ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣
เมื่อแม่น้ำสายหลักที่ไหลพาดผ่านมหานครเมืองหลวง
ได้นำพาซึ่งสิ่งที่ขาดหายไปกลับคืนมา
กลับมา...สู่อ้อมกอดของหัวใจ
ฉับ!!!
ไม่ใช่ละ โรแมนติกเกินไป แต่ถือว่ามันก็เป็นจริงตามนั้นนะ
ผม "เจ้าพระยา" ผู้ปรารถนาอยากเป็นที่รักสำหรับคนรอบข้าง
แต่..
คำว่า "เป็นที่รัก" ผมไม่หวังที่จะเป็นสำหรับทุกคนหรอก
เพราะสำหรับผม คำๆนี้ มันมีเพียงไม่กี่คน ที่จะได้เป็น...
*********************************
ตารางเดินเรือ
บทนำพาความรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3699145#msg3699145)
ท่าเรือที่ 1 เกียร์ไหน...ใครคือเกียร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3699150#msg3699150)
ท่าเรือที่ 2 ปลาทองหน้าโง่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3699203#msg3699203)
ท่าเรือที่ 3 เจ้าเนื้อหอม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3699207#msg3699207)
ท่าเรือที่ 4 TGIF...ในวันฝนตก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3699812#msg3699812)
ท่าเรือที่ 5 ปลาทองของผม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3701158#msg3701158)
ท่าเรือที่ 6 จีบไม่เนียนไปเรียนมาใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3703033#msg3703033)
ท่าเรือที่ 7 ปลาทองน้อยปล่อยแสง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3704463#msg3704463)
ท่าเรือที่ 8 ผิดไหม...ถ้าใจสั่น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3707485#msg3707485)
ท่าเรือที่ 9 หลีดพร้อม...เจ้าไม่พร้อม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3713854#msg3713854)
ท่าเรือที่ 10 อาการเหมือนคนเมาเรือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3727853#msg3727853)
ท่าเรือที่ 11 รอยยิ้มของคนหน้าดุ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3733140#msg3733140)
ท่าเรือที่ 12 ไม่รู้จะอธิบายยังไง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3752782#msg3752782)
ท่าเรือที่ 13 เจ้าพระยาเป็นเด็กขี้หวง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3774623#msg3774623)
ท่าเรือที่ 14 หลบหน่อยเรือจะแล่น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3793451#msg3793451)
ท่าเรือที่ 15 3 ปีที่เจ้าลืม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3824268#msg3824268)
ท่าเรือที่ 16 น่านน้ำนี้ของกัปตันเกียร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3827847#msg3827847)
ท่าเรือที่ 17 เภสัชจ๋า ขอยารักษาใจหน่อย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3829348#msg3829348)
ท่าเรือที่ 18 ตัวการของพรหมลิขิต (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3898343#msg3898343)
ท่าเรือที่ 19 ประลองเวทย์ปรุงยา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3918560#msg3918560)
ท่าเรือที่ 20 ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3924207#msg3924207)
ตารางเดินเรือด่วนพิเศษ
เรือด่วนพิเศษที่ 1 สงกรานต์ก็ต้องเล่นน้ำสิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61728.msg3816946#msg3816946)
สวัสดีค่ะ เขินจัง เป็นนัก(หัด)เขียน มือใหม่ เราแค่อยากพาเขาผู้อยู่ในความคิดเรามานานมากแล้วมาให้ทุกคนรู้จัก
"เจ้าพระยา"
น้องที่น่ารัก น่าเอ็นดู น่าจับมาม้วนๆละกลืนลงท้อง ฮ่าๆ ยังไงของฝากน้องเจ้าพระยาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
สามารถติ ชม แนะนำได้เสมอนะ จะพยายามทำให้น้องเจ้าพระยาเป็น
"เจ้าพระยาที่รัก"
สำหรับทุกคนให้สุดความสามารถนะคะ
**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันของผู้แต่งเท่านั้น
บุคคลหรือเหตุการณ์ในนิยายไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลใดในโลกความเป็นจริง
พูด คุย ติ ชม ได้ผ่านทางแท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ของทวิตเตอร์นะคะ
บทนำ
(พาความรัก)
สายลมเย็นๆยามพระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าพัดปะทะเข้ากับใบหน้าเรียวได้รูป ผิวขาวออกสีส้มอมชมพูที่สะท้อนจากแสงของดวงอาทิตย์ที่กระทบผิวน้ำ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มพริ้วไหวล้อตามแรงลมดูไม่เป็นทรงแต่กลับรับกับใบหน้าเรียวนั้นเป็นอย่างดี เจ้าของใบหน้าเรียว ที่มีรูปร่างบางสมส่วนกำลังหลับตาพริ้มยืนรับลมอย่างสบายใจอยู่บริเวณท้ายเรือของเรือโดยสารเจ้าพระยา 3 ที่แล่นตามแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองหลวงของเรา แม่น้ำที่เขารู้สึกคุ้นเคยและผูกพันธ์มากที่สุด
ใช่แล้ว ผมกำลังเพลิดเพลินเจริญใจกับบรรยากาศในตอนนี้ ขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้านครับ
จนกระทั่ง…
ซ่าาาาาา~~~~~~~~~
“เฮ้ย!!!!”
ครับ -.-” นั่นเสียงผมเอง ส่วนเสียงแรก ไม่ต้องสืบ หลักฐานปรากฎอยู่บนเส้นผมและใบหน้าผมเลย เปียกชื้นไปทั้งตัว
“โถ่เอ้ยยยยย ซวยอะไรขนาดนี้เนี่ย”
ผมสบถบ่นงึมงำกับสภาพของตัวเองตอนนี้ คลื่นน้ำที่กระเด็นมาตามแรงแหวกของเส้นทางเดินเรือของเรือที่แล่นสวนทางไป ไม่รู้เครื่องจะแรงไปไหน แรงคลื่นนี่สาดมาไม่ยั้งเลย เฮ้ออออ เอาวะ ยังไงก็ใกล้ถึงบ้านแล้ว ดีนะที่เป็นขากลับ ถ้าโดนเมื่อเช้าตอนนั่งไปมหา'ลัย สภาพคงแย่กว่านี้
มาครับ ไหนๆก็สภาพแย่ละ ช่วงยืนตากลมให้เสื้อแห้ง ขอพูดถึงตัวเองสั้นๆหน่อยละกัน
สวัสดีครับ ผมชื่อ เจ้าพระยา แต่จะสะดวกเรียกเจ้า เรียก ยา ก็เอาที่สบายใจได้เลยครับ แต่ถ้าเรียกพระนี่ อืมมมมม อย่าเลยดีกว่า ชื่อนี้พ่อผมเป็นคนตั้งให้ เพราะพ่อขอแม่แต่งงานบนเรือโดยสารเจ้าพระยาตอนแดดร่มลมเย็นๆนี่แหละ เป็นไงล่ะพ่อผม โรแมนติกมาก ดีใจแทนแม่จริงๆ ตอนนี้ผมเพิ่งเป็นเฟรชชี่ คณะเภสัชศาสตร์ เห็นงี้น้องยาก็ว่าที่หมอยานะคร้าบบบบบบ ส่วนนิสัย...เอาไว้ค่อยๆเรียนรู้ผมไปนะ
~~~~ บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง~~~~~
เสียงริงโทนเพลงร่มสีเทาจากโทรศัพท์สีขาวขนาด 7.5 นิ้วของผมดังขึ้นในกระเป๋ากางเกงข้างขวา ผมจึงล้วงมือเข้าไปเพื่อหยิบออกมาดูว่าผู้โชคดีที่โทรเข้ามาฝังเสียงรอสายตู๊ด ตู๊ดของผมคือใคร
•My Darling•
มุมปากของผมยกขึ้นเพื่อยิ้มให้กับชื่อที่ปรากฎก่อนจะกดรับสายด้วยเสียงที่หวานที่สุด อิอิ
“สวัสดีคร้าบบบบ ที่รัก”
(จ่ะ ที่รัก ใกล้จะถึงบ้านหรือยังจ๊ะ)
“ใกล้แล้วครับผม ถึงสะพานพุทธฯแล้ว”
(แล้ววันนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า)
“ซี่โครงหมูทอดกระเทียมพริกไทย ขอเค็มๆเลยนะ”
(ตายๆ เค็มแบบเจ้าชอบ คงได้เปลี่ยนไตเดือนหน้าแน่ๆ)
“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ทำแบบไหนมาเจ้าก็ชอบหมดแหละ กับข้าวฝีมือที่รักอร่อยที่สุด”
(ปากหวานซะจริงลูกคนนี้ งั้นแค่นี้นะลูก แม่จะได้รีบทำของโปรดรอ)
“คร้าบบบบ เจอกันที่บ้านนะครับผม”
ติ๊ด!
ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์หลังวางสายจากปลายสายผู้ที่รัก เมื่อกี้นี้แม่ผมเองครับ ต้องมีคนแอบคิดว่าผมคุยกับแฟนแน่ๆ ฮ่าๆ ผมเรียกแม่ว่าที่รักจนชินแล้วอ่ะ แถมเมมเบอร์แม่ด้วยชื่ออันหวานหยดย้อยนั้นอีก เพราะสาเหตุมาจากผมแค่อยากแกล้งพ่อ ก็พ่อผมน่ะ หวงแม่มากกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัวได้มั้ย กับผมยังหวงเลยคิดดู ผมแกล้งพ่อแบบนี้มาตั้งแต่ ม.4 จนถึงตอนนี้ก็ชินไปละ ไม่เคยคิดจะเปลี่ยน เพราะแม่เป็นที่รักของผมจริงๆ
พอเงยหน้าจากโทรศัพท์ ก็พบว่าใกล้ถึงท่าเรือที่ผมจะลงแล้ว จึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าข้างเดิม มือกระชับกระเป๋าสะพายข้างใบโปรดเพื่อเตรียมเดินไปยืนรอบริเวณตรงท้ายเรืออีกฝั่ง ที่สำหรับก้าวขึ้นท่าเรือที่ผมจะลง
ปี๊ดดดดดดดดดดดด~~~~~
เสียงนกหวีดจากพี่กระเป๋าเรือเมล์แผนกรจนาคล้องมาลัย(ผมตั้งให้เองแหละ)ที่ดูแลตรงส่วนท้ายเรือ พี่แกรับหน้าที่คล้องเชือกจากเรือเข้ากับเสาบริเวณท่าเรือที่ต้องจอด เหมือนตอนรจนาโยนมาลัยให้เงาะป่า ฮ่าๆ
“ยอดพิมานจ้า ยอดพิมาน ใครลงเตรียมตัวเลยจ้า ใครยังไม่ลงเดินเข้าในตรงไปหัวเรือเลยจ้า ชิดในๆ เผื่อที่ให้ผู้โดยสารขึ้นด้วยยยยยย”
เสียงตะโกนดังซ้ำๆจากกระเป๋าเรือเมล์แผนกเก็บเงิน ด้วยคำพูดที่แสนคุ้นเคย ประหนึ่งเปิดคลิปเสียงวนซ้ำไปซ้ำมา ผมที่พร้อมจะลงท่ายอดพิมานอยู่แล้ว ก็สาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้บริเวณที่มีเส้นเชือกหนาคล้องเสาเป้็นที่กั้นแทนประตู สำหรับผมช่วงเวลาการก้าวขึ้นหรือลงเรือนั้นต้องระวังมากๆนะ เพราะมันค่อนข้างอันตรายจริงๆ ถ้ากะจังหวะไม่ถูก ก็อาจจะก้าวพลาดได้เลยล่ะ
เมื่อเรือจอดเทียบท่าสนิทดีแล้ว พี่กระเป๋าเรือเมล์แผนกรจนาคล้องมาลัยที่ทำหน้าที่คล้องเชือกเสร็จ ก็ปลดที่กั้นเพื่อให้ผู้โดยสารบนเรือก้าวออกไปก่อน ผมขอมีสมาธิก้าวออกจากเรือแปบนะครับ
ตึก ตึก
ใจเต้นปกตินี่แหละครับ ฮ่าๆ
เอาล่ะคนข้างหน้าผมก้าวออกไป ผมก็ก้าวตามด้วยความเชี่ยวชาญแต่ระมัดระวังเสมอ จึงต้องก้มดูช่องว่างระหว่างเรือกับท่าเรือด้วย เมื่อก้าวพ้นมาได้ไม่ถึงสามก้าว ทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้า เลยไม่ทันได้มองเห็นผู้โดยสารที่จะเตรียมก้าวขึ้นเรือ
“อ๊ะ!”
หวืดดดดดดดดดด~~~
หมับ!!!
เหมือนโลกหยุดนิ่ง ใจผมตกไปที่ตาตุ่ม เพราะมัวแต่ก้มหน้าเลยเดินชนคนอื่นจนเกือบหงายหลัง ผมหันกลับไปมองข้างหลังก็เห็นว่าตัวเองยืนห่างจากริมท่าเรือแค่นิดเดียวเอง
“ฟู่ววววววว เกือบไปแล้ว” ผมพ่นลมหายใจทางปากอย่างโล่งออก
แรงบีบที่ต้นแขนทำให้ผมรู้สึกตัวว่ามีคนช่วยไว้ไม่ให้หงายหลังตกน้ำไป ผมจึงหันกลับไปข้างหน้าตัวเองอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ” ผมก้มหน้าก้มตากล่าวขอบคุณคนที่ช่วยจับแขนผมไว้
“อืม เดินดีๆ” เสียงราบเรียบดุจกระดาษบางเอ่ยขึ้น คนอะไรเสียงเย็นชาจัง ขอดูหน้าหน่อยเหอะ
พอผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังคงจับแขนผมอยู่ก็พบว่า...
โอ้โห นี่คนหรือเทวดาวะเนี่ย ทำไมหล่อจนน่าอิจฉาขนาดนี้ ใบหน้าเรียบเนียนเหมือนก้นเด็กกับผิวสีน้ำผึ้ง จมูกโด่งได้รูปรับกับสันกรามที่ชัดเจนของเขา คิ้วเข้มที่เข้ากับตาคมดุ แววตาชวนให้น่าหลงใหลสุด นี่พระเจ้าตั้งใจปั้นเกินไปแล้วววววว ผมอยากมีสีผิวแมนๆแบบนี้บ้างงงง
ว่าแต่...ทำไมเขายังไม่ปล่อยแขนผมอีกนะ ขอบคุณไปแล้วด้วย ละนี่มาจ้องหน้ากันทำไม เอ๊ะ หรือมีเศษโคลนจากน้ำที่กระเด็นมายังติดหน้าอยู่
“เอ่อ..คะ...คุณ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยถามพร้อมยกมือขวาที่ว่างขึ้นมาเช็ดหน้าจนทั่ว
“....” เงียบ
“มีอะไรติดหน้าผมหรอครับ” หรือเขาโกรธที่ไปชนเขา
“....” ยังคงเงียบ
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ชน พอดีมัวแต่ก้มมองช่องว่าง เลยไม่ทันเงยหน้าดู ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยจับผมไว้นะครับ” ผมพูดเสร็จก็ตามด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ผมชอบทำ ยิ้มกว้างตาหยี ยิ้มที่เพื่อนสนิทผมเรียกว่า ยิ้มแบบเด็กอนุบาล ยิ้มแบบที่จะช่วยให้เขาไม่โกรธ
“....” เงียบต่อไปอีก โอ้ยยยย เป็นใบ้หรือไงคร้าบบบบ
“เอ่อ คุณ คุณ!! ปล่อยแขนผมก่อนดีมั้ย เรือจะไปแล้วนะ” ผมเรียกเขาเสียงดัง พร้อมบอกให้เขาปล่อยแขน เพราะผู้โดยสารคนอื่นขึ้นเรือไปหมดแล้ว ไม่กลัวตกเรือหรือไง
“ฮะ!! ว่าไงนะ” เขาสะดุ้ง แล้วถามกลับมาเสียงเรียบเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่ปล่อยแขนผม
“คือผมบอกว่า ปล่อยแขนผมก่อน แล้วรีบขึ้นเรือเถอะครับ เรือจะออกแล้ว” ผมพูดทวนให้เขาฟังอีกที พร้อมยกมือขวาชี้นิ้วหัวแม่มือไปด้านหลัง
เขามองตามมือผมที่ชี้ไปด้านหลังแล้วจึงหันกลับมามองมือตัวเองที่ยังจับต้นแขนข้างซ้ายของผมอยู่
“อืม ไปละ”ตอบเสียงคุมโทนเรียบเหมือนเดิม พร้อมกับปล่อยมือออกจากต้นแขนผม
“ครับ ขอโทษและขอบคุณอีกครั้งครับ” ผมพูดพร้อมก้มหัวเชิงขอบคุณ แล้วก็เบี่ยงตัวเพื่อเดินเข้าไปในอาคารของยอดพิมาน
“เดี๋ยว!”
ผมชะงักเท้าที่จะก้าวเดิน แล้วหันกลับไปมองตามเสียงเรียกด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่า แต่…” เขาชะงักคำพูด แต่ตาคมยังคงจ้องมาที่ผม
“...” ผมเลิกคิ้วขี้นเป็นเชิงถามว่า แต่อะไร?
.
.
“ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม” เขาตอบพร้อมยกยิ้มมุมปาก ส่งสายตาที่เดาความหมายไม่ออกมาให้ผม
“...” เอ่อ ผมเงียบสิทีนี้
เขาไม่พูดอะไรต่อ แค่หันกลับไปขึ้นเรือที่จอดรออยู่ เดินไปยืนตรงท้ายเรือที่เดียวกันกับที่ผมยืนก่อนหน้านี้
ผมก็ได้แต่ยืนมองตามเรือที่แล่นออกไปช้าๆพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังไปทั่วบริเวณ แต่ในโสตประสาทผมกลับไม่ได้ยินเสียงอะไร มีแต่ประโยคนั้น
ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม
กับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว
“เรารู้จักกันหรอ” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่มั่นใจมากว่าไม่เคยรู้จักคนๆนี้ หน้าตาก็ไม่เห็นคุ้นเลย
ผมยกยิ้มพร้อมส่ายหัวไล่ความคิดเกี่ยวกับคำถามมากมายในหัว ยังไงก็ไม่ได้เจออีกอยู่แล้ว จะสงสัยอะไรเนี่ย ได้เวลากลับบ้านแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงหันหลังเดินกลับเข้าตัวอาคารยอดพิมานเพื่อเดินกลับบ้านในทางที่คุ้นเคย
โดยที่ผมไม่รู้เลยว่า...ยังมีสายตาคู่นึงจ้องมองผมจากที่ๆไกลออกไปเรื่อยๆจบลับสายตา
*TBC
04/09/2017
*****************************************************
นัก(หัด)เขียนมือใหม่ ขอฝากน้องเจ้าพระยาไว้พิจารณาด้วยนะคะ แหะๆ เขินอ่ะ เคยแต่เป็นนักอ่าน แต่คราวนี้อยากลองแต่งเองบ้าง
ยังไงแนะนำ ติติงได้นะคะ จะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ
พูดคุย แนะนำผ่านแท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ในทวิตเตอร์ได้นะคะ
ท่าเรือที่ 1
เกียร์ไหน ใครคือเกียร์
“กลับมาแล้วครับ” ผมเอ่ยเสียงดังตรงประตูทางเข้าบ้านอย่างที่ทำเป็นประจำเมื่อกลับมาถึงบ้าน
บ้านผมเปิดธุรกิจค้าขายดอกไม้อยู่ย่านปากคลองตลาด เป็นร้านที่จำหน่ายดอกไม้ทั้งปลีกและส่ง รวมถึงมีสาขาอื่นๆทั่วเมืองหลวงที่บริการจัดและส่งดอกไม้ตามความต้องการของลูกค้าในโอกาสต่างๆ
เดินเข้ามาในบ้านก็จะผ่านส่วนของตัวร้านก่อน ผมชอบกลิ่นของบ้านผมมากๆ กลิ่นของดอกไม้นานาชนิด มันช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เพราะแม่ผมจะนำดอกไม้ที่มีกลิ่นไม่แรงและเข้ากัน มาจัดภายในร้านอย่างสวยงาม ส่วนดอกไม้กลิ่นแรงก็จะเก็บไว้ในตู้แช่อย่างดี เวลาลูกค้ามาเลือกซื้อดอกไม้ที่ร้านถึงจะนำออกมาจำหน่าย
“อ๊ะ” ขณะที่กำลังเพลิดเพลิน ผมก็ได้รับรู้ถึงแรงกอดรัดจากทางด้านหลัง ผมยกยิ้มเมื่อสัมผัสกับแขนเล็กที่กอดรอบตัวผมอยู่
“กลับมาแล้วหรอพี่เจ้า มาสอนการบ้านเค้าหน่อย การบ้านเคมีย๊าก ยาก” คนตัวเล็กบ่นอุบ แล้วเอาคางมาเกยไว้ที่ไหล่ข้างขวาของผม
“อื้ม ได้สิ แต่ต้องหลังอาหารเย็นนะ เพราะตอนนี้พี่หิวมากๆเลยพา” เอ่ยต่อรองคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม พร้อมเอามือลูบท้องประกอบการโอดโอย
“เย้! พี่เจ้าของพาใจดีและเก่งที่สุด งั้นเราไปหาแม่ในครัวกัน” คนตัวเล็กกระโดดดีใจ ใบหน้าขาวมีสีหน้าแห่งความสุข ปากยิ้ม ตาหยี หน้าเอ็นดูจริงๆ
“อื้ม ไปสิ” เอ่ยตอบพร้อมยิ้มกว้างให้น้องสาว
คนตัวเล็กที่มาพันแข้งพันขาผมนี่ น้องสาวผมเอง ชื่อ พารัก เรื่องชื่อก็พ่อผมนี่แหละที่ตั้งให้ คล้องจองกับชื่อผมเอง เจ้าพระยา-พารัก โรแมนติกสุดๆ น้องผมเรียนอยู่ ม.5 ในโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านนี้แหละ พารักเป็นเด็กน่ารัก...สำหรับคนอื่น สำหรับผมนี่ หึหึ เป็นสุดแสบของผมเลยล่ะ แต่ผมก็รักของผมนะ ฮ่าๆ
เมื่อเดินถึงหน้าห้องครัว กลิ่นอาหารอันหอมหวลก็ลอยมาปะทะกับจมูกผม กลิ่นนี้เป็นสารเรียกน้ำย่อยได้ดีเลยทีเดียว แต่ก่อนจะถึงครัวน้องพาวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของเธอ เห็นว่าได้เวลาดูรายการเพลงเกาหลีอะไรของเขานี่แหละ
“ที่รัก ของโปรดของเจ้าเสร็จหรือยังครับ” เอ่ยถามพร้อมสวมกอดที่รักผู้เป็นแม่จากด้านหลัง
ฟอด~~~~
ฉวยโอกาสหอมแก้มสักที คิคิ
“หื้ม เสร็จแล้วจ๊ะ กำลังเก็บของนิดหน่อย เจ้าจะทานมื้อเย็นเลยมั้ยลูก แม่จะได้ให้พี่หวานตั้งโต๊ะเลย”
“ทานเลยแม่ เจ้าหิวมากๆ อยากกินกับข้าวฝีมือแม่ละเนี่ย”
“ปากหวานได้ใครมาเนี่ยลูกคนนี้” แม่ยิ้มกว้างแล้วเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่พร้อมบีบจมูกผมเบาๆ
“ทายาทของพ่อซะอย่าง เหมือนพ่อแน่นอนครับ ฮ่าๆ”
“เอ๊ะ แล้วนี่ไปทำอะไรมา เสื้อชื้นๆนะเจ้า” แม่คลายมือผมที่กอดเอวแม่อยู่ แล้วพลิกตัวหันมาเอามือลูบตรงเสื้อที่ชื้นๆ
“แหะๆ น้ำกระเด็นใส่อีกแล้ว”
“ไงล่ะ ชอบจังเลย นั่งเรือเนี่ย แม่บอกให้ขับรถไปก็ไม่ยอม”
“ไม่เอาอ่ะแม่ ผมไม่ชอบการไปนั่งดูทะเบียนท้ายรถคนอื่นบนถนน น่าเบื่อแย่ กว่าจะถึงมหา’ลัย อีกอย่าง เจ้าชอบบรรยากาศตอนนั่งเรือมากกว่า มันเพลินดี” ผมพูดพลางส่ายหัวให้กับประเด็นแรก แล้วก็ยิ้มกว้างพรีเซนต์เหตุผลตัวเองให้ผู้เป็นแม่ฟัง
“เอาเถอะ แล้วแต่ลูกเลยจ๊ะ เอ...พารักไปไหนล่ะลูก ไปตามน้องมาทานข้าวไป เดี๋ยวแม่จะให้พี่หวานตั้งโต๊ะละ”
“ครับผม”
ผมเดินขึ้นชั้นสองไปตามน้องพารักมาทานข้าวตามคำบัญชาของคุณแม่สุดสวย น้องสาวผมพักชั้นสอง ชั้นเดียวกับพ่อแม่ ส่วนผมยังหนุ่มยังแน่น ชั้นสามนู่นเลย
มื้อเย็นวันนี้ก็ทานอาหารกันไม่พร้อมหน้าเท่าไหร่ เพราะพ่อผมไม่อยู่ครับ ไปดูงานที่สวนดอกไม้ของครอบครัวที่เชียงใหม่
บ้านผมที่กรุงเทพนั้นอยู่กัน 4 คน มีพ่อ แม่ ผม และน้องพา ส่วนคุณตา คุณยาย กับญาติๆนั้นอยู่เชียงใหม่ มีสวนดอกไม้เป็นของตัวเองและมีนำเข้าพันธุ์ดอกไม้จากต่างประเทศด้วย เป็นธุรกิจครอบครัวที่แท้จริง
ระหว่างทานอาหารก็พูดคุยกันเกี่ยวกับชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ แต่หนักไปทางฟังน้องพาบ่นเรื่องที่โรงเรียนมากกว่า พอทานเสร็จก็แยกย้ายกันขึ้นห้องเพื่อทำความสะอาดร่างกายกันสักหน่อย สภาพผมที่ปล่อยแห้งมาก็รีบจัดการตัวเองอย่างว่องไวเพื่อรีบไปสอนการบ้านให้น้องพา รายนั้นนะถ้าสอนค่ำเกินไปก็จะงอแงไม่ฟังคำอธิบาย จะให้เฉลยคำตอบให้อย่างเดียว
-------------------------------------------
ก็อก ก็อก ก็อก
“เข้ามาเลยพี่เจ้า พาไม่ได้ล็อค” เสียงใสเอ่ยบอกผมผ่านบานประตูที่กั้นอยู่ ผมจึงหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตูเข้าไปตามคำอนุญาต
“ไงเรา จะให้พี่สอนอะไร หลับในห้องเรียนหรือไงถึงต้องให้พี่มาสอนเนี่ย”
“ไม่หลับเลยเหอะพี่เจ้า แต่ครูเขารีบสอนไปไหนไม่รู้ กระพริบตาทีก็เปลี่ยนหน้าละ” เจ้าของเสียงใสบ่นอุบพร้อมยู่ปาก อมลมจนแก้มป่อง ทำอะไรก็น่ารักไปหมดนะน้องผม
“ฮ่าๆ มาๆไหนข้อไหน” ผมตัดบทรีบสอน ก่อนที่จะมีการบ่นยาวกว่านี้
~~บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง~~
เสียงริงโทนคุ้นหูของผมดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง bang bang ขาสั้นที่ผมชอบใส่นอน ผมจึงล้วงมือเข้ากระเป๋าเพื่อหยิบมาดูรายชื่อ
-ภาคพิสดาร-
มุมปากของผมยกขึ้นให้กับชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ ชื่อที่ตั้งใจตั้งให้สุดๆ ผมจึงเงยหน้าบอกน้องพาว่าขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกห้องแปบนึง
ติ๊ด!
(ไอ้เจ้าาาาาา!!)
เสียงเรียกชื่อผมจากคนในสายทำเอาผมต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกจากหู จะตะโกนทำไมวะเนี่ย
“มีไรมึง จะตะโกนทำไม หูจะแตก” ผมทำเสียงบ่นทีเล่นทีจริงใส่คนในสาย
(ไอ้เจ้า ช่วยกูด้วย มึงต้องช่วยกูนะเจ้า) เสียงร้องขอจากปลายสายที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว
“มึงเป็นไรภาค เกิดอะไรขึ้น”
(คืออย่างนี้มึง วันมะรืนนี้คณะกูเขามีพิธีไหว้ครู แล้ววันนี้ตอนเย็นพวกพี่ปี 2 ก็เรียกประชุมปี1 เรื่องทำพานไหว้ครู เพราะมีการประกวดระหว่างภาคในคณะด้วย แล้วมึงคิดดู ภาคโยธาแบบพวกกู แทบไม่ต้องสืบว่าปัญหาตอนประชุมเรื่องนี้คืออะไร) เจ้าของเรื่องบ่นยาวด้วยน้ำเสียงเครียด แต่ผมฟังแล้วตลกนะ
“ฮ่าๆ กูพอเดาได้ว่ะ แล้วสรุปยังไง” หลุดหัวเราะออกไปจนได้ และพอเดากับประเด็นหลักของเรื่องที่มันโทรมาหาผมได้ละ
(เอ้า ก็สรุปว่าไม่มีใครทำพานเป็นไงมึง กูเลยยกมือเสนอพี่ๆว่าให้จ้างทำเอา พี่แม่งตะโกนใส่หน้ากูเลยว่า กาก เขาบอกว่าต้องทำด้วยตัวเองให้ได้ ไม่งั้นโดนซ่อม)
“ฮ่าๆ” หัวเราะใส่ไปอีกที
(มึงจะขำอะไรเนี่ย กูเครียดอยู่นะเว้ย ทั้งรุ่นกูแม่งไม่มีใครทำพานเป็น ผู้หญิงในรุ่นยังทำไม่เป็นเลยมึง)
“แล้วมึงโทรหากู คือจะให้ช่วยอะไร รีบๆเข้าประเด็น กูสอนการบ้านน้องพาอยู่ ให้อีก 3 นาที” ผมรวบรัดตัดบทแกล้งทำเสียงเข้มใส่เพื่อนตัวแสบ เพราะเดาได้แล้วว่ามันจะให้ผมช่วยยังไง
(มึงมาช่วยกูทำพานหน่อยนะไอ้เจ้า กูขอร้อง มีมึงคนเดียวที่จะช่วยกูได้ เอ๊ะ ไม่สิ ไอ้อินอีกคน มึงพามันมาช่วยกูด้วยนะ นะๆๆๆๆ) ปลายสายส่งเสียงอ้อนวอน ถ้าอยู่ตรงหน้า ผมว่ามันลงไปคุกเข่าอ้อนวอนแน่ๆ
“กูจะช่วยได้หรอวะ ก็พี่มึงบอกว่าต้องช่วยกันทำเอง แล้วกูกับไอ้อินไปนั่งทำ พวกมึงจะไม่โดนซ่อมหรอวะ” ย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัย
(ช่วยได้ดิมึง เรื่องนั้นเดี๋ยวกูเคลียร์กับรุ่นพี่กูเอง มึงสบายใจได้ ขอแค่มึงตกลงมาช่วยกูก็พอ นะๆไอ้เจ้า เอาดอกไม้จากร้านมึงด้วย คิดราคาเต็มไปเลย ทำเสร็จเดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวมึงอีกเอ้า อยากกินอะไรบอกมาเลย กูจะสรรหามาให้) เพื่อนผมเข้าสู่ช่วงโปรโมทบริการหลังการขายกันเลยทีเดียว แถมเอาของกินมาล่ออีก หึหึ คิดว่าผมจะปฏิเสธมั้ยล่ะ ไม่ได้เห็นแก่กินนะ คิคิ
“ก็ถ้ามึงว่าไม่มีปัญหาก็โอเค แต่พวกกูคงไปช่วยตอนบ่ายนะ มีเรียนตอนเช้าว่ะ”
(โอ้ย ไอ้เจ้า กูดีใจชิบหาย ขอบคุณมึงมากๆ พรุ่งนี้กูจะไปช่วยมึงขนดอกไม้แต่เช้า แล้วไปส่งมึงถึงหน้าคณะเลย ขอบคุณจริงๆนะมึง ที่ช่วยพวกวิศวะกากๆอย่างพวกกู) เสียงดีใจจากปลายสายทำผมยกยิ้มพร้อมส่ายหัวให้กับคำพูดมัน
“เออ พรุ่งนี้ก็มาแต่เช้า เจอกันมึง แล้วเรื่องเลี้ยงข้าว ห้ามเบี้ยวไม่งั้นมึงเจอกู”
(ฮ่าๆ โอเคๆ ไม่เบี้ยวแน่นอน กูรู้ว่าเรื่องกินมึงจริงจัง เจอกันๆ ขอบคุณอีกครั้งมึง)
“อืม บาย”
(บาย)
กดวางสายด้วยรอยยิ้มจากเพื่อนสุดแสบ เพื่อนผมคนนี้มันชื่อ ภาค ครับเป็นเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่เรียนมัธยมต้น กลุ่มของเรามีกัน3คน มีผม ไอ้ภาค และอิน ไอ้ภาคมันเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิศวกรรมโยธา ส่วนผมกับอิน เรียนคณะเดียวกัน ตอนเรียนมัธยมจะทำอะไร ไปไหน ก็มีกัน 3 คนตลอด สนุกดีนะครับมีเพื่อนอย่างพวกมัน ส่วนนิสัยเพื่อนของผม ก็เรียนรู้พวกมันไปพร้อมๆกับเรียนรู้ผมนะครับ แต่บอกไว้ก่อนว่าอาจจะปวดหัวกับไอ้ภาค ฮ่าๆ
หลังจากเคลียร์ปัญหาช่วยเพื่อนอันเป็นที่รักแล้ว ผมก็กลับไปสอนการบ้านน้องพาจนเสร็จ แล้วถึงได้เดินไปเคาะห้องแม่ บอกถึงเรื่องที่ไอ้ภาคจะซื้อดอกไม้ที่ร้านแล้วให้ผมไปช่วยทำพานในวันพรุ่งนี้ ผมกับแม่ แล้วก็พี่หวานจึงต้องมาช่วยกันจัดดอกไม้และอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับจัดพานเตรียมไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่รีบจนอาจจะลืมอะไรไป
--------------------------------------------
เช้าวันใหม่ที่ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะไอ้ภาค เพื่อนตัวดี มันโทรมาปลุกผมตั้งแต่ตี 5 เพราะมันกลัวมาช้าแล้วผมเปลี่ยนใจ โถ่ ไอ้ภาค พอจัดการเตรียมของเสร็จประมาณ 6 โมงเช้า ผมก็ยกของทั้งหมดมาไว้ที่หน้าร้าน ใช้เวลาไม่นานรถของไอ้คุณภาคก็มาจอดเทียบหน้าร้านผม
ปริ้น ปริ้น~~~
เสียงแตรของรถสัญชาติญี่ปุ่นคันหรูสีดำเงาวับ และเป็นตัวท็อปของรุ่นก็ดังขึ้น เรียกให้แม่และผมเดินออกไปดูหน้าร้าน พอดีกับที่เจ้าของรถเปิดประตูลงมาพร้อมกับเสียงทักทาย
“สวัสดีครับแม่ แม่ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” ไอ้ภาคยกมือพุ่มไหว้แม่ผมพร้อมเอ่ยทักทาย ตามต่อท้ายด้วยประโยคเอาใจตามแบบฉบับของมันที่ทำเป็นประจำเวลาคุยกับแม่ผม
“แหม ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะลูก” แม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุน สายตาเอ็นดูกับคำพูดของไอ้ภาค
“มึง มาเลย รีบมาขนของขึ้นรถ เดี๋ยวรถติดแล้วไปไม่ทันนะเว้ย กูมีเรียนแปดครึ่ง” ผมรีบตัดบทสนทนาระหว่างไอ้ภาคกับแม่ เพราะเดี๋ยวจะยาว
“เออๆ มา เดี๋ยวกูยกเอง หุ่นอย่างมึงไม่ต้องยกหรอก มึงขึ้นไปนั่งบนรถให้สบายใจได้เลยคุณเพื่อนผู้มีพระคุณ” ไอ้ภาครีบตอบรับเอาใจผม และอาสาจะยกของเองทั้งหมด มีหรือผมจะปฏิเสธ หึหึ
ผมยกมือไหว้แม่ พร้อมกล่าวขอตัวไปขึ้นรถเตรียมไปเรียน ก่อนขึ้นก็หอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่ เลยได้รับการหอมกลับคืนมาเป็นกำลังใจในการเรียนวันนี้ แล้วเดินไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พาตัวเองขึ้นไปนั่งรอไอ้ภาคยกของ
“แม่ ผมไปแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะครับ เดี๋ยวเรื่องค่าใช้จ่ายผมจะฝากเจ้ามานะ” ไอ้ภาคยกมือไหว้ พร้อมกล่าวลาแม่ผม หลังจากขนของเสร็จมันก็ขึ้นมานั่งฝั่งคนขับเตรียมพร้อมเดินทางไปมหาวิทยาลัย
“จ้าๆ ขับรถดีๆนะลูก ไม่ต้องรีบ แล้วถ้าพานเสร็จแล้วอย่าลืมถ่ายรูปมาให้แม่ดูด้วยนะ อยากรู้ว่าฝีมือของเจ้าจะตกรึยัง” แม่เอ่ยพร้อมยกยิ้มแซวผม
“ระดับนี้แล้วแม่” ผมเอ่ยตอบแม่เสียงดังด้วยรอยยิ้ม พร้อมยกมือข้างนึงมาตบอกแสดงความมั่นใจ เพราะฝีมือการทำพานของผมได้รับมาจากแม่หนิ ก็มั่นใจว่าสุดยอดแน่นอน
“จ้า ลูกแม่เก่งจ้า เอ้า ไปได้แล้วลูก เดี๋ยวจะสาย”
“คร้าบ” ผมกับไอ้ภาคตอบพร้อมกัน ก่อนจะเร่งเครื่องให้รถออกตัวไปตามเส้นทางที่จะต้องการจะไปถึงจุดหมาย
------------------------------------------------
มหาวิทยาลัย U
รถเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูทางเข้าของมหาวิทยาลัย และกำลังมุ่งหน้าไปทางคณะเภสัชศาสตร์
“เจ้า มึงจะไปที่คณะกูเองหรือให้กูมารับ?” ไอ้ภาคถามผมระหว่างที่ตามันยังมองถนนตรงหน้า ทางที่จะไปคณะผม
“เดี๋ยวกูไปเองดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา มึงก็เตรียมของที่คณะไว้รอกูละกัน”
“เออ เอางั้นก็ได้” มันตอบพร้อมเปิดไฟเลี้ยวแสดงสัญญาณชิดซ้ายเพื่อจอดหน้าคณะผม
“เอ้อ แล้วก็อย่าเปิดกล่องโฟม หรือให้ใครจับดอกไม้บ่อยนะ เดี๋ยวมันจะช้ำ เอาไปไว้ที่เย็นๆได้ก็ดี”
“โอเคครับคุณเจ้า กระผมจะดูแลดอกไม้เป็นอย่างดี ไม่ให้ช้ำแน่นอนครับ” ภาคเอ่ยตอบล้อเลียน หน้าหมั่นไส้ชิบหาย
“เออดี งั้นกูไปละ บาย” บอกลามันก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้วย้ายตัวเองออกมายืนส่งมัน จนมันเคลื่อนรถออกไป
พอพ้นสายตาผมก็หันหลังเดินเข้าไปในคณะ กระชับกระเป๋าสะพายเดินผ่านโต๊ะไม้ที่บริเวณลานใต้คณะ บริเวณที่สำหรับให้นิสิตนั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ หรือพบปะพูดคุยกัน
“เจ้า เจ้า ทางนี้” เสียงคุ้นเคยที่เรียกชื่อผม ทำให้ผมชะงักเท้าที่จะเดินไปทางลิฟต์ แล้วหันไปตามเสียงเรียก ก็พบใบหน้าคุ้ยเคยที่มีรอยยิ้มส่งมาให้ ซึ่งเจ้าตัวยกมือเรียกผมอยู่
ผมพยักหน้าแล้วเดินไปในทิศทางที่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้
“ไงอิน ทำไมมาเช้าจัง” ผมกล่าวทักทายเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนของผม
“เช้าอะไร กูก็มาเวลานี้ปกติ มึงอ่ะทำไมมาเช้า” อินย้อนถามผม เพราะผมมาเช้ากว่าปกติจริง ฮ่าๆ แต่ทุกครั้งที่มาก็ไม่ถือว่าสายนะ
“อ้อ พอดีไอ้ภาคมันไปรับกูแต่เช้าอ่ะ”
“หืม ไอ้ภาคไปรับ? ปกติมึงมาเรือหนิ แล้วทำไมวันนี้มากับไอ้ภาค” อินขมวดคิ้วถามผม
“ก็วันนี้มันจะให้กูกับมึงไปช่วยพวกมันทำพานไหว้ครูที่คณะมัน แล้วสั่งดอกไม้ร้านกูด้วย มันเลยอาสาขับรถไปรับแล้ว” ผมตอบคลายความสงสัยให้อินฟัง
“เดี๋ยวนะๆ ทำพานอ่ะกูเข้าใจละ แต่เมื่อกี้เหมือนกูได้ยินมึงพูดว่า 'กูกับมึง' นี่อย่าบอกนะว่ากูต้องไปช่วยมันด้วย”
“อืม มึงฟังไม่ผิด มึงต้องไปช่วยมันทำพานกับกู โอเคนะ”
“โห้ยยยยย อะไรวะ อยู่มหา’ลัยแล้ว กูยังต้องมาทำพานอะไรแบบนี้อีกหรอวะ” อินบ่นอุบแถมยังยู่ปากใส่ผมอีก
“เออ เอาน่ะ ถือว่าช่วยมัน มันบอกจะเลี้ยงข้าวตามใจเราเลยนะเว้ย” ผมเอาอาหารมาล่ออินมันจะได้เลิกงอแง
“นี่สินะ สินบนที่มันติดมึงไว้ ไอ้เจ้า ไอ้คนเห็นแก่กิน” อินเอ่ยว่าผมแบบไม่จริงจังพร้อมยกนิ้วชี้ชี้หน้าผม
“สรุปไปช่วยมันนะอิน” ผมถามย้ำถึงความสมัครใจอีกครั้ง
“เออ ปฏิเสธได้หรอวะ” อินตกลงแบบเต็มใจ
“ปะ ไปเรียนกัน เดี๋ยวลิฟต์คนเยอะ แถวยาวอีก” จบเรื่องผมก็ชวนอินขึ้นไปรอที่ห้องเรียน
นี่แหละอิน เพื่อนสนิทอีกคนของผม เรา 3 คนมีบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่มันก็เป็นความลงตัวอย่างนึงที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้
----------------------------------------------------
ผ่านพ้นการเรียนช่วงเช้าไปได้ด้วยดี สภาพผมกับอินยังใช้ได้อยู่ ไม่เหมือนไปรบมาเท่าไหร่ ผมกับอินเลยชวนกันไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารของคณะก่อน ถึงจะไปช่วยภาคทำพานที่คณะ พอกินข้าวเสร็จผมกับก็นั่งเมล์วนไปคณะวิศวะฯ ซึ่งเป็นรถเมล์ของทางมหา’ลัย ซึ่งมันจะขับวนรอบจนทั่วมหา’ลัย รอนาน แต่สะดวกดี
เมื่อก้าวลงจากรถหน้าคณะวิศวะฯก็ตัดสินใจโทรหาภาค บอกถึงการมาของผมกับอิน เอาง่ายๆคือ ไม่กล้าเดินทะเล่อเข้าไปในคณะมันหรอกครับ ขึ้นชื่อว่าคณะวิศวะฯ ผมคิดอิมเมจในหัวได้แบบเดียวเลยคือ เซอร์ โหด เถื่อน ถึงความจริงจะไม่เป็นงั้น แต่ขอเกรงไว้หน่อยนึง เดี๋ยวจะไม่รอดกลับคณะ
ตู๊ด........ตู๊ด..........
“ฮัลโหลภาค กูกับอินอยู่หน้าคณะมึงละ”
(อ่าว ทำไม...เออๆ เดี๋ยวกูออกไปรับ) ไอ้ภาคตอบรับเหมือนจะถามอะไร แต่มันคงเดาได้ทันที ถึงได้ตัดบทจะออกมารับเลย
“อืม โอเค”
ติ๊ด
รอไม่นานก็มองเห็นเพื่อนสนิทรูปร่างสูง 185 เซนฯแบบหุ่นนักกีฬา มีมัดกล้ามและเส้นเลือดโผล่พ้นแขนเสื้อจนน่าอิจฉา ผิวขาวแบบคนมีเชื้อสายจีน คิ้วเข้ม ตาตี่ ปากเป็นกระจับได้รูป ทรงผมอันเดอร์คัทรับกับใบหน้าเนียน ตามสูตรสำเร็จของเดือนคณะ วิ่งออกจากตัวอาคารมาทางผม ครับ ไอ้ภาคเป็นเดือนคณะวิศวะฯปี 1
“ไง กินข้าวเที่ยงกันมายัง พวกเพื่อนกูนัดรวมตัวเริ่มทำกันตอนบ่ายโมงอ่ะ”
“กินแล้ว ให้กูเริ่มทำกันไปก่อนก็ได้ จะได้รีบเสร็จ” ผมตอบไอ้ภาคแล้วเสนอความคิดเห็น เพราะมันก็บอกว่าเพื่อนมันทำไม่เป็น ผมจะรอทำไมล่ะ
“ว่าแต่พวกมึงมีแบบพานที่อยากได้กันปะ ออกแบบกันไว้มั้ย” อินเป็นฝ่ายถามออกไป
“หึ ไม่มีมึง ทำยังทำไม่เป็นกัน ไม่มีใครเสล่อออกแบบหรอก” ภาคอธิบายความกากเรื่องงานฝีมือของตัวเองและเพื่อนร่วมคณะ
“งั้นดีละ พวกกูจะได้ทำแบบไม่ยากมาก คนอื่นๆจะได้เชื่อว่าพวกมึงทำ ฮ่าๆ” อินเอ่ยตอกย้ำความกากใส่ไอ้ภาคอีกรอบ
“เออ แบบไหนก็ได้ งั้นเข้าไปกันเถอะ กูกับเพื่อนยกของลงมาเตรียมไว้ให้ละ เราจะทำพานกันที่โต๊ะม้าหินใต้อาคารนี่แหละ เผื่อทำถึงค่ำจะได้มีแสงไฟ” ไอ้ภาครีบตัดบทก่อนจะโดนตอกย้ำไปมากกว่านี้
ผมกับอินก็รีบก้าวตามไอ้ภาคไป เพราะอยากรีบทำเหมือนกัน รีบเสร็จ รีบกลับ เอาความจริงคือผมก็ไม่อยากอยู่นาน รู้สึกเกร็งๆ กับเพื่อนผมก็เฟรนด์ลี่ดี๊ด๊าแหละ แต่กับคนอื่น ขอก่อกำแพงไว้นิดนึงละกัน
เมื่อเราสามคนเดินเข้ามาถึงโต๊ะใต้คณะวิศวะ ก็เห็นกล่องและถุงดอกไม้วางไว้ พร้อมอุปกรณ์สำหรับงานฝีมือที่ผมเตรียมใส่กล่องมาอย่างดีตั้งรออยู่แล้ว ผมมองไปรอบๆบริเวณนั้น ก็พบเด็กวิศวะฯนั่งกันอยู่หลายกลุ่ม มีทั้งใส่ชุดนักศึกษาธรรมดา ไม่ก็ใส่เสื้อช็อปคู่กับกางเกงยีนส์ การแต่งตัวของแต่ละคน อืมมมม หาคนถูกระเบียบยากแฮะ ผมละความสนใจจากบริเวณรอบข้าง แล้วมาช่วยอินเอาดอกไม้ ใบตอง เข็ม ด้าย แม็ก ลวด ออกมาเตรียมไว้ หลังจากนั้นก็ช่วยกันคิดแบบพานไหว้ครู แบบพานก็คงเป็นแนวเรียบหรู ไม่อลังการแต่คงความละเอียดของการเย็บบายศรีไว้ ผมกับอินเลือกทำในส่วนที่เป็นงานฝีมือแบบละเอียดก่อน ทำแยกเป็นชิ้นๆไว้ จะได้ให้พวกเด็กวิศวะฯมาช่วยกันประกอบเอง
สรุปแบบกันได้แล้วก็เริ่มลงมือทำ ผมนำใบตองมาเช็ดด้วยน้ำมันมะกอกแล้วก็เจียดใบตองให้มีขนาดเท่ากันๆ ส่วนอินก็เอาลวดมาดีดให้เป็นรูปกลีบบัว เพื่อเป็นโครงในการเย็บบายศรี ผมกับอินทำเป็นก็เพราะว่าแม่ผมนี่แหละ เมื่อก่อนที่ร้านจะรับจ้างทำพานไหว้ครู พานบายศรีต่างๆ คนที่ทำก็คือแม่ผม คราวนี้พอเห็นแม่ทำได้สวยมากๆ ผมที่เป็นคนชอบอะไรที่ท้าทาย ขี้สงสัย ก็เลยอยากคลายความสงสัยว่างานแบบนี้ผู้ชายทำได้มั้ย ก็เลยขอให้แม่ลองสอน พอทำไปทำมามันก็เพลิน เหมือนได้ฝึกสมาธิ หลังจากนั้นก็ช่วยแม่ทำมาตลอด เวลาอินมาเล่นที่บ้าน ผมก็จะชวนมันมาทำด้วย ตอนแรกคิดว่ามันจะไม่ชอบ ที่ไหนได้ชอบทำมากกว่าผมอีก มีช่วงหลังนี่แหละที่ร้านไม่ค่อยรับงาน เพราะการขยายตัวของร้าน การเพิ่มสาขา แม่ก็เลยไม่มีเวลารับงานแบบนี้ ผมกับอินก็ห่างหายไปจากงานฝีมือพอสมควรแต่ก็ไม่มีทางลืม
ระหว่างที่ทำอยู่เพื่อนๆของไอ้ภาคก็มารวมตัวกัน ผมประมาณด้วยสายตาก็ประมาณ 6-7 คน จากที่เห็นมีผู้หญิงแค่ 3 คน เธอทั้ง 3 คนก็เดินมาทางที่ผม อิน และไอ้ภาคนั่งอยู่
“ภาค เริ่มทำกันแล้วหรอ” หนึ่งในสามคนทักไอ้ภาค
“อื้ม เพื่อนเราเริ่มทำไปละส้ม เอ้อ ส้ม มิวซ์ แยม นี่เจ้ากับอิน เพื่อนเรานะ” ไอ้ภาคแนะนำผมกับอินให้เพื่อนผู้หญิงทั้งสามคนรู้จัก แต่ผมยังจำไม่ได้หรอกว่าใครชื่ออะไร รู้แต่ว่า น่ารัก ฮ่าๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้า อิน ว่าแต่ทำอะไรอยู่อ่ะ มีอะไรให้พวกเราช่วยบ้าง” คนนี้น่าจะชื่อแยมมั้ง เอ่ยถามผม
“อ่อ ทำบายศรีอยู่อ่ะ แบบนี้” ผมตอบพลางยื่นบายศรีที่ทำเสร็จแล้วให้เธอดู
“โหววววว เจ้า นี่เจ้าทำเองหรอ สวยมากอ่ะ งานละเอียดโคตรๆ เห้ยๆ พวกมึง มาดูนี่ เพื่อนไอ้ภาคทำโคตรสวย” แยมตาโตเมื่อเห็นบายศรีที่ผมยื่นให้ดู พร้อมหยิบไปดูใกล้ๆ แถมยังหันไปเรียกเพื่อนคนอื่นๆมาดูอีก
สิ้นเสียงของแยม เพื่อนไอ้ภาคคนอื่นๆก็กรูกันเข้ามาดูใกล้ๆ
เชี่ย ทำได้ไงวะ สวยวะ
ฝีมือโคตรละเอียด
เราเป็นผู้หญิง เรายังไม่สามารถเลยอ่ะ เรายอมเจ้ากับอินเลย
แต่คนทำน่ารักนะ ไม่แปลกใจที่ทำได้
และยังมีอีกหลายเสียงชม เสียงวิจารณ์
“พวกมึงถอยเลย เพื่อนกูกลัว เดี๋ยวมันก็ทำไม่สะดวกหรอก” ไอ้ภาครีบออกปากไล่เพื่อนมันให้ถอยออกจากผมกับอิน
“แบบนี้พวกกูก็แทบไม่ต้องทำไรแล้วดิ เพื่อนมึงฝีมือเทพขนาดนี้” เสียงเพื่อนผู้ชายคนนึงของไอ้ภาคเอ่ย
“ไม่รู้เว้ย แต่พวกมึงต้องสแตนบายด์รอ เอ้อ เจ้า มีอะไรให้พวกกูทำก็บอกนะ” ไอ้ภาคตอบเพื่อนมันก่อนจะหันมาพูดกับผม
“ก็เดี๋ยวรอพวกกูทำบายศรีเสร็จ ก็จะให้ช่วยกันประกอบอ่ะ พวกมึงจะได้มีส่วนร่วม พี่มึงจะได้ไม่สั่งซ่อม” ผมอธิบายให้ไอ้ภาคฟัง แต่ระดับเสียงก็พอที่จะทำให้เพื่อนมันทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ยิน
“เจ้าใจดีว่ะ แถมน่ารักอีก” เสียงเพื่อนมันอีกคนพูดขึ้นมา ผมหันไปมอง เจ้าของเสียงพูดก็ยิ้มให้ผม
“อะไรมึงไอ้แทน กูรู้นะมึงคิดอะไร นี่เพื่อนกู อย่าแม้แต่จะคิด” ไอ้ภาคตะโกนสวนเพื่อนมันทันที ตามสไตล์คุณพ่อของกลุ่ม ฮ่าๆ
ไม่ต้องแปลกใจ ผมกับอินโดนบ่อยจนมันต้องสถาปณาตัวเองเป็นไม้กันหมาดูแลพวกผม ทำไมถึงโดนแซวบ่อยน่ะหรอ ก็เพราะ...
“เอ้า ไอ้ภาค ก็เจ้าน่ารักจริงๆนี่นะ หุ่นก็บาง ขาวก็ขาว หน้าตาก็น่ารัก แก้มก็น่าหยิก กูเป็นผู้หญิงกูยังยอม จริงมั้ยพวกมึง” มิวซ์ที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้น แถมยังหันไปถามความเห็นคนอื่น
“จริง!!!!” อะไรจะพร้อมใจกันตอบพร้อมกันขนาดนั้น
ตามนั้นแหละครับ
ผมนี่ก้มหน้าก้มตาทำบายศรีต่อเลย อยากเถียงใจจะขาด แต่นี่ไม่ใช่ถิ่นผมไง ถึงจะมีไอ้ภาคอยู่ก็ยังไม่ชัวร์ในความปลอดภัย ความเงียบคือทางที่ดีที่สุด เพราะอินมันยังเงียบเลย
เพราะถ้าอินไม่เงียบ อินโดนหนักกว่าผมแน่ เพราะรายนั้นนะ เหลือแค่ไว้ผมยาว มันก็จะแยกไม่ออกทันทีว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย มันหน้าหวานมาก ตัวบางกว่าผมอีก นิสัยมันแมนๆนะ แต่กายภาพมันโคตรเหมือนผู้หญิง
มีต่อด้านล่างนะคะ
ท่าเรือที่ 2
ปลาทองหน้าโง่
ตื้อดึง! ตื้อดึง! ตื้อดึง!
และอีกหลายตื้อดึง
“โว้ยยย” ผมสบถลั่นให้กับเสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมยอดฮิตที่มีหมีสีน้ำตาลและผองเพื่อนเป็นตัวเรียกแขก
“ใครวะ”
เมื่อกดปุ่มโฮมตรงด้านล่างจอโทรศัพท์สีขาวของผม หน้า lock screen ก็สว่างขึ้นปรากฎชื่อที่คุ้ยเคยของเพื่อนซี้สองคนที่มันกำลังโวยวายเรียกผมอยู่ในกลุ่มแชท
-คนหล่อ2017-
นั่นแหละครับชื่อกลุ่ม
Today
GU PHAK
เจ้า
อยู่มั้ยวะ
ไอ้เจ้าโว้ยยย
Inn-Touch
มันหลับแล้วมั้งมึง
GU PHAK
ไอ้เจ้าไม่หลับเร็วขนาดนี้
มันถึงบ้านยังวะ
JAO-YA
พวกมีงมีไร
ถ้าเหตุผลที่เรียกกูย้ำๆฟังไม่
ขึ้น มึงโดนกูด่าแน่ กำลังดู
GOTอยู่สัด เสียเวลา
GU PHAK
มึงรู้จักพี่เกียร์หรอ?
JAO-YA
เกียร์?
เอาตามจริงก็ ไม่ว่ะ
Inn-Touch
แต่วันนี้ทำไมมึงถึงทำท่าตกใจ
ตอนเห็นหน้าพี่เขาล่ะ
GU PHAK
เออ ใช่ มีไรที่พวกกูไม่รู้
JAO-YA
โอ้ยยยยยย
กูจะเริ่มเล่าไงดีวะ
กูก็งงอยู่เนี่ยว่าทำไมรุ่นพี่มึงคน
นั้นถึงทำเหมือนรู้จักกู คืองี้มึง...
แล้วผมก็เล่าเรื่องเมื่อวานตอนเย็นที่ผมเดินชนรุ่นพี่ของไอ้ภาค รวมถึงคำพูดแปลกๆทั้งหมด ไอ้สองคนนั้นก็วิเคราะห์กันไปต่างๆนานา ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไรหรอก บางทีก็ขี้เกียจคิด พี่เกียร์อาจจะแค่จำคนผิดก็ได้ ผมก็คุยกับพวกมันอีกสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน ไอ้ภาคมีการย้ำด้วยนะว่าพรุ่งนี้ให้รอฟังข่าวดี แหม มั่นใจนักนะมึง
---------------------------------------------------
เช้าวันใหม่อันแสนสดใส วันที่ผมไม่ต้องเร่งรีบกับการเดินทางเหมือนเมื่อวาน ขึ้นเรือตากลมตอนเช้าๆซึมซับบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไปต่อรถไฟฟ้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถาบันการศึกษาชื่อดังใจกลางเมืองของผม
การเรียนในภาคเช้าเป็นไปอย่างราบรื่น ผมกับอินเวลาเรียนจะตั้งใจกับเนื้อหาที่เรียนมากๆ เพราะเชื่อมาตลอดว่าการตั้งใจเรียนในห้องคือการเรียนที่ดีที่สุด ตอนสอบก็ไม่เคยเหนื่อยเลย อ่านหนังสือทบทวนเล็กน้อยก็พอจะทำข้อสอบได้ ตอนสอบเหนื่อยสุดก็ตรงที่ต้องมานั่งติวไอ้ภาคเนี่ยแหละ รายนั้นชอบมากกับการเป็นอัจฉริยะข้ามคืนผมสองคนทำแบบนี้กันมาตั้งแต่ ม.ปลาย หวังว่าวิธีนี้จะทำให้พวกผมอยู่รอดปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัยนะครับ เหอะๆ
พอสัญญาณเลิกคลาสจากอาจารย์ผู้สอนดังขึ้น ผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแลคเชอร์เพื่อพักสายตา ปล่อยให้อินเก็บของไปพลางๆรอให้เพื่อนคนอื่นๆออกจากห้องไปก่อน
“เจ้า วันนี้กินข้าวที่ไหนดี วันนี้มีเรียนบ่าย” อินเอ่ยถามผม แต่ประโยคตามหลังคงจะสื่อว่าไม่อยากไปไกลจากตึกมั้ง
“มึงเลือกเลย” ผมตอบทั้งที่หน้ายังฟุบอยู่ที่โต๊ะ
“งั้นกินก๋วยเตี๋ยวป้าเย็นกัน”
ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าอิน พร้อมกับเลิกคิ้วใส่มัน
“มึงแน่ใจหรออิน ป้าเย็นนะมึง”
“เออ คนอื่นก็คงคิดแบบมึง เขาก็เลือกที่จะไม่กิน ทีนี้คนก็ไม่เยอะ” มันร่ายเหตุและผลที่มันเชื่อมโยงแบบที่ผมยังงงๆพร้อมรอยยิ้ม
“งั้นแล้วแต่มึงเลย”
แล้วผมกับอินก็เคลื่อนย้ายตัวเองออกจากห้องเรียนไปยังโรงอาหารคณะเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวป้าเย็นที่ย่อมาจาก ป้าใจเย็น ขอให้กูได้กินวันนี้เถอะ
---------------------------------------------
หลังจากมื้อกลางวันผ่านไปแบบโล่งใจ ผมกับอินที่เข้าเรียนภาคบ่ายได้ทันก็ตั้งใจเรียนกับเนื้อหาเช่นเคย ปากกาเมจิกหลากสีที่มีผมก็ใช้จดแลคเชอร์แยกสีแยกประเด็นอย่างชัดเจน พ่อแม่ต้องภูมิใจ
“ฮ้าววววว” เสียงอินหาววอดๆอยู่ข้างผมหลังจากการเรียนภาคบ่ายจบลง
“เย็นนี้ไปไหนปะวะ”
“ไม่รู้อ่ะ คงกลับบ้านเลยว่ะ” ผมเอ่ยตอบพร้อมกับเก็บของเข้ากระเป๋า
“เจ้าๆ มีคนมาหาอ่ะ” เสียงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนมาจากทางประตูห้องเรียน
“ใครวะ” ผมหันหน้าไปสบตากับอิน มันก็สบตากลับ คงสงสัยเหมือนกันกับผม เราสองคนเลยลุกขึ้นเพื่อออกไปหน้าประตูห้องเรียนเพื่อคลายความสงสัย
“ไอ้เจ้า!!” เสียงคุ้นเคยดังลั่นก่อนร่างสูงของเจ้าของเสียงจะโถมเข้าหาตัวผม พร้อมกับยกแขนขึ้นโอบรอบตัวผมไว้แน่น
“ไอ้ภาค? อ๊อกๆ แค่กๆ มึงปล่อยกูก่อน” ไอ้ภาคกอดผมแน่นมากจนต้องยกสองมือขึ้นดันตัวมันออก วันนี้มันแต่งชุดพิธีการซะเรียบร้อยเลย ทรงผมก็ถูกเซ็ทให้เข้ากับหน้าหล่อๆของมัน สมราคาเดือนคณะวิศวะฯปี 1 จริงๆ
“ไอ้เจ้า ไอ้อิน กูโคตรดีใจ”
“ดีใจอะไรของมึงวะ” อินเอ่ยถาม
“เอ้า ก็เมื่อวานกูบอกให้พวกมึงรอฟังข่าวดีเรื่องอะไรล่ะ” ไอ้ภาคพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมยักคิ้วให้ผมกับอินสองที น่าเตะมากมึง
“เรื่องประกวดพาน?” อินย้อนถามไอ้ภาค
“ถูกต้องนะคร้าบบบบ เรื่องนั้นแหละ”
“อย่าบอกนะว่า....” ผมเอ่ยพร้อมหยุดคำถามไว้แค่นั้น
“พานไหว้ครูภาคกูได้ที่ 2 โว้ยยยยย ไอ้เจ้า ไอ้อิน มึงได้ยินมั้น พานภาคกูติด 1ใน 3 โว้ย” ไอ้ภาคตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจที่มันแสดงออกทางสีหน้าท่าทางที่ปิดไม่มิด แถมกระโดดรวบตัวผมกับอินเข้าไปกอดพร้อมกันอีก คิดดูเอาว่าขนาดตัวพวกผมกับไอ้ภาคต่างกันแค่ไหน เรากระโดดโยกตัวเป็นเด็กน้อยสามคนที่ยืนกอดกันกลม คงเป็นภาพที่ตลกน่าดู
“เออ วันนี้พวกกูจะไปฉลองให้กับรางวัลอันยิ่งใหญ่ เพื่อนกูเลยให้มารับพวกมึงสองคน”
“จริงๆมึงโทรมาบอกก็ได้นี่หว่า ถ่อมาทำไมถึงนี่ แล้วค่อยนัดเจอที่ร้าน”
“ไม่ กูอยากมาบอกด้วยตัวกูเอง เพราะกูโคตรดีใจอ่ะมึง ขอบคุณพวกมึงอีกครั้งนะเว้ยที่มาช่วยอ่ะ ถ้าไม่ได้พวกมึงก็คงไม่ได้รางวัลนี้แน่ๆ แถมอาจจะไม่มีพานไปไหว้ครูอีก”
“เออ ไม่เป็นไร กูบอกแล้วว่าเลี้ยงให้คุ้มค่ากับเวลาที่กูเสียไปก็พอ ฮ่าๆ” ผมตอบตัดบทซึ้งๆของไอ้ภาคด้วยคำพูดฮาๆ
“งั้นพวกมึงสองคนเลือกมาเลยว่าจะกินอะไร”
“อ่าว ก็ต้องถามพวกเพื่อนมึงด้วยสิภาค” อินเป็นฝ่ายเอ่ยตอบไอ้ภาค
“พวกมันตามใจอยู่แล้ว พานได้รางวัลก็เพราะพวกมึงมาช่วย มันไม่กล้าขัดหรอก”
ให้พวกผมเลือกหรองั้นก็ลาภปากผมละ มีอาหารที่อยากกินอยู่พอดี ละตอนนี้ก็หิวแล้วด้วย สูญเสียพลังงานไปมากกับการเรียนภาคบ่าย หึหึ งั้นผมคงจะไม่เกรงใจ ขอจัดหนัก
“งั้นกูเลือกเอง พวกมึงอย่ามาบ่นนะ กูจะจัดหนักๆให้สมน้ำสมเนื้อเลย” ผมพูดพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์วาววับจ้องมองมัน
“เออ แล้วแต่มึง งั้นรีบไปคณะกูกัน”
------------------------------------------------------------
ใช้เวลาไม่นานไอ้ภาคก็พาผมกับอินมายืนอยู่หน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิศวกรรมโยธา
ผมได้ยินเสียงดังแว่วมาจากทางใต้โถงอาคารที่เมื่อวานผมอยู่ที่นี่ตลอดช่วงบ่ายเพื่อช่วยเพื่อนชาววิศวะฯปี 1 ทำพานไหว้ครู สักพักเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามา พร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ผมพอจะคุ้นหน้าเดินเข้ามาทางที่พวกผมสามคนยืนอยู่
“เจ้า!!!/อิน!!!” เสียงใสสองเสียงดังพร้อมกันมาในโสตประสาทพร้อมกับร่างเล็กๆที่ดูก๋ากั่นวิ่งเข้ามาทางผม
เธอกระโดดกอดผมแน่นมาก ส่วนอินก็มีสภาพไม่ต่างจากผม เพราะแยมวิ่งไปกอดอินแน่น
“โอ้ยๆ ส้มๆ แน่นไป เจ้าหายใจไม่ออก”
“เห้ย โทษๆเจ้า ส้มลืมตัว ก็ส้มดีใจอ่ะ พานเราได้รางวัลที่ 2 เลยนะ” เธอคลายวงแขนที่กอดผมอยู่ออกก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใส
“พวกเราดีใจมากตอนได้ยินเขาประกาศชื่อภาคโยธา” แยมเอ่ยสัมทับความดีใจพร้อมกับปล่อยตัวอินให้หลุดจากการกอดรัดของเธอ
“งั้นวันนี้เราไปฉลองกัน เจ้ากับอินเลือกเลยว่าจะกินอะไร” เพื่อนผู้ชายคนนึงของไอ้ภาคเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังของสาวๆ
“งั้นไป….”
ระหว่างที่พวกวิศวะฯปี1 ให้ผมกับอินเลือกร้านที่พวกผมอยากกิน ก็มีเสียงเอ่ยขัดคำพูดผมขึ้น
“ไง พวกมึง กำลังจะไปไหนกัน” เสียงพี่มายด์ที่ดังมาก่อนตัว จนทุกคนต้องหันไปตามเสียง ผมก็หันตามไปเช่นเดียวกันสิ่งแรกที่เห็นคือ สายตาคู่เดิม สายตาของพี่เกียร์
คราวนี้พี่เขามากัน 4 คน มีผู้หญิงหุ่นดี 1 คนเดินมาด้วย เธอมีผิวสีแทน หน้าตาคม สวยแบบผู้หญิงไทย สำหรับผมคือโคตรสวย แล้วพอมาเดินในกลุ่มของพี่เกียร์แล้วนั้น บอกได้คำเดียวว่า เป๊ะ!!!
“หวัดดีครับพี่/หวัดดีค่ะพี่”
“กำลังจะไปฉลองให้กับรางวัลพานไหว้ครูวันนี้ไงพี่” ไอ้ภาคเป็นฝ่ายเอ่ยตอบพี่มายด์
“เห้ย พานได้รางวัลหรอวะ จริงปะเนี่ย” พี่มายด์ทำหน้าตกใจ พร้อมย้ำถามทวนคำตอบ
“ก็จริงดิ ได้ที่ 2 เลยนะพี่ ไงล่ะ ฝีมือพวกผม” ไอ้ภาคยกมือตบอกพร้อมยักคิ้วให้พี่มายด์ เอ่อ ภาค นั่นรุ่นพี่มึงนะ ถึงไอ้ภาคจะตัวสูงกว่าพี่มายด์อยู่หน่อยนึงก็เหอะ
“เหยดดดดด สรุปวันนี้มีคนเสียตังค์ ฮ่าๆ” พี่ผู้หญิงหน้าคมพูดขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดังแบบไม่ห่วงสวย
“เอ้อ จริงด้วย พี่มายด์บอกว่าถ้าพานติด 1ใน3 จะเลี้ยง” ส้มเอ่ยขึ้นมา
“ใช่ๆ”
“พี่อย่าเบี้ยวนะเว้ย”
“เจ้า อิน เลือกหนักๆเลย ฮ่าๆ”
เสียงพวกปี1 ย้ำคำสัญญาเมื่อวานที่พี่มายด์ลั่นวาจาไว้
“เอ้อ กูบอกเลี้ยงก็เลี้ยงดิวะ แต่มึงลืมหรอว่ากูบอกว่าใครจ่าย ฮ่าๆ” พี่มายด์หัวเราะเสียงดังอีกคน แล้วหันไปหาสมาชิกกลุ่มอีกสองคนที่ยืนเงียบ คือตั้งแต่มายังไม่ได้ยินเสียงพี่สองคนนั้นเลยนะ นิ่งชะมัด
“ไง เกียร์ ไอ้มายด์เล่าให้กูฟังเมื่อวาน วันนี้มึงได้เสียตังค์จริงว่ะ” พี่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทักเพื่อนหน้านิ่ง
“อืม ไม่มีปัญหา แล้วจะกินอะไรกัน”
“พวกผมให้เจ้ากับอินเลือกอ่ะ เพราะสองคนนี้ ทำให้พานเราได้รางวัล”
“เจ้า? อิน?” เสียงพี่ผู้หญิงหน้าคมเอ่ยขึ้น พร้อมมองมาทางผมกับอิน
“เอ้อ พี่โซ่ นี่เจ้ากับอิน เพื่อนผม เรียนเภสัชฯ พานได้รางวัลเพราะมันสองคนเลยนะ ส่วนนี่พี่โซ่นะ รุ่นพี่ปี3 ป้ารหัสสุดสวยของกู” ไอ้ภาคแนะนำผมกับอินให้พี่คนสวยที่ชื่อโซ่รู้จัก แล้วประโยคหลังมันหันมาบอกกับผมด้วยรอยยิ้ม
สายรหัสมึงนี่ หน้าตาดีทั้งสายเลยปะวะ อยากเห็นหน้าพี่รหัสมันละ
“หน้าตาน่ารักนะเรา หยิกแก้มทีได้ปะ”
“งื้อออออ พี่ ผมเจ็บๆ”
“โอ้ย น่ารักว่ะ ไอ้ภาค มีเพื่อนน่ารักๆแบบนี้ทำไมเพิ่งพามาให้รู้จัก”
“เอ้า ก็เพราะมันน่ารัก ผมเป็นพ่อมันก็ต้องหวงดิ ฮ่าๆ”
“เพื่อนอีกคนทำไมเงียบจัง เป็นไรป่าวน้อง” พี่โซ่ถามพลามมองไปทางอิน ที่ยืนเงียบมาสักพักแล้ว
“อ๋อ อินมันเป็นงี้แหละพี่ อยู่กับคนไม่คุ้นมันไม่ค่อยพูด ขี้อาย ผมเลยเป็นพ่อลูกสอง ฮ่าๆ”
“พ่องงง!!” ผมกับอินหันไปพูดใส่ไอ้ภาคเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” แล้วคนทั้งวงที่ยืนอยู่ก็หัวเราะพร้อมกัน
หัวเราะอะไรกัน…
“สรุปจะไปไหน ชักช้าเดี๋ยวรถติด” เป็นเสียงเรียบๆของพี่อีกคนที่ผมจำได้ว่าชื่อพี่พี เอ่ยถามขี้นมาแหวกเสียงหัวเราะ
“เจ้า เลือกดิ”
“เอ่อ...คือ...เอ่อ งั้นผมไม่เกรงใจละนะ” ผมพูดตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะจากตอนแรกที่กะมาผลาญไอ้ภาคและผองเพื่อนเต็มที่ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่เกียร์เลี้ยง แผนผมเลยดูท่าว่าจะล่ม ไม่กล้าว่ะ แหะๆ
“อืม” พี่เกียร์เอ่ยตอบเสียงใจลำคอ
“ผม..ผม...ผมอยากกินหมูกะทะ!!!” ผมตอบเสียงดังฟังชัด
“ห๊ะ!!!” ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกัน
ผมทำหน้างงใส่ทุกคน ก็ผมอยากกินหมูกระทะ ทำไมต้องตกใจละทำหน้าแปลกใจขนาดนั้น
“อุ๊ป..!.! ฮ่าๆๆ โอ้ยยย น้องเจ้า ไอ้เกียร์เลี้ยงทั้งที น้องเจ้าอยากกินหมูกระทะเนี่ยนะ” พี่มายด์หัวเราะขึ้นมาพร้อมเอ่ยเหมือนผมทำเรื่องประหลาด
“ฮ่าๆ เจ้า ส้มก็คิดว่าเจ้าอยากกินอะไรในร้านอาหารหรูๆ หรือไม่ก็ฉลองที่ร้านเหล้าอะไรงี้”
“อ่าว แล้วมันแปลกยังไงอ่ะ เวลาฉลองอะไรที่ร้านหมูกระทะมันแปลกหรอ ไม่ดีหรอ”
“ดีสิ ไม่แปลกหรอกมึง แค่มันแปลกสำหรับไอ้พวกนี้ พวกนี้แม่งฉลองกันเป็นแต่ร้านเหล้ามั้งเหอะ” ไอ้ภาคตอบผมพลางชี้ไปทางเพื่อนๆมันที่ยืนทำหน้ากลั้นยิ้ม ส่งสายตาเอ็นดูมาให้ผม
งื้อออออ ทำไมต้องทำสายตาแบบนั้น ก็คนมันอยากกินหมูกระทะนี่หว่า
“สรุปไปกินหมูกระทะนะ” พี่มายด์หันมาถามผม ด้วยสีหน้าที่ย้ำว่าผมไม่เปลี่ยนใจนะ
“ครับๆ” ผมพยักหน้ารัวๆใส่พี่มายด์ เหมือนที่เคยทำใส่พ่อกับแม่ หรือแม้แต่ไอ้ภาคกับอิน เวลาได้สิ่งที่ถูกใจ แต่ผมดันลืม ว่านั่นพี่มายด์
“ฮือออออ น้องเจ้า น่ารักอ่ะ อย่าไปทำหน้าแบบนี้ใส่ใครนะ เดี๋ยวโดนฉุด” พี่โซ่พูดพร้อมเดินเข้ามาประชิดตัวผมแล้วยกมือสองข้างขึ้นประกบแก้มผมแล้วบีบจนปากผมยู่
“พี่โซ่ ปล่อยเลยๆ เพื่อนผมกลัวหมดละเนี่ย ไอ้เจ้ามันผู้ชายนะ ใครจะฉุด ถึงสภาพมันจะน่าฉุดบ้างก็เหอะ” ไอ้ภาคง้างมือป้ารหัสมันออกจากแก้มผม แถมยังหันมาพูดกับผม ประโยคแรกๆมันก็ดีนะภาค แต่หลังๆนี่ยังไงวะ กูเพื่อนมึงนะ!!
“แล้วจะไปกันได้ยัง ร้านไหนอะที่อยากกิน แล้วไปกันยังไง” เสียงเรียบๆที่เงียบไปนานของพี่เกียร์ดังขึ้น เขาเอ่ยถามพ่วงด้วยสายตาที่มองมาที่ผม แววตาสื่อชัดเจนว่าให้ผมตอบ
“เอ่อ..ร้านตรงทางไปอนุสาวรีย์ก็ได้พี่ ติดกับรถไฟฟ้าอ่ะ เดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้าไปกันก็ได้ เร็วดี” ผมตอบออกไปแต่ไม่ได้สบตาพี่เกียร์ตรงๆ ผมมองรวมๆไปที่ทุกคน
“อืม” เสียงในลำคอของพี่เกียร์ตอบมาแค่นั้น
“ไอ้เจ้า กูเอารถมา เดี๋ยวมึงกับอินไปกับกู แล้วก็ไอ้แทนเพื่อนกู” มันพูดกับผมพลางชี้ไปที่เพื่อนมันอีกคนที่ยืนเยื้องๆกับอิน ผมมองตามมือมันไป ก็เห็นไอ้แทนยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบตามนิสัยของผม
“ไปด้วยกันนะเจ้า” ไอ้แทนเอ่ยกับผมด้วยรอยยิ้ม ไหนจะสายตามันอีก อืม สงสัยเป็นคนเฟรนด์ลี่ ยิ้มเก่ง และพอผมจะเอ่ยปากตอบรับไอ้แทน
“อ๊ะ!” ก็รับรู้ได้ถึงแรงจับบริเวณต้นคอด้านหลัง พร้อมแรงดึงที่ดึงตัวผมแทบปลิวตามแรงนั้นไป
“เห้ย!! พี่เกียร์” ไอ้ภาคร้องเรียกชื่อรุ่นพี่มันดังลั่น ทำให้ผมได้รู้ว่าเป็นใครกันที่ดึงผมจนเกือบล้ม
จากที่คิดว่าล้มแน่ๆเพราะไม่ได้ตั้งตัว แต่แผ่นหลังผมกลับสัมผัสกับความแน่นบริเวณช่วงตัวของคนที่จับต้นคอผมอยู่
“พี่ทำอะไรเนี่ย ผมเจ็บนะ” ผมเอี้ยวหน้าที่ขมวดคิ้วเป็นปมหันไปมองเจ้าของมือที่สัมผัสต้นคอผมอยู่ ที่ตอนนี้มันกำลังเปลี่ยนมาเป็นต้นแขนขวาของผม
“นั่นดิ ไอ้เจ้าเกือบล้ม พี่ดึงคอเพื่อนผมทำไมเนี่ย”
ตอนนี้หน้าทุกคนดูงงกับเหตุการณ์ว่าพี่เกียร์ทำอะไร อยู่ดีๆก็มากระชากคอกัน เป็นบ้าไงเนี่ย แต่ก็มีแต่หน้าของรุ่นพี่ปี 3 ที่ไม่ได้ดูเดือดร้อนอะไร แถมพี่มายด์กับพี่โซ่ ยังมาทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ผมอีก
อะไรของพวกพี่เนี่ย เจ้างงโว้ย
“มึงไปกับกู”
“ไม่เอา ผมจะไปกับเพื่อน”
“ไม่ได้ มึงต้องไปกับกู”
“แล้วทำไมผมต้องไปกับพี่” ผมตอบอย่างหัวเสีย จะบังคับผมทำไมเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด
“ก็...กูไม่รู้ทาง กูจะเอารถกูไป เพราะงั้นมึงต้องไปกับกู”
“ห๊ะ! โหยพี่ ไม่รู้ก็ถามดิ ต้องให้ไปด้วยทำไม เสิร์ชชื่อร้านในกูเกิลแมพก็เจอละ”
“ไม่! พวกมึงไปร้านกันถูกใช่มั้ย” พี่เกียร์ก้มลงมาปฏิเสธผมเสียงดัง ก่อนจะเบือนหน้าหันไปถามพวกวิศวะฯปี1 รวมถึงไอ้ภาคด้วย
พวกนั้นพยักหน้าตอบพี่เกียร์ด้วยแววตางงๆทุกคน ไอ้ภาคก็ดูงงๆกับการกระทำของรุ่นพี่มัน ผมสบตากับไอ้ภาคกระพริบตาปริบๆเพื่อขอความช่วยเหลือจากมัน พลันสายตาไปหยุดอยู่ที่แทน แววตามันดูแปลกไป
“งั้น ก็เอาตามนี้ ใครมีรถก็ขับไป จากจำนวนจนกับจำนวนรถก็พอจะอัดกันไปได้อยู่” ไอ้ภาคสรุปตัดบท
ไอ้ภาคคคคค มึงช่วยกูก่อน
อินที่ยืนนิ่งมองมาที่ผม สายตาที่ส่งมาคือช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
“งั้นให้อินไปกับผมด้วย” ผมเงยหน้าพูดกับร่างสูงที่ยังคงจับต้นแขนผมไว้
“ไม่ได้”
“เอ้า ทำไมอ่ะพี่”
“รถกูนั่งได้สองคน เลิกพูดมาก มานี่”
พูดจบ คนที่สูงกว่าผม 10 กว่าเซนฯก็ลากแขนผมให้เดินไปตามทิศทางที่เขาต้องการทันที
โอ้ยยยย นี่จะไม่ให้ตั้งตัวกันก่อนรึไง ล้มไปทำไงวะเนี่ย ละแรงจะเยอะไปไหน ผมได้แต่หันไปมองกลุ่มคนที่ยืนงงกับการกระทำของพี่เกียร์ ไม่มีใครพูดอะไร แล้วทุกคนก็เริ่มแยกย้าย
มีแต่ผมที่แยกมาในสภาพที่เหมือนโดนฉุด
เขาเดินลากแขนผมมาทางที่จอดรถของคณะวิศวะฯ ที่ใช้เวลาเดินปกติไม่นานก็ถึง ผมใช้สายตาสอดส่องหารถพี่เกียร์ว่าคันไหนวะที่มันนั่งได้สองคน ซื้อรถมาไม่มีประโยชน์จริงๆ
สักพักคนเอาแต่ใจก็พาผมมาหยุดยืนอยู่ตรงข้างๆที่จอดรถ
‘มอเตอร์ไซค์’
แต่...เป็นรถบิ๊กไบค์สีดำ ยี่ห้อหรือรุ่นอะไรผมไม่เชี่ยวชาญพอที่จะรู้สึก แยกได้แค่รถมีเกียร์กับไม่มีเกียร์
“ใส่ซะ” พี่เกียร์ยืนหมวกกันน็อคแบบเต็มใบให้ผม กระจกกันลมเคลือบด้วยปรอทเงาวับ แต่ผมยังไม่รับมา
“เดี๋ยวนะ พี่จะพาผมขับเจ้านี่ไปเนี่ยนะ”
“อืม ก็บอกแล้วว่านั่งได้สองคน”
“โหยพี่ มันดูอันตรายอ่ะ ให้ผมไปนั่งกับไอ้ภาคเหมือนเดิมเหอะ” ผมเอ่ยเสียงติดขอร้องนิดๆพร้อมทั้งมองสบไปที่ดวงตาคมของคนตรงหน้า
"..."
พี่เกียร์นิ่งไปเฉยเลย เป็นไรวะ
“ปลาทองหน้าโง่”
“ห๊ะ ว่าไงนะพี่”
“กูบอกว่ามึงอ่ะ เป็นปลาทองหน้าโง่” พี่เกียร์พูดพร้อมกับยื่นนิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากผม
“...”
“อ่าว เอ๋ออีก”
ไม่ได้เอ๋อโว้ยยยย ติดสตั๊นแปบเดียวเอง
“ผมไม่ได้เป็นปลาทองนะ แล้วก็ไม่ได้หน้าโง่ สนิทกันหรอถึงมาว่าผมเนี่ย” พอหายสตั๊นผมก็ร่ายยาวสวนกลับพี่เกียร์ไป
“หึ” พี่เกียร์ทำเสียงหึในลำคอ ที่ฟังยังไงก็เหมือนถูกเยาะเย้ย
“มึงอ่ะปลาทอง หน้าเอ๋อแบบนี้ ไม่ทันคนหรอก นั่นแหละโง่” พี่เกียร์ก้มตัวให้ใบหน้ามาอยู่ในระดับเดียวกับผม แล้วก็เอานิ้วจิ้มที่แก้มผม
“โว้ย พี่แม่ง พูดไม่รู้เรื่อง หึยยยยย” ผมโวยวายลั่นลานจอดรถ หงุดหงิด ทำไมพี่มันพูดจากวนขนาดนี้ ถ้าผมกล้ากว่านี้ผมต่อยพี่มันไปละ
เออ ตอนนี้ไม่กล้าไง ถึงได้หงุดหงิดอยู่เนี่ย ตอนนี้หน้าผมคงยับมากอ่ะ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วผูกเป็นปมละ
“แล้วนี่เมื่อไหร่จะใส่หมวก จะกินวันนี้มั้ย?” พี่เกียร์ใช้นิ้วชี้ที่เพิ่งเอาออกจากหน้าผากผม ไปชี้ที่หมวกกันน็อคที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วถามผม
“จะให้ผมขึ้นเจ้านี่จริงอ่ะพี่” ผมพูดเสียงอ่อย
สารภาพเลยตรงๆว่าตั้งแต่เกิดมาผมขึ้นมอเตอร์ไซค์นับครั้งได้ ตอนมัธยมผมก็เดินไปเรียน เพราะบ้านผมกับโรงเรียนนี่ใกล้กันมาก แล้วนี่ผมต้องมานั่งไอ้มอเตอร์ไซค์คันเบ้อเริ่มนี่ ขาก็ไม่ถึง จะพยุงตัวยังไงไม่ให้ตก โอ้ยยยย เจ้าเครียด!!
“กลัว?”
“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆแล้วก็ก้มหน้าตอบเสียงเบา ไม่รักษามันละฟอร์มเนี่ย
ผมได้ยินเสียงพี่เกียร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงการปกคลุมของอะไรหนักๆที่ถูกสวมมาที่หัวผม พร้อมกับมือใหญ่ที่จับกระชับหมวกกันน็อคให้เข้าที่แล้วก็จับสายรัดคางมาล็อคให้ผม
ผมเงยหน้ามองพี่เกียร์ เลยได้สบตากับดวงตาคมดุนั่น แววตาที่ผมเดาความหมายอะไรไม่ออก มีเพียงรอยยิ้มมุมปากจางๆก่อนที่พี่เกียร์จะตบที่กั้นลมเคลือบปรอทสีเงินนั่นปิดหน้าผม
ร่างสูงขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ราคาหลายหลักก่อนจะถอยรถออกจากที่จอดมาในตำแหน่งที่จะขับออกไป
“ขึ้นมา” เสียงเรียบเอ่ยบอกผมนี่ยืนยิ่งอยู่ข้างตัวรถที่ติดเครื่องรออยู่แล้ว
"..."
“เจ้า ขี้นมา”
อย่าเร่งสิโว้ยยยย ขอทำใจแปบนึง คำนวณหาองศาก่อนว่านั่งยังไงไม่ให้ตก เจ้าเครียดดดด
“แปบดิพี่ อย่าเร่งดิ” ผมตะโกนเสียงดังเพราะหมวกกันน็อคที่สวมอยู่มันลดระดับเสียงที่ลอดออกไปภายนอกจนกลัวคนฟังไม่ได้ยิน
“ไม่ต้องกลัว ค่อยๆก้าวขึ้นมา”
ผมเคยเห็นคนอื่นนั่ง พอจะนึกภาพออก คือมันดูไม่ยาก แต่ผมจะจัดระบบร่างกายยังไงให้ขึ้นไปได้ ผมพยายามตั้งสติ แล้วสูดลมหายใจลึกๆ
“เจ้าทำได้ เจ้าทำได้” ผมพึมพำเสียงเบาที่มั่นใจมากๆว่าผมจะได้ยินเพียงคนเดียว
และเหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นกับผมโดยไม่ทันตั้งตัว
หวืดดดดดด~~~~~~
ปึก!
ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งสติและรวบรวมความกล้า อยู่ดีๆขาผมก็ลอยพ้นพื้น รู้สึกเสียววูบเมื่อร่างตัวเองลอยขึ้นโดยมีมือใครบางคนช้อนแผ่นหลังผมไว้ พร้อมกับมืออีกข้างที่สอดใต้ข้อพับเข่าผม อารามตกใจผมก็ยกมือปัดป่ายคว้าหาที่ยึดไปทั่ว ขนยึดได้กับคอคนที่กำลังอุ้มผมอยู่นั่นแหละ
ผมถูกผู้ชายตรงหน้าอุ้ม ผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ได้สนิทใจอะไรกันเลย ผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิตผมได้สองวัน ย้ำ! สองวัน โว้ยยยยย สนิทกันหรอถึงมาอุ้มเนี่ย
ผมถูกอุ้ม ไม่สิ ถูกยกส่งขึ้นให้มานั่งบนบริเวณเบาะด้านหลังของรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ด้วยฝีมือของเจ้าของรถ ผมนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้น ปากยังชะงักค้างแต่หัวคิดคำพูดอะไรไม่ออกเลย
“...”
“หนัก” เสียงเรียบเอ่ยขึ้น
“ใครใช้ให้อุ้ม” ไวกว่าสมองก็ปากผมนี่แหละ
“กูจะกินหมูกระทะวันนี้ ขี้เกียจรอ”
“ถ้ารีบก็ไม่ไปก่อนอ่ะ” ผมตอบโต้ด้วยเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด หมั่นไส้
“หึ กูไม่ใจร้ายทิ้งปลาทองหน้าโง่ไว้หรอก”
“...” ครับ เป็นคนดีจังเลยครับ ผมได้แต่พูดในใจ
“จับดีๆ จะไปแล้ว” พี่เกียร์เอียงหน้าเล็กน้อยมาพูดกับผม
ผมที่ไม่รู้จะเกาะอะไร ก็จับตรงท้ายเบาะแบบที่เคยเห็นมา เอาวะ จับตรงนี้ก็คงไม่ตกแล้วแหละ
อยู่ดีๆแผ่นหลังของคนตรงหน้าก็ยืดตั้งตรงแล้วเขาก็ปล่อยมือออกจากตำแหน่งที่ใช้บังคับทิศทางรถ ก่อนที่จะใช้มือทั้งสองข้างนั้นเอื้อมมาทางด้านหลัง แล้วมาจับที่ข้อมือผม
หมับ!
“เกาะตรงนี้ ถึงจะไม่ตก” พี่เกียร์พูดพร้อมกับดึงข้อมือผมทั้งสองข้างไปเกาะที่เอวของตัวเอง
การกระทำที่เร็วกว่าสติผมหลังจากนั้นก็คือ...
“เห้ย!!”
เสียงอุทานที่เป็นปฏิกิริยาแบบฉับพลันจากความตกใจของผม เมื่อจู่ๆร่างสูงก็เร่งเครื่องออกตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมยังไม่ได้ตั้งตัวและยังไม่มีสมาธิเท่าไหร่ ความเร็วของรถที่ทำให้เกือบหงายหลัง เป็นเหมือนการบังคับมือผมที่เขาดึงไปแปะไว้ข้างเอวให้กำเสื้อนักศึกษาบริเวณเอวของเขาไว้แน่น
ทำไมไม่บอกก่อนเนี่ย แล้วก็ขับเร็วไปแล้วโว้ย
“พี่!! ขับช้าๆหน่อย เร็วไปแล้ว” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลมที่กระทบเข้ามาที่หมวกกันน็อค ขนาดผมใส่หมวกกันน็อคยังรับรู้ได้ถึงแรงลมที่กระทบเข้ามา แล้วคนขับนี่มันไม่รู้สึกอะไรหรอวะ
“...”
“พี่ ผมบอกให้ช้าหน่อย!” ผมตะโกนอีกครั้ง ย้ำกับความต้องการของผม เพราะสำหรับผมตอนนี้พี่เกียร์ขับเร็วมาก ผมที่ไม่ค่อยได้อยู่สภาวะแบบนี้ สารภาพเลยว่าเริ่มกลัว มือที่กำเสื้อร่างสูงในตำแหน่งคนขับจนยับยู่ยี่ก็เริ่มชื้นเหงื่อ
“...” เงียบ แถมไม่มีทีท่าจะขับช้าลง
“พี่เกียร์...ขับช้าๆกว่านี้หน่อย เจ้ากลัว…” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ดังพอที่เจ้าของแผ่นหลังด้านหน้าผมจะได้ยิน และถ้าหากเขาได้ยินจริงๆ ก็คงจะรับรู้ได้ว่า เสียงผมมันสั่นมากแค่ไหน
กึก
ร่างสูงชะงักไป ทำให้ล้อหน้าบิดตามแรงชะงักไปนิดหน่อย แล้วรถก็เคลื่อนตัวช้าลงกว่าเดิมจนรู้สึกได้
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณคนที่กำลังหันหลังให้ผมด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่า
“อืม...ขอโทษ ไม่ชิน”
“...” พี่เกียร์ได้ยินหรอ
ระหว่างทางที่รถเคลื่อนตัวไปยังร้านหมูกระทะก็ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างเรา ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง แต่ในหัวก็มีอะไรคิดมากมายตามนิสัยของคนขี้สงสัยและคิดมาก
การกระทำแปลกๆของพี่ หมายความว่ายังไงกันนะ
แล้วสรุป ผมกับพี่ เรารู้จักกันมั้ย?
*TBC
04/09/2017
***********************************************
ขออัพรัวๆนะคะ ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แค่เห็นยอดวิวก็มีกำลังใจแล้ว แค่หนึ่งคนที่อ่านก็ทำให้มีแรงอัพต่อละค่า นี่เป็นเรื่องแรก หวังว่าจะเป็นนิยายคั่นเวลาให้อ่านรอนิยายหลักได้นะคะ
แนะนำ ติชม พูดคุย ได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะคะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า
ท่าเรือที่ 4
TGIF...ในวันฝนตก
ผมอยากจะถามจริงๆว่า การเปิดเทอมช่วงหน้าฝนมันดีอย่างไร?
สำหรับเจ้าพระยาคนนี้ที่ชื่อเป็นแม่น้ำ แต่ขอบอกไว้เลยว่าเจ้าไม่ชอบน้ำเลย โดยเฉพาะละอองน้ำที่มันเหนอะผิวแบบนี้ เสื้อผ้าก็ชื้น ชวนให้รู้สึกไม่สบายตัวอยู่ตลอดเวลา
ผมบ่นอะไรหรอครับ เหอะ ก็วันนี้วันศุกร์ วันที่ควรจะ Thank God Is Friday ของผม แต่กลับต้องมาติดแหง็กอยู่ใต้อาคารเรียนรวมในเวลาที่รายวิชาต่างๆนั้นเลิกเรียน แล้วฝนนี่มันก็นะตกเป็นเวลาเป๊ะยิ่งกว่าเวลาตอกบัตรเข้างานของพนักงานออฟฟิศอีก จากแผนที่คิดว่าจะไปเดินเล่น หาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆมหา’ลัย คงเป็นอันต้องล่มไม่เป็นท่า
“เฮ้อออออออ” ผมถอนหายใจยาวๆหลายครั้ง รวมๆแล้วน่าจะยาวกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาที่เป็นชื่อผมอีกมั้ง เหอะๆ
“จะถอนหายใจอะไรบ่อยขนาดนั้น” อินคงอดทนฟังเสียงถอนหายใจต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ถึงได้พูดขึ้นมา
ตอนนี้ผมกับอินนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ใต้อาคารเรียนรวม อาคารที่เป็นแหล่งรวมรายวิชามหา’ลัยที่บังคับให้ปี 1 อย่างพวกผมต้องเรียน แต่ละรายวิชาก็แบ่งเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็ถูกจัดมาจากหลายคณะให้มาเรียนรวมๆกัน คงหวังว่าจะเกิดสัมพันธไมตรีที่ดีในระหว่างเรียนมั้ง
“ก็คนมันเบื่ออ่ะ อุตส่าห์จะได้ไปกินบิงซู”
“เดี๋ยวฝนหยุดก็ได้ไป”
“โอ้โห ตกแรงจนฟ้าขาวขนาดนี้ ขาวกว่าเกล็ดน้ำแข็งบิงซูกูละเนี่ย”
“นี่ก็เว่อร์ตลอดนะมึง ยังไงพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ กลับบ้านค่ำกว่าเดิมก็ไม่เป็นอะไรหรอก” อินพูดปลอบใจผมพลางยกมือมาตบไหล่เบาๆ
“แล้วไอ้ภาคจะไปปะ มันตอบไลน์ยัง” ผมเอ่ยถามออกไปเพราะเพิ่งคิดได้ว่าไลน์ถามมันตั้งแต่ก่อนเริ่มคาบเรียนช่วงบ่าย แต่มันก็ไม่ได้ตอบในทันที แล้วพวกผมที่ติดฝนอยู่ก็ไม่มีอารมณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูสักเท่าไหร่
“แปบ” อินใช้มือล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อและรุ่นเดียวกับผม ต่างกันก็แค่สี ออกมาเปิดดูกลุ่มไลน์ ‘คนหล่อ2017’ เพื่อตรวจคำตอบของคำถามผม
“อ่ะ”
GU PHAK :
‘โทษทีว่ะ วันนี้กูติดงานที่คณะ พี่เขาให้กูมาถ่ายรูปประชาสัมพันธ์งานคณะ
สงสัยจะเลิกเย็น’
ข้อความของไอ้ภาคปรากฎบนจอสมาร์ทโฟนของอิน เป็นอันเข้าใจตรงกันว่า มันไม่ว่าง
“แล้วมันจะเลิกเย็นแค่ไหนวะ เพราะยังไงตอนนี้เราก็ไปกินบิงซูตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ หรือจะรอมันดี”
“อืม โทรไปถามมันมั้ยมึง”
“เออๆ เดี๋ยวกูโทรเอง” ว่าแล้วผมก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องมือสื่อสารทันสมัยสีขาวของผมออกมาบ้าง กดรายชื่อเลื่อนหาเบอร์ที่คุ้นเคย
-ภาคพิสดาร-
ตู้ด…...ตู้ด……..
(ว่าไงมึง)
“มึงถ่ายงานยังอะ”
(ก็กำลังถ่ายอ่ะ ตอนนี้เขาให้ดาวถ่ายเดี่ยวอยู่ เหลือถ่ายคู่ กับกลุ่ม ว่าแต่มีไรป่าว)
“ก็ตอนนี้ฝนตกอ่ะมึง โปรแกรมบิงซูเย็นนี้เลยต้องรอ กะโทรมาถามมึงว่าเลิกค่ำมากมั้ย ไม่งั้นจะได้รอ”
(อืมมมมม...เอางี้ พวกมึงเดินมารอที่คณะกูนี่เลย คิดว่าไม่นานก็เสร็จ)
“เอ่อ แปบ...อินๆ ไอ้ภาคให้ไปรอที่คณะมัน ไปมั้ย?” ผมหันไปถามความคิดเห็นจากเพื่อนตัวขาวข้างๆกัน
“อืม ไปดิ แต่คงเปียกนิดหน่อย มึงโอเคมั้ยละเจ้า”
“เออๆ เปียกก็ช่างละ...ไอ้ภาค อยู่ป่าว”
(เออ เร็วๆ พี่เขาเรียกกูไปถ่ายคู่แล้ว มาก็รอใต้คณะที่เดิมละกัน เสร็จแล้วจะรีบลงไป)
“โอเค เจอกัน”
(เจอกันๆ)
ติ๊ด!
วางสายจากเดือนคณะวิศวะฯปี 1 ผู้หล่อเหลา พวกผมก็เก็บของมีค่าใส่กระเป๋าสะพายใบเก่งที่มีคุณสมบัติกันน้ำเข้าอย่างดี เพราะคงต้องฝ่าสายฝนไปขึ้นเมล์วน เอาน่ะ คงไม่เปียกเหมือนตอนเล่นน้ำสงกรานต์หรอกเนอะ
ใช้เวลาไม่นาน เร็วกว่าเวลาขั้นต่ำของการส่งอาหารเดลิเวอร์ลี่อยู่หน่อยนึง ผมกับอินก็มายืนอยู่ใต้โถงอาคารเรียนของภาควิชาวิศวกรรมโยธา ซึ่งยังมีนักศึกษานั่งยึดครองโต๊ะม้าหินอ่อนใต้อาคารกันอย่างหนาตา คงเป็นผลมาจากการที่ฝนเทลงมาตอนเวลาเลิกเรียนนี่แหละ ทำให้หลายคนเลือกที่จะนั่งหลบฝนสนทนาพาเพลินกับเพื่อนฝูง แทนที่จะวิ่งฝ่าฝนกลับบ้าน ซึ่งผิดกับเด็กต่างคณะอย่างผมสองคนที่สภาพตอนนี้ชื้นแฉะ เหนอะหนะมากๆ ทรงผมที่ลู่ลงตามเม็ดฝนที่ไหลซึมลงหัว เสื้อนักศึกษาสีขาวที่บางจนโปร่งแสงขึ้นกว่าปกติ แต่ยังดีที่มีเสื้อกล้ามสีขาวซ้อนอีกชั้น เฮ้อออออ ไม่ Thank God แล้วได้มั้ย เจ้าเซ็ง
“นั่งรอตรงไหนล่ะทีนี้” เอ่ยพูดกับเพื่อนแต่ไม่มองหน้าคนข้างๆ เพราะมัวแต่ชะเง้อคอหาที่นั่ง
“ถ้าไอ้ภาคบอกว่าใกล้เสร็จแล้ว งั้นก็ยืนรอมันก็ได้เจ้า”
“อืม เอางั้นก็ได้” เออ ออ ห่อหมกไปกับความคิดเห็นของคนข้างๆ เพราะผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกัน คือมันไม่สบายตัวอ่ะครับ
ระหว่างที่ยืนพิงกำแพงรอเดือนวิศวะฯปี 1 นักศึกษามากหน้าหลายตาก็เดินผ่านเข้าออกอาคาร บางคนก็ไม่สนใจ แต่บางคนก็หันมองคนแปลกหน้าอย่างพวกผมด้วยสายตามีคำถาม ก็แหงล่ะ ยืนมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น จนตอนนี้เข็มสั้นก็เฉียดเลข 5 ละ คุณภาคภูมิก็ยังไม่ลงมา ไหนมันว่าแปบเดียวเนี่ยยยย
“อ่าว น้องเจ้า น้องอิน มาทำไรตรงนี้?” เสียงคุ้นหูของผู้หญิงที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เอ่ยทักจากทางด้านในตัวอาคารที่เหมือนเพิ่งเดินออกมาจากโถงลิฟต์ พี่โซ่คนสวยนั่นแหละครับ
“สวัสดีครับพี่โซ่/สวัสดีครับ” ผมกับอินพร้อมใจกันเอ่ยทักคนมาใหม่
“ผมมารอไอ้ภาคอ่ะพี่ มันบอกจะถ่ายงานแปบเดียว นี่เป็นชั่วโมงมันยังไม่ลงมา” คนโมโหหิวอย่างผม พอมีคนเปิดก็ใส่แหลกเลยครับ ยืนจนขาแข็งละ
“แล้วทำไมไม่เข้าไปนั่งข้างใน มาๆไปนั่งกับพวกพี่ เดี๋ยวพวกนั้นก็ลงมา พี่ก็เพิ่งลงมาจากห้องถ่ายงานเนี่ย” สาวสวยเข้มแห่งภาควิศวกรรมโยธาปี3 เอ่ยอธิบาย
“ครับๆ”
หันมองหน้ากันแล้วก็ต้องพยัดเพยิดตามกัน ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะตอนนี้เมื่อยกันเต็มทน ปรอยฝนด้านนอกก็ยังคงทำหน้าที่ให้ความชุ่มฉ่ำต่อไป ถึงแม้จะเบาบางลงจากเดิมมากแล้วก็ตาม
เดินตามพี่โซ่เข้ามาด้านไหนตัวอาคาร ที่ต้องเลี้ยวซ้ายจากโถงเดิมไปนิดหน่อย หมายถึงว่า ถ้ายืนหน้าอาคารก็จะมองไม่เห็นที่นั่งโซนนี้ คงเป็นที่ประจำของพวกพี่เขา
“นั่งรอก่อนละกันนะ ยืนซะนานเลย” รุ่นพี่คนสวยเอ่ยล้อด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ”
“แล้วนี่จะไปไหนกันอ่ะ”
“นัดกันว่าจะไปกินบิงซูที่สยามกันครับ” บอกจุดประสงค์ด้วยรอยยิ้ม เพราะแค่ได้พูดถึงของกิน เจ้าก็มีความสุข แต่ไอ้ภาค มึงช่วยลงมาเร็วๆเถอะ
นั่งรอกันไปเงียบๆ ต่างคนก็ต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโลกโซเชี่ยลของตัวเอง ไถไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมาย ชอบใจหัวข้อไหนก็นั่งยิ้ม สังคมก้มหน้าขนานแท้เลยครับ
“น้องเจ้า น้องอิน เจอกันอีกแล้วนะ” คราวนี้เป็นเสียงหนุ่มทะเล้นเจ้าเก่า มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ปี3 ของเพื่อนผม แถมยังพ่วงท้ายคนหน้านิ่งมาอีกสองคน นิ่งไม่เคยเปลี่ยน
“สวัสดีครับพี่มายด์ เอ่อ สวัสดีครับพี่ๆ” ผมยกมือไหว้ทำความเคารพรุ่นพี่ต่างคณะ อินก็ทำเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงใดนอกจากส่งรอยยิ้มจางๆตามแบบฉบับของมันไปให้
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่อีกแล้ว ติดใจอะไรคณะพี่เนี่ย” พี่มายด์เอ่ยถาม แต่หนักไปทางแซ็วมากกว่านะผมว่า
“ลมฝน ลมหิว แล้วก็ลมความเป็นเพื่อนเลยพี่” ตอบกลับหน้าซื่อตาใสจนโดนพี่มายด์เอามือใหญ่ดันหัว ถ้าขนาดนี้ก็ตบหัวไปเถอะพี่ จะได้จบๆ
กลุ่มชายหนุ่มผู้มาใหม่ทั้งสามคนก็พาตัวเองลงมานั่งที่โต๊ะเดียวกันกับที่พวกผมและพี่โซ่นั่งอยู่ ระหว่างนั้นก็คุย ถามไถ่อะไรกันเรื่อยเปื่อย โดยบุคคลที่ดำเนินการสนทนาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่มายด์คนเดิม เพิ่มเติมคือพี่เขาเป็นแผนกบุคคลคอยสัมภาษณ์งานด้วยหรอครับ และผมก็เป็นผู้คอยตอบคำถามเหล่านั้น ส่วนอินมันก็ไถโทรศัพท์ลดความประหม่าจากออร่าของมนุษย์หน้านิ่งที่นั่งเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือผม มาถึงพี่เกียร์ก็นั่งควงปากกา ส่วนพี่พีก็นั่งหันหลังให้กลุ่ม หันหน้าออกไปมองฟ้า
“เจ้ากับอินจบจากไหนอ่ะ”
“มัธยมกางเกงดำแถวปากคลองครับ”
“เจ้าชอบเรียนวิชาไหน”
“เคมีครับ”
“ไม่ชอบวิชาอะไร”
“ไม่มีครับ แต่ไม่ค่อยถนัดคณิตศาสตร์”
“เลือกกินหรอ ทำไมผอม”
“ผมกินทุกอย่างอ่ะพี่ แต่มันไม่อ้วนเอง”
“มีสเป็คสาวมั้ย เป็นไงๆ”
“ก็มีนะ รักและเข้าใจในแบบที่ผมเป็น แค่นี้แหละ” คำตอบนี้ผมตอบด้วยรอยยิ้ม เพราะผมคาดหวังกับความรักแค่นี้จริงๆครับ
“โหย น้องเจ้า โรแมนติกนะเรา” เป็นพี่โซ่ที่เงยหน้าจากโทรศัพท์มาแซ็ว
“สงสัยมีคนอยากจะรักและเข้าใจน้องเจ้าเยอะเนอะ ว่ามั้ยมึง” พี่มายด์พูดพร้อมส่งสายตาไปหาลูกคู่อย่างสาวสวยเพียงคนเดียวของกลุ่ม
“นั่นสิ น้องเจ้าออกจะน่ารัก น่าทะนุถนอม น่ากอด น่าฟัด น่า…”
ยังไม่ทันที่พี่โซ่จะสาธยายความน่าต่างๆของผมจบ แรกๆมันก็ดีนะพี่ หลังๆชักแปลก ซึ่งก็มีเสียงเรียบเย็นแทรกขึ้น
“โซ่ น้องมันเป็นผู้ชาย”
ครับ เสียงพี่เกียร์
“ผู้ชายก็น่ารักได้มึง หรือมึงว่าไม่จริง” พี่โซ่ถามสวนกลับทันที
“...”
“อืม น่ารัก”
“...”
“หึ”
อยู่ดีๆก็เดดแอร์ครับ ทุกคนเงียบ มีเพียงเสียงในลำคอของคนตัวสูงข้างๆพี่เกียร์ที่นั่งเงียบอยู่นาน แล้วที่เขาพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง ถามผมว่ารู้สึกอะไรมั้ยกับสิ่งที่ได้ยิน สารภาพเลยครับว่ารู้สึก แต่รู้สึกแปลกๆ ทั้งน้ำเสียงและสายตามันเป็นในแบบที่ผมไม่ค่อยได้เห็นจากร่างสูงข้างๆ
“ฮิ้ววววววว หลุดเฉยเลยเว้ย ฮ่าๆ” พี่มายด์โห่แซวเพื่อนตัวเอง พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
ผมที่ไม่รู้ว่าจะต้องเอาตาไปวางไว้ที่ไหน ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไถโทรศัพท์ ทั้งๆที่สมาธิก็ไม่ได้อยู่กับหน้าจอของอุปกรณืสื่อสารตรงหน้า ฝนก็ยังตกปรอยๆ ทำไมหน้าผมมันร้อนๆ ท้องมันหวิวๆ เอ๊ะ หรือผมจะเป็นไข้หรอ เป็นไข้ใช่มั้ย
“น้องเจ้า เป็นอะไร ทำไมหน้าแดง” พี่โซ่เอ่ยถามแต่สายตาสัมผัสได้เลยว่าล้อเลียนผมอยู่
“คือ..สงสัยผมจะแพ้อากาศมั้งพี่”
“เจ้า มึงแพ้อากาศด้วยหรอ กูไม่เห็นรู้ แล้วไหวมั้ย กลับเลยป่าว” เพื่อนอันเป็นที่รักของผมหันมาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่มึงอย่าเพิ่งมาห่วงกูตอนนี้เลยได้มั้ยอินนนนนน
“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอของคนที่นั่งเก้าอี้ที่วางแนวตั้งฉากกับเก้าอี้ของผม ยังจะมาหัวเราะอีก เพราะพี่เลย
ผมได้แต่ค้อนสายตามองพี่เกียร์ แต่ดูต้นเหตุของเรื่องจะไม่สะทกสะท้านอะไร
Rrrrrrrrrrrrr...............
“อืม ว่าไง” พี่โซ่เอ่ยรับสายโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเมื่อสักครู่
“ห๊ะ! ถ่ายแก้หรอ ทำไมต้องแก้อ่ะ ตอนเช็ครูปก็ดีแล้วนะ ให้ดาวปี 1 ถ่ายไปเลยไม่ได้หรอ”
“โอเคๆ จะรีบขึ้นไป สรุปแก้รูปรวมด้วยใช่มั้ย”
“อืมๆ กำลังจะขึ้นไป”
ติ๊ด!
“ไอ้มายยยยยด์ มึงขึ้นไปชั้น 8 เป็นเพื่อนกูหน่อย ฮืออออออ” พี่โซ่พูดพลางเขย่าแขนเพื่อนขี้เล่น
“ไปทำอะไรวะ เพิ่งลงมา”
“น้องปี 2 ให้ขึ้นไปถ่ายแก้งานเมื่อกี้”
“มึงก็ไปสิ กูไม่ได้ถ่ายด้วย”
“มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยยยยย นะๆ เดี๋ยวกูติดต่อดาวคณะอื่นให้ นะๆ”
“ไปดีมั้ยว้าาาา” คนทะเล้นเอ่ยเล่นตัว
“เออ ไม่ไปก็เรื่องของมึง ชิ น้องเจ้า คงต้องรอไอ้ภาคต่อละนะ งานต้องแก้อ่ะ ยังไงเดี๋ยวพี่บอกมันให้โทรมา” พี่โซ่ตะโกนใส่หน้าเพื่อนจอมลีลา แล้วหันมาพูดกับผม ก่อนจะชันตัวลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเดินออกไปทางโถงลิฟต์
“ไอ้โซ่ รอกูด้วยยยยยย งอนหรอมึง”
เสียงง้อเพื่อนของพี่มายด์ก็ค่อยๆเบาลงเพราะระยะทางที่ไกลออกไป ผลจากการวิ่งตามง้อเพื่อนคนสวยไปในโถงลิฟต์
“เฮ้ออออ กลับเลยมั้ยมึง”
“รอมันโทรมาก่อน ฝนเบาลงละ ถ้ามันยังติดงานอยู่ เราฝ่าฝนกลับกันเลยก็ได้” อินหันมาเสนอความคิดกับผม
“อืม เอางั้นก็ได้”
ผมกับอินคุยกันจนเกือบลืมไปว่า ยังมีมนุษย์รุ่นพี่นั่งอยู่อีกสองคน ถ้าไม่ติดว่าผมรู้สึกได้ว่ามีสายตามองผมอยู่ตลอด ก็สังเกตจากสายตาอินเวลาคุยกับผม มันจะเหลือบมองเยื้องไปด้านข้างซ้ายของผมที่ร่างสูงเจ้าของแววตาคมดุนั่งอยู่
Rrrrrrrrrr………
“ครับ ป้านวล”
“ห๊ะ! เมื่อไหร่ครับ แล้วเต้เป็นยังไงบ้าง”
“อยู่กับหมอแล้วใช่มั้ยครับ”
“ครับๆ ผมจะรีบไป”
“สวัสดีครับป้านวล”
เป็นเหตุการณ์ที่เร็วมากหลังจากอินรับโทรศัพท์ เพราะอยู่ดีๆอินก็ทำหน้าตกใจมาก จนผมที่อยู่ข้างๆพลอยตกใจไปด้วย จากที่ฟังจับใจความได้ว่าต้องมีใครเป็นอะไร ภาวนาขอให้ไม่ใช่แบบที่ผมคิด เพราะสีหน้าอินตอนนี้ดูไม่ดีเสียเลย คิ้วขมวดเป็นปม ปากบางสีชมพูเม้มขีดเป็นเส้นตรงจนกลัวว่าจะห้อเลือด มือซ้ายที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์กำแน่น จนผมต้องเอื้อมมือไปลูบเบาๆให้คลายออก เพื่อสื่อถึงมันว่า ไม่เป็นอะไร
“เจ้า! ลาเต้ท้องเสียเข้าโรงพยาบาล กูต้องรีบไปแล้วว่ะ” อินหันมาบอกผมหลังจากวางสายจากป้านวล ป้าแม่บ้านที่ดูแลมันมาตั้งแต่เด็ก พร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วจนผมแทบคว้าไว้ไม่ทัน พี่เกียร์กับพี่พีก็ดูจะตกใจไม่ต่างกันกับอาการของเพื่อนผม ผมหันไปสบตากับพี่เกียร์แปบนึง ก่อนจะหันมาพูดให้อินใจเย็นลง
“เห้ย! อิน มึงใจเย็น ไปอ่ะไปได้ แต่มึงตั้งสติก่อน ลาเต้ถึงโรงพยาบาลแล้วนี่ มึงบอกกูเมื่อกี้” ผมค่อยๆเรียกสติมัน ผมรู้มันห่วงลาเต้ แต่มันรีบไปแบบไม่มีสติมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“อืม กูแค่ตกใจ แต่กูคงต้องรีบไปเลยว่ะ คงอยู่รอไอ้ภาคเป็นเพื่อนมึงไม่ได้ละ”
“โอเค ไปยังไง กูไปเป็นเพื่อนดีกว่ามั้ย แล้วค่อยโทรบอกไอ้ภาคมัน”
“ไม่เป็นไร โรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆบ้านกู เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปก็ได้”
“แต่ตอนนี้ฝนตก รถติดนะอิน ไปบีทีเอสมั้ย เดี๋ยวกูไปด้วย ปะ” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน จะได้พาอินไปให้ถึงโรงพยาบาลจะได้คลายกังวล
ระหว่างที่ผมกับอินคว้ากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพาย และกำลังจะหันไปลารุ่นพี่วิศวะฯสองคนที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้
“เจ้า อยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ไปส่งอินเอง”
“ห๊ะ!” เสียงผม
“เอ่อ..ไม่เป็น..” เสียงอินที่ยังพูดไม่จบประโยคดี
“เลิกดื้อ!..ไอ้เกียร์ กูยืมรถหน่อย” และเสียงพี่พีที่น้ำเสียงทุ้มแข็งแต่เคลือบไปด้วยความอบอุ่น พลางยื่นมือไปรับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ราคาแพงจากเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆผม
“เอ่อ พี่พี คือเดี๋ยวผมไปกับเจ้าเองก็ได้” อินยังพยายามปฏิเสธความหวังดีของพี่เกียร์
“บอกว่าเลิกดื้อ แล้วฟัง ตอนนี้ฝนตกรถติด ทั้งรถไฟฟ้า ทั้งรถแท็กซี่มันก็ช้าทั้งนั้นแหละ ถ้าอยากถึงโรงพยาบาลเร็วๆ ก็มากับกู” พี่พีเดินอ้อมโต๊ะม้าหินเข้ามาหาอินก่อนจะเอ่ยอธิบายเสียงดุ อื้อหือ แต่เสียงตอนนี้น่ากลัวชะมัด
“แล้วเจ้า…”
“ไม่เป็นไรอิน รีบไปเถอะ ให้พี่พีไปส่งดีแล้ว” ผมเอ่ยคลายความกังวลให้อิน เพราะมันต้องคิดว่าตัวเองทิ้งเพื่อนไว้แน่ๆ
“งั้น...กูไปก่อนนะ”
“อืม ถึงแล้วโทรมาด้วยนะมึง ลาเต้ไม่เป็นอะไรหรอก มันเก่งจะตาย” ผมส่งคำปลอบใจให้เพื่อนด้วยรอยยิ้ม พร้อมยกมือขึ้นบีบไหล่มันเบาๆ
“พี่พี ฝากเพื่อนผมด้วย อย่าขับรถเร็วนะ” ผมหันไปพูดกับรุ่นพี่ตัวสูงหน้านิ่ง
“อืม”
แล้วทั้งสองคนก็หันหลังเดินออกนอกอาคารไปทางลานจอดรถของคณะ แผ่นหลังของทั้งสองคนค่อยๆลับจากสายตาผมไป ผมรู้ว่าเพื่อนผมมันกังวล และผมก็เป็นห่วงมัน
มีต่อด้านล่างนะคะ
ท่าเรือที่ 5
ปลาทองของผม
Gear’s Part
คุณเคยมีความทรงจำที่รอคอยวันลืมเลือนกันหรือไม่ครับ?
ความทรงจำที่บันทึกความรู้สึกต่างๆในช่วงเวลานั้นไว้ และเมื่อวันเวลาผ่านไปหากมันไม่ได้ถูกหยิบออกมาทบทวนหวนย้อนคิดถึง มันก็อาจจะถูกความทรงจำชุดใหม่ ความรู้สึกใหม่ ทับซ้อนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายความรู้สึกนั้นอาจจะถูกซ่อนจนไปอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดของลิ้นชักที่ชื่อว่าความทรงจำก็เป็นได้
สำหรับผม ผมก็มีความทรงจำนั้นครับ เป็นความทรงจำที่ตัวผมเองพยายามที่จะเก็บซ่อนไปให้ลึกที่สุดตั้งแต่ผ่านช่วงเวลานั้นไปแทบจะทันที เพราะผมกลัว กลัวที่โหยหาบุคคลและความรู้สึกที่ดีมากๆในความทรงจำครั้งนั้น ผมใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ลองสิ่งใหม่ๆ ทบทวนความเป็นไปได้ในชีวิตอยู่เสมอ เพื่อจะได้สร้างความทรงจำใหม่ไปทับความทรงจำเหล่านั้น และหวังว่าวันนึงผมจะลืมเลือนมันไปเอง
แต่นี่มันชีวิตจริง และในชีวิตจริงโชคชะตาก็ชอบเล่นตลกกับเราเสมอ ความทรงจำที่ผมอุตส่าห์เก็บใส่กล่อง ปิดผนึกอย่างดี รอวันลืมเลือนในสักวัน สุดท้ายกล่องความทรงจำของผมก็ถูกกระชากเปิดออกมา ทำให้ความรู้สึกในความทรงจำครั้งนั้น หวนกลับมาอีกครั้ง…
“ฮัลโหล”
(มึงถึงไหนแล้วไอ้เกียร์)
“ยอดพิมานว่ะ ไอ้สายฟ้ากูเสียตรงแถวสะพานพุทธฯ ซวยชิบหาย”
(อ่าว แล้วมึงจะมายังไงวะ กูไม่วนรถไปรับนะเว้ย บอกไว้ก่อน)
“แล้งน้ำใจนะสัด เออๆ เดี๋ยวกูนั่งเรือไปลงปิ่นเกล้า มึงมารับกูตรงนั้นก็ได้”
(โอเค งั้นใกล้ถึงมึงก็โทรมา)
“อือ”
ติ๊ด!
เฮ้อ จากที่เคยต้องโดยสารพาหนะที่รวดเร็ว คล่องตัว ดันต้องมาเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะทางน้ำ เป็นอะไรที่ทำให้ผมหงุดหงิดมากตอนนี้
เย็นวันนี้ผมนัดกับเพื่อนไปสังสรรค์กันที่สถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ย่านฝั่งธนบุรี แต่ดันเกิดความซวยขึ้นกับผมเพราะเจ้าสายฟ้า พาหนะสองล้อคู่ใจราคาหลายหลักสีดำทะมึนที่เป็นของขวัญจากแม่ในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดันมาเกิดอาการงอแงเครื่องดับไปซะอย่างนั้น ผมเลยต้องใช้บริการรถสองล้อไม่ประจำทางที่มีคนขับใส่เสื้อกั๊กสีแสบตาให้มาส่งที่ท่าเรือยอดพิมาน
ยืนรออยู่ไม่นานเรือโดยสารธงสีส้มปลายทางนนทบุรีที่ผมใช้บริการไม่บ่อยก็กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเทียบท่ายอดพิมาน ผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยที่รอใช้บริการเช่นเดียวกับผม ก็เบียดเสียดกันเดินออกมายืนที่บริเวณโป๊ะเรือในตำแหน่งที่รอให้ผู้โดยบนเรือที่ต้องการลงท่าเรือนี้ทยอยลงมาก่อน
เมื่อเรือจอดเทียบท่าสนิทแล้ว ผู้โดยสารบนเรือก็ต่างคนต่างก้าวออกจากเรือด้วยความระมัดระวัง เดินผ่านผมไปเพื่อเข้าตัวอาคารยอดพิมาน พลันสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง เขาตัวเล็กกว่าผมมาก ผิวขาวสว่างชวนมอง ผมสีน้ำตาเข้มที่ปกคลุมศีรษะรับกับสีผิว แต่ที่จ้องขนาดนี้เพราะเขาก้มหน้าเพื่อก้าวเดินออกจากเรือ เดินไม่ระวังข้างหน้าแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้ชนคนอื่น
สายตาของผมก็เบนออกจากเขาคนนั้น เพื่อมองเช็คจำนวนผู้โดยสารที่เหลือด้านหลัง จะได้เตรียมตัวขึ้นสักที แต่…
“อ๊ะ!”
หวืดดดดดดดดดด
หมับ!!!
เขาคนนั้นเดินมาชนผม ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่ทำโดยไม่คิดส่งผลให้เอื้อมมือไปจับต้นแขนของเขาไว้ ไม่ให้เจ้าตัวหงายหลังตกน้ำไปในช่องว่างระหว่างเรือกับโป๊ะ คิดไว้แล้วว่าต้องชนคนอื่นแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนชนเข้าซะเอง
“ฟู่ววววววววว เกือบไปแล้ว” คนตัวเล็กกว่าผมพึมพำกับตัวเอง
“...” ผมยังคงยืนเงียบ รอดูปฏิกิริยาว่าเขาจะทำยังไงต่อ
“ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยขอบคุณผมแบบที่ไม่เงยหน้ามามองคนที่ช่วยไว้ด้วยซ้ำ เป็นคนยังไงเนี่ย
“อืม เดินดีๆ” น้ำเสียงที่ตอบออกไปของผมถ้าตั้งใจฟังก็จะรู้ว่ามีความเย็นชาอยู่ในนั้น ก็ใครใช้ให้ก้มหน้าก้มตาเดิน คนก็ทยอยขึ้นเรือจะหมดละเนี่ย นี่มันวันซวยอะไรของผม
แล้ววินาทีนั้นสติของผมก็หลุดลอยไปทันที เมื่อเจ้าของผิวขาวสว่างเงยหน้าขึ้นมาสบตา
ความรู้สึกในวันนั้นมันย้อนกลับมา ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่เคยเต้นช้าตามจังหวะคนปกติก็ปรับจังหวะการสูบฉีดเร็วขึ้นจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากอก โชคชะตาเล่นตลกกับผมจริงๆ โชคชะตาพาเขากลับมากระชากความรู้สึกที่ผมพยายามเก็บซ่อนไปให้ลึกที่สุดในความทรงจำ
เขาผู้เป็นเจ้าของดวงตากลมโตแต่กลับเหมือนมีเวทมนตร์ที่ทำให้ผมไม่อยากจะละสายตา
เขาผู้เป็นเจ้าของแก้มกลมสีเรื่อที่ทำให้ผมแทบห้ามมือตัวเองที่พยายามจะเอื้อมไปสัมผัสไม่ได้
และ เขาผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่เป็นเหมือนยากระตุ้นหัวใจที่ไร้ชีวิตชีวาของผมให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เขาคือคนในความทรงจำเมื่อ 3 ปีที่แล้วของผม
ผมไม่รู้ว่าผมใช้สายตาแบบไหนจ้องมองไปที่ดวงตาของเขา รู้แค่ว่าผมอยากโลภมากที่จะหยุดเวลาไว้แค่นี้ แต่สุดท้ายผมก็ต้องตื่นจากฝัน
“เอ่อ..คะ...คุณ มีอะไรหรือเปล่าครับ” คนตากลมเอ่ยถาม ดึงผมให้กลับสู่โลกความจริงที่เป็นปัจจุบัน
“...”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ชน พอดีมัวแต่ก้มมองช่องว่าง เลยไม่ทันเงยหน้าดู ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะครับ” เขาเอ่ยอธิบายกับผมยาวเหยียด ตามด้วยรอยยิ้มกว้างตากลมหยีเป็นเส้นโค้ง รอยยิ้มแบบที่ทำให้ผมแทบคลั่ง รอยยิ้มที่ทำให้ผมสับสนกับตัวเองอย่างหนัก และเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องอดทนและพยายามที่จะไม่นึกถึงมาตลอดเวลา 3 ปี ทำไมเขาใจร้ายกับผมแบบนี้ แล้วผมจะลืมได้ยังไง
“...” สตั๊นไปสิกู
“เอ่อ คุณ คุณ!! ปล่อยแขนผมก่อนดีมั้ย เรือจะไปแล้วนะ”
“ฮะ!! ว่าไงนะ” เมื่อสติกลับมาครบสมบูรณ์ โสตประสาทของผมก็รับรู้เสียงเรียกของคนตัวเล็ก อ่าว จะตกเรือแล้วไอ้เกียร์เอ้ย
“คือผมบอกว่า ปล่อยแขนผมก่อน แล้วรีบขึ้นเรือเถอะครับ” คนตาสวยบอกผมเสียงดังชัดเจน ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ปล่อยมือจากต้นแขนเล็กนั้น
“อืม ไปละ” ผมมองตามสัญญาณมือของเขา พร้อมคลายมือออกจากต้นแขนเล็กของคนตรงหน้า
“ครับ ขอโทษและขอบคุณอีกครั้งครับ” ร่างเล็กเอ่ย และกำลังจะเบี่ยงตัวเดินเลี่ยงผมไปอีกทาง จะไปแล้ว เขาจะไปแล้วมึงไอ้เกียร์ คิดสิมึง คิดดดดดด
“เดี๋ยว!” ผมเอี้ยวตัวหัวไปเรียกคนตัวเล็ก ทั้งๆที่ในหัวยังคิดไม่ออกว่าจะรั้งเขาไว้ทำไม
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่า แต่…” แต่อะไร คิดเร็วๆสิไอ้เกียร์ ถามชื่อดีมั้ยวะ
“...” คนตัวเล็กเลิกคิ้วเชิงถามผม ใครใช้ให้ทำหน้าน่ารักขนาดนั้น
.
.
“ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิม” ผมตอบพลางยิ้มมุมปาก แต่ยิ้มนี้ไม่ได้ให้เขานะ ยิ้มเยาะเย้ยตัวเองเนี่ย โถ่ ไอ้เกียร์ พูดอะไรไป ผมหลุดพูดในสิ่งที่อยู่ในความทรงจำครั้งเมื่อตอนเจอเขา ความซุ่มซ่ามของเขาในวันนั้น แต่รู้มั้ยว่ามันโคตรน่ารัก
“...” คนตัวเล็กไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกมา แววตามีแค่ความสงสัย
ผมตัดใจหันหลังก้าวเดินขึ้นเรือที่จอดรออยู่ โชคชะตาคงแกล้งผมจริงๆ พาเขากลับมา แต่คงไม่ได้ตั้งใจให้เราได้รู้จักกัน นี่ผมต้องกลับไปเริ่มต้นเก็บซ่อนความรู้สึกนี้อีกแล้วสินะ
เมื่อขึ้นเรือมาแล้วผมหยุดยึดตำแหน่งตรงท้ายเรือเป็นที่พิง สายตาผมยังคงจ้องไปที่ร่างบางเจ้าของรอยยิ้มสดใส แม้เขาจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารแล้วก็ตาม สติของผมก็ยังคงอยู่กับเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี่ มันคงเป็นความฝันในโลกของความจริง โอกาสที่ได้มาของผมนั้นเริ่มห่างไกลออกไปเรื่อยๆตามการเคลื่อนตัวของเรือโดยสารเจ้าพระยา 3 ลำนี้
คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว…
ในเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ผมจึงตัดสินโทรหาคนๆหนึ่ง
- FEUANG -
(คิดถึงกูหรอ ถึงได้โทรมา)
“เฟือง” ผมตอบกลับคนปลายสายด้วยเสียงที่เรียบนิ่งไร้ความรู้สึก
(อือ เป็นอะไร เสียงแย่เชียวมึง)
“เฟือง...กูเจอเขาว่ะ”
(เขา? ใครวะ มึงช่วยอธิบายให้กูเข้าใจกว่านี้หน่อย)
“ปลาทองตากลมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว” เสียงผมที่ว่านิ่ง ตอนนี้ใจผมนิ่งสนิทกว่าอีก เพราะมันเย็นวาบทันทีที่คิดว่าจะไม่ได้เจอเขาแล้ว
(เห้ย! จริงดิ คนที่มาช่วยมึงตอนตีกันเพราะคิดว่ามึงจะโดนลูกหลงอ่ะนะ เชี่ย โลกกลมพรหมลิขิตมากมึง) เสียงตกใจของคนปลายสายดังพอที่จะทำให้ผมยิ้มจางๆเมื่อนึกถึงหน้าตาประกอบการตกใจของมัน
“อืม แต่เขาจำกูไม่ได้หรอก กูหล่อขึ้น” เล่นมุกตอบโต้ไปขำๆ แต่ความรู้สึกจริงๆของผมตอนนี้ไม่ขำจริงๆ
(สัด! สภาพตอนนั้นมึงไม่น่าจำมากกว่า นักเลงหัวไม้ชัดๆ แล้วยังไง เจอแล้วมึงทำไง)
“กู...กู...กูปล่อยเขาไปอีกแล้วว่ะ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ”
(โอ้ย ไอ้กาก อย่าไปบอกใครนะว่าเป็นน้องชายกู มึงสับสนกับรสนิยมตัวเองเพราะเขาเป็นปีๆ พอได้เจอ มึงเสือกปล่อยเขาไป โอ้ย กูไม่รู้จะพูดอะไรเลย) คนมีฐานะเป็นพี่ชายแท้ๆบ่นยาวให้กับความกากของผม ผมก็กากจริงๆแหละ แม่งเอ้ย
“เออ ไม่ต้องตอกย้ำ กูก็ไม่รู้ว่าต้องทำไงเหมือนกันว่ะ เขาคงไม่ได้เกิดมาเพื่อกูมั้งเฟือง”
(พระเอกสาดดดดดด แล้วแต่มึงละงั้น ละอยู่ไหน มาเมาย้อมใจที่คอนโดกูได้นะ) วิธีการปลอบใจของพี่ชายผม ดีจริงๆ
“เดี๋ยวไปหาไอ้พี ไอ้มายด์ ไม่เป็นไรหรอก กูทำใจละ เดี๋ยวก็ลืม” ตัดพ้อกับชีวิตสุดๆละตอนนี้
(ทำปากเก่ง เดี๋ยวก็ลืม เหอะ ถ้ามึงลืมได้จริง วันนี้มึงจะเฟลมั้ยเกียร์ โอ๋ๆๆๆ ฮ่าๆ) สรุปจะปลอบหรือจะตอกย้ำวะ แล้วนี่คิดผิดใช่มั้ยที่โทรมาหามันเนี่ย
“สัด! แค่นี้นะ คิดผิดจริงๆที่โทรหามึงเนี่ยเฟือง”
(ฮ่าๆๆ โอ๋ๆ มาให้พี่ปลอบมะ ฮ่…)
ติ๊ด!
กดวางสายพี่ชายหน้ามึนก่อนที่มันจะตอกย้ำความกากของผมไปมากกว่านี้ เฟืองเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องราวความทรงจำในอดีตของผม เพราะมันก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ยังใช้ไม้หน้าสามตีหัวคู่อริอยู่เลย เหอะๆ
ใช้เวลาไม่นานเรือโดยสารเจ้าพระยา 3 ก็เคลื่อนตัวมาจอดเทียบท่าเรือปิ่นเกล้าที่ผมต้องการจะลง แล้วผมก็โทรหาเพื่อนสนิทให้มารับตามที่นัดกันไว้ว่าจะไปสังสรรค์ สงสัยวันนี้จะได้เมาย้อมใจจริงๆ
*************************************************************
เมื่อเจ้าสายฟ้าของผมงอแงจนต้องเข้ารับการรักษาที่อู่เจ้าประจำ วันนี้การเดินทางมาเรียนของผมจึงต้องพึ่งไอ้เพื่อนสนิทช่างจ้อให้มันมารับที่บ้าน สำหรับการเลี้ยงสังสรรค์เมื่อวานก็ผ่านไปได้ด้วยดีโดยไม่มีการสูญเสียสติใดๆ เพราะระหว่างกำลังชนแก้วกันเพลิดเพลิน ไอ้โซ่ เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มของผมได้รับสายด่วนจากเพื่อนในชั้นปีว่าวันนี้มีนัดเรียนเช้า และตอนบ่ายมีเข้าแลปดิน ช็อคกันทั้งวงสิครับงานนี้ แยกย้ายกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน
สำหรับการเรียนในคาบเช้าก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นวิชาแลคเชอร์ที่นัดเพิ่มเข้ามาให้นักศึกษาตื่นเช้ามาเรียนจนปวดหัวเล่นๆก็แค่นั้น ปัญหามันอยู่ที่ช่วงบ่าย การเข้าแลปดินนี่แหละครับ ศึกษาและทดสอบดินเพื่อออกแบบการก่อสร้าง ตอนนี้ผมอยากสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อนมากๆ จากเหตุการณ์เมื่อวานสภาพจิตใจผมยังคงอึนๆมึนๆหน่วงๆอยู่เลย เขาจำไม่ได้แล้วยังไม่มีโอกาสจะไปเจอให้เขาจำอีก กากเอ้ย
พอนึกแล้วเซ็งๆ ซึ่งในตอนนี้กำลังหัวฟูทดสอบดิน A ดิน B อยู่แต่สมาธิแทบเป็นศูนย์จนเป็นที่น่าสังเกตของเพื่อน
“ไปดูดบุหรี่มั้ย?” ไอ้ปฐพี เพื่อนสนิทหน้านิ่งของผมมันหันมาถาม ไม่แปลกใจที่มันจะทักหรอก เพราะสนิทกันมาตั้งแต่มัธยมต้น มีวีรกรรมร่วมกันมาก็เยอะ
“อืม ไปดิ” หันไปตอบตกลงพร้อมยิ้มมุมปากส่งไปให้
เราสองคนเดินออกจากห้องปฏิบัติการแล้วเลี้ยวขวาเดินตามทางเดินเพื่อออกไปที่บันไดหนีไฟที่ยื่นออกไปนอกตัวอาคาร เป็นทำเลดีๆในการออกมาสูดนิโคตินเข้าปอด ต่างคนต่างยืนสูบบุหรี่สายตาทอดมองไกลออกไป เรื่องราวในหัวก็เวียนหวนชวนให้คิดถึง ความเงียบเข้าปกคลุมแต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เพราะคนข้างๆมันรู้นิสัยผมดีจึงไม่ได้เร่งถามอะไร ตามนิสัยมันก็ไม่ใช่คนที่จะมาซักไซร้ไล่เรียงอะไร
“กูเจอเขาว่ะ” เป็นผมเองที่เอ่ยทำลายความเงียบ
“หืม เขา?” ปฐพีหันมาเลิกคิ้วถามผม มือก็สะบัดขี้บุหรี่ให้ร่วงหล่นลอยไปกับสายลม
“อืม คนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว” ตอบคลายความสงสัยของไอ้พีด้วยรอยยิ้ม สายตาทอดมองไปยังวิวของเมืองหลวง
“เจอเมื่อวานสินะ หึ”
“รู้อีกนะมึง”
“ก็อาการมึงออกขนาดนั้น แดกเหล้าเหมือนอกหัก” มันหันมายิ้มเหยียดให้ผม ถ้าเป็นสมัยมัธยมปลายที่ยังเฮี้ยวๆกันอยู่ ยิ้มแบบนี้โดนตีนแน่นอน
“อืม เจอเขา แล้วกูก็ปล่อยเขาไป หึหึ” เอ่ยเสียงเรียบตามความรู้สึกเรียบๆของตัวเองตอนนี้
“ถ้าคราวนี้ลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม” มันหันมาบอกผมด้วยร้อยยิ้มมุมปาก ผมเข้าใจความหมายที่มันต้องการสื่อนะ เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็คงลืมไม่ได้อย่างที่มันพูดนั่นแหละ
เมื่อแท่งยาสูบของแต่ละคนหมดลง ก็พากันเดินกลับห้องปฏิบัติการเหมือนเดิม แต่พอถึงหน้าห้องผมก็รู้สึกกระหายน้ำ เลยชวนไอ้พีลงมาซื้อน้ำที่ซุ้มขายของเล็กๆใต้อาคารก่อน คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่
ใช้เวลาในการซื้อน้ำกับหมากฝรั่งไม่นานก็เดินเข้าตัวอาคารทางปีกซ้ายที่เป็นทางเดินเล็ก เพราะถ้าเข้าทางหน้าอาคารมันก็จะอ้อมไกลไป ปกติพวกผมก็ใช้ทางนี้ประจำ ระหว่างที่ผมเดินตามไอ้พีที่กำลังจะถึงบริเวณโถงรอลิฟต์ ผมก็ได้ยินเสียงใสๆที่รู้สึกคุ้นมาก เสียงที่ทำให้หัวใจกระตุกวูบ ดังมาจากทางด้านโต๊ะม้าหินอ่อนใต้อาคาร
ย่างก้าวชะงักงันเพราะเสียงนั้น ร่างกายผมถูกบังคับด้วยความรู้สึกบางอย่างให้ต้องหันกลับไปมอง พลันสายตาเลื่อนไปหยุดที่ต้นเสียง หัวใจที่มันชาและนิ่งมากของผมกลับเต้นแรงอีกครั้ง
ใช่ครับ ผมเจอเขาอีกแล้ว ผมได้เจอคนตัวเล็กอีกครั้ง ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกครั้งนี้ยังไง รู้เพียงแค่ว่าอยากขอบคุณอะไรก็ตามที่มอบโอกาสให้ผมอีกครั้ง ขอบคุณที่พาเขากลับมา
ผมไม่รู้ว่าตัวเองยืนนิ่งจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าที่คนตัวเล็กกำลังคุยกับรุ่นน้องของผมนานแค่ไหน ทำไมเขามาอยู่ตรงนี้นะ แสดงว่าเขาเรียนที่เดียวกับผมใช่มั้ย หรือเป็นเพื่อนกับใครสักคนในภาควิชาของผมหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ปี 1 ของภาควิชาผมชัวร์ เพราะไม่เช่นนั้นเราคงได้เจอกันนานแล้ว
“เกียร์..ไอ้เกียร์...ไอ้เชี่ยเกียร์!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมจากปากเพื่อนสนิทก็ดังทำลายภวังค์ที่ดึงผมหลุดเข้าไป
“ห่ะๆ..เอ่อ ว่าไงมึง”
“เป็นเหี้ยไรเนี่ย หยุดยืนดูอะไรของมึง ไม่รีบขึ้นห้องวะ ไอ้โซ่บ่นตายห่าละ”
“มึง เขากลับมาอีกแล้วว่ะ” ผมเอ่ยตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่เคลือบไปด้วยความดีใจ ทั้งที่สายตายังไม่เบนออกจากคนตัวเล็กที่อยู่ห่างจากตรงนี้พอสมควร
“เขา?...ปลาทองมึงอะนะ หึหึ” ปฐพีหันมองตามสายตาผม แต่มันคงยังไม่รู้หรอกว่าคนไหน แต่ตามนิสัยก็คงรอคำตอบจากผมเอง มันเลยเบี่ยงตัวถอยหลังเดินเข้าลิฟต์ไปก่อนผม
คนเราจะได้รับโอกาสในเรื่องเดิมๆสักกี่ครั้ง
แล้วถ้าครั้งนี้ผมปล่อยโอกาสหลุดมือไปอีก จะมีอะไรรับประกันได้ว่าผมจะโชคดีได้รับโอกาสในครั้งต่อไป
“ปลาทอง..คราวนี้จะไม่ปล่อยแล้วนะ”
ประโยคที่เอ่ยออกไป ก็คงมีแต่สายลมและตัวผมเท่านั้นที่จะได้ยิน แต่ผมก็ขอสัญญากับตัวเองไว้ตรงนี้เลยว่า โอกาสครั้งนี้ที่ได้มาผมจะไม่ปล่อยให้มันเสียเปล่าเหมือนเมื่อวานแน่นอน เตรียมตัวรับมือไว้ได้เลย ปลาทองน้อยของผม
มีต่อด้านล่าง
ต่อจากด้านบน
ในระหว่างที่นักศึกษาวิศวกรรมโยธาชั้นปีที่ 3 กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับการทดสอบดินอยู่นั้น ประธานของรุ่นก็มีข่าวมาแจ้งสมาชิกร่วมรุ่นทุกคน ประเด็นของเรื่องด่วนวันนี้ก็คือการต้องลงไปตรวจดูการทำพานไหว้ครูของน้องปี 1 บริเวณใต้อาคารภาค เอ๊ะ ที่ผมเห็นคนตัวเล็กใต้อาคารเขาก็นั่งอยู่ในกลุ่มเด็กปี 1 ของภาคที่กำลังทำพานอยู่นี่ ผมจำไอ้ภาคได้ หลานรหัสของไอ้โซ่เพื่อนผมเอง
หึหึ
“ใครจะลงไปวะ” เพื่อนที่มีฐานะเป็นประธานรุ่นเอ่ยถามสมาชิกร่วมรุ่น
“มึงไง เป็นประธานรุ่นก็ไปดูน้องหน่อยดิ” เสียงหนึ่งดังมาจากทางอ่างล้างอุปกรณ์แลป
“ก็กูเป็นประธานรุ่นไง ไปดูบ่อยแล้ว ต้องให้พวกมึงไปบ้าง น้องจะจำหน้าไม่ได้แล้วนะสัด”
“น้องคนไหนกล้าลืมกูวะ ห๊ะ!” รอบนี้เป็นเสียงไอ้มายด์เพื่อนผมที่ยืนส่องกล้องอยู่ข้างๆผมกับไอ้ปฐพี
“งั้นถ้ามึงกลัวน้องลืม มึงลงไปเลยไอ้มายด์” ไอ้ประธานรุ่นเอ่ยพร้อมยิ้มเยาะ
“อ่าว ทำไมต้องกูวะ ไม่ลงเว้ย ผลแลปก็ยังไม่ออกเลยเนี่ย ไม่ว้อยยยย” คนมีนิสัยชอบพูดติดตลกโวยวายออกมาหน้าเครียด
หลังจากปล่อยมันเถียงกันอยู่นาน ผมคิดว่าโอกาสครั้งนี้ผมต้องคว้าไว้แล้วแหละ
“พวกมึง เดี๋ยวพวกกูลงไปดูน้องให้เอง” เอ่ยอาสาออกไปเสียงเรียบ
“หืม มึงเนี่ยนะไอ้เกียร์ ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจน้อง วันนี้อะไรดลใจวะ” ไอ้โซ่เปล่งเสียงถามผมด้วยความสงสัย ก็แหงล่ะ ปกติผมนี่ไม่ค่อยสนใจกิจกรรมยิบย่อยแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ร่วมกิจกรรมอะไรเลย แต่ครั้งนี้ข้อแลกเปลี่ยนมันน่าสนใจ
“เออ เดี๋ยวกูไปกับไอ้พี ไอ้มายด์”
“อ่าว สัดเกียร์ เกี่ยวอะไรกับกู เพิ่งบอกอยู่เมื่อกี้ว่าผลแลปกูยังไม่ออก”
“ก็ให้ไอ้โซ่ทำดิ” ผมตอบสวนมันไป
“เดี๋ยวก่อนๆ ทำไมมึงดูอยากลงไปจังวะ มีอะไรป่าววะ” เซ้นส์มึงดีไปแล้วนะไอ้มายด์
“ถ้าอยากรู้มึงก็ไปกับพวกกูดิ หึหึ” ปฐพีตอบเสียงยั่วความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนจอมกวน
“เออ ไปก็ได้วะ แต่มึงสองตัวต้องบอกกูมาให้หมดนะ”
“ฮ่าๆ ขี้เสือกได้โล่ห์จริงๆมึง” ไอ้โซ่ปล่อยเสียงหัวเราะใส่เพื่อนคู่แลป
การตัดสินใจลงไปครั้งนี้ของผมจะทำให้ได้เจอเขาอีกหรือเปล่า เขาจะยังอยู่ใต้อาคารของภาคผมไหมก็ไม่รู้ แต่เมื่อโอกาสมาถึง ผมก็ไม่อยากปล่อยไปอีกแล้ว ถึงลงไปจะไม่ได้เจอ แต่ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าจะตามหาเขา ผมจะไม่ยอมกลับไปอยู่ในจุดที่ต้องพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกของความทรงจำเหมือนในอดีตอีกแล้ว
“สรุปว่ามีอะไร เล่ามาด่วนเลยมึง” ไอ้มายด์เอ่ยถามเมื่อเราทั้งสามคนเดินออกมาจากห้องปฏิบัติการวิชาปฐพีกลศาสตร์
“ก่อนเล่า กูอยากบอกมึงไว้เรื่องนึงก่อน ถ้าน้องถามว่าทำไมเป็นพวกเราลงไปตรวจพานน้อง มึงต้องบอกว่า จับฉลากมา”
“ทำไมกูต้องพูดแบบนั้นวะ งงนะสัด” เออ มึงงงก็ไม่แปลกหรอกมายด์เอ้ย
“เออน่ะ ถ้าน้องมันถามก็ตอบแบบที่กูบอก เดี๋ยวเรื่องทั้งหมดกูเล่าหลังตรวจพานน้องเสร็จละกันมึง มันยาว”
“อ่าว เบี้ยวหรอไอ้เกียร์ เกริ่นให้กูหายโง่ก่อนได้มั้ยไอ้เหี้ยยยย” ไอ้มายด์โวยวายเสียงก้องไปทั่วลิฟต์ อาการของคนขี้เสือกกำเริบจริงๆ
“มันอยากลงมาหาคนๆนึง คนที่ทำให้แม่งไม่ยอมมีเมียเป็นตัวเป็นตน หึหึ” ไอ้ปฐพีเอ่ยตอบไอ้มายด์แทนผม น้ำเสียงล่อตีนมากครับ บอกไว้เลย
“เห้ย จริงดิ ใครวะ โอ้ยพวกมึง เล่าดิสัด กูอยากรู้” คำว่าเสือกเด่นหรากลางหน้าผากมึงเลยนะไอ้มายด์
“เออ ก็บอกว่าเดี๋ยวเล่า รู้แค่ว่าลงมาเพราะคนๆนึงก็พอ”
ติ๊ง
จบบทสนทนาลิฟต์โดยสารก็พาพวกเราทั้งสามคนลงมาถึงชั้นหนึ่งที่มีโถงใต้อาคารเป็นบริเวณให้นักศึกษานั่งพักผ่อน และเป็นที่ๆทำให้ผมได้เจอกับเจ้าของดวงตากลมโตอีกครั้งเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา
เมื่อเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่รุ่นน้องปี 1 จับกลุ่มกันนั่งทำพานสำหรับไหว้ครูอยู่ ผมก็เห็นพวกปี 2 มายืนดูน้องอยู่ก่อนแล้ว แถมยังยืนล้อมโต๊ะที่ผมเห็นคนเล็กนั่งอยู่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ไอ้มายด์ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกปี 2 ว่าอะไรน่ารักๆสักอย่าง ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะตอนนี้หัวใจผมบีบรัดเนื่องจากความตื่นเต้นที่เริ่มก่อตัว เขาจะยังอยู่หรือเปล่า ปี 2 ก็ยืนบังจนมองไม่เห็น
“อะไร ไหนใครน่ารักนะ ได้ยินไม่ชัดว่ะ” ไอ้มายด์เอ่ยทักขัดบทสนทนาของรุ่นน้องทั้งปี 1 และปี 2 บริเวณนั้น
“อ้าว พี่มายด์ พี่เกียร์ พี่พี มาตรวจพานน้องหรอพี่” คนที่หันมาตอบรับคำทักทายของไอ้มายด์เป็นรุ่นน้องปี 2 ที่สนิทกันในระดับหนึ่ง
และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปี 2 คนอื่นๆขยับออกไปนั่งโต๊ะข้างๆ ทำให้ผมได้เห็นเขาอีกครั้ง แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังเล็กๆนั่น ผมก็จำได้
ปลาทองของผม
“เออดิ ไอ้เกียร์แม่งจับฉลากพลาด กลุ่มพวกกูเลยได้ลงมา แล้วให้กูมาดูอะไรวะ พานนะมึง เข้ากับกลุ่มกูมากมั้ง” ไอ้มายด์แสร้งบ่นอุบให้น้องปี 2 ฟังถึงความซวยที่ต้องลงมาตรวจพาน เอาตุ๊กตาทองมั้ยมึง เนียนฉิบหาย
ระหว่างนั้นไอ้มายด์กับรุ่นน้องก็ทักทาย สอบถามกันไปเรื่อย แต่สายตาผมยังไม่ละจากแผ่นหลังของคนตัวเล็กเลย เขาก็ไม่ได้หันมามองทางพวกผมที่กดตัวลงนั่งตรงโต๊ะด้านหลังของเขา เห็นนั่งก้มหัว มือก็ทำอะไรยุกยิกๆก็ไม่รู้ เมื่อไอ้มายด์เรียกประธานรุ่นปี 1 เข้ามาถามความคืบหน้า โสตประสาทของผมถึงได้รับรู้เสียงรอบข้างอีกครั้ง จังหวะนั้นไอ้มายด์ก็เรียกพวกผมให้ลุกขึ้นเดินไปตรวจพานไหว้ครูตามที่ได้รับอาสามา เราสามคนเดินอ้อมไปยืนตรงหน้าของคนตัวเล็ก ถึงจะก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างในมือ แต่ผมสัมผัสได้ถึงออร่าของสดใส
“เหยๆ นี่พวกมึงทำกันเองหรอ สวยนะเนี่ย” ไอ้มายด์หยิบส่วนประกอบของพานไหว้ครูขึ้นมา ผมก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ในสายตาผมมันเป็นงานฝีมือที่ประณีตมาก
“เอ่อ คือ เอ่อ อันนี้พวกผมไม่ได้ทำพี่” ประธานรุ่นปี 1 ตอบเสียงไม่ค่อยมั่นใจ แต่ให้เดาก็รู้ว่าเด็กวิศวะฯอย่างพวกเราๆ ไม่น่าทำงานที่ละเอียดได้ขนาดนี้
“อะไร ไหนปี 2 บอกพวกมึงทำกันเอง แล้วทำไมบอกว่าไม่ได้ทำ คือกูงงหรือกูโง่” น้ำเสียงที่ฟังดูติดตลกแต่ก็แอบกดดันของไอ้มายด์ส่งไปให้ไอ้รุ่นน้องที่ชื่อภาค
“คือผมให้เพื่อนช่วยทำอ่ะ นี่เพื่อนผมคนนี้ชื่อเจ้าพระยา เรียกเจ้าก็ได้พี่ ส่วนนั่นชื่ออินธัช เรียกอินก็ได้” ไอ้ภาคเอ่ยแนะนำคนตรงหน้าผมให้ได้รู้จักชื่อ เป็นเพื่อนไอ้ภาคก็เป็นรุ่นน้องผมสินะ
หึหึ ได้รู้ชื่อสักทีนะ
...เจ้าพระยา... แค่ชื่อก็ทำให้ผมแทบสะกดกลั้นตัวเองไม่ให้หลุดยิ้มไม่ได้ ใกล้กันเข้ามาอีกนิดแล้วนะ ไม่รู้จะบรรยายความดีใจที่ผมมีตอนนี้ยังไง สมองที่ควบคุมการรับรู้เสียงของผมก็ตัดขาดกับโลกภายนอกไปแล้ว ยืนจ้องเจ้าของชื่ออันแสนอบอุ่นจนเกือบลืมตัว แต่ผมก็ถูกกระชากสติกลับมาอีกครั้งเมื่อคนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาเพื่อยกมือไหว้ทำความเคารพรุ่นพี่อย่างผม
“คุณ..!” เสียงตะโกนลั่นของคนตรงหน้า ดวงตาของคนตัวเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปากสีชมพูชะงักค้าง
“...” ผมไม่เอ่ยตอบโต้อะไรออกไป เพียงแค่ยิ้มมุมปากไปให้ แต่ใจจริงๆคือกลั้นยิ้มแทบตาย อื้อหือ ทำหน้าปลาทองใส่ ดาเมจหัวใจเชี่ยๆ ใครใช้ให้ทำหน้าตกใจแบบนี้ น่ารักฉิบหาย
เข้าใจคำว่า 'ใจบาง' ของไอ้โซ่ก็วันนี้
เมื่อไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับ ปลาทองของผมก็หันไปคุยกระซิบกระซาบอะไรกับเพื่อนสักอย่าง ต่อด้วยบทสนทนาที่มีเพื่อนของผมอย่างไอ้มายด์เป็นผู้ร่วมบทสนทนา เจ้าของตากลมก็มีอาการเกร็งขึ้นมาจนสังเกตได้ ดูท่าทางตะกุกตะกักกุมหน้างุดเย็บปักของที่อยู่ในมือตัวเอง ตลกดีนะ ฮ่าๆ แต่น่ารักมากกว่า
“อ๊ะ! เชี่ย” เสียงสบถของเจ้าปลาทองก็ทำให้ผมตกใจ แต่ก็ควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการ เพราะเขาดันทำเข็มแหลมๆในมือทิ่มนิ้วตัวเอง ซุ่มซ่ามไม่เคยเปลี่ยนเลย
คนตัวเล็กโดนเพื่อนบ่นให้กับความไม่ระวังของเขา แต่ดูจะไม่ค่อยสลดเท่าไหร่นะ หึหึ ทำหน้าระรื่นแล้วน่าแกล้งจังวะ ขอสักหน่อยเหอะ
“ซุ่มซ่ามเหมือนเดิม” ผมเลยตั้งใจหลุดแซวคำๆเดิมที่เพิ่งเอ่ยกับเขาไปเมื่อวาน
“...” ปลาทองของผมตาโตเป็นไข่ห่านเลยทีนี้ ฮ่าๆ ไอ้น่ารักเอ้ย น่าแกล้งชะมัด
“อ่ะ เหลืออันนึง” ผมล้วงพลาสเตอร์ยาจากในกระเป๋าเสื้อช็อปยื่นไปให้คนซุ่มซ่าม ความบังเอิญมันมีอยู่จริงๆ ที่ในช็อปผมมีพลาสเตอร์เหลือหนึ่งแผ่นพอดี แต้มบุญผมเหลือชัดๆ
คนน่าแกล้งยังทำหน้าเอ๋อใส่ผม อยากจะแกล้งทั้งวันเลยว่ะหน้าแบบนี้ ฮ่าๆ แต่ก็ยอมหยิบพลาสเตอร์ยาจากมือผมไปยื่นให้เพื่อนของเขาแปะให้ แล้วก็หันมาเอ่ยขอบคุณผม กลั้นยิ้มแทบไม่ทันเลยกู
หลังจากนั้นคนตัวเล็กก็ทำพานไหว้ครูช่วยรุ่นน้องผมต่อไป ผมกับไอ้มายด์ ไอ้พี ก็ย้ายตัวเองมานั่งที่ชุดโต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่ตรงข้ามกับโต๊ะของเขา สายตาก็จ้องมองการกระทำของเขาแต่ละอย่าง การหยิบ การจับ อะไรก็ดูคล่องไปหมด บางจังหวะที่เขาคุยกับเพื่อนหรือพวกวิศวะฯปี 1 ก็จะมีรอยยิ้มจางๆหลุดออกมาบ้าง นั่งกลั้นฟินไปสิกู ผมใกล้จะเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกทีละ ฮ่าๆ
“คนนี้หรอวะ” เป็นไอ้มายด์ที่เอ่ยทำลายความเงียบภายในโต๊ะของกลุ่มปี 3 อย่างพวกผม
“อืม” ตอบรับด้วยเสียงในลำคอ แต่สายตาผมกลับยังมองไปยังคนซุ่มซ่ามที่ยังคงตั้งอกตั้งใจทำพานไหว้ครู
“เซอร์ไพรส์สัดๆ กูก็นึกว่าผู้หญิงที่ไหน หึหึ”
“มายด์..มึงไม่โอเคหรอวะ” ผมรีบหันมาจ้องหน้าถามไอ้เพื่อนสนิทตัวดีนิสัยขี้เล่น
“ไม่ใช่ไม่โอเค กูก็แค่แปลกใจ ว่าคนนิสัยอย่างมึง ไม่น่าเชื่อว่าจะสนใจแบบนี้ มึงแน่ใจแล้วหรอวะ” มันตอบผม และเอ่ยถามกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“อืม ยิ่งกว่าแน่ใจ เขาทำให้กูสับสนกับตัวเองอยู่เป็นปี แถมยังไม่เคยออกไปจากความทรงจำของกูตั้งแต่วันนั้น” ผมตอบย้ำสิ่งที่อยู่ในใจของผมมาตลอดให้ไอ้มายด์ได้รู้
“แค่เริ่มสับสน มันก็คือคำตอบแล้ว” ไอ้ปฐพีเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ
“อือ ไอ้เฟืองก็บอกกูแบบนั้น แต่กูก็คิดว่าวันนึงคงก็ลืมไปเอง เพราะยังไงก็ไม่ได้เจอกันอีกแน่ๆ หึหึ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ ว่าเขาจะกลับมาอยู่ตรงหน้ากูอีกครั้ง”
“แต้มบุญเยอะนะสัด แล้วสรุปอะไรยังไง จะเล่าให้กูฟังได้ยัง ไปเจอเขาตอนไหน” ไอ้มายด์จี้ถามเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง
แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมด เรื่องที่ไม่เคยเลือนออกไปจากความทรงจำของผม เรื่องที่ทำให้ผมได้เข้าใจมาตลอดว่า บางทีเราก็เกิดมาเพื่อรอคอยคนๆนึงจริงๆว่ะ ทั้งเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีที่แล้วและเรื่องเมื่อวานให้ไอ้มายด์ฟัง ส่วนคนที่รู้เรื่องอยู่แล้วอย่างไอ้ปฐพีมันก็นั่งทอดสายตาชมนกชมไม้มันไปเรื่อย
“โห ไอ้เกียร์ แม่งอย่างกับละคร”
“หึหึ”
“เจอกันแปบเดียว คุยกันนับประโยคได้ มึงไปหลงน้องเขาตรงไหนวะสัด ใจง่ายนะมึง”
“กูไม่รู้ว่ะ รู้ตัวอีกทีก็เอาภาพเขาออกจากความคิดไม่ได้แล้วว่ะ ไอ้เฟืองมันบอก รักแรกพบ”
“อี๋ แหวะ พี่มึงนี่เลี่ยนสาดดดดด ฮ่าๆ”
“ไม่เจอกับตัวเอง มึงก็ไม่เข้าใจหรอก” ไอ้พีเอ่ยขึ้นมากลางบทสนทนา แต่ผมว่าสายตามันไปหยุดอยู่ที่ใครคนนึงนะ
“เออๆ กูไม่เข้าใจ แต่ว่า...พอเห็นหน้าน้องเจ้าของมึงแล้ว เป็นกูก็คงสับสนว่ะ ฮ่าๆ โคตรน่ารักอ่ะมึง น้องเขากินไฟนีออนแทนข้าวปะวะ”
“สัด!” จ้องหน้าด่าไอ้เพื่อนปากกวนบาทา อย่ามายุ่งกับปลาทองของกูนะเว้ย บอกไว้ก่อน อย่างอื่นยังพอยอมได้ แต่คนนี้แม้แต่เพื่อนกันกูก็หวงอ่ะ
นั่งคุยกันไปสักพัก หลังจากไอ้มายด์ไลน์ไปบอกไอ้โซ่ว่าไม่ขึ้นไปห้องแลปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเฮ เสียงปรบมือเสียงดังมาจากกลุ่มที่นั่งทำพานอยู่ ทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มจากคนตัวเล็กอีกครั้ง ยิ้มกว้างตาหยี ทำให้รอบตัวเขาดูสดใสขึ้นมาทันตา กูไปจ่ายเงินซื้อรอยยิ้มแบบนี้มาเก็บไว้คนเดียวได้มั้ยวะ
เมื่อปี 1 ได้รับคำท้าจากไอ้มายด์ว่าถ้าพานได้รางวัลติด 1 ใน 3 มันจะพาไปเลี้ยงโดยที่มีผมเป็นคนจ่าย ไอ้เพื่อนเหี้ย ทีแบบนี้โยนให้กูจัง ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตกลงรับคำไปนั่นแหละครับ เดี๋ยวจะเสียหน้า หึหึ ตอนนี้เหล่าวิศวะฯปี 1 ก็ช่วยกันเก็บของ เศษใบตอง ดอกไม้ที่เหลือจากการทำพาน ปลาทองของผมก็เอ่ยลาเพื่อนต่างคณะ เขาจะกลับแล้วหรอวะ ซึ่งไม่ต้องสงสัยนานเจ้าตัวกับเพื่อนก็เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายและเดินมาไหว้พวกผมที่นั่งตรงทางผ่านที่จะออกไปหน้าอาคารพอดี เอาไงวะกู
ตามไปดีไหมวะ
ตาม
ไม่ตาม
.
.
.
จะรอเหี้ยอะไรล่ะ
ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่ที่ชานชาลาบนบีทีเอสสถานีสยามแล้วครับ เรื่องอะไรจะปล่อยโอกาสไปอีกละ กูไม่ยอมว้อย ผมยืนทิ้งระยะห่างจากคนตัวเล็กพอสมควร ห่างพอที่จะไม่ทำให้เขารู้ตัวว่ามีผมตามมา ระหว่างนั้นเขาก็หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบไว้ที่หู มือเลื่อนสไลด์ไปบนหน้าจอสมาร์ทโฟน ปากก็ขมุบขมิบเหมือนกำลังฮัมเพลง
เคยเป็นกันไหมครับ ท่ามกลางคนมากมาย แต่สายตาเรากลับมองเห็นเขาชัดเจนในทุกการกระทำ ตอนนี้ผมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเลย แม่งเอ้ย อาการหนักละกู
เมื่อรถไฟฟ้าจอดเทียบชานชาลา ผมกับเจ้าพระยาเราก็ก้าวขึ้นกันคนละโบกี้ แต่สายตาผมก็ยังจับจ้องไปที่ร่างบางในชุดนักศึกษา เจ้าพระยายังคงอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง บางทีก็เห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า จนผมเผลออมยิ้มตามไปด้วย แล้วก็ใช้เวลาไม่นานรถไฟฟ้าสายสีลมก็มาจอดที่สถานีสะพานตากสิน ผมสังเกตเห็นคนตัวเล็กก้าวเท้าไปรอที่ประตูทางออก คงจะลงสถานีนี้ ส่วนผมที่ซื้อบัตรเที่ยวเดียวแบบสุดสายมาก็ไม่มีปัญหา เพราะลงสถานีไหนก็ได้
ผมเดินตามเจ้าพระยาห่างๆ เดินมาเรื่อยๆตามทางที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือสาทร เขาคงจะนั่งเรือกลับบ้านเหมือนที่ผมเจอเมื่อวานแน่ๆ พอเข้ามาในตัวอาคารของท่าเรือเพื่อต่อคิวขึ้นเรือตามเส้นทางที่ต้องการไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะความซุ่มซ่ามของคนตัวเล็กก็เกิดขึ้นอีก โดยคนในแถวข้างหน้าถอยหลังมาชนจนเจ้าเกือบล้ม ผมที่ตอนแรกก็ไม่อยากแสดงตัวก็อดไม่ได้ที่เข้าไปจับแขนคนที่กำลังจะล้มก้นจ้ำเบ้าไว้ เจอกันทีไรก็ซุ่มซ่าม ไอ้ปลาทองเอ้ย เขาไม่รู้หรอกว่าผมตามมา แต่ก็คงแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ และคงแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อผมไม่ได้เดินขึ้นเรือตามเขาไป หึหึ เด็กน้อย งงต่อไปเถอะ ถ้ายังเป็นปลาทองจำเรื่องเมื่อ 3 ปีที่แล้วไม่ได้ ก็คงได้สงสัยไปอีกนาน
การพบเจอกันระหว่างผมกับเจ้าพระยาก็เกิดขึ้นอีกสองวันติด ผมว่าผมแต้มบุญเยอะเกินไปแล้วนะ แม่งโคตรดีที่ได้รู้จักเจ้าของตาสวยมากขึ้นไปอีก ปลาทองเป็นว่าที่หมอยาที่นิสัย...แสบใช่เล่น ใช่ครับ น้องเจ้าพระยาของทุกคนทั้งแสบ ทั้งดื้อ น่าหมั่นไส้มาก ถ้าไม่ติดว่าชอบไปแล้ว ผมจะเตะให้กระเด็นเลย คนอะไรวะเถียงเก่งฉิบหาย แถหน้าเอ๋อๆด้วยนะบางที ตอนไปกินหมูกระทะฉลองที่พานได้รางวัล ก็กว่าจะได้ไปกิน อารมณ์ใจร้อนที่แก้ไม่หายก็ลืมตัวไปอุ้มเขาอีก ตอนนั้นแม่งเอ้ย หันหลังกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน ปลาทองมันก็ตัวเบาเหลือเกิน ออกแรงนิดเดียวขาก็ลอยละ ละพอผมขับรถเร็วตามความเคยชิน ไอ้เด็กเอ๋อก็ยังมาทำเสียงอ้อนขอให้ขับช้าลงอีก
ใจกู
เสียงแบบนี้กูกราบละปลาทอง มึงอย่าไปพูดกับใครได้มั้ย
พอไปถึงก็มีเรื่องให้ชวนหงุดหงิดใจ เพราะไอ้ปลาทองมันเริ่มแผลงฤทธิ์เดชความน่ารักให้คนอื่นได้เห็นแล้ว งานหยาบอีกแล้วกู คู่แข่งเริ่มมาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไร ทั้งศึกในคณะ ศึกนอกคณะ เออ จากที่บ่นว่าแต้มบุญเยอะ มีลางว่าจะไม่ใช่ละ เหอะ
แต่เจ้าพระยามีความน่ารักอย่างนึงที่ชัดเจนมาก คือ น้องเป็นคนรักเพื่อน แถมดูเอาใจใส่ความรู้สึกคนรอบข้างด้วย กับผมที่มีท่าทีแง่งๆขู่ฟ่อๆใส่ ก็ยังได้รับความเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆ ปกติก็หลงจะตายแล้ว ยิ่งมาทำแบบนี้ มึงกะจะฆ่ากูให้ตายเลยใช่มั้ยไอ้ปลาทอง
ตอนนี้ความพยายามเข้าใกล้คนซุ่มซ่ามของผมก็เริ่มเห็นผล และได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หึหึ ละตอนนี้ได้เบอร์มาละเว้ย ด้วยวิธีการอันแนบเนียนแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน เพราะช็อปภาคเลยที่ทำให้ได้มา ฝนตกเลยถอดช็อปให้เจ้าพระยาใส่ เพราะถ้าไม่ใส่ กูตบะแตกแน่ เสื้อเปียกจนบาง ทำลายล้างหัวใจสุดๆ
การกระทำทั้งหมดของผม ตอกย้ำตามที่สัญญาไว้กับตัวเองแล้วว่าคราวนี้ไม่ปล่อยแล้วนะ คนอย่างอรุณวิชญ์ถ้าได้เดินหน้าก็ยากที่จะถอยหลัง ในเมื่อทำผมสับสนอยู่เป็นปีๆ ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่ต้องเอาคืน หึหึ
เตรียมตัวไว้เลย!
ไอ้ปลาทองของผม
*TBC
07/09/2017
*************************************************************
พี่เกียร์ออกโลงแล้วค่า ในส่วนของความจริงในอดีต...ก็ยังไม่รู้ต่อไป ฮ่าๆ พวกเราทีมน้องเจ้า ต้องรู้พร้อมน้องเจ้ากันเนอะ ไม่เทน้องงงง
พาร์ทของพี่เกียร์ เป็นพาร์ทที่เรากังวลมาก ด้วยความที่เป็นเรื่องแรก เรากลัวคาแรคเตอร์พี่มันไม่ชัดจริงๆ ยังไงขอคำแนะนำด้วยนะคะ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกติดขัดตรงไหน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากนะคะ พล็อตเรื่อยๆ พล็อตตลาดมากๆ แต่เราก็ตั้งใจถ่ายทอดออกมาที่สุดแล้ว
เจอกันตอนหน้านะคะ
หวีดพี่เกียร์และติชมได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะคะ
ท่าเรือที่ 6
จีบไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่เจ้า! พี่เจ้าขาาาาาา”
“...”
“พี่เจ้าตื่นเร็วๆ แม่ให้มาตามลงไปทานข้าว พี่เจ้าขาาาาาาาา”
“ตื่นแล้วๆไอ้ตัวแสบ” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่สติยังไม่เต็มร้อย นี่มันวันอาทิตย์นะพารัก ทำไมทำกับพี่แบบนี้ ง่วงโว้ยยยย
เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ตอนแรกกะว่าจะนอนยาวตื่นสักเที่ยง แต่คุณน้องสาวนามว่าพารักก็มาทุบประตูเรียกแต่เช้า หลังจากจัดการเรื่องสุขภาพอนามัยของร่างกายตัวเองแล้ว ก็เดินลงมายังห้องครัวของบ้าน เช้านี้โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยมากๆ ถึงจะยังง่วงอยู่ แต่เจอทั้งภาพและกลิ่นระบบ 4 มิติขนาดนี้ เจ้าตื่นก็ได้
“ว่าไงล่ะไอ้ลูกชาย วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะ ฮ่าๆ”
“โห พ่อ ส่งพารักไปปลุกขนาดนั้น ใครไม่ตื่นก็บ้าละ เสียงดังไป 8 คูหา”
“อะไรพี่เจ้า เค้าเรียกเบาๆเองนะ อิอิ” น้องสาวแก้มป่องแก้ตัวไม่ยอมรับความจริง
“ครับ เบามากครับ” เอ่ยพร้อมทำหน้าล้อเลียนน้องสาวตัวเอง
“พอๆ” คนเป็นแม่เอ่ยห้ามศึก “อย่าเพิ่งเถียงกัน กินข้าวก่อนลูก” พร้อมทั้งยกเมนูสุดท้ายมาวางที่โต๊ะอาหาร
อาหารเช้าวันนี้ก็เป็นข้าวต้มกุ๊ยครับ ข้าวต้มร้อนๆที่กินกับผัดผักบุ้ง ยำไข่เค็ม หัวไชโป้ผัดไข่ ยำผักกาดดอง หมูทอดกระเทียม แต่ละอย่างนี่แบบ อื้อหือ เจ้าฟิน
“แล้ววันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า” หัวหน้าครอบครัวสุดหล่อเอ่ยถามลูกชายหน้าตาดีอย่างผม
“ยังไม่รู้เหมือนกันครับพ่อ ไม่ได้มีนัดอะไร พ่อมีอะไรหรือเปล่า”
“ก็นึกว่ามีนัดสงนัดสาวกับเขาบ้าง ขึ้นมหา’ลัยมานี่ มีสาวมาจีบยัง” บ้านใครถามลูกแบบนี้บ้างครับเนี่ยยยยย
“โหยยยย พ่อ สาวอะไรเล่า”
“อย่างพี่เจ้าเนี่ย พาว่าไม่มีสาวมาจีบหรอก ถ้าเป็นหนุ่มๆอ่ะไม่แน่...โอ้ยยยย” ยัยตัวแสบพูดยังไม่ทันจบ ผมก็เอื้อมมือไปผลักหัวทีนึง หนุ่มบ้าอะไรล่ะ
“ฮ่าๆๆ ก็ไม่น่าแปลก เล่นถอดแบบความสวยของสุดที่รักของพ่อมาขนาดนี้” หัวหน้าครอบครัวยังไม่หยุดตอกย้ำผม
“พ่อออออออ”
“ไปว่าลูกนะคุณ เดี๋ยวมีจริงๆแล้วจะพูดไม่ออก” คุณแม่คนสวยของผมเอ่ยแซวพ่อ
“ถ้าหล่อไม่เท่าพ่อ ก็อย่าหวัง ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ” พร้อมใจกันหัวเราะมากครับ มีแต่ผมที่มุ่ยหน้ากินข้าวเงียบๆ ทำไมเช้านี้เจ้าโดนรุมอยู่คนเดียว ว๊ากกกกก
มื้อเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น? คุยกันหลายๆเรื่อง แต่เรื่องที่ดึงความสนใจจากผมมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่พ่อจะพาพวกเราทุกคนไปเชียงใหม่ช่วงปิดเทอมภาคแรก หนาวนี้พี่จะไปแอ่วเหนือ อิอิ
~~บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุหรือลม..~~
เอ๊ะ เบอร์แปลกโทรเข้ามา ผมที่นั่งจ้องโทรศัพท์พยายามนึกว่าเป็นเบอร์ของใครก็นึกไม่ออก เสียงริงโทนที่ใกล้จะวนครบรอบและก่อนที่สายจะตัดไป ผมก็กดรับได้ทันพอดี
“สวัสดีครับ”
(รับช้า)
“ฮ่ะ?”
(เอ๋อ อยู่ไหน?)
“เดี๋ยวครับ นี่ใครพูดสายครับ แล้วต้องการพูดกับใคร” งงเป็นไก่ตาแตกเลยผม แต่เสียงก็คุ้นๆอยู่นะ
(เอ๋อ...เอ่อ เจ้า กูเอง)
กูเอง กูเอง กูเอง กูไหนวะเนี่ย เอ๊ะ เรียกผมว่าเอ๋อ เห้ยยยยย ใช่มั้ยวะ ใช่อย่างที่คิดมั้ยเนี่ย
“เอ่อ พี่เกียร์?”
(เออ! แล้วนี่ไม่ได้เมมเบอร์กูหรอปลาทอง)
“แหะๆ ผมลืมอ่ะ” ก็คนมันลืมจริงๆนี่ครับ กลับถึงบ้านวันนั้น ตัวชื้นๆไม่สบายตัว พออาบน้ำเสร็จก็หลับเป็นตาย
(แล้วเสื้อช็อปกู ซักเสร็จยัง)
“เสร็จแล้วคร้าบบบ พรุ่งนี้พี่มีเรียนมั้ย เดี๋ยวผมเอาไปให้” ซักรีดเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โดนแม่ถามอีกว่าของใคร
(ไม่!) พี่เกียร์ตอบกลับมาทันที
“อ๋อ ไม่มีเรียน งั้นพี่มีเรียนวันไหนอ่ะ”
(ที่บอกว่าไม่ คือไม่เอาพรุ่งนี้ กูจะเอาช็อปวันนี้ และมึงต้องเอามาให้กูด้วย)
“ห๊ะ!! วันนี้เนี่ยนะ พรุ่งนี้ผมเอาไปให้ที่มอก็ได้นี่ วันนี้ไม่อยากออกไปไหน” วันนี้วันพักผ่อนของผมนะ เรื่องอะไรล่ะ
(เอ๋อ กูจะเอาช็อปวันนี้)
“เดี๋ยวดิพี่ พี่จะรีบไปไหนเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด” ผมบ่นอุบใส่คนปลายสายที่ทำตัวเหมือนโลกหมุนรอบตัวเอง
(เจอกันที่สยาม 11 โมง อย่าช้า เอ้อ แล้วก็เมมเบอร์กูด้วย เข้าใจมั้ยเตี้ย)
“ไอ้…”
ติ๊ด!
ไอ้พี่เกียร์!!!!! โอ้ย วันนี้มันวันอะไรของกูวะเนี่ย กะจะขึ้นมางีบอีกรอบหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ มารความสุขก็มาขัดอีกละเนี่ย
ไม่ไปแม่งดีมั้ย แต่คิดอีกที ถ้าไม่ไปพรุ่งนี้ชะตาผมขาดแน่ ดูท่าคนอย่างไอ้พี่เกียร์มันตามมาด่าผมถึงคณะแน่นอน เซ็งโว้ย
ย่านการค้าสยามในวันอาทิตย์ แม้จะเป็นช่วงก่อนเที่ยงแต่คนแบบโคตรเยอะ!! เยอะอะไรขนาดนี้ ทั้งคู่รักที่พากันมาเดท แก๊งค์เด็กผู้ชายมัธยมมาส่องสาว เด็กเนิร์ดกับการมาเรียนพิเศษ ขาช็อป บลาๆๆๆ และตัวผมที่ถือถุงกระดาษในมือที่บรรจุเสื้อช็อปของนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมโยธา ยืนหงุดหงิดอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างตัวสถานีรถไฟฟ้าสยามกับตัวห้างสรรพสินค้า
จำนวนคนไม่น้อยที่เดินผ่านผมไป ก็มีบ้างที่หันมามอง ผมเช็คความเรียบร้อยของการแต่งตัวแล้วก็ไม่น่ามีอะไรประหลาดนะ เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ฟอกสีจนซีดและรองเท้าผ้าใบสีขาว แต่เขามองอะไรกันวะ ช่างเถอะ ตอนนี้มาสนใจก่อนดีกว่าว่าผมจะไปไหนต่อ เพราะพี่มันไม่ได้บอกว่าเจอกันตรงไหนของสยาม และผมก็จะไม่โทรหาเขาก่อนแน่ๆ หงุดหงิดแม่ง
~~บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง~~
-เกียร์หมา-
หึหึ อยากให้เมมนักใช่มั้ย
“ฮัลโหล”
(อยู่ไหน)
“สยาม”
(แล้วอยู่ตรงไหนของสยาม)
“หน้าสยามเซ็นต์ ตรงทางเชื่อม พี่รีบมาด้วย จะกลับ”
(เออ รออยู่ตรงนั้นแหละ)
ติ๊ด!
ในระหว่างนั้นผมก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์รอเจ้าของเสื้อช็อปตามที่นัดกันไว้ ไม่ได้สนใจรอบข้างเท่าไหร่ เพราะพอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นคนหันมามองอยู่ก่อนแล้ว คือมันรู้สึกแปลกๆ
“สวัสดีครับ” มีเสียงหนึ่งดังตรงหน้า
ก็เลยเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองตามเสียง “ห๊ะ ทักผมหรอครับ” ผมเอ่ยถามคนตรงหน้า แต่เขาก็คุ้นๆอยู่นะ เหมือนเคยเจอที่ไหน
“ใช่ไง จำพี่ไม่ได้หรอ วันนั้นที่เจอกันที่ร้านหมูกระทะไง”
“ร้านหมูกระทะ?” ผมเลยเงียบพลางนึกถึงวันนั้นก็เลยพอจะจำได้ “อ๋ออออ พี่ที่เรียนสถาปัตฯใช่มั้ยครับ เอ่อ สวัสดีครับ” ยกมือไหว้รุ่นพี่ร่วมสถาบัน
“ฮ่าๆ จำชื่อพี่ไม่ได้หรอเรา แนะนำตัวใหม่ก็ได้ พี่ชื่อไนซ์ อย่าลืมล่ะ แล้วน้องล่ะชื่ออะไร”
“ชื่อเจ้าพระยาครับ เรียกเจ้าเฉยๆก็ได้”
“อ๋อ เจ้าเฉยๆ” คนพูดทำหน้าล้อเลียนชื่อผม ก็รู้ว่ามันเป็นคำสร้อย ยังจะเล่นอีก โว๊ะ
“เจ้า ไม่มีเฉยๆครับ ตลกนะพี่อ่ะ”
“ฮ่าๆ เจ้าไม่เห็นขำเลย ตลกได้ไง ว่าแต่มาคนเดียวหรอ”
“ก็…”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ
“เอ๋อ!!!”
นั่นแหละครับ ไม่ต้องเดาหรอกเนอะว่าเสียงใคร เสียงทุ้มเข้มดังเข้ามาขัดบทสนทนาเหมือนเดจาวูที่ร้านหมูกระทะรอบที่แล้วเลย ผมกับพี่ไนซ์ที่ยืนคุยกันอยู่ก็หันตามเสียงนั้น แถมเจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาประชิดตัวผมอีกนะ
“อะไรพี่ เสียงดังทำไมเนี่ย”
“ก็กลัวไม่ได้ยิน”
“เดินเข้ามาเรียกเบาๆก็ได้ยินแล้วปะ ไม่อายคนหรือไง”
“ไม่อ่ะ แล้วนี่จะไปได้ยัง?”
“ฮ่ะ? ไปไหน?”
“เอ้า ก็นัดกันมาดูหนัง ก็ไปดูหนังสิ หรือมึงจะไปดูฮิปโปที่สวนสัตว์”
“เดี๋ยวพี่! ดูหนังอะไร อ่อกๆ แค่กๆ” คือผมไม่รู้จะงงก่อนหรือจะด่าไอ้พี่เกียร์ก่อนดี ดูหนังอะไรของพี่มันวะเนี่ย แล้วอยู่ดีๆก็ยกแขนมาล็อคคอผม จะลากผมออกจากตรงนั้น คือนี่มันอะไรกัน เจ้าไม่เข้าจ๊ายยยยยย(วิบัติเพื่อเสียง)
“เอ่อ…” พี่ไนซ์พยายามจะพูดอะไรสักอย่าง
“พี่เกียร์ปล่อยผมก่อน” แขนแกร่งยังล็อคคอผมอยู่ แถมยังออกแรงดึงให้ผมไปยืนซ้อนด้านหน้าตัวเขา แผ่นหลังของผมก็เลยแนบอยู่กับอกแกร่ง และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นี่มันทางเชื่อมรถไฟฟ้านะโว้ย การกระทำเป็นจุดสนใจมาก ด้วยหน้าตาของไอ้พี่เกียร์ กับพี่ไนซ์ แค่ยืนเฉยๆคนก็มองอยู่แล้ว
“ผมว่าพี่ปล่อยน้องเขาก่อนดีไหมครับ” พี่ไนซ์เอ่ยบอกคนด้านหลังผม ว่าแต่เขารู้จักกันหรอ
“เตี้ย จะไปได้ยัง จะถึงรอบหนังละนะ” คนตัวสูงไม่ได้สนใจคำพูดของพี่ไนซ์ แต่หันมาพูดกับผมแทน
“เออๆ ปล่อยผมก่อน หายใจไม่ออก”
ร่างสูงคลายแขนตรงคอผมออก แต่เลื่อนมาจับที่ข้อมือแทน แถมยังออกแรงดึงให้เดินตามเขาไป ผมได้แต่หันไปผงกหัวเชิงขอโทษพี่ไนซ์ที่ยังยืนมองมาอยู่ที่เดิม ใบหน้าพี่ไนซ์มีรอยยิ้ม แต่แววตานั้นอ่านไม่ออกจริงๆ เขายกมือโบกให้ผมก่อนที่ผมจะโดนลากเลี้ยวไปอีกทาง
ผมโดนลากแขนมาไม่ไกลจากจุดเดิม ก็ขอประท้วงเรียกร้องสิทธิ์หน่อยเถอะ จะมาลากแขนไปมาตามใจแบบนี้ไม่ได้นะว้อย
“พี่ๆ พี่เกียร์ ปล่อยๆ เดี๋ยวๆ ปล่อยผมก่อน” ปากเอ่ยบอกคนที่เดินนำหน้า และมือผมก็พยายามแกะมือของคนเอาแต่ใจออก นี่มือหรือคีม จับแน่นชะมัด
“พูดมาก”
“พี่ก็ปล่อยผมก่อนดิ”
เขาหยุดลากแขนผมแถมยังคลายมือที่กุมข้อมือผมไว้ โอ้โห แดงสิครับ รอยแดงเป็นปื้น ผมก็ได้แต่ยกแขนขึ้นมาลูบเบาๆที่รอยแดงบนข้อมือ จริงๆมันก็ไม่เจ็บหรอก แต่คนผิวขาวอย่างผมมันก็ขึ้นรอยง่ายเป็นปกติ แต่คือตอนนี้หงุดหงิดไอ้พี่เกียร์มากกว่า เป็นอะไรของเขา
“อ๊ะ”
อยู่ดีๆเขาก็เอื้อมมือมาจับแขนผมข้างที่มีรอยแดงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขายกมืออีกข้างขึ้นมาลูบเบาๆที่รอยแดงนั่น
สายตาผมไปหยุดที่ปลายนิ้วที่กำลังลูบไปบนรอยแดง ให้สัมผัสที่เบามาก เหมือนกลัวว่าถ้าจับแรงแขนผมจะหลุด พอเบนสายตาไปที่เจ้าของปลายนิ้วนั้น ก็ได้พบแววตาอ่อนโยน
แล้วทำไมหัวใจของผมมันเต้นแรง
“เจ็บไหม” เสียงเบาหวิวจากปากคนตรงหน้าเอ่ยถาม
“เอ่อ ไม่อ่ะ” ตอบไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก สติของผมหลุดไปกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่ผ่านไปเมื่อกี้
เราต่างคนต่างเงียบ พี่เกียร์ค่อยๆปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ พอเขาเงยหน้าขึ้นมาสายตาเราก็สบกันพอดี
สายตาแบบนั้น สร้างความรู้สึกปั่นป่วนมากมายให้เกิดขึ้นกับผม เหมือนถูกดึงดูดเข้าไปในแววตานั้น ไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอย่างไร แต่ผมรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดี
“เอ๋อ”
“ฮะ”
“จ้องทำไม” คนถามยกยิ้มมุมปาก ส่งสายตาเชิงล้อเลียนมาให้
เปลี่ยนจากแววตาเจ้าชายเป็นแววตาหมาป่าเลยนะ “จ้องหน้าคนตีเนียน”
“เนียนอะไร”
“ก็ใครมันเนียนลากผมมานี่ล่ะ นัดมาคืนเสื้อ แต่เนียนลากมาดูหนัง อะไรของพี่วะ”
“ก็กูอยากดู” คนตอบตอบแบบไม่สำนึกอะไร
“งั้นพี่ก็ดูไป อะ” ว่าแล้วผมยัดถุงกระดาษที่ใส่เสื้อช็อปไว้ในมือเขา “เสื้อช็อปพี่ ดูให้สนุกนะ งั้นผมกลับละ หวัดดีครับ” เอ่ยลาพร้อมยกมือไหว้ไม่ให้เสียมารยาท
แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ
“แต่กูจองไว้ 2 ที่นะ ดูๆไปเถอะ เสียดายตังค์”
“เอ้า ใครบอกให้พี่จอง แล้วนี่เราสนิทกันหรอถึงต้องมาดูหนังด้วยกัน” เอ่ยถามคนตรงหน้า แต่ผมทำสีหน้าล้อเลียนส่งไปให้ หึหึ
“ก็…”
“ก็อะไร หึหึ ถ้าจำไม่ผิดพี่นัดผมมาคืนเสื้อนะ นี่ไง ได้เสื้อแล้ว ก็แยกย้ายสิ” ผมไล่ถามจี้คนตัวสูงที่ตอนนี้ทำหน้ากลืนไม่เข้า คายไม่ออก
“...”
งั้นขอแกล้งคนเอาแต่ใจหน่อยเถอะ ถ้าผมทำเป็นคิดว่าเขามาจีบแล้วถามเขานี่ หน้าไอ้พี่เกียร์ต้องตลกมากแน่ๆ หึหึ คิดจะเล่นกับเจ้าพระยาหรอ
“เงียบทำไมอ่ะพี่ หึหึ แล้วที่มาเนียนทำเหมือนรู้จักผมนี่ จริงๆแล้วไม่รู้จักใช่มั้ย แต่…”
“...”
ผมเดินเข้าไปใกล้คนตัวสูง พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“พี่จะจีบผมหรอ จีบไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะพี่” ยกยิ้มให้กับคำถามของตัวเอง
หึหึ คิดจะเล่นกับเจ้าพระยาหรอ
แต่คำตอบที่ได้รับ
“ใช่ กูจะจีบมึง!”
“...”
เชี่ยยยยยย
นี่มันอะไรวะเนี่ย ทำไมรู้สึกโดนเอาคืน ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคยอมรับจากคนตาดุ ไม่จริงอ่ะ พี่มันแกล้งผม
“ฮ่าๆ ทำหน้าตลกว่ะเอ๋อ”
“อะ เอ่อ โว้ย พี่แม่ง แกล้งผมทำไมเนี่ย” โวยวายว่าเขาแกล้ง แต่ใจนี่ยังไม่หายสั่น
“ใครแกล้งมึง”
“ก็พี่ไง”
“กูแกล้งมึงเรื่องอะไร”
“ก็..ไม่รู้โว้ย”
“ถ้าเรื่องจีบ กูพูดจริง เตรียมตัวไว้เลย หึ”
“...”
บึ๊มมมมมมมม สติกระจายยยย ตาเบิกกว้าง ปากชะงักค้าง ที่สำคัญ ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงด้วย
แล้วผมก็ต้องไปดูหนังกับพี่เกียร์จนได้ เพราะโดนพี่มันลากแขนไปทั้งๆที่สติยังไม่กลับคืนมาสมบูรณ์ ระหว่างที่ดูหนังก็ต่างคนต่างดู แต่เชื่อมั้ยว่าสมาธิผมไม่อยู่ที่ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าเลย ประโยคนั้นของพี่เกียร์วนเวียนอยู่ในหัวทำลายสมาธิผมมาก มีบางครั้งที่แอบเหลือลมองใบหน้าของคนข้างๆ มุมที่มองเห็นเพียงเสี้ยวหน้า แต่ความหล่อ ความดูดีก็ยังทำให้ผมสงสัย ว่าคนอย่างพี่เกียร์เนี่ยนะ จะจีบผม ความเป็นไปได้น้อยกว่าไก่ออกลูกเป็นตัวอีก พี่มันไม่มีแววจะเป็นเกย์ได้เลยนะ โอ้ยยยยย เจ้าเครียดดดดด
เมื่อภาพยนตร์จบลงเราสองคนก็เดินออกมา ผมที่คิดว่าจะแยกตัวกลับก็เป็นอันต้องฝันสลาย เพราะคนที่เพิ่งสารภาพจะจีบผมเมื่อสองชั่วโมงก่อน ได้ถือวิสาสะลากแขนผมเข้าร้านไก่ทอดชื่อดังของเกาหลี ลืมการโวยวาย ประท้วงร้องห้ามไปเถอะ เพราะนี่ใคร พี่เกียร์ไง จำไม่ได้หรอ เหอะๆ
และอีกอย่างที่ไม่ห้ามก็เพราะ...หิวครับ
หิวมากกกกกก
“ค่อยๆกินก็ได้ ไม่แย่งกินหรอก” คนตัวสูงฝั่งตรงข้ามผมยิ้มเยาะกับการกินของผม
แต่มันก็จริง เพราะตั้งแต่อาหารมาเสิร์ฟ ผมก็กินไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลย ความหิวชนะทุกอย่าง
“ก็คนมันหิว”
“ครับๆ”
ห๊ะ พี่เกียร์พูด ครับ
“อ่าว มองทำไม กินไปสิ”
“เอ่อ อื้มมม” ไปหมดแล้วสติ เจ้าพระยาเอ้ย
เราสองคนกินกันไปเรื่อยๆ มีเถียงกัน แย่งไก่กันบ้าง แล้วก็มีบางทีที่พี่เกียร์มันหั่นไก่เป็นชิ้นเล็กๆส่งมาในจานผม ทำแบบนี้ก็เป็นหรอ พี่มันจีบผมจริงๆหรอเนี่ย
ด้วยนิสัยของผม ขอไม่สงสัยนาน เพราะถ้าไม่เคลียร์ ผมนอนไม่หลับแน่
“เอ่อ พี่เกียร์ ผมถามอะไรหน่อยดิ”
“อืม ถามมา ตอบได้จะตอบ”
“สรุปเรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
“ไม่รู้จัก”
“อ่าว แล้วทำไมเวลาเจอกันพี่ต้องพูดเหมือนเรารู้จักกันมาก่อนด้วยอ่ะ”
“ไม่รู้จัก แต่เคยเจอ”
“เห้ย จริงอะ เจอที่ไหน ทำไมผมจำไม่ได้”
“ไม่บอก คิดเอง”
“ไม่ได้นะพี่ บอกเหอะ เดี๋ยวคืนนี้นอนไม่หลับ”
“เรื่องของมึง”
“เอ้าพี่ นี่พี่จีบจะจีบผมจริงปะเนี่ย พี่พูดกับคนที่จีบแบบนี้หรอ” ผมทำท่าโวยวายเสียงไม่ดังมาก คำถามคือต้องการล้วงเอาคำตอบจริงๆจากเขา
“อือ จีบจริง ถามมากจังวะ”
“เอ๊ะ ผมก็ต้องถามสิ ผมโดนจีบนะพี่ เผื่อพี่แกล้งผมอ่ะ”
“ทำไมกูต้องแกล้ง”
“ก็...พี่ดูไม่น่าจะเป็น...เป็นเกย์อ่ะ” ปลายเสียงของผมเบาลง เพราะกลัวปฏิกิริยาจากคนที่เดาอารมณ์ไม่ได้
“กูไม่ได้เป็นเกย์”
“ห๊ะ ไม่ได้เป็นเกย์ แต่มาจีบผม นี่ผมงงหรือพี่พูดไม่รู้เรื่อง”
“กูไม่ได้เป็นเกย์ แต่กูจะจีบมึง”
“ผมเป็นผู้ชายนะพี่”
“กูก็เป็นผู้ชาย”
“โว้ย พี่แม่ง ผู้ชายที่ชอบผู้ชาย แล้วจะจีบผู้ชายก็ต้องเป็นเกย์มั้ย”
“กูไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคน”
“...”
“แต่กูชอบมึง”
ตู้มมมมมมม ใจระเบิดรอบที่สอง
แถมแอร์ในร้านมาพังอีกแน่ๆ เพราะตอนนี้หน้าร้อนมาก ฮือออออ เอาไข่มาทอดบนหน้าผมเลยยยย
“บอกชอบแค่นี้หน้าแดงเลยหรอเตี้ย” ไม่พูดเปล่า พี่แกยังเอื้อมมือมาดึงแก้มผมอีก
ผมยกแขนปัดมือคนตัวสูงออก “โว๊ะ พี่เกียร์แม่ง ทำไมชอบแกล้งวะ”
“บอกชอบนี่แกล้งตรงไหน หึหึ”
“ก็...ก็…” ตรงที่ผมใจสั่นเนี่ย ตรงนี้เลย แต่ก็พูดได้แค่ในใจ ฮึ่ย
เราต่างนั่งเงียบไร้บทสนทนากันอยู่สักพัก ผมเหลือบมองคนตรงข้าม พี่เกียร์ก็เอาแต่จ้องมาที่ผม เมื่อทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตอนนี้ ผมก็ได้แต่เขี่ยเศษอาหารในจานเล่น รอพี่เกียร์เรียกพนักงานมาคิดเงิน แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น
“เจ้า”
“...” ทำไมเรียกชื่อผมด้วยเสียงนุ่มแบบนั้น “มีอะไร” เอ่ยถามทั้งๆที่ก้มหน้าเขี่ยกระดูกไก่ในจาน
“เจ้า เงยหน้าหน่อย” ยัง ยังไม่เลิกใช้เสียงแบบนี้อีก แล้วทำไมใจต้องเต้นแรงขนาดนี้
“เออ เงยแล้ว มีอะไรก็พูดมาสิ” ทำโวยวายกลบเกลื่อนอาการตอนนี้สุดฤทธิ์
“เจ้า”
“ว่า”
“พี่ชอบเจ้า”
“...”
“แล้วก็ขออนุญาตจีบนะ”
“...”
เชี่ยยยยย ขอออกซิเจนให้ผมด้วยยยยยยยย
เข้าใจแล้ว เข้าใจคำว่า ใจบางเป็นกระดาษเอสี่ของไอ้ภาคแล้ว ฮืออออ
สติที่หลงเหลืออยู่ของผมถูกกระชากไปกับประโยคเหล่านั้น เสียงอ่อนโยนแบบนั้น เลือดในร่างกายสูบฉีดอย่างแรงจากอัตราการเต้นของหัวใจที่พุ่งสูงลิ่ว และเชื่อได้เลยว่าเลือดไปกองกันบนหน้าหมดแล้ว ร้อนกว่าประเทศไทยก็หน้าผมตอนนี้แหละครับ
ผมเคยถูกผู้ชายมอง
ผมเคยถูกผู้ชายจีบ
ผมเคยถูกผู้ชายบอกชอบ
แต่…
ที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจมีปฏิกิริยาตอบกลับแรงแบบนี้
หัวใจของผมมันกำลังส่งสัญญาณอันตรายใช่ไหม
แต่สิ่งที่อันตรายกว่านั้นคือ
ผมกลับรู้สึกยอมรับสัญญาณอันตรายนั้น…
*TBC
11/09/2017
*****************************************************
รุกฆาต!!!! ฮ่าๆ วันนี้พี่เกียร์ยิงเกมบุกไม่ยั้งเลยครับ ปลาทองมีแววจะโดนขโมย จากจะเล่นชิวๆ พี่แกเดินเครื่องเต็มกำลังเลยฮะ
น้องเจ้าใจระเบิดไป 3 รอบนะวันนี้ ช่วยน้องเจ้าด้วย
อัพตอนนี้แล้ว คงเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ งานเยอะมาก ขอเคลียร์แปบ
แนะนำ ติ ชม แจ้งคำผิดได้เหมือนเดิมนะคะ
คุยกันได้ที่ #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะค้า
ท่าเรือที่ 7
ปลาทองน้อยปล่อยแสง
พี่ชอบเจ้า
แล้วก็ขออนุญาตจีบนะ
พี่ชอบเจ้า
แล้วก็ขออนุญาตจีบนะ
ไอ้เชี่ยยยยยย วนเป็นแผ่นซีดีตกร่องเครื่องอ่านเลยว้อยยยย
สองประโยคของไอ้พี่เกียร์ ทั้งน้ำเสียงที่อบอุ่น แววตาที่มีประกาย และรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วง
ความคิดของผมจนถึงตอนนี้ ซึ่งเป็นเช้าวันจันทร์ที่ผมมาเรียนในสภาพที่ดูไม่จืด เพราะอะไรนั่นหรอครับ ก็ผมนอนไม่หลับไง
คือผมจะเล่าย้อนให้ฟังนิดนึง เมื่อวานใช่ไหม หลังจากพี่เกียร์ได้กระทำการอุกอาจบอกชอบผมแล้วก็ขอจีบเสร็จสรรพ พี่แม่งก็เรียกเช็คบิล จ่ายเงิน แล้วก็ลากแขนผมมาส่งที่ทางเข้าสถานีรถไฟฟ้า แล้วยังไง แล้วพี่มันก็แยกกับผมไป ใช่ครับทุกคน พี่มันทิ้งผมไว้หน้าสถานีกับสติอันน้อยนิดเพราะการกระทำของเขา ว๊ากกกกก แถมตอนโบกมือลายังจะมายิ้มล้อเลียนอีก พี่แม่ง ผมเลยกลับถึงบ้านแบบงงๆ ในหัวก็วนคิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจหนึ่งก็คิดว่าพี่มันแกล้งแน่ๆ แต่อีกใจหนึ่งมันก็ดันเต้นแรงไปกับน้ำเสียง และแววตา เชื่อไปแล้วด้วยซ้ำว่าพี่มันพูดจริง กว่าผมจะข่มตาหลับได้ ก็พ้นเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว
เช้าวันนี้ผมเลยต้องมานั่งเรียนวิชาสุดหินของปี 1 พร้อมทั้งต้องพยายามสลัดความฟุ้งซ่านในหัวออกไปด้วย หึ่ย
“เจ้า”
“...”
“ไอ้เจ้า”
“...”
“ไอ้เจ้าว้อย!!”
“ห๊ะ! อะไร มีอะไรมึง” ผมสะดุ้งตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ สติที่หลุดไปในภวังค์ก็กลับคืนมาอีกครั้ง
“มึงเป็นอะไรเนี่ย นั่งทำหน้ามุ่ย ทึ้งหัวตัวเองทำไม” อินหันหน้าที่ขมวดคิ้วอยู่มาถามผมด้วยความแปลกใจ
“เอ่อ..เปล่า ไม่มีอะไรมึง กูง่วง” จบประโยคคำตอบผมก็ฟุบหน้าลงกับแขนที่วางบนโต๊ะแลคเชอร์
“มึงเนี่ยนะง่วงเวลาเรียน เมื่อคืนนอนดึกหรอวะ” ยัง ยังไม่เลิกสงสัย
“เออ ดึก”
“ทำอะไรวะ หรือว่า...” มันยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆหู น้ำเสียงเจือไปด้วยความล้อเลียน
“โอ้ยยย อิน มึงจะมาเสือกอยากรู้อะไรเนี่ย”
“ฮ่าๆๆ วันนี้มึงตลกว่ะไอ้เจ้า เลิกโวยวายละลุกขึ้นมานั่งเรียนดีๆ”
“เออๆ เรียนๆ มึงก็หันไปจดเลย บ่นกูจัง”
เมื่อบทสนทนาจบลง ผมก็ได้รวบรวมสมาธิมาตั้งใจฟังเนื้อหาที่อาจารย์กำลังพร่ำสอน จำเข้าไปเนื้อหาเนี่ย จะได้ไม่มีพื้นที่คิดเรื่องอื่น
เนื้อหาความรู้ที่ถูกยัดใส่สมองมาเป็นเวลาสามชั่วโมงก็จบลง ผมกับอินก็เตรียมเก็บของเพื่อที่จะไปกินข้าวกลางวันกันที่โรงอาหารของคณะ วันนี้ไม่อยากไปไหนไกล เพราะถึงแม้ช่วงบ่ายอาจารย์จะแจ้งยกคลาสไปแล้วก็ตาม แต่ผมสองคนก็ตั้งใจจะไปทบทวนเนื้อหาความรู้ของวันนี้กันที่ห้องสมุด สารภาพเลยว่าต้นคาบเรียนไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
แต่หลังจากอาจารย์ก้าวพ้นประตูห้องออกไป รุ่นพี่ปี 2 ก็เดินเข้ามายืนบริเวณหน้าห้องแทน มีเรื่องอะไรนะ เพราะวันนี้พี่ๆก็ไม่ได้นัดประชุมคณะสักหน่อย
“สวัสดีค่ะน้องๆทุกคน” พี่จ๋าเอ๋ยทักน้องปี 1 ในห้อง คือพี่จ๋าเขาเป็นรุ่นพี่คอยพาทำกิจกรรมต่างๆอ่ะครับ คอยประสานงานแจ้งข่าวน้องๆจากกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย
“สวัสดีคร้าบ/สวัสดีค่า”
“เป็นยังไงกันบ้าง เรียนหนักป่าว”
“โหยยยย พี่ ถ้ารักกันอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องเรียน ผมจะอ้วก” เพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งของผมเอ่ยขึ้นจากมุมห้อง ฮ่าๆ ตอบแทนใจพวกกูเลยนะ
“แล้ววันนี้พี่อะไรหรือเปล่าคะ หนูไม่เห็นรู้ว่าวันนี้พี่นัดประชุม” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“คือขอโทษทีนะที่ไม่ได้บอกก่อน พอดีว่าฝ่ายเชียร์ปี 2 ก็เพิ่งมาบอกเหมือนกัน แล้วก็เห็นว่าบ่ายนี้น้องๆไม่มีเรียน ก็เลยขอมาคุยกับน้อง ไม่นานหรอก ยังไงฟังจากพี่เชียร์เลยนะ” พี่จ๋าเอ่ยด้วยรอยยิ้มเชิงขอโทษ แต่คงไม่มีใครโกรธหรอก เพราะพี่เขาดูแลรุ่นพวกผมดีมาก เป็นพี่ที่น่ารักสุดๆ
“สวัสดีค่ะน้องๆ พวกพี่เป็นฝ่ายเชียร์ของคณะนะคะ ไม่ให้เสียเวลา พี่ขอเข้าเรื่องเลยละกัน วันนี้พวกพี่จะมาคัดตัวแทนหลีดคณะค่ะ”
หลีดคณะหรอ
เห้ยยย เราอยากเป็นอ่ะ
เชี่ย ใครก็ได้อย่ามาตกที่กูก็พอ
แกๆ สมัครด้วยกันไหม
งานนี้กูขอบาย
เสียงของปี 1 ทั้งหลายก็ดังขึ้นหลังจากจบประโยคของพี่ฝ่ายเชียร์ ซึ่งผมกับอินก็ได้แต่หันมองหน้ากันด้วยใบหน้าเรียบเฉยๆ ไม่รู้สิ ผมว่ามันไม่น่ามาตกที่ผมหรอก พี่เขาคงเลือกจากคนที่ดูมีความสามารถหน่อยแหละ
“อ่า เงียบก่อนค่ะ ตัวแทนหลีดคณะที่พี่จะคัดนี้ เราต้องฝึกซ้อมเพื่อเข้าแข่งขันตอนกีฬาของมอ แล้วก็งานปรุงยา”
“งานปรุงยา นี่ไปแข่งที่ฮอกส์วอตเลยปะพี่ ฮ่าๆ” เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งมันเล่นมุก คิดได้นะมึง
“ฮ่าๆ ตลกนะน้อง ไม่ใช่เว่ย งานปรุงยามันเป็นงานกีฬาของคณะเภสัชฯของแต่ละมออ่ะ ที่ร่วมมาทุกปีก็ 5 มอ” พี่ผู้ชายหน้าตาดีในทีมเชียร์ตะโกนตอบเพื่อนผม
“กลับมาๆ อย่าเพิ่งพาออกทะเล งั้นตอนนี้พี่จะขอคัดคนที่เข้าตาก่อน แล้วตอน 4 โมงค่อยไปคัดการ์ดที่ลานใต้คณะ” พี่คนสวยที่คาดว่าน่าจะเป็นหลีดคณะรุ่นที่แล้ว
“คัดคนที่เข้าตา งั้นผมไม่เข้านะพี่ ผมอยากเป็นคนที่เข้าใจ” คราวนี้เป็นไอ้ซันครับ ฮ่าๆ เพื่อนตัวฮาของรุ่น
“ฮิ้ววววววว”
“มาว่ะ”
ผมกับอินก็นั่งยิ้มกับมุกของเพื่อนร่วมรุ่นไปกับเขา บรรยากาศคัดหลีดก็ไม่ได้ดูเครียดอะไร พี่เขาก็จะส่องๆมองๆจากหน้าห้อง ถูกใจคนไหนก็เดินมาดึงมือให้ไปยืนหน้าห้อง เพื่อนผู้หญิงของผมบางคนที่สนใจอยากเป็นอยู่แล้วก็ยกมือสมัครใจแบบไม่ให้เสียเวลาเลือก แล้วตอนนี้หน้าห้องก็มีว่าที่หลีดคณะอยู่หลายคน และที่สำคัญ ‘มีแต่ผู้หญิง’
“ตอนนี้จำนวนหลีดฝ่ายหญิงที่จะไปคัดการ์ดก็พอสมควรแล้วนะ แต่พี่อยากได้หลีดฝ่ายชายด้วย มีใครจะอาสาเป็นตัวแทนได้ไหมคะ” พี่ผู้หญิงสวยๆคนเดิมเอ่ยถาม
“...” กริบ มีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ส่งเสียงออกมา
“ถ้าไม่มีพี่จะเลือกแล้วนะคะ ยังไงก็ขอความร่วมมือหน่อยเนาะ ถือว่าทำเพื่อคณะของเรา”
แล้วก็เริ่มต้นการคัดเลือกผู้ลงแข่งขันไตรภาคี เอ้ย ตัวแทนลีดคณะฝ่ายชาย ฮ่าๆ ผมนี่นั่งกระดิกนิ้วมือเคาะโต๊ะแลคเชอร์รอเวลาไปกินข้าวกลางวันแบบสบายใจหายห่วง
รอดใช่ไหม...
รอดบ้าอะไรเล่า! ผมนี่โดนดึงแขนคนแรกเลย โธ่ เจ้าไม่เป็นได้ไหม ฮือออออ
ส่วนอินที่นั่งข้างๆผม เหอะ มีหรอจะรอด โดนดึงแขนไปลงชื่อต่อจากผมเลยครับ ได้แต่มองหน้า ส่งสายตาให้กันด้วยความเข้าใจ
ในเวลาบ่ายแก่ๆตอนนี้ทำให้ผมกับอินต้องมารอที่ลานใต้คณะตามที่พี่ๆได้นัดหมายไว้ สมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมดก็มานั่งรวมกันตรงบริเวณโต๊ะไม้ใต้อาคาร ฝ่ายผู้หญิงก็ดูไม่มีปัญหาอะไร แถมบางคนยังดูตื่นเต้นที่จะได้คัดตัว แต่ตัดภาพมาที่ฝ่ายผู้ชายอย่างพวกผมที่มี ผม อิน ว่าน นาย แล้วก็คนสุดท้ายนั่งหน้าหงิกเลย ไอ้ซันครับ ฮ่าๆ ถือว่าปากพาซวยไปนะมึง คณะผมถ้ามองด้วยสายตาผู้ชายก็จะดูน้อยกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ตัวเลือกที่ได้มาก็จะมีแค่นี้ เฮ้อ
Rrrrrrrrr...............
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่น จึงล้วงมือเข้าไปหยิบออกมาเพื่อรับสายที่ถูกปิดเสียงไว้นั้น
- เกียร์หมา –
“เห้ย!!..อุ๊ป” แค่เห็นชื่อนี้ปรากฏบนหน้าจอสมาร์ทโฟนของผม ก็พาให้สติกระเจิงแล้ว พี่มันโทรมาทำไมวะ ผมที่โพล่งเสียงดังขึ้นมาอย่างลืมตัว ก็รีบปิดปากตัวเองทันที แต่เพื่อนที่นั่งบริเวณเดียวกันก็ส่งสายตามีคำถามมาให้
“ตกใจอะไรมึง ใครโทรมา” อินหันหน้ามาถามผม
“เอ่อ...”
“หืม?” คุณเพื่อนสนิทก็ยังคงเลิกคิ้วถามเพื่อเอาคำตอบ
“พี่เกียร์” ผมตอบเสียงเบา เพื่อให้ได้ยินแค่เจ้าของคำถาม ซึ่งตอนนั้นโทรศัพท์ก็หยุดสั่นไปแล้ว
“หืม พี่เกียร์? รุ่นพี่ไอ้ภาคอ่ะนะ”
“อือ”
“ไปมีเบอร์กันตอนไหนวะ แล้วพี่เขาโทรมาทำไมอ่ะ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” เอ่ยตอบอิน พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนในมือเบาๆที่เกิดขึ้นจากโทรศัพท์เมื่อมีสายเรียกเข้า โอ้ย พี่เลิกโทรเหอะ
“ไม่รู้ก็รับดิ เนี่ย โทรมาอีกแล้ว มีอะไรหรือเปล่าถึงไม่รับ” สวมวิญญาณอิน ยอดนักสืบอีกแล้วเพื่อนผม แต่...เออ ก็จริงนะ แล้วทำไมผมไม่รับ ผมกำลังกลัวอะไรอยู่
“เอ่อ.. เออๆรับแล้ว” หันหน้าไปตอบเพื่อนตัวขาวแล้วใช้นิ้วโป้งสไลด์จอเพื่อกดรับสายจากพี่เกียร์
“สวัสดีครับ”
( ทำอะไรอยู่เอ๋อ รับช้า ) ปลายสายเอ่ยเสียงดังตามนิสัย
“เอ่อ...ไม่ได้ทำอะไรครับ” ผมตอบเสียงตะกุกตะกัก ที่แม้แต่ผมเองก็ยังฟังดูไม่เป็นตัวเอง นี่ผมเป็นอะไร แล้วทำไมไอ้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันถึงไม่เต้นแบบปกติเหมือนก่อนหน้านี้
( เป็นอะไร แปลกๆนะมึง )
“อ่อ เปล่าๆ พี่โทรมามีอะไรหรือเปล่า” พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติที่สุด ใจเย็นเว้ยเจ้า!
( เปล่าอ่ะ แค่จะโทรมาถามว่ามึงอยู่ไหน เย็นนี้ไปไหนไหม ) น้ำเสียงจากปลายสายฟังดูนุ่มนวลขึ้นจนน่าแปลกใจ มันทำให้ผมรู้สึกอยากเห็นหน้าเขาตอนพูดเสียงแบบนี้
“อยู่คณะครับ เย็นนี้ยังไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าจะคัดหลีดเสร็จกี่โมง พี่มีอะไรหรือเปล่า” เขาพูดดีมา ผมก็เลยตอบกลับดีๆ เพราะเอาจริงๆก็ไม่อยากจะก่อกวนชวนทะเลาะเท่าไหร่ เพราะยังไงพี่เกียร์ก็เป็นรุ่นพี่
( หืม คัดหลีด? มึงเนี่ยนะเป็นหลีด ) น้ำเสียงปนความแปลกใจได้ถูกส่งมาเมื่อได้รับคำตอบจากผมแบบนั้น
“ก็พี่เขาเลือก เดี๋ยวตอนคัดการ์ดก็ไม่ผ่านเองแหละ ว่าแต่ แล้วถ้าผมเป็นหลีดมันแปลกตรงไหน ผมก็มีความสามารถนะ”
( หึ แปลกดิ ใครเขาเอาปลาทองเอ๋อแถมเตี้ยมาเป็นหลีด )
“พี่เกียร์!! พี่แม่ง ผมไม่ได้เป็นปลาทองเอ๋อนะ แล้วก็สูงตามมาตรฐานชายไทยด้วย” ตอกกลับพร้อมกับความไม่พอใจที่ปนไปกับน้ำเสียง
( ยังไงมึงก็ไม่เหมาะ )
“ทำไม ไม่เหมาะตรงไหน”
( ไม่ดี )
“ไม่ดีอะไรของพี่”
( เออ เป็นหลีดไม่ดี )
( กูหวง!! )
“...”
ซู่วววววว เสียงน้ำเดือดบนหน้าผมเอง
โอ้ยยยยย พี่แม่ง นึกคำพูดไม่ออกแล้ว เจ้าไม่ไหวนะแบบนี้
“เจ้าๆ” อยู่ดีๆอินก็เอ่ยเรียกผม
“มีอะไรอิน” ผมเอ่ยตอบอินแต่ก็ยังไม่ได้กดวางสายจากคนตัวสูง
“มึงอ่ะเป็นอะไร หน้าแดงขนาดนี้ ละยังนั่งยิ้มเหมือนคนบ้าอีก หึหึ” เพื่อนสนิทเอ่ยแซวผมเสียงดัง แววตาเคลือบไปด้วยความล้อเลียน และมีคำถาม รู้เลยว่ามันตั้งใจพูดให้คนในสายได้ยิน
“....”
( อะไรเอ๋อ มึงเขินหรอ )
“เขินอะไรของพี่ อย่ามามั่ว ไม่มีอะไรใช่ไหม แค่นี้นะ รุ่นพี่เรียกแล้ว” พยายามหาทางเอาตัวรอดสุดๆละตอนนี้ แถได้ต้องแถ
( ฮ่าๆ )
“บาย”
( ครับๆ ฮ่าๆ )
ติ๊ด!
ผมรีบกดวางสายเพราะขี้เกียจทนฟังเสียงหัวเราะของไอ้พี่เกียร์ โว๊ะ และพอเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงข้างเดิมเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าขึ้นมาสายตาผมก็สบเข้ากับดวงตามีคำถามคู่หนึ่ง เห้อ กูต้องเล่าใช่ไหมอิน
“จะให้กูถามหรือมึงจะเล่าเอง” อินเอ่ยถามผมเสียงเรียบ
“มึงถามเลย เพราะกูไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงว่ะ” จนปัญญาจะเรียบเรียงคำพูด ไม่รู้จะต้องเล่าให้บทบาทออกมารูปแบบไหน เพราะผมรู้ตัวว่าผมโกหกไม่เก่ง ผมกลัว กลัวว่าถ้าเล่าออกไป เรื่องที่เรียบเรียงจะกลายเป็นเหมือนว่า
ผมก็รู้สึกดีกับเขาคนนั้น...
“งั้นตอบความจริงนะมึง”
“เออ”
“พี่เกียร์จีบมึงหรอ?”
“...”
“ตอบ”
“สัด! มึงเป็นไม้บรรทัดหรอ ตรงขนาดนี้”
“ฮ่าๆ ตอบมาอย่าลีลา”
“ถ้าเอาความจริงกูไม่รู้ แต่ถ้าตามที่พี่มันบอกก็...คงจีบ” ผมตอบอ้อมแอ้มแบบไม่แน่ใจ ก็ไม่แน่ใจจริงๆ
“หืม พี่เกียร์บอกเองเลยหรอ”
“อือ บอกเมื่อวาน คือกูต้องเล่าเรื่องเมื่อวานเลยใช่ไหม”
“เล่าเองดีกว่า เชื่อกู หึหึ”
แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้เพื่อนสนิทชิดเชื้อฟัง เหตุการณ์ที่อยู่ในหัวผมมาทั้งวันแบบครบถ้วนไม่มีตกหล่น เพราะคิดๆดูแล้วว่า ผมคงต้องได้ขอความช่วยเหลือจากมันแน่ๆ
“อื้อหือ พี่เกียร์แม่ง คนจริงว่ะ ฮ่าๆ”
“สัด ไม่ตลก”
“เอ้า แต่ก็ไม่ตลกจริงๆว่ะ ออกไปทางน่าแปลกใจ คนอย่างพี่เกียร์เนี่ยนะจะมาชอบมึง”
“ใช่ไหมมึง กูเป็นผู้ชาย พี่มันก็ผู้ชายที่ดูไม่น่าจะเป็นเกย์ จะมาชอบกูได้ไงวะ พี่มันต้องแกล้งกูแน่ๆ” ผมรีบหาพวกเพื่อความสบายใจก่อนละตอนนี้
“เปล่า กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“อ่าว แล้วหมายถึงอะไร”
“พี่เกียร์เขาดูดีเกินกว่าจะมาชอบคนเพี้ยนอย่างมึง ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วมันก็หัวเราะใส่หน้าผมอย่างมีความสุข ไอ้อิน! ไหนครับ ใครว่ามันเรียบร้อยขี้อาย มาเจอมันตอนอยู่กับผมหน่อยไหม
“ไอ้เชี่ยอิน มึงแม่ง” ขมวดคิ้ว ยู่ปาก แสดงความไม่พอใจให้เพื่อนจอมกวนรับรู้
“โอ๋ๆ ไม่งอนนะเจ้า แล้วเรื่องนี้ไอ้ภาครู้ยัง”
“ยังอ่ะ กูไม่ได้เล่า”
“กูว่าถ้ามึงอยากรู้ว่าพี่มันพูดจริงหรือแกล้ง ต้องให้ไอ้ภาครู้เรื่องนี้ พี่เกียร์รุ่นพี่มัน ต้องมีข้อมูลอะไรบ้างแหละ”
“เออ เอาไว้เล่าแล้วกัน กูขี้เกียจคิดละ อ๊ะ! นู่น รุ่นพี่มาละ” รีบตัดบทสนทนาก่อนที่มันจะไปไกลกว่านี้ ตามที่บอกอินไปแหละครับ ผมขี้เกียจคิดแล้วจริงๆ ยังหน้าร้อนกับเหตุการณ์ในโทรศัพท์เมื่อกี้ไม่หายเลย
ไม่รู้ว่าคำพูดพี่เกียร์จะชัดเจนจนน่าเชื่อถือได้แค่ไหน
แต่การกระทำของพี่แม่ง...ชัดเจนจนหัวใจผมสั่นตอบรับว่าเชื่อไปแล้ว
การคัดตัวเพื่อหาตัวแทนหลีดคณะที่กินเวลาไปสองชั่วโมงกว่า จากท้องฟ้าที่มีแดดอ่อนๆ จนตอนนี้เป็นเวลายามเย็นที่ฟ้าใกล้เปลี่ยนเป็นสีดำก็สิ้นสุดลง ผลการคัดเลือกก็แทบจะไม่แปลกใจผมสักเท่าไหร่ เพราะด้วยจำนวนผู้ชายที่มีน้อยผมก็เลยได้ผ่านการคัดตัวไปแบบไม่ยาก เหมือนล็อคผลเพราะหาใครไม่ได้แล้วจริงๆ ส่วนอินแจ้งความจำเป็นที่ทำให้ไม่สามารถรับหน้าที่ตัวแทนนี้ได้ ปัญหาที่บ้านครับ แต่ก็ไม่เป็นไร มันบอกจะมาอยู่เป็นเพื่อนตอนซ้อม อาจจะไม่ทุกวันผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เข้าใจมันแหละ
เมื่อได้ตัวแทนครบพี่เขาก็ปล่อยคนที่ไม่ผ่านให้กลับบ้านได้ ส่วนคนที่ผ่านก็ต้องถ่ายรูปเพื่อลงโปรโมทผลการคัดเลือกในเพจของคณะ อินที่ไม่ได้รีบกลับบ้านมันก็เลยนั่งรอผมถ่ายรูป
“น้องๆคะ เดี๋ยวเข้าไปถ่ายรูปที่ห้องสโมฯนะ”
“โห พี่คะ ถ่ายหลังจากคัดเสร็จเลยหรอ หน้าหนูไม่พร้อมอ่ะ เนี่ย มีแต่เหงื่อ” สาวน้อยปี 1 ตัวแทนหลีดคณะหมาดๆบ่นอุบให้กับสภาพตัวเองตอนนี้
“เอาน่า น้องๆน่ารักทุกคน ถ่ายสดๆผลจะได้ดูเรียลไทม์ไง” พี่จ๋าที่ยังคงอยู่ดูแลน้องๆในระหว่างการคัดเลือกเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในการถ่ายรูปตัวแทนหลีดคณะปี 1 ทั้ง 9 คนเสร็จ พี่ๆก็เลยปล่อยให้แยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อนกันได้ ผมกับอินก็เดินมาขึ้นรถไฟฟ้าพร้อมกัน แต่มาแยกกันตรงชานชาลาเพราะทางกลับบ้านอยู่คนละสาย ผมกลับสายสีลมเพื่อไปต่อเรือโดยสารเจ้าพระยาที่ท่าเรือสาทรต่ออีก โอ้ย วันนี้รู้สึกพลังงานร่างกายใกล้หมด ไปเรียนแบบไม่สดชื่น แถมยังต้องมากางแขนตั้งการ์ดคัดหลีดอีก เจ้าเพลียยยย
(มีต่อด้านล่างนะคะ)
ท่าเรือที่ 8
จะผิดไหม...ถ้าใจสั่น
[ P x Inn ‘s Special Part ]
Inn ‘s Part
หากว่าโลกใบนี้มีคำนิยามของความรักอยู่มากมาย
แต่ทำไมนิยามความรักที่มาเกิดขึ้นกับผม มันถึงกลายเป็น...ความทุกข์
ในเวลาพลบค่ำวันจันทร์ที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสีดำ ผมยืนอยู่ตรงชานชาลาสายสุขุมวิทหนึ่งในเส้นทางเดินรถไฟฟ้าของสถานีสยาม ย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมืองหลวงที่ตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย จุดมุ่งหมายของแต่ละคนก็คงจะต่างกันไป ตัวผมที่เพิ่งแยกจากเพื่อนสนิทหลังจากจบภารกิจคัดตัวแทนหลีดของคณะเภสัชศาสตร์ก็มายืนรอรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน
ผมคือ อิน อินธัช วิชยกุล เพื่อนสนิทหนึ่งในสองของเจ้าพระยาที่ทุกคนคงรู้จักเป็นอย่างดี และบางทีเจ้าก็คงแนะนำตัวผมให้ทุกคนรู้จักไปบ้างแล้ว ก็ตามนั้นแหละครับ ไม่ว่าเจ้าจะแนะนำว่าผมเป็นเพื่อนแบบไหน แต่สำหรับผม เจ้าพระยาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม อ้อ รวมไอ้ภาคไปอีกคนนะ ไม่มีเพื่อนคนไหนเข้าใจผมไปมากกว่ามันสองคนแล้ว บางทีก็เข้าใจมากกว่า...คนในครอบครัวซะอีก
หลายคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนเงียบๆขี้อาย เหมือนที่ได้รู้จักผ่านไอ้ภาคและเจ้า แต่ความจริงแล้วผมก็คนธรรมดาที่มีทุกอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป ยิ้ม หัวเราะ มีความสุข เศร้า คิดมาก และอีกมากมาย ผมก็ผ่านทุกอารมณ์เหล่านั้นมาแล้ว แต่ที่เป็นคนเงียบๆอยู่ทุกวันนี้มันก็แค่ ‘กำแพง’ ที่ก่อตัวขึ้นจากความเสียใจ หลังจากวันที่ผมเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป พ่อและน้องสาวของผม
RrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrrr...............
- My Heart –
“สวัสดีครับแม่” ตอบรับปลายสายแทบจะทันทีที่กดรับ
( ถึงไหนแล้วลูก )
“รอรถไฟฟ้าอยู่สยามครับ”
( อ๋อ ถ้างั้นก็รีบกลับมานะอิน แม่ทำอาหารเย็นของโปรดลูกไว้รอนะ )
“ครับๆ อินจะรีบกลับนะ หิวมากเลย”
( จ้า นี่มอคค่า กับลาเต้ก็วิ่งวนคอยลูกอยู่หน้าประตูเลยนะ )
ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ฟังประโยคนั้น
“ได้เลย เอ่อ แม่ครับ แล้ว...” ผมชะงักค้างไม่กล้าเอ่ยถามคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
( ป้าเขายังไม่กลับหรอกจ๊ะ เขาไปงานเลี้ยงสมาคมกับคุณลุง ) คนปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเข้าใจ
“หรอแม่ อินจะรีบกลับนะ เจอกันที่บ้านครับ”
( จ้า เดินทางดีๆ )
ติ๊ด!
กดวางสายจากคนที่เป็นทั้งหมดของชีวิตผมตอนนี้
หลายคนอาจจะกำลังสงสัยและอยากรู้ความเป็นไปของชีวิตผมตอนนี้ ถ้าจะให้ผมอธิบายชีวิตตัวเองก็คงมีแค่ประโยคสั้นๆ ว่า...เป็นความหวัง แต่รู้อะไรไหมว่าการเป็นความหวังที่ต้องแบกรับความกดดันมันเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ชีวิตไม่ใช่ของผมอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความรักของพ่อกับแม่ อยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ หลังจากนั้นก็มีน้องสาวที่เกิดมาเพื่อให้ผมปกป้องดูแลอีกหนึ่งคน พอผมขึ้นมัธยมต้นสมาชิกใหม่สี่ขาก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอีกตั้งสองตัว ‘มอคค่ากับลาเต้’ ของขวัญปีใหม่ของผมกับน้องอรที่ได้รับมาจากบุพการี บอกได้เลยว่าชีวิตตอนนั้นผมเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก
แต่โลกแห่งความสุขของผมก็ไม่เป็นนิรันดร์
เพราะมันสูญสลายหลังจาก ความตาย พรากพ่อและน้องอรไป
รถยนต์คันเดียวของครอบครัวที่พ่อขับออกไปรับน้องอรที่โรงเรียน นี่ก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ที่พ่อกับน้องอรไม่กลับมา และคงจะไม่มีวันกลับมา ตอนนี้ผมกับแม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านป้านิล พี่สาวแท้ๆของแม่ บ้านที่ใหญ่โต หรูหรา บ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่...ไม่มีความสุข เวลาที่ได้อยู่พร้อมหน้า
ระหว่างที่ยืนรำลึกถึงอดีตรถไฟฟ้าก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบชานชาลา ผมรอให้ผู้โดยสารที่ต้องการลงก้าวออกมาจนครบทุกคนก่อน ถึงจะเริ่มเดินตามแถวเข้าขบวนไป ซึ่งสำหรับตอนค่ำของวันจันทร์เช่นนี้คงไม่ต้องอธิบายถึงจำนวนคนใช่ไหม เพราะมันเยอะมาก โบกี้ที่ผมเคลื่อนตัวตามกระแสคนในแถวเข้ามาก็เบียดเสียดกันจนต้องยืนซ้อนหลัง ซ้อนไหล่กับบุคคลแปลกหน้าแบบไม่ถือสากัน
สิ้นเสียงแจ้งเตือนประตูอัตโนมัติก็ปิดลงให้รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาของสถานีสยามเพื่อมุ่งหน้าไปตามสถานีต่างๆในสายสุขุมวิท เหล่าผู้โดยสารร่วมขบวนแต่ละคนก็หยิบเอาอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยออกมาหาความบันเทิงใจในโลกส่วนตัวของตัวเอง ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ใช้มือข้างที่ว่างจากการเกาะเสาใกล้ประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูที่เดินเข้ามา หยิบสมาร์ทโฟนแบรนด์ผลไม้มาสไลด์เลือกเพลงในลิสต์เพลย์ที่ชอบ
แต่...ทำไมคนข้างหลังผมเขาฟังเพลงเสียงดังจัง
นิสัยขี้เผือกที่ติดไอ้ภาคมาก็กระตุ้นความอยากรู้ของผมจนต้องเบี่ยงหน้าไปทางซ้ายเพื่อหาต้นตอของเสียงเพลงที่เล็ดลอดออกมาจากหูฟังของใครสักคน
...อ่าว...
“พี่พี” มายืนตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ ทำไมผมไม่เห็น
“...”
“สวัสดีครับ” เอ่ยทักทายคนมีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบัน แถมยังเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนสนิทอย่างไอ้ภาคอีก ว่าแต่ ทำไมพี่เขากลับรถไฟฟ้าวะ ปกติขับรถมานี่ ที่ผมรู้ก็เพราะพี่พีเคยบอกตอนไปส่งผมที่โรงพยาบาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เดี๋ยวค่อยเล่าแล้วกัน
“อืม ทำไมกลับค่ำ ไหนว่ากลับค่ำไม่ได้” คนที่ตัวสูงกว่าผมถามเสียงเรียบ
“อ๋อ วันนี้ที่คณะมีคัดหลีด ผมโดนเรียกไป เพิ่งเลิกเนี่ย”
“คัดหลีด?” หัวคิ้วพี่พีกระตุกเข้าหากันเล็กน้อยหลังจากถาม “แล้วได้หรอ”
“ผมไม่ได้เป็นหรอก ไปขอพี่เขาว่าเป็นไม่ได้ แต่ไอ้เจ้าได้เป็นนะ โดนเรียกคนแรกเลย” ผมยิ้มกว้างประกอบคำตอบที่เอ่ยออกไป
“หึหึ” มาอีกละเสียงหัวเราะแบบนี้
“เอ้อ ละทำไมวันนี้พี่กลับรถไฟฟ้าอ่ะ?”
“ขี้เกียจขับรถ”
“แปลกนะพี่เนี่ย เขามีแต่ไม่อยากเบียดกับคนเยอะๆ”
“ยุ่ง”
“เอ้า ว่ากันเฉย”
“แล้วนี่กลับค่ำจะไม่เป็นอะไรหรอ” พี่พีถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่น
“โทรบอกแม่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก เขาก็ไม่อยู่ด้วย” สรรพนามที่ใช้เรียกป้าของผมก็หลุดปากออกไป
“เรียกเขาดีๆ” คนตัวสูงเอ่ยปราม
“เอ่อ ครับ ป้าไม่อยู่” แล้วทำไมผมต้องกลัวพี่เขาด้วยเนี่ย
ในระหว่างนั้น ผมกับพี่เขาก็ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นอีก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ แผ่นหลังของผมแนบกับช่วงตัวของใครสักคน ที่มันไม่ได้สร้างความตกใจ แต่กลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่า สิ่งที่บ่งบอกให้แน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนอื่นก็คือกลิ่นที่ผมรู้สึกคุ้นเคยของพี่พี แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็ตาม
สถานีต่อไป เอกมัย...Next Station Ekamai...
เสียงประชาสัมพันธ์อัตโนมัติของระบบรถไฟฟ้าดังขึ้น แจ้งสถานีต่อไปซึ่งเป็นสถานีจุดหมายของผม ผมขยับตัวเตรียมพร้อมที่จะลง จำนวนผู้โดยสารที่เบาบางลงกว่าตอนแรกก็ทำให้ขยับกายง่ายขึ้น แต่ว่า ทำไมพี่พียังยืนใกล้ผมเหมือนเดิม ไม่อึดอัดหรือไงนะ
ขยับตัวไปด้านหน้าแล้วหันกลับมาทางคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่เดิม “ผมลงแล้วนะ สวัสดีครับ” พร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่หน้าดุ
“อืม”
เอกมัย...Ekamai
เมื่อรถไฟฟ้าเทียบชานชาลานิ่งสนิท ประตูอัตโนมัติก็เปิดออกให้ผู้โดยสารที่ต้องการลงสถานีนี้ก้าวออกจากตัวรถ รวมถึงตัวผมเช่นกัน
แต่ทว่า...
“หืม พี่ลงมาทำไม” คนหน้าดุก้าวเดินออกจากตัวรถตามผมมาติดๆ
“มืดแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ นี่มันสองทุ่มแล้วพี่” กระตุกหว่างคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยประกอบความสงสัยในการกระทำของพี่เขา
“เดี๋ยวกูไปส่ง จะได้ไม่โดนด่า” รุ่นพี่หน้าดุตอบคลายความสงสัยทั้งๆที่ไม่หันมามองหน้าผม
ยกมือโบกปฏิเสธพี่พี “เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ วันนี้เขา เอ่อ ป้าไม่อยู่ ไม่โดนหรอก”
“เออ กูจะไปส่ง ไม่ต้องเถียง!” คนตัวสูงหันมาเอ่ยเสียงดุใส่ผม เอ่อ แล้วจะดุกันทำไมเนี่ย
“พูดดีๆก็ได้ ทำไมต้องดุเนี่ย” ผมก้มหน้าบ่นพึมพำด้วยเสียงที่คิดว่าคนข้างตัวฟังไม่รู้เรื่องแน่ๆ
แล้วก็เป็นผมที่ต้องสงบปากสงบคำระหว่างที่ลงจากตัวสถานีรถไฟฟ้า โดยมีพี่พี รุ่นพี่ปี 3 ต่างคณะที่อยู่ดีๆก็มาสนิท? สนิทหรือเปล่านะ เอ้อ มารู้จักกันนั่นแหละ
ถ้าทุกคนยังจำเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ ที่ผม เจ้า แล้วก็ไอ้ภาคนัดกันไปกินบิงซู แต่วันนั้นแผนก็ล่มเพราะผมได้รับข่าวจากป้านวล แม่บ้านของบ้านใหญ่ว่าลาเต้ สุนัขพันธุ์ปอมปอมของน้องอรท้องเสียหนักจนต้องพาไปโรงพยาบาลสัตว์ วินาทีที่ได้รับข่าวตอนนั้นตัวผมชาวาบ รู้สึกถึงความเย็นเฉียบเข้ามาปกคลุมหัวใจ ความกลัวคืบคลานเข้ามาในห้วงความคิด และปฏิเสธไม่ได้ว่าผมภาวนาอย่าให้ผมได้เจอกับ ‘ความสูญเสีย’ อีกเลย
วันนั้นพี่พีอาสาขับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่ยืมพี่เกียร์มา ไปส่งผมที่โรงพยาบาลให้ทันใจก่อนที่ผมจะไม่มีสติไปมากกว่านี้ จำได้ว่าเป็นการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ผมลืมความกลัวไปเลย เพราะความกลัวบางอย่างมันทับถมพื้นที่ในความคิดผมไปหมดแล้ว พี่พีพาลัดเลาะไปตามซอยท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมา ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงโรงพยาบาลที่ป้าแม่บ้านพาลาเต้มาส่ง ผมพาสภาพเนื้อตัวเปียกปอนไปหน้าห้องตรวจที่ป้านวลนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอป้าเห็นผมมาก็เลยขอตัวกลับไปดูแลบ้านต่อ ระหว่างที่รอคนตัวสูงที่ขับรถพาผมมาก็ยังไม่กลับไป พี่พีนั่งรอเป็นเพื่อนผมจนหมอที่ตรวจอาการของลาเต้ออกมาบอกผลการตรวจที่ทำให้ใจของผมกับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากมันบีบรัดตัวระหว่างที่รอจนผมเหนื่อย แต่อาการของลาเต้ก็ยังไม่หายดีจนสามารถพากลับบ้านได้ในวันนี้ ต้องให้รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อเพื่อดูอาการ
พี่พีก็เลยพาผมมาส่งที่บ้าน แต่มันก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมคาดไว้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะเพียงแค่ก้าวผ่านประตูเล็กข้างบานประตูอัลลอยด์ขนาดใหญ่เข้าไปแค่ก้าวเดียว ยังไม่ทันหันมาปิดประตูด้วยซ้ำ เสียงด่าทอบาดหัวใจของป้านิลก็ดังเข้ามาในโสตประสาททันที สาเหตุนั่นหรอ เพราะผมเหลวไหลกลับบ้านมืดจนทำให้คนอื่นวุ่นวายกับลาเต้ ป้านวลที่ปกติต้องคอยดูแลน้องพราวลูกสาวคนเดียวของป้านิลกลับต้องมาพาลาเต้ไปหาหมอ ผลของความวุ่นวายเลยมาตกที่ผม ตอนผมหันมาปิดประตูก็เลยได้เห็นว่าพี่พียังคงยืนพิงรถสองล้อราคาแพงนั้นอยู่ที่เดิม สายตาที่สบกันพอดีทำให้ผมรู้สึกถึงความห่วงใยที่ส่งมาพร้อมกับความสงสัยกับเหตุการณ์ขณะนั้น แต่ผมก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มจางๆกลับไปให้เพื่อบอกเขาว่า ‘ไม่เป็นไร’
เมื่อก่อนผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าป้านิล ผู้มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆนั้นจงเกลียดจงชังอะไรผมนัก ตั้งแต่ที่ผมกับแม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านป้าตามความต้องการของป้าเอง ผมก็ถูกด่าทอ ประชดประชันต่างๆนานา ถูกเปรียบเทียบกับน้องพราวอยู่ทุกเรื่อง ความไม่เข้าใจทำให้ผมเอ่ยถามแม่อยู่เสมอว่าทำไม? คำตอบที่มักได้รับกลับมาก็คือป้าเขาเป็นห่วงผม ป้าเขารักผมนะ นี่คือการแสดงความรักของป้าที่มีให้ผมหรอ
ทำไมความรักของป้า มันทำให้ผมรู้สึกทุกข์ใจเหลือเกินครับ
พอผ่านไปไม่นานผมก็ได้รู้ความจริงจากปากป้านิลเองว่า การเกิดมาของผมทำให้ครอบครัวที่มีหน้ามีตาในสังคมต้องอับอาย แม่ผมท้องกับพ่อก่อนแต่งงาน บ้านที่เคยมีความสุขก็เกิดปัญหาเพราะพ่อผมเป็นแค่คนธรรมดา ตายายเกิดความทุกข์ใจและขายหน้า ไม่มีใครเห็นด้วยกับความรักของพ่อกับแม่ ทุกคนในบ้านนี้ต่างพากันเกลียดพ่อที่ทำให้แม่ผมหมดอนาคต เพราะแม่เลือกหนีไปอยู่กับพ่อสร้างเพื่อครอบครัวเล็กๆขึ้นมา แม่บอกเสมอว่า แม่รักพ่อมาก ผมเชื่อแม่นะ ผมรับรู้มาตลอด แล้วการจากไปของพ่อก็ทำให้แม่ถูกบังคับให้กลับมาอยู่ร่วมชายคากับพี่สาวของตัวเองอย่างป้านิลอีกครั้ง แม่ยอมกลับมาเพราะความรู้สึกผิดบาปในการกระทำที่ผ่านมา ความเกลียดชังที่พ่อเคยได้รับ ตอนนี้มันมาตกที่ตัวผมแล้ว ผมก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ทำตามที่แม่พร่ำสอนว่าให้เป็นคนดี ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดจนผมสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ตามที่ผมชอบได้สำเร็จ แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ใช่คณะที่ป้านิลต้องการ
ระหว่างทางจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยกับบ้านผม เป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลมากทำให้ปกติผมเลือกที่จะเดินเข้ามา อีกนัยหนึ่งคือ ผมอยากยืดเวลาให้นานที่สุดก่อนที่จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน ในตอนนี้ผมกับพี่พีก็ไม่ได้เอ่ยบทสนทนาขึ้นระหว่างกัน มีเพียงความเงียบแผ่กระจายแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด
ผมเลือกที่จะก้าวเท้าให้ช้าลง จนกลายเป็นว่าเราทั้งสองคนเดินข้างกัน จากที่ก่อนหน้านี้พี่พีเป็นฝ่ายเดินตามหลังผมตลอด
“เอ้อพี่ ล้าเต้หายแล้วนะ กลับมาซนได้เหมือนเดิมแล้ว” ประโยคทำลายความเงียบของผมเกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
รุ่นพี่ตัวสูงเหลือบตามองมาทางผม “หรอ ดีแล้ว”
“อยากเข้าไปเล่นกับมันปะ หมาผมน่ารักนะ” เอ่ยคำชวนพร้อมยักคิ้วให้
“ได้หรอ ไม่ดีมั้ง” คนข้างตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ
“ได้ดิ วันนี้แม่ก็อยู่ เดี๋ยวอ้อมไปเล่นหลังบ้านเล็ก” คำชักชวนที่ออกมาโดยไม่รู้ว่าจะต้องชวนทำไม แต่แค่รู้สึกอยากรู้จักคนหน้าดุคนนี้เพิ่มขึ้นไปอีก
“อืม”
“เย้ พี่ต้องหลงรักมอคค่ากับลาเต้ของผมแน่ๆ” คำโฆษณาหลุดจากปากไม่ขาดสาย
คนตัวสูงหันมายิ้มมุมปากให้ผม “หึหึ...เด็กน้อย”
หลังจากบทสนทนาจบลงเพียงไม่นาน ผมกับพี่พีก็เดินมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่ปิดกั้นด้านหน้าด้วยประตูรั้วอัลลอยด์ เลยพารุ่นพี่ตัวสูงผ่านเข้าบ้านด้วยประตูเล็กแล้วเดินอ้อมสนามหญ้าไปทางหลังบ้านเล็กที่ผมอยู่กับแม่สองคน
บ๊อกๆ บ๊อกๆ
เสียงทักทายจากสุนัขพันธุ์ปอมปอม ที่มีรูปหน้าคล้ายหมี เล็ดลอดออกมาจากประตูด้านหลังที่กั้นระหว่างครัวกับนอกบ้าน ยังไม่ทันก้าวเข้าไปประชิด ประตูบานนั้นก็เปิดออกจนสุนัขอ้วนกลมสองตัวกระโดดพุ่งออกมาตรงที่ผมยืนอยู่
“งื้ออออ ไงไอ้อ้วน พี่กลับมาแล้ว” ผมย่อตัวลงไปจับเจ้าตัวอ้วนกลมที่วิ่งส่ายก้นดุ๊กดิ๊กอยู่รอบๆตัวผม
“อ้าว อิน ทำไมเข้าหลังบ้านล่ะลูก แม่ก็ตกใจอยู่ดีๆเจ้าสองตัวก็วิ่งเข้าครัว”
“แหะๆ” หัวเราะเสียงแห้งใส่ผู้เป็นแม่
“แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ เพื่อนหรอ?” คำถามจากแม่ดังขึ้นหลังจากสายตาของแม่มองข้ามผ่านผมที่นั่งยองกับพื้นไป
“อ้อ นี่รุ่นพี่ที่มออ่ะแม่ ชื่อพี่พี” เอ่ยแนะนำเสร็จผมก็หันไปที่เจ้าของชื่อ “พี่พีนี่แม่ผมเอง”
“สวัสดีครับคุณน้า” คนตัวสูงยกมือพุ้มไหว้พร้อมกับก้มหัวแสดงความนอบน้อมกับผู้อาวุโสกว่ามาก
“หืม ไม่ต้องเรียกคุณน้าหรอ เรียกน้าแอนก็ได้ น้าไม่ถือจ๊ะ แล้วนี่รุ่นพี่คณะของอินใช่ไหม น้าฝากช่วยดูอินด้วยนะ มาๆเข้าบ้านก่อน” แม่ผมเอ่ยยาวไม่เว้นช่วงให้อธิบายความจริงเลย
ผมผุดขึ้นยืนแล้วเดินนำพี่พีเข้ามาในตัวบ้านในส่วนที่เป็นห้องครัว ที่บริเวณกลางห้องมีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารขนาดเข้ากับห้องตั้งอยู่ เลยพยักเพยิดส่งสัญญาณให้คนตัวสูงไปนั่งเก้าอี้ตรงนั้น
ระหว่างนั้นพี่พีก็อธิบายความจริงกับแม่ผม “ป่าวครับ ผมเรียนวิศวะฯโยธา”
“อ่าว แล้วไปรู้จักพี่เขาได้ยังไงล่ะ” คนร่างบางที่มีฐานะเป็นแม่หันมาถามผม
“พี่พีเป็นรุ่นพี่ของไอ้ภาคอ่ะแม่” ตอบพร้อมทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามแขกผู้มาเยือน โดยที่มีแม่ผมนั่งอยู่หัวโต๊ะ
“หรอจ๊ะ ถึงจะคนละคณะยังไงน้าก็ฝากอินด้วยนะ” แม่เอ่ยย้ำประโยคก่อนหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ได้ครับ” เจ้าของหน้าดุเอ่ยตอบแม่ของผม แต่ทำไมสายตาต้องมองมาที่ผมด้วยเนี่ย
“นี่ยังไม่ได้กินข้าวกันมาใช่มั้ย เดี๋ยวกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะพี”
“เอ่อ..” คนตัวสูงมีสีหน้าเกรงใจจนรู้สึกได้
“แม่ผมทำกับข้าวอร่อยมากนะ อร่อยกว่าเชฟภัตตาคารอีก พี่ต้องลอง” ผมรีบโฆษณาขายฝีมือทำกับข้าวของแม่ให้คนร่างสูงตอบตกลง
“ไม่ต้องเกรงใจนะลูก ปกติแม่ก็กินลูกชายแค่สองคนเอง” แม่หันไปเอ่ยสำทับด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นวันนี้ผมขอฝากท้องด้วยนะครับน้าแอน” พี่พีตอบรับคำชวนด้วยรอยยิ้มกว้าง
หืม พี่พียิ้ม นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของผมเลยนะ ฮ่าๆ
กินข้าวกันไปก็คุยกันไปหลากหลายเรื่องราว ส่วนใหญ่ก็หนักมาที่ผมถูกแม่เผาซะไหม้เป็นฝุ่นเลย เรื่องตลกในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของผมก็ถูกแม่ขุดค้นขึ้นมาเล่าให้พี่พีฟัง แทนที่ผมจะรู้สึกอาย แต่รู้อะไรกันไหมครับ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้มคือผมได้เห็นมุมแปลกใหม่ของพี่พี รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่สายตาติดดุนั้น มันทำให้ผมยิ้มตาม ทั้งยังให้ความรู้สึกว่า
รอยยิ้มกับพี่พีก็ดูเข้ากันดีนะ
อาหารมื้อเย็นของบ้านกับแขกผู้มาเยือนก็ผ่านพ้นไปด้วยดี รุ่นพี่ตัวสูงออกปากชมรสฝีมือของแม่ผมไม่ขาดปาก แม่ผมก็ปริ่มใจยิ้มแก้มแทบแตก แถมแม่ยังชวนพี่พีคุยเหมือนรู้จักกันมานาน ผมที่ถูกมอคค่าลาเต้ดึงความสนใจให้ไปหยอกล้อกับมันก็ปล่อยให้เขาทั้งสองคุยกันไป เพียงไม่นานที่แม่จัดการความเรียบร้อยภายในครัวเสร็จก็ปลีกตัวเข้าไปในบ้าน ปล่อยพี่พีไว้กับผม และสุนัขอีกสองตัว
“นั่งลงสิ”
รุ่นพี่ตัวสูงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างๆผม กลิ่นกายที่ไม่คุ้ยเคยของพี่พีทำให้เจ้าอ้วนทั้งสองตัวเกิดความสนใจเข้าไปทำจมูกฟุดฟิดวนรอบตัวของพี่พี คนหน้าดุที่กลายเป็นเป้าหมายการสำรวจของหมาอ้วนก็ได้แต่นั่งนิ่งสงบเสงี่ยมรอผลสำรวจ แล้วก็เป็นเจ้าลาเต้ สุนัขพันธุ์ปอมปอม เพศเมียของน้องอรที่อัธยาศัยค่อนข้างดีก็กระโจนขึ้นไปนั่งบนตักของพี่พี เจ้าตัวก็เลยยกมือขึ้นมาลูบหัวลูบตัวของลาเต้พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ส่วนเจ้ามอคค่าก็พาตัวกลมๆขึ้นมายคเหน้าตักของผมเป็นที่ซุกตัว เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของผมตลอดเวลาโดยเฉพาะรอยยิ้มนั้น
“มองอะไร” เป้าสายตาของผมเอ่ยถามโดยที่ไม่หันหน้ามามอง
“เอ่อ มองลาเต้ไง มันดูชอบพี่นะ”
“อืม อ้วนนะ” คนข้างๆผมเอ่ยตอบในขณะที่มือยังไม่เลิกสัมผัสขนของเจ้าลาเต้
“นี่ผอมลงแล้วนะเนี่ย เพิ่งหายป่วย แต่มันกินเก่ง เดี๋ยวก็อ้วนอีก”
“แล้วตัวนั้นทำไมไม่ค่อยซน”
“มอคค่าอ่ะหรอ มันเป็นหมาหนุ่มจอมสุขุม ฮ่าๆ” ก้มลงเอ่ยหยอกเหย้าเจ้าอ้วนบนตักพร้อมกับสางนิ้วไปตามเส้นขนสีน้ำตาลเข้ม
แช๊ะ!
ผมเงยหน้าตามเสียงชัตเตอร์ที่ดังอยู่ใกล้ตัว “เห้ย ถ่ายรูปผมทำไมพี่?”
“กูถ่ายหมา” เขาตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก พร้อมกับยกมือขึ้นมาโคลงศีรษะผม
อ๋อหรอ...ตามนั้น
(มีต่อด้านล่าง)
เราสองคนนั่งเล่นกับเจ้าก้อนทั้งสองตัวอยู่สักพัก ยกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกาก็คิดว่าดึกมากแล้ว เลยอุ้มมอคค่ากับลาเต้ไปวางไว้ตรงเบาะที่เป็นตำแหน่งประจำ แล้วเดินเข้าไปหาแม่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้พี่พีเอ่ยลา
“แม่ พี่พีจะกลับแล้ว”
“จ้า ไว้วันหลังมาอีกนะลูก” แม่หันไปพูดกับเขา
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็โอเคครับ ขอบคุณสำหรับอาหารเย็นนะครับน้าแอน” คนตัวสูงยกมือพุ่มไหว้ขอบคุณแม่ของผม
“จ้า เดินทางดีๆนะ”
“สวัสดีครับ” เอ่ยลากันเสร็จตามมารยาทที่ดี ผมก็เดินนำพี่พีมาทางประตูด้านหลังที่เราเข้ามา
“เดี๋ยวผมเดินออกไปส่ง”
“อืม”
ผมพาพี่พีเดินออกจากตัวบ้านอ้อมสนามหญ้าเพื่อไปยังหน้าประตู ขณะที่กำลังเปิดประตูเล็ก จู่ๆประตูรั้วอัลลอยด์ก็เคลื่อนตัวเปิดออกตามระบบอัตโนมัติที่ติดตั้งไว้ ผมหันไปสบตากับคนตัวสูงข้างๆ โดยที่พอจะเดาได้ว่ารถของใครกำลังผ่านประตูบานใหญ่นั้นเข้ามา
รถยนต์สัญชาติยุโรปคันหรูค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาในอาณาเขตบ้านที่มีเจ้าของนั่งอยู่บนรถคันนี้ ผมกับพี่พียืนหลบมุมอยู่ใกล้ๆประตูเล็กเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา แต่ก็คงไม่เป็นดั่งใจคิด กระจกฟิล์มดำทึบตำแหน่งประตูด้านหลังคนขับก็ค่อยๆลดเปิดลง ปรากฏใบหน้าของผู้หญิงวัยเกษียณที่มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆของผม
“อิน!”
“คะ...ครับป้านิล”
“มายืนทำอะไรตรงนี้ หรือว่าเพิ่งถึงบ้าน ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” เสียงดังแผดลอดออกมาจากตัวลด ไม่เว้นฟังแม้กระทั่งคำอธิบาย
“เปล่าครับ กลับมานานแล้ว แต่ออกมาส่งรุ่นพี่ เอ่อ นี่พี่พีครับ รุ่นพี่ที่มอ” ผมอธิบายตอบความจริงให้ป้านิลฟังพร้อมกับแนะนำคนข้างๆตัว
“สวัสดีครับ” พี่พียกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประกบนบน้อมไหว้เจ้าของบ้าน
“เหอะ! นี่บ้านนะไม่ใช่สวนสาธารณะ ที่คิดจะพาใครเข้าใครออกได้ตามใจ” ประโยคจิกกัดถูกเอ่ยออกมาตอกย้ำความรู้สึกแย่ๆระหว่างผมกับป้าให้มากขึ้นไปอีก
“ขอโทษครับ”
“จะทำอะไรให้มันเกรงใจกันบ้างนะ อย่ามาทำนิสัยแบบพ่อแกที่นี่ ฉันไม่ชอบ”
ประโยคที่ทำให้ผมทำได้เพียงกัดริมฝีปากด้านในจนรู้สึกเจ็บไปหมด แต่ก็ยังเจ็บไม่เท่ากับหัวใจผมตอนนี้ที่ได้ฟังคำด่ากระทบบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งอย่างพ่อของผม
“ขอโทษครับ จะไม่ให้เกิดขึ้นอีกแล้วครับ” ผมยกมือพุ่มไหว้ขอโทษเจ้าของบ้านผู้มีหน้ามีตาในสังคม
ไร้ซึ่งคำตอบรับการขอโทษ มีเพียงกระจกติดฟิล์มสีดำที่เลื่อนขึ้นจนปิดสนิทพร้อมกับตัวรถหรูที่เคลื่อนเข้าไปทางที่โรงจอดรถขนาดใหญ่ ผมค่อยๆลดมือที่ยกไหว้อยู่แนบองลงมาข้างตัว พาตัวเองเดินนำพี่พีออกมาทางประตูเล็กเหมือนเดิม
เมื่อเดินพ้นอาณาเขตบ้านหรูออกมา ผมก็หันไปมองคนตัวสูงด้วยรอยยิ้มจางๆเตรียมเอ่ยลา แต่ก่อนจะมีคำลาใดๆหลุดออกมาจากปาก อยู่ๆร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันก็ยกมือซ้ายขึ้นมาวางบนศีรษะของผมพร้อมกับลูบเบาๆ
การกระทำของคนตรงหน้าสร้างความแปลกใจเป็นอย่างมาก ผมชะงักค้างไร้เสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอ สายตาของผมประสานกับพี่พีท่ามกลางความเงียบที่ยังปกคลุมอยู่รอบๆ สายลมเย็นที่พัดผ่านไป แต่ทำไมหัวใจของผมถึงรู้สึก..อบอุ่นจัง หรือเพราะมันเต้นแรงเกินไป
“ไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเอ่ยออกมา
“...”
“กูอยู่กับมึงตรงนี้”
ประโยคสั้นๆของคนตรงหน้าผม เหมือนเป็นยาชโลมหัวใจที่ถูกทิ่มแทงอย่างเจ็บปวดจากวาจาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวให้รู้สึกดีขึ้นจนสัมผัสได้ ความอบอุ่นจากน้ำเสียง แววตา และแรงสัมผัสบนเส้นผมด้วยฝ่ามือหนา เป็นเหมือนสิ่งกระตุ้นต่อมน้ำตาที่ผมมักจะกดมันไว้ไม่ให้มันผลิตน้ำใสๆออกมาต่อหน้าคนอื่น เพียงเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นความรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ การสะกดกลั้นของผมก็ไม่เป็นผลอีกต่อไป ผมไม่อยากอ่อนแอ แต่ผมห้ามมันไม่ได้
“พี่..” ปฏิกิริยาตอบกลับด้วยเสียงของผมกลั่นกรองทุกความรู้สึกออกมาได้เพียงแค่คำนี้
“อย่าร้อง” สัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วที่เพิ่งเลื่อนจากศีรษะมาลูบเช็ดหยดน้ำใสๆที่ไหลออกจากดวงตาของผม
“ฮึก...พี่...ฮึก...ขอบคุณครับ”
“...”
“ผมขอโทษ” เอ่ยขอโทษกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่พี่เขาไม่ควรจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แย่ๆแบบนี้
“ไม่ผิดก็ไม่ต้องขอโทษ กูไม่เป็นไร”
“...”
“แต่จำไว้”
“...”
“อินยังมีพี่อยู่นะ”
คำบอกกล่าวย้ำการมีตัวตนของเขาที่เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม สำหรับพี่พีมันคงเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดา แต่สำหรับผมหัวใจบังคับให้ผมรู้สึกว่า
นี่คือคำสัญญา
“ครับ”
เอ่ยพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆเหือดแห้ง คำตอบรับที่เอ่ยออกไป ไม่ใช่แค่ตอบรับประโยคก่อนหน้า แต่ผมตอบรับคำสัญญาที่ถูกสร้างขึ้นในหัวใจ
“กลับแล้วนะ”
“อื้ม กลับดีๆนะครับ”
สิ้นคำเอ่ยลาคนตัวสูงก็ค่อยๆเบี่ยงตัวกลับหลังหันไปตามเส้นทางของหมู่บ้านที่จะออกสู่ถนนภายนอก ผมที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆไกลออกไปจนเลือนลับจากสายตา
ผมจึงหันหลังเดินกลับเข้าบ้านผ่านประตูรั้วบานเล็ก ทั้งๆที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันยังคงสูบฉีดด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าปกติ
จะหาคำอธิบายจากที่ไหน จะใช้คำจำกัดความว่าอะไร ที่จะมาบรรยายความรู้สึกของผมตอนนี้ ความอ่อนแอที่ผมเก็บซ่อนเอาไว้กลับกล้าเปิดเผยออกมาต่อหน้าคนๆนี้ อีกทั้งความอบอุ่นในหัวใจที่ก่อตัวขึ้นจากการกระทำของพี่พีมันจะเป็นคำตอบได้หรือเปล่าว่า สิ่งที่ผมรู้สึกมันเป็นอย่างที่ผมคิด แล้วถ้ามันใช่
มันจะผิดไหมครับ?
ถ้า...
ผมรู้สึกดีกับรุ่นพี่ต่างคณะคนนี้
*TBC
20/09/2017
***************************************************
กลับมาพร้อมกับความดราม่าเบาๆของชีวิตน้องอิน งื้ออออออ ส่งสารน้อง//ดึงมากอด
พาร์ทของอินจะให้ความรู้สึกไปอีกแบบนะคะ นิสัยเงียบๆของน้องก็คงได้รู้แล้วว่าเพราะอะไร
แต่แต่งตอนนี้จบอยากบอกว่า อินขา ที่บ้านพี่ไม่มีพี่พี ขอได้มั้ย ฮืออออ อบอุ่นมากเวอร์
ยังไงก็ให้กำลังใจคู่นี้ไปพร้อมๆกันนะคะ จะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด
ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเม้นท์ อยากให้รู้ว่ามันคือกำลังใจชั้นยอดของเราเลย เวลาหัวตันๆเราชอบเข้ามาอ่านที่ทุกคนแสดงความคิดเห็น อ่านวนจนจำได้แล้วอ่ะ ฮ่าๆ ยังไงก็คอมเมนท์มาคุยกันบ่อยๆนะคะ
ที่ทอล์กยาวนี่ คือจะหายไปอีกไง นี่แอบอู้งานมาอัพเลย
เจอกันตอนต่อไปนะคะ หวีดได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก #เกียร์เจ้า #พีอิน #ยาใจพี่เกียร์บวกเมียพี่พี
ท่าเรือที่ 9
หลีดพร้อม เจ้าไม่พร้อม
SMO – Phama
ความสดใสในเช้าวันนี้ ยังสู้ความสดใสของรอยยิ้มน้องเจ้าไม่ได้เลย >///< #แอดมินยานอนหลับ
**แนบภาพน้องเจ้าพระยาตอนเผลอยิ้มกว้าง ตาหยี แก้มสีชมพูจางๆ
กล่องความคิดเห็นใต้ภาพ
Namo puttaya : โอ้ยยยยยย ใจบางเลยกู ยิ้มห้าพันของพี่
Candy สีชมพู : นั่งมองรูปน้องละเขินไปหม๊ดดดด
มีเกียร์แต่เมียไม่มี : เห็นรอยยิ้มน้องเจ้าพระยาละใจพี่ละลายเป็นแม่น้ำปิงเลย
NiceToMeetYou : น้องเขามีแฟนหรือยังครับ ^^
Arunwitch Gear : ไอ้ปลาทองเอ้ย
“เชี่ย!”
“อะไรวะเจ้า”
เสียงอุทานที่ดังขึ้นมานั่นก็ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน เสียงผมเองครับ เจ้าพระยาคนเดิม ดังพอที่จะให้เพื่อนสนิทข้างกายเอ่ยถามขึ้นมาถึงสาเหตุการตกใจ ก็จะไม่ให้ตกใจจนตาโตได้ยังไง เพราะในขณะที่ผมกำลังเลื่อนอ่านความคิดเห็นมากมายใต้รูปภาพของผมที่เพจสโมฯคณะได้โพสต์ไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว หนึ่งในความคิดเห็นที่ผ่านเข้ามาในสายตากับประโยคที่เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกผมเป็นประจำของใครคนหนึ่ง ‘ไอ้ปลาทอง’ แทบไม่ต้องสืบหาตัวต้นเหตุของความคิดเห็นนั้น
เหอะ!
ไอ้พี่บ้าเอ้ย กล้ามาพิมพ์แบบนี้เลยหรอ หึ่ยยยยย
“ก็มึงดูนี่ดิ”
“ไหน อะไร” อินที่นั่งข้างๆผมก็ชะโงกหน้าเข้ามามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมยื่นให้
“มึงดูคอมเม้นท์นี้ ให้ทายว่าใคร”
“หึหึ พี่เกียร์?” อินส่งเสียงในลำคอก่อนจะเปล่งเสียงเอ่ยชื่อบุคคลที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ แต่ชอบแกล้งรุ่นน้องอย่างผมเหมือนเด็กๆ
“ก็ใช่ไง พี่เกียร์แม่ง มาคอมเม้นท์เรียกกูว่าปลาทอง” น้ำเสียงกระแทกกระทั้นของผมแสดงถึงอารมณ์หงุดหงิดได้ชัดเจน
“ฮ่าๆ ไม่เห็นจะมีอะไร พี่เขาก็เรียกมึงอย่างงี้ไม่ใช่หรอ โวยวายทำไมวะ” ไอ้เพื่อนนี่ก็ยังไปเข้าข้างพี่มันอีกนะ
“มึงไม่โดนแบบกู มึงไม่เข้าใจหรอก ชิ”
“เลิกดูแล้วตั้งใจจดได้ละ เหลวไหลนะเจ้าพระยา”
“เออ! จดแล้ว บ่นเป็นพ่อเลย”
“พี่เกียร์นู่นพ่อมึง ฮ่าๆ”
“ไอ้อินนนนน”
“ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากเพื่อนสนิทผู้เป็นที่รักของผม ทำให้รู้ว่าเพื่อนผมโดนไอ้พี่เกียร์ซื้อไปแล้วแน่ๆ ถึงได้หันมาแกล้ง แล้วก็ไม่เข้าข้างกันอีก เฮ้อ ผมน่าสงสารนะ ว่าไหมครับ
วันนี้ก็เป็นวันที่ผมมีเรียนตอนเช้าเป็นปกติ เดินทางมามอด้วยความสดใสทางใจ แม้ทางร่างกายจะปวดเมื่อยแขนขาอยู่หน่อยๆ แต่ด้วยความไฮเปอร์ของผมอาการเหล่านั้นมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งที่ผิดปกติก็เกิดขึ้นหลังจากผมเดินเข้าเขตมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ผมศึกษาเล่าเรียนอยู่ เพราะมีใครหลายคนเดินผ่านมาแล้วไม่ผ่านไป แต่หยุดหันมามอง รวมถึงส่งยิ้มมาให้ผมบ้าง ด้วยนิสัยยิ้มง่ายของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะส่งยิ้มตอบกลับไปให้ แต่แล้วยิ่งพอเดินมาถึงตัวคณะเภสัชศาสตร์ของผมเอง รุ่นพี่หลายคนที่ผมไม่ค่อยจะเห็นหน้าค่าตาก็กลับกลายเป็นว่าเข้ามาอยู่ในสายตาพร้อมทั้งส่งยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเองให้กับเจ้าพระยาคนนี้
อืมมมมมม ก็อยากจะสงสัยว่าเพราะอะไร
แต่...จากความทรงจำเมื่อคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากในการคาดเดา
ถามคำถามแบบไม่เข้าข้างตัวเองเลยนะ ‘ผมกลายเป็นที่สนใจขนาดนั้นเลยหรอ?’
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมขอแค่ความสงบในชีวิตยังอยู่กับผมก็พอ
หลังจากหมดเวลาเรียนในช่วงเช้า โรงอาหารของคณะคงเป็นที่ที่ใครหลายๆคนเลือกที่จะฝากท้องไว้สำหรับมื้อกลางวัน ด้วยระยะทางที่ไม่ต้องเดินไปไกลมากเมื่อเทียบกับเวลาพักอันน้อยนิดก่อนจะขึ้นเรียนสำหรับคนที่มีเรียนช่วงบ่าย แถมอาหารก็มีความหลากหลายมากพอที่จะกินโดยไม่ซ้ำเมนูภายในหนึ่งสัปดาห์ ผมกับอินก็เป็นสองคนในกลุ่มคนเหล่านี้
“เจ้า กินไรวะ” เพื่อนตัวขาวหันมาถามผม
“อืมมมมมมมมมมมมม”
“มึงจะอืมยาวถึงเชียงใหม่เลยมั้ยเจ้า พรุ่งนี้ค่อยมาบอกกูนะ” ไอ้เพื่อนสุดที่รักมันเหล่มองผมด้วยหางตา อิอิ แกล้งนิดเดียวเองนะอิน
“แหม หยอกนิดหยอกหน่อยเอง อืม กูเอาสปาเก็ตตี้ซอสไก่”
“โอเค เอานมเย็นใช่ปะ”
“ใช่เลย รู้ใจเจ้าจังเลยยยย” เอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างตาหยีตามแบบฉบับของดีเจ้าพระยาเอง
อินมองบนใส่ผมก่อนจะยิ้มมุมปาก “หึหึ กูไม่ใช่พี่เกียร์ ไม่ต้องมายิ้มหวานใส่” แล้วมันก็หันหลังเดินไปยังร้านอาหารที่เรียงรายแบ่งล็อคอย่างเป็นระเบียบ
“เอ่อ หึ่ยยยย ไอ้เชี่ยอินนนน” ตะโกนด่าตามหลังเพื่อนตัวแสบแบบที่เสียงไม่ดังมาก ผมยังไม่อยากเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้
ระหว่างที่นั่งเฝ้าโต๊ะรออินไปซื้อข้าวกลางวันให้ สายตาผมก็ไปสบเข้ากับรุ่นพี่เชียร์ปี 2 ที่ผมเพิ่งเจอไปเมื่อวาน และดูเหมือนพี่เขากำลังเดินมาทางนี้
“ว่าไงน้องเจ้า” พี่คนสวยอดีตหลีดคณะฯเมื่อปีที่แล้ว ที่ผมเพิ่งรู้จักเมื่อวานว่าชื่อ พี่ดรีม เอ่ยทักผม
“ดีครับ พี่ดรีม มาทานข้าวหรอครับ”
“จ้า ละเป็นไง ดังใหญ่แล้วนะ รูปเจ้านี่ขายดีมาก คิคิ” พี่ดรีมเอ่ยแซ็วด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ก็เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเขินนิดหน่อย แหะๆ”
“ก็เจ้าน่ารักจริงๆนี่ มีแต่คนชอบ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ยินดีคร้าบบบบ” ตอบรับพร้อมรอยยิ้มหวานเช่นเคย
“เอ้อ ที่พี่มาทักเนี่ย คือจะบอกว่า เย็นที่เจอกันที่ใต้ตึกคณะนะ เดี๋ยวจะเริ่มซ้อมหลีดเลย เพราะอีก 3 อาทิตย์ก็สอบมิดเทอมแล้ว จะได้ต่อท่าได้บ้าง” รุ่นพี่หน้าหวานอธิบายสาเหตุของการทักทายครั้งนี้
“อ้อ...ครับ”
“ติดธุระที่ไหนหรือเปล่า บอกได้นะ แต่พี่อยากให้มาซ้อมทุกวัน ก่อนสอบจะได้หยุดอ่านหนังสือ”
“ไม่ติดอะไรพี่ เจอกันเย็นนี่นะครับ”
“จ้า แล้วเจอกันนะ”
แล้วพี่ดรีมก็เดินจากไป ทิ้งไว้แค่เพียงภารกิจซ้อมหลีดที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันของผมจนกว่าจะจบการแข่งขันและหมดหน้าที่ตัวแทนไป
“พี่เขามาไมวะ” คนที่เพิ่งกลับมาจากการเลือกซื้ออาหารกลางวันเอ่ยถามเพื่อคลายความสงสัย
“อ๋อ เขามานัดให้กูไปซ้อมหลีดเย็นนี้”
“อ่อ อาฮะ แล้วนี่กูต้องอยู่เป็นเพื่อนมั้ย?” อินเลิกคิ้วประกอบคำถามที่เอ่ยออกมา
“จริงๆก็อยากให้อยู่ว่ะ แต่กูก็เกรงใจ ไม่อยากให้มึงมีปัญหา” อันนี้พูดจากใจจริงเลยอ่ะ เพราะผมก็รู้เรื่องที่บ้านมันไม่น้อย สงสารอินมันนะครับ แต่ผมก็อยู่ในจุดที่ช่วยอะไรมากไม่ได้ นอกจากเป็นกำลังใจให้
“อืม ก็อยู่ได้บ้างแหละ แต่คงไม่ทุกวัน แล้วก็ไม่ค่ำอ่ะ กูก็ไม่อยากทำตัวมีปัญหากับเขา” เพื่อนสนิทเอ่ยเสียงเรียบสายตาไร้ความรู้สึกกับสถานการณ์ในครอบครัวของตัวเอง
“ไม่เป็นไรมึง กูอยู่ได้ สบายมาก” ยกมือขึ้นตบบ่าคนข้างตัว พร้อมกับรอยยิ้มเพื่อไม่ให้อินเป็นห่วง
“อืม งั้นมึงก็หาคนมาอยู่เป็นเพื่อนดิ กูว่ากูคิดออกคนนึงว่ะ” เอาละ อินเปลี่ยนจากสายตาไร้ความรู้สึกมาเป็นสายตาเจ้าเล่ห์ทันทีที่มันเอ่ยประโยคนั้น
“ใครวะ?” ผมหันไปหาอินพร้อมกับกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“ก็...พี่เกียร์ของมึงไง ฮ่าๆ”
“ไอ้เชี่ยอิน!!!” ตะโกนด่าคนข้างตัวแล้วก็ยกมือที่กำหมัดต่อยไปที่ต้นแขนของเพื่อนตัวแสบ ใครเอ็นดูว่ามันขี้อาย ผมขอเถียงครับ หึ่ย!
“โอ้ย ต่อยไมเนี่ย ฮ่าๆ”
“ยังจะหัวเราะอีก จะกินมั้ยข้าวเนี่ย”
“ฮ่าๆ”
“เมื่อกี้ได้ยินใครเรียกชื่อกูนะ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้น
เห้ย! มาไงวะ
“พี่เกียร์” ผมเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามกับผม
“หวัดดีครับพี่” อินยกมือไหว้รุ่นพี่ต่างคณะ
“อืม หวัดดี” พี่เกียร์เอ่ยรับไหว้อิน แล้วถึงหันมามองหน้าผม “ละไง ไม่คิดจะทักทายกูหน่อยหรอเอ๋อ” รอยยิ้มมุมปากนั่นปรากฏขึ้นหลังประโยคนั่น คิดว่าหล่อนักรึไง ชิ!
“หวะ..หวัดดีครับ” เอ่ยทักทายเจ้าของตาคมดุตามมารยาท
“แล้วเมื่อกี้นินทากูหรอ กูได้ยินนะเตี้ย” พี่มึงครับ ผมชื่อเจ้าโว้ย ก็ได้แค่โวยวายประท้วงในใจนี่แหละ
“ใคร ใครนินทา ไม่มีเหอะ สำคัญตัวเองว่ะ...โอ้ย!!” เสียงร้องลั่นของผมเอง เพราะโดนพี่มันยกมือมาดีดหน้าผาก “เจ็บนะพี่”
“พูดดีๆ กูรุ่นพี่มึงนะเตี้ย” เสียงดุจากคนตรงหน้าแต่สายตาพี่มันไม่ดุตามเท่าไหร่
“แล้วสรุปจะบอกไหม ว่านินทาไรกู”
“ฮ่าๆ คืองี้พี่ ผมแค่พูดถึงคนที่จะอยู่เป็นเพื่อนมันตอนซ้อมหลีดเฉยๆอ่ะ” ไอ้คุณเพื่อนตัวดีแสดงความหวังดีด้วยการอธิบายเพื่อคลายความสงสัยของพี่เกียร์
“แล้วกูเกี่ยวไร”
“ไม่เกี่ยวหรอกพี่ ผมแค่คิดว่าพี่น่าจะมาเฝ้ามัน”
“โว๊ะ พูดมากว่ะไอ้อิน แดกข้าวไปเลย...ละนี่พี่ก็ไม่ต้องไปสนใจคำพูดมัน ไม่มีไรหรอก ไปกินข้าวไป ผมจะรีบกินข้าว มีเรียนบ่าย” เอ่ยตัดบทสนทนาของคนทั้งคู่ก่อนที่มันจะเข้าตัว
ละทำไมพี่มันยังไม่ไปอีกวะ จะนั่งมองหาอะไรเนี่ย คนจะกินข้าวว้อยยยยยย
“หึหึ กินเลอะเป็นเด็ก” ยังไม่ทันที่ผมจะจับใจความประโยคก่อนหน้าได้ เจ้าของเสียงทุ้มก็ยกมือขึ้นมาเช็ดซอสไก่สีแดงสำหรับบนราดสปาเก็ตตี้ที่เปื้อนมุมปากผม
ตึกตัก ตึกตัก
อาฮะ..รู้แล้วว่าเต้นได้ ไอ้หัวใจบ้าเอ้ยยยยย
“อะ..เอ่อ ขอบคุณ” ก้มหน้าเอ่ยเสียงตะกุกตะกักแบบที่บังคับตัวเองไม่ได้ เฮ้อ โรงอาหารคณะนี่มันร้อนเนอะ
“เจ้า ร้อนหรอวะ หน้าแดงเชียว หึหึ” มึงไม่ต้องมาส่งสายตากรุ้มกริ่มให้กูเลยนะไอ้เพื่อนบ้า
“เออ ร้อน! รีบๆกินเลยมึง เดี๋ยวก็เข้าเรียนไม่ทัน” โวยวายไว้ก่อนละงานนี้ ผมไม่มีพวกนี่ครับ โดนเพื่อนทรยศ
“ขี้โวยวายนะเอ๋อ”
“เรื่องของผม” ถ้าพูดว่าเสือกก็จะดูหยาบคายไป เจ้าเป็นคนดี หึหึ
“แล้วเย็นนี้ซ้อมที่ไหน? กี่โมง?”
“ทำไมอ่ะ?” เงยหน้ามองคนตรงข้ามพร้อมคำถาม
“อย่าตอบคำถามด้วยคำถาม กูถามอะไรก็ตอบ”
“แล้วทำไมผมต้องบอกพี่อ่ะ” อย่ามาบังคับเจ้านะ เดี๋ยวรู้เลย หึ
“อยากรู้ใช่ไหม?” คนตัวสูงทำหน้ายียวนพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่เจ้าตัวชอบทำ
“...”
“ก็กูจะไปเฝ้ามึงไง ไอ้ปลาทองเอ๋อ”
“ละ..แล้ว จะไปเฝ้าผมทำไม ไม่มีอะไรทำรึไง โว๊ะ”
“ต้องเฝ้าดิ”
“เพื่อ?”
“เทคแคร์ว่าที่แฟนกูไง”
“...”
เอ่อ เอาอีกแล้ว ฮืออออออออ เกลียดรอยยิ้มมุมปากพี่แม่งจังโว้ย
“แฟนบ้านพี่น่ะสิ ไม่ต้องมาเฝ้า ละนี่พี่ไม่มีเรียนรึไง ไปเลยไป” เอ่ยปากไล่คนตรงหน้าทั้งๆที่ใช้ช้อนส้อมเขี่ยสปาเก็ตตี้ในจานแก้เขิน ใช่ไง เขินโว้ย
“หึหึ เอ๋อ”
“อะไรอีก”
“หน้าแดงแล้วน่ารักว่ะ” พี่มันยกมือมาดึงแก้มผม
“...”
ไอ้เชี่ยยยยย พอก๊อนนนนน
ไม่ไหวจะเขินแล้วนะ งื้ออออ
“ฮ่าๆ” พี่เกียร์หัวเราะพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืน
“...”
“ไว้เย็นนี้เจอกันนะเตี้ย” เอ่ยเสียงทุ้มฟังดูอบอุ่น พร้อมกับยกมือขึ้นวางบนศีรษะของผม
“อื้อ” แล้วทำไมผมไปตอบรับพี่มันวะเนี่ย
สัมผัสอุ่นบนศีรษะเมื่อครู่หายไป เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ ทิ้งไว้แค่เพียงความรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจกับการกระทำของเขาเมื่อไม่กี่นาทีมานี้
ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวมาวนเวียนอยู่รอบๆ สิ่งที่ผมแสดงออกไปก็คงมีเพียงแค่การโวยวายด้วยใบหน้าหงุดหงิดใส่เขา แต่ใครเล่าจะรู้ว่าลึกๆแล้ว ผมกลับรู้สึกดีที่มีเขามาวนเวียน
ใจเย็นไว้นะหัวใจ รู้แล้วว่ารู้สึก แต่อย่าแสดงออกไปมากกว่านี้เลยนะ เจ้ายังไม่พร้อม
แสงอาทิตย์ช่วงบ่ายแก่ๆที่สาดส่องเข้ามาในตัวอาคารของคณะได้ไม่มาก แต่กลับแผ่รังสีความร้อนจนทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ บริเวณใต้อาคารก็มีชาวคณะเภสัชศาสตร์นั่งประจำโต๊ะไม้กันอยู่ประปราย หลายคนที่เลิกเรียนแล้วก็เลือกที่จะกลับบ้านและออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง มีเพียงเด็กปี 1 ตัวแทนหลีดคณะอย่างพวกผมที่ยังคงนั่งอยู่ตามที่พี่เชียร์ปี 2 นัดไว้
“เมื่อไหร่พี่เขาจะมาวะ” ไอ้ซันเพื่อนผู้มีใบหน้าหล่อแต่ปากไม่หล่อเท่าหน้าเอ่ยขึ้น
“ก็มันยังไม่ถึงเวลานัดนี่หว่า วันนี้คลาสเราเลิกเร็วเอง” เป็นเสียงของว่านดีกรีเดือนคณะผมเอง หล่อ รวย แต่กวนตีน
ทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่นั่งรอรุ่นพี่ แต่ก็คงไม่นานหรอกครับ นี่ก็ใกล้เวลาเลิกเรียนปกติของพี่เขาแล้ว
“เชี่ย!! พวกมึง” ไอ้นายที่นั่งไถโทรศัพท์ฆ่าเวลา อยู่ๆก็อุทานขึ้นเสียงดัง
“มีไรวะนาย แหกปากเสียงดังเลยมึง” ไอ้ซันหันไปถาม
“มึงดูนี่ เพจ U cute boy ลงรูป”
“รูปไรวะ” เป็นผมบ้างที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็รูปมึงไงเจ้า”
“ห๊ะ! รูปกู?”
“เออ เนี่ย” ว่าเสร็จไอ้นายก็ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผม จอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนปรากฎรูปที่โพสต์โดยเพจ U cute boy ที่เขาว่ากันว่าเป็นเพจรวมภาพเหล่าคนหน้าตาดีที่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย U
แต่รูปที่ผมเห็น กลับไม่ใช่รูปเดี่ยวของผมแบบที่คิดไว้ แต่มันเป็น...รูปคู่ ระหว่างผมกับพี่เกียร์ ที่ดูบรรยากาศรอบๆแล้ว จำไม่ผิดแน่ๆว่าสถานที่ที่ภาพถูกถ่ายได้คือโรงอาหารของคณะ และก็เป็นเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อกลางวันนี้นี่เอง ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าในรูปนั้น ไม่ใช่รูปตอนที่พี่เกียร์วางมือบนหัวผม สายตาที่ตอนนั้นผมไม่มีโอกาสได้เห็น กลับปรากฏเด่นชัดในรูป
ผมไม่รู้ว่าเจ้าของดวงตาคมดุนั้นรู้สึกอะไรตอนที่มองผมแบบนั้น แต่หัวใจของผมในขณะที่กำลังจ้องมองรูปนี้อยู่
มันเต้นแรงมาก
ฮือออออออ
U cute boy
ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยังแพ้ความอบอุ่นของสายตาพี่ที่มองน้องนะคะ อร้ายยยย แอดมินเขินสายตามากๆค่ะ มีใครจะลงเรือกับเรามั้ย อิอิ #Ucuteboy #แอดมินยาสลบ
***แนบรูปคู่พี่เกียร์ลูบหัวน้องเจ้า
กล่องความคิดเห็นใต้ภาพ
สาววายวอด : โอ้โห เชี่ย บอกทีว่านั่นสายตาพี่มองน้อง ละมุนมากเหอะ
น้องหวายมอยู : เห้ยมึง @milkymilky นั่นพี่เกียร์นี่หว่า สนิทกับน้องเจ้าหรอวะ
Milkymilky : @น้องหวายมอยู ที่รู้ๆมาเพื่อนสนิทน้องเจ้าเป็นเดือนวิศวะฯปี1 อ่ะมึง ถ้ารู้จักคงไม่แปลกปะวะ แต่จากสายตากูชิปคู่นี้ วี๊ดดดดดด
Dararai : โอ้ย ต๊ายยย ยังไงคะเนี่ย วิศวะฯบุกโรงอาหารเภสัชฯเลยหรอเนี่ย
Eveandeve : เอาล่ะ อย่าห้ามกู กูจะชิปคู่นี้
Shiptour : สายตาแบบนี้ คิดดีกับน้องมั้ยพี่เกียร์ แท็ก #เกียร์เจ้า ต้องมาแล้วแหละ
และอีกมากมาย...
ไม่รู้ว่าผมจ้องรูปและอ่านข้อความพวกนั้นนานเท่าไหร่ จนกระทั่งอินเป็นคนสะกิดแขนผมจนหลุดออกจากภวังค์
“โดนแอบถ่ายเฉยเลยมึง” เสียงเอ่ยเบาๆจากอิน
“เออว่ะ เหอๆ ใครถ่ายวะ”
“ใครถ่ายไม่รู้ แต่ที่รู้...ทำไมกูเขินสายตาพี่คนนี้วะ ฮ่าๆ เขินไปหม๊ดดดด” ไอ้นายเอ่ยติดตลก
“ใครวะเจ้า ใส่ช็อปวิศวะฯด้วย” ซันหันมาถามผมด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ รุ่นพี่ของเพื่อนกูที่เรียนอยู่วิศวะฯอ่ะ”
“อ่ออออออ” ซันมันลากเสียงยาวพร้อมพยักหน้ากับคำตอบผม
“เห้ย กูจำได้ พี่คนนี้เป็นเดือนคณะวิศวะฯปี 3 รองเดือนมหา’ลัยด้วยนะมึง กูเคยเห็นตอนอยู่กองประกวดดาวเดือน” ไอ้ว่านชี้แจงแถลงไขจากข้อมูลที่มันมี ว่าแต่ พี่เกียร์นี่รองเดือนมหา’ลัยเลยหรอวะ
“แล้วยังไงวะ ทำไมรูปออกมางี้ ฮั่นแน่....” เสียงล้องี้ก็ไอ้ซันเจ้าเดิมแหละครับ
“แน่พ่อง..ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” ตอบสวนเสียงล้อเลียนของเพื่อนขี้เล่นทันที
“ฮ่าๆ ไม่มีละทำไมต้องหน้าแดง”
“ห๊ะ! แดงหรอวะ?” ผมรีบยกมือขึ้นลูบหน้าพร้อมกับมองเงาตัวเองบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับสนิท
“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังลั่นของเพื่อนรอบๆตัว ทำให้รู้ตัวว่า แม่งเอ้ย มันเล่นผมแล้ว
“พวกมึงแม่ง หึ่ยๆ”
“หน้าตาอย่างมึง ถ้าพี่เขาจะมาจีบ กูก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่”
“นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อน กูจีบละ” ไอ้ว่านเอ่ยสมทบไอ้นาย
“อย่ามาพูดชวนขนลุกนะสัด!”
“หึหึ” นี่ก็ไม่ช่วยผมเลย ไอ้เพื่อนตัวดี อยู่ในเหตุการณ์แท้ๆ
(ต่อด้านล่าง)
ท่าเรือที่ 10
อาการเหมือนคนเมาเรือ
ม.ยูน่ารัก พร้อม!
พร้อม!
3….4..!
ม.ยูน่ารัก น่ารักเวลาลงเล่น ม.ยูใจเย็นๆ เวลาลงเล่น น่ารัก น่ารัก
“น้องซัน การ์ดตกค่ะ”
“น้องว่าน ดูโซนด้วย”
“งั้นเดี๋ยวพี่ขอ ม.ยูน่ารักอีกรอบนะ มาค่ะ เต็มที่นะทุกคน”
“คร้าบบบบบ/ค่าาาาาา”
เสียงตอบรับประสานกันอย่างพร้อมเพรียง แต่คนขานแต่ละคนนี่อยู่ในสภาพที่ อืม แย่มาก ก็จะไม่ให้มีสภาพนี้กันได้ยังไงล่ะครับ เพราะเราซ้อมลีดกันมา 3 ชั่วโมงแล้ว เต้นเพลงเดิมมานับรอบไม่ถ้วน ผมนี่การ์ดตกแล้วตกอีก ฮืออออ ก็มันเมื่อยอ่ะ ผมก็เข้าใจพี่เขานะว่าอยากได้ความพร้อมเพรียง ความเป๊ะ แต่ด้วยความอ่อนล้าจากการซ้อมที่สะสมมาเป็นเวลาหลายวัน ก็พลอยทำให้แต่ละคนไม่สามารถตั้งการ์ดไปได้ดีกว่านี้แล้ว มันเป็นธรรมดาของมนุษย์จริงๆ ที่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ถูกระบุไว้ว่า ‘สุดท้าย’ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ที่สิ่งนั้น อย่างเช่นวันนี้ ที่เป็นการซ้อมลีดวันสุดท้ายก่อนที่พี่ๆจะหยุดพักให้พวกเราไปอ่านหนังสือ ใจแต่ละคนก็คงจดจ่อที่เวลาเลิกซ้อมแล้วแหละ
“รอบเมื่อกี้ดีแล้วนะคะ แต่พี่ขออีกรอบนะ” พี่ดรีมเอ่ยปากชม แต่ก็เหมือนลูบหัวแล้วตบตามดังแป๊ะ
“โหยยยยย พี่ดรีมครับ เหนื่อยแล้วอ่ะ” สิ้นฤทธิ์เลยสิมึงไอ้ซัน คือหน้ามันไม่ไหวแล้วจริงๆ ฮ่าๆ
“งั้น รอบนี้รอบสุดท้าย นะๆ ทำให้เต็มที่ ถ้าดีพี่ปล่อยเลย โอเคมั้ย”
“เย้! โอเคค่ะ เห้ย พวกเรา มาตั้งใจกันนะ รอบเดียวเอง” เพื่อนผู้หญิงเอ่ยปลุกพลังที่เหลือค่อนขีด
“โอเคๆ”
แล้วก็จัดเต็มกันในรอบสุดท้าย แรงมีเท่าไหร่ก็ดึงมาเหวี่ยงการ์ดให้หมด หมุนกันจนไหล่ร้าว ผมว่าผมสมใจหมายกับการอยากมีกล้ามแล้วแหละครับ มาเป็นก้อนเชียวที่แขนเนี่ย
ขณะที่เต้นอยู่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเพื่อนผู้มาใหม่ มันยกมือขึ้นมาทักทายตามประสาความสนิทสนมกัน ไอ้ภาคเองครับ วันนี้ซ้อมวันสุดท้ายมันก็คงมารอผมซ้อมเหมือนกับหลายๆวันที่ผ่านมาตลอด 3 สัปดาห์ของการซ้อม แต่ก็แปลกทำไมวันนี้มันมาคนเดียว ปกติจะต้องมีมนุษย์หน้านิ่งอย่างพี่เกียร์ตามติดมาด้วยตลอด วันไหนไอ้ภาคมันติดทำงานกลุ่ม พี่มันก็ยังมา บางทีผมก็ถามนะว่าปี 3 มันว่างขนาดนั้นเลยหรอ ถึงได้มาเฝ้าผมอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ส่วนคำตอบที่ได้รับเหรอครับ ‘ยุ่ง’ แค่นั้นแหละ ผมเลิกถามเลย
การมาวนเวียนตรงบริเวณที่ผมซ้อมในทุกๆเย็นของพี่เกียร์ กลายเป็นเรื่องชินตาไปแล้ว ข่าวหน้าแฟนเพจก็มีบ่อยจนบรรดาเพื่อนผมมันเหนื่อยที่จะแซว ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่ดูคลุมเครือก็ไม่มีใครได้คำตอบว่าแท้จริงแล้วคือความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ ให้ผมตอบก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะ แต่รู้แค่ว่าการมีพี่เกียร์มาอยู่ข้างๆมันดีต่อใจผมเหมือนกัน พี่เกียร์มันทำตามที่มันพูดจริงๆ จีบจริงเลยแหละ ตอนแรกๆก็เขินมากจนทำอะไรไม่ถูก แต่พอถึงตอนนี้ หึหึ หยอดมาเถอะ เดี๋ยวเจ้าเอาคืน ฮ่าๆ รู้สึกเหมือนได้อัพเลเวลยังไงก็ไม่รู้ งั้นเรื่องความสัมพันธ์ก็ไม่ต้องนิยามก็ได้เนอะ ส่วนเพื่อนขี้อาย(?)อย่างอินก็มาบ้างตามความสะดวกของมัน แต่ขากลับที่ผมจะเห็นบ่อยจนไม่คิดจะถามแล้วก็คงเป็นการที่พี่พีเดินกลับบ้านไปพร้อมกันนั่นแหละ เดาจากสายตาท่าทางพี่พี ก็คงไม่ต่างกับที่พี่เกียร์มองผมเท่าไหร่ ออกจะอบอุ่นกว่าด้วยซ้ำ
หลุดเข้าไปในภวังค์ได้ไม่นาน รู้ตัวอีกทีรุ่นพี่ก็เรียกรวมให้ไปฟังคำนัดแนะการซ้อมหลังจากผ่านพ้นการสอบไป หลังจากนี้ผมคงต้องได้จมอยู่กับการอ่านหนังสือจนหัวระเบิดแน่ๆ เพราะช่วงซ้อมผมได้ทบทวนเนื้อหาน้อยมาก กลับถึงบ้านในแต่ละวันก็แทบหมดแรง ไหนจะขุดตัวเองออกจากเตียงในเช้าวันต่อมาเพื่อมาเรียนอีก บอกเลยงานนี้ถ้าไม่ได้อินช่วยสะกิดในห้องเรียน ผมมีหลับน้ำลายไหลเปื้อนชีทแน่นอน
“งั้นวันนี้เลิกซ้อมได้ค่ะ เจอกันนะน้องๆ ขอให้สอบผ่านทุกคนเลย”
“สาธุ เพี้ยงงงงงง” แต่ละคนนี่ไม่ค่อยเลยนะ ยกมือรับพรกันอย่างไว
ผมเลยโบกมือลาบรรดาสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมกันนิดหน่อยแล้วถึงเดินไปหาไอ้ภาคที่นั่งส่องสาวรออยู่
“ไงมึง ไม่ต้องชะเง้อคอมองหาหรอก พี่เกียร์ฝากมาบอกว่าติดธุระ เลยให้กูไปส่งมึงที่บ้านแทน” ทำหน้าทะเล้นอธิบายกูอีกนะ
“ใครชะเง้อ ไม่มีเหอะ แล้วพี่มันมีธุระอะไร ไม่เห็นบอก” ปกติพี่เกียร์จะโทรมาบอกนะว่าวันไหนไม่มา
“หึหึ เป็นเมียเขาหรอ เขาถึงต้องบอกมึงอ่ะ”
“ไอ้เชี่ยภาค!” ปากมึงนะ
“ฮ่าๆๆๆ”
“ไม่ใช่เมียโว้ย กูอาจจะเป็นผัวก็ได้นะ” ผมตอบมันแล้วยักคิ้วใส่แถมให้ด้วย
“เจ้า เอากระจกมั้ย ไม่ก็ฝันอยู่หรอ มึงเอาอะไรคิดเนี่ยยยยยย สภาพอย่างมึง ถ้าเป็นผัวพี่เกียร์ได้ กูคงมีเมียเป็นแพนด้าได้อ่ะ ฮ่าๆๆ” โอ้โห ดูถูกกูเกินไปแล้วไอ้ภาค
“โอ้ย มึงแม่ง นี่กูเพื่อนมึงนะ” งอนแม่งซะเลย
“ฮ่าๆ โอ๋ๆ ไม่งอนนะน้องเจ้า วันนี้พี่ภาคจะพาไปกินบิงซูก่อนกลับบ้านเอามั้ย เลี้ยงเลยอ่ะ” แหม เอาบิงซูมาล่อ คิดว่าจะใจอ่อนง่ายๆหรือไง
“เออ! ไม่งอน เลี้ยงกูด้วย” แหะๆ เจ้าอยากกินง่ะ
“กูเลี้ยงแน่นอน เพราะไม่ใช่ตังค์กู ฮ่าๆ”
“อ่าว ตังค์ใครวะ” มันเลี้ยง แต่ไม่ใช่ตังค์มัน นี่ผมงงหรือผมโง่
“ตังค์พี่เกียร์ พี่มันฝากมาให้พามึงไปเลี้ยงก่อนกลับบ้าน ฮ่าๆ”
“โหย ไอ้ขี้เนียน!!” ผมแหวใส่มันเสียงดัง เนียนเชียวนะมึง
“ฮ่าๆๆ...ละนี่ไอ้อินไปไหน ไม่เห็นมาเฝ้ามึง” เพื่อนตัวสูงเอ่ยถามคำถามที่ผมก็ไม่อยากตอบ เห้อ สงสารเพื่อน
“กลับบ้านไปแล้วว่ะ ปัญหาเดิมแหละ”
“เห้อ สงสารไอ้อินว่ะ กูนี่แทบอยากให้มันย้ายมาอยู่บ้านกู ป้ามันก็นะ ด่าซะกูนึกว่าเพื่อนกูไปฆ่าใครตาย” ไอ้ภาคบ่นยาวให้กับปัญหาของเพื่อนที่ไม่สามารถจะยื่นมือไปช่วยอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ
“เราก็คงทำได้แค่ให้กำลังใจแหละว่ะ” แค่นี้จริงๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่มันขอความช่วยเหลือที่มากกว่านี้ ผมจะไม่ลังเลสักนิดเลยที่จะยื่นมือไปช่วยมัน
“งั้นปะ กินที่สยามเนาะ” ไอ้ภาคถามพร้อมลุกขึ้นยืนเตรียมตัวไปที่รถ
“อือ ไงก็ได้”
ยังไม่ทันที่ผมกับไอ้ภาคจะพาตัวเองออกจากสถานที่ตรงนี้ ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาทางเรา คนที่ผมรู้สึกคุ้น และพอเขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมก็รู้ว่า ผมรู้จักเขา
“ไงน้องเจ้า เพิ่งเลิกซ้อมหรอครับ” คนมาใหม่เอ่ยทักทาย
“ครับพี่ไนซ์” รุ่นพี่ปี 2 คณะสถาปัตย์ที่เราเคยเจอกันถึงสองครั้งแบบที่มีบทสนทนา และครั้งต่อๆมาที่พบเจอกันบ้างตอนเดินในมอ แล้วพี่เขามาทำอะไรที่นี่วะ
“แล้วนี่จะกลับเลยปะ ให้พี่ไปส่งป่าว” พี่ไนซ์อาสาด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พอดีผมกลับกับเพื่อนอ่ะ นี่ ไอ้ภาค เพื่อนผม” ไอ้ภาคนี่ยืนนิ่งตาขวางเลยแหละ เอ่อ คือมึงอย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนจะต่อยพี่เขาแบบนั้นสิ “ไอ้ภาค นี่พี่ไนซ์ เรียนอยู่สถาปัตย์อ่ะ” ผมก็เลยแนะนำพี่เขาให้เพื่อนสุดหล่อรู้จัก
“อือ หวัดดีครับ” เอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้ด้วยใบหน้าที่โคตรนิ่ง
“อ่อ งั้นไว้คราวหน้าแล้วกันเนาะเจ้า วันนี้พี่ว่าจะไปกินข้าวที่สยาม ไปด้วยกันมั้ย ชวนเพื่อนด้วยก็ได้” เอ่อ พี่ครับ ยังไม่ท้ออีกหรอ ดูหน้าเพื่อนผมก่อน ฮือออ
“เอ่อ…”
“ไอ้เจ้า มึงโทรบอกพี่เกียร์ยังว่าเลิกแล้ว ถึงเวลาแล้วไม่โทรบอกเดี๋ยวพี่มันก็เกรี้ยวกราดหรอก ยิ่งหวงๆมึงอยู่ เร็ว รีบโทร จะได้รีบไป จะกินมั้ยบิงซูมึงเนี่ย” โอ้โห ยาวเลย นี่มึงจะโหดไปไหนไอ้ภาคคคค
“เอ่อ เออๆ แปบดิ หยิบโทรศัพท์ก่อน” ผมใช้มือล้วงไปในกระเป๋าสะพายคู่ใจเพื่อหาโทรศัพท์สำหรับโทรบอกคนตัวสูงที่ปกติเขาจะให้ผมโทรบอกทุกครั้งเวลาที่เขาไม่ได้มารับเอง “เอ่อ พี่ไนซ์ครับ วันนี้คงไม่สะดวกอ่ะครับ พอดีผมนัดกับเพื่อนไว้แล้ว” การปฏิเสธคงเป็นทางที่ดีที่สุด
“หรอครับ งั้นไว้คราวหน้าพี่จะมาชวนใหม่นะ งั้นพี่ไปก่อนนะ” พี่ไนซ์ยกมือขึ้นมาโบกลาผมด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปทางหน้าอาคาร
“หึ เนื้อหอมนักนะมึง”
“อะไรของมึงเล่า”
“แล้วนี่โทรยัง ถ้าไม่โทร เดี๋ยวกูรายงานเอง” มึงไม่ต้องมาทำหน้าเจ้าเล่ห์เลยนะไอ้ภาค
“เออ โทรแล้วๆ” พูดจบก็กดปุ่มโทรหาคนตัวสูงทันที
“ฮัลโหล..เลิกซ้อมแล้วนะ..อือ..ก็อยู่นี่แหละ..มันบอกแล้ว..ก็เดี๋ยวไปกินที่สยาม..คร้าบ..แล้วนี่ทำอะไรอยู่อ่ะ..อ่อ..อือฮึ..”
“พี่เกียร์ เมื่อกี้มีคนมาจีบไอ้เจ้า!!” ไอ้เชี่ยภาค มึงจะพูดทำไมเนี่ย โอ้ยยย
“ไม่มีอะไร..มันพูดมั่ว..ก็..โอ้ยอย่าเพิ่งหัวร้อนสิ..ไม่มีอะไร..พี่เขามาทักเฉยๆ..ชื่อไนซ์อยู่ถาปัตฯ..อือ..รู้แล้วววว..โหย..ใครมันจะกล้ามาจีบผมอีกเล่า ก็เล่นเป็นข่าวกับพี่อยู่เต็มหน้าเฟซไม่เลิกแบบนี้..ฮื่ออออออ..รู้แล้วๆ..ไปทำงานได้แล้ว เอาเปรียบเพื่อนหรอ...หึหึ..ครับ...ไม่...ไม่บอก...โอ้ยยย เออ! คิดถึง! พอใจยัง! ชิ” กดวางแม่ง ก็ใครใช้ให้มาสั่งผมพูดอะไรที่มันน่าอายเล่า ไอ้ภาคก็อีกคน มายืนทำหน้ากรุ้มกริ่มเตรียมล้อผมเต็มที่
“แหม มีบอกคิดทงคิดถึง แหนะๆ หวั่นไหวล่ะสิ”
“เออ! หวั่นไหวสิ นี่กูคนนะ ไม่ใช่หิน ไม่ใช่ต้นไม้ จีบขนาดนี้จะได้ไม่รู้สึก” ยอมรับมันโต้งๆนี่แหละ
“หวาย ยอมรับเฉย ฮ่าๆ” ยัง ยังไม่เลิกแซ็วอีก
“ยอมรับสิ เถียงมึงกูก็เหนื่อยเปล่า แล้วนี่จะไปได้ยัง หิวแล้วนะ” ชาวบ้านเขากลับหมดแล้ว มีแต่ผมกับมันเนี่ยที่มัวแต่ยืนเถียงกัน
“ครับๆ ไปครับคุณหนูเจ้า อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปสิ ฮ่าๆ”
“กวนตีน” ขอสักทีเถอะ ให้ผมได้ด่าสักทีเถอะ หมั่นไส้มัน
เย็นวันนี้ผมก็เลยได้ฝากท้องกันที่สยาม ไอ้ภาคมันเลี้ยงทั้งข้าว ทั้งบิงซูตามที่มันบอกนั่นแหละ มาดเสี่ยมากพูดเลย แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าสรุปแล้วเงินใครที่ใช้จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด พี่เกียร์ก็นะตัวไม่มาก็ฝากไอ้ภาคมาเปย์ ตั้งแต่พี่มันออกตัวจีบผมโดยไม่สนสิ่งใดๆบนโลก พี่เกียร์ก็ดูแลเอาใจใส่ ตามรับ ตามส่ง แบบที่คนตามจีบเขาทำกัน จนมีครั้งหนึ่งที่ผมต้องโวยวายกลับไปว่าผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาเอาอกเอาใจขนาดนั้น อย่ามาทำเหมือนเป็นช่วงโปรโมชั่น เพราะมันจะรู้สึกแย่มากถ้าวันนึงไอ้การดูแลเอาใจใส่มันลดลงตามระยะเวลา เถียงเรื่องนี้กันอยู่เป็นวันจนผมงอนพี่มันถึงยอม หลังจากนั้นก็กลับสู่พี่เกียร์สายเถื่อนคนเดิม ทั้งด่า ทั้งแกล้ง ทั้งดุ สารพัดจะทำ เหอะ พอไม่ให้เอาใจ พี่มันก็มาแนวนี้เลยครับ แต่เอาจริงๆผมกลับชอบแบบนี้มากกว่า ผมไม่ได้ต้องการคนมาดูแลในทุกเรื่องขนาดนั้น ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตแบบเดิม แต่ก็ได้เรียนรู้ตัวตนแท้ๆของกันและกันด้วย เพื่อที่เราจะได้ยอมรับและเข้าใจในความเป็นตัวตนนั้น แล้วผมก็ได้รู้จริงๆว่าพี่เกียร์อ่ะ ชอบผมมาก ฮ่าๆ
และแล้วสัปดาห์การเริ่มต้นอ่านหนังสือสอบก็เริ่มขึ้น เพราะสัปดาห์ถัดไปนั้นพวกเราชาวมอยูก็ต้องรวบรวมความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดเพื่อลงสู่สนามสอบกลางภาคกันแล้วครับ
เขาว่ากันว่า
การสอบ เป็นเหมือนการประลองวิทยายุทธเพื่อหาเจ้าแห่งยุทธจักร
ใครที่มีพลังกล้าแกร่งก็จะสามารถสยบได้ทุกหลักวิทยายุทธ
ซึ่งพลังที่มีก็ต้องเกิดจากการฝึกฝนและบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานาน
ตัวผมเองที่พยายามทบทวนตำราอย่างสม่ำเสมอ ใช้หลักการเรียนเหมือนสมัย ม.ปลาย ทำความเข้าใจในห้องเรียนให้ได้มากที่สุด การอ่านหนังสือก่อนสอบก็เลยไม่ค่อยหนักหนาสักเท่าไหร่ แต่หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผลจากการตั้งใจซ้อมลีด ทำให้ผมไม่ได้ทบทวนเนื้อหาเท่าที่ตั้งใจไว้และนี่มันก็คือการสอบครั้งแรกในรั้วมหาวิทยาลัยของผม เหมือนทหารฝึกหัดกำลังจะไปออกรบสู้กับหน่วยซีลอ่ะ ความกลัวข้อสอบก็ถาโถมมาให้ได้เครียดจนหัวยุ่งเหยิงอยู่ไม่น้อย ตั้งใจจะคว้ามดคว้านกมาเป็นความภาคภูมิใจต่อวงตระกูล ตอนนี้ขอแค่ไปผจญภัยเหนือมีนให้ได้ก็พอครับ
วันนี้เราชาวแก๊งคนหล่อ 2017 ตามชื่อกลุ่มไลน์ก็ได้นัดกันมาอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งแถวมอ แต่ร้านนี้มันพิเศษตรงที่เขาเปิดให้อ่านหนังสือตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแค่เราต้องสั่งเครื่องดื่มจากทางร้าน สั่งแก้วเดียวก็สามารถนั่งยิงยาวข้ามวันได้ ภายในร้านก็จัดแบ่งโซนไว้หลากหลายมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ รวมไปถึงเบาะนุ่มๆไว้อำนวยความสะดวก บางมุมมีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ไว้ให้ล้มทับชวนหลับใหลมากกว่าอ่านหนังสือ และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องความเย็นของเครื่องปรับอากาศเป็นที่เลื่องลือมากๆครับ ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านเขาได้แรงบันดาลใจมาจากไหน กำไรเขาก็คงไม่หวังมากมาย แต่ร้านนี้กลับเป็นสถานที่ยอดฮิตให้นักศึกษาจากสถาบันต่างๆมาสุมหัวแลกเปลี่ยนความคิดทั้งการทำรายงาน อ่านหนังสือ ไม่ก็นั่งคุยสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย แต่ในช่วงสอบกลางภาคเช่นนี้ จำนวนผู้ใช้บริการหนาตาขึ้นเป็นเท่าตัวจากช่วงเวลาปกติ ต้องอาศัยความรวดเร็วในการจับจองที่นั่ง ตัวแทนของกลุ่มผมซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจากไอ้อิน ผู้ที่สามารถฝากความหวังในการจองที่ครั้งนี้ได้
-คนหล่อ2017-
Inn-Touch
ถึงไหนกันแล้ววะ
รีบมานะเว้ย คนโคตรเยอะ
JAO-YA
เออๆใกล้ถึงละ
Inn-Touch
ไอ้ภาค มึงถึงไหนละเนี่ย
JAO-YA
มันจะตื่นยังวะ
GU PHAK
ตื่นแล้วสิมึง อยู่บนรถ รถติดชิบหาย
Inn-Touch
เออ ให้ไว กูจองโต๊ะใหญ่ แต่นั่งคนเดียว
เกรงใจเขาจะตายละเนี่ย
JAO-YA
จะถึงแล้ว อีก 5 นาที เจอกัน
ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีจริงๆครับ ผมก็ถึงร้านกาแฟตามที่นัดกันไว้ เดินเข้าไปก็พบว่าคนเยอะจริงๆสมกับเป็นช่วงสอบมาก สอดส่ายสายตามองหาเพื่อนตัวเล็ก ซึ่งก็ไม่ยากที่จะเจอ นู่น อินมันเลือกทำเลดีมาก โต๊ะญี่ปุ่นใหญ่สำหรับ 4-5 คน แต่ชิดมุมในสุด มีเบาะรองนั่ง แอร์ก็ไม่ตกใส่ สบายละงานนี้
“อิน!”
“เห้ย จะเรียกเสียงดังทำไมเนี่ย เดี๋ยวโต๊ะข้างๆเขาก็ด่าหรอก”
“ฮ่าๆ ไง เริ่มอ่านแล้วหรอ”
“เพิ่งอ่านไปได้สองหน้า” มันตอบทั้งๆที่ยังก้มหน้าขีดๆเขียนๆบนเอกสารการเรียนมันอยู่
“มึงต้องช่วยติวให้กูด้วย กูนี่ซ้อมลีดจนไม่ค่อยได้อ่าน อ๊ากกกก ตายแน่ๆมิดเทอมนี้” ตัดพ้อชีวิตพร้อมทั้งเอาหัวไถไปบนโต๊ะญี่ปุ่น เห้อ เจ้าจะรอดมั้ย
“หึหึ อย่างเจ้าพระยาไม่ต้องติวก็ได้มั้ง”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนอ่ะไม่ แต่คราวนี้ต้องแล้วว่ะมึง นะๆ ติวเคมีพาร์ทหลังๆให้กูที” อ้อนวอนมันจนแทบจะกราบกราน ช่วยกูเถ้อะะะะ
“เออ งั้นมึงติวอิ้งให้กูด้วย”
“โหย ได้เสมอ ภาษาบ้านเกิดกูเอง ฮ่าๆ” ขอคุยโวหน่อยเถอะ ผมที่ท็อปอิ้งเสมอต้นเสมอปลายมาก
“เก่งเหลือเกินนนนน..ว่าแต่เมื่อไหรไอ้ภาคมันจะมาวะ วิชาแคลฯนี่เราคงต้องพึ่งมันละวะ กูไม่ถนัดเท่าไหร่”
“ฮ่าๆ มึงถามมันก่อนว่ามันถนัดมั้ย แม่งเรียนวิศวะ แต่กูก็เห็นมันบ่นแต่แคลฯ แต่ฟิฯ ฮ่าๆ” จริงนะครับ มันโอดโอยตลอดเวลามีสอบย่อย แถมมีบางทีเอาแคลฯมาถามผมอีก
“นินทาอะไรกูฮะ” ตายยากไปอีกกกก เสียงนี่มาก่อนตัวเลย
“เปล๊า ไม่มี๊”
“เสียงสูงกว่าตัวมึงอีกนะเจ้า ฮ่าๆ”
“สัดภาค” โดนย้อนเฉยเลย เป็นอะไรกับความสูงกูนักเนี่ย
“ฮ่าๆ เออ มึงมีสอบกันกี่ตัววะ” มันเอ่ยถามพลางหยิบเอกสารการเรียนมันออกมาจากกระเป๋า
“6 ละมึงอ่ะ” อินเงยหน้ามาตอบ
“โหย กูนี่ 8 ตัว! สอบโคตรเยอะ นี่ขนาดไม่นับแลป ไอ้เชี่ยยย กูมาเรียนอะไรวะเนี่ย” มันบ่นสีหน้าจริงจังมากครับ ฮ่าๆ
“ก็ไหนว่าชอบ มึงเลือกเองนะ พ่อมึงให้ไปเรียนบริหารก็ไม่เรียน สมหน้า!” จำได้ว่ามันต่อรองกับพ่อมันนานมาก พ่อมันยอมเพราะมันโม้ไว้ว่าจะเอาเกรดไม่ต่ำกว่า 3.5 ไปให้ดูทุกเทอม คือมึงฝันเอาหรอภาค ฮ่าๆ
“ก็ไม่รู้ว่ามันจะยากขนาดนี้นี่หว่า ไอ้ชอบมันก็ชอบแหละ แต่กูคงยังปรับตัวไม่ได้ ห่า ก็คิดว่าเรียนวิศวะฯจะได้เจอแค่ฟิ แคล จ่ะ กูต้องเรียนสังคมกับภาษาไทยอีก เพื่อออออ”
“ฮ่าๆ ก็เพื่อให้มึงพูดภาษาคนรู้เรื่องตอนไปทำงานไง ไอ้ง่าว”
“เก่งเหลือเกินนะคุณเจ้าพระยา เดี๋ยวกูก็ไม่ติวแคลฯให้หรอก” มันยักคิ้วทำหน้าเป็นต่อใส่ผม
“แล้วใครง้อมึงมิทราบฮะคุณภาคภูมิ” มึงเอาตัวเองให้รอดจากวิชาฟิสิกส์สำหรับวิศวกรมึงก่อนเถอะ
“หึหึ ไอ้เจ้ามันไม่ง้อมึงหรอกภาค มันมีคนติวให้มันอยู่แล้ว” แหนะ เอาอีกละไอ้นี่
“เออว่ะ กูก็ลืมว่ามันมีคนเทพอย่างพี่เกียร์มาจีบ ไงล่ะ ไปอ้อนให้เขามาติวยังล่ะ หื้มมมมม” กูเกลียดหน้าเจ้าเล่ห์ของมึงจังภาค
“พอ อ่านไปเลย เดี๋ยวตกกูจะขำให้ หยุด ไม่ต้องมาแซว” ผมแหวใส่เพื่อนตัวแสบทั้งสอง ก็เล่นมาแซวทำไมเล่า คนยิ่งต้องการสมาธิ คนตัวสูงที่ถูกกล่าวถึงมันยิ่งจิกจะตามมาอยู่
พอเถียงกันจนได้ที่ก็สำนึกกันได้ว่าควรก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเอาความรู้เข้าสมองตัวเองได้แล้ว พวกผมเลือกที่จะอ่านแคลคูลัส1ก่อนเพราะเป็นวิชาที่ทั้งสามคนมีเรียนเหมือนกัน เนื้อหาความเข้มข้นของคณะเภสัชฯก็อาจจะไม่เท่ากับพวกวิศวะฯเท่าไหร่ แต่ก็คงต่างกันแบบน้อยนิดมากอ่ะ เผื่อมีอะไรไม่เข้าใจจะได้ช่วยอธิบายกันได้ ผมที่พอไหวกับวิชานี้ก็ยังคงต้องฝึกทำโจทย์ให้หลากหลาย เวลาเจอในข้อสอบจะได้ไม่นั่งเอ๋อ ส่วนความสามารถด้านการคำนวณของไอ้ภาคก็คงจะช่วยอธิบายให้ผมกับอินเข้าใจได้มากขึ้น
“ภาคๆ ลิมิตข้อนี้หายังไงวะ” ผมเจอข้อที่เป็นปัญหาเข้าแล้วจริงๆ
“อ่อ มึงจำนิยามลิมิตได้หมดมั้ย”
“อือ พอได้นะ” พอได้ในที่นี้คือต้องแอบดูนิดหน่อย แหะๆ
“โอเค งั้นมึงดูฟังก์ชัน แล้วก็ดูตรงนี้ แล้วก็เอามันมาแทน คราวนี้มันต้องจัดรูปใช่มั้ย มึงก็ใช้นิยามมาช่วยจัดรูป มันก็จะได้แบบนี้ คราวนี้ก็คิดเลขปกติ นี่ตัดนี่ อ่ะ ได้ละ เข้าใจปะ” โอ้โห มึงพร่ำอะไรของมึงเนี่ย
“เข้าใจก็บ้าละ สมองกูยังอยู่บรรทัดแรกอยู่เลย มึงอธิบายช้าๆดิ๊ ฮื่อออ ทำไมยากจังวะ”
“ฮ่าๆ ยากตรงไหน มึงอ่ะไม่เข้าใจเอง” อ่าว สรุปผมโง่หรอ
“มึงก็อธิบายให้กูเข้าใจสิ อินมึงเข้าใจที่มันพูดมั้ย มันอธิบายโคตรเร็วเลยเนาะ”
“หึ คือหาพวก? แต่มึงอธิบายเร็วจริงแหละ กูขอตรงนี้ใหม่”
“โอ้ยยยย พวกมึงนี่ กูไม่ถนัดสอน ทำไงดีวะเนี่ยยยย” ไอ้ภาคมันเริ่มโอดครวญ เรื่องความเก่งมันเอาไป 9 เลย แต่คะแนนการอธิบายมึงติดลบนะภาค
“เดี๋ยวกูสอนเอง”
“เห้ย/เห้ยพี่/พี่” สามเสียงจากพวกผมอุทานพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงเรียบนิ่งที่คุ้นเคย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับมนุษย์ตัวสูง 3 คนยืนค้ำหัวพวกผมอยู่
“มาได้ไงอ่ะ” เป็นผมที่เอ่ยออกไป
“ขับรถมาสิเอ๋อ กูคงไม่เดินมาหรอก” มาถึงก็กวนตีน นี่สิพี่เกียร์ตัวจริงเสียงจริง
“เออ มันก็ต้องขับรถมามั้ย แต่ที่ถาม หมายความว่าตามมาได้ไง”
“ใครบอกว่าตาม กูมาอ่านหนังสือกับเพื่อน” ไม่พูดเปล่า พี่มันถือวิสาสะมานั่งแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้ภาค พลอยให้ไอ้ภาคต้องขยับไปนั่งฝั่งตรงข้าม โดยพี่มายด์ก็ทรุดนั่งลงข้างๆมัน
“แหมมมม ตอแหลนะไอ้เกียร์ ใครมันโทรตามกูยิกๆบอกว่าให้มาเป็นเพื่อน จะมาหาน้องเจ้า หึหึ” เมื่อเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด แฉความจริงให้ผมได้ฟัง ฮ่าๆ
“สัด! เงียบไปเลยมึง”
“ว๊ายๆ เขินเลยสิ ฮ่าๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆ” ไอ้ภาคก็ร่วมหัวเราะไปกับพี่มายด์ด้วย
“หึหึ อยากมาหาก็บอกตรงๆก็ได้นะพี่เกียร์ ผมไม่ว่าอะไรหรอก ไม่ต้องเขิน อิอิ” จะล้อให้อายไปเลยยยย
“กล้าแซ็วกูหรอเตี้ย อย่าให้ถึงทีกูนะ” ร่างสูงข้างตัวหันมายกนิ้วชี้หน้าผม แต่สีหน้าไม่ได้จริงจังอะไร “แล้วไหน ไม่เข้าใจตรงไหน”
“เห้ย พี่จะติวให้ผมใช่ปะ” ผมถามเสียงใสแสดงความดีใจที่คนตัวสูงจะสอนทำโจทย์
“อืม จะติวให้”
“เย้!”
“แต่…” เดี๋ยว ทำไมต้องมีแต่ แล้วหน้าเจ้าเล่ห์แบบนั้นคืออะไร
“แต่อะไร”
“ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“หือ? ต้องมีด้วยหรอ พี่ไม่ใจบุญติวให้ผมฟรีๆหรอ ไหนว่าจีบไง ก็ต้องเอาใจใส่ผมสิ” อย่ามาหัวหมอกับเจ้านะ จะเอาคืนซะให้เข็ด
“ไม่” อ้าว..
“งั้นไม่ต้องติว เดี๋ยวผมให้ไอ้ภาคติวให้ก็ได้...ไอ้ภาคมึง-…”
“กูไม่ว่าง ให้พี่มายด์สอนอยู่” ไอ้เพื่อนเลว ทิ้งกูได้ไงเนี่ย
“หึหึ จะให้ใครสอนอีกล่ะครับ ชักช้ากูอ่านหนังสือของกูละน้าา” เกลียดหน้าพี่มันตอนนี้มาก โอ้ยยยย
“น้องเจ้า พี่ว่ายอมๆมันไปเถอะ มัวแต่เถียงกัน นู่น ดูคู่นู้น เขาติวกันไป 3 ข้อละ อิอิ” พี่มายด์เปลี่ยนเป้าหมายไปแซวเพื่อนหน้านิ่งอีกคนที่กำลังสอนแคลฯไอ้อิน
“เสือก!” นั่นแหละครับ สั้นๆสไตล์พี่พี แต่เจ็บไปหลายนาทีเลยแหละ ฮ่าๆ
“เลิกสนใจคนอื่นได้ละ ตกลงจะให้ติวมั้ย”
“แล้วผมต้องเอาอะไรแลกล่ะ แต่..พี่อย่ามาขออะไรแผลงๆนะ ผมด่าจริงๆด้วย” ผมไว้ใจความคิดประหลาดพี่เกียร์ไม่ได้แน่ๆ
“ก็แลกกับการที่…”
“...??.”
“หลังสอบเสร็จ มึงต้องไปเดทกับกูนะไอ้น้องเจ้า” พูดด้วยรอยยิ้มหน้าระรื่นเชียวนะ
“ห๊ะ! เดท!”
“ตกใจอะไรเอ๋อ ก็เดทไง” เออเดทไง คือต้องเดทหรอวะ
“เอ่อ..”
“ยังไง ตกลงมั้ย?” นี่ก็เร่งจัง คิดก่อนสิว้อย คือมันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรมั้ง ก็พี่มันจีบผม แล้วมาชวนไปเดท ปกติ๊ ปกติ แหะๆ
“เออ! เดทก็เดท” ไม่มีอะไรจะเสียแล้วมั้ง เหอะๆ “แต่..พี่ต้องติวให้ผมผ่านครึ่งนะ”
“ได้ แต่คะแนนสอบมันออกช้า แต่กูจะไปเดทหลังสอบเสร็จเลย งั้นคะแนนออก ถ้าผ่านครึ่งก็ไปอีกรอบเนาะ” หือ แปลกๆนะ รอยยิ้มนั่นก็น่าดีดปากมาก
“เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ละๆ”
“ใช่สิ พอเลิกเถียง ตกลงตามนี้ มาติว ไหนข้อไหน อืม ข้อนี้ใช่มั้ย” แล้วพี่มันก็ตัดบท ตัดทุกอย่าง ตัดแม้กระทั่งสติผม เห้ย ยังคุยกันไม่จบเลย แต่ผมจะทำอะไรได้นอกจาก
ตามนั้น…
เรา 6 คนอ่านหนังสือกันไป อธิบายกันไป ช่วงที่ผมทำโจทย์พี่เกียร์ก็จะหันไปอ่านชีทตัวเอง เห็นแว้บๆว่าวิชาวิเคราะห์โครงสร้างอะไรสักอย่าง เห็นแค่ผ่านๆผมยังยอม พี่มันอ่านไปได้ยังไงนานขนาดนั้น เหมือนสมาชิกกลุ่มพี่เกียร์จะหายไปคนนึงใช่มั้ยครับ พี่โซ่คนสวย หญิงเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มไง จำได้กันหรือเปล่า ผมแอบถามพี่เกียร์มาแล้วว่า พี่โซ่ติดธุระจะตามมาตอนบ่ายๆ ต่างคนก็เลยต่างจมเข้าสู่ห้วงสมาธิตัวเอง เพ่งทุกอย่างไปที่เนื้อหาตรงหน้า ทั้งตัวเลข สมการ นิยาม อะไรต่างๆมากมายก็ทำให้สมองเบลอได้เหมือนกันครับ
“เอาอะไรกันมั้ย กูกับไอ้ภาคจะออกไปยืดเส้นแล้วก็หาอะไรกินว่ะ” พี่มายด์ปิดหน้าเอกสารแล้วถึงเงยหน้ามาถามพวกผม
“เจ้า หิวมั้ย” เสียงทุ่มนุ่มของคนตัวสูงเอ่ยถามผม
“หื่อออ ยังไม่หิว แต่ง่วงง่ะ”ผมที่พกเสื้อไหมพรมแขนยาวมาด้วยเพราะรู้ว่าที่นี่แอร์เย็น ก็เอามันมาวางรองศีรษะเพื่อพักสายตา
“หึหึ แน่ใจนะ” พี่เกียร์ยังคงถามซ้ำ
“อื้อ เดี๋ยวค่อยออกไป เจ้าอยากนอน ขอพักแปบนึงนะ” เสียงอู้อี้หลุดออกจากปากผม เพราะแก้มแนบจมไปกับกองเสื้อไหมพรมที่วางต่างหมอน
“น้องเจ้านี่เวลาง่วงนี่ขี้อ้อนจังวะ” เสียงเบาๆลอยเข้ามาในโสตประสาท ซึ่งผมเดาก็คงจะเป็นพี่มายด์ ตอนนี้ผมขอพักสายตาก่อนละกัน ใครจะไปไหนยังไงก็แล้วแต่ล่ะครับ
“หึหึ ปลาทองเอ้ย”
(ต่อด้านล่าง)
ท่าเรือที่ 11
รอยยิ้มของคนหน้าดุ
( P x Inn )
ตู๊ดดดดดด…...ตู๊ดดดดดด…..
(ฮัลโหลว่าไงอิน)
“กูถึงบ้านแล้วนะ”
(โอเค ดีแล้วๆ พักผ่อนไปมึง พรุ่งนี้เจอกัน ว่าแต่ไปอ่าน-)
“เจ้า กู...กูคงไม่ได้ไปอ่านหนังสือด้วยนะ”
(อ่าว ไมวะ)
“วันนี้กูกลับมาเจอเขาพอดี แจ็คพล๊อตแตกเลยว่ะ เหอะๆ” ผมตอบปลายสายไปด้วยประโยคที่คิดว่ามันจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น แต่จากเสียงหัวเราะตัวเองและมันแผ่วเกินใจจะรับไหว
(เห้อ กรรมของเวรมึงจริงๆว่ะอิน มึงทำอะไรผิดวะ)
“ก็คงเป็นกรรมของกูแหละ เอาน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูอ่านอยู่บ้านนี่แหละ วันจันทร์ค่อยไปอ่านด้วยกันที่มอ” เสนอทางเลือกที่คิดว่ามันดีสุดๆละ
(เอางั้นหรอวะ แล้วตอนนี้มึงโอเคมั้ย) เสียงปลายสายของเพื่อนสนิทที่ผมฟังแล้วน้ำตาที่มันไหลท่วมใจก็แทบจะทะลักล้นออกมาจากดวงตา ผมรู้ว่าไอ้เจ้ามันห่วงผมมาก
“โอเคแล้ว เล่นกับมอคค่า ลาเต้ กูก็หายแล้ว ไว้ไงค่อยคุยกันนะ” ถือโอกาสรีบตัดบท เพราะผมโกหกมันออกไปว่าผมโอเค ทั้งที่จริงๆแล้ว...ไม่เลยสักนิด
(โอเคๆ ฝันดีมึง)
“อื้ม ฝันดีว่ะ”
ติ๊ด!
มือที่กดวางสายจากเพื่อนสนิทยิ้มง่ายก็พลันอ่อนแรงจนปล่อยโทรศัพท์ร่วงหล่นบนที่นอน พร้อมกับร่างกายที่ฝืนยืนไม่ไหว สภาพผมตอนนี้จริงๆแล้วร่างกายมันไม่ได้เป็นอะไรเลยครับ แต่พลังทั้งหมดที่มีมันหายไปเพราะหัวใจผมมันเจ็บจนชา คำถามที่ไอ้เจ้ามันเอ่ยทิ้งไว้ว่า
ผมทำอะไรผิด…
มันยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ใช่ ผมทำอะไรผิดหรอ หรือผมผิดที่เกิดมา
เพียงแค่ตั้งคำถามนี้หยาดน้ำใสๆที่ผมมักจะกดมันเอาไว้ก็ไหลออกมาจากหางตา ตอนนี้ผมอยู่ในห้องนอนเพียงคนเดียว ผมเลยไม่จำเป็นจะต้องหักห้ามมันอีกแล้ว การนอนเงยหน้ามองเพดานแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลแบบนี้ มันคงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันหรือประจำสัปดาห์ของผมไปแล้ว เพียงแต่วันนี้มันคงจะไหลออกมามากกว่าเดิม ไหลออกมาตอกย้ำกับความจริงที่ผมได้รู้ ว่าทำไมผมกับแม่ต้องมาทนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ที่ๆผมไม่เคยสัมผัสได้เลยว่ามันคือครอบครัวที่เหลืออยู่ของผม
แม่ครับ...อินจะอดทน
ย้อนไปเหตุการณ์เมื่อตอนค่ำ
“แม่ครับ อินกลับมาแล้ว” ผมตะโกนเสียงใสรายงานตัวขณะที่มือก็จับลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าไปในตัวบ้าน
“หึ กลับมาได้แล้วหรอ บ้านช่องมีก็ไม่รู้จักอยู่หรอกนะ” เสียงคุ้นเคยที่ผมไม่อยากจะได้ยินดังตอบผม ทำให้ผมหันไปตามเสียงก็พบว่าป้านิลนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่ผมก็นั่งโซฟาตัวเล็กข้างๆกัน
“สวัสดีครับป้านิล” เอ้ยพร้อมยกมือไหว้หญิงสาวสูงวัยที่มีศักดิ์เป็นป้า
“หายหัวไปไหนมาทั้งวัน!” คำถามเสียงดังที่ป้านิลเอ่ยออกมาจนใจผมกระตุก
“ไปอ่านหนังสือกับเพื่อนครับ”
“แล้วอ่านที่บ้านมันจะตายหรือไง ถึงชอบออกไปเหลือเกินนอกบ้านเนี่ย” คำประชดประชันที่ไม่เคยขาดปากเวลาที่เขาคุยกับผม ก็ยังคงพูดได้ไหลลื่นเหมือนเคย
ผมไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“แล้วป้ามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” ถามออกไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงมันจะออกมาแข็งแค่ไหน
“อิน!!”
“อิน พูดกับป้าดีๆนะลูก” แม่ผมที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยปรามการใช้เสียงแข็งกร้าวตอบโต้ผู้เป็นป้า
“แอน แกสอนลูกยังไงถึงมีนิสัยแบบนี้ หรือเชื้อพ่อแกมันแรงจนสอนให้ดีไม่ได้ใช่มั้ย!” การด่าว่าผมเป็นร้อยเป็นพันคำ ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดเท่าการที่เขาด่าไปถึงบุคคลอันเป็นที่รักของผม
“ป้านิลครับ! ถ้าป้าจะด่าก็ด่าแค่ผม พ่อผมเป็นคนดี” บางครั้งความอดทนของคนเรามันสิ้นสุดลงได้เหมือนกัน
“อินลูก ฮึก!..” แม่เงยหน้าขึ้นมาปรามผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สองแก้มอาบไปด้วยหยาดน้ำตา ใจผมชาวูบกับสิ่งที่เห็น แม่ร้องไห้อีกแล้ว
“ถ้าพ่อแกดี พ่อแกจะไม่ทำชีวิตน้องสาวฉันพัง จะต้องไม่ทำให้วงศ์ตระกูลของฉันเสียชื่อเสียงแบบนี้!” ป้านิลลุกขึ้นมาแผดเสียงใส่ผม
“ก็ถ้าพ่อผมไม่ดี ตัวผมมันเลว ป้าจะพาผมกับแม่มาอยู่ที่นี่ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่กับแม่ที่บ้านหลังนั้นเหมือนเดิม”
“หึ คิดว่าฉันอยากให้แกมาอยู่หรอ ลองถามแม่แกสิ! ถ้ายังไม่มีปัญญาทำอะไรไปมากกว่านี้ แกก็อย่ามาทำปีกกล้าขาแข็งใส่ฉัน จำใส่หัวแกไว้ด้วย!!” สิ้นเสียงด่าทอ ป้านิลก็เดินออกจากบ้านผมไป เหลือไว้แค่ความเจ็บปวดที่มันกัดกินหัวใจผม และในตอนนี้ห้องนั่งเล่นก็มีเพียงแค่เสียงสะอื้นของแม่ผู้เป็นชีวิตของผม
“แม่ครับ แม่บอกอินได้มั้ย ว่าทำไมเราต้องทนอยู่ที่นี่ เรากลับไปอยู่บ้านเรากันเถอะนะ อิน..อินไม่อยากทนแล้วแม่” เสียงสั่นกลั้นสะอื้นของผม เอ่ยถามและขอร้องแม่ ผมไม่อยากทนแล้วจริงๆ
“อิน..ฮึก!...แม่..แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ” แม่อ้าแขนรวบกอดผมไว้ มือพลางลูบหัวผมพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษไม่หยุด ผมที่นั่งอยู่กับพื้นวางใบแก้มไว้แนบตักพร้อมกับยกมือกอดเอวตอบ
“แม่ครับ บอกอินได้มั้ย บอกอินเถอะว่าทำไมเราต้องอดทนขนาดนี้” เสียงอู้อี้ออกจากปากผม ผมต้องการเหตุผลที่เราสองแม่ลูกต้องทน
“อิน คือ..แม่ขอโทษนะ แต่เราออกไปจากบ้านป้านิลตอนนี้ไม่ได้ ฮึก!..”
“ทำไมครับ” เงยหน้าจากตักถามแม่ทันทีที่แม่เอ่ยจบประโยคนั้น
“เพราะแม่เป็นหนี้ป้าเขาอยู่” แม่ตอบสั้นๆพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหลอาบแก้ม
“เป็นหนี้? ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ แล้วแม่ยืมเงีนป้าเขาไปทำอะไร แม่.. แม่บอกอินเถอะครับ”
“แม่มาขอยืมตั้งแต่พ่อเสีย เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นตำรวจบอกว่าพ่อเป็นฝ่ายผิด เราต้องจ่ายค่าเสียหาย แต่ตอนนั้นบ้านเรามีปัญหาทางการเงิน แม่ก็ถูกจ้างให้ออกจากงาน บ้านที่เราอยู่ก็จะโดนยึดเพราะค้างผ่อน เงินเก็บที่มีแม่ก็อยากเก็บไว้ส่งอินเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แม่ไม่รู้จะทำยังไง แม่อยากรักษาบ้านเราไว้ บ้านที่พ่อกับแม่ตั้งใจทำงานเพื่อให้ลูกเกิดมามีบ้านที่อบอุ่น แม่เลยกลับมาขอความช่วยเหลือจากป้านิล ป้านิลเขายอมช่วย แต่ต้องให้เราย้ายกลับเข้ามาอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีเงินมาใช้หนี้ทั้งหมด แม่ขอโทษนะอิน แม่..ไม่มีดีเอง แม่...”
“แม่ครับ ไม่เป็นไรครับแม่ ไม่เป็นไรนะครับ” ผมเอ่ยประโยคเหล่านั้นปลอบใจผู้เป็นมารดา แต่จริงๆแล้วก็เป็นการปลอบใจตัวเองไปด้วย
ความจริงที่ผมเพิ่งได้รู้มันทำให้สมองผมตื้อไปหมด ที่ผ่านมาผมทำอะไรอยู่ ทำไมผมไม่เคยได้รับรู้ปัญหาของครอบครัวที่เกิดขึ้นเลย ผมคิดอยู่ทุกวันว่าครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและโชคดีที่สุด พ่อกับแม่ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกขาด การที่ผมกับน้องได้อยู่อย่างสบาย ได้เรียนโรงเรียนดีๆในตอนนั้น พ่อกับแม่พยายามเพื่อผมมากขนาดนี้เลยหรอ ขนาดบ้านมีปัญหาใหญ่ขนาดนั้น พ่อกับแม่ก็ไม่เคยทำให้รู้สึกล่วงรู้ถึงปัญหาเลย
“อิน แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ อินอดทนอีกนิดได้มั้ยลูก” แม่ลูบหัวผมไปด้วย สายตาที่แม่มองมาที่ผมมันอบอุ่นแต่มันก็ทำให้ผมเจ็บไปทั้งหัวใจ
“ครับแม่ อินจะอดทน แล้วอินสัญญา อินจะเป็นคนพาแม่กลับไปอยู่บ้านเราด้วยตัวเอง อินสัญญา…” ผมไม่รู้ว่ามันจะยากขนาดไหนที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จะหาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นมาจากไหนเพื่อมาใช้หนี้ป้านิล แต่ผมจะพยายามหาทางให้ได้เร็วที่สุด
“ขอบใจนะลูกที่อดทน แม่รักอินนะ” สัมผัสอบอุ่นบริเวณหน้าผากแผ่ซ่านบรรเทาความเจ็บปวดในใจของผม และยังเป็นพลังที่จะทำให้ผมกล้าต่อสู้กับปัญหา
“อินก็รักแม่ครับ แม่รออินนะ อินจะพาแม่กลับบ้านของเราเอง” เอ่ยย้ำความตั้งใจที่มี เราจะต้องได้กลับบ้านที่อบอุ่นของเราสักที
“จ๊ะ”
เรากอดกันเพื่อส่งผ่านความรัก และความอบอุ่น เรามีกันอยู่แค่นี้ ผมสัญญาว่าผมจะดูแลแม่ด้วยชีวิตทั้งหมดของผม
ปล่อยตัวเองร้องไห้จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็เพราะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวเบาๆข้างตัว ที่น่าจะมาจากอุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สีดำของผม เหลือบตามองเวลาก็พบว่านี่มันเที่ยงคืนแล้วนี่นา ชันตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอนก็รู้สึกได้ถึงอาการปวดตื้อที่ขมับ สงสัยเป็นเพราะร้องไห้เยอะไปแน่ๆ
RrrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrrrr
โทรศัพท์ผมก็ยังไม่หยุดสั่น ทั้งๆที่นี่มันดึกมากแล้ว ใครมันพยายามโทรขนาดนี้นะ ที่แน่ๆไม่ใช่เพื่อนสนิทผมสองคนนั้นชัวร์
- P -
หือ?
“สวัสดีครับพี่พี”
(ทำอะไร ทำไมไม่รับโทรศัพท์) เสียงปลายสายเรียบดุแสดงถึงความไม่พอใจ คิดว่านี่คงไม่ใช่สายแรกที่เขาโทรมา
“ผมเผลอหลับอ่ะ แหะๆ”
(หือ? เป็นอะไร ทำไมหลับเร็ว) ทำไมในโทรศัพท์พี่พีพูดเก่งจัง ต่อหน้านี่พูดนับคำได้ แปลกคนดีแฮะ
“เปล่าครับ ปวดหัวนิดหน่อย”
(อืม งั้นนอนไป)
“ฮะ..อ่าว แล้วพี่โทรมามีอะไรรึเปล่า” นั่นดิ ตั้งแต่โทรมาพี่พีถามเอาๆ สรุปโทรมาทำไม
(เปล่า ไม่มีอะไร นอนได้แล้ว) เอ่ยเสียงเรียบตามแบบฉบับคนหน้าดุ แต่เอาจริงๆพี่พีใจดีนะผมว่า
“ครับ งั้น...ฝันดีนะครับ” บอกฝันดีรุ่นพี่ต่างคณะ จนลืมตัวไปว่า ผมเผลอยิ้ม
(อืม ฝันดี)
ติ๊ด!
สัญญาณถูกตัดไปจากคนปลายสาย ผมที่จ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปใครบางคนเป็นพื้นหลัง ก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาได้โดยง่าย ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เขาคนนั้น ผมรู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจ และปลอดภัยจากความเจ็บปวดต่างๆที่มันฝังอยู่ในใจ อยู่กับเขาผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วผมมีความทุกข์ นั่งมองรูปด้านข้างที่ผมถือวิสาสะแอบถ่ายไว้อยู่ไม่นาน ก็ได้ลุกขึ้นมาเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายเพื่อกลับเข้ามาพักผ่อนอีกครั้ง ด้วยใจที่พร่ำบอกตัวเองอยู่ทุกวันว่า…
ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดี
เช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดใสที่ตอนแรกผมควรจะต้องรีบตื่นเพื่อออกไปจองที่ติวหนังสือให้กับเพื่อน แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว ผมตัดสินใจที่จะอ่านหนังสืออยู่บ้าน บอกกับตัวเองว่าจะสร้างปัญหาให้น้อยที่สุด อีกไม่นานผมกับแม่จะได้มองท้องฟ้าสดใสกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่นอน
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“อิน อินลูก ตื่นรึยังครับ” เสียงคุ้นเคยปลุกผมออกจากความคิด ทั้งๆที่ตื่นนานแล้ว แต่แค่นอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง
“ตื่นแล้วครับแม่”
“งั้นล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปกินข้าวนะลูก”
“คร้าบบบบบ” วันนี้คงจะเป็นวันที่ดีนั่นแหละ
อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย ผมก็พาตัวเองลงมาชั้นล่างของบ้าน กลิ่นอาหารมื้อเช้าลอยตลบอบอวลเมื่อผมย่างกายไปทางห้องครัว รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาววัยกลางคนกำลังหันรีหันขวางมองหาอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบอาหาร ภาพคุ้นชินที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กและหวังว่าจะได้เห็นแบบนี้ไปได้นานที่สุด
“เช้านี้ทำอะไรครับ กลิ่นหอมทั่วบ้านเชียว”
“ข้าวต้มกุ้งจ๊ะ”
“อินจะกินให้เรียบเลย” คุยโวกับแม่ แต่สายตาก็สอดส่องมองหาเจ้าก้อนตัวกลมทั้งสองตัว
“อิน เรื่องเมื่อวาน...อินโอเคหรือยังลูก” แม่มีสีหน้าไม่สบายใจเมื่อจำเป็นต้องถามถึงความรู้สึกผมกับเหตุการณ์เมื่อคืน
“โอเคแล้วครับ อินบอกแม่แล้วไง ว่าอินจะอดทน และจะทำทุกอย่างเพื่อพาเรากลับบ้าน” ตอบแม่ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่ากว้างที่สุด ผมไม่อยากให้แม่ลำบากใจ ผมรู้ว่าแม่ก็เกรงใจป้านิลอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกผิดที่ฝังอยู่ในใจแม่ ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้หายไปเลย
“จ๊ะ สู้ไปด้วยกันนะลูก”
“ครับ เอ้อ ว่าแต่มอคค่า ลาเต้ไปไหนอะ ปกติต้องมาพันแข้งพันขาอินแล้วนะ”
“อืมมมม สงสัยอยู่สนามหญ้ามั้ง อินลองเรียกสิ” แม่ตอบผมแต่หันไปจัดแจงปรุงอาหารเช้า
“ครับๆ”
ผมเดินออกจากครัวผ่านห้องนั่งเล่นเพื่อเปิดประตูออกไปทางหน้าบ้าน ตั้งใจว่าจะเรียกหาสุนัขพันธุ์ปอมปอมอ้วนกลม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยเรียก ก็มองเห็นมันทั้งสองตัววิ่งไล่งับหางกันอยู่ตรงสนามหญ้า
“มอคค่า ลาเต้ มานี่เร็ว”
บ๊อกๆ บ๊อกๆ
แค่เจ้าก้อนสองตัวได้ยินชื่อตัวเอง ก็วิ่งส่ายก้นดุ๊กดิ๊กมาพันแข้งพันขาผม จนอดไม่ได้ที่จะนั่งลงบนสนามหญ้าเพื่อหยอกล้อพุงพลุ้ยของพวกมัน หมดกันที่อาบน้ำมา มันตะกุยเสื้อผมสนุกเลย
“อินลูก โทรศัพท์เข้า” เสียงแม่เรียกจากประตูหน้าบ้าน
ว่าแต่ใครมันโทรมา หวังว่าจะไม่ใช่ไอ้ภาคโทรมาตามหรอกนะ ก็ผมบอกไอ้เจ้าไปแล้วว่าวันนี้ไปอ่านหนังสือด้วยไม่ได้ คิดได้แค่นั้นก็ต้องลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในบ้านโดยที่มีหมาขาสั้นสองตัววิ่งตาม
-P-
พอเห็นหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงชั้นข้างโทรทัศน์เท่านั้นแหละ รอยยิ้มผมก็ผุดขึ้นมาทันที ก็สงสัยนะว่าโทรมาทำไม แต่ตอนนี้เห็นแค่ชื่อใจมันก็เต้นตามแรงสั่นของโทรศัพท์แล้ว
(มีต่อด้านล่าง)
ท่าเรือที่ 12
ไม่รู้จะอธิบายยังไง
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เหล่านักศึกษาในหลายภาควิชาจะต้องเอาความรู้ที่มีทั้งหมดไปสู้รบปรบมือกับข้อสอบที่อาจารย์คัดสรรค์มาให้พวกเรา หึหึ คัดข้อง่ายออกไปหมดแล้วล่ะสิ
วันนี้เป็นวันแรกของการสอบกลางภาคของมหาวิทยาลัยผม มีหลายคณะที่ไม่ได้เริ่มสอบวันนี้ แต่คณะเภสัชศาสตร์ของผมมีหรือจะพลาดตารางสอบวันแรกไป จัดมาก่อนเลยด้วยวิชาแคลคูลัส 1 ก็นับว่ายังโชคดีที่วันนี้สอบแค่วิชาเดียว ความกังวลก็ไม่ค่อยมีมากเท่าไร เพราะว่าผมค่อนข้างมั่นใจในความรู้ที่มีตอนนี้ ก็แหงล่ะ พี่เกียร์มันทั้งสอน ทั้งบ่น ทั้งบังคับให้ผมทำโจทย์เป็นร้อยข้อจนผมจำฝังลึกเข้าไปในซีรีบรัมกันเลยทีเดียว คนอะไรดุชะมัด แม้กระทั่งผมใช้สกิลอ้อนขอต่อรองยังไม่ยอมใจอ่อนเลย
RrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrr
- P’ GEAR –
นั่นไง แค่บ่นถึงก็โทรมา แต่ทำไมวันนี้โทรมาเช้าจัง
“ครับ” ทักทายปลายสายไปสั้นๆ เงยหน้ารับลมที่ตีหน้าให้หน้าม้ากระจายบริเวณท้ายเรือที่เดิม
(ไง ออกจากบ้านยังเตี้ย) อีกละ ชื่อดีๆมีไม่เรียก แค่สูงกว่าเกือบสิบเซ็นนี่ย้ำจังนะ
“ออกมาแล้วคร้าบบบ อยู่บนเรือ ว่าแต่พี่ไม่มีสอบนี่ ทำไมโทรมาเช้าจัง” เท่าที่ถามผมว่าผมจำไม่ผิดนะว่าพี่เกียร์ไม่มีสอบ
(อืม ไม่มี แต่มีส่งรายงานตอนบ่าย) คนตัวสูงตอบผมมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ ได้นอนบ้างไหมเนี่ย
“แล้วพี่ทำเสร็จยังอ่ะ ผมเห็นทำมาหลายวันแล้วนี่” เอ่ยถามออกไป ทั้งที่จริงๆผมอยากบอกให้เขาพักมากกว่า แต่ใครจะกล้าล่ะ
(ยังไม่เสร็จ แต่เหลือไม่เยอะแล้ว แก้อีกนิดเดียว วันนี้มึงสอบแคลฯใช่มั้ย) อีกฝ่ายตัดบทเรื่องของตัวเองแล้วเอ่ยถามผมแทน น้ำเสียงพี่ควรนอนมากกว่านะ
“อาฮะ”
(อืม งั้นตั้งใจล่ะ อย่าลืมกินข้าวเช้าด้วย เดี๋ยวกูไปทำงานต่อละ) เสียงง่วงขนาดนี้ยังจะทำต่ออีกหรือ แต่ถึงผมห้ามไปก็ไม่ฟังอยู่ดี
“ครับๆ”
“(บาย)”
“ดะ..เดี๋ยวพี่!”
“(หือ?)”
“พี่ก็..พักบ้างนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ถึงแม้ท้ายประโยคระดับเสียงจะลดลงจากปกติไปหน่อย แต่ผมก็คิดว่าพี่มันได้ยิน ห้ามเขาไม่ได้ แต่ขอให้พักสักหน่อยก็คงเป็นอะไรเนอะ
“(หึ เป็นห่วงกูหรอเอ๋อ)” เกลียดเสียงหึในลำคอพี่มันมาก โคตรเจ้าเล่ห์ อยากขอซื้อไปทิ้ง ทำมาเป็นรู้ทัน
“มั่วอีกละ ใครเป็นห่วง มีที่ไหน ผมก็แค่กลัวพี่ไม่สบาย แล้วทีนี้งานก็ไม่เสร็จ แล้วก็เดือดร้อนพวกเพื่อนพี่มาทำแทน เป็นภาระคนอื่นอีก เห็นไหม ผมเป็นห่วงเพื่อนพี่เถอะ ใช่ๆผมเป็นห่วงเพื่อนพี่ต่างหาก” ผมพูดรัวเป็นปืนกลแบบไม่ทันได้คิด ก็ใครมันจะไปยอมรับง่ายๆเล่าว่าห่วง เขินเป็นนะว้อย
“(ฮ่าๆ โอเค ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง แต่ขอบใจนะที่เป็นห่วง...เพื่อนกู)” จะเว้นวรรคทำแมวอะไร ถึงคุยกับพี่เกียร์บ่อยแค่ไหน ผมก็ยังไม่ชินกับความเจ้าเล่ห์ ทำยังไงก็ไม่รู้สึกชนะสักที หึ่ย
“เออ งั้นแค่นี้นะครับ ผมจะไปขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว” เรือจะเทียบท่าเรือจุดเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางของผมพอดี
“(อืม บาย)”
ติ๊ด!
ใช้เวลาจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ด้วยเวลาออกจากบ้านที่เช้ากว่าปกติ ทำให้ผมมีเวลาเหลือสบายๆในการกินข้าวเช้าก่อนเข้าห้องสอบ ก่อนออกจากบ้านก็ส่งข้อความนัดกับไอ้อินเรียบร้อยแล้วว่าเจอกันที่โรงอาหารคณะ
เดินผ่านป้ายคณะแล้วเดินตรงเข้าไปทางโรงอาหาร จำนวนคนในเช้านี้ก็หนาตาสมกับการเป็นวันแรกของการสอบ ทุกชั้นปีคงจะมีสอบไม่ต่างกับพวกปี 1 อย่างผม ชะเง้อคอมองไปยังตำแหน่งโต๊ะประจำที่ผมกับไอ้อินชอบนั่งแล้วก็เป็นไปตามคาด เพื่อนตัวเล็กกว่าผมมันนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“มานานแล้วหรือมึง” ผมเอ่ยทักทายคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านชีทเรียนอยู่
“อ่าว มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง กูมาถึงก่อนมึงแปบเดียวเอง”
“อ่อ งั้นซื้อข้าวปะ กินอะไรดีน้า” ปากผมก็พูดกับไอ้อิน แต่ตาผมมองไปที่ร้านอาหารที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าแล้ว นี่ปฏิเสธข้าวเช้าฝีมือที่รักมากินข้าวกับเพื่อนอย่างมึงเลยนะอินเอ้ย
“มึงไปซื้อก่อนเลย เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะให้” มันเงยหน้าจากชีทมาบอกผม
“งั้นมึงกินอะไร เดี๋ยวกูซื้อมาให้เลยแล้วกัน”
“เหมือนมึง”
“อ่ะได้ เดี๋ยวเจ้าจัดให้นะคุณอินทัช อิอิ” ท้ายประโยคผมก็ยิ้มแฉ่งใส่ไปที วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ผมเลยลุกออกไปสั่งอาหารตามสั่งข้างๆร้านก๋วยเตี๋ยวป้าเย็น เช้านี้ก็คงเลือกเมนูเบาๆสบายท้องอย่างผัดคะน้าหมูกรอบไข่ดาวไม่สุก อย่าตกใจกันนะครับ นี่เบาท้องสำหรับผมแล้ว อิอิ สอบแคลฯต้องใช้พลังงานเยอะอ่ะเนอะ รอไม่นานข้าวราดผัดคะน้าหมูกรอบสองจานก็มาอยู่ในมือผม พร้อมที่จัดการส่งเข้าระบบย่อยอาหารของร่างกายแล้วครับ
“มาแล้ว นี่เลย สำหรับร่างกายที่ต้องการพลังงานในเช้านี้” ผมวางจานข้าวคะน้าหมูกรอบหนึ่งจานลงตรงหน้าอิน พร้อมนำเสนอความพิเศษของเมนูนี้เต็มที่
“อื้อหือ มึงหิวขนาดนั้นเลยหรอไอ้เจ้า จัดหนักแต่เช้า” อินเอ่ยพร้อมเลื่อนชืทวิชาแคลคูลัสไปด้านข้างแล้วเอื้อมมาเลื่อนจานข้าวไปวางแทนที่
“หนักที่ไหน นี่เบาๆเลยนะ อิอิ”
“กูขอให้มึงอ้วน!” อ่าวๆ ปากมึง เดี๋ยวก็ไม่ได้กินข้าว
“ไอ้เชี่ยอิน! กินไปเลย ชิ” อย่าให้ต้องโมโหนะ เดี๋ยวไข่ดาวในจานมึงจะบินเข้าท้องกู
“เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน มึงเอาน้ำอะไร” อินผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวออกมายืนเอาแขนค้ำโต๊ะฝั่งตรงข้ามผม
“เอา..”
“นมเย็น หึ”
“รู้ใจอีกแล้ว รักมึงจัง” เอื้อมมือไปจับแขนมันแล้วก็ฉีกยิ้มใส่ ไม่มีใครจะโชคดีมีเพื่อนรู้ใจอย่างอินได้เท่าผมอีกแล้ว
“ไม่ต้องมาบอกรักกูเลย ไปบอกพี่เกียร์ของมึงโน่น! แบร่!” แล้วมันก็วิ่งออกไปร้านน้ำอย่างไว พูดอะไรไว้ เดี๋ยวเถอะมึงงงงงง
“ไอ้เชี่ย กูขโมยเจาะไข่ดาวมึงแน่!!” อะไรของมันก็ไม่รู้ บอกรงบอกรักอะไรเล่า ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่มันซะหน่อย ใช่ไหมครับ
ระหว่างที่รอมันซื้อน้ำผมก็ตักข้าวเข้าปากสบายใจ ไม่รอมันหรอก ชิ
“สวัสดีครับน้องเจ้า” เสียงเอ่ยทักจากผู้มาใหม่ที่มายืนข้างๆโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
“อ้าว สวัสดีครับพี่ไนซ์” กล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้ตามธรรมเนียมปฏิบัติ
“มีสอบเช้าหรือครับ” รุ่นพี่สถาปัตย์ถามผมด้วยรอยยิ้ม บางทีพี่ก็ยิ้มเก่งไปนะ ผมยอมแพ้
“ครับ มีสอบแคลฯ”
“แล้วทำไมมานั่งคนเดียวครับ ให้พี่นั่งเป็นเพื่อนเปล่า” บางทีพี่ก็ใจดีไปอีกนั่นแหละ งืออออ คราวก่อนกว่าจะเคลียร์กับบางคนได้ พี่อย่าเพิ่งหางานมาให้ผมสิครับ เดี๋ยวนะ แล้วทำไมผมจะต้องรู้สึกเกรงใจพี่เกียร์ขนาดนั้นด้วยวะ
“เปล่าครับ นั่งกับเพื่อน มันไปซื้อน้ำ แหะๆ”
“หรือครับ อืม...งั้นอ่ะ พี่ให้ ตั้งใจสอบนะครับ ขอให้ผ่านฉลุยเลย” กลางประโยคที่ว่านั้นพี่ไนซ์ยื่นกล่องขนมมาการองสีสวยมาตรงหน้าผม สมองประมวลทำให้ผมคิดจะปฏิเสธ แต่พอเงยหน้ามองพี่ไนซ์แล้ว ถ้าผมเอ่ยปฏิเสธไปรอยยิ้มที่ส่งมาพร้อมกล่องมาการองจะต้องหายไปแน่ๆ
“เอ่อ ขอบคุณนะครับ แต่คราวหน้าไม่ต้องซื้อมาก็ได้นะครับ มันแพงผมเกรงใจ” เอื้อมมือไปรับขนมจากมือพี่ไนซ์
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้า พี่เต็มใจ”
“ครับๆ ขอบคุณอีกครั้งครับ”
“อย่าลืมกินล่ะ พี่ไปก่อนนะครับ” จบประโยคของพี่ไนซ์ พี่เขาก็ยกมือขึ้นมาวางที่หัวผมแล้วโยกเบาๆแบบที่ผมไม่ทันได้ระวังตัว
“สะ..สวัสดีครับ” แล้วพี่ไนซ์ก็หันหลังเดินออกจากโรงอาหารของคณะผมออกไป ทิ้งไว้เพียงความตกใจและความงุนงงกับการกระทำเมื่อสักครู่นี้ การกระทำที่คนๆหนึ่งมักทำเป็นประจำ แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกตอนนี้คือ ไม่เหมือน
ไม่เหมือนกับตอนที่พี่เกียร์ทำ
“ไง เรตติ้งพุ่งแต่เช้าเลยนะมึง” เสียงทักจากเพื่อนสนิทที่นั่งลงตรงข้ามผม คำพูดไม่เท่าไหร่ แต่สีหน้ามึงน่าถีบมากอิน มึงไปซื้อน้ำที่ตีนเข้าเอเวอร์เรสรึไง ทำไมเพิ่งมาฮะ
“เรตติ้งเชี่ยไร เห็นแล้วทำไมไม่เดินเข้ามา”
“เอ้า กูไม่อยากขัด เดี๋ยวเสียมารยาท ละไหน พี่มันเอาอะไรมาให้วะ”
“มาการอง” ผมตอบมันพร้อมกับยกกล่องมาการองไปวางตรงหน้าไอ้อิน
“หืม มาการองเลยหรอวะ รู้จักซื้อมาเอาใจมึงเนอะ เจ้าพระยาผู้พ่ายแพ้ต่อขนมทุกชนิดบนโลก ฮ่าๆ”
“หยุดหัวเราะเลยนะ!! กูไม่ได้อยากได้สักหน่อย เฮ้อ” สายตาผมที่จับจ้องไปยังกล่องขนมหลากสีสัน ซึ่งถ้าเป็นปกติผมจะดีใจและพร้อมจัดการมันลงท้องอย่างไม่เกี่ยง แต่ขนมในกล่องตรงหน้านี้ผมกลับรู้สึกลำบากใจที่จะรับมันมา อาจเป็นเพราะผมพอจะเดาเจตนาคนให้ถูกก็ได้
“หึ ไม่อยากได้ ก็ปฏิเสธสิ รับมาทำไม” พูดเสียงเรียบพร้อมกับตักข้าวเข้าปาก สบายใจเลยนะมึง ทำไมกลายเป็นผมที่หายหิวขึ้นมาดื้อๆ
“ปฏิเสธได้ก็ดีสิวะ มึงต้องมาเห็นหน้าพี่เขาตอนยื่นขนมมาให้ ยิ้มซะกูไม่กล้าปฏิเสธ” ผมมุ่ยหน้า ยู่ปากตอบมันไป ไม่ใช่ไม่ลำบากใจนะเว้ย แต่จะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธน้ำใจเขาวะ
“บางอย่างมึงก็ควรชัดเจน ปฏิเสธตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้อะไรมันยืดยาวไปไกล ถึงวันนั้นตัวมึงเองนะที่จะลำบาก” ไอ้อินเงยหน้าจากจานข้าวมาพูดประโยคยาวเหยียดกับผม และผมก็รู้ว่ามันไม่ได้หมายถึงการให้ผมปฏิเสธการรับมาการองกล่องนี้มา
“แล้วกูจะเอาเหตุผลอะไรปฏิเสธวะ พี่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วที่สำคัญกูก็...กูไม่รู้ว่ะ” ผมขมวดคิ้วแน่นกับสิ่งที่กำลังตีกันอยู่ในหัว จริงอยู่ที่ผมรู้สึกลำบากใจ รู้สึกเหมือนว่าทำอะไรผิดกับคนๆหนึ่ง แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรชัดเจนพอที่จะทำให้ผมต้องปฏิเสธความหวังดีจากเขานี่ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
“เจ้า” เพื่อนสนิทตรงหน้าเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ
“หือ?”
“กูไม่ได้ให้มึงชัดเจนเพราะพี่เกียร์ ยังไงตอนนี้มึงกับพี่เขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กูแค่อยากให้มึงชัดเจนกับความรู้สึกของตัวมึงเอง มึงไม่ต้องตอบกูว่าความรู้สึกของมึงตอนนี้เป็นยังไง มึงตอบตัวเองให้ได้ก็พอ” ประโยคยาวเหยียดอีกครั้งจากปากเพื่อนสนิทไหลผ่านเข้าไปในสมองส่วนรับรู้และกำลังประมวลผลตามคำพูดเหล่านั้น ความรู้สึกข้างในรวมกับเหตุผลที่ได้รับมามันก็มากพอที่จะทำให้ผมได้คำตอบที่ใช้ตอบตัวเอง
แค่ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองก็พอ...ผมรู้แค่นั้น
“ขอบใจว่ะอิน กูเข้าใจแล้ว” เอ่ยบอกเพื่อนสนิทไปทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้า
“เข้าใจแล้วก็กินข้าว เขี่ยอยู่นั่น อีกชั่วโมงนึงก็เข้าห้องสอบละ”
“คร้าบบบๆ คุณอินทัช”
กับเรื่องเรียน เรื่องความรู้รอบตัว ผมถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ฉลาดรอบรู้ แต่กับเรื่องความรักผมก็คงต้องมีคนคอยช่วยให้คำปรึกษา เพราะสำหรับผม ความรักมันยากเสมอ
หลังจากจัดการอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราสองคนก็เก็บของเตรียมตัวเข้าสอบแคลคูลัส 1 วิชาพื้นฐานของเด็กสายวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เดินถึงหน้าห้องสอบก็เจอเพื่อนร่วมชั้นปีที่กำลังขะมักเขม้น กับการอ่านเอกสารประกอบการเรียน บางกลุ่มก็สุมหัวติวกันแบบไฟลุก โดยเฉพาะกลุ่มเดือนหน้าหล่ออย่างไอ้ว่าน ไอ้นาย และไอ้ซัน คิ้วนี่ขมวดรวมกันเป็นโบว์ละ
“แฮ่!!” สองเสียงประสานพร้อมยกมือเกาะไหล่ไอ้เพื่อนหน้าดีแต่ปากไม่ดีตามหน้า ฮ่าๆ
“เหี้ย!!!” ที่หน้ามึงไงซัน ฮ่าๆ มีมาทำมงทำมือลูบอก
“ฮ่าๆ ขวัญอ่อนจังนะคุณปฏิภาณ”
“ไอ้เจ้า ไอ้อิน เล่นอะไรของพวกมึงวะ ถ้าลิมิตกูตกใจหลุดออกจากสมองไป แล้วกูทำข้อสอบไม่ได้นะ พวกมึงต้องรับผิดชอบ!” มันหันมาชี้หน้าคาดโทษผมกับไอ้อิน แต่คิดหรือว่าพวกผมจะกลัว รู้แหละว่ามันขู่ไปงั้น คนแบบไอ้ซันก็งี้
“กูว่าถึงกูไม่แกล้ง มึงก็สอบไม่ได้ คนห่าอะไรอ่านหนังสือหน้าห้องสอบแล้วหวังผ่าน” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆไอ้นายที่ตอนนี้เลิกอ่านแล้วมานั่งควงดินสอกดเล่นแล้ว ไอ้อินเจ้าของประโยคเมื่อสักครู่ก็นั่งลงข้างไอ้ซัน ส่วนไอ้ว่านนั่งตรงกลาง
“คนแบบกูนี่แหละ มึงไม่รู้จักอัจฉริยะข้ามคืนหรือวะ คอยดูกูจะเอาเอมาปาหน้ามึงนะอิน” ไอ้ซันหันไปคุยโวแสดงความมั่นใจใส่ไอ้อิน
“กูจะรอดู ฮ่าๆ”
“เจ้า ข้อนี้ทำไงวะ” คุณว่าน ธีรเดช ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ชะเง้อคอ ยื่นชีทข้ามตักไอ้นายมาถามผม
“อ่าว มึงก็เขียนแล้วนี่ไง งงอะไรวะ” จริงครับ มันเขียนวิธีทำไว้เต็มหน้ากระดาษเลยครับ แต่ดันมาถามว่าทำยังไง อะไรของมึงเนี่ย
“กูลอกเขามา” เอ่อ..
“โอเค รู้เรื่อง ไอ้นายมึงจะฟังไหม ถ้าไม่ มึงสลับที่กับมันหน่อย”
“ฟังๆ”
แล้วผมก็ต้องเปิดคอร์สติวสดไฟท่วมชีทเป็นการสรุปรวบยอดแบบเนื้อเน้นๆ ปากอธิบายไป พยายามดึงความรู้ที่มีในหัวมาสอนมัน แต่รู้อะไรไหมครับ ภาพในหัวผมกลับเป็นใบหน้าคนๆหนึ่งที่คอยดุตอนผมงอแงไม่ยอมทำโจทย์ต่อ ข้อไหนผมทำไม่ได้ก็ด่าผมว่าโง่ ไม่ตั้งใจฟัง แต่ก็ยังคอยสอนให้ผมเข้าใจ มือที่ชอบตีหัวผมตอนแทนค่าผิดแต่ก็คอยลูบหัวผมตอนคำตอบออกมาตรงกับเฉลย คนที่แสดงออกแบบแข็งกระด้างแต่กลับทำให้หัวใจผมอบอุ่นเหมือนได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้า คนแบบพี่เกียร์นี่ไง
“เจ้า เจ้า ไอ้เจ้า!!!” ไอ้ว่านตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง
“ห๊ะ? อะไร” อยู่แค่นี้จะตะโกนทำไมวะ
“หยุดอธิบายทำไม เอาแต่ยิ้ม เป็นอะไรของมึง” ไอ้นายมันหันมาขมวดคิ้วถาม
“กูยิ้มหรอวะ”
“ก็เออสิ!!!!!” ประสานเสียงซะชัดเต็มสองหูกูเลยพวกมึง เออ รู้แล้ว คนมันมีความสุข ยิ้มไม่ได้หรือไง ได้แค่คิด ใครจะกล้าพูดออกไป
“หึ ใจลอยหาเจ้าของหัวใจหรือเจ้าของมาการองวะ” ไอ้อินมันชะโงกหน้ามาทิ้งระเบิดใส่ผม มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยยยยย
“อะไรวะ มาการองไหนวะ ไอ้เจ้าบอกกูมา” เอาล่ะ ไอ้ซันถึงกับเทชีทแคลฯมาถามขนาดนี้ ถ้ามึงตั้งใจอ่านหนังสือได้เท่ากับการตั้งใจเสือกตอนนี้ มึงคงได้เอแน่ๆซันเอ้ย
“ไม่มีอะไรโว้ย พอๆเตรียมตัวเข้าห้องสอบได้ล่ะ อะ! นั่นไง เขาให้เข้าห้องสอบแล้ว ไปๆลุกสินาย” ผมรีบตัดบทหยิบเครื่องเขียนที่จะใช้ทำข้อสอบเตรียมตัวเข้าห้องสอบ ขืนอยู่นานไม่วายจะต้องหาเรื่องมาแถกับไอ้พวกนี้อีก อินนะอิน ให้กูสอบเสร็จก่อนเถอะ กูจะฟ้องพี่พี!!!
“เออๆ ไปๆ” ไอ้นายมันก็ตอบรับหน้างงๆ ดีแล้วล่ะ อย่าเพิ่งฉลาดรู้ทันกูนะนาย
“สอบเสร็จกูจะมาง้างปากมึงแน่” ไอ้ซันหันมาส่งสายพร้อมเอ่ยประโยคคาดโทษไว้ กลัวตายแหละ ชิ
“ฮ่าๆ” มีความสุขเหลือเกินนะไอ้อิน
มีต่อด้านล่าง
ท่าเรือที่ 13
เจ้าพระยาเป็นเด็กขี้หวง
เคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นตัวการ์ตูนฮีโร่ที่มีแท่งเลือดอยู่ในระดับสีแดงขั้นต่ำสุดหรือเปล่าครับ
สภาพผมหลังสอบเสร็จเป็นแบบนั้นเลยทุกคน สมองแล่นช้า ขาแทบก้าวไม่ออก สิ่งเดียวที่อยากทำคือ นอนจนลืมโลกไปเลย เพราะในช่วงเวลาของการสอบกลางภาค ผมกับอีกหลายคนก็ใส่พลังความรู้ที่มีกันแบบเต็มพิกัด วิชาไหนไม่เข้าใจก็ซัดอ่านกันจนโต้รุ่ง จากที่เคยคิดว่าจะสบายๆเหมือนตอนสมัยมัธยมที่แค่ตั้งใจเรียนในห้อง ตอนสอบทบทวนอีกนิดหน่อยก็น่าจะพอ
เหอะ!
ใช้ไม่ได้กับการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจริงๆครับ วิชาเคมีที่เป็นตัวพื้นฐานก็ได้สำแดงฤทธิ์เดชจนเป็นที่ประจักษ์ว่า ที่ตั้งใจอยู่มันไม่พอ ฮือออออออ อาจารย์ครับที่ออกมานี่ตรงไหนหรือครับ
พอสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ผมจำได้ว่ากลับบ้านแบบสติน้อยมากและก็หลับยาวจนน้องพาวิ่งโร่ไปบอกแม่ให้โทรตามรถพยาบาลเพราะปลุกผมไม่ตื่น ก็คนมันง่วงนี่ ตื่นมาอีกทีในเช้าตรู่วันอาทิตย์ ตื่นได้เพราะความหิวล้วนๆเลย หิวจนไส้จะขาด ระบบทางเดินอาหารขาดวัตถุดิบในการทำหน้าที่ของมันเกือบครบยี่สิบสี่ชั่วโมง แม่ผมนี่รีบจัดการอุ่นอาหารให้แทบไม่ทันแถมยังมายืนหัวเราะใส่สภาพผมอีก
หลังสอบเสร็จก็ใช่ว่าจะได้หยุดพักยาว สัปดาห์ถัดมาก็ยังต้องกลับมาเรียนปกติรวมถึงผมที่ต้องกลับมาซ้อมหลีดในทุกๆเย็นเหมือนเดิมและดูเหมือนว่าจะซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะใกล้วันงานเข้าไปทุกทีแล้ว ฝ่ายอื่นก็เตรียมการกันขะมักเขม้นพร้อมที่จะขนไปแสดงความสามารถให้เหล่าว่าที่ผู้ร่วมวิชาชีพต่างสถาบันได้เห็น ซึ่งวันนี้ก็ซ้อมเข้าสู่ช่วงกลางสัปดาห์แล้ว เป็นปกติของทุกวันที่อินจะมานั่งรอ บางวันไอ้ภาคก็จะมาด้วย
ส่วนใครบางคนที่ตั้งแต่ผมสอบเสร็จจนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้เจอหน้าเลยครับ ได้แต่คุยกันผ่านตัวหนังสือในไลน์เห็นว่าช่วงนี้พี่มันยุ่งมาก ไหนจะยื่นเรื่องฝึกงานตอนซัมเมอร์แล้วก็เรื่องงานที่บ้าน เท่าที่รู้มาบ้านพี่เกียร์เปิดบริษัทเกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้าง ที่หากเอ่ยชื่อไปทุกคนก็คงจะต้องร้องอ๋อเป็นแน่แท้ เพราะชื่อบริษัทของบ้านพี่เกียร์แทบจะเด่นหลาอยู่ในทุกพื้นที่ของการก่อสร้างคอนโดหรืออาคารสำนักงานต่างๆที่ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดในป่าซีเมนต์แบบนี้ เห็นว่าตอนนี้กำลังตีตลาดไปแถวจังหวัดใหญ่ทางภาคเหนือที่กำลังเจริญขึ้นแบบก้าวกระโดด และการฝึกงานช่วงปิดเทอมใหญ่ก็คงไม่พ้นที่จะฝึกงานที่บริษัทบ้านตัวเอง เห็นพี่มันบอกว่า พ่อให้ไปฝึกเป็นเด็กส่งของที่บริษัท เออดี นี่สิเขาเรียกการไต่เต้าที่แท้จริง
เรื่องส่วนตัวรวมไปถึงเรื่องครอบครัวผมรู้ได้จากการที่คนตัวสูงเลือกที่จะเล่าให้ผมฟัง ผมไม่เคยเอ่ยปากถามเองทั้งหมด อาจจะมีบ้างเรื่องมีพี่น้องไหม ปกติอยู่กับใคร อะไรทำนองนี้ พี่เกียร์ก็จะเล่าขยายความออกมาเอง ส่วนผมก็จะเล่าเรื่องตัวเองบ้างเหมือนได้แลกเปลี่ยนและทำความรู้จักโลกอีกใบของคนๆหนึ่งที่มีอิทธิพลกับหัวใจผมมากในตอนนี้
RrrrrrrrRrrrrrrr
- ภาคพิสดาร –
“ฮัลโหล”
“(ไอ้เจ้า อยู่ไหนวะ?)” เสียงเพื่อนตัวสูงถามมาตามสาย แต่ทำไมเสียงรอบข้างมันดังจัง
“กำลังเดินเข้าคณะ มึงมีอะไร” ตอบออกไปในขณะที่เดินตามเส้นทางและมองเห็นป้ายคณะอยู่ไม่ไกล
“(มึงเดินมาโรงอาหารคณะมึงเลย เนี่ยกูอยู่กับไอ้อิน)” คุณภาคภูมิเขาว่ามาแบบนั้น ผมก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายเดินไปทางโรงอาหารของคณะ
“เออๆ ใกล้ถึงละ”
“(โอเค)”
สัญญาณถูกตัดโดยคนปลายสาย พร้อมกับที่ตัวผมเดินถึงโรงอาหารของคณะเภสัชฯพอดี สอดส่ายสายตามองหาไม่นานก็เจอเพื่อนตัวสูงโบกมือให้อยู่ในตำแหน่งโต๊ะประจำ ผมจึงก้าวเดินไปยังทิศทางนั้น คือที่วันนี้ไม่ได้นัดกินข้าวเช้ากับอินเพราะผมกินข้าวเช้ากับที่บ้านมาแล้ว ไหนๆวันนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้า พ่อกลับมาจากดูสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่ทั้งที
“มึงมาคณะกูทำไมวะ?”
“อ่าว ไอ้เจ้า ไม่คิดจะทักทายแต่เสือกถามคำถามหาเรื่องมาก” ไอ้ภาคที่นั่งอยู่ตรงข้ามอินมองผมด้วยหางตา เอ้า ก็ทักในโทรศัพท์ไปแล้วนี่หว่า แล้วคำถามผมมันหาเรื่องตรงไหนไม่ทราบ
“งั้นเอาใหม่ สวัสดีครับคุณภาคภูมิ เช้านี้อากาศดีไหมครับ ไม่ทราบว่าลมอะไรหอบเดือนคณะวิศวะสุดหล่อมาจนถึงคณะเภสัชฯของกระผมได้ครับ” ว่าจบก็ฉีกยิ้มหวานเอามือเท้าคางให้มันไปที อยากได้แบบนี้ใช่ปะ
“กวนตีน” ตอบซะสั้นเลย อุตส่าห์ถามมึงยาวๆเลยนะเนี่ย
“ฮ่าๆ” เพื่อนตัวเล็กกว่าผมถึงกับหลุดหัวเราะ
“แล้วสรุปว่าที่มานี่มีอะไร” วันนี้กูจะได้คำตอบจากมึงไหมภาค
“หึ ไม่มี”
“อ่าว”
“แต่จริงๆก็มี”
“เอ้า มึงนี่ สรุปมีหรือไม่มี...ไอ้อิน สรุปมันมีอะไร มันบอกมึงแล้วใช่ปะ” พอไม่ได้คำตอบจากเพื่อนจอมกวน ผมเลยจำเป็นต้องเบนเป้าหมายมาที่เพื่อนสนิทอีกคน
“กูก็ไม่รู้ มันบอกรอมึงมาแล้วบอกทีเดียว” อินบอกพร้อมส่ายหัวเป็นการยืนยัน แล้วก็หันกลับไปกินข้าวผัดหมูตรงหน้าเหมือนเดิม เดี๋ยว แล้วคือมึงไม่อยากรู้หรือไงเนี่ย
“งั้นมึงรีบบอกมา อย่ามาลีลา” หันไปชี้หน้าขู่ไอ้เพื่อนตัวดี
“คือว่า...” เว้นช่วงทำแปะอะไรอีก
“ว่า?”
“คือว่าวันนี้ตอนพักอ่ะ กูจะชวนมึงสองคนไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะกู”
“...”
“...”
“อ่าว เงียบทำไมกันวะ ไปมั้ย” ยังจะมีหน้ามาเร่งเอาคำตอบ
“เดี๋ยวนะ เรื่องที่จะบอก มีแค่นี้?” ผมถามเสียงสูงเพื่อย้ำเอาคำตอบอีกครั้งให้แน่ใจ
“ก็เออดิ แค่นี้แหละ ที่เล่นใหญ่ก็แค่จะแกล้งมึงอ่ะไอ้น้องเจ้า ฮ่าๆๆ”
“ไอ้เหี้ยภาคคคคคคค” ผมตะโกนด่ามันระยะประชิดเลยครับ มันน่าสนุกตรงไหนถึงมาแกล้งกูเนี่ย
“ฮ่าๆ” นี่ก็ขำไปกับเขาอีกนะไอ้อิน
“แกล้งมึงสนุกสุดแล้วเจ้า ฮ่าๆ”
“มึงแม่ง!” ผมยืดตัวขึ้นเชิดหน้ากอดอกใส่มัน บอกเลว่ากูงอน
“โอ๋ๆ ไม่เอางอนนะมึง นั่นๆทำปากยื่น เดี๋ยวปากมึงห้อยหมดหล่อนะเว้ย”
“เรื่องของกู” พูดใส่หน้ามันแล้วก็สะบัดหน้าหนี
“โอ๋ๆ อย่างอนกู จริงๆเหตุผลไม่ได้มีแค่นี้”
“กูไม่อยากรู้แล้ว รำคาญมึง”
“ไอ้น้องเจ้า ฟังกูก่อน คือเที่ยงนี้ที่โรงอาหารกูมีเล่นดนตรีประชาสัมพันธ์ค่ายจิตอาสาของคณะ กูเลยมาชวนมึงกับไอ้อินไปดูไง”
“คือพวกกูต้องไปหรอ แล้วเรื่องแค่นี้มึงบอกในไลน์ก็ได้ไหมวะ” ถ่อมาถึงคณะกูเพื่อบอกแค่เนี่ย
“เออน่ะ กูอยากมาบอกเอง ไปนะเว้ย” เพื่อนตัวสูงเอ่ยคะยั้นคะยอผมกับอิน ทำไมอยากให้ไปนักนะ
“เออๆ ไปก็ไป แต่...” หึหึ กูขอเอาคืนนิดนึงนะไอ้ภาค
“แต่อะไรวะ?” หัวคิ้วของคนหน้าหล่อดีกรีเดือนวิศวะปี 1 ยกขึ้นแสดงความสงสัย
“แต่มึงต้องเลี้ยงข้าวกลางวันกูกับไอ้อิน”
“ฮ่าๆ ได้เลยคุณเจ้าพระยา กระผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
อ่าว ทำไมยอมง่ายจังวะ แต่เออช่างเถอะ แค่มันเลี้ยงเจ้าก็โอเค อิอิ
ผ่านพ้นช่วงเวลาเรียนในคาบเช้าที่เป็นวิชาภาษาอังกฤษไป ผมกับอินก็ตกลงพากันนั่งเมล์วนไปที่คณะวิศวะฯตามคำชวนของไอ้ภาค คืออย่างงี้ครับไอ้ภาคมันไม่ได้มีแค่ใบหน้าหล่อๆไว้ประดับบารมีมันอย่างเดียวแต่มันยังมีความสามารถในด้านดนตรีด้วยก็คือเล่นกีต้าร์เก่งมากนั่นเอง การที่มันได้เป็นเดือนคณะวิศวะฯส่วนหนึ่งก็คงมาจากคะแนนด้านความสามารถพิเศษที่มันวาดลวดลายเล่นกีต้าร์คู่ใจบนเวทีการประกวดในวันนั้น
ใช้เวลาไม่นานผมกับอินก็มายืนอยู่ตรงหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่คุ้นเคย(?) ผมที่มาบ่อยจนเหมือนเป็นเด็กคณะนี้ ภาพคุ้นตาคงเห็นผมเดินมากับไอ้ภาคหรือไม่ก็...
นั่นแหละ
มากับรุ่นพี่ดีกรีเดือนคณะวิศวะฯปี 3 อย่างพี่เกียร์
“กูไลน์บอกไอ้ภาคแล้วนะว่าเรามาถึงคณะมันแล้ว มันบอกให้เดินไปโรงอาหารเลย มันเตรียมตัวอยู่” อินหันมาบอกผมพลางหย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงหลังจากใช้ส่งข้อความบอกเพื่อนเจ้าถิ่น
“อาฮะ งั้นไปกัน กูอยากกินข้าวไข่ข้นของดีประจำคณะนี้ว่ะ ไม่ได้กินนานละ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีเมื่อคิดถึงเมนูแสนอร่อยที่ไอ้ภาคเคยพามากิน
ตอนนี้ผมกับอินก็มาถึงที่ที่นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้ว มองเห็นจุดที่ใช้เป็นที่แสดงดนตรีประชาสัมพันธ์ค่ายอาสาของไอ้ภาคอยู่ไม่ไกล เจ้าตัวมันก็กำลังจัดของ เตรียมเครื่องดนตรีอยู่ ผมที่ไม่อยากเข้าไปรบกวนเวลาเป็นการเป็นงานของมัน ส่วนค่าข้าวค่อยตามเช็คบิลกับมันทีหลัง ผมก็เลยตัดสินใจหาโต๊ะที่ว่างอยู่แล้วชวนอินไปประจำที่รอดูดนตรี
“มึงจะไปซื้อข้าวเลยมั้ย” อินถามขึ้นมาพร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม
“ไป ตอนนี้กูหิวมว๊ากกกก” ยกมือลูบท้องแสดงอาการหิวเต็มที่
“ฮ่าๆ เว่อตลอด งั้นมึงไปซื้อก่อนเลย เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะเอง”
“มึงจะกินอะไรอ่ะ เดี๋ยวกูซื้อมาให้เลยก็ได้”
“ยังคิดไม่ออกว่ะ มึงไปซื้อเลย ขอนั่งคิดแปบ”
“อ่า ตามนั้นก็ได้”
เมื่ออินมันไม่ได้ฝากซื้อ ผมก็เลยเดินตัวปลิวไปที่ร้านข้าวไข้ข้นทันที ซึ่งคาดคะเนด้วยสายตาตอนนี้จำนวนคนในโรงอาหารและการต่อคิวแต่ละร้านก็คงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลย ด้วยจำนวนคนในคณะที่เยอะอยู่แล้ว ไหนจะคนนอกคณะที่เลือกจะมาชิมฝีมือแม่ครัวคณะนี้อีก หนักไปทางสาวๆซะเยอะ รวมถึงวันนี้ยังมีกิจกรรมประชาสัมพันธ์ค่ายอาสาที่ทำให้ดูเหมือนว่าคนจะเยอะขึ้นมาอีกนิด แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าพระยาคนนี้
เพราะเรื่องอาหารอร่อยๆ เจ้าเต็มใจรอ ฮ่าๆ
ตอนนี้ผมก็มายืนรอซื้ออาหารอยู่หน้าร้านที่ตั้งใจไว้ เมนูอาหารในใจก็ถูกเขียนลงในกระดาษส่งให้คุณป้าแม่ครัวแล้ว จากจำนวนแผ่นกระดาษที่ซ้อนกันนั้นผมก็คงต้องรอสักพัก ในระหว่างรอก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา พอมีสมาธิกับเกมผมก็เหมือนเริ่มหลุดจากโลกรอบข้างไป
ในขณะที่คะแนนในแถบแสดงสถิติของเกมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใจก็ลุ้นว่าอีกนิดผมกำลังจะทำลายสถิติเดิมของตัวเองแล้ว
หมับ!
“อ๊ะ!”
ขวับ!
“พี่เกียร์!”
“หึหึ ตกใจอะไรขนาดนั้นเตี้ย”
“โถ่ พี่อ่ะ เนี่ยพี่ทำผมตกใจ ผมแพ้เลยเนี่ย เกือบทำลายสถิติแล้ว เพราะพี่เลย หึ่ย!” ผมหันไปชูโทรศัพท์ที่มีคำว่า GAME OVER แล้วโวยวายใส่คนตัวสูงที่อยู่ดีๆก็โผล่มา แถมทำให้ผมตกใจด้วยการยกแขนมากอดคอแบบไม่ได้ตั้งตัว
“ฮ่าๆ”
“ไม่ตลก หยุดหัวเราะเลยนะ แล้วแขนเนี่ยเอาลงไปเลย อย่ามาเนียน” ส่งสายตาคาดโทษไปให้เจ้าของท่อนแขนที่พาดอยู่บนไหล่ ไม่ได้สำนึกเลยนะไอ้พี่บ้าเอ้ย
“อ่าๆ แล้ววันนี้ทำไมมากินข้าวที่นี่” เจ้าของนัยน์ตาคมเอ่ยถามขึ้นมา
“ไอ้ภาคมันชวนมาดูมันเล่นดนตรีโปรโมทค่าย”
“อ่า ใกล้ไปค่ายแล้วหรอวะ” คนตัวสูงพึมพำกับตัวเอง สงสัยจะยุ่งจริง ถึงกับลืมกิจกรรมของคณะ
“แล้วที่สำคัญไอ้ภาคมันเลี้ยงข้าวด้วย ของฟรีเจ้าไม่พลาดหรอก ฮ่าๆ”
“หึหึ เอ๋อเอ้ย” ว่าผมเอ๋อไม่พอ แถมยังยกมือขึ้นมายีหัวผมจนเส้นผมกระจาย นัยน์ตาคมที่ติดดุน้อยๆกลับเปลี่ยนเป็นแววตาวาววับ รอยยิ้มที่มากกว่ายิ้มมุมปากก็ปรากฏขึ้น
ผมชอบให้พี่เกียร์ทำหน้าแบบนี้จัง
หมับ!
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะเกียร์”
เสียงหวานของผู้มาใหม่ดังขึ้น ผมหันมองตามเสียงนั้นก็เห็นสาวสวยที่ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางแบบเต็มสูตร เส้นผมยาวสีน้ำตาลสว่างเพราะถูกเคลือบไปด้วยสีสังเคราะห์ หุ่นบางแต่มีสัดส่วนเป็นสเป็กของผู้ชายส่วนใหญ่ ชุดนักศึกษาที่ใส่ก็พอดีตัวจนผมคิดว่าน่าจะเล็กกว่าไซซ์ปกติของเจ้าตัวไปหนึ่งไซซ์
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือความคุ้นเคยที่ฝ่ายหญิงแสดงออกมาด้วยการยกแขนเล็กคล้องไปกับท่อนแขนแข็งแรงอีกข้างของพี่เกียร์เพื่อประกอบการทักทาย
“อ่อครับ” คนตัวสูงตอบรับ
“เกียร์สบายดีนะคะ”
“ก็สบายดีครับ ยุ่งๆนิดหน่อย กรีนล่ะ?”
“กรีนสบายดี แต่พอไม่ได้เจอเกียร์ก็...คิดถึง”
กึก
ประโยคสนทนาที่มีคำๆหนึ่งทำให้ผมรู้สึกขัดๆ เป็นเสียงหวานๆติดอ้อนน้อยๆ ที่ผมควรจะมองว่ามันน่ารัก แต่ในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันคันยุบยิบแปลกๆในใจ พอมองไปที่ใบหน้าเจ้าของเสียง ก็เห็นสายตาพราวระยิบสื่อความหมายบางอย่าง แล้วทำไมผมต้องรู้สึกไม่ชอบใจด้วยนะ
ผมโมโหหิวหรอ? หิวแน่ๆ
พี่เกียร์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรไป มีเพียงแค่รอยยิ้มมุมปาก นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด ขัดหูขัดตาไปหมด
“แล้วนี่รุ่นน้องหรอคะ ทำไมกรีนคุ้นหน้าจัง”
“นี่เจ้าพระยาครับ เป็น..”
“รุ่นน้องต่างคณะครับ พอดีผมเป็นเพื่อนกับเด็กคณะนี้” ผมชิงตอบตัดบทพี่เกียร์จนคนตัวสูงหันมาขมวดคิ้วใส่ผม
“อ๋อ พี่จำได้แล้ว คนนี้นี่เองที่เป็นคู่จิ้นกับเกียร์ใช่มั้ย พี่ชื่อกรีนนะคะ” พี่กรีนแนะนำตัวกับผม ประโยคยืดยาวที่ดูไม่มีอะไรแต่สายตาที่ส่งมามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เขาอยากรู้จักผม
“ครับ”
“เกียร์สั่งข้าวหรือยังคะ ให้กรีนสั่งให้มั้ย เมื่อกี้กรีนสั่งไปแล้ว” ร่างอวบอิ่มหันไปให้ความสนใจกับคนตัวสูง แขนที่คล้องเกี่ยวกันอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ความแนบชิดทำให้อะไรบางสิ่งบางอย่างนุ่มนิ่มสัมผัสกับท่อนแขนแข็งแรงนั่นแล้วไอ้พี่เกียร์นี่ก็ยังไง ให้เกียรติผู้หญิงหน่อยสิมายืนนิ่งทำเนียนไปได้ ชอบมากหรือไงวะ ความโมโหหิว(?)ของผมมันมากขึ้นจนรู้สึกได้ เมื่อไหร่ป้าจะทำเสร็จเนี่ย
และสงสัยความหงุดหงิดของผมจะส่งไปถึงป้าแม่ครัว
“ข้าวไข่ข้นพิเศษไข่สองฟองได้แล้วจ้า”
“ครับ / ค่ะป้า”
หือ?
ผมกับพี่กรีนยื่นมือออกไปรับข้าวไข่ข้นพร้อมกัน ต่างคนต่างจับคนละด้านของขอบจาน โดยที่ป้าก็ยังไม่ปล่อยจานอีกด้าน สายตาของป้ามองผมกับพี่กรีนสลับไปสลับมาแสดงถึงความไม่แน่ใจว่าของใครกันแน่ ผมก็เลยหันไปสบตากับพี่กรีน มองเห็นรอยยิ้มที่ส่งมาเพียงแต่ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความจริงใจ อาจจะเป็นเพราะแววตาคมแข็งนั้น ที่แสดงชัดมากว่าจะไม่ยอมปล่อยข้าวจานนี้แน่ๆ ส่วนผมหรือครับ
ผมเคยบอกทุกคนไปหรือยังว่า..
ผมเป็นเด็กหวงของ
“ป้าครับ จานนี้ของผมหรือเปล่าครับ?” ผมเบนสายตาหันไปถามป้าเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะผมคิดว่านี่มันของผม ก็ผมมาก่อน ยืนรอนานแล้ว พี่กรีนน่าจะเพิ่งสั่งไป
“เอ่อ...”
“น้องเจ้าคะ แต่พี่ก็สั่งเมนูนี้นะคะ”
“ครับ..ป้าครับนี่ของใครครับ?” ผมตอบรับพี่กรีนเพียงสั้นๆแล้วหันไปถามป้าอีกครั้ง
“เจ้า ให้กรีนก่อนก็ได้มั้ง?”
ขวับ!
เสียงเรียบทุ้มเอ่ยขึ้นมาจากด้านหลัง เจ้าของเสียงยืนอยู่ระหว่างผมกับพี่กรีน แค่ประโยคสั้นๆนั้น ทำไมรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงจัง ผมรู้ตัวเองว่าถ้าเป็นปกติผมคงถอยและยอมให้ง่ายๆแล้ว เพราะผมไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่ตอนนี้ผมว่าผมไม่ปกติ และรู้สึกว่า ผมไม่ยอมอ่ะ
“ขอโทษนะครับ...ป้าครับ ป้าทำของแผ่นไหนครับ” หันไปถามป้าพร้อมกับชี้นิ้วไปยังแท่นเสียบกระดาษที่เขียนเมนู
“อ้อ นี่ค่ะ ป้าทำแผ่นนี้ ของใครลูก” ป้ารีบกุลีกุจอหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาให้ และตัวหนังสือบนกระดาษแผ่นนั้น มันลายมือผมเอง
“ของผมเองครับ” ผมยิ้มให้ป้าอีกครั้ง และเลือกที่จะไม่หันไปมองคนทั้งคู่ที่ยืนเงียบ
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขึ้นมาเพราะพี่กรีนยอมสะบัดมือจากจานข้าวไข้ข้นของผม ใช่ครับไม่ปล่อยธรรมดา สะบัดออกเหมือนจานมันร้อนเลย ผมเลือกที่จะไม่สบตา แต่รีบชักมือกลับมาพร้อมยื่นเงินให้ป้าพอดีกับราคาข้าวจานนี้ และตัดสินใจหมุนตัวเดินออกมาด้านข้างเพื่อที่จะไปหยิบช้อนส้อมในจุดบริการช้อนส้อมตรงเสาถัดไป
บอกตรงๆว่าผมอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก มันเป็นการกระทำที่งี่เง่าและไร้สาระมากกับการแย่งข้าวแค่จานเดียว ถึงจะมั่นใจมากว่าเป็นของผมแต่พอได้มาจริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีใจขึ้นมาเหมือนที่คิดไว้
ไม่ดีใจเพราะรู้สึกไม่ดีที่ทำอะไรไร้สาระ หรือ เพราะใครอีกคนเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนั้น
“อ๊ะ!” นั่นช้อนคันสุดท้ายของผม หิวนะว้อย
ขวับ!
“เอามา” พอรู้ว่าเป็นใคร ผมก็ยื่นมือออกไปขอช้อนคันสุดท้ายที่เจ้าตัวหยิบตัดหน้าแกล้งผม
“หึหึ ไม่ให้”
“พี่เกียร์ เอามา ผมหิวแล้ว ไอ้อินรอ” ผมบอกเสียงต่ำพร้อมทั้งพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะที่อินนั่งรอ ซึ่งตอนนี้อินไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว กลุ่มแก๊งค์ของคนตรงหน้าผมก็นั่งอยู่กันครบ
“โมโหหิวหรือไง เอาไป กูสงสารคนหิวจนตาขวางหรอก ข้าวจานเดียวก็ไม่ยกให้ใคร เตี้ยเอ้ย หึหึ”
“แล้วทำไมผมต้องยกให้อ่ะ ก็นี่ของผม” ผมตอบสวนกลับพี่เกียร์ทันทีพร้อมทั้งยกจานข้าวขึ้นให้คนตัวสูงดูเพื่อย้ำว่าของผม
“ฮ่าๆขี้หวงนะเรา” ยัง ยังจะมาขำใส่อีก
“เออ ผมขี้หวง อะไรที่เป็นของผม ผมก็หวงหมดนั่นแหละ!”
พูดจบผมก็เบี่ยงตัวเพื่อที่เดินไปให้ถึงโต๊ะเร็วๆ ขี้เกียจเถียงกับคนบางคนแล้ว แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้า
“งั้นก็หวงกูเยอะๆนะ”
กึก
ก้าวเดินถึงกับชะงัก เพราะเสียงทุ้มที่เป็นเพียงเสียงกระซิบเอ่ยขึ้นมาใกล้ๆหูผม
“...?”
“เพราะใจกูเป็นของมึงแล้ว”
“...!!”
จานข้าวเกือบหลุดมือ ผมจ้องหน้าคนที่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา
เลี่ยนกว่าข้าวไข่ข้น ก็คำพูดหยอดของคนตรงหน้านี่แหละ
ต่อด้านล่างค่ะ
ท่าเรือที่ 14
หลบหน่อยเรือจะแล่น
“แม่คร้าบ เจ้าไปก่อนน้า”
“เอ้า ไปยังไงล่ะลูก”
“เจ้าว่าจะเดินไปครับ”
“แต่เอ้ ทำไมรีบออกไปแต่เช้าขนาดนี้น้า คิคิ”
“อ่า ก็เจ้าจะเดินไปไง เช้านี้อากาศดีม๊าก มาก”
“จ่ะ แม่เชื่อ”
“ที่รักอ่ะ อย่าทำหน้าแซ็วเจ้าสิ”
“แม่เปล่าน้า”
“เจ้าไปดีกว่า”
“เดินดีๆนะเจ้าพระยา แล้วก็อย่าลืมพา ‘รุ่นพี่คนนั้น’ มาเที่ยวบ้านเราบ้างล่ะ แม่อยากเจอ”
รอยยิ้มทิ้งทายที่แสดงสีหน้าชัดเจนว่าแม่อยากเจอ ‘รุ่นพี่คนนั้น’ จริงๆ
เลี่ยงที่จะให้มาที่บ้านทุกรอบที่เขามาส่ง เพราะผมเลือกที่จะให้จอดหน้าร้านกาแฟตรงหัวมุมแทนที่จะให้เขามาส่งที่หน้าบ้าน คนมาส่งไม่ถามอะไรมากแต่คนที่บ้านผมนี่สิ พอรู้ว่าคนมาส่งไม่ใช่ไอ้ภาคเพื่อนสนิทที่ร่วมผจญภัยในโลกใบใหญ่ตั้งแต่เด็ก แต่กลับเป็นรุ่นพี่ต่างคณะก็เลยขยันสอบปากคำผม หนักกว่าคุณแม่สุดที่รักก็คือน้องสาวสุดแสบนี่แหละ ผมก็ได้บอกคนในบ้านไปแค่ว่า ทางผ่านบ้านพี่เขาพอดี หารู้ไม่ว่า คนร่างสูงนอนคอนโดสุดหรูราคาสะเทือนบัญชีธนาคารผมแถวๆมหาวิทยาลัย เอาเป็นว่า ให้ผมทำความรู้จักเขาให้ดีกว่านี้ก่อน ถึงวันนั้นผมจะพามาให้ครอบครัวผมรู้จักเองแหละน่า
บทสนทนาที่เพิ่งจบไป พร้อมกับตัวผมที่อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีชมพูอ่อนจางๆ กางเกงขาสั้นทรงสบายๆที่เลยเข่าขึ้นมาครึ่งฝ่ามือ รองเท้าผ้าใบแบรนด์ยอดฮิตสีขาว ก็ก้าวออกจากบ้านที่หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ หันหน้าไปยังทิศทางของอาคารยอดพิมานที่หลายคนคงรู้จักกันดี
ผมจะไปไหน?
หลายคนก็คงตั้งคำถามนี้ และบางคนก็คงรู้ล่วงหน้าไปก่อนตัวผมแล้วด้วยซ้ำ ถ้ายังจำบทสนทนาล่าสุดที่เจ้าของใบสั่งบทเพลงสุดท้ายในวันประชาสัมพันธ์ค่ายจิตอาสาของพวกปี 1 คณะวิศวะฯ ได้ดี
ที่พี่เกียร์ชวนผมไปเดท
ฮึ่ย
แค่ทวนคำๆนั้นอุณหภูมิบนใบหน้าก็สูงขึ้นมาซะดื้อๆ
เหตุการณ์ในวันนั้นหลังจากที่ผมได้รับข้อความสั้นๆจากคนตัวสูง ผมก็ไม่ได้ส่งข้อความตกลงหรือปฏิเสธอะไรไป มีเพียงรอยยิ้มกว้างมากกับแววตาที่เอาแต่จ้องโทรศัพท์ในมือไม่หยุด การเงยหน้าแล้วหันไปสบตาเจ้าของข้อความที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดิมด้านหลังก็คงเป็นอะไรที่คิดผิด เพราะสายตาคมที่นัยน์ตาติดดุจ้องมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว แววตาที่แสดงชัดถึงเจตนาว่าจริงจังกับคำชวนนั้น แล้วสีหน้าที่ผมแสดงออกไปโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันมีความหมายแบบไหน ถึงทำให้พี่เกียร์ยิ้มกว้างขนาดนั้น แล้วสรุปว่าผมก็ไม่ได้ตอบข้อความอะไรไปจริงๆ และนึกว่าวันต่อมารุ่นพี่ต่างคณะจะมาเค้นเอาคำตอบ แต่เปล่าเลย พี่เกียร์ไม่ได้มารอผมซ้อมหลีด ยิ่งไปกว่านั้นคือแทบไม่ได้เจอหน้า ข้อความที่ส่งมาก็มีแต่ถามว่า
‘กินข้าวยัง?’
‘วันนี้ซ้อมหรือเปล่า’
แค่นี้จริงๆ
ตอนแรกก็ว่าจะถามว่าเป็นอะไร แต่ก็ได้คำตอบจากไอ้ภาคว่า พี่เกียร์ติดทำโปรเจ็คต์ของปี 3 เห็นว่ายากมาก ฝากให้มันมารับผมไปส่งที่บ้าน ทั้งๆที่ผมก็ยืนกรานว่าจะกลับเอง พี่นะพี่ ทำเหมือนผมเป็นเด็กต้องมีผู้ปกครองมาคอยรับส่งตลอดเวลาอยู่ได้ แต่คำตอบที่หลุดมาจากไอ้ภาคก็ทำผมเงียบกริบ
‘เอาสิ ถ้ามึงอยากเห็นพี่เกียร์หัวร้อนไม่เป็นอันทำงาน แล้วเหาะมารับมึงแทน’
แค่นั้นแหละ
ตกอยู่ในสภาพจำยอม แต่ไม่จำใจเลยกู
ห่วงขนาดนี้นี่ รุ่นพี่ หรือ พ่อ
พอเมื่อวานตอนเย็นคนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบสี่วันก็เดินล้วงกระเป๋ามาตรงที่ผมซ้อมหลีด ไม่ใช่แค่ทำลายสมาธิผม เพราะทั้งรุ่นพี่ ทั้งเพื่อนรอบข้างต่างหยุดซ้อมแล้วหันไปทางเดียวกับผม ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไง คนบ้าอะไร ถึงขอบตาจะคล้ำเป็นญาติกับหลินปิงยังไง ออร่าความเป็นหนุ่มฮ็อตประจำมหาลัยก็ยังพุ่งชนเพดานอยู่ดี แล้วยิ่งตอนนี้คือ ผมทรงใหม่ ไม่สิ สีใหม่ด้วย จากผมสีดำเข้มรับกับนัยน์ตาดุ ตอนนี้กลายเป็นสีเทาเข้ม ไม่ได้สว่างจนสะดุดตาแต่ถ้าเผลอจ้องลมหายใจก็สะดุดเหมือนกันอ่ะ โหย อิจฉา!! ไหนว่างานเยอะ เอาเวลาที่ไหนไปทำเนี่ย
จากที่หล่ออยู่แล้ว ยอมรับเลยว่าตอนนี้
หล่อฉิบหาย!!
เมื่อถึงเวลาเลิกซ้อม พี่เขาก็ไม่พูดอะไร มีเพียงขวดน้ำเย็นที่ยื่นมาพร้อมกับหยิบกระเป๋าผมไปสะพายแล้วเดินนำไปยังลานจอดรถ เส้นทางที่คุ้นเคยที่เดินตามหลังแบบนี้มาเป็นเดือน ไอ้ขานี่ก็ใจง่ายเดินตามไปเฉยๆทั้งที่ผมควรจะอ้าปากถามถึงสิ่งที่สงสัยมาหลายวัน
สรุปพรุ่งนี้กูต้องไปเดทอยู่ไหม?
คำตอบของคำถามบรรทัดบนที่คิดว่าคงไม่ได้ถาม แต่ก็ได้รับเมื่อรถมาจอดอยู่ตรงหน้าร้านกาแฟตรงหัวมุมร้านเดิม
‘พรุ่งนี้จะให้มารับกี่โมง?’
‘ห๊ะ?’ อึ้งไปสามวิ เอ้า นึกจะพูดก็พูด
‘สัก 8 โมงเช้ามั้ย?’
‘เดี๋ยว ๆ อ่า ก็ได้ แต่ไม่ต้องมารับผมหรอก เจอกันที่ยอดพิมานเลย พี่เอารถไปจอดนั่นแหละ’ จากตอนแรกจะถามแทรกอะไรไปก่อน แต่แววตาที่มองมาเจือคำถามว่า จะเดี๋ยวอะไรอีกไอ้เตี้ย
ก็ไหลตามน้ำไปแล้วกัน
‘หืม เอารถไปจอด แล้วจะไปไหน ยังไง’ พี่เกียร์ถามด้วยความสงสัย ส่วนผมที่อยู่ดีๆอะไรบางอย่างก็แล่นมาในหัวถึงได้บอกให้พี่เกียร์ไปเจอกันที่ยอดพิมาน
เพราะอะไรน่ะหรือ?
เพราะผมจะพาเขาเปิดประสบการณ์ใหม่ตามแบบฉบับเด็กที่โตมาริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ในเช้าวันเสาร์เวลาเกือบจะแปดโมงเช้านี้ ผมเลยเดินรับแสงแดดอ่อนๆจากบ้านเพื่อไปยอดพิมาน แต่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวอาคาร แต่เป็นท่าเรือต่างหาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินมาถึงจุดที่นัดหมายก่อนเวลานิดหน่อย แซนวิสกับนมอุ่นก็เป็นอาหารเช้ารองท้องอย่างดีที่ไม่ทำให้ผมรู้สึกหิวเมื่อต้องใช้พลังงานในการเดินเท้า
RrrrrrrRrrrrrrr
แรงสั่นของเครื่องมือสารในกระเป๋าเสื้อฮู้ดสะเทือนขึ้นระหว่างที่ผมนั่งบนม้านั่งริมระเบียงที่ยื่นออกไปเป็นท่าเรือทำให้รู้สึกตัว ล้วงมือเข้าไปหยิบขึ้นมาดูชื่อผู้มีความประสงค์จะติดต่อกับผม
อ่า คงถึงแล้ว
ติ๊ด
“อาฮะ”
(อยู่ตรงไหน?)
“พี่มาถึงแล้วหรือ” ถามคำถามโง่ๆอีกแล้วกู
(อืม)
“ผมนั่งอยู่ตรงทางออกท่าเรือ N6/1 อ่ะพี่” เอ่ยบอกตำแหน่งตัวเองกับคนปลายสาย
(หือ? โอเค กำลังเดินไป) ถึงแม้จะมีเสียงอุทานด้วยความสงสัยแต่คนร่างสูงก็เลือกที่จะยังไม่ถามผ่านโทรศัพท์
สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปแล้ว ผมเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อฮู้ดเช่นเดิม พร้อมกับสายตาทอดมองไปยังสายน้ำด้านหน้า เรือเล็กแบบเช่าเหมาลำที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวยามเช้าแล่นผ่านหน้าไป กลิ่นน้ำ กลิ่นควันของเครื่องยนต์เรือจางๆลอยเข้ามาปะทะจมูก แต่ก็ไม่ได้เห็นจนต้องยกมือมาปิดป้องอะไร กลับทำให้รู้สึกดีตามแบบที่คุ้นเคย
แปะ
“อ๊ะ”
สัมผัสหนักบนศีรษะทำให้ผมต้องหันมองตามแล้วก็พบกับรอยยิ้มของรุ่นพี่ต่างคณะ
“รอนานหรือยัง?” เสียงทุ้มเอ่ยถามโดยที่ยังไม่เอามือออกจากหัวผม
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ถึงก่อนพี่แปบเดียวเอง”
“เอ๋อ แล้วทำไมถึงนัดที่นี่” หัวคิ้วเจ้าของคำถามกระตุกชนกันนิดหน่อยประกอบความสงสัย
“อิอิ ก็ไปเที่ยวไง”
“หือ? ไปเที่ยว? แล้วให้กูเอารถมาจอดที่นี่ทำไม” เดือนคณะวิศวะฯปี 3 เอ่ยถามพร้อมทั้งพาตัวเองนั่งลงตรงที่ว่างข้างผม
“ก็ที่ที่เราจะไปไม่จำเป็นต้องใช้รถราคาหลายล้านของพี่หรอก”
“จะไปไหน?” พี่เกียร์ถามเสียงต่ำ ส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้คนคิดแผนการเที่ยวแบบไม่ปรึกษา
“เชื่อสิว่าพี่ต้องสนุก เพราะผม...จะพาพี่ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา” เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ภูมิใจนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวสำหรับวันนี้
คนที่มีความสงสัยอยู่เต็มหัวได้แต่ทำหน้านิ่งมองผมที่ลอยหน้าลอยตายิ้มตาหยี จนตัวผมเองที่มัวแต่โม้ยิ้มค้างกลางอากาศ เอ๊ะ หรือพี่มันจะไม่โอเควะ
“เอ่อ พี่เกียร์ พี่ไปเที่ยวแบบนี้ได้ปะ ผมก็ลืมถาม” คือคุณชายเขาจะชินกับการเดินห้าง เที่ยวหรูๆมั้ย
“แล้วทำไมคิดว่ากูจะไปไม่ได้”
“เอ้า ก็แบบลุคคุณชายแบบพี่ไง ไปเที่ยวแบบนี้ไม่เย็นเหมือนเดินตากแอร์ในห้างนะ”
“หึ แล้วคิดว่าว่าที่วิศวกรโยธาอย่างกู ทำงานในห้องแอร์หรอเอ๋อ” คนข้างๆตอบมาเสียงเรียบแถวยกมือใหญ่มาโคลงหัวผม
“ก็คิดว่าไม่ชอบไปที่ร้อนๆคนเยอะๆ”
“ที่ไหนมีมึง กูก็ชอบทั้งนั้นแหละ”
ขวับ
...ฉ่า...
ถ้าหันไปแล้วเจอรอยยิ้มแบบนี้ กูยอมมุดเข้าฮู้ดว้อย
ปรี๊ดดดดดดดดดด
“ปลายทางท่าน้ำนนท์คร้าบ เตรียมตัวคร้าบ หลบผู้โดยสายลงท่าก่อนคร้าบ”
“อ่ะ” เสียงนกหวีดของพนักงานท้ายเรือ บวกกับเสียงบอกจุดหมายปลายทางของเรือโดยสารเจ้าพระยา ทำให้ได้สติจากอาการตกใจค้างในคำพูดของคนเจ้าเล่ห์ พอหันไปมองธงที่ปักอยู่ท้ายเรือก็ทำให้รู้ได้ว่า เรือสายที่รอคอยเข้าเทียบท่าแล้ว
“ไปพี่ ลุกเร็ว เรือมาแล้ว”
“ห๊ะ!”
ไม่ทันให้พี่เกียร์ตกใจ ผมก็คว้าข้อมือใหญ่ที่กำไม่รอบฉุดให้ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไปยังท่าเรือตรงหน้า ยังดีที่อยู่ในช่วงกำลังรอคนบนเรือลงท่านี้พอดี พอได้สัญญาณจากคนที่ยืนรอข้างหน้าก้าวขึ้นไปบนเรือโดยสารคนด้านหลังก็ก้าวตามขึ้นไปจนมาถึงผมกับพี่เกียร์ที่ต้องก้าวตาม ข้อมือของคนตัวสูงที่ผมจับอยู่ๆก็บิดออกจากสัมผัสมือผมให้รู้สึกหวิวเบาๆ แต่ความรู้สึกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นฟองฟูลอยเต็มหัวใจเมื่อฝ่ามือใหญ่จับที่ข้อมือผมจนกำได้รอบ แล้วก้าวเดินไปยืนอยู่ด้านหน้าของผม การกระทำที่เราไม่แม้แต่จะหันมาสบตากันมีเพียงผมที่มองผ่านลาดไหล่กว้างไป เห็นปลายคางที่วันนี้เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา
ผมสารภาพเลยตรงนี้ ว่าอบอุ่นกว่าแสงแดดแปดโมงที่โลมเลีย ก็พี่เกียร์นี่แหละ
พาก้าวมาบนตัวเรือโดยสาร พี่เกียร์ที่วันนี้มาในชุดเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีเทาเข้ม เหน็บด้วยแว่นกันแดดทรงสวย กางเกงยีนส์ขาดเข่าเล็กน้อย รองเท้าผ้าใบแบรนด์เดียวกับผมแต่คนละรุ่น เพราะรุ่นที่พี่เกียร์ใส่มันแพงมาก ทรงผมสีใหม่ที่ถูกเซ็ทลวกๆแบบที่ด้านหน้ายังหล่นมาปกคิ้วบ้าง ก็เดินนำเข้าไปข้างใน การแต่งตัวแบบผู้ชายทั่วไป แต่สำหรับพี่เกียร์มันยิ่งทำให้ทั้งหน้าทั้งหุ่นเขาดูน่าสนใจ ทำไมยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกว่าพี่เกียร์โคตรหล่อเลยวะ หมั่นไส้!
เช้าๆวันเสาร์แบบนี้ถึงจะมีนักท่องเที่ยวเยอะแต่ก็ยังมีที่นั่งว่างอยู่ พี่เกียร์ดันตัวผมให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ด้านในชิดกราบเรือ โดยที่ตัวเองก็นั่งติดช่องว่างกลางเรือ ไอ้ผมก็ไม่อะไรแต่ตอนนี้นั่งแล้วไง ทำไมไม่ปล่อยมือ
พี่เกียร์หน้ามึนจับมือผมบ่อยนะ แต่วันนี้มันแปลกๆอ่า
“เอ่อ พี่”
“หือ?”
“เอ่อ...” ผมปรายตามองมือตัวเองที่ถูกคนตัวสูงกำข้อมือไว้เหมือนเดิม แถมเอาไปวางไว้บนหน้าขาตัวเองอีก
มันใช่ไหมเนี่ยยยย
“ฮึ อะไรเตี้ย” ยัง ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก รู้นะว่ารู้ตัวอ่ะ
“เอ๊ะ พี่นี่”
“หึหึ จับไว้แหละดีแล้ว เดี๋ยวปลาทองแถวนี้จะโดดลงไปเล่นน้ำ” ประโยคหยอกล้อที่หน้าตาคนพูดก็ล้อเลียนผม
“นี่พี่เกียร์ ผมเป็นคน ไม่ใช่ปลาทอง”
“โอ๊ย! ต่อยทำไม เดี๋ยวจะโดน” คนตัวสูงยกแขนที่ว่างอีกข้างกุมที่ต้นแขนข้างที่ถูกผมปล่อยหมัดไปกระแทก ไม่แรงแต่ก็มีปวดหนึบๆล่ะวะ
“เฮอะ สมน้ำหน้า ต่อยแค่นี้ทำสำออย” หันไปแลบลิ้นปิดท้ายประโยคใส่คนข้างๆ
“นั่งนิ่งๆไปเลย” เสียงเรียบนิ่งว่าตามนั้นแต่มือที่เหมือนคีมเหล็กก็ไม่ปล่อยออกจากข้อมือผมอยู่ดี เออ แล้วแต่เลยแล้วกัน จับให้ตลอดนะ ฮึ่ยยย
“พี่เกียร์ ผมถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่า?” ตอบรับนะ แต่ตามองไปริมแม่น้ำนู่น
“ทำไมหลายวันที่ผ่านมาพี่ไม่เห็นถามผมเลยอ่ะ ว่าตกลงจะมากับพี่หรือเปล่า?” คำถามที่คาใจอยู่หลายวันหลุดออกจากปากผมจนได้
“ไม่อ่ะ”
“ทำไม?” ผมคิ้วชนกันกว่าเดิมกับคำตอบที่ได้รับ อะไรของพี่มันวะ
“เดี๋ยวมึงปฏิเสธ”
“ห๊ะ!”
...ก็คิดได้เนอะ...
“ตกใจไรเตี้ย แล้วนี่จะพากูไปไหน?” คนนัยน์ตาคมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง ไม่สนที่จะอธิบายสิ่งที่ผมสงสัยไปมากกว่านี้
“ก็ไปเที่ยวไง พี่คงเที่ยวห้าง เที่ยวผับ เที่ยวบาร์มาเยอะแล้ว ไปวัดทำบุญ ตะลุยหาของกินอร่อยๆดีกว่า” ร่ายยาวให้คนตัวสูงฟัง
“ฮึ ไม่พ้นเรื่องกิน”
“เฮ้ย พี่อย่าดูถูกนะ ขนมที่วังหลังโคตรรอร่อย แต่ก่อนไปถึงวังหลังเดี๋ยวเราแวะวัดอรุณฯก่อน เคยไปปะ”
“ไม่เคย”
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวผมพาไป แล้วที่นี้เราก็จะข้ามฟากไปวัดโพธิ์ แล้วก็เดินไปท่ามหาราช ต่อด้วยข้ามฟากอีกทีไปวังหลัง หาอะไรกินแล้วก็เดินไปให้อาหารปลาที่วัดระฆัง แล้ว แล้วไปไหนอีกดีนะ” ท้ายประโยคยาวเหยียดผมพึมพำกับตัวเอง โดยลืมสงสัยไปว่าคนข้างตัวเอาแต่เงียบ
พอเงยหน้าหันไปมองก็สบตากับรุ่นพี่มองมาพร้อมกับรอยยิ้มที่บ่งบอกว่ากำลัง...เอ็นดู
“ยิ้มอะไรเนี่ย”
“ทริปนี้นอกจากกูจะอิ่มท้องแล้ว คงอิ่มบุญด้วยสินะ ฮ่าๆ”
“แน่นอน เอ๊ะ หรือว่าพี่เข้าวัดไม่ได้ ร้อนหรอ? คิกคิก โอ๊ย นี่หน้าผากคนนะไม่ใช่ลูกแก้ว ดีดอยู่ได้” ผมยกมือข้างที่ว่างลูบหน้าผากป้อยๆ
“หมั่นไส้”
“ไม่ได้เข้าวัดนานล่ะสิ”
“รู้ดี”
“แน่นอน มองหน้าพี่ก็รู้ละ คนใจบาปที่แท้จริง”
“ถ้ายังไม่หยุดแซะกู กูจะทำบาปกับมึงตอนนี้เลยเตี้ย”
“อะไร พี่จะทำอะไรผม ทำบาปเยอะเดี๋ยวทำบุญล้างไม่หมดนะ ฮ่าๆ”
กึก
อุ๊บ!
ผมรีบหุบปากฉับแถมยกมือมาปิดปากทันทีทันใด เพราะอยู่ดีๆพี่เกียร์ก็โน้มหน้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ระยะห่างใบหน้าตอนนี้ใกล้แค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ใกล้กว่าที่ระยะโฟกัสของตาผมจะทำงานได้ดี พอตั้งตัวได้ผมก็เบนหน้าหนีไปอีกที พร้อมกับยกมือดันหน้าคนเจ้าเล่ห์ให้ออกห่าง
ระยะนี้โคตรอันตราย
คนเต็มเรือไม่ได้ช่วยให้ไอ้พี่เกียร์มีความอายเลยสักนิด แม่ง
“เอาหน้าออกไปไกลๆเลย “
“หึ นึกว่าจะเก่ง”
“เก่งสิ ผมอ่ะคนเก่ง”
“งั้นคนเก่งช่วยควบคุมหน้ากับหูตัวเองไม่ให้แดงก่อนสิ ยังไม่ทันเข้าวัดก็ร้อนจนแดงไปหมดทั้งหน้าแล้ว”
ฟึ่บ
“อะ..ไอ้พี่...ว้อยยย” ผมยกมือข้างเดียวที่เหลือกุมหน้ากุมแก้มตัวเอง หันหน้าออกไปมองวิวริมฝั่งแม่น้ำหลบวิวที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของเจ้าเล่ห์ข้างตัว ยังไม่ทันจะไปถึงไหน จะแกล้งอะไรพร่ำเพรื่อขนาดนี้เนี่ย กว่าจะเที่ยวครบทุกที่ผมไม่เหนื่อยตายกันหรือไง ไม่ได้เดินจนเหนื่อยนะ แต่ใจเต้นแรงจนเหนื่อยเนี่ย
เรือธงส้มพาเราทั้งสองคนล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยามาเรื่อยๆจนมาหยุดที่ท่าเรือที่ผมตั้งใจจะลง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกของทริปนี้ ทริปที่พี่เกียร์เรียกมันว่า เดท
พระปรางค์องค์ใหญ่สีขาวนวลตาตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกนักท่องเที่ยวได้ดีว่าถึงวัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหารเรียบร้อยแล้ว เมื่อก้าวเหยียบท่าเรือก็ออกเดินตามนักท่องเที่ยงทั้งไทยและเทศที่ลงมาหวังจะเยี่ยมชมความงดงามของพระปรางค์ และรูปปั้นยักษ์ที่เป็นต้นกำเนิดท่าเตียนอย่างยักษ์วัดแจ้ง พี่เกียร์ปล่อยมือจากข้อมือผมแต่เอาตัวเองมาเดินซ้อนไหล่แทน กลิ่นอาฟเตอร์เชฟประจำตัวลอยเตะจมูกทำให้รู้ว่าเจ้าของกลิ่นไม่ได้เดินทิ้งห่างผมแน่ๆ พอเดินเข้ามาในลานวัดก็ทำให้กวาดตามองเห็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยที่ยังคงความงดงามตามอารยธรรมโบราณอยู่
พอเห็นแบบนี้ก็เริ่มกังวลว่าทริปที่ผมคิดขึ้นมาไม่ปรึกษาจะสร้างความหงุดหงิดให้คนที่มาด้วยหรือเปล่า เพราะพี่แกเล่นเงียบตั้งแต่ลงจากเรือ เลยตัดสินใจหันกลับไปสังเกตสีหน้าว่าทำหน้ายังไงอยู่ พาคนแบบพี่เกียร์มาวัด รู้ถึงหูไอ้ภาคมันคงด่าว่าเอาปลายนิ้วก้อยเท้าคิดแล้วใช่ไหม
“เอ่อ พี่ คือ...”
“มีอะไร?” ปากถามแต่ตาไม่มองผมอีกละ
“คือว่า..”
“เตี้ย นั่นยักษ์วัดแจ้งในตำนานปะ เหมือนจำได้ว่าเคยเรียนตอนมัธยม”
“หื้อ อ่า ใช่ๆ ที่ตีกับยักษ์วัดโพธิ์เรื่องยืมเงินแล้วไม่คืน ตีกันจนแถวนี้ราบเป็นหน้ากลองเขาเลยเรียกว่าท่าเตียน” เอ่ยอธิบายประวัติคร่าวเท่าที่จำได้
“ฮ่าๆ เรื่องยืมเงินแล้วไม่คืนนี้ทำคนทะเลาะกันไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ในตำนานเลยเนอะ” คนตัวสูงเอ่ยออกมาพร้อมกับยกโทรศัพท์เครื่องหรูออกมาถ่ายรูปยักษ์วัดแจ้งที่เป็นรูปปั้นตั้งตระหง่านเฝ้าหน้าประตูวัด การกระทำที่ทำให้ผมยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว
“พี่จะไม่เบื่อแน่นะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามออกไป แต่ก็หลุดปากออกไปแล้วแหละ
“เออน่า คิดมากนะเอ๋อ ไปๆ ยืนข้างยักษ์หน่อย” ไม่พูดเปล่าแต่ใช่แขนแข็งแรงพาดไหล่แล้วออกแล้วพาผมไปใกล้กับรูปปั้นยักษ์
“เห้ย ให้ผมยืนทำไม”
“นิ่งๆดิ”
แชะ!!
ครับ ไอ้พี่บ้าพาผมมายืนข้างยักษ์ แล้วก็จัดการถ่ายรูปผมกับยักษ์วัดแจ้ง
“เดี๋ยวๆ เอามาดูหน่อย จะถ่ายทำไมไม่นับ ยังไม่ได้ยิ้มเลย” ผมรีบวิ่งมาตั้งท่าจะคว้าขอดูรูปในโทรศัพท์
“หน้ามึงบึ้งกว่ารูปปั้นยักษ์อีก ฮ่าๆ”
“เห้ยพี่ ไหนดูดิ โอ้ยยยย ลบเลยนะ น่าเกลียดอ่ะ ถ่ายใหม่ก็ได้แต่ขอยิ้มดีๆก่อนดิ” พอเห็นรูปผมก็โวยวาย หน้ายู่ปากยื่น
“ฮ่าๆ น่าเกลียดตรงไหน”
“ก็ตรงที่หน้าบึ้งเหมือนยักษ์เนี่ย”
“น่ารักจะตาย ฮ่าๆ”
“...”
“ไปๆ ยืนอึ้งอะไร เป็นไกด์นำเที่ยวยังไงฮะ ไหนพาไปตรงนั้นหน่อยสิ” คนตัวสูงว่าพร้อมกับใช้สองมือจับไหล่ผมด้านหลังแล้วออกแรงดันให้เดินนำหน้า แล้วพี่เกียร์ก็เปลี่ยนท่าทางแบบที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าโอบไหล่อยู่
และมองจากดาวพลูโตก็รู้ว่าเจ้าของไหล่อย่างผมก็ยินดีให้เป็นแบบนี้
ผมเดินนำพี่เกียร์มาที่พระปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่งพอพ้นเข้ามาในรั้วขององค์พระปรางค์พี่เกียร์ก็เอาแขนที่พาดไหล่ลงข้างตัว เดินข้างกันเงียบๆ ตาก็มองไปยังความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระปรางค์องค์นี้ มีหยุดถ่ายรูปบ้าง คุยกันถึงความสวยงามบ้าง แดดตอนสายที่เริ่มจะร้อนแสบผิวขึ้นมาบ้าง ผมที่ใส่เสื้อแขนยาวอ่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนตัวสูงนี่สิ เสื้อแขนสั้นแล้วยังบางอีก
“ร้อนปะ?”
“ถามถึงอากาศหรือจะแซ็ว” คนถามหรี่ตามองผมอย่างจับผิด แหม แซ็วครั้งเดียวทำระแวงไปได้
“อากาศสิ แดดเริ่มร้อนแล้วเนี่ย”
“ทำไม มึงร้อนหรอ งั้นเข้าร่มปะ” ไม่พูดเปล่าแต่พี่แกรีบพาผมมาเดินมาตรงศาลาริมน้ำที่มีไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวนักพัก
“จริงๆผมถามเพราะกลัวพี่ร้อนต่างหาก ดูดิ เหงื่อท่วมเลย”
“งั้นเช็ดให้หน่อย” เดี๋ยวๆ ยื่นหน้ามางี้เลยหรอ
“เอ้า เช็ดเองดิ”
“เร็วๆเอ๋อ” ยัง ยังไม่เลิกจ้องหน้าอีก นี่มันในวัดในวานะพี่
“เออๆ” ตอบรับพร้อมเอาแขนเสื้อของตัวเองนี่แหละยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าและไรผมให้คนเจ้าเล่ห์ ที่ทำหน้าพริ้มเหลือเกิน
“ขอบคุณ...ครับ”
...จะครับทำม้ายยยย...
“หึ่ย ไม่ต้องมาครับ ตอนเช้าพี่กินอะไรมาเนี่ย ทำไมพูดมากจัง” สิ่งที่อยู่ในความคิดผมตั้งแต่อยู่บนเรือแล้วครับ วันนี้พี่เกียร์พูดเยอะกว่าปกติมากๆ
“ไม่ดีหรือไง” คนตรงหน้าที่ยืดตัวกลับไปยืนเหมือนเดิมถามกลับมา
“มันก็ดี ผมแค่แปลกใจเฉยๆ”
“นอกจากเป็นปลาทองเอ๋อแล้ว ยังเป็นปลาทองขี้สงสัยอีกนะ”
“ปลาทองอะไรเล่า!! นี่คนโว้ย”
“ฮ่าๆ นี่ไงปลาทอง ทำแกล้งพองลมเป็นปลาทองพ่นน้ำอีกละ”
“หยุดล้อเลยนะ!!” เถียงไม่ชนะผมก็ได้แต่หมุนตัวเดินออกมาทางท่าเรือ ไม่ทำบุญวัดนี้ละ เดี๋ยวค่อยไปทำที่วัดระฆังก็แล้วกัน
พี่เกียร์เดินตามผมออกมายังท่าเรือเพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปอีกวัดที่มีรูปปั้นยักษ์ที่เป็นคู่อริกับยักษ์วัดแจ้งอย่างยักษ์วัดโพธิ์ แวะไปสักการะพระพุทธไสยาสน์ เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่แม่เคยมาพามาไหว้เมื่อนานมาแล้วสักหน่อย คือผมเกิดวันอังคารไงแล้วพระพุทธรูปประจำวันเกิดก็ปางไสยาสน์นี่แหละครับ รอเรือข้ามฟากอยู่ไม่นานก็ได้ขึ้นเรือโดยที่ค่าเรือทั้งตอนแรกและตอนนี้พี่เกียร์ก็ตัดหน้าจ่ายแทนผมทั้งหมด รั้นไปก็เท่านั้น ดีเหมือนกันค่าขนมผมเหลือเพียบ มากพอที่จะให้ไปถล่มร้านขนมที่วังหลัง
ต่อด้านล่าง
เรือด่วนพิเศษที่ 1
สงกรานต์ก็ต้องเล่นน้ำสิ
ร้อน ร้อนมากร้อนมาย ร้อนจนอยากตะกายถามดวงอาทิตย์ว่า เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น ฮืออออ แค่ก้าวเข้าเดือนเมษายนก็เหมือนซ้อมก้าวเท้าลงนรกเลยครับ แล้วร้อนขนาดนี้ นิสิตเภสัชศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 อย่างผมก็ยังต้องมาเรียนตามปกติ ตอนเรียนในห้องแอร์ก็เย็นสบายดีหรอกครับ แต่พอก้าวออกจากห้องเรียนเท่านั้นแหละ ไม่ไหวๆ เลยต้องมาอาศัยร้านกาแฟติดแอร์นั่งพักรอแดดร่มลมตกแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ร้อนจนอยากเปิดแอร์นอนอยู่บ้านเลยว่ะอิน”
“โลกร้อนก็เพราะมึงนั่นแหละเจ้า”
“แหนะๆจะชมว่ากูหล่อร้อนแรง so dam hot หรือเพื่อน
“เปล่า หน้าผากมึงอ่ะ สาดแสงแข่งกับดวงอาทิตย์เลยนะ ฮ่า ๆ”
“โหย ปากมึงนะอิน พอมีแบ็คดีคุ้มหัวแล้วซ่าส์เลยนะ”
“แน่นอน”
“แหม ไม่มีปฏิเสธเลยน้า”
อินยักไหล่ ยิ้มมุมปากไม่สนใจคำเอ่ยแซวของผม ก็แหงสิ มันคบกับพี่พีมาจะ 2 ปี แล้ว มันคงไม่มาเขินอะไรหรอก แต่เอาจริง ๆ ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้เขิน ยิ้มหวานประกายตามีความสุขอะไรนะ เพราะความรักของมันโคตรหนักหน่วง การที่มันผ่านมาได้จนมีรอยยิ้มแบบนี้ ผมรู้สึกยินดีและมีความสุขไปกับมันด้วยจริงๆ ส่วนตัวผมนั้น ชีวิตทั่วไปก็มีความสุขดี เรียนหนักขึ้น หนักขนาดที่ว่าแม่ยอมให้ผมย้ายมาอยู่คอนโดใกล้มหา’ลัย เพราะรับไม่ได้กับสภาพผมที่เป็นซากแห้งๆเวลากลับถึงบ้าน พอได้มาอยู่คอนโดชีวิตก็เลยดีขึ้นมานิดหน่อย ส่วนชีวิตรัก หึ ดีมากจนคนทั้งโลกต้องอิจฉาผม ฮ่าๆ
“แล้วหยุดยาวมึงมีแพลนไปเที่ยวไหนปะ”
“ไม่มีหรอก มีแค่ไปทำบุญให้พ่อ กูคงอยู่บ้านกับแม่แหละ”
“อ่าว แล้วพี่พีไม่ชวนไปไหนหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้พี่เขายุ่งๆ ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ กูยังไงก็ได้” เพื่อนตัวขาวพูดพลางเอาหลอดคนสตรอว์เบอร์รี่สมูทตี้ไป แววตาไม่ได้ฉายความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็แค่ไม่ได้มีรอยยิ้มอย่างที่ควรจะเป็น
“ถามแต่กู แล้วมึงอ่ะ พี่เกียร์จะพาไปไหน”
“แหะๆ กูน่าจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับมึงว่ะ”
“หือ? เป็นไปได้หรือวะ”
“ได้ดิ ก็พี่เกียร์ยุ่งมาก เริ่มงานที่บริษัทบ้านตัวเองยังไม่ถึงปี พี่มันกำลังเรียนรู้งานหนักมาก เหมือนอยากพิสูจน์ความสามารถอ่ะ กูก็เลยยังไม่ได้คุยหรือถามอะไรเลย ที่ผ่านๆมาก็ไม่ค่อยได้หยุดหรอก” ใช้ส้อมจิ้มเค้กช็อคโกแลตเข้าปากดับความรู้สึกปั่นป่วนในใจเล็กๆ
“อืม พอจะคิดตามออก”
“งั้นแสดงว่าหยุดยาวช่วงสงกรานต์กูกับมึงยังไม่มีแพลนเหมือนกันสินะ”
“อาฮะ”
“งั้นดี จะได้มาสร้างแพลนเที่ยวด้วยกัน เดี๋ยวไว้ไปชวนไอ้ภาคด้วย”
“จะไปไหน” หัวคิ้วของเพื่อนสนิทตัวขาวกระตุกชนกันแสดงความสงสัย
“เอ้า ก็ไปลั้นลาตามประสาคนโสด...”
“...”
“ชั่วคราว ฮ่าๆ”
“ฮ่าๆ อย่าไปพูดให้พี่เกียร์ได้ยินนะเจ้า เดี๋ยวจะซวยเดินลำบากอีก”
“ไอ้อิน!!!”
“ฮ่าๆ เขินหรือน้องเจ้า ชินได้แล้วมั้ง”
“เรื่องแบบนี้ใครมันจะไปชินวะ!”
แดดที่สาดส่องแผดเผาโลกมนุษย์อยู่ตอนนี้ คงสู้ความร้อนที่มาสุมอยู่บนหน้าผมไม่ได้แน่ๆ อาการที่ไม่เคยรู้สึกชินสักทีกับการที่ต้องถูกแซว “เรื่องอย่างว่า” แม้ว่าจะคบกับพี่เกียร์มาเกือบ 3 ปี แล้วก็ตาม แค่นึกถึงก็สามารถทำให้ขนอ่อนลุกไปทั้งตัวได้ เพราะอยากบอกว่า แดดประเทศไทยก็ร้อนแรงสู้พี่เกียร์ไม่ได้ เจ้าขอประกาศไว้ตรงนี้!!!
“หน้าแดงไปยันหูแล้วนะเจ้าพระยา ฮ่าๆ คิดไปถึงไหน”
“หะ!!..ไอ้อิน!!!” รีบก้มหน้าดูดนมเย็นปั่นกันอายเลยครับตอนนี้
เมื่อก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่จะได้มีวันหยุดยาวเนื่องจากเทศกาลวันปีใหม่ไทย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็ได้จัดกิจกรรมสืบสานประเพณีไทยด้วยการจัดงานวันสงกรานต์ โดยให้นิสิตแต่ละคณะมาร่วมกันออกร้านขายสินค้าย้อนยุค การละเล่นไทย และซุ้มกิจกรรมต่างๆ มีเวทีกลางเป็นรำวงย้อนยุค ภายในงานก็เปิดโอกาสให้มีการสาดน้ำ ปะแป้งกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งกิจกรรมนี้ก็จัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปี และในปีนี้....
เร่เข้ามาคร้าบบบบ สาวน้อยตกน้ำ หนุ่มน้อยตกน้ำคณะอักษร น่ารักๆรอทุกคนแล้วนะคร้าบ 3 ลูก ยี่สิบครับ ยี่สิบ!!
ไอติมโบราณหวานๆเย็นๆชื่นใจดับร้อนรุ่มดั่งไฟสุมทรวงค่า ทางนี้ค่า
ปลาหมึกย่างสดๆย่างใหม่ๆร้อนๆทางนี้ครับผมมมมม น้ำจิ้มรสเด็ดแซ่บสะเด็ดเจ็ดย่านน้ำ ต้องปลาหมึกสถาปัตย์ครับ
โยนห่วงเสี่ยงทาย โยนได้รับหัวใจ mc ไปเลยคร้าบบบบ ห่วงไหนหล่อ ห่วงไหนโดนใจ โยนเข้าไปเล้ยยยย สงกรานต์นี้วิศวะเราเป็นห่วงทุกคนนะคร้าบบบบบ
เสียงเรียกลูกค้าจากหลายคณะดังแข่งกันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่ละซุ้มก็งัดกลเม็ดเด็ดล่อตาล่อใจผู้เข้าชมงานที่ผ่านไปมาได้อย่างดี ส่วนคณะเภสัชฯของผมนั้น ก็ไม่น้อยหน้า เรียกรวมของดีประจำคณะแทบจะทุกชั้นปีมายืนเรียกลูกค้าให้มาซื้อไอติมหลอดสีสันสดใสชวนลิ้มลอง และแน่นอน รุ่นพี่หลีดคณะปี 3 อย่างผมก็ไม่รอดจากคำอ้อนวอนให้มาช่วยของน้องปี 2 ที่เป็นหัวเรือหลักในการจัดซุ้มในวันนี้
“ไอติมหลอดหวานๆเย็นๆมั้ยคร้าบ ซื้อ 5 แท่ง แถมฟรีไปเลย 1 แท่งคร้าบบบ”
“เอา 5 แท่งค่ะ แต่ของแถมเป็นถ่ายรูปคู่กับพี่เจ้าได้มั้ยคะ...คิคิ” สาวน้อยสองคนเอ่ยต่อรองสินค้า ดูจากป้ายห้อยคอก็ยืนยันได้ว่าทั้งสองคนอยู่ปี 1
“ได้สิครับ ถ่ายรูปได้ แล้วพี่ก็แถมไอติมให้ด้วยนะ” ยิ้มกว้างส่งไปให้สองสาวรุ่นน้อง
“พี่เจ้าใจดีจังเลย มาค่ะ ยิ้มค่า หนึ่ง...สอง...สาม”
แช๊ะ!
“ขอบคุณคร้าบบบ”
“ไปแล้วนะคะ เดี๋ยวไปบอกต่อให้เพื่อนมาซื้อเยอะๆเลยค่ะ” น้องผมสั้นประบ่าเอ่ยน้ำเสียงสดใส
“น่ารักที่สุดเลยครับ” และรอยยิ้มกว้างของผมก็ถูกส่งตอบกลับไปเช่นเคย
ยืนเรียกลูกค้าอยู่นาน ไอ้อินที่คอยเป็นคนช่วยหยิบใส่ถุงใสให้ลูกค้าก็ตั้งใจทำอย่างขะมักเขม้น พอนานๆเข้าก็ชักจะหิว ผมเลยจะชวนอินไปหาอะไรกินแล้วก็ไปเดินเล่นสักหน่อย อาจจะแวะไปเยี่ยมชมซุ้มวิศวะฯ ของไอ้ภาคด้วย
“อิน ไปเดินเล่นหาอะไรกินปะ”
“ตอนนี้เลยหรือ? แล้วใครจะช่วยขาย” อินเงยหน้าขึ้นจากถังไอติมแล้วกวาดตาไปรอบๆ มันคงจะเกรงใจคนอื่นๆถ้าหนีออกมาก่อน
“เออน่า คนช่วยเยอะแยะ กูหิวอ่ะ”
“โอเคๆ ไปก็ไป”
“ทุกคนคร้าบบบ เจ้ากับอินขอไปหาอะไรกินก่อนน้า หิวจังเลย ไว้เดี๋ยวกลับมาช่วยนะครับ” ตะโกนบอกพี่ๆน้องๆในซุ้ม ใช้ความน่ารักและยิ้มหวานๆให้เป็นประโยชน์ ฮ่าๆ แต่คือจริงๆพวกผมก็อยู่ช่วยมาตั้งแต่เปิดซุ้มแล้ว จะพักบ้างก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ คนช่วยขายเยอะมาก ผัดเปลี่ยนเวียนกันทีก็แทบจะไม่ครบคนแล้ว
“จ้า แต่พักไปเลยก็ไม่เป็นไรนะน้องเจ้า” พี่จ๋าที่ยุ่งอยู่ตรงถังน้ำแข็งก็หันมาบอกผมกับอิน
“คนช่วยพอแน่ๆใช่มั้ยครับพี่จ๋า”
“โหย พออยู่แล้ว ไปเดินเล่นกันเถอะ ขอบคุณที่มาช่วยน้องปี 2 นะ”
“ยินดีและเต็มใจมากครับ คณะเรานี่เนอะ พวกผมไปนะครับ”
“จ้า”
“สวัสดีครับ” ทั้งผมและอินก็ยกมือไหว้เอ่ยลารุ่นพี่ที่น่ารัก ตอนปี 2 พี่จ๋าดูแลพวกผมดียังไง ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม น่ารักที่สุดอ่ะ
พอเดินออกมาจากซุ้มก็ไม่ได้มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน แค่อยากออกมาเดินเล่นแล้วก็หาอะไรกินไปเรื่อย ผมก็เลยพาอินเข้าซุ้มนี้ออกซุ้มโน้น โดนขอปะแป้ง สาดน้ำบ้างเล็กน้อย เสื้อผ้าที่ใส่วันนี้ก็เป็นธีมลายดอกเข้ากับเทศกาลอย่างดี กางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีขาว รองเท้าแตะอดิดาสรุ่นยอดฮิต และที่สำคัญผมกับไอ้อินนัดกันแต่งเหมือนกันเป๊ะ ก็เลยทำให้สะดุดตาใครหลายคนจนมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปอยู่ไม่น้อย
เดินเพลินๆก็มาถึงซุ้มของคณะวิศวะฯ ที่จัดเป็นซุ้มการละเล่นโยนห่วงลงขวด แต่ที่แอดวานซ์กว่าการโยนห่วงทั่วไปคือ แทนที่จะตั้งขวดไว้ที่พื้นแล้วให้โยน แต่พวกนี้เอามาปรับให้คนมาถือขวด แล้วการเลือกคนมาถือนั้นก็จัดว่าเรียกลูกค้าได้อย่างดี ของดีประจำคณะ คิวท์บอย เซ็กซี่บอยมีกี่คนก็ขนกันมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้ถือขวด แต่ท่าถือนี่ก็แอบติดเรทอยู่หน่อยๆนะครับผมว่า
“ขอโทษครับ”
“หะ..ครับ” ผมหันไปตามเสียงทักที่อยู่ข้างๆ
“ขอปะแป้งหน่อยได้มั้ยครับ” เจ้าของคำถามตั้งท่ารอพร้อมแนบฝ่ามือที่เต็มไปด้วยดินสอพองเหลวๆเข้าที่แก้มผม ถ้าหากผมอนุญาต
“อ๋อ ครับๆ ได้ครับ”
สิ้นเสียงอนุญาตของผมมือหนาที่เต็มไปด้วยดินสอพองแฉะๆ ก็ลูบเข้ามาที่แก้มทั้งสองข้าง สัมผัสเบาๆที่ลูบวนอยู่ข้างแก้มก็ชวนให้รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน แต่พอรู้ว่ามันนานเกินไปแล้วก็เลยเงยหน้าขึ้นมองหน้าสบตากับเจ้าของมือที่วางบนแก้มผมเพื่อส่งสัญญาณว่านานไปแล้ว
“เอ่อ ขอโทษครับ แหะๆ” เหมือนคนตรงหน้าจะรับรู้การสื่อสารทางสายตาของผมถึงได้เอ่ยขอโทษ แล้วยังเกาหัวเก้อๆ เอ่อ แป้งเต็มมือเลยนะนั่น หัวขาวเลยทีเดียว
ว่ากันตรงๆ ผมก็รู้ตัวนะครับว่าสายตาที่เขามองมา กับการกระทำดูเก้ๆกังๆแบบนี้หมายความว่ายังไง มีแฟนมาแล้วตั้งหนึ่งคนทำไมจะเดาไม่ได้ล่ะเนอะ
“ไม่เป็นไรครับ”
“คะ..คือว่า เอ่อ..ผม..”
“...?”
“ผมขอ...”
“ไอ้เจ้า! ไอ้อิน!” เสียงเข้มดังโพล่งขึ้นมาด้านหลังของผม
“พ่อมึงมา ฮ่าๆ” อินหันมาทำหน้ากลั้นขำใส่ผม คือมึงจะกลั้นทำไม มึงขำไปแล้วนะอิน คือไม่ต้องคิดนะครับว่าเป็นพี่เกียร์ พ่อผมคือใครทุกคนก็น่าจะรู้ดี
“มาถึงหน้าซุ้มคณะกู แล้วทำไมไม่โทรหากูวะ มายืนทำอะไรตรงนี้”
“เอ่อ..”
“แล้วมึงมีอะไรกับเพื่อนกู ไอ้การ์ด”
การ์ด??
“ผม..ผมมาขอปะแป้งพี่เจ้าเฉยๆครับ”
อ๋อ สรุปว่าคนที่มาปะแป้งผมนี่เป็นรุ่นน้องไอ้ภาคเองหรอ
“ให้มันแค่ปะแป้งเฉยๆนะมึง ถ้ามากกว่านั้นมึงอยู่ยากแน่” ไอ้ภาคหันไปคุยกับรุ่นน้องมันเสียงเข้ม แถมมีชี้หน้าขู่อีก
“น้องมันแค่ปะแป้งเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า ดุจริงมึง นี่เพื่อนหรือพ่อหะ?”
“ก็เพื่อน แต่เป็นเพื่อนที่พ่อทูนหัวมึงฝากดู จบมั้ย...ส่วนมึงถ้าว่างก็ไปช่วยเพื่อนมึงในซุ้ม ถ้างานออกมาไม่เรียบร้อย กูซ่อมยกรุ่นแน่” ไอ้ภาคหันมาพูดกับผมก่อนจะหันไปข่มขู่รุ่นน้องที่ชื่อการ์ดอีกรอบ
“ครับๆ” รุ่นน้องมันก็ยกมือไหว้ลาแล้วก็วิ่งเข้าซุ้มไป
“พ้นรับน้องมาแล้ว ยังไม่หลุดมาดอีกหรือครับพี่วินัย” อินเอ่ยแซวเพื่อนตัวสูง ที่นอกจากจะเป็นเดือนคณะประจำรุ่นแล้ว ตอนนี้ยังมีตำแหน่งเป็นหนึ่งในพี่วินัยของปี 3 อีก นี่ขนาดไม่ได้เป็นเฮดว้ากยังดุขนาดนี้
“กูไม่ดุก็ได้นะ แต่เดี๋ยวโทรตามพี่เกียร์มาแทน”
“ขู่น้องไม่พอ มาขู่กูอีกนะ พี่มันคงว่างรับโทรศัพท์มึงหรอก กูโทรยังไม่ค่อยจะว่าง” ไม่ได้น้อยใจครับ ไม่ได้น้อยใจจริงๆ
“แหมมมมม น้อยใจหรือครับน้องเจ้า ฮ่าๆ หน้ามึงโคตรตลก”
“เชี่ยไรของมึงอีกเนี่ย หยุดล้อกูเลยนะ” ผมยกนิ้วชี้หน้าไอ้เพื่อนตัวสูงจอมปากเสีย
“โอ๋ๆ ไม่ล้อละ แล้วนี่พวกมึงไม่ช่วยงานคณะหรอ”
“ช่วยแล้ว แต่ขอออกมาก่อน พอดีไอ้เจ้ามันหิว” อินทัชเอ่ยตอบ
“งั้นไปนั่งหลังซุ้มกูมั้ย พวกสาวๆก็อยู่” สาวๆที่ว่าคงจะหมายถึงส้ม มิวซ์ แยม แล้วก็ชาวแก๊งทำพานสมัยปี 1 สินะ
“ไปๆ” ผมกับอินพยักหน้ารับคำชวนของภาคแล้วก็เดินตามภาคไปที่หลังซุ้มคณะวิศวกรรมศาสตร์
บริเวณหลังซุ้มมีลานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่มีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่หลายจุด มองผ่านๆกะด้วยสายตาแล้วแทบจะทุกโต๊ะถูกจับจองด้วยนิสิตที่มีเสื้อช็อปสีเด่นเป็นเอกลักษณ์ พูดง่ายๆก็คือเดินเข้าดงวิศวะฯ นั่นแหละครับ แต่พูดตามความจริงผมก็ชินแล้วเพราะตอนพี่เกียร์ยังเรียนอยู่นี่ ผมก็ตกอยู่ในสถานการณ์ยืนงงในดงวิศวะฯ บ่อยอยู่เหมือนกัน มีช่วงหลังๆที่เป็นรุ่นน้องหน้าใหม่นี่แหละ ที่ยังคงมีสายตาสงสัยเวลาผมมาหาไอ้ภาคที่คณะ
“เจ้า! อิน! มานั่งนี่ๆ ไอ้แทนลุกเลยมึง” เสียงสดใสของสาวตัวเล็กๆอย่างส้มก็โพล่งขึ้นมาเมื่อเงยหน้าสบตากับผมและอิน แถมยังไล่ที่ให้พวกผมอีก ดีจริงๆ ฮ่าๆ
“มาๆ นั่งเลยๆ” แยมก็เป็นอีกคนที่รีบขยับที่ให้พวกผม
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” แทนเอ่ยทักผม
“หืม? เรามาหาภาคบ่อยจะตาย แทนแหละ มัวแต่ไปติดสาวอักษร เลยไม่เจอเรา”
“โอ๊ะ ฮ่าๆ ความจริงด้วยสิมึง” ไอ้ภาคมันหัวเราะเยาะเย้ยใส่ไอ้แทนที่ทำหน้าเหวอกับการแซวของผม
“เจ้าพระยาเล่นกูแล้วไง” ผมเลยยักคิ้วใส่ไอ้แทนไปทีนึง เจ้ารู้เจ้าเห็นหมดแหละ
“แล้วนี่ไปไงมาไงถึงได้เดินมานี่คะ...คุณสะใภ้วิศวะฯทั้งสอง คิคิ”
“..!!” ผม
“...” อิน
“ฮิ้วววววววววววววว”
“ฮิ้วอะไรเล่า อย่าเรียกแบบนี้ดิส้ม ใช่ที่ไหน” ที่พูดอ่ะผมไม่ได้โกรธ แต่เขิน
“หน้าอินโคตรแดงอ่ะ โอ้ยยยย น่ารัก แย่งพี่พีได้ปะวะ” มิวซ์ตบมือเสียงดังชอบใจกับอาการเขินอายของพวกผม
“คิดผิดคิดใหม่ได้นะ จะแย่งอินจากพี่พี แค่คิดก็ขนลุกละ” แยมยกมือลูบแขนตอกย้ำคำพูด
“กูก็พูดเล่นเหอะมึง ใครจะกล้า”
“พอๆเปลี่ยนเรื่องเลย” ถ้าผมปล่อยไปเดี๋ยวก็วกกลับมาแซวผมอีก บางทีก็อยากถามว่าแซวมาจะ 3 ปีแล้ว ไม่เบื่อกันบ้างหรือไง รู้ว่าผมเขินง่ายก็สนุกกันใหญ่เลยนะ
“จ้าๆ เปลี่ยนเรื่องก็ได้จ้า”
“เออ เจ้า อิน พรุ่งนี้ไปเล่นสงกรานต์ที่ไหนอ่ะ” ส้มเป็นฝ่ายเปิดประเด็นใหม่
“ยังไม่ได้คิดอ่ะ นี่ก็ว่าจะเดินมาถามมึงเหมือนกันไอ้ภาค พรุ่งนี้ไปไหนวะ” ตอบคำถามของส้มก่อนที่จะเงยหน้าไปหาไอ้เพื่อนหน้าหล่อที่นั่งตรงพนักพิงเก้าอี้ตัวที่ผมกับอินนั่งอยู่
“อ้าว แล้วพี่เกียร์..”
“พี่เกียร์ไม่ว่างมั้ง ไม่เห็นพูดอะไร คงงานยุ่ง กูไม่อยากกวน ไปกับมึงดีกว่า ไปไหนดีวะ” ผมรีบรัวความในใจตัดหน้าก่อนที่มันจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“นี่มึงงอนพี่เขาปะเนี่ย”
“เห้ย ไม่งอน กูเข้าใจ กูถึงจะขอไปกับมึงเนี่ย แล้วค่อยโทรไปขอ ยังไงไปกับมึงพี่เกียร์ก็ไม่ห้ามหรอก”
“เอางั้นหรอวะ” ไอ้ภาคขมวดคิ้วสงสัยใส่ผม
“เออ เอางี้แหละ สรุปจะไปไหน...ทุกคนไปเล่นที่ไหนอ่ะ เราไปด้วยดิ” พอไอ้ภาคมันลีลาไม่ตอบสักที ผมเลยหาแนวรวมอย่างพวกสาวๆแล้วก็แทน
“พวกเราว่าวันแรกตอนกลางวันจะไปสยามอ่ะ แล้วตอนเย็นจะไปอาร์ซีเอ”
“เห้ยยย เราไปด้วยยยย อินพรุ่งนี้มานอนคอนโดกับกูมั้ย เดี๋ยวกูโทรขออาอรให้” ผมนี่รีบเลยครับ ไปอาร์ซีเอเลยนะ ผมจะพลาดได้ไง
“อ่า สยามอ่ะ กูว่าพี่เกียร์ไม่ห้ามหรอก แต่อาร์ซีเอนี่ มึงคิดดีแล้วหรอเจ้า” อินสะกิดถามผม คนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่อินคิด
“ดีแล้วดิ มึงก็ไป ไอ้ภาคก็ไป ทุกคนก็ไป พี่เกียร์ไม่ได้หวงกูขนาดนั้น”
“หรออออออออออออ” ประสานเสียงรอบโต๊ะแบบพร้อมเพรียงกันมากครับ
“ง่ะ ทำไมทุกคนไม่เชื่อเจ้า ฮือออออ แยม ให้เราไปด้วยนะ” ผมผุดลุกไปนั่งกระแซะเบียดแยมแล้วเอาหน้าไถต้นแขนแยมเพื่ออ้อนขอความเมตตา
“เอ่อ พวกเราไม่มีปัญหา อยากให้เจ้ากับอินไปด้วยอยู่แล้ว แต่...”
“เรื่องพี่เกียร์ปล่อยให้เป็นหน้าที่เรา ไปได้ชัวร์” ผมทำหน้ามุ่งมั่น พยักหน้าหงึกๆใส่ทุกคน คอยดูนะพรุ่งนี้ทุกคนจะต้องตกใจที่ผมทำได้ พี่เกียร์ไม่ได้โหดขนาดนั้น ตามใจผมจะตาย
“ก็ถ้ามึงขอได้ กูก็ไม่มีปัญหา รอเป็นบอดี้การ์ดให้พวกมึงอยู่แล้ว เอ้อ แล้วมึงอ่ะอิน ต้องขอเหมือนกัน ถูกมั้ย?” เพื่อนสนิทหน้าหล่อหันมาพูดกับผมแล้วก็ถามเพื่อนตัวขาวที่นั่งเงียบมาหลายนาที
“แหะๆ เอ่อ เจ้า ภาค คือว่า...นี่อ่ะ อ่านเองเลย” อินยื่นโทรศัพท์ที่เปิดหน้าบทสนากับพี่พีบนแอพลิเคชันสีเขียว
P :
พรุ่งนี้จะพาแม่ไปทำบุญให้พ่อใช่มั้ย
พี่เคลียร์งานเสร็จแล้ว
เดี๋ยวพาไปเองนะ
“เพิ่งส่งมาให้กูเมื่อกี้อ่ะ กูว่ากูคงไม่ได้ไปด้วยแล้วว่ะ”
“โอ้โห เหมือนรู้อ่ะ พี่พีมีญาณทิพย์ปะวะ แต่ไม่เป็นไร สงกรานต์มีตั้งสามวัน งั้นที่เหลือเราก็ไปด้วยกันได้หมดเนอะ ต้องสนุกแน่ๆ” ผมรีบสรุปประเด็นของโปรแกรมการลั้นลาในวันสงกรานต์ที่จะมาถึงวันพรุ่งนี้
“จ้า สนุกแน่” เสียงมึงไม่เห็นสนุกเลยนะภาค แต่สนที่ไหน ชิ
มีต่อด้านล่าง
ท่าเรือที่ 15
3 ปีที่เจ้าลืม
Gear’s Part
3 ปีที่แล้ว...
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย~~
เสียงเพลงชาติไทยดังขึ้นในเวลาแปดนาฬิกาตรงท่ามกลางเสียงงึมงำที่ร้องเพลงชาติตามเสียงต้นสาย กิจกรรมหน้าเสาธงของเด็กไทยซึ่งไม่เว้นแม้แต่โรเรียนคริสต์ที่เรียกครูผู้สอนว่ามาสเตอร์อย่างโรงเรียนผม แดดยามเช้าในเวลานี้ที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกแผดเผาด้วยแดดยามเที่ยงวัน ทั้งๆที่มีหลังคาโดมคลุมหัวก็ยังไม่สามารถต้านพลังทำลายล้างของดวงอาทิตย์สุดร้อนแรง
ตู้มๆ ปิ้วๆ
“มึงอย่าหนีดิวะ มาตีป้อมฝั่งนี้ก่อน”
“เลือดกูจะหมดแล้ว”
“ไอ้เหี้ย มันซุ่มอยู่ตรงนี้ 3 ตัว”
เสียงมนุษย์เพศชายที่ใช้คำหน้าหน้าว่านายมา 3 ปี กำลังโหวกเหวกโวยวายแข่งกับเสียงกิจกรรมหน้าเสาธงที่ทั้งหมดถือวิสาสะไม่เข้าร่วมตามอำเภอใจ แต่ละคนกำลังมุ่งมั่นในการทลายป้อมปราการของคู่ต่อสู้ในเกมชื่อดังที่เหล่าวัยรุ่นวัยเรียนติดกันงอมแงม แต่ดูท่าแล้วงานนี้แพ้ราบคาบแน่นอน
"ไปอดหลับอดนอนจากไหนมาวะมึง" เพื่อนหน้าตี๋หัวเกรียนทรงสกินเฮดข้างตัวมันใช้ศอกสะกิดผมที่ฟุบหลับบนโต๊ะนักเรียนแล้วถามทั้ง ๆ ที่ตายังจ้องโทรศัพท์อยู่
"เรียนพิเศษ" คำตอบสั้นๆหลุดออกจากปากด้วยเสียงเรียบเบา
"หื้อ? เรียนหนักหรือวะ สรุปพ่อมึงจะให้เข้าวิศวะฯให้ได้เลยใช่ปะ" ไอ้หัวสกินเฮดคนเดิมที่ทุกคนเรียกมันว่า เต้ กดออกจากหน้าเกมแล้วหันมาถามผมอย่างตั้งใจ
"อืม เฟืองมันเรียนบริหารแล้ว กูก็ต้องเรียนวิศวะฯไปช่วยงานต่อ"
งานที่ว่าก็คือบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่พ่อผมเป็นประธานบริษัทซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นปู่ และก็คงไม่พ้นผมกับพี่ชายที่ต้องสานต่อกิจการอันรุ่งเรืองนี้ ตัวผมก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไรที่จะต้องแบกรับความคาดหวังอันใหญ่หลวงนี้ โชคดีนิดหน่อยที่ไม่ได้มีความฝันชัดเจนว่าอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร ก็เลยไม่มีความทุกข์ใจมากเท่าไหร่ที่ไม่ได้ทำตามความฝัน ผมโตมามีกินมีใช้ เรียนโรงเรียนดี ๆ ก็ เพราะบริษัทนี้ ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะยินดีรับหน้าที่ดูแลต่อ แต่ในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นผมก็ยังขอเที่ยวเล่นตามประสาเด็กหนุ่มคนหนึ่งก่อน
"มึงโอเคใช่เปล่าวะ" ไอ้คริสโตเฟอร์ เพื่อนลูกครึ่งอเมริกาตาสีฟ้าร่างยักษ์หันมาถามผมอีกคน
"ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่โอเคนี่หว่า" ผมเงยหน้าขึ้นมาบิดคอซ้ายขวาคลายความเมื่อยล้าจากการก้มหน้านาน ๆ "กูก็ไม่ได้มีความฝันจะเรียนอะไรสักหน่อย เรียนวิศวะ ฯ ไปช่วยพ่อกูก็ไม่ลำบากเท่าไหร่ ว่าแต่พวกมึงเหอะ เอาไงวะ" ผมย้อนถามเหล่าเพื่อนสนิทที่กอดคอกันโดนครูทำโทษมาตั้งแต่สมัยประถม
"กูคงไปเรียนเมกา แม่กูจะย้ายไปอยู่ที่นู่นยาวละ" คริสตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนรู้ชะตากรรมตัวเองตั้งแต่แรก
"ขายบ้านที่นี่เลยหรือวะ" เต้ถามพลางหยิบทาโร่ขึ้นมากิน
"อืม ขายบ้านใหญ่ แต่กูขอไว้แค่คอนโดของกู เผื่อกลับมาหาพวกมึงจะได้มีที่ซุกหัวนอน" เด็กหนุ่มลูกครึ่งยักคิ้วตอบเพื่อนหัวเกรียน
"ดีมากเพื่อน ไปดีมาดีนะมึง"
"กูยังไม่ไปไหมล่ะไอ้นี่" สิ้นคำตอบไอ้เต้ก็โดนคริสกระชากห่อทาโร่ออกไปจากมือ "แล้วไอ้พี มึงอ่ะเอาไง"
"ที่เดียวกับไอ้เกียร์มั้ง" บุคคลที่มีนิสัยเฉยชาที่สุดในกลุ่มเอ่ยตอบแบบขอไปที
"เห้ย! นี่มึงกะจะผูกข้อต่อแขนอยู่ด้วยกันไปยันตายหรือไง แยกๆกันบ้างเถอะ" ไอ้เต้เจ้าเดิมก็ยังคงสานต่อประเด็นนี้ต่อไป
ไอ้พีมองเหล่ด้วยหางตา "เสือก" เชือดนิ่มๆ
"ไอ้คริส ไอ้พีมันด่ากู มึงด่ามันให้กูหน่อย" ไม่พูดอย่างเดียว ไอ้เต้ยังจับแขนไอ้คริสเขย่าเหมือนเด็กงอแงอยากได้ของเล่น
"สมควร"
"ฮ่า ๆ" เสียงหัวเราะจากทุกคนในกลุ่มยกเว้นไอ้เต้ที่กำลังทำหน้างอง้ำ มันคงคิดว่าน่ารักมากมั้ง
อย่างที่บอก พวกเราทั้ง 3 คน เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีแรก เข้ามาเรียนที่โรงเรียนชายล้วนนี้พร้อมกันที่ฝ่ายประถม คนแรกที่เข้ามาทักผมคือไอ้เต้ เด็กชายหน้าตี๋ บ่งบอกชัดเจนว่ามีเชื้อสายมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เด็กชายผู้ไม่เคยหยุดพูด พูดจนตัวเองหลับ มันเข้ามาชวนผมเขี่ยการ์ดยูกิ ตอนนั้นผมกับมันก็ตัวเท่า ๆ กันนี่แหละ อยู่กับมันแล้วไม่เครียดดีก็เลยเล่นตามน้ำมันไป
ส่วนไอ้พีได้อยู่กลุ่มเพราะจับสลากได้นั่งข้างกัน ครูประจำชั้นก็ให้เป็นบัดดี้ดูแลกัน ไอ้พีมันเป็นคนไม่ค่อยพูด อยู่รอดแบบไม่ตีกันตายด้วยคำว่า 'อะไรก็ได้ , ตามใจมึง' จนมาถึงทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้ไอ้คนพูดมากอย่างไอ้เต้ก็เลยเหมือนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของกลุ่ม ไอ้พีก็เลยพลอยพูดมากขึ้นกว่าเดิม
พอกลางเทอมก็มีเด็กต่างชาติ ผิวขาวซีด ตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลอ่อน ตัวเล็กๆผอมๆเข้ามาเรียนในห้องเรา เด็กนั่นแนะนำตัวว่าชื่อคริสโตเฟอร์ ทุกคนก็เลยเรียกมันสั้นๆว่าคริส ปัญหาใหญ่ของไอ้คริสตอนนั้นก็คือเรื่องภาษา มันฟังและพูดภาษาไทยได้น้อยมาก ผมเคยถามมันตอนโตซึ่งได้ความว่าแม่มันพูดกับมันด้วยภาษาไทย แต่ส่วนใหญ่อยู่กับพ่อ ก็เลยใช้ภาษาไทยไม่บ่อย ทีนี้ด้วยความที่ตัวเล็ก พูดกับใครไม่รู้เรื่อง แล้วมาใช้ชีวิตในโรงเรียนชายล้วน ก็ไม่พ้นที่จะโดนแกล้ง
ตอนแรกพวกผมก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่พอมันโดนแกล้งหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนไอ้พีไปเห็นว่าแอบร้องไห้ในห้องน้ำนั่นแหละ ถึงได้ดึงเข้ามาอยู่กลุ่มด้วย ไอ้พีมันตัวใหญ่มาตั้งแต่เด็ก เพื่อนในห้องก็เลยเกรงๆมันอยู่พอตัว พอเรียนมาด้วยกันจนถึงปัจจุบันที่อยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้ายนี้ ทุกคนโตขึ้นหมดโดยเฉพาะไอ้คริส ที่ร่างยักษ์ตามเชื้อชาติและพันธุกรรมทางพ่อมัน มีไอ้เต้คนเดียวที่หยุดความสูงไว้ตั้งแต่ ม. 3 โดนเพื่อนล้อจนมันขี้เกียจด่า
ตอนนี้พวกผมโดดกิจกรรมเข้าแถวมารวมหัวกันอยู่ในห้องเรียนประจำชั้นของตัวเองและถือเป็นความโชคดีที่สุดที่วันนี้มาสเตอร์ประจำวันไม่ขึ้นมาตรวจอาคารเรียนจับเด็กเกเรไปทำโทษ
“ว่าแต่มึงเถอะ ถามแต่คนอื่น ตัวเองคิดไว้ยัง” ไอ้คริสมันหันกลับมาตั้งคำถามกับเพื่อนตัวแสบ
“คิดแล้วดิวะ” ไม่พูดเปล่าแถมยักคิ้วกวนตีนให้อีกสองที ตีนผมนี่กระตุกเลย
“คิดไว้ว่า”
ไอ้เต้ทำหน้าเจ้าเล่ห้ คำตอบน่าจะวอนโดนด่า“คณะไหนก็ได้ที่ผู้หญิงสวยๆ” ว่าแล้วไง
“โห่ ไอ้ควายยยยย” ตามควายมาก็คือฝ่ามือหนาฟาดลงหัวเกรียนเบาๆ
“โอ้ย! กูเจ็บนะไอ้ยักษ์”
“หยุด! กูรำคาญ” เสียงเย็นราบเรียบจากไอ้พีถือเป็นประกาศิตจบศึกปัญญาอ่อน
“เออ ไอ้เกียร์ แล้วมึงจะเข้าที่เดียวกับพี่เฟืองปะ” ยังคงเป็นคนเดิมที่อยากรู้อยากใส่ใจเพื่อนไม่จบไม่สิ้น
“ไม่รู้ ติดที่ไหนก็เรียนที่นั่นแหละ”
“ส่วนไอ้พีก็คงคำตอบเดียวกับไอ้เกียร์ กูไม่ถามก็ได้” พูดเอง เออเองเสร็จสรรพ แล้วก็เปิดเกมส์มาเล่นต่อ น่าถีบชิบหาย
คาบเรียนช่วงเช้าผ่านไปแบบหนักหนาสาหัสพอสมควร เพราะมีแต่วิชาหนักๆทั้งนั้น ผ่านกันมาในสภาพอิดโรยเต็มที และเมื่อเป็นช่วงเวลาของการพักกลางวันของชั้นมัธยมปลาย ทำให้โรงอาหารไม่ได้มีเสียงดังโวยวายมากเท่าไหร่ ซึ่งต่างจากรอบพักของมัธยมต้นอย่างสิ้นเชิง โรงเรียนผมคนเยอะก็เลยต้องแบ่งพักแบบนี้ครับ
ระหว่างเดินก็มีรุ่นน้องที่รู้จักเข้ามาทักตามประสานักกีฬาโรงเรียน ถ้าพูดแบบไม่อ้อมค้อมกลุ่มพวกผมก็เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง ซึ่งผมยินดีมากที่ความเป็นจุดเด่นมาจากความสามารถตัวเอง แต่ก็เป็นเหตุผลส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ที่รู้จักและเกรงใจก็เพราะบารมีไอ้พี่ชายจอมกวนประสาทของผมนั่นแหละสร้างไว้ ชื่อเสียงเรื่องท้าตีท้าต่อยของมันนี่ดังกระฉ่อนมาก
บางครั้งผมก็ได้มีไปแจมบ้างถ้าสาเหตุมาจากผม ไม่พ้นเรื่องคู่อริหมั่นไส้เพราะแฟนมันทิ้งมาตามกลุ่มพวกผม แต่ทุกครั้งที่ปัญหาจะมาเกิดที่ผม ไอ้เฟืองพี่ชายของผมมันก็จะจัดการกันผมออกมาจากเรื่องนั้น แล้วพาพวกไปยำเอง ผมเคยหงุดหงิดมันจนระเบิดลงไปทีว่าทำไมไม่ให้ผมจัดการปัญหาด้วยตัวเอง
มันตอบมาแค่ว่า ‘เหลือลูกชายไว้ให้พ่อแม่ภูมิใจสักคน ซึ่งไม่ใช่กูแน่ๆ’
ผมไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่ก็ยอมทำตาม เพราะเป็นสิ่งเดียวที่มันกล้าขอผม ผมกับเฟืองอายุห่างกันแค่ปีเดียวก็เลยไม่ค่อยมีโมเมนต์เรียกพี่เรียกน้องเท่าไหร่
ระหว่างที่ผมนั่งจองโต๊ะให้พวกเพื่อนที่ไปซื้อข้าว ส่วนผมก็ฝากไอ้คริสซื้อมาให้
“อะ..เอ่อ พี่เกียร์ครับ” ผมเงยหน้าตามเสียงเรียกก็เห็นเด็ก ม.ต้น ผมทรงนักเรียนยืนก้มหน้าไม่สบตาผมอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะไม้ยาว
“ครับ”
“คะ..คือว่า…ผม”
“หมดเวลาพักของ ม.ต้นแล้ว ทำไมไม่ขึ้นเรียน” ผมสวนประโยคยาวเหยียดออกไปก่อนที่รุ่นน้องจะพูดจบ
“ผมกำลังจะไปเรียนครับ”
“ก็ไปสิ”
เด็กนั่นสูดลมหายใจเข้าปอดเหมือนเตรียมตัวเตรียมใจอะไรสักอย่าง
“คือผมชื่อเซฟนะครับ ผมจะบอกว่า ผมชอบพี่มาก ชอบตั้งแต่พี่อยู่ ม.4 แล้ว แล้วตอนนี้พี่อยู่ ม.6 ผมก็อยากจะสารภาพความในใจก่อนที่จะไม่มีโอกาสครับ พี่ไม่ต้องตอบรับผมก็ได้นะ ผมแค่อยากบอก ฟู่ว…” สิ้นเสียงเป่าปากของเด็กตรงหน้า ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆจากปากผม
สิ่งที่ผมทำก็แค่ส่งรอยยิ้มเอ็นดูไปให้เด็กที่ยังไม่ประสาเรื่องความรัก แต่ก็กล้าพอที่จะมาสารภาพกับคนที่ชอบ
“โหย น้อง ใจกล้ามากนะเนี่ย พี่เห็นคนอื่นจะบอกทียังบอกผ่านการ์ด น้องนี่แน่จริงว่ะ” ไอ้เต้ที่มันเดินกลับมาเห็นฉากสำคัญพอดี วางจานข้าวลงบนโต๊ะแล้วเดินไปตบบ่ารุ่นน้องเบาๆ
“เอ่อ คือผม…” ริ้วสีแดงจางๆที่พาดแก้มขาวยาวไปจนถึงใบหูแสดงชัดว่ารุ่นน้องใจกล้ามีอาการอย่างไร
“หึหึ พี่ขอบใจน้องนะที่ชอบพี่ แต่กลับไปตั้งใจเรียนก่อน ไว้โตกว่านี้ก่อนแล้วค่อยคิด” ผมจ้องหน้าคนที่ไม่ยอมสบตาผมตั้งแต่มายืนตรงนี้
“ครับ ขอบคุณครับที่พี่ไม่ด่าผม ไว้ผมโต ผมจะมาบอกชอบพี่อีกครั้งนะครับ” เด็กน้อยใจกล้าก็ยังคงยืนหยัดในความตั้งใจของตัวเอง
ไอ้เต้ยกนิ้วโป้งให้น้องเซฟ“เหยด น้องนี่มันสุดยอดจริงๆ รักมั่นคงซะด้วย ฮ่า ๆ”
“ขอบคุณครับ”
“เออ ไปเรียนได้แล้วไป” ไอ้เต้เอ่ยพลางยกมือไล่น้องไปเรียน
ไอ้เต้ยังไม่ทันโบกมือรอบที่สองรุ่นน้องใจกล้าก็หันหลังวิ่งฉิวกลับไปทางอาคารเรียนของชั้นมัธยมต้น
“มีอะไรวะ” ไอ้คริสที่กลับมาพร้อมจานข้าวสองจานในมือเอ่ยถามพร้อมวางจานข้าวตรงหน้าผมหนึ่งจานแล้วเดินไปนั่งลงข้างไอ้เต้
“เหมือนเดิม หนุ่มน้อยวัยใส รวบรวมความกล้ามาสารภาพรักกับรุ่นพี่สุดป๊อบ” ไอ้เต้ก็ยังคงเป็นคนที่อธิบายเหตุการณ์ธรรมดาให้เหมือนฉากในละครได้ดีเหมือนเดิม ไอ้เพื่อนเวร
“ฮ่า ๆ อีกแล้วหรือวะ เทอมนี้คนที่เท่าไหร่แล้ววะ” ไอ้คริสถึงกับวางช้อนแล้วหัวเราะใส่ผม
“เห้ย แต่คนนี้โคตรกล้า ไม่ยื่นการ์ดนะเว้ย สารภาพสด ๆ บทไม่ต้อง ฮ่า ๆ” คู่ขาหัวเกรียนของไอ้คริสก็ยังไม่หยุดชื่นชมรุ่นน้องคนนั้น
“ไอ้พี เพื่อนมึงนี่ขายดีในหมู่หนุ่มน้อยจริง ๆ”
ไอ้พีที่มานั่งข้างผมได้ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองเพื่อนลูกครึ่ง “ก็นี่โรงเรียนชายล้วน”
“แต่กูกับไอ้เต้ไม่เห็นจะมี”
“มึงหน้าเหี้ยไง” เชือดนิ่มอีกหนึ่งดอกจากคุณชายพี
“สัด! กูก็หล่อเหอะ สาว ๆ หญิงล้วนโรงเรียนข้าง ๆ มาตามกูเป็นพรวน” ไอ้เพื่อนร่างยักษ์ยังคงโอ้อวดในความหล่อของตัวเอง
“มึงติดหนี้เขาเปล่า เขาเลยมาตามทวงเป็นพรวน ฮ่า ๆ โอ้ย!! ตีกูอีกแล้วนะ”
“ก็มึงปากเสีย”
“กูพูดความจริงเหอะ เห้ย นั่นหมูกู เอาคืนมานะไอ้ยักษ์!!!”
ผมกับไอ้พีหันมาสบตากันแล้วก็อดที่จะ “เฮ้อ” ใส่กันเบาไม่ได้ จะจบ ม.6 แต่แม่งยังตีกันเป็นเด็กอนุบาล ผมขี้เกียจห้ามก็เลยนั่งตักข้าวใส่ปากเงียบ ๆ ปล่อยอ๊อกรบกับคนแคระไป ไม่ได้รบการแย่งแหวนเหมือนในหนังเดอะลอร์ดออฟเดอะริงหรอกครับ รบกันแย่งหมูทอด ปวดกะบาล
หลังจากใช้เวลาในการพักกลางวันจนเต็มอัตราที่โรงเรียนอนุญาต พวกผมก็ชวนกันขึ้นเรียนในคาบบ่าย ก็ยังดีที่วันนี้เป็นวิชาไม่ชวนเข้าเฝ้าพระอินทร์เท่าไหร่ ผมเข้าใจว่า ม.6 ตารางเรียนก็น่าจะประมาณนี้ ไม่ได้หนักวิชาพื้นฐานมากแล้ว เหมือนให้นักเรียนมีเวลาเตรียมตัวสอบ หาที่เรียนอะไรก็ว่าไป
ตึ่ง ตึง ตึง ตึ้ง ตึง
เสียงระฆังดิจิตอลดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาในคาบเรียนสุดท้ายของวันแล้ว เพื่อนในห้องเรียนก็ต่างเก็บของใส่กระเป๋าพร้อมที่จะออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่ใช้ชีวิตอยู่วันละหลายชั่วโมง
หลายคนกลับบ้าน หลายคนไปเที่ยวพักผ่อนตามห้าง และมีอีกพวกคือไปเรียนพิเศษตามคอร์สที่ลงไว้ ซึ่งผมกับไอ้พีก็ถูกจัดอยู่ในประเภทสุดท้ายเช่นกัน
ปกติผมไม่ได้เรียนพิเศษหรอกครับ เป็นพวกเรียนแค่ในห้อง มันก็มีหลับบ้าง เล่นบ้าง แต่เกรดผมไม่เคยออกมาแย่กว่าที่ควรจะเป็น
แต่พอขึ้น ม.6 มาแล้วต้องพยายามเข้าคณะที่พ่อวางแผนไว้ให้ผม ก็เลยต้องพยายามขึ้นมาหน่อย เห็นว่าคณะนี้ในมหาวิทยาลัยชื่อดังก็ไม่ได้เข้าง่ายๆ ซึ่งผมก็ไม่ลำบากต้องขวนขวายไปลงคอร์สเอง เพราะแม่ของผมจัดการให้เสร็จสรรพ ผมก็มีหน้าที่ไปเรียนให้คุ้มเงินที่เสียก็พอ
วันนี้ก็คงไม่ต่างจากทุกวันหรอก ผมกับไอ้พีจะขับมอเตอร์ไซต์กำลังขับเคลื่อนมากกว่ารถยนต์บางรุ่นคนละคันไปที่ตึกรวมโรงเรียนสอนพิเศษชื่อดัง
ระหว่างที่พวกเราทั้ง 4 คนกำลังสะพายกระเป๋าเดินลงบันไดมายังชั้นล่างสุด
“พี่เกียร์ๆ พี่เกียร์ครับ เฮ่อ เฮ่อ ฟู่ว…” รุ่นน้องคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ ม.5 สังเกตจากจำนวนจุดสีแดงบนปกคอเสื้อ วิ่งมาตัดหน้าพวกผมทันทีที่เท้าแตะบันไดขั้นสุดท้าย
อาการเหนื่อยหอบของคนตรงหน้าเพราะคงจะรีบวิ่งมาก็สร้างความสงสัยให้พวกผมทั้งกลุ่ม
“มีอะไร วิ่งหนีอะไรมา” ผมขมวดคิ้วถามเสียงเรียบ
“เปล่าพี่ เปล่า ๆ ไม่ได้หนี แต่…แต่ ฮึบ ฟู่ว…” ประโยคตะกุกตะกักที่จับใจความได้บางคำก็ยังไม่ช่วยคลายความสงสัยได้
“มึงใจเย็น ๆ ก่อนน้อง หายใจก่อน กูล่ะกลัวมึงหอบแดกตาย” ไอ้เต้สวมรอยเป็นรุ่นพี่แสนดียกสมุดมาพัดให้รุ่นน้อง
“ฮึบ! โอเคแล้วครับ ขอบคุณครับพี่เต้”
ไอ้เต้เลยเก็บสมุดลงกระเป๋าเหมือนเดิม “เออ แล้วมีอะไรกับเพื่อนกู”
“ผมไม่มีพี่ แต่ผมมีเรื่องต้องบอก”
“เรื่องอะไร” คิ้วที่เพิ่งคลายลงก็เริ่มขมวดเข้ามาอีกครั้ง
“คืองี้พี่ เมื่อกี้เพื่อนผมที่เรียนโรงเรียนชายล้วนกางเกงดำแถวปากคลองอ่ะ มันส่งคลิปเด็กช่างน่าจะประมาณ 10 คนได้พี่ กำลังเหมือนจะยกพวกไปมีเรื่องอ่ะ” รุ่นน้องมันหยุดหอบหายใจอีกครั้ง
“แล้ว?” ไอ้คริสตีหน้าเข้มถามรุ่นน้อง
“คือผมกับเพื่อนก็ดูเรื่อย ๆ แล้วในคลิปอ่ะพี่ ผมเห็นพี่เฟือง ผมจำไม่ผิดแน่ ๆ ผมไม่รู้ว่าพี่เฟืองเกี่ยวอะไรไหม แต่ผมคิดว่าผมต้องมาบอกพี่อ่ะ”
“กูขอดูคลิป” ผมยื่นมือไปขอโทรศัพท์จากคนบอกข่าว
“แปบ ๆ ครับ” รุ่นน้องผู้หวังดีกดปลดล็อคโทรศัพท์ ก็เห็นเป็นหน้าคลิปวีดีโอที่ยังหยุดค้างไว้อยู่ “นี่ครับ”
ผมรับมากดเล่นวีดีโอเริ่มจากช่วงต้น โดยมีเพื่อนอีกสามคนมาชะโงกหน้าดูอยู่ด้านหลัง วีดีโอเล่นไปจนเกือบจะจบผมก็ได้เห็นบุคคลที่รุ่นน้องผมบอกว่าเป็นพี่ชายของผมอยู่ในคลิปที่ดูเหตุการณ์จะไม่จบด้วยดีเท่าไหร่
ถ้ารุ่นน้องยังจำพี่ชายผมได้ ทำไมผมจะจำไม่ได้ว่าคนที่สงสัยคือเฟืองจริง ๆ
“เชี่ยแล้วไง” ไอ้เต้หลุดอุทานออกมาหลังจากคลิปจบลง
“เดี๋ยวกูโทรหามันก่อน” ผมรีบล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงนักเรียนเพื่อหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาไอ้พี่ชายจอมซ่าส์
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ใน-
“เชี่ยเอ้ย ปิดเครื่อง !” ผมกดตัดสายทั้งที่เสียงตอบรับอัตโนมัติยังพูดไม่จบ คิ้วผมยิ่งขมวดเป็นปมกับปัญหาที่กำลังเจอ
“มึงใจเย็นก่อนไอ้เกียร์” ไอ้คริสยกมือตบบ่าผมเบาๆ
ไอ้พีที่ยืนขมวดคิ้วไม่ต่างจากผมก็ยกมือจับไหล่รุ่นน้อง “มึงชื่อไร”
“เวย์ครับ”
“ไอ้เวย์มึงฟังกู กูวานมึงไปบอกเพื่อนให้ช่วยตามดูห่าง ๆ ได้ไหม แล้วบอกมาเป็นระยะว่าอยู่ตรงไหน เอาโทรศัพท์มึงมา” ไอ้เวย์ยื่นโทรศัพท์ให้ไอ้พี “นี่เบอร์กู ได้เรื่องยังไงโทรมา”
“ครับ ๆ”
“แล้วบอกเพื่อนมึงว่าตามห่าง ๆ ระวังตัวเอง ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็ให้หนี”
“ครับ”
“เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ เดี๋ยวผมโทรเลยตอนนี้” ไอ้เวย์ที่เหมือนได้รับบทเป็นหนึ่งในฮีโร่ก็รีบทำหน้าที่ด้วยความว่องไว
“จะไปคันเดียวกันหรือคนละคัน” ไอ้พีหันมาถามผม
“คนละคัน ไอ้เต้มึงไปกับไอ้คริส” ฝากฝังไอ้หัวเกรียนไว้กับไอ้คริส เพราะมีมันคนเดียวที่ไม่ได้ขับมอเตอร์ไซต์มาโรงเรียน ม๊ามันหวงลูกชายมาก กลัวขับไปชนใครเขา
“โอเค” ไอ้คริสรับคำ
“งั้นไป” สิ้นเสียงไอ้พี ผมกับพวกมันก็รีบวิ่งไปโรงจอดรถของนักเรียนเพื่อขับสายฟ้าลูกรักไปย่านปากคลองตลาด ถ้าไปซอยที่เป็นทางลัด ก็ใช้เวลาไม่นานมาก
(ต่อด้านล่างค่ะ)
ท่าเรือที่ 16
น่านน้ำนี้ของกัปตันเกียร์
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็อย่างที่ทุกคนรู้นั่นแหละครับ ผมไม่โสดแล้ว เขินจัง ตกลงคบกับพี่เกียร์ได้สองวัน ถามว่ามีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมไหม หึ การกระทำไม่เปลี่ยนเลยครับ ดุ โหด ขี้แกล้งเหมือนเดิม แต่คำพูดคำจานี่คือกะฆ่าผมให้ตายไปสิบแปดล้านรอบ
ไม่มีแล้วครับคำแทนตัวว่า ‘ผม’ พี่เกียร์บอกให้ผมเปลี่ยนไปแทนตัวเองว่า ‘เจ้า’ ก็ถือว่าปกติ เพราะผมก็แทนตัวกับครอบครับแบบนี้ แต่ที่ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นปกติทุกครั้งก็คือการที่พี่เกียร์แทนตัวเองว่า ‘พี่’ ทุกคำ ผมขอสารภาพตรงนี้ว่าได้ยินทีไรเหมือนหน้าจะไหม้
สำหรับผมพี่เกียร์เป็นคนที่การกระทำอบอุ่นอยู่แล้ว แต่พอคำพูดคำจาเพราะขึ้นก็ยิ่งทำให้อบอุ่นแข่งกับแดดยามเช้าของประเทศไทยเลยครับ เขินมาก แต่ก็ชอบมากเหมือนกันครับ อิอิ
ก๊อก ๆ
ผมส่งยิ้มกว้างให้คนที่นั่งหลังพวงมาลัยเมื่อผมเคาะกระจกรถเบา ๆ “รอนานไหมครับ”
คนตัวสูงยิ้มรับ “ไม่ถึง 10 นาที มาขึ้นรถได้แล้ว”
“คร้าบบบ” ตอบรับแล้วก็พาตัวเองเดินอ้อมหน้ารถไปฝั่งข้างคนขับ ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยเรียบร้อย
“เมื่อไหร่จะให้พี่ไปรับหน้าบ้านได้ครับ” พี่เกียร์หันมาส่งยิ้มแล้วถามผมพร้อมกับกดปุ่มสตาร์ทรถ
คำถามที่ผมเองก็คิดว่าจะต้องได้คำตอบที่เป็นข่าวดีในเร็ววันอยู่เหมือนกัน
ผมหันไปยิ้มจาง ๆ ให้คนที่กำลังตั้งใจขับรถ “รอเจ้าหน่อยนะ”
“พี่รอมา 3 ปี รอแค่นี้สบายมาก” เจ้าของนัยน์ตาคมพูดจบก็เบนสายตาจากถนนตรงหน้ามาสบตากับผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง
แต่ผมยอมแพ้ สบตาไม่ไหวครับ เลยหันไปมองถนนตรงหน้าแทนทั้ง ๆ ที่ก็ห้ามรอยยิ้มตัวเองไม่ได้เลย “ขอบคุณครับ”
คนตัวสูงหันกลับไปตั้งใจขับรถอีกครั้ง แล้วภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ แต่เป็นความเงียบที่สบายใจมาก ต่างคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน เจ้าชอบความรู้สึกนี้จัง
วันนี้พี่เกียร์มารับผมไปเรียนพร้อมกันเป็นวันแรกในสถานะที่เปลี่ยนไป ถึงแม้คอนโดพี่เกียร์จะอยู่ใกล้มหา’ลัยมากกว่า แต่ก็ยังอุตส่าห์ขับรถอ้อมมารับผม
ถามว่าผมปฏิเสธไหม เหอะ จะเหลือหรือครับ แต่คิดว่าคนอย่างพี่เกียร์จะฟังไหม ก็ไม่ฟังไง เถียงไปก็เหนื่อยเปล่า ทำได้แค่บอกสถานที่รับส่งเท่านั้นแหละครับ พี่เกียร์นี่คนดื้อที่สุดแห่งปี ผมรู้ ผมเป็นแฟนพี่เกียร์นะ ฮ่า ๆ
ผมให้พี่เกียร์มารอรับผมที่ร้านกาแฟตรงมุมถนน ซึ่งเป็นร้านเดิมที่เคยรับส่งช่วงที่พี่แกจีบผมนั่นแหละ การจะให้เปิดเผยไปรับถึงหน้าบ้านผมนั้นมันคงต้องใช้เวลาสักพัก เพราะผมก็ยังไม่รู้จะบอกที่บ้านว่ายังไงเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่เกียร์
จะให้บอกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องเหมือนที่เคยบอกแม่เมื่อก่อนก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกกันเปล่า ๆ
ขอให้ผมมั่นใจในทุก ๆ เรื่องของความสัมพันธ์ก่อน ถึงวันนั้น ต่อให้ต้องข้ามอุปสรรคอะไรผมก็พร้อมสู้
ใช้เวลาเกินครึ่งชั่วโมงมานิดหน่อย รถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวผ่านประตูมหาวิทยาลัยมุ่งหน้าไปยังตึกคณะเภสัชศาสตร์
เจ้าของใบหน้าคร้ามคมเลือกจอดรถชิดฟุตบาทโดยไม่ดับเครื่องยนต์ห่างจากหน้าคณะผมไม่ไกล
ผมปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย แล้วกระชับกระเป๋าสะพายข้างคู่ใจเตรียมตัวลงจากรถ
“ขอบคุณที่มาส่งครับ” ผมหันไปยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าของรถหรู ถึงจะเป็นแฟนกันแล้ว ยังไงพี่เกียร์ก็อายุมากกว่าผมอยู่ดี
พี่เกียร์ยกมือมายีหัวผมเบา ๆ “ฮ่า ๆ ไหว้เลยหรือ”
“ก็พี่เกียร์เป็นพี่”
สายตาคมที่ทอดมองมาส่อแววเจ้าเล่ห์ “ก็ดี ซ้อมไว้”
หัวคิ้วผมขมวดเข้าชนกันน้อย ๆ ให้กับคำพูดคำจาแปลก ๆ ของพี่เกียร์ “…?”
คนตัวสูงชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว “ตอนสวมแหวนวันแต่งงานจะได้ไหว้สวย ๆ”
“…!!” ผมชะงักค้างตาโตให้กับคำพูดของคนเจ้าเล่ห์
ไอ้พี่บ้าว้อย !!
เป็นแฟนได้สองวันแต่คิดไปถึงเรื่องแต่งงานแล้ว
ใครจะแต่งด้วย
คนตัวสูงหัวเราะในลำคอ “ทำหน้าปลาทองอีกแล้ว” หน้าปลาทองของพี่เกียร์ก็คือการที่ผมทำตาโต แก้มป่อง ปากพะงาบ ๆ ไม่มีเสียงเหมือนปลาทองงับอากาศ
“จะ..เจ้าไป..เจ้าจะไปเรียนแล้ว!!” ยกกระเป๋าสะพายขึ้นปิดซ่อนสีหน้าเขินอายที่มีหลักฐานเป็นแก้มสีเรื่อ แล้วรีบเปิดประตูรถพาตัวเองออกรถ
“ตั้งใจเรียนนะเอ๋อ ฮ่า ๆ” เสียงตะโกนของคนขี้แกล้งดังไล่ตามหลังมา
หึ่ย! คนร้ายกาจ
วันนี้เป็นการเริ่มเรียนหลังจากการสอบกลางภาคผ่านพ้นไป สิ้นหวังไปได้กับเรื่องจะได้หยุดพักสมองให้ผ่อนคลาย เพราะต้องหอบร่างแห้ง ๆ สมองล้า ๆ เข้าเรียนตามปกติอยู่ดี ในบางวิชาก็นั่งตัวเกร็งลุ้นคะแนนกันไป แต่บางวิชาเห็นว่ารู้อีกทีก็ก่อนสอบไฟนอล เอ่อ คืออาจารย์ครับ บางทีผมว่ามันก็นานไปนะครับ แต่ก็บ่นได้แค่ในมโนคติความเป็นจริงก็แค่นั่งยิ้มแล้วเรียนต่อไป
ในส่วนของนักศึกษาปี 1 คณะเภสัช ฯ ตัวน้อย ๆ อย่างผม นอกจากกลับมาตั้งใจเรียนแล้ว ยังพ่วงหน้าที่อันหนักอึ้งอย่างการซ้อมหลีดด้วย เหลือเวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์นิดๆ ก็ถึงวันงานปรุงยาสัมพันธ์แล้ว คงจะซ้อมหนักขึ้นมากขึ้นจากเดิมหลายเท่า แต่ไม่เป็นไรครับ เจ้าพระยาสู้ตาย
การเรียนในช่วงเช้าก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี ผมกับอินก็ยังเป็นเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันเหมือนเดิม และวันนี้ผมก็มีเรื่องต้องบอกเพื่อนสนิทคนนี้ให้รับรู้
ผมเลือกที่จะบอกเมื่ออาจารย์ให้เวลาพักระหว่างคาบเรียน
ผมหันหน้าไปเรียกเพื่อนสนิทตัวเล็ก “อิน..วันนี้ไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารวิศวะ ฯ กัน”
“หือ?” อินชะงักมือที่จับปากกาสีน้ำเขียนเนื้อหาลงในชีทเรียนแล้วหันหน้ามาหาผม “นึกไงชวนวะ?”
“กูนัดกับพี่เกียร์ไว้” ผมตอบเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้ม
อินยิ้มน้อย ๆ ให้กับคำตอบเถรตรงของผม “เดี๋ยวนี้พัฒนาว่ะ ตอบเต็มปากเต็มคำเลยนะมึง ไม่เขินแล้ว?” อินเลิกคิ้วถาม
ผมส่งเสียงหึในลำคอเบา ๆ “ไม่อ่ะ กูเขินจนเหนื่อยละ”
“ฮ่า ๆ พี่เกียร์เขารุกจีบมึงแรงขนาดนั้นเลย?”
“เปล่า ไม่จีบแล้ว” ผมพยายามซ่อนรอยยิ้มแล้วตีหน้าให้นิ่งสนิทที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อ่าว ยังไงวะ?” อินชะงักเสียงหัวเราะ แล้วถามผมด้วยท่าทางที่ตกใจไม่น้อย “ทะเลาะกันหรือ”
“เปล่า” เสียงเรียบนิ่งพอ ๆ กับสีหน้า
ตุ๊กตาทองประจำปีนี้ผมขอนะ ฮ่า ๆ
อินเริ่มมีสีหน้าจริงจัง คิ้วเรียวเส้นขนเรียงสวยขมวดชนกัน สายตาที่ส่งมาหาผมเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร มึงโอเคนะ” มันยกมือตบบ่าผมเบา ๆ
“อืม โอเคสิ เป็นแฟนกับพี่เกียร์ กูโอเคมาก” ผมกันไปกลั้นรอยยิ้มแล้วยักคิ้วให้เพื่อนสนิทสองที
ตากลมโตเบิกกว้าง “ห๊ะ!! มึงว่าไงนะ”
“ก็ตามนั้นแหละ ฮ่า ๆ”
“มึงกับพี่เกียร์…แฟนกัน?”
“อืม แฟนกัน”
อินยังคงทำหน้าตกใจ แต่รอยยิ้มเริ่มกว้างแข่งกับผม “เมื่อไหร่วะ แหม แล้วทำหน้านิ่งซะกูเกือบคิดว่าทะเลาะกันจริง”
ผมควงปากกาในมือเล่น “ฮ่า ๆ เนียนปะ” หันไปยิ้มให้อิน “เมื่อวันเสาร์พี่เกียร์ขอกูเป็นแฟน แล้วกูก็ตกลงคบกับพี่มันแล้ว”
“กูดีใจด้วยนะ”
อินยิ้มทั้งแววตาและปากบาง ผมรับรู้ได้ว่ามันดีใจและมีความสุขไม่ต่างจากผม เพราะเราเป็นเพื่อนกันมานาน กลับกันถ้ามีคนดี ๆ มาดูแลหัวใจเพื่อนผมคนนี้ได้ ผมก็คงมีความสุขมาก
ผมเลยเล่าเรื่องวันนั้นรวมถึงเรื่องที่พี่เกียร์เคยเจอผมเมื่อ 3 ที่แล้วให้อินฟังคร่าว ๆ พออาจารย์ให้สัญญาณหมดเวลาพัก เราก็กลับไปตั้งใจเรียนกันเหมือนเดิม
สรุปว่ามื้อเที่ยงวันนี้เราทั้งสองคนก็คงต้องหอบความหิวไปฝากท้องที่โรงอาหารคณะวิศวะ ฯ ตามที่คุยกันไว้
ไปถึงถิ่นคนใส่ช็อปมีเกียร์ทั้งที ก็คงต้องบอกกล่าวเพื่อนสนิทสุดหล่อดีกรีเดือนวิศวะ ฯ ปี 1 ให้รับรู้ด้วย ก่อนหมดคาบเช้าไม่นาน อินเลยรับอาสาส่งข้อความไปบอกไอ้ภาค ส่วนผมก็ส่งไปบอกพี่เกียร์เหมือนกัน
ไอ้ภาคตอบรับข้อความและนัดแนะการเจอกันเรียบร้อย มีแต่แฟนผมเนี่ย เงียบเชียว
พอหมดเวลาเรียน ผมกับอินก็รีบเดินไปยังโรงอาหารของคณะวิศวะ ฯ อย่างรวดเร็วเพราะยิ่งช้าคนก็ยิ่งเยอะ เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง
แต่พอเดินมาถึงก็เห็นไอ้ภาคยืนโบกมือรออยู่ตรงบันไดทางขึ้นโรงอาหาร ผมกับอินก็รีบเดินไปหาเพื่อนตัวสูง
ไอ้ภาคยกแขนพาดไหล่ผมกับอิน “มาเร็วจังวะ”
ผมปัดมือมันออกจากไหล่ ไม่ใช่รังเกียจนะ แต่โคตรหนัก แขนหรือท่อนซุง
“กูกลัวไม่มีที่นั่ง” ไอ้อินเอ่ยตอบ
“กูจองไว้แล้ว นู่น” ไอ้ภาคตอบพร้อมชี้มือไปยังโต๊ะที่มีกระเป๋ามันวางไว้ เอ้อ มึงก็ไม่กลัวของหายเนอะ “แล้วยังไง ข้าวคณะมึงไม่อร่อยแล้วหรือวะ ถ่อมาถึงนี่ เอ๊ะ ได้ข่าวว่ามีเรียนบ่ายด้วยนะ”
“มึงถามมันนู่น” ไอ้เพื่อนตัวเล็กโยนหน้าที่ตอบคำถามมาให้ผม ดีจริง ๆ หึ
พ่อของกลุ่มหันมาเลิกคิ้วถามใส่ผม
ผมหลบสายตามันด้วยการมองร้านข้าวไปเรื่อยเปื่อย “กูนัดกับพี่เกียร์ไว้”
“เชรดดดดดด นัดบ่อยนะช่วงนี้ อิอิ” ไอ้ภาคส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ผม
“เดี๋ยวต่อไปบ่อยกว่านี้อีก” ไอ้อินเริ่มส่งสารกระตุ้นความเสือกของคุณภาคภูมิแล้วครับ
คนที่ยังไม่รู้เรื่องหันไปมองหน้ายิ้ม ๆ ของเพื่อนตัวเล็กสุด ก่อนจะหันมาทางผม “บ่อยกว่านี้ก็คบกันเป็นแฟนให้จบ ๆ ป๊าย”
ผมหันไปยิ้มมุมปากใส่ “คบแล้วว่ะ” อ่ะ แถมขยิบตาให้อีกทีนึง
“…!!” ไอ้ภาคหยุดชะงักเท้าที่จะก้าวเดิน แล้วหันมาทำตาโตใส่ผม “มึงว่าไงนะ!”
“มึงได้ยินว่าไงล่ะ” ผมทำลีลาไม่สนใจคำถามมัน นิสัยขี้เสือกอย่างไอ้ภาคต้องโดนปั่น ฮ่า ๆ
“ได้ยินว่าคบแล้ว”
“ก็ตามนั้น” ผมยักไหล่ใส่มันแล้วรีบเบี่ยงตัวโดนไปที่โต๊ะ ไอ้อินก็เดินตามผมมา ปล่อยให้คนความรู้สึกช้ารวบรวมสติไป
“เห้ย! ไอ้เจ้า!” ไอ้ภาครีบก้าวตามมาที่โต๊ะ แล้วพาตัวเองไปนั่งฝั่งตรงข้ามผม คือหน้าตามันตอนนี้โคตรตลก
“มึงจะเสียงดังทำห่าอะไรเนี่ย”
“มึงตอบกูมา คบจริงดิ! เมื่อไหร่วะ อะไร ยังไง ขอที่ไหน ใครขอใคร ตอบเร็วววว!!” ไอ้คนสติแตกที่ผมมีแฟนก็รีบยิงคำถามรัว ๆ
อยากรู้อะไรขนาดนั้น
อินที่นั่งอยู่ข้างไอ้ภาคก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วลูบหลังคนรู้ช้า “มึงใจเย็น ๆ นะไอ้ภาค ค่อย ๆ เสือก ฮ่า ๆ”
“เออ” ภาคหันไปตอบอินสั้น ๆ แล้วก็กลับมาใส่ใจเรื่องผมต่อ “ไอ้เจ้า มึงอย่ามาลีลา รีบเล่าดิ๊”
“ก็ตามที่บอกมึงไปไง กูกับพี่เกียร์คบกันแล้ว แค่นั้น” ผมยังดึงเกมกวนตีนไอ้ภาคด้วยรอยยิ้ม ฮ่า ๆ
“กูอยากรู้รายละเอียดโว้ย เล่ามาเร็วๆเลย”
“กูหิวแล้ว จะรีบกิน มีเรียนบ่าย” ผมรีบตอบไอ้ภาคแล้วหันไปหาอินพร้อมลุกขึ้นยืน “อิน ไปซื้อข้าวกัน”
อินขำท่าทางไอ้ภาคแล้วก็รับมุกผม “ไป ๆ กูหิวแล้ว วันนี้กินอะไรดี” อินลุกขึ้นยืนพร้อมจะเดินไปซื้อข้าว
ผมกับอินเดินไปซื้อข้าวด้วยกันโดยปล่อยให้คนขี้เสือกนั่งไม่ติดด้วยความอยากรู้
“ม่ายยยย มึงจะปล่อยกูไว้แบบนี้ไม่ได้นะว้อย กลับมาเล่าก๊อน!!”
“ฮ่า ๆ” ผมกับอินหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
พอได้รับข้าวไข่ข้นพิเศษตามที่สั่งไว้ ผมก็ถือจานเดินกลับมาที่โต๊ะ กะว่าจะเดินกลับไปซื้อน้ำ แต่คนอยากใส่ใจเรื่องเพื่อนอย่างไอ้ภาคมันซื้อนมเย็นสีชมพูน่ากินไว้รอผมเรียบร้อยแล้ว
มึงกะเอานมเย็นมาล่อซื้อความลับจากกูหรือไอ้ภาค ฮ่า ๆ
“นั่ง ๆ เลยคุณเจ้าพระยา เนี่ยกูซื้อนมเย็นของโปรดไว้รอมึงเลย”
“ลงทุนฉิบหาย ฮ่า ๆ” อินยังคงขำกับท่าทางเอาอกเอาใจของไอ้เพื่อนตัวสูง
ผมนั่งลงแล้วหยิบนมเย็นสีชมพูขึ้นมางับหลอดดูดชิมรสชาติเครื่องดื่มสุดโปรด
“ขอบใจว่ะ มึงเป็นเพื่อนที่รู้ใจกูจริง ๆ”
“ใช่ไหม งั้นกูควรได้รู้เรื่องของมึง รีบเล่ามา”
“ฮ่า ๆ” อินหัวเราะเสียงดัง “มึงเลิกแกล้งมันเถอะไอ้เจ้า เล่าให้จบ ๆ ไป กูกลัวไอ้ภาคกินข้าวไม่ลง ถ้าเสือกไม่สำเร็จ”
“มึงพูดถูก” ไอ้ภาคยอมรับคำประชดของอินอย่างหน้าด้าน ๆ
เออ ยอม ฮ่า ๆ
ผมกลั้นหัวเราะจนเมื่อยแก้ม “เออ เล่าก็ได้”
แล้วเรื่องราวเมื่อวันเสาร์ก็ถูกผมรีเพลย์อีกครั้งเหมือนตอนที่เล่าให้อินฟัง ต่างกันตรงที่…
“เหยดดดดด หน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดู”
“อูย เขินสัด”
“อั้ยยะ มีตำนงตำนาน”
“พรหมลิขิตชัด ๆ”
เนี่ย มันแซวทุกช็อต ผมอยากจะบ้า!!
พอไอ้ภาคมันได้รู้เรื่องจนสาแก่ใจมันแล้ว มันถึงยอมปล่อยให้ผมกินข้าวอย่างคนปกติได้ แต่ผมกลับไม่มีสมาธิกินข้าวเท่าไหร่ เพราะคนตัวสูงยังไม่ตอบข้อความผมกลับมาเลย แถมลองกดโทรไปก็ไม่รับด้วย
ทำอะไรอยู่นะ
“เป็นไรวะ ทำหน้าเครียดไรขนาดนั้น” เสียงไอ้ภาคเอ่ยทัก
ผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ที่วางข้างจานข้าวไปสบตาคนถาม “กูทำหน้าเครียดหรือ”
“ก็เออสิ คิ้วจะผูกเป็นโบว์แล้ว” ไอ้ภาควางช้อนแล้วจ้องหน้าผม “สรุปเป็นอะไร”
อินที่นั่งอยู่ข้างไอ้ภาคก็หันมามองผมเช่นกัน
ผมมองหน้าเพื่อนสองคนสลับกัน ก่อนจะหลบตา “ พี่เกียร์ไม่ตอบข้อความกูว่ะ” ผมตอบด้วยเสียงปนกังวล “โทรไปก็ไม่รับ”
“เรียนอยู่มั้ง” อินบอกผม
ผมสบตาอิน “นี่พักเที่ยงแล้ว ถ้าไม่ว่างก็น่าจะส่งข้อความมาบอกกูนะ”
“เดี๋ยวกูถามพี่รหัสกูแปบ” ไอ้ภาคหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยุกยิก คาดว่าน่าจะส่งข้อความไปหาพี่โซ่
เพื่อนตัวสูงของผมกดโทรศัพท์อยู่สักพักก็เงยหน้าจากจอสีฟ้ามาสบตาผมที่จ้องมันอยู่ก่อนแล้ว
“พวกพี่เขาแก้ผลแลปอยู่ว่ะ”
ครืด!
สิ้นเสียงไอ้ภาค เสียงโทรศัพท์ของผมสั่นครูดกับผิวโต๊ะไม้ก็ดังขึ้น
พี่เกียร์ตอบแล้ว !!
P’ GEAR : เจ้า
P’ GEAR : พี่ขอโทษ พี่มัวแต่แก้งานครับ
ตัวอักษรปรากฎขึ้นบนหน้าจอทัชสกรีน แสดงการตอบกลับของคนที่ผมกำลังรออยู่
RrrrrrRrrrrr
ยังไม่ทันได้เลื่อนสัมผัสหน้าจอเพื่อตอบกลับข้อความ โทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการสั่นเพราะมีสายเรียกเข้าจากคนที่เพิ่งส่งข้อความมา
“(เจ้า)” เสียงร้อนรนจากคนปลายสายเรียกร้อยยิ้มจาง ๆ ของผมได้ในทันที
“ครับพี่เกียร์”
“(พี่ขอโทษ พี่แก้งาน ไม่ได้ดูโทรศัพท์ เลยลืมส่งข้อความบอกเราด้วย)”
“ไม่เป็นไรครับ”
“(แล้วนี่กลับคณะหรือยัง)”
“ยังครับ กินข้าวอยู่กับภาคกับอิน แล้วพี่กินข้าวยังอ่ะ”
“(ยังไม่มีเวลาเลยเอ๋อ แก้งานเสร็จเดี๋ยวไปกินทีเดียว)” ผมก็ยังคงเป็นน้องเอ๋อเหมือนเดิม
“อ่า งั้นตั้งใจทำนะครับ สู้ๆ”
“(ครับ พี่ไปทำงานก่อนนะ)”
“โอเคครับ”
สัญญาณการตัดสายดังขึ้นเมื่อผมเอ่ยตอบรับจบคำ แต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้าซาลาเปาของผม หมายถึงขาวเหมือนซาลาเปานะครับ ไม่ใช่อ้วนกลม
“เหม็นความรักว่ะ” เสียงเพื่อนจอมกวนของผมดังขึ้นจนทำให้ผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ไปจ้องหน้ามัน ได้ทีก็เอาใหญ่เลยนะไอ้ภาค
ผมแสยะยิ้ม ลอยหน้าลอยตาใส่เพื่อนตัวสูงที่นั่งฝั่งตรงข้าม “อิจฉา พูดแบบนี้เพื่อน”
“บ๊ะ ! มีแฟนแล้วปากเก่งขึ้นนะมึง”
“เก่งนานแล้วโว้ย”
สงครามน้ำลายกำลังจะก่อตัวขึ้น เพื่อนตัวเล็กสุดในกลุ่มเห็นท่าจะไม่จบง่าย ๆ เลยรีบยกมือขึ้นห้ามผมกับไอ้ภาค “พอ ๆ รีบกินข้าวเถอะ”
คู่แข่งความปากดีที่มาในรูปแบบของเพื่อนอย่างผมกับไอ้ภาคก็ยอมสงบศึก แต่ไม่วายแยกเขี้ยวขู่กันทิ้งท้าย
อินส่งเสียงขำน้อย ๆ ในลำคอและส่ายหัวเอือมระอากับนิสัยของผมสองคน
ตักข้าวเข้าปากได้ไม่กี่คำ ก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด
“ไอ้ภาค มึงรู้ไหมว่าพวกพี่เขาทำแลปอยู่ห้องไหน”
นายภาคภูมิเงยหน้าจากจานข้าว แววตาสงสัยกับคำถามของผม “รู้…ทำไมวะ”
ผมไม่ได้ตอบคำถามภาคแต่หันหน้าไปหาอินแทน “วิชาตอนบ่ายอาจารย์เช็คชื่อต้นคาบหรือท้ายคาบวะ”
“หือ? บ่ายนี้หรือ อาจารย์คนนี้ไม่เช็คชื่อนะ” รอยย่นระหว่างคิ้วของอินทัชสื่อถึงความสงสัยในคำถามของผมเหมือนกับไอ้ภาค
“โอเค งั้นเดี๋ยวกูฝากเก็บจานหน่อย” ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วเตรียมจะลุกออกจากโต๊ะ
แต่ไอ้ภาคเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้อย่างรวดเร็ว “เห้ย จะไปไหนวะ”
รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะทำ
“กูจะซื้อข้าวไปให้พวกพี่เกียร์ กว่าจะแก้แลปเสร็จคงอีกนาน”
“เหยดดดดด เอาโล่ห์แฟนดีเด่นแห่งปีไปเลยครับคุณเจ้าพระยา” สายตาล้อเลียนและรอยยิ้มกว้างจากคุณภาคภูมิถูกส่งมาให้ผม
ถามว่า ผมเขินไหม
หึ
จะเหลือหรือครับคุณผู้อ่าน แต่ต้องนิ่งไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าเขินหนักมาก
ไอ้ภาครวบช้อนส้อมเข้าหากันทั้งที่ข้าวยังไม่หมดจาน “งั้นเดี๋ยวกูไปด้วย บ่ายนี้กูไม่มีเรียนพอดี”
“เห้ย” ผมรีบยกมือห้ามเพื่อนจอมกวนทันที “ไม่เป็นไร มึงแค่บอกห้องแลปมาก็พอ”
“ไม่บอก” แถมยักคิ้วใส่ผมอีก
“เออ ก็ได้วะ” ผมไม่มีทางเลือกเลยตอบตกลงคำขอของไอ้ภาคไป
คงสงสัยกันว่าทำไมผมไม่อยากให้ไอ้ภาคไปด้วย เหอะ จากสกิลปากหมา ๆ อย่างมันแล้ว ไม่น่าจะคาดเดายากนะครับ
“มึงจะทิ้งกูหรือเจ้า” เคลียร์ฝั่งไอ้ภาคจบ ก็ยังต่อด้วยนายอินทัชเพื่อนผู้เรียบร้อย (?) อีกคน
ผมหันไปสบตากับอินที่นั่งช้อนตามองผมด้วยแววตาตัดพ้อสุดพลัง
โอ้ย มึงเอารางวัลการแสดงยอดเยี่ยมแห่งปีไปเลยอิน
“ไม่ต้องมาใช้สายตาแบบนั้นกับกู เพราะมันได้ผล !” ผมยกมือตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ ไปหนึ่งที “เออ ไปกันหมดนี่แหละ”
“ฮ่า ๆ” เรื่องรุมผมนี่เข้าขากันดีจริง ๆ เลยนะสองคนนี้
นี่เพื่อนเอง
พวกเราทั้งสามคนก็เก็บของลุกออกจากโต๊ะพร้อมกัน โดยแยกกันไปซื้อของตามที่ตกลงกันไว้คือ ผมไปซื้อข้าวแบบใส่กล่อง อินไปซื้อน้ำ และภาคเอาจานข้าวทั้ง 3 ใบไปเก็บ
เมื่อต่างคนต่างจัดการส่วนของตัวเองเสร็จ ก็เดินมายืนรอที่บันไดทางลงโรงอาหาร ผมที่รับหน้าที่สั่งข้าวนั้นได้รับของเป็นคนสุดท้าย เมื่อมาพร้อมกันแล้วไอ้ภาคก็เป็นฝ่ายเดินนำไปทางอาคารกลางของคณะวิศวะ ฯ
เวลาพักกลางวันที่เหลืออยู่คงจะเพียงพอในการให้พวกผมนำอาหารกลางวันไปให้คนที่กำลังทำงานอยู่แล้วรีบไปเรียนในคาบบ่าย ผมไม่ได้กะจะโดดอยู่แล้วครับ มันไม่ดีต่อคะแนนเท่าไหร่
(มีต่อด้านล่าง)
ท่าเรือที่ 17
เภสัชจ๋า ขอยารักษาใจหน่อย
นับจากวันที่เกิดประเด็นดังทั่วมหา’ลัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับพี่เกียร์ที่ถูกเปิดเผยแบบเล่นใหญ่ไฟกะพริบด้วยฝีมือกัปตันเรืออย่างพี่เกียร์นั้น นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว จำได้ว่าวันนั้นตอนที่อยู่บนรถกับพี่เกียร์ในระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านของผมนั้น ผมถึงกับต้องปิดการแจ้งเตือนจากทุกแอพลิเคชั่น เพราะข้อความมากมายเด้งเข้ามาถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้แต่เพื่อนในรุ่นบางคนที่ปกติเป็นคนเงียบ ๆ มันยังทักเข้ามาถามอ่ะคิดดูสิ ผมนี่นั่งยีหัวจนเส้นผมฟูฟ่องไปเถอะ แต่พลขับหน้าหล่อที่นั่งหลังพวงมาลัยนั้นกลับยิ้มกว้างไป มือหนาก็หมุนพวงมาลัยบังคับทิศทางไป อารมณ์ดีเหลือเกินนะพ่อคุณ
และด้วยความคาใจกับเหตุการณ์ที่มันลงล็อคเกินพอดี ที่พี่โซ่กับไอ้ภาคถ่ายคลิปวีดีโอเหตุการณ์แกรนด์โอเพนนิ่งตอนนั้นทัน คมชัดทั้งภาพและเสียง ซึ่งจะเทพเกินไปแล้วครับ ผมหลุดพึมพำความสงสัยออกมาตอนที่นั่งดูคลิปหน้าแอคเคาท์ของไอ้ภาค แต่คำตอบที่ได้รับจากปากของผู้ก่อเหตุนี่ถึงกับทำให้ผมหลุดอุทานด้วยความตกใจลั่นรถ
พี่มันตอบกลับมาว่า...
'อ๋อ พี่บอกให้พวกมันถ่ายเองแหละ'
'ห๊ะ !!!' ยังไม่หมดเท่านี้ครับ
'แต่ยังไม่ทันให้ไอ้ภาคถามตามแผนเลย เพื่อนเจ้านี่รู้ใจพี่จริง ๆ เข้าแผนเป๊ะเลย'
พี่มันพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ หน้าชื่นตาบานสุด ๆ ผมนี่แทบลงไปแดดิ้นตรงที่พักเท้าเลย
ไอ้คนเจ้าแผนการ !!!
ถึงว่าไม่โทร ไม่ส่งข้อความมาโวยวายเรื่องที่พี่ไนซ์ลงรูป เงียบจนน่าตกใจ ที่แท้ก็รวมหัวกันวางแผนระเบิดเรือผีมาเรียบร้อยนี่เอง
พอผมโวยวายที่พี่มันเล่นใหญ่จนเรื่องดังระเบิดขนาดนี้ คนเจ้าเล่ห์ก็ส่งเพียงสายตาคาดโทษมาพร้อมกับประโยคยาว ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
'คนมีความผิดเพราะไปให้ชายอื่นเลี้ยงขนมไม่มีสิทธิ์โวยวายนะครับ...เดี๋ยวจะโดนทำโทษ'
แล้วคำว่า ‘เดี๋ยว’ ของพี่มันที่แอบคิดว่าคงวันพรุ่งนี้อะไรแบบนี้ หึ คิดผิดครับ เพราะเมื่อรถติดไฟแดงปุ๊บ ผมก็โดนพรากอากาศหายใจไปในทันที
ปากบวมเจ่อกลับบ้านจนระแวงว่าถ้าแม่เห็นแล้วถามมานี่ ผมจะตอบแม่ยังไง !!!!!
นี่จูบหรือจะกินปากผมเข้าไปเนี่ย หึ่ยยยยยยยย
ช่วงแรก ๆ หลังเหตุการณ์วันนั้น เวลาผมเดินไปไหนมาไหนก็มักจะมีเสียงซุบซิบตามหลังมา ประมาณว่านี่ไงน้องเจ้า นี่ไงแฟนพี่เกียร์วิศวะ ฯ เป็นต้น ผมที่ทำได้แค่ก้มหน้ามองเท้าพยายามไม่สนใจเสียงรอบข้าง ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดีนะครับที่กลายเป็นจุดสนใจมากกว่าช่วงที่โดนจีบแบบนี้
แต่เจ้าเขินครับ !!
ยิ่งบางคนที่รู้จักมักจีกันในคณะไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือรุ่นพี่ก็ตบเท้ากันเข้ามาแซวทุกครั้งที่เจอหน้าผม
เจ้าพระยา ชื่อผมนี่เลิกเรียกกันไปแล้วครับ
นี่เลยครับ ‘ยาใจพี่เกียร์’
ชื่อล่าสุดที่พี่ปี 3 เมตตาตั้งให้
มันใช่ไหมเนี่ย !!
แต่โชคดีที่เหตุการณ์นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากไปกว่าการแซวให้ผมเขิน แฟนคลับพี่เกียร์ก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผม ผมเลยได้ใช้ชีวิตในมหา’ลัยอย่างปกติสุข ไปเรียน ซ้อมหลีด กลับบ้าน วงจรชีวิตเกือบสั้นกว่าวงจรชีวิตยุงลายแล้วครับ
และในวงจรชีวิตประจำวันของผมนั้นก็มีพี่เกียร์เป็นส่วนหนึ่งเกือบครึ่งวงจร เจอหน้าคนตัวสูงตั้งแต่เช้า ที่ตอนนี้ผมตัดสินใจยอมให้พี่เกียร์ไปรับที่หน้าบ้านแล้ว ทุกคนในบ้านรับรู้ยกเว้นพ่อที่ไปดูแลเรื่องสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่ นาน ๆ กลับมาทีครับ แต่สิ่งที่แม่ น้องพา และพี่คนงานในบ้านรู้ยังเป็นข้อมูลเก่าว่าพี่เกียร์คือรุ่นพี่ต่างคณะที่อาสามารับส่ง ไม่เคยมีใครถามอะไร แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกตัวว่าแม่เริ่มสังเกตผมกับพี่เกียร์มากขึ้น พี่หวานกับน้องพาก็มีหลุดแซวบ้าง ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คือพูดกันตามตรงก็ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ในเมื่อยังไม่มีใครเริ่มพูดหรือถามออกมา ผมก็ขอเตรียมความพร้อมเงียบ ๆ ไปก่อนครับ
บางวันตอนพักกลางวันก็เจอ ผลัดกันไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะของกันและกัน บางครั้งก็ออกไปกินข้าวตามห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ตอนเย็นเมื่อซ้อมหลีดก็จะพบใครบางคนมารอรับกลับไปส่งถึงบ้านจนเป็นที่ชินตาของคนในคณะผมแล้ว
ชินขนาดที่ว่า วันไหนผมซ้อมหลีดเหนื่อยมาก โดนพี่ ๆ เพื่อน ๆ แซวยังขี้เกียจเขินเลยครับ
ส่วนใหญ่พี่เกียร์ก็ไม่ได้มานั่งรอเฉย ๆ แต่เอางานมาทำระหว่างรอผมซ้อมหลีด ที่นับวันการซ้อมยิ่งดุเดือด บางท่าที่มีการสกินชิพหนัก ๆ ก็มักจะได้รับสายตาขวาง ๆ จากคนหน้านิ่ง แต่ก็ไม่เคยห้ามอะไร
เพราะเข้าใจว่าเป็นงาน?
เปล่าเลยครับ
เพราะคนเจ้าเล่ห์ตามมาเก็บดอกเบี้ยทบต้นทบดอกกับผมทีหลัง
ฮือออออ โดนไอ้นายอุ้มกี่ครั้ง ก็หอมแก้มผมตามจำนวนครั้งที่อุ้มนั่นแหละ
แจ้งตำรวจจับคนเก็บดอกเบี้ยเกินจริงได้ไหมครับ
เจอกันทั้งวันแล้ว แต่ในทุกวันหลังจากผมอาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้ว ก็ยังวีดีโอคอลคุยต่อ แต่จะเรียกว่าคุยกันก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการวีดีโอคอลทิ้งไว้แล้วต่างคนก็ต่างทำการบ้านของตัวเองไป มองอีกคนทำงานเงียบ ๆ ครั้งไหนเผลอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน ก็ยิ้มให้กันผ่านจอเครื่องมือสื่อสารอัจฉริยะ บางวันผมเผลอหลับไป กลางดึกก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงพี่เกียร์เรียกผ่านสายมาปลุกให้ลุกขึ้นไปนอนที่เตียงดี ๆ แต่ก็ไม่ได้วางสายไปนะ ชาร์จแบตทิ้งไว้ยันเช้าแบบนั้นแหละ
และการทำแบบนี้ในทุก ๆ วัน ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าพี่เกียร์ทำงานดึกมาก แทบไม่เคยเห็นพี่เกียร์หลับก่อนผมเลย แต่ตอนเช้าที่มารับผมไปมหา’ลัยด้วยกัน ผมกลับไม่พบอาการงัวเงียของแฟนคนเก่งเลย จะแข็งแรงไปไหน
ผมรู้ว่าพี่เกียร์เรียนหนักและมีโปรเจคต์ของเทอมหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไหนจะงานที่บริษัทของพ่อพี่เกียร์ที่ตอนนี้เริ่มเรียนรู้งานและรับผิดชอบงานบางส่วนมาทำแล้ว
เห้อ ทำไมแฟนผมเก่งและดูเป็นผู้ใหญ่จังครับ ตัดภาพมาที่ตัวเองยังงอแงแย่งขนมกับน้องพาอยู่เลย ช่วยอะไรเขาก็ไม่ได้
ถึงงานจะหนักแต่คนเก่งของผมก็ยังหาเวลามาหา มาดูแลเอาใจใส่ผมอย่างดี ทุกครั้งที่ผมบอกให้กลับไปพัก หรือขอกลับบ้านเอง ดูแลตัวเองเหมือนเมื่อก่อน พี่เกียร์ก็มักจะใช้คำพูดอ่อนโยนที่ทำเอาหัวใจผมอ่อนยวบไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธความอบอุ่นนั้น อย่างเช่น
'ใช่ครับพี่เหนื่อย แต่พอเห็นหน้าเจ้าพี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ'
'ถ้าอยากให้พี่พัก แค่เจ้ายิ้มให้พี่บ่อย ๆ ก็พอแล้ว'
'เวลาเห็นหน้าเจ้าแล้วเหมือนได้นอนหลับบนเตียงนุ่ม ๆ เลย สบายใจดี'
คำพูดคำจาอ่อนโยนมาก แต่มันช่างรุนแรงกับใจดวงน้อย ๆ ของปลาทองเอ๋ออย่างผมมากมาย ได้ฟังครั้งใดเหมือนตัวจะระเบิดคายรังสีความสุขออกมาทุกที
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่เกียร์หอบแลปท็อปมานั่งทำงานรอผม แต่ผมสัมผัสได้ว่าพี่เกียร์มีอาการแปลก ๆ จากการที่พยายามหันไปมองคนตัวสูงทีไรก็จะพบว่าเจ้าตัวใช้มือหนาคลึงขมับตัวเองอยู่หลายรอบ ใบหน้าหล่อมีความอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตานี่เกือบได้เป็นพ่อหมีแพนด้าแล้ว
ในขณะที่นาฬิกาบอกเวลาเกือบ 3 ทุ่ม รุ่นพี่ที่ควบคุมการซ้อมก็อนุญาตให้พักดื่มน้ำเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เริ่มซ้อมกันมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น
ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหาคนตัวสูงที่ตอนนี้พับหน้าจอแลปท็อปลงแล้วฟุบใบหน้าแนบลงกับท่อนแขนแกร่ง กลุ่มผมหนาไหลคลอเคลียปิดซ่อนใบหน้า เห็นเพียงริมฝีปากหยักได้รูปที่ไร้สีผิดปกติ ซีดเผือดเหมือนคนขาดน้ำ ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เหนื่อยจนหลับเลยเหรอ
ผมเลยเอื้อมมือจงใจจะแตะสัมผัสที่ท่อนแขนแข็งแกร่งให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัว แต่เมื่อฝ่ามือขาวของผมสัมผัสผิวกายของคนตรงหน้า ก็ต้องชะงักมือออกมาแบบอัตโนมัติ หัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปมกับอาการผิดปกติของพี่เกียร์
ตัวร้อนจัง
เร็วเท่าความคิดผมเลยใช้มือเกลี่ยกลุ่มผมหนาบริเวณหน้าผากแล้วใช้หลังมือแนบอังชั่วขณะ อุณภูมิร่างกายของคนตรงหน้าพุ่งสูงจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นอาการเริ่มไม่ดี ผมเลยตัดสินใจออกแรงสะกิดคนที่กำลังตัวร้อน พยายามเรียกให้พี่เกียร์รู้สึกตัว
“พี่เกียร์…พี่เกียร์ครับ” ออกแรงเขย่าแขนแกร่งมากขึ้น
“…”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของคนตัวสูง “พี่เกียร์ครับ ได้ยินเจ้าไหม”
“อื้อ…เจ้าเหรอ” เสียงแหบพร่าหลุดออกจากลำคอคนงัวเงียที่กำลังสะบัดหัวไล่ความง่วงงัน
“ไหวไหมครับ พี่เกียร์ตัวร้อนมากเลยนะ” พูดจบผมก็ใช้หลังมือแนบไปตามใบหน้าและลำคอของพี่เกียร์ ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งมั่นใจว่าคนตรงหน้ากำลังมีไข้
“ร้อนเหรอครับ แล้วนี่ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ” คนหน้าง่วงก็ยังคงไม่สนใจสภาพร่างกายตัวเอง มือสองข้างสาละวนกับการเก็บแลปท็อปและหนังสือเข้ากระเป๋า
“ยังไม่เลิกซ้อมครับ แต่เจ้าจะไปขอพี่เขากลับก่อน พี่เกียร์ตัวร้อนมากจริง ๆ นะ ไม่สบายทำไมไม่บอกเจ้าครับ”
“พี่ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่พักสายตานิดเดียวเอง เดี๋ยวได้กลับไปนอนพักก็ดีขึ้นแล้ว” คนดื้อแห่งปีก็ยังคงเถียงเก่งเหมือนเดิม ดูแลแต่คนอื่น ไม่ดูแลตัวเองแบบนี้มันน่าตีให้ตาย
“ยังจะมาดื้อบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก งั้นวันนี้กลับไปพักเลยครับ กลับเดี๋ยวนี้เลย” ผมตั้งท่าจะลุกขึ้นดึงแขนคนตัวสูงให้กลับไปพักให้หายป่วย ก่อนที่อาการจะหนักไปกว่านี้
“กลับได้ยังไงครับ พี่ต้องไปส่งเจ้าที่บ้านก่อนนะครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ นะ ไม่ต้องห่วงนะเอ๋อ”
“ถ้าเจ้ากลับด้วยพี่จะยอมกลับดี ๆ ใช่ไหม” ผมถลึงตาดุใส่คนดื้อหน้านิ่ง
“แต่พี่รอเจ้าซ้อมให้เสร็จก่อนก็ได้ พี่ยังไหวนะ เชื่อใจพี่สิ”
ผมจ้องหน้าคนตัวสูงไม่วางตา ก่อนจะตัดสินลุกออกจากโต๊ะแล้ววิ่งไปหารุ่นพี่หลีดที่นั่งอยู่ไม่ไกล
เมื่อรุ่นพี่เห็นผมวิ่งมาหาก็ต่างหันมาเลิกคิ้วเชิงถามว่ามีอะไร
ผมยกมือไหว้รุ่นพี่หนึ่งครั้ง “พี่ ๆ ครับ วันนี้ผมขออนุญาตกลับก่อนได้ไหมครับ”
“อ้าว มีธุระด่วนเหรอเจ้า” พี่ปี 2 คนหนึ่งเอ่ยถามผม
“ครับ คือพอดีว่า…” ผมขมวดคิ้วคิดทบทวนไปมาให้หัวว่าเหตุผลที่กำลังจะบอกรุ่นพี่ไปมันจะเหมาะสมหรือควรที่จะขอกลับก่อนไหม รุ่นพี่จะมองว่าผมเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียงานส่วนรวมหรือเปล่า
แต่ความเป็นห่วงที่มันก่อตัวอยู่ในใจก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองคงมีสมาธิไม่มากพอที่จะซ้อมต่อแน่ ๆ ถ้ายังมองไปเห็นคนรักของตัวเองนอนหน้าซีดตัวร้อนแบบนั้น
“คือพี่เกียร์เขาไม่สบายครับ ตัวร้อนมาก แต่ดื้อไม่ยอมกลับ จะรอให้ผมซ้อมเสร็จอย่างเดียวเลย” ผมก้มหน้ามองเท้าตัวเองไม่กล้าสบตารุ่นพี่ “ผมเป็นห่วงพี่เขาครับ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากรุ่นพี่ มีเพียงเสียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ที่ผมก็มองไม่เห็นว่ามาจากพี่คนไหน
สงสัยต้องไม่พอใจมากแน่ ๆ เลย เฮ้อ
“น้องเจ้าคะ”
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับรุ่นพี่ที่เอ่ยเรียกชื่อผม “ครับ”
“รีบพาแฟนกลับไปพักเลยค่ะ ถ้าน้องไม่รีบกลับพี่จะโกรธแน่ ๆ ค่ะ”
ตากลมของผมที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดกลับเบิกกว้างขึ้นเพราะประโยคที่รุ่นพี่พูดออกมาอย่างเร็วจนเกือบฟังไม่ทัน
“คะ..ครับ” ผมยังคงงุนงงกับท่าทางรีบร้อนแทนของรุ่นพี่ แต่ก็เข้าใจได้หลังจากนั้นเพราะรอยยิ้มของรุ่นพี่ที่ส่งมา
“รีบกลับเลยค่ะ เอาจริง ๆ พี่ล่ะสงสารพี่สุดหล่อที่มารอรับน้องเจ้ากลับบ้านทุกวันจริง ๆ” รุ่นพี่ที่พูดยกมือเท้าคางมองไปยังคนตัวสูง “แต่มากกว่าความสงสารคือความอิจฉาล้วน ๆ เลยค่ะ ชาติที่แล้วน้องเจ้าไปกู้ชาติมาเหรอคะ ถึงมีแฟนหล่อและดีขนาดนี้ เฮ้อ ชะนีเศร้าใจ” รุ่นพี่มองหน้าผมแววตาตัดพ้อ แต่มองก้รู้ว่าแกล้งทำ
ผมยิ้มกว้างและยกมือไหว้รุ่นพี่รอบโต๊ะจนครบทุกคน “ขอบคุณมากๆ นะครับ เจ้ากลับแล้วนะครับ”
“จ้า ดูแลพี่เขาดี ๆ นะ”
“ครับ” ผมส่งยิ้มลารุ่นพี่ แล้วหันไปหาเพื่อน ๆ ตัวแทนหลีดร่วมชะตากรรม “พวกมึง กูกลับก่อนนะ”
“อ้าว ทำไมวันนี้กลับเร็ววะ” ไอ้ว่านเอ่ยถามผมด้วยใบหน้างุนงงไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
ผมยกนิ้วโป้งชี้ไปยังทิศทางที่ร่างสูงนั่งฟุบหน้าอยู่ “ไม่สบาย” เอ่ยตอบออกไปสั้น ๆ แค่นั้น
พวกมันมองตามมือผมแล้วหันกลับมาพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
“เออ ๆ กลับดี ๆ พี่เขาขับรถไหวแน่นะมึง” ไอ้ซันสบตาแล้วถามผมด้วยความเป็นห่วง
ผมเลยมองกลับไปหาพี่เกียร์ก่อนจะหันมาตอบเพื่อนจอมทะเล้น “น่าจะไหวแหละ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เดี๋ยวกูโทรตามพี่มายด์มาช่วยอีกที”
“โอเค ๆ เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”
พยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับประโยคบอกลาของกลุ่มเพื่อนเสร็จ ผมก็รีบเดินไปหาคนที่อาการไม่ค่อยดี หวังว่าจะขับรถไหว
ผมหยิบกระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นสะพาย ก่อนเดินอ้อมไปยืนด้านหลังพี่เกียร์เพื่อปลุกคนที่ฟุบหน้าอยู่
ลูบมือไปบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นเบา ๆ “พี่เกียร์ครับ กลับบ้านกันเถอะครับ”
“ฮื้อ ไม่ซ้อมต่อเหรอครับ” คนตัวสูงที่ใบหน้าเหนื่อยล้าหันมามองผม
“ไม่แล้วครับ ผมขอพี่เขากลับก่อน พี่ขับรถไหวไหม ให้ผมโทรหาพี่มายด์ไหมครับ”
มือหนายกขึ้นโบกไปมาปฏิเสธความคิดเห็นของผม “ไหวครับ เดี๋ยวพี่ล้างหน้าก็น่าจะหายง่วงแล้ว”
คิดตามคำพูดได้ชั่ววินาที ผมก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่แนบอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเพื่อที่จะชุบน้ำใช้เช็ดหน้าคนที่แนบหน้าเข้ากับหน้าท้องของผม
ไอร้อนแผ่ออกมาจากหน้าผากเรียบเนียนจนหน้าท้องผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้น
จับไหล่พี่เกียร์ให้ผละออกห่างจากตัวก่อนจะหยิบขวดน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดฝาเทน้ำใส่ผ้าเช็ดหน้า
บิดผ้าหมาดพอเหมาะแล้ว ผมก็กระชับกำผ้าเปียกหมาดในมือเช็ดลูบไล้วนเบา ๆ ทั่วใบหน้าซีดจาง พี่เกียร์ที่นั่งหลับตาพริ้มยอมเป็นคนสงบเสงี่ยมให้ผมเช็ดหน้าได้สะดวก
ใบหน้าคร้ามคมดูสดชื่นขึ้น ก่อนที่จะหยุดมือตัวเองที่กำลังเช็ดหน้าคนตัวสูงอยู่นั้น นัยน์ตาคมที่อยู่ใต้เปลือกตาก็เผยออกมาจากที่ซ่อนมองสบเข้ากับแววตาห่วงใยของผม
มือขาวที่มีผ้าเช็ดหน้าถูกกุมกระชับด้วยมือหนาของเจ้าของนัยน์ตาคม ริมฝีปากหยักขยับมุมปากเผยรอยยิ้มกว้าง
รอยยิ้มตอบรับของผมถูกส่งกลับไปในทันที
“ขอบคุณครับ” ประโยคเสียงเบาแต่ดังพอที่ผมจะได้ยินเพราะร่างกายที่ห่างกันแค่ฟุตนิด ๆ
“ยินดีครับ” เอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่ยังไม่หุบลงเลยแม้แต่น้อย “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่าครับ”
คนตรงหน้าพยักหน้าตอบรับช้า ๆ “ดีขึ้นสิ เพราะได้คนดูแลดี”
คำพูดคำจาเรียกเลือดสีแดงให้ไหลตามเส้นเลือดมากองกันที่แก้มผมได้อย่างดี ด้วยปฏิกิริยาแก้อาการขัดเขิน ผมเลยยกมือข้างที่ว่างตีไหล่คนปากหวานเบา ๆ
“อย่ามาเว่อนะ แค่เช็ดหน้าเองครับ ยังไงก็ต้องรีบกลับไปกินข้าว กินยา แล้วก็นอนพักเยอะ ๆ คืนนี้เจ้าขอสั่งให้หยุดทำงานครับ” มือที่ว่างถูกยกขึ้นเหยียดนิ้วชี้เรียวชี้คาดโทษคนเจ้าเล่ห์หากไม่ฟังคำสั่ง
มือหนาอีกข้างของพี่เกียร์ที่ยังว่างอยู่ก็ยกขึ้นมารวบข้อมือผมที่ชี้หน้าเจ้าตัวอยู่
“ถ้ากลัวพี่ขัดคำสั่ง ก็ต้องตามไปเฝ้าครับ”
เปลือกตาสีไข่ของผมเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเพราะคำขอทีเล่นทีจริงของพี่เกียร์ “ไม่ได้ครับ เจ้าต้องกลับบ้าน แล้วคิดว่าวันนี้ก็จะกลับเองด้วย ส่วนพี่เกียร์ เจ้าไม่ไว้ใจให้ขับรถเองแล้วครับ เดี๋ยวโทรให้พี่มายด์มาช่วยขับให้” ประโยคความหวังดีจากใจอธิบายยาวเหยียดให้พี่เกียร์รับรู้
คนป่วยแต่ยังดื้อยอมปล่อยมือทั้งสองข้างที่จับมือผมไว้ แล้วยกประสานกันที่อก หลบสายตาผมหันไปมองที่อื่น คิ้วเข้มขมวดเข้าเป็นปม ปากที่ขึ้นสีด้วยอุณหภูมิความร้อนของร่างกายยู่ยื่นเหมือนเด็กโดนขัดใจ
คือกำลังงอน?
หรืองอแง?
ผมส่ายหัวยิ้มน้อย ๆ ให้กับท่าทางเหมือนเด็กที่ไม่บ่อยครั้งเลยที่คนมาดเข้มจะแสดงออกมา
ลืมไปแล้วหรือไงว่าไม่ได้อยู่กันสองคน หึหึ
“พี่เกียร์ครับ เจ้าเป็นห่วงพี่นะ อย่างอนสิ” ผมใช้เสียงอ่อนโยนอธิบายคนงอแงอย่างใจเย็น
“พี่ไม่ได้งอน แต่พี่ก็เป็นห่วงเจ้าเหมือนกัน จะให้เจ้ากลับเองได้ยังไง” ไม่งอนครับ แต่พูดแล้วไม่มองหน้าผมนี่ยังไง
“โถ่ เมื่อก่อนเจ้าก็กลับบ้านเองนะ ลืมแล้วเหรอครับ”
“แต่ตอนนี้เจ้าเป็นแฟนพี่ พี่อยากดูแลนี่”
“แต่ตอนนี้พี่เกียร์กำลังไม่ดูแลตัวเองนะครับ พอพี่เกียร์ป่วยแล้วจะมาดูแลเจ้าได้ยังไง”
“งั้นเจ้ามาดูแลพี่ได้ไหม พี่กำลังป่วยนะ”
เอ๊ะ ทำไมวกกลับมาตรงนี้อีกแล้วอ่ะ
“เอ่อ…”
“เจ้าพระยา…นะครับ”
พังครับ พังหมดทุกความตั้งใจที่จะกลับบ้านเอง
ใครสอนพี่ให้พูดคำว่า ‘นะครับ’ ด้วยสายตาแบบนี้ ไม่ใช่แค่พี่เกียร์หรอกที่แพ้สายตาของผมเวลาอ้อน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมก็แพ้ท่าทางและสายตาเหมือนเด็กของพี่เกียร์เหมือนกัน
“ก็ได้ครับ”
คนตัวสูงยิ้มเริงร่าแสบตาไปหมด แววตาสดใสจนอดคิดไม่ได้ว่าแล้วไอ้สายตาที่เหมือนหมาป่วยเมื่อสักครู่นี้หายไปไหน
“ขอบคุณครับ” มือหนาที่อุ่นร้อนตามอุณหภูมิร่างกายของคนมีไข้อ่อน ๆ ยกขึ้นมากุมมือผมทั้งสองข้างเหมือนเดิม
ผมขยับมือสองข้างเพื่อให้หลุดจากการกอบกุม “ปล่อยมือเจ้าก่อนครับ เจ้าต้องโทรบอกที่บ้านก่อน”
“ครับ ๆ”
ผมล้วงมือหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาถือ แต่ในขณะที่จะกดโทรออก นิ้งโป้งที่กำลังจะสัมผัสหน้าจอตรงรายชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘my darling’ ก็ต้องชะงัก
ผมจะบอกแม่ว่าอะไรดีล่ะ
พี่เกียร์ที่ลุกขึ้นยืนข้าง ๆ ผมก็หันมามองหน้าผม คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถามว่าทำไมไม่โทร
“พี่เกียร์ แล้วถ้าแม่ถาม...” แววตาไม่มั่นใจที่จ้องโทรศัพท์อยู่ในตอนแรกเลื่อนไปสบตาคนสูงกว่า
พี่เกียร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ “ถ้าเจ้ายังไม่พร้อม ก็บอกว่าเป็นรุ่นพี่เหมือนเดิมก็ได้ครับ ไม่ต้องกังวลนะ” รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนที่ส่งมาให้ผม ทำให้หัวใจมันพองโตขึ้นเหมือนได้รับพลังอะไรบางอย่าง
“ครับ” ตอบรับเสร็จ นิ้วเรียวก็สัมผัสเข้าที่รายชื่อที่ตั้งใจ หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพของแม่ผมเมื่อการโทรออก
รอสายอยู่ไม่นาน สัญญาณการรอสายก็เปลี่ยนเป็นเสียงหวานของผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด
“สวัสดีครับที่รัก”
“(ว่าไงคะลูก วันนี้จะกลับดึกอีกล่ะสิ)”
“เอ่อ…คือ…” สิ่งที่อยากบอกอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมการจะเปล่งเสียงออกไปมันยากขนาดนี้
“(…)” ปลายสายยังเงียบรอฟังคำพูดของผม
“คือวันนี้เจ้าขออนุญาตไม่กลับไปนอนที่บ้านได้หรือเปล่าครับ”
“(หืม)”
“พี่เกียร์ไม่สบายครับแม่ เจ้าไม่อยากให้พี่เขาไปส่งแล้วขับรถกลับคนเดียว เจ้าเลยอยากขออนุญาตไปอยู่เป็นเพื่อนพี่เขา เผื่อช่วยเช็ดตัวตอนไข้ขึ้นกลางดึกด้วยครับ” ประโยคยาวที่หลุดออกจากปากผมอย่างเร็วและรัวจนกลัวคนปลายสายฟังไม่ทัน
“(แน่ใจแล้วใช่ไหมครับ)” เสียงแม่นิ่งมาก
“หืม” คำถามของแม่ก่อให้เกิดตะกอนความสงสัยขึ้นในใจทันที แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไร “แน่ใจครับแม่ เจ้าอยากตอบแทนที่พี่เขาไปรับไปส่งด้วยครับ”
“ถ้าเจ้าแน่ใจแล้ว แม่ก็อนุญาตครับ” ทำไมแม่ย้ำแต่เรื่องความแน่ใจอ่ะ แต่คงกลัวผมงอแงขอกลับบ้านกลางดึกมั้ง
“ขอบคุณครับแม่”
“(ดูแลพี่เขาดี ๆ ล่ะ เราอ่ะเคยดูแลใครที่ไหน)”
“โห แม่ นี่ลูกแม่ไง”
“(ฮ่า ๆ ก็ลูกแม่ไงคะ แม่ถึงรู้)”
“แม่อ่ะ” ผมส่งเสียงน้อยใจออกไปให้กับสุดที่รัก “งั้นเจ้าวางสายก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
“(เจ้าพระยา แม่ขอคุยกับเกียร์หน่อยได้ไหม)”
“หืม? อ่า ได้ครับ” ผมตอบรับคนปลายสายก่อนจะหันไปหาคนที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ไปให้ “พี่เกียร์ แม่อยากคุยด้วย”
คนตัวสูงรับโทรศัพท์จากมือผมไปแนบหู
“ครับคุณน้า”
พี่เกียร์ตอบรับแม่ผมแค่นั้น ผมไม่รู้ว่าแม่คุยอะไรกับพี่เกียร์ เพราะยังแปลกใจกับการกระทำของแม่ที่ปกติตอนเจอพี่เกียร์เวลาที่มารับส่งผมหที่บ้าน แม่ก็ไม่เคยคุยอะไรกับพี่เกียร์ยาว ๆ เลย มีเพียงการขอบอกขอบใจที่อาสามารับส่งผมแค่นั้น แต่บางครั้งก็มีทำแซนวิสมาให้ผมแบ่งกันกินกับพี่เกียร์บนรถ ไม่ได้เอามาให้ด้วยตัวเองด้วยนะ แต่วันนี้แม่กลับเอ่ยขอคุยกับพี่เกียร์
หรือแม่กลัวผมดูแลพี่เกียร์ไม่ได้ เลยออกตัวไว้ก่อนงี้เหรอ
ผมยืนมองพี่เกียร์คุยกับแม่ผ่านโทรศัพท์
“ครับ…ใช่ครับ” ปากหยักเอ่ยตอบรับแม่ผมเรื่องอะไรสักอย่าง แต่แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่กลับทอดมองมาที่ผม “ได้ครับ…ผมสัญญาครับ…ขอบคุณคุณน้ามาก ๆ ครับ” สิ้นคำขอบคุณพี่เกียร์ก็ลดโทรศัพท์ที่แนบหูลงมากดวางสาย
“อ่าว วางเลยเหรอพี่ เจ้ายังไม่ได้บอกฝันดีแม่เลยนะ” ผมโวยวายแบบไม่จริงจัง
พี่เกียร์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ “อ้าว พี่ไม่รู้ งั้นเดี๋ยวบอกฝันดีพี่แทนแล้วกันนะ”
ผมรับโทรศัพท์ที่คนตัวสูงส่งกลับคืนมาไว้ในมือ พร้อมกับแกล้งมองค้อนน้อย ๆ “มันเหมือนกันที่ไหนเล่า”
“แล้วต่างกันยังไงอ่ะเอ๋อ”
“ก็แม่เป็นแม่ เป็นคนในครอบครัว แต่พี่เป็น-“
“เป็นอะไรครับ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มักจะปรากฎบนใบหน้าคนตัวสูงก็เผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง
ผมเบือนหน้าหลบสายตาคนตัวสูงก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เป็นแฟน”
“อืม งั้นถ้าพี่ขอเป็นคนในครอบครัวอีกคนได้หรือเปล่าครับ”
“ไม่รู้ครับ ไปขอพ่อกับแม่เจ้านู่น” ผมเฉไฉไม่ตอบคำถามของคนที่กำลังยกมือโอบไหล่ผมอยู่ในตอนนี้
“โอเค เจ้าพูดแล้วนะ” ท้ายประโยคคนตัวสูงก็ก้มหน้ามาใกล้ผมในระยะประชิด จนปลายจมูกโด่งเฉียดใบหูเล็ก ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดข้างแก้มจนรู้สึกแปลก ๆ “เดี๋ยวพี่ไปขอครับ”
ขออะไร๊?!! พูดให้เคลียร์เส้!!
(ต่อด้านล่างค่ะ)
ท่าเรือที่ 18
ตัวการของพรหมลิขิต
ผมที่วันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติ ไม่สิ ตื่นบ่อยทั้งคืนต่างหาก เพราะคนตัวสูงที่นาน ๆ จะป่วยทีดันตัวร้อนกลางดึก ไอร้อนที่มากระทบผิวจนทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้ พร้อมทั้งปลุกคนอาการไม่ดีขึ้นมากินยาลดไข้กลางดึก
เมื่อเช้าตรู่ที่ตื่นมาผมก็ลองเอาปรอทมาวัดไข้คนป่วย ซึ่งค่าที่อ่านได้ 37.8 องศาเซลเซียสนั้นบอกได้ว่าคนป่วยยังมีไข้อ่อน ๆ อยู่เลยตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิทเพื่อที่จะฝากลาอาจารย์ประจำวิชาเรียนตอนเช้าให้
ตู้ดดด...ตู้ดดด...
“(ฮื้อ ว่า?)” เสียงง่วง ๆ ของเพื่อนสนิทเอ่ยถามมาหลังจากผมรอสัญญาณไม่นาน
“อิน ตื่นยัง”
“(ยัง)”
“อ้าว แล้วมึงรับโทรศัพท์กูได้ไง”
“(ละเมอมั้ง)”
“กวนตีน”
“(ฮ่า ๆ แล้วยังไงครับคุณเจ้าพระยา โทรมาด่าผมว่ากวนตีนแต่เช้าแบบนี้)” เสียงงัวเงียตอนแรกกลับกลายเป็นเสียงใส ๆ ส่งเสียงหัวเราะกลับมา
“มึงนี่! เออ อย่าเพิ่งกวน คือกูจะโทรมาบอกว่าวันนี้ลาคาบเช้านะ ฝากจดด้วย”
“(หื้อ? เป็นอะไร ไม่สบายหรอวะ)” เสียงฉงนสงสัยถูกส่งมาตามสาย
“อืม ไม่สบาย แต่ไม่ใช่กูนะ”
“(น้องพา?)”
“ไม่ใช่ คือเป็น...พี่เกียร์อะ”
“(อ่ออออออ โดดไปดูแลแฟนว่างั้น แล้วจะไปตั้งแต่เช้านี้เลยหรอ)”
“เปล่า คือกูมากับพี่เกียร์ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว”
“(หืม หมายความว่ามึง...พี่เกียร์...เมื่อคืน...มึงกับพี่เกียร์...)”
“มึงจะตะกุกตะกักใส่กูทำไมเนี่ยอิน จะถามก็ถามโว้ย”
“(ฮ่า ๆ เขินหรอครับคุณเจ้าพระยา)”
“เขินที่หน้ามึงสิอิน เออ ยังไงก็ลาให้ด้วย แค่คาบเช้า เดี๋ยวไปตอนบ่าย”
“(เออ ไปดูแลแฟนมึงไป ทำหน้าที่แฟนให้มันดี ๆ หน่อย)”
“หึ ไม่ต้องมาสอนกู มึงเอาตัวเองไปทำหน้าที่แฟนพี่พีให้ได้ก่อนเถอะ”
“(ไอ้เจ้า!!)”
“แบร่!!”
ติ๊ด!
ชิงกดวางสายก่อนคือผู้ชนะ ฮ่า ๆ
06:00 AM
ติ๊ด ๆๆ
“เจ้า...”
“เสียงนาฬิกาปลุกดังกวนหรอครับ เจ้าออกมาปิดไม่ทัน” เอ่ยถามเพราะดูจากหน้ายุ่ง ๆ แล้วคงยังไม่อยากตื่น เสียงเรียกชื่อผมเบา ๆ นั้นก็แหบพร่าจนรู้สึกเจ็บคอแทน
“เปล่า แต่ทำไมรีบตื่น” คนป่วยถามด้วยสีหน้าเพลีย ๆ แต่ยังดูอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานนิดหน่อย
“มันตื่นเองครับ” ผมตอบความจริงไปแค่ครึ่งเดียว
หลังจากที่วางสายจากอิน ผมก็วางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง แล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟันจนกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้สำหรับทุกวัน แต่ก็ออกมาปิดไม่ทันจนคนป่วยตื่นเพราะเสียงดังรบกวน ตอนนี้ผมก็ยังอยู่ในชุดนอนที่เป็นชุดของคนป่วยนั่นแหละ เดี๋ยวค่อยอาบน้ำแล้วกัน
“พี่นอนต่ออีกหน่อยมั้ย เจ้าว่ายังไม่หายดีนะ” เอ่ยออกไปด้วยความเป็นห่วงเพราะสังเกตเห็นสีหน้าของพี่เกียร์ตอนนี้ที่ยังหลงเหลือความอ่อนเพลียอยู่
“พี่หายแล้วครับ”
“หายแล้วที่ไหนกัน เมื่อคืนตัวร้อนมากเลยนะ ดูสิ ตอนนี้หน้าก็ยังซีด ๆ อยู่เลย” พูดพลางเดินเจ้าไปยืนข้างเตียงใกล้กับคนตัวสูงที่แม้จะนั่งอยู่บนเตียงก็เกือบจะสูงเท่าผมที่ยืนอยู่บนพื้นข้างเตียงแบบนี้
พอยกหลังมือแนบหน้าผากเนียน คนที่เถียงว่าหายดีแล้ว ผมกลับได้รับรู้ถึงไออุ่นร้อนแผ่กระทบผิวหลังมือ
เนี่ย ยังไม่หายดี แต่เถียงเก่งเหลือเกินคน ๆ นี้
“หายแล้วจริง ๆ มีเภสัชกรประจำตัวจ่ายยาดีขนาดนี้” ไม่พูดเปล่า มือหนาที่วางข้างตัวกลับยกขึ้นมากุมมือที่เล็กกว่ามากของผมที่แนบหน้าผากพี่เกียร์อยู่ ให้ไปแนบที่ข้างแก้มเหนือสันกรามคมชัดแทน นัยน์ตาคมเข้มถูกบดบังโดยเปลือกตาสองชั้น เจ้าตัวดูพริ้มอารมณ์ดีจนผมนึกเอ็นดูกับโหมดขี้อ้อนเหมือนเด็ก ๆ ขัดกับขนาดตัวที่สูงใหญ่ราวกัปตันอเมริกา
“ฮะ ๆ นี่อ้อนหรอครับ”
“ไม่ได้?”
“อ่า...”
เสียงแหบพร่าที่ถามกลับมาทั้งยังส่งสายตาจ้องสบกับตาของผมมุมปากที่ยกยิ้มบาง ๆ น้ำเสียงที่ต่างไปจากเมื่อวานเพราะอาการป่วยแต่มันไม่ช่วยทำให้ความยุบยิบในหัวใจของผมลดลงไปได้เลย แถมยังทำให้ภาพเหตุการณ์ก่อนนอนไหลย้อนกลับมาเรียกความร้อนให้เกิดขึ้นบนใบหน้ายุ่ง ๆ ของตัวเอง
‘รักนะครับ’
คำบอกรักอันแสนธรรมดาที่ทำให้หัวใจพองโตเหมือนลูกโป่งที่โดนเป่าลมจนเต็มใบ สร้างความสุขให้ก่อตัวจนไม่ยากที่ตลอดคืนที่ผ่าน ผมจะตกอยู่ในห้วงของฝันดีจนตื่น
“ติดไข้จากพี่หรอเอ๋อ”
“หื้อ? เปล่านะ เจ้าปกติดี”
“หรอครับ ก็เห็นหน้าแดง ๆ”
“...”
“นึกว่าเจ้าติดไข้ตอนพี่จูบเจ้าเมื่อวาน” เสียงล้อเลียนอะไม่เท่าไหร่ แต่สายตาที่สิ ระยิบระยับแพรวพราวไม่เหลือคราบคนป่วยเลยสักนิด นี่มันแกล้งกันชัด ๆ
ตีคนป่วยนี่ผิดจรรยาบรรณของเภสัชกรมั้ยครับ
เจ้าคันมือ !!!
“อะไรเล่า!”
ผ้าขนหนูผืนเล็กในมือที่ผมใช้ซับหน้าตอนออกจากห้องน้ำกลายเป็นอาวุธเดียวที่ใช้ปาใส่คนป่วยแสนเจ้าเล่ห์ก่อนจะวิ่งหนีลงมาด้านล่าง
คราวหน้าจะเอาคืนบ้าง
พอเริ่มดึงสติกลับมาก็คิดได้ว่าควรจะเข้าครัวหาอะไรให้คนป่วยกินตอนเช้าจะได้กินยาแล้วก็พักผ่อน ผมจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อนำอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปที่พอจะรองท้องได้มาอุ่นให้คนป่วย เอ๊ะ หรือผมควรจะโทรสั่งดีนะ คนป่วยควรได้กินอาหารสดใหม่สิ
ยืนคิ้วขมวดให้ความคิดตีกันเองในหัวอยู่ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเดินมาทางห้องครัว คงจะเป็นเจ้าของห้องหรูนั่นแหละ
“เอ๋อ ทำอะไร” เสียงทุ้มติดแหบดังมาจากทางประตูห้องครัว
“อ้าว ทำไมไม่นอนต่ออะ” เอียงคอถามแล้วใช้สายตาสำรวจใบหน้าที่ตอนนี้มีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว ปอยผมตรงหน้าผากดูเปียกชื้นจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน สงสัยคนป่วยจะไปล้างหน้าล้างตามาเรียบร้อยแล้วแหละ
คำถามของผมทำให้คนตัวสูงส่ายหัว แล้วเดินเข้ามาใกล้ผมที่ยืนอยู่หน้าตู้เย็น
“ไม่ง่วงแล้วครับ แล้วสรุปว่านี่จะทำอะไร”
“อ๋อ เจ้าจะอุ่นข้าวต้ม กินแล้วจะได้กินยา แต่คิดอีกทีควรจะโทรสั่งดีกว่า พี่ไม่สบายไม่ควรกินอาหารแช่แข็งเยอะ”
“หายแล้ว” เสียงเข้มยังคงเอ่ยตอบยืนยันอาการตัวเอง
“ทำเก่งอีกละ ตัวยังร้อนอยู่เลยนะ”
“หายแล้วจริง ๆ ครับ แค่อาจจะต้องกินยาลดไข้ต่ออีกนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ได้เพลียเหมือนเมื่อวานแล้ว”
“แน่ใจนะครับ” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าตัวเอง ปรับสายตาให้จริงจังเพือเค้นเอาความจริงจากคนป่วยว่าไม่ได้โกหกให้ผมสบายใจ
“แน่สิ พี่แข็งแรงจะตายเอ๋อ”
“จ้า แข็งแรงมากครับ คนป่วยจนนอนซมทั้งคืนไม่มีสิทธิ์พูดประโยคนี้นะ” ผมเบ้ปากใส่คนที่อวดอ้างความแข็งแรงของตัวเอง
“ทำปากน่าตี”
“อ๊ะ! ห้ามตีนะ” ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดปากทันทีเมื่อคนที่สูงกว่าทำท่าจะยกนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมาตีปากของผมตามที่เจ้าตัวพูด
คนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะในลำคอพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มมือที่จะยกมาตีปากผมในตอนแรกก็เลื่อนขึ้นไปยีหัวผมจนเส้นผมฟูฟ่องไปคนละทิศละทาง
“งั้นถ้าพี่หายแล้ว เจ้าไปเรียนคาบเช้านะ ว้า ตอนแรกก็กะจะลาอาจารย์มาดูแลคนป่วยซะหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีคนป่วยให้ดูแลแล้ว เจ้าไปเรียนดีกว่า”
พูดจบผมก็เดินลอดแขนคนตัวสูงเพื่อที่จะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักศึกษาพูด
“ห้ะ! ไม่ได้ดิเอ๋อ ก็จะลาแล้วนี่”
“ก็พี่เกียร์หายป่วยแล้วนี่ เจ้าก็ไปเรียนได้สิ จะได้ไม่เสียคาบเรียนด้วย”
“โถ่ เจ้า”
“ว่าไงครับคนหายป่วยแล้ว” ผมยักคิ้วส่งยิ้มล้อเลียนกลับไปให้ ดูซิ คนแผนเยอะจะมาไม้ไหนอีก
“เหมือนจะป่วยขึ้นมาเลยเนี่ย” เสียงทุ้มปนแหบพร่าว่าอย่างนั้นจนอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดยืนหน้าห้องครัวแล้วหันกลับไปมองหน้าคนแผนเยอะ
“ไข้กลับมาเร็วจังนะครับ”
“เนี่ย รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ อีกละ”
“หรอครับ”
“อื้อ”
“พี่เกียร์”
“ว่าไงครับ”
“มัน – ไม่ – เนียน !!!”
“ฮ่า ๆ อ้าวหรอเตี้ย”
“พี่นี่มันนนนน...หึ่ย”
“งั้นถ้าเจ้าจะไปเรียน เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”
“ไม่!”
“ไม่ต้องไปส่ง?”
“ไม่ไปเรียนแล้ว!!”
แม่ครับ ถ้าแม่รู้ อย่าตีเจ้านะ ฮืออออออ
พอตอบกลับคนตัวสูงเจ้าแผนการไปแบบนั้น ก็กะจะหนีขึ้นไปอาบน้ำสักหน่อย เพราะขืนให้ยืนมองหน้ากันต่อ ผมกลัวใจตัวเองจะฟาดคนป่วยเข้าให้
ก้าวเดินพ้นประตูครัวออกมาไม่เท่าไหร่ พี่เกียร์ก็เดินตามออกมา ยืนพิงประตูครัวส่งสายตาล้อเลียนผม และผมที่กำลังจะหันไปง้างปากด่าก็ต้องชะงักค้าง พี่เกียร์ก็หันขวับไปทางประตูห้องเช่นเดียวกันเมื่อ...
ติ๊ด!
พลัก!
“ไอ้เกียร์โว้ย!! ตื่นรึ- อ้าว...”
“...” พี่เกียร์
“...” ผม
“...” และคนแปลกหน้า
ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
“มาทำไม?” เจ้าของห้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบโดยการเอ่ยถามผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เหมือนไม่สบอารมณ์
“อ่าว มาไม่ได้หรอวะ คีย์การ์ดกูก็มี ปกติกูก็มา แล้ววันนี้จะมาหวงห้องทำไมอะ เป็นอะไรของมึงวะ หรือเพราะว่า…” คนแปลกหน้าสำหรับผมร่ายยาวตอบพี่เกียร์ พร้อมกับปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้ามายืนในอาณาเขตห้อง ท้ายประโยคยังเหล่ตาเรียว ๆ นั้นมาทางผมที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงนี้
ลักษณะท่าทางโดดเด่นของคนมาใหม่คือความสูง สูงกว่าพี่เกียร์อีกอะ สีผิวขาวเหลือง โครงหน้าชัด แต่ที่ชัดกว่าคือดวงตาเรียวที่หางตายกขึ้น หากถูกจ้องมองคงคิดว่าถูกดุแน่ ๆ ประเมินภาพรวมแล้วในความรู้สึกผมดูคล้ายบางคน คล้ายมาก ๆ หรือว่า…
“อย่ามากวนตีน สัดเฟือง”
นี่หรอ พี่เฟือง พี่ชายแท้ ๆ ของพี่เกียร์
“เดี๋ยว ๆ นี่กูพี่มึงนะ นี่พี่เฟืองเอง โหดอะไรกับพี่กับเชื้อขนาดนั้นอะ”
พี่เฟืองตัดพ้อใส่น้องชายอย่างนั้นแล้วก็เดินไปนั่งยกเหยียดขาบนโซฟาตัวยาว การแต่งตัวด้วยชุดวอร์มเข้ากันเป็นชุดทั้งเสื้อและกางเกงของแบรนด์ดังที่คุมโทนสีดำ กระเป๋าสะพายแบรนด์เดียวกับเสื้อผ้าที่ถือมาด้วยก็ถูกวางอยู่ข้างโซฟา
สายตานิ่ง ๆ ทอดมาทางผม จ้องจนผมก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนถูกใช้สายตาสแกนจนทะลุปรุโปร่งไปทั้งตัว
“เฟือง อย่าเสียมารยาท”
“แค่นี้ทำหวง โด่ว”
“แล้วมาทำไม”
“อยากมา เพิ่งกลับจากฟิตเนส ขี้เกียจกลับบ้าน คิดถึงน้องชายสุดที่รักเลยแวะมาหาไม่ได้ไง้?” คนอายุมากที่สุดในห้องตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ความเข้มของสายตาถูกปรับผ่อนลงให้ดูขี้เล่นมากขึ้น
“แล้วนั่น…”
“เจ้า” พี่เกียร์หันมาเรียกผม
“เอ่อ...ครับ”
“ขึ้นไปอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนชุดมาเลยนะ เดี๋ยวพี่พาออกไปกินข้าวข้างนอก”
“คะ...ครับ” ทำไมไม่บอกให้ขึ้นไปตั้งนานแล้วนะ ให้ยืนเกร็งตั้งนาน เมื่อได้โอกาสผมเลยจะรีบขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องนอนชั้นบน
แต่ก่อนขึ้นหางตาหันไปเห็นพี่เกียร์ปารีโมททีวีใส่พี่ชายตัวเองที่มองตามผม เสียงสนทนาของพี่น้องตัวสูงที่ไม่ดังมากแต่ก็ยังดังพอที่จะทำให้ผมได้ยินอยู่ดี มันชวนเรียกเลือกทั้งร่างให้มาเลี้ยงใบหน้าผมจนร้อนไปหมด
“โอ๊ย!! ปามาทำเหี้ยไรเนี่ย เจ็บสัด”
“ใครให้มอง”
“ขี้หวงชิบหาย กับพี่ชายแท้ ๆมึงก็หวงเนาะ”
“ก็แฟนกูกับใครหน้าไหนกูก็หวงหมดแหละ”
“จ้า ยอมแล้วจ้า”
เสียงสนทนาที่เบาลงเรื่อย ๆ จนพอเข้ามาในห้องนอนก็ไม่ได้ยินแล้ว เอื้อมมือคว้าผ้าขนหนูได้ก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องมาเสียเวลานั่งชันเข่าพิงประตู ยกมือขึ้นมาลูบแก้มทั้งสองข้าง ผ้าผืนใหญ่ในมือที่จะใช้เช็ดตัวก็กลายเป็นที่ระบายอาการเขินจนคันฟันของผมไปซะอย่างนั้น ตลกตัวเองเป็นบ้า
ผ่านไปเกือบ 20 นาทีที่ผมอาบน้ำและแต่งตัวจนอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเรียบร้อยถึงมันจะยับหน่อย ๆ ก็เถอะ สำรวจตัวเองแล้วก็สูดหายใจลึก ๆ เข้าไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะก้าวลงบันไดมาที่ห้องนั่งเล่นด้านล่าง
พ้นองศาของบันไดก็เห็นคู่พี่น้องนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี คนเป็นพี่เหยียดขาสายตาจ้องไปยังทีวีเครื่องใหญ่ ผมเลยเดินไปนั่งโซฟาตัวเล็กฝั่งตรงข้ามพี่เกียร์ที่ตอนนี้อยู่ในชุดใหม่แล้ว สงสัยอาบน้ำห้องล่างแน่ ๆ ลืมบอกไปเลยว่าห้ามอาบน้ำ คนป่วยจะไข้กลับไหมนะ
“ทำหน้าอะไรอย่างงั้นอะเอ๋อ”
“อะ..เอ่อ เปล่าครับ” ผมโดนทักจนหลุดออกมาจากความคิดตัวเอง พอนึกได้ก็นั่งตัวเกร็งเพราะหันไปหน้าไปสบตากับพี่เฟืองพอดี
“มึงจะจ้องห่าอะไรนักหนา น้องกลัวแล้วสัด” พี่เกียร์ปาหมอนอิงใส่พี่ชายตัวเองอย่างแรง เล่นกันสมกับเป็นพี่น้องผู้ชายจริง ๆ
“กูแค่มองเฉย ๆ โว้ย น้องจะกลัวได้ไง กูไม่ได้น่ากลัวซะหน่อย หน้าออกจะหล่องี้ ใครจะมากลัววะ ใช่มั้ยครับน้อง” ท้ายประโยคพี่เฟืองหันมามองหน้าผมนิ่ง ๆ เป็นเชิงถาม
“เอ่อ ครับ เจ้าไม่ได้กลัวนะพี่เกียร์ แค่...”
“แค่ ?” พี่เฟืองเอียงคอรอคำตอบ
“แค่เกร็ง ๆ นิดหน่อย แหะๆ” เสียงหัวเราะแห้ง ๆ หลุดออกจากลำคอของผม และรอยยิ้มกว้างตาหยีกลบเกลื่อนอาการประหม่าจากการเจอพี่ชายแฟนครั้งแรก
“ไอ้เกียร์”
“อะไร” ปลายเสียงสะบัดเล็กน้อยให้รู้ว่าตอนนี้กำลังรำคาญพี่ชายสุดกวนตีนอย่างมาก
“เกียร์”
“อะไร?!!”
“น้องคิลกูว่ะ ช็อตเมื่อกี้กูตายว่ะ”
ผลัก!
“โอ๊ย!!”
หมับ!
คนขี้หวงยกเท้าถีบสีข้างพี่ชายตัวเองอย่างแรงแล้วพุ่งมาดึงผมให้หันหน้าไปเข้าอกแกร่งของพี่เกียร์แทน
อะไรจะขนาดนั้น
“ไอ้เหี้ย ถีบมาได้”
“จะทำไม รีบกลับบ้านไปเฟือง รำคาญ” เสียงเข้ม ๆ ของคนตัวสูงเจ้าของอกที่ผมฝังหน้าอยู่นี้ดังผ่านหัวผมไป มือหนายกขึ้นมากดหัวผมให้จมลงไปชิดอกมากขึ้นอีก จนได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟเฉพาะตัวของพี่เกียร์
“ไม่กลับ มึงจะไปกินข้าวข้างนอกใช่มะ เดี๋ยวกูไปด้วย”
“เสือก”
“แน่นอน งั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาไล่ เพราะถ้ากูกลับบ้าน เรื่องน้อง...”
“จะทำอะไร”
“วันนี้แม่อยู่บ้านด้วยว่ะ เอ๊ะ หรือกูจะกลับบ้านดีนะ”
“ไอ้เฟือง”
“หึ มึงก็รู้ ว่าถ้าแม่รู้เรื่องนี้ แม่จะ-“
“เออ!! จะไปก็ไป”
“เยี่ยม!! ว่าแต่ มึงนี่ ไม่คิดจะแนะนำให้กูรู้จักน้องอย่างเป็นทางการหรอวะ”
“สัด เรื่องมาก”
ผมที่ยืนเงียบหลุดออกจากบทสนทนาของทั้งคู่มาหลายนาที ก็ถูกดึงกลับเข้าไปร่วมในบทสนทนาอีกครั้งด้วยการที่เกียร์ค่อย ๆ คลายมือแล้วจับไหล่ผมให้หันไปทางพี่ชายของตัวเอง แต่ก็ไม่วายยกมือแขนพาดไหล่ผมไว้เหมือนเคย
“เจ้า นี่เฟือง พี่ชายพี่เอง”
“สวัสดีครับ เอ่อ พี่เฟือง” ผมยกมือไหว้ถูกต้องตามหลักมารยาทแบบไม่ให้เสียชื่อ พอลดมือลงก็ส่งยิ้มอันเป็นมิตรสุด ๆ ของตัวเองไปให้
“สวัสดีครับน้องเจ้า เจอกันสักทีนะ”
“หื้อ ?”
“อย่าเยอะ นี่เจ้าพระยา แฟนกู ได้รู้จักแล้ว พอใจยัง?” พี่เกียร์ทำหน้าตาเหม็นเบื่อใส่พี่ชายตัวเอง เป็นความสัมพันธ์ที่แอบตลกดี เหมือนสลับความเป็นพี่เป็นน้องกัน
“หึ หวงเก่ง อวดแฟนเก่ง ทบต้นทบดอกของ 3 ปีรึไงวะ”
“เรื่องของกู คนไม่มีก็เงียบปากไป” พูดจบพี่เกียร์ก็ออกแล้วดันผมให้เดินผ่านพี่เฟืองไปทางประตูทางออกห้อง
“โห ไอ้สาดดดดดด พูดงี้เอาตีนมาเหยียบหน้ากูยังเจ็บน้อยกว่า จี้ใจฉิบหาย อย่าให้กูมีบ้างนะ” เสียงโวยวายมาจากพี่เฟือง ผมอมยิ้มน้อย ๆ แล้วย้อนนึกไปถึงเรื่องที่พี่เกียร์เล่า เหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจอกัน คนแบบพี่เฟืองเนี่ยนะที่ชอบมีเรื่อง ฮ่า ๆ
“มึงไปทำให้ ’เขา’ ใจอ่อนให้ได้ก่อนมั้ย ฮ่า ๆ” พี่เกียร์หัวเราะเสียงดังหลังจากตอบกลับพี่ชายตัวเองจนเงียบเสียงไปทันที
มีต่อด้านล่าง
ท่าเรือที่ 19
ประลองเวทย์ปรุงยา
‘ลงสนามพร้อม !!’
‘พร้อม !!’
‘3…4 !!’
‘ลงสนามด้วยความสง่า เก่งกล้าเหนือใคร เรามาเชียร์มาชิงชัย ไม่มีใครมาหาญสู้ เรามาเชียร์เป็นแรงช่วย ด้วยใจของพวกพ้อง มอยูเราจะครอง ความเป็นหนึ่งเหนือใคร !!’
‘5…6…7…8 !!’
“เป๊ะมากค่า”
“วี๊ดดดดด ท่าสวยมาก”
“ยิ้มไว้ค่า”
เสียงวี้ดว้ายเกรียวกราวของรุ่นพี่ปีสองที่เป็นทีมควบคุมการสอนหลีดให้กับพวกผมดังไปทั่วโถงอาคาร ความเงียบในยามวิกาลไม่ได้ทำให้เกิดความกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะจำนวนคนที่มานั่งกองนอนกองกันอยู่ใต้อาคารนี่เกือบจะหมดคณะผมแล้วนะ
เพราะเขามาดูพวกผมซ้อม ?
ผิด !
เพราะทุกฝ่ายงานกำลังเผางานที่เหลือจนไฟลุกยังไงล่ะ
จะเป็นงานอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่การเตรียมงานประลองเวทย์ปรุงยาที่เป็นการแข่งขันกีฬาและผู้นำเชียร์กระชับความสัมพันธ์ระหว่างคณะเภสัชศาสตร์จาก 5 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ซึ่งปีนี้มหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพนั้นตั้งอยู่แถว ๆ จังหวัดปริมณฑล
โดยงานนี้จะจัดขึ้นในอีก…
ไม่กี่วัน
โน้ว โน ๆ
จัดวันพรุ่งนี้แล้วจ้า
พระเจ้าช่วยกล้วยทอดตากแห้งก็ไม่ช่วยทำให้ความลนลานของฝ่ายงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นั้นลดลงไปได้เลย พวกพร้อบ ฉาก อุปกรณ์การแสดงต่าง ๆ ก็ยังต้องมีการเก็บรายละเอียด ทีมสวัสดิการก็ต้องอยู่คอยอำนวยความสะดวก ฝ่ายประสานงานก็จัดการเอกสารวุ่นวายกันไปหมด
และผู้นำเชียร์อย่างพวกผม
ก็ซ้อมกันประหนึ่งไปแข่งผู้นำเชียร์โอลิมปิกฤดูหนาว
ถ้านับจากวันที่ผมไปค้างห้องพี่เกียร์ในวันที่คุณเขาป่วยก็สองอาทิตย์กว่า ๆ แล้วครับ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เพราะพี่เกียร์ทำโปรเจคต์หนักมาก เดินเรื่องกับที่ฝึกงานอีก ส่วนผมก็ถูกนัดซ้อมหลีดหนักจนเหมือนจะตาย แต่บ่นไม่ได้เพราะเป็นความหวังของคณะ ฮืออออ
หนักขนาดที่มีสภาพเป็นซากแห้ง ๆ กลับบ้านให้แม่กับน้องพาหัวเราะใส่จนผมเซ็ง ก็น้องพาบอกว่าผมไม่เหมือนไปซ้อมหลีดมา แต่เหมือนรุ่นพี่พาไปลอกท่อระบายน้ำมา
ก็เกินป๊ายยยยย
ธีมงานประลองเวทย์ปรุงยาในปีนี้ รุ่นพี่บอกผมตั้งแต่เริ่มซ้อมแรก ๆ ว่า ธีมมาเวลส์ และมหา’ลัยของพวกเรา สายโหด(?)แบบนี้ เท่แบบนี้จะเป็นหนังมาเวลส์เรื่องอะไรไม่ได้นอกจาก
Black Panther !!
วากานด้าฟอเอฟเฟร่อออออ !!
แล้วระดับเจ้าพระยา ถึงเตี้ยแต่ผมก็ได้เป็นตัวเด่นในการแสดงนะครับ
เป็นเจ้าชายทีชาลา
…ก็บ้าละ…
ผมได้เป็นลูกแมวดำ เอ้ย เสือดำเฉย ไอ้ว่านมันแย่งบทเจ้าชายไปจากผม เนี่ย พี่ ๆ ตาไม่ถึงอะ
วันนี้เป็นวันซ้อมวันสุดท้ายก่อนที่จะต้องลงสนามเฉิดฉายแสดงสิ่งที่ซุ่มซ้อมมาอย่างเต็มที่ในวันพรุ่งนี้ เหล่านักกีฬาก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้จะเป็นการแข่งขันกระชับความสัมพันธ์แต่จะเล่นชิล ๆ ให้เสียศักดิ์ศรีไม่ได้ ต้องคว้ารางวัลมาประดับรุ่นให้น่าภูมิใจไปหลายช่วงอายุไปเลย
ถึงแม้พวกพี่ ๆ จะบอกไว้ตอนซ้อมเมื่อวานว่าวันนี้จะซ้อมเบา ๆ แค่เก็บรายละเอียดแต่ละท่าเท่านั้นเอง แต่ในความจริงก็ยังคงฟันการ์ด สะบัดข้อมือกันอย่างหฤโหดอยู่ดี ซึ่งตอนนี้ผมมั่นใจในการจดจำท่วงท่าในทุกเพลงมาก ๆ เต้นเหมือนกดรีเพลย์ในแผ่นดีวีดี ท่าเป๊ะ การ์ดเท่ากันทุกรอบ อิอิ
“เจ้า มึงเอาอะไรมั้ย จะไปเซเว่น” อินเดินเข้ามาถามตรงที่ผมยืนโซนซ้อมอยู่ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจของใครหลายคนที่วันนี้อินอยู่ดึก เพราะมันเอ่ยขออนุญาตน้าอรมานอนค้างกับผม โดยมีแม่ผมเป็นผู้สนับสนุนหลักโทรไปขอย้ำให้อีกที
“เอา ๆ ขอวิตซี 2 ขวด ขนมเอาไรมาก็ได้”
“อาฮะ”
“แล้วมึงไปกับใครอะ” ผมถามเพื่อนตัวเล็กอีกที เพราะก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะไปคนเดียวตอน 5 ทุ่มแบบนี้ ถึงจากคณะไปเซเว่นคณะข้าง ๆ จะไม่ไกลก็เถอะ
“นู่น” อินพยักเพยิดหน้าไปตรงบันไดทางออกจากใต้โถงอาคาร มีใครคนหนึ่งยืนพิงเสาอยู่ ซึ่งพอผมเห็นก็ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร
เช้าถึง เย็นถึง ดึกถึงขนาดนี้ ผมนี่หายห่วงเลยครับ
“อ่อ รีบไปรีบกลับนะจ๊ะ ฝากบอกพี่พีด้วยว่ารีบพาเพื่อนกูกลับมาไว ๆ กูคิดถึง” เอ่ยแซวให้เพื่อนหน้าขึ้นสีเล่น ๆ
“ยุ่งว่ะ ไปซ้อมเลยมึง โน่น พี่เขาจะแดกหัวมึงละ”
“เขินแล้วเกรี้ยวกราดนะมึงอะ ฮ่า ๆ”
โดนอินทัชมุ่ยหน้าใส่ก่อนมันจะเดินไปทางที่มีรุ่นพี่ต่างคณะยืนอยู่ ผมมองตามก็อดยิ้มไม่ได้ที่อินเจอที่พักพิงใจ แต่ก็นะ อุปสรรคของมันข้างหน้าก็ไม่น่าเบาเท่าไหร่ หวังว่าพี่พีจะไม่ปล่อยมือเพื่อนผมให้สู้คนเดียว
00 : 00 AM
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ทยอยเสร็จ ตั้งตระหง่านประกอบการซ้อมจริงรอบสุดท้าย ตอนนี้ผู้คนที่อยู่เผางานใต้คณะเริ่มบางตาลง ส่วนใหญ่ก็เหลือแต่ประชากรเพศชาย ส่วนรุ่นพี่ปีสองที่มีจำนวนมากสุดในตอนนี้ก็เริ่มจัดของเตรียมของสำหรับการขนขึ้นรถในตอนเช้ามืด คาดว่าน่าจะไม่มีใครนอนกันในคืนนี้
“ม. ยูขอขอบคุณค่า/คร้าบ~~~”
กรี๊ดดดดดดดด
ฮิ้ววววววววว
สิ้นเสียงขอบคุณตอนจบโชว์ของการซ้อมจริงรอบสุดท้าย ก็ตามด้วยเสียงโห่เชียร์ของเหล่าผู้นำเชียร์และรุ่นพี่ที่พึงพอใจกับการซ้อม ความผิดพลาดไม่ปรากฎแก่สายตาผู้ควบคุมซ้อมเลยทำให้การซ้อมสิ้นสุดลง
จะ ได้ นอน แล้ววววววววว
ผมและเพื่อน ๆ ในทีมหลีดก็ทยอยเก็บของเตรียมที่จะกลับบ้าน ส่วนอินที่ช่วยรุ่นพี่เก็บรายละเอียดฉากจนเสร็จนานแล้วก็มานั่งรอตรงโต๊ะที่วางกระเป๋าผมไว้ เราสองคนนัดแนะกันไว้แล้วว่าจะกลับรถแท็กซี่
แหนะ
ก็คงมีคนสงสัยว่าทำไมคนตัวสูงจอมขี้ห่วงไม่มารับผม
ก็พี่เกียร์โทรมาตั้งแต่เย็นแล้วว่าวันนี้ถูกพ่อเรียกให้เข้าบริษัทพร้อมกับพี่เฟือง เห็นว่าต้องไปรับงานบางส่วนมาศึกษา ผมเลยต้องกลับบ้านเองอย่างที่เห็นครับ ซึ่งผมก็กลับเองได้น่า นี่ผู้ชายแมน ๆ นะเนี่ย
“เสร็จแล้ว กลับบ้านกัน”
“อืม ปะ” อินตอบพลางผุดลุกจากเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่นั่งอยู่แล้วเดินนำผมไป
“พี่ ๆ หวัดดีค้าบ ผมกลับละน้า” ผมกับอินหันไปบอกลาพี่ ๆ ที่กำลังช่วยกันเก็บของอยู่ ซึ่งพี่ ๆ บอกให้ปี 1 กลับไปพักกันก่อน ทำให้ผมกับเพื่อนไม่ได้อยู่ช่วยต่อ
“จ้า กลับกันดี ๆ นะเจ้า เจอกัน 6 โมง เอ้อ แล้วนี่กลับกันยังไง” พี่ในทีมคุมหลีดเอ่ยรับคำบอกลาและถามผมกลับมาในทันที
“กลับแท็กซี่ครับ วันนี้อินค้างบ้านผม”
“อ๋อ ถึงว่าไม่เห็นคนหล่อมานั่งรอรับกลับ อิอิ” นั่นไง ไม่พ้นแซวผมอยู่ดี
“โห่ ผมก็กลับเองบ้างไรบ้างสิพี่”
“จ้า ดีแล้ว มาบ่อยพวกพี่อิจฉา ฮ่า ๆ”
“พี่อะ” ผมมุ่ยหน้าทำปากยื่นใส่รุ่นพี่ที่เอ่ยแซว และรุ่นพี่คนอื่นที่ใช้สายตาแซว ก็เป็นกันแบบเนี่ย จะไม่ให้ผมเขินได้ไงอะ นี่คนนะ มีหัวใจ อายได้เขินเป็นนะครับ
พอบอกลากับรุ่นพี่เสร็จ ผมกับอินก็เดินสะพายกระเป๋ามุ่งหน้าออกจากคณะไปเรียกแท็กซี่หน้ามอ
“อิน มึงจะไปไหน ทางนี้ดิ” พอเดินถึงหน้าคณะอินกลับเดินไปคนละทางกับทางที่จะออกไปหน้ามอ
“ไปทางนี้” อินยังคงยืนยันโดยการใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางเดิมด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ผมเลยเดินย้อนกลับไปหาอินแล้วมองตามมือของเพื่อนตัวเล็กไป
“หืม นั่น?”
“อืม พี่พีรอไปส่ง”
“ห้ะ!!”
“ไม่ห้ะหรอก พี่เกียร์ฝากพี่พีให้รอรับพวกเรากลับไปส่งที่บ้านมึงไง”
“อะไรอะ ทำไมพี่เกียร์ไม่เห็นส่งข้อความมาบอกกูสักข้อความอะ หายเงียบไปเลยเนี่ย” ผมเหวเสียงดัง ก็คนตัวสูงเงียบไปเลยตั้งแต่เย็น ผมก็คิดว่าคงยุ่งงานที่บริษัทอย่างที่บอกไว้แน่ ๆ เลยไม่ได้ส่งข้อความไปกวนหรือโทรไปหา
“เขาก็คงบอกแค่เพื่อนเขาแหละ ไปกลับเถอะ กูง่วงละ”
“เหอะ แล้วก็ไม่ส่งข้อความมาหากันสักนิด” ผมเบะปากใส่โทรศัพท์ที่เอาขึ้นมาเช็คให้แน่ว่าพี่เกียร์ไม่ได้ส่งข้อความมาบอกอะไรไว้
“เจ้า ‘คิดถึง’ พูดแบบนี้”
“อิน!!”
“ฮ่า ๆ ไป ๆ” พูดจบอินก็เดินไปทางที่พี่พีจอดรถรออยู่
“หึ่ยยย”
พอขึ้นมาบนรถผมที่รู้หน้าที่ด้วยการมานั่งที่เบาะหลัง เมื่อเจอความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถก็ทำให้ตาเริ่มปรือ ความง่วงงุนกำลังจะเข้าครอบงำ และในจังหวะที่สติกำลังจะพร่าเลือน สายตาผมจับภาพดี ๆ ตรงหน้าได้
อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากจาง ๆ ให้กับความน่ารักที่ผมแทบไม่เคยเห็นจากรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนของแฟนผม
โอเค มองผมเป็นอากาศก็ได้ครับ
ถ้าจะมาหอมหน้าผากกันตรงนี้
หึหึ มีเรื่องให้เอาคืนอินละ แซวผมดีนัก
ไม่รู้ว่าพี่พีใช้เวลาขับนานเท่าไหร่ เพราะผมหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อินหันมาสะกิดเรียกผมให้ตื่นจากหลับใหล รถจอดเทียบหน้าบ้านผมเรียบร้อยแล้ว
เอาสิ ผมเป็นเจ้าของบ้านที่ปล่อยให้เพื่อนสนิทเป็นคนบอกทางกลับบ้าน ฮ่า ๆ
ไฟในบ้านที่ยังคงเปิดอยู่เป็นสัญญาณว่าแม่ยังคงรอผมกับอิน เราสองคนก็เลยขอบคุณพี่พีที่มาส่ง จังหวะที่ลงจากรถแม่ก็เปิดประตูบ้านบานเล็กออกมาพอดี พี่พีลงมาไหว้ทักทายแม่ของผม เอ่ยขอบคุณและร่ำลากันไม่นานพี่พีก็ขับรถกลับไป ผมกับอินก็เดินตามแม่เข้าบ้าน แล้วผมก็ได้รู้ว่าที่แม่อยู่รอผมกับอินดึกขนาดนี้ไม่ใช่พี่หวานที่รอ ก็เพราะว่าแม่ต้องโทรกับไปบอกน้าอรว่าลูกชายน้าได้กลับถึงบ้านผมอย่างปลอดภัยแล้ว
คนเป็นแม่อะครับ
ห่วงที่สุดก็ลูกแหละ
ผมกับเพื่อนตัวเล็กก็เลยขึ้นห้องมาจัดการตัวเองเพื่อเตรียมตัวนอน ก่อนที่ร่างกายจะชัตดาวน์ไปเองจิตใต้สำนึกของผมเองก็สั่งการให้ผมทำอะไรตามความเคยชินที่ต้องทำก่อนนอนทุกวัน
Chao_ya : ถึงบ้านแล้วนะครับ
Chao_ya : ฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่เกียร์
และก่อนที่จะหลับไป สติอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ก็ทันได้อ่านข้อความสั้น ๆ ที่ตอบกลับมา และไม่ต้องลำบากสั่งตัวเองให้มุมปากยกขึ้นเลย เพราะข้อความที่ได้อ่านมันส่งผลทำให้ผมยิ้มออกมาได้เอง
P’ GEAR : อืม
P’ GEAR : ฝันดีนะเอ๋อ
P’ GEAR : คิดถึงนะครับ
และคืนนี้ผมก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่รอยยิ้มบางก็ไม่จางหายไป
ผมก็คิดถึงพี่ชะมัด
แต่ผมแพ้ความง่วงงันก่อนที่จะได้พิมพ์ตอบกลับไป
“เจ้า…เจ้าพระยา”
“…”
“ตื่นได้แล้วลูก”
“…”
“อินลูก ตื่นครับตื่น”
“อื้ออออ…”
เสียงเรียกที่เบาในความรู้สึกตอนแรก เริ่มดังชัดเมื่อสติผมตื่นเต็มร้อย เป็นแม่ที่เข้ามาปลุกผมกับอิน ทั้งที่ผมรู้สึกว่าผมเพิ่งหลับไปได้ไม่นาน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานลูกตื้อในการปลุกของแม่ผมได้
แม่น่ะ เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งมากครับ
หาวิธีมาปลุกได้ไม่ซ้ำเลย
“แม่…กี่โมงแล้วครับ” ผมชันตัวลุกขึ้นมานั่ง ผ้าห่มถูกแม่ดึงไปกองที่ปลายเท้า ผมหันไปมองที่ว่างข้างตัว อินคงลุกขึ้นไปอาบน้ำตั้งแต่แม่ผมปลุกครั้งแรกแล้วแน่ ๆ
“ตี 5 แล้ว เจ้าบอกแม่ว่าพี่เขานัด 6 โมงนี่ เดี๋ยวก็ไม่ทัน นี่ภาคมารอเราอยู่ข้างล่าง”
“ห้ะ!! แม่ว่าไงนะ”
“อ้าว ก็ภาคภูมิสุดหล่อเพื่อนเจ้าไง ลืมเพื่อนหรอเราอะ”
“ไม่ใช่ครับ เจ้าจะลืมมันได้ไง แต่ทำไมมันมารออะ”
“หืม ไม่ได้นัดกันไว้หรอ เห็นภาคบอกว่ามารับพวกเราไปมหา’ลัย”
“หื้อ จำได้ว่าไม่ได้นัดนะครับ มันบอกเจ้าแค่ว่าวันนี้จะตามไปเชียร์ ไม่ได้บอกว่าจะมารับที่บ้านสักหน่อย…อะไรของมันวะ” ผมเอ่ยตอบแม่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยความสงสัย
“เอาเถอะ รีบลุกไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะสาย ไปใช้ห้องน้ำที่ห้องแม่แล้วกัน”
“ครับ ๆ ไปแล้วครับ” ผมรีบลุกจากที่นอนคว้าผ้าขนหนูพาดบ่าแล้วไปใช้ห้องน้ำที่ห้องนอนแม่
พอกลับมาแต่งตัวที่ห้องอินก็แต่งตัวเสร็จพอดี ใช้เวลาไม่นานผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเหมือนกัน วันนี้ก็เลือกใส่ยีนส์สีซีดตัวเก่งกับเชิ้ตแขนสั้นลายทางสีน้ำเงินขาวตัวโคร่ง ส่วนอินก็กางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำกับเสื้อคอปกของคณะที่รุ่นพี่ให้ใส่เหมือนกัน แต่ที่ผมไม่ใส่เพราะไปถึงก็ต้องแต่งหน้าทำผม ใส่เชิ้ตมีกระดุมจะถอดเปลี่ยนชุดง่ายกว่าครับ รุ่นพี่ก็อนุโลมแล้วด้วย
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเช็คของที่ต้องเอาไปด้วยจนครบแล้วก็ลงมาข้างล่าง เจอไอ้คุณเพื่อนตัวสูง ที่เหมือนมันจะสูงขึ้น(?)นั่งรออยู่ตรงโต๊ะกระจกสำหรับลูกค้าหน้าร้าน
“ไอ้ภาค มึงมาทำไมวะ” ด้วยความคาใจผมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป โดยมีอินที่ยืนทำหน้างงอยู่ข้างกัน
“ก็มารับมึงสองคนนี่ไง”
“กูจำได้ว่า กูไม่ได้นัดมึงไว้นะ”
“ก็ใช่ แต่พอดีกูได้รับคำบัญชามาว่ะ”
“คำบัญชา?”
“ใช่ กูถูกสั่งมาให้มารับมึง แล้วก็ไปบอกรุ่นพี่มึงว่าพวกมึงจะไปเอง โดยมีกูเป็นสารถี” มันตอบยาวเหยียดด้วยรอยยิ้มกว้าง ดูภูมิอกภูมิใจที่ได้รับหน้าที่นี้
“แลกกับ?” อินถามสั้น ๆ แต่สายตาโคตรกดดัน
“รู้ทันกูตลอดเลยนะสาสสสสส”
“ตอบมา” ผมกดดันมันอีกที
“เลี้ยงเหล้าไม่จำกัดงบว่ะ ของตอบแทนแจ่มขนาดนี้ คนหล่อ ๆ แบบกูไม่ควรโง่ปฏิเสธ ฮ่า ๆ”
“ไอ้คนเห็นแก่กิน!!” ผมเหวเสียงดังใส่มัน
“เออ แล้วไง มึงควรดีใจเถอะ ที่ขนาดแฟนมึงไม่ว่าง ยังสั่งการให้กูมาดูแลมึงเนี่ยไอ้เตี้ย”
“ก็แหงสิ กูมีแฟนดี” ล้อดีนัก ตามน้ำแม่ง
“แหมมมมมม ได้ทีละอวดผัวเชียวนะ”
“ผัวพ่องงงง!! หุบปากไปเลยไอ้เหี้ย!!”
“ฮ่า ๆ โอ๋ ๆ ไม่ล้อละ ปะ รีบไป”
“เดี๋ยวมึงเจอกู”
“ขู่เป็นแมวอยู่ได้ ปะ ไปกันอิน ปล่อยแม่งไปเองซะดีมั้ง” ไอ้ภาคหันไปกอดคออินเพื่อรั้งให้เดินออกจากบ้าน
“มึงกล้าหรอ หึหึ”
“กล้าสิวะ”
“แน่ใจนะ…แต่แฟนกูเป็นคนเลี้ยงเหล้ามึงนะ หึ” ผมกอดอกเบะปากใส่ไอ้ภาคเพื่อนสุดเหี้ยม(เอา ม.ม้า ออกเถอะ)
“โอ้โห ไอ้เจ้า มึงแม่งร้ายสัด ขู่เก่งนักนะ ยอมแล้วโว้ย”
“อย่ามาแหยมกับกู”
“คร้าบ ไปครับคุณเจ้าพระยา ให้ไวเลยครับ รุ่นพี่มึงจะแดกหัวนะถ้าไปสาย”
“เออ”
“เจ้า ไปบอกแม่ก่อนมั้ย” อินหันมาถามผม
“แม่น่าจะออกไปตลาดกับพี่หวานอะ เดี๋ยวเขียนโน๊ตติดไว้ก็ได้”
“อืม เอางั้นก็ได้”
พอตกลงกันได้ผมก็จัดการเขียนโน๊ตบอกแม่แปะไว้ตรงเคาเตอร์คิดเงิน พอออกมาก็ปิดงับประตูบ้าน ขึ้นรถของไอ้ภาคพร้อมออกเดินทาง
ไอ้ภาคมันก็ทำตามที่บอกไว้กับพวกผมตั้งแต่อยู่ที่บ้านคือการที่มันขับรถพาพวกผมมามหา’ลัย แต่มาแค่บอกรุ่นพี่ว่าจะขับรถพาพวกผมไปเอง แถมยังอาสาให้ใช้ที่ว่างท้ายรถขนอุปกรณ์แต่งหน้าแต่งผมและของต่างๆ ที่ชิ้นไม่ใหญ่ไปด้วย พวกผมก็คงจะรอดจากการหมายหัวว่ามีสิทธิพิเศษแหละ แถมไอ้ภาคกลายเป็นขวัญใจรุ่นพี่ผู้หญิงมากกว่าเดิมไปอีก
จ้า
พ่อเดือนร้อยเมีย
จากมหา’ลัยผมจนถึงมหา’ลัยเจ้าภาพที่อยู่แถบปริมณฑลก็ใช้เวลาเดินทางชั่วโมงนิด ๆ อาจจะเป็นเพราะตอนเช้ารถยังไม่มากจนทำให้จราจรติดขัด ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาปกตินี่ รถติดแถวยาวมาก
ไอ้ภาควนรถไปหาที่จอดตามที่ทีมเจ้าภาพจัดไว้ให้ ผมให้อินกดโทรหารุ่นพี่ที่มารออยู่ก่อนแล้ว เพื่อขนของจากท้ายรถไปไว้ยังจุดที่เจ้าภาพเตรียมไว้ให้มหา’ลัยของเรา ซึ่งเป็นห้องพักนักกีฬาใต้อาคารกีฬาที่ถูกจัดให้เป็นห้องแต่งตัวของผู้นำเชียร์แต่ละมหา’ลัย ดูจากป้ายแล้วเหมือนมหา’ลัยของผมจะถูกแบ่งให้ใช้กับมหา’ลัยคู่ขวัญบนโลกโซเชียล
RrrrrrrRrrrrrr
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นส่งสัญญาณยาว ๆ ว่ามีสายเรียกเข้า
- P’GEAR -
เพียงแค่เห็นชื่อมุมปากที่เคยเรียบตรงก็ยกสูงขึ้นจนทำให้ตาหยี
“เหม็นความรักว่ะ” ไอ้ภาควางของชิ้นสุดท้ายในมือมันเสร็จก็หันมาแขวะใส่ผมทันที
“กลั้นหายใจให้ตายไปซะสิ” ผมตอกกลับมันทันที
“ปากคอเราะร้ายยยยย”
ผมเบะปากใส่เพื่อนตัวดีก่อนจะสไลด์หน้าจอตอบรับการโทรเข้าจากคนปลายสาย
“ครับ”
(ถึงรึยัง)
“ถึงแล้ว แต่นี่ เจ้ายังไม่เคลียร์ เรื่องให้ไอ้ภาคมารับ ทำไมไม่เห็นบอกเจ้าบ้างเลยอะ”
(หึหึ ตอนแรกจะไปรับเอง)
“อ้าว แล้ว…”
(แต่พอดีเมื่อคืนแม่พี่บอกว่าให้ไปส่งที่งานแต่งลูกเพื่อนแม่ เป็นงานเช้าเลยไปรับไม่ได้)
“อ่า แล้วทำไมต้องให้ไอ้ภาคมารับด้วยเล่า เจ้ามากับคณะก็ได้เหอะ แล้วนี่ยังอุตส่าห์ไปติดสินบนมันอีกนะ รวยนักหรอ”
(ไม่รู้ว่ารวยมั้ย แต่เลี้ยงเอ๋อได้ทั้งชีวิตอะ)
”ละ…เลี้ยงอะไรเล่า เจ้าก็มีพ่อมีแม่เลี้ยงแล้ว”
(อ่า งั้นเดี๋ยวพี่ไปขอพ่อกับแม่ เอาเจ้ามาเลี้ยงดีมั้ย พรุ่งนี้เลยก็ได้นะ)
“ไม่ว้อย พอเลย หยุดพูดเล่นได้แล้ว ไม่ไปด้วยหรอก”
(เรื่องแบบนี้ใครเขาพูดเล่นกันเจ้า หึ)
“พอ ๆ แล้วนี่ก็แสดงว่าไม่ตามมาแล้วใช่ปะ”
(ไปสิ พี่แค่ไปส่งแม่เฉย ๆ ส่งเสร็จก็ขับไปนู่นเลย)
“แล้วแม่จะไม่ว่าพี่หรอ ไม่รอรับแม่กลับอะ”
(เดี๋ยวไอ้เฟืองมันไปรับตอนกลับ)
“อ่อ งั้นก็โอเค”
(แล้วนี่ทำไร)
“จัดของรอรุ่นพี่อ่า อีกแปบก็ถึงกันละ”
(อืม)
“พี่…”
(หื้ม)
“พี่จะมาทันตอนเจ้าแข่งปะ”
(ทันสิ แข่งตอนเย็นไม่ใช่หรอ)
“อ่า ก็ใช่ แล้ว…”
(ไม่ต้องห่วง พี่ไปทันให้กำลังใจก่อนลงแข่งอยู่แล้ว)
“อื้ม รีบมานะ แล้วก็…”
(…)
“ขับรถดี ๆ เจ้าเป็นห่วง”
(หึหึ น่ารักจังนะเอ๋อ)
“…”
(ครับ พี่จะไม่ทำให้เป็นห่วง)
“อื้อ”
ตู้ด ๆ
ปลายสายตัดไปแต่ใจผมยังไม่หายเต้นแรงเลย
ฮือออออ
“แหม คุยกับแฟนทีหน้าบานเป็นจานทรู” ไอ้ภาคมันปากว่างเลยแซวผมเพื่อล่อตีนผมเข้าปากแน่ ๆ
“เสือก”
“ปากมึงร้ายขึ้นอะเจ้า”
“เรื่องของกู”
“จ้า เรื่องมึงจ้า” ไอ้ภาคเบะปากใส่ผมเบอร์แรงมาก คือผมอยากให้สาว ๆ มาเห็นจริตของมันเวลาอยู่กับพวกผมจริง ๆ ทุกคนจะได้ตาสว่าง ความหล่อที่เห็นคือภาพลวงตาล้วน ๆ
“คณะเรามาถึงกันแล้วนะ” อินเดินเข้ามาบอกผมหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก
“แล้วเขาเรียกรวมมั้ยอิน”
“ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวทักไปหาพวกไอ้ว่านดูก่อน”
“อ่า เคๆ งั้นเราออกไปช่วยเขายกของกัน…ไอ้ภาคลุก! มาก็ทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง”
“โห่ เอารถช่วยขนของมานี่ก็มีประโยชน์แล้วนะเว้ย”
“ไม่พอ ถ้าบ่นนักก็จะฟ้องพี่เกียร์แล้วบอกให้ไม่ต้องเลี้ยงเหล้ามึง”
“ไอ้เจ้า! อิน ทำไมเพื่อนมึงร้ายขนาดนี้วะ เดี๋ยวนี้กล้าขู่กูหรอไอ้เตี้ย” ไอ้ภาคผุดลุกจากเก้าอี้กลางห้องขึ้นมาปะทะฝีปากกับผม
“หึหึ ก็เพื่อนมึงเหมือนกันแหละภาค” อินตอบโต้พลางส่ายหัวทำหน้าละอาใจ
“สรุปจะไปมั้ย” ผมหันไปทำหน้าจริงจังถามมันอีกที
“เออ! ไปเว้ย กูเป็นสุภาพบุรุษมีน้ำใจชอบช่วยเหลือเถอะ ไม่ได้เห็นแก่เหล้าอะไรทั้งนั้น”
“สาบานให้โสดทั้งชาติ?” อินถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“สาสสสสสสสสส”
“ฮ่า ๆ”
“ฮ่า ๆ”
ไม่ต้องสืบว่าในกลุ่มผมใครร้ายที่สุด ฮ่า ๆ
09 : 00 AM
ช่วงเวลาที่สำคัญได้มาถึงนั่นก็คือพิธีเปิดของงานประลองเวทย์ปรุงยา แข่งกีฬาสัมพันธ์ของคณะเภสัชศาสตร์ 5 มหาวิทยาลัยแล้ว
มีการเดินพาเหรดเชิญธงมหาวิทยาลัยและธงคณะเข้าสู่สนาม โดยมีนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น ๆ เป็นผู้เชิญธง ในขบวนก็มีตัวแทนนักกีฬา ผู้นำเชียร์และตัวแทนนักศึกษา ร่วมเดินเป็นแถวที่สวยงาม บนอัฒจรรย์ก็มีนักศึกษาแต่ละชั้นปีนั่งให้กำลังใจและส่งเสียเชียร์มหา’ลัยตัวเอง เป็นบรรยากาศที่คึกคักมากครับ
เหล่าผู้นำเชียร์ของมหา’ลัยผมที่ร่วมในขบวนตอนนี้อยู่ในชุดนักศึกษาถูกต้องตามระเบียบที่พวกพี่เตรียมไว้ให้ เพราะถ้าหากให้เตรียมมาเองก็กลัวจะไม่เหมือนกัน นี่เหมือนกันยันยี่ห้อรองเท้าครับ ส่วนใบหน้าและทรงผมก็จัดแต่งกันไม่เกินควร อย่างน้อยหน้าพวกผมก็ไม่ดูแพง แพงที่ว่าคือสีเหมือนแบงค์พันอะครับ ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่
เมื่อประธานในพิธีกล่าวเปิดงานเสร็จ ก็ได้มีการเปิดเพลงประจำงานที่สืบทอดกันมานานแล้ว ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยที่ร่วมการแข่งขันในทุกปีก็ได้มีการซ้อมร้องซ้อมเต้นเพลงนี้กันมาตลอด เมื่อเพลงดังขึ้น ผู้นำเชียร์แต่ละมหาวิทยาลัยก็แสดงศักยภาพออกมาผ่านท่วงท่าที่อ่อนโยนแต่แฝงความเข้มแข็ง
วี๊ดดดดดดดดดดด
เฮ้~~~~~~~~
เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังขึ้นหลังจากที่เพลงประจำงานประลองเวทย์ปรุงยาจบลง ซึ่งเป็นอันจบพิธีเปิดในเช้าวันนี้ หลังจากนี้ตัวแทนนักก๊ฬาแต่ละรายการก็จะแยกกันไปแข่งตามตารางที่กำหนดไว้
ส่วนพวกผมก็ไปแต่งหน้าทำผมใหม่เพื่อเข้าแข่งขันผู้นำเชียร์ในตอนบ่ายแก่ ๆ
เตรียมพร้อมแสดงพลังแมวดำ
เอ้ย
เสือดำสิ
วากานด้าฟอเอฟเฟร่อออออ
หลังจากที่ขบวนของทุกมหา’ลัยทยอยออกมาจนพ้นสนามหลักของงานแล้ว พี่ ๆ ที่ดูแลพวกผมก็อนุญาตให้ไปเชียร์กีฬาหรือไปหาอะไรกินก็ได้ แล้วค่อยมารวมตัวกันตามเวลาที่นัดไว้
พอตัดสินใจได้ว่าจะไปเชียร์ไอ้ซันที่นอกจากจะเป็นหลีดแล้วมันยังเป็นตัวแทนทีมบาสด้วย คือเหมือนพระเจ้ารักมันอะครับ ให้พรสวรรค์มันมาซะเยอะ ไปซ้อมแปบ ๆ ก็เล่นเข้าขาเข้าทีม พอมาซ้อมหลีดตอนมืดมันก็ตามเก็บท่าทันทุกเพลง
เก่งอะ แต่ปากหมาไปหน่อย
พวกผมเลยแยกจากพวกสาว ๆ ที่คงไปหาอะไรกิน เพื่อเดินไปทางสนามบาส มือก็ล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเพื่อนสนิทตัวขาว แต่ยังไม่ทันได้กดปุ่มโทรออก ก็พบว่าคนที่จะติดต่อเดินมาตรงหน้าแล้ว แต่…
“อ้าว มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่อะ” ผมถามคนตัวสูงที่เพิ่งเห็นในสายตา ไม่รู้มาถึงนานหรือยัง
“ทันดูขบวน” พี่เกียร์ตอบพลางเดินทางเขี่ย ๆ จับๆ ผมที่เป็นทรงอยู่บนหัว
“อะไรอ่า”
“ใครทำผมทรงนี้ให้วะ”
“พี่ปี 2 อะ เป็นไง หล่ออะดิ” ผมยักคิ้วให้คนที่ยังไม่เลิกวุ่นวายกับทรงผมของผม
“หึ ไม่อะ ไม่หล่อสักนิด”
“โห่ ไรอะ เสียความมั่นใจหมด” ผมยู่ปากใส่คนสูงกว่าที่กล้ามาบั่นทอนกำลังใจ ผมก็ส่องกระจกมาแล้วนะ ก็ดูไม่แย่อะ
“แต่น่ารัก”
“…”
“โคตรน่ารัก”
ฮิ้ววววววววววววววว
ไอ้เหี้ยยยยยยย มาว่ะ
มึงจับกูหน่อย กูจะล้ม
เสียงโห่แซวจากบรรดาเพื่อนรอบข้างดังพอที่จะเรียกสติผมให้กลับมาจากอาการช็อค
พี่แม่ง
เกินไปแล้วว้อย
“หึหึ”
“ไม่ต้องมาขำใส่ แม่ง”
“เอ่อ พี่ครับ ๆ พี่เห็นพวกผมมั้ย นี่คนนะครับ ไม่ใช่อากาศ ฮิ้ววววว” ไอ้นายมันกัดไม่ปล่อยครับ เหมือนเป็นตัวตายตัวแทนไอ้ซันงั้นแหละ
“พี่เขาจะเห็นมึงได้ไงวะ ก็ในสายตาเขามีแต่ไอ้เตี้ยหน้าเอ๋ออยู่คนเดียว ฮ่า ๆ” ไอ้ภาคเหมือนเจอพวก รีบรุมแซวผมอย่างสะใจ
“ไอ้ภาค” พี่เกียร์เรียกไอ้ภาคเสียงนิ่ง
“ครับหัวหน้า”
“ที่กูสัญญาจะเลี้ยงเหล้า เป็นโมฆะ”
“เห้ย!! ได้ไงอะพี่”
“ได้ดิ”
“เอาแล้ววววว” ไอ้นายส่งเสียงออกมาบิ้วบรรยากาศ
“ผมแค่แซวเองนะเว้ยพี่ หยอก ๆ ไง”
“กูไม่ได้ยกเลิกเพราะเรื่องแซว”
“อ่าว” ไอ้ภาคทำหน้างง
“หื้ม” ผมเงยหน้าหันไปส่งสายตาที่เคลือบไปด้วยความสงสัย
“กูยกเลิกเพราะมึงเรียกแฟนกูว่าเตี้ยหน้าเอ๋อ”
“…” ผม
“…” ไอ้ภาค
“…” ทุกคน
“แฟนกู กูเรียกได้คนเดียว”
“ฮิ้วววววววว ขอกราบตีนพี่ได้ปะครับ ฮ่าๆ” ไอ้นายรีบส่งเสียงรับ
“หน้าชาไปสิมึง ฮ่า ๆ” ไอ้อินที่ยืนข้างพี่พีเอ่ยปนขำใส่ไอ้ภาค
“ยอมครับยอม ผมยอมพี่แล้วว่ะ” ไอ้ภาคมันยกมือไหว้ท่วมหัว ท่าทางกวนตีนไม่เลิก
ยืนคุยกันอีกนิดหน่อยต่างก็แยกย้ายกันไปทำตามที่คิดกันไว้ ที่ใช้คำว่าแยกย้ายก็เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ไปเชียร์ไอ้ซันมันแข่งบาสครับ แต่กลับต้องมากินข้าวเป็นเพื่อนคนตัวสูง โดยที่มีพี่พีกับอินร่วมวงไปด้วย ส่วนไอ้ภาคมันไม่รู้ไปคุยกันยังไงถึงได้ดูเหมือนสนิทกับเพื่อนของผมขนาดนั้น เลยตามพวกไอ้ว่านไปดูไอ้ซันแข่งบาส
(มีต่อด้านล่าง)
ท่าเรือที่ 20
ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม
“เจ้า แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก”
“เสร็จแล้วครับแม่”
เสียงแม่ตะโกนเรียกผมที่หน้าห้อง เพราะผมลงไปข้างล่างผิดเวลา น้องสาวอย่างพารักคงจะรอกินข้าวเช้าพร้อมกัน
“เร็วหน่อยลูก พ่อรอกินข้าว”
“ห้ะ!” ผมดึงบานประตูให้เปิดออก ชะโงกหน้าออกมาส่งเสียงตกใจใส่แม่ที่ยืนรออยู่
“เจ้า! แม่ตกใจหมด”
“พ่อกลับมาแล้วหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ พ่อมาถึงเมื่อคืน”
“แล้วคราวนี้อยู่นานมั้ยครับ ไปอยู่เชียงใหม่จนลืมลูกแล้วเนี่ย”
“นี่งอนพ่อหรอเรา ฮ่า ๆ น่าจะหลายวันนะลูก ทางนู้นอะไร ๆ ก็เริ่มลงตัว ผู้จัดการสวนเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี คงบินไปดูถ้าเป็นเรื่องจำเป็น”
“เจ้าไม่เท่าไหร่หรอกครับแม่ คนที่จะงอน นู่น ยัยน้องพามากกว่าครับ” ผมกับแม่คุยกันระหว่างเดินลงบันได
“รายนั้นได้ของฝากก็หายแล้ว ดูสิ นั่งคุยจ้อเชียว” เราทั้งสองคนเดินมาถึงห้องรับประทานอาหารของบ้านพอดี แม่เลยพยักเพยิดให้ดูสาวน้อยของบ้านกำลังพูดไม่หยุด
“ไง ได้ของฝากเยอะเลยล่ะสิ ไหนบ่นกับพี่ว่าจะงอนพ่อฮะ” ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ น้องสาวตัวแสบ อดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นดึงผมหางม้าของพารักเบา ๆ
“ใครงอนกัน ไม่มี้ พี่เจ้าอย่ามั่วสิ พ่ออย่าไปเชื่อพี่เจ้านะคะ” พารักปฏิเสธเสียงสูง แถมยังไม่ออดอ้อนคนเป็นพ่ออีก
เป็นแบบนี้แล้วใครจะไม่หลงพารัก
ทนได้หรอ ฮ่า ๆ
“สวัสดีตอนเช้าครับพ่อ” ผมยกมือไหว้คนเป็นพ่อเมื่อนั่งลงประจำที่เรียบร้อยแล้ว
“ไงเจ้าพระยา ได้ข่าวว่าไปแข่งหลีดได้ที่ 2 “
“ใช่แล้ว เจ้าเก่งล่ะสิ” ผมยกมือตบอกปุ ๆ ประกอบคำเยินยอของตัวเองเพื่ออวดคุณสมภพ
“เก่งครับเก่ง เก่งสุด ๆ แล้วเรียนเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ คะแนนสอบกลางเทอมออกมาแล้ว ดีกว่าที่เจ้าคิดไว้อีก” พอคิดถึงคะแนนที่ทยอยประกาศออกมาแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ตอนแรกก็กลัวจะได้อยู่ในสภาพมือเกาะมีนตีนถีบเอฟซะแล้ว
“ดีแล้ว พยายามเข้า แต่ไม่ต้องไปเครียดหรือกดดันตัวเองมากนะ ทำเท่าที่ได้” เสียงทุ้มแหบที่บ่งบอกอายุกล่าวให้กำลังใจผม ความอบอุ่นของพ่อทำให้ผมสบายใจอยู่เสมอครับ
“ครับผม”
“มา ๆ กินข้าวกัน พ่อมีนัดกับเพื่อนไว้ เดี๋ยวรถจะติดซะก่อน”
“พ่อคะ วันนี้พ่อไปส่งพาที่โรงเรียนน้า” พารักหันไปเกาะแขนอ้อนหัวหน้าครอบครัว
“แน่อยู่แล้วสิ…เอ้อ แล้วนี่เจ้าไปมหา’ลัยยังไง ให้พ่อไปส่งมั้ย”
ปลายประโยคพ่อหันมาถามผม ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า นั่งเรือครับ แต่พอมาตอนนี้…
“เดี๋ยวนี้พี่เจ้ามีคนมารับมาส่งแล้วพ่อ หล่อด้วย คิคิ” พารักตอบพ่อแต่ส่งสายตายิ้มล้อมาทางผม
บรรยากาศเงียบลงไปชั่วอึดใจ ผมได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้พ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่ไม่กล้าสบสายตาเข้มนั่น
“ใครหรอเจ้า” เสียงทุ้มเข้มติดแหบพร่าเอ่ยถามผม
“เอ่อ รุ่นพี่ที่มหา’ลัยอะครับ”
“อืม” พ่อตอบผมกลับมาแค่นั้น
ผมรีบหันไปสบตาคนที่นั่งเยื้องกันอยู่ฝั่งตรงข้าม แม่ยังคงมอบรอยยิ้มหวาน สายตาอ่อนโยนแสดงความเข้าอกเข้าใจ แต่ยังไงหัวใจผมเต้นรัวเหมือนคนทำความผิดมาอยู่ดี
ผมยังไม่พร้อมจะเล่ารายละเอียดของเรื่องให้พ่อฟังทั้งหมด แต่เดา ๆ ว่าก็คงได้ฟังเรื่องระหว่างผมกับรุ่นพี่ต่างคณะอย่างพี่เกียร์มาจากแม่บ้าง
ผมไม่รู้ว่าพ่อจะคิดยังไง
พ่อจะผิดหวังไหม
ถึงแม้เราจะเคยแซวกันเล่น ๆ บ้าง แต่พอมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาผมกลับไม่กล้าถามความรู้สึกของพ่อเท่าไหร่
“กินข้าวเถอะ ยัยพาจะไปโรงเรียนสายแล้วคุณ” แม่เอ่ยพลางเลื่อนขวดซอสสำหรับใส่ข้าวต้มไปให้พ่อ
และเหมือนพารักจะจับความรู้สึกกับบรรยากาศแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นได้ และก็คงจะเพิ่งรู้ตัวว่าได้เอ่ยแซวเรื่องบางเรื่องผิดเวลาไป น้องเลยเอื้อมมือข้างหนึ่งมาบีบมือผมที่วางอยู่บนตักเบา ๆ
ผมหันไปส่งยิ้มให้น้องสาว เพื่อสื่อว่า ไม่เป็นไร
หลังจากเวลาแห่งการรับประทานอาหารเช้าจบลง พ่อก็ขับรถไปส่งน้องพารักที่โรงเรียน ส่วนผมก็รอคนบางคนมารับ เอาจริง ๆ พี่เกียร์ไม่ได้มารับมาส่งผมบ่อยขนาดนั้น เพียงแต่ช่วงที่ซ้อมหลีดผมต้องกลับดึกมาก แล้วคนอย่างพี่เกียร์ต่อให้พยายามบอกไปว่ากลับเองได้ ยังไงเขาก็ไม่มีทางยอม แม่กับน้องพาก็เลยได้เห็นคนตัวสูงขับรถยนต์สัญชาติยุโรปมาเทียบฟุตบาทที่หน้าบ้านจนเป็นเรื่องชินตา ในตอนเช้าก็อาสามารับผมที่บ้านตลอด เขาอ้างว่าผมคงเพลียเพราะซ้อมหนักและนอนดึกมากแล้ว เลยไม่อยากให้ไปเบียดคนบนเรือและรถไฟฟ้า ถ้าเขามารับเองผมก็ยังได้งีบหลับบนรถระหว่างเดินทาง
ผมว่าพี่เกียร์สปอยผมจนติดความสบายแล้วอะ
ไม่ได้การละ
“น้องเจ้าคะ ‘คุณสุดหล่อ’ มาแล้วค่ะ” พี่หวานเดินเข้ามาเรียกผมที่ยังนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหาร
“อ่า ขอบคุณครับพี่หวาน”
ผมเดินออกจากห้องอาหาร ผ่านส่วนของหน้าร้านที่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดให้บริการ พอมองผ่านกระจกใสออกไปก็เห็น ‘คุณสุดหล่อ’ ของพี่หวาน ซึ่งวันนี้คนตัวสูงอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อช็อปสีเข้มคลุมทับเสื้อยืดสีดำ ทรงผมไม่เป็นทรงแต่กลับดูดีจนน่าเหลือเชื่อ เจ้าตัวยืนพิงเจ้าสายฟ้า พาหนะสองล้อคันใหญ่สีดำคู่ใจที่เพิ่งจะเอากลับมาขับหลังจากผ่านงานประลองเวทย์ปรุงยาไป
ก่อนหน้านี้พี่เกียร์บอกว่าที่เอารถยนต์มาใช้เพราะกลัวผมเผลอหลับตอนซ้อนท้าย ถ้าวันไหนซ้อมหนัก ๆ อยากให้นั่งสบาย ๆ
ดูแลผมดีตลอด
พอผมเลื่อนบานประตูกระจกของร้านแล้วก้าวขาพ้นกรอบประตูไป พี่เกียร์ก็เงยหน้าย้ายสายตาจากจอโทรศัพท์ในมือมาสบตากับผมแล้วส่งยิ้มให้ ผมก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดที่ตรงหน้าเจ้าของนัยน์ตาแสนอ่อนโยนตอนนี้
“ไงครับ มาสมัครเป็นพนักงานส่งดอกไม้หรอครับ” หาเรื่องแซวคนตัวสูงไปเรื่อยตามนิสัยขี้เล่นของตัวเอง
“หึ ก็น่าสนใจอยู่นะครับ” ไม่พูดเปล่า ยังพยักหน้าเบา ๆ แววตาหยอกล้อ ทำหน้าสนอกสนใจอีกด้วย
“งานหนักน้า จะไหวหรือเปล่าเนี่ย”
“มันก็อยู่ที่ว่าผลตอบแทนคุ้มหรือเปล่า”
“ค่าแรงขั้นต่ำ 320 บาทต่อวันขาดตัว!!” ผมยกแขนสองข้างขึ้นมากอดอกแล้วยักคิ้วใส่คนตัวสูง
“ฮ่า ๆ งั้นไม่รับค่าตอบแทนเป็นเงินก็ได้ครับ”
“หื้ม?”
“ขอรับเป็นลูกเจ้าของร้านแทนจะได้มั้ยครับ” จบด้วยยิ้มมุมปากใส่กันนิ่ง ๆ
“โว้ะ! พอ ๆ เลิกเล่นเลยครับ เดี๋ยวไปเรียนสาย” เนี่ย พอพี่เขาเล่นด้วยจริง ๆ จัง ๆ ผมก็ไม่เคยจะชนะเขาเลย ร้ายกาจตลอด
“นึกว่าจะเก่ง หึหึ มานี่ เดี๋ยวใส่หมวกให้” พี่เกียร์หยิบหมวกกันน็อกอีกใบมาตั้งท่าจะสวมมันลงที่หัวให้ผม
“ไม่ใส่ครับ”
“ไม่ได้สิ มันอันตราย”
“งั้น…ก็ไม่ต้องขับรถไปครับ”
“หืม? หมายความว่ายังไง”
“ก็…พี่เกียร์ครับ วันนี้นั่งเรือไปมหา’ลัยกัน” ปิดท้ายวลีเชิญชวนคนตัวสูงให้ตกลงกับผมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“นั่งเรือ? จะเล่นอะไรพิเรนทร์อีกเอ๋อ หื้ม?”
“ไม่ได้เล่น นั่งเรือไปกันนะพี่เกียร์ เอารถจอดไว้บ้านเจ้านี่แหละ ไหน ๆ ตอนเย็นพี่ก็ต้องมาส่งเจ้าอยู่แล้วนี่ นะ ๆ” ผมขยับเข้าไปเกาะแขนคนตัวสูงแล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อโน้มน้าวพี่เกียร์ให้ใจอ่อนทำตามที่ผมบอก
“เอางั้นหรอ”
“น้า นะ ๆๆ นะครับ”
“โอเค ไปก็ไปครับ แล้วจะให้พี่เอารถไปจอดไว้ไหน”
“นั่นไง ตรงนั้นเลย ที่จอดรถของร้าน” ไม่พูดเปล่าผมยกนิ้วชี้ไปยังจุดจอดรถของร้านให้พี่เกียร์รู้
“โอเค แต่พี่ขอเอาหมวกไปฝากไว้ในร้านได้มั้ย”
“ได้ครับ เอามาเลย เดี๋ยวเจ้าเอาไปเก็บให้เอง” ผมยื่นมือไปรับหมวกกันน็อกทั้งสองใบเพื่อนำไปเก็บไว้ในร้าน
วันนี้จะได้นั่งเรือแล้ว
เราทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันมาที่ท่าเรือยอดพิมาน แล้วไปที่ท่าเรือเพื่อรอขึ้นเรือร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ อากาศในตอนเช้าที่มีแสงแดดอุ่น ๆ กระทบกับผิวน้ำจนทำให้มันเกิดแสงระยิบระยับสะท้อนตามตัวอาคาร แบบที่ถ้าจ้องมองมันไปนาน ๆ ก็แสบตาใช่เล่นครับ
‘ยอดพิมานครับ ยอดพิมาน ใครไม่ลงชิดในเลยคร้าบ'
รออยู่สักพักเรือโดยสารเจ้าพระยาธงสีส้มที่ต้องการขึ้นก็เคลื่อนเข้ามาเทียบท่า เสียงกระเป๋าเรือเมล์ตะโกนบอกชื่อท่าเรือที่เป็นจุดจอดเทียบ ผู้โดยสารขาออกขยับเดินมารอตรงท้ายเรือพร้อมที่จะก้าวขึ้นท่า ส่วนผู้โดยสารที่รอใช้บริการเรือนี้ก็ยืนบนโป๊ะแบ่งเป็นสองแถว พอคนแรกเริ่มก้าวลงเรือคนในแถวก็ขยับเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ช่วงที่ผู้โดยสารสวนทางกันเข้าออก มือเย็น ๆ ของผมที่ทิ้งอยู่ข้างตัวก็ถูกกุมด้วยมือใหญ่ ผมเงยหน้าสบตากับเจ้าของมือนั้น พี่เกียร์ส่งยิ้มบาง ๆ มาให้
“จับไว้ เดี๋ยวก็ล้มเหมือนวันนั้น” แล้วก็ยิ้มด้วยสายตาล้อเลียนผม
“ชิ ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” ผมจิ๊ปากแถมย่นจมูกใส่คนตัวสูงไปที แต่ก็กระชับมือที่กุมไว้แล้วก้าวเดินตามแรงจูงจนสามารถขึ้นมายืนบนเรือได้อย่างปลอดภัย
เราทั้งสองคนเลือกที่จะไปยืนบริเวณท้ายเรือ เพราะไม่กี่สถานีก็ลงที่ท่าเรือสาทรแล้ว พี่เกียร์ดันไหล่ผมเบา ๆ ให้ไปยืนพิงราวเหล็กท้ายเรือที่กั้นล้อมไม่ให้ผู้โดยสารตกลงไปในแม่น้ำ ส่วนเจ้าตัวก็ยืนเอาแขนข้างหนึ่งเท้าราวเหล็กไว้ มองผ่าน ๆ ก็เหมือนผมตกอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง
“เอ้อ เจ้า” พี่เกียร์อุทานเบา ๆ เหมือนคิดอะไรได้ก่อนจะก้มหน้าลงมาพูดกับผม
“ครับ”
“เดี๋ยววันนี้เลิกเรียนแล้วไปสยามกัน”
“ไปทำอะไรครับ”
“ไปช่วยพี่เลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนหน่อย”
“หือ ? วันเกิดเพื่อนคนไหนครับ เจ้ารู้จักมั้ย”
“เพื่อนเก่าน่ะ มันไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่จบ ม.6 แต่ตอนนี้มันกลับมาเที่ยว ก็เลยจะจัดวันเกิดที่นี่”
“อ่อ ก็ได้ครับ แล้ววันเกิดนี่จัดวันไหนอ่า”
“พรุ่งนี้”
“อาฮะ เดี๋ยวเจ้าไปช่วยเลือก”
“เจ้า”
“ครับ ?”
“พรุ่งนี้ไปงานวันเกิดเพื่อนกับพี่นะ”
“หื้อ ? เจ้าไปได้หรอครับ เจ้าไม่รู้จักเพื่อนพี่สักหน่อย”
“ก็เพราะไม่รู้จักไง ถึงอยากพาไปให้รู้จัก”
“…”
“ไปนะครับ”
“เจ้าขอคิดดูก่อนไม่ได้หรอ”
“ไม่ต้องคิดแล้วเอ๋อ ไปนะเจ้าพระยา พี่อยากให้ไปนะครับ”
เนี่ยยยย พอรู้ว่าผมแพ้สายตาและน้ำเสียงเวลาเขาอ้อน เขาก็ขยันใช้มุกนี้ให้ผมใจอ่อนตลอดเลยอะ
คนร้าย ๆ !!!
“ก็ได้ เจ้าไปก็ได้ครับ” เอ่ยตอบออกไปทั้ง ๆ ที่สายตาผมเสมองไปทางอื่น ใครจะไปกล้าสบตาคม ๆ ที่ทอประกายความอ่อนโยนตอนนี้ล่ะครับ
หน้าร้อน ๆ อีกแล้วแฮะ
คำตอบของผมคงทำให้เจ้าของนัยน์ตาคมพอใจอย่างมาก ดูได้จากรอยยิ้มกว้างตอนนี้เลย
รวมระยะเวลาการเดินทางมามหา’ลัยวันนี้ก็ปาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ผมก็ชอบช่วงเวลาที่เสียไปนะ ตอนนี้เราทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนตามตารางของตัวเอง พักเที่ยงพี่เกียร์ก็บอกไว้แล้วว่าคงติดแล็บ น่าจะไม่ได้มากินข้าวเที่ยงด้วย ให้เจอกันตอนเลิกเรียนในช่วงบ่ายเลย สำหรับผมคือไม่มีปัญหาครับเรื่องกินข้าวเนี่ย แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ…
“อิน กูเครียดดดดด” ผมยกมือสองข้างกุมขมับแล้วก็เลื่อนไปขยี้หัวตัวเอง ข้อศอกทั้งสองข้างค้ำอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์
“เป็นอะไร”
“กูคิดไม่ออก”
“คิดโจทย์บนสไลด์ไม่ออก?” มันหันมาเลิกคิ้วเชิงถามใส่ผม แต่ใช้นิ้วโป้งชี้ไปยังสไลด์เนื้อหาหน้าห้อง
“ไม่ใช่สิ อันนั้นกูไม่เครียด”
“เอ้า ไอ้นี่ มึงคิดเรื่องอะไรก็บอกดิวะ ไม่บอกกูจะเข้าใจกับมึงมั้ย”
“คืองี้มึง หลังเลิกเรียนพี่เกียร์ให้กูไปช่วยเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนเก่าเขาอะ แต่กูคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี!!”
“เจ้า!! หุบปากมึงเลยนะ มึงจะเสียงดังให้อาจารย์มาช่วยคิดหรือไง”
ผมยกมือปิดปากฉับ ตามองไปยังหน้าห้องเรียนที่มีอาจารย์คอยกดสไลด์สอนอยู่ อินส่ายหัวให้กับความบ้าบอของผม ก็คือผมพยายามช่วยพี่เกียร์คิดแล้วว่าจะซื้ออะไรให้เพื่อนเขาดี
จริง ๆ คนที่น่าจะเลือกได้ดีที่สุดก็ต้องเป็นพี่เกียร์นั่นแหละ เพราะรู้จักนิสัยและความชอบของเพื่อนดี แต่ที่ผมต้องเอามาคิดเยอะให้ปวดสมอง ก็เพราะอยากมีส่วนร่วมอะ
เคยได้ยินคำว่า First impression ไหมครับ
นั่นแหละ
ผมก็อยากให้มันเป็นความประทับใจแรกที่จะเกิดขึ้นเมื่อเพื่อน ๆ ของพี่เกียร์ได้รู้จักผม จะว่าผมเว่อร์ก็ได้ แต่มันก็กังวลจริง ๆ นี่ กลัวเพื่อนพี่เขาไม่โอเคกับผมอะ
“มึงจะมาปวดหัวเองทำไมวะ เอาไว้ไปถึงที่จะซื้อก็ค่อยเลือก แล้วให้แฟนมึงนู่นเป็นคนตัดสินใจ ของขวัญของเพื่อนเขานี่” อินคงรำคาญตาที่เห็นหน้ายุ่ง ๆ ของผม เลยพยายามแสดงความคิดเห็นช่วยผมคิดอีกที
“ก็เผื่อพี่เกียร์ให้ช่วยเลือกไง”
“งั้นก็เดี๋ยวค่อยคิด เรียนก่อนเถอะ”
“เออ ๆ ก็ได้วะ เอ๊ะ แต่เดี๋ยว แล้วพี่พีชวนมึงไปปะ เขาเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันนี้”
“ไม่เชิงชวนนะ พี่เขาก็แค่บอกไว้ว่ามีนัดกับเพื่อน”
“เอ้า ได้ไงวะ ไม่พามึงไปเปิดตัวกับเพื่อนเขาวะ”
“ส้นตีน เปิดตัวอะไร กูไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขาสักหน่อย”
“จ้า ไม่เป็นอะไรกันจ้า หอมหน้าผากกันตอนนู้นกูยังไม่ได้แซวเลยนะ เปิดโหมดไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหนหรอวะ”
“กูสะดวกแบบนี้”
“สะดวกแบบนี้ หรือทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”
“…”
“กูถามจริง ๆ นะอิน พี่เขาไม่เคยพูดหรือถามเชิงขอคบหรอวะ ในสายตากูคือมึงกับพี่เขาเกินคำว่าพี่น้องไปเยอะมากนะ”
“…”
“ตอบ อย่ามาเงียบดิ” ผมทำเสียงเข้มคาดคั้นเพื่อนตัวเล็กที่หลบสายตาผมไปจ้องปากกาไฮไลท์ในมือ
“ก็พูด” คิ้วเรียวของเพื่อนตัวเล็กขมวดเป็นปมเหมือนมันเป็นเรื่องหนักอกหนักใจ
“เอ้า แล้วทำไม...” ยังไม่ทันที่ผมจะถามจบประโยค อินก็ตอบผมกลับมาก่อน
“เอาความจริงมั้ย คือกูไม่อยากให้พี่เขาลำบากว่ะ สถานการณ์ที่บ้านกูก็ยังไม่ดีขึ้น มึงรู้มั้ย พอป้ากูเห็นพี่เขาไปหากูที่บ้านบ่อย ป้าก็เริ่มมาด่ามาว่าแม่กูแล้ว บอกว่ากูทำเรื่องให้ตระกูลเขาเสียหาย คนจะนินทาพวกเขาเพราะกู ทั้ง ๆ ที่กูไม่ได้ใช้นามสกุลเขานะ แล้วพอกูชวนแม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เขาก็ทวงบุญคุณ ทวงเงินค่าบ้าน ทวงทุกอย่างจนแม่กูรู้สึกผิด มันแย่มากเว้ยเจ้า กูเลยไม่อยากให้พี่เขาพลอยโดนว่าเสีย ๆ หาย ๆ ไปด้วย” มือขาวที่กำปากกาอยู่ก็ยิ่งกำแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว เรื่องราวที่เจ้าตัวพยายามเก็บกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา
ผมตัวชาเพราะไม่คิดว่าเพื่อนผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขนาดนี้
“แล้วมึงไม่คิดว่าพี่เขาจะเต็มใจเข้าไปช่วยแบ่งเบาความทุกข์บ้างหรือวะ”
“คิดสิ คิดมาตลอด ว่าพี่เขาเป็นที่พักพิงให้กู แล้วพี่พีก็เป็นจริง ๆ แต่กูอยากเป็นฝ่ายมอบความสบายใจให้เขาบ้าง ไม่ใช่มีแต่ความกังวลอย่างทุกวันนี้ กูรับรู้ตลอดว่าเขาเป็นห่วง เป็นกังวลเรื่องครอบครัวกู มันทำให้กูไม่เคยกลัวอะไรเลยเวลามีเขาอยู่ข้าง ๆ แต่พอมันเป็นแบบนี้ ยังหาทางออกของปัญหาตอนนี้ไม่ได้ แล้วเขาจะทนกับกูได้นานแค่ไหนวะ เขาจะเบื่อกูวันไหน เขาจะไปจากกูเมื่อไหร่ กูไม่รู้เลยเจ้า ไม่รู้เลย” อินทัชตอนนี้เหมือนแก้วใสบาง ๆ ที่พยายามกักเก็บทุกอย่างไว้กับตัว แต่ตัวมันเองก็คงหลงลืมไปว่าแก้วบาง ๆ นี่มันจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องแย่ ๆ ได้มากสักแค่ไหน และตอนนี้คนที่เป็นเหมือนแก้วบางตรงหน้าผมก็พร้อมแตกสลายทุกเมื่อ เพียงแค่มีเรื่องแย่ ๆ อีกสักเรื่องเข้ามาสัมผัสมันเบา ๆ บางทีเพื่อนอย่างผมจะอยู่นิ่ง ๆ เป็นกำลังใจอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
“ใจเย็น ๆ มึงอย่าไปดูถูกความรักพี่พีดิวะ เขาอาจจะไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาก็ได้ กูว่ามึงควรคุยกับพี่เขา เหมือนที่คุยกับกู เขาจะได้เข้าใจ จะได้ไม่คิดว่าที่มึงไม่ยอมคบกับเขา ไม่ใช่เพราะไม่ได้รัก”
“…”
“ถ้าจะสู้ไปด้วยกัน ก็ต้องคุยกันให้เข้าใจ”
“อืม ขอบใจนะเจ้า”
“เออ ๆ ไม่เป็นไร อย่าคิดมากนะมึง เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น เชื่อกู” เพราะกูจะช่วยมึงเอง ประโยคสุดท้ายที่ผมไม่ได้พูดไป แต่มันคงถึงเวลาที่ผมกับไอ้ภาคจะต้องช่วยกันทำอะไรสักอย่างเพื่ออิน เพื่อนสนิทตัวเล็กผมควรได้มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตัวเองสักที
นิทานเรื่อง ‘อิน’เดอเรลล่ากับป้าใจร้าย ควรถึงกาลอวสานได้แล้ว
“แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมาเรื่องกูได้วะ”
“แหะ ๆ เพราะความเสือกกูเองจ้า ขอบคุณจ้า” ผมหัวเราะตาหยีใส่เพื่อนตัวเล็ก อินอมยิ้มส่ายหัวให้กับความทะเล้นของผม อย่างน้อยมันก็ยังยิ้มได้ ใจสู้มากเลยเพื่อนผม
สรุปว่าเรื่องของขวัญก็ไปหาเอาดาบหน้าแล้วกัน
หลังจากเลิกเรียนคาบบ่าย พี่เกียร์ก็เดินมารับผมที่คณะเช่นเคย แถมวันนี้เจ้าสายฟ้ายังจอดอยู่ที่บ้านของผมอีก เราสองคนเลยเลือกที่จะเดินไปซื้อของขวัญวันเกิดที่แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าใหญ่ใกล้ ๆ มหา’ลัย ซึ่งพอไปถึงก็ใช้เวลาในการเลือกซื้อไม่นานเพราะพี่เกียร์คิดเอาไว้แล้ว
แล้วผมเครียดคิดหัวแทบแตกทำไมวะเมื่อเช้า
ของขวัญที่ได้ก็เป็นถุงมือสำหรับใส่ขับรถจักรยานยนต์สายพันธุ์ใหญ่ กำลังม้าแรงสูงแบบเจ้าสายฟ้านั่นแหละ
และพอได้ฟังเหตุผลที่เลือกของขวัญชิ้นนี้ รวมถึงลักษณะนิสัยคร่าว ๆ ของเพื่อนพี่เกียร์ก็รู้เลยว่าทำไมถึงมาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันได้
สายเฟี้ยวเปรี้ยว teen มากันตั้งแต่เด็ก ๆ เลยนะครับ
ถึงแม้จะต้องแยกกันเรียนกันคนละประเทศ คนละมหาวิทยาลัย ก็ยังมีการติดต่อคุยกันเสมอ พรุ่งนี้ก็คงได้เจอกันครบทั้งกลุ่มเลยสินะ
หลังจากใช้เวลาในการเลือกซื้อของขวัญไม่มาก เวลาที่เหลือจึงหมดไปกับการสรรหาอาหารหลากรสลงท้อง ทั้งของคาวและของหวาน ซึ่งไม่ต้องแปลกใจอะไรมาก ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจเลือกเมนูอาหารก็ยังคงเป็นผมอยู่ดี พี่เกียร์เขาไม่เคยขัดใจผมเรื่องกินหรอกครับ
เวลาเกือบหกโมงเย็นหลังจากกินข้าวกินขนมจนอิ่ม เราสองคนก็พร้อมกันเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าแล้วต่อเรือโดยสารเจ้าพระยาเหมือนเมื่อเช้า แต่ก็นะ เวลาเลิกงานแบบนี้คนใช้บริการขนส่งสาธารณะก็ค่อนข้างหนาแน่น เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเบียดเสียดและเสียเวลาไปกับการเดินทางมากกว่าเดิม
ตอนนี้ผมกับพี่เกียร์ก็มายืนต่อแถวรอขึ้นเรือตรงท่าน้ำที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางบกกับทางน้ำเหมือนกับใครหลายคน ความแออัดและหนาแน่นของผู้โดยสารก็ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวขึ้นมา แต่บรรยากาศรอบข้างที่ท้องฟ้าเป็นสีส้มแดง แสงจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้เวลาลับขอบฟ้านั้นสะท้อนกับผืนน้ำจนเกิดแสงระยิบระยับสวยงาม สันคลื่นน้ำขยับเคลื่อนต่อกันเป็นทอด ๆ ตามแรงรบกวนจากการเคลื่อนที่ของเรือบนผิวน้ำ เป็นภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามจนช่วยทำให้หายหงุดหงิดไปได้บ้าง
คนตัวสูงใช้ขายาวที่แข็งแรงเป็นหลักยึดมั่นคง แล้วจับผมที่กำลังตั้งใจเล่นเกมในโทรศัพท์รอเวลาเรือเทียบท่าให้ยืนพิงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไออุ่นที่แผ่กระจายจากเจ้าของแผงอกนั้นได้มาโอบล้อมรอบตัวผม อุณหภูมิเดิม ๆ กลิ่นไอที่คุ้นชิน สัมผัสที่มั่นคงกับหัวใจเสมอ การที่อยู่ใกล้กันบ่อย ๆ ทำให้สมองที่ควบคุมประสาทรับรู้เหล่านี้สร้างกลไกบางอย่างให้ผม กลไกของร่างกายที่กล้าจะปล่อยความรู้สึกให้ผ่อนคลาย ไร้ความกังวล และรับรู้ถึงความปลอดภัย
เมื่อมีเขาอยู่ข้าง ๆ
“เจ้า หยุดเล่นก่อน เรือมาแล้ว” เสียงทุ้มดังเตือนจากเหนือศีรษะของผม
“ครับ ๆ เก็บแล้ว” ผมรีบกดออกจากเกมแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ดันตัวเองจากแผ่นอกแกร่งที่เอนหลังพิงมาสักพักให้ยืนตรงด้วยตัวเอง รอยยิ้มตาหยี ๆ ที่พี่เกียร์บอกว่าเป็นเอกลักษณ์ของผมถูกส่งไปให้เขาแทนคำขอบคุณที่เสียสละแผ่นอกนั้นให้ยืนพิง
“ว่าง่ายแบบนี้ เดี๋ยวพี่ให้รางวัล” มุมปากได้รูปยกขึ้นเล็กน้อยกับแววตาพราวระยับ
“รางวัลอะไรครับ”
“ไม่บอก”
ผมขมวดคิ้วใส่คนที่ไม่ยอมบอกความลับเกี่ยวกับรางวัลอะไรนั่น แต่พี่เกียร์กลับยกมือขึ้นมาพลิกตัวผมให้กลับหลังหัน สองมือวางบนบ่าแล้วดันให้ผมเดินไปข้างหน้าเมื่อแถวเริ่มขยับไปทางท่าเรือ
เราสองคนถึงบ้านในตอนที่ท้องฟ้าเป็นสีนิลเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาต้องแยกกันกลับไปพักผ่อน พี่เกียร์ไปถอยเจ้าสายฟ้าออกมาจากที่จอดรถ ส่วนผมก็เดินเข้าไปหยิบหมวกกันน็อกมายื่นให้ พี่เกียร์รับไปสวมครอบศีรษะในตอนที่เจ้าตัววาดขายาวคร่อมรถแล้ว พอจัดทุกอย่างเรียบร้อย เสียงเครื่องยนต์สองล้อกำลังขับเคลื่อนสูงพอ ๆ กับรถยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมที่เคลื่อนตัวไปยังถนนเส้นหลัก
สัญลักษณ์นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยที่พี่เกียร์ยกมันขึ้นมาชิดหูที่มีหมวกกันน็อกกั้นอยู่ ซึ่งผมเข้าใจภาษากายนั้นได้ดี เลยพยักหน้าตอบรับแล้วโบกมือยืนรอส่งพี่เกียร์อยู่ตรงหน้าบ้าน จนเจ้าสายฟ้ากับนายของมันพ้นรัศมีการมองเห็นของสายตาไป
ผมกระชับกระเป๋าสะพายใบโปรดแล้วกลับเข้าไปบ้าน อาบน้ำทำธุระส่วนตัว รอเวลาที่คนตัวสูงส่งข้อความมาบอกหากเจ้าตัวเดินทางถึงคอนโด ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน เพราะเมื่อผมออกมาจากห้องน้ำ ก็ได้เห็นข้อความจากพี่เกียร์ที่ส่งผ่านแอพลิเกชันสีเขียวสำหรับสนทนาผ่านข้อความ
‘ P’GEAR : ถึงคอนโดแล้วนะครับ ’
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผมเองหลังจากได้เห็น ผมไม่ได้ตอบไปในทันทีแต่วางเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมไว้บนเตียงก่อนจะไปจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย
พอแต่งตัวเสร็จผมก็กลับมาสนใจเครื่องมือสื่อสารนั้นอีกครั้ง โดยกดโทรหาคนที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา บทสนทนายามค่ำคืนก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็ได้ข้อสรุปบางเรื่องมาแบบงง ๆ ว่าวันพรุ่งนี้พี่เกียร์ให้ผมชวนไอ้ภาคและชาววิศวะฯ ปี 1 กลุ่มที่เคยช่วยกันทำพานไปด้วยได้ ส่วนเหตุผลที่ให้ชวนก็เพราะว่าพี่เกียร์กลัวผมเหงา กลัวคนพูดมากอย่างผมจะไม่มีคนคุยด้วย หากต้องไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนของพี่เกียร์ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน
เมื่อได้รับอนุญาตแบบนี้ผมก็ไม่รอช้าที่จะส่งข้อความเข้ากลุ่มสื่อสารออนไลน์ เพื่อชวนเพื่อนสนิททั้งสองคน รวมถึงให้ไอ้ภาคไปชวนพวกเพื่อนมันด้วย
อย่างน้อยการเจอเพื่อนพี่เกียร์ครั้งแรก ผมก็ไม่ต้องไปนั่งเกร็งคนเดียวแหละน่า
(มีต่อด้านล่าง)