด ความตกใจที่หุ่นชุดเกราะเป็นตัวเปิด ทำเอาทุกอย่างในอีกชั้นครึ่งของแมนเนอร์ดูน่ากลัวมากขึ้นอีกเท่าตัว
   วินไม่พูดอะไรเอาแต่เดินไปนั่งที่ม้านั่งด้านหน้าทันที
   “โอ๋ๆๆๆ” เอิร์ธรีบรุดมาแซววินอีก “งั้นมึงรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำให้ จะได้ไปตามพี่สากับสเตลล่าที่สวนด้านโน้นด้วย”
   วินพยักหน้ารับพลางควบคุมจังหวะหายใจตัวเอง พลางส่ายหน้าเมื่อเอิร์ธเดินหายไปยังด้านหน้าของแมนเนอร์ที่มีร้านค้าบริหารอยู่ วินห่อตัวพลางตั้งสติตัวเอง จนกระทั่งผ้าพันคอผืนนึง มาพันรอบคอของเราไว้โดยไม่ทันตั้งตัว
   “นาย” วินร้องทันที เมื่อคนที่วางผ้าพันคอลงที่ตัวเขาคือไกด์นั่นเอง ชายหนุ่มไม่ได้มองหน้าวิน ได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ ก้มตัวเอาข้อศอกวางไว้บนหัวเข่า ไกด์หันหน้าไปทางอื่น รังสีแห่งความเย็นชาแผ่ออกมามากกว่าเดิม มากกว่าทุกครั้งซะอีก ไกด์ทำตัวเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มขยับขาเบาๆอย่างครุ่นคิด
   “ไปเจออะไรมาหรือไง” ไกด์ถามขึ้น ใบหน้าที่หันมาถามวิน เป็นใบหน้าที่แปลกเอามากๆ ไกด์ขมวดคิ้วอย่างเต็มที่ แววตาฉายแววไม่พอใจอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่สิ่งที่วินเคยเห็นมาก่อน
   “ก...ก็ไม่เชิง” วินตอบตะกุกตะกัก แม้ว่าจะยังคงมองใบหน้าของไกด์อยู่อย่างนั้น
   ไกด์สะบัดหัวครั้งหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างดัง วินรู้ได้ทันทีเลยว่าไกด์กำลังหงุดหงิด
   “เป็นอะไรไปอ่ะนาย” วินถามขึ้น
   “ถามตัวเองดีกว่าป่ะ” ไกด์สวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไปทันที พอดีกับที่เอิร์ธสวนเดินกลับมาพอดี
   “อ้าวไกด์ หายไปไหนมาอ่ะ” เอิร์ธถามขึ้น ในมือถือนมอุ่นๆมาสองแก้วกระดาษ พร้อมกับน้ำหนึ่งขวด
   ไกด์มองเอิร์ธอย่างเพ่งพินิจอยู่ครั้งนึง เอิร์ธเอง เมื่อเห็นแววตาที่ครุกรุ่งของไกด์แล้วก็ยิ่งรู้สึกสนุกมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มจ้องตาไกด์กลับอย่างจงใจ ทั้งคู่มองอยู่นานมากจนวินเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เอิร์ธก็เช่นกัน
   “เห้ หนุ่มๆ....พวกเรากลับมาแล.....” เสียงของสาที่เดินยิ้มมากับสเตลล่ามาจากอีกฝั่งหนึ่งของแมนเนอร์ ต่างต้องชะงักเมื่อเห็นสงครามจ้องตาอาฆาตอยู่ตรงหน้า และดูเหมือนว่าเสียงของสาจะไม่ได้ทำให้สงครามของไกด์และเอิร์ธหยุดลง วินหันไปมองพี่สาที่เพ่งมองไปยังไกด์โดยตรง ผิดกับสเตลล่าที่กำลังมองทั้งคู่ด้วยสายตาที่ตื่นกลัว
   “Kevin stop” สเตลล่าเอ่ยขึ้นก่อน ก่อนจะรีบถลาเข้ามากลางวงระหว่างไกด์และเอิร์ธทันที เธอจับตัวไกด์ถอยออกหนึ่งช่วงตัว แม้ว่าไกด์จะยังคงมองเอิร์ธอย่างเอาเป็นเอาตาย “God Damn it stop it Kevin. I need to talk.”
   สเตลล่าลากตัวไกด์ออกไปจากตรงนั้นทันที เธอหันกลับมาหาเอิร์ธพลางส่ายหน้า
   “วิน ทำอะไรซักอย่างซะ” สเตลล่าพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะพาไกด์หายไปกับฝูงชน ซึ่งระเบิดที่สเตลล์ทิ้งไว้ท้ายประโยค ทำเอาตอนนี้วินใจหายเสียยิ่งกว่าในแฟนธ่อมแมนเนอร์เสียอีก
   “เชี่ย....” เอิร์ธร้องขึ้นก่อน พลางหันกลับมาหาวิน “แม่งจะแดกกูอยู่แล้ว ไอ้วิน....”
   วินก้มหน้าลงหายใจถี่รัว
   “พี่สาเห็นหรือเปล่า” เอิร์ธหันไปหาสา ที่เดินมาหาทั้งคู่ สาพยักหน้ารับครั้งนึง
   “ไอ้วิน...มันเป็นใครกันแน่วะ” เอิร์ธร้อง “หน้าแบบนั้นไม่ใช่ไอ้ไกด์ที่กูเคยรู้จักแน่ๆ พี่สาว่าไงพี่”
   “ก็.....” สาพยายามหาคำพูดบางอย่าง “นายให้พี่มาดูไม่ใช่เหรอ ว่าเค้าจะมีอาการหึงหรือว่าอะไรหรือเปล่า มันยิ่งกว่านั้นอ่ะ มันมากกว่าที่พี่กายหึงพี่นัทของนายซะอีกเอิร์ธ ก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าตัวว่าไงล่ะ”
   “นี่มึงพาพี่สาเค้ามาเพื่อสิ่งนี้เองเหรอวะ” วินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรัก “มึงทำเชี่ยไรลงไป มึงรู้ตัวป่ะเนี่ย”
   เอิร์ธชะงักไปครู่หนึ่ง
   “นี่ที่มึงกระแซะกุเหลือเกิน นี่มึงกะจะดูแค่นี้ใช่ป่ะ” วินว่า เอิร์ธตกใจขึ้นมาจริงซะแล้ว
   “เห้ยวิน ใจเย็นเห้ย” เอิร์ธถลาเข้ามาหาวินอีกครั้ง ก่อนจะดึงตัวเพื่อนกลับไปนั่งเก้าอี้ทันที วินกัดฟันกรอด “มันก็ใช่เว่ย แต่กูก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปซักหน่อย กูกับมึงก็ปกติป่ะวะ”
   “โกหกกูเหรอ” วินหันไปมองเอิร์ธทันที “มึงโกหกกูใช่ป่ะ”
   “โอเค...เออ....กูอยากเห็นอาการมันเว่ย ว่ามันหึงมึงหรือเปล่า” เอิร์ธว่า “ก็กูอยากรู้อ่ะ”
   “เพื่อไรวะ” วินถามอีก
   “เอ๊า ก็มึงกับมันแบบว่า.....ไม่ใช่ไง” เอิร์ธถามอีก วินส่ายหัว “อย่างน้อยกูก็จะได้มั่นใจ ว่าเออ ไอ้บาริสต้าสุดหล่อของมึงเนี่ย แม่งก็รักมึงจริง”
   “พิสูจน์ว่ารักจริงไม่จริงกะไอ้แค่เรื่องหึงไม่หึงเนี่ยนะ” วินร้อง “มันจะไม่เด็กไปหน่อยเหรอวะ”
   “หึง มันอาจจะเป็นอาการของความรักเด็กๆอย่างมึงว่า” เอิร์ธว่า “แต่ถ้าคนเราหึงกัน นั่นก็เป็นเครื่องหมายที่บอกว่า เขายังต้องการมึงอยู่”
   “แล้วไง” วินว่า
   “แล้วไง ประเด็นคือตอนนี้แม่งเกินคำว่าหึงไปแล้วไง” เอิร์ธว่า “ไอ้บาริสต้าของมึงแม่ง ดุชิบหาย แล้วมึงจะไปอยู่กับคนแบบนั้นเนี้ยนะ มึงิดดีแล้วเหรอวะ ถ้าเกิดวันนึงแม่งทำเชี่ยอะไรมึงขึ้นมา กูจะอธิบายกับพ่อมึงยังไงเนี่ย”
   วินมองหน้าเอิร์ธทันที
   “แล้วเมื่อกี้ก็อีก” เอิร์ธว่า “สรุปแม่งในตัวไอ้ไกด์เนี่ย มันเป็นใครอีกคนหรือเปล่าวะ ไอ้เชี่ยนั่นเป็นใคร แล้ว...สรุปแล้ว มึงรักใครวะ”
   “อะไรของมึงเนี่ย” วินถามต่อ
   “ก็ไอ้ไกด์ไง เมื่อกี้ มึงก็เห็นในสายตาของมันอ่ะ” เอิร์ธว่า “แล้วมึงจะรู้ได้ยังไง ว่าไอ้คนที่มึงรัก เป็นคนที่มึงรู้จักดีพอ”
   วินลุกขึ้นทันที เขารับคำถามนี้ไม่ได้ มันมากเกินไปสำหรับเขา ไกด์จะเป็นใครมันไม่สำคัญเลยซักนิด ไม่สำคัญเลย ชายหนุ่มจ้องหน้าเอิร์ธ
   “กูจะรักใครมันก็เรื่องของกูเอิร์ธ” วินร้อง “มึงอย่าเสือก”
   “เห้ย” เอิร์ธลุกขึ้นทันทีอีกเหมือนกัน “พูดงี้ก็สวยดิวะ กูเพื่อนมึงนะ”
   “เรื่องของมึงกับพี่มิก กูก็ไม่เคยยุ่ง” วินว่า “มึงก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของกูกับไกด์ มันไม่ใช่เรื่องของมึง”
   “เรื่องของมึงกับพ่อมึง มันก็ไม่ใช่เรื่องของกูเหมือนกันไอ้วิน” เอิร์ธว่ากลับเสียงแข็ง
   “แต่สิ่งที่มึงต้องการ มันจะเกิดขึ้นได้เพราะกู มึงอย่า....”
   พลั่ก!!!
   เอิร์ธต่อยหน้าวินเข้าอย่างแรง การกระทำนั้นถึงเอาฝูงชนรอบๆหันมามองทันที
   “ไอ้เชี่ยวิน” เอิร์ธร้องทันที “มึงคิดว่านั่นเป็นบุญคุณมากหรือไงหะ มึงจะเยอะไปละ ไอ้สัด”
   “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทั้งคู่เลย” สาถลาตัวเองเข้ามาห้าม “เอิร์ธไม่เอา พอ เลิกกันๆ”
   “กูไม่ว่าหรอก ถ้ามึงจะเลือกมัน แล้วหัดมีความรักซะบ้างอ่ะ” เอิร์ธพูดเสียงดังไม่สนใจคำของสาแต่อย่างใด “แต่ที่กูพูด ที่กูทำ ก็เพราะกูอ่ะเป็นห่วงมึง มึงจะไปอยู่ที่ไหน จะไปทำอะไร อยู่กับใคร กูต้องรู้ เพราะมึงก็ช่วยกูมา แต่ถ้ามึงจะมาอ้างเป็นบุญคุณกันแบบนี้ งั้นที่ตกลงกันไว้ก็เป็นอันเลิกกัน”
   วินมองหน้าเอิร์ธทันที
   “กูอ่ะ ออกจากเกมส์มึงได้ทุกเมื่อนะ มึงรู้เอาไว้ด้วย กูก็ไม่อยากเอาตัวเองไปขัดแย้งกับแฟนกู กับเพื่อนแฟนกู กับทุกคนในซูเม่หรอก ที่กูต้องตกอยู่สภาพแบบนี้ก็เพราะมึงนะไอ้วิน” เอิร์ธว่า “กูยกเลิก ถอยหลังกลับซะ ยังไงแฟนกูก็ไม่ทิ้งกูหรอก เค้าจะดีใจด้วยซ้ำ และที่กูเป็นอยู่ตอนนี้ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรแล้วด้วย กูถอยหลังกลับได้เสมอ มึงต่างหากไอ้วิน ถ้ากูถอยหลังซะ กูก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามึงจะเสนอหน้าอยู่ที่ซูเม่ต่อไปได้ยังไง ถ้ามึงยังมีหัวโขนของพ่อมึงอยู่”
   วินกัดฟันกรอด
   “มึงก็จะอยู่ใต้กางเกงพ่อมึงต่อไปไง” เอิร์ธตอบให้แทน
   ถึงตรงนี้วินถลาเข้าหาเอิร์ธทันที
   “หยุดนะ หยุดทั้งคู่เลย” สาตะโกนทันที พลางพลักตัววินออกไปจากเอิร์ธ “เอิร์ธหยุด วินหยุดนะ”
   “พี่ก็บอกน้องพี่ให้หยุดเห่าซะทีดิ” วินกัดฟันกรอด
   “แล้วมึงจะทำไงต่อไปวะ” เอิร์ธแค่นเสียงหัวเราะ “หนีพ่อมึง ออกไปอยู่กับคนที่มึงก็ไม่รู้ ว่าจริงๆแล้ว แม่งเป็นใคร เป็นคนยังไง ไว้ใจได้แค่ไหน....ถ้ามึงยังยืนยันจะเลือกแบบนั้น มึงไม่ต้องเอากูเสียบเกมส์แทนหรอก มึงออกไปได้เลย ตั้งแต่ตอนนี้ ออกไปเลยเว่ย แล้วที่ตกลงกันไว้ก็เป็นอันเลิกกัน”
   วินหายใจเข้าอีกครั้ง
   “เอิร์ธ” สาร้องเบาๆ พลางมองหน้าชายหนุ่ม “พี่ว่า.....หยุดเลย เรามาเที่ยวกันนะ และ.....ให้ตายสิ เอาไว้ให้เย็นลงกว่านี้ แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ทั้งคู่เลย”
   “ไม่” เอิร์ธและวินตอบพร้อมกันแบบเดิมอีกครั้ง สาทำหน้านิ่งทันที
   “งั้นมึงก็ทำแฟชั่นวีคไปคนเดียวแล้วกัน” วินพลักอกเอิร์ธออก ก่อนจะเดินหายไปในกลุ่มผู้คนทันที
   “วิน น้องวิน วิน” สาร้องเรียกตามทันที พลางจะรีบวิ่งตาม “วิน
   เอิร์ธจับเขนสาเอาไว้
   “เอิร์ธ ให้ตายสิ เค้าเป็นเพื่อนเธอนะ” สาหันกลับมาหาเอิร์ธ “พี่จะไม่พูดกับเธออีก ถ้าเธอเป็นคนไม่เห็นความสำคัญกับเพื่อนแบบน......เอิร์ธ”
   สาถึงกับหยุดชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของเอิร์ธตรงหน้า
   ชายหนุ่มน้ำตาไหลนองหน้าตัวเองเบาๆ พลางกำหมัดแน่น สาไม่เคยเห็นเอิร์ธร้องไห้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นน้ำตาของเขา
   “อย่าตามฮะ” เอิร์ธพูดเสียงสั่น
   “อ...เอิร์ธ” สาพยายามพูดอะไรบางอย่าง
   “มันไม่เข้าใจหรอก ว่าผมห่วงมันแค่ไหน” เอิร์ธพูด “ถ้ามันยังไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร มันก็ต้องไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
   “แล้ว.....เป้าหมายของเธอล่ะ” สาว่า “เป็นแบบนี้ซะมันก็เท่ากับว่า.....”
   “ครับ” เอิร์ธว่าพลางหลับตา “บางทีภาพที่ผมกับพี่มิก จะอยู่ด้วยกันที่นี่อย่างเหมาะสม มันอาจจะเป็นได้แค่ ความฝันก็ได้”
   “เอิร์ธ”
   สารู้ตัวเข้าซะแล้วว่า ปารีส มันหนาวกว่าสตูดิโอสาม Lovable Studio เมื่อปีก่อนหลายเท่านัก
   และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
...............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 37 Beauty and The Beast]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-03-2013 04:17:29
ตอนที่ 37 Beauty and The Beast

พ่อแม่ของเด็กน้อยชาวฝรั่งเศสร้องขอบคุณจีโอและเจนจิราเป็นการใหญ่อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟแฟนตาซีเรลล์ จุดที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ตั้งอยู่ เด็กชายยิ้มกว้างเมื่อได้พบกับพ่อและแม่ของเขาแม้ว่าจะเพิ่งจากกันมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
   ก่อนที่ครอบครัวคนแปลกหน้าจะเดินจากไป คุณแม่กล่าวกับจีโอและเจนจิรากล่าวแสดงความยินดีที่ทั้งคู่เป็นแฟนกัน แล้วใจดีกับเด็กแบบนี้ ถ้าทั้งคู่มีลูกก็คงน่ารักมากๆ จีโอหัวเราะร่วนทันที ขณะที่เจนจิราได้แต่ยิ้มพอเป็นพิธีเมื่อครอบครัวนั้นเดินผ่านไป
   และแล้วทั้งคู่ก็กลับเข้าสู่วังวนความกระอักกระอ่วน เจนจิราทำเป็นไม่มองหน้าจีโอ เมื่อเขามองกลับมาหาเธอพลางยิ้มกว้าง
   “คุณไม่ถือใช่ป่ะ” จีโอถามต่อ
   “ช่างมันเถอะ...” เจนจิราตอบห้วนๆ
   จีโอขำน้อยๆ ก่อนเดินไปที่เคาท์เตอร์ของแฟนตาซีเรลล์ทันทีพลางตีตั๋วรถไฟมาสองใบและเดินกลับมาหาเธอ
   “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้อยากมากับผมนักหรอก” จีโอพูดพลางยื่นตั๋วรถไฟให้ตรงหน้าเธอ “คุณแค่ไม่อยากสุงสิงกับใครเป็นกลุ่มใช่ไหมล่ะ”
   เจรจิราหันมามองหน้าจีโอ ไม่พูดตอบอะไร แม้ว่าจีโอจะพูดตรงประเด็นอย่างที่เธอต้องการเอามากๆเลยทีเดียว
   “ถ้าไม่รังเกียจ นั่งรถไฟชมที่นี่ไปพลางๆก่อนจะถึงเวลาที่น้องๆของคุณนัดเอาไว้ กับผมไหมครับ” จีโอกล่าวกับเธอ ด้วยใบหน้าที่สุภาพเอามากๆ เจนจิรามองเขาอย่างประเมิณค่าครั้งหนึ่ง มองอยู่อย่างนั้นนานมากทีเดียว
   “คุณยังไม่ไว้ใจผมอีกเหรอ” จีโอถาม
   เจนจิราไม่ตอบอะไร ได้แต่หยิบเอาตั๋วในมือของเธอเดินไปต่อคิวทันที
   สิบห้านาทีต่อมาจีโอและเจนจิราอยู่บนขบวนรถไฟที่กำลังแล่นตัดผ่านไปรอบแฟนตาซีแลนด์ นำพาทั้งคู่เที่ยวชมสวนต่างๆจากเทพนิยายดีสนีย์คลาสสิค ที่รายล้อม รวมถึงเครื่องเล่นเบาๆจากเหล่าเจ้าหญิงดีสนีย์ เจนจิรามองภาพต่างๆที่ไหลผ่านตัวเองไป มันกำลังสะท้อนมุมมองอะไรบางอย่างในตัวของเธอ
   เมื่อ 5 ปีก่อน เธอเคยมาเที่ยวดีสนีย์แลนด์แล้วครั้งหนึ่ง มิหนำซ้ำรถไฟสายแฟนตาซีเรลล์ก็เป็นขบวนที่เธอกับกายเคยนั่งชมวิวกันมาก่อนด้วย เจนจิรามองผ่านไปยังปราสาทของเจ้าชายอสูรที่อยู่เยื้องออกไป หญิงสาวถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันไปมองจีโอที่กำลังมองเธออยู่พร้อมรอยยิ้ม เจนจิราขมวดคิ้วใส่ชายหนุ่ม
   “คุณคิดอะไรอยู่เหรอ” จีโอถามขึ้น
   “มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณหรือเปล่า” เจนจิราตอบห้วนๆ
   “โธ่คุณ พูดแบบตัดสัมพันธ์กันเลยนะเนี่ย” จีโอว่า “ผมถามคุณจริงๆเหอะ นี่คุณสนุกมั่งไหมครับ มาเที่ยวเนี่ย”
   เจนจิราถอนหายใจเสียงดัง
   “ค่ะ สนุกดี” เธอตอบ
   “จริงเหรอ” จีโอถามอีก “ไหงหน้าคุณยังเป็นแบบว่า....”
   จีโอชี้ไปยังรูปปั้นเจ้าชายอสูรที่อยู่ไกลออกไป
   “นี่คุณ” เจนจิราร้อง
   “ก็มันจริงนี่” จีโอว่า “ทำตัวให้ร่าเริงหน่อยสิคุณ ไหนว่าเรามาผูกมิตรทางธุรกิจกันไม่ใช่เหรอ ไหงคุณไม่เห็นจะถามอะไรผมบ้างเลย ผมชวนคุณคุย คุณก็ไม่ค่อยอยากคุย”
   “งั้นฉันขอถามคุณตรงๆเลยแล้วกัน” เจนจิราว่า “คุณต้องการอะไรกันแน่”
   “โห คำถามกว้างจัง ชีวิตก็ต้องการอะไรหลายอย่างนะ”จีโอว่า "ตีวงให้แคบหน่อยได้ไหมคุณ”
   เจนจิราถอนหายใจพลางส่ายหน้า
   “คุณนี่มัน” เจนจิราพูดเสียงเหนื่อยหน่าย “เพราะงี้ไง ฉันถึงไม่อยากคุยกับคุณ”
   “เห้ยคุณ.....อยู่ดีดีคุณไปถามใครว่า คุณต้องการอะไรกันแน่ ใครมันจะไปตอบล่ะ” จีโอว่า “ไม่ต้องพูดถึงคนที่มีลับลมคมนัยหรอก เอาแค่ผมที่จริงใจสุดๆนะ ก็ตอบไม่ถูก”
   “จริงใจเหรอคะ” เจนจิราทำเสียงสูง “ฉันไม่เห็นว่าคุณจะจริงใจเลยซักนิด”
   “ไหงคิดงั้นอ่ะ” จีโอว่าต่อ
   “ก็คุณน่ะ.....” เจนจิราอ้าปากค้าง เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง จีโอเลิกคิ้วกว้าง “โอ๊ย ให้ตายสิ ฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”
   “มานั่งรถไฟเล่นกับผมครับ” จีโอตอบเธอ
   “คุณจีโอ” เธอร้องเสียงดัง ทำเอาเด็กๆหันมามองทั้งคู่ทันที เจนจิรามองไปรอบๆ อย่างเขินอาย ก่อนจะหลับมานั่งทำหน้านิ่งตามเดิม จีโอขำเบาๆ
   “เอางี้เจน ผมว่านะ คุณน่าจะลอง ลดเกราะตัวเองลงดูบ้างนะ” จีโอว่า พลางวางแขนโอบตัวเจนจิราอย่างทำเป็นไม่จงใจ
   “อะไรนะ” เจนจิราว่า
   “ก็ลดเกราะตัวเองลงไงครับ ผมเข้าใจคุณนะ ว่าถ้าเกิดว่าเรากำลังเผชิญกับอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ คนเราก็มักจะสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง” จีโอว่า “แต่ผมอ่ะ ก็เคยบอกคุณแล้ว ว่าผมบริสุทธิ์ใจจริงๆ ที่เข้ามาลงทุนในซูเม่ สี่ล้านยูโรที่ผมลงทุนไปน่ะ มันไม่พอให้คุณเชื่อใจเลยหรือไงครับ”
   “แต่คุณน่ะ โผล่เข้ามาในทางที่ฉันไม่....”
   “ทางไหนเหรอ” จีโอถามต่อ
   “คุณรู้ดีอ่ะ”
   “รู้ว่า?....”
   เจนจิรากำลังจะเถียงใส่จีโอ
   “คุณคิดไปเองอ่ะ” จีโอพูดตัด “ถ้าคุณคิดว่าการที่วินเป็นคนติดต่อผมมา มันเป็นทางที่ไม่โปร่งใส ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ใช่วิน”
   เจนจิราเงียบทันที
   “ผมแบไต๋คุณหมดแล้วนะเจน โปรไฟล์ธุรกิจผมทุกอย่าง คุณก็ได้อ่านกันหมดแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าคุณจะระแวงผมไปอีกทำไม” จีโอว่า
เจนจิรามองดวงตาของจีโอที่มองมาหาเธอ เจนยังคงเงียบสนิท
“ผมเป็นคนเข้าหาคุณก่อนเลยนะ” จีโอว่า “ถ้าผมมีเล่ห์ล่ะก็ เรื่องอะไรผมจะเอาตัวเองมาให้คุณเชือดล่ะเจน”
   เจนจิราหายใจเข้าทันที
   “ฉันเป็นห่วงธุรกิจของฉันก็เท่านั้น” เจนจิราว่า
   “แต่ผมว่าคุณปิดกั้นตัวเองมากกว่า” จีโอพูดต่อ
   รถไฟเลี้ยวมาถึงสถานีปลายทางก่อนจะหยุดนิ่งลง จีโอเดินลงจากโบกี้ พลางยื่นมือไปหาเจนจิรา เพื่อรับตัวเธอลง เจนจิรามองมือของจีโออยู่ครู่หนึ่ง
   “คุณจะเชื่อไม่เชื่อไม่รู้นะ แต่ผมไม่ใช่เจ้าชายอสูรหรอกนะ” จีโอพูด “ไม่ต้องหวาดกลัวผมขนาดนั้น ผมไม่ทำอะไรคุณแน่ๆ”
   “เจ้าชายเชียว” เจนจิราแค่นเสียงหัวเราะ
   “ใช่” จีโอว่า “คุณก็จะได้เป็นโฉมงามไง”
   เจนจิรายิ้มให้จีโอทันที ก่อนจะจับมือของเขาแล้วก้าวลงจาโบกี้รถไฟ ทั้งคู่ลงมายืนที่ชานชาลาปลายทาง มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
   “ขอบคุณค่ะ” เจนจิราพูดขึ้นมาก่อน
   “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” จีโอว่า
   “คือฉันหมายถึง......ที่คุณบอกว่า...คุณบริสุทธิ์ใจ” เจนจิราว่า
   “อ๋อ....” จีโอยิ้มกว้าง พลางเกาหัวตัวเอง “ไม่รู้สิ...ผมก็ไม่ได้พยายามจะทำตัวบริสุทธิ์ใจให้คุณหรอกนะ”
   เจนจิราหัวเราะกับท่าทางนั้น หรือว่ามันจะจริงอย่างที่จีโอพูด เธออาจจะมีเกราะอยู่มากเกินไป
   “ฉันว่าเรา...ไปหาอะไรทานกันมั้ยคะ” เจนจิราเอ่ยปาก
   “ดีเลยครับ ผมเหล่ร้านสเต็กตรงนั้นมาพักนึงละ” จีโอว่าพลางชี้ไปตรงหน้า เจนจิราตลกกับท่าทางนั้นจริงๆ หมอนี่นี่มันยังไงกัน
   “ค...ค่ะ” เจนจิราว่าพลางอมยิ้มกับท่าทางซื่อๆของจีโอ
“งั้นไปกัน” จีโอจับมือเธอ พลางออกเดินทันที เจนจิรามองมือที่จีโอจับเธออย่างตกใจ แม้ว่าจะเธอจะยอมก้าวเดินไปพร้อมกัน
.............
   เต้ง!!!
   ค้อนปอนด์ขนาดหนักถูกทุบลงแป้น ขณะที่ลูกสีแดงเด้งขึ้นไปตีระฆังด้านบนเสียงดังลั่น ไกด์วางค้อนลงทันทีพลางหอบหายใจ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่รับของรางวัล ทำเอาเจ้าหน้าที่ถึงกับงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สเตลล่าจึงออกตัวรับของรางวัลแทน และรีบวิ่งตามไปหาไกด์ทันที
   “เคลวิน นี่ยูคงไม่ได้จะมาดีสนีย์แลนด์แค่มาตีค้อนหรอกนะ” สเตลล่าว่า
   ชายหนุ่มหันกลับมามองหน้าเธอ ใบหน้าของเคลวินกำลังโกรธจัด สเตลล่ารู้ดี นี่เป็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคยดีอยู่แล้ว
   “ขอร้อง หยุดบ้าซะที” เธอว่า
   ไกด์ส่ายหน้า ก่อนย่างเท้าเข้าหาตัวเธอ
   “การที่เราได้กัน มันก็ไม่ได้หมายความว่า ยูจะเป็นเจ้าของผมหรอกนะสเตลล์” ไกด์พูดเสียงเย็นชา
   สเตลล์ปาตุ๊กตาใส่หน้าไกด์ทันที ชายหนุ่มหันหน้าหนีไปตามแรงโยน
   “Suck it” สเตลล์สบถ “ไอรู้ดีต่างหาก ว่ายูเป็นคนยังไง แล้ววินจะต้องเจอกับอะไร”
   “ก็เลยทำตัวเป็นแม่พระ ลุกขึ้นมาปกป้องเขางั้นเหรอ” ไกด์ว่า “เธอรู้หรือไง ว่าวินเป็นคนยังไง”
   “มันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ยูเป็นใครหรอก” สเตลล่าว่า “ไอจะไม่ยอมให้วินต้องมาเจออะไรที่ชั่ว แบบที่ไอเคยเจอ”
   ไกด์กัดฟันกรอด
   “ยูแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งทำให้ยูเสียเขาไปมากขึ้น” สเตลล่าว่า “หยุดบ้าได้แล้ว ถ้ายูรักเขาจริงล่ะก็ ฉันขอ อย่าทำร้ายเขา”
   ไกด์หลับตาพลางมองหน้าสเตลล่าใหม่อีกครั้ง
   “ขอร้องสเตลล์ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะขอร้อง” ไกด์ว่า “ผมแค่....ผมแค่อยากเริ่มต้นใหม่ ผมไม่อยากสูญเสียอีกแล้ว ขอร้อง ยูอย่าดึงผมกลับไปเป็นคนเดิมอีก”
   “นั่นมันขึ้นอยู่กับตัวยู ไม่ใช่ไอ” สเตลล่าว่า “แต่ยูจะเปลี่ยนเหรอ ใช่กับสิ่งที่ยูทำกับเอิร์ธและวินเมื่อกี้เหรอ”
   “สองคนนั้นกำลังกำลัง....”
   “เขาเป็นเพื่อนกัน” สเตลล่าว่า “ไอยืนยันได้เลยว่าเป็นแค่เพื่อน”
   ไกด์กัดฟันมองหน้าเธอ
   “วินก็บอกนายไปแล้ว ว่าเอิร์ธเป็นเพื่อนรักของเขาตั้งแต่ไฮสคูล” สเตลล่าว่า “ยูไม่เชื่อเค้าเหรอ”
   ไกด์เงียบสนิท
   “เย็นลงซะเคลวิน นายคงไม่อยากปล่อยอสูรในตัวนายออกมาทำร้ายวินหรอกใช่ไหม” สเตลล่าว่า “เย็นลง แล้วกลับไปคุยกับทั้งคู่ใหม่ สองคนนั้นไม่มีอะไรหรอก”
   “เขารู้ดีอ่ะ ว่าผมรู้สึกยังไง” ไกด์ว่าพลางกัดฟัน “ผททนไม่ได้หรอก”
   “รู้เหรอ รู้ว่า?” สเตลล่าถามไกด์ทันที เขามองหน้าเธอพลางเงียบสนิท “วินไม่รู้อะไรเลยเคลวินฉันจะบอกให้ สิ่งสิ่งเดียวที่วินมีให้ยูคืออะไรรู้ไหม”
   ไกด์ยังคงเงียบ
   “ความเชื่อใจไงล่ะ” สเตลล่าว่า “เขาเชื่อใจยู ทั้งๆที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายูเป็นใคร”
   “ฉันก็คือฉัน” ไกด์ว่า
   “แล้วใครคือยูล่ะ” สเตลล่าว่า “สำหรับยู อาจจะไม่สำคัญ แต่กับวินมันอาจจะสำคัญมากสำหรับเขาก็ได้นี่”
   “เขาไม่แคร์หรอกว่าผมคือใคร” ไกด์ว่า “เขาควรจะเชื่อใจผม ที่ผมเป็นแบบนี้”
   “เหรอ คิดงั้นเหรอ” สเตลล่าว่า “กี่ครั้งแล้วที่ตัวตนที่จับต้องไม่ได้ของยูทำให้วินเจ็บปวด”
   ไกด์นิ่งสนิททันที
   “ยูเป็นใครมาบ้างสำหรับเขาเคลวิน” สเตลล่าว่า “ยูเป็นก้อง ยูเป็นไกด์ ยูเป็นเคลวิน สามคนนี้ไม่มีใครเหมือนกันเลย สรุปแล้ว ยูคือใครอ่ะ วินกำลังเชื่อใจใครอยู่เหรอเคลวิน ตอบไอทีสิ”
   ชายหนุ่มก้มหน้าลงกับตัวเอง
   “เขาวิ่งหนียู เขาลับมาหายู เขาต่อสู้กับคนอื่นเพื่อยูมาตลอดนะ” สเตลล่าว่า “ฉันเคยเตือนเขาแล้ว ว่าอย่าถลำลึกไปมากกว่านี้ เพราะถ้ายูยังเป็นแบบนี้ เหตุการณ์วันนี้คือสิ่งที่เขาจะได้รับ ยูจะเป็นอากาศสำหรับคนรอบตัวของเขา และสิ่งที่วินต้องสู้มาก็จะสูญเปล่า สิ่งที่เขายอมแลกเพื่อให้อยู่ด้วย จะจับต้องไม่ได้อีกเลย”
   “ยูพูดอะไรของยู” ไกด์ว่า “วินต่อสู้อะไรเพื่อผมงั้นเหรอ”
   “อ้อ...ใช่สิ เขาไม่เคยบอกยูเลยงั้นสินะ” สเตลล์ว่าพลางส่ายหน้า
   “บอก...บอกอะไร” ไกด์ว่า
   “ยูรู้หรือเปล่า ว่าเป้าหมายของวินที่ปารีสตอนนี้คืออะไร” สเตลล์ถาม
   “แฟชั่นวีค...” ไกด์ตอบ “เขากำลังทำงานให้สำเร็จ เพราะเหตุผลทางบ้าน ผมเอ่อ...คิดว่านะ”
   “หึ” สเตลล่าเมินหน้าหนีทันที ไกด์มองหน้าเธอก่อนจะจับตัวเธอทันที
   “รู้อะไรก็บอกมา บอกผมมาเดี๋ยวนี้สเตลล์” ไกด์ทำเสียงเข้ม พลางเขย่าตัวเธอ สเตลล์จับไกด์สะบัดออก
   “เนี่ยน่ะเหรอ คนที่วินจะอยู่ด้วย” สเตลล่าแค่นเสียง “ยูมันก็เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง”
   “อะไรนะ” ไกด์ว่า
   “ยูไม่รู้เรื่องอะไรเลย วินไม่ได้แค่จะทำแฟชั่นวีคเพราะที่บ้าน แต่เขาต่อสู้กับมัน” เสตลล่าว่าเสียงดัง “วินกำลังทำทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากทางบ้านต่างหาก นั่นคือสาเหตุที่เขาต้องทำงานร่วมกับเอิร์ธ นั่นคืดสาเหตุที่เขาดึงตัวจีโอเข้ามา”
   “หลุดออกจากทางบ้านเหรอ......เพื่ออะไร” ไกด์ว่าเสียงดัง “เขาจะต้องลำบากมากนะ ครอบครัวของวินมีทุกอย่างที่จะทำให้เขาจะสบายได้มากกว่านี้และ.....”
   “ก็เพราะยูไงล่ะ” สเตลล่าร้อง “เขาจะออกมาใช้ชีวิตอยู่กับยูไง”
   “อะไรนะ” ไกด์พูดเสียงวสั่น “ม...เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ”
   “ให้ตายเถอะเคลวิน” สเตลล่าร้อง “ยูรู้สึกยังไงกับวินกันแน่”
   “เดี๋ยวนะ....ผมงงไปหมดแล้ว สเตลล์คือ.....”
   “ใช่...เขารักยู.....เคลวิน” สเตลล่าตอบ “ยูก็รู้ดีอยู่แก่ใจ....เขาเชื่อใจยู เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้อิสระ จากกรอบทุกอย่างของตัวเอง แล้วเขาก็คิดว่ายู จะเป็นที่ที่เขาจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยที่นี่ต่อไป...ที่ปารีส”
   “อะไรกัน เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้แลย....” ไกด์ว่า “ผม...ผมไม่รู้...ผม......เขาทำแบบนี้ทำไมอ่ะ....ไม่จำเป็นเลย...เขาอยู่กับผมไม่ได้หรอก มัน....ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองตอนนั้น ผมก็แค่คิดว่า....”
   “อะไรนะ” สเตลล่าร้อง “ไม่จำเป็นงั้นเหรอ ยูแค่พูดไปอย่างนั้นเอง...อะไรนะ”
   “ใช่คือผม...ผมเคยพูดกับวินว่า...เป็นไปได้ไหม ถ้าหลังจากเขาขบโปรเจ็ค จะอยู่ด้วยกันต่อ” ไกด์พูดกับสเตลล่า “คือ...ผมก็แค่.....ให้ตายสิ นี่เขาทำจริงๆงั้นเหรอ”
   สเตลล่าหลับตาลงทันที
   “นี่วินทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรกัน” สเตลล่าพูดเสียงสั่น “ฉันเคยบอกเขาแล้วว่าอย่า เพราะฉันรู้ ว่ายูจะเป็นแบบนี้”
   ไกด์มองหน้าเธอ
   “พูดอะไรของเธอ” ไกด์ถามขึ้น
   “You’re an asshole” เธอตะโกนทันที “Fucking asshole Kevin.”
   ไกด์ยืนนิ่ง
   “ให้ตายสิ เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อจะมาอยู่กับคนที่พูดไปอย่างนั้นเอง” สเตลล่าว่าพลางเดินทิ้งห่างออกจากไกด์ “ฉันต้องทำอะไรซักอย่าง เขาจะมาอยู่กับคนแบบนี้ไม่ได้หรอกมัน....”
   “ไม่” ไกด์ร้องทันที ”ยูไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เสตลล์”
   “ไม่ทำเหรอ” สเตลล์ร้อง “แล้ววินก็จะโดนทำลายทุกอย่างเหมือนที่เคลลี่โดนงั้นเหรอ ไอไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นหรอก วินมีบุญคุณกับไอ ไอได้เป็นนางแบบอาชีพก็เพราะเขา ไอจะไม่ยอมให้ไอ้งี่เง่า ชั่วร้ายอย่างยูไปทำลายชีวิตที่เหลือของเขาหรอก”
   “ไม่ ยูไม่เข้าใจ”
   “เขาทำทุกอย่างมามากเกินไปแล้ว เขาต้องทนกับทุกอย่างมามากไป” สเตลล่าว่า “ยูมันเป็นคนไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรให้ต้องทำทุกอย่างให้ขนาดนั้นเลย ยูมันก็แค่....”
   “ผมรักเค้า” ไกด์ร้องทันที สเตลล่าหยุดเดินทันที ก่อนจะหันมามองไกด์อีกครั้ง “ผมรักเค้าสเตลล์ นั่นคือสาเหตุที่ผมขอให้เขาอยู่กับฉันตั้งแต่แรก”
   สเตลล์มองหน้าไกด์
   “ผม ผมก็ไม่รู้อ่ะโอเค้” ไกด์ว่า “ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นไปได้แค่ไหนแต่..ตอนนั้นผมไม่แน่ใจ ว่าผมอยากให้เขาอยู่ด้วยเพราะเห็นเป็นเคลลี่หรือเปล่าแต่ตอนนี้....ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วสเตลล์ วินคือคนที่ผมอยากให้อยู่ด้วย ไม่ใช่เคลลี่”
   สเตลล่าส่ายหน้า
   “ไม่หรอก ยูโกหก” สเตลล่าว่า “ยูจะรักเขาได้ยังไง ยูเป็นใครก็ไม่รู้”
   “ผมไม่ใช่เคลวินคนเก่าอีกแล้วสเตลล์” ไกด์พูดเสียงหนักแน่น “ผมคือคนใหม่ คนที่คุณเองก็ไม่รู้จัก”
   สเตลล์มองหน้าไกด์ทันที
   “บอกไอตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร” สเตลล่าว่า “เขาเชื่อใจยูเต็มร้อย แต่ยูกลับไม่เชื่อใจเขาเลย ยูไม่เชื่อด้วยซ้ำ ว่าเขาจะอยู่กับยูได้ตามสัญญา นับประสาอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ยูไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเค้าก็รักยู”
   ไกด์มองไปยัทางที่เพิ่งจากมา
“นายคิดว่ามันสำคัญงั้นเหรอ ว่าฉันคือใคร” ไกด์ว่า “มันก็มีสิ่งหนึ่ง ที่นายเองก็ไม่เคยเห็นว่ามันสำคัญเหมือนกันนะวิน ว่าฉันคือคนที่รักนายไงล่ะ”
“นั่นเพราะยูไม่เคยบอกเค้า” เสตลล์ว่า “เขาไม่รู้”
ไกด์ออกวิ่งทันที ขณะที่หอนาฬิกากำลังตีบอกเวลาอย่างเร่งร้อน
ไกด์ไม่รู้เลยว่า วินกำลังก้าวเท้าออกจากดีสนีย์แลนด์ไปเพียงลำพัง ด้วยความหวังที่ริบหรี่ลง แม้ว่าไกด์ก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกัน
.........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 37 Beauty and The Beast]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-03-2013 04:47:48
เละเทะ วุ่นวาย ไปล่ะน่ะ

พูดแล้วทำไม่ได้ ไมีรุ้จะพุดไปทำไม ..? เงียบปากไปดีกว่า

 :z2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 37 Beauty and The Beast]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 04-03-2013 17:31:49
เจอประโยคนี้..."ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองตอนนั้น"

 :z6:

อยากโดดขาคู่ใส่มากกกกกก
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-03-2013 04:20:55
ตอนที่ 38 Alone

   เอิร์ธนั่งนิ่งอยู่ด้านหน้าของปราสาทดีสนีย์สีชมพูสด เป็นอันว่าทริปท่องเที่ยวอันสวยหรูของเขาได้จบลง ในหัวสมองเขาตื้อไปหมด เขากำลังตกใจเรื่องของวิน เพื่อนรักของเขาเปลี่ยนไปมากจนน่าตกใจ และที่น่ากลัวกว่านั้น เขาไม่คิดว่าเพื่อนของเขาจะเปลี่ยนไปได้มากถึงขนาดนี้
   ตอนแรก เขาก็รู้สึกดี ที่ไอ้ลูกคุณหนูสุดแสบสุดบ้าลูกคู่ของเขา จะรู้จักสงบลงและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้ มันต่างไปจากนั้นมาก วินกำลังท้าทางทุกอย่างในชีวิตของตัวเอง ให้กับสิ่งที่เอิร์ธเห็นได้ชัดเจนว่าอันตรายเอามากๆ วินกำลังเชื่อใจคนแปลกหน้า ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
   มันก็ถูกที่ข้อตกลงระหว่างเขากับวินจะเดินหน้าต่อไปด้วยดี และเขาก็ยินดีเข้าร่วมด้วยอย่างเต็มที่ แต่ลองมันมาเป็นแบบนี้เข้าแล้ว เขาก็ไม่อยากเห็นเพื่อนตัวเอง ไปเจออะไรที่เสี่ยงเหมือนกัน การใช้ชีวิตอยู่ในปารีสโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลย ถอดตัวเองออกจากตระกูล โสภณนภา ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ โดยที่เขาจะต้องนั่งอยู่ที่ซูเม่ต่อไปได้อย่างที่ตั้งใจ แต่ถ้าหากเขาจะต้องเผชิญหน้ากับพ่อของวินเพียงลำพัง เขาไม่เอาด้วยแน่ๆ
   สาเดินมานั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่ม ก่อนจะถอนหายใจ เอิร์ธหันไปมองสาพักนึง ก่อนจะกลับมาก้มหน้าลงกับตัวเอง
   “หายไปไหนมาล่ะครับ” เอิร์ธถามขึ้น
   “เปล่า” สาตอบ “พี่อยู่แถวนี้ตลอดอ่ะ นายต่างหากเอิร์ธหายไปไหนมา”
   เอิร์ธหันไปมองพี่สาทันที
   “พี่หมายถึง ตลอดเวลาที่ผ่านมา” สาว่าต่อ
   “ผมก็ไม่ได้ไปไหนไกลนะ” เอิร์ธตอบเธอ “ผมก็เดินตามพวกพี่มาติดๆนั่นแหละ”
   “งั้นเหรอ” สาว่า “รู้หรือเปล่า ว่ามิกเค้าเป็นห่วงเรามาก กับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่”
   “รู้คับ” เอิร์ธตอบ “เราคุยกันแล้วพี่ ผมขอให้เขาเชื่อใจในสิ่งที่ผมทำอยู่”
   “ทำไมถึงคิดว่าจะสำเร็จ” สาถามขึ้น “ตอนแรกน่ะ”
   เอิร์ธมองหน้าเธอทันที
   “ผมไม่ชอบพี่เจน” เอิร์ธพูดเสียงดัง สาถึงกับผงะเล็กน้อย “ผมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น กับพี่กาย แล้วก็พี่นัท ผมไม่อยากให้พี่เจนเข้ามาบงการ เรื่องของผมกับพี่มิก ผมกับพี่มิก เราจะหนีออกจาก”
   “Loveless Society” สาต่อคำพูดของเอิร์ธ “ก็เลยทำให้เธอมาโผล่ที่ปารีสเนี่ยนะ”
   “ครับ.....ผมจะไม่กลับแล้ว ถ้าไม่มีพี่มิกไปด้วย ผมจะไปกับเขาทุกๆที่” เอิร์ธว่า “ผมจะทำ”
   “ก็ไม่เห็นต่างอะไรกับวินเลยหนิ” สาว่า
   “ต่างครับ มันไม่เหมือนกันพี่สา” เอิร์ธว่า “ผมกับวิน เราสองคนมีเป้าหมายต่างกัน”
   “ยังไงเหรอ” สาถามอีก
   “ผมอยากอยู่กับพี่มิกครับ เขาเป็นคนทำให้ผมเป็นผมได้อย่างทุกวันนี้ ผมจะไม่พูดอะไรน้ำเน่าหรอกว่า ผมขาดเขาไม่ได้แต่มันก็ใช่ครับ ผมจะอยู่กับเขาที่นี่” เอิร์ธว่า “หนทางที่ผมจะอยู่กับเขาให้ได้ ก็คือได้ทำงานที่เดียวกับเขาที่นี่ สายเดียวกัน เหมือนพี่ เหมือนพี่กาย เหมือนพี่นัท”
   “แล้วก็เหมือนกับเจน” สาว่า
   เอิร์ธส่ายหน้าทันที
   “พี่สาก็ไม่ชอบเค้าไม่ใช่เหรอ” เอิร์ธถามต่อ “พี่เคยบอก”
   “พี่ไม่เคยพูดว่าพี่ไม่ชอบเจนนะ” สาว่า “เจนทำให้พี่หัวปั่นได้ก็จริง แต่ก็เป็นเพราะเค้า เราทั้งหมดถึงมาอยู่ที่นี่ อยู่ตรงจุดนี้ เจนเป็นทั้งศัตรูและก็เพื่อนของพี่ในเวลาเดียวกัน”
   “พี่ว่าอะไรนะ” เอิร์ธถามอีก
   “สาบานต่อพระเจ้าสิ ว่ายัยนั่นจะได้ยินที่ฉันพูดเมื่อกี้ไม่ได้เป็นอันขาด” สาพูดกับตัวเอง “เอิร์ธ สิ่งที่เธอกบวินมันไม่ได้ต่างกันเลย เธอทั้งคู่แค่จะทำตามหัวใจตัวเอง สิ่งที่ต่างกันคือสิ่งที่อยู่ในนี้ต่างหาก”
   สาชี้ไปที่หัวใจของเอิร์ธทันที
   “เธออย่าตัดสินคน เพียงแค่เพราะสิ่งที่เธอเห็น เธอต้องมองให้ลึก ให้เห็นในสิ่งที่เขาทำ” สาว่า
   “แต่คนที่ไอ้วินเลือก มันน่ากลัวจะตายพี่สา พี่ก็เห็น” เอิร์ธว่า
   “ใช่พี่เห็น แต่พี่ไม่ตัดสินวิน หรือตัดสินผู้ชายคนนั้น” สาว่า “เอิร์ธ มิกเค้าก็รักนายทั้งที่นายน่ะมันยอดตัวแสบแห่งยุคเลยนะ”
   สาขยี้หัวเอิร์ธ ที่ทำเป็นก้มหนีมือของเธอ
   “เขายังไม่เคยตัดสินมิก เพียงเพราะสิ่งที่เขาเลือกเลย” สาว่า “เจนเองก็ไม่เคยตัดสินนัท สิ่งที่กายเค้าเลือกเหมือนกัน”
   “แต่พี่เจนก็...”
   “ถ้าไม่ได้เจน กายกับนัท อาจจะไม่ได้รักกันก็ได้นะ” สาตอบ “บางทีเรายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเอิร์ธ เจนอาจจะดูเป็นอย่างนั้นๆ แต่เขาไม่ใช่คนไม่ดีหรอก”
   “ทำไมพวกพี่ถึงต้องทำอะไรให้ซับซ้อนด้วยอ่ะ พี่จะจริงใจกับความรู้สึกตัวเองบ้างไม่ได้หรือไงกัน ทำให้อะไรๆมันง่ายๆ” เอิร์ธร้อง “เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงอยากหนีออกมา”
   “โลกนี้ซับซ้อนเอิร์ธ ถ้าทุกอย่างอ่านง่ายหมด เราคงทำดีไซน์ง่ายขึ้นเยอะ” สาว่า “พี่ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ขอโทษเอิร์ธ ความจริงมันไม่ใช่ Loveless Society อาจจะเลวร้ายสำหรับเธอ แต่นั่นคือโลกแห่งความจริง”
   “ผมจะรู้ได้ยังไงอ่ะ” เอิร์ธว่า
   “คนที่เธอจะรู้ได้ทันที ว่าเขารู้สึกยังไง โดยไม่ต้องพยายามเลยคือใครรู้ไหม” สาถาม เอิร์ธมองหน้าเธอ ”คนที่เธอรักไง”
   เอิร์ธมองหน้าสาด้วยสายตาที่เบิกกว้าง
   “เธอรู้ว่าพี่ความจริง มิกไม่ใช่อ่านง่าย ทั้งหมดสามคน พี่นัท พี่ และมิก มันเป็นคนที่ซับซ้อนที่สุด” สาว่า “บางครั้งพี่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันคิดอะไร จนได้พูดคุยหรือใกล้ชิดกับมันมากๆจริงๆ และตอนนี้คนที่รู้ใจมันที่สุดก็มีเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว ที่ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่นัท....แต่เป็นเราเอิร์ธ เรารู้ใจมิกดีกว่าพี่สองคนซะอีกในบางเรื่อง”
   เอิร์ธอมยิ้มน้อยๆให้สา
   “มันแน่นอนอยู่แล้วครับ” เอิร์ธว่าพลางมองไปตรงหน้าพลางยิ้มกับตัวเอง “ผมเข้าใจพี่มิกนะ ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นคนซับซ้อน อินดี้อ่านยากแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าพี่มิกทำอะไรให้ผมบ้างก็พอ”
   “เพราะจริงๆแล้ว บางทีคนเราไม่สนหรอกว่าคนที่เรารักจะเป็นใคร ดีหรือร้ายแค่ไหน แต่เราสนแค่ว่า เขาทำอะไรให้เราบ้างก็พอ” สาทวนคำพูดของเอิร์ธเองครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มมองหน้าเธอ เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก
   “พี่สา...” เอิร์ธเรียกชื่อเธอเบาๆ
   “พี่ว่า เรากับวิน ก็ไม่ได้ต่างกันเลยอยู่ดีนั่นล่ะ” สาว่าทันที
   “แต่ว่า....” เอิร์ธขมวดคิ้วกับตัวเอง
   “ไม่อยากให้พี่เจนบงการชีวิตเรา ไหงเราถึงจะไปบงการชีวิตวินเค้าซะเองล่ะหึ” สาว่ากลับ
   “มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนครับ” เอิร์ธว่า “ผมไม่ได้จะไปบงการชีวิตมันหรอก แค่ชีวิตมันที่กำลังเลือก อาจจะกำลังเพิ่มความเสี่ยงให้กับผมน่ะ”
   “เรื่องคุ้นจัง” สาว่า “เหมือนเคยเจออะไรทำนองนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย”
   “แต่ไม่ต้องทำอะไรแล้วพี่สา” เอิร์ธว่า “เป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว ถึงสุดท้าย สิ่งที่ผมทำมันอาจจะหมดไปก็ได้ แต่พี่มิกเค้าก็ยังรักผมเหมือนเดิมนั่นแหละ”
   “ถ้านายไม่ลองทำสิ่งที่นายคิดว่าทำไม่ได้แน่ๆให้ผ่านไป หลังจากนี้ นายจะไปทำอะไรได้ล่ะ” เสียงอันเย็นชาดังขึ้นตรงหน้า เอิร์ธและสาเงยหน้าขึ้น ก็พบกับร่างๆหนึ่งที่หอบเหนื่อยยืนอยู่ เอิร์ธจ้องหน้านั้นที่กำลังมองเขาอย่างจริงจัง
   “นายว่าอะไรนะ” เอิร์ธถามทันที
   “ถ้านายยอมแพ้ซะตอนนี้ นายก็จะก้าวต่อไปไม่ได้อีกเลย” ไกด์พูดต่อ
   เอิร์ธยืนขึ้นทันที สาที่มองทั้งคู่อย่างตื่นๆ
   “นายสอนชั้นเรอะ” เอิร์ธว่า
   “ไม่” ไกด์พูดเสียงสั่น ”ชั้นขอร้องนายต่างหาก”
   “ขอร้องชั้น” เอิร์ธว่า “ขอร้องเรื่องอะไร”
   “อย่าหยุดทำอะไรก็ตาม ที่นายตกลงกับวินไว้” ไกด์พูด
   “นายไม่ได้จะฆ่าชั้นแล้วรึไง” เอิร์ธตอบยียวน
   “คราวนี้ทำแน่......ถ้านายไม่ตอบคำถามฉัน” ไกด์ว่าเสียงหนักแน่น
   “งั้นก็แฟร์ๆดิ” เอิร์ธว่า “เพราะฉันก็ฆ่านายแน่ ถ้านายไม่ตอบคำถามฉันเหมือนกัน”
   “เราย้ายไปลานประลองคาวบอยมั้ยหนุ่มๆ” สาพูดโพล่ขึ้น ทั้งคู่หันมามองเธอ “เอ่อ...พี่เห็นมันอยู่ตรงข้ามแมนเนอร์เมื่อกี้น่ะ”
   สารู้ตัวว่าสิ่งที่เธอพุดไม่ได้สร้างความตลกเลยซักนิด
   “คำถามคืออะไรก็ว่ามา” เอิร์ธเปิดเกมส์ก่อนอย่างท้าทาย
   “ฉันต้องการคำยืนยัน ว่านายกับวินไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าเพื่อน” ไกด์พูดทันที
   “มันแหงอยู่แล้ว” เอิร์ธตอบ “เราสองคนเป็นมากกว่าเพื่อนธรรมดา.....”
   สาหายใจเข้าทิ้งช่วงทันที เอิร์ธกำลังจงใจท้าทายไกด์
   “ฉันไม่ตลกด้วยหรอกนะ” ไกด์ว่า
   “นั่นน่ะสิ” เอิร์ธว่า “ไม่เห็นจะตลกเลยซักนิด”
   “เอิร์ธ นายต้องการอะไรจากฉันก็ว่ามาเลย” ไกด์พูดอย่างแข็งขัน “เพราะฉันจะไม่อยมเสียอะไรไปง่ายแม้แต่อย่างเดียว”
   “หึหึ” เอิร์ธขำจริงๆกับเรื่องนั้น “งั้นนายก็ช้าไปแล้ว”
   “นายพูดพล่ามอะไรของนายเนี่ยหะ” ไกดืถลาเข้ากระชากคอเสื้อของเอิร์ธทันที
   “หยุดนะ” สายื้ตัวเข้าห้าม “พอกันที นี่มันชักจะเกินไปแล้ว”
   “มันไม่เกินไปหรอกพี่สา กับคนอย่างเขาน่ะ” เอิร์ธว่า
   “คนอย่างฉันมันทำไมเหรอ” ไกด์ว่า “นายไม่ได้รู้จักฉันดีพอด้วยซ้ำ นายไม่มีสิทธิมาตัดสินฉัน”
   “แล้วคนอย่างนายน่ะ มันเป็นยังไงงั้นเหรอ” เอิร์ธว่าต่อ พลางส่งสายตาดุดันไปให้ไกด์ ชายหนุ่มเงียบสนิท เขาจะไม่อธิบายสิ่งนี้อีกครั้ง ไม่ใช่กับคนอย่างเอิร์ธ ไม่มีประโยชน์เลยด้วยซ้ำ
   “นายจะไม่ขอโทษสิ่งที่นายทำวันนี้ แล้วยังจะพูดแบบนี้อีกงั้นเหรอ” ไกด์ว่า
   “แล้วนายจะทำไมอ่ะ” เอิร์ธว่า” “ฉันก็ไม่เห็นว่าจะทำอะไรเสียหายตรงไหนเลย ทำไมเหรอ ฉันทำอะไร”
   “เอิร์ธ” ไกด์ร้อง “นายรู้ดี”
   “รู้ว่า?” เอิร์ธเลิกคิ้ว
   ไกด์ปล่อยตัวเอิร์ธลง
   พลั่ก!!!
   ไกด์เหนี่ยวหมัดอย่างรุนแรงไปหาเอิร์ธที่ล้มลงไปกองกับพื้นทันที สารีบรุดเข้าขวางตัวเอิร์ธเอาไว้ได้ทัน เอิร์ธจับปากตัวเองด้วยความตกใจพลางมองหน้าไกด์
   “เคลวิน!!!” เสียงของจีโอดังมาแต่ไกล ถลาเข้ามาดึงตัวไกด์เอาไว้ ในขณะที่สาพยายามพยุงตัวเอิร์ธลุกขึ้น เจนจิราเดินตามมาด้วยความงงงวย ก่อนจะเข้ามาดูสถาการณ์ที่เกิดขึ้น
   “ให้ตายสิ นายทำอะไรเจ้าเอิร์ธเนี่ย” จีโอว่า พลางมองหน้าเพื่อนรัก “เย็นลงก่อนเพื่อน”
   “เกิดอะไรขึ้นน่ะ สาคะ ว่าไง” เจนจิราถามขึ้น สาหลับตาพลางส่ายหน้าเบาๆ ตอบเธอ ”เกิดอะไรขึ้นกัน”
   ทั้งเอิร์ธและไกด์ต่างคนต่างเงียบ
   “ผมบอกแล้ว หมอนี่มันบ้า” เอิร์ธพูด ก่อนจะสะบัดตัวออกจากสา และออกเดิน “ใครจะเที่ยวต่อก็เที่ยวไปเถอะ ผมกลับละ”
   ไกด์ดึงแขนเอิร์ธเอาไว้
   “วินอยู่ไหน” ไกด์ถามเอิร์ธเสียงขรึม
   “ผมไม่รู้” เอิร์ธตอบ
   “ฉันถามนายว่า วินอยู่ที่ไหน” ไกด์พูดเสียงดังขึ้น
   “เค้าไม่รู้หรอกค่ะคุณไกด์” สาพูดแทน “วินเขาไปแล้ว”
   ไกด์หันมามองสา
   “เขาไปแล้ว....เมื่อชั่วโมงก่อน” สาว่า เจนจิราหันมามองหน้าเธอ
   ไกด์หันไปมองหน้าเอิร์ธทันที
   “นายทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า” ไกด์ถามเอิร์ธเสียงเย็น
   เอิร์ธไม่ตอบ ได้แต่มองหน้าไกด์อย่างหวั่นๆ
   “แบบนี้น่ะดีแล้ว นายจะได้รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรซะที” เอิร์ธว่า “เพราะฉันก็เลิกแล้วเหมือนกัน สัญญาระหว่างผมกับวินน่ะ”
   “เห้ย..เดี๋ยวนะ ไอ้น้อง เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ ยกเลิกสัญญาอะไร” กลายเป็นจีโอที่เป็นคนถามขึ้นมา เอิร์ธส่ายหน้าทันที โอเค ทุกๆอย่างล่มสลายลงตรงนี้ก็ได้เลย เขาพร้อมแล้ว
   “สัญญาอะไรก็ตามที่ผมกับวินตกลงกันไว้ตอนนี้เป็นอันยกเลิกแล้วจีโอ” เอิร์ธว่ ไกด์หันไปหาจีโอ เช่นเดียวกับเจนจิรา
   “นี่เอิร์ธอย่าพูดเล่นนะ” จีโอว่า “แล้วฉันล่ะ”
   “ผมไม่รู้ คุณไปถามวินเอาเองก็แล้วกัน” เอิร์ธว่า “หรือไม่ ก็ไปถามเพื่อนคุณดู ผมไม่เอาด้วยแล้ว”
   ไกด์ปล่อยตัวเอิร์ธลงทันที ก่อนจะหันไปหาจีโอ
   “แกไปกับชั้น” ไกด์พูดกับจีโอ “ไปเดี๋ยวนี้เลย”
   “ด...เดี๋ยวดิ เห้ยไอ้ไกด์” จีโอพยายามร้องเรียกเพื่อน ที่ออกเดินไปไกลแล้ว จีโอไปไม่เป็น พลางหันกลับมามองเจนจิราที่กำลังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม “เอ่อ...เจน ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆนะ....ผม...”
   เจนจิรายังคงยืนเงียบ
   “ที่เราคุยกันที่ร้านสเต็กผมพูดความจริงนะ คุณอาจจะำตามเรื่องตรงนี้ไม่ทันแต่” จีโอเดินเข้าไปหาเจนจิราพลางจับมือเธอ “เชื่อใจผม......ได้โปรด”
   เจนจิราจับมือจีโออกจากมือของเธอทันที
   “ไปซะค่ะ” เจนจิราพูดเสียงเย็นเฉียบๆ “ไปซะ”
   จีโอมองหน้าเจนอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ชายหนุ่มค่อยๆก้าวถอยหลังห่างออกจากเจนจิรา
   “คุณทำเพื่อเพื่อนของคุณ” จีโอพูด “ผมก็ทำเพื่อเพื่อนของผมเหมือนกัน”
   จีโอทิ้งคำพูดเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปทันที ทิ้งเจนจิราเอาไวเพียงความสับสน หญิงสาวส่ายหน้ากับตัวเอง พลางกัดฟัน ก่อนจะเริ่มออกเดินไปอีกทาง
   “พี่เจน ผมมีเรื่องจะบอก” เอิร์ธพูดโพล่งขึ้น
   เจนจิราหันกลับมาหาเอิร์ธ ใบหน้าของเธอแดงก่ำทันที
   “จะบอกว่าเธอเป็นคนส่งเขามาจีบฉัน...งั้นใช่ไหม” เธอยิงคำถามตรงเข้าอกของเอิร์ธทันที วันนี้เขาโดนอะไรไปหลายดอกเข้าเสียแล้ว สาเองก็หันไปมองเอิร์ธด้วยความฉงนทันที
   “เอ่อ.......พี่ว่าอะไรนะ...ผมเอ่อ” เอิร์ธพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง “มันไม่ใช่อย่างนั้...”
   “ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ” เจนจิราร้อง “นายกำลังทำอะไรของนายกันแน่เอิร์ธ พี่ถามหน่อย ทำแบบนี้ทำไม”
   “พี่เจน” เอิร์ธตกใจมาก ตอนนี้เขาเห็นหยาดน้ำตาเล็กๆที่ใบหน้าของเธอ
   “นายต้องการอะไรอีกเอิร์ธ ยังมีอะไรที่นายต้องการจากพี่อีกไหม” เจนจิราร้องเสียงดัง “เธอยังมาไกลไม่พออีกใช่หรือเปล่า เธอต้องการจะทำลายพี่ใช่หรือเปล่า ทำลายงานที่พี่รัก แล้วก็ทำลายความรู้สึกของพี่ด้วย”
   เอิร์ธยืนนิ่ง นี่มันเกินจากแผนที่เขาวางไว้เสียแล้ว
   “พี่ขอล่ะเอิร์ธหยุดซะทีเถอะ พี่ไปทำอะไรให้เธอหะ เคยทำอะไรให้เธอหรือไง เธอถึงต้องเกลียดพี่ขนาดนี้น่ะเอิร์ธ” เจนจิราร้อง เอิร์ธรู้สึกแย่เอามากๆเสียแล้ว เขาไม่เคยโดนเจนใส่ความรู้สึกนี้ให้เขามาก่อน นี่เป็นครั้งแรก ที่เจนพูดกับเขาแล้วทำให้เขารู้สึกผิดจริงๆ
   เจนจิราร้องไห้อยู่เงียบๆ สาเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นน้ำตาของเจนจิรา
   “รู้หรือเปล่า ว่าพี่มิกของเธอ เป็นคนขอร้องฉันให้ดูแลเธอ ให้ทำให้สิ่งที่เธอต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามสำเร็จด้วยดีน่ะ” เจนจิราพูดเอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองเธออกีครั้ง “เขาขอร้องฉัน ตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอลงมาเหยียบทีปารีส เขานึกถึงเธอเป็นอย่างแรก และคนแรกที่เขาขอร้องก็คือฉัน”
   เอิร์ธมองหน้าเจนทันที
   “บอกเขาสิว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงสา บอกเขาสิ” เจนจิราร้อง “ว่าไงล่ะสา ที่คลับมูแลงรูจ เมื่อต้นปี งานหมั้นของนัทและกายน่ะ”
   เอิร์ธหันหน้าไปมองพี่สาทันที
   “ไม่จริงใช่ไหมพี่” เอิร์ธร้อง สามองหน้าเอิร์ธ “จริงเหรอพี่สา”
   “มิกเป็นคนขอ ไม่ให้บอกนาย” สาว่า “เจนพอเถอะ เอิร์ธแค่ทำในสิ่งที่เขาคิดว่า...”
   “คิดว่าเจ๋ง คิดว่าเก่ง เด็กใหม่ไฟแรง” เจนจิราต่อคำ “สา ฉันทนกับเด็กคนนี้มาตลอด เขาทำลายทุกอย่างที่ฉันทำ เขาดึงลูกชายคุณวรพัฒน์เข้ามา เขาเอาคุณวรพัฒน์เข้ามา เขาเอางานแฟชั่นวีคไปจากฉัน มิหนำซ้ำ เขายังเอาใครที่ไหนก็ไม่รู้ มาปั่นหัวฉันเล่นอีกสา”
   สาหลับตา
   “เนี่ยอ่ะเหรอ เด็กจาก Lovable Studio ที่พวกเธอหลงไหลนักหนาอ่ะ” เจนจิราว่า “พวกเธอหลงใหลเขาในเรื่องแบบนี้อ่ะเหรอ.....”
   เจนจิรากัดฟัน
   “พอกันที....” เจนจิราว่า พลางเดินหันหลังจากไปท่ามกลางผู้คน
   เอิร์ธยืนนิ่งสนิท เขาถูกโจมตีอย่างหนัก และนี่ก็คือสิ่งที่เขาได้รับเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง
   ความพ่ายแพ้
   เขาจงใจยั่วไกด์เมื่อครู่ เพื่อให้หมอนั่นทำอะไรซักอย่างต่อไป แต่การปรากฎตัวของจีโอและเจนจิรา มันนอกเหนือจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
   และเจนจิราก็ทำให้มันนอกเหนือกว่าสิ่งที่เขาคิดมากขึ้นไปอีก
   หรือว่าตอนนี้ แผนที่เขาทำมาทั้งหมด กำลังย้นมาตีตัวเขาเอง
   เขาคิดว่ามันเป็นอย่างหลัง....
   และใช่.....เขาเริ่มรู้สึกเสียใจเข้าเสียแล้ว
   เสียใจแบบที่ลูกผู้ชายคนนึงจะทำได้
   “ผมไม่รู้เลย....ว่าพี่กายกับพี่นัทหมั้นกันแล้ว” เอิร์ธพูดเบาๆ “การเขาหมั้นกันมันเปลี่ยนทุกอย่างที่...”
   “...ที่เธอรู้จัก...ใช่” สาต่อคำเอิร์ธ
   “ทำไม่ไม่มีใครบอกผม” เอิร์ธหันไปหาสา “ทำไมพี่ไม่บอกผม”
   “พี่ถึงถามไง ว่านายหายไปไหนมาเอิร์ธ” สาว่า “นายคิดว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวที่นี่หรือไง เธอไม่ได้อยู่คนเดียว พวกพี่คอยดูเธออยู่ห่างๆเสมอแหละ......แต่บอกพี่ที่ซิ ว่าสิ่งที่เจนพูดเมื่อกี้ เธอไม่ได้ทำมันลงไปแล้ว...อย่างน้อยก็ไม่ได้ตั้งใจ”
   เอิร์ธเงียบสนิท เขาตอบคำถามนั้นไม่ได้ สาเงยหน้าขึ้นทันที
   “มิกไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวนะ เขาไม่ได้นั่งเฉยๆรอให้เธอวิ่งหาเขาอย่างเดียวหรอกนะเอิร์ธ” สาว่า “เขาทำเพื่อเธอมาตลอด ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้เลยล่ะ นายคิดว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวงั้นเหรอ ให้ตายสิ”
   “ผมอยู่คนเดียวพี่สา” เอิร์ธว่า “ผมเดินมาที่นี่คนเดียวตลอด ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยผมเลยซักคน”
   สาชี้นิ้วไปยังทางที่เจนจิราเพิ่งเดินจากไป
   “แล้วนั่นใคร” สาพูด “เธอทำลายความรู้สึกของคนที่ช่วยเธอมาตลอด เธอไม่เชื่อใจเขา”
   “ก็ผมไม่รู้นี่ว่า.....เขาจะช่วยผม” เอิร์ธว่า “คนแบบพี่เจน ใครๆก็ร้ว่าเขาน่ะร้ายกาจ”
   “งั้นเธอก็คงได้อยู่คนเดียวต่อไปแล้วล่ะเอิร์ธ” สาว่าพลางเดินถอยหลังเช่นเดียวกัน เธอส่ายหน้าให้กับเอิร์ธทันที
   “ไม่เอาน่าพี่สา ผมไม่รู้” เอิร์ธร้อง “ขอร้อง อย่าเป็นพี่ที่ทิ้งผมไปอีกคนได้ป่ะ”
   “ก็หวังว่าเธอจะยังเหลือมิก” สาว่า “ฉันไม่น่ายุ่งกับของเธอสองคนเลย ไม่น่าเลย....”
   สาบ่นกับตัวเอง พลางพยายามตามหาเจนจิรา
   “ฉันน่าจะเชื่อเธอตั้งแต่แรกเจน.....บางครั้ง ความรักก็เป็นแค่เรื่องของคนสองคนสินะ”
.............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 05-03-2013 04:41:17
เริ่มอิรุงตุงนังมากขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งวิน ทั้งเอิร์ธ   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: sarama ที่ 05-03-2013 13:19:47
ตัวละครน่าสนใจ อ่านไปลุ้นไป...
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 05-03-2013 13:57:05
เค้าเรียกว่า ผลของการไม่พูด ต่างคนต่างมั่นใจ ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเหนือที่สุดและควบคุมทุกอย่างได้

สุดท้าย ทุกอย่างก็กำลังจะพัง สงสารใครไม่ลงว่ะ ทำตัวเองกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจนเองก็ตาม

ได้แต่หวังว่ามิกซ์จะยื่นมือเข้ามาพยุงเอิร์ทไว้นะ ส่วนวินกับไกด์ คน 2 คนนี้ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ ก็น่าจะเดินไปด้วยกันอย่างเข้มแข็ง

สิ่งที่จะสอนทุกคนได้นั้นคือ "ความรัก เป็นเรื่องของคน 2 คน" คนอื่นไม่ได้เห็นในจุดที่คน 2 คนนั้นเค้าเห็นหรือรู้สึก ไม่มีใครรู้ดีเท่าคนที่เค้ารู้สึกแบบเดียวกันหรอก
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 15-03-2013 12:32:46
สงสารวินครับ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 17-04-2013 19:26:04
มาได้แล้วครับ........คิดถึง
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 22-04-2013 20:13:23
คิดถึงแล้วครับ :katai2-1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 05-05-2013 16:51:35
 o13 เพิ่งตามมาอ่านค่ะ ภาษาสวยมากค่ะอ่านแล้วรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวเลย :hao5:

มาต่อไวๆนะคะรออ่านอยู่ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 38 Alone]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 13-06-2013 23:57:13
ตอนที่ 39 Pricess and Stranger

   เจนจิรานั่งนิ่งสงบอยู่ในห้องทำงานสีส้มอันอบอุ่นของเธอ สายตาจับจ้องนิ่งไปยังของชิ้นนึงที่วางอยู่บนโต๊ะ ผ้าพันคอลาย Sleeping Beauty สีส้ม ที่ถูกห่อเอาไว้อย่างประณีต มันถูกส่งมาวางเอาไว้ที่โต๊ะของเธอตั้งแต่เช้า แต่ถึงกระนั้น เจนจิราก็ยังคงนั่งมองมัน ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา
   เธอไม่ปฏิเสธเลยซักนิด ว่ามีหลายสิ่งรบกวนจิตใจของเธอเอามากๆ หลังจากกลับมาจากดีสนีย์แลนด์ ทริปท่องเที่ยววันหยุดที่แสนแปลกประหลาดที่สุด เท่าที่เธอจะจินตนาการถึง ซึ่งมันจบลงยังอย่างพังไม่เป็นท่า เหล่านักเที่ยวทั้ง 7 ชีวิตในวันนั้น ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับโดยไม่มีแม้แต่การร่ำลา
   จริงๆแล้วหากจะพูดให้ถูก เป็นตัวเธอเอง ที่ไม่ได้ร่ำลาใคร ผ้าพันคอผืนนี้ถูกส่งมาพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ของเธอด้วยเบอร์โทรที่คุ้นตาอยู่บ้าง คนที่เธอไม่อยากจะคิดถึงอะไรอีก แต่มันกลับทำให้สมองเธอไม่ว่างลงเลย
   เสียงเคาะประตูสองสามครั้งดังขึ้น หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ในชุดสูทดูดีโผล่หน้าเข้ามา
   “พระเจ้า” กายพูดเสียงดัง เจนจิราถอนหายใจเบาๆ พลางเมินหน้าไปทางหน้าต่าง “ให้ตายเหอะเจน ที่นี่เงียบเป็นป่าช้าเลย”
   “อีกเดี๋ยวก็ซู่ซ่าแล้วล่ะค่ะ” เจนตอบ
   “แล้วเอ่อ...” กายพยักเพยิดไปทางด้านนอกห้อง “....เอิร์ธกับวินล่ะ ผมไม่เห็นเค้าอยู่ที่สตู”
   เจนเหล่มองไปที่นาฬิกาที่อยู่หัวโต๊ะ ก่อนจะถอนหายใจ
   “นี่คุณก็เอากับเขาด้วยเหรอเนี่ย” กายว่า เจนขมวดคิ้ว
   “หมายความว่ายังไงคะ” เจนถามต่อ
   “มิกเค้ามาหาผมกับนัทเมื่อวาน” กายว่า “คุณสาก็มา”
   เจนหลบหน้าลงทันที
   “สาเค้าเล่าให้กายฟังเหรอ” เจนถามต่อ
   “ก็.....คงงั้น” กายว่าพลางอมยิ้ม ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามเธอ “วันพุธนี้จะประชุมปันงบ คุณแน่ใจวะ ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”
   เจนจิราถอนหายใจ
   “คุณวรพัฒน์มาถึงปารีสแล้วเมื่อวาน” เจนตอบ “พี่สุเมธไปรับเค้าที่สนามบินตอนค่ำๆ แล้วก็พาไปดินเนอร์”
   “แล้วคุณคิดว่าไงอ่ะ” กายสิทธิ์ถามต่อ
   “ก็....พรุ่งนี้ก็จะเป็นครั้งแรกที่ คุณวรพัฒน์ จะเห็นโต๊ะบริหารเช็ทใหม่” เจนว่าพลางมองไปยังผ้าพันคอที่อยู่บนโต๊ะ “เจนก็นึกไม่อกอเหมือนกันอ่ะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
   “ดูคุณไม่สบายใจนะ” กายว่า “ไหนว่าเรื่องของใครของมันไง ไหงว่าจะไม่แบกเรื่องของใครเอาไว้ไงล่ะ”
   เจนเหลือบมองกาย ก่อนจะก้มหน้าลงถอนหายใจ
   “เจนกำลังคิดว่า เจนหวาดระแวงเกินไปหรือเปล่า” เจนจิราพูด “หรือว่าบางที เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นเพราะเจนเอง เจนทำให้ทุกๆคนหวาดระแวงมากไปหรือเปล่า”
   “ไม่หรอก เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเพราะทุกๆคนทำตัวของตัวเอง” กายว่า “มันเป็นเรื่องของการไม่ไว้ใจกัน ไม่มีใครไว้ใจใคร”
   “พวกเขาไม่ไว้ใจเจน” เจนว่า
   “คุณเองก็ไม่ไว้ใจพวกเขา” กายตอบ
   เจนส่ายหน้าพลางลุกขึ้นทันที
   “กายคะ เราไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพ ที่จะหันไปทางไหนก็เจอแต่คนในวงการที่เรารู้จัก” เจนจิราว่า “ตอนนี้เรามาอยู่กลางปารีส คนที่เราไว้ใจได้ ก็มีแต่พวกเรากันเองเท่านั้น”
   “พวกเราของคุณนี่ คงไม่ได้รวม เอิร์ธและวินไว้ด้วยหรอกใช่ไหม” กายถามตอบ เจนหันมาชายหนุ่มทันที
   “เอิร์ธและวินใช้ที่นี่เป็นเครื่องมือในการไปสู่สิ่งที่พวกเขาต้องการ” เจนว่า “แต่เจนเดิมพันกับที่นี่ไว้มากกว่านั้นนะ”
   “เดิมพันไว้ด้วยอะไร” กายถามต่อ
   “ก็....” เจนพยายามจะพูด
   “เพราะนี่ก็คือสิ่งที่คุณต้องการเหมือนกัน” กายว่าต่อ เจนเงียบเสียงลง “มันไม่ได้ต่างกันเลยเจน ทุกๆคนมาที่นี่ เพื่อหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งคุณ ทั้งผม ทั้งเอิร์ธและวิน”
   “และคุณวรพัฒน์” เจนหันมาตอบ
   “และคุณจีโอ” กายพยักเพยิดไปทางผ้าพันคอของเธอ “เรื่องที่เกิดขึ้นที่ดีสนีย์แลนด์ มันทำให้คุณเห็นแล้ว ว่าใครต้องการอะไรจากเกมส์นี้ แล้วคุณจะรออะไรอีก”
   “หยุดเลยกาย ฉันจะไม่.....”
   “เจน...จีโอเค้าชอบคุณ ยอมรับซะ” กายว่า
   “มีเรื่องอีกมากมายเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์กาย นายนั่นยังมีอะไรต้องอธิบายเจนอีกเยอะ” เจนจิราว่า
   “นายนั่นเลยเหรอ” กายยิ้ม เจนจิราเหล่มองกายทันที
   “โอเคๆ ผมจะไม่เถียงคุณเรื่องนี้” กายว่าพลางเงียบเสียงลง “ผมว่าเรามาคุยกันเรื่องมิกกับเอิร์ธดีกว่านะ”
   “แต่เจนจะไม่คุยกับกายเรื่องนี้” เจนว่า
   “แล้วทำไมเราถึงจะไม่คุยกันเรื่องนี้ล่ะ” กายว่า “คุณปล่อยเอิร์ธหายเข้ากลีบเมฆไปไม่ได้นะ มันจะส่งผลเสียในทุกๆเรื่อง”
   “บางทีความรักก็เป็นเรื่องของคนสองคนกาย” เจนว่า “เจนจะไม่พยายามช่วยใครอีกต่อไปแล้ว เอิร์ธกับวิน ทั้งสองคนทำเจนมาสาหัสมาก เค้าส่งจีโอให้มาจีบเจนเพื่อผลพวงทางธุรกิจนะกาย”
   “ไม่ๆ นั่นมันนอกประเด็นประแล้วเจน ผมกำลังคุยกับคุณเรื่องเอิร์ธและมิก” กายว่า
   เจนหลับตาลครั้งหนึ่ง กายรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตจากเธอ จึงเงียบเสียงลง
   “มันมีข้อตกลงระหว่างวินกับเอิร์ธ” เจนว่า “สองคนนี้ ตกลงอะไรกันไว้บางอย่าง บางอย่างที่เกี่ยวกับโต๊ะบริหารของซูเม่ บางอย่างที่เกี่ยวกับการที่เอิร์ธ อยากให้ตำแหน่งซีเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่นี่ และบางอย่างที่เกี่ยวกับการเข้ามาที่นี่ของจีโอ”
   กายนั่งฟังเจนพูดอย่างนิ่งสงบ
   “เจนจะต้องรู้ข้อตกลงของเอิร์ธกับวินให้ได้” เจนจิราว่า “มันจะต้องมีบางอย่างที่เอื้อประโยชน์ให้คุณวรพัฒน์ กายเราเหลือเวลาอีกแค่สองวัน ถ้าเรายังอ่านเกมส์นี้ไม่ได้ เราสองคนจะไม่เหลือหมากในโต๊ะซูเม่ และการเดินทางไปขยายสาขาอังกฤษก็จะต้องเกิดขึ้นไปฟรีๆ โดยที่เราสู้อะไรไม่ได้เลย”
   เจนหันหน้าไปยังหน้าต่างของห้อง
   “เจนยอมให้ซูเม่ อยู่ในมือคนอื่นไม่ได้หรอก” เจนจิราว่า
   “งั้นก็ออกไปตามหาเค้าสิ” กายว่า
   “หาใครคะ” เจนว่า
   “หาใครก็ได้ ที่จะให้ความกระจ่างกับคุณเรื่องทั้งหมดนี่” กายว่า “ไม่อย่างนั้น คุณเองก็จะไม่สบายใจ และก็ ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้กับคุณวรพัฒน์ไม่ใช่เหรอ”
   เจนหันมามองหน้ากาย ความกังวลสารพัดตีรวนเข้ามาในหัวของเธอ มันทำให้เธอกำลังจะประสาท หลายๆคนที่วนวเียนอยู่รอบตัวเธอตอนนี้ มีแต่คนที่รอการพึ่งจากเธอ
   “กายแน่ใจนะว่าเจนควรจะ....”
   “ไม่.....” กายพูดตัดบทพลางยิ้มกว้าง “คุณตัดสินใจไปแล้ว ผมมองตาคุณก็รู้แล้วเจน”
   เจนหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
   บางทีอาจจะถึงเวลาที่เธอจะต้องออกไปข้างนอก ไปทำอะไรๆอย่างที่คนอื่นๆรอบๆตัวเธอต้องทำเสียที เจนหลับตาลงครั้งนึง ก่อนจะคว้าเอาห่อผ้าพันคอ แล้วออกตามกายไปอย่างเร่งร้อน
   “กายคะ กาย” เจนร้องเรียกกายได้ทันก่อนที่ชายหนุ่มจะกดลิฟท์
   “มีอะไรให้รับใช้ครับ เจ้าหญิง” กายยิ้มให้เธอ
   “กายเอารถมาหรือเปล่า” เจนถาม
   ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
   “แล้วคุณนัทมาด้วยหรือเปล่า” เจนถามต่ออีก
   “ไม่นะ วันนี้เค้าออกไปพบแจกเกอลีน เพื่อนคุณจากโวร์คฝรั่งเศสไง” กายพูด
   “งั้นฉันจะยืมตัวแฟนเค้าซักวัน คงไม่เป็นไรใช่ไหม” เจนว่า
   “ผมยินดี” กายรับคำ เจนยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟท์พร้อมกัน
   “คุณจะไปไหนก่อน” กายถาม
   “เลขที่ 4 ถนนเซนต์จอร์ช” เจนจิราหันมามองหน้ากาย “ฟลอคอน เดอ เนงค่ะ.....ร้านเกล็ดหิมะ"
…………….
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 14-06-2013 10:30:59
น้อยไปหน่อยแต่ก็ดี สุขที่ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 15-06-2013 09:33:32
เย่ๆมาต่อแล้วววว มาต่ออีกเร็วๆน้าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 28-07-2013 19:51:16
เหงือกจะแห้งแล้วครับ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuna Omega ที่ 21-09-2013 02:43:00
 :z13:
จิ้มๆ....

 :hao5:
ยังรออยู่นะฮาฟ....
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-09-2013 04:05:18
 :z13:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: lonesomeness ที่ 22-09-2013 15:04:51
แปะไว้ก่อนน้าาา แค่เริ่มๆก็สนุกแล้วว เดี๋ยวมาตามอ่านต่อ   :z2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 24-09-2013 14:02:16
กำลังสนุกเลยค่า

หายไปนานเลย

มาต่อนะคะ รออยู่
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: sanfran ที่ 01-01-2014 21:23:55
หายไปเลย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 09-03-2014 20:37:16
เรื่องนี้น่าสนใจมาก อยากให้มาต่อจังเลยค่ะ
อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้ววินจะสมหวังหรือไม่ แล้วไกด์จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ยังไง
ทั้งๆ ที่มันเหมือนกำลังจะมีความสุข แต่มันไม่ใช่อ่ะ

อยากบอกคนแต่งว่า จะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 39 Pricess and Stranger ครึ่งแรก]
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 29-04-2014 19:30:59
รอเหงือกจะแห้งแล้วครับ
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 40 Wizard Of Ice]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-09-2014 02:25:58
เสียงท้องถนนอันเปลี่ยวเหงาของปารีส มีเพียงเสียงฝนอันน่ารำคาญโปรยปรายให้ชื้นแฉะเสียอย่างนั้น นอกหน้าต่างคอนโดที่มองเห็นเพียงถนนย่านเซนต์โรสไม่มีอะไรให้น่าสนใจนัก ในวันจันทร์แบบนี้ วันจันทร์ที่เฉอะแฉะ เสียงประตูเปิดออก จีโอเดินหอบแห่กเข้ามาในห้องด้วยร่างที่เปียกปอน และหอบมาด้วยอาหารเต็มหอบสองมือ เขาวางร่มลงที่เก็บ ก่อนจะเหลือบมองไปยังเพื่อนสนิท ที่ยังนั่งมองนิ่งไปนอกหน้าต่าง
   “ไม่ได้จะไล่นะ” จีโอว่า “แต่นายจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้”
   ไกด์หันกลับมามองจีโอ ที่เดินตรงรี่ไปเก็บข้าวของเข้าตู้เย็น และจัดแจงอาหารเที่ยง
   “มีเรื่องอีกเยอะที่นายต้องตาม” จีโอว่า “นายต้องทำ เพื่อน”
   “ฉันจะทำได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้ฉันยังไม่ได้คำตอบ” ไกด์ว่า
   “คำตอบอยู่ตรงหน้านายแล้วเพื่อน” จีโอว่า “คำตอบอยู่ตรงหน้านายแล้ว แต่นายไม่เลือกที่จะมองมัน”
   “นายไม่เข้าใจว่ะจีโอ” ไกด์ว่า พลางขมวดคิ้ว “มันเป็นแบบนี้ไม่ได้เว่ย”
   “แบบไหนวะ” จีโอถามกลับ
   ไกด์หายใจเข้าลึกๆครั้งนึง ก่อนจะหันกลับมามองจีโอ ที่ยังมองเพื่อนักด้วยดวงตาเบิกกว้าง
   “สมมตินะเว่ย สมมติว่าวิน เค้ารักฉันขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่เอิร์ธ ไม่ใช่ใคร แล้วเค้าเลือกจะอยู่กับฉัน มันจะเป็นยังไง” ไกด์ถามกลับ
   จีโอเหลือกตาขึ้น
   “เป็นยังไง ยังไง ยังไงอ่ะ” จีโอถามกลับ
   “อย่าเพิ่งกวนได้มั้ยวะ” ไกด์ถามเสียงเข้ม จีโอสะดุ้งเล็กน้อย เขาได้สัญญาณของเพื่อนรักคนเดิมกลับมาแล้ว คำพูดแบบนี้ ท่าทางแบบนี้
   “ไม่ได้กวน แต่จะเป็นยังไง ยังไงอ่ะ” จีโอว่า “นายกลัวอะไรเพื่อน ตั้งแต่เมื่อวานที่นายเดินดุ่มๆออกมาจากดิสนีย์แลนด์ ออกตามหาวินทั้งคืน ก็ไม่เห็นนายจะกลัวอะไรเลยซักนิด นายได้คำตอบกับตัวเองมาพักใหญ่แล้ว ตอนนี้นายจะมากลัวอะไร”
   ไกด์นิ่งไปพักนึง
   “นายกลัวอะไรเควิน กลัวจะทำร้ายเค้า เพราะนายไม่ได้รักเค้า หรือกลัวจะว่าจะทำร้ายเค้า เพราะนายไม่ใช่ตัวนายเอง” จีโอว่า “หรือว่ากลัวว่าคนรอบตัวจะรังเกียจนาย แบบว่า นายเป็นเกย์ขึ้นมาไรงี้ หรืออะไร”
   ไกด์มองหน้าจีโอ

   “นี่ฟังนะเพื่อน รู้ไหม ทำไมฉันถึงได้สนุกกับชีวิตได้ตลอด” จีโอว่า “ตั้งแต่รู้จักกันมา 4 ปีเนี่ย นายเคยเห็นฉันเศร้าซักครั้งป้ะ เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะฉันเลือกตัวเองไง มันไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่ฉันเลือกที่ให้ตัวเองมีความสุขที่สุด เพราะก่อนที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขได้ นายต้องสุขเองให้เป็นก่อนเพื่อน คนอื่นถึงจะสัมผัสความสุขของนายได้”
   ไกด์ก้มหน้าลงทันที
   “ฉันอาจจะมาทีหลังในเรื่องวุ่นๆพวกนี้แต่ ฉันจะพูดในสิ่งที่ฉันเห็นให้” จีโอว่า “สิ่งที่เกิดขึ้น ทุกๆคนต่างทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น เพื่อคนสำคัญ แต่ลืม ที่จะทำให้ตัวเองด้วย ต่างคนต่างยอมแลกทุกอย่าง เพื่อให้อีกคนมีความสุข แม้กระทั่ง แลกให้ตัวเองหายไป หายไปจากจุดที่เป็นอยู่ แล้วไง.....แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่า ไอ้คนที่อยู่ข้างหลัง ในระหว่างที่นายหายไป จะมีความสุขมั้ย”
   “ที่ฉันไม่ขอให้วินอยู่กับฉัน เพราะเค้าอยู่กับฉันไม่ได้” ไกด์ว่าเสียงดัง
   “แล้วทำถึงจะไม่ได้” จีโอว่ากลับเสียงดังไม่ได้
   “ก็เพราะ....”
   “ก็เพราะ นายบอกว่าไม่ได้ไง” จีโอพูด “ถ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้มีทางออกให้เลือกเยอะแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น แต่ถ้านายคิดว่ามันได้ ต่อให้สิ่งรอบตัวจะส่งสัญญาณทุกอย่างว่าไม่มีหวัง มันก็จะมีปาฏิหารย์เกิดขึ้นได้ซักวัน”
   “แต่มันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปได้ซักอย่าง ไม่มีอะไรที่....” ไกด์ว่า
   “แล้วนายถ่อออกตามหาวินทำไมทั้งคืน ถ้ารู้ว่าไม่มีทางเจอ” จีโอว่า “นายจะออกตามหาเค้าทำไมเคลวิน เพราะนายก็หวัง หวังว่าจะได้เจอเค้าอีก แม้สัญญาณทุกอย่างตอนนี้ ไม่มีอะไรบอกนายได้เลยว่าวินจะไปอยู่ไหน”
   “ถ้าเค้าอยู่ในปารีส ฉันต้องรู้แล้ว” ไกด์ว่าพลางถอนหายใจ
   “แน่ใจ” จีโอถามกลับ
   “...ก็....ไม่แน่ใจ” วินตอบอย่างลังเล “ก็....”
   “วิน” จีโอนั่งลงข้างๆเพื่อนรักแล้วตบบ่าเบาๆ “ฉันว่านายหยุดคิดเถอะ แล้วลงมือทำซะ นายไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตของใคร นอกจากคนที่สำคัญกับนายจริงๆเท่านั้นแหละ เชื่อฉันเหอะ”
   ไกด์มองหน้าจีโอ
   “เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง” จีโอว่า “นายไม่ใช่คนเลว นายแค่เป็นคนที่เคยหลงไปทำเรื่องแย่ๆ แล้วนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า นายจะหลงไปตลอดกาล อย่าเป็นคนที่รู้ตัวว่ากำลังหลงทาง แล้วก็เที่ยวชี้หน้าคนอื่นว่าฉันกำลังหลงอย่ามายุ่ง นายต่างหาก ที่ต้องเอาตัวเองออกมาจากเงามืดให้ได้ด้วยตัวเอง”
   ไกด์หลบสายตาลง
   “แล้วเอาจริงๆ โลกนี้มันก็ไม่ได้แบ่งว่าคนดี คนเลวเป็นสองสี ทุกๆคนมันก็เทาๆ ปนๆกัน มีสองด้านอ่ะ” จีโอว่า “แล้วเราเลือกที่จะเป็นได้นะ”
   “ขอบใจนายมาก” ไกด์มองออกไปนอกหน้าต่าง
บางทีเขาอาจจะแบกรับทุกอย่างไว้มากจนเกินไป
เพราะถ้ามองหน้าต่างดีดี
ฝนเบาลงบ้างแล้ว
เขาควรออกไปทำอะไรบางอย่างเสียที……
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 40 Wizard of Ice]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-09-2014 02:27:42
ตอนที่ 40 Wizard of Ice

   กายและเจนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงเลขที่ 4 ถนนเซนต์จอจ์ช ซึ่งบังเอิญว่ามันอยู่ถัดจาก Esmod ไปไม่ไกล เจนจึงขอให้กายพาเธอไปส่งที่ Esmod เสียก่อน เพราะเธอต้องจัดการเคลียร์เอกสารและใบ Certificate ให้กับวินและเอิร์ธ และดีลเรื่องผลการเรียนกับทางสถาบัน เพื่อให้วินและเอิร์ธจบหลักสูตรได้ซะที เธอขอให้กายเข้าไปรอเธอที่ร้านเกล็ดหิมะก่อน แล้วเธอจะตามไปอีกที
กายจอดรถได้ที่เหมาะๆ ก่อนจะเปิดประตูร้านเข้ามาพร้อมกับเสียงดังกริ๊ง ไม่รู้ว่าเพราะที่นี่มีเวทย์มนต์หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทันทีที่เปิดประตูกลิ่นกาแฟและความอบอุ่นก็ถาโถมเข้ามา กายเดินไปยังเคาท์เตอร์บาร์ที่ปรากฎร่าของบาร์ริสต้าชาวเอเชียที่กำลังง่วนอยู่กับการถกเถียงประเด็นๆหนึ่ง ด้วยภาษาที่เข้าใจได้ง่าย
   “ก็ไม่รู้เหมือนกันพี่โจ้” บาร์ริสต้าคนนั้นพูดเสียงดัง กับพ่อครัวที่อยู่อีกด้านของเคาท์เตอร์ โดยไม่ทันสังเกตว่าลูกค้าคนหนึ่งคนได้นั่งลงที่บาร์ และกำลังมองด้วยความสงสัย เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินภาษาไทยในร้านนี้ “ผมหวังว่าเขาจะยังอยู่ในปารีส ถ้าวันนี้เค้ายังไม่มา ผมก็คงต้องแจ้งความ”
   “เจ๊ใหญ่ก็ออกไปข้างนอกเหมือนกันนะไกด์” พ่อครัวตอบกลับมา “นายเล่าให้เจ๊แกฟังแล้วนี่ เค้าอาจจะออกไปตามวินแล้วก็ได้”
   “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นก็แล้วกันพี่” บาริสต้าที่กำลังพูดอยู่นั้นหันกลับมาเจอกายแลยเจน “ผมขอรับลูกค้าก่อนนะ”
   กายมองเห็นใบหน้าอันคมเข้มของบาริสต้าคนนี้
   “Excuses,Nous avons éteint.” ชายคนนั้นกล่าวต้อนรับ
   “สวัสดีครับ” กายกล่าวก่อนพลางยิ้มกว้าง “ผม เอ่อ…….”
   “สวัสดีครับ รอซักครู่นะครับ” ชายคนนั้นยิ้มกว้างตอบเธอทำเอาเจนและกายตกตะลึงเล็กน้อย ชายคนนั้นลงมือชงกาแฟขณะที่กายกำลังฉงน
   “คือผมยังไม่ได้สั่ง…” กายพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
   “ไม่เป็นไรครับ” บาริสต้าวางแก้วบรรจุกาแฟเข้มตรงหน้ากาย “ร้านเราจะให้กาแฟฟรีกับคนไทยคนละแก้ว ที่เข้ามาในร้าน พร้อมกับกล่าวสวัสดีกันแบบเป็นมิตร ยินดีต้อนรับสู่ร้านเกล็ดหิมะครับ”
   กายรู้สึกแปลกประหลาดปนอบอุ่นในที กับการต้อนรับแบบนี้แต่ก็รับกาแฟแก้วนั้นมาทันที
   “มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” ไกด์เริ่มถาม
   “คุณ….เอ่อ” กายพยายามมองซ้ายมองขวา หรือเขาควรจะรอเจนมาจัดการเรื่องนี้ ในทันทีไกด์ก็เริ่มเหล่มองกายอย่างสงสัย พอดีกับที่กายหันมาเจอแววตาที่จ้องเขาถลน
   “คุณ มา ตาม หา ใคร หรือเปล่า” ไกด์ๆค่อยๆพูดทีละคำอย่างหนักแน่น
   “อ๋อใช่...ใช่ ใช่ ผมมาตามหาคน” กายพูดตอบ ก็ไม่ถูกทั้งหมด เขาจัดการก่อนเองก็ได้เหมือนกัน กว่าเจนจะมาก็คง...
   “ใคร” เสียงของบาริสต้าคนนี้ดูกร่อนความสุภาพลงทุกที ความอบอุ่นเมื่อซักครู่ที่ได้จากการต้อนรับหายวับไปในทันที กายเริ่มรู้สึกเหมือนโดนจู่โจม และแน่นอน เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้ใครมาจู่โจมได้โดยง่าย พ่อมดถอนหายใจพลางมองกลับไปหาบาริสต้าผู้นั้นด้วยสีหน้าท้าทาย
   “ก็ไม่ใช่ธุระของนายหรือเปล่า” กายเริ่มโจมตีกลับ “ถ้าไม่สะดวก ก็ไปตามเจ้าของร้าน หรือใครที่จะพูดได้ดีกว่านี้มาหาผมหน่อย ก็จะขอบคุณมาก”
   “กับผมนี่แหละ” ไกด์พูดพลางยื่นหน้าเข้ามาหากายและหรี่ตามองอย่างเดือดพล่าน
   “เห้ อะไรของนายเนี่ย” กายถามกลับ
   “คุณใช่หรือเปล่า ที่สะกดรอยตามวิน และแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ” ไกด์ถามกลับ
   “ว่าไงนะ” กายถามอีก
   “ผมถามว่าใช่หรือเปล่า” ไกด์ขึ้นเสียงดังมากอีก ตอนนี้คนในร้านเริ่มหันมามองทั้งคู่มากขึ้นแล้ว กายยอมรับว่าชายคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนภายในเวลาไม่กี่นาที และใช่....น่ากลัวเอาการ
   “อะไรของนายวะเนี่ย” กายพยายามตีความคำพูดของชายคนนี้ “เดี๋ยว วินเหรอ......วินลูกชายคุณวรพัฒน์ที่เพิ่งจบจาก Esmod หรือเปล่า ก็ใช่ ตามหาอยู่ นาย....”
   กายจำบทสนทนาของตัวเองหลังจากนั้นไม่ได้อีกแล้ว
...................
   เจนย่ำเท้ากลับมายังหัวมุมถนนเซนต์จอร์ช พลางตรวจสอบเอกสารในมือให้เรียบร้อย หลังจากเคลียร์กับทางสถาบันที่ปลาบปลื้มเป็นอย่างมากที่นักเรียนสองคนสร้างผลงานให้กับซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอล เพราะก็เท่ากับเป็นผลงานของทางสถาบันเองด้วย การจัดการเรื่องจบหลังสูตรของทั้งคู่จึงเป็นไปได้ง่ายกว่าที่คิด เจนคิดว่านี่คงเป็นเรื่องดีดีเรื่องแรกสำหรับสองคนนั้นที่เธอจะทำให้หลังจากที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน พลางคิดว่าคุณมิก น่าจะขอบคุณเธอซักนิดกับสิ่งที่เธอพยายามมาทั้งหมดเพื่อคนรักของเขา
   หญิงสาวเดินย่ำถนนที่เปียกชื้นมายังหัวมุมถนน เพื่อมุ่งหน้าไปร้านเกล็ดหิมะ พอดีกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี
   “ฮัลโหล” เธอกดรับมันด้วยความเร่งรีบ โดยไม่ทันดูว่าเสียงปลายสายคือ....
   “คุณรับแล้ว ให้ตายสิเจน” เสียงอันกวนประสาททำเอาเธอหยุดกึก เสียงขอคนที่ส่งผ้าพันคอมาให้เธอนั่นเอง...จีโอ
   เจนยังคงเงียบสนิท
   “คุณโอเคหรือเปล่าเจน” จีโอถามทันที “ผมขอโทษนะ เรื่องที่ดีสนีย์แลนด์ ผมมีเรื่องจะต้องคุยกับคุณ”
   เจนถอนหายใจครั้งหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับจีโอเหมือนกัน
   “คุณฟังอยู่หรือเปล่าเจน ฮัลโหล เจน เจนครับ” เสียงจีโอร้องเรียกเธออย่างต่อเนื่อง พอดีกับที่เธอได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากริมหัวถนน เสียงนั้นฟังดูคุ้นหู
   “ฮัลโหลเจน เจน...”
   เธอเร่งฝีเท้าไปตามเสียงนั้นทันที และภาพตรงหน้าก็ทำเอาเธอเหวอไปชั่วขณะ
   ชายหนุ่มในชุดบาริสต้า กำลังฟัดนัวอยู่กับแฟนเก่าของเธอ ท่ามกลางการมุงดูกันอย่างหนาแน่นของคนผ่านไปผ่านมาที่หัวมุมถนนเซนต์จอร์จ เธอตกใจแทบสิ้นสติ พลางมองความชุลมุมตรงหน้า
   “เจน เสียงอะไรอ่ะ เกิดอะไรขึ้น เจน เจนได้ยินผมมั้ย” เสียงจีโอยังคงดังก้องในโทรศัพท์
   “จีโอ เดี๋ยวฉันโทรหานะคะ” เจนพูดอย่างรวดเร็ว
   “ครับ ได้ครับ โทรหาผมนะ”
   เจนวางสายและรีบวิ่งไปทันที
   ความวุ่นวายตรงหน้าแตะระดับโกลาหลเบาๆ เมื่อชายหนุ่มในร่างบาริสต้า พยายามจะล็อคตัวกายเอาไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี กายที่พยายามขัดขืนอย่างสุดกำลังก็ไม่ได้ยอมให้การกระทำอันไร้มารยาทนั้น ทำให้พ่อมดแห่งวงการออกแบบหมดรูปเอาได้ง่ายๆ จากสภาพการต่อสู้ ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง กับคราบกาแฟที่เปื้อนชุดของทั้งคู่บ่งบอกความหนักหน่วงของสถานการณ์น่าดู
   “ปล่อยนะเห้ย ไอ้บ้าเอ้ย ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า” เสียงของกายอึกอักอยู่ภายใต้การบิดแขนของไกด์
   “จะบอกตรงนี้ หรือบอกกับตำรวจห๊ะ ฉันไม่สน ว่าใครจ้างนายมา แต่ถ้าวินเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันเอานายตายแน่” ไกด์แผดเสียงก่อนจะเหวี่ยงกายออกนอกร้าน จนพ่อมดหนุ่มลงไปกองกับพื้น ทันทีที่กายหลุดออกจากพันธนาการ ก็ถลาเข้าไส่ไกด์ทันทีหมายจะเอาคืนด้วยอารมณ์เดือดพล่านของการถูกโจมตี
   “หยุด หยุดนะ” เจนถลาเข้าห้ามกายเอาไว้ได้ทัน “กายอะไรกันอ่ะคะ เกิดอะไรขึ้น นายนี่.....เอ๊ะ”
   ไกด์มองหน้าของหญิงสาวที่เข้ามาห้ามการต่อสู้ท่ามกลางลูกค้าของร้านเกล็ดหิมะ ที่มาออกันเต็มไปหมดตรงนั้น ไกด์สะดุดตาเล็กน้อย
   “คุณ...” เขาพูดเบาๆ
   “อ้าว คุณ” เจนร้องทันที
   “อะไร” กายพูดเสียงหอบ “อะไรเนี่ยเจน รู้จักมันด้วยเหรอ”
   “ก็.....โอ๊ยยยย อะไรกันเนี่ย เจนงงไปหมดแล้ว มีเรื่องอะไรกันเนี่ยคะ” เจนว่า พลางหันซ้ายหันชวา ถามกายและไกด์ที่กำลังมองหน้ากันด้วยความโกรธที่ยังครุกรุ่น
   “คุณ.....ฉันเจอคุณที่ดีสนีย์แลนด์ คุณคือคนที่นำทริปวันนั้นใช่หรือเปล่า” เจนว่า “คุณไกด์”
   ไกด์ยังคงไม่ตอบ ได้แต่มองหน้ากายนิ่ง
   “เค้าเป็นใครครับ” ไกด์ดูจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงได้ แม้ว่าจะยังคงมองหน้ากายอย่างไม่ละสายตา “ตอบตามความจริงนะคุณ ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นว่า....”
   “เค้าเป็นเพื่อนฉันเองค่ะ เราสองคนเป็นหุ้นส่วนของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล” เจนว่าเสียงสั่น
   “หรือจะพูดให้ถูก ผมกับเจน เราเป็นเจ้านายของคนที่คุณกำลังตามหาอยู่ไง เจ้าวินน่ะ” กายว่า พลางปาดเลือดที่ริมฝีปาก
   “วินหายไปงั้นเหรอ” เจนหันไปหากายทันที
   “ก็ผมได้ยินหมอนี่พูดในร้านอ่ะ ผมก็เลยจะถามว่าเรื่องเป็นยังไง มันก็ลากผมออกมาเนี่ย ประสาทเป็นบ้า” กายพูดอย่างหัวเสีย
   “เอาล่ะ ฉันว่าเข้าใจอะไรกันผิดไปกันใหญ่แล้ว” เจนร้องพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ คุณไกด์เราเข้าไปนั่งคุยกันในร้านมั้ยคะ แล้วก็คงจะเป็นการดีมากถ้าคุณเคลียร์ลูกค้าของคุณออกไปจากตรงนี้ได้”
   ไกด์มองเจนและกายอย่างประเมิณความคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหลับตาปรับอารมณ์ของตัวเองลง แล้วกล่าวเคลียร์สถานการณ์กับเหล่าฝูงชนที่มามุงดูกันอยู่เต็ม ในขณะที่เจนเดินพากายกลับเข้าไปในร้านทันที ชายหนุ่มส่ายหัวช้าๆ
   “ให้ตายสิเจน ระหว่างที่ผมไม่อยู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่อ่ะหะ” กายกล่าวอย่างหัวเสีย “พวกคุณเล่นอะไรกัน ทั้งคุณ สา มิก เอิร์ธ แม้แต่เจ้าวิน เกิดอะไรขึ้นอ่ะเจน”
   เจนมองกายอย่างเข้าใจความรู้สึก ถ้ามองในมุมคนนอกอย่างกายที่มองเข้ามาในเมืองนี้ มันเต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาด ซึ่งหากจะว่ากันตามความจริงแล้ว เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นใต้จมูกของเธอมาตั้งแต่แรก แต่เธอเลี่ยงที่จะไม่รับรู้มัน และเลือกที่จะจัดการกับสิ่งที่เธอเห็นชอบด้วยเท่านั้น และตอนนี้เธอก็ไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งที่เธอทำลงไปถูกต้องหรือเปล่า
   “ที่นี่มันที่ไหนกันแน่อ่ะเจน” กายว่า “ผมว่านี่ไม่ปกติแน่ นี่ไม่ใช่เรื่องบัญเอิญหรือเข้าใจผิดใช่มั้ยที่ผมโดนต่อยเนี่ย”
   “นี่ร่างพ่อมดเข้าสิงคุณหรือไง” เจนพูดติดตลก ขณะให้กายนั่งลงในที่นั่งริมหน้าต่างที่หลบมุมจากสายตาสอดรู้สอดเห็น ขณะที่ไกด์ยังคงเคลียร์ความวุ่นวายอยู่ด้านนอกให้เห็นเนือง “คุณเป็นครีเอทีฟนะไม่ใช่นักจิตวิทยา แล้วนี่ก็ไม่ใช่โลกแห่งแสงสีที่คุณจะเที่ยวมากำหนดเส้นทางให้กับใครๆเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้วกาย ที่นี่มันไม่เหมือนกัน”
   “ผมถูกลากเข้ามาในโลกที่ทุกคนทำทุกๆอย่างเพื่อให้ได้สิ่งตัวเองต้องการ ทำแม้กระทั่งทำร้ายกันเอง” กายว่า “ในเมืองนี้คนที่ไว้ใจกันได้มันมีไม่กี่คน ผมพูดไว้อย่างสวยงามแบบนั้นน่ะ เพราะผมหมายความว่า คนในเมืองนี้มันมีคนไทยอยู่ไม่กี่คนหรอก ยังไงซะ เรื่องมันก็ต้องวนเจน”
   “แล้วมันเรื่องของใครล่ะ” เจนร้องกลับบ้าง
   “ผมถูกโอนไปขยายสาขาที่อังกฤษ ผมมีลูกน้องใหม่เป็นเด็กอายุ 24 สองคน เปอร์เซนต์ถือหุ้นของผมที่ซูเม่มีการปรับเปลี่ยน แฟนเก่าผมกำลังจะมีแฟนใหม่ ผมโดนทุบ โดนต่อย เลือดตกยางออก ผมมีสิทธิที่จะรู้เจน” กายว่า “บอกเรื่องที่คุณรู้มาเดี่ยวนี้เลย”
   “เจนไม่รู้” เจนร้องเสียงดัง “ถ้าเจนรู้ เจนจะวิ่งโร่มาที่นี่เหรอ”
   กายเงียบเสียงลงทันที
   “คุณต่างหาก คุณคิดว่าคุณรู้อะไรกาย คุณมีอะไรจะบอกเจนหรือเปล่าล่ะ” เจนว่ากลับ
   “ขอร้องเจน อย่าทำให้เรื่องนี้มาทำให้เราต้องกลายเป็นอีกสองคนที่ต้องผิดใจกัน” กายว่า
   “เรื่องนี้ของคุณคือเรื่องไหนอ่ะ” เจนว่า
   “ผม...ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” กายตอบเสียงสั่น ชายหนุ่มหันไปมองนอกหน้าต่าง ที่ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาลงบ้างแล้ว เสียงผู้คนจอแจกำลังเบาลงทีละน้อยและกลับสู่สภาพปกติ เขาเห็นเจ้าบารีสต้าเลือดร้อนเมื่อกี้กำลังพูดคุยกับพนักงานในร้านคนอื่นๆอยู่ที่ส่วนกลาง พร้อมกับเหล่มองมาทางเขาและเจนเป็นระยะ
   กายส่ายหัวครั้งหนึ่งพลางใช้หัวคิด ก่อนจะเขยิบตัวเข้าหาเจน
   “ข้อตกลงระหว่างวินกับเอิร์ธที่คุณบอกผมที่ซูเม่เมื่อเช้า” กายลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ “คุณคิดว่าเป็นไปได้มั้ย ที่จะเกี่ยวข้องกับที่นี่ กับไอ้หมอนั่น”
   เจนมองเข้าไปในดวงตาของกาย
   “เจนรู้จักร้านนี้มาจากคุณมิก เค้าเล่าให้เจนฟังเมื่ออาทิตย์ก่อน ว่าเค้าพาวินมาส่งที่นี่ วันเป็นวันแรกที่เค้าเจอวิน วันแรกที่พวกเราใครซักคนเจอเด็กคนนี้” เจนว่า “เจนคิดแค่ว่า ถ้าจะเริ่มต้นตามหาความจริงเกี่ยวกับคุณวิน เจนก็น่าจะเริ่มต้นจากจุดแรกที่เขาเริ่มเกี่ยวข้องกับเรา กับเมืองนี้”
   กายเหลือบมองเจ้าบาริสต้าที่บาร์นั้นอีกครั้ง
   “แล้วหมอนั่นล่ะ” กายถามต่อ เจนหันไปมองตาม
   “เจนไม่รู้จักเค้า เจนเจอเค้าเมื่อวันเสาร์ วันที่เจนไปดีสนีย์แลนด์” เธอเล่า
   “เกิดอะไรขึ้นที่ดีสนีย์แลนด์” กายถาม
   “เจนไม่รู้...เจนไม่....”
   “บอกผมมาเจน ผมปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้” กายว่าเสียงเข้ม “มันเกินไปและ”
   เจนถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “พวกเราแยกกัน มีเรื่องกันในทริปค่ะ” เจนว่า “เอิร์ธกับวินทะเลาะกัน แล้ววินก็หายตัวไป ส่วนเอิร์ธก็บอกกับจีโอว่าข้อตกลงอะไรบางอย่างที่เค้าพูดไว้กับวินเป็นอันยกเลิกแล้ว และเอิร์ธเค้าก็เป็นคนส่งจีโอมาจีบเจนเอง ซึ่งเจนก็เดาว่า น่าจะเป็นหนึ่งในข้อตกลงแบบเด็กๆที่เอิร์ธและวินสร้างขึ้นมา”
   กายนั่งฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่เจนเล่าออกมา
   “เจนยอมรับว่าเจนโกรธมากที่รู้ว่าเอิร์ธทำแบบนั้น เจนก็เลยบอกเอิร์ธเค้าไปว่า คุณหมั้นกับนัทแล้ว” เจนพูดทันที กายหลับตาลง
   “ให้ตายสิ” กายสบถออกมา “คุณก็เห็น ว่าเอิร์ธเป็นคนยังไง ข่าวเรื่องหมั้นของผมกับนัท จะเปลี่ยนทุกอย่างที่เค้าคิด ถ้าคุณบอกเค้า นั่นเท่ากับว่าสิ่งที่เอิร์ธพยายามมาตลอดเรื่องมิกมัน...”
   “ไม่มีประโยชน์เลย ใช่ค่ะเจนรู้” เจนว่า “แต่เจนแค่คิดว่า คุณมิกกับเอิร์ธ น่าจะเรียนรู้ได้แล้วว่า ถึงความรักมันออกแบบไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ต้องทำอะไรกับความสัมพันธ์เลย เจนสงสารเอิร์ธ เจนแค่อยากให้เอิร์ธได้อะไรบ้าง จากการที่เค้าวิ่งตามมิกมาตลอดค่อนปีนี่”
   กายเงียบสนิท
   “เอิร์ธไม่เหมือนคุณหรอกนะ ที่ปล่อยให้ความรักจัดการตัวมันเองแล้วก็นั่งรออ่ะ เอิร์ธเค้ารักคุณมิกเกินกว่าจะทำอย่างนั้น” เจนว่า “เจนเคยเตือนเค้าหลายครั้งแล้ว ว่าเค้าควรจะไว้ใจเจน แต่เค้าเลือกไว้ใจวิน และดึงวินเข้ามาแทรกกลางเกมส์นี้ มิกกับเจนเลยกลับไม่ได้ไปไม่ถึง เราสองคนไม่รู้เลยว่าเอิร์ธจะทำอะไร”
   “มิกเค้าไว้ใจเอิร์ธสุดหัวใจเลยไม่ใช่เหรอ” กายว่า
   “มิกไว้ใจค่ะ แต่เค้าไม่ทำ” เจนตอบ “มิกอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆไม่ได้ เค้าทำอย่างนั้นไม่เป็นค่ะ เค้ามองเอิร์ธเป็นเด็กเสมอ ซึ่งจากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา เจนว่ามิกควรจะซึ้งได้แล้วว่าเอิร์ธไม่ใช่เด็กอีกต่อไป เค้าโตมาก เค้าจะเป็นคุณอยู่แล้วกาย”
   กายเหลือบตาลงทันที มิกเป็นแบบนี้จริงๆ เค้ารู้ดี จากเรื่องทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขา นัท และมิกเมื่อปีกลาย มิกเป็นคนเดียว ที่ไม่ยอมรับความจริง ที่ถึงแม้ว่ามันอยู่ตรงหน้า มิกสามารถปฏิเสธความจริง และนั่งจมกับความสุขที่ไม่มีอยู่ได้
   “เอิร์ธเป็นไงบ้างวันนั้น ที่คุณแยกกับเค้า” กายถาม
   “เค้ามีเรื่องกับคุณไกด์ด้วย” เจนว่า “แล้วเค้าถูกทิ้ง เจนไม่แน่ใจว่าเค้าไปกับคุณสาหรือเปล่า แต่ วันนั้นเจนก็เหนื่อยเกินกว่าจะแบกเค้าไว้อีกคนเหมือนกัน เจนก็เลย....กลับที่พักมาก่อน”
   “แล้วคุณจีโอล่ะ” กายร้อง
   เจนสะดุ้งเล็กน้อย
   “เออใช่ จริงสิ” เจนล้วงหยิบมือถือของตัวเองออกมา มองหน้าจอมันครั้งหนึ่ง
   “เค้าโทรหาคุณใช่มั้ย” กายว่า “คุณไม่ลองถามเค้าล่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ก็ถามว่า...... อ้อ.....เข้าใจล่ะ”
   เจนเงยหน้าขึ้นมองกาย เขายังคงครองตำแหน่งแฟนเก่าของเจนเอาไว้ได้อย่างดี
   “คุณไม่เข้มแข็งพอที่จะคุยกับเค้า” กายว่า เจนถอนหายใจ พลางหลบตาลงพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง “ผมว่าเราต้องคุยกันเรื่องนี้แล้วล่ะ หยุดวิ่งหนีได้แล้วนะเจน บางทีความจริงที่คุณตามหา อาจจะอยู่ที่ผู้ชายคนนี้ก็ได้”
   กายจับมือของเธอ
   “ผมจำได้ว่าตอนมัธยม คุณเคยบอกผมว่า คนคนนั้นของคุณ จะต้องเป็นคำตอบให้คุณไม่ใช่เหรอ” กายว่า “คิดบ้างหรือเปล่า ว่าบางทีอาจจะเป็นคนนี้”
   “โอ๊ยยย กายขอล่ะ อย่าเพิ่งบิวท์เจนกับเค้าตอนนี้ได้มั้ย” เจนว่า “คำตอบที่เจนอยากรู้ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของเค้า เจนอยากรู้เรื่องข้อตกลงของวินกับเอิร์ธมากกว่า”
   “ผมว่าผมรู้” เสียงอันนุ่มลึกดังขึ้นด้านหลังเจน กายและเจนหันไปมองทันที ไกด์ในชุดบาริสต้า ยืนมองทั้งคู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย
   “คิดงั้นเหรอนาย” กายถาม “แล้วมันคืออะไร”
   “ข้อตกลงของวินกับเอิร์ธก็คือ...” ไกด์พูดช้าๆ “วินต้องการให้เอิร์ธเข้าไปอยู่ในบริษัทคุณแทน แล้วค่อยๆเฟดตัวเองออกมาแล้วหายไป”
   “อะไรนะ” เจนร้องอย่างไม่เชื่อหู พลางแค่นหัวเราะ “เป็นไปไม่ได้หรอก คุณผิดแล้วคุณไกด์ คุณวินน่ะเหรอจะเฟดตัวเองออกไปจากซูเม่ เค้าเป็นลุกชายคุณวรพัฒน์นะ เรื่องอะไรเค้าจะยอมออกไปจากงานของพ่อเค้าง่ายๆ ไม่มีทางหรอกค่ะ”
   “เค้ามีปัญหากับพ่อเค้ามาก่อนที่จะเดินทางมาปารีส” ไกด์ว่า “วินเจอเรื่องแย่ๆเกี่ยวกับงานและพ่อของเค้า เค้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ออกจากเรื่องพวกนี้ เค้าต้องการเอิร์ธและจีโอเพื่อทำให้การหายตัวไปของเค้าง่ายขึ้น”
   กายมองไปที่ใบหน้าของไกด์ สัมผัสได้ถึงพลังอะไรบางอย่างส่งประกายออกมา
   “ห๊ะ” เจนหัวเราะอย่างจงใจ “คุณไปเอาเรื่องเป็นตุเป็นตะนี่มาจากไหนเนี่ย จากปากคุณวินเหรอ ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะคุณไกด์ ฉันเคยอยู่เมืองไทย และพอจะได้ยินกิตติศัพท์คุณวินมาก่อนคุณ เค้าเคยเป็นเด็กที่เหลือร้ายมาก เค้าจะปั้นเรื่องอะไรหลอกคุณก็ได้ คุณเป็นแค่คนที่รู้จักเค้า และอาจจะช่วยเหลือกันแค่ผิวเผิน ฉันกล้าพูดเลยว่าที่คุณได้ยินมาน่ะ ไม่มีเรื่องไหนจริงได้เลย ใช่มั้ยคะกา....”
   เจนชะงักกับใบหน้าของกายที่หรี่มองบารีสต้าคนนั้นอย่างไม่ละสายตา หญิงสาวมองไปมาระหว่างทั้งคู่
   “อะไรคะ กาย...” เจนเอ่ยปาก
   “นายไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักวินสินะ” กายยิ้มกริ่มที่มุมปาก เค้ารับรู้ได้ถึงอารมณ์คุกรุ่น และโมโหขนาดนั้นอาการหงุดหงิดที่เกิดจากความรู้สึกผิด อาการโหยหาแบบนั้นเค้าเคยเป็นมาก่อน และบารีสต้าคนนี้ ก็เพิ่งแสดงมันออกมา ระบายความผิดพลาดทุกอย่างของตัวเองใส่เขาเมื่อกี้นี้เองที่หน้าร้าน
   ความรัก.....
   “อะไรกัน นี่....กายเชื่อว่า...” เจนร้อง พลางหันไปมองไกด์ทันที
   “ผมเป็นรูมเมทเค้า ผมช่วยเหลือเค้ามาตั้งแต่วันแรกที่เค้ามาที่นี่” ไกด์พูดทันที เจนมองหน้าไกด์ทันที “เขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจแน่”
   “แต่ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง....กาย” เจนหันกลับมามองหน้าแฟนเก่าเธอ “กายอย่าบอกนะว่ากายเชื่อสิ่งที่....”
   “แต่ผมกับวินเป็นมากกว่ารูมเมทแล้วตอนนี้....” ไกด์พูดเสียงดังฟังชัด ทำเอาเจนเงียบ “เราสองคน ตั้งใจจะออกไปอยู่ด้วยกัน ถ้าข้อตกลงของเอิร์ธและวินไม่พังลงซะก่อน ช้อตกลงที่คุณอยากรู้น่ะ”
   กายผายมือและเลิกคิ้วใส่เจนทันทีอย่างคนรู้ทัน ก่อนจะยิ้มให้กับไกด์
   “คนที่ทำทุกอย่าง เพื่อความต้องการของตัวเอง” กายพูดเบาๆ “นี่ไงเจน เรื่องที่คุณตามหา.....คำตอบ บิงโก!!!”
   เจนถอนหายใจเสียงดังทันที
   “ไม่นะ ไม่จริงอ่ะ” เจนว่าพลางหันไปหาไกด์ แต่่แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้น มันส่งประกายเกินกว่าเจนจะปฏิเสธมัน “โอ๊ยยย ไม่นะ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เอาอ่ะ ไม่ ไม่ ไม่”
   เจนพูดคำนั้นกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางเอามือจับขมับตัวเองอย่างไว้ท่า
   ....คุณอาจจะทำเพื่อเพื่อนของคุณ ผมก็ทำเพื่อเพื่อนของผมเหมือนกัน.....
   เสียงของจีโอดังก้องในหัว เช่นเดียวกับสวิตซ์ไฟที่เปิดต่อกันในหัวเธอทันที
   “Kevin E. Wally” เจนพูดขึ้นทันทีอ่างแผ่วเบา แม้จะยังหลับตาแน่นและนวดขมับตัวเองเบาๆ “ชื่อคุณใช่มั้ย”
   ไกด์ไม่ได้ตอบอะไร
   “อะไรนะ” กายถามทันที
   “เอกสารข้อมูลธุรกิจของจีโอ บอกว่าเค้ามีหุ้นส่วนที่ทำธุรกิจอสังหาด้วยกันมาในเบอร์ลิน” เจนว่า “จีโอบอกว่าหุ้นส่วนของเขาทำงานอยู่ที่ปารีส เป็นอีกเหตุผลโง่ๆที่เขายกขึ้นมาเพื่ออ้างว่าจะได้ย้ายมาอยู่ที่ปารีสเป็นการถาวร เหตุผลโง่ๆที่ฉันไม่ยอมเชื่อ”
   “คุณเชื่อแล้วสินะ” กายพูดติดตลก “หมัดนายนี่หนักน่าดู”
   “ผมขอโทษ ผม...แค่....” ไกด์ว่า “คือ......วินโดนตาม มี...เอ่อ...คนสะกดรอยตามเค้าหลายสัปดาห์ก่อน ก่อนที่เค้าจะหายไป ผม...ผมแค่ไม่รู้ว่าผมจะไว้ใจใครได้แล้ว...เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับวิน.....วินบอกว่า พ่อของเค้าเป็นคนส่งมาซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะ...”
   “ใช่แน่อยู่แล้ว” เจนพูดต่อไกด์ กายมองหน้าเธอด้วยคำถามมากมาย
“คุณวรพัฒน์ ไม่ยอมหรอกกาย” เจนพูดเสียงสั่นตอบ “เค้าไม่ยอมให้ลูกชายคนเดียว ทำบริษัทที่เค้าลงทุนมากับมือพังหรอก นั่นแหละคือสาเหตุ”
   เจนถอนหายใจทันที กายถึงกับส่ายหัว พลางมองออกไปด้านนอก นี่มันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากนัก
ไกด์ทรุดตัวพิงกับกำแพงด้านหนึ่งของร้าน
   “วินไม่กลับบ้านตั้งแต่พวกเราแยกกันที่ดีสนีย์แลนด์ พวกคุณรู้มั้ยว่าเค้าไปไหน” ไกด์ถามเสียงสั่น
   “พวกเราไม่รู้ค่ะ” เจนว่า “ฉันเองก็พยายามติดต่อเค้าแล้วแต่ ก็ไม่เจอ ไม่เจอจริงๆ”
   “นาย” กายลุกขึ้นเดินไปหาไกด์ทันที เจนยังคงนั่งนิ่ง ความจริงที่ถาโถมเข้ามา ยังสร้างความมึนงงบางอย่างให้กับเธอ “ฟังนะ ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ นายอาจจะไม่เชื่อฉันก็ได้แต่ พวกเราไม่ใช่คนที่คิดร้ายกับวิน และอยากให้นายเชื่อใจ”
   ไกด์มองหน้ากายทันที
   “ถ้าเย็นนี้วินเค้ายังไม่กลับมา นายโทรหาฉันทันที” กายว่า “ฉันจะทำทุกวิถีทาง ไปตามเค้ากลับมา แต่นายต้องอยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน และทันทีที่นายเจอคนต้องสงสัยที่บอกว่าเค้าตามวิน ก็รีบโทรบอกฉันเลย โอเคมั้ย”
   กายยื่นนามบัตรของตัวเองให้ไกด์
   “แน่ใจนะว่าผมเชื่อใจคุณสองคนได้” ไกด์ว่า
   “มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ตัวคุณอยากจะทำอย่างที่คุณวินตั้งใจเอาไว้มั้ย” เจนหันมาตอบทันที “ทิ้งทุกอย่างแล้วมาอยู่กับคุณที่นี่น่ะ”
   ไกด์นิ่งสนิท
   “ผมขอตัวไปทำงานก่อน คุณอยู่ที่นี่จนกว่าร้านจะปิดนะ” ไกด์ว่า “ผม...ผมจะไม่คิดค่าบริการใดใด ถือเป็นการขอโทษที่เรื่องเกิดขึ้น”
   ไกด์เดินออกจากตรงนั้นไปทันที กายถึงกับถอนหายใจ เช่นเดียวกับเจน
   “ลูกชายคุณวรพัฒน์ทำเรื่องซะแล้ว” กายว่า “เจ้าวินมีความรัก”
   “ให้ตายสิ งี่เง่าที่สุด” เจนว่า “มันจะเป็นไปได้เหรอคะกาย”
   “มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ” กายว่า “หมัดหมอนั่นหนักเอาการเลยอ่ะ ตอนผมถามว่าวินอยู่มั้ย เรื่องวินถูกตาม ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องโกหก คุณวรพัฒน์เป็นยังไง เราก็รู้ดีกันอยู่”
   “เราจะทำยังไงดีคะ” เจนว่า
   “ผมจะตามหาเอิร์ธเอง ถ้าเจอเค้า เค้าอาจจะรู้ว่าวินอยู่ไหน” กายว่า “เค้าสองคนเป็นเพื่อนกัน”
   “แล้วเจนล่ะ” เจนว่า
   “คุณเหลือเวลาอีกวันเดียว ก่อนการประชุมปันงบจะเริ่ม ถ้าคุณอยากให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่คุณต้องการ คุณต้องไปหาจีโอ” กายว่า “เค้าเป็นทางเลือกสุดท้าย”
   “แล้ววินล่ะคะ” เจนว่า
   “วินจะอยู่ไม่อยู่มันไม่ใช่ประเด็นแล้วตอนนี้” กายว่า “ถ้าคุณวรพัฒน์รู้ว่าลูกชายหักหลัง ไม่ใช่แค่ไกด์จะพังนะ ซูเม่ทั้งหมดจะได้รับผลกระทบ ผมยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้”
   “ถ้าเจนยอมรับเรื่องพวกนี้ได้เร็วกว่านี้ ถ้าเจนรู้ซักนิดว่าวินเค้า.....ก็คง...” เจนก้มหน้าลง กายถลาเข้ามาหาเธอ
   “เจนจิราที่ผมรู้จักไม่ใช่คนอ่อนแอ ที่ผ่านมาเธอเป็นอาจารย์พิเศษดูแลเด็กสองคนจนประสบความสำเร็จ” กายว่า “และผมเชื่อว่าเธอจะทำหน้าที่นั้นต่อ.....”
   เจนมองหน้ากายทันที
   หรือว่าพ่อมดแม่มดแห่ง Loveless Society จะต้องกลับมาร่ายมนต์อีกครั้ง
   ในเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่ากลัวแห่งนี้
   ....................
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 40 Wizard of Ice]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-09-2014 12:20:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 40 Wizard of Ice]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-09-2014 23:11:55
 :impress2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 40 Wizard of Ice]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-09-2014 23:31:23
ขอบคุณนะคะ
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
มาต่อบ่อยๆนะคะ
คิดถึงวิน เป็นห่วงวินที่สุดเลย
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 41 Fire to the rain]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 16-09-2014 03:32:08
ตอนที่ 41 Fire to the rain

   เรื่องที่น่าตกใจของการนั่งอย่างใช้ความคิดของเจน คือการทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ที่เจนยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมในร้านเกล็ดหิมะ ก่อนกายจะออกเดินทาง เธอรบกวนให้เขาขนเอกสารบนโต๊ะเธอที่ซูเม่มาไว้ที่นี่ กองเอกสารทั้งหมดวางอยู่ตรงหน้า เธอกวาดสายตาอ่านทุกอย่าง ทุกเล่ม ทุกแผ่น ที่ปรากฎชื่อของวิริยะหรือนฤเดช รวมถึงเอกสารของจีโอที่ปรากฎชื่อของเคลวินเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
   กายทำตามสิ่งที่ให้คำสัญญาไว้ เขาเริ่มออกตามหาเอิร์ธโดยเริ่มจากการโทรหาคู่หมั้นของตัวเองและคุณสา เขาขอร้องไม่ให้สาหรือนัทพูดเรื่องนี้กับมิกเด็ดขาด นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่มิกจะต้องมานั่งตีโพยตีพายอีกคน และยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามิกรู้ว่าเจนและเขายื่นมือเข้ามาในเรื่องนี้ล่ะก็ อาร์ทติสคนนี้จะกลายร่างเป็นปีศาจและวิ่งโร่มาเอาเรื่องกายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยที่อยู่เมืองไทย ไม่แน่ว่าเจนอาจจะโดนไปด้วย และเจนก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมให้ใครมาโจมตีเธอง่ายๆ ถ้าเรื่องนี้จะพัง เขาก็ต้องการให้มีคนได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด
   แก้วกาแฟถูกวางลงตรงหน้าเจนจิรา ในขณะที่เธอเห็นร่างๆหนึ่งนั่งลงตรงข้ามเธอ
   “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย” ไกด์ถามเธออย่างสุภาพ เจนส่ายหน้าให้เขา
   “ก็ถ้าคุณรู้ว่าวินอยู่ไหน นั่นก็จะช่วยได้มาก” เจนตอบทันที
   “ผมตามหาเค้าแล้ว นอกจากบ้านผมที่ทอร์ควิล เขาไม่มีที่อยู่ที่ไหนอีก” ไกด์ตอบ “เขาทะเลาะกับเอิร์ธ ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน”
   “คุณคบกับเค้ามานานแค่ไหนแล้ว” เจนถามทันที ไกด์มองหน้าเธอกลับ “ขอโทษที่ฉันถามละลาบละล้วงแต่...ฉันจำเป็นต้องรู้ ฉันต้องรู้ว่าวินจะทำอะไร เพราะมันจะส่งผลกับพ่อเค้าโดยตรง”
   “คือ....เราสองคนไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ เราแค่” ไกด์ถอนหายใจ “ผมไม่ดีเอง”
   เจนมองหน้าชายตรงหน้าอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
   “ร้านนี้ทำให้เราได้เจอกัน” ไกด์ว่า “วันนี้ลูกค้าไปหมดแล้ว เพราะผมบอกว่าจะปิดร้านเร็ว แต่ถ้าเป็นวิน เค้าจะอยู่ต่ออีกสองถึงสามชั่วโมงเค้าเอ่อ.....เค้ากลายเป็นคนที่สนุกกับการได้ช่วยเหลือคนอื่นที่นี่”
   “เพื่อนฉันบอกฉันว่าที่นี่ดูแลคนไทยที่ไม่มีที่อยู่” เจนว่า “พวกคุณแอบให้งานคนไทยหลายคน แล้วก็ช่วยเหลือกันลับๆที่นี่”
   “ใช่ครับ” ไกด์ว่า “เจ๊ใหญ่เป็นคนริเริ่ม คุณคงได้พบเธอแล้ว....”
   “ใช่ค่ะ เธอเอาข้อมูลของที่นี่มาให้ฉันเมื่อช่วงเย็น เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารัก” เจนว่า “แต่ฉันก็บอกเธอไปแล้วตรงๆ ว่าหลายเคสที่พวกคุณช่วยเหลือ มันผิดกฎหมาย”
   “ใช่ครับผมรู้” ไกด์ว่า “วินเองก็รู้ ผมเป็นช่วยเหลือเค้า ตอนที่เค้ามาที่นี่”
   “ยังไง” เจนถามต่อ
   “เค้าไม่มีเงินเลย ผมเดาเล่นๆว่าเค้าเป็นเด็กเอาแต่ใจ ที่พ่อส่งมาดัดนิสัย” ไกด์ว่า “ผมให้เค้าทำงานที่นี่ไปก่อน แล้วก็ให้ไปเป็นรูมเมทผม ตอนนั้นผมโกหกชื่อจริงกับเค้า ผมให้เค้ารู้จักผมในชื่อคนอื่น แต่....พอผมบอกความจริง เขาก็กลับไม่ไปไหน แล้วก็ยังยืนยันจะช่วยเหลือที่นี่ ยังอยู่กับผมต่อ”
   “ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เค้าเริ่มย้ายจาก Esmod ไปที่ซูเม่” เจนจิราว่า ไกด์พยักหน้ารับ
   “คงเป็นช่วงนั้นมั้งครับ ที่เอ่อ เราสองคน......” ไกด์เงียบเสียงลง “วินดูมั่นใจมาก กับสิ่งที่ตัวเองทำ เขาอยากออกมาอยู่กับผม สำหรับผมแล้ว ผมเองก็อยากช่วยเหลือที่นี่ แต่....ก็เพราะว่าที่นี่อันตราย เราอาจจะเข้าคุกกันเมื่อไหร่ก็ได้ ผมเลยไม่อยากให้เค้ามาเสี่ยงกับผมที่นี่ แต่เค้าก็ไม่สนใจอะไร แล้วก็ทำเรื่องต่างๆให้เกิดขึ้น”
   “คุณคิดว่า เป้าหมายของวิน คือการออกมาดูแลที่นี่กับคุณงั้นเหรอคะ” เจนถาม
   “ครับ ผมคิดว่านะ เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีช่องทางไหนได้อีก ที่วินเค้าจะไป” ไกด์ว่า เจนจิราเหล่มองไกด์อย่างพยายามเจาะทะลุอะไรบางอย่าง “มีอะไรเหรอครับ”
   “แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่” เจนจิราว่า ไกด์ขมวดคิ้ว ในขณะที่เธอหยิบเอกสารบางอย่างออกจากแฟ้มวางลงตรงหน้าไกด์ทันที “นี่เป็นเอกสารวันที่จีโอเซนต์รับทราบการเป็นหุ้นส่วนของซูเม่ ลงวันที่ 7 มิถุนา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ฉันกับเพื่อนของฉันคนเมื่อเช้า เรามีคำสั่งโอนไปขยายสาขาที่อังกฤษ”
   “แล้ว....” ไกด์ยังตามไม่ทัน
   “หลังจากวันนั้น ฉันเคยไปโวยวินที่ออฟฟิศ ว่าเค้าเอาอะไรไปมั่นใจนักหนาว่าจะสามารถทำแฟชั่นวีคได้คนเดียว และเค้าก็ดึงจีโอเข้ามายืนยันกับฉันในช่วงนั้นพอดี” เจนจิราว่า “ในฐานะนักลงทุนเหมือนกัน คุณน่าจะรู้ดี ว่าต่อให้สนิทกันแค่ไหน ไม่มีทางที่คุณจะลงเงินสนับสนุนงานใครได้ในทันทีแบบนี้โดยที่ไม่มี...”
   “หลักประกัน” ไกด์ต่อคำเจนจิรา “วินมีหลักประกันอื่นงั้นเหรอครับ”
   “ค่ะ” เจนจิราตอบ “ฉันคิดว่าวินและจีโอมีข้อตกลงร่วมกันอื่นอีกที่แม้แต่เอิร์ธก็อาจจะไม่รู้ ไม่อย่างนั้นเพื่อนคุณไม่มีทางลงเงินกับซูเม่ กับวินได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วแบบนี้หรอกถ้าไม่มีหลักประกัน จีโออาจจะเป็นนักธุรกิจที่สนุกกับการลงทุน แต่เค้าไม่มีทาง....”
   “ทำอะไรบนความเสี่ยง ใช่ครับ” ไกด์ตอบ “คุณรู้ได้ไงเนี่ย”
   “ก็..จากเอกสารพวกนี้ไงคะ” เจนจิราว่า
   “ไม่ใช่ ผมหมายถึงนิสัยจีโอ” ไกด์ตอบ เจนจิราเงียบทันที
   “คือเอ่อ.....” เจนจิราหลับตาลงครั้งหนึ่ง “คุณไกด์ เพื่อนของคุณถูกดึงเข้ามาเสียบในตำแหน่งที่อันตรายนะ มีบางคนต้องการจะยื้อตำแหน่งผู้ถือหุ้นส่วนนี้อยู่ ฉันไม่แน่ใจนัก ว่าจีโอเค้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าวินกำลังทำให้เค้าเจอกับอะไร”
   “คุณหมายถึงพ่อของวินใช่มั้ย” ไกด์ถามต่อ “ทำไมเค้าต้องทำขนาดนี้ด้วย เค้ารู้หรือเปล่าว่าลูกเค้าทำอะไรไปบ้าง”
   “ที่เมืองไทย คุณวรพัฒน์หยิบยื่นโอกาสที่ดีกับวงการดีไซน์เนอร์ กลางปีก่อนครีเอทีฟมากมายถูกกระจายออกสู่ตลาดโลก เพราะคอสโม่ คอนเทอลิโอนี่ ฉัน และเพื่อนของฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในโอกาสนั้น มันกลับมีอะไรซ่อนอยู่” เจนจิราว่า “ครีเอทีฟหลายคน ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ คุณวรพัฒน์เข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทาง จนทำให้งานสร้างสรรค์ถูกเปลี่ยนไปในรูปแบบของธุรกิจและเม็ดเงิน อาชีพของพวกเราถูกตีราคาและขาย และโอกาสที่เขาเคยอ้างว่าจะหยิบยื่นให้ ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่จะทำให้เขาได้เปอร์เซนต์จากการออกสู่ตลาดโลกในตัวเลขที่มากขึ้น ในขณะที่พวกเรามีราคาเดิม”
   ไกด์ฟังเธออย่างตั้งใจ
   “โชคดี ที่พี่สุเมธ เจ้าของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล ไหวตัวทัน เขารวบรวมเงินทุนได้จำนวนหนึ่ง และเข้ามาปรึกษาฉันกับเพื่อน เราตัดสินใจเปิดแบรนด์ของพวกเราเองในชื่อซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอล เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับวามสร้างสรรค์และงานศิลปะแบบไร้ขอบเขต และก็โชคดีที่เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดสากล และนั่นก็ทำให้....”
   “คุณวรพัฒน์ตามพวกคุณมา พร้อมกับเงินลงทุน เพื่อเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ” ไกด์ว่าต่อ เจนพยักหน้าตาม “นี่คือสาเหตุที่คุณพยายามตรวจสอบวินมาตั้งแต่แรก เพราะคุณคิดว่าเขามาในนามพ่อของเขา”
   “ฉันเสียใจ” เจนจิราว่า “ฉันคิดไม่ถึงว่าวินเองก็มีความรู้สึก มีชีวิตเป็นของตัวเอง ฉันดูถูกเขา”
   “และนั่นก็เป็นแรงผลักให้เขายิ่งทำทุกอย่างเพื่อจะเอาชนะคุณ” ไกด์ว่า “เขาทำงานหนักมากๆเลยครับในทุกๆวัน ไม่ใช่แค่งานที่คุณสั่งเค้า งานของที่ร้านนี้ด้วย มีอยู่ช่วงนึงที่ผมหายไป เค้ารับงานที่ร้านนี้ไปดูแลเองคนเดียว ตลอดเดือน”
   เจนหายใจเข้าอย่างไม่เป็นจังหวะ
   “ฉันอยากแก้ตัว” เจนยอมรับกับไกด์ “ถ้านี่เป็นโอกาสสุดท้าย ฉันก็อยากจะทำ”
   ไกด์มองซ้ายมองขวา ก่อนจะกลับมามองเธอ
   “วินถูกคนตามมาหลายอาทิตย์แล้ว” ไกด์ลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ “ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเค้า คุณกับเพื่อนคุณหยุดพ่อเค้าได้มั้ย”
   “ฉันไม่แน่ใจนักแต่....” เจนมองออกไปนอกร้าน “ฉันยังมีข้อมูลไม่มากพอฉัน....”
   “คุณต้องไปหาจีโอ” ไกด์ว่า “ไปกับผม ผมพาไปเอง”
   “แต่ฉัน.....”
   ไกด์จับมือของเธอพลางลากเธอออกจากร้าน ทิ้งเอาเอกสารทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะอย่างนั้น ก่อนจะล็อคประตูร้านทันที เจนจิราซุกมือลงในเสื้อโค้ดของเธอ ขณะที่รอไกด์ปิดร้านให้เรียบร้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มออกเดินไปตามถนนเซนต์จอร์จ
   “คุณแน่ใจได้ไง ว่าจีโอจะบอกเรา” เธอถามไกด์ “คุณทำให้เค้าพูดได้มั้ย”
   “ผมเหรอ” ไกด์ว่า “เค้าไม่พูดเพราะผมหรอก...ถ้ามันจะพูด ผมว่าเพราะคุณ..”
   เจนยิ้มน้อยๆให้กับคำตอบนั้น เธอเองก็มีคำพูดมากมายอยากจะบอกจีโอเหมือนกัน
   หนึ่งในนั้น คือคำว่าขอโทษ......
..................
   ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วปารีส ความมืดย่างกรายเข้ามาทำให้ท้องถนนกลางปีเต็มไปด้วยความอึดอัด เสียงฝีเท้าของหญิงสาวรูปร่างโอดองค์วิ่งไปตามท้องถนนที่มิดสนิท เธอรู้ตัวว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผิดพลาด ผิดพลาดเอามากๆ และก็คงเป็นเธอเองที่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เอง ความหวาดกลัวก้าวขึ้นมาในใจอยู่ทุกขณะเมื่อรู้ว่าการหลบหนีในเวลาแบบนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะและ
   “ถ้าจำไม่ผิดเรามีนัดกันที่บัวส์ เดอ บูโลญ” ชายคนหนึ่งเท้าแขนขวางหญิงสาวเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะหลุดออกจากตรอกไป หญิงสาวชะงักงันก่อนที่จะตั้งสติได้
   “พรุ่งนี้ฉันมีเดินแบบ อยากกลับไปพักผ่อน” เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
   “ไม่เอาน่าสเตลล่า เธอไม่ใช่คนที่จะลืมอะไรง่ายๆนี่” ชายคนนั้นเรียกชื่อเธอ “ฉันเองไม่ได้อะไรจากการวิ่งไล่เธอ เธอต่างหาก ที่หน้าที่การงานของเธอ เดิมพันเอาไว้กับข้อตกลง ที่ดูเหมือนว่าเธอ....”
   ชายคนนั้นกระชากแขนเธออย่างแรงทันที
   “...จะไม่ทำตาม” ชายคนนั้นกัดฟัน สเตลล่าสะบัดแขนตัวเองออกทันที
   “อย่ามาล้ำเส้นกับฉันนะ รายละเอียดทุกอย่างที่ฉันรู้ ฉันก็ให้เค้าไปหมดแล้ว นายจะเอาอะไรอีก” สเตลล่าว่า
   “ลูกชายของเค้าหายตัวไป เค้าต้องการให้เธอตามหาให้พบและพาเค้ากลับมา” ชายคนนั้นกล่าวอีก
   “มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะ” สเตลล่าว่า “ลูกใครหาย ก็ไปตามเอาเองสิ มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันซะหน่อย”
   “แต่ตอนที่ฉันให้โอกาสเธอกับคอสโม่โพลิแทน จำได้ว่าเธอไม่ได้พูดอะไรแบบนี้” เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้น เสียงที่ทำให้สเตลล่าถึงกับหยุดชะงักทุกๆอย่างแม้กระทั่งในความคิด เธอหันไปยังอีกฟากนึงของถนน ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทอยู่ในรถส่วนตัวที่กำลังเปิดประตูอยู่
   “คุณวรพัฒน์” เธอพูดเสียงตะกุกตะกัก
   “จำได้ว่าเธอ บอกกับฉันว่าเธอเป็นแฟนของลูกชายฉัน” วรพัฒน์ว่าต่อ “และก็ยินดีที่จะจับตาดูเขาให้ฉันทุกฝีก้าวไม่คลาดสายตา เพื่อแลกกับการได้สัญญากับคอสโม่ไปสองปี”
   “คือฉัน...”
   “แล้วเธอก็ผิดคำพูดของตัวเอง....” วรพัฒน์พูดต่อ สเตลล่าหลับตาลงทันที
   “ฉันบอกคุณไปหมดแล้ว ทุกเรื่องที่ฉันรู้ ความจริงทุกอย่าง” สเตลล่าว่า
   “ความจริงของเธอ” วรพัฒน์ต่อคำ
   “ความจริงไม่เป็นของใครทั้งนั้น” สเตลล่าว่า “ฉันได้ทำตามที่คุณขอแล้ว เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
    “แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อนว่าชื่อของเจ้าวินจะอยู่ไม่ในโผผู้บริหารซูเม่ ถ้าเธอรายงานฉันทุกอย่างแล้ว” วรพัฒน์แผดเสียง
   “ฉ...ฉันไม่รู้” สเตลล่าพูดกุกกัก
   “งั้นก็บังเอิญว่าฉันอาจจะหลุดปากบอกเพื่อนผู้บริหารของฉันที่คอสโม่โพลิแทนได้ ว่าเธอเคยติดสารเสพติดและกำลังเข้ารับการบำบัด ถ้านางแบบอนาคตไกลมีข่าวแบบนี้มันจะเป็นยังไงกันนะ”  วรพัฒน์ว่าต่อ
   “คุณจะพูดกับที่ทำงานของฉันว่าอะไรก็ได้ แต่ฉันบอกคุณหมดแล้วนะ” สเตลล่าว่า “ทำไมคุณถึงต้องใส่ใจกับเรื่องนี้นัก วินเค้าทำให้คุณมาแล้วทุกอย่าง แล้วฉันก็เชื่อว่าในวันพุธนี้ จะมีวินในตำแหน่งที่เหมาะสมกับเค้าที่ซูเม่แน่นอน”
   “งั้นเหรอ” วรพัฒน์หยิบเอกสารขึ้นมาแล้วเขวี้ยงใส่เธอทันที “แล้วนี่มันอะไร”
   สเตลล่าหลับตาลงทันที
   “บอกฉันสิ ว่าเธอไม่เคยได้ยินชื่อ จิมมี่ โอรันโด” วรพัฒน์ว่าต่อ “ผู้ถือหุ้นคนใหม่ของซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอล นักธุรกิจจากเบอร์ลินที่เรียกตัวเองด้วยชื่อย่อว่า จีโอ เพื่อนเก่าแก่ของเธอ”
   สเตลล่าเงียบสนิท
   “ซูเม่ต้อนรับมันอย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่านายนี่ เข้ามาผ่านเส้นสายของเจ้าวิน และคนอย่างเจ้าวิน ก็ไม่มีทางจะไปรู้จักนักธุรกิจเบอร์ลินได้ ถ้าไม่ใช่การแนะนำจากคนในพื้นที่ จากสาวน้อยที่ยอมทิ้งบ้านเกิดจากเบอร์ลินมาเพื่อเป็นนางแบบ” วรพัฒน์ย่างเท้าเข้ามาหาเธอ
   “แล้วมันสำคัญตรงไหน ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของวินเค้า คุณเองก็น่าจะยอมรับ” สเตลล่าว่า
   “เธอตอบไม่ตรงคำถามนะนังหนู ฉันถามว่าทำไมเธอไม่รายงานฉัน ทั้งๆที่เราตกลงกันแล้ว” วรพัฒน์ว่า “เธอตุกติกกับฉัน และนี่คือความเสียหายหลายแสน ที่แม้แต่เสื้อผ้าที่เธอได้แต่ยืมมาใส่ขึ้นปก ก็ไม่มีปัญญาชดใช้ฉันได้หมด”
   “ได้....ฉันจะตอบคำถามคุณ” สเตลล่าว่า
   ถ้านี่เป็นสิ่งที่เธอจะชดใช้ให้กับการเลือกเส้นทางลัดอย่างไม่ใสสะอาดของเธอเมื่อเดือนก่อนเพียงชั่ววูบ หลังจากที่เธอพยายามหลายครั้งที่จะให้วินรู้ว่าเขากำลังอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก นี่คือสาเหตุที่เธอยกประเด็นให้วินทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของไกด์ให้ดี เพราะเธอรู้ว่า มีอะไรที่น่ากลัวมากกว่ารอทั้งคู่อยู่ แต่มันก็อาจจะสายไปแล้ว วินและไกด์มีความสัมพันธ์ที่ไกลเกินกว่าเธอจะทำลายได้ และเป็นเธอเองที่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง
   “ฉันไม่ใช่แฟนลูกชายคุณ” เธอพูดเสียงดังฟังชัด “ฉันรู้ว่าลูกชายของคุณ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ซูเม่ได้เติบโตต่อไป โดยไม่มีอำนาจของคุณอยู่ข้างในนั้น และฉันก็เห็นด้วย”
   วรพัฒน์จ้องหน้าเธอ
   “นั่นแหละ คือสาเหตุที่ฉันไม่บอกคุณเรื่องจีโอ ฉันจะรอให้คุณรู้เอง เมื่อโต๊ะบริหารกบีบให้คุณเซ็นรับทราบการปรับโครงสร้างและการปันงบ” สเตลล่าพูดต่ออย่างไม่เกรงกลัว “และคุณก็จะแพ้ ไม่ใช่แพ้ลูกชายคุณ หรือแพ้จีโอ คุณน่ะแพ้ตัวเอง แพ้อุดมการณ์สร้างโลกแห่งธุรกิจและเม็ดเงินที่คุณสร้างขึ้นมาและคิดว่ามีเพียงแค่คุณคนเดียวที่จะได้แต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ”
   “มันไม่มีอะไร ที่จะไม่เป็นไปตามที่ฉันต้องการ” วรพัฒน์ว่าอีก
   “งั้นเหรอคะ มันสายไปแล้วค่ะ” สเตลล่าว่า “และเท่าที่ฉันทราบ เจ้าของซูเม่ได้เซ็นรับรองคุณจีโอไปแล้ว ในและภายในวันพุธนี้ ผู้ถือหุ้นที่เหลือก็จะทยอยเซ็นตามๆกัน จนถึงคุณเป็นคนสุดท้าย”
   สเตลล่าเดินย่างสามขุมเข้าไปหาวรพัฒน์ทันที
   “คุณจะหยิบปากกาสีเทาด้ามนั้นที่คุณชอบนักหนา มาเซ็นรับทราบความพ่ายแพ้ของตัวคุณเอง” สเตลล่าพูดเสียงดังฟังชัด “และตอนนั้น ฉันจะนั่งดูบทเรียนที่คุณทำกับลูกชายของคุณอย่างพอใจ”
   วรพัฒน์กัดฟัน
   “สำหรับฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงฉันมันก็คนที่นี่ ไม่รอดก็ตาย ก็ดิ้นต่อไป” สเตลล่าว่า “แต่กับลูกชายคุณ เค้าเป็นคนดี ถึงแม้ว่าที่เมืองไทย เค้าจะเคยเกเร เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องของคุณ แต่กับที่นี่ เค้าได้หยิบยื่นโอกาสให้กับคนอื่น ให้กับคนที่มีอดีตอันเลวร้าย ให้กับฉันที่เป็นคนอื่นแท้ๆ เขาทำสิ่งที่คนที่มีเงินล้นฟ้าอย่างคุณ ไม่มีปัญญาทำ ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเค้าแน่นอน”
   น้ำตาของสเตลล่าคลอเบ้า......
   วิน....ฉันขอโทษ
   “และฉันสมเพชคุณจริงๆ” สเตลล่ากัดฟัน “หวังว่านี่คงจะชัดเจนแล้วนะคะ สำหรับคำถามที่คุณต้องการ”
   “หึหึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” วรพัฒน์หัวเราะดังลั่น สเตลล่าจ้องเขาตาถลน “เก่งมาก ให้ตายสิ คนรอบๆตัวเจ้าวินนี่มันตัวเจ๋งๆทั้งนั้นเลยว่ะ”
   เธอเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ขึ้นมาจริงๆซะแล้ว
   “นี่เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้ทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นแบบนั้น โดยที่ฉันไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ” วรพัฒน์กล่าว “ฉันบอกเธอไปแล้ว ว่าฉันลงทุนไปกับเรื่องนี้เยอะเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการถึง งั้นฉันก็จะเล่าอะไรให้เธอฟังนะ สาวน้อย”
   วรพัฒน์เดินเข้าหาเธอบ้าง
   “ฉันไม่เคยกลับไปเมืองไทยเลย นับตั้งแต่ฉันมาที่นี่เดือนก่อน” วรพัฒน์ว่า “เธอคิดว่าฉันจะลงทุนซื้อตึกราคาหลายล้านให้เจ้าวินไปฟรีๆ โดยที่ฉันไม่ได้อะไรเลยงั้นเหรอ ไม่ ไม่แล้ว พอกันทีกับลูกชายตัวแสบของฉัน ฉันสั่งให้ไลโอเนลล์ ตามดูมันทุกฝีก้าวมาตลอดหลายสัปดาห์มานี่ และฉันก็รู้มามานานมากแล้ว ว่าเธอ ไม่ได้เป็นอะไรกับมัน”
   ถึงตรงนี้ สเตลล่าไม่เหลือสติอะไรใดใดอีก
   “ฉันฝากงานให้เธอ ก็แค่เพื่อจะยืนยันสิ่งที่ฉันสงสัย และจะดูซิว่า น้ำหน้าอย่างมัน จะโกหกอะไรฉันอีก” วรพัฒน์ว่า “และมันก็จริง มันวิ่งโร่หาคนมาเสียบแทนตัวเองได้สำเร็จ หาทุนให้ตัวเองลงแฟชั่นวีคได้โดยไม่แตะต้องเงินฉันแม้แต่แดงเดียว มันกล่อมสุเมธให้ย้ายกายสิทธ์และเจนจิราไปขยายสาขาที่อังกฤษ เพื่อมันจะได้เวทีแฟชั่นวีคเดือนกันยาไปเต็มๆ โดยเป็นผลงานของมันเพียงคนเดียว ถ้าเธอคิดว่าฉันเป็นพ่อที่เลวร้าย แล้วใครที่เนรคุณ”
   สเตลล่าเงียบสนิท เธอไม่เคยกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นมากเท่านี้มาก่อนเลย
   “แล้วเพราะอะไร มันถึงจะอยากจะออกไปจากฉัน เพราะอะไร ฉันหยิบยื่นสิ่งดีดีให้มัน มันถึงปฏิเสธฉันมาตลอด” วรพัฒน์ว่าต่อ “มันเลือกชีวิตโง่ๆกับคนขายกาแฟ กับร้านอาหารโง่ๆที่ฉันสามารถซื้อได้ในราคาแค่สี่แสนยูโร มันเอาชื่อเสียงของฉัน มาจมกับเรื่องไร้สาระ โดยไม่ได้คิดถึงหน้าตาของพ่อแม่ เธอคิดว่าใครกัน ที่เป็นคนที่น่าสมเพชห้ะ”
   ใบหน้าของวรพัฒน์แดงก่ำด้วยความโกรธ สเตลล่าหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ
   “ตอบฉันสิ แม่คนเก่ง มองหน้าฉัน” วรพัฒน์จับหน้าเธอมามองตัวเขาเอง “คิดว่าฉันรู้แบบนี้แล้ว แล้วฉันจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นเหรอ ไม่ มันจะไม่เกิดขึ้น ไม่แน่นอน”
   “คุณ ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เสียใจด้วย” สเตลล่ารวบรวมสติ และตอบโต้ นี่ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ซะทีเดียว ใจของเธอไปอยู่กับวินเรียบร้อยแล้ว เธอต้องรีบให้เขารู้โดยเร็วที่สุด
   เบอร์ของวิน.......
   “คิดงั้นเหรอ” วรพัฒน์ว่า ”ถ้าเธอไม่กลัวสิ่งที่ฉันรู้ก็ดี เพราะสิ่งที่ฉันอยากให้เธอกลัวคือสิ่งที่ฉันทำไปแล้ว และสิ่งที่ฉันกำลังจะทำต่างหาก”
   วรพัฒน์กดรีโมทรถทันที กระจกสีดำขลับเผยให้เห็นร่างๆหนึ่งที่อยู่ในสภาพย่ำแย่และถูกมัด รวมถึงปิดปาก และในความืดมิดนั้น นั่นคือใบหน้าของเพื่อนของเธอ
   “จีโอ” สเตลล่าร้อง “คุณ...คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
   “มันยังไม่ได้ยื่นเรื่องเข้ามาเพื่อทำงานในปารีส ตอนนี้มันเป็นแค่นักท่องเที่ยวเท่านั้น” วรพัฒน์ว่าพลางล็อคตัวของสเตลล่าเข้ากับกำแพงทันที “ถ้าตำรวจจะติดตามนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาปารีสคนเดียว และหายตัวไป เธอคิดว่าจะใช้เวลาซักกี่วันกันล่ะ”
   “คุณ.....” สเตลล่าร้องขณะที่ไลโอเนลล์เข้าล็อคตัวเธอไว้อีกแรง
   “เธออาจะจะสวยจนไม่มีสมอง งั้นฉันจะคิดให้ก็ได้” วรพัฒน์ว่า “อย่างน้อยก็จะเกินวันพุธนี้ไง แล้วใช่ ฉันปล่อยตัวแกกับมัน หลังจากที่คู่สัญญาทางธุรกิจของฉันพลาดการประชุมปันงบครั้งแรกไปซะแล้ว คงแย่หน่อยนะ แต่ไม่ต้องห่วงฉันชดใช้ค่าเสียหายให้ หลังจากฉันได้เก้าอี้ให้ตัวเองและไอ้วินที่ซูเม่แล้ว”
   “ไม่ ปล่อยนะ คุณจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่....”
   สเตลล่าดิ้นอยู่ในการล็อคของไลโอเนลล์ ขณะที่วรพัฒน์เดินไปที่รถของตัวเอง และหยิบเอารีโมทบางอย่างออกมา
   “ที่นี่ห่างจากเซนต์จอร์ชไม่เท่าไหร่” วรพัฒน์ว่า “ฉันว่าเธอน่าจะยินดีร่วมเป็นเกียรติในการยิงพลุของฉันนะ”
   “คุณจะทำอะไรอ่ะ อย่านะ ฉันขอล่ะ หยุดเถอะ” สเตลล่าร้องพลางมองไปที่รีโมทนั้น วรพัฒน์ยิ้มให้กับเธอก่อนเอื้อมมือไปหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าของเธอ
   “อย่า เอาคืนมานะ หยุดนะ” สเตลล่ากรีดร้อง
   วรพัฒน์กดไปยังเบอร์โทรล่าสุดที่เธอเพิ่งจะวางสายไป เบอร์ของคนที่ขอไปอาศัยหลบพักใจ และหนีจากเรื่องพลิกผันอันวุ่นวายทั้งหมดที่ผ่านมา คนที่ขอเวลาเพียงชั่วครูเพื่อให้ได้รักษาแผลของตัวเอง
   วิน.....
   “ถ้าคุณโทรหาเค้า คุณจะทำร้ายลูกชายคนเดียวของคุณ” สเตลล่าขอร้อง ”ขอล่ะคุณวรพัฒน์อย่าทำเลยนะ อย่าให้เค้าต้องเสียใจไปมากกว่านี้”
   วรพัฒน์แนบหูตัวเองเข้ากับโทรศัพท์ทันที
   “ฮัลโหล สเตลล์” เสียงของวินรับสาย เสตลล่ามองเหตุการณ์ตรงหน้าพลางร้องสุดเสียง
   “วิน พ่อเธอ วิน พ่อของเธอ....เค้ารู้เรื่องเธอกับไกด์แล้ว เค้ารู้เรื่องหมดแล้ววววววว”
   “หวัดดี ไอ้ลูกชาย” เสียงของวรพัฒน์ปลุกให้วินตื่นจากภวังค์ เสียงของสเตลล่าที่ลอดเข้ามาในสาย ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที
   “พ..พ่อ” วินร้อง
   “แกทำฉันไว้แสบมากนะ” วรพัฒน์ว่า “ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว ว่าแกกำลังจะทำอะไร”
   “พ..พ่อ” วินว่า เขารู้สึกตัวเองได้เลยว่าผนังห้องพักของสเตลล่ากำลังบีบอัดเขา เข้ามาทุกขณะ “พ่อ ผม ผม...”
   “แกไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่ฟังอะไรอีกแล้ว แกต่างหากที่ต้องฟัง” วรพัฒน์ชูโทรศัพท์ขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะกดรีโมททันที
   ตึ้ม!!!!!!!!!!
   เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ของแรงระเบิดดังลอยมาแต่ไกล เสียงที่บาดลึกมาถึงก้นบึ้งของหัวใจของวิน
   “เสียงอะไร พ่อทำอะไรอ่ะ พ่อ!!!!!!” วินตะโกนสุดเสียง ผ่านออกมาจากโทรศัพท์ของสเตลล่า หญิงสาวหันไปทางต้นกำเนิดเสียง
   ความเงียบสงัดทำให้เธอได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ด้านหลังตึกแถวที่ถัดออกไป แสงวูบวาบลอยมาให้เห็นข้ามมาถึงตรอกมืดที่เธอยืนอยู่
   “ตะวันออก” สเตลล่าพูด “เกล็ดหิมะ..คุณ...”
   “ฉันต้องการเจอแกวันพุธที่ซูเม่ แล้วฉันจะจบเรื่องนี้” วรพัฒน์พูด “แกไม่มีทางหนีไปจากชีวิตฉันได้วิน”
   วรพัฒน์กดวางสายทันที ก่อนจะสั่งให้ไลโอเนลล์นำตัวสเตลล์ไปขึ้นรถ
   เธอได้แต่มองเปลวแสงสีส้มที่ลุกโพลงมาจากเลขที่ 4 ถนนเซนต์จอร์ชที่อยู่ถัดออกไป เสียงกรีดร้องรับสิบดังก้องสะท้อนมายังท้องถนนของปารีส น้ำตาของสเตลล่าไหลลงมาเบาๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ
...................
   วินวางโทรศัพท์ลง เขาทรุดตัวลงกับพื้น สายตาจ้องเขม็งไปกับพรมสีจืดของสเตลล่า น้ำตาของเขาไหลลงมาเบาๆ พร้อมกับเสียงไซเรนที่ดังแว่วมาแต่ไกล ชายหนุ่มลุกขึ้นมองไปยังหน้าต่าง
   ไม่ นี่จะต้องไม่ใช่สิ่งที่เค้าคิด
   เขาขอแค่เวลาเพียงสองวัน เขาแค่หนีมาเท่านั้น ทำไมกัน...ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นมันต้องไม่ใช่สิ่งที่เค้าคิด
   ต้องไม่ใช่ที่นั่น ที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น ที่ที่ทำให้เขาได้เจอเรื่องราวต่างๆมากมาย
   พ่อต้องไม่ทำแบบนี้กับที่นั่น....
   เขาเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเห็นไม่ชัดจากตรงนี้ แต่ตำแหน่งของควันไฟที่พวยพุ่งอยู่ตรงนั้น บอกเค้าแทนคำตอบในทุกคำถามที่เขากำลังถาม
   ร้านเกล็ดหิมะ ถูกทำลายลงแล้ว........
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 41 Fire to the rain]
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 16-09-2014 03:49:04
- - มาม่าเยอะมั้ยนิ รีบๆผ่านไปไวๆนะ 555  เด๋วคนอ่านจะโศก นาน (i ^ i)
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 41 Fire to the rain]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-09-2014 07:31:50
เย้มาอีกตอนแล้ว ดีใจมากเลย
ขอบคุณมากนะคะ คนแต่งหลายไปนานเลย
ดราม่าจะหมดเมื่อไหร่สงสารวินมากเลย
คนแต่งมาต่อบ่อยๆนะคะ มาต่อจนจบเลยนะคะ ขอร้องงงงงงงงงงงง
ขอบคุณอีกครั้งค่าาา
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 42 Flame]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 22-09-2014 04:10:43
ตอนที่ 42 Flame

   เสียงไซเรนดังก้องไปทั่วถนนหมายเลขที่ 4 รถของหน่วยดับเพลิงและกู้ภัยวิ่งอย่างขวั่กไขว่ หลังจากเสียงระเบิดดังกึกก้องกลางดึกเกิดขึ้นที่หัวมุมถนนเซนต์จอร์จ เสียงผู้คนโวยวาย ร่ำไห้ ปะปนกับกลุ่มไฟที่พวยพุ่ง ร้านอาหารเฟอคอน เดอ เนง เกิดเหตุระเบิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เสียงอันดังอึกทึก ปลุกให้หลายชีวิตตื่นขึ้นด้วยเสียงอันดัง ไปไกลหลายร้อยเมตร แสงไฟและเปลวควันล่องลอยสู่ท้องฟ้า
   แรงอัดกระแทกของระเบิดทำให้ร่างสองร่างที่เพิ่งเดินออกมาจากที่เกิดเหตุได้ไม่นานล้มลงทันที เมื่อการปะทุของไฟสงบลงได้หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากการสลบแน่นิ่งไปของเจนจิรา ไกด์หอบเอาร่างกันบอบช้ำ ประคองตัวของเธอขึ้น พอดีกับที่หน่วยกู้ภัยและดับเพลิงมาถึงที่เกิดเหตุและเข้าเคลียร์สถานการณ์ และเข้าปฐมพยาบาลทั้งคู่ โชคดีที่ทั้งคู่เดินห่างจากตัวร้ายมาไกลพอสมควร ทำให้แรงระเบิดไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก นอกจากบาดแผลเพียงเล็กน้อย แต่ผลกระทบที่ร้ายแรงกว่า คือ สัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นใหม่ สัญลักษณ์แห่งความหวังทั้งหมดของไกด์ ถูกพังทลายลงต่อหน้า
   เจนจิราลืมตาขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือเธอ หญิงสาวตื่นตระหนกและลุกขึ้นนั่งทันที เบื้องหน้าของเธอคือกลุ่มไฟที่ลุกโพลง เผาไหม้ร้านเกล็ดหิมะ ผู้คนวิ่งไปมา เจ้าหน้าที่ดับเพลิงระดมสกัดเปลวไฟไม่ให้ลุกลามไปยังตึกใกล้เคียง
   เธอพยายามตั้งสติทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า มันเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนเธอตั้งตัวไม่ทัน ความจำสุดท้ายก็คือเธอและไกด์เดินเลี้ยวที่หัวมุมถนน หลังจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
   “I’m fine,thank you” เธอกล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแล พลางพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้น อาการเจ็บแผลเกิดขึ้นอย่างเบาบาง เธอใช้กำลังที่เหลืออยู่มองไปรอบๆ บาริสต้าคนนั้นกำลังยืนห่างรถพยาบาลไปไม่ไกลนัก เขายืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างนิ่งสนิท เธอค่อยๆเดินไปหาเขาทันที
   เธอมองหน้าไกด์ที่มีรอยเลือดจากการกระแทกพื้น ใบหน้าของบาริสต้าส่องประกายความสิ้นหวัง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกจนเจนสัมผัสได้ เจนจิราจับแขนของเขาเบาๆ
   “ไม่นะ ไม่ ม่ายยยยยย” เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกฝากหนึ่งของฝูงชน เจนและไกด์หันไปตามเสียงนั้น “ไม่จริงนะ ไม่ โธ่ ร้านของฉัน ไม่ ไม่.....”
   เจ๊ใหญ่พยายามจะฝ่าวงล้องของผู้คนเข้าไปในตัวร้าน เจ้าหน้าที่จึงต้องดึงตัวเธอไว้ ภาพตรงหน้าสำหรับเจนแล้วนี่เป็นความเจ็บปวดที่เธอสัมผัสได้ ภาพของหญิงสาวที่เพิ่งคุยกับเธอเมื่อเย็นปรากฎขึ้นในหัวสมอง

   “สิ่งที่คุณทำมันผิดฎหมายนะคะ” เจนจิรากล่าว
   “โอ๊ย คุณคะ” เจ๊ใหญ่กล่าว “ที่นี่เป็นบ้านค่ะ มันมีความหมายกับหลายๆคนมากที่นี่ ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ที่นี่อยู่ต่อค่ะ ต้องสินบนตำรวจฉันก็ยอม”

   เจ๊ใหญ่ดิ้นรนและกรีดร้องอยู่ตรงนั้น ขณะที่ไกด์พยายามกันตัวเธอไว้ เสียงร้องของเธอบาดลึกลงไปถึงหัวใจของเจน

   “นั่นคือทางออกจริงๆเหรอคะ” เจนว่า “ฉันไม่คิดว่า...”
   “คุณไม่เข้าใจหรอก” เจ๊ใหญ่ว่า “สำหรับฉัน ความตั้งใจของฉันที่นี่คือการได้ช่วยเหลือคนค่ะคุณเจน สำหรับฉันมันเป็นมากกว่าร้านอาหาร ฉันช่วยให้คนีข้าวกินต่อชีวิตไปหนึ่งมื้อ ฉันช่วยให้ที่พักกับคนที่ต้องต่อสู้กับพายุหิมะที่โหดร้าย”
   “แต่คนเราต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองนะคุณ” เจนจิราว่า “เราไม่จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือใคร โดยเฉพาะคนที่ไม่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง”
   “คุณเจน” เจ๊ใหญ่จับมือของเจนจิรา เธอถึงกับสะดุ้งเบาๆ “ไม่มีใครอยากเจอเรื่องร้ายๆหรอกค่ะ แต่คนบางคนไม่มีทางเลือกกับตัวเองมากนักหรอก คุณอาจจะเข้มแข็ง อาจจะจัดการชีวิตตัวเองได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณจะไม่สนใครนะคะ พี่ปิดร้าน ไม่ทำแล้วก็ได้ แต่พี่เสี่ยง พี่เสี่ยงที่ขะช่วยให้อีกหลายคนมีชีวิตต่อไปค่ะ”
   “พวกเขากลับเมืองไทยได้ค่ะ” เจนจิรากล่าว “นั่นเป็นทางออกที่ดีที่....”
   “เป็นคุณ คุณจะหันหลังกลับเหรอคะ เมื่อคุณทิ้งทุกๆอย่างมาเพื่ออยู่ที่นี่แล้ว” เจ๊ใหญ่พูด

   เจนจิรามองเจ๊ใหญ่ร่ำไห้อยู่ภายใต้อ้อมกอดของไกด์อยู่ตรงนั้น พร้อมกับผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเธอ คนที่ทำงานในร้านเกล็ดหิมะ ทุกๆคนมองไปยังความหวังที่ถูกแผดเผาเบื้องหน้า หยดน้ำตาอาบใบหน้าของคนเหล่านั้น เจนจิราก้มหน้าลงกับตัวเอง
   ....เธอเคยทิ้งทุกๆอย่างมาอยู่ที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ต่อให้เกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่เคยคิดจะหันหลังกลับ.....
   ทั้งๆที่เธอเข้าใจความรู้สึกนั่นอยู่แล้ว เธอเข้าใจมันดีอยู่แล้ว
   เธอกัดฟัน พลางมองไปยังร้านเกล็ดหิมะที่ถูกแผดเผา เสียงของเจ๊ใหญ่ ใบหน้าของไกด์ คำพูดของวิน ทุกๆอย่างกำลังตีรวนในหัวของเธอ มันกรีดลึกลงไปในจิตใจที่ก่อกำแพงให้กับตัวเอง นับตั้งแต่เธอเริ่มออกเดินหน้า โดยไม่หันหลังกลับ เปลวไฟตรงหน้า กำลังหลอมละลายความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวของตัวเธอเอง
   เธอมองทุกๆอย่างผิดไป วิน กำลังทำสิ่งที่เธอเองก็ทำมาก่อน แต่เธอกลับไม่เคยยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ถ้าเธอรู้ซักนิด ว่าสิ่งที่วินพยายามมาทั้งหมด เป็นแบบเดียวกับที่เธอพยายาม ถ้าเธอรู้เพียงซักนิด....
   “เจน...” เสียงเสียงหนึ่งปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากความคิด เธอหันหลังกลับมา กาย และ นัท นั่นเอง ทั้งคู่ดูตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เธอมองกายด้วยสายตาแข็งกร้าว พร้อมกับหลั่งน้ำตาเบาๆ
   “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น” กายถามพลางเริ่มตรวจดูร่างกายของเธอ “ผมกับนัทเราได้ยินเสียงระเบิด เรากำลังจะไปหาเอิร์ธ แล้ว...”
   “เจนทำลายเค้า” เจนจิราพูดเสียงสั่น “เจนทำให้ทั้งหมดนี่เกิดขึ้น”
   “เจน” กายเรียกชื่อเธอ
   “ทั้งหมดเป็นเพราะเจนเองค่ะกาย” เจนพูดเสียงสั่น “เจนเป็นต้นเหตุ เจน.....เจนผิดเอง”
   เธอทรุดตัวลงกับพื้นทันที ความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ กำลังบีบคั้นเธอให้พบกับความจริงที่เธอเอง เป็นต้นเหตุทำให้วินไม่สามารถไปสู่จุดที่หวังได้ ถ้าเธอรับฟังวินมากกว่านี้ เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เป็นเธอที่ทำลายความหวังของเอิร์ธ เป็นเธอเองทั้งหมด
   กายและนัทประคองตัวเธอไว้ได้ทัน
   “เจน เจน” กายร้องเรียกเธอ
   “We need help,please” นัทร้องเรียกหน่วยปฐมพยาบาลที่อยู่ไม่ไกล เจ้าหน้าที่สองสามคนวิ่งเข้ามาดูอาการของเจนทันที เธอถูกประคองตัวไปนั่งยังรถที่เธอลุกมาเมื่อครู่ เพื่อตั้งสติ กายและนัทดูแลเธออยู่ตรงนั้น
………
   สำหรับไกด์แล้ว เขาไม่คิดว่าตัวตนเก่าๆจะกลับมาได้ แต่ตอนนี้ เขารู้ตัวเลยว่าร่างปีศาจที่เขาพยายามซ่อนมันไว้กำลังลุกโชน เสียงของเจ๊ใหญ่ที่ร้องไห้อย่างหนักอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทำให้ความโกรธแค้นปะทุขึ้นทุกที
   “หมด หมดแล้ว” เจ๊ใหญ่ว่า “แล้วฉันจะทำยังไงดี โธ่….ฉันจะทำยังไงดี”
   เจ๊ใหญ่ร่ำไห้สะอึกสะอื้น ไกด์กัดฟันด้วยความแค้น เขามองไปยังเจนจิราที่อยู่ในรถพยาบาล
   “พี่โจ้ ดูเจ๊ที” ไกด์เรียกพี่โจ้ ที่คงวิ่งหน้าตาตื่นมาจากบ้านที่อยู่ไม่ไกลกัน พ่อครัวหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า และรีบประคองเจ๊ใหญ่แทนไกด์ ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินตรงรี่ไปหาเจนทันที
   “ผมต้องการพบพ่อของวิน” ไกด์พูดเสียงดังฟังชัด เมื่อเดินมาถึงรถพยาบาล “เค้าอยู่ที่ไหน”
   เจนมองหน้าของไกด์ ตอนนี้เธอแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงใดใดแล้ว
   “ผมถามว่าเค้าพักอยู่ที่ไหน” ไกด์แผดเสียงใส่วิน
   “เห้ย ใจเย็นก่อนดินาย” กายออกตัวปกป้องเจนไว้ทันที “โมโหไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”
   “ไม่ได้อะไรเหรอ” ไกด์ว่า “ก็เรื่องทั้งหมดนี่มันเกิดขึ้นได้ ก็เพราะคุณสองคนไม่ใช่รึไง”
   เขาจะไม่ยอมอีกแล้ว ถ้านี่จะเป็นทางที่จะทำให้เขาได้วินคืนมา เขาก็จะทำ
   “ถ้าคุณสองคนยอมรับข้อเสนอของจีโอตั้งแต่แรก ฟังวินตั้งแต่แรก เรื่องนี้ก็ไม่เกิด” ไกด์ชี้ไปที่ร้านเกล็ดหิมะ “ถ้าคุณฟังเค้าตั้งแต่แรกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แค่พวกคุณ....”
   “ถ้านี่จะเป็นความผิดของผมกับเจน งั้นคุณก็ผิดด้วยเหมือนกัน” กายแผดเสียง ไกด์เงียบลง “คุณไปอยู่ไหนมาล่ะ ถ้าคิดว่ตัวเองจัดการเรื่องทั้งหมดได้ แล้วมัวไปทำอะไรอยู่ห๊ะ”
   กายเดินเข้าไปหาไกด์
   “ถ้าคุณเป็นมากกว่าเพื่อนของวินเค้าจริงๆ นี่อ่ะนะ สิ่งที่ใครซักคนจะทำเพื่อนคนรัก” กายว่า “คุณเป็นนักธุรกิจ คุณช่วยเค้าได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เป็นคุณได้ตั้งแต่แรก แต่คุณก็ไม่ทำ แล้วคุณจะมาเสียใจอะไรเอาตอนนี้”
   “ผมช่วยเค้ามาตั้งแต่แรก” ไกด์คำราม “ผมอยู่กับเค้าในเวลาที่ไม่มีใครอยู่ ผมฟังเค้าในเวลาที่ไม่มีใครฟัง ที่นี่เป็นมากกว่าบ้านของผมและวิน ตั้งแต่วินเริ่มทำเรื่องพวกนั้น มันทำลายเค้า มันทำลายทุกอย่างที่ผมกับวินสร้างมา เรื่องพวกนี้ทำลายเรา ทำลายเกล็ดหิมะ พวกคุณทำลายเรา”
   กายเงียบเสียงลง สิ่งที่ไกด์พูดไม่ใช่ว่าจะไม่จริง เจนร้องไห้เงียบๆทันที
   “บางทีแค่รับฟังอย่างเดียวไม่พอนะนาย” กายพูดเบาๆ พลางหันไปมองนัทที่กำลังโอบตัวเจนเอาไว้ เรื่องในอดีตเตือนสติเขาบางอย่าง “สำหรับคนสำคัญแล้ว เราต้องทำด้วย พิสูจน์สิ่งที่เรารู้สึก ให้เขารู้ว่าเราคือคนสำคัญสำหรับเค้า และเค้าคือคนสำคัญสำหรับเรา”
   ไกด์มองหน้ากาย
   “ผมว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งโทษว่าใครเป็นต้นเหตุ” กายว่า “ผมเราต้องหาความจริงให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้”
   ไกด์หลับตาลง หรือว่านี่จะเป็นสิ่งเดียวกับที่จีโอพูดกับเขา มันไม่สำคัญแล้วว่าเขาจะมองว่าสิ่งที่วินทำให้เขาจะเป็นไปได้ไหม
   ไกด์มองหน้าเจนจิราที่ร้องไห้เบาๆ เขาเดินตัดตัวกายไปหาเธอทันทีและนั่งลงตรงหน้าเธอ
   “คุณเจน” ไกด์พูดชัดถ้อยชัดคำ “ผมต้องพบคุณพ่อของวิน”
   ไกด์มองเข้าไปในดวงตาของเธอ
   “ผมจะไม่ยอมให้อะไรทำลายผมกับวินได้อีก” ไกด์พูด “ผมไม่สนแล้ว ว่าวินจะทำอะไรอยู่ ตอนนี้ผมมีความต้องการของผมเองแล้ว และผมจะทำมันให้สำเร็จ”
   “การไปพบคุณวรพัฒน์ นั่นเท่ากับคุณฆ่าตัวตาย” เจนพูดเสียงสั่น “จากเรื่องทั้งหมดที่วินเค้าทำ คุณไม่ใช่คนที่เขาจะยอมรับได้แน่ ถ้าเหตุระเบิดนี่เป็นฝีมือเค้า ก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้ที่เขาจะทำกับคุณไม่ได้”
   ไกด์หลับตาลง
   “วินเคยบอกว่า เขาอยากอยู่กับผมตลอดไป” ไกด์พูดทันที เจนจิรามองไกด์ทันที กายถึงกับหันมามองไกด์อีกครั้ง “ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการเฟดตัวออกจากงานของเขาคือผมเอง ไม่ใช่แค่การออกมาดูแลที่นี่ แต่เขาจะไปกับผม ไปทุกๆที่ที่ผมไป ที่ที่จะมีแค่ผมกับเค้า เท่านั้น”
   เจนมองหน้ากายทันที พลางทำตาเบิกกว้าง
   “เป็นไปไม่ได้หรอก” กายว่า “อยู่แบบนั้นน่ะ นั่นมันความฝัน มันไม่มีทา....”
   “ผมไม่สนอีกต่อไปแล้ว” ไกด์ว่าพลางเงยหน้ามองกาย “ผมก็เคยคิดแบบคุณ นั่นแหละคือเหตุผลว่าผมหายไปไหน ทำไมผมไม่ทำอะไรซักที เพราะผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่สน ผมไม่สนว่าใครจะมองยังไง ผมไม่สนอีกแล้วโอเค้”
   ทั้งกาย เจนและนัทเงียบสนิท
   “ไม่ว่าวินจะทำอะไรมาได้แค่ไหนแล้วก็ตาม แต่ที่เหลือนี่ผมจะทำต่อเอง” ไกด์ว่า “ผมจะทำเรื่องนี้เอง และผมไม่สนว่าพ่อของวินจะว่ายังไง ผมรักลูกชายเค้า และผมจะไม่ยอมให้เค้าทำอะไรคนที่ผมรักต้องเจ็บปวดอีก”
   “คุณไกด์มันไม่ง่าย...”
   “เค้าเป็นพ่อลูกกันคุณเจน” ไกด์ว่า “ถ้าเค้ายังหลงเหลือความเป็นพ่ออยู่ เค้าต้องเสียใจในสิ่งที่เค้าทำ พาผมไปพบเค้า ผมขอล่ะ”
   เจนมองหน้ากาย ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
   “ผมกับนัทจะตามหาเอิร์ธ” กายพูดทันที “วันพุธสิบโมง ยังไงซะการประชุมผู้บริหารก็ต้องดำเนินต่อไป”
   “เอกสารของเจนอยู่ในร้าน สัญญาทุกอย่างคงถูกเผาไปหมด” เจนจิราว่า “คุณจีโอไม่รับโทรศัพท์ เจนติดต่อเค้าไม่ได้มาทั้งวัน เจนกับคุณไกด์ก็เลยจะออกไปตามหาเค้าแต่ก็โดนระเบิดกันซะก่อน”
   “คุณบอกผมไม่ให้บอกมิกเรื่องนี้ แต่ถ้าเรื่องระเบิดนี่ออกข่าว ผมก็ไม่รู้จะปิดมันได้อีกนานมั้ย” นัทพูดขึ้น “จากเท่าที่รู้มา ถ้ามิกรู้เรื่องนี้อีกคน มันดึงเอิร์ธออกจากเกมส์นี้แน่”
   “พวกคุณหาเอิร์ธให้เจอภายในคืนนี้ได้มั้ย” เจนจิราถามกายและนัท ที่มองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจนัก
   “ถ้าเค้ายังอยู่ในปารีส เราจะต้องเจอเค้า” กายว่า “เรื่องระเบิดที่นี่น่าจะทำให้เอิร์ธออกมาจากเงามืดบ้าง”
   “เราจะหาเค้าให้เจอเจน” นัทตอบเธอ
   “ฉันฝากเจนด้วย จะทำอะไรก็รีบทำ” กายพูดกับไกด์ทันที “นัท ไปกับผม”
   นัทพยักหน้าก่อนจะตบไหล่เจนครั้งหนึ่ง และออกเดินไปกับกายออกจากกลุ่มผู้คนที่กำลังเดินขวั่กไขว่ ไกด์มองหน้าเจนที่มองไปเบื้องหน้า สำหรับเธอ นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าเธอจะนึกถึง เธอไม่แน่ใจนักว่าเธอจะสามารถแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไปหรือเปล่า
   “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณได้เจอเค้า” เจนถาม “พ่อของวิน”
   “ยังไม่ได้คิดเหมือนกัน” ไกด์ว่า “ก็อาจจะถาม แล้วก็ขอร้องให้เค้าหยุดเรื่องเลวร้ายนี้ซะ”
   “คุณว่าเป็นเค้ามั้ย” เจนว่า “เรื่องระเบิดร้าน”
   “ผมไม่อยากกล่าวหา” ไกด์ว่า “แต่ผมคิดว่าเป็นเค้า เพราะถ้าเค้ารู้เท่ากับที่คุณรู้ ก็ไม่แปลกที่เค้าจะทำลายที่พึ่งเดียวของวิน”
   “แล้วเค้าก็จะทำลายคุณ” เจนว่า “คุณวรพัฒน์เป็นนักธุรกิจที่น่ากลัว เค้าทำให้เงินลงทุนหลายพันล้านหมุนได้ภายในเวลาไม่กี่ปี เค้าทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งตัวเองต้องการ”
   “ผมจะแจ้งความ เขาต้องได้รับโทษตามกฎหมาย” ไกด์ว่า
   “ได้น่ะได้” เจนจิรา “แต่ก่อนกฎหมายจะถึงตัวเค้า เค้าก็คงไปไกลแล้ว คุณเป็นคนไทย ถ้าเกิดอะไรกับคุณ ปารีสไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย เพราะคุณวรพัฒน์ก็เป็นคนไทย นี่มันก็แค่การขัดแย้งทางธุรกิจของชาวต่างชาติ”
   “เกล็ดหิมะจะไม่ถูกเผาไปฟรีๆ” ไกด์พูด “จะไม่มีใครถูกทำลายอีก ก่อนการประชุมนั่นจะเกิดขึ้น”
   ราวกับมีใครเตือนสติเจนทันที
   “คุณไกด์” เจนจิราจับตัวเค้า “ถ้านี่เป็นฝีมือคุณวรพัฒน์ นั่นหมายความว่าเขากำลังพยายามทำลายทุกอย่างที่เป็นที่พึ่งของวิน”
   เธอพูดเสียงสั่นรัว
   “จีโอ” ไกด์พูด พลางลุกขึ้นทันที พร้อมกับค่อยๆประคองตัวเธอลุกขึ้น และเดินออกไปจากตรงนั้น
   เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงยัคงส่องสว่างท่ามกลางความวุ่นวายในคืนนั้น ก่อนทุกอย่างจะสงบลงก็กินเวลาไปเกือบทั้งคืน ไกด์และเจนจิราออกเดินไปยังที่พักของจีโอที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเกล็ดหิมะนัก
..................
   ในขณะที่เสียงร่ำร้องของเจ๊ใหญ่ค่อยๆสงบลง เหลือเพียงใบหน้าอันโศกเศร้า รายล้อมด้วยเหล่าผู้คนอีกหลายชีวิตที่นั่งมองซากปรักหักพังของความหวังที่ถูกทำลายลง เจ้าหน้าที่ทยอยเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อย และเข้าเคลียร์สถานที่ เจ๊ใหญ่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งปลุกให้เธอตื่นขึ้น
   “เจ๊...เจ๊ครับ” เสียงอันสั่นเครือ ดึงให้เธอหันมามองเจ้าของเสียงนั้นทันที เธอมองร่างนั้นด้วยหัวใจที่สั่นไหว
   “ว....วิน” เธอร้องด้วยเสียงสั่นเครือ ก่อนจะโผเข้ากอดร่างนั้นทันที “ไม่เหลืออะไรแล้ววิน เจ๊ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงจริงวินนนนน”
   วินกอดเจ๊ใหญ่ไว้แน่น พลางมองไปยังสร้างปรักหักพังตรงหน้า เขากัดฟันพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า
   “ไม่เป็นไรเจ๊” วินพูดเสียงสั่น “ใจเย็นก่อนนะเจ๊ ไม่เป็นไรนะ”
   ความพ่ายแพ้ เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาต้องยอมรับ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆ หวังว่าจะได้พบร่างไกด์ แต่ก็มีเพียงซากที่เหลือจากความพ่ายแพ้นั่นเองที่ตอกย้ำว่า การเดินทางของเขามาสุดถึงปลายทางแล้ว
   เขาไม่มีทางหนีพ้นจริงๆอย่างที่พ่อของเขาว่า
   สิ่งที่เขาสู้มาทั้งหมดมันก็เป้นเพียงแค่ความฝัน
   เอิร์ธพูดถูก สัญญาทุกอย่างเ็นอันยกเลิก
   ขอโทษนะไกด์.....เรื่องของเราสองคนคงเป็นไปไม่ได้.....ฉันทำได้แค่นี้จริงๆ
   “เจ๊” วินพูดเบาๆ “ผมมีวิธีช่วยครับ....”
.............
   
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 43 Find Me If You Can]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 29-09-2014 00:37:03
ตอนที่ 43 Find Me If You Can

แม้จะเป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้วแต่เสียงไซเรนและความวุ่นวายที่ดังแว่วๆมาจากถนนเซนต์จอร์ชยังคงสร้างความเจ็บปวดให้กับไกด์ ที่ปลีกตัวออกมาจากสถานการณ์ที่บีบคั้นตัวเขาทั้งหมด ความจริงที่ถาโถมเข้ามาตอนนี้มันทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกที่วินมองเมืองนี้มาตั้งแต่ต้น ความหนาวเย็นที่เต็มไปด้วยดลิ่นอายของอันตราย มันไม่แปลกที่วินจะวิ่งหนีทุกอย่างมา ไม่แปลกเลยซักนิด เขามีบาดแผลอยู่ตามตัวบ้าง แต่ความเจ็บปวดทางร่างกายตอนนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลยซักนิด เพราะหัวใจที่เย็นชาตอนนี้ มันคุกรุ่นไปด้วยความรู้สึกที่ตีวนกันไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งความโกรธ ความเสียใจ ทุกๆอย่าง
   เขาพาเจนจิราลัดเลาะมายังตรอกที่พักของจีโอที่เสตลล่า หามาให้ได้เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างห้องพักที่เงียบสนิท ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงถนนเซนต์จอร์ช ทำให้หน้าต่างหลายๆบานใกล้เคียงเปิดไฟสว่าง เงาผู้คนเคลื่อนไหวไปมา หลังจากถูกปลุกให้ตื่นจากความหลับใหลของปารีส ด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง แต่ทว่านี่มันผิดปรกติ
   “เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ได้ยินเสียงระเบิด” ไกด์พูด พลางหันมาหาเจน เธอมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว “นี่ไม่ปกติ”
   ไกด์ออกวิ่งเข้าไปในตึกทันที พลางสาวท้าวขึ้นไปยังห้องของจีโอที่อยู่บริเวณชั้น 4 โดยมีเจนจิราที่พยายามหอบเอาร่างของตัวเองขึ้นไปอย่างสุดกำลัง
   “จีโอ!!!”
   ประตูห้องที่ไม่ได้ล็อคเปิดผางออก ไกด์ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ถึงจีโอจะไม่ใช่คนที่เรียบร้อยรักความสะอาดเท่าเค้า แต่หมอนี่ต้องไม่ปล่อยให้ห้องพักรกขนาดนี้แน่ และว่ากันตามจริง สิ่งที่เห็นตรงหน้า มันก็เกินกว่าคำว่ารกไปแล้ว ห้องของจีโอถูกรื้อ และมันยังมีร่องรอยของการต่อสู้อีกด้วย ชั้นวางของล้มงระเนระนาด เช่นเดียวกับเอกสารหลายอย่างบนโตีะริมหน้าต่างที่ถูกค้นกระจาย
   เสียงฝีเท้าของเจนจิราวิ่งตามขึ้นมาได้ในไม่กี่นาทีต่อมา เธอมองเข้าไปในห้องของจีโอด้วยความตกตะลึง ไกด์หันหน้ากลับมามองเธอทันที
   “เรามาช้าไป” ไกด์พูด เจนจิราถึงกับใจหล่นวูบ เธอหอบร่างของตัวเอง สำรวจไปรอบๆที่พักของจีโอ เอกสารหลายอย่างถูกรื้ออย่างกระจุยกระจาย เธอนั่งลงมองเอกสารพวกนั้น
   “คงต้องแจ้งตำรวจ” ไกด์หยิบโทรศัพท์ออกมาทันที
   “ไม่มีประโยชน์” เจนจิราว่า “ตำรวจปารีสคงใช้เวลาตามตัวนักท่องเที่ยวเบอร์ลินนานโข เลยวันพุธนี้แน่ คุณวรพัฒน์ น่าจะแค่ต้องการให้จีโอไปอยุ่ไหนซักที่ เพื่อให้เค้าไม่ปรากฎตัวในวันประชุม”
   “งั้นพาผมไปหาเค้า” ไกด์ว่าพลางออกเดิน
   คุณวรพัฒน์กำลังไล่ต้อนให้ทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือความคาดการณ์ของเขา กลับมาอยู่ในอำนาจของเขาให้ได้ ถึงอย่างไรจีโอก็คงไม่รู้ว่าคนที่มาลักพาตัวเค้าไปเป็นใคร การสาวไปถึงตัวคุณวรพัฒน์ก็ไม่มีทางทำได้โดยง่าย เรื่องร้านเกล็ดหิมะก็เช่นกัน เจนเดาเอาว่าวันพุธนี้ อำนาจของวงเงิน ก็คงจะมากพอที่จะบีบให้วินและเอิร์ธยอมแพ้พ่อของเขา
   “คุณไกด์” เจนพูดขึ้น ไกด์หันกลับมามองเธอ “ฉันมีเรื่องให้คุณช่วย”
................
   เอิร์ธวิ่งไปตามท้องถนนที่มุ่งหน้าไปยังบ้านทรงสวย ที่สร้างคร่อมน้ำตกเล็กๆ รายล้อมป่าสูงชะลูดที่วิลแลต เด็กหนุ่มเลือดร้อนใช้เวลาหลังจากกลับมาจากดีสนีย์แลนด์ในการเคลียร์ทุกอย่างที่หอพักของตัวเองให้เรียบร้อย เงินเก็บที่ได้มาจากเงินมัดจำที่ขอคืนเจ้าของห้องที่พยายามอย่างยิ่งที่จะเอามันคืนมา หลังจากออกจากห้องพักเรียบร้อยแล้ว เอิร์ธเก็บข้าวของทุกอย่างด้วยตัวเองใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ก่อนจะเหมารถ และเดินทางไปเพื่อจบทุกๆอย่างที่เขาเริ่มต้นไว้ ทุกๆอย่างที่ตามหลอกหลอนเขามาตั้งแต่แรก ตั้งแต่เขาก้าวเท้ามาถึงเมืองๆนี้ ไม่สิ ตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาใน Loveless Society    ร่างกายหอบเอากระเป๋าอันหนักอึ้งตรงรี้ไปยังทางเข้าบ้าน กว่าจะมาถึงตรงนี้ ก็เป็นเวลามืดค่ำพอดีแล้ว เหลือบมองไปยังรถโฟล์คสีแดงเข้ม ที่เจ้าของของมันอุตส่าห์เสียเงินมากมาย แบกมันมาถึงนี่ แต่เขากลับไม่ได้นั่งมันอีกแล้ว กัดฟันมองรถคันนั้นด้วยความโกรธขึ้ง....
   “แกน่าจะพังไปซะ ไอ้เต่าทอง” เอิร์ธพูดกับตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้านทันที พร้อมกับกดกริ่งที่ประตู เสียงกริ่งที่กดรัวไม่ยั้ง เร่งให้เจ้าของบ้านเดินออกมาเปิดประตูทันที
   มิกมองหน้าเอิร์ธและข้าวของที่หอบมาเต็มตัวอย่างตกใจอยู่พักนึง เอิร์ธมองหน้ามิกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเบียดเอากระเป๋าและทุกสิ่งที่หอบมาดันตัวมิกให้หลบเข้าไปในบ้านทันที
   “เกิดอะไรขึ้น” มิกถามเอิร์ธ “มีอะไรหรือเปล่าคับเอิร์ธ หอบของมาซะเยอะ จะมาอยู่กี่วันเนี่ย”
   เอิร์ธหายใจหอบอยู่พักนึง ก่อนจะหันกลับมาหามิก
   “จะอยู่ตลอดไปเลยอ่ะ ได้ป้ะ” เอิร์ธพูดทันที มิกชะงักไปพักนึง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ พลางส่งยิ้มให้เอิร์ธ
   “ยังกวนเหมือนเดิมเลยนะ” มิกพูด แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ถูกส่งออกมาจากตัวของเอิร์ธ พลังบางอย่างที่เหมือนกับจะทำให้ความกังวลที่สาเคยบอกเขาก่อนหน้านี้เป็นจริง มิกจ้องเข้าไปในดวงตาของเอิร์ธที่ปราศจากแม้แต่รอยยิ้มใดใดตอนนี้
   “มาซะดึกเลย” มิกเดินเข้าไปหาเอิร์ธ “กินอะไรมาหรือยังล่ะหึ”
   เอิร์ธยังคงไม่ตอบ ได้แต่มองหน้ามิกที่เดินมาใกล้อยู่อย่างนั้น
   “เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่าเอิร์ธ” มิกเอื้อมมือไปแตะคอของเอิร์ธ แต่เอิร์ธก็ผละมือมิกออกทันที
   “ตอบผมก่อนดิ อยู่ตลอดไปเลยได้หรือเปล่า” เอิร์ธถามทันที “ผมออกจากหอที่แม่หาให้ละ ผมอยากมาอยู่กับพี่ที่นี่ ผมทำได้ใช่หรือเปล่าพี่ เหมือนเมื่อก่อนไง ที่บ้านพี่”
   มิกมองหน้าเอิร์ธ
   “โกรธอะไรมา” มิกถามเสียงเยียบเย็น เอิร์ธกัดฟันทันที
   “ผมถามว่า ผมจะอยู่กับพี่เลยได้มั้ย” เอิร์ธร้องเสียงดังขึ้น “ตอบผมเซ่!!!”
   “เอิร์ธ แล้วจะบอกแม่เราว่าไง เรื่องโปรเจ็คล่ะ เรื่องงาน...เรื่อง...”
   “ผมไม่สน” เอิร์ธว่า “ใครว่ายังไงผมก็ช่าง แต่ผมอยากอยู่กับพี่อ่ะ ได้หรือเปล่า”
   มิกยิ้มน้อยๆ
   “ก....ได้อยู่แล้ว” มิกตอบ
   “จริงเหรอ” เอิร์ธถาม “พี่คิดอย่างนั้นจริงเหรอ แล้วสมมติว่าผมจบโปรเจ็คกับพี่เจนแล้ว ผมอยู่ที่นี่ต่อ แม่ผมรู้ แล้วหลังจากนั้นพี่จะทำยังไง”
   “ก็พี่ถึงถามเราไง ว่าเรา....”
   “ไม่ดิ ไม่เกี่ยวกับว่าผมจะทำยังไง” เอิร์ธว่า “ผมอยากรู้ ว่าพี่จะทำยังไง”
   มิกเงียบสนิท เรื่องแบบนี้ตีกลับมาหาเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว....การเปลี่ยนแปลง
   และเป็นอีกครั้งแล้ว ที่เขาช้าเกินกว่าจะตามทัน
   “พี่...พี่เอ่อ...พี่”
   “พี่เคยคิดเรื่องของเราจริงจังบ้างหรือเปล่า” เอิร์ธถามอีก “พี่มองเห็นภาพเราสองคนอยู่ด้วยกันหรือเปล่า พี่เห็ยภาพตัวเองเคลียร์กับแม่ผมมั้ย กับน้องผมมั้ย พี่เคยเห็นภาพตัวเองจับมือผมเดินอยู่ในซูเม่ด้วยกันเข้าสตูดิโอมั้ย เหมือนพี่กาย เหมือนพี่นัท”
   “กายกับนัท ไม่เคยจับมือกันเดินเข้าสตูดิโอหรอกเอิร์ธ” มิกพูดให้ดูติดตลก แต่ทว่าตอนนี้ มันไม่ได้ดูตลกเลยซักนิด
   “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เค้าไม่ได้แสดงความรักกัน หรือภูมิใจว่าได้รักกัน” เอิร์ธว่า “หรือเป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาไม่ได้หมั้นกัน”
   ประโยคสุดท้ายของเอิร์ธ หยุดเวลารอบตัวของมิกเอาไว้ทันที
   “เอิร์ธ...พี่ไม่ได้ตั้งใจจะปิดเรื่องนี้ พี่แค่....” มิกพยายามอธิบาย
   เอิร์ธเมินหน้าช้าๆ
   “มีเรื่องอะไรที่พี่ทันคนอื่นมั่งป่ะ” เอิร์ธถาม “มีอะไรที่พี่ทำทันทีคิดทันทีบ้างหรือเปล่า พี่ช้าทุกเรื่องแบบนี้หมดเลยใช่ป่ะ ถ้าเราสองคนมีอะไรกัน พี่ก็จะเสร็จช้ากว่าผมใช่มะ”
   “เอิร์ธ” มิกพูดเสียงแข็ง
   “พี่มิก เราคบกันทำไมวะ” เอิร์ธถาม มิกนิ่งสนิท พลางคิดสิ่งที่เอิร์ธพยายามถามมา “ให้ตายเหอะพี่ ผมถามอะไร พี่ตอบหน่อยได้มั้ย”
   เอิร์ธเสียงสั่นเครือ ในตาเริ่มแดงก่ำ ชายหนุ่มกัดฟันพลางฟึดฟัดอย่างหงุดหงิด ิกก้มหน้าลง
   “พ...พี่ขอโทษ....พี่”
   เอิร์ธหลับตาพลางร้องโอดโอยทันที
   “ไม่เอาอ่ะ ไม่เอาแบบนี้...” เอิร์ธว่า “ผมไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้อีก ผมไม่อยากเห็นพี่มิกที่เดินช้ากว่าคนอื่น ผมไม่อยากเห็นคนที่นั่งแอบรักเค้าข้างเดียวอีกแล้ว ไม่เอาพี่ หยุด”
   มิกหายใจหอบถี่ เอิร์ธกำลังเดินไปในเส้นทางที่เขาไม่อาจตามไปได้อีก
   “พี่กายพี่นัท จะไม่มีความหมายอะไรกับผม Loveless Society จะไม่มีความหมายกับผมเลย เพราะผมเชื่อว่าเราสองคน มัเป็นอะไรที่เป็นไปได้ จนกระทั่งผมรู้ว่าเค้าหมั้นกัน” เอิร์ธว่า “เค้าสองคนทำไมกลายเป็นคู่ที่เป็นไปได้ Loveless Society มันไม่ได้โหดร้าย อย่างที่พี่เฝ้าบอกผมเลย ไม่เลยซักนิด”
   “แกไม่เข้าใจเอิร์ธ” มิกว่า “มันไม่เหมือนกัน กายกับนัทหมั้นกัน ก็เพราะเขาต้องการสิ่งที่ยึดกันไว้ ระหว่างที่ต้องห่างกันเท่านั้นเอง มันแค่...”
   “แล้วของเราล่ะพี่ ของเราคืออะไร” เอิร์ธร้องถาม
   “ฟังนะเอิร์ธ มันไม่ได้เกี่ยวกับกายกับนัท เรื่องของเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น พี่รักแก แกรักพี่ เท่านั้นมันก็พอแล้ว” มิกว่า “สำหรับพี่ มันเพียงพอแล้ว พี่ไม่...”
   “ผมหายไปครึ่งปี ก็เพื่อทำทุกอย่างให้พร้อม พร้อมที่จะรักกับพี่ พร้อมที่จะรับมือกับทุกอย่าง ผมไม่สนอะไรแล้ว” เอิร์ธว่า “ผมบินมาถึงนี่ ผมทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะนึกออก เพื่อเดินมาให้ทันพี่แล้วนะ ผมทำทุกๆอย่างเลยพี่มิก ผมสาบานได้”
   “แต่พี่ไม่ได้ขอ” มิกร้องลั่น
   “แล้วพี่ขออะไรบ้างวะ” เอิร์ธตะโกนออกมาในที่สุด พร้อมกับหยดน้ำตาแห่งความโกรธ เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ “ให้ตายเหอะ พี่ขออะไรให้กับตัวเองบ้างอ่ะ พี่เคยขออะไรให้กับเรื่องของเราบ้าง”
   “เอิร์ธ...” มิกพยายามเดินเข้าไปจับตัวเพื่อให้เอิร์ธอารมณ์เบาลง
   “ไม่ ไม่ต้อง” เอิร์ธสะบัดตัวหลุดออกมา “ผมไม่อยากทนอะไรแล้ว”
   เอิร์ธหันหน้าไปเจอกับภาพภาพนึงที่แขวนอยู่บนผนัง Loveless Society ภาพอันมีชื่อเสียงกำลังส่งความหมายอันเจ็บปวดมาหาเขา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาสู้ทนทำโปรเจ็คฝึกงานมตั้งสามเดือน แต่เขาเพิ่งจะตีโจทย์นั้นแตก เอาก็ตอนนี้เอง
   “เอิร์ธ พี่แค่อยากให้เราออกมาจากเรื่องพวกนั้น ออกมาจากความวุ่นวายทั้งหมด” มิกว่า “พี่ขอให้เจนเค้าดูแลแก ก็เพราะว่าเค้าอยู่กับแก พี่แค่...”
   “พี่ฝากผมเอาไว้กับคนอื่นเหรอ” เอิร์ธหันมาแผดเสียง "พี่ให้คนอื่นดูแลคนที่พี่รักงั้นเหรอ ให้ตายเหอะ"
   "เจนเค้าไม่ได้เป็นคนร้ายกาจแบบนั้นหรอกเอิร์ธ เค้ายินดีที่จะช่วย" มิกพูดทันที
   "ผมไม่ได้โกรธที่เป็นพี่เจนนะพี่มิก" เอิร์ธว่า "แต่ผมเสียใจ ว่าทำไมคนคนนั้นไม่เป็นพี่"
   มิกเงียบสนิท หน้าของนัทแว้บเข้ามาในหัว ทำไมไม่ใช่เขา.....
   "พี่มิก ผมเหนื่อย" เอิร์ธพูดเสียงอ่อนไหว "ผม...ผมทนไม่ไหวแล้วอ่ะ ทำไมเรื่องของเรามันมาถึงตรงนี้ได้วะพี่"
   "พี่ขอโทษ"
   เป็นคำเดิมๆซ้ำที่เอิร์ธเจ็บปวดเกินไปแล้วที่จะฟังมัน เขาไม่อาจจะทนรับสิ่งเหล่านี้ต่อไปได้อีกแล้ว
   "สรุปก็คือ ผมอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้ใช่มั้ย" เอิร์ธถาม
   "เอิร์ธ อย่าทำแบบนี้ พี่ขอ" มิกว่า "ที่พี่ตอบไม่ได้ ก็เพราะว่าทุกอย่างมันยังไม่..."
   "ไม่พร้อม ไม่เข้าที่ พี่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไกลได้กว่านี้เมื่อไหร่ พี่ไม่ พี่ไม่ พี่ไม่..." เอิร์ธหันกลับมาหามิก "ถ้างั้น ผมไปนะ"
   "เอิร์ธ" มิกส่งเสียงสั่น เขาไม่คิดว่าความรักของเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ "พี่ขอร้อง อย่าเป็นแบบนี้ แกคนที่พี่เหลืออยู่นะ โอเคพี่จะเร่งทำให้ทุกอย่างมันพร้อมขึ้นกว่านี้ พี่สัญญาเอิร์ธ พี่จะทำ พี่จะไม่ให้แกเหนื่อยคนเดียวอีกแล้ว พี่จะ..."
   เอิร์ธหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า
   "พี่ไม่ทำหรอก" เอิร์ธพูด "ถึงพี่ทำ มันก็จะช้า.....มันช้าไปพี่"
   ช้าไป....
   ไม่ ต้องไม่เกิดแบบนี้ขึ้นอีก ไม่เอาอีกแล้ว แบบเรื่องนัท ไม่....
   "พี่มิก...." เอิร์ธหายใจเข้าช้าๆ ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ งั้นก็คงมีเพียงแค่คำเดียวสินะ ที่จะต้องพูด.... "เราเล..."
   "ไม่...อย่านะ เอิร์ธ" มิกส่ายหน้าช้าๆ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาทันที เขาสัมผัสได้ มิกดึงเอิร์ธเข้ามากอดไว้ทันที "ไม่เอิร์ธ พี่ขอโทษ อย่า....อย่าทำแบบนี้ พี่จะทำแล้ว พี่สัญญา พี่..."
   "เราเลิกกันเหอะ"
   และแล้ว เวลาของมิกก็หยุดหมุนลง......
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 43 Find Me If You Can]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-09-2014 07:47:51
เห้ยยยยยยยย มิกกับเอิร์ธเลิกกันแล้วววว
ไกด์กับวินก็มีปัญหาเพราะพ่อแย่ๆ
โอ๊ยยย ทำไมมันอึดอัดมาม่าเช่นนี้
รอตอนต่อไปนะคะ
มาต่อบ่อยๆนะคะ
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [บทที่ 44 Breakaway]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 02-10-2014 02:39:41
บทที่ 44 Breakaway

“เราเลิกกันเหอะ” เอิร์ธพูดเสียงเย็น แม้ว่าจะยังยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของมิก ที่ตอนนี้มันไม่ได้ให้ความอบอุ่นอะไรกับเขาอีกแล้ว มันมีแต่ความเจ็บปวดเท่านั้น และเขาก็ไม่อยากแบกรับมันต่อไปอีกแล้ว
   มิกปล่อยแขนของตัวเองลงช้าๆ ก่อนจะผละตัวออกจากเอิร์ธ เอิร์ธที่ไม่ได้แม้แต่มองหน้าของมิกเลย สายของเด็กหนุ่มจับจ้องไปยังพื้นเบื้องหน้า ขณะที่มิกก้มหน้าลง เขาไม่เหลือแม้แต่ความรู้สึกที่จะขยับตัว หรือทำสิ่งใดใด คำพูดเพียงไม่กี่พยางค์เมื่อกี้ หยุดทุกอย่างรอบตัวเขาไว้
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   ไม่มีแม้แต่คำพูดใดใดให้กันและกันอีก เงียบเสียจนได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆลอดใต้ตัวบ้านจากด้านนอก ทันใดนั้นแสงไฟรถยนตร์ก็สาดเข้ามาในตัวบ้าน เอิร์ธก้มหน้าลงช้าๆ เมื่อในที่สุดก็มีเหตุการณ์อะไรซักอย่าง ทำให้สภาวะความอึดอัดนี้หมดลง เขามองหน้าคนรักตรงหน้า ถ้านี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะต้องทำ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น
   มิก มองหน้าเอิร์ธนิ่ง เขากลืนน้ำลายตัวเองเบาๆ พลางกระพริบดวงตาที่แดงก่ำนั้นถี่ๆ
   “บ้านหลังนี้ ไม่ใช่ของพี่คนเดียว” มิกพูดเสียงสั่น เอิร์ธขมวดคิ้วเบาๆ พร้อมๆกับเสียงประตูบ้านเปิดออก กายกับนัทเดินเข้ามามองภาพตรงหน้า ภาพของเอิร์ธและมิกที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งคู่ได้ยินเสียงอันเจ็บปวดของมิกในที่สุด
   “มิก” นัทเอ่ยทักขึ้น “เกิดอะไรกันขึ้...”
   กายยกมือขึ้นห้ามนัททันที เขาสัมผัสได้ว่าอารมณ์ที่ส่งมาตอนนี้ เป็นอารมณ์ที่รุนแรงเกินกว่านัทจะเข้าใจ
   “หมายความว่าไงพี่” เอิร์ธละล่ำละลักถาม
   “บ้านนี้เป็นบ้านของเค้าสองคน” มิกว่าพลางชี้ไปที่กายกับนัท “พี่....ไม่ได้มีพร้อมอย่างที่แกคิดหรอกนะ”
   เอิร์ธพยักหน้ารับทราบพลางกัดฟัน เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆก้มลงเก็บกระเป๋าของตัวเอง
   “เอิร์ธ” มิกร้องเรียกคนรักอีกครั้ง
   หวังว่าการร้องขอครั้งนี้จะไม่สายจนเกินไป
   “รู้มั้ยอะไร ดีที่สุดสำหรับพี่ตอนนี้” เอิร์ธว่า พลางสะพายเป้พร้อมกับยกแขนปาดน้ำตา “ตื่นไง”
   เอิร์ธออกเดินผ่านกายและนัทไปเหมือนมองไม่เห็นทั้งคู่อยู่ กายดูจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านัก เขามองหน้านัทอยู่ครั้งหนึ่ง นัทเดินเข้าไปหามิก
   “เกิดไรขึ้น” นัทจับตัวเพื่อนรักที่ยังคงยืนนิ่งสนิท “มิก”
   มิกหลับตาลงแล้วทรุดตัวทันที ก่อนจะจิกทึ้งผมของตัวเอง
   “ทำไมวะ...” มิกร้องเสียงดัง ด้วยเสียงสั่นเครือ “เราอะไรผิดวะนัท เราผิดตรงไหนวะ”
   นัทมองกาย ที่พยักหน้ารับคำ ก่อนจะวิ่งตามเอิร์ธออกไปด้านนอกของบ้าน นัทลูบหลังมิกเบา ขณะที่ชายหนุ่มทุบตีตัวเองอยู่อย่างนั้น
   “เราไม่เข้าใจอ่ะนัท” มิกมองเพื่อนรักอยู่ตรงนั้น “นี่คือสิ่งที่ฉันควรจะได้รับงั้นเหรอ นี่คือสิ่งที่ตอบแทนความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาเหรอวะ”
   “ไม่เป็นไรมิก ไม่เป็นไร” นัทพูดเบาๆ ก่อนจะโอบตัวเพื่อนของเขาเอาไว้
   นัทเองผ่านความเจ็บปวดมามาก แต่เขาไม่เข้าใจนัก ว่าจะได้ครึ่งหนึ่งของที่มิกกำลังแบกรับเอาไว้อยู่หรือเปล่า
   “นัท” มิกพูด “กูผิดอะไรวะ”
   นัทหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองเพื่อนรักของตัวเอง เขาไม่แน่ใจกับเรื่องนี้นัก ถ้าสาอยู่ตรงนี้ก็คงจะดี แต่....
   “บอกดิว่ากูไม่รักมันอ่ะ” มิกว่า “บอกดินัท มึงก็รู้อ่ะ กูทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรอ่ะ ที่กูทำอยู่ทุกวันนี้มันเพื่ออะไร”
   “นั่นเป็นคำถามของเอิร์ธมิก ไม่ใช่ของแก” นัทพูดขึ้นในที่สุด เขาคิดว่ามิกต้องเข้าใจอะไรบางอย่าง
   ชายหนุ่มเงียบสนิท มองนิ่งสนิท
   “แกให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง” นัทว่า “ยกเว้นเวลา”
   มิกมองหน้านัททันที
   “ฉันเคยคิดว่าความรักคืออนาคต แต่มันไม่ใช่ว่ะมิก” นัทพูด “ความรักไม่ใช่อดีต หรืออนาคต มันคือปัจจุบันว่ะ แต่แกไม่อยู่กับปัจจุบัน แกอยู่กับอดีต และเรื่องในอดีตมันมีวันหมดอายุ ถ้าแกไม่ต่อ”
   มิกก้มหน้าลง ก่อจะร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ร้องไห้อย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะร้องไห้ได้ นัทถอนหายใจด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะนั่งกอดเพื่อนรักของเขาอยู่ตรงนั้น
...........................
   “เอิร์ธ เอิร์ธ เจ้าเอิร์ธ” กายวิ่งตามเอิร์ธมาทันได้ในที่สุด ก่อนจะตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่วิ่งหนีความเจ็บปวดด้วยระยะทางที่ยาวนานมากเหลือเกิน เอิร์ธหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามามองกาย ใบหน้าของเอิร์ธแดงก่ำพร้อมกับดวงตาเรื่อด้วยน้ำตา กายไม่เคยเห็นมุมนี้ของเอิร์ธมาก่อน ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าเอิร์ธอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะรับทราบสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
   เอิร์ธถอนหายใจหนึ่งครั้ง พลางมองหน้ากาย
   “ถ้าพี่คิดจะมาพูดอะไรเพื่อให้ผมกลับเข้าไป ผมบอกเลยว่าไม่” เอิร์ธว่า “ผมทนกับพวกพี่มามากพอแล้ว ผมไม่เอาด้วยแล้ว ต่อจากนี้ผมจะทำอะไรตามความคิดของผมเท่านั้น”
   “แค่นี้ยังพังไม่พออีกเหรอ” กายพูดเสียงแข็งทันที เอิร์ธชะงักไปพักนึง “ทั้งหมดที่เราทำมา ยังพังไม่พอใช่หรือเปล่า สรุปคืออยากได้แบบนี้ใช่มั้ย อยากให้ทุกอย่างพังลงใช่หรือเปล่า”
   “แล้วพี่จะทำไมอ่ะ” เอิร์ธว่า “อะไรที่มันไม่ได้เป็นไปตามที่พี่ หรือพี่เจนต้องการ มันก็คือพังหมดอ่ะแหละสำหรับพี่ ผมไม่เอาด้วยหรอก นี่บ้านพี่ไม่ใช่เหรอ กลับไปดูแลคู่หมั้นพี่ กับเพื่อนของเขาเหอะ ผมจะกลับแล้ว”
   “เราจะไปไหนเอิร์ธ” กายถาม
   “มันก็ไม่เกี่ยวกับพี่ปะวะ” เอิร์ธเริ่มใช้น้ำเสียงที่มีความสุภาพน้อยลงทุกที
   “เอิร์ธ อย่ามาทำแบบนี้กับพี่” กายเริ่มเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม “เราไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
   “รู้อะไร” เอิร์ธว่า “ผมต้องรู้อะไรงั้นเหรอพี่กาย ต้องรู้ว่าพี่หมั้นกับพี่นัทอ่ะเหรอ ผมต้องกล่าวอวยพรให้พี่ด้วยมั้ย มันช้าไปมั้ง เพราะมันตั้ง เท่าไหร่นะ 6 เดือนป้ะ หรือ 7 เดือน หรือยังไง หรือผมต้องแต่งตัวดีกว่านี้เพื่อแสดง....”
   “อย่ามาดูถูกความรักของพี่” กายร้องเสียงดัง “ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราแบกรับอยู่มันเจ็บปวดที่สุดแล้ว หัดดูคนอื่นรอบๆตัวเราบ้างเจ้าเอิร์ธ เราคิดว่าเราอยู่ตัวคนเดียวรึไง”
   “อย่าเอาคำพูดของพวกพี่มาใช้กับผม อย่า....”
   “อยากฟังแต่เรื่องของตัวเองใช่มั้ย” กายว่า “อยากฟังแต่เสียงของตัวเองใช่มั้ย อยากรู้เรื่องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบใช่มั้ยห๊ะ”
   กายเดินเข้ามาอยู่เหนือเด็กหนุ่มที่มองกายด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง
   “เพื่อนเราเจ้าวิน หุ้นส่วนธุรกิจในอนาคตที่เราเพิ่งจะยกเลิกสัญญาทุกอย่างไป เขาหายตัวไป” กายพูดเสียงเย็น
   “..ล....แล้วใครจะสน” เอิร์ธว่า
   “ใครเป็นคนยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าวินเป็นคนเชื่อใจได้” กายว่า “ใครเป็นคนยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าเพื่อนของผมคนนี้เชื่อใจได้ห๊ะ มิกเค้าเล่าให้พี่ฟังเรื่องที่เราคุยกับเค้าที่บัวเดอบูโลญหมดแล้ว”
   “พี่อย่ามายุ่งเรื่องของผมได้มั้ย” เอิร์ธว่า “มีอะไรที่เค้าไม่เล่าให้พี่ฟังบ้าง เรื่องของผมกับเค้ามันจบ ก็เพราะพี่คนมายุ่งเยอะเกินไป”
   “ที่มิกเล่าให้ฟัง ก็เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน” กายว่า “พี่ไม่สนอดีต หรือ อนาคต แต่ทุกๆคนที่นี่คือเพื่อนกัน ถ้าเราไม่เชื่อใจกันแล้ว เราจะเชื่อใจใครหะ”
   เอิร์ธเงียบสนิท
   “สิ่งที่พี่เกลียดที่สุด คือคนที่ไม่รักษาคำพูดตัวเอง” กายว่า “พี่รักษาคำพูดตัวเอง พี่ถึงหมั้นกับนัท มิก เค้ารักษาคำพูดตัวเอง เขาถึงให้เจนดูแลเรา วิน เค้ารักษาคำพูดตัวเอง เค้าถึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้แทนที่เค้า”
   “พี่รู้เรื่องนี้ได้ไง” เอิร์ธว่า
   “ก็เพราะตอนนี้ทุกๆอย่างมันพังหมดแล้ว” กายว่า “มันพังเพราะเราไม่ฟังใครเลย เราทำตามความคิดของเรากันเองสองคนกันทั้งหมด ตอนนี้เพื่อนเราไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน”
   “มันอยู่ไม่กี่ที่หรอก พี่ไปหามันที่ร้านเกล็ดหิมะสิ แฟนมันอยู่ที่นั่น” เอิร์ธว่า
   “ไม่มีเกล็ดหิมะแล้ว ร้านนั่นเพิ่งโดนระเบิดไปเมื่อเย็น” กายพูดชัดเจน เอิร์ธนิ่งสนิท
   “ไม่มีความลับอะไรอยู่หลังกำแพงอีก ไม่มีการปกปิด ไม่มีการไม่ไว้ใจกันอีกแล้วเอิร์ธ” กายว่า “สิ่งที่มีตอนนี้ คือเราต้องช่วยกันแก้ไขมัน ให้ทุกๆคนมีทางออก”
   “แล้วทำไปผมถึงต้องช่วยให้คนอื่นมีทางออก” เอิร์ธว่า “มีใครเคยยื่นมือมาช่วยให้ผมมีทางออกบ้างหรือเปล่าล่ะ เวลาที่ผมต้องการทางออก ไม่เห็นมีใครช่วยผมเลยซักคน”
   พลั่ก
   กายหวี่ยงหมัดใส่เอิร์ธทันที เด็กหนุ่มล้มลงกับพื้นไปตามแรงหมัด
   “พี่กาย” เอิร์ธร้องเสียงดัง “ทำอะไรวะ”
   “พี่ไม่สนด้วยซ้ำ ว่าเราจะเลิกกับมิกเค้าหรือเปล่า พี่ไม่ได้แคร์ซักนิด” กายว่า “แต่สิ่งที่พี่แคร์มากที่สุดตอนนี้คือ เพื่อนของพี่ เจน คนที่เราทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะเธอมาตลอด ต่อต้านเธอ สัญญาบ้าบออะไรก็ตามที่เราทำไว้กับวิน เราคิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆใช่มั้ย คือว่ามันเป็นเรื่องที่ยะเลิกกันได้ง่ายๆใช่มั้ยห๊ะ”
   กายก้มลงไปกระชาคอเสื้อของเอิร์ธขึ้นมาทันที
   “คิดจะสัญญาก็สัญญา คือจะเลิกก็เลิก” กายว่า “เพราะอย่างงี้ไง แกถึงต้องเลิกกับเค้า”
   กายตะคอกใส่หน้าเอิร์ธ ที่น้ำตาเอ่อคลอทันทีเมื่อถึงประโยคนี้
   “เพราะอย่างนี้ไง แกกับมิกถึงมาไกลได้แค่นี้ เพราะแกมองว่ามันเป็นแค่ข้อแลกเปลี่ยน เป็นแค่เกม เป็นแค่อะไรที่จะบอกยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้” กายหายใจหอบถี่ เขาไม่เคยสติหลุดเท่านี้มาก่อน แต่กับเด็กคนนี้ ถ้าเอิร์ธเป็นน้องชายเขา เขาคงตีเอิร์ธแน่ๆ “เจน คนที่แกเกลียดนักหนา เขาเป็นเพื่อนของพี่ เขาทำให้พี่กับพี่นัทมาถึงตรงนี้ได้ ถ้าแกไม่ต้องการเขา แล้วล้มสัญญากับวินทำไม ห๊ะเอิร์ธ ล้มทำไม”
   เอิร์ธนิ่งสนิท
   “ตอบพี่ดิเอิร์ธ ตอบ!!!” กายว่า เอิร์ธกระพริบตาถี่ๆ “ตอนนี้เจนเค้าวิ่งโร่แก้ปัญหาที่ควรจะเป็นแก ที่ต้องกลับไปแก้ กลับไปตามเพื่อนรักของแก เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เพื่อนที่ต้องรักกัน และไม่ยอมให้เพื่อนต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง เหมือนที่พี่ไม่เคยยอมให้เจนต้องเจอปัญหาลำพัง เหมือนที่นัทก็ไม่เคยยอมให้มิกเผชิญปัญหาเพียงลำพัง”
   กายรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ว่าตัวเองกำลังสติหลุด ชายหนุ่มหลับตา พลางค่อยๆปล่อยตัวเอิร์ธลง ก่อนจะควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองให้ดีขึ้น และหันไปมองหน้าเอิร์ธอีกครั้งที่กำลังนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น
   “วินเค้ารู้ว่าแกต้องการอะไรเอิร์ธ” กายว่า “เขายอมเอาตัวเองเดินเข้าไปในเส้นทางที่อันตราย เพื่อแลกให้แกขึ้นมาสู่เป้าหมายแก แล้วแกอ่ะ ตอบแทนอะไรในสิ่งที่เพื่อนควรจะทำให้เพื่อนบ้าง”
   “ผ...ผม”
   กายส่ายหน้าทันที
   “พี่จะบอกความลับให้” กายพูด “พี่เจน ไม่เคยเห็นด้วยเลยที่พี่เลือกพี่นัท ไม่เคยเลยซักครั้ง แต่ในงานหมั้น เจนเป็นคนจัดการทุกอย่างให้พี่ ทุกๆอย่าง พี่เจน เคารพการตัดสินใจของพี่ เหมือนที่พี่ทุกๆคน เคารพการตัดสินใจของมิกเรื่องแก แต่แกเคารพการตัดสินใจของวินบ้างหรือเปล่า นี่เหรอคือสิ่งที่แกตอบแทนเพื่อนของแกกับเรื่องทั้งหมด ตอบแทนพี่เจนกับเรื่องทั้งหมด”
   แกทิ้งสองคนนั้นให้เผชิญเรื่องที่เลวร้ายเพียงลำพัง แล้วก็หอบเอาตัวเองมาอยู่นี่ แล้วเป็นไง เพราะความไม่เคยรอใครของแก แกเจออะไรที่นี่ แกได้เจอปลายทางของความรักของแกที่นี่มั้ยเอิร์ธ เจอมั้ย”
   เอิร์ธก้มหน้าลงทันที ความเพิ่งรู้สึกถึงความผิดพลาดทั้งหมดถาโถมเข้ามาหาเขา มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว
   “สุดท้าย แกก็จะไม่เหลืออะไรเลย” กายพูดต่อ “แกก็จะเป็นพี่ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้”
   และแล้วก็เข้าสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน เป็นอย่างที่กายพูด สำหรับเอิร์ธ เขายังไม่ได้ทำอะไรให้กับวินเลย สิ่งล่าสุดที่เขาทำ ก็คือต่อต้านความสัมพันธ์ของวินกับไกด์ ทั้งๆที่มองมุมกลับ วินไม่เคยต่อต้านความสัมพันธ์ของเขากับมิกเลยซักครั้ง
   เอิร์ธทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงนั้น จมอยู่กับความพ่ายแพ้ของตัวเอง ชายหนุ่มกำหมัดเอาไว้แน่น
   “ผมเคยคิดมาตลอด ว่าผมจะทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับเค้าดีที่สุด” เอิร์ธว่า “ผมไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งเรื่องของผมกับเค้า ผมไม่ต้องการ”
   “แต่เมืองนี้มันแปลกเอิร์ธ ทุกอย่างมันแปลกไปหมด” กายพูด “คนที่เราจะไว้ใจได้...”
   “...มันมีแค่พวกเราเท่านั้น” เอิร์ธพูดพร้อมกับกายในที่สุด “แต่.....ผมขอพี่กาย เรื่องผมกับพี่มิก ผมตัดสินใจ...”
   “พี่บอกแล้ว ว่าพี่ไม่สน” กายว่า “พี่มองเห็นตัวเองในตัวแกเอิร์ธ แกคิดเรื่องนี้อย่างดีแล้ว พี่เห็นแววตาแกเมื่อกี้ในบ้านพี่รู้ แต่พี่มาขอแกเรื่องวิน....ไปกับพี่ พี่ต้องการจบเรื่องนี้”
   เอิร์ธมองหน้ากาย
   “ผมเสียใจกับทุกเรื่อง” เอิร์ธว่า “ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ...ผม”
   กายยื่นมือไปหาเอิร์ธตรงหน้า
   “หมดเวลาสนุกแล้วไอ้น้อง” กายว่า “กลับมาสู่โลกแห่งความจริง”
   เอิร์ธจับมือของกายแล้วลุกขึ้นทันที พลางหยิบกระเป๋าของตัวเองที่กองอยู่
   “เราจะไปไหนกัน” เอิร์ธถาม
   “คำถามนั้นพี่ต้องถามเรา” กายว่าพลางกดปลดล็อครถของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลกัน เอิร์ธมองไปยังตัวบ้านที่เขาเคยเข้าใจมาตลอดว่าเป็นบ้านของมิก แต่มิกก็พักอยู่ที่นี่ ที่ที่เขาเคยคิดว่าจะเป็นปลายทางของทุกๆอย่าง แต่ตอนนี้เขาได้เรียนรู้มามกพอแล้วกับความรักที่มีให้มิก
   “ขอโทษนะพี่มิก” เอิร์ธพูดเสียงสั่น กายก้มหน้าลงเบาๆ
   “คนเราอยู่อย่างคนแพ้บ้างก็ได้” กายพูดขึ้น “ทุกๆคนต้องรัยผิดชอบชีวิตตัวเองเอิร์ธ”
   “วินรู้จักกับนางแบบอยู่คนหนึ่งครับ” เอิร์ธว่า “เขาสนิทกันมาก จนครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน เธอชื่อสเตลล่า พักอยู่ในปารีส วินไม่มีทางกลับไปหาไกด์เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดีสนีย์แลนด์ มันต้องอยู่สเตลล่าแน่นอน”
   “โอเค งั้นพี่เอ่อ ขอล้างหน้าแปป บอกลาพี่นัทเค้าด้วย” กายว่า “วันนี้พี่ขับรถมาทั้งวัน”
   “ไม่ต้องพี่” เอิร์ธว่า “พี่ไม่ต้องไปส่งผมหรอก”
   กายมองหน้าเอิร์ธ
   “อย่างที่พี่ว่า นี่เป็นปัญหาที่ผมต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง แก้ไขความผิดพลาด” เอิร์ธว่า “เดี๋ยวผมไปเอง พี่เอ่อ....อยู่ดูเค้าเหอะ ผม.....ผมรู้ว่าเค้าจะเป็นไง”
   “แน่ใจนะ” กายถาม
   “ครับ” เอิร์ธรับคำ ก่อนจะค่อยๆออกก้าวเดินไป กายหันหลังกลับและเดินไปยังตัวบ้านของตัวเอง เขารู้ดีว่ามิกจะเป็นไง มันไม่ใช่เรื่องที่เดาได้ยาก เพียงแต่เขาไม่แน่ใจนักว่า ทางเดินที่ทั้งสองเลือกจะเป็นอย่างไรต่อไป
   “พี่กาย” เอิร์ธร้องเรียกเขา ชายหนุ่มหันหลังกลับไป “บอกเขาทีว่า........ผม.....ผมเสียใจที่เราสองคนต้องเป็นแบบนี้แต่....ผมเสียใจ”
   กายมองหน้าเด็กหนุ่มเดินหันหลังจากไป
   เขามองเห็นภาพของตัวเองในวันที่เลิกกับเจนแจ่มชัดขึ้นในหัว
   ปารีสเป็นเมืองที่น่ากลัวเกินไปจริงๆ เมืองนี้สร้างความหนาวที่เจ็บปวดเกินไป......
   เกินกว่าคนบางคนจะรับมันได้.....
   ได้แต่หวังว่า มันจะจบลงด้วยดี
.................
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 44 Breakway]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-10-2014 15:09:06
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
สงสารวินมากกกกก
มาต่อบ่อยนะคะ พลีสสส
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 45 Give me one more kiss]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 09-10-2014 00:17:16
บทที่ 45 Give me one more kiss

   วินเปิดประตูห้องที่ถนนทอร์ลวิลช้าๆ ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่ผ่านมาเขาต้องจัดการเรื่องราวหลายอย่างให้เสร็จสิ้น กว่าเจ๊ใหญ่จะสงบลงได้ก็ใช้เวลาเอานานมากโข สิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องของพ่อของเขา แต่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของผู้คนรอบๆร้านเกล็ดหิมะ พวกเขาเข้มแข็งกว่าที่วินคิดเอาไว้มาก ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทุกคนสามารถประคองกันและกันผ่านคืนอันโหดร้ายมาได้ และที่สำคัญ ดูเหมือนบุญคุณของเจ๊ใหญ่ที่สะสมมาตลอด 3 ปีที่ร้านเกล็ดหิมะ จะตอบแทนเธอได้อย่างดี ความช่วยเหลือจากคนไทยที่ทราบข่าวในช่วงดึก หลั่งไหลมาหาเธออย่างไม่ขาดสาย แต่สิ่งที่วินต้องรีบรุดกลับมาที่นี่ ก็คงเป็นเพราะสิ่งที่เจ๊ใหญ่บอกเขา หลังจากที่เขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป

   “วิน” เจ๊ใหญ่จับมือของวินเอาไว้ก่อนจะจากกันที่สถานีตำรวจ “แน่ใจนะว่านี่เป็นสิ่งที่คิดทบทวนดีแล้ว”
   “ดีครับ” วินกุมมือของเธอเอาไว้ “ร้านเสียหาย ส่วนนึงเป็นเพราะผม ผมอยากจะรับผิดชอบ”
   “มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลยวิน” เจ๊ใหญ่ว่า “เธอไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเจ๊เลย เพราะ...”
   “ผมเคยคิดแบบนั้น” วินตอบทันที “ผมเลยเป็นคนที่ไม่อยากจะยุ่งกับใคร เจ๊จำวันแรกที่ผมเดินเข้าร้านได้หรือเปล่าล่ะ แต่ร้านทำให้ผมรู้ว่า เราไม่ควรหันหลังให้กับปัญหาของใครก็ตาม”
   เจ๊ใหญ่มองหน้าวินด้วยสายตาที่เป่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง วินจับมือเธอไว้อย่างสุภาพ
   “เธอไม่ใช่คนเดิมแล้วนะวิน” เจ๊ใหญ่พูดกับวินเสียงสะอื้น
   “ครับ ผมรู้” วินก้มหน้าลงกับตัวเอง เจ๊ใหญ่พูดถูกไม่หมดซะทีเดียว เขาไม่ใช่คนเดิม แต่จากเรื่องที่เกิดบางครั้ง เขาก็ต้องยอมตอบคำถามที่ไกด์เคยถามเขาเมื่อนานมาแล้ว
   เขาเป็นใคร.....
   และตอนนี้คำถามที่เขาเคยหลีกเลี่ยงที่จะตอบ กำลังสร้างความเสียหายอยู่หลังกำแพง ความเสียหายที่เขาต้องรับผิดชอบมันอย่างจริงจัง
   ยิ้มเบาๆเมื่อนึกถึงใบหน้าของหมอนั่น ทุกๆนาทีที่ได้อยู่กับหมอนั่น มันทำให้เขาเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง หลายอย่างมากจริงๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ๊ใหญ่ หลังจากคิดอะไรออกได้อย่างหนึ่ง
   “ไกด์รู้เรื่องหรือเปล่าครับ” วินถาม
   เจ๊ใหญ่พยักหน้าตอบเขาเบาๆ
   “ก่อนจะเกิดเหตุ วันนี้ไกด์พาผู้หญิงคนนึงมาให้เจ๊รู้จัก เค้าเป็นอาจารย์ของเธอที่ Esmod” เจ๊ใหญ่เล่า “เจ๊เล่าเรื่องของร้าน เรื่องของวินให้เค้าฟังด้วย เจ๊ไม่แน่ใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกันไหม”
   วินตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
   “คุณเจนเหรอครับ” วินถามอีก
   “ใช่จ้ะ” เจ๊ใหญ่ตอบ “ไกด์กับคุณผู้หญิงคนนั้น ออกจากร้านมาทัน ก่อนที่ร้านจะระเบิด รู้สึกว่าจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก ก่อนที่เราจะมา เค้าก็หายออกไปด้วยกัน ไม่ได้เจอกันหรอกเหรอวิน”
   วินยิ้มให้เจ๊ใหญ่
   “ไม่ครับ” เขาตอบ “เราไม่ได้เจอกัน คืออันที่จริง ผม......ผม.... ผมตั้งใจจะไปแล้ว”
   “ไปไหนล่ะวิน แล้วได้บอกไกด์ไว้หรือยัง” เจ๊ใหญ่ถาม
   วินยิ้มให้เจ๊ใหญ่ ก่อนจะปล่อยมือเธอ
   “ขอบคุณนะเจ๊ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” วินว่า “หวังว่านี่จะช่วยเจ๊ได้นะ”
   
    ยิ้มให้ตัวเองเบาๆ สำหรับวิน เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้มาจนถึงตอนนี้ ห้องพักที่ขนาดเท่าแมวดิ้นตายตรงหน้า ส่งความหมายบางอย่างให้กับเขา มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่นี่มามากมาย มากเกินกว่าที่ใครหน้าไหนในเมืองนี้จะจินตนาการถึง หากไกด์กลับมาเห็นเขาสภาพนี้หมอนั่นต้องลากเขาไปอาบน้ำแน่ๆ เขม่าควัน กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่วทั้งตัว หัวเราะกับสภาพของตัวเองเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น เมื่อวินหันกลับไป และแล้วก็เหมือนกับมีเวทย์มนต์
   ไกด์ในสภาพที่ดูอิดโรยไม่ต่างกัน ยืนอยู่ตรงหน้าประตู วินสบตาคนตรงหน้า เขาไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว วินและไกด์วิ่งเข้าหากัน ก่อนจะประกบริมฝีปากเข้าหากันทันที ทั้งคู่ยืนจูบกันอยู่อย่างนั้น จูบกันราวกับว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว ไกด์เอื้อมมือไปลูบผมของวินเบาๆ ขณะที่วินลูบไปตามต้นคอของไกด์ ก่อนจะผละออกจากกัน วินก้มหน้าลง แม้ว่าจมูกของเขาจะยังคงใกล้ชิดอยู่กับไกด์อยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ตอนนี้มีคำพูดมากมายเกินกว่าที่เขาจะอธิบายได้ มันมากมายเกินกว่าที่ไกด์จะเข้าใจ เขาไม่อาจจะเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้อีกต่อไป
   แนบใบหน้าชิดกันอย่างนั้นอยู่นาน ก่อนจะผละออกจากกันไป วินตัวสั่นสะท้านพร้อมกับหลับตาแน่น
   “เรามีเรื่องต้องคุยกัน” วินพูด ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของไกด์ขมวดคิ้ว พลางจ้องมองวินอย่างครุ่นคิด “ฉันมีเรื่องต้องบอกนาย ฉัน....”
   “เรื่องอะไร” ไกด์ว่า “เรื่องที่พ่อของนายเป็นคนทำสิ่งต่างๆทั้งหมดนี่ หรือเรื่องที่นายกำลังคิดว่าจะไปจากฉัน”
   น้ำตาของวินเอ่อคลอทันทีเมื่อไกด์พูดถึงประโยคนี้ เขากัดฟันแน่น เป็นอีกครั้งที่ไกด์อ่านเขาออก
   “นายไม่เข้าใจ ตอนนี้อะไรๆมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้ทุกๆอย่างฉันควบคุมไม่ได้แล้วไกด์” วินว่า “ฉันขอโทษนะ ที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนายไม่ได้ ฉันต้องไปแล้ว”
   “ถ้าเราสามารถทำสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้จนผ่านไปได้ หลังจากนั้น จะไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้อีกแล้ว” ไกด์ว่า “แล้วทำไมถึงจะยอมแพ้แค่นี้ นายไม่เคยยอมแพ้ไม่ใช่รึไง”
   “ไกด์ เรารักกันไม่ได้หรอก” วินพูดแม้ว่าข้างในของเขากำลังสั่นไหวด้วยความเจ็บปวด
   “แต่ก็รักไปแล้ว” ไกด์พูดเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบวินอีกครั้ง วินพยายามขัดขืน เพราะมีอะไรบางอย่างที่ไกด์ต้องรับรู้
   “ก...ไกด์ นายต้องฟังนะเว่ย” วินถอนปากออกอีกครั้ง ไกด์หายใจหอบถี่ พลางมองวินด้วยสายตาที่เยียบเย็น
   “วิน” ไกด์พูดเสียงแข็ง “ให้ฉันเถอะนะ อีกแค่จูบเดียว”
   วินไม่อาจห้ามใจตัวเองได้อีก เขารู้ว่าเวลาแบบนี้มันอันตรายแค่ไหน มันไม่เหมาะเลยซักนิดที่เขาทั้งคู่จะใช้เวลาแสดงความรักกันตรงนี้ แต่ทว่าสำหรับวิน เขากลับรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำได้ วินยอมมอบรอยจูบนี้ให้กับไกด์อยู่ตรงนั้น จนเวลาผ่านไปเนิ่นาน
....................
   เสียงหยดน้ำไหลเอื่อยๆ พร้อมกับไอน้ำที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องน้ำ หลังจากเพลงรักอันร้อนแรงจบลงทั้งคู่นั่งพิงพนังห้องน้ำอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้สายน้ำชำระล้างความเจ็บปวดที่วินต้องแบกรับมาทั้งคืนไหลต่อไป วินนั่งพิงไหล่ไกด์ที่อยู่ในร่างที่เปลือยเปล่าอย่างสงบนิ่ง ไม่มีเสียงใดใด เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
   “ฉันคิดว่าดีสนีย์แลนด์จะทริปที่ดีที่สุดของฉันกับนาย” ไกด์พูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน วินหันกลับมามองหน้าไกด์ช้าๆ “จำวันนั้นได้มั้ย ที่ร้านแล้วนายอยู่สเตลล่าและคนอื่นๆ ฉันไม่รู้ว่าสถานะของฉันกับนายคืออะไร แล้วมีอะไรที่ฉันไม่รู้บ้าง”
   วินยังคงเงียบสนิท
   “ฉันรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า นายมีอะไรบางอย่าง ที่ไม่ได้บอกกัน” ไกด์ว่า “ฉันไม่โทษนายหรอก ถ้าจะผิด ก็คงเป็นฉันเอง”
   วินไม่แน่ใจนัก ว่าสิ่งที่ไกด์พูดหมายถึงอะไร จึงได้แต่ฟังไปเงียบๆ
   “ถ้าฉันมั่นคงให้กับนายตั้งแต่แรก นายก็คงไม่ต้องมาเจอพวกนี้” ไกด์ว่า “ถ้าฉันดูแลนาย ยอมรับนายแบบที่นายเป็นนาย ไม่ใช่ภาพสะท้อนของเจ้าก้อง ฉัน...ฉันขอโทษ”
   “ไกด์” วินเรียกชื่อเบาๆ “ถ้าสองวันที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายคิดว่า เราจะเป็นยังไง”
   ไกด์หัวเราะเบาๆ
   “ไม่รู้สิ” ไกด์ว่า “ความจริงก็คือฉันไม่เคยมานั่งจำหรือนั่งคิดเรื่องของนาย เพราะทุกๆเรื่องของนาย ฉันไม่เคยใช้สมองคิดเลยซักครั้ง ฉันใช้ความรู้สึกจากข้างในนี้มากกว่า”
   ไกด์เอื้อมมือไปจับมือของไกด์มาวางเอาไว้บนอกของเขา วินสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ลอยมาแตะจมูกเขาเบาๆ กลิ่นอายเหล่านี้บอกวินว่าสิ่งที่ไกด์พูดเป็นความจริง แต่ความจริงที่ยิ่งกว่าก็คือ เวลาที่บีบคั้นลงทุกที ไกด์อาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าเขา ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้ ณ เวลานี้ เขาจะมีความสุขกับคนตรงหน้าได้มากมายเท่าไหร่ มันก็คงต้องยุติลง
   “นายอาจจะยังไม่รู้เกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ดีสนีย์แลนด์” วินค่อยๆพูดทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เรื่องฉันกับเอิร์ธมันเป็นแค่...”
   “เรื่องงี่เง่า” ไกด์พูดต่อ “ฉันเข้าใจ นายไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว”
   “ไม่ นายยังไม่เข้าใจ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเพราะฉันต้องการที่จะ....”
   “ฉันไม่อยากรู้เรื่องแบบนั้นอีกแล้ววิน” ไกด์ดึงตัววินชิดไปกับกำแพง และคร่อมตัวหาวินทันที “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเข้าใจหมดแล้ว ทุกอย่าง ทุกๆอย่าง ตอนนี้ฉันแค่อยากรู้เพียงอย่างเดียว”
   “ว...ว่า”
   “ถ้าฉันขอให้คราวนี้เป็นตาฉันบ้าง นายจะไปกับฉันไหม” ไกด์ถาม พลางมองเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า
   ใช่แล้ว สำหรับไกด์ เขาไม่สนอะไรอีกแล้ว ถ้านี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้ชดใช้กับสิ่งที่ทำให้วินต้องแบกรับเรื่องราวทั้งหมดไว้คนเดียวมาโดยตลอด เขาอยากจะไถ่โทษมัน และนี่ก็คงเป็นโอกาสสุดท้าย
   “ตอบดิวิน” ไกด์ว่า
   คำถามร้อยพันตีวนอยู่ในหัวของวิน ไกด์รู้เรื่องละเอียดขนาดนั้นได้จริงหรือเปล่า ถ้าจำพูดของเจ๊ใหญ่เป็นจริง ถ้าก่อนเกิดเรื่อง ไกด์ได้เจอกับเจนจิราก่อนที่เขาจะหายไปกับสเตลล่า นั่นอาจจะหมายความว่า ไกด์รู้เรื่องทุกๆอย่าง ทุกๆเรื่องที่เขาพยายามมาทั้งหมด
   และนั่นอาจจะหมายถึงความรู้สึกที่เขามีให้คนคนี้แบบหมดหัวใจ
   “ว่าไงวิน” ไกด์ถามต่ออีก วินส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลไปให้ไกด์เป็นคำตอบ
   “ฉ...ฉันไม่รู้ ฉันไม่ชัวร์ว่านายจะ...”  วินว่า
   “นายรักฉันหรือเปล่าวิน” ไกด์ถาม
   เรื่องนั้นน่ะเหรอ....วินคิด
   “ฉันขอแค่คำตอบนี้ ถ้าคำตอบนายคือใช่ หลังจากวันนี้ ฉันจะไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว” ไกด์พูด เขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เขารู้ถึงความเสี่ยงมากมาย เขารู้ว่าช่วงเวลานี้เป็นวันสำคัญแค่ไหน
   “ฉันไม่เคยรักใคร......ได้เท่านายอีกแล้ว” วินตอบพลายิ้มให้ไกด์ ที่ยิ้มกว้างตอบเขา
   “งั้นฉันก็ต้องการแค่นี้แหละ” ไกด์ว่า ก่อนจะลุกขึ้น และยื่นมือไปหาวิน “ลุกขึ้นแล้วไปด้วยกัน”
   “ป....ป...ไปไหน” วินว่า
   “ไปทำให้ทุกอย่าง เป็นอย่างที่เราต้องการ” ไกด์ตอบเสียงหนักแน่น
   วินยอมรับว่า เขาไม่เชื่อไกด์เลย ไม่เลยซักนิด
...........................
   ณ สตูดิโอที่ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลเจนจิรานั่งมองพี่สุเมธ ที่กำลังอ่านรายงานของเธออย่างเคร่งเครียด เธอเองเป็นกังวลอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดวัน เธอไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่เธอลงมือทำ แต่อย่างไรก็ตาม พี่สุเมธ ในฐานะเจ้าของแบรนด์ซูเม่ อินเตอร์เนชั่นอล เขาจำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
   “พี่ไม่แน่ใจเจน” พี่สุเมธพูดเสียงเข้ม “ทำไมมันมีแต่เรื่องล่ะ ตอนที่พี่เปิดขายหุ้น ถ้าพี่รู้ว่าแต่ละคนจะมีข้อแม้อย่างอื่นติดมาด้วย พี่ไม่เอานะ”
   “พี่เมธ เรื่องนี้เราต้องฟังนะคะ มันไม่ใช่ช้อแม้ แต่มันคือความจริง นี่คือความจริงที่เราเลือกจะลืมมันมาตั้งแต่ที่เมืองไทย ความจริงที่พี่เองก็ไม่ได้ฟัง” เจนจิราว่า สุเมธอึ้งไปพักนึง
   “เจนไม่เข้าใจ” พี่สุเมธพูดเกื้อหัวเราะ “พี่แค่อยากทำงาน และสิ่งที่พี่ต้องการมากที่สุดคือการทำแบรนด์ ทำแฟชั่น ทำงานศิลปะ ถ้าคนของพี่เอาแต่ปัญหามายัดใส่พี่ พี่ก็ไม่อยากทำงานด้วย พี่ทำธุรกิจเจน พี่ไม่ได้....”
   “งั้นพี่ก็ต้องทำงานคนเดียว พี่ซื้อหุ้นทุกคนคืนไป ซื้อหุ้นเจน หุ้นกายคืนไปได้เลยค่ะ” เจนพูดเสียงเฉียบขาด “และเท่าที่เจนจำได้ วันแรกที่เรานั่งคุยกันที่กรุงเทพ พี่ก็ไม่ด้พูดคำนี้ พี่บอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเดินไปด้วยกัน”
   พี่สุเมธชะงักงันไปทันที
   “รู้มั้ย ทำไมตอนแรกหนูกับกายถึงเลือกลงทุนกับพี่ เพราะเราสองคนเห็นว่าพี่แตกต่าง พี่เป็นดีไซน์เนอร์ที่มีวิสัยทัศน์ มีมุมมองที่ในวงการของเราไม่เคยมีมากว่า 20 ปี และนั่นคือเหตุผลที่เจนและกายเดินตามพี่มา” เจนจิราว่า “ตลอดเวลา ปีครึ่งที่หนูและกายทุ่มเทให้กับซูเม่อินเตอร์ หนูพยายามยืนอยู่บนจุดยืนที่ว่า งานศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ มีคุณค่ามากกว่าราคา และพี่ก็เป็นคนพูดคำนี้ คำพูดที่ซื้อใจพวกหนู”
   เจนจิราพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับไม่ปล่อยให้สุเมธได้ตั้งป้อมใดใดกลับใส่เธอ
   “แต่ถ้าวันนี้ พี่เลือกจะเห็นเม็ดเงิน มากกว่า เห็นการโอนย้ายโปรเจ็ค และการหมุนเวียนเม็ดเงินสำคัญกว่า การซื้อใจดีไซน์เนอร์รุ่นน้อง เจนก็ขอขายหุ้นคืน” เธอกล่าวเสียงเยียบเย็น
   “เจน......เราไม่ได้อยู่ได้ด้วยตัวเองหรอกนะ” สุเมธกล่าวแย้ง “ถ้าไม่มีคุณวรพัฒน์ พี่จะขยายตัวเองไม่ได้เลย ถึงอย่างไรก็ตาม พี่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุน”
   “แต่ถ้าพี่ปรับให้หุ้นเค้าขึ้น บริษัทเราถูกตรวจสอบแน่นอนนะ” เจนพูด
   “แต่เราก็ยังไม่มีหลักฐานว่าคุณวรพัฒน์เป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนั่น” พี่สุเมธกล่าว “พี่ไม่ได้อยากจะว่านะ แต่เรื่องที่เราพูดมา เรื่องเจ้าวิน เรื่องคุณจีโอ เรื่องร้านเกล็ดหิมะ มันแทบฟังไม่ขึ้นเลย วินน่ะเหรอ ที่อยากจะไปทำอย่างอื่น เด็กคนนี้พรสวรรค์นะเจน พี่ไม่.....”
   “เจนขอนะคะพี่เมธ ครั้งนี้ขอให้ฟังเจน” เจนจิราว่า “ถ้าพี่เซ็นในการประชุมตามโครงสร้างนี้ ซูเม่ถึงจุดจบแน่ ไม่ช้าก็เร็วตำรวจจะสาวมาถึงตัวคุณวรพัฒน์ และบริษัทเราจะถูกตรวจสอบ เราอาจจะต้องหอบทุกอย่างกลับเมืองไทย ก่อนที่วินจะเริ่มแฟชั่นวีคได้ซะอีก”
   “แล้วเจนจะให้พี่ทำยังไง โปรเจ็คทุกอย่างพี่เซ็นไปหมดแล้ว” พี่สุเมธว่า “พี่ไม่มีอำนาจถอดหุ้นส่วนออก ถ้าไม่มีเม็ดเงินมาหมุนลง เปอร์เซ็นถือหุ้นคุณสุเมธก็ไม่มีทางต่ำไปกว่า 30% และถึงพี่ทำได้ คุณวรพัฒน์ก็ไม่มีทางยอม ใครจะยอมให้ตัวเองเปอร์เซนต์ต่ำลงล่ะ”
   “แล้วถ้าเจนหาได้ล่ะพี่” เจนจิราว่า “ถ้าเจนหามาได้ เม็ดเงินนั้น”
   “30% สูงกว่าอัตราส่วนคุณวรพัฒน์น่ะเหรอ เกินหกแสนยูโรภายใน 24 ชั่วโมงนะน่ะเจน” พี่สุเมธว่า “ใครมันจะไปทำได้ เจน มันไม่มีทางเกิดขึ้น”
   “แล้วถ้าเจนทำให้มันเกิดขึ้นได้ล่ะ” เจนพูดอีก
   “ถึงพี่จะกลายเป็นคนเห็นแก่เม็ดเงินอย่างที่เราว่า แต่พี่ก็ยังต้องการคนที่มาลงทุนกับเรา เพราะเห็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญ พี่ไม่ต้องการคนที่มาลงทุนกับเราเพราะเห็นว่างานเราเป็นธุรกิจไปซะหมด” พี่สุเมธว่า
   “เหรอคะ จริงเหรอ” เจนว่า “คุณวรพัฒน์เห็นงานเรามีคุณค่าจริงเหรอคะ”
   “พี่จะไม่คุยกับเจนเรื่องนี้” พี่สุเมธ
   “แล้วทำไมเราถึงไม่คุยกันเรื่องนี้ล่ะพี่” เจนว่าต่อ
   “เจนไม่เอาน่า เธอมีงานต้องทำ งานที่สำคัญกว่าเรื่องประชุมปันงบวันพรุ่งนี้” สุเมธกล่าว
   “งั้นถ้าหนูหาคนที่จะมาลงทุนกับเราได้ แล้วประวัติน่าสนใจมากพอ” เจนว่าต่อ “พี่จะตกลงไหมคะ”
   “ว่าไงนะ”
   “หนูถามว่า ถ้าหนูหามาได้ พี่จะยอมเซ็นรับทราบ แล้วปรับโครงสร้างทั้งซูเม่ได้ไหมคะ” เจนว่า
   “ได้ ถ้าประวัติของเขาน่าสนใจพอ” พี่สุเมธยื่นคำขาด “เขาต้องเป็นคนที่เห็นความสำคัญของพวกเราเท่านั้น”
   “ได้ค่ะ ได้แน่นอน” เจนว่า ก่อนจะลุกขึ้นออกจากห้องไปทันที
   เจนยอมรับว่าเธอไม่เคยโกรธอะไรมากเท่านี้มาก่อนใรชีวิต ถ้าไม่นับเรื่องที่เธอเคยวีนใส่คู่หมั้นของกายกลางงาน BAD Award เมื่อปีก่อน และการวีนใส่วินที่สตูเมื่ออาทิตย์ก่อน และการวีนใส่เอิร์ธที่เีสนีย์แลนด์เมื่อวันเสาร์ แต่ก็นั่นแหละเธอโมโห โมโหเอามากๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกโมโหตัวเอง โมโหที่ทำไมครั้งนี้ การทำอะไรของเธอมันถึงดูติดขัด ไม่ลงล็อคเป๊ะๆอย่างที่เธอต้องการเสียที
   หญิงสาวก้าวเท้าอย่างเร็วผ่านชั้นสามทั้งชั้นไปยังห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่สุดทาง ตลอดครึ่งเช้าที่ผ่านมาเธอได้ใช้เวลากับการสะสางเรื่องไม่เป็นเรื่องมามากพอแล้ว และตอนนี้สิ่งที่ต้องทำมันก็มีเพียงแค่....
   “พี่เจน” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นเมื่อเธอเปิดประตูห้องเข้าไป เธอมองไปยังเจ้าของเสียงตาถลน
   เด็กหนุ่มที่ควรอย่ในสตูดิโอเมื่อวานแต่กลับหายตัวไปตั้งแต่เย็นวันดีสนีย์แลนด์ เด็กหนุ่มที่ควรมาจัดการเรื่องทุกอย่างที่ทำเอาไว้ เรื่องเหลวไหลแบบเด็กๆที่ทำเอาเธอหัวปั่น เรื่องเหลวไหลแบบเด็กๆที่ทำให้เธอเกือบโดนระเบิดจนเสียชีวิตไปด้วย....เอิร์ธ
   “ผมขอโท...
   เพี๊ยะ!!!
   เจนตรงรี่เข้ามาพร้อมกับตบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ เอิร์ธหันหน้าไปตามแรงมือ เขายอมทุกอย่างแล้ว
   “รู้ไหมว่าพี่ต้องวิ่งแก้อะไรให้เธอบ้างเอิร์ธ” เจนจิราพูดเสียงเฉียบขาด “รู้มั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
   “เอาเลยพี่ ผม....ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว พี่กายก็ทำกับผมเหมือนที่พี่ทำแล้วล่ะ ผม.....ผมขอโทษครับ” เอิร์ธพูดเสียงสั่น เขาสมควรได้รับโทษแล้ว สำหรับเขา ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เขาต้องกลับมาแก้ไขทุกอย่าง อย่างที่ควรจะเป็น
   เจนได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ควบคุมสติอารมณ์ตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงและหันหน้าไปทางอื่น
   “ได้ข่าวว่าเธอเลิกกับเค้า เมื่อวาน” เจนพูด เอิร์ธพยักหน้าเบาๆ “แน่ใจนะ ว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้เธอสร้างเรื่องเพิ่ม”
   “ค..ครับ ผมคิดว่า นั่นอาจจะทำให้ผมได้ทำอะไรอย่างเต็มที่กว่าที่เคยด้วยซ้ำ” เอิร์ธว่า
   “เอาล่ะ ฉันไม่อยากจะว่าอะไรนายอีกละ นี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งโทษว่าใครผิด เพราะถ้าผิด ก็คงผิดด้วยกันหมดทุกคน” เจนจิราว่า
   “ผมกลับมาแล้วพี่ ผมไม่เจอวินที่สตู ผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มที่ไหนยังไง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เอิร์ธว่า
   “ร้านเกล็ดหิมะถูกวางระเบิด” เจนจิราพูด “จีโอหายตัวไป วินก็ด้วย ฉันกับแฟนของวิน เราสองคนเชื่อว่าเป็นฝีมือพ่อของเค้า”
   “ลุงวรพัฒน์” เอิร์ธพูดเบาๆ
   “ใช่” เจนตอบ “ตอนนี้ สิ่งทีฉันอยากให้เธอทำก็คือ ไปตามหาวินให้เจอ แล้วสืบมาให้ได้ ว่าคุณวรพัฒน์เค้าอยู่ที่ไหน เค้าจับตัวจีโอไปไว้ที่ไหน พี่ต้องการเค้า”
   “ทำไมเหรอครับ” เอิร์ธว่า
   “ประชุมปันงบพรุ่งนี้” เจนจิราว่า “นั่นคือทุกๆอย่างที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งที่เธอรู้จัก นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ถ้าเธอคิดว่าจะเริ่มต้นใหม่ล่ะก็ นี่ก็เป็นโอกาสของเธอ”
   เอิร์ธฟังเจนจิราอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
   “พี่แน่ใจว่ายังต้องการจีโอเค้าอยู่” เอิร์ธถามอีกครั้ง “พี่ไม่ได้โกรธเค้าเหรอ ที่เค้าเข้ามาป่วนพี่ เพราะผมเป็นต้นเหตุ”
   หน้าของผู้ชายที่ยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ใจ ความอบอุ่นแบบนั้น แว้บเข้าในหัวของเธอ
   “ไม่หรอก” เจนจิราว่า “ไม่ได้โกรธ…เค้า”
   เอิร์ธเงียบเสียงลง
   “เค้าเคยบอก ว่าให้เชื่อใจเค้า และพี่….ก็อยากจะลองทำ” เจนจิราว่าพลางหันมาหาเอิร์ธ “ลองเชื่อใจคนอื่นดู และบางทีก็อาจจะเริ่มจากเชื่อใจเธอก่อน”
   เอิร์ธหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ
   “มันสำคัญกว่าเรื่องรักๆใคร่ๆกันใช่มั้ยเนี่ย” เอิร์ธพูดติดตลก
   “เธอคิดไม่ถึงเลยล่ะ” เจนว่า
   “ได้ครับ” เอิร์ธว่าพลางเก็บกระเป๋า และออกเดินจากห้องไป เจนจิราคิดถึงคำพูดของกายขึ้นมา ถ้านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ทุกๆคนที่มีอดีตอันเลวร้ายจะได้แก้ไขตัวเอง มันก็คงสำคัญกว่าเรื่องรักๆใคร่ๆทั้งหมดที่เธอเคยเข้าใจมา
   “เอิร์ธ”
   เด็กหนุ่มหันกลับมาหาเธอขณะเกิดประตูห้อง
   “เมืองนี้น่ะมันประหลาดนะ คนที่ไว้ใจกันได้ มันก็มีแต่พวกเราเท่านั้น” เจนจิราพูดเสียงสั่น “พี่ไว้ใจเธอได้ใช่มั้ย”
   เอิร์ธยิ้มให้เธอเป็นคำตอบ
   “งาน BAD Award ปีก่อน พี่เป็นคนเปิดโอกาสให้ผมได้ออกงานคืนนั้น” เอิร์ธว่า “ผมต่างหาก ที่ควรจะเชื่อใจพี่ได้ตั้งนานแล้ว.......ผมขอโทษนะพี่เจน”
   “ฉันก็เหมือนกัน”
   ยิ้มให้กัน ก่อนเอิร์ธจะหายออกไป
   หันกลับมามองซองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ ใช่ว่าการที่เธอให้เอิร์ธไปจัดการเรื่องนั้นแล้วทุกอย่างจะดูง่าย เพราะเธอเองก็เหลือเรื่องที่ต้องจัดการอีกเหมือนกัน
   อีกเพียงแค่วันเดียว
.............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 45 Give me one more kiss]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-10-2014 10:29:32
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 45 Give me one more kiss]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-10-2014 22:00:25
เจนจะทำไรแล้ววินกับไกด์จะทำอะไร
อยากรู้ๆ
รอตอนต่อไปนะ
สู้ๆนะคะคนแต่ง
มาต่อบ่อยๆน้าาา
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 46 Give Me One More Day]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 22-10-2014 18:19:59
บทที่ 46 Give Me One More Day

   สเตลล่ามองประตูที่ของห้องพักสุดหรูในโรงแรม หลังจากที่เธอโดนไลโอเนลล์ลากตัวมากักตัวไว้ที่นี่ ไม่มีวินาทีไหนที่เธอไม่รู้สึกผิดหรือพยายามจะหาวิธีหนีออกไป แต่คุณวรพัฒน์ดูแลเธอดีจนไม่สามารถเรียกได้ว่านี่คือการจับตัวมา ห้องสูทของโรงแรมและอาหารหรูหราตลอดสี่วัน นับตั้งแต่วันที่ร้านเกล็ดหิมะถูกระเบิดไป เธอถูกจับขังเอาไว้ที่ห้องสูท ที่ถัดไปเป็นห้องนั่งเล่น และห้องนอนที่อยู่ถัดไปเป็นสองห้องเชื่อม เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เธอเห็น ตอนที่เธอถูกลากเข้ามาตอนแรก ถึงจะยังไม่เห็นหน้า แต่เธอก็มั่นใจว่าจีโอคงถูกจับเอาไว้อยู่ห้องถัดไป แต่แค่ระยะห่างไม่เกินสองห้อง เธอก็ไม่มีวิธีออกไปจากห้องนี้ได้เลย
   เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง ยังคงเป็นไลโอเนลล์ที่เดินเข้ามา เพื่อเอาขนมมาเสิร์ฟให้เธออีกครั้ง เธอมองหน้าของไลโอเนลล์ด้วยความโกรธขึ้ง ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลงข้างตัวเธอ
   “ไม่มีใครเป็นผู้ร้ายในเรื่องนี้หรอกนะ” ไลโอเนลล์กล่าว “คิดว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางนิยายรักโรแมนติกรึไง”
   “แต่คนเราก็เลือกที่จะเป็นคนที่ทำด้านดีได้” สเตลล่ากล่าว “แค่นายไม่เลือก”
   “เหมือนที่เธอไม่เลือกฉันอ่ะนะ” ไลโอเนลล์กล่าว สเตลล่าเมินหน้าหนีทันที “รู้มั้ย ตอนแรกที่เธอหายไปจากสตาร์เบิร์ก ฉันตามหาเธอให้วุ่นไปหมด จนฉันเห็นเธอขึ้นปกคอสโม่โพลิแทน ฉันก็คิดว่าเธอคงได้ดิบได้ดีที่นี่ ฉันตามหาเธอนานแค่ไหนรู้บ้างหรือเปล่า”
   “ฉันเบื่อฟังเรื่องนี้เต็มทีแล้ว” สเตลล่าว่า “ถ้าคิดว่านายจะเอาเรื่องนี้มาลบล้างสิ่งที่นายทำลงไปได้ล่ะก็ ฉันไม่มีความรู้สึกอยากจะให้อภัยนายซักนิดไลโอเนลล์”
   “นี่เสตลล์ ฉันมาปารีส ก็เพื่อจะมาหาเธอ ถ้าฉันไม่เจอคุณวรพัฒน์ในงานของซูเม่วันนั้น ฉันก็คงไม่ได้เข้าไปหาเธอข้างในหรอกใช่มั้ย เพราะเธอมันไม่เคยเห็นค่าคนอย่างฉันอยู่แล้ว” ไลโอเนลล์ว่า
   “คนที่มีค่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนอื่นเห็นค่าหรอก คุณค่าของเค้าจะมีในตัวเองอยู่แล้ว” สเตลล่าพูดกลับ “ดูนายจะชื่นชมเขามากเหลือเกินนะ คุณวรพัฒน์น่ะ เค้าเป็นคนยังไง นายยังไม่เก็ทอีกเหรอหลังจากรับใช้เขามาขนาดนี้แล้วน่ะ”
   “รู้สิ เพราะเค้าก็ทำเหมือนกับที่ฉันทำ” ไลโอเนลล์ว่า “เธอต่างหากที่ไม่เข้าใจ”
   สเตลล่างุนงงกับสิ่งที่ไลโอเนลล์พูดอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะหันหลังออกจากห้อง
   “ไลโอเนลล์” สเตลล่าพูดขึ้น “อย่าทำแบบนี้เลยขอร้อง อย่าทำผิดไปมากกว่านี้”
   “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่พูดให้ตัวเองดูเป็นคนดี หลังจากเรื่องทั้งหมดที่ตัวเธอทำมา” ไลโอเนลล์ว่า
   “ฉันถึงอยากขอโอกาสแก้ตัวไง” สเตลล่าพูด
   “แก้ตัวอะไร” ไลโอเนลล์หันกลับมา “เธอคิดว่าเธอทำผิดอะไร ตัวเธอเองไม่คิดว่ากำลังทำผิดด้วยซ้ำ เธอเลือก ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ นี่คือสิ่งที่เธอต้องการ เธอต้องการชีวิตแบบนี้”
   “อะไรนะ” สเตลล่าว่า “ไม่ นี่มันไม่ใช่ มันต่างกัน นั่นเพราะฉันไม่มีทางเลือก”
   “เหอะ งั้นเหรอ ไหนเมื่อกี้เธอบอกว่า คนเราเลือกได้ไง” ไลโอเนลล์ว่า “ใช่คนเราเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ แต่สำหรับเธอ เธอเลือกไปแล้ว เธออยากได้ชีวิตแบบนี้ เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมามันเป็นเรื่องจำเป็น”
   “ไม่” เสตลล่าว่า “ฉันไม่มีทางเป็นแบบนาย ฉันไม่มีทางเหยียบย่ำความรู้สึกของคนอื่น เพื่อให้ตัวเองได้ไปต่อหรอก”
   “อื้มมมม” ไลโอเนลล์พูดในลำคอ “แต่เธอก็ทำไปแล้ว.....กับฉัน และกับทุกๆคน”
   สเตลล่าเหมือนถูกความจริงกระแทกใส่ตัวเองอย่างรุนแรง เธอจ้องหน้าไลโอเนลล์ทันที
   “ม...ไม่”
   “เธอทิ้งทุกอย่างที่เราเป็นที่สตาร์เบิร์กมา มาอยู่กับแคลลี่และพี่ชายของมัน เธอทำลายชีวิตพวกเค้า” ไลโอเนลล์พูดชัดถ้อยชัดคำ “แล้วพอทุกอย่างมันพัง เธอก็ทิ้งพวกเค้าไปต่อ พอเธอเจอลูกชายคุณวรพัฒน์ เธอคิดว่าจะเขาจะพาเธอไปต่อได้ แต่ก็ไม่ แล้วดูสิ่งที่เธอเลือก เธอเลือกเอาความรู้สึกของพวกเค้าไปทำลาย เพื่อแลกกับการได้ไปต่อ”
   สเตลล่าน้ำตาคลอ พลางจ้องหน้าไลโอเนลล์
   “มีตรงไหนที่ฉันพลาดไปหรือเปล่าหึ” ไลโอเนลล์พูดซ้ำอีกที “ถ้าฉันเลวอย่างที่เธอว่า เราสองคนก็คงไม่ต่างกัน และสำหรับคำถามของเธอ ว่าทำไมฉันถึงเต็มใจรับใช้คุณวรพัฒน์ก็เพราะเค้ามีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับชั้น”
   สเตลล่าเม้มปาก หายใจเข้าลึก มองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้า
   “แล้วมันอะไรล่ะ” สเตลล่าถามเสียงสั่น
   “เพื่อให้ใครบางคนไม่ลืมว่า ยังมีครอบครัว ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพียงลำพัง” ไลโอเนลล์พูดกลับ “จริงไหม...น้องสาวสุดที่รัก”
   สเตลล่าก้มหน้าลงทันที ไลโอเนลล์ยืดตัวขึ้น
   “ก็อย่างที่ฉันบอก ไม่มีใครเป็นตัวร้าย เลิกงอแงได้แล้ว อีกแค่วันเดียวทุกอย่างก็จะเรียบร้อย แล้วฉันก็จะปล่อยเธอไป” ไลโอเนลล์ว่า “ฉันจะได้ค่าตอบแทนจากคุณวรพัฒน์ แล้วหลังจากนั้น ฉันก็จะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก ถ้าเธอคิดว่าการมีพี่เลวๆแบบฉันมันจะทำให้เธอไปต่อไม่ได้ ฉันก็จะกลับไปสตาร์เบิร์กแล้วขาดกันกับเธอ อย่างที่เธอต้องการ”
   ไลโอเนลล์มองหน้าสเตลล่าอีกครั้ง เขากัดฟันพลางหลับตาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ
   “รู้ไวนะ ถึงร้านนั้นไม่ถูกเผา อีกไม่นานตำรวจก็จะบุกเข้าทลายร้านในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้” ไลโอเนลล์พูด ขณะที่สเตลล่ายังคงเงียบสนิท “เธอคิดว่าเกล็ดหิมะจะอยู่ได้นานแค่ไหนกับระบบช่วยเหลือแบบผิดกฎหมาย เธอคิดจริงๆเหรอ ว่าสิ่งที่เธอวิ่งตามหาอยู่ ทำเพื่อมันอยู่มีอยู่จริง ดินแดนแห่งความฝันเหมือนปราสาทที่ดีสนีย์แลนด์ที่พวกเธอทุกคนได้ไปเที่ยวมาน่ะ”
   ไลโอเนลล์หันมามองสเตลล่า
   “ฉันจะบอกให้ ถึงมันมี ปราสาทก็เหมาะกับเจ้าหญิง เจ้าหญิงจริงๆที่เป็นคนดี ไม่ใช่แบบเธอ คนที่เกิดมาในที่ที่เดียวกับฉัน คนชั้นล่างสุดของสังคมที่ไม่มีใครเห็นหัว” ไลโอเนลล์ว่า “ในขณะที่เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อวิ่งหนีมัน แต่ฉันโตมากับมัน ฉันยอมรับมัน”
   สเตลล่าหายใจเข้าช้าๆ
   “ปารีส ไม่ใช่เมืองในฝันอย่างที่นายคิดว่าฉันคิดหรอก” สเตลล่าว่า “มันไม่ใช่เมืองที่จะมีเพลงโมซาจดังคลอไปทุกอย่างก้าวเวลาเราเดินไปตามท้องถนนหรอกนะ ฉันไม่เคยวิ่งตามหาปราสาท ฉันก็ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง”
   “ก็ดี ถ้ามันเป็นอย่างนั้น เราจะได้คุยภาษาเดียวกันง่ายหน่อย” ไลโอเนลล์ยิ้มให้ ก่อนจะเปิดประตูห้อง แต่ทันใดนั้น ประตูก็เด้งกลับมาใส่หน้าของเขาทันทีไลโอเนลล์เซถลา จากการถูกกระแทก ก่อนจะถูกร่างๆหนึ่งที่รอจังหวะอยู่หยิบโคมไฟมากระแทกด้านหลังของศรีษะของเขา ทำให้ไลโอเนลล์แน่นิ่งไป
   “ไลโอเนลล์” สเตลล่าร้องด้วยความตกใจ ก่อนมองคนที่จัดการไลโอเนลล์ไปได้
   “จีโอ!!!”
   จีโอและพนักงานโรงแรมนั่นเองที่พังประตูเข้ามา
   “How about him?” พนักงานถามขึ้น จีโอมองหน้าสเตลล่า
   “เธอตัดสินใจเอาเอง” จีโอพูด พลางออกเดิน
   “Put him on the bed” สเตลล่ากล่าว พลางพนักงานคนนั้นประคองตัวไลโอเนลล์ตามคำสั่งของเธอ ขณะที่สเตลล่าวิ่งตามจีโอออกไปจากห้อง
   “ออกมาได้ยังไง” สเตลล่าร้องถามทัน
   “โรงแรมนี้เจ้าของเป็นเพื่อนฉัน” จีโอว่า “ตื่นขึ้นมาเห็นห้องก็รู้แล้ว แค่พยายามหาวิธีใช้โทรศัพท์ให้ได้ ก็เรียกคนขึ้นมาช่วยเนี่ย”
   พนักงานโรงแรมปิดประตูห้องก่อนจะมองทั้งสองคนหน้าเลิ่กลั่ก
   “Told your manager I need a cap immediately, but don’t let anyone know this thanks” จีโอกล่าว ก่อนพนักงานคนนั้นจะรีบออกจากห้องไป
   “จีโอฉัน” สเตลล่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
   “ไม่ต้อง” จีโอตัดบท “ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว ได้ยินหมดแล้ว”
   “ฉันเสียใจ” สเตลล่าพูด
   “ไม่ เธอยังไม่เสียใจหรอก ยังหรอก” จีโอว่า
   “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย....” สเตลล่าพยายามอธิบาย
   “ฉันเบื่อฟังคำนี้เต็มทนแล้วสเตลล์ ตอนแคลลี่ตายเธอก็พูดแบบนี้ มาครั้งนี้เธอก็เกือบจะฆ่าคนตายไปอีกหลายคนแล้ว” จีโอว่า สเตลล่าก้มหน้าลง “สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือคนที่เรารัก เพื่อนที่เรารัก พวกเขากำลังถูกบีบให้จนตรอกอยู่ข้างนอกนั่น และฉันจะต้องช่วยพวกเค้า”
   จีโอหลับตาลง พยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
   “ฉันต้องการพบวินกับเอิร์ธ หรือไม่ก็เจน” จีโอพูด “ถ้าฉันจัดการเรื่องนี้ไม่ทัน เธอจะได้ทำลายความฝันของคนเพิ่มอีกหลายคน”
   สเตลล่ามองกลับไปยังห้องที่พี่ชายเธอสลบอยู่ ภายหลังประตูบานนั้น ความจริงที่เธอเลือกจะทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่ถ้าหากสิ่งที่ไลโอเนลล์พูดเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ถ้าเกิดว่าเรื่องนี้ไม่มีตัวร้าย ถ้าเกิดเรื่องนี้เป็นเพียงแค่การพยายามทำตามความต้องการของตัวเองของทุกๆคน
   “ถ้าเกิดว่า เรากำลังอยู่ข้างผิดล่ะจีโอ” สเตลล่าพูด
   “พูดบ้าอะไรของเธออีกเนี่ย” จีโอพูดขึ้น
   “ถ้าเกิด เราเลือกที่จะช่วยคนคนนึง แล้วทำให้อีกคนนึงแพ้ไปตลอดล่ะ” สเตลล่าว่า
   จีโอหายใจเข้าช้าๆ
   “ฉัน....ฉัน...ฉันจะทิ้งเค้าไว้แบบนี้น่ะเหรอ” สเตลล่าชี้ไปยังห้องที่เธอเพิ่งจะออกมาได้ “ฉันจะหนีไปได้อีกเหรอ”
   “มันไม่ได้เกี่ยวกับหนีไม่หนีหรอกสเตลล์ มันเป็นความทรงจำของเธอ มันเป็นอดีตของเธอ” จีโอว่า “เจ้าไลโอเนลล์มันก็แค่ภาพสะท้อนตัวตนของเธอ เธอหนีมันให้ตายยังไงก็ไม่พ้น เธอจะหนีไปไหนได้อีก ในเมื่อเขายังติดอยู่ในความทรงจำของเธอ ต่อให้เธอหนีไปอีกค่อนโลก มันก็ตามเธอไปทุกที่ได้อยู่ดี”
   สเตลล่าฟังอย่างนิ่งสนิท
   “แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือถ้าเธอเลือกอะไรไปแล้ว เธอไม่ควรจะลังเล เธอจะเดินไปซ้ายสองก้าว แล้วก็รู้สึกลังเล แล้วกลับเดินไปขวาอีกสองก้าวงี้เหรอ เธอจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน” จีโอว่า “แล้วการทำแบบนี้ของเธอ ทำให้คนอื่นต้องพังมากี่ครั้งแล้ว”
   จีโอเม้มปากอย่างร้อนรน เขารู้ว่าข้างนอกนั่นกำลังต้องการตัวเขามากแค่ไหน แต่ถ้าวรพัฒน์กลับมาตอนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสหนีอีกเป็นครั้งที่สองแน่ๆ และวันนี้ก็จะผ่านไป โดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรเจนจิราได้เลย
   “สเตลล์ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเธอเลือกจะเข้าข้างพ่อของวิน เข้าข้างไลโอเนลล์พี่เธอ” จีโอว่า “ฉันรู้ว่าทุกๆคนมีเหตุผล ถึงแม้ว่าเหตุผลนั่นจะงี่เง่าสุดโต่ง ถึงขนาดต้องลุกขึ้นมาทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ถ้าเธอเชื่อว่าสิ่งที่ไลโอเนลล์มันบอกเธอ เชื่อในสิ่งที่พ่อของวินเค้าทำ คือสิ่งที่ใช่สำหรับเธอ เธอกดโทรศัพท์ได้เลย”
   จีโอเดินไปหยิบโทรศัพท์ไร้สายแล้วยื่นให้กับสเตลล่า
   “เธอจะหนีไปได้ ไลโอเนลล์มันก็อาจจะรอด ฉันก็กลับไปติดอยู่ในห้องนั้น แต่นั่นก็คือสิ่งที่เธอเลือก เพราะเธอทำในสิ่งที่เธอเชื่อ ฉันจะไม่ว่าอะไรเธอทั้งนั้น” จีโอว่า “ฉันรู้ว่าไลโอเนลล์มันพูดถูกทุกอย่าง เรื่องของเธอ ของพ่อวิน ของร้านเกล็ดหิมะ แต่ฉันไม่ต้องการให้คนลังเลเดินทางออกจากที่นี่ไปกับฉัน เพราะฉันไม่รู้ว่าเธอจะแว้งกัดฉันอีกเมื่อไหร่ ถ้าเธอจะเลือกข้าง ก็ทำซะตรงนี้”
   สเตลล่ากำโทรศัพท์เอาไว้มือสั่นเทา ภาพของทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นตีวนเข้าในหัวเธอ ภาพของทุกๆคนที่ผ่านมาในชีวิต มันบีบคั้นเธอจนอยากทำให้เธอกรีดร้องออกมาสุดเสียง ถ้าเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ใช่กับสิ่งที่ง่ายมันเป็นขั่นบันไดที่สูงเกินกว่าเธอจะปีนป่าย นั่นก็อาจจะเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่เธอต้องตัดสินใจ
   “นายทำให้ฉันไม่มีทางเลือก” สเตลล่าพูดเสียงเข้ม จีโอหลับตาลงเบาๆ
   หญิงสาวกดโทรศัพท์ทันที
   “ทุกคนมีเหตุผล ไม่เป็นไร” จีโอว่าพลางหันหลังกลับ “หวังว่านั่นคือทางที่ดีสำหรับเธอ”
   จีโอหันหลังกลับพลางเปิดประตูห้อง พร้อมกับได้ยินเสียงของสเตลล่าดังไล่หลังมา
   “วิน.....นี่ฉันเอง สเตลล่า” สเตลล่าพูดขึ้น “ฉันเจอจีโอแล้ว”
.........
   วินวางโทรศัพท์ลงก่อนจะมองหน้าไกด์ โรงแรมที่สเตลล่าบอกมาไกด์รู้จักดีและอยู่ไม่ไกลจากถนนทอร์ควิลนัก ดังนั้นก่อนวันพรุ่งนี้จะมาถึง ทั้งคู่คงต้องดึงจีโอกลับเข้ามาในเกมส์ให้ทันก่อน เพื่อเคลียร์ทุกๆอย่างให้เรียบร้อย
   “ไปหาเค้ากันเถอะไกด์” วินพูดกบไกด์ ก่อนจะออกเดินออกมาจากตึกห้องพักของถนนทอร์ดควิล
   “ยังคิดว่าจะหนีไปได้อีกเหรอ” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น วินมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาที่แข็งกร้าว “จากทั้งหมดที่เกิดขึ้น มึงคิดว่าแผนมึงยังสำเร็จได้อีกใช่ไหม....ไอ้วิน”
   ไกด์เหมือนจะตรงรี่เข้าไปหาเจ้าของเสียงทันที แต่วินก็ห้ามเอาไว้ ก่อนจะเดินนำหน้าออกมา
   “แล้วถ้าคำตอบกูคือใช่อ่ะ” วินว่า “มึงจะยังช่วยกูอยู่หรือเปล่า”
   เอิร์ธมองข้ามไหล่วินไปหาไกด์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
   “ไอ้วิน มึงรู้ใช่มั้ย ว่าทุกอย่างมันจะไม่ง่าย มึงกะกูรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครทั้งหมด” เอิร์ธพูดเสียงเข้มพลางขยับตัวเดินเข้ามาหาวิน “มึงเดินไปกับมันหนึ่งก้าว พ่อมึงจะเดินตามมาอีกสองก้าว มึงรู้ดี”
   “เอิร์ธ มึงกับกูยกเลิกสัญญากันไปแล้ว” วินว่า “กูจะไม่ขอให้มึงเดินตามกูอีก มึงไม่จำเป็นต้องเอาทั้งหมดมาเสี่ยงเพื่อกูนะเอิร์ธ”
   “วิน” เอิร์ธพูด “สัญญาพังลงได้ แต่ความเป็นเพื่อน พังลงไม่ได้ป่ะวะ”
   วินยิ้มกว้างให้เอิร์ธทันที
   “ที่ผ่านมากูแม่ง งี่เง่าเองอ่ะ แต่ตอนนี้กูรู้ละ ว่าบางที กูน่าจะลองทำเพื่อคนอื่นดูบ้าง เหมือนอย่างที่มึงทำ เหมือนอย่างที่มันทำ” เอิร์ธว่า ขณะที่วินพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับไปหาไกด์เช่นเดียวกับเอิร์ธ
   “ตอนนี้กูรู้แล้ว ว่าจีโอเค้าอยู่ไหน” วินว่า “กูกำลังจะไปหาเค้า แล้วตามเค้ากลับมา”
   “เดี๋ยวก่อน” เอิร์ธเดินตรงรี่ไปหาไกด์ พลางมองเข้าไปในดวงตาอันเย็นเฉียบนั้น วินมองตามไปอย่างงงงวย “ฉันรู้ว่านายรู้เรื่องทั้งหมดดี นายต้องรู้ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นนายคงไม่กลับมาหามันหรอกใช่มั้ย”
   วินสงสัยในคำถามของเอิร์ธ ก่อนจะมองไปยังไกด์ที่ยืนนิ่งมองเอิร์ธกลับอย่างท้าทาย
   “ใช่ผมรู้” ไกด์ตอบ
   “แล้วนายคิดเหรอ ว่านายจะหลบพ่อของเค้าอยู่ตรงนี้ไปได้ตลอด” เอิร์ธว่า “ถึงผมกับวินจะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น”
   “ผมถึงบอกคุณเจนไง ว่าผมต้องพบพ่อของเค้า” ไกด์ตอบเสียงนิ่ง
   “อะไรนะ” วินร้อง “ไม่ ไม่ได้ นายจะไปพบเค้าไม่ได้นะ”
   ไกด์มองวินที่ถลาเข้ามาหาเขาทันที
   “นายสัญญากับฉันแล้ว ว่าถ้าเป็นตาของฉัน นายก็จะเดินตามที่ฉันเดินบ้าง” ไกด์ว่า
   “ต..แต่ว่า” วินร้อง
   “นายคิดว่าพ่อนายไม่รู้เหรอ” ไกด์ว่า “เรื่องของเราน่ะ”
   วินเงียบสนิท
   “การที่เค้าทำแบบนั้นกับร้านเกล็ดหิมะได้ นั่นก็หมายความว่าเรื่องของเราเขาต้องรู้ดี” ไกด์พูด “ฉันถึงบอกนายไง ว่าครั้งนี้คงต้องเป็นฉัน ที่ต้องจัดการเอง”
   “ไกด์ นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเป็นยังไง นายไม่....”
   เอิร์ธจับแขนของวินทันที
   “ไอ้วิน ไกด์พูดถูก” เอิร์ธว่า “ไม่ช้าก็เร็ว มึงก็ต้องเผชิญหน้ากับเขา ถ้ามึงเป็นห่วงมัน มึงก็ไปกับซะ”
   “อ..อะไรนะ” วินว่า
   “อีกแค่วันเดียวเองนะเว่ย” เอิร์ธว่า “มึงจะปล่อยให้ความขัดแย้งของมึงกับพ่อมึงเป็นอย่างนี้เหรอ แล้วมึงจะทำยังไงต่อไป ถึงเราลากจีโอกลับมาแล้ว พ่อมึงถูกหักหน้าอีกครั้งเหมือนตอนที่เราเข้าซูเม่วันแรก แล้วพ่อมึงก็จะทำเรื่องที่เลวร้ายกว่าเดิม กูว่าครั้งต่อไป อาจจะไม่โชคดีแบบครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อไป กูว่าจะต้องมีคนตาย”
   วินหายใจหอบถี่
   “ไปเคลียร์กับพ่อมึง พามันไป เรื่องจีโอ เดี๋ยวกูจัดการเอง” เอิร์ธว่า วินมองหน้าไกด์ก่อนจะหันมามองเอิร์ธอีกครั้ง เอิร์ธเอื้อมมือไปจับไหล่ของเพื่อนรัก “ไปจบเรื่องนี้ซะไอ้วิน ทำความรักของมึงให้จบอย่างสวยงามเหอะ”
   “เชี่ย”
   วินกระชากเอิร์ธมากอดเอาไว้ทันที เพื่อนคนนี้ยังคงครองตำแหน่งที่ดีที่สุดของวินเอาไว้ได้เหมือนเดิม
   “กูขอโทษเอิร์ธ กูขอโทษ” วินพูดอยู่ในอ้อมกอดนั้น “กูขอโทษที่พามึงไปถึงจุดหมายไม่ได้ กูขอโทษ”
   “ไม่เป็นไร”เอิร์ธพูดเสียงสั่น “ไม่เป็นไร”
   กอดกันอย่างนั้นอยู่นาน ก่อนจะผละออกจากกัน เอิร์ธยิ้มให้วินอีกครั้ง ในขณะที่วินมองไปตามถนนทอร์ควิล ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และออกเดินไปทันที
   ไกด์มองตามคนรักไป ขณะที่เอิร์ธเดินเข้ามาหาเขา
   “มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน” เอิร์ธว่า “ถ้าจบไม่สวย ฉันเอานายตายแน่”
   ไกด์หัวเราะในลำคอก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองให้เอิร์ธทันที
   “หาทุกอย่างจากในนี้ละกัน”
   ก่อนจะเดินตามวินไป เอิร์ธรู้สึกได้ว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอเจ้าบาริสต้าคนนี้...
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 46 Give Me One More Day]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-11-2014 21:39:19
เข้ามารอตอนต่อไปค่ะ
คนแต่งสู้ๆนะ!!!
เค้ารออยู่จ้า
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 46 Give Me One More Day]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-11-2014 21:39:45
เข้ามารอตอนต่อไปค่ะ
คนแต่งสู้ๆนะ!!!
เค้ารออยู่จ้า
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 46 Give Me One More Day]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-11-2014 17:48:09
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 46 Give Me One More Day]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-11-2014 23:58:26
ยาวไป. ยาวไป. โอยหามรุ่งหามค่ำ. งานการไม่เป็นอันทำ. กินนอนไม่ตรงเวลา. จะเศร้า เหงา อบอุ่น หวานละมุน อะไรอย่างนี้ งอมแงม ความรู้สึกของมนุษย์ ยากแท้หยั่งถึง. เสียจริง. สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 47 Godfather]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 19-11-2014 04:10:43
            เสียงฝนสาดกระหน่ำลงที่ห้องพักของโรงแรมแชงกรีลาปารีส นักธุรกิจวัยกลางคนนั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้ม มันเป็นวันที่ดูขุ่นมัว ซึ่งก็เป็นปกติของปารีส สำหรับเขาแล้ว เขารู้จักเมืองนี้ดีพอพอกับหลังมือของตัวเอง อะไรก็ตามที่เขาอยากให้มันเป็น ไม่มีทางผิดไปจากสิ่งที่เขาคิด และมันก็จะเป็นอย่างนั้น ในตอนจบ

            เสียงเปิดประตูเดินเข้ามาขัดจังหวะความคิดที่กำลังล่องลอย

            “พวกเขาหนีไปแล้ว คุณจะเอายังไงต่อ ให้ผมตามไปหรือเปล่า” ไลโอเนลล์กล่าวขึ้น

            “ไม่ต้อง ก่อนคืนนี้จะผ่านไป พวกเขาจะมาหาฉันเอง ที่นี่” วรพัฒน์กล่าวเสียงเยียบเย็น

            “แล้วมีเรื่องอะไรให้ผมทำอีกหรือเปล่า” ไลโอเนลล์ถามขึ้นอีก

            “เรื่องของนายไง” วรพัฒน์กล่าว “ฉันจะโอนเงินให้นายภายในสองวัน ไปได้แล้ว”

            เกิดความเงียบสงัดขึ้นทันที ไลโอเนลล์เม้มปาก

            “งั้น ถ้าไม่มีอะไรให้ผมแล้ว ผมจะกลับเยอรมันเลยละกัน” ไลโอเนลล์ว่า “หวังว่าคุณคงไม่ทำให้ตัวเองโดนจับหรอกใช่มั้ย”

            วรพัฒน์ไม่ได้ตอบอะไร ไลโอเนลล์มองนักธุรกิจคนนั้น พลางฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

 

            .......ปารีสไม่ใช่เมืองในฝันอย่างที่นายคิดว่าฉันคิดหรอก.......

 

            “คุณวรพัฒน์” ไลโอเนลล์ถามขึ้น “เรื่องที่คุณบอกผม มันจริงหรือเปล่า”

            “เรื่องอะไร” วรพัฒน์ตอบ

            “เรื่องที่คุณบอกผมตอนเราเจอกัน ก่อนที่คุณจะให้ผมทำงานให้” ไลโอเนลล์ว่า “ผมสงสัยว่า....ถ้ามันไม่ใช่....”

            “หึ” วรพัฒน์หัวเราะในลำคอ “นายตามรอบลูกชายฉัน หักหลังน้องสาว เผาร้านอาหาร มาจนป่านนี้แล้ว เพิ่งจะมากลัวว่าโดนหลอกใช้รึไง”

            “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ไลโอเนลล์ถาม “ผมหมายความว่า ถ้าเรื่องที่เราทำอยู่ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถ้าเราทำเกิน...”

            “เกินไปงั้นเหรอ” วรพัฒน์หันมากัดฟันใส่ไลโอเนลล์ “ให้ตายสิไลโอเนลล์ ฉันควรจะไม่ให้เงินนายซักยูโรด้วยซ้ำ ที่นายปล่อยให้น้องสาวนายกับเจ้านักธุรกิจคนนั้นหนีไปได้  และนายก็กำลังยืนชี้หน้าฉัน แล้วตัดสินฉันว่า สิ่งที่เราทำมันเกินไปงั้นเหรอเหอะ”

            “ผมไม่...”

            “ไปซะ” วรพัฒน์ว่า “ไปได้แล้ว”

            ไลโอเนลล์หายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะถอยหลังเดินกลับออกไปจากห้อง

           

            ปึง!!!!

 

            ไลโอเนลล์ผงะออกจากประตู เมื่อพบว่าคนที่พังประตูเข้ามาคือตำรวจ สองนาย พร้อมกับกลุ่มคนที่เดินนำหน้าเข้ามา คนที่ทำให้ไลโอเนลล์ต้องผงะทันที

            “เค...เคลวิน” ไลโอเนลล์หันไปมองหน้าวรพัฒน์

            “C'est lui. Le capturer s'il vous plaît” เคลวินพูดกับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่ตำรวจทั้งสองนายจะเข้าจับกุมไลโอเนลล์

            “ไม่ ไม่ ปล่อยนะ ไม่ใช่แค่ผม จับเค้าสิ เค้าเป็นคนสั่ง” ไลโอเนลล์ทำการขัดขืน แต่ตำรวจทั้งสองนาย ก็จับตัวเขาล็อคแขนไว้ได้สำเร็จ “เคลวิน บอกพวกเขาเซ่ นายก็รู้”

            “ถึงฉันจะไม่มีเรื่องอะไรคุยกับนายนะไลโอเนลล์ แต่ฉันว่าจีโอกับสเตลล่ามี” ไกด์พูดเสียงเข้ม พลางมองผ่านไลโอเนลล์ไปยังวรพัฒน์ที่กำลังยืนจ้องหน้าเขาเขม็ง

            “อะไรนะ” ไลโอเนลล์พูด

            “น้องสาวนาย เพิ่งให้การกับตำรวจฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ว่าเธอถูกสะกดรอยตามจากพี่ชายของตัวเองมาหลายเดือนแล้ว เธอยื่นรูปของนายให้กับตำรวจแล้วมันดันตรงกับคำให้การของเจ๊ใหญ่ถึงชายที่เข้ามาติดต่อขอซื้อร้านเกล็ดหิมะ คนที่เจ๊เค้าสงสัย เมื่อหลายเดือนก่อนพอดี” เคลวินพูด โดยยังคงไม่มองหน้าไลโอเนลล์แต่มองไปยังวรพัฒน์ โดยไม่ละสายตา

            “ไม่” ไลโอเนลล์ว่า “ฉันไม่ได้ทำ มีคนสั่งให้ฉันทำนะ เคลวิน นายก็รู้”

            “ไม่ว่าใครก็ตามที่สั่งนาย มันบังเอิญว่าไม่มีหลักฐานอะไรที่ซัดทอดไปถึงตัวของเค้า” ไกด์พูดเสียงชัดเจน “ทุกๆปากคำของคนที่เสียหาย มีแต่พูดถึงนาย ไม่มีใครพูดถึงคนอื่น ถ้านายคิดจะซัดทอดใครต่อโดยไม่มีหลักฐาน ฉันว่าความผิดนาย จะเพิ่มขึ้น”

            ไลโอเนลล์หันกลับไปมองหน้าวรพัฒน์

            “คุณหลอกใช้ผม” ไลโอเนลล์ตะโกน “คุณหลอกใช้ผม”

            เสียงตะโกนของไลโอเนลล์ดังก้องไปทั่วพร้อมกับตำรวจที่ลากตัวของเค้าออกไป ไกด์ยังคงยืนมองวรพัฒน์อยู่อย่างนั้น

            “คุณรู้ว่าถ้าสเตลล่าจะกลับคำให้การ คุณจะพ้นผิดทันที” ไกด์พูดต่อ หลังจากอยู่กันสองคน “คุณบีบเธอ เพราะถ้าเธอสารภาพ เธอจะโดนไปด้วย”

            “ใช่” วรพัฒน์พูดเสียงเย็นเฉียบ เหมือนว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อซักครู่ไม่ได้ทำให้เขาตกใจใดใดเลยแม้แต่น้อย ”ฉันรู้นิสัยของคนที่พร้อมจะโบ้ยความผิดให้กับคนอื่นดี”

            วรพัฒน์เดินไปยังโต๊ะเล็กในห้องรับแขก พร้อมกับรินน้ำชาลงแก้วกระเบื้องลายงามสองใบ

            “เข้ามาสิ มาดื่มกับฉัน” วรพัฒน์ว่า “มาถึงนี่ก็เพราะอยากจะพูดกับฉันไม่ใช่รึไง”

            “ผมไม่ดื่มชาครับ ขอบคุณ” ไกด์พูดต่อ

            “ฉันไม่ได้พูดถึงนายไอ้บาริสต้า” วรพัฒน์ว่า “ฉันหมายถึงลูกชายของฉัน ที่มันยืนอยู่หน้าห้องต่างหาก”

            ไกด์มองไปทางประตูทันที วินค่อยๆก้าวเข้ามาในห้องหลังจากสิ้นเสียงของพ่อ ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าพ่อของเค้าอยู่อย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

            “อย่าให้ฉันต้องเชิญแกเป็นครั้งที่สอง เจ้าวิน” วรพัฒน์ออกเสียงเข้ม วินมองหน้าไกด์ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาพ่อของเขาทันทีและนั่งลงที่โต๊ะ

            “ฉันมีเรื่องจะพูดกับลูกของฉันสองคนเท่านั้น” วรพัฒน์พูด

            “ถ้าพ่อจะพูดอะไร พูดต่อหน้าเราสองคนเลย” วินพูดชัดเจน ก่อนจะเอื้อมมือไปหงายแก้วชาอีกแก้วนึง และเทชาลงไป “สำหรับผมเขาไม่ใช่คนอื่น”

            วินมองหน้าพ่อของเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว

            “ผมไม่สน ว่าพ่อจะมองว่าเขาเป็นคนอื่นหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเถียงกับพ่อเรื่องเค้า เพราะพ่อก็คงรู้เรื่องของผมกับเค้าแล้ว” วินพูด “ผมมาที่นี่ เพื่อจะพูดเรื่องซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล”

            วรพัฒน์มองหน้าไกด์อยู่พักนึง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าลูกชาย

            “ฉันไล่ต้องทุกอย่าง เพื่อให้แกได้สิ่งที่ดีที่สุดในซูเม่ไป แกได้ห้องเช่ากลางปารีสไปแต่แล้วแกก็ตุกติกกับฉัน” วรพัฒน์พูดกับลูกชาย “ฉันก็เลยไม่กลับเมืองไทย เพื่อจะดูว่าแกจะทำยังไง แล้วแกก็ไม่ทิ้งลายเดิม แกปล่อยให้เจ้าเอิร์ธสวมรอยแทนแก แล้วก็วิ่งตามคนที่แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นใคร”

            วินนั่งเงียบสนิท

            “ฉันจะถามแกง่ายๆ แบบไม่มีวิชาการเลย” วรพัฒน์กล่าว “มันยากมากใช่หรือเปล่า ในการทำในสิ่งที่ฉันขอน่ะ มันยากมากนักใช่มั้ย ในการเดินตามทางที่ฉันวางไว้ให้ แกอึดอัดมากใช่หรือเปล่า”

            “พ่อ” วินพูด “พ่อโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่โดนซัดทอด กับสิ่งที่พ่อทำไปทั้งหมด พ่ออย่าทำอะไรไปมากกว่านี้อีกเลยเหอะ ผมขอล่ะ”

            “ตอบคำถามฉัน” วรพัฒน์พูดเสียงดังกึกก้อง วินเงียบสนิท

            “ช....ใช่” วินพูดออกมาในที่สุด “ผ....ผม....ม....ไม่อยากทำ”

            “แล้วแกจะทำอะไรเพื่อฉันบ้างล่ะหะ” วรพัฒน์พูด “แกเคยคิดจะรับผิดชอบอะไรบ้าง แกโตขึ้นทุกวัน แล้วตอนนี้ มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตแกบ้างห๊ะ”

            วินเงียบสนิท

            “แกใช้เวลาไป 7 ปีตั้งแต่เรียนมหาลัยมาจนตอนนี้ แกทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างที่ลูกชายโสภณนภา ควรจะทำบ้าง มีอะไรบ้าง” วรพัฒน์พูด “ฉันนั่งดูแกขับรถตะลอนไปทั่วกรุงเทพ สร้างปัญหาไปวันๆ กว่าจะเรียนจบ ฉันทนกับแกมาทุกอย่าง แม้แต่กับเรื่องของแม่แก ฉันก็......”

            “เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับผม” วินลุกขึ้นยืนทันที ไกด์ฟังเหตุการณ์ตรงหน้าพลางสงสัยอะไรบางอย่าง “มันไม่ใช่ความผิดของผม”

            “แต่แกก็เป็นคนทำ” วรพัฒน์แผดเสียง วินเงียบเสียงลงในที่สุด วรพัฒน์หายใจเข้าไม่เป็นจังหวะพลางมองหน้าลูกชาย “รู้มั้ย ทำไมไลโอเนลล์มันถึงยอมทำทุกๆอย่างแทนฉัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ง่ายมากในการทำให้คนเชื่อ แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มหัวว่าตัวเองโดนหลอกใช้ เพราะฉันเล่าเรื่องแม่แกให้มันฟังไงล่ะ ฉันเล่าเรื่องของฉันให้มันฟัง เจ้าเด็กเยอรมันที่ไม่มีแม้แต่บ้าน ยินดีทำอะไรก็ได้ เพราะมันเห็นใจฉัน มันรู้ว่าฉันทำทุกๆอย่างไปเพราะอะไร”

            วินเงียบสนิท พลางหลบตาพ่อของเค้า ไกด์เดินเข้ามาหาวินทันที

            “วิน....” ไกด์เรียกชื่อของเขาเบาๆ

            “แม่หนูสเตลล่าบอกฉันว่า ลูกชายตัวดีของฉันเป็นคนเข้าไปเยียวยาอดีตของแกเมื่อต้นปีใช่มั้ย” วรพัฒน์ว่า “บาดแผลครอบครัวใช่หรือเปล่า แล้วมันเคยเล่าให้แกฟังหรือเปล่า ว่ามันต้องมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร มันเล่าหรือเปล่า”

            วินยืนตัวแข็งทื่อ

            “งั้นฉันจะเล่าให้ฟัง” วรพัฒน์พูด

 

            ……..“แกไม่มีฝีมือเท่าคนอื่นๆงั้นใช่มั้ย ได้.....ฉันให้แกไปเรียนต่อดีไซน์ที่เมืองนอก และแกต้องไป เพราะฉันจะไม่ให้เงินแกใช้อีกแล้ว และแกก็อย่าหวัง ว่าจะหางานทำได้ที่สตูดิโอในกรุงเทพ ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกนั้นรับแกเข้าทำงาน นอกจากแกจะทำให้กับคอสโมเท่านั้น.......สิ้นปีเมื่อไหร่ แกขึ้นเครื่องไปปารีสซะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง"

            “อะไรกันอ่ะพ่อ พ่อไม่มีสิทธิมาบังคับผมแบบนี้นะ"

            “ก็ลองดูกันมั้ยล่ะเจ้าวิน

            “พ่อ!! “

            “ฉันจะให้แกไปเจอชีวิตลำบากๆ อันน่าเห็นใจ แบบที่แกสงสารพวกดีไซน์เนอร์พวกนั้นนัก ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าแกก็ไม่มีเงินติดตัวเหมือนดีไซน์เนอร์คนอื่นๆ เงินมันยังจะซื้อแกได้อยู่ไหม แกยังจะคิดแทนพวกเค้าอยู่ไหม"

            “ได้....งั้นเราจะได้เห็นกันพ่อ งั้นผมจะไปเรียนให้พ่อ ผมจะไป ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย"

            “วิน.....ไอ้วิน.....วิน!!!

            วินเดินออกจากห้องนอนไปโดยไม่รีรอ ไปจนถึงบันไดของบ้าน

            “วิน นั่นลูกจะไปไหนอ่ะ”

            “ไปให้พ้นจากที่นี่ อย่างที่เค้าต้องการไงแม่”

            “ไม่นะ คุณ คุณจะปล่อย.....วิน วินเดี๋ยวก่อน วิน”

            “แม่ปล่อยผม ปล่อยผมสิแม่”

            “ถ้าอวดดีนัก ก็ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไปเลย ไปซะเลย”

            “ไปแน่ แม่ ผม...บอก....ให้....ปล่อย..........ปล่อยสิแม่!!!!!!!!

            แรงเหวี่ยงของวินผลักให้ร่างร่างหนึ่งพลัดตกจากบันไดขั้นบนสุด ร่างๆนั้นร่วงหล่นไปทีละขั้น ทีละขั้น จนกระทั่งศรีษะของเธอกระแทกกับมุมโต๊ะที่อยู่ด้านล่าง จนเธอแน่นิ่งไป

            “แม่!!!!!!!!!!!”

            .......

           

            “เมียฉันไม่เคยกลับมาอีกเลย” สิ้นเสียงวรพัฒน์ วินทรุดนั่งลงกับพื้น “สมองได้รับการกระทบกระเทือน กระดูกสันหลังถูกกระแทกและเป็นอัมพาต”

            วินหลับตาลง น้ำตาของเขาไหลออกมาเบาๆ

            “สิ่งสุดท้ายที่มันทำ ก็คือหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะขึ้นเครื่อง มันเคยสำนึกในสิ่งที่มันทำไปบ้างหรือเป....”

            “พ่อคิดว่าผมไม่เสียใจเหรอ” วินพูด “พ่อคิดว่าตัวเองเสียใจเป็นคนเดียวรึไง!!!”

            เป็นวรพัฒน์บ้าง ที่เงียบสนิทหลังจากถูกว่ากลับ

            “ผมหัวเสียก่อนขึ้นเครื่อง พ่อคิดว่าผมไม่ยอมรับผิดเรื่องแม่งั้นเหรอ แล้วพ่อล่ะเคยโทษตัวเองบ้างหรือเปล่า” วินร้องขึ้นทันที “ทำไมถึงต้องเป็นผมที่ผิดอยู่คนเดียว ในเมื่อถ้าเราสองคนไม่ทะเลาะกัน แม่ก็คงไม่เป็นแบบนี้”

            วรพัฒน์มองหน้าลูกชาย

            “ก็เพราะแกมันไม่เคยฟังฉัน...”

            “พ่อก็ไม่เคยฟังผมเหมือนกัน” วินว่า “ผมเดินตามสิ่งที่พ่ออยากให้ทำมาทุกอย่างแล้วอ่ะ ผมขอทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำบ้างไม่ได้รึไง ผมแค่อยากจะขอสนุกกับชีวิตบ้างไม่ได้รึไง ทำไมผมต้องเป็นลูกชายโสภณนภาอยู่ตลอดเวลาด้วย ผมอยากได้ชีวิตของผมบ้าง”

            “แกก็เลยมาขอเอาชีวิตแกคืนที่นี่ บนเส้นทางของฉันน่ะเหรอเหอะ” วรพัฒน์ว่า “ฉันกับแม่แก ทำทุกๆอย่างกว่าเราจะมีวันนี้ แล้วแกจะมาพังทุกอย่างไปง่ายๆแบบนี้ ฉันไม่ยอมหรอก”

            “ผมไม่ได้พังอะไรเลยนะ” วินร้อง “ผมทำให้พ่อหมดทุกอย่าง ผมเรียนให้พ่อ ผมทำงานให้พ่อ และถ้าพ่อดูให้ดี ผมเข้าซูเม่ให้พ่อไปแล้วด้วย พ่อต่างหากที่ไม่เคยมองว่าผมทำอะไรไปบ้าง พ่อเห็นแต่แม่เวลาที่พ่อมองผม ทุกครั้ง สายตาพ่อมันฟ้อง ว่าผมเป็นคนผิด”

            วรพัฒน์เงียบสนิท

            “ใช่.....มันยากสำหรับผมแล้ว เพราะตอนนี้ผมไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง จนอายุป่านนี้แล้ว ก็เพราะผมอยากทำในแบบของผมไง” วินว่า “แม่ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ผมเลยยอมมาที่นี่ เพราะผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนที่ต้องแบกความผิดอยู่ที่กรุงเทพ ผมอยากเป็นคนใหม่แล้ว”

            วรพัฒน์หลับตา พลางมองหน้าลูกชาย

            “ไหนตอนแรกพ่อบอกว่า แค่อยากให้ผมใช้ชีวิตไง แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ก่อนเรื่องโปรเจ็ค ก่อนเรื่องการโอนย้าย ก่อนเรื่องทั้งหมดที่ซูเม่ ทำไมถึงต้องเป็นผมที่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยล่ะ” วินว่า “ทำไมพ่อไม่ปล่อยผมไปซักที”

            “ก็เพราะแกเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่ไง” วรพัฒน์แผดเสียงทันที “ทุกครั้งที่ฉันมองตาแม่แก ฉันรับรู้แล้วว่าฉันไม่มีวันได้เค้ากลับมา เพราะงั้นฉันเลยเลือกจะมาหาแกไง เพราะแกเป็นคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่”

            วินยืนนิ่งสนิท

            “ไลโอเนลล์มันเข้าใจชั้น!!!!” วรพัฒน์ร้องเสียงดัง “มันรู้ว่าคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมันเป็นยังไง มันเลยช่วยฉัน แล้วแกล่ะ แกหายไปไหน แกมัวไปทำอะไรอยู่ห๊ะ”

            วรพัฒน์หลับตาลงทันที

            “ฉันแค่ต้องการให้สิ่งที่ฉันรักที่ยังเหลืออยู่มันเหมือนเดิม ทั้งบริษัท ทั้งแก” วรพัฒน์พูดเสียงสั่นเครือ “ตอบฉันสิ ถ้าฉันจะทำผิด ฉันทำผิดต่อใคร ผิดต่อชีวิตของแก ความฝันของแก หรือผิดต่อแม่แก”

            วินเม้มปากเบาๆ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง

            “เอาล่ะ” วรพัฒน์ลูบหน้าของตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะตั้งสติ “ชาชืดหมดละ แกไม่จิบซักหน่อยล่ะ”

            วินกระพริบตาที่ระเรื่อไปด้วยคราบน้ำตา

 

            นี่คือความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด เรื่องนี้ไม่มีใครเป็นตัวร้าย และเขาเองก็รู้มันมาตั้งแต่แรกแล้ว เขารู้จักพ่อของเขาดีกว่าใครที่สุด เพราะอย่างนั้นเขาถึงหนีมา และนี่คือเหตุผลที่เขาตอบไกด์ไม่ได้ในตอนแรก

            .....เขามาทำอะไรที่นี่ เขามาปารีสทำไม....

            เขาหนีมา ใช่แล้ว แต่เขาไม่ได้หนีพ่อของเขา เขาหนีตัวเขาเอง

            และทุกๆคนหนีความจริงไปไม่ได้

            เขาไม่อยากเจอพ่อ ไม่อยากคุย ไม่อยากฟัง โดยเฉพาะความคิดเชิงเม็ดเงินงี่เง่าพวกนั้น ที่ดูถูกคนในสายงานดีไซน์ ความขัดแย้งของสองวงการที่เขาอยากจะหนีมันไปให้ไกล และนั่นคือเหตุผล เหตุผลที่ทำให้เขาอยากลืมทุกๆอย่าง แล้วฝากตัวเองไว้กับไกด์ คนที่อยู่ข้างนอกเรื่องทุกเรื่อง คนแปลกหน้าที่เขาไม่ควรแม้แต่จะไว้ใจ

            ทุกครั้งที่มีเงาของไลโอเนลล์ตามตัวของเขา นั่นมันทำให้เขารู้สึกถึงตาของพ่อ สายตาที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดในอดีต เขาอ้าแขนรับอดีตของไกด์ได้ แต่กับอดีตของตัวเอง เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึง เพราะความจริงที่ยิ่งกว่าคือ...

            พ่อคือครอบครัวคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ ความว่างเปล่าในดวงตาของแม่ที่นอนตาเบิกโพลงบนเตียงผู้ป่วย บอกเขาแล้วว่าเธอไม่มีทางกลับมา เขาทิ้งทุกอย่างมาง่ายดาย ทิ้งให้ผู้ชายที่หมดสิ้นแล้วทุกอย่าง กราดเกรี้ยว โมโหร้ายอยู่เพียงลำพัง

            ชายคนที่ส่งคนที่เหมือนตัวเอง ติดตามเฝ้าดูลูกชายของตัวเอง

            ชายคนที่เผาทำลายความหวังของคนอื่น เพียงเพราะตัวเองไม่เหลือความหวังอะไรแล้ว

            ชายคนที่อยากให้ลูกชายได้สิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะต้องกลายเป็นตัวร้าย

            ชายคนที่เรียกว่าพ่อ....

            เขาเข้าใจแล้ว.....

 

            “พ่อ........” วินเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆเก้าอี้ของพ่อเค้า “ผม....ผม....ผมขอโทษ”

            วินก้มลงกราบพ่อของเค้าทันที วรพัฒน์ดึงตัวลูกชายมาโอบไว้เบาๆ ก่อนจะร่ำไห้อย่างคนเสียสติ

            “แกมัน...ไอ้ตัวแสบ” วรพัฒน์พูดเสียงสั่น “แกรู้มั้ยว่าฉันต้องทำอะไรไปบ้าง เพื่อให้แกรู้ว่าฉันต้องการอะไร ไอ้วิน ไอ้ลูกหมาเอ๊ยยยยย”

            “ผมขอโทษพ่อ...ผมขอโทษ” วินร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของพ่ออยู่อย่างนั้น

            วรพัฒน์มองไกด์ผ่านหลังของวิน  ก่อนจะผละตัววินออก

            “คุณน่าจะแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ไกด์ว่า “มีอะไรหลายอย่างที่มันพังไปเพราะสิ่งที่คุณทำ ผมว่า...”

            “นายไม่ต้องมาสอนฉันหรอก” วรพัฒน์พูดเสียงขรึม ก่อนจะมองหน้าลูกชาย ที่พยายามหลบสายตา “เจ้าวิน ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ไม่อยากให้แกต้องลำบาก ถ้าแกทิ้งซูเม่ นั่นเท่ากับแกจะต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากมาก และฉันไม่มีวันยอม”

            วินมองหน้าพ่อของเค้า พลางขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหลับไปมองไกด์ที่ก้มหน้าลง

            “ถ้าแกคิดว่างานดีไซน์บ้าบออะไรนั่น คือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินของฉัน พิสูจน์ให้ฉันเห็น แล้วฉันจะปล่อยเงินลงโปรเจ็คของแกกับเจ้าเอิร์ธทันทีก่อนแฟชั่นวีคจะเริ่ม” วรพัฒน์กล่าว “แล้วฉันจะแสดงความรับผิดชอบอย่างที่แกต้องการ”

            “หมายความว่ายังไงพ่อ” วินถาม

            “หมายความว่า ฉันไม่ยอมให้แกออกจากซูเม่ไปไหนทั้งนั้น” วรพัฒน์พูดพลางมองไปที่ไกด์ “ฉันพูดชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้น การประชุมปันงบวันพรุ่งนี้ ที่ห้องประชุของซูเม่ ฉันจะต้องเห็นผลที่ฉันพอใจ”

            “พ่อ....ผมนึกว่าเราพูดกันเข้าใจแล้วนะ” วินว่า

            “แต่ฉันเป็นพ่อแก ฉันต้องการให้ลูกชายของฉันได้สิ่งที่ดีที่สุด” วรพัฒน์มองไกด์ด้วยสายตาแข็งกร้าว “อะไรก็ตาม ที่เป็นแค่ความเพ้อฝันลมๆแล้งๆ เดาเอา วาดเอา ฉันไม่เอาด้วย ฉันต้องการหลักประกัน”

            “พ่อ....”

            “แกสองคนออกไปจากห้องฉันได้ละ” วรพัฒน์พูด พลางหยิบชาขึ้นมาจิบ “ฉัน...ฉันไม่มีอะไรจะพูดอีก”

            “พ่อ....”

            “ฉันบอกให้ออกไป” วรพัฒน์ว่า “พรุ่งนี้สิบโมงค่อยว่ากันที่ซูเม่”

            “พ่อ....ผม...พ่อ”

            ไกด์ลากตัววินออกมาจากห้องของโรงแรมได้สำเร็จ ไกด์มองหน้าวรพัฒน์ที่จ้องเขาด้วยความหมายมากมาย ก่อนประตูจะปิดลง วินทรุดตัวลงอยู่ตรงนั้น ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกทิ้งไว้อีกครั้งด้านหลังประตู ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่น เหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้ม มันเป็นวันที่ดูขุ่นมัว ซึ่งก็เป็นปกติของปารีส สำหรับเขาแล้ว เขารู้จักเมืองนี้ดีพอพอกับหลังมือของตัวเอง อะไรก็ตามที่เขาอยากให้มันเป็น ไม่มีทางผิดไปจากสิ่งที่เขาคิด และมันก็จะเป็นอย่างนั้น ในตอนจบ......

            มันจะเป็นอย่างนั้น.....

.............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 47 Godfather]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-01-2015 00:40:23
โอ๊ย กำลังเข้มข้นสุดๆ
มาต่อไวไวนะคะ
เรารออยู่จ้า
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 47 Godfather]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-03-2015 21:42:21
คิดถึงไกด์กับวินแล้วววว
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 47 Godfather]
เริ่มหัวข้อโดย: MeganMP ที่ 19-03-2015 05:09:01
คิดถึงคู่นี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


คนแต่งหายไป  :hao5: :hao5: :hao5:


กลับมา กลับมา กลับมา มีคนรออยู่นะ


เนื้อเรื่องกำลังสนุกอ่ะ  :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 48 Resistant]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 14-07-2015 04:07:02
ตอนที่ 48 Resistant

   ฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง เช้าวันนี้อากาศไม่สดใสเอาเสียเลย เจนยืนมองหน้าต่างจากห้องประชุมของคณะกรรมการและหุ้นส่วนของซูเม่อินเตอร์เนชั่นอล สาขาปารีส เธอมองออกไปนอกหน้าต่างไปยังเบื้องล่าง ถนนของปารีสที่ทอดไปท่ามกลางความขุ่นมัวของสภาพอากาศ มันเป็นแบบนี้มาเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนเลย เธอเคยคิดว่าปารีส คือเมืองที่สวยงาม เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอมตะ ดีไซน์ แฟชั่น แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เธอเรียนรู้ได้หลังจากนั้นไม่นานว่าเมืองนี้เย็นชา มันโหดร้ายและทารุณอย่างแสนสาหัส กับการพยายามอยู่รอดที่นี่ คำพูดของเจ๊ใหญ่แห่งร้านเกล็ดหิมะทำให้เธอนึกถึงตอนที่เธอเข้าใจปารีสตอนนั้น เข้าใจเมืองนี้ เข้าใจชีวิต เธอทิ้งทุกๆอย่างที่ไทยมาที่นี่ เธอดิ้นรนที่นี่ เธอล้มเหลวที่นี่ เธอเลิกกับคนรักที่นี่ และใช่ เธอประสบความสำเร็จที่นี่เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านั้นมันหล่อหลอมให้เธอเข้มแข็งขึ้น บางที เข้มแข็งเกินไปด้วยซ้ำ
   เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อม กายเดินเข้ามาพร้อมกับนัท ห้องประชุมที่ว่างเปล่า เก้าอี้และโต๊ะประชุมที่ทอดยาว กายมองความว่างเปล่าที่มีเพียงแก้วกาแฟวางเตรียมเอาไว้อย่างไม่สบายใจนัก นัทยิ้มให้กายก่อนจะนั่งลงประจำที่ที่เก้าอี้ตัวนึง กายวางกระเป๋าลงก่อนจะเดินไปหาเจนที่มุมห้อง ที่ที่เธอยืนมองหน้าต่างบานนั้นอยู่
   “เห้....” เสียงของคนรักเก่าปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากภวังค์
   เจนหันไปมองกายก่อนจะยิ้มให้เบาๆ พลางมองออกไปตามเดิม
   “เจนร้ายกาจมาก” เจนพูดขึ้นในที่สุด พลางส่ายหน้า “เจนจำได้นะ กายเคยพูดว่ากายจะตามล่าเจนจนพลิกแผ่นดิน ไม่ว่าเจนจะไปอยู่ไหน เพราะเรื่องของคุณนัท”
   กายยังคงเงียบสนิท
   “เจนเคยคิดว่า เจนจะแคร์ทำไม เจนจะมาปารีส แล้วทุกอย่างจะเหมือนกับ ปูพรมรอเจนอยู่ที่นี่ กายต่างหากที่เลือกใช้ชีวิตอยู่กับคนรัก เลือกชีวิตที่เดินช้าลง เดินไปพร้อมกับคนที่คุณรัก” เจนว่า “เพราะงั้น คุณไม่มีทางตามเจนมาแน่ เจนจะเดินนำหน้าทุกคน นำทุกคนไป ทุกๆคน........”
   น้ำตาหยดลงบนใบหน้าของเจนเบาๆ กายจับตัวเธอไว้
   “จนวันนี้เจนมารู้ว่า...... เจนไม่เหลือใครเลย” เจนพูดเสียงสั่น “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ร้านเกล็ดหิมะ เจนไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เจนทำมาตลอด จนสร้างรอยแผลได้ขนาดนั้น เจนกำลังทำร้ายคนที่เจนควรไว้ใจ เจน......”
   “คุณช่วงพวกเค้าแล้ว”  กายพูดขึ้นในที่สุด “คุณได้ช่วยพวกเค้าอย่างเต็มที่ และวันนี้ เราจะมาดูกัน ว่าสิ่งที่คุณทำ มันจะเป็นยังไง”
   “ถ้ามันพังล่ะคะ” เจนหันมาหากาย “ถ้าทุกอย่างพัง ถ้าสิ่งที่เราวิ่งแก้ปัญหามา มันไม่เป็นไปตามนั้น....”
   “มันจะเป็นไปตามนั้น....” กายว่า “คุณต้องเชื่อในตัวคนอื่นบ้างแล้วล่ะ”
   เจนมองหน้ากายพลางอมยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงประตูก็เปิดออก สุเมธเดินนำเข้ามาพร้อมกับจูเนียร์ดีไซน์เนอร์และเลขาสองคน เขาเอ่ยทักทายนัท และชำเลืองมองกายและเจนอยู่ครู่นึง ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ เจนหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินตรงรี่เข้าไปหาสุเทธทันที
   “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่” เจนกล่าว “หวังว่าเรื่องที่เราคุยกันไว้ พี่จะพิจารณาคำร้องของหนู ของกาย แล้วก็ของนัท”
   “มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เธอได้หาเงินเข้ามาลงทุนตามเปอร์เซนต์นั้นไว้หรือเปล่า” สุเมธพูดเรียบๆก่อนจะก้มลงอ่านแฟ้มตรงหน้า
   “เจนได้....”
   ไม่ทันที่เจนจะได้พูดจบ เสียงประตูเปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นคุณวรพัฒน์และผู้ติดตามสองคน ชายหนุ่มนักธุรกิจก้าวเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
   “โทษทีสุเมธ อากาศแย่เอามากๆเลยอ่ะ พพี่ออกจากโรงแรมแทบไม่ได้เลยน้อง” วรพัฒน์กล่าวเสียงเข้ม ขณะที่สุเมธรุดเข้าไปสวัสดีทักทาย
   “ไม่เป็นไรพี่ พอดียังไม่ได้เริ่มอะไรกันเลย ฝนตกก็เลยช้ากันไปหมดเหมือนกันครับ” สุเทธกล่าวพลางเชิญให้วรพัฒน์นั่งลง
   “แล้ววันนี้ อะเจนด้าคืออะไรล่ะ” วรพัฒน์ถามขึ้น พลางมองไปหาเจน กาย และนัท
   “เอ่อ..... เรามีรายงานความคืบหน้าของสองโปรเจ็คค่ะ เรื่องโปรเจ็คแฟชั่นวีคกันยานี้ แล้วก็เรื่องสขยายสาขาที่อังกฤษ เราต้องเคลียร์กันเรื่องสโคปงานทั้งหมด ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกับเอ่อ ค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ” เจนพูดโดยพยายามไม่ให้เสียงสั่น ขณะที่นัทเริ่มจดสิ่งที่เธอพูด ขณะที่กายเริ่มกดไอแพดของตัวเองเพื่อเริ่มบันทึก
   “งั้นก็ว่ามาเลย” สุเทธเริ่มกล่าว
   “คือเอ่อ.... มันบางอย่างที่ต้องปรับเปลี่ยนค่ะ” เจนพยายามค่อยๆพูด ขณะที่วรพัฒน์จ้องหน้าเจนอย่างพินิจ
   “เปลี่ยนเหรอ อะไร” วรพัฒน์กล่าวเสียงเข้ม
   “คนคุมโปรเจ็คค่ะ วิน เค้าขอถอนตั......”
   “ผมขอไปขยายสาขาที่อังกฤษครับ” เสียงเอิร์ธเปิดประตูเข้ามาทันที ทุกๆคนในห้องหันไปมองเด็กหนุ่มเป็นตาเดียว เจนจ้องหน้าเอิร์ธอย่างไม่เชื่อหู เอิร์ธหันไปยิ้มให้เจนครั้งนึง
   “อะไรนะ...... เมื่อกี้นายว่าอะไรนะเอิร์ธ” สุเมธกล่าวทวนคำถามอีกครั้ง
   “ผมจะไปอังกฤษเอง ผมอยากจะขอถอนตัวจากโปรเจ็คแฟชั่นวีค ผมอยากให้พี่เจน เป็นคนรับผิดชอบโปรเจ็คนี้ครับ” เอิร์ธพูดชัดถ้อยชัดคำพลางเดินไปตรงไปหากาย นัท วรพัฒน์และสุเมธ “นี่เป็น Pproposal รายละเอียดโปรเจ็คทั้งหมด รวมถึงค่ามใช้จ่ายที่ผมต้องการ”
   “เดี๋ยวๆ พี่ยังไม่เข้าใจ เราสองคนจะไปอังกฤษ งานนั้นมันเอ่อ...ไม่รู้สิ พี่ยังไม่ชัวร์ว่า เรากับวินจะ....” สุเมธพยายามพูดต่อ
   “ไม่ครับ ไม่เกี่ยวกับวิน ผมเองคนเดียว ผมจะทำโปรเจ็คนี้คนเดียว” เอิร์ธพูดเสียงใส “ผมใช้เวลาศึกษางานของซูเม่มาตั้งแต่ตอนที่ผมฝึกงานและทดลองงานที่ Lovable Studio การขยายสาขาที่นั่น เรายังต้องเริ่มต้นด้วยสตูดิโอที่เล็กก่อน และพร้อมที่จะเป็นซีเนียร์ดีไซน์เนอร์ คอนเซปต์ Coldness Town ที่ผมใช้เมื่อตอนอยู่ Esmod จะถูกใช้เป็นการเปิดตัวของที่โน่นครับ”
   “แล้วทายมีทีมงานหรือเปล่า” สุเมธถาม “ทีมงานพวกนั้นพี่จำเป็นต้องตรวจสอบก่อน พี่ไม่ต้องการพวกมือใหม่หรอกนะ”
   “ผมติดต่อพี่สาเอาไว้แล้ว ผู้ช่วยช่างภาพของพี่ที่เบอร์ลิน เมื่อเธอเสร็จงานเอ็กโปที่โน่น เธอจะบินตามไปได้ทันทีครับ พร้อมกับนายแบบแฟนพี่เค้าด้วย” เอิร์ธพูดเสียงชัดเจน
   เกิดความเงียบขึ้นในห้องประชุมหลังจากที่เอิร์ธพรีเซนต์จบ การรัวหมัดใส่สุเทธและวรพัฒน์ของเอิร์ธเพียงลำพัง ทำให้หลายๆคนจ้องไปที่เค้าเป็นสายตาเดียว เอิร์ธมองไปรอบๆอย่างไม่หวั่นเกรง
   “เจน....นี่คือ เธอ เห็นด้วยหรือว่ายังไง กาย นัท ว่าไง......” สุเทธหันไปมองรอบๆโต๊ะ
   “เอ่อ....เจนว่ามันก็ดีนะคะพี่ คือ..... เจนเชี่ยวงานแฟชั่นวีคที่นี่มาก่อนแล้ว เจนมีคอนเนคชั่นที่ดี การเปิดตัวเราในแฟชั่นวีคที่นี่ เจนว่า เป็นเจนจะดีกว่าค่ะ” เจนพูดต่อคำ
   “กายว่าไง...” สุเมธหันไปมองกาย ที่นักไหล่เบาๆ
   “ผมยังไงก็ได้พี่ ถ้าน้องมันไปได้ ผมก็โอเค ถ้าพี่กังวล เดี๋ยวผมตามไปตรวจงาน หลังจากเราเสร็จเรื่องแกลที่เมืองไทยก็ได้ครับ” กายยิ้ม
   “ผมยังไงก็ได้เหมือนกันพี่เมธ” นัทต่อคำกาย
   “งั้นก็คงไม่มีปัญหาในประเด็น....”
   “แต่ผมมี.....” วรพัฒน์พูดเสียงเยียบเย็น พลางหันไปที่เอิร์ธทันที เจนหันไปมองเอิร์ธด้วยความกังวล ขณะที่เอิร์ธมองหน้าวรพัฒน์อย่างไม่หวั่นเกรง
   “แกไปคนเดียว กับทีมงานที่โตกว่า แล้ว.....แกต่อกับพวกเค้าติดเหรอ แกน่าจะลองคิดทบทวนดูใหม่มั้ยเจ้าเอิร์ธ” วรพัฒน์เริ่มพูด “วินเค้า ไม่อยากไปหรือว่ายังไง แกถึงไม่เอามันไปด้วย”
   “คือเอ่อ......” เอิร์ธไม่รู้จะตอบยังไงดี เขาหันไปมองเจนที่มองหน้าเขาอย่างตื่นๆ “คือมัน......”
   “ลุงคงไม่อาจจะเชื่อมั่นได้ว่า ถ้าการทำงานไม่คลิ๊กกันแล้ว จะฝากอนาคตสาขาใหม่ไว้กับแกคนเดียวมันก็ออกจะเสี่ยง ลุงคงไม่อยากจะลงทุนไปกับ......เอ่อ มือใหม่น่ะเอิร์ธ เข้าใจลุงนะ” วรพัฒน์เอ่ยต่อ “แล้วสุเมธ ก็คงหมุนไม่พอ ที่จะสนับสนุนสาขาใหม่ ไปพร้อมๆกับแฟชั่นวีค แล้วก็การตลาดที่นี่ ได้ข่าวว่ากำลงจะเปิดแกลอรี่ที่ไทยด้วย มันก็แล้วใหญ่”
   “แต่ทุกๆคนในที่นี้เห็นด้วยไม่ใช่เหรอฮะ” เอิร์ธว่า
   “แต่ลุงเป็นคนลงทุนเอิร์ธ โปรเจ็คทั้งสองตัวที่เราคุยกันวันนี้ ที่ดูเหมือนมีการสับเปลี่ยนโยกย้ายกันโดยไม่บอกกันก่อนด้วย มันก็ยากที่ลุงจะยอมรับได้ง่ายๆอ่ะ เข้าใจกันนะ” วรพัฒน์พูดต่อ ในขณะที่เจนกำลังคิดว่านี่เป็นการรุกร้ำการตัดสินใจของพี่สุเมธอย่างดุดัน ทุกๆคนในโต๊ะกำลังอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าวรพัฒน์ไม่เห็นด้วยซะแล้ว การหมุนเงินไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้าทุกๆคนกำลังพยายามช่วยเอาวินออกจากเกมส์ ก็ดูเหมือนเป็นการปาดคอตัวเอง
   “พี่ก็คงต้องขออนุญาติไม่เห็นด้วยนะเมธ ไม่เคืองนะ พวกเรา ผมไม่อาจหมุนเงินไปให้เอิร์ธได้จริงๆ” วรพัฒน์หันไปหาเอิร์ธ “ขอโทษนะเอิร์ธ รอโปรเจ็คหน้าละกันนะ”
   “ทำไมลุงไม่พูดออกมาเลยอ่ะ ว่าอยากให้ลูกชายเป็นหัวหน้าโปรเจ็คซักตัว” เอิร์ธพูดขึ้น เจนหลับตาลงเบาๆ คิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าเอิร์ธต้องระเบิดก่อนแน่นอน
   “แกว่าอะไรนะ” วรพัฒน์ทวนคำ
   “ลุงไม่ละอายใจบ้างเหรอ เอาเงินมาค้ำคอเพื่อดันลูกตัวเองเนี่ย ลูงทำได้ไงอ่ะ” เอิร์ธว่า วรพัฒน์หันไปมองสุเมธพลางเลิกตากว้าง
   “เอ่อ..... เอิร์ธ นายไม่ควรพูดอย่างนั้นกับคุณ.....”
   “แต่เอิร์ธพูดถูกค่ะพี่เมธ” เจนขัดขึ้นทันที ก่อนจะมองไปหาพี่สุเมธทันที วรพัฒน์หันมามองหน้าเจน “เอิร์ธเค้ามีประสบการณ์ที่แน่นพอ เค้าทำงานหนักมาก่อนที่จะเรียนจบที่ไทย เค้ามีคอนเนคชั่นที่ดีกับคนในวงการ เข้าเป็นคนในวงการเรา เจนไม่คิดว่าจะมีคนอื่น เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”
   “นี่กำลังจะพูดว่า ลูกชายฉัน ไม่เหมาะกับที่นี่งั้นเหรอ” วรพัฒน์พูดขึ้น
   “คุณลุง เราต่างรู้กันดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น วิน อย่างน้อยลุงจะเคารพการตัดสินใจของมัน” เอิร์ธว่า  “วินมันจะถอนตัว มันจะไป.....”
    “จะไม่มีใครถอนตัวทั้งนั้นเอิร์ธ” วินเปิดประตูห้องเข้ามาทันที วรพัฒน์ยิ้มกริ่มอย่างมีชัย เอิร์ธมองหน้าวินทันที
   “ไอ้วิน มึง....เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ” เอิร์ธถลาเข้ามาหาวิน วินจับเข้าที่ไหล่ของเพื่อนพลางยิ้มให้
   “ขอบใจมึงมากนะเว่ย กับสิ่งที่มึงทำ แต่กูจะไม่ถอนตัว” วินพูดเสียงเข้ม พลางหันไปมองพ่อ และคนอื่นๆในห้อง เจนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด “ถูกแล้วครับ เอิร์ธมันอาจจะด่วนสรุปไปหน่อย แต่ผมจะไม่ถอนตัวจากโปรเจ็คไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่เอง”
   “แต่เห้ย.......แล้วความฝันมึงอ่ะ ไอ้ไกด์อ่ะ” เอิร์ธปรี่เข้ามากระซิบที่ข้างหูวินเบาๆ วินสายหน้า พลางยิ้มให้เอิร์ธ
   “ไม่เป็นไรเว่ย ไม่เป็นไร” วินว่า
   “อื้อ......งั้นก็ค่อยยังชั่ว” วรพัฒน์หันไปมองเจนและเอิร์ธ “แบบนี้ ผมค่อยกล้าเสี่ยงลงทุนหน่อย ก็พอที่จะเป็นไปได้ว่พี่จะอนุมัติโครงการนี้แล้วล่ะเมธ ถ้าเกิดว่าเจ้าวินมัน...”
   “เดี๋ยวนะพ่อ.....” วินว่าพลางหันไปหา “พ่อจะลงทุนอะไรเหรอครับ”
   “ก็ลงในโปรเจ็คที่แกทำอยู่ไง ขยายสาขาที่อังกฤษ” วรพัฒน์ว่า “เอิร์ธมันอยากให้ฉันพูดตรงๆ ฉันก็จะพูดตรงๆ ฉันจะสนับสนุนที่นี่ต่อไป ตราบใดก็ตามที่แกยังอยู่ที่นี่และเป็นหัวหน้าโปรเจ็คซักตัวที่นี่ แล้วสุเมธเองก็คงจะยินดีตามข้อเสนอนี้ของฉันอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกๆคนที่นี่ในซุเม่ต้องการฉัน และฉันก็ต้องการให้แกอยู่ วินนี่เป็นอนาคตที่ฉันอยากจะปูเอาไว้ให้แก แกจะได้สบาย ไม่ต้องลำบากอีก ใช่แล้ว แกคิดถูกแล้วที่ทำตามที่ฉันบอก”
   ทุกอย่างในห้องเงียบสงบ วินมองหน้าพ่อของเค้า ขณะที่เอิร์ธมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา อะไรกัน นี่เขาลงสู้จนหมดตัวแล้ว แต่ทำไมไม่มีใครลุกขึ้นสู้ไปกับเขาเลยล่ะ ไหนบอกว่าะทำเพื่อวินกันไง นี่มันเกิดอะไรขึ้น
   สิ่งที่อยู่ในหัวเอิร์ธตอนนี้เต็มไปด้วยไฟที่พร้อมจะระเบิดเขากัดฟันกรอดขณะที่ต้องเก็บอาการเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียมารยาท เขาโปรธทุกๆคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ ทำไมทุกคนถึงพาทุกอย่างมาจบลงตรงนี้ได้ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คุยกันไว้ตั้งแต่แรก แล้ว..... แล้วเขาจะต่อสู้มาทำไม
   ต่อสู้ไปเพื่อเพื่อนรักไปทำไม....
   “เอาล่ะ หัวข้อต่อไปอะไรล่ะหึ” วรพัฒน์กล่าว “แล้วผมต้องเซ็นอะไรบ้าง”
   เจนมองพี่สุเมธแว้บนึง ก่อนจะหันไปมองวรพัฒน์
“งั้นก็ได้ค่ะ ตกลงตามนั้น” เจนว่า พลางลุกขึ้นหยิบแฟ้มเดินตรงไปหาวรพัฒน์
“เดี๋ยวๆ อะไรกันอ่ะ พี่เจน ไม่นะพี่ ไหนว่า.......” เอิร์ธพยายามจะพูดบางอย่าง แต่เจนหันมาส่ายหน้าให้เค้า ก่อนจะวางแฟ้มลงและยื่นปากกาให้กับวรพัฒน์ทันที
วรพัฒน์ยิ้มกริ่มอย่างมีชัยก่อนจะหยิบปากกาแล้วเริ่มอ่าน.....
“นี่มันอะไรกัน” วรพัฒน์แผดเสียง ก่อนจะหันไปมองเจนและสุเมธ รวมถึงคนรอบๆโต๊ะ เจนถอยกรูออกมา ขณะเดียวกับที่กายลุกขึ้น
“ผมแนะนำให้คุณเซ็นซะ แล้วเรื่องทุกอย่างจะจบลงที่นี่” กายพูดเสียงชัดเจน วรพัฒน์หันไปมองหน้ากายเขม็ง “เงินลงทุนของคุณ ดูเหมือนจะไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่ว่าวินจะถอนตัวหรือไม่ การตัดสินใจเรื่องหมุนเวียนเงินลงทุน ไม่จำเป็นต้องพึ่งคุณอีกต่อไปแล้ว”
วรพัฒน์จ้องหน้ากาย ก่อนจะหันไปหาสุเมธ
“มันหมายความว่ายังไงสุเมธ” วรพัฒน์แผดเสียง
“ผมเคยชื่นชมพี่มาตลอดนะ แต่พี่ไม่ได้ทำตามที่พี่เคยพูดอ่ะ พี่ไม่ได้เห็นแก่งานศิลปะ หรือเห็นแก่เรา พี่ทำเพื่อตัวเองอ่ะ พี่คิดว่าพี่จะบีบเราด้วยเงินลงทุนได้งั้นเหรอ” สุเมธกล่าว
“แต่ถ้าฉันไม่ลง แล้วแกจะมีปัญญาไปหาเงินมาจากไหน แบรนด์หน้าใหม่อย่างนี้ จะไปหาผู้ลงทุนในปารีสได้จากไหนหะ” วรพัฒน์กล่าว
“เราหาได้แน่ค่ะ และเราก็หาแล้ว” เจนจิรากล่าว
“อ้อ.....” วรพัฒน์หันไปหาเจนที่ยืนอยู่ข้างๆ “เธอคิดว่าเธอชนะแล้วสินะ เจนจิรา..... เธอนึกว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าเธอติดต่อใคร ไม่รู้เหรอว่าลูกชายตัวดีของฉันกับเพื่อนมัน ไปติดต่อใครมาลงทุนให้แก ไม่ ไม่ ไม่ใช่ มันไม่ง่ายอย่างนั้น”
เจนหันไปมองหน้าคุณวรพัฒน์อย่างตื่นตระหนก
“จีโอ ชื่อนักลงทุนเยอรมัน นักลงทุนที่กล้าจะมาแหยมกับฉัน ที่มาก่อน เธอไม่รู้หรอกว่าฉันรู้อะไรบ้าง” วรพัฒน์ว่า “เธอไม่สามารถให้มันมาลงทุนแทนฉันได้ มันเป็นชาวต่างชาติ มันไม่สามรถถือหุ้นเกิน 30% ในบริษัทที่ตั้งในฝรั่งเศส ใช่ ฉันจับตัวมันมา เพื่อจะให้ฝ่ายกฎหมายทำประวัติมัน มันเป็นเงื่อนไข ที่เด็กอมมือบางคนไม่รู้”
เจนหายใจเข้าถี่ ก่อนจะมองไปยังเอิร์ธและสุเมธ
“ทำกันแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้” วรพัฒน์เดินไปยังสุเมธ “งั้นพี่จะทำให้มันง่ายขึ้นนะ จะเป็นยังไงถ้าพี่จะขอให้วิน เป็นรองประธานบริษัท แลกกับการไม่ถอนเงินออกจากโปรเจ็คของซูเม่ก่อนจะถึงแฟชั่นวีค”
ทุกๆคนมองไปที่สุเมธเป็นสายตาเดียว
“ง่ายขึ้นมั้ย” วรพัฒน์ว่า “น่าจะง่ายขึ้นนะ ไหนๆวันนี้ก็เป็นวันที่เราประชุมกันเรื่อง อะไรนะ.... ปรับโครงสร้างหุ้นส่วนไม่ใช่เหรอ ก็ปรับมันซะตรงนี้เลย เพราะฉันจะได้เซ็นเอกสารตัวใหม่ ที่หนูเจนจิรา น่าจะไปพิมพ์มาใหม่ให้ฉันได้แล้ว”
“เอกสารเหล่านั้นถูกต้องแล้ว” เสียงอันเยียบเย็นดังขึ้นทันที ทุกๆคนหันไปมองไกด์ ที่ยืนอยู่ประตูสุดทางของห้องประชุม ทุกๆคนเงียบสนิท วินยิ้มกว้างทันที
“ผมยังอยากย้ำคำพูดของคุณกายอีกครั้ง ว่าคุณควรเซ็นซะ แล้วให้ทุกอย่างจบลงที่นี่ เพราะคนที่จะมาลงทุนแทนคุณทั้งหมด ไม่ใช่จีโอ แต่เป็นผม.......เคลวิน วอลลีแอร์” ไกด์พูดเสียงชัดเจน “ผมเป็นคนฝรั่งเศส ผมถือสัญชาติที่นี่มาหลายปี และยิ่งไปกว่านั้นเป็นผมมีเชื้อคนไทย ผมยินดีที่จะสนับสนุนผลงานศิลปะในแบรนด์คนไทยของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล”
“อะ...อะไรนะ” วรพัฒน์พูดเสียงสั่น “เป็นไปไม่ได้ แกไม่ใช่นักลงทุน แกเป็นแค่ บาริสต้าในร้านกาแฟง่อยๆ”
“ความจริงข้อนั้น เป็นความจริงที่ผมไม่เคยบอกใครทั้งนั้น ความจริงที่ไม่ได้อยู่ในเอกสารในร้านตอนที่ถูกระเบิด ไม่ได้อยู่ในบ้านของจีโอที่คุณส่งไลโอเนลล์ไปค้น ไม่ใช่เค้า แต่เป็นผม ผมต่างหาก คือคนที่จะลงทุนให้วิน” ไกด์พูดชัดเจน
“แกหลอกชั้น” วรพัฒน์หันไปหาวิน วินที่ก้มหน้าลงทันที “แกหลอกชั้น!!! เมื่อวานเราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้”
“เราตกลงกันไว้แบบนี้พ่อ พ่อบอกให้ผมอยู่ที่ซูเม่ เพราะเป็นห่วงผม ผมก็ยังอยู่นี่ไง” วินว่าพลางมองหน้าพ่อ “ผมยังไม่ได้ไปไหน”
“คุณไม่ต้องการความฝันลมๆแล้งๆ คุณไม่ต้องการให้ลูกชายคุณไปอยู่กับอะไรที่ไม่มีหลักประกัน” ไกด์ว่า “แต่ผมนี่แหละ หลักประกัน”
วรพัฒน์ส่ายหน้า
“งั้นก็ลองดูสิ ว่าเงินใครมันจะหนากว่ากัน แกคิดว่าฉันไม่กล้าสู้เหรอ หุ้นไม่กี่แสนยูโรแบบนี้ ฉันจ่ายได้สบายอยู่แล้ส แกต่างหาก จะจ่ายได้เท่าไหร่” วรพัฒน์ขู่กรอด
“จ่ายเรื่องลงทุน คุณน่ะอาจจะจ่ายได้ แต่จ่ายเพื่อประกันตัวเองในศาลอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ” เสียงของจีโอดังขึ้น พร้อมกับร่างของเขาที่เดินเข้ามาในห้องประชุม พลางส่ง USB อันนึงให้ไกด์ “ได้มาแล้ว”
ไกด์รับมันมาจากจีโอทันที
“เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณเป็นคนบงการการระเบิดร้านเกล็ดหิมะ แต่นี่เป็นเทปกล้องวงจรปิดของอาคารที่จีโออยู่ วันที่คุณส่งไลโอเนลล์ไปค้นเอกสารของเค้า” ไกด์พูดต่อ “เหตุผลที่คุณบงการระเบิดเกล็ดหิมะอาจจะไม่เมคเซนส์ แต่การทำอันตรายและบุกค้นเอกสารส่วนตัวของคู่แข่งทางธุรกิจ ผมว่ามันอาจจะฟังขึ้น”
“และผมจะฟ้องเรื่องการลักพาตัวต่อด้วย ถ้าคุณคิดว่ายังไม่หนำใจพอ” จีโอพูดต่อ
“ผมขอพูดป็นครั้งสุดท้าย” ไกด์ว่า “ผมอยากให้คุณเซ็นเอกสารนั่นซะ แล้วทุกอย่างจะจบลงที่ห้องนี้ จบจริงๆ”
   และแล้วก็เข้าสู่ความเงียบ วรพัฒน์มองไปรอบๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขามองไปยังลูกชายของเขาที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
   “แกเลือกคนอื่นมากกว่าครอบครัว แกทำลายแม่แก” วรพัฒน์ว่าเสียงดัง
   “แม่ไม่อยู่แล้วพ่อ” วินหันมาหาวรพัฒน์ “แม่ไม่อยู่แล้วครับ ........... และผมก็อยู่กับโสภณนภาไปตลอดชีวิตไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมรัก จะอยู่กับผมไปตลอดนะพ่อ”
   วินมองพ่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เขาเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารและปากกามาจากโต๊ะประชุม แล้วเดินไปหาพ่อของเขา
   “จบเรื่องนี้ซะนะครับ”
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 49 Backstap] - กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 14-07-2015 20:59:30
ตอนที่ 49 Backstap

   ล่วงเลยเวลาไปกว่าสี่ชั่วโมง กว่าเหตุการณ์อันวุ่นวายในห้องประชุมจะสงบลง เสียงเอะอ่ะโวยวายดังขึ้นมาเป็นระยะ ระหว่างที่วินและเอิร์ธเดินกลับเข้ามาในสตูดิโอประจำของตัวเอง วินไม่ได้ไปส่งพ่อของเขาอย่างที่ควรจะเป็น หลังจากที่วรพัฒน์ยอมเซ็นเอกสาร ถอนตัวเองออกจากการถือหุ้นทั้งหมดของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล เขาไม่ได้แม้แต่จะสบตาลูกชายของเขาเอง นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น เดินออกจากห้องประชุมไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีการแจ้งจับกุมหรือซัดทอดจากใครจนทำให้วรพัฒน์ไม่สามารถกลับประเทศไทยได้
   เสียงเปิดประตูสตูดิโอ เจนจิราเดินเข้ามาพร้อมกับไกด์และจีโอ เอิร์ธและวินลุกขึ้นมองทั้งสาม
   “คุณพ่อของเธอ จะบินกลับไทยเย็นวันนี้” เจนพูดขึ้น “เค้าฝากมาบอกเธอว่า เขาไม่อยากเห็นหน้าเธออีก เธอไม่ต้องไปส่งเค้า หรือแม้แต่กลับไปที่ไทยอีก”
   วินหลบสายตาช้าๆ เอิร์ธเอื้อมมือมาจับไหล่เพื่อนรักของเขาเอาไว้ทันที
   “มันก็แค่ช่วงนี้แหละ พ่อมึงคงต้องใช้เวลา” เอิร์ธพูดขึ้น “แล้วเรื่องโปรเจ็คทั้งหมดล่ะครับ”
   เจนมองไปหาไกด์ที่ยืนมองหน้าวินอยู่ แค่ลายเซ็นไม่กี่ตัวในหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้ไกด์กลายเป็นผู้ถือแทนที่วรพัฒน์ทั้งหมดแล้ว เขามองหน้าวินอย่างมีความหมาย
   “ผมไม่ได้เก่งเรื่องดีไซน์หรืองานศิลปะขนาดนั้น แต่ผมรู้จักเมืองนี้ดี” ไกด์ว่า “ผมอยู่ปารีสมานาน ผมรู้การตลาด ดีมานต์ซัพลายทั้งหมด ผมน่าจะช่วยคุณได้”
   “ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณตัดสินใจช่วยฉัน” เจนกล่าว
   “เดี๋ยวก่อนนะ ตอนแรกไหนว่าจะเป็นจีโอไงพี่เจน นี่ผมกลายเป็นตัวตลกไปเลยอ่ะ ในห้องนั้นอ่ะ” เอิร์ธโวยวายขึ้นมา “พวกพี่เล่นไรกันไม่เห็นบอกผมก่อนเลย”
   เจนหันมาทำหน้าดุใส่เอิร์ธ
   “ก็เธอไม่อยู่นี่ไอ้ตัวแสบ” เจนว่า “สิ่งที่เธอรู้ ก็คือสิ่งที่วินรู้ และสิ่งที่วินรู้ คิดเหรอว่าพ่อเค้าจะไม่รู้ ถ้าเราจะเอาชนะเค้า เราต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามแผนของเค้า แล้วค่อยตลบหลังเค้าอีกที”
   “งั้นผมก็ต้องไปอังกฤษจริงจริงใช่มั้ย” เอิร์ธว่า
   “ก็เธอพูดเอง” เจนตอบ วินหันไปมองหน้าเพื่อนรักทันที ทั้งสามหัวเราะกันอย่างนั้นโดยไม่ตั้งใจ
   “ขอบคุณทุกๆคนมากนะครับ ผมขอบคุณจริงๆ” วินพูดขึ้น พลางมองไปยังเจน เอิร์ธ และจีโอ
   “กูบอกแล้วไง เดี๋ยวกูทำเพื่อมึงเอง” เอิร์ธยิ้มกว้าง เจนมองภาพตรงหน้าอย่างอิ่มเอมใจ ในที่สุดหน้าที่ดูแลเด็กแสบสองคนนี้ก็มาถึงปลายทางเสียที เอิร์ธและวิน กลายเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมทำงานอย่างจริงจัง กลายเป็นคนฝั่งของเธอ คนเธอจะไว้ใจได้ เป็นอย่างที่กายพูดเอาไว้
   ถึงเวลาที่เธอต้องเปิดใจเสียที.......
   “ถ้าหมดเรื่องแล้ว ฉันต้องขอตัวนะ” จีโอพูดขึ้น ทุกๆคนหันไปมองเขาเป็นสายตาเดียว “ก็ขอบคุณมากๆที่เอ่อ ช่วยเหลือกัน แล้วเอ่อ.... ในเมื่อไม่ได้ให้ฉันช่วยอะไรแล้ว ก็ว่าจะกลับสตาร์เบิร์ก มีอะไรต้องกลับไปสะสางอีกเยอะ โชคดีนะเคลวิน ฉันเอ่อ....ไปก่อนล่ะ”
   เจนหันไปมองจีโอที่มองหน้าเธออย่างมีความหมาย เธอยังคงมองหน้าเขานิ่ง ขณะที่ทุกๆคนกำลังลุ้นให้เธอพูดอะไรบางอย่าง
   “แล้วถ้ามีโอกาส คงได้เจอกันอีกนะครับ คุณเจน” จีโอยิ้มให้เธอครั้งนึง ก่อนจะเปิดประตูออกจากสตูดิโอไป เจนจิราหันกลับมาหาคนอื่นๆ ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจ เหมือนกับว่าเธอทำอะไรพลาดไปบางสิ่ง อาจจะเพราะเธอยังไม่ได้ขอบคุณจีโอเป็นจริงเป็นจรัง หลังจากที่เขากลับมาแล้ว แต่ถ้าเธอก้าวขาเดินตามเขาไป เธอจะยังคงเป็นเจนจิราได้เหมือนเดิมไหมนะ ตัวตนที่เธอมีอยู่ตอนนี้มันจะยังใช้ในครั้งนี้หรือเปล่า
   การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง....
   “โอ่ยยยย ไม่ต้องคิดแล้วพี่” เสียงของเอิร์ธปลุกเจนขึ้นมาจากภวังค์ เจนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ที่กำลังยิ้มกว้างให้เธอ “เราทำอะไรกันมาตั้งมากมายแล้วนะพี่ พี่เป็นแม่มดนะฮะ กะอีแค่เรื่องนี้ มันไม่มีอะไรยากหรอกฮะ”
   เจนมองหน้าเอิร์ธพลางยิ้มกว้าง
   “พี่เอ่อ...มีอะไรต้องไปสะสางเหมือนกัน แล้วไว้คุยกัน เธอทั้งคู่ พรุ่งนี้ สิบโมงที่นี่” เจนพูด พลางรีบรุดเปิดประตูห้อง “แล้วก็....... อย่าบอกกายเรื่องนี้นะเอิร์ธ”
   เอิร์ธเลิกคิ้วให้เจนครั้งหนึ่ง
   “แน่นอนครับ” เจนปิดประตูห้องไปขณะที่เอิร์ธรีบไปกระซิบข้างหูวิน “ไม่บอกก็โง่ดิ”
   วินและเอิร์ธหัวเราะกันอย่างอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางรอยยิ้มของไกด์ที่มองทั้งคู่อยู่ เอิร์ธมองเหตุการณ์ตรงหน้า พร้อมกับรู้ซึ้งอะไรบางอย่าง
   “ฉันก็คง ต้องออกไปด้วยเหมือนกัน” เอิร์ธพูดเช่นกัน “เจอกันข้างล่างละกันมึง”
   เอิร์ธพยักหน้ารับรู้กับวินก่อนจะเปิดประตูออกไปอีกคนนึง เมื่อเสียงประตูปิดลง วินถลาเข้ากอดไกด์ทันที เขาปล่อยให้ความรู้สึกอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้ กลิ่นอายที่ได้จากไกด์แบบนี้ โอบคลุมตัวของเขาเอาไว้ วินกอดไกด์แน่นอย่างที่ไม่เคยกอดมาก่อน ตัวของเขาสั่นเทา ไกด์ประคองตัวของวินออกมาจากอ้อมกอด ดวงตาของวินระเรื่อไปด้วยน้ำตาที่วินพยายามฝืนกลั้นเอาไว้
   “ขอบใจนายมากนะไกด์” วินว่า “ขอบใจนะ”
   “ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจนาย” ไกด์ว่า วินทำหน้าสงสัย “ถ้าไม่นาย ฉันคงไม่มีทางกลับมาเป็นตัวเอง เคลวิน”
   วินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปาดน้ำตาตัวเอง
   “แล้วฉันต้องเรียกนายใหม่อีกหรือเปล่า” วินว่า
   ไกด์ประคองตัววินเข้ามาในอ้อมกอด พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของวินอย่างแผ่วเบา
   “เรียกว่าที่รักดิ น่าง่ายกว่านะ” ไกด์พูดจบพร้อมกับดึงตัววินเข้ามากอดอีกครั้ง มันอาจจะเหมือนกับอ้อมกอดก่อนหน้านี้ ที่ไกด์ให้เค้ามาเสมอ แต่วินกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันพิเศษมากกว่านั้น  เพราะนี่เป็นอ้อมกอดแห่งการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงที่เขาพร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง
   “ฉันรักนายนะ....ไอ้บาริสต้า” วินพูดทั้งน้ำตา
.................
   เจนจิราวิ่งตามจีโอออกมาถึงชั้นล่างของซูเม่ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าของโถงทางเดิน เธอมองไปรอบๆอย่างหมดหวัง เธอคงมาช้าไป ไม่ใช่สิ เธอเร็วไป เร็วไปจนไม่มีใครวิ่งตามเธอทัน ใจของเจนรู้สึกเบาโหวง มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เมื่อหลายปีก่อน หลังจากเสร็จงานแฟชั่นวีคตอนเธอเรียนจบ เธอกลับออกมาด้านหลังเวที แฟนเก่าของเธอก็หายตัวไปแล้ว วินาทีนั้นเธอรับรู้ได้ว่าเธอได้ทิ้งชีวิตเดิมมาเริ่มต้นใหม่เป็นเจนจิราคนใหม่ มาวันนี้เธอได้ทำให้อีกหลายชีวิตได้เริ่มต้นใหม่แล้ว แต่ภายในใจของเธอยังเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ เธอยังติดค้างอะไรหลายๆอย่างที่อยากบอกจีโอ ความรู้สึกที่เธอมีให้เค้า
   “ไอ้คนบ้า” เจนพูดกับตัวเอง “ทีอย่างนี้ล่ะรีบกลับจังนะ สตาร์เบิร์กมันมีอะไรนักหรือไง”
   “ก็มีหลายอย่างนะคุณ” เสียงของจีโอดังมาจากทางออกของห้องน้ำชั้นหนึ่ง เจนจิราหันไปมองจีโอทันที “มีที่สวยๆเยอะเลย ถ้าคุณจะไป บอกผมได้นะ เดี๋ยวผมนำเที่ยว”
   เจนจิราถอนหายใจ พลางมองหน้าของจีโอโดยไม่พูดอะไรซักคำ จีโอเห็นสภาพเจนจิราอย่างนั้นก็หยุดชะงักด้วยความตกใจ เขามองหน้าเธอกลับ
   “แล้วเอ่อ...... คุณมีอะไรหรือเปล่า.... อย่าบอกนะว่านี่วิ่งตามผมลงมาอ้ะ” จีโอว่า
   เจนจิรายิ้มกริ่มพลางน้ำตาเอ่อคลอ จีโอเห็นสภาพนั้นก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ชายหนุ่มมาดกวนมองหน้าของเธอพลางยิ้มกว้าง
   “เอ่อ...... มีอะไรหรือเปล่าคุณ” จีโอพูดเสียงสั่นๆ
   เจนจิรากระพริบตาถี่ พยายามเปลี่ยนอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะกระแอมหนึ่งครั้ง แล้วเดินเข้าไปหาจีโอ
   “คุณยังติดค้างฉันบางอย่าง” เจนว่า “เพราะงั้น คุณเลยยังกลับไม่ได้น่ะ”
   “ผ...ผมเนี่ยนะ ติดค้างคุณ” จีโอตอบ “เรื่องอะไรอ้ะ”
   “เรื่องที่ดีสนีย์แลนด์” เจนว่า “คุณบอกกับฉันว่า คุณจะทำวันนั้นให้เป็นวันหยุดที่ดีที่สุดของฉัน แต่แล้วมันก็ล้มไม่เป็นท่า”
   “เอ่อ..... ก็แหม..... มันไม่ได้เกิดจากผมซะทีเดียว แล้วอีกอย่างคุณเองก็ไม่ฟังอะไรเลยนี่” จีโอร้อง “แต่ถ้าคุณไม่พอใจ ผมขอโทษก็แล้วกัน”
   “ฉันไม่อยากได้คำขอโทษ” เจนพูด จีโอเงียบสนิท “แต่ฉันอยากได้วันดีดีแบบวันนั้นอีก”
   จีโอยิ้มกริ่มให้เธอ
   “แล้วเอ่อ....จะนัดทุกๆคนไปใหม่เหรอครับ มันจะไม่.....”
   “ฉันไม่ได้อยากไปกับคนอื่น แล้วก็ไม่ได้อยากไปดีสนีย์แลนด์แล้ว” เจนจิราพูด “ฉันอยากไปไหนก็ได้ ไปกับคุณ”
   จีโอยิ้มกว้างทันที เขาเอาชนะใจผู้หญิงคนนี้ได้แล้วในที่สุด ชายหนุ่มมาดกวนเกาจมูกเบาเบา ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแก้เก้อ
   “แล้วจะให้ผมเริ่มจากตรงไหนละครับ” จีโอถามขึ้น
   เจนก้มหน้าลงพลางอมยิ้ม
   “ศุกร์นี้ ฉันว่าง ฉัน.....อยากไปสตาร์เบิร์ก คุณจะเป็นไกด์ให้ฉันได้มั้ยคะ” เจนพูดเสียงชัดเจนพลางยิ้มกว้างให้จีโอ
   “ด้วยความยินดีครับ” จีโอพูด ขณะที่เจนจิราเดินตัดเขากลับไปทางขึ้นตึก ขณะที่จีโอกำลังยิ้มกริ่มกับตัวเองอยู่นั้น เจนจิราก็โผเข้าจูบจีโออย่างไม่ทันตั้งตัวทันที เธอยิ้มกว้างให้กับเขาอีกครั้ง
   “แทนคำของคุณ สำหรับทุกๆอย่างนะ” เจนกล่าว ก่อนจะหายตัวไป ทิ้งให้จีโอยืนเป็นรูปั้นหินอยู่ตรงนั้น
   เจนจิราเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เธอได้คำตอบแล้ว การเริ่มต้นไว้ใจคนอื่น การเริ่มต้นเปิดใจรับคนอื่นเข้ามา มันไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายขนาดนั้น เธอทำมันได้แล้วในที่สุด เจนจิราเปิดประตูห้องทำงานของเธอด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเห็นร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเธอ ชายคนนั้นทำให้เวลาของเธอหยุดหมุน และอุณภูมิลดลงอย่างฮวบห้าบทันทีที่รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร
   มิก......
   มิกหันมามองหน้าเจนแว้บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปนั่งตามเดิม เจนพอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่ว่ามิกมาเพราะสาเหตุอะไร เธอเดินกลับไปนั่งที่ที่นั่งเดิมของตัวเองและพยายามไม่ให้ตัวเองในอารมณ์ที่ดีเกินจำเป็น
   “สวัสดี” เจนเอ่ยขึ้นก่อน “ไม่รู้ว่าจะเข้าออฟฟิศ ไม่งั้นก็จะได้เชิญเข้าประชุมเมื่อเช้าด้วย”
   “ไม่ต้องอ่ะ” มิกว่า “ผมไม่อยากเข้า”
   เจนเลิกคิ้วพลางพยายามไม่หงุดหงิดในอารมณ์มาคุที่มิกส่งมาใส่
   “แล้ว มีอะไรกับเจนหรือเปล่า” เจนพูดต่อ
   “เอิร์ธจะไปอังกฤษ” มิกว่า “ตามความเข้าใจของผม งานนี้เป็นหน้าที่ของคุณกับกายไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นเอิร์ธที่ต้องไป”
   “การตัดสินใจนี้พี่เมธอนุมัติไปแล้วเมื่อเช้า” เจนพูดต่อ “โปรเจ็คสองตัวของบริษัท มันมีผลกระทบกับหลายๆคน การจะปรับเปลี่ยนโยกย้าย ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้.....”
   “ไม่ต้องมาวิชาการใส่กันเจน เอาภาษาไทย ง่ายๆนี่แหละ” มิกเริ่มเสียงแข็งใส่เธอ เจนถอนหายใจใส่มิกทันที “บอกมาตรงๆเลยดีกว่าว่าอยากทิ้งกันไว้ข้างหลัง กายจะได้อยู่กับนัทที่นี่สบายๆ คุณได้แฟชั่นวีคไปทำ แล้วส่งเอิร์ธไปไกลๆ”
   “นี่ไม่ได้ตั้งใจพูดออกมาใช่มั้ยเนี่ย” เจนพูดเสียงเข้ม “รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
   “แล้วจริงหรือเปล่า” มิกพูดเสียงชัดเจนกับเธอ “ไหนว่าจะดูแลเค้าไง ไหนสัญญาแล้วว่า....”
   “ให้ตายเถอะมิก ฉันไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าแฟนใครนะ” เจนว่า “ฉันรับปากว่าจะดูแลเอิร์ธให้โตพอที่จะเข้าใจชีวิตในแบบที่พวกเราเป็นและฉันก็ทำแล้ว อย่ามาเรียกร้องอะไรใส่กันนะ ฉันไม่ได้อะไรเลยจากการช่วยเหลือเอิร์ธ”
   “จริงเหรอ ไม่ได้อะไรเลยงั้นเหรอ คุณวรพัฒน์ออกไปจากคณะกรรมการสำเร็จแล้ว เธอได้แฟชั่นวีคกลับไปทำ เนี่ยนะไม่ได้อะไร” มิกว่า
   “การปรับโครงสร้างเมื่อเช้ามันวินวินกันทุกฝ่าย ก็ถ้านายเข้ามาอยู่ในที่ประชุมบ้างล่ะก็ นายก็จะเห็นว่าไม่มีใครได้ประโยชน์เกินไป” เจนพูด
   “แล้วทำไมถึงกลายเป็นฉันที่ต้องเสียอยู่คนเดียวล่ะ” มิกว่ากลับอย่างเผ็ดร้อนเขาลุกขึ้นเท้าลงบนโต๊ะทำงานของเธอ “ทำไมถึงกลายเป็นฉันที่ต้องวิ่งตามทุกคนอยู่ตลอดล่ะหะ”
   เจนเมินหน้าหนี
   “มีความสุขกันมากเลยหรือเปล่าที่ซูเม่นี่น่ะ รู้อะไรมั้ยเจน ตั้งแต่เธอกับกายแล้วก็พี่เมธตั้งบริษัทนี่เมื่อปีที่แล้ว มันทำลายชีวิตมาหลายคนแล้ว” มิกว่า “ทุกๆคนต้องทิ้งชีวิตสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็นมาเพื่อที่นี่ สากับมาร์ค เธอรุ้มั้ยว่าเค้าสองคนนั่งเครื่องกันวันละกี่ชั่วโมง กายกับนัทได้กลับไปบ้าน ไปเจอหน้ากันกี่คืนต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ตอนนั้นไม่มีใครได้ชีวิตที่สงบสุขอีกเลยเจน ไม่มีเลย”
   เจนหันไปมองหน้ามิก
   “ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล เกิดขึ้นมาเพราะความตั้งใจจริงของพวกเราทุกคนในวงการนะ พวกเราทุกคนต้องการขยายขอบเขตผลงาน ก็เลยหอบตัวเองกันมาที่นี่” เจนพูดต่อ “นายเองก็หอบตัวเองมาที่นี่เหมือนกัน รถเก่าๆของนายก็ด้วยไม่ใช่หรือไง”
   “ก็เพราะฉันเดิมพันทุกอย่างไว้ที่นี่แล้ว ฉันเชื่อกาย เชื่อนัท แล้วก็เชื่อเธอ ว่าฉันจะเจอความสุขที่นี่ นี่คือชีวิตที่จบแล้วของฉันกับเอิร์ธ ”โดยเฉพาะตอนที่รับปากว่าจะดูแลเค้าให้ฉันด้วยอีกแรง เพราะฉันไม่คุ้นเคยที่นี่เท่าเธอ”
   “นั่นก็เลยเป็นความผิดของฉันใช่มะ ที่เอิร์ธกลายเป็นคนที่ตัดสินใจได้ด้วยตัวเองแล้ว?” เจนร้องกลับ “ฉันไม่เข้าใจประเด็นนะมิก นายต้องการอะไรจากที่นี่กันแน่อ่ะ ความฝัน หรือความสุขแบบไหนที่นายต้องการงั้นเหรอ”
   “ที่นี่ไม่มีความฝันของใครทั้งนั้น นอกจากของเธอกับของพี่เมธ ดีไซน์เนอร์ที่นี่มีชื่อเสียงใหญ่โตคับเมืองกันซะเปล่า แต่หาคนมีความสุขจริงๆซักคนก็ไม่มี ทุกคนแบกความทุกข์เอาไว้ใต้แสงแฟลชข้างแคทวอร์คกันหมด เธอเองก็เหมือนกัน” มิกพูดเสียงดังฟังชัด “และถ้าฉันรู้มาไม่ผิดเธอก็เพิ่งแยกลูกแยกพ่อสำเร็จไปเมื่อเช้า ทำลายไปอีกหนึ่ง อีกครอบครัวแล้ว สิ่งที่ฉันพูดไป มันผิดไปจากความจริงตรงไหน”
   เจนเงียบสนิท
   “เธอเคยทำอะไรเพื่อคนอื่นด้วยเหรอเจน ทำจริงๆเหรอ” มิกว่า “เธอไม่ทำอะไรหรอก ตราบเท่าที่เธอไม่ได้ประโยชน์ไปด้วย คนอย่างเธอเคยเสียสละอะไรเพื่อให้คนอื่นได้ไปต่อเหรอ เคยยอมอยู่กับที่พอรอใคร ยอมหยุดเพื่อใครจริงๆเหรอ ไม่หรอก เธอแค่โชคดีที่ผ่านสามวันนี้มาได้ และเธอก็แค่มีคนคอยช่วย คอนเนคชั่นที่คนอย่างเธอก็หาได้ไม่ยากหรอก นอกนั้นเธอมันก็ไม่มีอะไรที่ดีอย่างที่กายมันบอกฉันเลยซักอย่าง ไม่มี”
   มิกกัดฟันมองหน้าเธอทันที
   “มีเรื่องจะพูดกันแค่นี้ใช่มั้ย” เจนถามเสียงนิ่ง “ฉันมีงานต้องทำต่อ”
   “หึ” มิกหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะก้มหยิบสิ่งๆหนึ่งออกมาจากกระเป๋า และวางลงตรงหน้าของเจน ซองกระดาษสีขาว “แฟชั่นวีคปีนี้ เธอหาอาร์ทไดคนใหม่ก็แล้วกัน”
   มิกหันหลังกลับพลางเดินไปยังประตู
   “ให้ตายเถอะมิก อย่าทำแบบนี้” เจนพูด
   “ใช้เจ้าวินสิ” มิกพูดก่อนจะเปิดประตูห้อง พร้อมกับกายและวินที่ยืนอยู่หน้าห้องพอดี ทั้งสองคนยืนนิ่งทำหน้าตาตื่น เพราะได้ยินสิ่งที่มิกพูดในห้องมาทั้งหมดแล้ว
   มิกมองหน้ากายหนึ่งครั้ง เขาไม่มีอะไรจะพูดกับกายอีก พอกันทีกับพ่อมดคนเก่งที่ทำให้ชีวิตเขาเดินทางมาถึงจุดนี้ เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“เธอได้วินมาแล้วนี่” มิกหันกลับไปพูดกับเจน “ใช้เจ้าเด็กนี่ให้คุ้มกับเงินที่เธอได้ติดตัวเค้ามาด้วยละกัน”
   มิกหายไปตามโถงทางเดิน ทิ้งไว้เพียงความเงียบอันน่าเศร้าสลด กายเดินเข้าไปหาเจนทันที หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ สิ่งที่มิกถาโถมให้เธอเป็นความจริงอันเจ็บปวดและหนักอึ้ง
   มิกพูดถูกทุกอย่าง.....
   ทุกอย่างเลยจริงๆ....
   “ปล่อยเค้าไปเถอะ เดี๋ยวเค้าก็ทำใจได้เอง” กายว่าพลางหยิบซองลาออกของมิกขึ้นมา ก่อนจะพยายามฉีกมัน
   “อย่านะกาย” เจนว่า “ถ้าทำแบบนั้น จะยิ่งเป็นการตอกย้ำกันว่า เราไม่เคารพการตัดสินใจของคนอื่น”
   “แต่เราเสียมิกไปไม่ได้ เค้าเป็นอาร์ทิสมือดีที่สุดที่เรามี” กายพูด
   “คุณเสียเค้าตั้งแต่คุณได้ตัวนัทมาแล้วค่ะ” เจนตอบกายเงียบสนิท “เขาพูดถูก เขาเป็นคนเดียว ที่ยอมสละตัวเองเพื่อสิ่งที่เขารัก เค้าทำในสิ่งที่เราสองคนทำไม่ได้ เขามาที่นี่ ก็เพราะคุณนัท เขาอยู่ที่วิลแลตกับคุณก็เพราะคุณนัท สิ่งที่เดียวที่ผูกเค้าไว้ที่นี่คือคนรักเก่ากับคนรักใหม่ ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีแล้วทั้งสองสิ่ง”
   กายมองสิ่งที่เจนพูดอย่างไม่เชื่อหู
   “ผมคิดว่าก่อนที่จะมาที่นี่ เราจะเข้าใจกันทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมหมั้นกับนัท” กายว่า “วันนั้นผมคิดว่าทุกๆคนเข้าใจกันแล้ว”
   “ไม่ใช่เลยกาย” เจนว่า “งานหมั่นของคุณเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ของทุกคนรอบๆตัวคุณ ปลายทางความรักของคุณ คือจุดเริ่มต้นของคนอื่นๆทั้งหมดค่ะกาย”
   วินมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด สิ่งที่พี่เจนพูดเมื่อกี้เป็นสิ่งเดียวกับที่เขารู้สึกมาตลอดวันนี้
   ปลายทางของเขา อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของคนอื่นๆทั้งหมด....
   “พี่เจน” วินพูดขึ้น “วันนี้ขอกลับก่อนนะ แต่พรุ่งนี้สิบโมงผมขอนัดคิวพี่”
   วินปิดประตูห้องทันทีแล้วรีบวิ่งไปตามโถงทางเดินของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล หรือว่าบางที จะเป็นเขาเอง ที่ต้องลงมือทำสิ่งไม่มีใครที่ซูเม่ทำมาก่อน ใช่แล้ว....
   สิ่งที่วิน ลูกคุณหนูตัดสินใจเอาไว้ ก่อนหน้าเรื่องทั้งหมดนี้ ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่ซูเม่
   ตอนที่เขาหนีพ่อของเขามาหลบซ่อนอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะตั้งแต่แรก
   คงต้องเป็นเขาแล้ว ที่จะทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำ......
   เขาคนเดียวเท่านั้
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 50 Sacrificed] - กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-07-2015 16:39:44
ตอนที่ 50 Sacrificed

   วินเปิดประตูห้องพักบนถนนทอร์ควิลหลังจากกลับมาจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่ซูเม่ในตอนเย็นของวัน ตลอดทางเดินกลับมาถึงห้องเขาคิดทบทวนถึงหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดที่ปารีสนี่ นับตั้งแต่วันแรกที่เราก้าวลงที่แอร์พอร์ต 
   เขามาที่นี่ทำไม....
   คำตอบนั้นได้หลังจากนั้นไม่นานนัก แล้วเขารู้ดีว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไปมากมายแค่ไหนแล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้ บางทีสิ่งที่ทุกๆคนพยายามทำอยู่ อาจจะไม่ถูกต้องเลยก็ได้ บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดไป อาจจะเป็นตัวเขาเองที่ผิดพลาดไป เขาน่าจะต้องทำอะไรยางอย่าง บางอย่างที่เขาทำแล้วรู้สึกดีมากๆ แต่กลับทำไม่ถูกที่ถูกทาง เขาควรจะรับผิดชอบสิ่งที่เขาเริ่มเอาไว้ตั้งแต่ต้น
   สองเท้าก้าวขึ้นไปยังทาวเฮาส์บนถนนทอร์ควิลที่คุ้นเคย เดินขึ้นไปจนกระทั่งถึงหน้าห้องของไกด์ ใช่แล้ว....
   อาจจะมีบางอย่างที่เขาทำไม่ถูกต้องนัก...
วินเปิดประตูห้องเข้าไปสิ่งที่เขาพบเห็นไม่ต่างไปจากสิ่งที่เขาคาดว่าจะได้เจอมากนัก กลิ่นของต้มยำกุ้งลอยมาติดจมูก ซิงค์ครัวของห้องปรากฎร่างของไกด์กำลังทำอาหารอยู่ตรงนั้น วินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอย่างอบอุ่น ไกด์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน บาริสต้าหนุ่มสุดเย็นชาคนนี้ ทำทุกๆอย่างเพื่อเขามาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้ ไกด์ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งเพื่อตัวเขา วินไม่คิดเลยว่าจะเจอคนที่รักเขาได้มากมายขนาดนี้
ไกด์จะยังเข้าใจการตัดสินใจของเขาเหมือนทุกครั้งไหมนะ.....
“เห้” ไกด์ร้องเรียกชื่อของเขา “เป็นอะไร ทำไมไม่เข้ามาอ่ะ”
“อ้อเปล่า....คือเอ่อ.....หิวจนก้าวขาไม่ออกน่ะ” วินตอบพลางยิ้มกว้าง เขาถอดรองเท้าเดินไปเก็บเสื้อคลุมเข้าตู้ แต่เมื่อหันกลับมาไกด์ก็โผเข้ากอดเข้าไว้ทันทีโดยไม่ทันจะได้ตั้งตัว
“อ....อะไรเนี่ย” วินพูดเสียงสั่นในอ้อมกอดไกด์
“กอดแฟนไม่ได้เหรอ” ไกด์พูดหยอดใส่ วินยิ้มกริ่มก่อนจะพยายามรั้งตัวเองก่อน
“เดี๋ยวก่อนเลย ใครบอกนายหะ ว่าฉันเป็นแฟนนาย” วินพูดพลางอมยิ้ม
“นี่นาย ทุกคนรอบตัวนายเค้ารู้กันหมดแล้วนะ” ไกด์ว่า
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นายจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบนะเว่ย” วินว่า “พอเลยพอเลย หิวแล้ว มีไรกินมั่งอ่ะ”
“ต้มยำกุ้งกับไข่เจียว” ไกด์ว่า “เมนูเดียวกับวันแรกที่นายมาที่นี่”
วินมองหน้าไกด์ที่ใกล้ให้ชัดๆอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเงียบไป ไกด์ขมวดคิ้วพลางมองหน้าวิน
“เป็นไรอ่ะ คิดไรอยู่ ไหนว่าหิว” ไกด์ถาม
“ก็สงสัยไง ว่าเมื่อไหร่จะปล่อยซะทีเนี่ย” วินพูด ไกด์จึงปล่อยตัววิน ก่อนจะหอมแก้มเป็นการส่งท้าย และเดินกลับไปจัดการเตรีนมอาหารให้เรียบร้อย วินมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยใจหวิวอย่างประหลาด
บนโต๊ะอาหารที่จัดวางเอาไว้แทบไม่ต่างไปจากวันนั้น วินนั่งทานต้มยำกุ้งรสชาติแสนอร่อย พร้อมกับความคิดที่แล่นไปมาในหัว เขามองหน้าไกด์ที่กำลังพูดถึงสิ่งที่เขาต้องทำต่อในวันรุ่งขึ้นกับซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลและเจนจิรา วินยอมรับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจสิ่งที่ไกด์พูดมากเท่าไหร่นัก สิ่งที่ไกด์พูดเขารู้อยู่แล้ว เขารู้เรื่องพวกนี้ดีซะจนไม่คิดว่าไกด์จะกลายเป็นคนที่นั่งพูดเรื่องนี้ซะเอง วินนั่งฟังขณะที่ตักซุปเข้าปาก
“....แล้วหลังจาก ฉันอยากขอให้นายทบทวนเรื่องของเรา” สิ่งที่ไกด์พูดกระทบเข้าหูของวินอย่างจัง วินเงยหน้าขึ้นมองไกด์ทันที
“อะไรนะ” วินว่า
“ฉันว่า....ฉันพร้อมแล้ว” ไกด์พูดทันที “ถ้านายยังไม่เปลี่ยนใจ ยังอยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน กับฉัน ฉันว่าตอนนี้ฉัน....ฉันพร้อมแล้ว”
วินมองหน้าไกด์อีกครั้ง ใช่สินะ..... ทั้งหมดที่เขาทำมา คือการได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้ ได้หนีทุกอย่าง มาอยู่กับอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บและโหดร้ายของเมืองนี้ ในที่สุดก็มาถึงตอนนี้ซะที ตอนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแล้ว
ใช่ เขารอให้วันนี้มาถึงซะที.......

...............
   ความเงียบสงัดเกิดขึ้น หลังจากเกมส์รักอันร้อนแรงของเขาและไกด์จบลง ภายใต้ผ้านวมอันหนานุ่มไกด์นอนหลับสนิท แน่ล่ะ ครั้งนี้วินไม่ยอมให้ไกด์เป็นฝ่ายได้เปรียบหรอก เขาพลิกมาเป็นผู้คุมเกมส์รักของเขากับไกด์ได้สำเร็จแต่ก็นั่นแหละ ไกด์ยังคงมีแต้มต่อมากกว่าเขา ไกด์นำหน้าเขาอยู่เสมอ วินนั่งนิ่งในร่างที่เปลือบเปล่า เขาคิดทบทวนสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งหมดที่เขาพยายามทำมาเพื่อให้ได้อยู่กับไกด์ การพยายามถอนตัวออกจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนั้น เขามองภาพทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว มันมีอะไรที่ยังติดค้างอยู่ในใจ อะไรบางอย่างที่เขาจะไม่สามารถไปต่อกับไกด์ได้ ถ้าเขายังไม่จัดการมัน
   ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เดินออกมาจากห้องนั่งเล่น หยิบกระเป๋าของตัวเองมาจากโต๊ะทำงานควานหากระดาษหนึ่งแผ่น พร้อมกับปากกาด้ามหนึ่ง เขามองไปยังห้องของไกด์ทุกาตรางนิ้ว ห้องแห่งนี้มีความหมายกับเขามากๆ ความหมายที่ดีจนมันกลายเป้นการบีบคั้นความรู้สึกของเขา วินหลับตาลงก่อนจะลงมือเขียนจดหมาย

   .....ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบอกนายยังไงดี ฉันรู้ว่าฉันต้องทำไม่ได้แน่ๆ ถ้าฉันพูดเรื่องนี้กับนายตรงๆ นายจะต้องรั้งฉันไว้แล้วหาวิธีแก้ปัญหานี้ให้ฉันอีก และนายก็จะทำสำเร็จซะด้วย แต่ครั้งนี้ปัญหานี้ฉันขอเป็นของแก้มันด้วยตัวเอง คือฉันต้องไปแล้ว........

   ไกด์เปิดประตูห้องนอนออกมาในตอนเช้า พบเพียงความว่างเปล่าของห้องพัก ความว่างเปล่าที่แปลกประหลาด ความเย็นยะเยือกพัดเข้ามาให้เขารู้สึกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่จากอดีตของเขา แต่เป็นจากความจริงบางอย่าง ไกด์เดินเข้าไปหยิบจดหมายที่วางอยู่ข้างรูปถ่ายใบนึงบนโต๊ะ รูปถ่ายตัวเขาเองใส่แว่นนั่งนิ่งบนรถไฟ สายฝรั่งเศสสตาร์เบิร์ก ไกด์เปิดจดหมายนั้นออกอ่าน

   ....จำวันที่นายพาฉันไปเที่ยวที่สตาร์เบิร์กได้มั้ย ตอนนั้นฉันได้รู้ความจริงของก้อง น้องชายของนายอ่ะ มันทำให้ฉันนึกอยู่ตลอดเลยว่า ครอบครัว สำคัญสำหรับนายมากแค่ไหน และฉันก็คิดว่าฉันรู้ดีว่าฉันทำสิ่งที่แย่มากๆกับครอบครัวของฉันเอง อย่างที่นายก็รู้แล้ว เรื่องแม่กับพ่อของฉัน เพราะงั้น ฉันเลยรู้สึกแย่โคตรๆที่จะอยู่กับนาย เป็นครอบครัวใหม่ของนาย ทั้งๆที่ฉันไม่ใช่สมาชิกที่ดีของครอบครัวตัวเองเท่าไหร่เลย....
เอิร์ธเปิดประตูห้องทำงานของเจนที่เธอกำลังคุยงานกับกายอยู่อย่างเร่งร้อน เด็กหนุ่มวางแฟ้มแฟ้มนึงลงตรงหน้าของเจน เธอเงยหน้าขึ้นมองเอิร์ธอย่างสงสัยก่อนจะหยิบแฟ้มออกมาเปิดดู เจนมองหน้ากายและเอิร์ธพลางถอนหายใจ

   .....แต่นายไม่ได้ทำอะไรผิดนะไกด์ การที่ฉันไปครั้งนี้ ฉันไม่อยากให้นายโทษตัวเองแล้วกลับไปเป็นคนเดิม ฉันหมายถึงเป็นบาริสต้าหน้าเศร้าที่ฉันเคยเจอตอนนั้น นายเป็นคนดี เป็นคนดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ และถ้าฉันจะรักใครซักคนเป็น นายคือคนที่ฉันรักและนายเองก็รู้อยู่แล้วนี่ เพราะงั้นมีชีวิตต่อไปไกด์ มีชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนอื่นอย่างที่นายเคยสอนให้ฉันทำ ฉันก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน ฉันไม่อยากให้ปลายทางของเราเป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดของคนอื่น ฉันคิดว่านายก็คงอยากให้เป็นแบบนั้น....

   ไกด์ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้อง ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านข้อความสุดท้าย

   ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่เลยไม่อยากสัญญา
ไม่ต้องห่วง.....ฉันจะไม่มีวันลืมเรื่องของเราสองคน ซักนาทีก็ไม่ลืม

วิน

ปล.สำหรับที่นายให้ฉันทบทวนเรื่องของเรา คำตอบของฉันคือตกลง

ไกด์พับจดหมายลงก่อนจมลงสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่ว่างเปล่าที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัสมา ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ก่อนจะหายใจเข้าอย่างหอบถี่รัว น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆในคอพลางยิ้มให้กับตัวเอง
เขาลุกขึ้นพลางมองไปรอบๆห้อง และเริ่มต้นทำสิ่งที่วินทิ้งไว้เขา แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
ชินกับการอยู่คนเดียว..........
................
   
   เสียงเคาะประตูสตูดิโอดังขึ้น เอิร์ธลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็พบกับกายที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้าที่เอิร์ธคุ้นเคยกายคงอยากเข้ามาปลอบใจเขา แต่เอาเถอะ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากคุยกับใครมากแค่ไหน เอิร์ธเชิญกายเข้ามาในสตูดิโอของเขา
   “โทษทีนะพี่มันรกไปหน่อยอ่ะ ผมกำลังแยกว่าอันไหนของผม อันไหนของวิน” เอิร์ธพูดขึ้น ขณะพยายามจัดของต่อ
   “วุ่นวายกันแต่เช้าเลยสิ” กายว่า “น่าตกใจเหมือนกัน ที่อยู่อยู่วินก็หายไปอีกคน”
   “มันก็แบบนี้อ่ะพี่” เอิร์ธว่า “ผมรู้นิสัยมัน มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว งานหนี งานโกยอ่ะ ทางมัน....”
   “นายคิดว่าเค้าหนีงั้นเหรอ” กายพูด
   “ไม่รู้พี่ ผมหมายถึง อยู่ดีดีก็หาย หายไปเลย วินมันชอบทำแบบนี้” เอิร์ธว่า “แล้วพี่มีอะไรหรือเปล่า....”
   “ก็มีอ่ะ” กายว่า “พี่จะมาขอให้เรายกเลิกเรื่องที่จะไปอังกฤษ”
   เอิร์ธหันหน้ามากายพลางทำหน้าขมวดคิ้ว
   “ผมนึกว่าเราคุยเรื่องนี้กันจบแล้ว” เอิร์ธว่า “ผมเป็นเจ้าของโปรเจ็คนะพี่”
   “ใช่พี่รู้ พี่ไม่ได้ดูถูกฝีมือแกนะเอิร์ธ แล้วพี่ก็ไม่ได้มาเพื่อสั่ง พี่มาเพื่อขอร้อง” กายพูดเสียงชัดเจน
   เอิร์ธหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า
   “ผมยังไม่เข้าใจอ่ะพี่” เอิร์ธว่า
   “รู้ใช่มั้ยว่ามิกเค้าเอ่อ....กลับเมืองไทยไปแล้ว” กายพูดเสียงเรียบ เอิร์ธเมินหน้าไปทางอื่น
   “ครับ” เอิร์ธพูดสั้นๆ “พี่เจนบอกผมเมื่อคืน ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำไงเหมือนกัน ในเมื่อเค้าอยากทำงั้น ก็.....”
   “ตอนแรกพี่คิดว่าถึงไม่มีมิก ก็ยังจะมีวินเข้ามาเสียบแทน แต่เอ่อ.....พอวินก็มาไม่อยู่ด้วยแบบนี้พี่ก็เลย...” กายพูดต่อ
   “เข้าใจละ กลัวไม่มีคนอยู่ช่วยพี่เจนใช่มั้ยฮะ ผมเข้าใจนะ แต่โปรเจ็คมันอนุมัติไปแล้ว ยังไงผมก็ต้องไปนะพี่” เอิร์ธว่า “ผมเองก็ไม่อยากให้งานของซูเม่ได้รับผลกระทบนะ”
   “เปล่า พี่ไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เมธได้รับผลกระทบหรือเปล่าแต่ พี่เป็นห่วงแก” กายพูด
   “เป็นห่วง....ผม ...... อารมณ์ไหนเนี่ยพี่” เอิร์ธว่า
   “พี่มาคิดคิดดูแล้ว ตั้งแต่พี่หมั้นกับนัท มันเหมือนกับพี่ทำให้คนอื่นๆรอบตัวมีปัญหา มันดูเหมือน..... พี่กับนัท มีความรักที่เห็นแก่ตัวเกินไป มันอาจจะไม่ได้กระทบกันตรงๆแต่ มันก็ต่อกันเป็นโดมิโนมาเรื่อย” กายว่า “พี่ก็เลยคิดว่า พี่อยากจะทำอย่างที่วินเค้าทำ”   
   “พี่จะขออะไรผมกันแน่อ่ะ” เอิร์ธพูดเสียงเรียบ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้
   “ที่พี่จะพูดก็คือ พี่คิดว่าพี่เข้าใจสิ่งที่วินทำ” กายตอบ “เค้าคงทนไม่ได้ที่จะทิ้งให้พ่อเค้าเป็นคนแพ้ แล้วตัวเองก็มีชีวิตที่ดีอยู่ที่นี่ เหมือนปลายทางของเรื่องนี้ เป็นพี่พี่ก็คงทำไม่ได้หรอก”
   “แต่พ่อไอ้วินอ่ะ เค้าชนะมาหลายครั้งแล้วนะพี่ คนเราอ่ะอยู่คนแพ้บ้างก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตใครนะพี่” เอิร์ธพูด
   “มันก็ใช่ แต่ถ้าเกิดว่าคนคนนั้นสำคัญกับเรามากๆล่ะ ถ้าคนคนนั้นเป็นครอบครัวเดียวที่เราเหลืออยู่ เราจะทิ้งเค้าได้เหรอ” กายพูดกลับ เอิร์ธถึงกับชะงักกับสิ่งที่กายพูดออกมาทันที
   กายเอื้อมมือไปแตะไหล่เอิร์ธ
   “พี่อยากไปอังกฤษแทน พี่อยากให้แกอยู่นี่” กายพูด “พี่อยากเสียสละบ้าง เพื่อคนอื่นจะได้ไม่แพ้”
   “ถ้าพี่ทำแบบนั้น ก็แสดงว่าพี่คิดว่าเพราะปลายทางของพี่ ทำให้ผมแพ้......ใช่มะ” เอิร์ธว่า
   กายมองหน้าเอิร์ธแล้วก้มหน้าลง
   “พี่ขอโทษว่ะ” กายพูด “ในมุมของพี่ พี่กับนัท แล้วแกกับมิก เราเริ่มต้นมาพร้อมๆกัน มันแย่มากๆเลยอ่ะ ที่พี่มาไกลถึงนี่ ในขณะที่แกกับเค้าล้มไม่เป็นท่า”
   เอิร์ธอมยิ้มน้อยๆในใจ
   “ผมคงทำอย่างที่พี่ขอไม่ได้” เอิร์ธว่า “เสียสละเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดครับพี่กาย ผมยินดีและชื่นชมกับการกระทำแบบนั้นเสมอ แต่คนเสียสละจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าคนที่อยู่ข้างหลังรู้สึกยังไงเมื่อคุณจากไป มันจะไม่มีทางอื่นเลยเหรอครับ ที่เราจะมีปลายทางที่ดี ไปพร้อมๆกับที่ทุกๆคน ไม่มีใครแพ้เลย”
   กายมองหน้าเอิร์ธอย่างไม่เคยมองมาก่อน เด็กฝึกงานคนนี้โตขึ้นมากแล้วจริงๆ
   “พี่ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปได้” กายพูด
   “ความรักต้องอาศัยความเชื่อพี่” เอิร์ธตอบ “ถ้าเราเชื่อว่ามันเป็นไปได้ มันก็จะเป็น แต่....แค่อาจจะอยู่ในรูปแบบที่แปลกๆ ไม่ใช่ในแบบที่เราคาดหวัง”
   เสียงมือถือดังขึ้น เอิร์ธหยิบขึ้นมาดูเป็นการแจ้งเตือนกำหนดการ เอิร์ธกดอ่านมัน
   “เพราะรัก....ออกแบบไม่ได้” เอิร์ธว่า “พี่น่าจะเข้าใจมันดีที่สุดนะ.....ผมต้องไปก่อนล่ะ พี่เมธตามตัวว่ะ แล้วไว้คุยกันพี่”
   กายมองเอิร์ธวิ่งจ้ำอ้าวออกจากห้องไป กายมองสตูดิโอของเอิร์ธและบรรยากาศรอบๆตัว ชุมชนไร้รักที่เขาคุ้นเคยมาเติบโตอยู่ที่นี่อย่างกับความฝัน เขาไม่คิดว่าการตัดสินใจโยกย้ายดีไซน์เนอร์และครีเอทีฟตอนนั้น จะทำให้อะไรอะไร มาไกลได้ถึงขนาดนี้  กายยิ้มให้กับตัวเอง ขณะที่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มกดรับ
   “ฮัลโหลว่าไงครับนัท” กายพูดพลางลุกขึ้นออกจากห้อง “อื้อ เสร็จธุระแล้วล่ะ ....ครับ แล้วคุณอยากทานไรอ่ะ”
..................
   บ่ายวันพฤหัสพายุที่พัดเข้าปารีสอ่อนกำลังลงแล้ว พอให้เห็นแสงแดดสาดลงมายังเมืองแห่งดีไซน์นี้บ้าง ในบ่ายๆแบบนี้จึงเป็นกิจวัตรอันดาษดื่นของผู้คนในการนัดหมายพบปะกันที่ร้านกาแฟ จีโอเดินเข้ามาในคาเฟ่ริมทางแถวถนนรูเซนต์ ลา แซร์ เขายืนนิ่งมองไปรอบๆเพื่อหาคนที่นัดเอาไว้ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นหญิงสาวที่โบกมือเรียกเขาจากโต๊ะฝั่งนึง จีโอยิ้มกว้างให้กับหญิงสาวที่เขาเคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้
   เสตลล่า.....
   เขาเดินเข้าไปหาเธอที่อยู่ในชุดโค้ดสบายๆ ใบหน้าของนางแบบสาววันนี้ไม่ได้ลงเมคอัพหนาๆอย่างที่เคยเป็นมา เธอยิ้มกว้างทักทายจีโอ ขณะที่ชายหนุ่มปลดเสื้อโค้ดและพาดลงที่เก้าอี้และนั่งลงตรงข้ามเธอ
   “ไง แม่ตัวแสบ” จีโอกล่าวทักทายขณะที่โบกมือเรียกพนักงาน
   “ก็ดี....ขอบคุณที่มาหาฉัน” เสตลล่ายิ้มกว้าง
   “เอาลาเต้ไขมันต่ำไม่ตีฟอง แล้วก็ครัวซองค์สองที่” จีโอสั่งก่อนจะกลับมายิ้มตอบเธอ “เห้ย ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย เธอมีอะไรเธอโทรหาฉันได้ตลอดแหละ เพื่อนกันนะเว่ย”
   เสตลล่ายิ้มก่อนจะก้มหน้าลง
   “จากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา ฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ฉันยังเป็นเพื่อนนายกับเคลวินอยู่” เสตลล่าพูด “ฉันมัน....”
   “ตัวแสบ” จีโอต่อคำเธอจนจบ “แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ประเด็น ฉันก็เคยบอกเธอไปแล้ว ว่าฉันไม่ตัดสินเธอ เธอจะเลือกอะไร นั่นคือเหตุผลที่เธอคิดแล้ว ฉันโอเค แล้วตอนนี้ ทุกๆอย่างก็โอเคยิ่งกว่าโอซะอีก”
   “นายนี่มีเรื่องอะไรที่จะเครียดกับเค้าบ้างไหมเนี่ยเหอะวันวัน” เสตลล่าพูด
   “รู้จักกันมาตั้งนาน ยังไม่เก็ทอีกเหรอว่า....”
   “ไม่มี” ทั้งคู่พูดพร้อมกันก่อนจะหัวเราะกันอยู่อย่างนั้น
   “แล้วเรียกมามีอะไรล่ะเสตลล์” จีโอถาม
   “ฉันมาลาอ่ะ” เสตลล่าพูด จีโอจิบกาแฟก่อนจะตาโตมองเธอ
   “ไปไหน” จีโอถามเสียงสูง
   “อังกฤษ คือ.... เอิร์ธโทรหาฉันเมื่อหลายวันก่อน เค้าอยากได้ฉันไปร่วมงานเปิดตัวซูเม่ที่โน่น แล้วฉันก็ตกลง” เสตลล่าตอบ “ไลโอเนลล์ไม่ได้ซัดทอดใคร เพราะงั้นเค้าเลยโดนแค่ข้อหาทำลายทรัพย์สิน มันติดคุกไม่กี่ปี ฉันก็อยากได้เงินมาประกันตัวเค้าเร็วๆเหมือนกัน”
   “เธอโอเคใช่มั้ย” จีโอถามเสียงเป็นห่วง
   “โอเค” เสตลล่าว่า “ฉันไม่เป็นไร เค้าเป็นครอบครัวเดียวที่ฉันมี ยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันไป”
   จีโอยิ้มกว้างให้เธอ
   “ดีใจที่เธอคิดได้” จีโอว่า “แล้วไปเมื่อไหร่อ่ะ”
   “อาทิตย์หน้า ไฟล์ทวันจันทร์ ช่วงสุดสัปดาห์นี้คงต้องใช้เวลาเก็บของแล้วก็เตรียมตัว” เสตลล่าตอบ “นายอ่ะ ได้ข่าวว่ากำลังเดท”
   “อ่าห้า ข่าวไวนี่ ก็...นะ.....” จีโอตอบแบบเก้อเขิน “ฉันชอบเค้ามาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ลองดูๆกันไป วันพรุ่งนี้ว่าจะพากลับไปเที่ยวสตาร์เบิร์ก”
   “พรุ่งนี้เหรอ งั้นก็ไปพร้อมเคลวินน่ะสิ” เสตลล่าว่า
   “หะ อะไร...เคลวินจะกลับสตาร์เบิร์กเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”  จีโอว่า
   “เมื่อวานฉันไปหาเค้ามาที่ห้อง” เสตลล่าว่า “เกิดเรื่องขึ้นล่ะรู้มั้ย วินไปแล้ว...”
   “เห้ย จริงดิ ฉันไม่รู้เลยนะเนี้ย ไป ไปไหน.....” จีโอพูด
   “ไม่รู้ เค้าไม่ได้บอก เคลวินดูแย่มากๆเลย คือ เขาพยายามทำตัวว่าปกติ แต่ฉันดูออก” เสตลล่าว่า “เค้าเป็นเพื่อนยูนะ ไม่ไปดูเค้าซะหน่อยล่ะ”
   “โอ่ยย ถ้ามันไม่ปกติจริงอย่างที่เธอว่า ก็ยิ่งไม่ควรไปดูมัน” จีโอว่า “มันไม่ชอบให้ใครไปทำเหมือนว่ามันอ่อนแอ”
   “แต่ฉันไม่เข้าใจเลยอ่ะ คุณวินจะไปไหนอีก ในเมื่อทุกอย่าง พวกเราก็ช่วยกันเคลียร์ให้หมดแล้ว” เสตลล่าพูด “คุณวรพัฒน์ก็กลับไปแล้ว เค้ากับเคลวินก็น่าจะ”
   “ก็เหตุผลเดียวกับที่เธอทำกับไลโอเนลล์อยู่นี่ไง” จีโอพูด “ไม่ทิ้งครอบครัว”
   “แต่สำหรับเคลวิน วินคือครอบครัวเดียวที่เค้ามีนะ” เสตลล่าพูด “ถ้าไม่มีวินแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าเคลวินจะไปต่อได้อีกไกลมั้ย.....”
   จีโอเงียบเสียงลงทันทีพลางเม้มปากอย่างครุ่นคิด ก็จริงอย่างที่เสตลล่าว่า เค้ารู้จักเพื่อนผู้เงียบขรึมของเขาคนนี้ดี จะเป็นยังไงต่อไปก็เดาได้ไม่ยาก ดีไม่ดีเดี๋ยวก็จะซ้ำรอยตอนที่เสียน้องชายไปอีก
   “ฉันว่าฉันมีวิธีอยู่...” จีโอว่า
   “ยังไงอ่ะ” เสตลล่าพูด
   “ไม่ต้องรู้หรอกเธออ่ะ ไปเตรียมตัวเถอะไป เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง” จีโอว่า เสตลล่าส่ายหน้าพลางอมยิ้ม
   “เอาให้ได้เรื่องละกันนะยู” เธอว่า
   “แน่นอนอยู่แล้ว” จีโอพูดพลางยักคิ้วให้กับเธอ
   บางทีเมืองที่หนาวเหน็บโหดร้ายนี้ ก็น่าจะต้องการสีสันบ้าง มันไม่ได้หม่นหมองไปขนาดนั้นซะหน่อย
...............
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 51 Coming Tomorrow]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-07-2015 21:14:55
ตอนที่ 51 Coming Tomorrow

   ชายหนุ่มนักธุรกิจในชุดสูทเปิดผ้าม่านของห้องพักให้กว้างออก ปล่อยให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังมากว่าสามเดือนแล้วในห้องพักนี้ ถอดชุดสูทของตัวเองออกและวางลงที่โซฟา ช่วงนี้การจัดการงานหลายๆอย่างในชีวิตของ เคลวิน อี วอลลี ค่อนข้างวุ่นวาย ปารีสแฟชั่นวีค กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า และเขาในฐานะหุ้นส่วนใหญ่ของแบรนด์ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล แบรนด์ไฮเอนด์สัญชาติไทย ที่เขาได้เข้าไปร่วมลงทุนกำลังงอกผลกำไรมหาศาลให้กับเขา และการเปิดตัวในงานแฟชั่นวีคนี้นั้นมีความหมายกับเขาอย่างมาก
   หลังจากใช้เวลาตลอดอาทิตย์ในการเข้าพบกับลูกค้า และประชุมกับกลุ่มดีไซน์เนอร์ หลายเดือนกับการทำงานซ้ำๆแบบนี้ทำให้เขาค่อยๆเข้าใจโลกที่กว้างขึ้นหลังจากหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับอดีต อดีตที่เลวร้ายและไม่มีความสุข จนกระทั่งมีคนคนนึงเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเขา คนสำคัญที่ตอนนี้เขาทำได้แค่คิดถึง ส่งผ่านความหนาวเย็นของเมืองนี้ไปจนไกลแสนไกล คนคนนั้นทำเอาโลกแห่งการดีไซน์เขามาหาเขา เขาไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าเขาจะรับรู้มันได้ เขารีบปลดเนคไทของตัวเองออกเพื่อลดความอึดอัดที่สะสมมาทั้งวัน ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองสำหรับออกไปข้างนอกต่อ
   ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นนักธุรกิจแฟชั่นเท่านั้นที่เขาทำ อีกสิ่งหนึ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ ซึ่งก็หนักหนาไม่แพ้กัน Flocon de neige สาขาใหม่ ที่เปิดอยู่แถวๆพิพิทธภัรฑ์ลูฟว์ เป็นอีกงานหนึ่งที่เขาต้องแวะเวียนไปหา ร้านเกล็ดหิมะ ที่เกิดจากการร่วมกันเปิดขึ้นใหม่ของเขา จีโอ และเจนจิรา เพื่อเป็นการทดแทนสาขาเก่า ณ เลขที่ 4 ถนนเซนต์จอร์จ ที่น่าจะกำลังปรับปรุงใหม่และกลายเป็นร้านขายซีดีเพลงเก่านั้น กำลังไปได้สวย เจ๊ใหญ่ ผู้จัดการร้านยังคงกลับมาทำหน้าที่ตามอุดมการณ์เดิมที่เธอตั้งใจเอาไว้ ให้ร้านเกล็ดหิมะ เป็นสถานที่พักพิงและช่วยเหลือคนไทยที่มาปารีส แม้ว่าครั้งนี้จะมีเสียงคัดค้านจากเจนจิราที่ไม่อยากให้ร้านกลับไปสู่สภาพเดิมของการช่วยเหลือที่ผิดกฎหมาย แต่ชีวิตก็แบบนี้ บางครั้งมันไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เราต้องการนัก
   เคลวินค่อนข้างเข้าใจข้อนี้ดี เพราะไม่มีวันไหนเลยที่จะทำให้เขาลืมเรื่องของ วิน เด็กหนุ่มตัวแสบที่เคยเข้ามาป่วนชีวิตของเขาเมื่อตอนต้นปี เด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง จากที่เขาต้องโกหกตัวเองเป็นน้องชาย ทำงานเป็นบาริสต้าในร้านเล็กๆ คนคนนั้นทำให้เขารับรู้ว่า การกล้าจะยอมรับความจริงและอดีตของตัวเอง มันไม่ได้ทำให้ใครตาย เขาเข้มแข็งมากขึ้น และทำให้วินเป็นคนเข้มแข็งขึ้นเช่นกัน เข้มแข็งเสียจนวินตัดสินใจทิ้งเขาเอาไว้ เพื่อกลับไปเผชิญหน้าความจริงในอดีตของตัวเขาเอง เขาไม่เป็นไรเลยที่วินตัดสินใจแบบนั้น ตามคำขอร้องของวิน เขายังคงทำหน้าที่หุ้นส่วนแทนวินได้เป็นอย่างดี เขาพยายามทำความเข้าใจงานศิลปะและงานดีไซน์ต่างๆ ไม่กดดันและมีข้อแม้เหมือนอย่างที่หุ้นส่วนคนก่อนเป็น ยังไม่รวมเรื่องที่จีโอพยายามชวนเขาออกไปดูเกล็ดหิมะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เหมือนกับวันนี้ที่เขายังคงต้องออกไปเหมือนทุกอาทิตย์ การที่เขามีอะไรทำเสมอๆแบบนี้ ทำให้เขาสบายดี เขาไม่ได้เป็นอะไร....
   มันเป็นสิ่งที่จีโอและเจนจิราเข้าใจผิด....
   เขายังคงเจ็บปวดและคิดถึงวินทุกวัน.....
   ความจริงข้อนี้ทำให้เขาใช้เวลาไปกับการนอนอยู่ตรงโซฟาในห้องไปเปล่าๆอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เขาคิดถึงวินเกินกว่าจะออกไปทำอะไรได้ โดยไม่ได้กลิ่นอายของเดิมเพื่อเติมกำลังใจให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน เขาทำไม่ได้แม้แต่จะย้ายโต๊ะดราฟและกองกระดาษของวินออกไปจากห้อง เขาทำใจไม่ได้แม้แต่จะลงมือทำต้มยำกุ้งและไข่เจียวให้ใครทานเวลามีแขก เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองไปต่ออยู่หรือเปล่า บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวของเขามันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา เขายังอยู่ที่เดิม
   เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นจีโอที่แวะมารับเขา สะบัดหัวไล่ความคิดถึงร้ายๆออกไป สร้างรอยยิ้มแล้วออกไปเปิดประตู
   “มาก็ดีละจีโอ ฉันอยากจะยกเลิกพอดี วันนี้ฉันไม่อยากออกไป........ คุณเจน” เคลวินพูดเสียงค้างขณะที่ยืนมองหญิงสาวที่ยิ้มกว้างให้เขา
   “เอ่อ....จีโอเค้าอยู่ที่ Carrousel du Louvre ค่ะ พอดีเจนมีปัญหากับโรงแรมที่เราพักกันอยู่นิดหน่อย จีโอเค้าเลยไปจัดการให้” เจนว่า “เค้าให้เจนมารับคุณไป Flocon de neige ค่ะ”
   “ผมเอ่อ.... ไม่อยากไปเท่าไหร่ ผมเหนื่อยมากเลย อยากพักมากกว่า พรุ่งนี้แฟชั่นวีคแล้ว งานสำคัญของคุณด้วย” เคลวินตอบ
   “ของเราค่ะ” เจนตอบพลางยิ้มกว้าง “เอ่อ...เจนเข้าไปได้มั้ย”
   “เอ่อ ได้ครับ...โทษที” เคลวินเชิญเจนเข้ามา เธอถอดเสื้อคลุมขณะที่เคลวินรับมันไปแขวนเอาไว้
   “ว้าว.....เจนไม่เคยมาห้องคุณเลย มันเอ่อ....สวยมากเลยค่ะ” เจนมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม
   “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คุณจะดื่มอะไรมั้ย กาแฟ ชา....” เคลวินถาม
   “กาแฟก็ได้ค่ะ ขอบคุณ” เจนตอบ พลางนั่งลงที่โซฟา หญิงสาวมองไปยังโต๊ะดราฟท์ที่ตั้งอยู่ กองกระดาษเหล่านั้น ขณะที่เธอหันกลับมามองไกด์ที่กำลังชงกาแฟให้เธอ
   “คุณไม่เคยลืมเค้าเลย ใช่หรือเปล่า” เจนถามขึ้น เคลวินหยุดชะงักไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มชงกาแฟต่อ
   “อะไรเหรอครับ” เคลวินถาม
   “เรื่องวิน” เจนจิราพูดต่อ “โต๊ะดราฟนั้นเป็นของเค้า เจนจำได้ เพราะมันเป็นของที่ Esmod”
   เคลวินเดินกลับมาหาเธอพร้อมกับยื่นกาแฟให้ และนั่งลงข้างๆเธอ
   “ครับก็เอ่อ...... ผมไม่เคยเปลี่ยนอะไรในห้อง คือ ผมชอบให้มันตั้งอยู่ในแบบที่มันเป็น” เคลวินว่า เจนมองหน้าเคลวินอย่างเข้าใจดี “จริงๆผมก็คิดถึงเค้าแหละ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ผมโอเค”
   “คุณโกหก” เจนจิราว่าพลางยิ้มกว้าง เคลวินหันมาหาเธอทันที “ที่คุณไม่เป็นอะไร เพราะคุณเป็นคนอื่น คนที่ไม่ใช่ตัวคุณ”
   เคลวินฟังคำพูดของเธออย่างตั้งใจ
   “ฉันสนุกมากที่ได้เจอหุ้นส่วนที่ทุ่มเทอย่างคุณ ตั้งแต่ทำซูเม่มาพวกเรายังไม่เคยเจอคนนอกที่เปิดใจ แล้วก็เต็มที่กับงานที่ยากแก่การเข้าใจได้อย่างคุณ คุณเป็นคนที่....”
   “แปลก” เคลวินต่อคำของเจน “คุณไม่ใช่คนแรกที่พูดแบนี้หรอก”
   “ซึ่งมันเป็นข้อดีค่ะ งานของเราราบรื่น จนถึงตอนนี้แฟชั่นวีควันพรุ่งนี้มันจะต้องออกมาดีอย่างแน่นอนค่ะ” เจนว่า
   “ขอบคุณครับ ผมจะพยายามเต็มที่กับซูเม่ต่อไปแน่นอน” เคลวินว่า
   “ในฐานะเคลวิน เจนว่าคุณทำได้ดีแล้ว แต่ในฐานะของไกด์ เจนว่าคุณน่าจะให้เวลากับตัวเองบ้างนะคะ” เจนพูดต่อ “เจนเคยผ่านมาแล้ว เลือกงาน เลือกตัวเองมากกว่าคนอื่น มากกว่าคนรัก มันดีค่ะ ดีมากๆเลย แต่พอถึงจุดจุดนึง เราจะไม่เหลือใครเลย”
   “ผมสบายดีครับคุณเจน” เคลวินตอบเธอ “เพราะถึงไม่สบาย มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน เขาไม่อยู่แล้ว เขาไปต่อ แล้วผมก็ต้องไปต่อเหมือนกัน ไปกับคุณ ไปกับซูเม่ เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะทำได้”
   “งั้นก็ไปต่อกันเถอะค่ะ” เจนว่า เคลวินถอนหายใจเบาๆ ใช่ แบบนี้ดีแล้ว...
   “ผมเอ่อ....ขอเวลาแป้บนึงได้หรือเปล่า ผมแค่เอ่อ....” เคลวินก้มหน้าลงทันที เขายกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง เจนเอื้อมมือไปจับไหล่ของเขาเบาๆ
   “เห็นมั้ย .... คุณไปต่อได้อีกไม่นานหรอก” เจนพูด
   “ผม...ผมแค่.......คิดถึงเค้าน่ะ” เคลวินพูด “ผมใช้ชีวิตต่อไปแล้วในแบบที่เค้าขอแล้ว ผมแค่สงสัยว่า เค้าจะรู้บ้างมั้ยว่าตอนนี้ผมเป็นยังไง ผมคิดถึงเค้าแค่ไหน การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวท่ามกลางความหนาวในเมืองนี้มัน แย่ขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าเป็นยังไง พ่อของเค้าจะควบคุมเค้าเหมือนเดิมมั้ย เค้ากลับไปเป็นคนเดิมหรือเปล่า หรือมีใครไปหรือยังผม...... ผมแค่.....”
   เจนยิ้มครั้งหนึ่ง เธอเคยเจอใครคนนึงที่เป็นแบบนี้มาแล้ว เธอรู้ดีว่านี่คือความรัก ความรักที่งดงามและอบอุ่น มันสวยงามท่ามกลางความหนาวเหน็บของเมืองนี้ ผู้ชายคนนี้มีความรับผิดชอบต่อความรักสูงมากเหลือเกิน สูงเสียจนเธออดชื่นชมไม่ได้ เมื่อคิดได้อย่างนั้น เธอหัวเราะออกมาเบาๆ
   “โทษทีครับ ผมเอ่อ....” เคลวินใช้มือขยี้หัวตาเบาๆ เพื่อไม่ให้เจนเห็นน้ำตาของเค้า “มันเป็นเรื่องงี่เง่า ผมเข้าใจ”
   “เปล่าค่ะ เจนแค่สงสัยว่า.....ถ้าคุณอยากรู้อ่ะ ทำไมคุณไม่ถามล่ะ” เจนว่าพลางยิ้มกว้าง “จากที่ร่วมงานกันมา เคลวินคุณเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงเอามากๆ คุณพยายามเป็นเคลวิน หุ้นส่วนธุรกิจที่ดี คุณเป็นอย่างที่เราต้องการทุกอย่าง แต่บางทีคุณลืมไปหรือเปล่าว่าพวกเราทุกคนที่ซูเม่รู้ดีว่าคุณเป็นใคร แล้วคุณเข้ามาเป็นเคลวินให้พวกเราได้ยังไง”
   เคลวินมองหน้าเจนอย่างมีความหมาย
   “เราเห็นวินในแววตาคุณ” เจนจิราพูด “คุณมาเจอเราได้ก็เพราะเรื่องของเค้ากับคุณ คุณจะพยายามเป็นคนอื่นไปทำไม ในเมื่อทุกๆคนที่ซูเม่ หรือแม้แต่เพื่อนคุณเองจีโอ เราช่วยคุณได้ เพียงแค่คุณถามอ่ะ......”
   “ผมไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนแอ...” เคลวินว่า
   “คุณไม่ได้อ่อนแอค่ะ” เจนตอบ “การยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ เป็นการแสดงความเข้มแข็งอย่างนึงนะคะ”
   เขายิ้มกว้างตอบเธอ
   “เจนก็เพิ่งเรียนรู้อะไรบางอย่างมาเหมือนกัน สามเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วินเค้าไป” เจนพูด “เจนค้นพบว่าที่ซูเม่ เราเป็นบริษัทที่เย็นชาเอามากๆ เราไม่เคยคิดเลยว่าดีไซน์เนอร์กับครีเอทีฟในบริษัทต้องเสียอะไรไปบ้างกับการสร้างอาณาจักรนี่ หลังจากที่เอิร์ธและทีมงานส่วนนึงไปอังกฤษ กายกลับดูงานแกลอรี่ที่ไทย เจนมีคุณแล้วก็ดีไซนเนอร์หน้าใหม่หมุนเข้ามา เจนบอกกับตัวเองว่า หลังจากนี้ เจนจะไม่ยอมให้ซูเม่เป็นอย่างที่ผ่านมาอีก”
   “ยังไงครับ” เคลวินถาม
   “ในสมัยที่คุณวรพัฒน์อยู่ เราคิดถึงแต่การจะเอาชนะเค้า เราก็เลยเอาแต่ทุ่มกับงาน พิสูจน์ตัวเอง ไม่มีใครมีชีวิตเป็นของตัวเองเลยและใช่ เราสูญเสียไปเยอะค่ะ” เจนจิราพูด “แต่ตอนนี้ตั้งแต่มีคุณ เราเปิดตลาดปารีสได้เต็มตัวแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมง แฟชั่นโชว์ของซูเม่ก็จะเปิดตัวเป็นแบรนด์ที่ดีของปารีส แต่เมื่องานนี้จบเจนคิดแล้วว่า เจนจะเลือกซื้อใจทุกๆคนไว้ดีกว่า เจนไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วกับแค่ การพยายามที่จะเอาชนะ”
   เคลวินจับมือของเธอไว้แน่น
   “คุณไม่ได้เสียใครไปหรอกนะ” เขาพูด “ถ้าพวกเค้าสำคัญกับคุณจริงๆ หัวใจคุณจะไม่มีทางลืมเค้า เหมือนที่ผมไม่เคยลืมวิน เค้าจะยังอยู่ และวิ่งกลับมาหาคุณเสมอ”
   “แล้วคุณเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า” เจนว่า “คุณเชื่อหรือเปล่าว่าวิน เค้าจะกลับมาหาคุณ”
   เคลวินนิ่งเงียบ เขาเองก็คงไม่อาจจะตอบคำถามนี้ได้เหมือนกัน เจนจิราจิบกาแฟพลาวางแก้วลงและลุกขึ้น
   “ไปกันเถอะค่ะ ความจริงก็คือที่เกล็ดหิมะ เราจัดงานปาร์ตี้กันเล็กๆ ก่อนจะลุยงานกันพรุ่งนี้ เราอยากให้คุณไป” เจนจิราว่า
   “โอเคครับ ขอผมเอ่อ...เปลี่ยนเสื้อแปปนึงนะ” เคลวินเดินเข้าไปหยิบเสื้อที่ตู้เสื้อผ้า ขณะที่เจนมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เธอเดินไปที่หน้าต่างของห้อง และมองออกไป
   ถ้าสิ่งที่เคลวินพูดเป็นความจริง เธอไม่ได้เสียใครไป และทุกๆคนก็จะกลับมาหาเธอ
   เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงๆใช่มั้ย.......
   กายน่าจะอยู่ข้างๆเธอในเวลานี้.....
   “เสร็จแล้วครับ” เคลวินตอบ “ไปกันเถอะ”
......................
   เสียงเพลงเบาๆเปิดคลอระหว่างที่เหล่าดีไซน์เนอร์ร่วมดื่มกัน ตามธีมของปาร์ตี้ที่เจนวางเอาไว้ที่ร้านเกล็ดหิมะ เธอหวังว่านี่จะเป็นปาร์ตี้เพื่อขอบคุณทีมงานกันก่อนที่วันรุ่งขึ้นโชว์จะออกมาอย่างประสบความสำเร็จแน่นอน มันเป็นเพียงแค่งานเล็กๆเหมือนการเลี้ยงข้าวกันเท่านั้น ก่อนที่ทุกคนจะต้องกลับไปที่ Carrousel เพื่อเตรียมงานให้เรียบร้อยในวันรุ่งขึ้น เคลวินและเจนมาถึงตอนสองทุ่ม ขณะที่จีโอเริ่มสาธยายว่าอาหารวันนี้รสชาติแปลกๆ ซึ่งมันไม่ได้แลกสำเร็จเจนนัก อาหารวันนี้เป็นอาหารไทย แบบรสชาติไทยจริงๆที่จีโออาจะไม่คุ้น เคลวินและเจนใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งเพื่อทานข้าว เขานั่งมองเจนและจีโออย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ความรักของสองคนนี้เป็นอะไรที่น่ารักมากสำหรับเขา จีโอยังคงเป็นคนตลกและร่าเริงเหมือนที่เคยเป็น ในขณะที่เจนจิราเองกลับเป็นคนที่ดูอ่อนโยนลง ต่างจากแม่มดตัวร้ายที่เอิร์ธและวินเคยพร่ำบอกเขาเมื่อนานมาแล้ว หรือบางทีเขาก็อาจจะคิดผิด เจนจิราอาจจะร้ายขึ้นมาจริงๆก็ได้ ถ้าจับได้ขึ้นมาว่าจีโอแอบซุกกิ๊กเอาไว้ที่สตาร์เบิร์กหลายคนก่อนหน้าที่จะตกลงเดทกับเธอ เคลวินภาวนาในใจหวังว่าจีโอน่าจะจัดการเคลียร์สาวๆในสต๊อกให้หมดซะที
   “น้องไกด์” เสียงของเจ๊ใหญ่เรียกเขา ขณะที่ตัวเธอเดินเข้ามาหาที่โต๊ะ
   “หวัดดีครับเจ๊” เคลวินสวมกอดเธอเหมือนทุกๆครั้ง
   “โอยยย ตายละดูสิ โหมงานสินะช่วงนี้” เจ๊ใหญ่ยังคงเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นอย่างที่เธอเคยเป็น
   “ก็นิดหน่อยครับ แล้วเจ๊อ่ะ ที่ร้านโอเคนะ เด็กเสิร์ฟชุดใหม่คนไหนทำเจ๊ปวดหัวบ้างเปล่า?” เคลวินถามเสียงกวน
   “โอ๊ยยย ตั้งแต่ทำร้านมานะ ไม่มีใครกวนได้เท่าเจ้าวินแล้วล่ะ” เจ๊ใหญ่พูดพลางหัวเราะ เคลวินหลบสายตาและยิ้มน้อยๆให้เธอ เขาเหลือบเห็นเจนที่หันมายิ้มให้เค้าเมื่อเจ๊ใหญ่พูดถึงวินขึ้นมา
   “แล้วคุณเจนเป็นยังไงบ้างล่ะ” เจ๊ใหญ่ถาม
   “ก็โอเคค่ะ พรุ่งนี้อาจะหนักหน่อย แต่ทุกคนพร้อมแล้วล่ะค่ะ บางคนก็กลับไปสเตนบายที่งานละ” เจนตอบ
   “เห้อ......เจ๊ขอบคุณ คุณทั้งสามคนมากที่ทำให้เกล็ดหิมะกลับมามีชีวิตอีกครั้งนึง” เจ๊ใหญ่พูด “เจ้าวินก็ด้วย ถ้าวินไม่ได้ยกร้านนี้ให้เจ๊ เจ๊ก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง”
   “ไม่เอาน่าเจ๊” จีโอพูดขึ้น “พูดถึงอดีตเป็นคนแก่ไปได้ คนเรามันต้องพุ่งทะานไปข้างหน้าสิเจ๊”
   เจนหัวเราะพลางตีจีโอไปเบาๆหนึ่งครั้ง ขณะที่ทั้งสามหัวเราะกันอยู่นั้น ซีเนียร์ดีไซน์เนอร์คนนึงก็วิ่งมาที่โต๊ะของเจนทันที
   “พี่เจนเกิดปัญหานิดหน่อยค่ะ” เบลล่าพูดขึ้น
   “อะไร” เจนถามขึ้น
   “ภาพ Loveless Society ที่พี่ให้หนูไปเอาที่วิลแลตอ่ะค่ะ มันไม่เห็นมีเลยพี่” เบลล่าว่า
   “หะ...ได้ยังไง มันจะไม่มีได้ยังไง มันแขวนอยู่กลางบ้านเลย หาดูดีหรือเปล่า” เจนพูดเสียงดุ
   “หาทั่วแล้วค่ะ ไม่มีเลยค่ะพี่ หนูว่าคุณกายอาจจะเอากลับไทยไปก็ได้นะคะ แล้วให้ทำยังไงดีคะเนี่ย” เบลล่าถาม
   เจนถอนหายใจอย่างหงุดหงิดครั้งหนึ่ง
   “ยังไงครับเนี่ย” เคลวินถามขึ้นมา
   “คือภาพนั้นอ่ะ เจนตั้งใจจะแสดงเอาไว้ตรงกลางแคทวอร์คในโชว์อ่ะค่ะ เพราะภาพนั้นเป็นแรงบันดาลใจของคอนเวฟท์นึงในโชว์ แต่ถ้ามันไม่มี ก็เดี๋ยวยิงสไลด์ภาพจากไฟล์เอาก็ได้ค่ะ” เจนว่าพลางหันไปหาเบลล่า “ไม่เป็นไรเบลล์ ยิงสไลด์เอาละกัน หาทันนะ”
   “ทันค่ะพี่” เบลล่ากล่าว “เอ้อ.....มีส่งนี้เข้ามาที่ออฟฟิศอ่ะค่ะเมื่อบ่าย พอดีเราไปยุ่งกันที่งาน เลยไม่มีใครไปเซ็นรับ นี่ค่ะ ถึงพี่”
   “ขอบใจจ้ะ” เจนจิรารับซองน้ำตาลมาไว้กับมือ ก่อนจะแกะมันออกมาดู จีโอและเคลวินมองดูเธอ
   “หนังสืออาร์ทเวิร์คของซูเม่อังกฤษ เอิร์ธเข้าส่งมาให้น่ะ” เจนพูด พร้อมกับเปิดออกดู หนังสืออาร์ทเวิร์คสวยและเนี๊ยบตามแบบที่เธอต้องการ เจนยิ้มให้กับตัวเองครั้งหนึ่ง
   “ลูกศิษย์ได้ดีสินะ” จีโอพูดขึ้น
   “ใช่ค่ะ” เจนจิราว่า “เจนเห็นเค้ามาตั้งแต่ที่ไทยอ่ะ ไม่คิดเลยว่า จะมาถึงจุดนี้ได้อ่ะ”
   ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เจนหยิบขึ้นมาก่อนจะกดรับ
   “ฮัลโหลว” เจนพูด “คุณนัทคะ”
   “เจน” เสียงนัทดังขึ้นมาในโทรศัพท์ “ผมเพิ่งทราบว่าคุณจะใช้ Loveless Society ผมเลยให้ส่งกลับไปให้แล้วนะ”
   “โอ๊ยยย ขอบคุณนะคุณนัท แต่มันคงไม่ทันแล้วล่ะ เจนใช้พรุ่งนี้ค่ะ เจนให้เด็กใช้ภาพดิจิตอลฉายขึ้นสไลด์ไปแล้ว” เจนตอบ
   “ไม่ไม่ ทันครับ ผมเห็นบรีฟในกูเกิ้ลไดร์ฟเมื่อสองวันก่อน เลยรู้ว่าคุณจะใช้ ป่านนี้ภาพถึงปารีสแล้วล่ะ คุณไปรับที่แอร์พอร์ทเถอะ” นัทตอบ
   “โหลดมาใต้เครื่องเหรอคะ” เจนว่า
   “ก็มีคนเค้าอยากกลับไปปารีสด้วยอ่ะ ผมเลยฝากให้เค้าดูแลกลับไปด้วยน่ะ คุณรีบไปเอาเหอะ เผื่อจะทันนะ” นัทตอบ
   “ขอบคุณมากนะคะคุณนัท” เจนตอบ “แล้วอยู่ไหนคะเนี่ย”
   “งานศพครับ” นัทตอบ “ภรรยาของคุณวรพัฒน์เสียแล้วครับ เมื่อวาน”
   เจนเงยหน้าขึ้นมองเคลวินทันที
   “ค่ะ...เอ่อ...ขอบคุณมากนะคะเรื่องภาพ แล้วก็เอ่อ...ฝากแสดงความเสียใจให้คุณวรพัฒน์ด้วย” เจนกดวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะมองเคลวินที่จ้องเธออย่างตระหนก
   “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แม่ของวินเสียแล้ว เมื่อวาน” เจนพูด เคลวินผ่อนลมหายใจลงทันที ก่อนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
   “เจนกำลังจะไปแอร์พอร์ทไปรับภาพ ถ้าคุณอยากจะไปร่วมงานศพที่ไทย คุณจะไปแอร์พอร์ทพร้อมเจนก็ได้นะคะ ทางนี้คงไม่มีอะไรจะรบกวนคุณแล้ว” เจนว่าเสียงเรียบ
   เคลวินยังคงไม่ตอบอะไรทั้งนั้นเขามองออกไปนอกหน้าต่างร้าน มองไปยังปีรามิดแก้วของพิพิทธภัณฑ์ลูฟว์
“ไปก็ดีนะเว่ย จะได้กลับบ้านบ้าง นายไปซะหน่อยก็ดีนะ” จีโอพูดเพิ่มเติม “ทางนี้เดี๋ยวฉันดูแลเอง”
เคลวินยังคงครุ่นคิด ถ้าแม่ของวินเสียแล้ว วินก็คงหมดหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัวแล้ว ถ้าเขากลับไปไทย วินจะเป็นครอบครัวใหม่ให้เขาได้มั้ยนะ เหมือนที่เคยเป็นมา เหมือนที่เคยเป็นที่นี่ตลอดมา....
   “ไม่อ่ะ” เคลวินพูดพลางหันกลับมาหาเจน “ไม่เป็นไรครับ”
   “ทำไมล่ะคะ” เจนถาม
   “พรุ่งนี้เป็นความสำเร็จของคุณ วินคงอยากให้ผมอยู่แทนเค้าที่นี่” เคลวินตอบ “ผมไม่มีอะไรผูกพันกับที่ไทยอีกแล้ว ผมทิ้งทุกอย่างมานี่แล้ว และผมจะอยู่ ที่นี่คือบ้านผม”
   จีโอและเจนมองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมามองเคลวิน
   “เชื่อเหอะ ผมไม่เป็นไร” เคลวินตอบ “แล้วผมก็เชื่อว่าวินก็ไม่เป็นไร เราต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ นี่คือสิ่งที่เขาเลือก ผมต้องเคารพการตัดสินใจของเค้า”
   “แน่ใจนะเว่ย” จีโอพูดพลางตบไหล่เพื่อน “ไม่เป็นไร ฉัน....ไม่เป็นไรเว่ย คุณเจน ไปแอร์พอร์ทกันเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
   “ไม่ต้องอ่ะ เดี๋ยวฉันไปส่งแฟนฉันเอง แกอ่ะแหละ กลับไปพักผ่อนไป พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไม่ใช่เหรอ” จีโอว่า
   “จริงด้วย กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ แล้วก็...อย่าคิดมากนะคะ” เจนยิ้มให้เคลวิน
   “ขอบคุณครับ”
   หลังจากทั้งคู่อ่มเอมกับอาหารครั้งสุดท้ายแล้ว จีโอและเจนบึ่งรถมุ่งหน้าไปสนามบินเพื่อรับภาพ Loveless Society กลับไปที่งานแฟชั่นวีคให้ทันก่อนวันรุ่งขึ้น ในขณะที่เคลวินออกเดินทางกลับไปยังสถานที่แห่งเดิม ถนนทอร์ควิล.......
ใจของเขาสั่นไหวระรัว เขาอยากจะโทรหาวิน อากจะได้ยินเสียงของวินอีกซักครั้ง เพื่อยืนยันว่าวินไม่เป็นไร เขาไม่ได้รู้สึกดีใจที่ภาระของวินหมดลงแล้ว การสูญเสียเป็นเรื่องโศกเศร้า เค้าเป็นห่วงวินมากกว่า มากเกินกว่าจะเอาความเจ็บปวดของเขาไปถาโถมใส่วินอีกคน แต่เขาอดคิดถึงวินไม่ได้ เขาอย่างดึงร่างอันอ่อนไหวของวิน มากอดไว้ มาเติมเต็มที่สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตตอนนี้
สองเท้าก้าวขึ้นไปถึงห้องพักในอีกครึ่งชั่วโมงหลังจากกลับมาจากร้านเกล็ดหิมะ ชายหนุ่มเปิดประตูห้องก็พบกับหน้าต่างที่เขาเปิดทิ้งไว้ อากาศเย็นๆจากข้างนอกพัดวูบเข้ามาทำเอาเขาสะท้าน จึงรีบเข้าไปปิดหน้าต่างและรูดท่านกลับเข้าที่เดิมก่อน เมื่อหันกลับมาร่างร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบทำเอาเค้าตกใจ
“Mr.Bayard” เคลวินร้อง เป็นคุณเบย์ออดเจ้าของตึกนั่นเอง “Oh hi.... What’s going on?”
“I just come to say goodbye” คุณเบย์ออดกล่าว
“Huh… Goodbye foe what? Where are you going?” เคลวินถาม
“Coming home” คุณเบย์ออดว่า “My son graduated and he will take my place here”
“Oh sound great, I ah….. I’ll miss you mr.” เคลวินกล่าวด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้ม
“Thanks you Kevin and I need to tell you something please told a new password to your housemate too” คุณเบย์ออดว่า เคลวินนึกอยู่ซักพัก ก็คิดไว้ว่าเค้าคงหมายถึงเจนที่เพิ่งมาห้องเค้าเป็นครั้งแรก เลยยังไม่รู้พาสเวิร์ดขึ้นตึกอันใหม่
“err…. Ok I will. Thanks” เคลวินกล่าว คุณเบย์ออดโบกมือลา ก่อนจะเดินจากไป เคลวินจึงปิดประตูห้องลง
น่าตลกอยู่เหมือนกันที่คุณเบย์ออดยังคิดว่าเขามีรูมเมท เข้าไม่มีเพื่อนร่วมบ้านมานานมากแล้ว ใช่ เขากลับมาอยู่ดนเดียว เบย์ออดคงจะอยากใช้ชีวิตที่สบายกับภรรยาที่นอกเมืองและให้ลูกชายมาทำหน้าที่ดูแลตึกแทน ครอบครัวของเขาน่าจะอบอุ่นอยู่แถบชนบท เคลวินนึกในใจแล้วก็ใจหายเหมือนกัน จริงๆแล้วเบย์ออดกรุณาเขากับก้องมากตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่ปารีส เขาน่าจะทักทายลูกชายของเบย์ออดซักหน่อย เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในตึกนี้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแบบไม่ทันหมดจากความคิด คงเป็นลูกชายคุณเบย์ออดมาแนะนำตัว เคลวินถอดเสื้อคลุมวางลงก่อนจะเดินไปเปิดระตูทันที
“Hi You could be a……”
และแล้วเวลาก็หยุดหมุนลง เมื่อเคลวินเห็นสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า
คนที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ยินเสียง คนที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อการได้พบหน้าอีกซักครั้ง
เด็กหนุ่มตัวแสบที่เอาหัวใจเขาทั้งดวงแล้วหายไป
วิน.....
วินเลิกตากว้างพบางกระพริบตาปริบๆด้วยหน้าเหวอ
“เอ่อ.....” วินส่งเสียงเบาๆ ขณะที่เคลวินยืนนิ่ง “พาสเวิร์ดไม่ใช่ 4422 แล้วอ่อ?”
เคลวินยังไงไม่ตอบอะไร
“มาหาเมื่อเย็น ไม่เห็นมีคนอยู่เลยออกไปซื้อของ ขึ้นตึกไม่ได้สองรอบแล้วอ่ะนาย” วินพูดต่อ เคลวินก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรอีก “เข้าไปได้ยังอ่ะ ของหนักนะ”
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ เมื่อเคลวินกระชากตัววินเข้ามากอดเอาไว้ ทำเอาของที่วินซื้อมาร่วงหล่นลงพื้นหมดทุกอย่าง เขากอดวินเอาไว้แน่น แน่นมากๆ และปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อยู่อย่างนั้น เขาร้องไห้อยู่ตรงนั้นอย่างควบคุมไม่ได้
วินรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ไกด์พยายามจะบอกเค้า เค้าเอื้อมมือไปกอดไกด์กลับ กอดเอาไว้ด้วยความนุ่มนวลที่สุด
“ทำไมทิ้งกันแบบนี้” ไกด์พูดเสียงสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดวิน “ทำไมทิ้งกันอ่ะวิน ทิ้งกันทำไมอ่ะคับ“
วินหลับตาลงน้ำตาของเขาไหลลงมาเป็นทาง เขากอดไกด์แน่นขึ้นอีก
“แต่ฉันกลับมาแล้ว” วินว่า “ฉันกลับมาแล้วไง....... ฉันบอกแล้ว....... ว่าฉันตกลง”
กอดกันนานอยู่อย่างนั้น จนกาลเวลาผ่านพ้นไป
.....................
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-07-2015 21:16:19
ตอนที่ 52 Coldness Town

   เสียงชัตเตอร์กัดรัวไปมาขณะท่เช็ทแฟชั่นโชว์ของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลดำเนินไป เจนจิรานั่งอยู่แถวหน้าสุดริมแคทวอร์ค เฝ้ามองนางแบบของเธอแต่ละคนอวดเสื้อผ้าที่ประณีตบรรจงของแบรนด์ออกสู่สายตาผู้ร่วมงาน Paris Fashion Week เธอและพี่สุเมธนั่งมองความสำเร็จของตัวเองอย่างมีความสุข หลังจากเวลายี่สิบนาทีของโชว์สิ้นสุดลงเสียงปรบมือดังกึดก้อง แสงแฟลชสาดกระจายไปยังเบลล่าที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่านางแบบ โดยมีภาพ Loveless Society ตั้งอยู่กลางเวทีเป็นฉากหลัง นัทส่งภาพมาให้เธอได้ทันเวลา และทำให้งานแสดงของซูเม่ ตามความตั้งใจดั้งเดิมของเธอเป็นไปอย่างสมบูรณ์ งานศิลปะและแฟชั่นเดินทางไปพร้อมกัน เธอและพี่สุเมธลุกขึ้นปรบมือให้กับความสำเร็จของตัวเองชิ้นนี้
   After Party หลังเวทีเป็นไปย่างวุ่นวาย เหล่าช่างภาพ ด๊ไซน์เนอร์ นักเขียน นางแบบ เดินไปมาให้ควักอยู่หลังเวทีที่ถูกเซ็ทเป็น After Party อย่างมีสไตล์ทำให้ดูเหมือนทุกๆคนได้เข้ามาสัมผัสการทำงานของซูเม่จริงๆ สุเมธจับมือทักทายกับสไตลิสจากทั่วทุกแบรนด์ในโลก ขณะที่เจนจิราเหนื่อยกับการแปบกร่างของตัวเองเอาไว้บนส้นสูง และการฉีกยิ้มบนเมคอัพเต็มทนแล้ว จึงปลีกตัวเองมานั่งลงที่เก้าอี้มุมหนึ่งเพื่อนวดน่องของตัวเองอย่างโอดโอย แฟนตัวดีของเธอจึงปรีเข้ามาหาเธอทันที
   “จะกลับหรือยังครับเจ้าหญิง” จีโอพูดขึ้นเสียงหวาน เจนจิราอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าเขา
   “เจ้าหญิงยังกลับตอนนี้ไม่ได้ ยังมีราชทูตจากอีกหลายแบรนด์ที่ต้องเข้าเฝ้า” เจนพูดติดตลก “พระเจ้าหลุยห์ วิคตองค์พระองค์นั้นด้วย”
   เจนชี้ไปยังเอเจนซี่จากหลุยห์ที่แวะมาชมแฟชั่นโชว์ในงานนี้ จีโอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลับมาช่วยเธอนวดเท้า
   “ผมไม่นึกเลยว่าคุณทำทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว” จีโอว่า “ผมแบบ ไม่เห็นโกลด้านนี้เลยอ่ะ มาปารีสก็บ่อยแต่ไม่เคยมาแฟชั่นวีคเลยอ่ะ”
   “งั้นคุณก็ไม่รู้จักเมืองนี้เลยน่ะสิ” เจนว่า “นี่เบาแล้วค่ะ เมื่อก่อน เจนต้องขึ้นไปฟินาเล่เองด้วยซ้ำ หนักกว่านี้อีกเยอะค่ะ”
   จีโอลุกขึ้นพลางยื่นหน้าเข้าใกล้เธอ
   “แล้วจุมพิตจากเจ้าชายจะช่วยให้หายเหนื่อยได้มั้ยนะ” จีโอว่า เจนขำเบาๆ
   “ขอเป็นพันช์เย็นๆซักแก้วจะดีกว่านะ” เจนตอบพลางชำเลืองไปยังคอกเทลล์บาร์ที่เธอหมดปัญญาจะหอบร่างเดินไปเอง
   “งั้นรอแปป” จีโอว่า “คงต้องฝ่าฝูงคนเข้าไปน่ะ”
   “สู้ๆค่ะ” เจนยิ้มให้จีโอก่อนที่เขาจะหายเข้าไปกลุ่มผู้คนที่เดินไปเดินมาในงาน เจนกลับมานวดขาต่ออีกหน่อย เพื่อบรรเทาอาการเกร็งของส้วนสูง
   “แหม..... แม่มดเจนจิรา สิ้นลายแล้วเป็นแบบนี้นี่เองเหรอยะ” เสียงอันคุ้นหูที่ปลุกสัญชาติญาณความแกร่งของเจนให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เจนเหลือกตาขึ้นด้วยความเหยื่อยหน่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันไปประจันหน้ากับเจ้าของเสียง ที่ยืนมองเธออยู่พักนึงแล้ว
   “มันก็ไม่ได้ต่างกันซะเท่าไหร่หรอกจริงมั้ย” เจนว่ากลับ “คุณสา...”
   ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักนึงก่อนนะกรีดร้องใส่กัน
   “เซอร์ไพร์สสสสสส” สากระโจนเข้าหาเจนขณะที่เธอยิ้มกว้างอยู่ในวงแขนของไม้เบื่อไม้เมาของเธอคนนี้ เจนได้รับข่าวมาเดือนกว่าๆแล้วว่าสากำลังมีโปรเจ็คถ่ายงานแถบชานเมืองปารีสอยู่ แต่ก็ไม่มีโอกาสเจอกันซักที
   “นึกว่าจะไม่เจอวะแล้วคุณสา” เจนว่า
   “จะบ้าเหรอหร่อน ความสำเร็จหล่อนทั้งที ไม่มาได้ยังไงยะ เผื่อหล่อนเดินตกส้นสูง ฉันจะได้เป็นคนแรกที่หัวเราะทัน” สาว่า เจนส่ายหน้าใส่เธอทันทีก่อนจะหัวเราะ
   “แล้วทานอะไรหรือยังอ่ะ คืนนี้พักที่ไหน” เจนถามขึ้น
   “เรียบร้อยหมดแล้ว คนนี้เค้าจัดการให้” สาเผยให้เห็นร่างๆหนึ่งที่ยืนซ้อนหลังเธออยู่ ซึ่งเป็นคนที่เธอไม่ได้เจอมากว่าสี่เดือนแล้ว ตั้งแต่เขาเข้ามาในห้องเธอพร้อมกับวีนใส่เธอเป็นชุดแล้วทิ้งเพียงจดหมายลาออกเอาไว้ให้
   มิก...
   “เห้...... คุณกลับมา” เจนกล่าวเบาๆ ขณะที่มิกเดินเข้ามาหาเธอ
   “อย่านะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาหาคุณวะทีเดียวหรอก” มิกว่า สาหันมายิบตาให้เธอเพื่อเป็นการส่งซิก
   “อ่าหะ” เจนว่า “ก็มีไม่กี่เรื่องหรอก ที่จะลากคุณออกจากถ้ำได้น่ะ”
   มิกหัวเราะเบาๆพลางเกาหัวตัวเอง
   “ผมเอ่อ....อยากจะขอโทษ” มิกว่า “เรื่องที่ผมพูดกับคุณวันนั้น ผมคิดว่าผมเรียนรู้แล้วว่าที่จริง คุณเองก็ทำเพื่อคนผมมาตลอดเหมือนกัน เพียงแต่ มันเป็นรูปแบบที่ผมไม่เข้าใจ”
   “ไม่ใช่รูปแบบที่คุณคาดหวังน่ะสิ” เจนจิราว่า “แต่เดี๋ยวนะ.... คุณเป็นคนเอา Loveless Society มาเหรอ แล้วทำไมฉันไม่เจอคุณที่แอร์พอร์ทเมื่อวานล่ะ”
   “เค้ามาหาฉันไงยะ” สาพูดขึ้น
   “อ้อ....” เจนว่า “ขอบคุณมากนะมิก ไม่อย่างนั้น งานวันนี้แย่แน่เลย”
   “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย เธอเชื่อใจคนอื่นเป็น” สาหันมาพูดกับเจน “เธอไม่เหมือนกับยัยตัวร้ายที่ฉันเคยรู้จัก”
   “ฉันก็ยังร้ายอยู่นะคุณสา จะว่าไปแล้ว” เจนตอบ
   “อ้อข้อนั้นฉันเชื่อ เชื่อสนิทใจเลยย่ะ” สาว่าพลางหัวเราะเสียงดัง จีโอเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นแก้วให้กับเจนทันที
   “ขอบคุณค่ะ” เจนว่า
   “อ้าว พวกคุณ” จีโอพูด “ยินดีต้อนรับครับผม”
   สาและมิกมองหน้ากันอย่างรู้ดี พลางเหล่ไปทางเจนจิราเป็นนัยๆ
   “หยุดเลย ไม่ต้องแซวเลย” เจนพูดเสียงแข็งก่อนจะรับพันช์มาดื่ม
   “เออเจน เซลม่าอยู่ไหน ฉันอยากได้เธอไปเป็นแบบอ่ะ อยากคุยกับเธอหน่อย” สากล่าว
   “อ้อ...อืมมม” เจนมองไปรอบๆงาน “นั่นไง ตรงนั้น....... คุยได้เลย แต่ระวังหน่อยนะ ยัยนี่เรื่องเยอะน่าดูเลย”
   “โอ๊ยยย ฉันผ่านเธอมาได้ ที่เหลือเด็กๆย่ะ พูดเลย” สาส่งสายตาค้อนเจนไปแว้บนึง
   “ค่ะ แม่คนเก่ง จีโอคะ รบกวนพาคุณสาไหาเซลม่าหน่อย ปล่อยไปเอง เจนว่าเดี๋ยวโดนคนเหยียบตายแน่นอน คุณนำเธอไปหน่อยนะ” เจนว่า
   “ด้วยความยินดีค้าบบบบ” จีโอนำสาเดินไปหาเซลม่าที่มุมหนึ่งของงานขณะที่เจนนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม มิกจึงนั่งลงข้างๆ
   “ขอโทษนะที่ทิ้งงานไป ผมเอ่อ...งี่เง่าเอง” มิกพูดขึ้น เจนส่งเสียงในลำคอครั้งนึง
   “ช่างมันเถอะค่ะ เจนเข้าใจ บางทีคนเราก็อยากได้เวลาไปพัก” เจนว่า “เจนไม่ได้อนุมัติการลาออกของคุณนะ ถ้าคุณอยากจะกลับมาทำงาน เจนก็ยินดี”
   “กายก็บอกผมอย่างนั้น” มิกว่า “แต่ผมอยากสะสางเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อย”
   “เรื่องเอิร์ธ...ใช่มั้ย” เจนพูด มิกก้มหน้าลงเบาๆ
   “คุณคิดว่า ผมจะดูแลเค้าได้มั้ย ผมกลัวว่า ผมจะไม่ดีพอ ไม่เจ๋งพอสำหรับเค้า เค้าเคยคิดว่าเค้าวิ่งตามผม แต่จริงๆแล้วผมต่างหากที่กำลังวิ่งตามเค้า” มิกว่า “ผมไม่รู้ว่าผมจะวิ่งตามเค้าทันมั้ย”
   เจนหันมามองหน้ามิก
   “กายเคยบอกฉันว่า เมืองนี้น่ะมันแปลกประหลาด คนที่จะไว้ใจกันได้มันมีแค่พวกเรากันเองเท่านั้น” เจนพูด “สิ่งที่กายพูดหมายความว่า ที่นี่เรามีคนไทยอยู่ไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวงการเรา ยังไงซะเรื่องมันก็ต้องวนกันเอง”
   “หมายความว่าไง” มิกถาม
   “หมายความว่า คุณวิ่งไล่จับกันในเมืองที่มันไม่ได้กว้างเลยค่ะ” เจนตอบ “เอิร์ธไม่ได้วิ่งไปไหน คุณก็เหมือนกัน คุณสองคนแค่ ไม่ได้ให้เวลากับกันและกัน แล้วก็ชอบห่างกันบ่อยๆ เจนว่าถ้าลองคุกันดีดี ถอยให้กันบ้าง ก็น่าจะโอเค”
   “ให้ตายเหอะ ผมกำลังโดนแม่มดร่ายมนต์ใส่อีกแล้ว” มิกพูด
   “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณละกัน เจนไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าแฟนให้ใครค่ะ” เจนตอบ
   “ขอบคุณมากนะเจน สำหรับทุกอย่าง ตั้งแต่มาที่เมืองนี้อ่ะ” มิกพูด “ขอบคุณมากจริงๆ”
   เจนยิ้มให้มิกครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน
   “ฉันมีงานอย่างนึงให้คุณทำ” เจนพูดเสียงชัดเจน มิกเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที
   “อะไรอ่ะ” มิกว่า
   “เมื่อวาน เอิร์ธส่งอาร์ทบุ๊ตมาให้เจนตรวจ จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรต้องแก้แล้วล่ะ เพราะถ้ามันต้องแก้ ก็ต้องมีการส่งกลับไปอังกฤษกันอีกรอบซึ่งเจนก็ไม่มีเวลา” เจนยิ้มกว้าง “แต่...ถ้าคุณอยากให้เจนแก้ แล้วจะลำบากทำตัวเป็นคนส่งของ ส่งเล่มกลับไปแก้ที่อังกฤษอีกรอบ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”
   มิกมองหน้าเธอพลางอมยิ้มก่อนจะมองหน้าไปทางอื่น
   “แล้วเอ่อ....อ่ะฮึ่ม” มิกกระแอมในคอ “อาร์ทบุ๊คอยู่ไหนล่ะ”
   เจนยิ้มกว้างให้กับมิก เป็นครั้งแรกตั้งแต่เธอมาที่นี่ ที่เธอรู้สึกว่าเมืองนี้เธอได้ไว้ใจมิกอย่างเต็มหัวใจแล้ว เธอนึกขอบคุณกายอยู่ในใจ และแอบหวังเล็กๆว่า มิกน่าจะลงเอยกับเอิร์ธอย่างมีความสุขได้ไม่ยากนัก
   เธอหวังให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ....
.............
   ออฟฟิศเล็กในลอนดอน เอิร์ธกำลังบิดขี้เกียจ ขณะที่อีเมล์เด้งขึ้นมาจากซูเม่ฝรั่งเศสว่าอาร์ทบุ๊คของเขาไม่ผ่าน และพี่เจนสั่งให้เค้าแก้มันใหม่ทั้งเล่ม เขาเริ่มรู้สึกกลับมาโมโหเจนอีกครั้งหลังจากความรู้สึกนี้หายไปนาน จะเป็นไปได้ไหมนะที่เขาจะเด็ดหัวเธอมาจิ้มน้ำพริกอีกครั้งหนึ่ง เขาปิดหน้าจอแมคลงขณะที่เดินไปยังหน้าต่างมองไปยังนาฬิกาบิ๊กเบนใจกลางเมืองที่อยู่ไกลออกไปหน่อย
   เขาคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่เขาออกจากเมืองไทยมา เขาเดินทางมาไกลมาก เพื่อวิ่งหาคนคนนึง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาวิ่งแซงมาวะจนตอนนี้เขาไม่เหลือใครซะแล้ว เขาเคยปฏิเสธตัวเองว่าจะไม่มีวันเป็นแบบกาย พ่อมดของวงการออกแบบที่สมบูรณ์แบบแต่ขาดความรัก เขาไม่เอาด้วย
ใช่เขาทำสำเร็จ เขาไม่ได้เป็นกาย แต่เขากลับกลายเป็นเจนจิราเสียเอง ผู้หญิงที่เขาแค่นึกถึงหน้าเธอตอนนี้ก็โมโหสุดขีดแล้ว คิดตลกๆในใจว่าการแก้งานครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายซักที เขาทำอะไรในอาร์ทบุ๊คนั้นพลาดไปงั้นเหรอ ถ้าเค้ายังมีความเป็นครีเอทีฟไม่มากพอ อาจจะต้องใส่ความอาร์ทลงไปอีกนิด
ถ้าพี่มิกอยู่กับเค้าที่นี่ด้วยก็คงดีสินะ.........
สะบัดหัวไล่ความคิดงี่เง่าออกไป พี่มิกคงไม่มีทางมาหาเค้าอีกแล้ว และเค้าก็จะเดินหน้าที่นี่ต่อไปโดยไม่เค้า
ไม่มีใครเลย....
.................
   กาแฟแก้วนึงวางลงที่หน้าโซฟา ขณะที่ร่างเปลือยเปล่าร่างนึงกระโจนขึ้นไปบนโซฟา และซุกตัวในผ้านวมกอดอีกร่างนึงเอาไว้ ไกด์หันมามองหน้าวินที่ซบลงบนตัวของเค้า หลังจากเมื่อวานทั้งคู่ได้มอบความรักให้กันเหมือนทุกๆครั้ง และครั้งนี้เป็นเหมือนคำปฏิญาณว่าเค้าทั้งคู่จะอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกันตามที่ตกลงกันเอาไว้
   วินมองหน้าไกด์ที่โอบเค้าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ลมหายใจอันอบอุ่นส่งมาหาเค้าผ่านร่างอันเปลือยเปล่าข้างใน วินแตะนิ้วลงบนจมูกของไกด์หนึ่งครั้ง
   “ฉันแค่อยากกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดี” วินพูดขึ้น “อย่างน้อยๆก็ทำสำเร็จแล้ว”
   ไกด์มองหน้าวินพลางยิ้มน้อยๆ
   “ก็เข้าใจ แต่มันออกจะใจหายไปหน่อย ที่วันนึงตื่นนมาไม่เจอนาย” ไกด์พูดเสียงสั่น “แล้ววันต่อๆมา ก็ไม่เจออีกเหมือนเดิม”
   “ตอนที่ฉันไม่อยู่ นายเป็นใคร กลับไปเป็นคนเดิมอีกหรือเปล่า” วินถามอีก
   “ก็ไม่เชิง” ไกด์ตอบ “เป็นเคลวิน นักธุรกิจที่ดีให้กับแบรนด์แฟชั่น เป็นก้องที่ดีให้กับร้านเกล็ดหิมะแห่งใหม่”
   “แล้วตอนนี้อ่ะ นายเป็นใคร” วินถามต่อ
   “ตอนนี้เหรอ” ไกด์โอบตัววินเอาไว้อีกครั้ง “เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เป็นคนที่รักนายตลอดไป”
   “แน่ใจนะ ว่ากลับมาอยู่ได้แล้วอ่ะ จะไม่ไปไหนแล้วนะ” ไกด์ถาม
   วินยิ้มให้ไกด์ก่อนที่จะซบลงไปที่อกของเขา ไออุ่นแบบนี้ที่ทำให้ใจของวินสั่งสะท้าน ไออุ่นแบบนี้แหละที่เขาต้องการมากที่สุดในโลก

   
   .....“พี่เจน” วินพูดขึ้น “วันนี้ขอกลับก่อนนะ แต่พรุ่งนี้สิบโมงผมขอนัดคิวพี่”
   วินปิดประตูห้องทันทีแล้วรีบวิ่งไปตามโถงทางเดินของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล หรือว่าบางที จะเป็นเขาเอง ที่ต้องลงมือทำสิ่งไม่มีใครที่ซูเม่ทำมาก่อน ใช่แล้ว....
   สิ่งที่วิน ลูกคุณหนูตัดสินใจเอาไว้ ก่อนหน้าเรื่องทั้งหมดนี้ ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่ซูเม่
   ตอนที่เขาหนีพ่อของเขามาหลบซ่อนอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะตั้งแต่แรก
   คงต้องเป็นเขาแล้ว ที่จะทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำ......
   เขาคนเดียวเท่านั้น.......
   ณ ล๊อบบี้ของโรงแรมแชงกรีลาปารีส วินเดินเข้ามาทันเวลาที่พ่อของเขากำลังเช็คอินออกจากโรงแรม เขาเดินเข้าไปหาพ่อ ที่เดินตัดผ่านเค้าไปราวกับมองไม่เห็นตัวเขา
   “พ่อผมขอโทษ” วินพูด วรพัฒน์หยุดชะงัก ก่อนจะหันหลังกลับมาหาลูกชาย
   “บอกฉันสิ ว่าแกไม่ได้ตั้งใจ” วรพัฒน์พูดเสียงสั่นเครือ “บอกฉันสิว่านี่คือเหตุผลที่ตกลงมาปารีสตั้งแต่แรก อิสระแบบนี้ใช่มั้ยที่แกอยากได้ อิสระที่แลกมากับความรับผิดชอบที่แกควรมีให้ฉัน”
   “พ่อ..... ถ้าพ่อยังอยู่ในซูเม่ มันจะยิ่งเลวร้ายลงกว่านี้นะพ่อ” วินว่า
   “แล้วแกก็จะอยู่ต่อ โดยใช้นามสกุลฉันงั้นเหรอ” วรพัฒน์ถามกลับ “แกทำโปรเจ็คแฟชั่นวีคต่อ โดยใช้นามสกุลฉันงั้นเหรอ แกคิดเหรอว่าคนในนั้นจะยอมรับแกได้”
   วินเงียบสนิท
   “แล้วพ่อจะให้ผมกลับไปเป็นลูกพ่อที่บ้านเหมือนเดิมหรือไง” วินว่า “ไหนพ่อบอกว่าอยากให้ผมทำอะไรสำเร็จซักอย่างไง”
   วรพัฒน์ก้มหน้าลง ก่อนจะเงยหน้ามองลูกชาย
   “ไขสันหลังแม่แกติดเชื้อ กล้ามเนื้อกำลังค่อยๆตายและหยุดทำงาน” วรพัฒน์พูดเสียงเข้ม “สิ่งที่ฉันทำ คืออยากให้ไอ้ลูกชายตัวดี กลับไปดูแม่มันเป็นครั้งสุดท้าย และก่อนที่มันจะปีกกล้าขาแข็งออกจากบ้านไป ฉันก็อยากแน่ใจว่ามันจัดการทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยก่อน”
   วินตกตะลึงกับสิ่งที่พ่อเขาพูด เขาเมินหน้าไปทางอื่น
   “ใช่ แม่แกตายไปแล้ว” วรพัฒน์ว่า “แต่ความรักของแม่แกยังอยู่ กับฉันน่ะไม่เป็นไร แต่ขอร้อง อย่าทำร้ายความรู้สึกแม่แกไปมากกว่านี้”
   “งั้นผมจะกลับไปกับพ่อ” วินพูด “ผมจะกลับไป ถ้ามันจะช่วยให้อะไรดีขึ้น”
   “อย่ามาพูดส่งๆวิน” วรพัฒน์ว่า “ถึงฉันจะเลว แต่ฉันไม่เคยผิดคำพูด ถ้านี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะสอนแกได้ แกต้องไม่พูดอะไรเพราะจะเอาชนะฉัน พูดออกมาด้วยความรับผิดชอบ พูดและทำ อย่างที่ลูกผู้ชายควรทำ”
   วินมองหน้าพ่อของเค้า
   “ฉันได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว และฉันก็แพ้แล้ว” วรพัฒน์ว่า “ฉันไม่เสียดายสิ่งที่ฉันทำกับเมืองนี้ด้วยเงินไม่กี่แสน ระเบิดแค่ลูกสองลูก กับคนไม่กี่คน แต่แก...ถ้าแกมีอะไรผูกพันกับที่นี่เยอะมากนักถึงขนาดกลับไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดให้ตัวเองดูดี ฉัน.......ฉันดูแลทุกอย่างได้ ดีกว่าแกด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดกัน”
   “พ่อ” วินพูดขึ้น
   “ไปได้แล้วฉันจะกลับ”
   วรพัฒน์พูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินขึ้นรถไปพร้อมกับคนติดตาม และแล่นออกจากโรงแรมไปทันที ทิ้งให้วินยืนคิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ หรือบางทีเขาควรจะกลับไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
   หวังว่าไกด์ จะเข้าใจเขาอยู่นะ....


   เขามาปารีสเพราะอะไร เขาที่นี่ทำไมตอนนั้น.......
   แต่คำตอบมันไม่ได้สำคัญอีกแล้ว ว่าเขาจะมาปารีสตอนนั้นทำไม...
   เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามาปารีสทำไม เขามาเพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่กับไกด์ มาเพื่อเริ่มต้นใหม่ที่นี่ เริ่มต้นใหม่กับไกด์ หรือใครก็ตามที่กอดเค้าอยู่ตรงนี้
“ไกด์” วินพูดขึ้น
   “หืมมม” ไกด์พูดเสียงสั่น “ว่าไงคับ”
   “ไม่อยากรู้เหรอ ว่าฉันไปไหน” วินถาม “ไม่โกรธกันเหรอ ที่ทิ้งนายไป”
   “ไม่อ่ะ ไม่อยากรู้แล้ว” ไกด์ว่า “รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยน ถ้านายจะไป นายก็ไปอยู่ดี รู้ไป มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกที่ฉันมีให้นายซะหน่อย”
   วินยิ้มให้ไกด์ทั้งน้ำตา
   “นายเป็นคนบอกเองนี่ ว่าไม่ว่าฉันจะเป็นใคร นายก็จะอยู่กับฉัน” ไกด์ว่า “ในจดหมาย นายบอกว่านายตกลง ฉันก็เลยรอ แล้วก็รอมาตลอด....แล้วตอนนี้ นายก็กลับมา”
   ไกด์ยิ้มกว้างตอบวิน
   “นายคงไม่กลับมา ถ้ารู้ยังกลับมาไม่ได้ ฉันเคารพการตัดสินใจของนาย” ไกด์ตอบ “ฉันอยู่นี่ก็ทำตามที่นายขอ ฉันเชื่อใจนาย........ฉันรักนาย”
   ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้น ไกด์กระชับตัววินเข้ามาหาตัวมาขึ้น
   “รักกันแค่ไหนเนี่ย” วินถามเสียงอ้อน ไกด์หัวเราะเบาๆ
   “ยังต้องถามอีกเหรอหึ” ไกด์ว่า
   “เอาน่า...รักมากแค่ไหนอ่ะ” วินยิ้มให้ไกด์อีกครั้ง
   ไกด์มองหน้าวินก่อนจะเอื้อมมือไปแตะจมูกของวิน
   “ก็แค่อยู่ด้วยกัน ก็มีความสุขแล้วไงล่ะ”
   ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนที่ไกด์จะดึงใบหน้าของวินเข้ามาจูบ เขาปล่อยเอาความอบอุ่นที่หลบซ่อนอยู่ในตัวผ่านริมฝีปากไป ความอบอุ่นนี้จะยังคงอยู่ ท่ามกลางความหนาวเหน็บของเมืองที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ความอบอุ่นที่สวยงามที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด ความอบอุ่นที่วินจะไม่หนีหายไปไหนอีกแล้ว
ตลอดไป.......

จบบริบูรณ์
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 16-07-2015 01:32:04
ชอบมากก อ่านรวดเดียวเลย
สนุกมากจริงๆ
วินกับพ่อก้เข้าใจกัน :hao5:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: MeganMP ที่ 25-07-2015 18:14:34
มาปักรอไว้ก่อน......

เย่ๆๆๆๆๆๆๆๆ   จบแล้วๆ เรารอนานมากเลยยยยยยยยยย

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-09-2015 20:35:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 11:05:55
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-12-2017 22:36:33
 :pig4: :pig4: :pig4: